กรงรัก...พันธนาการใจ(ฉบับรีเมก) : ตอนพิเศษ:(เพิ่มเติม)17/10/57- (นิยายจบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงรัก...พันธนาการใจ(ฉบับรีเมก) : ตอนพิเศษ:(เพิ่มเติม)17/10/57- (นิยายจบแล้วค่ะ)  (อ่าน 95421 ครั้ง)

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



----------------------------------------------

นิยายเก่า ๆ ที่ลงไว้ (จบแล้ว)
คุณตำรวจยอดรัก  ,  คุณอาที่รัก(แนวโชตะ)  , กรงรัก...พันธนาการใจ  , The Eden School  , ดวงใจจ้าวมังกร , ม่านราตรี ,   Miracle Café 
ลิขิตรักอสุรกาย    ,  เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ.    , ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว    , กรงรัก พันธนาการใจ (ฉบับรีเมก)


เรื่องสั้น
คุณพี่...ที่รัก   ,  สัญญา สายใย เชื่อมใจรัก


นิยายที่ยังไม่จบ
-
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2014 19:21:28 โดย Xenon »

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
ชี้แจง::

1.  เรื่องนี้เป็นนิยายที่มีตัวละคร/สถานที่ เป็นญี่ปุ่นทั้งหมดนะคะ

2.  เคยลงที่เล้าแล้ว จบไปแล้ว ในฉบับดั้งเดิม

3.  รื้อมาเขียนใหม่ (ใช้คำว่าเขียนใหม่ค่ะ เพราะแก้ใหม่ 90% ) คาแรกเตอร์หลัก ยังคงนิสัยเดิม แต่พัฒนาให้มีมิติขึ้นกว่าฉบับเก่า และมีเรื่องราวใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากของเก่าค่ะ

4.  ปัจจุบันกำลังเร่งปั่น ยังไม่เสร็จ แต่โปรเจกต์นี้เป็นไฟท์บังคับ จะพยายามให้จบในเดือนสิงหาคมนี้ให้ได้ค่ะ (เลทมาเป็นกันยาแล้วจ้า T^T)

5.  เรื่องนี้ไม่ค่อยจะมีดราม่าหรือตบจูบนะคะ เน้นหวานนิด ๆ ขื่นหน่อย ๆ แต่ส่วนใหญ่จะหวานเฉียบมากกว่า(ช่วงนี้เบาหวานกำเริบค่ะ)

6. มีอะไรเพิ่มเติม แนะนำ ติติงเนื้อหา เชิญตามสบายค่ะ พร้อมน้อมรับฟังทุกคำคอมเมนต์ค่ะ

...............................................................
สารบัญ

บทที่ 1    บทที่ 2        บทที่ 3       บทที่ 4       บทที่ 5       บทที่ 6        บทที่  7        บทที่  8       บทที่ 9       บทที่  10     

บทที่  11    บทที่  12   บทที่  13   บทที่  14   บทที่  15  บทที่  16    บทที่  17    บทที่  18    บทที่  19    บทที่  20    บทที่  21

บทที่  22    บทที่  23    บทที่  24    บทที่  25     บทที่  26(จบ) 


ตอนพิเศษ: ความทรงจำวันวาน (ครึ่งแรก)
ตอนพิเศษ: ความทรงจำวันวาน (ครึ่งหลัง
ตอนพิเศษ: (อากิระ - ทาคุ)
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2014 18:28:23 โดย Xenon »

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4


กรงรัก...พันธนาการใจ
บทที่ 1



   นัยน์ตาคมกริบจับจ้องมองห้องที่ว่างเปล่าไร้เงาผู้คนตรงหน้า และแม้เจ้าตัวจะยังคงนิ่งเฉย แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มนั้นย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกขุ่นเคืองมากสักเพียงใด

   "คงมีใครเตือนพวกมันก่อนหน้าที่พวกเราจะมา...พวกมันเลยไหวตัวหนีได้ทันน่ะครับ"

   ชายหนุ่มใส่สูทผู้มีใบหน้าคมคายดูดีไม่แพ้คนที่กำลังยืนเงียบขรึมอยู่กลางห้อง เอ่ยขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่กำลังอึมครึมในห้องนี้ให้เบาบางลง ทว่าพอได้ฟัง ร่างสูงของชายในวัยยี่สิบต้นก็หันกลับมามองแล้วขมวดคิ้วยุ่งน้อย ๆ

   "นายกำลังจะบอกว่า มีหนอนบ่อนไส้ ในหมู่พวกเราอย่างนั้นหรือ..."

   คนฟังโค้งศีรษะน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ

   "ครับ...เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพลาด...ที่สำคัญครั้งนี้มีแค่พวกผมและทาคุ กับทีมบอดี้การ์ดอีกห้าคนเท่านั้นที่รู้เรื่อง ก็เท่ากับเรามีผู้ต้องสงสัยเจ็ดคนให้สืบค้นเท่านั้น"

   คนฟังเหยียดยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเปรยตามมา

   "ไม่ใช่เจ็ด แต่แค่ห้าต่างหาก ...ฉันเชื่อมั่นว่านายกับทาคุจะไม่มีวันทรยศหักหลังฉันแน่"

   "หึ ๆ คิดเผื่อไว้ก็ดีนะครับท่านริวยะ เพราะโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้...แต่ผมก็ดีใจนะครับที่คุณไว้วางใจในตัวผมเช่นนี้"

   ชายคนเดิมบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชวนยั่วโมโห ทำให้คนฟังต้องสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่เริ่มจางลงกว่าเดิม จนคนที่อยู่ด้วยยิ้มออก สักพักชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างโปร่งบาง แต่แลดูท่าทางคล่องแคล่วทะมัดทะแมง ก็เดินเข้ามาสมทบในห้องด้วย

   "ท่านริวยะครับ ที่ชั้นสามก็ไม่มีทั้งของและคนเหลือเลยครับ ดูจากสภาพในห้อง น่าจะเพิ่งรีบร้อนเก็บของหนีไปก่อนเราจะมาถึงไม่น่าจะนานนักนะครับ"

   "อืม...เพราะครั้งนี้เรารู้สถานที่ก็ออกมาเลยนี่นะ ถ้ามีหนอนบ่อนไส้แฝงอยู่จริง พวกมันก็คงหนีกันไปได้หวุดหวิดพอดู"

   คนฟังพึมพำ ทำให้ชายอีกคนที่อยู่ด้วยเหลือบไปมองชายหนุ่มหน้าสวยผู้มาใหม่ เจ้าตัวยกยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเดินไปหาคนที่เพิ่งเข้ามา ก่อนจะจัดแจงดึงแขนกึ่งจูงกึ่งลากให้อีกฝ่ายออกมานอกห้องด้วยกัน

   "จริงสิทาคุเรื่องนั้นที่เราคุยกัน ตกลงเอาไงดีจะบอกเขาเลยดีไหม"

   คำถามนั้นถูกถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบเพื่อไม่ต้องการให้คนในห้องรู้ตัว ทว่ากับทำให้คนที่ได้ยินขมวดคิ้วยุ่ง

   "ฉันว่าฉันเคยให้คำตอบนายไปก่อนล่วงหน้านั้นแล้วนะอากิระ..."

   "มันก็ใช่! แต่ถ้าไม่เสี่ยงก็คงหาตัวหนอนบ่อนไส้ไม่ได้ นายก็รู้นี่นา"

   อีกฝ่ายสวนตอบทันควัน ทำให้ชายอีกคนเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเถียงโต้กลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

   "ถ้าเป็นฉันหรือนายที่จะเป็นตัวล่อ เรื่องนี้ฉันจะไม่มีวันค้าน แต่ต้องไม่ใช่เขา ...อากิระ นายเป็นที่ปรึกษาที่ดีมากก็จริง แต่เพื่อแผนการของตัวเองแล้ว ต่อให้ต้องมีใครต้องเสี่ยงนายก็ไม่ค่อยแคร์นักหรอก ต่อให้คนเสี่ยงนั้นเป็นเจ้านายของนายก็ตาม จริงไหมล่ะ!"

   คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ พร้อมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจถือสาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

   "หึ ๆ มากไปทาคุ ยังไงสำหรับฉันแล้วท่านริวยะก็สำคัญกับฉันมากเหมือนกันนั่นล่ะ... อีกอย่างฉันก็เคยรับปากเขาไว้แล้วว่า จะทำให้เขาขึ้นไปยืนสู่จุดสูงสุดของนักธุรกิจแถวหน้าให้ได้ ไม่ว่าจะแลกด้วยวิธีไหนก็ตาม... และฉันก็เชื่อมั่นในสายตาตัวเองว่า ฉันเลือกเจ้านายไม่ผิด...คนอย่างท่านริวยะจะต้องยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก และจะไม่มีวันมาดับสิ้นเพราะหนอนกระจอกตัวสองตัวแค่นี้หรอก"

   ทาคุชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้อยากจะโต้เถียงกลับไป แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ที่อีกฝ่ายนั้นพูดก็มีส่วนถูก  เพราะเมื่อ มุราคามิ เซอิจิ  วางมือเมื่อไหร่ ผู้นำตระกูลคนถัดไปก็ต้องเป็น มุราคามิ ริวยะ เจ้านายของพวกเขาคนนี้นั่นเอง

   ในฐานะผู้นำธุรกิจตระกูลใหญ่ ที่มีเครือข่ายมากมายทั้งด้านหน้าและเบื้องหลังของญี่ปุ่น  คนซึ่งเป็นผู้นำนั้นจะต้องมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊อย่างแท้จริง มิใช่จะคอยแต่พึ่งพาความสามารถของลูกน้องไปตลอด และริวยะเองก็ถือว่าเป็นคนที่มีคุณสมบัติในฐานะผู้นำครบถ้วนคนหนึ่ง

   "ฉันละเกลียดนิสัยแบบนี้ของนายจริง ๆ อากิระ...ถ้านายคิดว่าตัวเองเป็นมือขวาและมันสมองของท่านริวยะเขาล่ะก็  ช่วยคิดวิธีที่จะลากหนอนบ่อนไส้ออกมาได้ โดยไม่ทำให้เจ้านายต้องเสี่ยงมากกว่านี้จะดีกว่าไหม!"

   อากิระมองคนที่ใช้สายตาเรียวสวยคมกริบนั่นตวัดใส่ตนก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยรอยยิ้มขำ เขาไม่แปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทโมโหใส่ เพราะอีกฝ่ายนั้นจงรักภักดีกับริวยะเสียยิ่งกว่าลูกน้องคนใดของชายหนุ่มนั่นเอง

   "โดนคุณพี่เลี้ยงโกรธให้อีกแล้วสินะฉัน... อืม..."

   อากิระพึมพำกับตนเอง ก่อนจะลอบยิ้มน้อย ๆ เมื่อเหล่าบอดี้การ์ดทั้งห้าคนที่แยกย้ายไปตรวจตราตามห้องต่าง ๆ มารวมตัวกันตรงหน้าเขา

   "เจออะไรบ้างไหม"

   ชายหนุ่มถามพร้อมกับลอบสังเกตสีหน้าของแต่ละคน ที่ก็ดูเรียบเฉยไร้แววพิรุธให้จับได้

   "พวกเราไม่เจออะไรเลยครับคุณอากิระ พวกมันเล่นเก็บหลักฐานสำคัญหนีไปด้วยกันจนหมด...น่าเจ็บใจจริง ๆ ดูจากสภาพแล้ว พวกมันน่าจะหนีไปก่อนหน้านั้นได้ไม่นานแน่!"

   หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดรายงานด้วยความหงุดหงิด ซึ่งอากิระก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเปรยตามมา

   "ก็ไม่ใช่ว่าครั้งนี้จะมาเสียเที่ยวเสมอไปหรอกน่า..."

   บอดี้การ์ดทั้งห้าคนชะงัก พลางจ้องมองคนสนิทของผู้เป็นเจ้านายนิ่ง เพราะต่างก็อยากรู้ว่าเหตุใดอากิระจึงได้พูดเช่นนั้น

   "...จริง ๆ ครั้งนี้เราก็ค่อนข้างจะโชคดีไม่น้อยเลยล่ะ เพราะฉันกับท่านริวยะรื้อหาจนเจอหลักฐานบางอย่าง ที่จะบ่งชี้ได้ว่าทำไมพวกมันถึงได้หนีไปได้ทันก่อนที่พวกเราจะบุกเข้ามา"

   บอดี้การ์ดทั้งห้าต่างพากันชะงักแล้วสบตากันไปมา ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย

   "หลักฐานหรือครับ...มันคืออะไรหรือครับ"

   "อืม...ฉันก็อยากจะบอกพวกนายหรอกนะ แต่เรื่องนี้ท่านริวยะสั่งห้ามไว้ ว่าไม่ให้ปริปากบอกใครจนกว่าจะพิสูจน์ได้แน่ชัดน่ะ"

   คนฟังแต่ละคนพอได้ยินคำตอบพวกเขาก็พากันขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงพยักหน้าตอบรับในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะสะดุ้งโหยงไปตาม ๆ กัน เมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากใครบางคนที่เดินเงียบ ๆ ออกมาจากห้อง

   "...เรียบร้อยแล้วใช่ไหม ฉันจะได้กลับไปตรวจสอบหลักฐานที่เจอนี่สักที...คราวนี้ล่ะจะได้รู้กันเสียทีว่า ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงได้หนีกันได้หวุดหวิดไปเสียทุกครั้งล่ะนะ...จริงไหม อากิระ"

   อากิระชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มกึ่งขำ ให้กับคนที่ทำสีหน้าเอือมระอา เขามั่นใจว่าริวยะคงได้ยินบทสนทนาของเขาเมื่อครู่นี้ แล้วก็รู้ด้วยตนเองทันทีว่า เขากำลังใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำ โดยใช้ตัวริวยะเป็นเหยื่อล่อนั่นเอง

   "ท่านริวยะครับ ผมว่า..."

   ทาคุเตรียมตัวจะแย้ง หากแต่ก็ถูกอีกฝ่ายยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบลงเสียก่อน ส่วนบอดี้การ์ดทั้งห้าต่างพากันจ้องมองผู้เป็นเจ้านายอย่างนึกสงสัย ว่าหลักฐานที่เจ้าตัวพูดถึงนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งใดกันแน่ 

   "นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันนักหรอกน่าทาคุ ฉันดูแลตัวเองได้...นายกับอากิระ เอาคนของเราแยกกันไปตระเวนตามหาพวกมันแถวนี้สักพัก เผื่อมันจะย้อนกลับมาที่นี่ ...ส่วนฉันจะเอาหลักฐานที่ได้มากลับที่พักคนเดียวเอง..."

   "อ๊ะ! ถ้าอย่างนั้นผมจะตามท่านริวยะกลับไปด้วยกันเองครับ คุณทาคุเองจะได้ไม่ต้องกังวลด้วย รับรองได้เลยว่าผมจะดูแลความปลอดภัยของท่านริวยะด้วยชีวิตตัวเองเลยครับ!" 

   ยังไม่ทันที่ริวยะจะพูดจบดี หัวหน้าบอดี้การ์ดกลุ่มอารักขาก็รีบเสนอตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้อากิระ ริวยะรวมไปถึงทาคุชะงักเล็กน้อย ทว่าทั้งสามก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิมจนไม่มีใครในที่นั้นจับผิดสังเกตได้

   "อืม...ก็ดีเหมือนกันนะครับ มีคุณโกโต้ไปด้วย ผมเองก็ค่อนข้างหมดห่วง....นายว่างั้นไหมทาคุ"

   ทาคุนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ ตามมา ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มอีกคน

   "ระวังตัวด้วยนะครับท่านริวยะ"

   "อืม..."  อีกฝ่ายรับคำสั้น ๆ อย่างไม่มีทีท่าวิตกกังวลแต่อย่างใด ทำให้ทาคุหันไปลอบถอนหายใจ ส่วนอากิระนั้นลอบยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นชะงักเมื่อเจ้านายหนุ่มเดินผ่าน

   "อ๊ะ...เดี๋ยวครับท่านริวยะ"

   "หือ?"

   ริวยะหันกลับมามอง ซึ่งอากิระก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้และจับเนคไทของอีกฝ่ายขยับนิด ๆ

   "เนคไทเบี้ยวน่ะครับ ...เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วครับ"

   "หึ...ขอบใจ"

   ริวยะยกยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก จากนั้นจึงเดินไปต่อโดยไม่หันหลังกลับมองใครจนกระทั่งลับตาของคนที่เหลือ

   "เอาล่ะ ...งั้นพวกเราที่เหลือก็เตรียมตัวสะกดรอยกันเถอะ"

   อากิระหันมาบอกกับคนอื่น ๆ ซึ่งก็พากันงุนงงเมื่อได้ยิน

   "สะกดรอยอะไรหรือครับ"

   หนึ่งในทีมบอดี้การ์ดถามกับชายหนุ่มด้วยความสงสัย ซึ่งอากิระนั้นก็หันมายิ้มให้กับคนถาม แล้วบอกกับเจ้าตัว

   "ก็สะกดรอยตามพวกศัตรูของเรายังไงล่ะ...อ้อ แต่ก็ต้องจับตัวปล่อยข่าวให้ได้คาหนังคาเขาเสียก่อนล่ะนะ"

   ทั้งสี่มีสีหน้างุนงง ซึ่งนั่นก็สร้างความพอใจให้กับคนที่ลอบสังเกตอยู่ยิ่งนัก

   "ถ้าฉันบอกว่า ฉันสงสัยว่าหนอนบ่อนไส้จะซ่อนอยู่ในกลุ่มพวกนายแล้วพวกนายจะว่ายังไงล่ะ"

   คนทั้งสี่ต่างพากันสะดุ้งโหยง แล้วรีบปฏิเสธกันยกใหญ่

   "ไม่ใช่ผมนะครับ! สาบานได้เลย! แล้วก็ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น ผมเชื่อว่าพวกเราทีมบอดี้การ์ดทุกคน ไม่มีใครกล้าทรยศท่านริวยะได้หรอกครับ!"

   ชายคนหนึ่งที่ดูอาวุโสกว่าอีกสามคนพูดขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาจริงจัง ซึ่งอากิระกับทาคุก็สบตากัน แล้วอากิระจึงเป็นฝ่ายพูดเปรยขึ้นแทน

   "พวกนายรู้ไหม ว่าหลักฐานที่ฉันกับท่านริวยะนั้นเจอคืออะไร"

   แต่ละคนพากันสบตาแล้วต่างหันมามองคนถาม ก่อนจะสั่นหน้าไปตาม ๆ กัน

   "หึ ๆ สิ่งที่ฉันเจอนั่น จริง ๆ แล้วก็คือมือถือเครื่องนึงในหมู่เจ้าพวกนั้น ที่ทำตกไว้ระหว่างหนี...และบังเอิญมือถือเครื่องนั้นกลับมีเบอร์ที่แสนคุ้นเคยของใครบางคนที่ฉันรู้จักโชว์อยู่ในเครื่องนั่นเสียได้...พวกนายอยากรู้ไหมล่ะว่า มันเป็นเบอร์ของใคร"

    อากิระเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น และใช้แววตาคมกริบกวาดไปยังคนทั้งสี่ที่พากันกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว ทว่าพวกเขายังคงจ้องมองตอบกลับไปอย่างไม่หวั่นไหวเพื่อแสดงให้ถึงความบริสุทธิ์ใจของพวกตน

   "อืม...ถ้าใครอยากสารภาพผิดก็รีบพูดมาแล้วกัน เพราะถ้าฉันใช้เบอร์ที่ได้กดโทรออก แล้วเกิดเสียงมือถือดังขึ้นที่เครื่องใครล่ะก็...ฉันจะไม่ให้โอกาสกับคนนั้นอีกแล้วล่ะนะ"

   อากิระบอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา เขากวาดสายตามองบอดี้การ์ดแต่ละคนพร้อมกับมือที่กดปุ่มทีละปุ่ม จนกระทั่งค้างนิ้วเอาไว้ที่ปุ่มกดส่ง

   "ฉันจะให้โอกาสอีกครั้ง...ใครที่เป็นหนอนบ่อนไส้ สารภาพมาซะ แล้วฉันจะเว้นโทษตายให้"

   ทั้งสี่คนกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง แต่ก็ต่างยืนนิ่งเงียบกริบ ซึ่งก็ทำให้อากิระนั้นยกยิ้มที่มุมปากแล้วจึงหันไปทางคนที่อยู่ใกล้ ๆ

   "ทาคุ...ฝากด้วยนะ"

   คนหน้าสวยพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ แล้วหยิบปืนขึ้นมาส่องด้านหน้า เหนี่ยวไกรอ ทำเอาทั้งสี่หน้าซีดเผือด แต่ก็ไม่มีใครขยับหรือพูดจาใด ๆ จนกระทั่งอากิระนั้นยกมือถือหันจอให้ทั้งสี่ดู นิ้วที่จ่อรอเตรียมกดที่ปุ่มโทรให้พวกเขาเห็น ทั้งสี่ยืนเหงื่อตกกำมือแน่น และเมื่ออากิระกดปุ่มลงไป พวกเขาก็พากันลุ้นระทึกว่า เสียงโทรศัพท์นั้นจะดังขึ้นที่ใครกันแน่

   "หึ ๆ ลุ้นกันน่าดูเลยเนอะทาคุ..."

   อากิระบอกกับเพื่อนสนิท ซึ่งอีกฝ่ายก็ลดปืนลง แล้วบอกกับทั้งสี่

   "ฉันดีใจนะ ที่ไม่มีคนทรยศในหมู่ของพวกนายทุกคน"

   "อื้อ! ฉันก็ดีใจเหมือนกัน...อ๊ะ รับแล้ว ชู่ว! ทุกคนเงียบ ๆ นะ"

   อากิระใช้นิ้วมือจ่อริมฝีปากในขณะที่เหล่าบอดี้การ์ดกำลังตั้งคำถาม ทำให้ทุกคนชะงักแล้วพากันจ้องมองว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังคุยกับใครกัน

   "ท่านริวยะหรือครับ! ทางผมกับทาคุเคลียร์พื้นที่แถวนี้เรียบร้อยแล้วนะครับ ...ไว้สักพักผมจะตามไปสมทบที่นั่นนะครับ...พอดีได้หลักฐานใหม่เพิ่มเติมด้วย ลองได้ไปรวมกับหลักฐานที่คุณมี คราวนี้ล่ะครับ พวกเราคงจะได้รับคำตอบที่สงสัยกันสักที!"

   คนพูดเน้นเสียงดังฟังชัด และเมื่อริวยะวางสายไป บอดี้การ์ดทั้งสี่ต่างก็จ้องมองคนสนิทของผู้เป็นเจ้านายด้วยสายตาตั้งคำถาม ทำให้อากิระนั้นอมยิ้มนิด ๆ แล้วจึงบอกกับทุกคนตามตรง

   "จริง ๆ แล้วเรื่องเบอร์โทรที่ว่านั่นเป็นเรื่องแต่งขึ้นน่ะ...ฉันก็แค่อยากพิสูจน์ว่าพวกนายจะมีใครเป็นหนอนบ่อนไส้คนที่สองหรือสามหรือทั้งหมดไหมล่ะนะ..."

   ทั้งสี่คนพอได้ยินที่อีกฝ่ายพูดมาก็พากันถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกด้วยความลืมตัว ทว่าสักพักก็มีหนึ่งในนั้นนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ แล้วจึงตัดสินใจถามคนตรงหน้าออกไป

   "เอ่อ...แล้วเรื่องหลักฐานที่ท่านริวยะนำกลับไปด้วยนั่นล่ะครับ เป็นของจริงหรือเป็นเรื่องแต่งขึ้นด้วยหรือเปล่า"

   อากิระหันไปมองคนตั้งคำถาม เขายกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ ก่อนเอ่ยตอบ

   "ถ้าสมมุติว่านั่นเป็นหลักฐานจริง ๆ แล้วตัวนายเป็นสายให้กับศัตรูของพวกเรา...และเกิดหลักฐานนั่นสามารถบ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของนายให้พวกเราได้รับรู้...เป็นนายจะทำยังไงหากท่านริวยะแยกไปพร้อมหลักฐานคนเดียวแบบนั้นน่ะ"

   ทั้งสี่พากันชะงักนิ่ง ก่อนจะตาเบิกค้างตามมา เมื่อนึกถึงอาการร้อนรนผิดเคยของหัวหน้าตนที่อาสาตามผู้เป็นเจ้านายกลับที่พักด้วยกันก่อนหน้านั้น

   "หรือว่าหัวหน้าโกโต้...ไม่จริงน่า...เขารับใช้ท่านริวยะมาตั้งหลายปีเชียวนะ!"

   "หึ...ฉันก็ไม่ได้ฟันธงว่าเขาจะเป็นหนอนบ่อนไส้ตัวจริงเสียหน่อยนี่นะ...และสำหรับเรื่องนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ท่านริวยะได้ตรวจสอบด้วยตัวเขาเองดีกว่า หากคุณโกโต้เป็นหนอนตัวจริง ท่านริวยะก็คงมีวิธีกระชากหน้ากากจอมปลอมที่เสแสร้งทำเป็นจงรักภักดีนั่นออกมาได้เองนั่นล่ะ"

   ทาคุเหลือบมองเพื่อนสนิทอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก ก่อนจะเปรยขึ้นบ้างหลังจากที่อากิระพูดจบ

   "ฉันรู้นะว่าเมื่อครู่นี้นายไม่ได้แค่จะจัดเนคไทของท่านริวยะเฉย ๆ  ถ้านายเตรียมเครื่องมือเอาไว้ล่วงหน้าขนาดนั้น...นายคงจะรับประกันความปลอดภัยของท่านริวยะได้ระดับหนึ่งใช่ไหม"

   อากิระหันมามองเพื่อนของเขา แล้วยักไหล่นิด ๆ แต่ก็ยังคงยิ้มให้อย่างถูกใจที่เห็นทาคุรู้เท่าทันการกระทำของตนได้เช่นเดียวกัน

   "ไม่ต้องห่วงน่า ...ลองเป้าหมายร้อนรนแสดงตัวเองขนาดนี้ อีกเดี๋ยวท่านริวยะก็คงไล่ต้อนให้เผยตัวได้เอง...พวกเราก็ตามไปคอยอารักขาห่าง ๆ ไว้ท่านริวยะให้สัญญาณกลับมาเมื่อไหร่ ค่อยบุกจับตัวหมอนั่นทีหลัง"

 

   อากิระพูดจบก็หันไปนัดแนะกับอีกสี่คน เขาแบ่งทีมบอดี้การ์ดเป็นอย่างละสอง ให้ตามเขาและทาคุไปที่รถยนต์ทีมละคัน ซึ่งบอดี้การ์ดที่แยกไปกับทาคุนั้นเหลือบมองรถที่ขับนำไปก่อน แล้วจึงเอ่ยถามคนหน้าสวยที่นั่งนิ่งเงียบอยู่เบาะหลังด้วยความสงสัย   

   "ดูคุณอากิระจะมั่นใจ ว่าหัวหน้าโกโต้เป็นสายให้เจ้าพวกนั้นมากเลยนะครับคุณทาคุ"

   ทาคุมองสบตาอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลังรถ แล้วจึงเปรยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   "อากิระสงสัยคุณโกโต้มาได้สักพักแล้ว แต่เขาเห็นว่าคุณโกโต้เป็นคนเก่าคนแก่ของท่านริวยะ เลยยังไม่กล้าวู่วามตั้งข้อสงสัยอะไรออกไป...แต่ก็คิดวางแผนจะจับให้มั่นคั้นให้ตายอยู่ตลอด ...จริง ๆ แผนการจู่โจมในวันนี้ ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ดูว่าเขาน่ะคิดถูกไหม...เพราะฉะนั้นเมื่อกลางวันนี้จึงได้มีการเรียกประชุมด่วนเฉพาะทีมของพวกนายเท่านั้นยังไงล่ะ เพราะอากิระเขาไม่แน่ใจว่า คุณโกโต้เป็นสายให้ศัตรูเราคนเดียว หรือมีพวกนายใครคนใดคนหนึ่งร่วมมือด้วยหรือไม่กันแน่"

   คนฟังทั้งสองนิ่งอึ้ง ก่อนจะหลุดพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงหัวหน้าที่ทำงานร่วมกันมาหลายปี

   "แต่ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะครับว่าหัวหน้าโกโต้จะทรยศท่านริวยะได้แบบนี้"

   ทาคุเหลือบมองคนพูดอีกครั้ง แล้วจึงเปรยตอบด้วยใบหน้าเฉยชาดุจเดิม

   "คนเราต่างคนต่างความคิด... แต่ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลอะไร สำหรับฉันแล้ว จะไม่มีที่ยืนในตระกูลมุราคามิ ให้กับคนที่ทรยศท่านริวยะอย่างแน่นอน"

   ท้ายประโยคใบหน้าสวยนั้นยิ่งดูเย็นชาเป็นเท่าตัว จนคนถามถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่น แล้วก็พากันเงียบไป บอดี้การ์ดทั้งสองต่างนึกสยองแทนโกโต้ หากอีกฝ่ายโดนจับได้ และตัวโกโต้นั้นเกิดเป็นสายลับสองหน้าเข้าให้จริง ๆ

   

   ทางด้านริวยะหลังจากวางสายไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ กับมือถือของตน แล้วจึงนั่งนิ่งเฉยโดยทำเป็นไม่ใส่ใจคนขับที่ทำตาหลุกหลิกเหลือบมองตนจากกระจกส่องด้านหลังเป็นระยะ

   "เอ่อ...ท่านริวยะครับ เมื่อครู่นี้คุณอากิระโทรมาว่าได้หลักฐานเพิ่มเติมหรือครับ"

   "หือ...อืม...ก็ประมาณนั้น ไว้ถ้าเขาเอาของที่ว่ามารวมกับของที่ฉันมีทีหลัง คราวนี้พวกเราก็คงจะได้รู้กันสักที ว่าทำไมพวกเราถึงได้พลาดแล้วพลาดอีกแบบนี้เสมอ"

   คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ เจ้าตัวแสร้งทำเป็นยิ้มแล้วเอ่ยตอบกลับไป

   "นั่นสิครับ จะได้รู้สักทีว่าใครเป็นสายคอยรายงานข่าวให้กับเจ้าพวกนั้นสักที"

   ริวยะยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเปรยขึ้นเรียบ ๆ

   "นั่นสินะ...แต่ฉันบอกนายแล้วหรือโกโต้ ว่าฉันสงสัยเรื่องที่ว่าพวกเราอาจจะมีสายของศัตรูแฝงตัวอยู่ในกลุ่มด้วยน่ะ"

   หัวหน้าบอดี้การ์ดสะดุ้งเฮือก ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มแล้วแก้ตัวกลบเกลื่อนทันที

   "ผมเดาเอาน่ะครับ! ก็พวกเราพลาดกันหวุดหวิดบ่อยครั้ง ผมก็เลยคิดว่า งานนี้อาจจะมีสายอยู่ในกลุ่มพวกเราก็เป็นได้"

   ริวยะซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ชายหนุ่มทำเสียงฮึมฮัมในลำคอ แล้วจึงเปรยขึ้นเรียบ ๆ

   "อืม...ที่นายพูดเองก็มีเหตุผลดีนะ ...จริงสิโกโต้ นายคิดว่าในหมู่พวกเรา ใครกันที่จะมีสิทธิ์เป็นสายลับได้มากที่สุดน่ะ"

   บอดี้การ์ดวัยกลางคนสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะเผลอยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของผู้เป็นนาย เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าริวยะนั้นไม่ได้คิดสงสัยในตัวของเขานั่นเอง

   "อืม...ถ้าไม่นับผมกับคุณทาคุที่อยู่กับคุณมานานแล้ว พวกลูกน้องอีกสี่คนของผมก็อาจจะมีสิทธิ์เป็นสายให้ศัตรูได้ทั้งนั้น...เอ่อ...แล้วก็ยังมีอีกคนที่ดูน่าสงสัยเหมือนกัน...แต่ว่า..."

   ริวยะเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงเอ่ยถึงชื่อบางคนที่อีกฝ่ายไม่กล้าพูดถึง

   "นายจะหมายถึงอากิระอย่างนั้นน่ะหรือ...หึ ทำไมถึงคิดว่าหมอนั่นจะเป็นคนทรยศได้ล่ะ"

   โกโต้เหลือบมองสีหน้าของคนพูด เมื่อเห็นว่าริวยะนั้นดูไม่ขุ่นเคือง หนำซ้ำยังดูแย้มยิ้มอารมณ์ดีผิดเคย เจ้าตัวจึงรีบบอกออกไป

   "ก็เพราะคุณอากิระเพิ่งมาอยู่กับท่านริวยะได้แค่สามปี...มิหนำซ้ำเวลาแสดงความเห็นอะไรก็มักจะขัดแย้งกับท่านริวยะอยู่บ่อย ๆ ...บางทีก็หายตัวไประหว่างที่ต้องคอยอารักขาท่าน...ผมว่าเขาก็ดูน่าสงสัยไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวนะครับ"

   ริวยะซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ก่อนจะแสร้งทำเป็นตีหน้าเคร่งขรึมแทน

   "อาจจะเป็นอากิระก็ได้อย่างนั้นหรือ...แต่ถ้าเป็นเขา ทำไมเขาถึงต้องรายงานเรื่องหลักฐานอีกชิ้นให้ฉันรู้เมื่อครู่ด้วยล่ะ"

   คนขับรถชะงักเจ้าตัวมีสีหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะรีบเอ่ยตามมาอย่างร้อนรน

   "ผมว่าเขาอาจจะใช้อุบายหลอกท่านว่าเจอหลักฐานอีกชิ้น เพื่อจะให้ท่านนำหลักฐานที่ท่านมีมอบให้เขา แล้วจะได้นำมันไปทำลายในภายหลังก็ได้นะครับ"

   ริวยะเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงทำเสียงฮึมฮัมในลำคอเบา ๆ

   "อืม...มันก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเอาหลักฐานที่ว่าเก็บไว้กับตัวก่อน...แล้วพรุ่งนี้ฉันจะเรียกประชุมพรรคพวกของเราทั้งหมด...จากนั้นฉันก็จะโชว์หลักฐานที่ได้มา แล้วให้ทุกคนช่วยกันวิเคราะห์ ...ฉันเชื่อว่า ด้วยศักยภาพของหัวหน้าสาขาแต่ละแห่งขององค์กรเรา รับรองว่าจะต้องลากตัวคนร้ายออกมาได้ภายในวันนั้นเป็นแน่"

   คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ เจ้าตัวเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด

   "เอ่อ...ท่านริวยะครับ ถ้ายังไงผมขอดูหลักฐานที่ว่านั่นสักหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าหลักฐานอะไรกัน ถึงสามารถมัดตัวสายของเราได้แน่นอนเช่นนั้น"

   ริวยะยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยตอบอีกฝ่าย

   "ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ไว้ใจนายหรอกนะโกโต้...แต่ขนาดมือขวาของฉันอย่างอากิระ ก็ยังมีสิทธิ์เป็นผู้ต้องสงสัยได้...ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะเก็บมันเอาไว้กับตัวจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้นั่นล่ะ  อ้อ...นายไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันรับรองว่า มันจะใช้มัดตัวหนอนบ่อนไส้ตัวนี้ให้ดิ้นไม่หลุดได้แน่... หึ ๆ"

   หัวหน้าบอดี้การ์ดวัยกลางคนนิ่งเงียบรับฟัง แต่ก็ยังเผลอกลืนน้ำลายลงคอ และมือสั่นให้คนนั่งด้านหลังสังเกตเห็นได้ ยิ่งขับรถมาใกล้เขตคฤหาสนต์ส่วนตัวของริวยะ โกโต้ก็ยิ่งมีเหงื่อซึมตามใบหน้าให้เห็น จนกระทั่งในที่สุด เจ้าตัวก็ตัดสินใจเลี้ยวไปทางฝั่งตรงข้าม แล้วขับห่างออกไป

   "หือ...ผิดทางแล้วไม่ใช่หรือโกโต้ แยกเมื่อครู่ต้องเลี้ยวขวาไม่ใช่หรือ"

   "เอ่อ...ครับ แต่ทางซ้ายเป็นทางลัดน่ะครับ พอดีผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง"

   โกโต้แก้ตัวกลับไป ซึ่งริวยะก็ยักไหล่ แล้วจึงเปรยตอบเนือย ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก

   "อืม...อย่างนั้นหรอกหรือ งั้นก็แล้วแต่นายจะพาไปแล้วกัน ถ้าใกล้กว่าเดิมก็ยิ่งดี ฉันจะได้เอาเจ้าหลักฐานของร้อนนี่ไปเก็บไว้ในเซฟที่ห้องนอนฉัน ...เพราะที่นั่นมันปลอดภัยที่สุดในบ้าน นายว่าจริงไหม"

   โกโต้ฝืนยิ้มตอบผ่านกระจกมองหลังรถ เจ้าตัวยิ่งเครียดหนัก เพราะหากหลักฐานถูกเก็บไว้ในนั้น ก็ย่อมไม่มีใครเข้าไปเอาได้ นอกจากตัวริวยะเองเท่านั้น

   "นี่โกโต้...ดูเหมือนทางลัดของนายกำลังจะพาฉันออกห่างจากบ้านตัวเองไปมากกว่านะนั่น"

   ริวยะมองป้ายบอกทางบนถนนที่แสดงให้เห็นว่ากำลังมุ่งไปคนละทิศกับบ้านพักของตนแล้วเอ่ยทักขึ้นมาเสียงเรียบ ทำให้โกโต้ชะงักก่อนจะรีบหันกลับไปแก้ตัว

   "มะ..มันเป็นทางลัดจริง ๆ นะครับ...อ๊ะ! เหวอ!"

   บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ร้องเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ รถยนต์สีดำคันหนึ่งก็แล่นมาปราดหน้าของตน  ซึ่งคนที่นั่งเบาะหลังในรถคันนั้นก็รีบเปิดประตูลงมายืน พร้อมกับจ้องปืนมายังรถคันที่ริวยะนั่งอยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

   "รู้สึกว่าคุณจะขับรถออกนอกเส้นทางไปหน่อยนะคุณโกโต้..."

   "คุณอากิระ! ...พวกนาย!"

   โกโต้หลุดโพล่งออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลูกน้องกับอากิระลงมาถือปืนจ้องใส่เขา เหลือบไปมองริวยะก็เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างน่าประหลาดใจ

   "หรือว่าท่านกับพวกนั้นรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว!"

   โกโต้ชะงักก่อนจะคิดขึ้นได้ เจ้าตัวกัดฟันกรอดพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาแล้วยกจ่อไปที่หน้าของริวยะที่นั่งอยู่ด้านหลัง

   "อย่าเข้ามานะโว้ย! ไม่งั้นฉันยิงเขาหัวกระจุยแน่!"

   โกโต้ตะโกนบอกกับคนนอกรถ ทำให้อากิระและอีกสองคนชะงัก อาศัยจังหวะที่คนบนถนนเผลอ บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ก็ถอยรถไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะหักเลี้ยวรถแล้วขับหายเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แถวนั้นแทน เพราะตรงถนนใหญ่มีรถของพวกอากิระจอดขวางอยู่  และนั่นก็ทำให้ทาคุซึ่งอยู่ในรถอีกคันและขับตามไล่หลังมาเห็นภาพนั้นพอดี ถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิดแกมโมโห แต่ก็ยังคงสั่งให้คนขับตามจี้ติดรถของริวยะไปในทันที


...
...

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
..
..

   ริวยะมองคนขับที่จ่อปืนมายังเขา ด้วยท่าทางที่ยังคงใจเย็น โกโต้นั้นขับรถเลี้ยวเข้าซอยเล็กซอยน้อย อย่างสะเปะสะปะ ก่อนเจ้าตัวจะสบถกับตัวเองเมื่อด้านหน้าซอยที่เลี้ยวเข้ามาเป็นซอยตัน

   "จะถอยกลับไปซอยเมื่อครู่ไหมล่ะ ...ถ้าทันล่ะนะ"

   ริวยะเปรยขึ้นพร้อมยิ้มเยาะ เขาเหลือบมองดูกระจกด้านข้างก็เห็นว่ามีรถเก๋งสีดำสามสี่คันมาจอดขวาง พร้อมกับคนของเขาที่คงถูกอากิระหรือไม่ก็ทาคุเรียกมา ดักปิดซอยเอาไว้ชนิดที่อีกฝ่ายหมดทางหนี

   "หนอย...ฉันไม่ยอมตายคนเดียวหรอก...ฉันจะเอาแกเป็นตัวประกันหนีไปด้วย!"

   โกโต้กัดฟันกรอด ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าตัวจะเหนี่ยวไกปืน เพื่อหมายจะยิงคนนั่งหลังให้บาดเจ็บ ริวยะก็เบี่ยงหลบและใช้สันมือสับข้อมือของอีกฝ่ายจนปืนหล่น ชายหนุ่มรับปืนที่ร่วงลงมาถือไว้ แล้วกลับกลายเป็นฝ่ายคุมเกม โดยการใช้ปืนจ่อที่ศีรษะของคนขับแทน

   "ทั้งที่ฉันเองก็พอจะระแคะระคายเรื่องที่แกทรยศจากอากิระอยู่บ้าง...แต่ฉันก็ยังคงให้โอกาสแกในฐานะคนเก่าแก่อยู่เสมอ...ทำไมล่ะโกโต้ ฉันให้แกกินไม่อิ่ม จนต้องไปขอเศษทานจากไอ้พวกศัตรูของเราอย่างนั้นเชียวรึ!"

   บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่กัดฟันกรอด อยู่ในสภาพนี้ยังไงเห็นทีเขาก็คงหนีไม่รอดแน่แท้ เจ้าตัวจึงโพล่งความในใจของตนตอบโต้ออกมาอย่างเหลืออด

   "หึ! ใช่! แกให้ฉันกินอิ่ม มีที่พักคุ้มกะลาหัว ก็แล้วไงล่ะ! ฉันทำงานเสี่ยงตายมาเพื่อแกเป็นสิบปี แต่กับได้ความดีความชอบแค่เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดกระจอก ๆ เท่านั้น! แต่ไอ้อากิระ มันเข้ามาทำงานกับแกแค่สามปี แต่กลับได้ความไว้เนื้อเชื่อใจ ถูกแต่งตั้งเป็นมือขวาของแก แถมยังมีอำนาจในองค์กรเหนือกว่าพวกหัวหน้าสาขาแต่ละแห่งเสียอีก! แล้วแบบนี้ฉันจะจงรักภักดีแกไปเพื่ออะไร! สู้ฉันไปเข้าฝ่ายคนที่จะให้ตำแหน่งและอำนาจฉันยิ่งกว่านี้ ไม่ดีกว่าหรือไง หา!"

   ริวยะเงียบรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเมื่อฟังจบชายหนุ่มจึงหัวเราะหยัน ๆ ในลำคอ แล้วจึงเอ่ยตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

   "หึ...น่าผิดหวังจริง ๆ ที่ฉันไว้ใจให้ตำแหน่งหัวหน้าบอดี้การ์ดกับแก ทั้งที่จะว่ากันตามตรงแล้ว ลูกน้องในทีมแกทั้งสี่คนนั่น มีทั้งฝีมือ ทักษะ และความจงรักภักดีกับองค์กร เหนือกว่าแกแทบทั้งนั้น... ที่แกได้เป็นหัวหน้า มันเป็นเพราะแกทำงานกับฉันมานานต่างหาก ...แต่แกทำให้ฉันมั่นใจแล้วล่ะว่า  ระบบอาวุโส หรือเรื่องของความเกรงใจ มันไม่ควรนำมาใช้ในองค์กรของเราอีกต่อไป ...หลังจากฉันสืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากพ่อของฉันแล้ว ...คนมีฝีมือและความสามารถเท่านั้น ถึงจะเป็นใหญ่ได้!"

   โกโต้กัดฟันกรอด แล้วกระชากเสียงถาม

   "แกจะบอกว่าที่ฉันได้เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดมันเป็นเพราะแกรู้สึกสงสารฉัน ถึงได้ตั้งฉันให้เป็นอย่างนั้นหรือไง!"

   ริวยะยกยิ้มมุมปากนิด ๆ แล้วจึงตอบย้อนกลับไป

   "ใช่...ดูเหมือนจะเพิ่งเริ่มฉลาดได้สินะ"

   บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่กัดฟันแน่นยิ่งขึ้นด้วยความโมโห ยิ่งเห็นคนของริวยะขยับเข้ามาใกล้รถ เขาก็ยิ่งได้คิดว่าตนคงหมดทางรอดแน่แท้ แต่หากเขายอมให้คนของริวยะจับตัวได้  แม้จะจบด้วยความตายเช่นกัน แต่ก็คงเป็นความตายที่แสนจะทรมานอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เป็นแน่

   "แก...ไอ้ริวยะ! ถ้าฉันต้องตาย ฉันก็ไม่ขอไปคนเดียวหรอกโว้ย!"

   โกโต้บอกพร้อมกับเหยียบคันเร่งจนมิด ทำให้ริวยะที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะบ้าเลือดเลือกฆ่าตัวตายเช่นนี้ต้องรีบย่อตัวหลบหลังเบาะและก้มให้ราบไปกับพื้นที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตน ส่วนพวกที่อยู่ด้านนอกถึงกับตกตะลึงนิ่งอึ้ง มีเพียงทาคุกับอากิระที่ตั้งสติได้ ต่างรีบระดมยิงล้อรถให้ยางแตกเพื่อชะลอความเร็วของการพุ่งชนกำแพงของรถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่

   โครม!!

   เสียงรถที่เสียหลักอัดไปกับกำแพงปูนของบ้านหลังสุดซอย จนกำแพงบ้านนั้นพังทลาย  ด้านหน้ารถสภาพบู้บี้ ส่วนคนขับนั้นตายคาที่ ริวยะกัดฟันถีบประตูรถที่จวนเจียนพังออกมา  ก่อนจะชะงักเมื่อพอเท้าก้าวลงมาเหยียบสนามหญ้า ด้านหน้าของเขานั้นกลับมีเจ้าของบ้านตัวน้อยกำลังยืนจ้องอยู่อย่างตกใจ

   "พี่ชาย...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ"

   เด็กชายตัวเล็ก ผิวขาว หน้าตาน่ารัก วัยไม่น่าจะเกินสิบปี วิ่งออกมาจากบ้านเพราะเสียงดังลั่น เจ้าตัวยามนี้กำลังยืนจ้องมองรถยนต์ที่แล่นชนกำแพงบ้านของตนพัง จนหลุดเข้ามาถึงสนามหน้าบ้าน ด้วยความตกตะลึง แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ คนในรถนั่นกลับก้าวเดินลงมาด้วยสภาพที่ไม่ค่อยจะมีร่องรอยอาการบาดเจ็บใด ๆ นอกจากรอยขีดข่วนจากเศษกระจกรถที่กระเด็นมาโดนตามตัวบ้างเล็กน้อย

   "...บ้านหลังนี้เป็นบ้านของเธอหรือเจ้าหนู"

   ริวยะถามพร้อมกับสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น ก่อนจะนิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าบริเวณซี่โครงของตนนั้นจะเจ็บแปลบขึ้นมานิด ๆ ทว่าเขาก็ต้องถึงกับนิ่งอึ้ง เมื่อคนตัวเล็กเดินมาใกล้ แล้วจับปลายเสื้อสูทของเขาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง

   "พี่ชายเจ็บหรือครับ...ผมไปเอายามาทาให้ดีไหม"

   น้ำเสียง สีหน้าและแววตา อันแสดงถึงความห่วงใยจากใจจริง ทำให้ริวยะถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วจึงเผลอหลุดรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้อีกฝ่าย

   "ฉันไม่เป็นไรมากหรอก...ขอบใจที่เป็นห่วง"

   พอได้ยินดังนั้นและเห็นอาการยืดตัวยืนนิ่งด้วยท่วงท่าสง่างาม ก็ทำให้คนตัวเล็กยิ้มออก ก่อนจะสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นคนแต่งสูทดำถือปืนท่าทางน่ากลัวหลายคนวิ่งกรูเข้ามาตรงจุดที่พวกเขายืนอยู่

   "เก็บปืนไปเถอะ หมอนั่นตายแล้ว"

   ริวยะสั่งแต่ละคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งบรรดาลูกน้องของเขาต่างก็ชะงักแล้วรีบทำตามคำสั่ง มีบางคนไปยืนยันสภาพของโกโต้ให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นตายจริง ส่วนทาคุกับอากิระที่ตามมาทีหลังสำรวจดูสภาพของผู้เป็นนาย แล้วเป็นทาคุที่นิ่วหน้าด้วยความกังวล

   "ไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจอีกทีดีกว่านะครับ ท่านริวยะ"

   "อือ...เอางั้นก็ได้...ถ้าอย่างนั้นฉันไปล่ะนะเจ้าหนู ส่วนเรื่องกำแพงบ้านของเธอ จะส่งคนมาซ่อมให้ทีหลัง"

   ทั้งทาคุ อากิระ รวมไปถึงบอดี้การ์ดคนอื่นของชายหนุ่ม ต่างพากันชะงัก เมื่อเห็นผู้เป็นนายยิ้มน้อย ๆ ให้กับเด็กชายน่ารักคนนั้น ทั้งที่ปกติแล้วริวยะแทบจะไม่มีนิสัยรักเด็ก มิหนำซ้ำยังแสดงออกว่าเจ้าตัวค่อนข้างรำคาญเด็กไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโตอยู่เป็นประจำ



   ฝ่ายตัวเด็กน้อยเอง เจ้าตัวออกมายืนชะเง้อมองคนที่นั่งรถจากไปด้วยความสนอกสนใจ ซึ่งพวกเพื่อนบ้านของเขา ต่างก็พากันทยอยออกมาจากบ้าน ทว่าแต่ละคนก็มีท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อได้เห็นคนใส่สูทดำ แว่นตาดำสี่คน ยืนเฝ้ารถยนต์ที่มีศพของโกโต้ ตามคำสั่งของผู้เป็นนายก่อนหน้านั้น

   "หนูยูคิจ๊ะ หนูยูคิ มาหาป้าหน่อยสิ"

   หญิงวัยกลางคนที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามกวักมือเรียกเด็กชายตัวน้อยให้มาหาตน ซึ่งเจ้าตัวก็หันมามองแล้วเดินตรงไปหาเพื่อนบ้านสูงวัยอย่างว่าง่าย

   "มีอะไรหรือครับคุณป้า"

   "ป้าอยากรู้น่ะจ้ะว่า พวกคนชุดดำนั่นเป็นใคร หนูยูคิรู้จักพวกนั้นไหมจ๊ะ"

   หญิงวัยกลางคนถามต่อ ซึ่งพอได้ยินเด็กชายก็สั่นศีรษะแล้วตอบไปตามตรง

   "ไม่รู้จักเลยครับ...แต่เห็นคนที่ลงมาจากรถบอกว่าเดี๋ยวจะให้คนมาซ่อมกำแพงบ้านให้น่ะครับ"

   ต่างคนที่มารุมฟังเด็กชายเล่า พากันจับกลุ่มซุบซิบ ทว่าแต่ละคนก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อหนึ่งในนั้นกระแอมดัง ๆ แล้วทำท่าขยับสูทให้เห็นปืนที่เหน็บไว้ที่เอว สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่จับกลุ่มกันอยู่ และต่างพากันแยกย้ายกลับเข้าบ้าน ซึ่งหญิงวัยกลางคนเองก็จูงมือเด็กชายให้ไปอยู่บ้านของเธอก่อน เพราะรู้สึกไม่ไว้ใจคนพวกนั้นเท่าใดนัก

   "มาอยู่บ้านป้าก่อนเถอะจ้ะ ไว้คุณมาซายะพ่อของหนูกลับมา แล้วค่อยกลับบ้านดีกว่านะ พวกนั้นไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่นักหรอก"

   ยูคิเหลือบมองคนในชุดดำที่อยู่ในสวนบ้านเขา แล้วก็อดคิดถึงคนที่เพิ่งจากไปไม่ได้ เด็กชายเดินตามหญิงวัยกลางคนเข้าบ้านไป และพอสักพัก เขาก็เห็นรถยกเลี้ยวเข้ามาในซอย ลากรถคันที่พังยับเยินนั่นออกไปจากบ้านของเขา  จากนั้นอีกพักใหญ่ ก็มีช่างปูนพร้อมรถขนอุปกรณ์ก่อสร้างเข้ามาซ่อมแซมกำแพงบ้านของเขา จนมันกลับสู่สภาพเดิมก่อนพ่อของเขาจะกลับมาถึงบ้านด้วยซ้ำ

   และเมื่อมาซายะบิดาของยูคิ กลับมาถึงบ้านพัก เจ้าตัวก็ต้องหน้าซีดเผือด เมื่อเพื่อนบ้านรุมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง หากแต่พอกลับเข้ามาในบ้านพัก ลูกชายของเขากลับเล่าด้วยสีหน้าที่แตกต่างจากเพื่อนบ้านของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

   "พี่ชายคนนั้นลงมาจากรถที่พังยับนั่นโดยไม่บาดเจ็บอะไรด้วยนะครับคุณพ่อ แถมยังดูเท่มาก ๆ แล้วพี่เขาบอกว่าจะซ่อมกำแพงบ้านเราให้ จากนั้นพอพี่เขากลับไปไม่นาน ก็มีคนมาเอารถออกไป แล้วซ่อมกำแพงบ้านเราให้เรียบร้อย ...ส่วนเรื่องสีเห็นว่าไว้ปูนแห้งจะตามมาทาให้ใหม่อีกทีด้วยนะครับ"

   ชายหนุ่มนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินในสิ่งที่ลูกชายเล่า เพราะเมื่อครู่นี้บรรดาชาวบ้านต่างบอกเขาว่า พวกที่ขับรถชนบ้านเขามากันเยอะแยะมากมาย แถมแต่ละคนยังแต่งตัวคล้ายกับพวกยากูซ่า แล้วยังเอาปืนพกออกมาข่มขู่พวกเขา และบางคนยังบอกอีกว่า บางทีพวกนั้นอาจจะเป็นพวกที่แค้นเรื่องที่ถูกเขาซึ่งมีอาชีพนักข่าวเปิดโปงเอา ก็เลยมาแก้แค้นถึงบ้านก็เป็นได้

   "ให้ตายเถอะ...คนแถวนี้นี่ช่างปั้นเรื่องตอกไข่ใส่สี เสียจนนักข่าวอย่างเรายังสู้ไม่ได้เลยแฮะ"

   ชายหนุ่มพึมพำ หากแต่ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเพื่อนบ้านโกหกทั้งหมด แต่เท่าที่ฟังจากลูกชายของตน ก็ทำให้เขามั่นใจว่า พวกที่มาบ้านของเขา คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกแก๊งยากูซ่าที่เขาเคยติดตามทำข่าว แล้วตามมาขู่ล้างแค้นอะไรอย่างที่บางคนบอกเป็นแน่

   "คราวหน้าถ้าเกิดเรื่องขึ้นอีก ยูคิอย่าออกมาหาคนแปลกหน้าคนเดียวแบบครั้งนี้รู้ไหมลูก...สัญญากับพ่อนะ"

   ใบหน้าหวานน่ารักคล้ายเด็กหญิงนั่นพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ สร้างความพึงพอใจให้กับชายหนุ่มเป็นยิ่งนัก เขาลูบศีรษะลูกชายคนเดียวอย่างรักใคร่ ก่อนจะเหลือบไปมองภาพถ่ายของภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วหลังตู้โชว์ พร้อมกับหลุดถอนหายใจเบา ๆ

   "เซรินะ...ผมจะพยายามเลี้ยงลูกให้โตขึ้นเป็นคนดี เหมือนกับคุณ และก็คุณพ่อของคุณให้ได้เลยนะ ผมสัญญา"

   มาซายะพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปมองลูกชายที่ช่วยเขายกกับข้าวที่ซื้อมาไปไว้ในครัว ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองน้อย ๆ ก่อนจะเดินตามลูกชายเข้าไปที่ครัว แล้วลงมือทำอาหารมื้อเย็นกินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย ดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา



....  TBC .....


ช่วงที่ยังตามไม่ทันต้นฉบับที่เขียนไว้ จะลงแบบวันละตอน แต่ถ้าทันแล้ว จะพยายามลงวันเว้นวันนะคะ ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องพยายามปั่นไม่ทิ้งดอง ไม่งั้นคงติดเป็นนิสัยเสีย ๆ ดองไม่เลิกเป็นแน่ ...เฮ้อ

ใครเคยอ่านทั้งสองฉบับ ก็มาเปรียบเทียบเล่าสู่กันฟังได้นะคะ  ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ^^

ออฟไลน์ Der Adler

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +126/-0
ติดตามตั้งเเต่เวอร์ชั่นจนมาถึงรีเมกคร้าาาาา
เวอร์ชั่นนี้  มีเรื่องราวมากกว่าเวอร์ชั่นแรกนะ
แต่พระเอกเราออกลายตั้งเเรกเลยเนอะ(สายตาเเละรอยยิ้มประกาศความเป็นเจ้าของ....อิอิ) :hao6: :mew5:

ออฟไลน์ leknoey

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-2
จำได้ว่าเวอร์ชั่นเก่าเราติดมากกก แต่จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ว่าสนุกมากก o13

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

บทที่ 2


   ร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มที่ดูตัวเล็กไม่สมวัยสิบหกปีที่เจ้าตัวมี กำลังหยุดยืนจด ๆ จ้อง ๆ มองสินค้าตรงหน้าอยู่พักใหญ่  เด็กหนุ่มควักกระเป๋าออกมานับเงินที่มีอยู่ในนั้น  ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

   "คงได้แค่ผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ แทนเสียแล้วล่ะมั้งเรา"

   ยูคิพึมพำกับตัวเอง แต่ก็อดอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ เพราะผ้าขนหนูตรงหน้านั้นแม้จะราคาแพงสำหรับเขาไปสักนิด แต่ก็มีสัมผัสนุ่มสมกับราคาของมันเลยทีเดียว

   "เอาผืนนี้ครับ ...เอ่อ ช่วยห่อของขวัญให้ด้วยนะครับ"

   "ได้ค่ะ ของขวัญให้ใครคะเนี่ย แฟนหรือคะ"

   เพราะว่าช่วงนี้ใกล้กับช่วงเทศกาลคริสต์มาส พนักงานสาวจึงคาดเดาไปว่า เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวนี้ก็คงน่าจะมาหาซื้อของขวัญให้คู่รักของตนเสียมากกว่า ทว่านั่นก็ทำให้คนเป็นลูกค้าสะดุ้ง หน้าแดงนิด ๆ แล้วรีบบอกไป

   "เปล่าครับ เอ่อ...คือผมซื้อให้พ่อน่ะครับ"

   คนรับฟังร้องอุ้ยเบา ๆ แล้วจึงรีบขอโทษอีกฝ่าย ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ถือสา และเมื่อชำระเงินพร้อมห่อของใส่ถุงเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวจึงเดินออกจากร้าน แล้วตรงกลับบ้านพักของตนต่ออย่างอารมณ์ดี

   

   ยูคิเดินเลี้ยวเข้ามาในซอยอันเป็นที่ตั้งของอพาร์ทเมนท์ราคาย่อมเยา สำหรับบรรดาคนหาเช้ากินค่ำ และปัจจุบันที่นี่ก็คือที่พักของเขาและบิดา เนื่องจากเขานั้นสอบเข้าโรงเรียนมัธยมมีชื่อแห่งหนึ่งได้สำเร็จ มาซายะผู้เป็นบิดาจึงได้ตัดสินใจขายบ้านหลังเก่าแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ ซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนของเขามากกว่า ส่วนเงินก้อนที่เหลือจากขายบ้านได้ ชายหนุ่มตั้งใจเก็บไว้เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาส่งเขาเรียนให้ถึงมหาวิทยาลัยนั่นเอง

   รถยนต์คันหรูสีดำที่แล่นผ่าน ทำให้คนที่กำลังเดินคิดอะไรเพลิน ๆ เผลอมองตาม ก่อนจะชะงักแล้วสั่นศีรษะไปมา เพราะดันเผลอติดพฤติกรรมในตอนเด็ก ที่เอาแต่คอยเฝ้ามองว่า คนที่เขาเคยประทับใจในสมัยเด็ก อาจจะแล่นรถผ่านมา แล้วปรากฏกายให้เขาได้เห็นอีกครั้งก็เป็นได้

   "บ้าจริงแฮะเรา คนนั้นหน้าตาเป็นไง ยังจำไม่ได้แท้ ๆ เลยด้วยซ้ำ"

   เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง ก่อนจะสะดุ้งโหยง เมื่อรถยนต์สีขาวอีกคัน พุ่งปราดมาในซอยจนเกือบเฉี่ยวเขา  รถยนต์คันสีขาวที่มาใหม่ เลี้ยวไปประกบคันสีดำเมื่อครู่  ยูคิเห็นกระจกรถคันสีขาวนั้นลดบานกระจกลง พร้อมกับมือของใครบางคนที่ถือปืนยื่นมา เสียงดังเปรี้ยงทำให้เขาสะดุ้งเฮือก มองไปเห็นรถคันสีดำพยายามขับแฉลบออกห่าง แต่รถอีกคันก็ตามไปประกบยิง จนรถคันสีดำจอดสนิทแน่นิ่งไป จากนั้นรถยนต์คันสีขาวก็จอดหยุดรถบ้างเช่นเดียวกัน

   ยูคิที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นชายคนหนึ่งถือปืนลงมาจากรถของผู้จู่โจม เดินเข้าไปเปิดประตูหน้ารถสีดำคันนั้นออกมา ทว่าเสียงดังเปรี้ยงลั่นที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับเบิกตาโพลง เมื่อมือปืนที่หมายจะสังหารเหยื่อ กลับเป็นฝ่ายโดนยิงกลางแสกหน้าล้มตึงลงไปนอนกับพื้นถนน ทำเอาอีกสองคนที่เหลือบนรถต้องรีบคว้าปืนเปิดประตูรถออกมายิงสวนใส่ จนคนละแวกนั้นพากันแตกตื่น ทว่าด้วยความหวาดกลัวในการถูกลูกหลง จึงทำให้ไม่มีใครออกมาโผล่หน้าบนท้องถนนให้ได้เห็นสักคน

   สุดท้ายเมื่อเสียงปืนสิ้นสุดลง ยูคิก็เห็นชายจากรถสีขาวอีกสองคนลงไปนอนกองจมกองเลือดแถวนั้น  เด็กหนุ่มมองตรงไปเบื้องหน้า ก็ได้เห็นร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำเดินเซออกมาห่างจากรถทั้งสองคัน และยังไม่ทันที่ยูคิจะคิดได้ว่าเจ้าตัวจะทำอะไรต่อ เด็กหนุ่มก็เห็นชายคนนั้นยิงปืนไปที่ตัวถังรถ ก่อนจะหยิบไฟแช็คขึ้นมาพลางจุดมันแล้วโยนไฟแช็คนั่นเข้าไป

   เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ทำให้ยูคิต้องหมอบลงไปกับพื้นด้วยความตกใจ และพอเขาเงยหน้ามอง ก็เห็นไฟกำลังลุกโหมท่วมรถทั้งสองคัน ส่วนชายในสูทดำคนนั้นก็เดินลากเท้าช้า ๆ ตรงมายังที่ซึ่งเขายืนอยู่ ยูคิยืนนิ่งอึ้ง เนื้อตัวสั่นเทาอยู่กับที่ จนอีกฝ่ายเดินมาถึง

   "ลืมเรื่องที่เธอเห็นไปเสียให้หมด...ถ้ายังไม่อยากเดือดร้อน"

   น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นขณะที่ร่างสูงเดินผ่าน ยูคิขนลุกซู่ เสียวสันหลังวาบ ด้วยความหวาดกลัว ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดโชยออกมาจากคนที่กำลังเดินผ่านเขาไปอย่างช้า ๆ

   "เดี๋ยวครับ...คุณบาดเจ็บไม่ใช่หรือ..."

   ร่างสูงชะงักฝีเท้าเมื่อมือของอีกฝ่ายดึงชายเสื้อสูทของตนเอาไว้ เขาหันกลับมามองแล้วก็ต้องเห็นแววตาใสซื่อที่กำลังสั่นระริกด้วยความกลัวระคนลังเล 

   "ฉันไม่เป็นอะไรมาก..."

   คนตัวสูงกว่าบอกออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็ยังคงจับจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มนิ่งอยู่เช่นนั้น จนคนถูกมองเริ่มรู้สึกตัว

   "หรือครับ...ถ้าอย่างนั้น...อ๊ะ! นั่นเลือด..."

   ยูคิที่หลุบตาหลบลงมาเพราะไม่กล้าสบสายตาคมกริบคู่นั้น ต้องสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อเห็นเลือดแดงฉานไหลซึมออกมาจนเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในที่อีกฝ่ายสวมอยู่

   "เลือดเต็มเลย...คุณบาดเจ็บนี่ครับ"

   มือเล็กเอื้อมไปแตะที่รอยเลือดซึ่งกำลังขยายวงกว้างแผ่วเบาอย่างลืมตัว ทว่าคนที่บาดเจ็บนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับบาดแผลของตนเท่าใดนัก

   "ถูกยิงถาก ๆ น่ะ ...ไม่ใช่แผลใหญ่นักหรอก"

   "แต่เลือดออกมาก ต้องไปโรงพยาบาลนะครับ!"

   ยูคิเงยหน้าพร้อมกับแย้งสวนกลับไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วยแววตาคมกริบเช่นเดิม

   "เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น ผมเรียกรถพยาบาลให้ไหมครับ"

   เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับเบือนมองไปทางอื่นอีกครั้ง เขารู้สึกหน้าร้อนวาบ ๆ ไม่กล้าสบตาคู่นั้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

   "ไม่ต้องหรอก เรื่องนั้นฉันติดต่อเองได้ ...อา...สงสัยโทรศัพท์ฉันจะตกอยู่ในรถเสียแล้ว"

   ร่างสูงจับกระเป๋าเสื้อสูทที่อก พร้อมกับพึมพำแผ่วเบา แต่ก็ดูไม่มีท่าทางเป็นกังวลแต่อย่างใด เป็นยูคิเองที่รู้สึกวิตกเมื่อเห็นเลือดของอีกฝ่ายที่ไหลซึมออกมาไม่เลิกนั่น

   "จะใช้โทรศัพท์ผมโทรก็ได้นะ..."

   ยูคิเปิดกระเป๋านักเรียนแล้วหยิบมือถือของตนส่งให้อีกฝ่าย แล้วจึงมองถุงกระดาษที่ใส่ห่อของขวัญที่ตนซื้อมา เด็กหนุ่มเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจฉีกห่อของขวัญที่ห่อมาอย่างสวยงาม หยิบของในนั้นออกมาพร้อมกับเดินตรงไปหาคนที่กำลังยืนพิงกำแพงใช้มือถือโทรหาใครบางคนอยู่ เด็กหนุ่มมองผ้าในมือชั่วครู่ ก่อนจะนำผ้าขนหนูผืนนั้นไปกดเบา ๆ บนตำแหน่งที่มีเลือดสด ๆ ไหลซึมออกมาของอีกฝ่าย

   "เจ็บไหมครับ...อดทนหน่อยนะครับ"

   ยูคิถามขึ้นพร้อมกับมือที่สั่นเทาระหว่างกดปิดบาดแผลของอีกฝ่าย ส่วนร่างสูงนั้นชะงักเล็กน้อย เขาได้เห็นตอนที่เด็กหนุ่มนั้นฉีกกล่องของขวัญ แต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะนำมันมาใช้กับเขาเช่นนี้ 

   "นี่เป็นของขวัญของเธอไม่ใช่หรือ..."

   "ผมว่าจะซื้อให้พ่อน่ะครับ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าพ่อรู้พ่อก็คงเห็นด้วยที่ผมนำมันมาใช้ช่วยคนแบบนี้"

   ยูคิบอกพร้อมกับฝืนยิ้มด้วยใบหน้าซีด ๆ เพราะจะว่าไปแล้วเด็กหนุ่มเองก็ไม่ค่อยจะถูกกับเลือดสักเท่าไหร่นักนั่นเอง ทางด้านชายหนุ่มเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างต่อ หากแต่ปลายสายก็กดรับเสียก่อน ทำให้เขาต้องหันมาให้ความสนใจกับทางคู่สนทนาผ่านโทรศัพท์แทน

   "... อืม...ฉันเอง... ก็ไม่เป็นอะไรมาก ฉันปลอดภัยดี...อา...ไม่สิ ก็มีเจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรอก ...เดี๋ยวนายช่วยส่งคนมารับฉันแถวนี้ด้วยแล้วกัน...."

   ชายหนุ่มบอกสถานที่ซึ่งตนอยู่คร่าว ๆ ให้กับปลายสาย แล้วก็อดเหลือบมองคนที่ช่วยกดแผลให้เขาไม่ได้  ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มน้อย ๆ อย่างลืมตัว เมื่อนึกถึงตอนที่เขาบอกลูกน้องตนเองว่า เขาปลอดภัยดี แต่นั่นกลับทำให้คนตัวเล็กต้องเงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่ง จนเขาต้องบอกปลายสายไปตามตรงว่าตนบาดเจ็บอยู่ อีกฝ่ายถึงยอมก้มหน้าลงไปกดแผลเขาต่อ

   
...
...

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
..
..

   ยูคิยืนนิ่งกดบาดแผลชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่ไม่ถึงสิบนาทีดีนัก เขาก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เมื่อมีรถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดตรงบริเวณที่พวกเขายืนอยู่

   "ไม่ต้องกลัว...เขาเป็นคนของฉันเอง"

   คนพูดเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ทำให้คนที่กำลังตัวสั่นชะงักแล้วจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นคนที่เดินลงมาโค้งให้คนบาดเจ็บอย่างนอบน้อม

   "ผมมารับแล้วครับ ขอโทษที่การคุ้มครองของผมบกพร่อง จนทำให้ท่านต้องบาดเจ็บเช่นนี้"

   ยูคิลอบสังเกตคนที่มาใหม่ อีกฝ่ายนั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำไม่แพ้คนที่อยู่กับเขา ใบหน้าดูหล่อเหลาคมคาย แม้จะมีรอยฟกช้ำที่แก้มให้พอสังเกตได้ก็ตาม และพอเจ้าตัวรู้ว่าเขาแอบมองก็มีรอยยิ้มอ่อนโยนให้  ผิดกับคนที่บาดเจ็บอยู่ ที่แม้จะบาดเจ็บหนักขนาดนี้ก็ยังมีใบหน้าดูเคร่งขรึมเฉยชาไม่เปลี่ยน ทั้งที่จริง ๆ แล้วเจ้าตัวเป็นคนที่หน้าตาดีมาก ๆ และยังดูโดดเด่นสะดุดตา เสียยิ่งกว่าดารานายแบบดัง ๆ ที่เขารู้จักเสียอีก

   "ขอบใจที่ช่วย...ไว้ฉันจะมาตอบแทนเธอสำหรับเจ้านี่ทีหลัง"

   คนบาดเจ็บหันมาบอกก่อนจะเดินตรงไปที่รถ เนื่องจากก่อนหน้านั้นชายหนุ่มทำท่าจะคืนผ้าขนหนูพร้อมเงินค่าเสียหาย แต่ยูคิยืนยันไม่ยอมรับท่าเดียวทั้งเงินและผ้าขนหนู ซ้ำยังรีบย้ำให้ชายผู้มาใหม่ พาคนบาดเจ็บไปหาหมอโดยด่วนแทนอีกด้วย

   "ไม่เป็นไรหรอกครับ...คุณรีบไปโรงพยาบาลเถอะ"

   บอกจบยูคิก็หยิบกระเป๋าพร้อมกับถุงของขวัญที่ใส่เศษกระดาษห่อเอาไว้ เขาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้ทั้งคู่ แล้วรีบวิ่งกลับบ้านพักของตนทันที เนื่องจากตอนนี้คนเริ่มออกมามุงดูรถที่ไฟไหม้กันมาก และยังได้ยินเสียงไซเรนของรถดับเพลิงดังมาแว่ว ๆ อีกด้วย

   "คนเริ่มพลุกพล่านแล้ว ขึ้นรถกันเถอะครับ ท่านริวยะ"

   "อืม...ก็ได้"

   ชายหนุ่มพึมพำตอบ แต่สายตากลับจับจ้องไปยังร่างเล็กที่จากไปจนลับตา สร้างความแปลกใจให้กับลูกน้องคนสนิทยิ่งนัก

   "ไปกันเถอะ อากิระ"

   น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของเสียงที่ก้าวขึ้นไปนั่งด้านหลัง ริวยะเหลือบมองผ้าขนหนูสีฟ้าผืนนุ่ม ที่บัดนี้เปื้อนไปด้วยเลือดของเขา แล้วจึงหวนคิดถึงใบหน้าเจ้าของผ้า ดวงตากลมโตคู่นั้นทาบซ้อนกับดวงตาเล็ก ๆ อีกคู่ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเขาเมื่อหลายปีก่อน 

   "เดี๋ยวกลับจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันมีเรื่องที่อยากให้นายสืบหาให้สักหน่อย"

   อากิระชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับคำ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกผู้เป็นนายจับจ้องพร้อมกับเอ่ยอะไรบางอย่าง

   "รอยช้ำที่หน้านั่นโดนอะไรมา ...ใครเล่นงานเข้าให้น่ะ"

   คนฟังยิ้มเจื่อน แล้วจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ

   "พอทาคุรู้ว่าท่านบาดเจ็บ ผมก็เลยโดนต่อย โทษฐานปล่อยให้ท่านริวยะขับรถออกไปคนเดียว ทั้งที่ก็รู้ดีว่าช่วงนี้ท่านโดนคนจ้องปองร้ายอยู่น่ะครับ"

   คนฟังอมยิ้มน้อย ๆ พอจะคาดเดาได้เลยว่า คนสนิทของตนอีกคนตอนนี้คงกำลังขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

   "ช่วยไม่ได้ ก็ฉันใช้นายจับตาดูตัวหัวหน้ามันอยู่ ส่วนเจ้าพวกลูกกะจ๊อกพวกนี้ ลำพังฉันคนเดียวก็พอจัดการเองได้อยู่แล้ว...ส่วนเรื่องแผลนี่ก็เพราะมัวแต่เผลอเหม่อคิดอะไรเพลิน ๆ จนประมาทไปหน่อยก็เท่านั้น"

   ริวยะเปรยตอบอย่างไม่ใส่ใจต่อสภาพของตนเองเท่าใดนัก และจะว่าไปเขาก็พูดเรื่องจริงเรื่องที่เผลอเหม่อ เนื่องจากพอเขาขับรถผ่านเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก็ทำให้เขาอดที่จะหวนคิดถึงเด็กชายตัวเล็กที่อยู่ในความทรงจำของเขาขึ้นมาไม่ได้ จนมารู้สึกตัวอีกที เจ้าพวกศัตรูของเขาก็ขับมาประชิดตัวเสียแล้วนั่นเอง

    "เด็กคนนั้น...คงจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้หรอกใช่ไหมครับ"

   คำพูดของอากิระทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงเปรยตอบเสียงเรียบ

   "ไม่ต้องใส่ใจเรื่องของเด็กคนนั้น ต่อให้เขาพูดเรื่องนี้ออกไป มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับฉันนักหรอก"

   อากิระขมวดคิ้วยุ่ง เพราะปกติริวยะไม่ใช่คนที่จะทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้ตามสาวได้ถึงตัวเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กน้อยก็ตาม

   "...ไม่ต้องคิดอะไรให้มากนักหรอกอากิระ  และที่สำคัญอย่าคิดทำอะไรเกินที่ฉันสั่ง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กคนนั้น...เข้าใจนะ"

   คนที่พอจะรู้ความคิดคนสนิทของตนดีเอ่ยดักคอ ทำให้คนฟังกลืนน้ำลายนิด ๆ แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับพร้อมกับลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ ที่ผู้เป็นเจ้านายรู้เท่าทันความคิดของตนเสมอเช่นนี้

   

   ยูคิวิ่งกลับเข้าห้องพักของตน แล้วเช็คดูสภาพความเรียบร้อยของตนเอง มือของเขามีคราบเลือดของชายแปลกหน้าคนนั้นติดมาด้วย จึงทำให้เขาต้องรีบไปล้างมือของตนให้สะอาด เจ้าตัวจัดแจงเตรียมอาหารเย็นง่าย ๆ สำหรับสองคนเอาไว้ ก่อนจะหยิบถุงกระดาษห่อของขวัญที่ฉีกแล้วไปซ่อนให้พ้นจากสายตาของบิดา เพื่อป้องกันการตั้งคำถามที่เกิดขึ้น

   และเมื่อมาซายะมาถึง ชายหนุ่มก็ถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้รับรู้จากเพื่อนบ้านว่า มีการยิงกันและเกิดการระเบิดขึ้น ก่อนที่เขาจะกลับมา ชายหนุ่มรีบตรงไปที่ห้องพัก เพื่อเช็คความปลอดภัยของลูกชายด้วยความเป็นห่วงทันที

   "ยูคิ! เห็นข้างนอกบอกว่าเมื่อตอนเย็น มีการยิงกันแล้วก็มีระเบิดด้วยใช่ไหม! แล้วลูกโดนลูกหลงอะไรหรือเปล่า!"

   เพราะจากที่ฟังคนอื่นเล่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้นมันเป็นเวลาที่ลูกชายของเขาเลิกเรียนและน่าจะได้เวลากลับบ้านพอดี จึงทำให้มาซายะนึกเป็นห่วงว่าลูกชายจะเข้าไปถูกลูกหลงในการยิงกันครั้งนี้เข้าให้ก็เป็นได้

   "ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับพ่อ พอผมมาถึงอพาร์ทเมนท์ ก็เห็นคนมุงดูรถไฟไหม้กันเต็มไปหมดแล้ว"

   ยูคิพูดโดยเลี่ยงความจริงครึ่งหนึ่งเกี่ยวกับคนที่บาดเจ็บคนนั้น เพราะเขารู้ดีว่า พ่อที่เป็นนักข่าว จะต้องสนใจและตามขุดคุ้ยเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนดีนัก แต่น่าแปลกที่เขาเองไม่อยากให้คนผู้นั้นต้องมาเดือดร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้สักเท่าใด และโชคดีที่มาซายะนั้นมัวแต่โล่งอกที่เห็นลูกชายของตนปลอดภัย จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของลูกชายที่เป็นอยู่

   "อย่างนั้นหรอกหรือ...ค่อยยังชั่ว ...อืม จะว่าไปลูกนี่ก็เจอแต่เรื่องน่าตื่นเต้นพวกนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วนี่นะ ...ผิดกับพ่อที่ทำงานเป็นนักข่าวพวกอาชญากรรมแท้ ๆ แต่ดวงไม่ค่อยมีทางนี้  แถมออกไปหาข่าวทีไร ดันเจอแต่พวกดาราเซเล็บแอบนัดพบคู่ควงลับ ๆ  จนบก.จะจับย้ายพ่อไปอยู่ฝ่ายข่าวบันเทิงแทนแล้วล่ะนะ"

   มาซายะบ่นพึมพำกับตัวเอง ทำให้ผู้เป็นลูกชายรู้สึกทั้งขำทั้งเห็นใจ เพราะข่าวเด่น ๆ ส่วนใหญ่ของบิดาในช่วงหลัง ๆ ก็เป็นเรื่องข่าวลับ ๆ ของคนบันเทิงเสียส่วนมาก จนเพื่อนบ้านบางคนยังคิดว่ามาซายะเป็นพวกนักข่าวบันเทิงแทนเสียด้วยซ้ำ

   "เอาน่าพ่อ สักวันเดี๋ยวข่าวดัง ๆ มันก็มีมาให้พ่อทำเองนั่นล่ะครับ ...อ๊ะ จริงสิพ่อ ผมว่าจะลองไปสมัครเข้าชมรมเคนโด้ดู พ่อว่าดีไหมครับ"

   ยูคิชวนเปลี่ยนเรื่องคุยมาเป็นเรื่องอื่นแทน  แต่นั่นกลับทำให้มาซายะที่กำลังนั่งพักดื่มน้ำที่ลูกชายเอามาให้ หันมามองเด็กหนุ่มพลางย้อนถามกลับไปด้วยความแปลกใจ

   "อ้าว...ลูกอยู่ชมรมคอมพิวเตอร์ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจะลาออกไปอยู่ชมรมเคนโด้เสียล่ะ ไหนว่าชอบคอมพิวเตอร์ไม่ใช่หรือไง"

   ยูคิชะงักเล็กน้อย เขาหลบตาบิดาแล้วแสร้งเปรยบอกไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

   "ก็เริ่มเบื่อแล้วล่ะครับ ก็เลยอยากย้ายไปชมรมอื่นบ้าง...อีกอย่างผมเองก็เล่นเคนโด้มาตั้งแต่ประถมจนถึงม.ต้น ก็เลยคิดว่าเล่นต่อไปก็คงจะดีกว่า ถึงผมจะไม่เก่งจนได้เป็นตัวแทนไปแข่งเหมือนคุณตาก็เถอะ"

   มาซายะจ้องมองลูกชายนิ่ง แล้วจึงย้ำถามอีกครั้ง

   "มีอะไรปิดบังพ่อหรือเปล่ายูคิ บอกพ่อได้ไหม"

   ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ แล้วจึงหันมาจ้องบิดา และเมื่อเขาได้เห็นสายตาคาดคั้นไม่เลิกรานั่น เด็กหนุ่มก็ต้องถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะสารภาพออกไปตามตรง

   "ชมรมคอมพิวเตอร์ที่ผมอยู่เปลี่ยนประธานชมรมคนใหม่ ...แล้วประธานคนใหม่ ก็มีนโยบายให้สมาชิกแต่ละคน มีคอมพิวเตอร์พกพาเป็นของตัวเอง เพื่อแสดงถึงศักยภาพของชมรม ...ผมว่ามันบ้าบอแล้วก็สิ้นเปลืองเกินความจำเป็น ก็เลยขอลาออกจากชมรมไปเมื่อสองวันที่แล้วน่ะครับ"

   มาซายะเงียบกริบ เขาจ้องมองลูกชายของตนด้วยความสงสาร เพราะรู้ดีว่ายูคินั้นชอบคอมพิวเตอร์มากแค่ไหน ตอนที่เด็กหนุ่มได้เรียนในห้องเรียนครั้งแรก เจ้าตัวก็เอามาคุยเล่าให้เขาฟังได้เป็นวัน ๆ เลยทีเดียว

   "พ่อซื้อให้ไหม ลูกจะได้มีไว้ใช้ส่วนตัวที่บ้านด้วยยังไงล่ะ"

   มาซายะบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาพอจะคาดเดาได้ เด็กหนุ่มนั้นสั่นศีรษะปฏิเสธ พร้อมกับยืนกรานหนักแน่น

   "ไม่ครับ...มันยังไม่จำเป็นสำหรับผมตอนนี้ ถ้าอยากใช้งาน ผมไปใช้ที่ห้องสมุดเองก็ได้ ...แล้วผมก็ตั้งใจแล้วว่า พอขึ้นมหาวิทยาลัย ผมจะทำงานพิเศษเก็บเงินซื้อมันด้วยตัวเองครับ"

   ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรื่องหัวรั้นดื้อดึงในบางครั้ง ลูกชายของเขานั้นถอดแบบมารดาผู้ล่วงลับของเจ้าตัวมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เผลอ ๆ บางทีมันอาจจะเป็นกรรมพันธุ์สืบทอดกันมาจากสายเลือดบรรพบุรุษของอีกฝ่ายเลยก็เป็นได้

   "ตามใจลูก...แต่ถ้าเดือดร้อน ต้องการใช้อะไรเกี่ยวกับการเรียนก็บอกพ่อได้นะ  พ่อเองก็ไม่ได้ขัดสนขนาดที่ลูกจะต้องคอยมาเป็นห่วงหรอก รู้ไหม"

   ยูคิมองบิดาอย่างตื้นตัน ก่อนจะโผเข้ากอดอีกฝ่ายด้วยความรัก  สำหรับยูคิแล้ว มาซายะคือญาติคนสำคัญคนเดียวที่เขามี เด็กหนุ่มนั้นตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าเขาเรียนจบและหางานทำได้ เขาจะให้มาซายะเลิกงานนักข่าวที่เจ้าตัวทำ แล้วออกมาใช้ชีวิตสบาย ๆ ในบั้นปลาย ให้เขาได้หาเลี้ยงตอบแทน ที่อีกฝ่ายยอมลำบากมาเพื่อเขาตลอดชีวิตที่ผ่านมาบ้างนั่นเอง

 

.... TBC ....




มีการเปลี่ยนการดำเนินเรื่องบ้างหลังจากนี้นะคะ ไม่เหมือนเดิม แต่ยังคงไปในทิศทางตามพล็อตเดิมอยู่ดีค่ะ   :o8:


ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้อีกแม้จะจำเวอร์เก่าไม่ได้แล้วก็ตาม

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
เวอร์ชันนี้มีเรื่องราวเพิ่มเติมเข้ามามากกว่าเวอร์ชันที่แล้วมากเลย

น่าติดตามว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร

แต่ หนูยูคิ ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม

555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Der Adler

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +126/-0
รอคร้าาาา
เมื่อไรจะได้ไปอยู่ด้วยกัน :mew3:
 :กอด1:

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ยูคิเป็นเด็กดีมาก ๆ เลย

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ยูคิน่ารักเหมือนเดิม

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

บทที่ 3

   

   หลังจากเหตุการณ์ยิงกันหน้าที่พักของเขาผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ มาซายะก็ต้องถึงกับนิ่งอึ้ง เมื่อคนที่มาดักรอพบเขาก่อนจะถึงเวลาพักกลางวันนั้น จะเป็นคนที่เขาเองไม่นึกอยากจะไปยุ่งเกี่ยวมากที่สุดในชีวิตการเป็นนักข่าวของตน

    "สวัสดีครับ คุณทานากะ มาซายะ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ"

   คนที่นั่งรออยู่ตรงส่วนรับแขกของบริษัทเอ่ยทักด้วยท่วงท่าสง่างามและวางอำนาจ เสียจนคนที่ถูกเรียกชื่อต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว

   "สวัสดีครับ คุณมุราคามิ  ริวยะ ...เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ ถึงได้มาหาผมถึงที่ทำงานแบบนี้"

   ชายหนุ่มย้อนถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่นก็จริง แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยไปสืบค้นขุดคุ้ยทำข่าวที่เกี่ยวข้องกับคนตรงหน้านี้เข้าให้ตอนไหน

   "หึ...วางใจเถอะ ผมไม่ได้มาหาคุณเพราะเรื่องงานของคุณหรอก"

   ริวยะบอกกับอีกฝ่าย อย่างพอจะคาดเดาได้ว่าเจ้าตัวนั้นคิดอะไรอยู่ ทำเอามาซายะถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วมีสีหน้าเลิ่กลั่กจนคนมองอดยิ้มอย่างนึกขำไม่ได้

   "จริง ๆ แล้วที่ผมมาวันนี้ เพราะต้องการจะพูดคุยกับคุณ เรื่องลูกชายของคุณ...ทานากะ ยูคิ นั่นล่ะ"

   อีกฝ่ายตาเบิกกว้าง แล้วย้อนถามกลับไปเสียงดังอย่างตกใจ

   "คุณรู้จักยูคิได้ยังไง!"

   ริวยะเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะซ่อนยิ้มเอาไว้ในสีหน้า เพราะมั่นใจว่าเด็กหนุ่มนั้นคงไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเขาให้บิดาฟังเป็นแน่

    "เราจะคุยเรื่องลูกชายของคุณที่นี่ก็ได้นะ ถ้าคุณไม่ถือสา"

   ชายหนุ่มเอ่ยตามมาทำเอามาซายะชะงัก พอเห็นสายตาสงสัยและอาการซุบซิบของคนร่วมบริษัท เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงหันไปบอกกับผู้มาเยือน

   "ถ้าคุณคิดว่าที่ไหนมันค่อนข้างเหมาะกับเรื่องที่คุณอยากจะคุยกับผม ก็แล้วแต่คุณจะพาไปก็แล้วกัน"

   มาซายะบอกอย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งริวยะก็ยกยิ้มที่มุมปากนิด ๆ แล้วจึงหันไปบอกกับบอดี้การ์ดอีกสามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

   "...เดี๋ยวฉันจะไปหาที่คุยกับคุณมาซายะตามลำพังสักหน่อย พวกนายไม่ต้องตามมาด้วยกันหรอก มันจะสะดุดตาเสียเปล่า ๆ"

   "เอ่อ...แต่ว่าท่านริวยะ"

   หนึ่งในนั้นแย้งขึ้นเบา ๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อแววตาคมกริบจับจ้องมายังตนโดยไร้คำพูด

   "ครับ! รับทราบครับท่าน!"

   ชายคนที่เตรียมแย้งรีบรับคำแล้วถอยห่างไป  จากนั้นริวยะจึงหันไปหาคนที่ยืนอึ้งอยู่แล้วเอ่ยเชื้อเชิญอีกฝ่ายออกจากบริษัท และให้เดินตามตนไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแทน

   

   มาซายะเหลือบมองคนที่เดินพามายังสวนสาธารณะใกล้ที่ทำงานของเขา แต่ชายหนุ่มก็อดยอมรับไม่ได้ว่า ในช่วงของวันธรรมดาเวลากลางวันเช่นนี้ ที่นี่ก็ค่อนข้างเงียบสงบและไร้ผู้คนให้ได้พบเห็นเท่าใดนัก

   "เข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะคุณมาซายะ...เมื่ออาทิตย์ก่อนผมประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย แล้วก็ได้ลูกชายของคุณช่วยเหลือไว้ ...ผมก็เลยอยากมาตอบแทนเขาผ่านทางคุณ เพราะว่าก่อนหน้านั้นผมพยายามจะตอบแทนน้ำใจเขาแล้ว แต่เขาไม่ยอมรับ"

   นักข่าวหนุ่มเงียบกริบพร้อมนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าลูกชายของตนจะเคยได้พบกับอีกฝ่ายมาก่อนเช่นนี้

   "...คุณคิดว่าการกระทำของลูกชายของคุณ ที่ช่วยเหลือผมคนนี้ ควรจะได้รับการตอบแทนเป็นอะไรดีล่ะคุณมาซายะ...เซ็นเช็คแล้วให้ทางคุณใส่ตัวเลขเองสักใบดีไหม"

   ริวยะหันมาถามคนตรงหน้าเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็ชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูด ก่อนจะนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มขรึม

   "แค่คำขอบคุณสักคำ ลูกชายของผมก็คงพอใจแล้วล่ะครับ...และถ้าคุณเรียกผมมาเพื่อบอกกล่าวเพียงแค่นี้ ผมก็คงต้องขอตัวก่อน"

   มาซายะบอกจบแล้วเตรียมจะหันหลังเดินกลับ ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง

   "ผมอยากตอบแทนเด็กคนนั้น โดยการเป็นคนอุปถัมภ์ช่วยเหลือส่งเสียเขาเรื่องการเล่าเรียนทั้งหมด...และผมก็ยังต้องการให้เขามาทำงานกับบริษัทของผมเมื่อเขาเรียนจบ...นั่นคือสิ่งที่ผมอยากตอบแทนเขาจากใจจริง"

   มาซายะหันมามองคนพูดอย่างตกตะลึง ซึ่งริวยะก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยต่อ

   "ขออภัยที่เมื่อครู่ผมพูดจาเหมือนดูถูกคุณและลูกชายคุณ...ผมก็แค่ต้องการพิสูจน์อะไรสักนิดหน่อย ...แล้วผมก็ได้คำตอบอย่างที่ทำให้ผมค่อนข้างพอใจมากทีเดียว"

   คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนกลับไปอย่างนึกสงสัย

   "แล้วถ้าเมื่อครู่ผมเกิดหน้ามืดตาลายด้วยความหิวเงิน ขอให้คุณเซ็นเช็คให้แทนล่ะ คุณจะว่ายังไง"

   ริวยะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วย้อนตอบกลับไป

   "ผมก็คงเซ็นให้...แล้วก็หาทางพรากลูกชายของคุณมาอุปการะไว้แทนเองน่ะสิ"

   มาซายะสะดุ้งโหยง แล้วจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจขึ้นมาทันที

   "หึ...ไม่ต้องจ้องผมแบบนั้นหรอกน่า  ถ้าคุณเป็นคนประเภทขายลูกกินได้ เด็กคนนั้นก็คงไม่เติบโตมาเป็นเด็กมีน้ำใจอย่างที่เป็นแบบนี้หรอก"

   คนฟังเม้มปากน้อย ๆ นิ่งคิดบางอย่างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะย้อนตอบกลับไปบ้าง

   "ผมไม่รู้หรอกนะว่าลูกชายผมช่วยอะไรคุณไว้ขนาดไหน ...แต่ผมว่าเรื่องที่คุณคิดนั่นมันจะค่อนข้างใหญ่โตเกินไปสำหรับยูคิเขา... บริษัทของคุณใครก็รู้ว่าเต็มไปด้วยพนักงานหัวกะทิ มีความสามารถมากมายขนาดไหน แล้วคุณคิดว่าลูกชายของผมเขาจะเข้าไปทำงานร่วมกับคนในนั้นได้ไหวหรือครับ  ผมไม่อยากให้ลูกถูกคนอื่นมองว่าเป็นเด็กเส้นเข้าไปทำงานเพราะมีบุญคุณกับนายจ้างหรอกนะครับ"

   ริวยะเลิกคิ้วนิด ๆ อย่างประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอพร้อมส่ายศีรษะไปมาค่อย ๆ ทำให้คนมองรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย เพราะนั่นดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นรู้อะไรมากกว่าเขาเกี่ยวกับลูกชายของตนนั่นเอง

   "ลูกชายของคุณนี่นะ นึกว่าจะเป็นเด็กดีหัวอ่อนในทุกเรื่องเสียอีก แต่ก็คงจะแสบพอตัวเหมือนกัน ถึงได้ปิดบังบางเรื่องที่เขาทำ โดยไม่ให้พ่อของตัวเองได้รู้ตัวแบบนี้ล่ะนะ"

   "หมายความว่ายังไง!"

   มาซายะสวนขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ทางด้านริวยะถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเปรยในสิ่งที่ทำให้คนฟังถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้ฟัง

   "ผมให้ลูกน้องของผมตรวจสอบเรื่องของพวกคุณสองพ่อลูก เพราะรู้สึกติดใจเรื่องเด็กคนนั้นนิดหน่อย... แล้วก็ได้พบความจริงเรื่องที่ว่า ลูกชายของคุณค่อนข้างจะมีสติปัญญาดีเลิศ ...ไม่สิ เรียกว่าเป็นเด็กอัจฉริยะคนหนึ่งก็ได้ สำหรับครอบครัวฐานะปานกลาง ที่ไม่ได้มีการเน้นส่งเสริมการศึกษาด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ อย่างที่เด็กคนนั้นเป็นอยู่"

   มาซายะขมวดคิ้วยุ่งด้วยความประหลาดใจในสิ่งที่ได้ยิน เห็นดังนั้นริวยะจึงเล่าเรื่องราวของบุตรชายอีกฝ่ายให้ชายหนุ่มได้รับรู้ต่อ

    "ลูกชายของคุณมักจะชอบใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุดที่ห้องสมุดและร้านอินเตอร์เน็ตใช่ไหมล่ะ"

   คนฟังพยักหน้าค่อย ๆ และเพราะว่างานนักข่าวของเขาแทบจะหาวันหยุดไม่ได้ เขาจึงแนะนำให้ลูกชายออกไปพบปะสมาคมกับคนอื่น แทนที่จะนั่งแกร่วอยู่บ้านเฉย ๆ นั่นเอง

   "จากที่คนของผมไปสืบมา มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เด็กคนนั้นอยากได้เงินสักก้อน เห็นว่าอยากจะเอาไปซื้อของอะไรสักอย่างให้คุณ เลยไปปรึกษาเชิงบ่นกับเจ้าของร้านเกม  ว่าถ้ามีงานพิเศษที่สามารถทำแบบลับ ๆ โดยไม่ให้คนอื่นรู้ได้ก็ดี เพราะว่าทางโรงเรียนที่เขาศึกษาอยู่ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องไม่ให้นักเรียนทำงานพิเศษอยู่มากทีเดียว..."

    ริวยะเล่าถึงตรงนี้แล้วก็หยุดดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายชั่วครู่ ซึ่งเขาก็เห็นมาซายะชะงักและทำท่าหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวที่เขารับรู้ให้อีกฝ่ายฟังต่อ

    "บังเอิญที่เจ้าของร้านอินเตอร์เน็ตร้านนั้น รู้จักกับกลุ่มแฮกเกอร์ที่กำลังต้องการคนมีฝีมือมาช่วยงานเพิ่ม เขาเห็นว่าลูกชายของคุณมีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ดีเยี่ยม จึงได้แนะนำงานให้...ทีแรกลูกชายของคุณก็มีท่าทางลังเล แต่พอเจ้าของร้านกล่อมว่า งานของแฮกเกอร์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะรับงานมาจากตำรวจหรือคนเดือดร้อนมากกว่า เขาก็เลยยอมรับทำ...แต่ก็ตั้งเงื่อนไขว่าจะขอรับทำแค่ครั้งเดียวเท่านั้น"

   มาซายะนิ่งอึ้ง และพลันนึกถึงเลนส์กล้องราคาแพงที่ลูกชายซื้อให้เป็นของขวัญหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนจนทำให้ทั้งกล้องและเลนส์ที่ใช้อยู่ตอนนั้นตกแตก แถมยังถูกรถที่ขับตามมาเหยียบซ้ำจนพังยับไม่มีชิ้นดี

   "เด็กนั่นบอกว่าเขาซื้อของมือสองมาจากคนที่ชอบเล่นกล้องและซื้อเลนส์เปลี่ยนบ่อย ๆ ตามแฟชั่นคนหนึ่ง ทำให้ได้ราคามาถูกมาก... ตอนนั้นผมยังคิดว่าลูกชายผมโชคดีที่ซื้อในราคานั้นได้... นี่แสดงว่าคงเป็นเงินที่ยูคิหามาได้จากงานนั่นสินะ"

   นักข่าวหนุ่มพึมพำ รู้สึกเสียใจที่ตัวเองเป็นฝ่ายทำให้ลูกชายต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานอันตรายเช่นนี้ และถึงแม้ริวยะจะบอกว่างานส่วนใหญ่ของแฮกเกอร์กลุ่มนี้จะรับมาจากตำรวจก็ตาม หากแต่สิ่งที่ทำก็ยังถือเป็นอาชญากรรมอยู่ดี

   "เขาก็คงจะรู้ว่าเป็นการหาเงินที่ผิดจึงได้เลือกทำเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็คงเพราะอยากจะช่วยเหลือพ่อที่เขานับถือ จึงได้เลือกวิธีการเช่นนั้น"

   มาซายะเงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "ดูเหมือนตอนนี้คุณจะรู้จักยูคิยิ่งกว่าผมเสียอีกนะ..."

   ริวยะยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากตอบ อย่างที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นนอกจากคนสนิทใกล้ชิดกันเพียงเท่านั้น

   "แต่ผมก็ยังแปลกใจอยู่ดี ถึงยูคิจะเก่งคอมมากอย่างที่คุณบอกก็จริง ...แต่ผมเชื่อว่าคนแบบเขาก็ยังคงหาได้ทั่วไป ทำไมคุณถึงต้องมาลงทุนส่งเสียรอให้เขาเรียนจบแล้วเอาตัวเขาไปทำงานกับคุณด้วยล่ะ...ถ้าคุณอยากได้ลูกจ้างฝีมือดี สู้คุณเปิดประกาศจ้างตำแหน่งงานเกี่ยวกับพวกนี้โดยตรงไปเลย ผมเชื่อนะว่าใช้เวลาแค่ไม่นาน อัจฉริยะแบบที่คุณอยากได้ก็คงมารอคิวสัมภาษณ์กันเพียบแล้วล่ะ"

   มาซายะยังคงซักต่อด้วยความสงสัย ทำให้คนฟังยักไหล่นิด ๆ คล้ายเอือมระอา เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังคงคาใจในสิ่งที่เขาเสนอออกไปไม่เลิกรานั่นเอง

   "ก็ผมบอกไปแต่แรกแล้วไงว่า ผมทำเพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณเด็กคนนั้น"

   "แล้วยูคิไปทำอะไรให้คุณจนถึงกับเป็นบุญคุณติดค้างขนาดนั้นล่ะครับ... เขาปกป้องคุณจากการยิงกัน หรือไปช่วยชีวิตคุณออกมารถที่ระเบิดเมื่ออาทิตย์ก่อนนั่นหรือไง"

   จากเท่าที่คุยและลองคาดเดาสถานการณ์ที่ลูกชายของเขากับอีกฝ่ายได้เจอกัน ก็ทำให้มาซายะพอจะสรุปได้ว่า น่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุก่อนหน้านั้นเป็นแน่แท้

   ทางด้านริวยะนิ่งเงียบไปเล็กน้อย จะว่าไปแล้วมาซายะเองก็พูดถูกอยู่ไม่น้อย เพราะสิ่งที่ยูคิทำให้เขาไม่ได้มีอะไรมากมายนัก นอกจากความห่วงใยและเสียสละผ้าขนหนูผืนหนึ่งให้เพียงเท่านั้นเอง

   "...เขาไม่ได้ช่วยเหลืออะไรผมมากมายก็จริง แต่มันกลับทำให้ผมเฝ้าคิดถึงแต่เขาตลอดเวลา จนนึกอยากตอบแทนอะไรสักอย่าง...ก็เท่านั้นเองล่ะนะ"

   ริวยะเปรยตอบเรียบ ๆ ทว่ากลับดูเหมือนกำลังเหม่อคิดอะไรบางอย่างอยู่  ส่วนมาซายะนั้นกลืนน้ำลายลงคอหลังจากได้ฟังและสังเกตท่าทางของอีกฝ่าย  นี่ถ้ายูคิเป็นลูกสาว เขาคงคิดเอาได้ว่า บางทีริวยะอาจจะกำลังตกหลุมรักลูกของเขาโดยไม่รู้ตัวแล้วก็เป็นได้

   "ถ้าคุณไม่เร่งรีบอะไร ผมขอไปปรึกษาลูกชายผมก่อนได้ไหม...เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับอนาคตของยูคิโดยตรง เขาควรมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง"

   ริวยะหันมามองอีกฝ่ายแล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ

   "เอาแบบนั้นก็ได้ครับ..."

   คำตอบของชายหนุ่มทำให้มาซายะหลุดถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างลืมตัว ทำให้คนมองขมวดคิ้วน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป จากนั้นริวยะก็ได้รับโทรศัพท์จากคนสนิทติดต่อมา ว่ามีธุระด่วนต้องให้เขากลับเข้าบริษัท จึงทำให้ชายหนุ่มหันมาเอ่ยลาคนที่อยู่ข้าง ๆ

   "ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนแล้วกัน ...ไว้ผมจะแวะไปเยี่ยมเยียนคุณและลูกชายที่บ้านพักอีกที"

   มาซายะยิ้มเจื่อน ๆ แล้วพยักหน้าค่อย ๆ ตอบรับ เขาแยกเดินกลับไปที่บริษัท ส่วนริวยะนั้นยืนรอลูกน้องขับรถมารับตนที่สวนสาธารณะแทน

   

   มาซายะเดินเอื่อย ๆ กลับไปที่ทำงานอย่างไม่รีบร้อนนัก เขาพยายามหาข้อแก้ตัวที่เขามั่นใจว่าบรรดาเพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงหัวหน้า จะต้องตั้งคำถามกับเขาในเรื่องนี้เป็นแน่

   "นี่ลุง! เดินดี ๆ สิ เกะกะจัง"

   เสียงเล็ก ๆ ที่ดังขึ้นทำให้มาซายะชะงัก แล้วก้มลงมองเห็นเด็กชายอายุราวหกถึงเจ็ดขวบสองคนไล่เตะแย่งบอลกันตามทางเท้าที่เขาเดินอยู่

   "เฮ้ย! ไอ้หนู! ใครสั่งใครสอน ให้มาเล่นบอลบนริมถนนแบบนี้ พ่อแม่ไปไหนกัน ไม่ดูแลลูกเลย!"

   มาซายะโพล่งใส่อย่างตกใจปนหงุดหงิด แต่เด็กสองคนนั้นกลับแลบลิ้นใส่ แล้ววิ่งเตะบอลหนีไปอย่างไม่ใส่ใจ มาซายะจึงเตรียมจะเดินกลับบริษัทไปอย่างนึกเซ็ง ทว่าเสียงเบรกเอี๊ยดที่ดังขึ้นก็ทำเอาเขาสะดุ้งโหยง เด็กคนที่วิ่งไปจะเก็บบอลกลางถนนถูกรถคันหนึ่งเฉี่ยวกระเด็นสลบอยู่กลางถนน ส่วนรถคันที่ก่อเหตุขับหนีไปอย่างรวดเร็ว เด็กอีกคนยืนร้องไห้ด้วยความตกใจบนทางเท้า มาซายะกัดฟันกรอด เขาวิ่งไปช่วยเด็กคนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รถคันอื่นจะวิ่งมาทับเด็กชายซ้ำสอง
 
   เอี๊ยด!! โครม!!

   รถคันที่ขับมาโดยที่คนขับเอาแต่โทรศัพท์ทำให้ไม่ทันได้เห็นร่างเด็กน้อยที่สลบอยู่ในทีแรก เจ้าตัวถึงกับต้องโยนมือถือแล้วเหยียบเบรกเต็มเท้าด้วยความตกใจ  เมื่อจู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งกระโดดลงมาขวางทางตน ทว่าระยะกระชั้นชิดนั้นก็ทำให้รถที่แล่นมาด้วยความเร็วปะทะเข้ากับร่างนั้นอย่างเต็มที่อยู่ดี
 

   "อะ...อะไรกัน...ผะ...ผมไม่ผิดนะ ...จู่ ๆ เขาก็กระโดดมาขวางเองนี่นา!"

   ชายคนที่ลงมาจากรถบอกกับชาวบ้านแถวนั้น ที่ต่างออกมาดูอย่างตื่นตระหนก หลังจากได้ยินเสียงดังลั่นด้านนอก รถคันที่จอดขวางทำให้รถคันที่มาที่หลังเริ่มทยอยติด มีบางคนเดินเข้ามาดูร่างเปื้อนเลือด ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าชายคนที่ประสบอุบัติเหตุกำลังโอบกอดร่างเล็กร่างหนึ่งเอาไว้

   "เฮ้ย! เด็กนี่มันลูกชายบ้านคุณซาโต้นี่!"

   คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นตะโกนขึ้นอย่างตกใจ แล้วเขาก็ยิ่งตกใจซ้ำสอง เมื่อเด็กชายอีกคนวิ่งโผเข้ามาแล้วกอดเขาแน่น พลางโวยวายเจือสะอื้นดังลั่น

   "พ่อ! ยูคุงโดนรถชน ล้มลงบนถนน...แล้วรถคันนี้ก็แล่นมาจะทับยูคุงซ้ำ... ลุงเขาก็เลยโดดมาช่วย ...ฮึก...พ่อครับ! ยูคุงกับลุงเขาจะตายไหม! พ่อช่วยพวกเขาด้วยสิ!"

   ชายคนนั้นกลืนน้ำลายลงคอ สักพักมารดาของเด็กชายที่ได้ยินเรื่องเข้าก็วิ่งร้องห่มร้องไห้เตรียมจะดึงร่างของลูกชายของตนออกมา แต่ก็ถูกบางคนห้ามเอาไว้ เพราะเกรงว่าหากขยับเขยื้อนผิดท่าเด็กจะเป็นอันตรายไปเสียก่อน
 
   "มีใครเรียกรถพยาบาลหรือยัง! เร็วเข้า! ใครที่ปฐมพยาบาลเป็น รีบมาช่วยกันหน่อยเร็ว!"

    "เด็กอาการดูแล้วไม่ค่อยน่าจะหนัก! แต่ผู้ชายคนนี้สิ เลือดไหลเต็มเลย ไม่น่ารอดแน่!

   เสียงโหวกเหวกโวยวายแว่ว ๆ  อีกทั้งลูกน้องที่โทรมาว่าถนนเส้นนั้นเกิดอุบัติเหตุจนรถเข้าไปรับตนไม่ได้ ทำให้ริวยะนึกสังหรณ์ประหลาดบางอย่าง ชายหนุ่มตัดสินใจเดินย้อนขึ้นไปจนถึงจุดเกิดเหตุ ก่อนจะนิ่งอึ้ง เมื่อได้เห็นร่างที่ถูกแบกมาปฐมพยาบาลริมทางเพื่อรอรถพยาบาลที่กำลังจะมาถึง
 
   คนที่พากันมุงอยู่ถึงกับผงะ เมื่อจู่ ๆ ก็มีร่างสูงสง่าในสูทดำ เดินแหวกฝูงชนเข้ามายังร่างที่เกิดอุบัติเหตุ  การปรากฏตัวของชายผู้เงียบขรึมและมีความกดดันอย่างน่าประหลาด ทำให้ฝูงชนแถวนั้นพากับขยับตัวถอยให้อีกฝ่ายอย่างลืมตัวด้วยความหวาดหวั่น

   "คุณมาซายะ...คุณได้ยินผมไหม"

   ริวยะทรุดกายชันเข่าลงนั่ง พลางจับมือของอีกฝ่ายมาบีบเบา ๆ แล้วเรียกชื่อของชายหนุ่ม เพราะเท่าที่เขาสำรวจดูอาการของอีกฝ่ายคร่าว ๆ แล้วก็พอจะสรุปได้ว่า หนทางรอดของเจ้าตัวนั้นดูเลือนรางเต็มทน

   เปลือกตาหนากะพริบค่อย ๆ เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตน  ชายหนุ่มกระอักลิ่มเลือดออกมาครั้งหนึ่ง เขาบีบมือข้างที่จับมือตนตอบกลับไปเท่าที่เรี่ยวแรงของตนจะมีได้ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วแทบไม่พ้นลำคอ

   "ฝาก...ยูคิ...ด้วย...ได้...โปรด...อึก..."

   ริวยะมีใบหน้านิ่งขรึม ชายหนุ่มบีบมืออีกฝ่ายกระชับแน่นยิ่งขึ้น  แล้วจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน
 
   "ไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลลูกชายของคุณหลังจากนี้เอง"

   ร่างเปื้อนเลือดนั้นกระตุกนิด ๆ ทว่าริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มอย่างหมดห่วง ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะค่อย ๆ ปิดลง และแน่นิ่งไปในที่สุด

   "รถพยาบาลมาแล้ว! เร็วเข้า! เอาคนเจ็บขึ้นรถเร็ว"

   เสียงคนแถวนั้นโวยวายดังขึ้น ทว่าริวยะกลับไม่ได้มีท่าทางตื่นตระหนกอันใด เขาจับมือของมาซายะวางลงบนแผ่นอกของอีกฝ่าย ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วเดินจากฝูงชนนั้นไปโดยไม่หันกลับมาอีก


...
...


ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
..
..

    ในช่วงเวลาพักกลางวันอันแสนสงบสุขภายในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีเสียงประกาศตามหาตัวเด็กนักเรียนดังขึ้น ซึ่งก็สร้างความสนอกสนใจให้กับเพื่อนร่วมห้องของผู้ถูกตามตัวยิ่งนัก

   "เฮ้! ยูคิ! เด็กดีอย่างนายไปทำอะไรเข้าให้น่ะ ถึงโดนประกาศเรียกให้แบบนี้!"

   ยูคิสั่นศีรษะพลางยักไหล่น้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังห้องพักครู แล้วก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นบรรดาครูอาจารย์แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียดผิดจากปกติ

   "ทานากะ...มานี่สิ"

   อาจารย์ไซโจซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเด็กหนุ่มเรียกอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ อาจารย์สาวมีใบหน้าซีดเผือดนิด ๆ จนยูคิสังหรณ์ใจไม่ดีนัก

   "มีอะไรหรือครับอาจารย์"

   หญิงสาวหันไปมองคนอื่น ๆ ซึ่งแต่ละคนในที่นั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงให้เธอพูด เห็นดังนั้นเจ้าหล่อนจึงบีบไหล่ของลูกศิษย์เธอเบา ๆ แล้วบอกออกไป

   "ตั้งสติฟังครูดี ๆ นะทานากะ..."

   ยูคิกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยักหน้าค่อย ๆ  ทางด้านอาจารย์สาวนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วจึงพูดออกมาในที่สุด

   "ทางโรงพยาบาลโทรมา...บอกว่าพ่อของเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถชน...เสียชีวิตแล้ว"

   ยูคินิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขาจ้องมองอาจารย์ที่ปรึกษาด้วยสีหน้าที่ฉงน และเข้าใจว่า เขาคงหูฝาดไปเมื่อครู่ที่ได้ยินเช่นนั้น

   "ทานากะ...เธอได้ยินไม่ผิดหรอก...คุณพ่อของเธอเสียชีวิตแล้ว...ครูเสียใจด้วยจริง ๆ นะ"

   ถ้อยคำตอกย้ำที่ได้ยินอีกครั้ง ทำให้คนฟังรู้สึกแขนขาหมดเรี่ยวแรง เขาเซไปข้างหลังแล้วทำท่าเหมือนจะล้มลงจนอาจารย์ท่านอื่นต้องรีบตรงเข้ามาประคองเอาไว้

   "ทานากะ! เป็นอะไรไป ไหวไหม!"

   "มะ...ไม่เป็นไรครับ...อาจารย์ครับ...ผมอยากเจอพ่อ...ผมไปหาพ่อตอนนี้ได้ไหมครับ"

   เด็กหนุ่มหันมาบอกกับอาจารย์ที่ปรึกษาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทำให้อาจารย์สาวนึกสงสารอีกฝ่ายจับใจ

   "ได้จ้ะ...อาจารย์คะช่วยเรียกแท๊กซี่ให้หน่อยนะคะ...ทานากะจ๊ะไปเอากระเป๋าเธอกันนะ ...เดี๋ยวครูจะไปเป็นเพื่อน"

   อาจารย์สาวหันไปฝากฝังเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน แล้วเดินประคองเด็กหนุ่มไปข้างนอก ซึ่งพอเดินไปได้สักพักยูคิก็ขอเดินด้วยตัวเอง แม้ว่าสีหน้าในยามนี้ของตนจะเผือดขาวจนแม้แต่เพื่อนยังไม่มีใครกล้าทักก็ตาม



   และเมื่อรถแท็กซี่พาทั้งสองมาถึงยังโรงพยาบาลแล้ว อาจารย์สาวก็พาลูกศิษย์ของเธอตรงไปแผนกประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลทันที ก่อนจะได้รับคำบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ ถึงเรื่องห้องที่ใช้เก็บศพของบิดาเด็กหนุ่ม

   "ทานากะ...ไม่เป็นอะไรนะ...ตั้งสติไว้ดี ๆ นะจ๊ะ"

   อาจารย์ไซโจจับมือที่ค่อนข้างเย็นเฉียบของลูกศิษย์เอาไว้ ขณะที่เดินไปยังห้องที่ศพของมาซายะตั้งอยู่ด้วยกัน ซึ่งยูคิก็หันมาฝืนยิ้มเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วงเขามากนัก

   

   ด้านทางเข้าหน้าห้องนั้น มีหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งที่ยูคิไม่รู้จักและผู้ชายที่แต่งตัวใส่สูทสุภาพยืนอยู่ด้วยกันอีกสามคน หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาหายูคิกับอาจารย์ไซโจ พร้อมกับล้วงกระเป๋าเสื้อสูทแสดงเครื่องหมายของตำรวจให้ทั้งคู่เห็น

    "สวัสดีครับ...พวกคุณใครเป็นญาติผู้ตายครับ"

   "ผมครับ...ผมเป็นลูกชาย"

   ยูคิตอบกลับไป ซึ่งพอหญิงสาวแปลกหน้าที่อยู่ด้วยในกลุ่มได้ยินเช่นนั้น เธอก็รีบเดินตรงมาหาเด็กหนุ่ม พลางจับมือเขาขึ้นกุมแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นตามมายกใหญ่

   "ฮือ...ขอโทษค่ะ....ฉันขอโทษจริง ๆ ...เขาตายเพราะช่วยชีวิตลูกฉันเอาไว้แท้ ๆ ...ขอโทษจริง ๆ นะคะ....ฮือ"

    ชายหนุ่มใส่สูทสองคนช่วยกันดึงร่างของหญิงสาวที่ร้องไห้อย่างลืมตัวนั้น ออกมาปลอบโยนกล่อมให้อีกฝ่ายสงบลงก่อน ส่วนยูคิตอนนี้กำลังยืนนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจและงุนงง เห็นดังนั้นนายตำรวจคนที่ทักพวกเขา จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เด็กหนุ่มรับฟัง

    "...ทางเราได้รับการแจ้งข่าวอุบัติเหตุรถชนสองคดีติดกัน ซึ่งคดีแรกนั้นเป็นคดีชนแล้วหนี ...เด็กถูกรถเฉี่ยวชน หมดสติไปบนกลางถนน แล้วเกือบถูกรถที่ขับตามมาทับซ้ำสอง แต่เคราะห์ดีที่ได้พ่อของคุณกระโดดไปขวางเอาไว้เสียก่อน เด็กเลยรอดมาได้...แต่คุณพ่อของคุณโชคร้าย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุครับ"

   ยูคินิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกเขารู้สึกว่าสมองของตัวเองตอนนั้นเบลอไปชั่วขณะ ส่วนทางด้านหญิงสาวมารดาของเด็กน้อยก็ได้แต่พร่ำขอโทษทั้งน้ำตา  ซึ่งยูคิพอจะจำได้ว่าตอนนั้นเขาหันไปบอกอีกฝ่ายว่าไม่เป็นไร แล้วขออนุญาตปลีกตัวจากทุกคนเข้าไปพบบิดาในห้องเพียงลำพัง

    เด็กหนุ่มเดินเหม่อไปหยุดอยู่ที่เตียงซึ่งมีผ้าคลุมหน้าร่างบนนั้นเอาไว้ มือเล็กค่อย ๆ หยิบผ้าที่คลุมหน้าออก นอกจากบาดแผลที่เลือดแห้งไปแล้ว มาซายะบิดาของเขาก็เหมือนกับคนที่กำลังหลับไปเฉย ๆ นั่นเอง

   "พ่อครับ...ผมควรจะดีใจใช่ไหมครับ...พ่อของผมเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตคนเอาไว้ทั้งคนแบบนี้แท้ ๆ ...แต่ว่าพ่อครับ...ทำไมไม่รู้นะครับ....ทำไมน้ำตาของผมมันถึงไม่ยอมหยุดไหลก็ไม่รู้...พ่อบอกผมได้ไหมครับ...ฮึก..."

   ยูคิพึมพำเจือสะอื้น ก่อนจะปล่อยโฮออกมาลั่นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาโผเข้ากอดศพบิดาแล้วร้องไห้คร่ำครวญแทบขาดใจ จนอาจารย์สาวและคุณตำรวจอีกสามคนต้องช่วยกันดึงร่างเล็กออกมา ซึ่งเด็กหนุ่มก็ดิ้นรนขัดขืนหมายจะพุ่งไปหาร่างไร้ชีวิตบนเตียงให้ได้ เจ้าตัวร้องไห้ฟูมฟายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสลบไป ทำให้อาจารย์ไซโจต้องรีบเรียกพยาบาลและหมอที่อยู่แถวนั้นมาดูอาการลูกศิษย์ของเธอด้วยความตกใจทันที



   ระหว่างที่รอดูอาการของลูกศิษย์ อาจารย์ไซโจก็สอบถามแพทย์ถึงเรื่องค่าใช้จ่ายก่อนหน้านั้น ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า มีใครบางคนช่วยจัดการให้แล้ว ทั้งที่เท่าที่เธอทราบ ลูกศิษย์ของเธอคนนี้ก็ไม่มีญาติคนใดหลงเหลืออยู่อีกแท้ ๆ

   "พ่อครับ...อย่าไป...อย่าทิ้งผมไป..."

   เสียงละเมอพึมพำดังขึ้นจากคนที่นอนหลับ คราบน้ำตาที่ไหลเป็นทางทั้งที่ดวงตาคู่นั้นยังคงปิดสนิท สร้างความสลดใจให้ผู้ที่ได้เห็น อาจารย์สาวตัดสินใจติดต่อไปที่โรงเรียน ซึ่งทางนั้นก็ยินดีจะช่วยเหลือในเรื่องการจัดงานศพให้  สร้างความโล่งอกให้กับหญิงสาวเป็นยิ่งนัก แต่ถึงแม้จะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากทางโรงเรียนก็ตาม เธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะออกทุนทรัพย์ส่วนตัว เพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ของเธอที่เป็นเด็กดีคนนี้เอง

   "วันนี้เธออาจจะรับมันไม่ไหว...แต่สักวัน เธอจะผ่านมันไปได้เอง...ครูเชื่อเช่นนั้นนะ"

   มือเรียวบางลูบศีรษะร่างเล็กด้วยความสงสาร จากนั้นจึงปล่อยให้เจ้าตัวได้หลับลึกไปอยู่เช่นนั้นโดยไม่คิดจะรบกวนแต่อย่างใด



   และเมื่อยูคิฟื้นขึ้น เด็กหนุ่มก็ต้องพบกับความเป็นจริงที่เขาอยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายอีกครั้ง หากแต่เพราะความช่วยเหลือรวมไปถึงกำลังใจจากทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและเพื่อนร่วมชั้น ก็ทำให้เขายืนหยัดฝ่าฟัน จนกระทั่งงานศพของบิดาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

   "แล้วต่อนี้ไปเธอจะทำยังไงล่ะทานากะ...เธอไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้วไม่ใช่หรือ"

   อาจารย์ไซโจถามศิษย์ของเธออย่างห่วงใย ในระหว่างมาเป็นเพื่อนเด็กหนุ่มที่วัดเพื่อรับอัฐิของบิดาอีกฝ่ายกลับบ้านของเจ้าตัว

   "....จริง ๆ แล้วผมยังมีญาติทางฝั่งคุณยายเหลืออยู่ที่ต่างจังหวัดน่ะครับ...อาจจะติดต่อกันยากสักนิดหน่อย...แต่ก็คงไม่ยากเกินไปนัก...อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับ"

   ยูคิตัดสินใจพูดปดออกไป เพราะเขามั่นใจว่าอาจารย์ที่ปรึกษาผู้แสนดีคนนี้ หากรู้ว่าเขาไม่เหลือใครอีกแล้ว เธอก็คงจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาอย่างเต็มใจ  ซึ่งยูคิไม่อยากจะรบกวนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้  เพราะเท่าที่ผ่านมาอาจารย์ไซโจก็ช่วยเหลือเขามามาก จนเขารู้สึกสำนึกในบุญคุณของอีกฝ่ายอย่างเหลือเกินแล้ว

    "อา...หรือจ๊ะ...โชคดีจังเลยนะ ...แต่ถ้ามีอะไรต้องการความช่วยเหลือก็บอกครูได้เลยนะจ๊ะ ครูยินดีช่วยเสมอ"

   "ครับ...ผมขอบคุณอาจารย์มากจริง ๆ นะครับ"

   ยูคิโค้งให้อีกฝ่ายด้วยความขอบคุณจากหัวใจ และขอแยกตัวนำอัฐิกลับที่พักของตนเอง ซึ่งอาจารย์สาวก็ยังเป็นห่วงและตามมาส่งจนเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์กลับที่พักเองได้อย่างปลอดภัยแน่แล้ว เธอจึงตรงกลับที่พักของตนเองบ้างเช่นกัน



   
   ห้องเดิมที่แสนจะคุ้นเคย ทว่ากลับแลดูว่างเปล่าเมื่อเจ้าของห้องนั้นรู้ดีว่า ใครคนหนึ่งที่เคยอยู่ด้วยกัน จะไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้วตลอดกาล

   "...ไม่ได้เก็บกวาดเสียหลายวัน รกไปหมดเลยแฮะ ...นี่ถ้าพ่ออยู่ด้วยคงโดนบ่นไปแล้ว...ฮะ ๆ"

   เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ดังขึ้น ขณะที่เจ้าของเสียงกอดกล่องใส่อัฐิในอ้อมอกไว้แน่น พร้อมกับถ้อยคำพึมพำที่หลุดออกมา
   "พ่อครับ...จริง ๆ แล้วผมรู้นะว่าพ่อน่ะ รักบ้านเก่าขนาดไหน...แต่ที่พ่อต้องขายมัน ก็เพื่อผม...และทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจไว้แล้วว่า...สักวันหนึ่ง...ผมจะรวบรวมเงินซื้อบ้านหลังเก่าคืนมาให้พ่อ ....ทั้งที่ผมตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นแล้วแท้ ๆ ...แต่ทำไม...ทำไมพ่อถึงหนีผมไปก่อนแบบนี้ล่ะครับ..."

   หยาดน้ำใส ๆ ไหลรินอาบแก้ม โดยที่เจ้าของไม่คิดจะห้าม ร่างเล็กนั้นสั่นเทาไปทั้งร่างด้วยแรงสะอื้น...ไม่มีอีกแล้ว คนที่จะคอยยิ้มแย้มตอบในยามที่เขามีความสุข...จะไม่มีอ้อมกอดที่คอยปลอบโยนเวลาเขาทุกข์ ...ไม่มีคนที่จะห่วงใยและพร้อมมอบให้แต่ความปรารถนาดีแก่เขาด้วยความจริงใจโดยไร้สิ่งใดตอบแทน อย่างที่เขาเคยได้รับก่อนหน้านั้นเสมอมา


   ภาพเด็กหนุ่มที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นตรงเบื้องหน้านั้น ทำให้คนซึ่งก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ชะงักฝีเท้าและเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเปรยขึ้นตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

   "อยู่คนเดียวแบบนี้ ทำไมไม่ปิดประตูห้องให้เรียบร้อย มันอันตรายนะรู้ไหม"

   ยูคิสะดุ้งเฮือก พลางหันขวับไปมองยังต้นเสียงด้วยความตกใจ ก่อนจะตกตะลึงซ้ำสองเมื่อพบว่าคนที่เพิ่งเข้ามา เป็นคนเดียวกับคนที่เขาเคยเจอเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้น

   "คุณมาที่นี่ทำไม..."

   ริวยะยืนนิ่งเฉยไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่ายในทันที แววตาคมกริบทอดแสงลงเมื่อเลื่อนลงจับจ้องมองที่กล่องใส่อัฐิในอ้อมกอดของอีกฝ่าย

   "ฉันมาที่นี่เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขา..."

   คำตอบของชายหนุ่มทำให้ยูคิต้องก้มลงมองไล่ตามสายตาของเจ้าตัว พลางย้อนถามกลับไปด้วยความแปลกใจ

   "กับคุณพ่อของผมอย่างนั้นหรือครับ..."

   "ใช่...วันที่พ่อเธอตาย บังเอิญฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย"

   ริวยะบอกไปตามตรง เขาขยับเดินเข้ามาใกล้ร่างเล็ก โดยไม่ได้คิดใส่ใจใบหน้าฉงนด้วยความสงสัยของอีกฝ่าย

   "คำสั่งเสียก่อนตายของพ่อเธอ ก็คือฝากเธอให้ฉันดูแล...ดังนั้นที่ฉันมาวันนี้ ก็คือมาเพื่อจะรับเธอไปอยู่ด้วยกัน"

   ยูคิเงยหน้าสบตากับแววตาคมกริบของอีกฝ่าย ก่อนจะก้มลงมองกล่องอัฐิในมืออย่างลังเล

   "คำตอบล่ะ ...ทานากะ ยูคิ"

   เสียงทุ้มวางอำนาจย้ำดังขึ้นตามมาอีกครั้ง ทำให้คนฟังสะดุ้งเฮือก เด็กหนุ่มค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย และแม้ว่าน้ำเสียงของชายหนุ่มเมื่อครู่จะดูคาดคั้นบีบบังคับคำตอบกับตนสักเพียงใด หากแต่ยูคิกลับรู้สึกว่าแววตาที่จ้องมองมายังเขาคู่นั้น มันมีความอบอุ่นอ่อนโยนบางเบาแอบแฝงให้ได้สัมผัส จนทำให้เขาต้องเผลอพยักหน้าตอบรับไปอย่างลืมตัว   

   "มาสิ...นับจากนี้เป็นต้นไป เธออยู่ในความดูแลของฉันแล้ว"

   มือใหญ่ที่ยื่นส่งมา ทำให้คนมองเงยหน้าสบตากับเจ้าของมือชั่วครู่ เด็กหนุ่มหันไปมองห้องที่แสนอ้างว้างรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลงนิ่งอย่างตัดสินใจ และเมื่อเขาลืมตาขึ้น มือเล็ก ๆ ของเขาจึงค่อย ๆ ยื่นไปข้างหน้าและวางทาบลงบนฝ่ามือใหญ่นั่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาถึงหัวใจเมื่อมือข้างนั้นกระชับตอบมือของตน

    ริวยะหันไปสั่งให้ลูกน้องที่เดินตามมาจัดการเก็บข้าวของสำคัญที่เหลือในห้องให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินจูงมือพาร่างเล็กไปกับตนยังรถยนต์คันหรูที่จอดรออยู่ด้านล่าง โดยไม่ได้สนใจสายตาสงสัยของเพื่อนร่วมอพาร์ทเมนท์ที่จ้องมองไล่หลังตามมา  ซึ่งแต่ละคนแม้อยากจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเพียงใด หากแต่เพราะชายในสูทดำห้าหกคนที่ยืนเรียงรายอยู่ละแวกนั้น ก็ทำให้พวกเขาจำต้องเก็บงำคำถาม และได้แต่แอบยืนดูเด็กหนุ่มซึ่งเคยอยู่อาศัยร่วมกัน ถูกพาตัวขึ้นรถไป จนกระทั่งรถยนต์คันหรูแล่นหายไปลับตา



.... TBC ....

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
rewrite ได้ดีขึ้นมากค่ะ ดูมีที่มาที่ไป ทำให้เนื้อเรื่องแน่นกว่าเดิมเยอะ และไม่สุดโต่งเกินจำพวกพระเอกซาดิส นายเอกเจ้าน้ำตาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ชอบค่ะ รอติดตาม

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ดูแลยูคิดีๆน้าา

ออฟไลน์ Der Adler

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +126/-0
ในที่สุดดดด :hao7: :hao7:
ริวยะก็มารับยูคิไปอยู่ด้วยเเล้วววว :katai2-1: :katai2-1:
นี้....ลุง(เรียกซะ....???) ดูแลยูคิดีๆนะ :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
คุณพ่อมาซายะ เป็นคนดีมากเลย

ต่อไปนี้ ริวยะ ก็ต้องดูแล ยูคิจัง ให้ดีให้สมกับที่ คุณพ่อมาซายะ ฝากฝังไว้ล่ะ


ออฟไลน์ moredee

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-8
 :o12:ติดหนึบแล้วนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4


บทที่ 4

   

   กำแพงรั้วไม้ยาวขนานไปกับถนน ทำให้ยูคิถึงกับมองตามด้วยความทึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตกตะลึงเมื่อรู้ว่าอาณาบริเวณกว้างขวางแห่งนี้คือสถานที่พักอาศัยของคนที่นั่งข้างกายเขา ซึ่งเด็กหนุ่มได้รับการแนะนำตัวจากอีกฝ่ายเพียงแค่ชื่อและนามสกุลก่อนหน้านี้เท่านั้น

   "มาสิ...ยูคิ"

   ริวยะเอ่ยกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงทุ้มวางอำนาจ ทำเอาคนฟังกลืนน้ำลายลงคอ ทว่าก็ยังคงส่งมือเล็กของตนให้อีกฝ่ายที่ยื่นมารอ และให้ชายหนุ่มนำพาตนลงจากรถเดินตรงไปยังประตูใหญ่ทางเข้าที่พักนั้น

   "ต่อจากนี้  ที่นี่คือบ้านของเธอเช่นกัน"

   ริวยะหันมาบอกคนที่กำลังยืนอึ้งตกตะลึงกับความสวยงามของคฤหาสน์สไตล์ญี่ปุ่นโบราณกึ่งประยุกต์ของตน ทว่าเขาก็ได้เห็นเด็กหนุ่มเบิกตาด้วยความตกใจอีกครั้ง เมื่อคนงานในบ้านทั้งหมดวิ่งออกมาตั้งแถวเพื่อรอรับพวกตน

   "ชิโนะ"

   ริวยะ เรียกชื่อของหญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่งในแถวให้ออกมาพบเขา หญิงผู้นั้นสวมชุดเสื้อกระโปรงสีขาวสุภาพ ใบหน้าเนียนเกลี้ยงเกลา เจ้าหล่อนมีลักษณะภายนอกน่าเกรงขาม ทว่าแววตายังคงแฝงแววอารีให้ได้เห็น

   “ชิโนะเป็นผู้ดูแลบ้านของที่นี่  ถ้าเธอมีอะไรสงสัยหรือต้องการข้าวของอะไรเพิ่มเติม ก็ให้บอกกับชิโนะได้เลย เข้าใจนะ"

   “อะ...ครับ... สวัสดีนะครับ ผมทานากะ ยูคิ ยินดีที่รู้จักครับ”

   เด็กหนุ่มรีบก้มศีรษะโค้งให้หญิงสาวทันทีที่ริวยะแนะนำตัวเจ้าหล่อนจบ ซึ่งหญิงตรงหน้าก็โค้งตอบรับอย่างสุภาพไม่แพ้กัน

   “ยินดีที่รู้จักเช่นกันค่ะ คุณยูคิ”

   ยูคิยิ้มเขินตอบ เพราะไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพเช่นนี้มาก่อน  จากนั้น ริวยะจึงหันมาสั่งให้เขาเดินตามตนไปยังห้องพัก ซึ่งเด็กหนุ่มก็ชะงักแล้วรีบเร่งฝีเท้าตามอย่างลำบากพอสมควร เนื่องจากช่วงขาที่ต่างกัน เพียงแค่คนข้างหน้าเดินเรื่อย ๆ ก็เท่ากับเขาที่ต้องซอยเท้าตามเสียหลายก้าวแล้ว

   

   บ้านพักอาศัยที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ของชายหนุ่ม ถูกจัดตกแต่งให้คล้ายกับสถานตากอากาศชั้นสูงแบบญี่ปุ่นโบราณ ทว่าวัสดุภายในนั้นใช้วัสดุสมัยใหม่ผสมผสานกับเนื้อไม้แข็งเก่าแก่และถูกออกแบบตกแต่งให้ลงตัวกันเป็นอย่างดี  สวนภายนอกบ้านนั้นจัดเป็นแบบสวนญี่ปุ่น มีกระถางใส่ต้นบอนไซราคาแพงตั้งประดับเป็นจุด ๆ อีกทั้งยังประกอบไปด้วยไม้พุ่มจำพวกมอสหรือไม่ก็เฟิร์นปลูกสลับกันมากมาย ต้นสนต้นใหญ่ปลูกตั้งตระหง่านกลางสวนและถูกดัดเป็นรูปทรงตามแบบนิยม นอกจากนี้ยังมีแอ่งน้ำตกและลำธารจำลองเลาะลัดไปมา ภายในน้ำมีปลาคาร์ฟสีสวยหลายตัวว่ายสวนกัน  สร้างความเย็นสบายและแสนเพลิดเพลินตายิ่งนัก

   ริวยะพายูคิเดินเลี้ยวลัดเลาะตามชานระเบียงบ้านมาจนถึงสุดทางเดินของบ้าน ก่อนจะเปิดบานประตูเลื่อนของห้องท้ายสุดออก ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวาง มีเตียงนอนขนาดหกฟุตตั้งอยู่บริเวณริมห้อง เบาะนั่งเล่น ตู้หนังสือ โต๊ะทำงาน รวมไปถึงตู้เสื้อผ้า ถูกจัดแบ่งออกเป็นสัดส่วน ทำให้บรรยากาศภายในห้องปลอดโปร่งสบายไม่อึดอัด นอกจากนั้นก็ยังมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัวอีกต่างหาก

   “ที่นี่คือห้องพักของเธอ สำหรับข้าวของจำเป็นอื่น ๆ ฉันจะให้คนจัดซื้อเพิ่มเติมให้ภายหลัง”

   ร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบ ทำให้ยูคิที่กำลังเดินเอาอัฐิบิดาไปวางไว้บนโต๊ะในห้องนั้น รีบหันขวับกลับมาแย้งทันที

   “เรื่องนั้นไม่ต้องหรอกครับ  เอ่อ....คือ ผมหมายความว่า ผมมีของใช้ของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ต้องลำบากซื้อใหม่หรอกครับ”

   เด็กหนุ่มรีบอธิบายต่อ เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจวูบหนึ่งของอีกฝ่าย ทันทีที่เขาปฏิเสธออกไป

   “ไม่เป็นไร เพราะฉันเต็มใจซื้อให้”

   น้ำเสียงทุ้มบอกง่าย ๆ แต่ยูคิรู้สึกถึงการออกคำสั่งแฝงไว้ในน้ำเสียงนั้นกลาย ๆ จึงทำให้เด็กหนุ่มต้องพยักหน้ารับอย่างจำใจ เพราะขณะนี้เขาอยู่ในฐานะผู้อาศัย การที่จะไปโต้แย้งคนที่มีพระคุณอุปการะเขา มันคงไม่ใช่การกระทำที่สมควรนัก

   “ฉันให้เวลาเธออาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยภายใน 30 นาที แล้วฉันจะให้คนมาพาเธอไปห้องอาหาร เราจะทานข้าวกลางวันพร้อมกันที่นั่น”

   ริวยะออกคำสั่ง โดยไม่ต้องรอถามความคิดเห็นของอีกฝ่าย เพราะในทันทีที่เขาพูดจบ ชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง  เหลือเพียงยูคิที่ยืนอยู่ในนั้นลำพัง ด้วยความรู้สึกกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย

   'หรือเราจะตัดสินใจผิด...ที่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา'

   ยูคินิ่งคิดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา แต่พอได้เหลือบไปเห็นอัฐิของบิดา เด็กหนุ่มก็เม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงพึมพำกับตัวเองแผ่วเบาในที่สุด

   “คุณพ่อครับ...ผมจะพยายามนะครับ...ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อที่อยู่บนสวรรค์ต้องเป็นกังวลแน่...ผมจะเข้มแข็งให้ถึงที่สุดครับพ่อ"

   

   ยูคิอาบน้ำเสร็จภายในเวลาสิบนาที และขณะกำลังคิดว่าจะหยิบเสื้อผ้าชุดเดิมมาใส่ต่อดีไหม เด็กหนุ่มที่เดินออกมาจากห้องอาบน้ำก็ได้พบว่าบัดนี้มีเสื้อผ้าชุดใหม่ วางพับเป็นระเบียบอยู่บนเตียงของตน ส่วนเสื้อผ้าเก่าที่ถอดใส่ไว้ในตะกร้าเสื้อผ้าตรงทางเข้าห้องน้ำ ก็อันตรธานหายไปเรียบร้อย

   ยูคิเดินตรงไปที่เสื้อผ้าชุดใหม่บนเตียงนอน ก่อนจะเพ่งพิจารณาเสื้อผ้าเหล่านั้นโดยละเอียด เสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงขายาวที่ตัดเย็บอย่างประณีต รวมไปถึงกางเกงชั้นในซึ่งมีเนื้อผ้านุ่มมือนั่น เมื่อพลิกยี่ห้อแต่ละชิ้นมาดู ก็ทำให้คนได้เห็นถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว

   “จะให้ใส่เสื้อผ้าพวกนี้จริง ๆ นี่นะ” 

   เด็กหนุ่มบ่นพึมพำ ก่อนจะพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า ริวยะคงซื้อชุดนี้ให้เขาเพื่อเป็นของขวัญต้อนรับเขาก็เป็นได้ 

   ยูคิใส่เสื้อผ้าชุดนั้นอย่างระมัดระวังสุดฤทธิ์ ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกลำบากใจกับการแต่งตัวขนาดนี้



    “คุณยูคิคะ นายท่านให้มาเชิญไปที่ห้องอาหารค่ะ”

   เสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงเรียกของหญิงสาว ทำให้ยูคิซึ่งกำลังนั่งเหม่อ ๆ บนเก้าอี้หลังจากแต่งตัวเสร็จได้พักใหญ่ถึงกับชะงัก พลางรีบวิ่งมาเปิดประตูพรวด จนหญิงสาวผู้นั้นตกใจ

   “อะ...เอ่อ ขอโทษครับ”

   “ไม่เป็นไรค่ะ เชิญตามดิฉันมาได้เลยค่ะ”

   หญิงสาวไว้ผมสั้นหน้าตาน่ารักที่ดูอายุมากกว่ายูคิเกือบห้าปีผู้นั้นยิ้มแย้มให้อย่างเป็นมิตร และเดินนำหน้าพาเด็กหนุ่มตรงไปยังห้องอาหาร ซึ่งระหว่างนั้นก็ทำให้ยูคิได้สังเกตรอบ ๆ บ้านอย่างถนัดตากว่าเดิมจากครั้งแรกที่ได้แต่มองผ่าน ๆ  และก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของเด็กหนุ่มมากขึ้นว่า ฐานะทางการเงินของริวยะนั้น เข้าข่ายขั้นอภิมหาเศรษฐีระดับแนวหน้าของญี่ปุ่นคนหนึ่งได้เลยทีเดียว



   “คุณคะ ถึงแล้วค่ะ”

   หญิงสาวที่เดินนำมาหันมาบอก และคอยยืนส่งเด็กหนุ่มแค่เพียงหน้าบานประตูแบบเลื่อนเท่านั้น และนั่นจึงทำให้ยูคิยืนอึ้ง ๆ ไม่กล้าเข้าไปเพียงลำพัง แม้ว่าในห้องนั้นจะมีร่างสูงในชุดยูคาตะนั่งขัดสมาธิรอคอยอยู่ที่เบาะนั่งตรงโต๊ะอาหารแบบญี่ปุ่นนั่นก่อนแล้วก็ตาม

   “เข้ามาสิ”

   น้ำเสียงทุ้มวางอำนาจออกคำสั่ง เมื่อเห็นร่างเล็กนั้นยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่กล้าเข้ามาในห้อง ซึ่งก็ทำให้คนยืนอยู่ถึงกับสะดุ้งนิด ๆ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ

   “อะ...ครับ”

   ยูคิเดินเข้ามาภายในห้องนั้นด้วยท่าทีเกรงใจ พร้อมกับทรุดลงขัดสมาธิบนเบาะนั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะกับชายหนุ่ม ซึ่งคนที่นั่งอยู่ก่อนก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไรอีกนอกจากเงียบเฉย จนกระทั่งคนในบ้านยกอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะ 

   อาหารแต่ละจานที่ได้เห็น ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความทึ่ง เพราะลำพังแค่เจ้าเห็ดมัตซึทาเกะที่ย่างหอมอยู่ในจานนับสิบชิ้นนั่นอย่างเดียว เขากับพ่อเองภายในปีหนึ่งจึงจะมีโอกาสได้กินสักหน นอกจากนี้ยังมีเนื้อวัวราคาแสนแพงอย่างเนื้อวัววากิวชั้นดี ที่แค่เห็นก็ทำให้น้ำลายสอได้แล้ว 



    สีหน้าตื่นเต้นและมีความสุขระหว่างที่ได้กินของอร่อยของอีกฝ่ายทำให้ริวยะลอบยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างพึงพอใจ ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อใบหน้าหวานนั้นกลับดูหมองลงหลังจากนั้นสักพัก   

   "มีอะไร อาหารไม่ถูกปากอย่างนั้นหรือ"

   คำถามที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังเหม่อสะดุ้ง แล้วจึงรีบเงยหน้าสบตาชายหนุ่มพร้อมเอ่ยปฏิเสธทั้งคำพูดและการกระทำ

   "ไม่ใช่นะครับ! อาหารอร่อยมาก! ผมไม่เคยกินอาหารที่ไหนอร่อยแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ นะครับ!"

   ริวยะมองคนที่พูดพร้อมสั่นศีรษะไปมา ก่อนจะขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วย้อนถามกลับไป

   "ถ้าอร่อย แล้วทำไมถึงต้องทำหน้าซึม ๆ แบบเมื่อครู่ด้วย"

   เด็กหนุ่มชะงักไม่คิดว่าจะถูกสังเกตสีหน้าระหว่างกินเช่นนี้ เขาเงียบไปสักพักแล้วจึงเอ่ยตอบพึมพำ

   "อาหารอร่อยครับ...แต่ผมคิดถึงพ่อ...ถ้าพ่อได้มากินอาหารอร่อย ๆ แบบนี้ด้วยกัน ...พ่อคงจะมีความสุขมากเลยทีเดียว"

   ชายหนุ่มรับฟังด้วยท่าทางนิ่งเฉยไร้คำปลอบโยน ทำให้ยูคิต้องก้มหน้ามองโต๊ะ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงรำคาญตน ทว่าเขาก็ต้องสะดุ้งนิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มของคนที่นั่งตรงข้ามดังขึ้น

   "ไม่ว่าคุณมาซายะเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่ฉันเชื่อว่าคนอย่างเขาคงจะมีรอยยิ้มให้เห็น ถ้าลูกชายคนสำคัญของตัวเองสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ทุกวันนั่นล่ะ"

   ยูคิเม้มปากน้อย ๆ เขาใช้นิ้วซับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา แล้วนั่งกินต่อไปเงียบ ๆ เช่นเดียวกับชายหนุ่ม และเมื่อมื้อนั้นสิ้นสุดลง ริวยะก็สั่งให้อีกฝ่ายไปพักผ่อนให้สบายใจในวันนี้ก่อน และพรุ่งนี้เขาจะบอกเองว่าเด็กหนุ่มนั้นจะต้องทำอะไรต่อไป

   "ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าและอาหารนะครับ คุณริวยะ"

   คนพูดเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งศีรษะน้อมกายน้อย ๆ ให้ชายหนุ่ม ซึ่งริวยะก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ไม่พูดโต้ตอบอะไร เห็นดังนั้นยูคิจึงขอตัวเดินกลับห้องพัก โดยมีสาวรับใช้คนเดิมนำไปส่งเด็กหนุ่มจนถึงห้อง



   เมื่อมาถึงห้องพัก เด็กหนุ่มก็ตรงเข้าทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่หนานุ่มนั้นอย่างอ่อนแรง พลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่

   "คุณริวยะ...คุณเป็นคนแบบไหนกันแน่...บางทีก็ดูเย็นชา แต่บางครั้งก็เหมือนจะอ่อนโยน... ถ้าอยู่ด้วยกันไปนานกว่านี้ ผมจะเข้าใจตัวคุณได้มากยิ่งขึ้นไหมนะ"

   คนพูดพึมพำกับตนเอง แล้วจึงค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะกลายเป็นหลับสนิทตามมาอย่างอ่อนเพลีย เพราะเมื่อช่วงงานศพของบิดาที่ผ่านมา เด็กหนุ่มแทบจะไม่ได้นอนเท่าใดนักนั่นเอง

   

   ภาพของคนที่หลับสนิท ทำให้คนที่เคาะประตูเรียกแต่ไร้เสียงตอบรับจนต้องเปิดเข้ามาดู ต้องชะงักก่อนจะหลุดอุทานออกมาแผ่วเบาอย่างสงสารแกมเอ็นดู

   "โถ...พ่อคุณ"

   เพราะได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายให้ดูแลแขกคนนี้เป็นพิเศษ จึงทำให้ผู้ดูแลคฤหาสน์หลังนี้อย่างชิโนะ ต้องมาคอยดูแลธุระต่าง ๆ ของเด็กหนุ่มด้วยตนเอง และยิ่งเมื่อเธอได้รับรู้ประวัติคร่าว ๆ ของอีกฝ่ายก่อนหน้านั้นเข้าให้ด้วยแล้ว หญิงสาวก็รู้สึกเห็นใจเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นยิ่งนัก

   แม่บ้านคนเก่งสำรวจความเรียบร้อยภายในห้อง ก่อนจะนำชุดเก่าของเด็กหนุ่มที่ซักรีดเรียบร้อยไปเก็บที่ตู้เสื้อผ้า แล้วจึงเดินออกจากห้องไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา โดยคนที่หลับอยู่ไม่ทันรู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย

   

   ช่วงเวลาบ่ายคล้อยเย็น ยูคิก็สะลึมสะลือตื่นขึ้น เขาเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรอยยับจากเสื้อผ้าราคาแพงของตน

   "แย่ละ...ดันเผลอหลับไปทั้งชุดแบบนี้"

   เจ้ารอยยับย่นที่เกิดขึ้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกังวลแกมเกรงใจ และกลัวจะถูกคนซื้อเสื้อให้ตำหนิที่เขาไม่ดูแลรักษามันเท่าที่ควร

   "ไปยืมเตารีดมารีดดีกว่า"

   เด็กหนุ่มตัดสินใจออกไปหยิบยืมเตารีดจากคนแถวนี้ ทว่าพอเปิดประตูเดินออกไปและเคาะเรียกห้องข้าง ๆ เขาก็ต้องแปลกใจเพราะมันไร้เสียงตอบรับ เด็กหนุ่มจึงเอ่ยปากขออนุญาตแล้วตัดสินใจเปิดประตูบานเลื่อนห้องนั้นออก และเขาก็พบว่ามันเป็นเพียงห้องว่างโล่ง ๆ ปูด้วยเสื่อญี่ปุ่น เฟอร์นิเจอร์ในนั้นมีเพียงโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กตั้งอยู่กลางห้องพร้อมเบาะนั่งล้อมรอบ ริมห้องมีชั้นวางเตี้ย ๆ ประดับด้วยบอนไซกระถางเล็ก และมีภาพตัวเขียนพู่กันประดับห้อยไว้อยู่บนบานผนังเพียงเท่านั้น

   "ห้องนั่งเล่น?"

   ยูคิพึมพำกับตนเอง เพราะจะว่าไปห้องนี้หากเปิดประตูบานเลื่อนด้านนอกจนสุด ก็เท่ากับเป็นห้องชมวิวจากสวนด้านนอกได้เป็นอย่างดีทีเดียว

   "...แต่ที่แน่ ๆ คงไม่มีเตารีดให้ยืมแน่ล่ะนะ"

   เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ แล้วจึงตัดสินใจเลื่อนบานประตูห้องปิดลง ก่อนจะตัดสินใจออกเดินเพื่อหาคนถามไถ่ต่อ หากแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นเดิน บานประตูเลื่อนของห้องถัดไป ก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน

   "เอ่อ...สวัสดีครับ คุณ..."

   ยูคิทักคนที่เปิดประตูออกมาด้วยความตกใจปนประหม่า เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่ดูดีทั้งหน้าตา รูปร่าง รวมไปถึงกิริยาท่าทางในยามที่ก้าวเดินออกมาจากห้องนั้นและยืนเผชิญหน้ากับเขา

   "สวัสดีครับคุณยูคิ...ผมทาคุ เป็นหนึ่งในคนงานของที่นี่ครับ"

   ชายหนุ่มตรงหน้าแนะนำตัวเองพลางโค้งศีรษะให้เด็กหนุ่มอย่างนอบน้อม ทำเอายูคิต้องรีบโค้งศีรษะตอบ เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าเป็นคนงานที่นี่ก็ตาม  หากแต่เขามองดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมที่หวีเรียบเป็นทรง เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงผ้าสีเทาสุภาพที่มองปราดเดียวก็พอจะรู้ว่าเป็นของดีมีราคา ที่สำคัญเรื่องการใช้คำพูดและอากัปกิริยาในการวางตัว อีกฝ่ายนั้นดูราวกับเป็นคนมีชาติตระกูลที่ถูกสั่งสอนอบรมบ่มเพาะมารยาทมาเป็นอย่างดี

   "คุณยูคิออกมาเดินข้างนอกแบบนี้ มีธุระอะไรหรือครับ"

   ทาคุเอ่ยถามต่อ ทำให้คนที่กำลังเผลอลอบสังเกตรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ แก้เก้อแทน

   "คือ...ผมอยากได้เตารีดน่ะครับ...แบบว่าผมเผลอนอนหลับไปทั้งชุดจนมันยับ ก็เลยอยากได้เตารีดมารีดสักหน่อย"

   ยูคิบอกไปตามตรง ทว่านั่นกลับทำให้คนหน้าสวยขมวดคิ้วเรียวน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นตามมาบ้าง

   "ถ้าอย่างนั้นผมว่าคุณไปเปลี่ยนเป็นชุดใหม่จะไม่ง่ายกว่าหรือครับ  ส่วนชุดนี้ก็ใส่ตะกร้าไว้ เดี๋ยวแม่บ้านที่นี่ก็มาเก็บไปซักเองนั่นล่ะครับ"

   ยูคิชะงัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นตอบเสียงค่อย

   "แต่ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนนี่ครับ...ผมไม่ได้หยิบเสื้อผ้าชุดเก่าติดมาเลยนอกจากชุดที่ใส่มา"

   คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างสุภาพ

   "แล้วคุณได้เปิดตู้เสื้อผ้าในห้องดูบ้างหรือยังครับ"

   เด็กหนุ่มชะงักอีกครั้ง ก่อนจะสั่นศีรษะค่อย ๆ พร้อมตอบ

   "ยังเลยครับ...อ๊ะ หรือว่าคุณริวยะให้คนเอาเสื้อผ้าชุดเก่าของผมมาเก็บไว้ให้แล้ว"

   ยูคิคาดเดาเอาแล้วมีสีหน้าที่สบายใจขึ้นกว่าเดิม จนคนมองต้องลอบหายใจเบา ๆ

   "คุณลองไปเช็คดูเองดีกว่าครับ...แล้วถ้ามีอะไรต้องการความช่วยเหลือก็โทรสายในเรียกหาคนงานใครก็ได้ หรือมาตามผมที่ห้องนี้ได้ตลอดเวลานะครับ"

   ชายหนุ่มบอกพลางโค้งศีรษะนิด ๆ ให้คนตรงหน้า ทำเอายูคิต้องรีบโค้งศีรษะตอบ ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย จากนั้นจึงเดินตรงกลับไปยังห้องนอนของตนทันที ทิ้งให้ร่างสูงของอีกคนมองตามไล่หลังไปด้วยความรู้สึกสงสารแกมเห็นใจ ก่อนจะหวนคิดถึงตอนที่ผู้เป็นนายออกคำสั่งให้เขามาคอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลและฝึกอบรมการใช้ชีวิตของเด็กหนุ่มนับจากนี้ไป

   ในยามที่พูดถึงยูคิ สายตาของริวยะวูบไหวและอ่อนแสงลง นั่นเป็นครั้งแรกที่ทาคุได้เห็นสายตาอ่อนโยนอย่างยากยิ่งที่อีกฝ่ายจะมีให้กับคนอื่น นอกเหนือจากคนในครอบครัว และมิตรสหายที่สนิทชิดเชื้อและรู้จักกันมาหลายปีเท่านั้น

   "คุณริวยะ...หวังว่าคุณคงไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนี้ เหมือนอย่างที่ผมสังหรณ์ใจเอาไว้หรอกนะครับ"

   ทาคุพึมพำกับตนเองแผ่วเบา เขาไม่นึกรังเกียจหรือคัดค้าน หากริวยะจะมีความรู้สึกลึกซึ้งกับเด็กหนุ่มผู้นี้  หากแต่เขาไม่มั่นใจว่า ยูคิเองนั้นจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับริวยะหรือไม่  สำหรับคนอย่างริวยะแล้ว หากต้องการอะไรก็ต้องใช้ทุกวิถีทางนำมาเป็นของตนเองให้ได้  แต่ในเรื่องความรักแล้วนั้น ทาคุกลัวเหลือเกินว่า หากริวยะยังคงดึงดันทำเหมือนทุกครั้ง บางทีคนที่เจ็บปวดที่สุดอาจจะไม่ใช่ยูคิ แต่อาจจะกลายเป็นเจ้านายที่เขาเคารพนับถือผู้นี้เองก็เป็นได้



... TBC ....


มาแปะต่อค่ะ หลังจากตอนที่ 4 เนื้อหาจะแตกต่างจากต้นฉบับ แต่ก็ยังมีบางฉากที่ชอบ ๆ ก็เก็บไว้ โดยรวมแล้ว ความสัมพันธ์ของคู่นี้จะไม่เน้นรวบรัดแบบของเก่า แต่จะค่อย ๆ ศึกษากันไป (เพียงแต่นิสัยริวยะก็ยังเอาแต่ใจเหมือนเดิม แต่โดยรวมแล้ววางตัวได้ดีกว่าของเดิมล่ะนะคะ ^^")

ออฟไลน์ Der Adler

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +126/-0
ไปแบบเรื่อยๆอ่านเเบบเพลินๆๆ :katai2-1: :katai2-1: :mc4: :mc4:

ปล.ลุงแก(ริวยะ)ยังคงคอร์เซ็ปเดิมคร้าาาาา.....>>>เอาแต่ใจ ชอบสั่ง ขี้หึง  และที่สุด หื่นคร้าาาา :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
พี่ริว ขรึมเกิน น้องเขากลัวนะ

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ถึงจะรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว แต่อ่านแล้วก็ยังสนุก
ถูกใจฉบับรีเมกมาก ปกติเจอแต่รีไรท์   :laugh3:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ชอบเหมมือนกันค่ะ ดูพระเอกไม่รวบรัดตัดตอนเกินไปนัก

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เลี้ยงต้อยสุดอ่ะ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ตอนนี้เหมือน ริวยะ เป็นอาเสี่ยเลยอ่ะ

555

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
คุณริวยะเลี้ยงต้อยสินะ คิคิคิ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4


บทที่ 5

   

   ยูคิกลับเข้ามาในห้องและตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า ก่อนจะต้องพบกับความตกตะลึงเมื่อได้พบกับชุดใหม่นับสิบชุด ที่ล้วนแล้วแต่เป็นของแบรนด์เนมมียี่ห้อด้วยกันทั้งสิ้น

   "อะไรเนี่ย...นึกว่าจะมีชุดแบบนี้ให้แค่ชุดเดียวเสียอีก..."

   เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง แล้วมีสีหน้าลำบากใจยิ่งขึ้น เขามองชุดแต่ละชุดที่ถูกซักรีดมาเป็นอย่างดีไร้รอยยับ ก่อนจะก้มลงมองเสื้อผ้าที่ตนใส่ ขณะที่ยูคิกำลังคิดหนักว่าจะใส่ชุดเดิมไปก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนดีไหมนั้น เขาก็พลันไปเห็นชุดเก่าของตนที่ใส่มาจากห้องเช่าเดิม ถูกพับเก็บเรียบร้อยที่ชั้นวางเสื้อผ้าในตู้นั้น

   "อ๊ะ! นั่นเสื้อเรานี่นา  ค่อยยังชั่ว...มีเสื้อผ้าธรรมดาไว้ใส่กับเขาสักที"

   แม้จะเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงนักเรียนขายาวธรรมดา แต่นี่ก็ถือว่าก็เป็นชุดสุภาพที่สุดที่เด็กหนุ่มมีแล้ว



   และเมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น ยูคิจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นชุดเดิมที่ใส่มา ทำเอาสาวใช้ที่มาตามเด็กหนุ่มถึงกับชะงัก แต่เจ้าหล่อนก็ไม่กล้าพูดติงอะไร เพียงแต่ยูคินั้นสังเกตได้ว่า เขาถูกอีกฝ่ายลอบมองด้วยสายตากังวลเป็นระยะ จนกระทั่งถึงห้องอาหาร

    "คุณยูคิมาแล้วค่ะท่านริวยะ"

   หญิงสาวคนนั้นบอกกับอีกฝ่ายที่กำลังนั่งคุยกับทาคุและชายหนุ่มอีกคนซึ่งยูคิจำได้ว่า เป็นคนที่มารับริวยะเมื่อวันที่เกิดเหตุนั่นเอง

   "ทำไมถึงแต่งชุดเก่า...หรือว่ายังไม่มีใครเอาเสื้อผ้าใหม่ไปให้"

   น้ำเสียงกึ่งตำหนิและแววตาคมกริบที่เหลือบมา ทำให้สาวใช้ผู้นั้นรีบก้มหน้าหลบตา ร้อนถึงยูคิต้องรีบแก้ตัวก่อนที่ริวยะจะตำหนิอีกฝ่าย

   "เปล่าครับ เสื้อผ้ามีเต็มตู้ แต่ผมเลือกใส่ชุดเก่าเองครับ!"

   คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนถามกลับไปสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงติดห้วน

   "ทำไม?"

   "เอ่อ....ผมคิดว่า เสื้อผ้าพวกนั้นมันแพงเกินไปสำหรับคนอย่างผม...แค่คุณเมตตาให้มาอยู่อาศัยด้วยกัน ผมว่าแค่นี้ก็เป็นบุญคุณกับผมมากมายจนชดใช้ไม่หมดแล้วล่ะครับ"

   ยูคิบอกไปตามตรง ทำให้ริวยะชะงัก เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงที่ลดความตึงเครียดลงจากเดิมเล็กน้อย

   "ฉันพอใจและเต็มใจที่จะจัดหาของพวกนั้นมาให้เธอ...และฉันก็จะพอใจมาก ถ้าเธอยอมรับมันโดยไร้ข้อโต้แย้งด้วยล่ะนะ"

   ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ กับถ้อยคำที่สรุปใจความได้ว่าให้เขาทำตามคำสั่งเสียแต่โดยดี  และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจเดินเข้ามาในห้องและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่ายเช่นเคย

   "ถ้าอย่างนั้นผมกับอากิระขอตัวก่อนนะครับ"

   ทาคุบอกกับผู้เป็นเจ้านาย หากแต่ริวยะนั้นรั้งเอาไว้ แล้วหันมาทางเด็กหนุ่ม

   "ทาคุบอกว่าเขาเจอเธอแล้วเมื่อบ่าย แต่ฉันจะแนะนำเขาให้เธอรู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้ง...ผู้ชายคนนี้คือ ทาคาคุระ ทาคุ มีหน้าที่ดูแลเธอหลังจากวันนี้เป็นต้นไป"

   ยูคินิ่งอึ้ง และก็ยิ่งตกใจเมื่ออีกฝ่ายที่นั่งคุกเข่าอยู่ก้มศีรษะโค้งให้เขา ทำให้เขาต้องรีบโค้งตอบ ก่อนจะหันไปทางริวยะด้วยความงุนงง

   "เอ่อ...ทำไมผมถึงต้องมีคนดูแลด้วยล่ะครับ...ผมแค่คนที่มาขออาศัยคุณอยู่แค่นั้นไม่ใช่หรือครับ"

   ริวยะชะงักก่อนจะนิ่งเงียบไปคล้ายไม่ใส่ใจต่อคำถามนั้น นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มท่าทางอารมณ์ดีซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ อีกคนอมยิ้ม แล้วจึงหันไปทางยูคิก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเองโดยไม่ต้องมีคนขอ

   "สวัสดีครับคุณยูคิ ผม มัตสึโอกะ อากิระ เราเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้ว จำได้ไหมครับ"

   "อ๊ะ... สวัสดีครับ จำได้สิครับ"

   ยูคิรีบตอบ ทำให้คนพูดมีรอยยิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยต่อ

   "ท่านริวยะเล็งเห็นความสามารถของคุณ จึงอยากให้คุณมาช่วย งานในบริษัทของท่านในอนาคตข้างหน้าน่ะครับ ท่านจึงต้องให้ทาคุคอยดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้คุณ คอยสอนเรื่องงานต่าง ๆ ให้...มันก็อะไรประมาณนั้นล่ะครับ"

   ยูคินิ่งอึ้งแล้วหันไปมองริวยะ ซึ่งก็มีท่าทีนิ่งเฉยเช่นเคย แต่สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องมาที่เขาไม่วางตา

   "คุณต้องการให้ผมเข้าทำงานในบริษัทของคุณหรือครับ"

    "ความสามารถของเธอ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่จะเป็นพนักงานในบริษัทของฉันได้อย่างสบาย... และฉันหวังว่าเธอคงจะเต็มใจรับข้อเสนอนี้ ...หรือถ้าเธอเห็นว่ามันมากไป ก็คิดเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ฉันรับเธอมาเลี้ยงดูที่นี่ก็แล้วกัน"

   ท้ายประโยคริวยะนั้นดักคอก่อนที่เด็กหนุ่มจะโต้แย้ง ทำเอายูคิพูดอะไรไม่ออก ได้แต่รับคำเสียงค่อย แม้ในใจจะคิดว่าถึงอย่างไรสิ่งที่ริวยะให้เขามาก็มากมายเกินไปอยู่ดี

   "ถ้าเรียบร้อยแล้ว ผมกับทาคุคงต้องขอตัวก่อนนะครับท่านริวยะ"

   ผู้พูดเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จึงได้ใช้สายตาไล่อีกฝ่ายอย่างรำคาญ หากแต่คนถูกไล่นั้นกลับไม่โกรธซ้ำยังหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีเสียแทน ผิดกับชายหนุ่มผู้สุภาพที่ลอบถอนหายใจด้วยความเอือมระอา เพราะพอจะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทนั้นแหย่เจ้านายตนเองเข้าให้อีกแล้ว



   เมื่อออกมาจากห้อง ทาคุก็เดินตรงไปที่ครัวซึ่งอากิระเองก็เดินตามไปเรื่อย ๆ ทำให้คนที่เดินไปก่อนหันมามองอย่างแปลกใจ

   "ตามมาทำไม ปกติกินมื้อเย็นที่ห้องตัวเองไม่ใช่หรือไง"

   อากิระยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงบอกออกไปตามตรงพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

   "ก็กำลังคันปากอยากเมาท์  ขืนกินคนเดียวก็ไม่มีเพื่อนคุยน่ะสิ"

   "ถ้าจะนินทาเจ้านาย ไม่ต้องมาชวนฉันคุยด้วยเลย"

   ทาคุเปรยใส่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้คนฟังชะงักก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ตามมา

   "นายนี่นะรู้ทันกันไปเสียหมด...ถ้าอย่างนั้นก็พอจะรู้แล้วสิ ว่าท่านริวยะน่ะมองเด็กนั่นด้วยสายตาแบบไหน"

   ทาคุหันมาใช้สายตาปรามตำหนิ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ พลางยกมือทักทายคนงานที่เดินผ่านแล้วโค้งให้ตน ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลงมาหน่อย

   "ฉันละขำ ตอนที่เด็กนั่นถามท่านริวยะว่า ทำไมถึงต้องให้นายคอยดูแลเขาด้วย...เล่นเอาท่านริวยะไปไม่เป็นเลยทีเดียว แต่ก็ยังอุตสาห์ทำเป็นเงียบขรึมให้อีกฝ่ายเกรงใจไม่กล้าถามต่อ...ฉันก็เลยต้องช่วยตามประสาลูกน้องที่ดีนั่นล่ะนะ แต่กลับโดนเขม่นไล่เสียได้ หึ ๆ"

   "ท่านริวยะแค่เขม่นนายก็ดีแค่ไหนละ ถ้าเป็นฉันคงออกปากไล่โดยไม่ไว้หน้ากันแล้ว"

   ทาคุเอ่ยสวนอย่างหมั่นไส้ ทำให้คนนินทายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ พลางวกกลับไปคุยเรื่องเจ้านายของตนต่อ

   "ฉันว่าคนอย่างท่านริวยะก็คงพอจะรู้ตัวเองแล้วล่ะว่าคิดยังไงกับเด็กนั่น แต่ที่ยังไม่ลงมือรวบรัด ก็คงเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ท่านรู้สึกอะไรแบบนี้กับคนอื่นก็ได้...หึ! มือใหม่ก็งี้ล่ะ เห็นทีมืออาชีพอย่างฉันคงต้องเสนอตัวช่วยสอนให้เสียแล้ว"

   อากิระบอกแล้วก็ยกยิ้มน้อย ๆ ให้กับคนที่หันมาหาพลางจ้องมองตนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันกลับแล้วเดินเงียบ ๆ ไปที่ครัวด้วยความไม่พอใจ จนคนที่มองตามต้องอมยิ้ม

   "โกรธหรือไง...โอเค ๆ ไม่นินทาท่านริวยะแล้วก็ได้ อย่าโกรธกันเลยน่า ...ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็คงจะแทบไม่ได้เจอหน้านายแล้วด้วย แค่คิดก็เบื่อแย่ละ"

   ทาคุชะงักฝีเท้า แล้วจึงหันมามองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้าง

   "หลังจากนี้ที่บริษัทคงจะลำบากนายหลาย ๆ เรื่อง ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาแล้วกัน เพราะถ้าเป็นช่วงกลางวันที่คุณยูคิต้องไปเรียน ฉันก็คงจะว่างไปช่วยทางนายได้บ้าง"

   อากิระนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะแย้มยิ้มส่งให้อีกฝ่าย ทว่าไม่ใช่รอยยิ้มกวนอารมณ์เช่นเดิม หากแต่กลับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนผิดเคย

    "ขอบใจที่เป็นห่วงกัน...ยังไงฉันก็จะทำหน้าที่ทั้งมือขวาและบอดี้การ์ดของท่านริวยะไม่ให้ขาดตกบกพร่องทั้งสองอย่าง นายไว้ใจกันได้เลย"

   ทาคุฟังแล้วจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ตอบ จากนั้นทั้งคู่จึงเดินไปที่ครัว ซึ่งก็มีคนงานบางคนนั่งกินข้าวอยู่ พอแต่ละคนเห็นว่าใครเข้ามาก็พากันลุกและโค้งให้พลางเชื้อเชิญให้ทั้งคู่ร่วมโต๊ะอย่างเต็มใจ  ซึ่งอากิระกับทาคุก็ยิ้มตอบและร่วมวงอาหารกับคนงานเหล่านั้น  ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนเก่าแก่และสนิทสนมกันดี ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ทุกคนในที่นี้ก็ยังคงสนทนาและมอบความเกรงใจให้กับทั้งสองหนุ่มเสมือนผู้เป็นเจ้านายอีกคนของพวกตนอยู่ดีนั่นเอง

   

   มื้อเย็นที่แสนอร่อยทว่ากลับเต็มไปด้วยความอึดอัด เนื่องด้วยผู้ร่วมรับประทานอาหารในห้อง ต่างไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ ต่อกัน จนกระทั่งมื้อนั้นจบลงในที่สุด เสียงทอดถอนหายใจเบา ๆ ของใครคนหนึ่งจึงดังขึ้นอย่างลืมตัว

   "เป็นอะไรไป...อาหารมื้อนี้ไม่ถูกปากหรือไง"

   ชายหนุ่มที่ได้ยินเสียงถอนหายใจนั้นชัดเจนดี เอ่ยถามเสียงเรียบ หากแต่แววตาคาดคั้นเอาคำตอบจนคนมองต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคอ

    “เอ่อ...ไม่ใช่ครับ  อาหารอร่อยมาก แต่...”

     ยูคิหยุดชะงักไว้แค่นั้น และเริ่มลังเลว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่ หากแต่ดูเหมือนคนที่ไม่ชอบการรอคอยจะอดทนรอไม่ไหว จึงได้ย้ำถามเสียก่อน

   “แต่อะไร?”

    คำถามนั้นทำให้ยูคิต้องเงยหน้าสบตาชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะหลุบตาลง แล้วตัดสินใจตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    "เอ่อ...คือปกติแล้ว เวลาทานอาหารด้วยกันกับพ่อที่บ้าน ...เราสองคนมักจะมีเรื่องราวที่พบเจอในวันนั้นมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเสมอ ...แต่พอต้องมาทานอาหารด้วยความเงียบแบบนี้ มันชวนให้ผมรู้สึก...เอ่อ...อึดอัดนิดหน่อย....ขอโทษนะครับ ผมก็รู้ดีว่า แต่ละบ้านไม่เหมือนกัน...”

    พอพูดถึงตอนนี้ ยูคิก็ต้องช้อนตาชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ และก็ได้พบว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นกำลังนิ่งขรึม ส่วนแววตาก็จ้องมองเขานิ่งเฉยอย่างน่าหวาดหวั่น 

    “สำหรับฉัน เวลาทานข้าว ไม่ใช่เวลาพูดคุย”

    ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบในที่สุด มันสั้นแต่ชัดเจน จนยูคิที่แม้จะเตรียมใจรับฟังไว้แล้วยังอดชะงักไม่ได้

    “ครับ...ผมทราบแล้วครับ...ขอโทษด้วยนะครับ”   

    เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาตอบรับแผ่วเบา รู้สึกหวิว ๆ ในอกต่อคำพูดเย็นชานั้น ทว่า...

   “แต่ถ้าเธออยากคุย ฉันก็อนุญาต”

    คำพูดถัดมาทำให้คนฟังต้องเผลอเงยหน้าขึ้นประสานสายตาอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ทว่าสิ่งที่ทำให้ยูคิตกตะลึงไปยิ่งกว่านั้นก็คือ รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ประดับบนริมฝีปากได้รูปบนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย

    “หรือไม่ต้องการล่ะ”   

    คนถามแกล้งถามเพราะเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าตกตะลึงอยู่สักพัก และพอได้ยินเช่นนั้น ยูคิก็สะดุ้งโหยงก่อนจะรีบสั่นศีรษะไปมา จนคนมองต้องลอบยิ้ม

    “คืนนี้พักผ่อนเสียให้เต็มที่ ไม่ต้องคิดกังวลอะไร ...อยู่กับฉันแล้ว ไม่ว่าใครก็ทำอันตรายใด ๆ เธอไม่ได้ทั้งนั้น" 

    คำพูดพร้อมแววตาจริงจังที่จับจ้องมองมาของอีกฝ่าย ทำให้ยูคิเงียบกริบ ก่อนจะตามมาด้วยอาการร้อนวาบบนใบหน้าอย่างประหลาด เด็กหนุ่มค่อย ๆ หลุบตาหลบ แล้วพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ซึ่งก็สร้างความพึงพอใจให้กับริวยะเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มกล่าวลาสั้น ๆ แล้วเดินออกไปนอกห้อง ทิ้งให้ยูคินั่งนิ่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่สักพัก จนสาวใช้ที่รออยู่ต้องเอ่ยทัก เด็กหนุ่มจึงสะดุ้งและรู้สึกตัว ก่อนจะรีบขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเสียยกใหญ่ ทำเอาหญิงสาวต้องจำไว้ว่าเห็นทีคราวหน้าคงต้องปล่อยให้แขกผู้แสนน่ารักและสุภาพผู้นี้นั่งคิดโน่นนี่เพลิน ๆ ไปโดยไม่ต้องเอ่ยทัก มิเช่นนั้นเธอคงได้ถูกคุณหัวหน้าผู้ดูแลอย่างชิโนะตำหนิเอาเข้าสักวัน ที่ทำให้แขกพิเศษอย่างเด็กหนุ่มต้องมาก้มหัวขอโทษตนเองบ่อย ๆ เช่นนี้ล่ะนะ



.... TBC ....


ตอนนี้สั้นไปนิดหน่อย ขออภัยด้วยค่ะ  ^^" 

ในฉบับดั้งเดิมนั้นทาคุกับอากิระ จะเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน แต่ภาครีเมกตั้งใจจะให้กินกันเองนี่ล่ะค่ะ ไหน ๆ ก็เพิ่มบทให้ละ จะได้ไม่เสียของ ....อิ ๆ นักอ่านว่าไงมั่งคะสำหรับคู่คุณมือขวา มือซ้ายของป๋าเขาเนี่ย น่าจะเหมาะกันดีไหมเอ่ย?


 

ออฟไลน์ leknoey

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-2
อร๊ายยยย  อากิระ ทาคุ   :impress2:
เชียร์คู่นี้ตั้งแต่เวอร์เก่า  :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด