มูมู่น้อย

อ๊าก พูดให้เราคิดนะ คิดให้ดีนะครับ เพราะถ้าเริ่มแล้ว คุณจะหยุดรักผมไม่ได้ (จาก sorry,i love you)
Tantalum เก็บไปโรแมนติคกับใครดีหนอ

wee อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันที่แสนสวยงามเลย เรื่องนี้

between บางทีมันก็อาจจะเป็นแค่ความคิด แต่ตัวจริงสุดแสนจะเถื่อน เขินครับเวลาจะทำอะไรที่เผยความในใจออกมา

shell มองหาคนดูแลอยู่อ่ะป่าว

FlukeHub อ่านไปจินตนาการไปด้วยครับ นึกภาพตามที่คนเขียนบรรยายไว้ จะอ่านนิยายได้มีรสชาติมากๆครับ

***********************************************************************************************
บทที่ 9 ของขวัญวันเกิด.......จูบที่สอง
...............................ช่อทองกวาวระบัดดอก ออกสะพรั่ง
...............................บอกความหวัง และความฝัน อันปารถนา
...............................ละอองหมอก เบาบาง พริ้วพร่างตา
................................เป็นสัญญาว่าสอบ อยากปลอบใจ
(เพลงเชียร์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
ต้นเดือนธันวาคมของทุกปี สายลมหนาวจะพัดผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ ส่งผลให้อุณหภูมิที่เคยร้อนจัดลดลง อากาศจะเย็นสบาย เหมาะแก่การที่ต้นไม้และไม้ดอกจะที่เตรียมผลิใบและดอกตั้งแต่หน้าฝน ให้แข่งกันผลิดอกออกใบรับสายลมเย็นๆ
ไม่เพียงแต่ดอกไม้เมืองหนาวที่เติบโตอยู่ภายในมหาวิทยาลัย จะเริ่มพากันเบ่งบานอวดความสวยงามต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เหล่าดอกไม้หน้าใหม่ที่เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยได้จัดปลูกเพิ่มเติมทั่วมหาวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความงดงามและเพื่อเตรียมสำหรับงานวันพระราชทานปริญญาบัตรของบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาในช่วงปลายเดือนมกราคมปีหน้า ก็ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ดอกไม้เจ้าถิ่น ต่างประชันดอกงาม สีสันและความหอมทั่วทุกมุมแห่งมหาวิทยาลัย สร้างความประทับใจแก่นักศึกษาและแขกผู้มาเยี่ยมเยือนมหาวิทยาลัยอย่างยิ่ง
ต้นทองกวาว อีกสัญลักษณ์หนึ่งของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็ดูเหมือนจะอดเสียไม่ได้ที่จะแข่งขันประชันความงามของดอกสีส้มสดตน กับดอกไม้พืชล้มลุกเมืองหนาวหลายชนิดพื้นผืนดิน ทองกวาวทุกต้นจึงพากันเฉิดฉายออกดอกสีเหลืองอร่ามฉาบฟ้าทั่วมหาวิทยาลัย โดยมิวายจะสลัดกลีบร่วงล่นลงบนพื้นหญ้า เกิดคล้ายเป็นภาพสะท้อนงดงามราวกับว่าต้นไม้เหล่านั้นกำเนิดขึ้นตรงกลางบานกระจกผืนใหญ่
ฟ้าลั่นฉวยโอกาสตัดหน้าศิวะ ชวนภูผาไปเที่ยวในช่วงปีใหม่ ภายหลังสอบกลางภาคเสร็จสิ้น โดยให้เหตุผลว่าเพราะสาวๆของเขาโทรมาหาพร้อมๆกันหลายคน และต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากอยู่กับฟ้าลั่นในวันปีใหม่สองต่อสอง และในเมื่อฟ้าลั่นไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกอยู่กับใคร วิธีที่ดีที่สุดคือ ไม่เลือกใครเลย ดังนั้นเขาจึงอ้างว่ามีธุระจะต้องกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว
ภูผาตอบตกลงในทันที เพราะด้วยทราบดีว่าศิวะคงจะต้องมีสาวๆมารุมล้อมเหมือนกันในช่วงปีใหม่ เขาเลยถือโอกาสอนุญาตให้ศิวะปลดปล่อยความปรารถนาของตนเองโดยไม่ต้องกังวลว่าตนเองจะรับรู้....ภูผาไม่เคยเอาเรื่องพี่เสือมีผู้หญิงหลายคนมาเป็นกังวล เพราะรู้ดีว่าเป็นเรื่องธรรมชาติและตนเองก็ไม่ได้รู้สึกหึงหวงพี่เสือแต่อย่างใด.....
ไม่มีใครแม้กระทั่งฟ้าลั่นเองจะทราบว่า.... ศิวะและภูผาจะไม่เคยมีอะไรกันเกินเลยไปกว่าการกอดจูบธรรมดา แม้ว่าจะนอนด้วยกันบ่อยครั้งก็ตาม เพราะภูผาเองยังไม่แน่ใจในหัวใจตนเองแม้ว่าจะคบกันมาตั้งเกือบสองปีแล้วก็ตามภูผาขอร้องศิวะว่ายังไม่อยากมีอะไรเกินเลยถ้ายังไม่แน่ใจว่าเขารักศิวะเท่ากับที่ศิวะรักเขา.......จิตใต้สำนึกของภูผามักจะคอยย้ำเตือนเสมอว่า.......เขากำลังรอใครบางคนอยู่....รอมานานแสนนาน....
ศิวะรักและทtนุถนอมภูผามาก เขาจึงไม่อยากสร้างความเจ็บช้ำให้กับภูผา ในกรณีที่ภูผาเองยังไม่พร้อมสำหรับเขา.....สำหรับศิวะแล้ว เขารอได้เสมอ...เพื่อภูผา.....แม้จะต้องรอทั้งชีวิตก็ตาม
ฟ้าลั่นขับรถเก๋งสีดำสนิทออกจากหอพักในตอนเช้าวันสิ้นปี โดยมีภูผาทำหน้ามุ่ยเพราะยังไม่ตื่นดีนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ
“โหย......ฆ่ากันตายชัดๆ ......ทำไมต้องออกเช้าขนาดนี้นะฟ้าลั่น........ยังไม่สิบโมงเลย” ภูผาบ่นทั้งๆที่ตายังหลับอยู่
“เฮ้ย......ไปช้ารีสอร์ทก็เต็มพอดี........เดี๋ยวเค้าก็ยกเลิกห้องที่จองไว้.......... ถ้าง่วงมากก็หลับไปเลย.........เดี๋ยวจะเอาไปทิ้งไว้ข้างทาง” ฟ้าลั่นแกล้งขู่
“ห้ามทิ้งคนน่ารักอย่างเรานะโว้ย” ภูผายังคงหลับตาต่อปากต่อคำ
“เออ.......ไม่ทิ้งหรอก.....ล้อเล่น” ฟ้าลั่นเอ่ยคำสัญญาออกมาออกมาทันทีอย่างที่ใจคิด.....โดยไม่ทราบเลยว่าต่อไปในอนาคต เพราะคำสัญญาที่ว่า “ไม่ทิ้งหรอก” จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์อย่างไม่ได้ตั้งใจ
ฟ้าลั่นเลือกที่ขับรถไปตามเส้นทางสายเชียงใหม่-หางดง-แม่ริม ผ่านทั้งหมู่บ้าน ทุ่งนา และเนินเขา .......ตลอดสองข้างทางถนนสายท่องเที่ยวแห่งนี้เต็มไปด้วยสถานที่น่าสนใจ เช่น กฤษฏาดอยรีสอร์ท และ สวนบัวรีสอร์ท ที่นอกจากเปิดให้เช่าพัก ยังอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอีกด้วย
นอกจากรีสอร์ทต่างๆ แล้ว ถนนสายนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมถึงน้ำตก และจุดชมวิวภูเขาสูงต่างๆที่ให้นักท่องเที่ยวได้หยุดพักชมเป็นระยะๆ
รีสอร์ทที่ฟ้าลั่นเลือกพัก ชื่อว่า “ม่อนเอื้องดอย” เป็นรีสอร์ทขนาดเล็กไม่ใหญ่มากนัก แต่จัดแต่งได้งดงามกลมกลืนไปกับธรรมชาติ
ภายในบริเวณพื้นที่ไม่กว้างนัก.....บ้านพักหลังใหญ่น้อย ถูกสร้างขึ้นตามแนวหุบเขาที่มีความลาดชันสูง ลดลงสู่ใจกลางรีสอร์ทที่มีลำธารน้ำไหลผ่านตลอดปี เจ้าของรีสอร์ทได้สร้างทางเดินทอดยาวไปตามลักษณะการคดเคี้ยวของลำธาร และ ตกแต่งบริเวณข้างทางเดิน ด้วยผืนหญ้าสีเขียวรวมถึงกล้วยไม้หลากชนิด
ส่วนหุบเขาที่ชันมากจนไม่สามารถสร้างบ้านพักได้ ก็จัดการทำเป็นสวนกล้วยไม้หลากสีแบบขั้นบันได โดยที่เวลานี้กล้วยไม้ทุกพันธุ์ต่างแข่งกันผลิดอกงาม บ้างก็ส่งกลิ่นหอม สร้างความสดชื่นแก่ผู้พักอาศัยทุกคน
ฟ้าลั่นเลือกค้างคืนในเรือนขนาดกะทัดรัดข้างลำธาร ลักษณะเป็นบ้านทรงยุโรป ฝาผนังด้านหนึ่งของที่พักถูกแทนที่ด้วยกระจกใสโดยตลอด เพียงแค่มีม่านผ้าฝ้ายสีขาวบางพลิ้วคอยบังแสงแดดอันร้อนแรงที่อาจส่องผ่านเข้ามาเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถเห็นลำธารที่อยู่ด้านล่างและทิวทัศน์ภายในรีสอร์ทได้อย่างชัดเจน
บ้านที่ฟ้าลั่นเลือกพักปลูกสร้างอยู่บริเวณที่ลาดชันจึงทำให้มีทางขึ้นได้สองทาง คือ ทางด้านบนที่เป็นทางเดินสันเขาที่ทางรีสอร์ทจัดสร้างไว้และคือว่าเป็นถนนสายหลักที่จะนำไปสู่เรือนพักอื่นๆ อีกทางหนึ่งคือเดินตามทางที่สร้างเลียบริมลำธาร ขึ้นสู่บันไดบ้านได้โดยตรง
ภายในห้องพักก็จะมีเตียงใหญ่ตั้งหลบมุมอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอกเห็นได้ชัด เนื่องจากผนังห้องส่วนหนึ่งเป็นกระจกใส รวมทั้งมีอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ที่สันสมัย จัดแต่งได้อย่างลงตัว.......สิ่งที่น่าสนใจสำหรับห้องพักนี้คือ ห้องน้ำขนาดกว้างปราศจากประตู ภายในสร้างเลียนแบบน้ำตกธรรมชาติ มีการจัดสวนหย่อมเล็กๆข้างในและฝักบัวที่สอดรับกับน้ำตกจำลองอย่างดี
ภูผาหายง่วงนอนเป็นปลิดทิ้ง เพราะกำลังตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของรีสอร์ทและบ้านพักที่ฟ้าลั่นเลือก
“อ้าว.....ห้องน้ำไม่มีประตูแล้วจะอาบน้ำงัยล่ะ” ภูผาถามหลังจากเพิ่งสังเกตว่าห้องน้ำไม่มีประตู มีแต่ม่านบางๆปิดไว้เท่านั้น
“เฮ้ย......ไม่เห็นเป็นไร.......นายเห็นของเราหมดแล้ว ......เราก็เห็นของนายเหมือนกัน.....แล้วจะอายทำไม” ฟ้าลั่นตอบ
“ก็มันอายนี่นา” ภูผายังคงพูดอย่างอายๆ ส่งผลให้ฟ้าลั่นมองมาอย่างยิ้มๆ
“ไม่เป็นไร...เราไม่อาย.....ถ้านายอยากดูเราก็ดูไป.......ไม่หวงหรอก” ฟ้าลั่นพูดพร้อมยักไหล่แสดงท่าทางไม่ใส่ใจ
“เฮ้ย..........ใครอยากดู.......เล็กแค่นี้ ทำเป็นอวด” ภูผาไม่ยอมแพ้แกล้งกลับไปบ้าง
“ว๊ะ ไอ้หมอกน้อยนี่ ..........ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะให้ลองอยู่หรอก จะได้รู้ว่ามันไม่เล็กนะ......เสียอย่างเดียวเป็นผู้ชาย.........เอาไว้รอเมาก่อนแล้วกัน.......อาจได้ลองของดี” ฟ้าลั่นพูดอย่างไม่จริงจัง ด้วยเพราะต้องการแหย่ภูผาเล่นก็เท่านั้น
“รีบๆจัดของออกจากกระเป๋าดีกว่า เดี๋ยวไปกินข้าวกัน หิวแล้ว......เที่ยงกว่าแล้วด้วย” ฟ้าลั่นเร่งคนหน้าหวานที่ตอนนี้ยังคงกระโดดโลดเต้นอยู่บนเตียงใหญ่ หรือไม่ก็เดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆในห้องพัก
อากาศเย็นจัดเนื่องจากเป็นบริเวณหุบเขาในคืนวันสิ้นปี..... สองร่างชายหนุ่มนอนกอดเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กันบนเตียงนุ่ม แม้ว่าจะมีผ้าห่มผืนหนาปกคลุมอยู่แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภูผาอุ่นขึ้นแต่อย่างใด มือบางของภูผาเอื้อมไปกระชับวงแขนที่โอบกอดตนเองอยู่หลวมๆขึ้นมาแนบอก ส่งผลให้เจ้าของวงแขนแข็งแรงตื่นขึ้นมา ก่อนกระซิบถามอย่างห่วงใย
“หนาวหรือหมอก.....ไม่สบายหรือป่าว”
“อืม......หนาว” คนหน้าหวานงัวเงียตอบ
“กอดเราแน่นๆหน่อยดิ.......อืมมมมมมมมม” คนพูดยังสะลึมสะลือ
ฟ้าลั่นจึงเปลี่ยนท่านอนจากนอนหงายเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงพร้อมพลิกร่างของภูผาให้แผ่นหลังสัมผัสกับอกอันเปลือยเปล่าของตนเอง ก่อนที่จะใช้แขนทั้งสองข้างโอบรั้งร่างบางเข้าหาตัว ส่งผลให้ลมหายใจอุ่นของฟ้าลั่นกระทบต้นคอและข้างแก้มของภูผาอย่างแผ่วเบาตลอดคืนจนรุ่งเช้า
ตลอดเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีสักวันที่ฟ้าลั่นจะนึกรังเกียจการนอนกอดภูผาซักครั้ง สำหรับฟ้าลั่นแล้ว เขาพอใจและมีความสุขลึกๆในการกอดภูผา มากกว่าการกอดผู้หญิงหลายๆของเขาเสียอีก
ฟ้าลั่นเคยถามตนเองว่า ถ้าไม่ใช่ภูผาแต่เป็นผู้ชายคนอื่น ตนจะยอมให้นอนเตียงเดียวกัน และกล้าที่จะโอบกอดหรือไม่ ........คำตอบที่ออกมาจากความคิดทุกครั้ง.... คือ
“ไม่......... จะกอดแค่ภูผาเพียงคนเดียวเท่านั้น”
แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงอยากกอด.......นอกจากคิดว่าเป็นน้องชายคนหนึ่งแล้ว......ฟ้าลั่นยังหาเหตุผลลึกๆในตัวเองไม่ได้..........รู้แต่ว่าอีกไม่นาน คำตอบก็คงเดินมาหาเขาเอง
หลังจากที่พักผ่อนอย่างมีความสุขในรีสอร์ท รวมถึงขับรถไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ รวมทั้งสิ้นสามวันสองคืน ฟ้าลั่นและภูผาก็กลับมาหอพักของตน เพื่อให้ทันเตรียมตัวเรียนในวันถัดไป
ศิวะมารับภูผาไปนอนด้วยที่ห้องของตนในตอนบ่ายวันที่กลับมาจากรีสอร์ทเพราะคิดถึงภูผามาก แถมด้วยอาการแอบงอนเล็กน้อยที่ภูผาไปนอนรีสอร์ทกับฟ้าลั่นตั้งสองคืน ทั้งที่ตอนแรกขออนุญาตเขาไปแค่หนึ่งคืนเท่านั้น
“น้องหมอกต้องหอมแก้มพี่เป็นการขอโทษด้วย...สองข้างเลย” ศิวะยื่นหน้าไปให้ภูผาหลังจากเอาตัวภูผาขึ้นรถเพื่อจะพาไปที่หอของตน ก่อนจะได้ยินคนหน้าหวานบอกว่า “ไม่” อย่างชัดถ้อยชัดคำ แถมด้วยคำขู่
“จะให้หมอกหอมแก้ม....แล้วหมอกไม่ไปนอนด้วย....หรือจะให้หมอกไปนอนด้วย....แล้วไม่หอมแก้ม”
ศิวะเป็นคนฉลาด.....เขาเลือกเอาภูผาไปนอนด้วย...เพราะรู้ดีว่ายังมีโอกาสอีกหลายครั้ง....ยิ่งตอนที่ภูผาง่วงนอนมากๆ จะยอมทุกอย่าง....ไม่ดื้อ.....ไม่ซน
ฟ้าลั่นถูกสาวๆโทรตามตัวให้ออกไปพบหลังกลับเข้ามาในหอพักไม่นาน....... แล้วจึงเลยไปสังสรรค์ต่อกับเพื่อนสนิทของตน กว่าจะกลับมานอนคนเดียวที่หอก็เกือบตีสองของเช้าวันใหม่
*******
13 กุมภาพันธ์ .....
หนึ่งวันก่อนวันแห่งความรัก คือ วันเกิดของสองหนุ่ม และก็คือวันที่ภูผาและฟ้าลั่นจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หรือที่เรียกว่าบรรลุนิติภาวะแล้วนั่นเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องอายุที่ไร ฟ้าลั่นมักจะยิ้มและหัวเราะอย่างขบขันเสมอ เพราะเจ้าคนหน้าหวานที่อยู่ในอ้อมกอดเขาเกือบทุกคืน ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อว่าภูผาจะอายุเข้ายี่สิบพร้อมตนเองในวันพรุ่งนี้ นั่นคงเพราะบุคลิกหรือนิสัยที่แสดงออกคล้ายเด็กๆ.......สิ่งเดียวที่ฟ้าลั่นสังเกตเห็นความเป็นผู้ใหญ่ในตัวของภูผาคือ ความรับผิดชอบในการเรียน และการทำงานในฐานะเลขาสโมสร รวมถึงคำแนะนำดีๆที่ภูผามีให้เด็กนักศึกษารุ่นน้องเสมอมา
ตอนบ่ายหลังเลิกเรียนศิวะมารับภูผาไปดูหนังที่กาดสวนแก้ว และพาไปเลี้ยงพิซซ่าฉลองวันเกิดที่พิซซ่าฮัทกันสองคน หลังจากนั้นจึงพาภูผาไปสมทบกับเพื่อนๆสนิทของภูผาที่รวมตัวกันจองห้องร้องคาราโอเกะที่อาคารสิบสองห้วยแก้ว ตรงกันข้ามกับห้างสรรพสินค้ากาดสวนแก้ว ก่อนที่จะขอตัวกลับเพราะอยากให้ภูผาสนุกสนานกับเพื่อนสนิทของตนเอง อีกอย่างพรุ่งนี้วันแห่งความรักภูผาก็ต้องมานอนพักกับเขาอยู่ดี ดังนั้นวันนี้ศิวะจึงปล่อยภูผาให้สนุกอยู่กับเพื่อนๆตามลำพัง
ภูผาถูกเพื่อนๆ โดยเฉพาะคิมหันต์สอนให้ดื่มเหล้าเป็นครั้งแรก โดยให้เหตุผลว่าภูผาอายุครบยี่สิบแล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่และสามารถแยกแยะถูกผิดได้พอสมควร ดังนั้นก็น่าจะลองดื่มเหล้าดูบ้าง อีกอย่างคิมหันต์ต้องการจะสอนภูผาให้รู้จักการดื่มด้วย เผื่อในอนาคตจะสามารถเข้าสังคมหรือเอาตัวรอดในสถานการณ์เลวร้ายต่างๆที่ความเมาอาจเป็นสาเหตุได้
ภูผาไม่ขัดความประสงค์ของเพื่อนๆ เพราะรู้ในความหวังดีและด้วยความอยากลองด้วยจึงตัดสินใจดื่มเหล้าและเบียร์ตลอดการร้องคาราโอเกะกับเพื่อนๆ ......... ทั้งกลุ่มผลัดกันร้องและเลือกเพลงต่างๆออกมาประชันเสียงกันอย่างสนุกสนานจนถึงเวลาประมาณตีสามครึ่งจึงพากันออกมาจากร้านคาราโอเกะ โดยเพื่อนคนหนึ่งอาสาขับรถไปส่งภูผาที่บัดนี้เมามากจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ที่หอพัก
ทางด้านฟ้าลั่น.....หลังจากที่พี่เสือมารับภูผาไปดูหนัง เพื่อนๆสนิทในกลุ่มก็โทรศัพท์มาชวนไปเลี้ยงฉลองวันเกิดที่ “จี้จี้คลับ”.....ดิสโก้เทคขนาดใหญ่ ทันสมัย ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง
เป็นที่แน่นอนเมื่อหนุ่มๆจากคณะวิศวกรรมมารวมตัวกัน เหล้าจะต้องถือเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ สำหรับฟ้าลั่นแล้วการดื่มเหล้าคือการสังสรรค์อย่างหนึ่งที่ตนเองไม่ปฏิเสธ เพราะรู้จักควบคุมคนเองเสมอไม่ให้เมาจนขาดสติ
หนุ่มๆวิศวะสนุกสนานกับการส่งสายตาจีบสาวๆ การเต้น และการดื่มเหล้าเป็นอย่างมาก......ด้วยบุคลิกและหน้าตาที่คมคายดึงดูดเพศตรงข้ามของฟ้าลั่น แม้ว่าจะนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่โต๊ะตนเองตลอดกับเพื่อนๆหน้าตาดีๆอีกหลายคน ก็มักจะมีสาวๆหรือหนุ่มๆออกสาวมาชนแก้วด้วยบ่อยๆ ซึ่งฟ้าลั่นก็จะพูดคุยหรือทักทายกลับไปทุกครั้ง อาจเป็นเพราะระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้ฟ้าลั่นสนุกสนาน ไม่เงียบขรึมตามปกติ
หญิงสาวใจกล้าหลายคนเดินมาชนแก้วและชักชวนให้ฟ้าลั่นออกไปเต้นกับตน บ้างก็โอบกอด บ้างก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงฟ้าลั่นอย่างไม่อายใคร คงเป็นเพราะระดับแอลกอฮอล์ที่ทำให้หญิงสาวเหล่านั้นกล้าที่จะนำเสนอร่างกายของตนให้กับฟ้าลั่นในยามนี้
ในตอนแรกฟ้าลั่นมากับเพื่อนๆประมาณเกือบยี่สิบคน แต่เมื่อถึงเวลาขากลับออกจาก “จี้จี้” กลับเหลือเพื่อนๆเพียงไม่ถึงสิบคน ส่วนใหญ่ก็เพราะที่เหลือมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกันทั้งนั้น ส่วนเพื่อนที่หายไปก็ไปต่อกับสาวๆที่ติดมาจากในเทคนั้นเอง
ฟ้าลั่นขอตัวแยกออกจากกลุ่มเพื่อนเพื่อกลับหอพักก่อน หลังจากที่เพื่อนๆที่เหลือตัดสินใจไปกินไก่ย่างกำแพงดินกันก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับที่พัก แต่เนื่องจากเขาไม่หิวและประกอบกับความเป็นห่วงภูผา ฟ้าลั่นเลยบอกปฎิเสธไป
ฟ้าลั่นกลับมาที่หอพักด้วยอาการค่อนข้างเมา แต่ยังมีสติดีอยู่มาก เปิดประตูเข้าห้อง เห็นไฟเปิดอยู่ในห้องนอน เขาเห็นภูผายังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมตอนออกไปกับพี่เสื่อเมื่อตอนบ่ายนอนหลับสนิทบนเตียง เมื่อเห็นเจ้าตัวดีไม่อาบน้ำก่อนนอน และเขาก็ง่วงนอนเพราะฤทธิ์เหล้าเต็มที ฟ้าลั่นจึงทำแค่เพียงถอดเสื้อผ้าออกเหลือกางเกงในสีขาวสะอาดอย่างเคย แล้วจึงล้มตัวลงนอน โดยไม่ลืมที่จะคว้าคนที่นอนอยู่ก่อนเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว
ขณะที่คว้าตัวภูผาเข้ามากอด จมูกของฟ้าลั่นก็สัมผัสเข้าที่แก้มใสๆของภูผาเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความหอมของกลิ่นตัวภูผารวมถึงกลิ่นเหล้าอ่อนๆที่ออกมาพร้อมลมหายใจ กระตุ้นให้ฟ้าลั่นเกิดอารมณ์กระสันขึ้นมาอย่างประหลาด
ด้วยฤทธิ์ของระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดและอารมณ์ที่หลงเหลือค้างยามที่ตนเองถูกสาวๆในเทคกอดรัดแทบตลอดเวลา จึงเป็นเหตุให้ฟ้าลั่นจรดจมูกตนเองลงบนแก้มภูผาพร้อมสูดความหอมหวานของแก้มนิ่มหลายครั้ง ก่อนที่จะหลับตาลงสู่นิทรา
*********
ในฝัน...............
ภูผากำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นของชายหนุ่มอ่อนโยนที่มีสัมผัสที่แผ่วเบาและรัญจวนใจยิ่งนัก ..........ชายคนนี้มักอยู่ในความฝันตนเองเสมอ............และยิ่งนานวัน....ก็ดูเหมือนว่าสัมผัสต่างๆในฝันนั้นจะมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ......เร่าร้อน...อ่อนโยน.....และแสนหวาน
สัมผัสที่อ่อนโยนของชายในฝันมันช่างตรึงติดในดวงใจนัก .........ภูผาไม่เคยเห็นหน้าชายคนนั้นอย่างชัดเจนในความฝันอันงดงามนั้นสักครั้ง ....... .....เขาจดจำได้แต่เพียงดวงตากลมโต หวานซึ้ง ......มีประกายสดใส ยามมองมาที่เขา ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงที่แก้ม ใช้จมูกไซร้ไปมาทั่วผืนหน้า....... ลงไปที่ซอกคอ....... และเคลื่อนไปที่หน้าอก ........หัวนมทั้งสองข้าง........ไปเรื่อยๆๆ และสุดท้ายกลับขึ้นมาสิ้นสุดที่การจูบอย่างซาบซึ้ง ......อ่อนหวาน...รัญจวนใจทุกครั้ง
ยามนิทรา...รับรู้ว่า....เธอเคียงข้าง
ใจกระจ่าง....อุ่นรัก....ละมุนฝัน
แทรกความหวาน...ผ่านจุมพิต....ให้แก่กัน
จิตอ่อนโยน...ผูกพัน....รัญจวนใจ
**********
เพราะความฝันที่หวนคืนกลับมากระตุ้นอารมณ์ส่วนลึกของภูผา รวมถึงฤทธิ์ของเหล้าที่อยู่ในร่างกาย จึงทำให้ภูผาพลิกตัวเข้าหาคนแข็งแรงที่นอนกอดตนเองอยู่จากด้านหลัง
อารมณ์ครุกรุ่นและความฝันที่มาเยือน.....ทำให้ภูผาเคลื่อนวงแขนทั้งสองข้างเข้าโอบกอดร่างแข็งแรงที่นอนอยู่ ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงบนอกขาวเนียน พรมจูบไปทั่วผืนอกแกร่ง เคลื่อนไปหน้าขึ้นไป ไซร้ที่ซอกคอช้าๆ..... และไปบรรจบที่การหอมแก้มสากๆของฟ้าลั่นหลายครั้ง.......
คนถูกกอด......ถูกหอม........รู้สึกตัวช้าๆ คล้ายความฝัน.......ความฝันที่อ่อนหวาน......ฝันว่ามีคนมาพรมจูบไปทั่วร่างกาย....... ปฏิกิริยาของร่างกายเกิดขึ้นสอดรับกับสัมผัสอย่างไม่อาจหักห้ามใจ ........ อารมณ์และกลิ่นหอม......รวมถึงสัมผัสที่วาบหวามได้จุดประกายไฟในตัวเองให้ลุกโชนจนมาอาจห้ามร่างกายตนเองให้ตอบสนองกับสิ่งที่เผชิญอยู่
ฟ้าลั่นพลิกตัวโอบกอดคนตัวเล็กที่บัดนี้ยังคงใช้ริมฝีปากระดมจูบบนแก้มสากๆของตน ให้นอนลงด้านล่างโดยมีลำตัวที่แข็งแรงของตนทับอยู่ด้านบน มือหนึ่งสอดเข้าไปใต้แผ่นหลังของภูผา อีกมือหนึ่งลูบไล้ไปมาบนใบหน้าและลำตัวบาง ก่อนที่จะประทับริมผีปากลงบนกลีบปากบางของภูผา...........บรรจงมอบจูบที่อ่อนโยน......หวานซึ้ง......ให้อย่างยาวนาน
สัมผัสของฟ้าลั่นจุดประกายไฟในตัวภูผาให้ลุกโชนจนยากที่จะควบคุม.........มันคงเหมือนกับการเศษไม้แห้งเข้าสู่กองไฟ......... เชื้อเพลิงชั้นดีก็จะทำให้เปลวเพลิงพุ่งขึ้นสูง......สร้างความร้อนแรงจนผลาญสิ่งที่อยู่รอบข้างให้มลายไปในพริบตา.........ตอนนี้มือบางของภูผามิได้ลูบไล้อยู่แค่บริเวณใบหน้าและศีรษะของฟ้าลั่นเพียงอย่างเดียว แต่กลับเคลื่อนไปสัมผัสแทบทุกส่วนของร่างกายฟ้าลั่น.......ทุกส่วนกายที่แข็งแรง....เย้ายวน.....
เสื้อและกางเกงของภูผาถูกถอดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะถูกโยนออกไปอย่างไม่รู้ทิศทางโดยคนตัวใหญ่กว่า ตอนนี้ทั้งคู่จึงมีแต่กางเกงในสีขาวตัวน้อยปกปิดของสงวนอยู่เพียงชิ้นเดียว........... การสัมผัสที่เร่าร้อน......การจูบที่รุนแรงแต่ก็ยั่วยวน.......ดำเนินไปช้าๆ ..... จนกระทั่ง
เหมือนแสงแฟลชที่ฉายเข้ามาในสมองรวดเร็ว....ความรู้สึกผิดปกติเกิดขึ้นภายในความคิดของฟ้าลั่น ทำให้สติที่แทบมลายหายไปกับสัมผัสที่อ่อนนุ่มของภูผา กลับมาอีกครั้ง.........การกระทำที่ปราศจากสติหยุดลงอย่างรวดเร็ว....... อารมณ์กระสันมลายหายไปจนสิ้น เหลือแต่ความเหนื่อยและความง่วงหนักเข้าควบคุม พร้อมๆกับภูผาก็ดูเหมือนจะหยุดล่วงล้ำ......ล่วงเกิน...ร่างกายของเขาเช่นกัน อาจเพราะไม่สามารถทนทานต่อความเหนื่อยและความง่วงนอนที่ถาโถมเข้ามาอย่างไร้แรงกายต่อสู้
ทั้งคู่จึงหลับใหล หมดสติ จนกระทั่งเที่ยงวันใหม่ ........วันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ 2542
ฟ้าลั่นรู้สึกว่าตัวถูกเขย่าอย่างแรง ก่อนที่จะลืมตามาเห็นภูผานั่งอยู่บนเตียง เขาสังเกตเห็นใบหน้าแดงกล่ำของภูผา รวมถึงสีหน้าแสดงความตกใจบางอย่างผสมอยู่
“เฮ้ย.....เมื่อคืนเราทำอะไรนายหรือเปล่า” ภูผาถามอย่างระแวง โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะมีสวมเพียงกางเกงในสีขาวตัวเล็กเช่นเดียวกับคนที่กำลังมองมา
“.ก็นายมาจูบ......มากอด.......มาทำมิดีมิร้ายกับเราตั้งนาน” ฟ้าลั่นตอบเล่นๆไป ทั้งๆที่ตนเองก็จำอะไรได้เลือนรางเต็มที เขาจำได้แต่เพียงว่าตนเองก็ดูเหมือนจะตอบสนองต่อการจูบที่อ่อนหวานนั้นเช่นกัน
ความรู้สึกและความจำที่หลงเหลือทำให้ฟ้าลั่นรู้สึกแปลกๆในใจ .....แปลกที่ไม่ได้รังเกียจสัมผัสนั้นเลย......”ทำไมนะ” ฟ้าลั่นตั้งคำถามแก่ตนเอง
“หา..................จริงหรือ” ภูผาตะโกนออกมาอย่างตกใจ
“แล้วใครถอดเสื้อผ้าเราล่ะ......หวังว่าคงไม่ใช่นายนะ” ภูผาถามอีกครั้ง
“จำไม่ได้หรอก” ฟ้าลั่นหันมาตอบ เพราะเขาจำไม่ได้จริงๆ
“โอย.....โอย......ซวย......ซวย.....ซวยจริงๆๆ ไม่น่าเมาเลยเรา” ภูผาบ่นกับตัวเอง
“เราขอโทษด้วยนะ.....ถ้าเราทำอะไรบ้าๆ กับนายไป.....เราไม่ได้ตั้งใจนะฟ้าลั่น” ภูผาบอก ดวงตาของเขาเหมือนจะมีน้ำใสๆเอ่อล้นออกมา ท่าทาง คำพูด และอาการสำนึกผิดของภูผาที่แสดงออกอย่างชัดเจนและจริงใจ ทำให้ฟ้าลั่นต้องเอื้อมมือไปจับร่างบางให้ล้มตัวลงนอนข้างตนเองอีกครั้ง โดยไม่ลืมที่จะโอบกอดภูผาไว้อย่างเต็มใจ
“อืม.....ไม่เป็นไรหรอก........ เราก็ไม่ได้คิดมากอะไรนี่นา....... เรายังรักและเป็นห่วงนายเท่าเดิม....ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร” ฟ้าลั่นเปล่งเสียงนุ่มเข้าข้างหูของภูผา
“ก็เพราะนายเป็นเพื่อนที่เรารักมากงัย.....เราถึงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้......เรากลัวนายจะเกลียดเราน่ะ” ภูผากล่าวทั้งน้ำตา ซุกหน้าลงบนอกแข็งแรงของฟ้าลั่น
“หมอกฟังนะ......ฟังให้ดี......... ถ้าเรารังเกียจนายจริงๆ เราจะนอนกอดนายเหรอ........อย่าคิดมาก.....เราไม่โกรธนายหรอก” ฟ้าลั่นอธิบายอย่างช้าๆ แต่ในดวงใจกำลังเต้นแรง เพราะความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นต่อภูผา....ความรู้สึกที่ตนเองยังไม่สามารถเข้าใจได้
“จริงนะ.......นายไม่โกรธจริงนะ....... เราสัญญาว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นแบบนี้อีก” ภูผาปาดน้ำตาทิ้ง และพูดออกมาอย่างหนักแน่น
“อืม........นอนต่อเถอะ.......แล้วพี่เสือจะมารับหมอกกี่โมง” ฟ้าลั่นรั้งร่างบางเข้าหาตัวอีกครั้ง พร้อมส่งคำถาม
“ห้าโมงเย็นมั้ง..... นายมีนัดกับใครหรือป่าววันนี้”
“มี....ตอนหกโมง.......” ฟ้าลั่นตอบ
“งั้นนอนต่อดีกว่า........ง่วง” ภูผากระซิบบอกฟ้าลั่น ก่อนจะหลับตาลงสู่นิทราอีกครั้ง ภายใต้อ้อมกอดที่คุ้นเคย............
แม้ว่าภูผาจะยังจำไม่ได้......แต่ดูเหมือนหัวใจและจิตใต้สำนึกของเขาจะรับถึงความคุ้นเคยในสัมผัสที่อ่อนโยน..........คล้ายคลึงกับสัมผัสในฝัน........ของชายคนนั้น.......... จนแทบแยกกันไม่ออก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้.........แม้ว่าจะดูเหมือนจะไม่สำคัญอะไร........แต่กลับความหมายกลับแทรกลงไปในหัวใจของทั้งสองคน.......... แทรกลึกลงไปในหัวใจที่ว่างเปล่า........ ก่อให้เกิดความสุขเล็กๆขึ้นกับฟ้าลั่นและภูผาโดยที่ทั้งคู่ไม่สามารถหาเหตุผลได้
นี่แหละกระมัง......จุดเริ่มต้นของความรัก.......มักไม่มีเหตุผลยามที่บังเกิด........คงมีแต่ความสุขเท่านั้นที่จะรับรู้.....แต่ว่า...อนาคตเล่า....สุขจะกลายเป็นทุกข์หรือไม่....ใครจะตอบได้บ้าง .......
หัวใจของทั้งคู่สื่อสารกันอีกครั้ง......ครั้งนี้สำคัญนัก......เพราะมันอาจจะเปลี่ยนความรู้สึกของเพื่อนรัก........ให้กลายเป็นคนรัก........ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม