กรงรัก...พันธนาการใจ(ฉบับรีเมก) : ตอนพิเศษ:(เพิ่มเติม)17/10/57- (นิยายจบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงรัก...พันธนาการใจ(ฉบับรีเมก) : ตอนพิเศษ:(เพิ่มเติม)17/10/57- (นิยายจบแล้วค่ะ)  (อ่าน 95157 ครั้ง)

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

บทที่ 25



    เซอิจิกลับมาที่ห้องพักของตนเพียงลำพัง โดยสั่งให้ลูกน้องคนสนิทคอยเฝ้าดูแลที่บริเวณห้องของยูคิแทน

   "...เลือกระหว่างเส้นทางที่ฉันต้องการให้ริวยะเป็น หรือเลือกความสุขของริวยะอย่างนั้นหรือ...เจ้าหนูนั่น มันทำให้ฉันคิดถึงนายขึ้นมาจริง ๆ เลยนะ เรียว"

   ชายชราหวนคิดถึงเรื่องราวระหว่างเขาและอดีตเพื่อนรัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "เฮ้อ... ถ้าพ่อยังมีชีวิตอยู่ คงจะได้หัวเราะแล้วสมน้ำหน้าฉัน ที่ต้องถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนไหนไม่รู้ มาพูดจาสั่งสอนต่อหน้า เหมือนตอนที่นายเคยพูดกับเขามาก่อน...เรียว...ทำไมเด็กคนนั้นถึงทำให้ฉันนึกถึงภาพของนายซ้อนทับขึ้นมาได้ก็ไม่รู้สินะ ... ทั้ง ๆ ที่นายกับเด็กนั่นดูแตกต่างกันลิบลับแท้ ๆ"

   เซอิจิพึมพำถึงเพื่อนสนิทของเขา อีกฝ่ายนั้นเป็นเด็กหนุ่มผู้สดใสร่าเริง ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา ขยันขันแข็ง เป็นมิตรและจริงใจกับทุกคนโดยไม่เคยคิดแบ่งแยกฐานะ และมีส่วนช่วยให้คนซึ่งเคยสับสนในชีวิตอย่างเขา กลับมาเชื่อมั่นและก้าวเดินไปข้างหน้าได้อีกครั้งหนึ่ง

    "...ทางที่ตัวเองวางให้ กับ ความสุขของลูกน่ะหรือ...ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้มันร่วมเป็นทางเดียวกันไปแท้ ๆ ...แต่แกคงไม่คิดเหมือนฉันสินะ ริวยะ"

   ชายชราเปรยแผ่วเบากับตนเอง เขาถอนหายใจอีกครั้ง หลับตาลงช้า ๆ หวนคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต ก่อนจะลืมตาขึ้นเผยให้เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวจริงจังกว่าครั้งใด

   "ฉันจะลองให้โอกาสแกดูสักครั้ง ริวยะ... ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า แกจะรักเด็กนั่นมากพอ จนสามารถทำให้พ่อคนนี้เปลี่ยนใจได้ไหม ...และถ้าแกทำได้... ฉันก็จะขอเลือกหนทางที่มันยุติธรรมสำหรับแกเอง!"



   ทางด้านริวยะและอากิระ หลังจากมาถึงเมืองหลวงเก่าเกียวโต พวกเขาก็ให้ลูกน้องแยกย้ายกันไปสืบหาตามจุดของบ้านพักตากอากาศที่เซอิจิและญาติพี่น้องของเขาน่าจะมีอยู่ในจังหวัดนี้ จนสุดท้ายก็มาเจอสัญญาณจากตำบลหนึ่งในเขตชนบทของเกียวโต ซึ่งริวยะจำได้ว่าเคยมีบ้านพักตากอากาศหลังเล็ก ๆ ของบิดาอยู่ในเขตตำบลนี้ด้วย

   "...ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่ายังมีสถานที่แบบชนบทอยู่ใกล้เมืองหลวงเก่าแบบนี้"

   อากิระมองธรรมชาติซึ่งเป็นภูเขาและไร่นารอบ ๆ อย่างนึกทึ่ง ไม่มีตึกสูงระฟ้าที่คุ้นตาให้ได้เห็น มีเพียงบ้านเรือนหลังคาแฝกแบบโบราณปลูกสร้างให้เห็นห่างลิบ ๆ ออกไป

   "นี่ถ้าพวกเราตามไม่เจอ ยูคิคงถูกพามากักขังยังที่ห่างไกลความเจริญนี่แน่"

   ริวยะพึมพำอย่างไม่พอใจนัก เมื่อหวนคิดว่าคนที่ตนรักอาจจะต้องลำบากเพราะเขาเช่นนี้

   "แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไปครับ"

   อากิระถามผู้เป็นนายหลังจากที่ได้รู้เป้าหมายแน่ชัดเรียบร้อย

   "ก็ไม่ต้องทำอะไรมากมาย..."

   ริวยะเปรยขึ้นช้า ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ชายหนุ่มมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้าแล้วจึงเอ่ยต่อเสียงเข้ม

   "บุกไปหาซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้นี่ล่ะ ดูสิว่าจะมีใครกล้าขวางพวกเราไหม!"

   อากิระโค้งรับคำสั่ง แล้วจึงบอกให้ลูกน้องอีกสี่คนตามพวกตนไปยังบ้านพักตากอากาศของเซอิจิด้วยกันทันที



    อีกด้านหนึ่งยูคิซึ่งกำลังนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้องเดิม ก็ต้องขมวดคิ้วนิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงคุยจากหน้าห้องแว่วเข้ามา

   "ลูกพี่อาราตะ! แย่แล้วล่ะ ทำไงกันดีเนี่ย!"

   "เกิดอะไรขึ้น โวยวายทำไม พูดช้า ๆ ก็ได้"

   "ก็...แม่ครัวที่อยู่ที่นี่น่ะสิ... จู่ ๆ ก็ปวดท้องขึ้นมาเสียงั้น ตอนนี้ให้หามไปส่งโรงพยาบาลในเมืองแล้ว เห็นว่าอาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบน่ะพี่"

   "หา! แล้วคนอื่นที่พอจะทำอาหารเป็นล่ะ ยังเหลือไหม!"   

   "ก็มีลูกสาวป้าแม่ครัวเขานั่นล่ะ"

   "เฮ้อ! งั้นก็ยังดี"

   "แต่ตัวลูกสาวเขาไปพร้อมกับแม่เขาน่ะนะ เห็นว่าจะตามไปดูแลแล้วก็จัดการเรื่องค่ารักษา เพราะไม่มีญาติที่ไหนเหลือแล้วน่ะ"

   "งั้นก็ไม่มีใครทำอาหารได้อีกแล้วล่ะสิ!"

   "ก็งั้นล่ะลูกพี่....ทำไงดีล่ะเนี่ย นี่ก็ใกล้มื้อกลางวันแล้วด้วย"

   "เวรล่ะ...สงสัยต้องไปขอให้ชาวบ้านแถวนี้ช่วยทำให้แล้ว ...แต่จะถูกปากนายท่านหรือเปล่าก็ไม่รู้  คนแถวนี้ก็กินง่าย ๆ ไม่ใส่ใจรสชาติกันเสียด้วยสิ!"

   ยูคินิ่งรับฟังคนข้างนอกสนทนาอยู่สักพัก แล้วจึงตัดสินใจเปิดประตูเลื่อนออกมา แล้วเสนอความเห็นของตนบ้าง

   "ถ้าอย่างนั้นให้ผมช่วยทำให้ไหมล่ะครับ"

   อาราตะกับลูกน้องของเจ้าตัวหันขวับกลับมามอง แล้วมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะย้อนถามกลับไป

   "คุณหนูทำอาหารเป็นด้วยงั้นรึ"

   "ก็พอทำได้น่ะครับ เพราะก่อนหน้านั้นอยู่กับพ่อสองคนก็รับผิดชอบเรื่องอาหารการกินอยู่ประจำ"

   ยูคิตอบไปตามตรง ซึ่งอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วยุ่งแล้วหันไปสบตากับลูกน้องของตน ก่อนจะหันมาทางเด็กหนุ่มอีกครั้ง

   "ก็ได้...ไปลองทำดูกันก่อน ถ้าโอเคจะได้ฝากมื้อกลางวันของท่านเซอิจิกับคุณหนูด้วย เพราะทางผมกับลูกน้องก็คงไม่มีปัญญาทำเรื่องพวกนี้ อย่างดีก็แค่ปิ้ง ๆ ย่าง ๆ อาหารแกล้มเหล้าได้เท่านั้นเองนั่นล่ะ"

   ยูคิพยักหน้าตอบรับ เพราะจะให้เขาอยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกเบื่อ ถ้ามีอะไรให้ทำระหว่างนี้บ้างก็จัดได้ว่าช่วยให้แก้เบื่อไปได้มากทีเดียว

   

   สภาพในครัวที่จัดวางเป็นสัดส่วน พร้อมวัตถุดิบอุปกรณ์ที่มีเตรียมไว้บ้างแล้ว ทำให้ยูคิถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก เพราะคิดว่าถ้าไม่มีอะไรเตรียมไว้เลย ต่อให้เขาทำอาหารเป็นก็คงลำบากอยู่ดี

   "ปกติคุณเซอิจิชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหมล่ะครับ"

   ยูคิหันไปถามอาราตะที่มายืนคุมอยู่ด้วย เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะคิดไม่ซื่อกับอาหารกลางวันมื้อนี้  แต่ท่าทางและคำถามและแววตาบริสุทธิ์ไร้เล่ห์เหลี่ยมของเด็กหนุ่มก็ทำเอาอาราตะชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตามตรง

   "ก็ปกติของคนอายุมากทั่วไปนั่นล่ะ ท่านชอบอาหารย่อยง่าย ๆ ไม่มันมาก แต่รสชาติก็ต้องกลมกล่อมถูกลิ้นด้วยล่ะนะ"

   ยูคิรับฟังแล้วพยักหน้าหงึกหงักตามมา แล้วเปรยบอก

   "ก็ดูกินเหมือนคนปกติทั่วไปล่ะนะครับ ก็คงไม่มีปัญหานักหรอก"

   อาราตะยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรสกลมกล่อมที่เขาว่า มันต้องกลมกล่อมจริง ๆ ชนิดที่ว่าถ้าจืดไป หวานไป เค็มไป เซอิจิก็พร้อมจะเลิกกินได้ในทันทีเลยทีเดียว  จะว่าไป แม่บ้านแต่ละคนที่จ้างมาประจำบ้านพักตากอากาศหลายแห่งทั่วประเทศ ก็ล้วนแต่ได้รับการสั่งสอนให้ปรุงรสชาติอาหารที่เซอิจิชอบ จากแม่บ้านใหญ่ที่โตเกียวก่อนจะรับเข้าทำงานด้วยซ้ำ พอมาเจอแม่บ้านจำเป็นอย่างเด็กหนุ่มเช่นนี้ ก็ทำให้เขาไม่ค่อยมั่นใจนักว่าอาหารมื้อนี้จะไปรอดหรือไม่



   อีกด้านหนึ่งเซอิจิที่ออกมาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์นอกห้องเพื่อรอเวลาอาหารกลางวัน เขาก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นอาราตะเฝ้าอยู่หน้าห้องของเด็กหนุ่ม มีแต่เพียงลูกน้องอีกคนที่ยืนอยู่แทนเท่านั้น

   "แล้วอาราตะไปไหนล่ะ"

   น้ำเสียงทุ้มขรึมวางอำนาจที่ดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังยืนเฝ้าเหม่อ ๆ สะดุ้งโหยง และเมื่อหันมาเห็นว่าใครมา เจ้าตัวก็รีบโค้งทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างตกใจทันที

   "ฉันถามว่าอาราตะไปไหน ทำไมถึงไม่อยู่เฝ้าที่นี่ตามคำสั่ง ไม่ได้ยินหรือไง"

   เซอิจิย้ำถามเสียงขรึม เพราะอีกฝ่ายมัวแต่เหม่อจนไม่ได้ยินคำถามของตนก่อนหน้านั้น

   "เอ่อ...คุณอาราตะ...พาคุณหนูในห้อง ไป...เอ่อ...ไปทำอาหารกลางวันให้ท่านน่ะครับ...คือแม่บ้านที่นี่ป่วยกะทันหัน เพิ่งพาตัวไปส่ง รพ.ก่อนหน้านั้นได้ไม่นาน ...คุณหนูที่ทำอาหารเป็นก็เลยอาสาไปทำกับข้าวให้ท่านเซอิจิแทนน่ะครับ"

   ชายหนุ่มบอกออกไปด้วยน้ำเสียงติดขัดเพราะเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายตำหนิ ส่วนทางด้านเซอิจิ พอได้ยินดังนั้นเขาก็ขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงเดินไปทางครัว โดยไม่พูดอะไรต่อ ทำเอาผู้เป็นลูกน้องต้องรีบเดินตามไปคุ้มครองอีกฝ่าย จนกระทั่งมาถึงห้องครัวในที่สุด



   อาราตะมองภาพสาวน้อยในชุดกิโมโนยืนปรุงอาหารอย่างนึกทึ่ง โดยที่ตัวเขาเองก็คอยเป็นลูกมือช่วยจับส่งอุปกรณ์และวัตถุดิบให้เป็นระยะ

   "หน้าตาก็น่ารัก แถมยังเป็นแม่บ้านแม่เรือนอีก แบบนี้ท่านริวยะคงหลงแย่เลยสินะคุณหนู"

   อาราตะเอ่ยแซว ทว่ากลับทำให้คนฟังหันมามองด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก แต่ก็ยังคงยอมสนทนากับอีกฝ่ายอยู่ดี

   "อยู่กับคุณริวยะผมไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ...เพราะคนที่นั่นไม่มีใครยอมให้ผมช่วยงานเลยสักคน พอจะช่วยก็อ้างว่าเป็นแขกบ้าง อ้างคุณริวยะมาขู่บ้าง...ยิ่งตอนนี้นอกจากไม่ให้ช่วยงานแล้ว ยิ่งปฏิบัติตัวอย่างสุภาพยังกับผมเป็นเจ้านายของบ้านนั้นอีกคนเสียด้วยซ้ำ เฮ้อ!"

   พอหลุดบ่นออกมาประโยคเจ้าตัวก็บ่นถึงความในใจต่อมายาวยืด จนอาราตะที่ฟังอยู่ถึงกับอึ้ง เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกลำบากใจที่ได้รับการดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี ทั้งที่ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็คงรู้สึกพึงพอใจในชีวิตแบบนี้แล้วแท้ ๆ

   "แล้วแบบนั้นมันไม่ดีหรอกหรือคุณหนู ปกติแล้วไม่ว่าใครก็ชอบความสบายกันทั้งนั้นนั่นล่ะ"

   อาราตะบอกสวนไปตามใจคิด ซึ่งก็ทำให้คนฟังถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยตอบออกไปตามตรง

   "มันก็ดีนั่นล่ะครับ แต่มันดีเกินไป ...ในฐานะผู้อยู่อาศัย ผมอยากตอบแทนอะไรหลาย ๆ อย่างคืนให้กับคุณริวยะ  อยากช่วยเหลือ อยากเป็นแขนเป็นขา เป็นสมอง แบบคุณทาคุกับคุณอากิระบ้าง ... ในฐานะคนรัก ผมก็อยากจะเป็นคนที่แบ่งเบาความทุกข์ใจให้กับคุณริวยะ และอยากยืนเคียงข้างเขาอย่างเท่าเทียม ...แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แถมยังกลายมาเป็นฝ่ายให้คุณริวยะต้องมาคอยดูแลแทนอีก ...เฮ้อ!"

   คงเพราะเห็นว่าอาราตะนั้นรู้เรื่องของเขาดีและอยู่ฝ่ายเซอิจิซึ่งไม่ยอมรับเรื่องของตนเองกับริวยะ จึงทำให้ยูคิไม่ลำบากใจหรือเขินอายที่จะพูดความจริงของตัวเองก่อนหน้านั้นสักเท่าไร ทว่าคำพูดซื่อ ๆ จริงใจที่อีกฝ่ายเอ่ยมานั้น ทำให้คนฟังอย่างอาราตะและเซอิจิที่ยืนแอบฟังอยู่ด้านนอก ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่

   "เอาล่ะ เรียบร้อย ..."

   หลังจากย่างปลาด้วยกระทะเสร็จ ยูคิก็นำข้าวสวยที่หุงสุกแล้วคดใส่จาน บรรจงแกะเนื้อปลาย่างวางบนข้าว วางบ๊วยดอง และโรยสาหร่ายตกแต่งบนข้าวพอดูดี แล้วจึงหันไปหยิบชาสำเร็จรูปที่มีวางอยู่ในครัว ซึ่งน่าจะเป็นชาที่แม่บ้านที่นี่มีไว้ชงดื่มเอง ใส่กาแถวนั้น แล้วรินน้ำร้อนใส่ ก่อนจะนำน้ำชาที่ชงแล้วมารินใส่ในถ้วยข้าวที่เตรียมไว้ 

   ทางด้านอาราตะเงียบกริบเมื่อรู้ว่าอาหารที่ยูคิทำนั้นคืออาหารพื้นบ้านแสนจะทำง่ายอย่างโอฉะสึเกะ ซึ่งก็คือการนำข้าวสวยคดใส่ถ้วย ใส่เครื่องเคียงต่าง ๆ แล้วแต่ชอบ จากนั้นเทน้ำร้อน ๆ ลงไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำชา หรืออาจจะใช้เป็นน้ำซุปก็ได้   

   "เรียบร้อยแล้วครับ จะลองชิมก่อนไหม เดี๋ยวผมย่างปลาเพิ่มทำถ้วยใหม่ให้คุณเซอิจิก็ได้นะ"

   "เอ่อ...คุณหนู อย่าบอกนะว่าคิดจะให้ท่านเซอิจิกินของแบบนี้น่ะ"

   อาราตะแย้งพร้อมยิ้มเจื่อน ทว่ายูคิกลับแย้งกลับไปอย่างงุนงงแทน

   "เอ๋? แปลกตรงไหนล่ะครับ อร่อยดีออก ขนาดคุณตาของผมยังชอบกินมากเลยนะ"

   "แต่ว่า..." อาราตะเตรียมจะแย้งอย่างนึกเกรงใจ ทว่าคนที่แอบอยู่ข้างนอกก็กระแอมเบา ๆ แล้วเอ่ยขัดขึ้นพร้อมกับปรากฏตัวให้เห็นเสียก่อน

   "ไหนล่ะ...ของที่จะทำให้ฉันกินน่ะ"

   อาราตะสะดุ้งโหยง ส่วนยูคิพอเห็นว่าเซอิจิมาถึงห้องครัวเขาก็แปลกใจอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่าย

   "นี่ไงครับโอฉะสึเกะ ทำง่าย แล้วก็ทานง่าย ...ถ้าน้ำชากินแล้วไม่ถูกปาก จะต้มเป็นซุปแทนก็ได้นะครับ ...แต่ชายี่ห้อนี้ผมว่าก็ใช้ได้นะครับ ตอนคุณตายังมีชีวิตอยู่ ก็เห็นชอบซื้อยี่ห้อนี้ชงดื่มเองประจำ"

   ยูคิบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะนึกแปลกใจเมื่อเห็นเซอิจิชะงักไปที่ได้เห็นเมนูอาหารกลางวันสำหรับตน

   "โอฉะสึเกะอย่างนั้นหรือ...ไม่ได้กินมานานขนาดไหนแล้วนะ"   

    ชายชราพึมพำ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจหยิบช้อนที่ยูคิจัดวางเตรียมไว้ให้ แล้วตักข้าวในนั้นขึ้นชิม ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกแกมวิตกกังวลของอาราตะที่มองอยู่

   "อืม...รสชาติก็ยังเหมือนเมื่อในตอนนั้น ไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่ ...โดยเฉพาะเจ้าชาขม ๆ เฝื่อน ๆ นี่ด้วย"

   เพราะเป็นชาถุงราคาถูก รสชาติจึงไม่กลมกล่อมมากนัก แต่สำหรับเซอิจิแล้ว มันทำให้เขาหวนนึกถึงรสชาติที่เคยได้กินกับใครอีกคนเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมายิ่งนัก

   "อาราตะ..."

   เซอิจิหันมาหาลูกน้องคนสนิท แล้วจ้องเขม็ง ซึ่งอาราตะก็ชะงักเพราะนึกว่าจะถูกตำหนิเรื่องอาหาร ทว่า...

   "ใจคอจะให้ฉันยืนกินข้าวถ้วยนี้จนหมดหรือยังไง หือ"

   หลังเซอิจิพูดจบ อาราตะก็สะดุ้งโหยง แล้วรีบโค้งให้ก่อนจะไปหาเก้าอี้แถวนั้นมาให้อีกฝ่ายนั่งกินภายในครัวนั้นนั่นเอง ส่วนยูคิพอเห็นว่าเซอิจิกินอาหารที่ตนทำได้ เขาก็รู้สึกดีใจไม่น้อย

   "ดีจัง...ถ้าข้าวไม่พอก็บอกได้นะครับ เดี๋ยวผมคดข้าวเพิ่มให้"

   "ขอเป็นเพิ่มปลาย่างแทนข้าวก็แล้วกัน...เธอนี่ย่างปลาเก่งใช้ได้นะ"

   เซอิจิบอกหลังจากได้ชิมเนื้อปลาที่ยูคิแกะวางบนข้าวแล้ว ซึ่งยูคิก็ยิ้มรับ แล้วจัดแจงนำปลาที่เหลือมาย่างต่อทันทีพร้อมกับชวนอีกฝ่ายคุย ด้วยความสนิทใจ โดยที่เขาก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไรเหมือนกัน 

   "ขอบคุณครับ ...พอดีตอนเด็ก ๆ ผมมักจะเป็นผู้ช่วยเวลาคุณตาทำอาหารน่ะครับ ที่บ้านผมคุณแม่ท่านเสียไปก่อนเพราะร่างกายอ่อนแอ คุณตาก็เลยต้องรับหน้าที่ทำอาหารแทน เพราะคุณพ่อต้องออกไปทำงานข้างนอกอยู่บ่อย ๆ แล้วพอผมสิบขวบ คุณตาก็มาเสียไปเพราะโรคร้าย ...ผมก็เลยเป็นคนทำอาหารให้พ่อแทนหลังจากนั้น"

   เซอิจินิ่งรับฟังพร้อมกับทานอาหารไปเงียบ ๆ ตามปกติเขาเป็นคนเจ้าระเบียบและเลี้ยงลูกชายทั้งสองให้เป็นเช่นตน ดังนั้นเวลาทานอาหารจึงไม่ค่อยมีการสนทนากันสักเท่าใด ทว่าเขากลับไม่รู้สึกรำคาญเวลาที่ได้ยินยูคิเล่าเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวให้ฟัง เพราะแม้จะดูเป็นเรื่องเศร้า หากแต่เด็กหนุ่มกลับเล่าให้ฟังคล้ายกับว่ามันเป็นความทรงจำอันแสนสุขของเจ้าตัวแทนเสียอย่างนั้น

    "ญาติพี่น้องเธอไม่มีใครอื่นเหลืออีกแล้วสินะตอนนี้"

   เซอิจิย้อนถามกลับไป หลังจากที่เห็นอีกฝ่ายเงียบไปสักพัก

   "ครับ...ที่เคยได้ยินคุณตาเล่า ทางคุณยายที่เสียไปตั้งแต่ผมยังไม่เกิดก็ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนเหลืออีก ทางคุณตาก็เหมือนกัน  ส่วนคุณพ่อเองก็เป็นลูกชายคนเดียว คุณปู่คุณย่าก็เสียไปตั้งนานแล้วก่อนที่คุณพ่อกับคุณแม่จะแต่งงานกันเสียอีก"

   อาราตะกับลูกน้องอีกคนรับฟังประวัติชีวิตของยูคิอย่างรู้สึกเห็นใจ แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่มีสีหน้าเศร้าสลดอันใดนัก เจ้าตัวคีบปลาย่างจากกระทะมาใส่ในจาน แล้วมองชายชราพร้อมกับขอความเห็น

   "ให้ผมช่วยแกะเนื้อปลาให้ไหมครับ"

   เซอิจิมองคนถาม แล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ อย่างว่าง่าย สร้างความตกตะลึงให้กับอาราตะและลูกน้องอีกคนที่มองอยู่ ทว่าระหว่างที่ยูคิกำลังใช้ตะเกียบแกะเนื้อปลาอย่างขมักเขม้น และเซอิจิกำลังกินข้าวในชามนั้นเรื่อย ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายแว่ว ๆ มาจากด้านนอก จนอาราตะต้องขมวดคิ้วยุ่ง เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นนายไม่ชอบให้เกิดเสียงดังโวยวายในเวลาส่วนตัวเช่นนี้

   "แกไปดูซิ ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น"

   อาราตะหันไปสั่งลูกน้องของเขา ทว่ายังไม่ทันจะวิ่งออกไปไกลจากห้องเท่าใดนัก อีกฝ่ายก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงร่างหนึ่งยืนขวางทางเขาอยู่

   "ทะ...ท่าน...."

   อีกฝ่ายพูดติดขัดก่อนจะร้องอย่างตกใจเมื่อคนตรงหน้านั้นรำคาญ แล้วเดินเบี่ยงกระแทกให้เจ้าตัวที่ขวางทางตนอยู่ถอยออกไปและเดินตรงไปหาอาราตะที่เขาเห็นยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องหนึ่งแถวนั้น

   "ท่านริวยะ!"

   อาราตะที่หันมาเห็นเข้าพอดีอุทานด้วยความตกใจ และนั่นจึงทำให้เซอิจิกับยูคิที่อยู่ในห้องครัวชะงัก ส่วนริวยะนั้นปรี่ตรงเข้ามาหมายจะเค้นสอบถามที่อยู่คนรักจากอีกฝ่าย หากแต่ก็ต้องนิ่งอึ้งและอยู่ในสภาพตกตะลึงไม่แพ้กัน เมื่อหันไปเห็นบิดากำลังนั่งทานข้าว ส่วนคนรักก็กำลังถือตะเกียบค้างอยู่ในมือมองเขาอย่างงุนงงระคนตกใจ

   "คุณริวยะมาได้ยังไงกันครับเนี่ย!"

   ยูคิหลุดปากถามออกไปในที่สุด ซึ่งริวยะเองก็พูดอะไรไม่ออก ทั้งจากสภาพที่ถูกแปลงโฉมของเด็กหนุ่ม เรื่องที่บิดาของเขามานั่งกินข้าวที่ดูคล้ายจะเป็นกับข้าวง่าย ๆ พื้นบ้านอยู่ในครัวเช่นนี้

   "ตอนนี้ฉันกำลังกินข้าว มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง ...เจ้าหนู แล้วปลาของฉันล่ะ"

   เซอิจิเอ่ยขัดขึ้นหลังจากที่เห็นสีหน้าตกตะลึงของลูกชาย ซึ่งยูคิพอได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มก็สะดุ้งนิด ๆ แล้วรีบรับคำพร้อมกับแกะเนื้อปลาคีบส่งให้อีกฝ่ายต่อ ซึ่งภาพนั้นก็ยิ่งทำให้ริวยะ รวมไปถึงอากิระที่ยืนอยู่ด้วยกัน พูดไม่ออกเข้าไปใหญ่

   "ง่า...เชิญท่านริวยะ ไปรอทางนี้ดีกว่าครับ"

   อาราตะหันไปบอกกับอีกฝ่ายซึ่งริวยะก็ตวัดสายตาคมกริบมามองคนที่ลักพาตัวคนรักของเขามา  ก่อนจะเอ่ยตอบไปเสียงห้วน

   "ฉันไม่คิดจะไปไหนทั้งนั้น!  ฉันจะมาพายูคิกลับ!"

   ยูคิมองเห็นเซอิจิชะงักเล็กน้อย แล้วทำท่าทางไม่สนใจเมินเฉยตามมา เขาก็เกรงว่าทั้งคู่จะทะเลาะกันเพราะเขาเป็นเหตุ จึงได้ตัดสินใจพูดกับริวยะเสียก่อน

   "รอให้คุณเซอิจิทานข้าวกลางวันเสร็จก่อนนะครับ แล้วค่อยคุยกัน...คุณริวยะหิวไหมล่ะครับ จะทานด้วยไหม ข้าวหุงไว้พอกินกันหลายคนเลยนะครับ"

   พอได้ยินคนรักตัวน้อยพูดเช่นนั้นก็ทำเอาริวยะถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง ส่วนชายชราแม้จะอึ้งไปไม่แพ้กัน แต่ก็กลับหลุดรอยยิ้มน้อย ๆ ตามมา  แล้วจึงทำเป็นนิ่งเฉยไม่ใส่ใจใครอื่น พร้อมกับกินอาหารตรงหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งหมดชาม

...
...
..

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
...
...
..

     "ขอบใจ อร่อยมาก"

   เซอิจิหันมาบอกกับเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ทำให้ยูคิยิ้มแก้มปริ แล้วเก็บจานชามตั้งใจจะไปล้างอย่างอารมณ์ดี จนริวยะที่มองอยู่เตรียมจะเดินเข้าไปหาคนรัก ทว่าก็ถูกบิดาลุกขึ้นยืนขยับขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน

   "แกมาที่นี่เพื่อตามเขากลับไปไม่ใช่หรือ...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อน ฉันปล่อยให้เขากลับไปพร้อมแกแน่  แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้...อาราตะเดี๋ยวคอยดูเขาไว้ด้วย เสร็จทางนี้เมื่อไหร่ก็ให้ตามไปพบฉันกับริวยะที่ห้องรับแขก"

   ริวยะนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ส่วนยูคินั้นหันมาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็หันไปยิ้มให้กำลังใจคนรัก ก่อนจะกลับมาตั้งใจล้างจานชามตรงหน้าต่อ โดยที่ริวยะมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ

   "เอาไง ตกลงแกจะตามไปคุยกับฉันหรือไม่คุยกันแน่"

   พอได้ยินเซอิจิพูดแบบนั้น ริวยะก็ลอบถอนหายใจ เขาเหลือบไปมองร่างเล็กอย่างนึกห่วงแล้วจึงหันไปทางอากิระก่อนจะสั่งความอีกฝ่าย

   "นายเฝ้าอยู่ที่นี่ด้วย...แล้วเดี๋ยวค่อยตามยูคิไปหาฉันพร้อมกัน"

   "ครับท่านริวยะ"

   อากิระรับคำ แล้วเหลือบมองอาราตะอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่พอริวยะกับเซอิจิกำลังเดินออกไปข้างนอก ยูคิก็หันมามองคนรักของตน แล้วเอ่ยขึ้นบ้าง

   "คุณริวยะ แล้วผมจะรีบตามไปนะครับ"

   เด็กหนุ่มยิ้มหวานส่งให้ ทำเอาริวยะชะงัก ก่อนจะหลุดยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ ตามมา ใจที่ร้อนรุ่มเริ่มเย็นลง จากนั้นจึงหันไปทางบิดาของเขา แล้วโค้งศีรษะน้อย ๆ ให้

   "ไปเถอะครับคุณพ่อ ผมพร้อมที่จะสนทนากับคุณพ่อแล้ว"

   เซอิจิเหลือบสายตาหันไปทางเด็กหนุ่ม ซึ่งอีกฝ่ายก็สบตากับเขาพอดี ยูคิยิ้มให้ชายชราด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดียวกัน เห็นดังนั้นเซอิจิจึงถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันมาทางลูกชายของตนพร้อมกับบอกอีกฝ่าย

   "งั้นก็ตามมา"

   

   หลังจากที่อยู่ในห้องรับแขกกันตามลำพัง เซอิจิที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลูกชายก็เริ่มเป็นฝ่ายตั้งคำถามเข้าประเด็น โดยไม่คิดจะอารัมภบทแต่อย่างใด

   "แกรักเด็กคนนั้นจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ริวยะ"

   ริวยะชะงัก ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

   "ครับ ผมรักยูคิ"

   เซอิจิเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา

   "แล้วระหว่างฉัน กับ คนรักของแกล่ะ แกจะเลือกใคร"

   ริวยะชะงักเจ้าตัวจ้องหน้าบิดาเพื่อค้นความจริงในคำพูดนั้น ทว่าก็ได้รับเพียงสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาตอบกลับมาเท่านั้น

   "ถ้าจะให้เลือกใครคนใดคนหนึ่งจริง ๆ ผมก็ทำไม่ได้หรอกครับ...ผมรักยูคิก็จริง แต่ว่าผมก็เคารพรักคุณพ่อมากเช่นเดียวกัน"

   ริวยะตัดสินใจตอบกลับไปจากใจจริง เขาคิดว่าบางทีการเผชิญหน้าบ่งบอกความในใจของตนออกไปโดยไม่คิดปิดบัง อาจจะทำให้เซอิจิยอมเข้าใจในเรื่องความรักของเขามากขึ้นก็เป็นได้

   "และถ้าฉันบังคับให้แกต้องเลือกระหว่างคนที่แกรักกับฉันล่ะ...แกจะเลือกทางไหน"

   ประโยคถัดมาของบิดาทำให้ริวยะนิ่งอึ้ง ก่อนจะย้อนถามกลับไป

   "คุณพ่อพูดจริงหรือครับ"   

   เซอิจิมีสีหน้าที่ขรึมไร้แววล้อเล่นให้เห็นแต่อย่างใด เจ้าตัวจ้องหน้าบุตรชายนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อมา

   "ถ้าแกจะเลือกความรัก แกก็ต้องทิ้งทุกอย่างของมุราคามิไว้เบื้องหลัง... คนที่เป็นผู้นำตระกูลมุราคามิ จะต้องไม่ทำให้ตระกูลขายหน้า อย่างเช่นที่แกกำลังทำอยู่ตอนนี้!"

   คำพูดนั้นทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงแย้งกลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวอย่างลืมตัว

   "การที่ผมรับยูคิมาเป็นบุตรบุญธรรมให้ใช้นามสกุลมุราคามิร่วมกัน  ก็เท่ากับว่าผมช่วยรักษาหน้าคุณพ่อ รักษาหน้าตระกูล ไปไม่น้อยแล้วนะครับ! คุณพ่อคิดหรือว่า คนอย่างผมจะไม่กล้าพายูคิไปจดทะเบียนสมรสที่ต่างประเทศ แล้วประกาศให้โลกรู้ว่าผมกับเขาคบกันน่ะ!"

   ริวยะย้อนกลับไปเสียงแข็ง ทำให้เซอิจินิ่งอึ้ง เพราะเขาเองก็ย่อมรู้ดีว่า ลูกชายคนโตของตนนั้น ไม่เคยนึกเกรงสายตาของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนอยู่แล้ว

   "และถ้าคุณพ่อต้องการให้ผมทิ้งทุกอย่างของมุราคามิเพื่อรักษาหน้าตาของตระกูล ผมก็ยินดี... แต่ผมก็ขอแลกกับคำสัญญาว่า คุณพ่อจะไม่ส่งคนมายุ่งวุ่นวายกับยูคิและผมอีก!"

   "แสดงว่าแกเลือกเด็กคนนั้นมากกว่าฉันและตระกูลสินะ!"

   "ผมก็ไม่เคยคิดอยากเลือก แต่คุณพ่อเป็นคนบีบบังคับผมเองไม่ใช่หรือครับ!"

   ริวยะแย้งกลับไป ก่อนที่ทั้งคู่จะชะงัก เมื่อเสียงเคาะบานประตูดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้น

   "ขออนุญาตเข้าไปได้ไหมครับ"

   เซอิจิกับริวยะต่างฝ่ายต่างหันไปปรับอารมณ์ของตน แล้วชายชราจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากอนุญาตขึ้น

   "เข้ามาได้"

   "ขอบคุณครับ..."

   ยูคิในชุดกิโมโนเปิดบานประตูเลื่อนเข้ามา พร้อมกับเดินมาทรุดกายคุกเข่านั่งข้างคนรัก เด็กหนุ่มเหลือบมองริวยะ แล้วจึงหันไปสบตากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามนิ่ง

   "ยินดีด้วยนะ ริวยะมันตัดสินใจเลือกเธอ จนถึงกับยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างมาเอาไว้เบื้องหลัง แล้วไปอยู่กับเธอแบบตัวเปล่า ๆ ไร้สินทรัพย์ติดกาย...แล้วเธอล่ะ จะทำยังไงต่อไป ...เห็นแก่ที่เธอฉลาด พูดจาถูกใจฉันหลายอย่าง ...เงื่อนไขข้อตกลงของเราก่อนหน้านั้น ก็ยังมีผลอยู่นะ ...ถ้าเธอตกลง ฉันก็พร้อมจะจ่ายให้เธอได้ทุกเมื่อ"

   ริวยะเม้มปากกัดฟันด้วยความโมโหแทนคนรัก ทว่ายูคิที่นิ่งมองคนตรงหน้ากลับแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยโต้ตอบกลับไป

   "กำลังทดสอบผมอยู่หรือครับ"

   เซอิจิเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนแย้งกลับ

   "แล้วถ้ามันไม่ใช่การทดสอบ แต่เป็นเรื่องจริงล่ะ"

   "...ถ้าคุณสามารถไล่คุณริวยะออกจากบ้านได้ตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องลำบากลักพาตัวผมมาหรอกครับ....แต่ถ้าคุณยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ผมก็คงไม่ว่าอะไร ...ทรัพย์สมบัติที่พ่อทำงานเก็บไว้ให้ก็ยังพอมีเหลืออยู่ ผมคงไปหาห้องเช่าเล็ก ๆ อยู่กับคุณริวยะ ช่วยกันทำงานหาเงิน  อืม...ผมว่าผมอยู่ได้สบาย ๆ เลยล่ะนะ... แล้วคุณล่ะครับคุณริวยะ คุณจะทิ้งชีวิตที่แสนจะสุขสบายฟุ่มเฟือยอย่างเคยเป็น มาอยู่กับผมได้หรือเปล่า"

   ยูคิหันมาถามคนรัก ซึ่งริวยะก็จ้องอีกฝ่ายตอบ แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้

   "ต่อให้ต้องไปใช้ชีวิตอยู่แบบคนจรจัด แต่ถ้ามีเธออยู่ข้าง ๆ ฉันก็ยินดี...จะว่าไปก็สบายเสียอีก ไม่ต้องรับผิดชอบงานเอกสารให้ยุ่งยาก  อยากจะทำอะไรก็ทำ อิสระดีออก"

   ยูคิหัวเราะเบา ๆ กับคำตอบนั้น แล้วจึงเปรยขึ้นบ้าง

   "คนอย่างคุณน่ะ ไม่มีทางตกอับสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดเป็นคนจรจัดหรอกครับ"

   จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันไปมองทางชายชรา ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยน แล้วบอกกับอีกฝ่ายตามมา

   "สำหรับผม ขอแค่เป็นหนทางที่คุณริวยะเลือก แล้วเขามีความสุข ผมก็พร้อมจะติดตามเขาไปในเส้นทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแบบใด....แต่คุณล่ะครับ คุณเซอิจิ ...คุณแน่ใจหรือครับ ที่จะปล่อยลูกชายของคุณไป... ผมรู้นะครับ ว่าคุณรักและให้ความสำคัญกับคุณริวยะขนาดไหน ... ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เรียกคุณริวยะมาคุยกันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ ...และสำหรับคำถามของคำตอบที่ผมเคยถามเอาไว้ ผมมั่นใจว่าคุณคงได้คำตอบสำหรับตัวคุณแล้วสินะครับ"

   ยูคิพูดจบแล้วยิ้มหวานให้ ซึ่งเซอิจิก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหลุดรอยยิ้มอ่อนโยนให้คนตรงหน้าได้เห็นเป็นครั้งแรก

   "เธอมันเป็นเด็กตัวแสบกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ...เจ้าหนู"

    ทางด้านริวยะที่เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของบิดา ก็ทำให้เขานิ่งอึ้ง ก่อนจะมองคนรักสลับกับบิดาอย่างสีหน้าที่มีความหวังขึ้น

   "ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คุณพ่อจะ...."

   "เออ! ใครใช้ให้แกมีคนรักคารมดีแบบนี้กันเล่า...หึ! ดันถามมาได้ ว่าระหว่างเส้นทางที่ฉันวางไว้ให้ กับ ความสุขของแก ว่าฉันจะเลือกอะไร..."

   ริวยะเงียบกริบเขาจ้องบิดาของตนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ส่วนเซอิจินั้นมองบุตรชายคนโตด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วจึงเอ่ยถามกับอีกฝ่ายตามมา

   "แกมีความสุขดีสินะริวยะ ที่เลือกรักเด็กคนนี้"

   ริวยะเม้มปากน้อย ๆ เจ้าตัวโค้งศีรษะให้บิดาอย่างเคารพรัก แล้วจึงตอบกลับด้วยประโยคสั้น ๆ หากแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นจริงใจ

   "ครับ...ผมมีความสุขที่สุด"

   "งั้นก็ดีแล้ว...แต่ยังไงก็ขอให้ไว้หน้ากันบ้าง เวลาอยู่ในที่สาธารณะ ก็อย่าแสดงออกประเจิดประเจ้อกันนักล่ะ"

   เซอิจิยังคงปรามตามประสาคนหัวเก่า ซึ่งริวยะก็ชะงักก่อนจะหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้คนนั่งข้าง ซึ่งยูคิก็เขินหน้าแดงระเรื่อตั้งแต่ได้ฟังเซอิจิพูดจบนั่นแล้ว

   "อืม...หรือจะให้เธอไปแปลงเพศดี จะได้เป็นผู้หญิงเต็มตัวไปเลย"

   เซอิจิที่หันมาเห็นคนที่กำลังเขินเสนอความเห็น เพราะจะว่าไปด้วยเค้าโครงหน้ายูคินั้นก็ดูคล้ายเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว

   "ไม่ดีแน่ครับ...ผมขออยู่แบบปกติแบบนี้ดีกว่า"

   ยูคิรีบบอก เริ่มนึกหวาดเสียวว่าอีกฝ่ายจะพูดจริงมากกว่าแหย่เล่น

   "สำหรับผมยังไงก็ได้ แล้วแต่ยูคิเขาแล้วกัน"

   ริวยะเสริม แล้วยิ้มแหย่คนรัก ทำเอายูคิหน้าแดงหนักแต่ก็ไม่กล้าโวยวายต่อหน้าเซอิจิ ทำให้ชายอีกสองคนที่ได้เห็น หลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างนึกเอ็นดู



    ภาพรอยยิ้มของคนในห้อง ทำให้อาราตะถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงหันมาบอกกับคนข้าง ๆ

   "โชคดีไปนะที่เรื่องมันลงเอยแบบนี้"

   อากิระชะงัก เขาแย้มยิ้มส่งให้ ก่อนจะเอ่ยบางอย่างกับอีกฝ่าย

   "คุณอาราตะ ขอตัวคุยธุระสำคัญด้วยสักครู่จะได้ไหมครับ"

   อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะร้องอ๋อตามมาอย่างนึกได้

   "อ๋อ...จะเคลียร์เรื่องของทาคุล่ะสินะ  แต่แหม! ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนล่ะนะ ...นายรู้ไหม กระสุนจากปืนของหมอนั่น เฉี่ยวหูฉันไปไม่กี่มิลด้วยซ้ำ ถ้าขับรถหลบไม่ทัน ก็ได้เป็นผีเฝ้าถนนแถวนั้นไปแล้วล่ะนะ ที่ฉันเล่นงานคืนไปนั่นยังเบาะ ๆ ด้วยซ้ำ"

   คำพูดของอาราตะ ทำให้พวกเซอิจิที่ได้ยินหันมามองทั้งคู่ จากนั้นเซอิจิจึงเอ่ยขัดขึ้น   

   "ในห้องฉันมีดาบจริงตั้งโชว์ไว้อยู่สองเล่ม...ฉันอนุญาตให้พวกแกหยิบยืมมาใช้สำหรับจัดการเคลียร์เรื่องคาใจกันได้ตามสบายแล้วกัน"

   อาราตะกระพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยย้อนถามเจ้านายกลับไป

   "เอาจริงหรือครับท่าน...แบบว่างานนี้ก็คำสั่งจากท่านนะครับ"

   "ฉันสั่งให้พาตัวคนมาเฉย ๆ ต่างหาก ...หรือแกจะบอกว่าให้ฉันไปจัดการเคลียร์กับอากิระแทนแกอย่างนั้นหรือ อาราตะ"

   อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ทำเอาอาราตะสะดุ้งแล้วรีบบอกตามมา

   "มิบังอาจล่ะครับท่าน...ง่า เอาเป็นว่า ยอมให้นายต่อยฉันแรง ๆ สักทีก็แล้วกัน แล้วให้เจ๊ากันไป โอเคไหม"

   อากิระนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายตามมา

   "ช่วยไม่ได้นี่ครับ หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่..."

   อาราตะยิ้มให้อีกฝ่ายเพราะคิดว่าอากิระจะหายโกรธ ทว่าคนสนิทของริวยะกลับใช้โอกาสที่หนุ่มใหญ่เปิดช่องว่าง ซัดหมัดขวาตรงสวนเข้าไปเต็มแรงที่กึ่งใบหน้ากึ่งคาง จนคนถูกต่อยล้มลงไปนอนหงายนับดาวด้วยความมึนงง

   "แต่ถึงจะเป็นหน้าที่  แต่ยังไงก็ต้องขอเอาคืนที่ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุบ้างล่ะ!"

   อากิระบอกเสียงห้วนตามมา ส่วนเซอิจิกับริวยะพอเห็นแบบนั้นเจ้าตัวก็ไม่คิดใส่ใจอะไรต่อ พลางหันมาสนทนากันราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น ทำเอายูคิที่นั่งอยู่ด้วยกันและยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิด ต้องหันมามองคนรักและบิดาของอีกฝ่ายตาปริบ ๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

   'ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ดันรักเข้าไปเต็มหัวใจแล้วนี่นา'

   ยูคิคิดในใจแล้วหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา จากนั้นริวยะจึงขออนุญาตบิดากลับโตเกียว เพราะเป็นห่วงทาคุที่อยู่โรงพยาบาล และนอกจากนั้นพรุ่งนี้ยูคิก็ยังต้องไปโรงเรียนอีกด้วย

   "อืม...งั้นฉันก็กลับพร้อมกันเลยดีกว่า  ไม่งั้นตอนเย็นสงสัยคงจะได้กินโอฉะสึเกะอีกรอบแน่"

   ยูคิสะดุ้งเมื่อได้ยิน แล้วจึงแย้งกลับไปเสียงอ่อย

   "แต่เห็นคุณบอกว่าอร่อยนี่ครับ"

   "หึ ๆ ก็ใช่ล่ะนะ ...มันเป็นรสชาติที่ชวนให้คิดถึงอดีต ก็เลยรู้สึกอร่อย แต่ถ้าให้กินบ่อย ๆ ก็เห็นทีคงไม่ไหว เจ้าชาถุงนั่น มันฝาดลิ้นเหลือเกิน"

   เซอิจิบอกไปตามตรง และนั่นจึงทำให้ยูคิยิ้มเจื่อนส่งให้ เพราะเขาลืมไปว่าอีกฝ่ายอยู่ในตระกูลใหญ่โตร่ำรวย ก็คงไม่ถูกลิ้นกับชาถุงสำเร็จรูปเช่นเขานัก

   "ถ้าอย่างนั้นก็กลับพร้อมกันเลยสิครับ คุณพ่อเอารถใหญ่มาสินะครับ ผมกับยูคิจะได้นั่งไปด้วย และจะได้คุยกันไประหว่างทางยังไงล่ะครับ"

   ริวยะที่เห็นว่าบิดาเริ่มยอมรับในตัวคนรัก จึงรีบคิดหาหนทางสานสัมพันธ์กับคนทั้งคู่ให้มากขึ้น ซึ่งเซอิจิแม้จะรู้เท่าทันในความคิดของลูกชาย แต่ก็ไม่ได้คิดขัดอะไร เจ้าตัวพยักหน้ารับรู้ แถมยังทำเป็นตีหน้านิ่งเฉยตามปกติเสียแทนอีกด้วย

   

...TBC...


มาถึงปลายทางแล้วค่ะสำหรับเรื่องนี้ ..อย่างที่เคยแจ้งไว้จากตอนที่แล้ว ว่าจะตัดเรื่องคุณตาออกไปแล้วให้ป๊ะป๋าของริวยะ ยอมรับในตัวยูคิด้วยความดีของน้องหนูเอง ไม่ต้องพึ่งบารมีตา

ทว่า...ก็จะยังคงความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อกับคุณตาเป็นในแบบเดิม แต่จะใส่ไว้ในตอนพิเศษแทน 

ส่วนเรื่องราว ของพวกทาคุกับอากิระก็เหมือนกัน เคลียร์ในตอนพิเศษโลด

และสำหรับเรื่องของริวยะกับ ยูคิ  คาดว่าอีกสักตอนหรือสองตอนก็คงสรุปปิดฉากได้โอเคล่ะนะคะ  ส่วนใครอยากอ่านคู่นี้หวานในแบบอื่น ๆ เดี๋ยวจัดเต็มให้ตอนพิเศษเหมือนเดิมค่ะ 

แล้วเจอกันค่ะ เรื่องนี้ตั้งใจปิดจบให้ได้ก่อนเดือนนี้ค่ะ ^^

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ Wannida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 220
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
พึ่งเข้าอ่าน สนุกมากค่า า  :-[

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
อาราตะ ดูท่าจะเจ็บนะ 555

พ่อลูกเข้าใจกันแล้วดีจังเลยนะ

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
สเน่ห์ปลายจวักพิชิตใจสินะ

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :hao3: :hao3: :hao3:ถึงจะแตกต่างจากภาคแรกแต่แบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ PhInNoI

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
 :-[
เสน่ห์ปลายจวัก
 :katai2-1:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
บทที่ 26

    

   ในระหว่างเดินทางกลับ ยูคิก็ชวนเซอิจิพูดคุยอย่างเป็นกันเองมากขึ้น แม้อีกฝ่ายจะดูเป็นคนแก่เจ้าระเบียบ แต่ก็มีบางมุมที่ใจดีอยู่บ้าง ไม่แปลกที่ริวยะจะเคารพรักเชื่อฟังพ่อของตนเอง และยอมเดินตามทางที่บิดาบอกมาตลอดในก่อนหน้านั้น

   "คุณเซอิจินี่มีบางมุมคล้ายกับคุณตาของผมเลยนะครับ...อย่างเรื่องทัศนคติการใช้ชีวิตบางอย่าง ก็คล้ายกับที่คุณตาเคยพูดคุยให้ฟัง ...แต่น่าเสียดายตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่อย่างนั้นก็คงจดจำมาไว้ใช้ได้หลายอย่างเลยทีเดียว"

   "เธอเคยบอกว่า คุณตาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็กมากสินะ"

   เซอิจิที่พอจะจดจำเรื่องเล่าของอีกฝ่ายเอ่ยถาม ซึ่งยูคิก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบ

    "ครับ ตอนนั้นผมประมาณ 10 ขวบได้...แต่ถึงท่านจะป่วยเพราะโรคร้าย แต่คืนนั้นท่านก็จากไปอย่างสงบนะครับ"

   ยูคิมีสีหน้าซึมลงนิด ๆ เมื่อหวนคิดถึงผู้เป็นตา แล้วจึงกลับมายิ้มได้ เมื่อริวยะที่นั่งอยู่ข้างตนบีบมือเขาเบา ๆ ให้กำลังใจ

   "คุณตาสอนอะไรผมมากมาย ทั้งหลักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง การพึ่งพาตัวเอง รวมถึงเคนโด้ที่ท่านถนัดด้วย"

   พอได้ยินยูคิเล่าถึงประโยคท้าย เซอิจิก็ชะงักแล้วรีบถามกลับไป

   "ตาของเธอเล่นเคนโด้เป็นด้วยหรือ"

"ครับ...คุณตาท่านเคยเล่าว่า ในตอนท่านเรียนมัธยมปลายปีหนึ่ง ก็เคยได้เป็นตัวแทนไปแข่งระดับภูมิภาคมาแล้ว แต่ก็ต้องเลิกเล่นและลาออกจากโรงเรียนกลางคัน มาหางานทำเลี้ยงชีพตัวเองแทน เพราะคุณแม่มาล้มป่วยด้วยโรคร้าย ต้องใช้ค่ารักษาจำนวนมากน่ะครับ ส่วนคุณพ่อของคุณตาก็เสียไปตั้งแต่ท่านยังเด็กแล้ว"

   คำตอบของยูคิทำให้เซอิจิถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วจึงตามมาด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความตกใจระคนคาดหวังในบางสิ่ง  ส่วนริวยะนั้นหันไปถามคนรักบ้าง จึงทำให้ทั้งคู่ไม่ทันได้สังเกตถึงความผิดปกติบนสีหน้าของชายชราเลยสักนิด

   "แล้วทางโรงเรียนไม่มีใครให้การช่วยเหลือหรือให้ทุนเลยหรือ ฝีมือกีฬาระดับนั้นน่ะ"

   "คุณตาเล่าว่า ก็มีคนเสนอความช่วยเหลือ แต่ท่านปฏิเสธ เพราะบอกว่าท่านเล่นเคนโด้เพราะใจรัก แต่ไม่เคยคิดยึดเคนโด้เป็นอาชีพ หรือใช้เป็นเครื่องมือสร้างอนาคตให้ตัวเองน่ะครับ"

   ริวยะพยักหน้ารับรู้อย่างนึกชื่นชมในตัวญาติผู้ใหญ่ของคนรัก ทว่าคนฟังอีกคนกลับยิ่งเงียบงันมากขึ้น เจ้าตัวเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะหลุดถามออกมาในที่สุด

   "คุณตาของเธอชื่ออะไร...บอกฉันได้ไหม..."

   ริวยะกับยูคิหันไปมองคนตั้งคำถามอย่างประหลาดใจ โดยเฉพาะริวยะนั้น ไม่เคยเห็นท่าทางของบิดาเป็นเช่นนี้มาก่อน อีกฝ่ายดูร้อนรนคาดหวังผิดปกติจนน่าแปลก

   "คุณตาของผมหรือครับ...ท่านชื่อเรียวครับ...โคบายาชิ เรียว"

   คำตอบของยูคิทำให้เซอิจิเงียบกริบ เจ้าตัวนิ่งเงียบไปนานจนยูคิและริวยะประหลาดใจ  ทว่าสักพักอีกฝ่ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ จนคนทั้งสองตกใจ หากแต่เสียงหัวเราะนั้นก็ค่อย ๆ ลดลง แล้วใบหน้าของคนที่หัวเราะก็เริ่มเศร้าซึมลงมาอย่างน่าเป็นห่วง

   "...คุณเซอิจิ เป็นอะไรไปหรือครับ"

   "นั่นสิครับ เกิดอะไรขึ้นหรือครับคุณพ่อ...หรือว่าจะเกี่ยวกับคุณตาของยูคิ"

   ริวยะลองคาดเดาดู เพราะหลังจากที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับตาของเด็กหนุ่ม ก็ดูเหมือนว่าบิดาของเขาจะเริ่มมีท่าทางแปลก ๆ ไป

   "ไม่มีอะไรหรอก...ก็แค่คิดว่า เรื่องบังเอิญแบบนี้มันก็ยังมีในโลกอยู่สินะ..."

   เซอิจิเงียบไปสักพัก แล้วจึงจ้องมองยูคิ ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ

   "แล้วหลุมศพตาของเธอล่ะ อยู่แถวไหน...เธอพอจะบอกฉันได้ไหม"

   "เอ่อ...ไม่มีหลุมศพหรอกครับ ...คุณตาเคยสั่งเสียไว้ก่อนตาย บอกให้ผมกับพ่อไม่ต้องจัดพิธีอะไรให้ฟุ่มเฟือย และให้เผาศพท่านแทนการฝัง จากนั้นก็ให้นำอัฐิไปโปรยไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ในวัดแถวนั้นแทน"

   เซอิจินิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

   "ก็สมแล้ว กับที่เป็นหมอนั่น..."

   "เอ่อ...แต่ผมกับพ่อทำป้ายวิญญาณของคุณตาเก็บไว้นะครับ พอดีตอนย้ายบ้านครั้งแรกก็เก็บเอาไว้ในตู้บูชาเล็ก ๆ ใส่กล่องเอาไว้...นี่ถ้าคุณเซอิจิไม่ได้พูดถึง ผมก็คงลืมพอดี  เพราะผมตั้งใจจะนำป้ายวิญญาณของทุก ๆ คนในบ้าน มาตั้งไว้ที่ตู้บูชาเคียงข้างกับของคุณพ่อด้วย ...ได้ไหมครับคุณริวยะ"

   ท้ายประโยคยูคิหันไปถามคนรักอย่างเกรงใจ ทว่าริวยะกลับแย้มยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี

   "ได้สิ...เธออยากทำอะไรก็ตามสบายเลย เพราะที่นั่นก็ถือว่าเป็นบ้านของเธอเหมือนกัน"

   "...ง่า ผมขอเป็นผู้อาศัยแบบเดิมดีกว่าครับ..."

    ยูคิรับคำพร้อมยิ้มเจื่อนให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันมาทางชายชรา แล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้พร้อมกับเอ่ยชักชวน

    "ถ้าคุณเซอิจิต้องการ ไว้เราไปเคารพป้ายวิญญาณของคุณตาพร้อมกันดีไหมครับ"

   "อืม...ดีเหมือนกัน"

   ยูคิแย้มยิ้มให้ชายชรา ซึ่งอีกฝ่ายก็จ้องมองเด็กหนุ่มนิ่งสักพัก แล้วจึงเอ่ยขึ้นบ้าง   

   "เธอไม่คิดจะถามฉันในเรื่องนี้หรือ ว่าฉันเกี่ยวข้องยังไงกับตาของเธอ"

   ยูคิชะงัก หากยังคงมีรอยยิ้มประดับสีหน้า ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป

   "ถ้าคุณอยากเล่าเองเมื่อไหร่ ผมก็พร้อมจะรับฟังเสมอครับ"

   ยูคิเองก็พอจะคาดเดาได้ว่า อีกฝ่ายนั้นน่าจะเคยคบหาและรู้จักกับตาของตนมาก่อน แต่หากถ้าเซอิจิยังไม่พร้อมจะเล่า เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ถามหาความจริงจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด

   "ขอบใจ...ฉันดีใจที่ตัวเองตัดสินใจไม่ผิด...ถ้าฉันทำให้เธอกับริวยะต้องเลิกกัน ...ตาของเธอคงจะสาปแช่งฉันมาจากบนสวรรค์นั่นก็ได้"

   "ไม่หรอกครับ...คุณตาไม่ใช่คนที่จะโกรธใครง่าย ๆ หรอกครับ"

   ยูคิแย้งเบา ๆ  ซึ่งคนฟังก็ยิ้มเศร้า ๆ ส่งให้

   "ใช่..ฉันรู้ดีในข้อนั้น ...ถ้าไม่ใช่เรื่องหนักหนาจริง ๆ เขาก็คงไม่โกรธใครง่าย ๆ แน่..."

   เซอิจิพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหลับตาเงียบ ๆ คล้ายจะพักผ่อน ซึ่งยูคิเห็นดังนั้นจึงไม่คิดจะชวนอีกฝ่ายคุยต่อ เขาเหลือบมองคนรัก ซึ่งริวยะก็มองตอบ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ก่อนที่จะคนตัวเล็กจะซบอิงไหล่คนที่นั่งข้างกัน แล้วจึงต่างนอนหลับตาไปเงียบ ๆ เช่นนั้น ตลอดการเดินทางที่เหลือ

 

   เมื่อมาถึงโตเกียว เซอิจิก็ขอตัวแยกกลับบ้านพักก่อน แต่ก็ให้คำมั่นสัญญากับยูคิว่า จะขอไปเยี่ยมเคารพป้ายวิญญาณผู้เป็นตาของอีกฝ่ายในวันอื่น ซึ่งยูคิก็ยินดีและรอคอยที่จะเจอชายชราในวันข้างหน้าด้วยเช่นกัน

   "ยินดีกับท่านทั้งสองด้วยนะครับ ที่เรื่องร้ายคลี่คลายลงด้วยดี"

   อากิระบอกกับคนทั้งคู่ หลังจากที่แยกมาขึ้นรถส่วนตัวของริวยะ ซึ่งยูคิก็ยิ้มน้อย ๆ ให้ แต่สักพักก็มีสีหน้าสลดลงตามมา

   "แต่เป็นเพราะผม ถึงทำให้คุณทาคุต้องบาดเจ็บแบบนั้น"

   คนฟังทั้งสองชะงัก ก่อนที่อากิระนั้นจะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ

   "ผมคิดว่าทาคุยินดีเสี่ยงเพื่อท่านยูคิอยู่แล้วล่ะครับ เขาชอบท่านมากนะครับท่านยูคิ"

    ยูคิชะงัก ก่อนจะพึมพำตอบรับเสียงแผ่ว

   "ผมก็ชอบคุณทาคุเหมือนกัน...แล้วก็ชอบทุกคนที่บ้านหลังนั้นมากด้วย..."

   ยูคิค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะเงยหน้ามองคนรักที่นั่งอยู่ข้างตน แล้วอุบอิบบอกเสียงแผ่วด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

   "ผมดีใจมากเลยนะครับ...ที่ได้มีโอกาสกลับมาหาคุณอีกครั้ง คุณริวยะ"

   ริวยะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะดึงร่างเล็กมาใกล้แล้วจูบที่ริมฝีปากบางนั้นอย่างรักใคร่ โดยไม่สนว่าตนนั้นกำลังอยู่ที่ใดและมีใครอื่นอยู่บ้างหรือไม่

   ทางด้านอากิระเขานิ่งเงียบพลางอมยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแซวอะไรออกไป ตรงกันข้ามเขานั้นรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเจ้านายและคนรักลงเอยกันได้ด้วยดีสักที

   'ถ้านายรู้ นายก็คงดีใจและหมดห่วงได้เหมือนกันสินะ ทาคุ'

   คนขับใจลอยไปถึงใครอีกคนที่นอนเจ็บอยู่โรงพยาบาล นี่ถ้าหากไม่เป็นเพราะต้องติดตามริวยะและช่วยเหลือยูคิ เขาเองก็อยากจะอยู่เฝ้าเคียงข้างกายเพื่อนสนิทจนกว่าเจ้าตัวจะฟื้น แต่ขืนเขาเลือกทำเช่นนั้น มีหวังคงถูกคนฟื้นมาโกรธใส่ไปอีกนานแน่

   อากิระอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อหวนคิดถึงใบหน้ายามขุ่นเคืองของคนที่เขารักหมดหัวใจ จากนั้นจึงเหลือบมองผ่านกระจกดูหลังรถ พอเห็นว่าเจ้านายของเขาดูท่าทางจะไม่อยากหยุดอยู่แค่จูบ ชายหนุ่มก็เลยเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

   "อีกไม่น่าเกินยี่สิบนาที ก็จะถึงบ้านพักของท่านแล้วล่ะครับ แต่ถ้าเกิดทนไม่ไหวจริง ๆ ผมแวะโรงแรมใกล้ ๆ แถวนี้ให้ก่อนก็ได้นะครับ"

   ยูคิหน้าแดงวาบแล้วสั่นศีรษะไปมาแรง ๆ จนริวยะนึกสงสารแกมขำ ชายหนุ่มจึงเหลือบมองผ่านกระจกสบตาคนขับแล้วเอ่ยตอบกลับไป

   "ไม่ต้องแวะ...เดี๋ยวไว้ไปจัดหนักที่บ้านแทนเลยก็ได้"

   ท้ายประโยคเจ้าตัวหันมาจ้องคนน่ารักข้าง ๆ ด้วยแววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ทำเอายูคิแทบไม่อยากจะตามชายหนุ่มกลับบ้านไปในตอนนี้เสียแล้ว

   

   เมื่อมาถึงบ้านพัก ริวยะก็อุ้มร่างเล็กในชุดกิโมโนตรงเข้าห้องส่วนตัวโดยไม่สนสายตางุนงงแกมตั้งคำถามจากหลายคนในบ้าน แถมมีบางคนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสาวน้อยน่ารักในชุดกิโมโนที่เจ้านายของตนอุ้มไป จะเป็นคนเดียวกับนายน้อยคนใหม่ของพวกเขา

   "...จะว่าไปเจ้าอาราตะนี่ก็รสนิยมดีเหมือนกันนะ จับเธอแต่งตัวออกมาได้สวยน่ารักจนฉันเองยังตะลึงเลยทีเดียว"

   ริวยะพึมพำมองร่างบนเตียงนอน ก่อนจะจัดแจงถอดวิกของอีกฝ่ายและลงมือปลดเปลื้องชุดกิโมโนตัวสวยนั่นออกอย่างไม่รีบร้อน เพราะคนตัวเล็กไม่ได้ขัดขืนอะไร เพียงแต่หลับตาไม่กล้ามองหน้าชายหนุ่มด้วยความอายเพียงเท่านั้น

   "...นึกแล้วเชียว ว่าเธอในสภาพนี้ สวยที่สุดแล้ว...ยูคิ"

   ชายหนุ่มที่ลงมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนรักจนเหลือแต่ร่างขาวเนียนเปลือยเปล่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมระคนหลงใหล ส่วนทางด้านยูคินั้นกำลังรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว แม้จะไม่ลืมตามอง เขาก็รู้ดีว่าริวยะกำลังจับจ้องทุกส่วนของร่างกายเขาด้วยแววตาอันคมกริบร้อนแรง ดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

   "ยูคิ...ลืมตาขึ้นมามองฉันสิ...ที่รัก"

   น้ำเสียงทุ้มออดอ้อนที่ดังขึ้นข้างหู ทำให้คนฟังค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าหวานที่แดงอยู่แล้วกลับกลายเป็นแดงเข้ม เมื่อเห็นแววตาแฝงแววปรารถนาของอีกฝ่ายที่จับจ้องมายังตนนิ่ง

   "คุณริวยะ..."

   เสียงพึมพำเรียกชื่อของตน ทำให้คนฟังแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วกระซิบถามต่อ

   "อยากให้ฉันทำอะไรหลังจากนี้ล่ะ"

   "...ผม...อยาก..."

   เสียงติดขัดแผ่วเบาด้วยความเขินอายนั้นทำให้คนฟังยิ่งคิดอยากแกล้งคนรักให้ได้อายมากยิ่งขึ้น จึงได้ย้อนถามกลับไปคล้ายกับไม่ได้ยิน

   "อะไรนะ...ฉันได้ยินไม่ชัดเลย"

   ยูคิหน้าแดงก่ำ แม้จะเขินอายสักเพียงใด แต่นาทีนี้เขานั้นแสนจะโหยหาและอยากได้อ้อมกอดจากชายคนรักเสียเหลือเกิน

   "ผม...อยากให้คุณ...กอดผม....ได้โปรดเถอะครับ...คุณริวยะ...กอดผม...สัมผัสผม...รักผม..ทำให้ผมเป็นของคุณอีกครั้ง...นะครับ"

   คำพูดติดขัดอย่างไร้เดียงสานั้น ทำให้คนฟังไม่อาจจะทนแกล้งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป ริวยะแทบจะฉีกเสื้อของตัวเองอย่างหงุดหงิด เมื่อรู้สึกว่าตนนั้นแกะกระดุมเสื้อไม่ทันใจ แถมยังทำผิด ๆ ถูก ๆ ด้วยความร้อนรน  ทว่าชายหนุ่มก็ต้องชะงัก เมื่อมือเล็กยื่นมาช่วยตนปลดเปลื้องเสื้อผ้านั้นออกอย่างเคอะเขิน และเมื่อเสื้อผ้าหลุดพ้นจนทั้งคู่ต่างเปลือยเปล่าไม่แตกต่างกัน บทรักอันร้อนแรงจึงถูกบรรเลงขึ้นภายในห้องนั้นอย่างรวดเร็ว...

   

   ยูคิปรือตาขึ้นช้า ๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นสบายจากสายน้ำที่สัมผัสผิวกาย เสียงครางฮือเบา ๆ ในลำคอของคนตัวเล็กในอ้อมกอด ทำให้ริวยะที่อุ้มอีกฝ่ายมาแช่อ่างน้ำร้อนด้วยกัน ถึงกับอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกเอ็นดู

   " ตื่นแล้วหรือ...เป็นไงบ้าง"

   ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งยูคิก็หน้าแดงน้อย ๆ เมื่อตื่นเต็มตาและรู้สึกตัวว่าตนกำลังอยู่ในสภาพใด

   "คะ...คุณริวยะ...นี่กี่โมงแล้วครับ"

   ยูคิพอจะจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เขาปลดปล่อยออกไปก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว และหลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่รู้สึกตัวและหลับลงอย่างอ่อนเพลีย ทว่าเจ้าความปวดเมื่อยระบมตามร่างกาย และร่องรอยบนเนื้อตัวที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วร่าง มันก็ทำให้เขาเริ่มนึกสงสัยว่า หลังจากเขาหลับ ริวยะคงยังไม่ยอมหลับตามด้วยเป็นแน่

   "ก็ตีสามกว่า ๆ ใกล้ตีสี่แล้วนั่นล่ะ...ฉันกลัวว่าเธอจะนอนไม่สบาย ก็เลยพามาอาบน้ำ แล้วจะได้เข้านอนด้วยกันหลังจากนี้น่ะ"

   ริวยะตอบยิ้ม ๆ อย่างอารมณ์ดี ทว่าคนฟังกลับยิ้มเจื่อน ๆ เพราะข้อสันนิษฐานที่เขาคิดไว้ ดูเหมือนมันจะถูกต้องเสียแล้ว

   "...พรุ่งนี้ผมคงต้องหยุดเรียนต่ออีกแล้วสินะครับ"

   "ก็คงงั้น...แต่ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะฉันไม่ใช่ผู้ปกครองที่จะเคร่งครัดเรื่องผลการเรียนอะไรนักหนาหรอกนะ"

   พูดไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังใช้มือของตนลูบไล้แผ่นอกเล็กขาวเนียนของคนรัก พร้อมบีบเค้นคลึงยอดอกสีชมพูเข้มนั้นอย่างหยอกเย้า จนยูคิที่เตรียมจะประท้วงต้องหลุดร้องครางขึ้นมาแทน

   "อา...คุณริวยะ...พอเถอะครับ"

   "ทำไมล่ะ...หรือเธอมีอารมณ์อีกแล้ว...หืม...ไหนดูซิ..."

   ยูคิสะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายแกล้งจับขาเขาแหวกออก เด็กหนุ่มรีบเอามือปิดบังส่วนที่กำลังแข็งขึงขึ้นมาน้อย ๆ อย่างอับอาย ส่วนริวยะนั้นหัวเราะในลำคอ แล้วเอ่ยกระซิบข้างหูคนรักอย่างเอ็นดู

   "ไม่ยักรู้ว่าเธอเป็นเด็กลามกแบบนี้เลยนะยูคิ"

   ยูคิหน้าแดงวาบ เขาพยายามจะหุบขาและปิดบังบางส่วนของร่างกายอย่างเต็มที่ จนริวยะนึกสงสาร จากนั้นชายหนุ่มจึงขบเม้มใบหูแดงก่ำนั่นอย่างเอ็นดู แล้วกระซิบบอกต่อ

   "ไม่ต้องอาย...เพราะฉันเองก็ไม่แตกต่างกับเธอเท่าไรนักหรอก"

   คนพูดยืนยันด้วยการถูไถส่วนที่แข็งขึงไปที่สะโพกขาวนั่นอย่างหยอกเย้า ยูคิชะงักก่อนจะร้อนวูบวาบไปทั้งตัวด้วยแรงอารมณ์ปรารถนาที่เริ่มก่อขึ้นอีกครั้ง

   "...สงสัยให้นอนก็คงนอนหลับไม่ลงแล้ว เธอว่าไหม"

   ริวยะกระซิบถามพร้อมกับลูบไล้ผิวกายเนียนนุ่มมือนั้นไปทั่ว เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้อีกฝ่ายมีอารมณ์ร่วมตามตน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก จากนั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นอุ้มร่างเล็กยกขึ้นจากอ่าง แล้วไปที่เตียงใหญ่ของตนซึ่งเคลื่อนไหวสะดวกกว่าแทน



   ร่างขาวเปลือยเปล่าบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรอคอยอย่างเขินอาย ส่วนริวยะก็ยืนจ้องมองร่างนั้นด้วยสายตารักใคร่และแสนหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด

   "...อือ...คุณริวยะ?"

   ยูคิปรือตาขึ้นมอง นึกแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ตามลงมากอดตนสักที ทว่าเมื่อได้เห็นแววตาของคนรัก เด็กหนุ่มก็หน้าแดงวาบ แล้วเบือนหลบสายตาคมกริบคู่นั้นทันที 

   ทางด้านริวยะพอเห็นคนรักมีท่าทางเอียงอายเช่นนั้น เขาก็แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงก้าวขึ้นไปบนเตียงรั้งร่างที่นอนอยู่ขึ้นมาสวมกอดแน่น ยูคิแม้จะตกใจในทีแรก แต่สุดท้ายเขาก็ซกซุบลงบนอกกว้างนั้นอย่างยินยอมพร้อมใจในที่สุด

   "ฉันรักเธอนะ... ยูคิ...เด็กน้อยของฉัน"

   "ผมก็รักคุณครับ...คุณริวยะ"

    ถ้อยคำรักอ่อนหวานที่มอบให้แก่กันและกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง มิได้ทำให้คนฟังรู้สึกเบื่อหน่าย หากแต่กลับรู้สึกตื้นตันและมีความสุขทุกครั้งยามที่ได้ยิน

   "ยูคิ...อาทิตย์นี้ลาหยุดยาวแล้วไปฮันนีมูนกันนะ"

   คำขอกึ่งคำสั่งของอีกฝ่ายทำให้คนที่กำลังเคลิบเคลิ้มจากการถูกบอกรักชะงักกึก แล้วจึงแย้งกลับไปเสียงอ่อย

   "แต่ว่า...ผมหยุดบ่อยแล้วนะครับ"

   พอแย้งออกไปแบบนั้น เขาก็ได้เห็นแววตาคมกริบที่แสดงถึงความไม่พอใจขึ้นมานิด ๆ และนั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มต้องหลุดถอนหายใจออกมา

   "เฮ้อ...ก็ได้ครับ..ยังไงเดี๋ยวเรื่องเวลาเรียนไม่พอ คุณก็คงจะจัดการให้ได้อยู่แล้วสินะครับ"

   "หึ ๆ ...เริ่มรู้ใจฉันขึ้นมามากขึ้นแล้วสินะเด็กน้อย"

      ริวยะพึมพำอย่างพึงพอใจ และเมื่อเห็นยูคิขยับตัวในอ้อมกอดของเขาค่อย ๆ เพื่อเปลี่ยนท่าให้นั่งสบายขึ้น ชายหนุ่มจึงจัดแจงจับร่างเล็กมานั่งตักจ้องหน้าประสานสายตากัน  ทว่ากลับไม่ยอมคลายอ้อมกอดของตน ที่ยังคงพันธนาการร่างนั้นเอาไว้ดังเดิม

   "ยูคิ...จำไว้นะ...นับจากวันนี้ไป ฉันจะไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากเธอไปจากฉันได้อีก...ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้เธออยู่แต่ในสายตาของฉัน และอยู่ในสถานที่ฉันจะเอื้อมถึงตลอดเวลา"

   สายตาและคำพูดที่แสดงความเป็นเจ้าของ และอ้อมกอดที่เปรียบดังกรงกักขังร่างของเขาเอาไว้ ไม่ได้ทำให้ยูคิรู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด ด้วยเด็กหนุ่มนั้นเต็มใจที่จะถูกกักขังไว้ในสายตาและอ้อมกอดนี้ตลอดกาลอยู่แล้ว

   "ครับ...ผมจะไม่มีวันจากไปไหน...จะอยู่เคียงข้างกับคุณไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตของผม"

    คำพูดนั้นทำให้คนฟังยิ้มออก แล้วกอดร่างเล็กในอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก ซึ่งคนถูกกอดเองก็ใช้แขนเล็กของตนโอบกอดร่างสูงใหญ่ตอบกลับไปแน่นแทบไม่แตกต่างกัน...

   


... END ...



สวัสดีค่ะ....ในที่สุดฉบับรีเมก ก็จบลงด้วยดีแล้วค่ะ  ในฉบับนี้แตกต่างจากฉบับเก่าอยู่หลายเรื่อง รวมไปถึงคาแรกเตอร์ตัวละครด้วย ซึ่งตัวปัดก็คาดหวังว่าอยากให้ฉบับนี้สมบูรณ์กว่าฉบับเก่า ทั้งในด้านอารมณ์ และการดำเนินเรื่องของตัวละคร

สุดท้าย เรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเซอิจิ กับ เรียว  คู่ของอากิระ กับทาคุ   และคู่รองอื่น ๆ ในเรื่อง(บางคู่)  ทุกคนสามารถอ่านได้ในบทสรุปที่จะแยกออกมาเป็นตอนพิเศษ และนำมาลงให้อ่านในบอร์ดต่อไปค่ะ  ...สำหรับคู่ยอดนิยม อย่างคู่ของคุณตากับคุณพ่อ นี่ยังไงก็ลงให้อ่านอยู่แล้ว ....คู่ของทาคุและอากิระที่หลายคนลุ้น ก็ไม่พลาด  .....ที่เหลือก็คือคู่รอง ที่ปัดตั้งใจจะคัด จากสามสี่คู่ที่จะลงเล่มมาให้อ่านด้วยเช่นกัน อยากอ่านคู่ไหนก็โหวตกันมาได้จ้ะ (เฉพาะคู่รองที่ไม่ได้บอกว่าจะลงแน่ล่ะนะคะ)

และท้ายที่สุดของที่สุด ปัดขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ และได้บอกความรู้สึกเปรียบเทียบของฉบับเก่าและใหม่ให้ปัดได้รับทราบ  ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ ทุกกำลังใจมีส่วนช่วยผลักดันให้ปัดเขียนจนจบเรื่องได้ในที่สุด ขอบคุณค่ะ

 :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2014 22:38:05 โดย Xenon »

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 o18 o18 o18 o18คู่ไหนก็ได้จ้าเขาชอบทุกคู่เลย :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew3: :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
เย้ๆ จบลงด้วยดี
อิตาริวยะหน้าบานเลยนะ แหม่ๆๆ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

ตอนพิเศษ
ความทรงจำในวันวาน (ครึ่งแรก)



    เซอิจิกลับเข้าห้องพักส่วนตัวของตน ด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ...ดีใจที่เห็นลูกชายมีความสุข...ตกใจ เมื่อได้รับข่าวเพื่อนรักที่หายสาบสูญไปนาน และสุดท้าย เศร้าใจ...ที่ได้รู้ว่า คนที่เขารอคอยมาตลอดชีวิต บัดนี้ได้ลาลับจากโลกนี้ไปเมื่อนานหลายปีมาแล้ว

    "เรียว...ฉันอยากรู้เหลือเกินว่า ในวาระสุดท้ายของชีวิต...นายจะอภัยให้ฉันได้หรือยัง"

   เซอิจิหยิบรูปถ่ายของเพื่อนขึ้นมาดู พลางหวนคิดถึงความทรงจำในอดีตที่ผ่านมา ...ความทรงจำที่เขาพยายามผนึกมันไว้เพื่อที่จะได้ลืมว่า เขาเคยทำให้เพื่อนคนสำคัญที่สุดในชีวิต ต้องเจ็บปวดเพราะตนเองมาก่อน



   วันถัดมา เซอิจิได้แวะมายังบ้านพักส่วนตัวของลูกชาย เขานั่งรออยู่สักพัก ริวยะก็ออกมาพบเขาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

   "คุณพ่อมาแต่เช้าเลยนะครับ มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ"

   "เช้าของแกนี่คือเกือบเที่ยงเลยสินะ...อ้อ! แล้วฉันก็ไม่ได้มีธุระกับแก แต่มีธุระกับคนรักแกต่างหาก ...แล้วเจ้าหนูล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน"

   ริวยะขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังตอบคำถามนั้นไปตามตรง

   "ยูคิพอได้ยินว่าคุณพ่อมา ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้จัดเตรียมตู้บูชา ก็เลยแยกไปวุ่นวายกับทางนั้นแทนแล้วครับ"

   ริวยะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก เพราะเขากับคนรักเพิ่งจะได้พักผ่อนกันเมื่อตอนเช้ามืดนี้เอง เนื่องจากเมื่อคืนนี้เกือบทั้งคืน ทั้งคู่ได้พรอดรักกันอย่างเร่าร้อนอย่างลืมตัวเกินไปสักหน่อยนั่นเอง

   "อืม...ดี งั้นเดี๋ยวฉันจะได้ไปเคารพป้ายวิญญาณหมอนั่นเสียหน่อย"

   ริวยะพอได้ยินดังนั้นก็เอ่ยปากถามบิดาออกไปอย่างนึกสงสัย

   "ตกลงว่าคุณพ่อกับคุณตาของยูคิเคยรู้จักกันหรือครับ"

   เซอิจิเหลือบมองลูกชาย แล้วจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากให้เห็น

   "แน่นอน...และถ้าไม่มีเขา บางทีแกกับริวจิ คงไม่ได้เกิดมาลืมตาดูโลกนี้แล้วก็ได้"

   จากนั้นชายชราก็เดินนำหน้าไป โดยมีริวยะบอกว่าห้องที่ว่านั้นอยู่ตรงไหนของบ้านพัก

   

    เมื่อมาถึงห้องพักผ่อนอีกห้องของบ้าน เซอิจิก็เห็นว่ายูคิจัดวางป้ายบูชาของครอบครัวเสร็จเรียบร้อยพอดี ป้ายในตู้บูชานั้น มีป้ายของโคบายาชิ เรียว ผู้เป็นตาและ โคบายาชิ มาซาโกะ ผู้เป็นยาย แถวถัดมาเป็น ทานากะ  มาซายะ และทานากะ เซรินะ ผู้เป็นมารดาและบิดาของเด็กหนุ่ม

   "ลำบากน่าดูเลยนะ ที่ชีวิตต้องพบแต่ความสูญเสียมาตลอดแบบนี้"

   เซอิจิเอ่ยขึ้นอย่างนึกเวทนาต่อตัวหลานชายของเพื่อนรัก หากแต่ยูคินั้นหันกลับมามองชายชรา พลางโค้งทำความเคารพทักทายน้อย ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มให้

   "มันเป็นเรื่องธรรมชาตินี่ครับ...เสียใจก็คงเสียใจ แต่ไม่มีใครในโลกนี้ที่หลีกหนีความตายได้พ้นหรอกครับ"

   เซอิจิรับฟัง แล้วจึงเหลือบไปมองป้ายวิญญาณของเพื่อนก่อนจะพึมพำขึ้นมา

   "นั่นสินะ..."

   จากนั้นชายชราจึงเหลือบมองป้ายวิญญาณผู้เป็นยายของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันมาถามคนที่ยืนมองเขาอยู่

   "ตาของเธอกับยายของเธอรักกันมากไหม"

   ยูคิแปลกใจต่อคำถามนั้น แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงบอกเล่าในสิ่งที่ตนเองรู้ออกไปตามตรง

   "...คุณยายท่านเสียก่อนผมจะเกิดอีกครับ แต่ผมเคยได้ยินคุณตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับคุณยายมากมาย และผมมั่นใจว่า พวกท่านนั้นรักกันมากครับ เพราะคุณตามักจะมีสีหน้ามีความสุขทุกครั้งที่เล่าถึงเรื่องของคุณยายให้ฟัง"

   เซอิจิเงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมพึมพำด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอย่างอ่อนโยน

   "ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี...ฉันจะได้สบายใจและรู้สึกผิดน้อยลง"

   จากนั้นชายชราจึงไปนั่งทำความเคารพป้ายวิญญาณของครอบครัวเด็กหนุ่ม แล้วจึงหันกลับมา ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจระคนสงสัยแกมอยากรู้ของทั้งลูกชายและคนรักของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่ตน

   "พวกเธอพอจะมีเวลาว่างฟังเรื่องเล่าของคนแก่ไหมล่ะ..."

   คำถามนั้นทำให้ยูคิชะงัก ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักตามมาอย่างลืมตัว แล้วจึงหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเผลอแสดงอาการอยากรู้ออกหน้าออกตาเกินไปหน่อย

    "หึ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็นั่งตามสบายเถอะ ไม่จำเป็นต้องนั่งคุกเข่าแบบนั้นก็ได้...เรื่องเล่าของคนแก่มันยาวนะ"

   ยูคิฟังแล้วก็ชะงักก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ พร้อมคำขอบคุณแผ่วเบา ก่อนจะเลือกนั่งขัดสมาธิบนเบาะนั่งเช่นเดียวกับริวยะ จากนั้นเซอิจิก็หันไปทางชิโนะที่มาคอยรอรับใช้อยู่แถวนั้น

   "ไม่ได้ชิมฝีมือขนมหวานของเธอมานาน เดี๋ยวช่วยจัดให้ฉันซักชุดนะชิโนะ"

   "ได้สิคะ...แต่เกรงว่าฝีมือของดิฉันคงจะยังสู้ฝีมือคุณพี่ซานะไม่ได้หรอกนะคะ"

   ชิโนะเอ่ยถึงพี่สาวของเธอซึ่งเป็นผู้ดูแลประจำบ้านพักของเซอิจิด้วยรอยยิ้ม พลางขอตัวไปเตรียมของว่างให้กับบรรดานาย ๆ ของตนต่อไป

   "บรรยากาศดีจังนะ ห้องนี้...ริวยะจัดเตรียมไว้ให้เธอโดยเฉพาะเลยล่ะสิ"

   เซอิจิมองไปทางสวนด้านนอก ซึ่งริวยะที่ถูกพูดแทงใจดำก็แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย ส่วนยูคิก็หน้าแดงน้อย ๆ อย่างนึกเขินอาย

   "อืม...ฉันจะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนไหนดีนะ"

   ชายชราหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน สมัยเขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายในช่วงปีสุดท้าย อันเป็นระยะหัวเรี่ยวหัวต่อของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย...



   ...ในตอนนั้น ฉันอายุได้ 17 ปี กำลังเรียนอยู่ ม.ปลายปีสุดท้าย พ่อของฉันซึ่งเป็นปู่ของริวยะ เป็นคนเข้มงวดเจ้าระเบียบกว่าฉันหลายเท่านัก ทุกคนที่อยู่ใต้เงาปกครองของท่าน จะต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบที่ท่านวางเอาไว้เสมอ แม้แต่แม่แท้ ๆ ของฉันเอง ยังทนการถูกบีบคั้นจากพ่อไม่ได้ ท่านหนีออกจากบ้านและทิ้งฉันไว้ที่นั่นตั้งแต่ฉันอายุเพียง 10 ปี  หลังจากนั้นพ่อก็ยิ่งเข้มงวดกับชีวิตของฉันมากขึ้น  ท่านบงการทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเรียน ในชีวิตวัยเรียนของฉันมีแต่การแข่งขัน ฉันต้องอยู่เหนือคนอื่นเสมอ หากเมื่อใดอันดับผลการเรียนของฉันตกต่ำลง ฉันก็จะถูกพ่อเกรี้ยวกราดและบันดาลโทสะใส่อย่างรุนแรงทุกครั้ง...

   "ผลการสอบนี่มันอะไรกัน เซอิจิ! ทำไมถึงตกลงมามากขนาดนี้!"

   พ่อตวาดใส่ฉันลั่น เมื่อเห็นผลการเรียนของฉัน จากที่เคยติด 1 ใน 5 ของชั้นปี ร่วงลงมาเป็นอันดับที่ 10 ของการสอบที่ผ่านมา

   "ผม...เอ่อ...ผมพยายามเต็มที่แล้วนะครับ แต่การทดสอบครั้งนี้มันค่อนข้างจะยากไปสักหน่อย"

   ฉันพยายามแก้ตัวออกไป ทว่าจู่ ๆ พ่อก็หันไปทางกล่องกระดาษใบใหญ่ด้านหลัง แล้วล้วงหยิบอุปกรณ์วาดรูปที่ฉันเก็บซ่อนไว้ในห้อง ปาใส่หน้าฉัน พร้อมกับตวาดลั่น

   "พยายามอย่างนั้นหรือ! ไม่ใช่เพราะแกมัวแต่สนใจงานอดิเรกไร้สาระของแกอยู่แทนหรอกรึ! ผลการเรียนมันถึงได้ตกต่ำลงถึงขนาดนี้!"

   "...แต่ผมวาดรูปเฉพาะหลังทบทวนบทเรียนเท่านั้นเองนะครับ"

   ฉันพยายามแก้ตัวออกไป ทว่าพ่อของฉันก็ไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น

   "ฉันไม่สนใจคำแก้ตัวของสุนัขขี้แพ้หรอกนะเซอิจิ! แกต้องเลิกงานอดิเรกบ้าบอของแกพวกนี้ให้หมด แล้วตั้งใจเรียนมากขึ้นกว่าเดิม และห้ามทำให้ฉันและตระกูลของเราเสียชื่อแบบนี้อีก เข้าใจไหม!"   

    พ่อตวาดใส่แล้วทิ้งให้ฉันนั่งอยู่กับอุปกรณ์วาดภาพที่ถูกกว้างกระจัดกระจายเหล่านั้นเพียงลำพัง ฉันเก็บพวกมันมาถือไว้ในมือทีละชิ้น ก่อนจะหลุดสะอื้นด้วยความรู้สึกคับแค้นใจอย่างสุดแสน

   ในความคิดของฉันตอนนั้น สำหรับพ่อแล้ว ฉันมันไม่ใช่ลูกชาย แต่เป็นเพียงเครื่องมือเชิดหน้าชูตาของตระกูลและพ่อเท่านั้น... ทั้งที่ฉันพยายามทำทุกอย่างที่พ่อสั่ง แต่พ่อก็ไม่เคยแม้แต่จะยิ้มให้ฉันยามฉันประสบความสำเร็จ ไม่เคยเลยที่จะคอยปลอบโยนยามฉันท้อแท้ผิดหวัง ...และแม้แต่กระทั่งความสุขทางใจเพียงหนึ่งเดียวอย่างการวาดรูป พ่อก็ยังจะมาพรากมันจากฉันไปอีก...

   ฉันในตอนนั้นคงจะถึงขีดความจำกัดความอดทนขึ้นมาเสียแล้ว ฉันตรงออกจากบ้าน เดินสะเปะสะปะไม่รู้ทิศทาง จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าแม่น้ำสายใหญ่  ฉันเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า และตัดสินใจเดินลงไปในลำน้ำนั้นเพื่อจบชีวิตที่ฉันคิดว่ามันไร้ค่านั้นลงเสีย ทว่า...

   "นี่! หยุดนะ! แม่น้ำนั่นเชี่ยวมากนะ ลงไปไม่ได้รู้ไหม!"

   เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง ทำให้ฉันหยุดชะงักฝีเท้าชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปมองยังต้นเสียง อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มวัยพอ ๆ กับฉัน และกำลังวิ่งตรงจากเนินตลิ่งเข้ามาหา ฉันมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันกลับไปแล้วเดินหน้าต่ออย่างไม่ใส่ใจ หากแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงย่ำน้ำ และแรงดึงจากมือของใครอีกคนก็ทำให้ฉันหยุดชะงัก ฉันรีบหันกลับไปมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทว่าพอหันไป อีกฝ่ายก็ทำหน้าตาขุ่นเคืองแล้วโวยวายใส่ฉันลั่น

   "เจ้าบ้าเอ๊ย! นี่นายไม่ได้ยินฉันห้ามหรือไง ถ้าฉันไม่ผ่านมาแล้วห้ามไว้ ป่านนี้นายได้กลายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำไปแล้วรู้ไหม!"

   ฉันชะงักเมื่อได้ยินคำต่อว่านั่น ความฉุนเฉียวก่อตัวขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่เกิดมา นอกจากพ่อแล้ว แทบไม่เคยมีใครกล้ามาดุด่าสั่งสอนฉันแบบนี้มาก่อน

   "หุบปาก! ฉันจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนายสักหน่อย! ปล่อยฉันนะ! ฉันน่ะไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกเส็งเคร็งแบบนี้อีกต่อไปแล้ว! ฉันอยากตายไปให้มันพ้น ๆ ซะเดี๋ยวนี้..!"

   ฉันตวาดสวนกลับไป ก่อนจะหน้าสะบัดไปตามแรงตบจากมือของอีกฝ่าย ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ พอรู้สึกตัวฉันก็เลือดขึ้นหน้าด้วยความโมโห เตรียมจะโต้ตอบกลับ ทว่าฉันก็ต้องชะงักมือของตนเอาไว้ เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาเจ็บปวดของคนที่ตบฉัน

   "...อย่าพูดว่าจะไปตายง่าย ๆ แบบนี้สิ ...ตอนนี้นายเองก็ยังมีชีวิตอยู่แท้ ๆ ...ทำไมล่ะ...ทำไมถึงไม่รักชีวิตตัวเองบ้าง ...ทั้ง ๆ ยังมีคนที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ พยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองได้มีวันพรุ่งนี้ต่อไป แต่ก็ไม่อาจจะฝืนชะตากรรมนั้นได้...แต่นาย...นายที่ยังมีชีวิตที่แข็งแรงขนาดนี้ แต่กลับคิดละทิ้งชีวิตตัวเอง...นายไม่ละอายคนอื่นที่เขามีความพยายามเหล่านั้นบ้างหรือไงกัน!!"

   ฉันนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ แต่พอตั้งสติได้ ฉันก็รีบเถียงกลับไปทันที

   "นายมันจะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวฉันเล่า! ฉันน่ะมันเป็นคนไร้ค่า! ขนาดพ่อแท้ ๆ ยังไม่เห็นค่าของตัวฉันเลยด้วยซ้ำ! ..."

   พอพูดถึงพ่อ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาคลอเบ้าอย่างไม่รู้ตัวด้วยความเจ็บใจ เด็กหนุ่มตรงหน้านิ่งเงียบไป ทำให้ฉันต้องเงยหน้ามองเขาที่สูงกว่าฉันเล็กน้อยอย่างสงสัย แต่แล้วฉันก็ต้องชะงักเมื่อสบกับแววตาอ่อนโยนของอีกฝ่ายที่จ้องมองมา

   "ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเป็นคนที่เห็นคุณค่าในตัวนายเอง...เพราะฉะนั้น อย่าคิดสั้นแบบนี้อีกเลยนะ"

   ฉันเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก ทว่ากลับมีน้ำตานองหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ คงเพราะไม่เคยมีใครที่จะพยายามเข้าใจในตัวฉันเช่นนี้มาก่อน พอมาเจอความอ่อนโยนที่แฝงมากับแววตาอันแสนจริงใจที่ฉันไม่เคยเจอจากคนรอบตัว มันก็ทำให้ฉันอดที่จะเผลอแสดงความอ่อนแอออกไปเช่นนั้นไม่ได้

   

   ฉันจำไม่ได้ว่าหลังจากที่ถูกพามาบนริมฝั่ง ตัวฉันเผลอหลุดปากเล่าอะไรเกี่ยวกับตนเองให้อีกฝ่ายฟังบ้าง เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ฟังที่ดี มีบางครั้งที่ฉันพูดไม่ออกเพราะความคับแค้นใจ คนคนนั้นก็เลือกที่จะบีบไหล่ฉันเบา ๆ แทนการปลอบโยน กระทั่งฉันเริ่มสงบใจลงในที่สุด

   "ขอบใจที่ช่วยรับฟัง...ฉันรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ"

   "ไม่เป็นไรหรอก...ฉันยินดีนะ ที่มีส่วนช่วยให้นายสบายใจได้ขึ้นบ้าง"

   เด็กหนุ่มคนนั้นบอกกับฉัน จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็นั่งเงียบไปสักครู่ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนพร้อมส่งแขนยื่นมาฉุดให้ฉันลุกตาม

   "ฉันชื่อ โคบายาชิ เรียว ...แล้วนายล่ะ"

   ฉันมองคนที่แนะนำตัวเอง แล้วเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะบอกชื่อของตัวเองไปบ้าง

   "มุราคามิ  เซอิจิ"

   เด็กหนุ่มที่ชื่อเรียวยิ้มน้อย ๆ ให้ฉัน แล้วบอกให้ฉันกลับบ้าน เพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ฉันหันไปมองเขาที่ยืนยิ้มส่งฉัน แล้วก็เผลอหลุดปากในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดว่าจะกล้าพูดออกไปได้

   "ฉันจะมาเจอนายที่นี่อีกได้ไหม"

   อีกฝ่ายเงียบไป ฉันคิดว่าเขาอาจจะไม่พอใจ จึงเอ่ยปากเตรียมขอโทษ ทว่าคนตรงหน้ากลับมีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้ฉันแทน

   "ได้สิ ...แต่นายห้ามมาที่นี่แล้วทำเรื่องแบบวันนี้อีกนะ"

   ฉันชะงัก ก่อนจะหลุดยิ้มตอบกลับไป วันนั้นฉันกลับไปบ้าน พ่อไม่ได้ถามสักคำว่าฉันหายไปไหนมา หากแต่ฉันไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือท้อแท้เหมือนเคย คงเป็นเพราะฉันได้ระบายความคับแค้นก่อนหน้านั้นไปให้ใครบางคนได้รับฟังหมดแล้วก็ได้



   เย็นวันถัดมา ฉันมารอที่ริมน้ำที่เดิมอีกครั้ง หากแต่ก็ไร้เงาของคนเมื่อวาน ฉันรออยู่อีกพักใหญ่ ๆ แล้วจึงตัดสินใจกลับบ้าน ทว่าระหว่างจะเดินกลับฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนทักขึ้นมาจากด้านหลัง

   "เซอิจิ! ฉันมาแล้ว!"

   ฉันหันไปดูคนที่วิ่งกระหืดกระหอบตรงมาที่ฉันหยุดรออยู่ อีกฝ่ายยืนหอบอยู่อีกสักพัก แล้วจึงเงยหน้าสบตาฉันพร้อมยกมือขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่

   "ขอโทษทีที่มาช้านะ! พอดีฉันเพิ่งทำงานเสร็จน่ะ!"

    "ทำงาน?"

   ฉันย้อนถามไปอย่างประหลาดใจ เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุพอ ๆ กับฉัน

   "อืม! ฉันลาออกจากโรงเรียนมาได้เป็นปีแล้วน่ะ ก็นะ...พอแม่ฉันเสีย ฉันก็ไม่มีญาติคนไหนเหลืออีก เพราะพ่อฉันก็ตายตั้งแต่ฉันยังเด็ก เงินทองที่มีก็เอาไปรักษาแม่จนหมด ฉันก็เลยต้องลาออกมาทำงานเลี้ยงชีพนี่ล่ะ"

   เรียวเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้มเหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดา ไร้ซึ่งความคับแค้นใจใดใดต่อโชคชะตาให้สัมผัสได้เลยสักนิด และนั่นจึงทำให้ฉันนิ่งอึ้งพร้อมกับเผลอตั้งคำถามที่คาใจบางอย่างออกไป

   "แล้วทำไมนายถึงยังยิ้ม แล้วยังมีกำลังใจสู้ต่อไปได้อีกล่ะ"

   เรียวหันมามองฉัน เขายิ้มให้ฉันอีกครั้ง ก่อนจะตอบข้อสงสัยของฉันอย่างว่าง่าย

   "ก็เพราะฉันยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ...ขนาดแม่ของฉันป่วยเป็นโรคร้ายแท้ ๆ แต่ท่านก็ยังเข้มแข็ง คอยปลอบโยนให้กำลังใจฉันยามฉันท้อ และมีรอยยิ้มให้ฉันได้ทุกวันจนกระทั่งวาระสุดท้ายของท่าน ...ถ้าฉันซึ่งยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงดี กลับทำตัวท้อแท้หรือสิ้นหวังกับชีวิต แม่ก็คงมองฉันอย่างผิดหวังอยู่บนสวรรค์นั่นเป็นแน่"

   ฉันรับฟังและรู้สึกชาวาบบริเวณใบหน้าขึ้นมากะทันหัน พอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดคนคนนี้ถึงได้ต่อว่าฉันซึ่งคิดสั้นแบบนั้นเมื่อวันก่อน

   "ขอโทษนะ...สำหรับเรื่องเมื่อวานนี้..."

   ฉันพูดอะไรแทบไม่ออก แต่ดูเหมือนเรียวจะเข้าใจ เขายิ้มให้ฉัน แล้วเอื้อมมือมาแตะใบหน้าของฉันแผ่วเบา

   "ฉันก็ต้องขอโทษที่เผลอไปตบนายเมื่อวาน ...นายจะชกฉันคืนก็ได้นะเซอิจิ"

   ฉันสั่นศีรษะปฏิเสธข้อเสนอนั่นโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะถ้าไม่มีคนตรงหน้า ป่านนี้ฉันคงจะกลายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำ โดยไร้คนแยแสไปแล้วก็เป็นได้

    "แล้วตอนนี้นายเลิกคิดสั้น ๆ ทิ้งชีวิตตัวเองได้บ้างแล้วหรือยังล่ะ"

   เรียวถามฉัน คำถามนั้นทำให้ฉันชะงัก พลางหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของตน ...ตัวฉันอาจจะถูกบังคับกำหนดเส้นทางชีวิตที่ต้องก้าวเดินตลอดเวลาก็จริง ทว่าฉันยังมีพ่อซึ่งเป็นญาติพี่น้องเหลืออยู่ มีบ้านหลังใหญ่โต มีบริวารข้ารับใช้คอยปรนนิบัติดูแล มีโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าคนตรงหน้านี้มากมายนัก

   "อืม...ฉันจะไม่คิดสั้นทิ้งชีวิตตัวเองง่าย ๆ แบบนั้นอีกแล้วล่ะ"

   เรียวยิ้มกว้างให้กับฉัน เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์จริงใจไร้สิ่งใดแอบแฝงเคลือบแคลง ...พอฉันมองเขาแล้ว ฉันก็นึกอยากให้คนคนนั้นยิ้มให้ฉันหลังจากนี้ไปเรื่อย ๆ ขึ้นมา

   "เรียว...เอ่อ...หลังจากวันนี้ไป ...ถ้าฉันจะมาขอพบนายที่นี่อีก ในเวลาประมาณนี้...เอ่อ...นายจะขัดข้องไหม"

   เรียวชะงักเขาทำสีหน้าครุ่นคิดจนฉันใจเสีย และก่อนที่เขาจะตอบฉันจึงรีบโพล่งขัดไปก่อน

   "เอ่อ...ขอโทษทีนะ ที่ถามในเรื่องที่ทำให้นายลำบากใจ...เอาเป็นว่า ที่ถามออกไปเมื่อครู่นี้ นายก็อย่าไปใส่ใจจำก็แล้วกัน!"

   ฉันฝืนยิ้มให้เขา ส่วนเรียวพอได้ยินก็ทำหน้ายุ่ง ๆ แล้วจึงถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่ให้ฉันได้เห็น

   "เฮ้อ! นายนี่เป็นคนชอบด่วนสรุปตัดบทเอาเองแบบนี้เสมออย่างนั้นหรือเซอิจิ...ฉันยังไม่ได้พูดสักคำเลยว่าลำบากใจ ...เพียงแต่ที่เงียบไป ก็เพราะกำลังนึกว่า ฉันมีเวลาว่างช่วงไหนวันไหน ให้นายมาพบกันสะดวก ๆ แทนต่างหาก... มาหากันเย็น ๆ แบบนี้ กว่านายจะกลับบ้านก็มืดค่ำพอดี เดี๋ยวทางบ้านนายเขาจะเป็นห่วงเอานะ"

   ฉันรับฟังคำพูดนั้นด้วยใบหน้าร้อนวาบด้วยความอับอาย ที่ฉันเผลอคิดเองเออเองว่าเรียวรำคาญฉัน ทั้ง ๆ ที่เขานั้นคิดเผื่อถึงความสะดวกของฉัน และยังเป็นห่วงเผื่อครอบครัวของฉันอีกด้วยซ้ำ

   "แสดงว่า ฉันมาหานายได้อีกอย่างนั้นหรือ..."

   ฉันถามออกไปพร้อมกับรอคอยคำตอบ ต่อให้เรียวจะบอกก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากได้ยินคำยืนยันจากปากของเขาอีกครั้ง

   "ได้สิ! ก็ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่หรือ!"

   เรียวบอกพร้อมยิ้มกว้างให้ฉัน คำตอบนั้นมันทำให้ฉันนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ฉันคงเงียบไปนานจนเรียวต้องถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังลังเลปนเกรงใจ

   "เอ่อ...เป็นอะไรไปเซอิจิ...หรือว่าฉันมัดมือชกนายจนเกินไป...เรื่องเพื่อนน่ะ"

   ฉันสะดุ้งแล้วรีบสั่นศีรษะไปมาปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้อีกฝ่าย

   "ไม่เลย...ฉันดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย...เรียว"

   พอได้ยินฉันบอกดังนั้น เรียวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วจึงยื่นมือส่งมาให้ฉันพร้อมรอยยิ้ม

   "งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะ เซอิจิ"

   ฉันมองมือนั้น แล้วยิ้มตอบกลับไปอย่างนึกยินดีเป็นที่สุด

   "ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ...เรียว"

   จากนั้นเรียวก็บอกถึงเวลาทำงานและวันพักผ่อนของเขา ซึ่งฉันก็จดจำมันและเทียบดูกับตารางเวลาของฉัน บางทีหากฉันตัดเวลาเรียนด้วยตนเองในตอนเย็นที่ห้องสมุด ฉันก็จะมีเวลามาหาเรียวได้นานมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายชั่วโมง

   "ไว้เจอกันครั้งหน้านะเรียว"

   ฉันบอกลาเพื่อนใหม่ของฉัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับรู้ เจ้าตัวโบกมืออำลาส่งฉัน ขนาดฉันเดินไปแล้วหันกลับมามองอีก ฉันก็ยังเห็นเขายืนโบกมือให้ฉันต่อไม่เลิกจนฉันนึกขำ

   วันนั้นฉันกลับบ้านไปด้วยอารมณ์ที่เบิกบานกว่าเดิม แม้ว่าจะถูกพ่อเมินเฉยใส่ตอนฉันทักทายท่านเมื่อถึงบ้านก็ตาม

   

   หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไปหาเรียวตอนที่เขาว่างจากงาน หรือมีบางครั้งฉันก็ไปช่วยเขาทำงานพิเศษในตอนเย็นด้วยก็มี แม้ว่าเรียวจะบ่นใส่ฉันบ้าง แต่นายจ้างที่ร้านซึ่งเรียวทำงานอยู่ก็แอบบอกฉันมาว่า เรียวนั้นดีใจที่ฉันแวะมาหาเขาเช่นนี้

   "เพื่อน ๆ จากโรงเรียนเก่าของเรียวจัง ทีแรกก็มีแวะมาเยี่ยมบ้าง มาหาบ้าง แต่หลัง ๆ ก็ห่างเหินกันไป...เรียวเขาก็เข้าใจหรอกนะว่าช่วงนี้เป็นช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อของการเรียน ...แต่ฉันรู้ดีว่าเด็กนั่นคงแอบเหงาอยู่บ้าง  ถึงจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ยังไง แต่ก็ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่ต้องการคบหาเพื่อนฝูงอยู่เลยนี่นะ"

   ทากะซังเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ ที่เรียวทำงานอยู่บอกกับฉัน ซึ่งพอได้รับรู้ดังนั้น ฉันก็รู้สึกดีใจที่ฉันสามารถทำตัวมีประโยชน์ต่อคนที่ฉันนับเป็นเพื่อนได้เช่นนี้

   "เซอิจิ! มาช่วยชิมนี่หน่อยสิ"

   เรียวตะโกนเรียกฉันให้ไปช่วยชิมอาหารที่อีกฝ่ายทดลองทำ เนื่องจากทากะซังนั้นเป็นเจ้าของร้านที่ใจดี และชื่นชมเรียวที่ขยันขันแข็ง เมื่อเห็นว่าเรียวมีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหาร ก็ช่วยส่งเสริมโดยให้เรียวใช้วัตถุดิบที่เหลือในแต่ละวันหลังปิดร้าน ทดลองทำอาหารเพื่อพัฒนาฝีมือตัวเองได้

   "ไหน...อะไรน่ะ...โอฉะสึเกะ?"

   ฉันมองอาหารตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย พอจะเคยได้เห็นคนงานทำกินกันเองในบ้าน แต่ฉันไม่เคยได้กินอาหารพื้น ๆ แบบนี้ด้วยตัวเองมาก่อน

   "ใช่แล้ว... ชิมสิ อร่อยไหม"

   เรียวคะยั้นคะยอให้ฉันลองชิมอาหารฝีมือเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฉันจึงตกลงกิน ทว่าความรู้สึกฝาดฝืดของน้ำชาที่ผิดกับชาชั้นดีที่เคยดื่ม ทำให้ฉันเผลอเบ้หน้าออกไป

   "ไม่อร่อยหรือ"

   เรียวถามด้วยสีหน้าผิดหวัง ทำให้ฉันชะงักแล้วรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ ทว่าอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ ให้อย่างไม่ถือสา

   "ไม่เอาน่า...ไม่อร่อยก็คือไม่อร่อย ฉันไม่โกรธนายสักหน่อย"

   ฉันรู้สึกผิดนิด ๆ แต่ก็ตัดสินใจบอกออกไปตามตรง

   "ไม่ใช่ไม่อร่อยหรอก แต่รสชาติของน้ำชามันผิดกับที่ฉันเคยดื่มน่ะ....เอ่อ..."

   ฉันไม่กล้าพูดต่อกลัวจะโดนเรียวและทากะซังหาว่าฉันพูดจาดูถูกของในร้านของพวกเขา หากแต่ทากะซังกลับขอชิมบ้างแล้วหันไปบอกลูกจ้างของตน

   "น้ำชาที่ร้านเรามีก็เป็นพวกน้ำชาถูก ๆ อยู่แล้ว ถ้าเรียวจังอยากให้รสชาติออกมาดี บางทีเราอาจจะต้องปรับปรุงสูตรเครื่องเคียงในข้าวให้ช่วยเสริมรสชาให้กลมกล่อมกว่านี้ดูเอาก็น่าจะดีนะ"

   จากนั้นทั้งสองคนก็ปรึกษากันอย่างขะมักเขม้น โดยที่ฉันได้แต่มองดูพวกเขาทดลองปรับปรุงสูตรอาหารหลาย ๆ แบบ และสุดท้ายก็เป็นฉันที่ต้องเป็นคนชิมในแต่ละชามที่เรียวทำมา

   "อืม...ชามนี้เข้าท่านะเรียว ...ชายังขมคอเฝื่อน ๆ อยู่ก็จริง แต่ตัวปลาย่างกับบ๊วย ก็เข้ากันกับน้ำชานี่ได้ดีทีเดียวล่ะ"

   ฉันบอกออกไปตามตรง ซึ่งก็ทำให้เรียวดีใจมาก ทากะซังเองก็คิดเหมือนฉัน และยังขอเรียวเอาอาหารสูตรนี้เข้าเป็นหนึ่งในเมนูของร้าน โดยเขาจะบอกกับลูกค้าว่า เรียวนั้นเป็นคนคิดค้นเอง ซึ่งเรียวก็ดีใจจนมีรอยยิ้มกว้างตามมาให้เห็น เขาหันมาขอบคุณฉันซึ่งฉันก็ยิ้มน้อย ๆ

   "ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่ช่วยชิมเอง"

   "แต่ถ้าไม่ได้คำแนะนำตรงไปตรงมาของนาย ฉันก็คงคิดค้นสูตรใหม่ ๆ ขึ้นมาไม่ได้ ... ขอบคุณนะเซอิจิ"

   ฉันยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเรียวก็ขออนุญาตทากะซังเดินไปส่งฉันถึงซอยใกล้ ๆ บ้าน เพราะฉันไม่อยากให้เขาไปถึงบ้าน ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่ไม่อยากให้พ่อรู้ว่าฉันคบกับเรียวอยู่ เพราะพ่อไม่ชอบให้ฉันคบกับเพื่อนที่มีฐานะและหน้าตาของตระกูลต่ำกว่า และยิ่งหากพ่อรู้ว่าฉันไม่ยอมอ่านทบทวนบทเรียนที่ห้องสมุดตามปกติ แต่หนีไปช่วยงานพิเศษของเรียว มีหวังพ่อคงจะบังคับให้ฉันเลิกคบกับเขาแน่นอน

..
..
..

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
...
...
..
   ฉันกลับเข้าบ้านและทำตัวตามปกติ แต่แล้ววันนี้ พ่อกลับมายืนดักรอฉันอยู่หน้าห้องและมีคนสนิทเก่าแก่ของท่าน ยืนก้มหน้าอยู่ห่าง ๆ ทำเอาฉันรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังคงถามไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

   "คุณพ่อมีธุระอะไรกับผมหรือครับ"

   "ธุระอย่างนั้นหรือ..."

   พ่อเริ่มต้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างน่ากลัว ก่อนจะสะบัดมือตบไปที่ใบหน้าของฉันจนหน้าหัน

   "คุณพ่อตบผมทำไมกันครับ..."

   ฉันถามกลับไปอย่างมึนงง น้อยครั้งนักที่พ่อจะโมโหจนลงไม้ลงมือกับฉันแบบนี้

   "ถามว่าฉันตบทำไมหรือ...แกถามตัวเองดีกว่าเซอิจิ! ว่าวันนี้และวันก่อนหน้านั้นแกทำอะไรลงไปบ้าง!"

   เสียงแผดลั่นดังสนั่นไปทั่วบริเวณนั้น ฉันชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ พอมองไปที่คนของพ่อที่เงยหน้ามามองฉันอย่างเป็นห่วง อีกฝ่ายก็พลันรีบก้มหน้าหลบตา ทำให้ฉันหวนคิดถึงความจริงบางอย่าง ก่อนจะเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างลืมตัว

   "แกบอกฉันได้ไหมล่ะว่า วันนี้และวันก่อนหน้านั้นแกได้อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนที่ห้องสมุดอย่างที่เคยทำมาทุกวันไหม!"

    ฉันเงียบกริบเถียงอะไรไม่ออก พ่อเห็นฉันเงียบ ท่านก็ตวาดใส่ฉันต่อด้วยความโมโห

   "ฉันไม่เคยนึกเลย ว่าแกจะไม่รักดีได้ถึงขนาดนี้ ...ทั้งที่ผลการเรียนก็ตกต่ำลง แทนที่จะขยันทบทวนบทเรียนให้มันมากขึ้น แต่กลับเอาเวลาไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนสถุลไร้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนก็ไม่รู้แบบนั้น!"

   ฉันชะงักก่อนจะแย้งสวนกลับไปอย่างลืมตัวเมื่อได้ยินคำเรียกที่พ่อใช้เรียกเรียว

   "เพื่อนของผมไม่ได้เป็นแบบที่คุณพ่อว่านะครับ! เรียวเขาเป็นคนดีมาก ...เขาเข้าใจในตัวผมยิ่งกว่าคุณพ่อเสียอีก!"

   "เซอิจิ แก!"

   พ่อตะโกนเรียกชื่อฉันเสียงดังลั่นพร้อมกับตบฉันอย่างเต็มแรงอีกครั้ง จนฉันเซล้มลงไปกับพื้น ฉันกัดฟันกรอด แล้วยันกายขึ้นพร้อมกับวิ่งหนีไปจากที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกของผู้คนในบ้านเลยสักนิดเดียว



   ฉันวิ่งและวิ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงริมตลิ่งที่แม่น้ำเดิมอีกครั้ง ฉันเดินลงไปที่ริมแม่น้ำก้าวเท้าไปหนึ่งก้าว แล้วหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น คำพูดของเรียวแวบเข้ามาในสมอง ฉันเม้มปากยืนกลั้นสะอื้น ก่อนจะตะโกนเปล่งเสียงไม่เป็นภาษาออกไปเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจที่เกิดขึ้น

   หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฉันก็เดินเรื่อย ๆ ไปยังที่พักของเรียว ฉันไม่กล้ากลับบ้าน ไม่อยากเจอหน้าพ่อตอนนี้   

   "ครับ ๆ มาแล้วครับ"

   เสียงขานรับดังขึ้นหลังจากที่ฉันเคาะประตูไปสักพัก และพอประตูห้องถูกเปิดออกมา คนที่มาเปิดก็มีสีหน้าแปลกใจให้เห็น

   "เซอิจิ! นายมาได้ยังไงกันเนี่ย ...มีอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะ"

   ฉันเม้มปากน้อย ๆ พยายามกลั้นไม่ให้สะอื้นออกมา หลังจากได้รับฟังน้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งแสดงถึงความห่วงใยจากเขา

   "...เซอิจิ...อ๊ะ เข้ามาก่อนเถอะ ข้างนอกหนาวออก ...เหวอ ตัวนายเย็นเฉียบเชียว นี่อยู่ข้างนอกมานานแล้วสินะ!"

   เรียวรีบดึงฉันเข้าห้อง และหาผ้าห่มมาให้ฉันห่ม ...ห้องของเรียวเป็นห้องที่รวมทั้งห้องนอนและห้องรับแขกอยู่ในห้องเดียว ฉันมองสำรวจไปรอบ ๆ แม้ว่าห้องจะเล็กและเก่า แต่มันก็ช่างอบอุ่นผิดกับที่บ้านของฉันเสียเหลือเกิน

   "เกิดอะไรขึ้นหรือเซอิจิ...เล่าให้ฉันฟังได้ไหม"

   คำถามอันแสนจะอ่อนโยนนั่น ทำให้ฉันพรั่งพรูความในใจออกไปจนหมดสิ้น เรียวรับฟังอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าฉันจะเล่าให้ฟังว่าพ่อของฉันพูดถึงเขาอย่างไรบ้าง

   "...ก็นะ พ่อของนายเขาก็คงเป็นห่วงนายนั่นล่ะ เพราะฉันมันก็เป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้าในสายตาของผู้ใหญ่หลายคนอยู่แล้วล่ะนะ"

   เรียวพูดเหมือนกับว่าไม่ได้เจ็บแค้นใจอะไรนัก ทำให้ฉันแย้งกลับไปเสียงดังอย่างลืมตัว

   "แต่นายเป็นคนดีนะ! ดีมาก ๆ เลยด้วย!"

   พอตะโกนออกไปฉันก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโวยวายบ่นจากห้องข้าง ๆ ซึ่งเรียวก็หัวเราะแล้วเอานิ้วชี้จรดปากเป็นสัญลักษณ์ให้ฉันลดเสียงลงกว่านี้

   "ฉันดีใจนะเซอิจิที่นายพูดจาปกป้องฉัน...และฉันก็ไม่โกรธพ่อของนายที่ดูถูกฉันด้วย...ก็ท่านไม่เคยได้รู้จักพูดคุยกับฉันมาก่อน จะตีความไปว่าฉันเป็นเด็กเหลือขอเพราะเป็นห่วงลูกชายตัวเองก็ไม่ผิดอะไรนักหรอก"

   ฉันเงียบกริบแล้วแย้งกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อยลงกว่าเดิม

   "พ่อน่ะหรือจะเป็นห่วงฉัน...พ่อน่ะห่วงแต่หน้าตาและชื่อเสียงของตระกูลตัวเองเสียมากกว่า"

   เรียวยิ้มน้อย ๆ แล้วตบบ่าฉันเบา ๆ อย่างปลอบโยน

   "เอาน่า ใจเย็น ๆ  อืม...ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็ค้างที่นี่ก่อน แล้วพรุ่งนี้เราไปพิสูจน์กันว่า พ่อนายเขาเป็นห่วงนายจริง ๆ  หรือเขาห่วงแค่ตัวเองอย่างที่นายว่ากัน"

   ฉันชะงัก ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ  จากนั้นเรียวก็ให้ฉันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของเขา และชวนฉันมานอนบนฟูกผืนเดียวกัน

   "อึดอัดไหม...ถ้าไม่ถนัด... เดี๋ยวฉันนอนข้างนอกฟูกก็ได้นะ"

   ฉันบอกออกไปอย่างนึกเกรงใจ ทำเอาเรียวหลุดถอนหายใจออกมา แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ฉัน ท่ามกลางแสงรำไรจากแสงจันทร์ด้านนอกที่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งบางเข้ามาในห้อง

   "คิดมากน่า นอนได้แล้ว"

   เรียวโอบร่างฉันมากอดปลอบ ทำเอาฉันชะงักตัวแข็งด้วยความตกใจ ทว่าสักพักก็ต้องรู้สึกเคลิ้มด้วยความสบายใจเพราะความอ่อนโยนจากมือใหญ่ที่ลูบผ่านศีรษะของฉันแผ่วเบาเป็นระยะนั่น

   "ขอบใจนะเรียว..."

   ฉันพึมพำก่อนจะเคลิ้มหลับไปในที่สุด มารู้สึกตัวตื่นอีกที ก็พบว่าตัวเองนอนหนุนแขนหมอนั่นต่างหมอนหลับไปทั้งคืน ฉันหน้าร้อนวาบด้วยความเขิน เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนวานที่ผ่านมา เนื่องจากฉันนั้นเผลอหลุดทำตัวเหมือนเด็กไปหลาย ๆ อย่าง โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นคนดีอย่างเรียว  หากเป็นเพื่อนคนอื่นที่ฉันเคยรู้จัก ลองฉันทำแบบนี้ให้เห็นต่อหน้า หากไม่ถูกดูแคลน ก็คงต้องถูกล้อเลียนในเรื่องนี้ไปตลอดเป็นแน่

   "อืม...ตื่นแล้วหรือเซอิจิ"

   เรียวลืมตาขึ้นมาทักทายฉันด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ฉันยิ้มเขิน ๆ ส่งให้ แล้วลุกขึ้น ฉันเห็นเรียวนวดแขนตัวเองด้วยท่าทางที่น่าจะเมื่อย แต่พอเห็นฉันมองอย่างกังวล เขาก็ยิ้มส่งให้ฉันแทนเสียอย่างนั้น

   "กินข้าวเช้ากันก่อน เดี๋ยวค่อยไปบ้านนายด้วยกัน"

   เรียวบอกกับฉันหลังจากที่พวกเราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย

   "เอ่อ...เรียว เรื่องที่จะไปพบพ่อของฉันด้วยกันน่ะ...ฉันว่า..."

   ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อวานนี้เป็นเพราะความโกรธ ฉันจึงกล้าขึ้นเสียงกับพ่อได้

   "เซอิจิ...บางทีนายก็ควรจะกล้าเผชิญหน้า แล้วบอกความรู้สึกที่แท้จริงของนายออกไปให้พ่อของนายรับรู้บ้างนะ ถ้าไม่หันหน้าหากัน เปิดใจให้กันและกัน ...นายกับพ่อก็จะยังคงเป็นเส้นขนานแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นั่นล่ะ"

   เรียวเอ่ยเตือนฉันเบา ๆ ทำให้ฉันที่กำลังกังวลชะงักและหันมามองเขาอย่างลังเล

   "แต่ว่าฉัน...."

   "ไม่ต้องกลัวนะเซอิจิ....ฉันจะอยู่เคียงข้างนายและเป็นกำลังใจให้นายเสมอ"

   คำพูดพร้อมรอยยิ้มและแววตาที่หนักแน่นจริงใจ มันทำให้ฉันนิ่งอึ้งและหลุดเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเบา ๆ อย่างลืมตัว

   "เรียว..."

   เรียวยังคงยิ้มให้ฉัน ในขณะที่ฉันค่อย ๆ หลุบตาลงมองพื้นอย่างรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก

   "ขอบคุณนะ"

   ฉันเอ่ยขอบคุณไปแผ่วเบา ฉันไม่รู้หรอกว่าเรียวมีสีหน้าเช่นไร เพราะฉันยังคงก้มหน้าหลบตาเขาเนื่องจากรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ขอบตาทั้งสอง ทางด้านเรียวก็คงพอจะจับบรรยากาศที่ฉันมีได้ เขาจึงไม่พูดซักถามได้แต่ยืนรอจนฉันเงยหน้าขึ้นได้อีกครั้ง

   "ไปกันเถอะเรียว....ฉันพร้อมแล้ว"

   

   ฉันพาเรียวมาถึงบ้านของฉัน แต่พอเข้าไปคนของพ่อก็วิ่งพรวดพราดออกมาด้วยหน้าตาแตกตื่นจนฉันตกใจ

   "กลับมาแล้วหรือครับ ท่านเซอิจิ!"

   "ใช่...แล้วพ่อล่ะ..."

   ฉันเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าที่ทำเป็นนิ่งเฉย อีกฝ่ายพอได้ยินก็มีสีหน้าหวั่นวิตก แล้วอ้อมแอ้มบอก

   "เชิญท่านเซอิจิตามมาทางนี้ดีกว่าครับ"

   ฉันขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังเดินตามไปแล้วบอกให้เรียวตามฉันมา ทีแรกคนของฉันจะไม่ให้เรียวเข้าไปด้วย แต่ฉันก็จับมือเรียวจูงให้เดินมาด้วยกัน ซึ่งก็ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เพราะในบ้านหลังนี้ นอกจากพ่อแล้ว ฉันก็ไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น

   "ท่านเซอิจิ! ปลอดภัยดีสินะครับ!"

   โมริ ลูกน้องคนสนิทของพ่อฉันปรี่มาหาฉันอย่างเป็นห่วง

   "ฉันไม่เป็นอะไร...พ่อล่ะ"

   ฉันถามหาพ่อเพื่อที่จะได้เผชิญหน้ากันตรง ๆ สักที ทว่าโมริกลับมีสีหน้าสลดลงจนฉันเริ่มสงสัย

   "...เกิดอะไรขึ้นกันแน่โมริ ...พ่ออยู่ไหน!"

   ฉันตะคอกถามอีกฝ่ายเสียงดังอย่างลืมตัว จนเรียวที่มาด้วยกันต้องดึงมือฉันเตือนสติ ทำเอาฉันชะงักแล้วพยายามข่มอารมณ์รอคอยคำตอบของคนตรงหน้าด้วยความหวั่นวิตกในจิตใจที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างประหลาด

   "นายท่าน...ล้มป่วยครับ...ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่ในห้อง คุณหมอเพิ่งจะกลับไปเมื่อครู่ ...แต่เรื่องอาการก็ยังไม่ดีขึ้น  ทางผมจะพาท่านไปโรงพยาบาลแต่ท่านก็ยืนกรานปฏิเสธ ...และที่นายท่านไม่ยอมไป ...ก็เพราะตั้งใจจะรอให้ท่านเซอิจิกลับมาหาน่ะครับ"

   ฉันตัวชาวาบ รู้สึกในสมองมันว่างเปล่าไปชั่วครู่ ฉันยืนค้างอยู่อย่างนั้น จนเรียวที่มาด้วยกันต้องจับฉันเขย่าตัวเรียกสติคืนมา

   "เซอิจิ! ตั้งสติหน่อย!"

   "...เรียว"

   ฉันพึมพำแผ่วเบา แล้วจึงหันไปทางโมริ

   "โมริ...พาฉันไปพบพ่อที"

   "ครับท่าน"

   โมริรับคำแล้วนำฉันกับเรียวเดินตรงไปยังห้องหนึ่ง พ่อของฉันนอนสีหน้าซีดเซียวหลับอยู่บนเบาะ ฉันค่อย ๆ เดินแล้วทรุดเข่าลงนั่งข้าง ๆ จ้องมองท่าน พลางเรียกหาท่านอย่างนึกหวาดหวั่น เนื้อตัวสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นท่านนอนนิ่งเฉยไม่ไหวติงแบบนี้

   "คุณพ่อ...คุณพ่อครับ..."

   "คุณหมอฉีดยานอนหลับให้เมื่อคืนนี้ครับ เพราะนายท่านไม่ยอมพักผ่อน...นายท่านรอคอยให้ท่านเซอิจิกลับมาด้วยความเป็นห่วง ...แม้จะไม่แสดงออกผ่านคำพูดให้ได้ยิน แต่ผมมั่นใจครับ...ว่านายท่านห่วงใยท่านเซอิจิไม่แพ้กับพ่อคนอื่น ๆ หรอกครับ"

   คำพูดของโมริ ทำให้น้ำตาของฉันไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ระหว่างที่ฉันน้อยใจหนีออกจากบ้านเพราะคิดว่าพ่อโกรธเกลียด แต่พ่อกลับเฝ้ารอฉันไม่ยอมหลับนอน ทั้งที่ป่วยหนักแบบนี้แท้ ๆ

   "คุณพ่อ...คุณพ่อเป็นอะไรหรือโมริ ...ทำไมถึงได้ล้มป่วยแบบนี้ล่ะ"

   โมริมีท่าทางอึดอัดลำบากใจในตอนแรก ทว่าพอฉันคาดคั้นไปอีก เขาก็ยอมพูดให้ฉันรับรู้ในที่สุด

   "นายท่านเป็นโรคหัวใจครับ...เป็นมาหลายปีแล้ว แต่นายท่านให้ปิดไว้ไม่ให้ท่านเซอิจิได้รับรู้ เพราะไม่ต้องการให้ท่านเซอิจิเป็นกังวล...และที่นายท่านต้องทำตัวเข้มงวดกับท่านเซอิจิตลอดเวลา...ก็เพราะ..."

    โมริเสียงขาดหายไปชั่วครู่ แววตาที่มองมายังฉันและพ่อแลดูเวทนา ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อ

    "...เพราะนายท่านรู้ตัวดีว่า ...ตนเองเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ...นายท่านอยากให้ท่านเซอิจิแข็งแกร่ง และก้าวเดินต่อไปในอนาคตได้เพียงลำพัง... แม้ว่าจะไม่มีนายท่านอยู่เคียงข้างอีกแล้วก็ตาม"

   ฉันนิ่งอึ้งตกตะลึงกับความจริงที่ได้รับ ก่อนจะชะงักงัน เมื่อได้ยินเสียงละเมอของบิดาดังขึ้นแผ่วเบา

   "เซอิจิ...ลูกอยู่ไหน...กลับมาเถอะ....อย่าทิ้งพ่อไปนะลูก....เซอิจิ"

   ฉันกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ด้วยความเจ็บใจและเกลียดตัวเองที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ฉันเอาแต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าพ่อไม่รัก แต่จริง ๆ แล้วคนที่รักฉันและหวังดีต่อฉันที่สุดในโลกนี้ ก็คือพ่อนั่นเอง

   "คุณพ่อครับ...ผมกลับมาแล้ว...ผมขอโทษครับคุณพ่อ....ผมขอโทษ"

   ฉันบีบมือของพ่อแน่นแล้วโผกอดร่างที่นอนหลับอยู่นั้นพร้อมกับสะอื้นไห้ ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสของฝ่ามือใหญ่ที่ลูบศีรษะและหลังของฉันอย่างอ่อนโยน ฉันยันกายขึ้นและเห็นพ่อลืมตาขึ้นมอง พ่อยิ้มให้ฉันน้อย ๆ ด้วยความยินดีอย่างที่ฉันไม่เคยได้เห็นมาก่อน ฉันน้ำตาไหลพรากออกมาอีกครั้ง แล้วโผกอดพ่ออีกรอบ หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกจากห้องพร้อมบานประตูเลื่อนที่ปิดลงแต่ฉันไม่คิดสนใจ วินาทีนี้ฉันมีแต่พ่อคนเดียวเท่านั้น

   

   หลังจากคะยั้นคะยอกึ่งขอร้องอ้อนวอนให้พ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อให้หมอดูอาการท่านอย่างใกล้ชิด ฉันก็มักจะตามไปคอยเฝ้าพ่อในทุกวันหลังเลิกเรียนเป็นประจำอยู่เสมอ

   "เด็กเรียวนั่น...แกยังคบหากับเขาต่ออีกสินะ"

   พ่อที่ยังคงนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลเอ่ยถามขึ้น เมื่อฉันไปเยี่ยมท่านในวันหนึ่ง ฉันชะงักมองท่านอย่างกังวล แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับไปค่อย ๆ

   "เหอะ...เด็กไร้มารยาทคนนั้น แวะมาเยี่ยมฉันอยู่เรื่อย ๆ ตอนที่แกยังอยู่โรงเรียน ...ทั้งที่ฉันแสดงให้เห็นว่าไม่อยากเจอหน้าเขาแท้ ๆ แต่ก็ยังหน้าทนมาเยี่ยมพร้อมสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเคยอยู่ดี"

   ฉันรับฟังอย่างตกใจเพราะเรียวไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังมาก่อน หรือจะว่าไปแล้วก็คือ ช่วงนี้ฉันแทบไม่ค่อยได้แวะไปหาเรียวเพื่อพูดคุยกับเขา เพราะมัวแต่ห่วงอาการพ่อ และคอยมาเฝ้าพ่ออยู่ตลอดเวลานั่นเอง

   "เด็กนั่นเล่าให้ฉันฟังเรื่องหลายอย่างของแก...ที่ฉันไม่เคยรู้..."

   พ่อของฉันเปรยขึ้น แต่ฟังจากน้ำเสียงฉันค่อนข้างมั่นใจว่าพ่อไม่ได้โมโหเรียวแน่

   "วันนี้ก็เห็นว่าจะแวะมาอีก...แกก็อยู่รอพบเขาด้วยแล้วกัน ...เพราะเด็กนั่นบอกว่าวันนี้เขาจะมาพบฉัน เพื่อขอคุยด้วยเรื่องของแกนั่นล่ะ"

   พ่อบอกแค่นั้นแล้วก็หลับตาลงคล้ายจะพักผ่อน ทำให้ฉันที่กำลังเต็มไปด้วยความสงสัยต้องชะงักคำถามเก็บไว้ในใจ แล้วนั่งรอจนถึงตอนที่เรียวแวะมาเยี่ยม



   "สวัสดีครับคุณพ่อของเซอิจิ  อาการดีขึ้นหรือยังครับ"

   เรียวเข้ามาพร้อมเอ่ยทักทายพ่อของฉัน ทว่าคำเรียกนั้นกลับทำให้ฉันขมวดคิ้ว ส่วนพ่อของฉันก็ทำเป็นเมินใส่เรียว หากแต่เรียวนั้นมีรอยยิ้มกว้างแทนอย่างไม่ถือสา

   "...เรียว ฉันเพิ่งจะรู้ว่านายแวะมาเยี่ยมคุณพ่ออยู่บ่อย ๆ"

   "อื้อ! ก็เห็นว่าตอนกลางวัน นายยังไม่มาเฝ้า พ่อของนายท่านก็จะต้องอยู่คนเดียว ฉันกลัวท่านจะเหงาไม่มีเพื่อนคุยก็เลยแวะมาเยี่ยมไงล่ะ  ทีแรกก็ไม่ค่อยกล้า กลัวท่านเห็นหน้าฉันแล้วอาการจะทรุดหนักลง แต่พอเห็นท่านดูเป็นปกติดี ก็เลยแวะมาเยี่ยมเรื่อย ๆ นี่ล่ะนะ"

   เรียวอธิบายให้ฉันฟังด้วยสีหน้าร่าเริง ฉันได้ยินเสียงพ่อพึมพำในลำคอด้วยความไม่สบอารมณ์  คงเพราะเรียวเป็นคนประเภทที่ท่านไม่ชอบ  พ่อฉันท่านชอบคนเรียบร้อย มีมารยาท เวลาเข้าหาผู้ใหญ่  แต่เรียวนั้นค่อนข้างจะร่าเริงและพูดจาตรงโผงผางไปสักหน่อย

   "แล้วที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยนั่นมันเรื่องอะไร...ถ้าจะพูดก็รีบ ๆ พูดเสีย ฉันจะได้พักผ่อนต่อ"

   พ่อของฉันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทำให้ฉันนึกหวั่นแทนเรียว หากแต่พอมองเรียวก็เห็นเขายังคงมีรอยยิ้มให้พ่อของฉันอย่างเคย

   "ครับ ๆ เข้าเรื่องกันเลยก็ดี..."

   เรียวรับคำในแบบที่ทำให้พ่อของฉันต้องนิ่วหน้า จากนั้นเรียวก็เริ่มพูดในสิ่งที่เขาต้องการ

     "...จากเรื่องเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ผมก็ค่อนข้างดีใจแทนเซอิจิที่เขาปรับความเข้าใจกับท่านได้ในระดับหนึ่ง...แต่ผมเองก็รู้สึกว่า ระหว่างท่านกับเซอิจิ ยังมีสายใยบาง ๆ ที่มันยังขวางความสัมพันธ์ของท่านและเขาเอาไว้ และผมก็อยากให้ท่านและเขาเปิดใจพูดคุยกันแบบซึ่ง ๆ หน้าสักที ...สำหรับเซอิจิแล้ว ผมเชื่อว่าตอนนี้ต่อให้เขาอยากพูดหรือทำอะไรออกไป เขาก็คงไม่กล้าเพราะเป็นห่วงในสุขภาพของท่าน ...และเพราะผมรู้ ผมจึงต้องมาอาสาพูดความรู้สึกของเพื่อนผมแทนอย่างไรล่ะครับ"

   ฉันนิ่งอึ้งไม่คิดว่าจะถูกมองความรู้สึกของตนเองออก ฉันได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตาทั้งเรียวและพ่อ จนกระทั่งเสียงของเรียวดังขึ้นมาอีกครั้ง

   "ท่านครับ...สำหรับท่านแล้ว...ระหว่างความสุขและรอยยิ้มของเซอิจิ กับสิ่งที่ท่านบังคับตระเตรียมเพื่อเขาในอนาคต ...สิ่งไหนสำคัญสำหรับท่านมากที่สุดกว่ากันหรือครับ"

   ทั้งฉันและพ่อของฉันเงียบกริบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉันเหลือบไปมองพ่อก็เห็นพ่อนิ่งอึ้งอย่างที่ไม่เคยได้เห็นบ่อยนัก ส่วนเรียวเขายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพูดต่อมา

   "ผมมั่นใจและเชื่อว่าท่านต้องเลือกในสิ่งที่ท่านเห็นควรแล้วว่ามันจำเป็นต่ออนาคตของเซอิจิ... แต่ท่านครับ...ท่านอยากให้ลูกชายคนเดียวของท่านก้าวเดินไปอย่างมั่นคงแต่ไร้ซึ่งรอยยิ้มหรือครับ ...ความสำเร็จที่แสนเศร้าเช่นนั้น ท่านอยากให้เซอิจิต้องเผชิญกับมันในอนาคตหรือครับ"

   ฉันยังคงเงียบรับฟังสิ่งที่เรียวพูดต่อไป ทว่ากลับรู้สึกถึงน้ำอุ่น ๆ ที่มันกำลังไหลอาบแก้มของฉันอยู่

   "ผมมีเรื่องอยากพูดแค่นี้ล่ะครับ...หากผมเผลอเสียมารยาทหรือก้าวร้าวอะไรท่านไป ยังไงผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ...ลาล่ะครับ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ"

   เรียวบอกตามมาแล้วโค้งให้พ่อของฉัน เขาหันมายิ้มให้ฉันก่อนเดินออกจากห้องไป ฉันมองตามจนประตูห้องถูกปิดลง ก่อนจะหันกลับมามองพ่อที่จ้องมองฉันอยู่ก่อนแล้ว

   "คุณพ่อครับ...ผมมีเรื่องอยากพูดคุยกับคุณพ่อครับ...เรื่องความรู้สึกของผมทั้งหมดที่ผ่านมา..."

   ฉันบอกออกไปแล้วกลั้นใจรอคำตอบ พ่อจ้องมองฉันนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ท่านจะผ่อนลมหายใจแผ่วเบา แล้วเอ่ยขึ้นหลังจากนั้น   

   "ดีเหมือนกัน...ฉันก็อยากฟังเรื่องราวของลูกชายฉันจากปากของเจ้าตัว ...มันคงจะรู้สึกดีกว่า ที่จะปล่อยให้คนอื่นมาเล่าให้ฟังแบบนั้นล่ะนะ"

   พอได้ยินพ่อพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบาง ๆ บนใบหน้าที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก ก็ทำให้ฉันหลุดความในใจทั้งหมดออกไป ฉันเล่าและเล่าไปเรื่อย ๆ เล่าทั้งน้ำตานองหน้าตอนที่คิดว่าพ่อไม่รักฉัน เล่าเรื่องที่ฉันเคยคิดสั้นจนเรียวเข้ามาช่วย ฉันเล่าไปจนถึงตอนที่ฉันรู้สึกถึงความกลัวจนจับขั้วหัวใจ เมื่อคิดว่าพ่อจะจากฉันไปตอนเห็นพ่อหลับนิ่งเฉยไม่ไหวติงในยามนั้น...

   "ตอนที่ผมเพิ่งจะได้รับรู้ว่าคุณพ่อห่วงใยในตัวผมมากมายขนาดไหน...ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธเกลียดตัวเองมากเหลือเกิน....ก่อนหน้านั้นที่ผมจะรู้เรื่องราวของคุณพ่อทั้งหมด... ผมเคยตั้งใจจะเผชิญหน้ากับคุณพ่อ และบอกว่าผมอยากจะทำตามใจตัวเอง ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ต่อให้ถูกคุณพ่อตัดขาดก็ตาม..."

   ฉันสะอื้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเล่าถึงตอนนี้ ส่วนพ่อของฉันก็ยังคงรับฟังด้วยความนิ่งเงียบดังเดิม

   "...แต่มาถึงตอนนี้ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้วทั้งนั้น...ไม่ว่าจะเป็นความชอบ ความฝัน...มันก็ไม่สำคัญอะไรเลยสักนิด... ถ้าไม่มีคุณพ่ออยู่กับผม..."

   เสียงถอนหายใจจากพ่อของฉันดังขึ้นให้ได้ยิน ฉันเงยหน้าไปมองพ่อทั้งน้ำตา พ่อของฉันยิ้มน้อย ๆ ให้ แล้วเอ่ยขึ้นบ้าง

   "ลูกโง่... แกกำลังจะทำให้พ่ออย่างฉันกลายเป็นพ่อแย่ ๆ แบบที่เพื่อนของแกด่าทางอ้อมเอาไว้เสียแล้วรู้ไหม..."

   "คุณพ่อ?"

   ฉันรู้สึกงุนงงต่อสิ่งที่พ่อพูด พ่อของฉันหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วกวักมือเรียกฉันมานั่งใกล้ ๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะของฉันแผ่วเบา

   "ขอโทษนะเซอิจิ...พ่อทำให้ลูกต้องทรมานมาหลายปีแท้ ๆ"

   พ่อพูดกับฉันอย่างอ่อนโยนเป็นครั้งแรก น้ำตาที่หยุดไหลเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง ฉันโผเข้ากอดพ่อของฉันอย่างลืมตัว แต่พ่อก็ไม่ว่าอะไร ท่านกอดฉันตอบกลับ เรากอดกันอยู่เช่นนั้นพักใหญ่ และพอรู้สึกตัวเราทั้งคู่ก็ต่างทำเป็นเงียบเฉยไม่พูดจา ทว่ากำแพงบาง ๆ ที่เคยกั้นระหว่างพวกเรามาตลอด ฉันรู้สึกได้เลยว่า มันหายไปหมดจนสัมผัสไม่ได้อีกแล้ว...



... TBC ...


Talk

ยอมรับว่าฉบับรีเมกของตอนพิเศษคู่นี้เขียนยากมากถึงมากที่สุด เพราะตั้งใจจะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเรียวกับเซอิจิให้มากกว่าเดิม ความบีบคั้นจากความไม่เข้าใจระหว่างเซอิจิกับพ่อที่ชัดเจนและมีบทมากขึ้น การสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้เกริ่นไว้ในบทท้าย ๆ ให้ลงตัวกับตอนพิเศษ ...รวมไปถึงความซาบซึ้งระหว่างการปรับความเข้าใจกันของพ่อลูก ให้ดีกว่าของเก่า..........ส่วนตัวในครึ่งแรกนี้ คิดว่าผ่านและเรียกอารมณ์ซึ้งได้ระดับหนึ่ง(มั้ง) ....เหลือภาระครึ่งหลัง คือเรื่องผู้หญิงและการแตกหักของเพื่อนรัก รวมไปถึงบทสรุป ซึ่งจะพยายามทำให้ไม่น้อยหน้าของเดิมหรือดีกว่าของเดิมให้ได้ค่ะ!

อ่านกันแล้วรู้สึกเช่นไรก็คอมเมนต์บอกกล่าวกันบ้างนะคะ

ถ้าไม่ดีจะได้แก้ไขเพิ่มเติมค่ะ



ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ตอนที่ เซอิจิ ปรับความเข้าใจกับ คุณพ่อ ซึ้งมากน้ำตาคลอเลย

เรียว เป็นเพื่อนที่ดีมากเข้าใจ เซอิจิ และรับฟังปัญหาของเพื่อนได้

เราเองก็อยากได้เพื่อนที่เข้าใจเราแบบนี้บ้างจัง

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
 


ตอนพิเศษ ความทรงจำวันวาน (ครึ่งหลัง)


    ...หลังจากที่ฉันปรับความเข้าใจกับพ่อเป็นที่เรียบร้อย พ่อก็ยินยอมให้ฉันกับเรียวคบหากันเป็นเพื่อนอย่างไร้ข้อโต้แย้ง แม้ว่าพ่อที่ตอนนี้กลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้วจะทำเป็นบ่นใส่เรียวบ้างทุกครั้งที่เขาแวะมาเยี่ยม แต่ฉันดูเหมือนว่าพ่อเองก็ชมชอบนิสัยจริงใจของเรียวอยู่ไม่น้อยทีเดียว

   "เจ้าเด็กอวดดีนั่นไม่ได้แวะมาด้วยหรือวันนี้"

   พ่อถามฉันหลังจากที่ฉันกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น ฉันยิ้มน้อย ๆ ให้กับสรรพนามคำเรียกเรียวที่อีกฝ่ายใช้

   "ยังเรียกเรียวเขาแบบนั้นอีกหรือครับคุณพ่อ"

   "ก็มันชวนให้หมั่นไส้อยู่ไหมล่ะ...ไอ้เราหรือเห็นว่ามีฝีมือเคนโด้ถึงขนาดได้ไปแข่งระดับภูมิภาค เลยจะช่วยติดต่อเรื่องทุนนักกีฬาในระดับมหาวิทยาลัยให้ แต่ดันบอกว่าเล่นเพราะใจรัก และไม่เคยคิดจะใช้เคนโด้เป็นเครื่องมือสร้างอนาคตให้ตัวเอง...เหอะ!"

   พ่อยังคงบ่นอยู่ไม่เลิก แต่ฉันก็พอจะอ่านออกว่าพ่อพอใจในความรักศักดิ์ศรีของเรียวอยู่ไม่น้อย มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของพ่อฉันแล้ว ลองใครกล้าขัดใจ พ่อก็คงจะอาละวาดใส่ หรือก็แทบไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

   "แต่จะว่าไปผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีความสามารถด้านเคนโด้ถึงขนาดนั้น นี่ถ้าไม่เพราะทากะซังแอบเล่าให้ฟัง ผมก็คงไม่รู้เรื่องนี้แน่"

   ฉันบอกออกไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ เพราะเรียวไม่ค่อยจะเล่าเรื่องตัวเองให้ฉันฟัง มีแต่ฉันนี่ล่ะที่มักจะเป็นฝ่ายเล่าเรื่องของตนเพื่อขอคำปรึกษากับเขาอยู่บ่อย ๆ

   "...คนเป็นเพื่อนกัน ถ้าลองถามลองพูดคุยกันดี ๆ เดี๋ยวก็เล่าให้ฟังเองนั่นล่ะ"

   พ่อบอกคล้ายจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ ฉันชะงักก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้ท่าน ทุกวันนี้ฉันกับพ่อพูดคุยและยิ้มให้กันมากขึ้น ต้องขอบคุณเรียวจริง ๆ ที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้เราสองพ่อลูกเช่นนี้

    "เซอิจิ ...ตกลงเรื่องมหาวิทยาลัย แกจะไม่เปลี่ยนใจแน่นะ"

   พ่อถามฉันหลังจากที่ฉันพาท่านไปที่ห้องและรอให้ท่านเข้านอนพักผ่อนตามปกติ ฉันชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพร้อมตอบกลับไป

   "แน่นอนครับ...ผมดีใจนะครับที่คุณพ่อให้โอกาสผม แต่ถึงผมจะรักการวาดภาพ ผมก็ชอบมันในฐานะงานอดิเรกเท่านั้น ...แต่สาขาที่ผมเลือกไม่ใช่เลือกเพราะคุณพ่ออยากให้เรียนเมื่อก่อน แต่ผมคิดทบทวนดีแล้วว่า มันจำเป็นสำหรับอนาคตข้างหน้าของผมจริง ๆ ครับ"

   พ่อพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้กับฉัน ซึ่งฉันเองก็ยิ้มตอบท่าน และคอยเฝ้าดูจนกระทั่งท่านหลับ ก่อนจะออกมาจากห้องนั้นอย่างเงียบ ๆ



   เวลาผ่านไปหลายเดือน ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามสาขาที่ตั้งใจไว้ พ่อฉันก็ยังคงแข็งแรงดี คงเพราะท่านไม่ต้องเครียดกับฉันเหมือนเมื่อก่อน  ส่วนเรียวเราก็ยังคงคบหาเป็นเพื่อนกันเช่นเคย ถ้าวันไหนฉันว่างฉันก็มักจะแวะไปเยี่ยมเยียนเขาที่ร้านของทากะซังเสมอ

   "เรียว...เฮ้! นี่นายได้ยินที่ฉันเล่าหรือเปล่าน่ะ!"

   ฉันย้ำถามเมื่อเห็นเรียวดูเหม่อเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันคุยด้วย

   "อ๊ะ! ว่าอะไรนะ! นายว่าอะไรหรือเซอิจิ?"

   ฉันขมวดคิ้วยุ่งกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ช่วงสองสามวันมานี้เรียวดูเหม่อลอยให้เห็นบ่อยครั้ง และยิ่งจะดูหนักมากขึ้นทุกที

   "นายเป็นอะไรของนายกันแน่เรียว พักหลังมานี่นายดูเหม่อ ๆ ประหลาดนะ มีอะไรกลุ้มใจก็ปรึกษาฉันได้นา"

   ฉันถามอย่างเป็นห่วง เรียวรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ ก่อนจะชะงักแล้วก้มหน้าซ่อนฉัน

   "หึ ๆ เซจัง เรียวจังเค้ากำลังมีปัญหาเรื่องหัวใจน่ะ  เซจังช่วยเขาได้หรือเปล่าล่ะ"

   เสียงของทากะซังแทรกขัดขึ้นอย่างล้อเลียนทำเอาเรียวต้องหันไปเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย ส่วนฉันนั้นเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะรีบถามไปด้วยความตื่นเต้นที่ก่อตัวขึ้น

   "จริงหรือ!? กับใคร? ฉันรู้จักหรือเปล่า?"

   เรียวมีสีหน้าเคอะเขินอย่างที่ฉันไม่เคยได้เห็นมาก่อน ฉันนึกสนุกจึงรับอาสาช่วยเรื่องความรักของเจ้าตัว และยิ่งได้แรงทากะซังช่วยยุอีกคน เรียวจึงยอมเล่าเรื่องรักแรกพบของตัวเองให้ฉันได้รับฟังในที่สุด...

   

    "วันที่ฉันเจอเธอครั้งแรก วันนั้นฉันมีไข้นิดหน่อย ก็เลยเดินเซ ๆ ไปบ้าง เลยถูกคนขับของรถคันหนึ่งบีบแตรไล่ ฉันสะดุ้งตกใจก็เลยถอยหลังแล้วล้มลงไปนั่งข้างกำแพงบ้านแถวนั้น ...สักพักรถคันนั้นก็จอด แล้วเด็กสาวคนหนึ่งก็เดินลงมา โดยที่คนขับของเธอตามมาด้วย ...ตัวคนขับน่ะทำหน้าดุ ๆ ใส่ฉัน ซึ่งฉันก็เข้าใจหรอก แต่เด็กสาวคนนั้น...เธอถามไถ่ฉันอย่างเป็นห่วง แล้วก็ขอโทษที่รถของเธอทำให้ฉันตกใจ ...แถมพอเห็นมือฉันถลอก เธอก็ให้ผ้าเช็ดหน้าของเธอกับฉัน แล้วก็จากไปขึ้นรถพร้อมกับคนขับ..."

   เรียวเล่าด้วยสีหน้ายิ้มเคลิ้มฝัน แต่ฉันนิ่วหน้าแล้วถามกลับไปอีกเรื่อง

   "นายบาดเจ็บด้วยหรือ! แล้วทำไมไม่เห็นบอกกันบ้างเลย!"

   เรียวชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แล้วตบบ่าฉันเบา ๆ พร้อมบอกต่ออย่างร่าเริง

   "ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า ก็แค่แผลถลอก เลียเอาก็หายแล้ว"

   ฉันบ่นอุบอิบ ไม่ค่อยชอบใจที่เวลาเรียวมีปัญหา แล้วฉันกลับไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือเขาในตอนนั้น เรียวยิ้มให้ฉันที่ทำหน้ายุ่งก่อนจะเล่าเรื่องผู้หญิงคนนั้นให้ฉันฟังต่อ

   "ฉันมาสืบรู้ทีหลังจากคนแถวนี้ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคุณหนูของตระกูลมีชื่อและร่ำรวย ...พอรู้แบบนั้นปุ๊บ ฉันก็รู้ได้เลยทันทีว่าตัวเองอกหักแน่นอน ...ก็เลยเผลอเหม่อ ๆ ซึม ๆ ให้เห็นไปบ้าง...แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่นานพอลืมได้ ฉันก็กลับมาเป็นคนเดิมแล้วล่ะ!"

   เรียวบอกพร้อมยิ้มกว้าง แต่ฉันมองดูยังไงก็เห็นว่าเขาฝืนทำร่าเริงให้ฉันได้เห็นชัด ๆ

   "เรียวจังอย่าเพิ่งหมดหวังง่าย ๆ สิ ...อ๊ะ! จริงสิ  ให้เซจังช่วยเป็นพ่อสื่อให้ก็ได้นี่นะ ถ้าเป็นคุณหนูเหมือนกันอย่างเซจัง ก็น่าจะเข้านอกออกในบ้านหลังนั้นได้ไม่ยากหรอก จริงไหม!"

   ทากะซังเสนอความเห็นบ้าง ซึ่งความเห็นของเขาก็ทำให้ฉันเห็นดีด้วย ส่วนเรียวมีท่าทางเกรงใจและลังเล ฉันจึงอาสาตัวเองอย่างนึกสนุกขึ้นมาอีกครั้ง   

   "เอาน่าเรียว! ไว้ใจพ่อสื่อคนนี้เถอะ! ฉันจะทำให้นายเข้าหายัยคุณหนูคนนั้นให้ได้เลย คอยดู!"

   เรียวถอนหายใจแล้วมองฉันด้วยสายตายิ้ม ๆ แกมระอา และสุดท้ายเขาก็ยอมให้ฉันช่วยเหลือเรื่องความรักครั้งนี้จนได้

   "แล้วตกลงคุณหนูนั่นเขาชื่ออะไร นามสกุลอะไรกันล่ะ"

   ฉันถามออกไปเพราะต้องการจะรู้ข้อมูลเป้าหมาย ซึ่งเรียวก็อึกอักอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงยอมบอกฉันในที่สุด

   "ซายูริ....เธอชื่อ โทริคาวะ  ซายูริ"

 

   ...เสียงทอดถอนหายใจที่ดังขึ้นจากชายหนุ่มเบื้องหน้า ทำให้ชายชราที่กำลังเล่าเรื่องราวในอดีตมีรอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก เขาหันไปหยิบชาที่รินเอาไว้นานจนมันเริ่มเย็นขึ้นจิบน้อย ๆ ก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่มที่จับจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาที่เป็นประกายแวววาวอย่างสนอกสนใจไม่เปลี่ยน

   "อยากฟังต่ออีกไหม..."

   คนพูดถามออกไป ซึ่งเด็กหนุ่มก็ชะงักเล็กน้อย แล้วยิ้มตอบอย่างอาย ๆ

   "อยากฟังต่อครับ"

   เซอิจิยิ้มรับก่อนจะหันไปทางลูกชายของตนบ้าง

   "แล้วแกล่ะริวยะ ...ถ้าเบื่อก็ออกไปก็ได้นะ"

   ริวยะถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบบิดากลับไป

   "ไม่เบื่อหรอกครับ...ยิ่งมีชื่อที่แสนจะคุ้นเคยของใครบางคนให้ได้ยินแบบนี้ ก็ยิ่งอยากฟังต่อเข้าไปใหญ่"

   เซอิจิหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาจิบชาในถ้วยอีกครั้งแล้วจึงเริ่มเล่าถึงเรื่องราวในอดีตต่อ...

   

   ไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไรที่ฉันจะพาเรียว เข้าไปพบผู้หญิงที่เขาหลงรักได้ถึงในบ้านหลังนั้น เพราะบารมีของพ่อและนามสกุลที่ฉันใช้  ทำให้ฉันเข้าหาอีกฝ่ายได้โดยการทำทีเป็นแวะมาเยี่ยมเยียนทักทาย ในฐานะคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจเดียวกัน ก่อนจะค่อย ๆ เผยเป้าหมายว่าต้องการทำความรู้จักกับลูกสาวของอีกฝ่าย ซึ่งโทริคาวะ ยามาโตะ พ่อของหล่อนนั้นก็คิดว่าฉันตั้งใจมาจีบลูกสาวเขา จึงได้ต้องรับขับสู้ฉันเป็นอย่างดี  ส่วนฉันก็ทำเป็นปล่อยให้เขาเข้าใจผิดโดยไม่แก้ตัว เพื่อจะเปิดโอกาสให้เรียวได้มาพบกับคนที่เขาหลงรักง่ายขึ้นกว่าเดิม

   ในที่สุดฉันก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคุณหนูของโทริคาวะและคบหาเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ แม้ว่าโทริคาวะ ยามาโตะพ่อของหล่อนจะไม่ค่อยพอใจนักที่ฉันมักจะพาเรียวไปไหนมาไหนยามที่นัดพบกับลูกสาวของเขาเสมอ แต่ฉันก็อ้างว่าเรียวนั้นเป็นเพื่อนสนิทที่ได้รับการรับรองจากพ่อของฉันมาแล้ว ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าแย้งหรือแสดงความไม่พอใจให้ฉันเห็นต่อหน้ามากนัก

     ทว่าคนเป็นลูกสาวกลับดูแตกต่างจากพ่อของเธอมาก ซายูรินั้นอายุน้อยกว่าฉันกับเรียว 3 ปี เธอเป็นคนหน้าตาสวย และมีกิริยามารยาทสมกับเป็นลูกสาวตระกูลดัง แต่กลับเป็นคนมีจิตใจงดงาม มองโลกในแง่ดี จะว่าไปเธอก็มีนิสัยอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับเรียว จนทำให้ฉันรู้สึกสนิทใจกับเธอ และคิดกับเธอเสมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง  ทว่า...

   "เซอิจิ...แกกำลังคบหาอยู่กับลูกสาวของโทริคาวะ ยามาโตะอยู่หรือ"

   พ่อของฉันถามขึ้นระหว่างมื้อเช้าของเรา ทำเอาฉันแทบสำลักข้าวที่กำลังกินอยู่

   "คุณพ่อทราบด้วยหรือครับ"

   "ก็โทริคาวะคนพ่อเขามาคุยกับฉัน เมื่อตอนงานเลี้ยงเปิดสาขาใหม่ของบริษัทเรา แถมยังเลียบ ๆ เคียง ๆ ว่า เมื่อไหร่แกจะมาขอหมั้นหมายลูกสาวของเขาอย่างเป็นทางการเสียทีด้วย"

   พ่อพูดเสียงเรียบ ๆ แต่ฉันฟังดูก็พอจะเดาได้ว่าพ่อไม่พอใจนักที่รู้จากปากคนอื่นแทนที่จะรู้จากฉัน

   "เอ่อ...จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้รู้สึกกับซายูริอะไรแบบนั้นเลยครับ ผมคิดกับเธอแค่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง"

   พ่อขมวดคิ้วยุ่งแล้วนั่งนิ่งฟังฉันอธิบาย ฉันจึงจำต้องเล่าความจริงไปทั้งหมด และเมื่อรู้ความจริงพ่อก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับตำหนิฉันตามมา

   "เหลวไหล! แกไม่ควรจะหลอกให้ใครเข้าใจผิดแบบนี้ ...หากโทริคาวะรู้คงไม่พอใจมาก และจะตำหนิจนถึงฉันเอาได้ ...ที่สำคัญหากมีคนรู้ความจริง หนูซายูริเองก็คงจะถูกนินทาจนเสียหายมิใช่น้อย ...แกเคยคิดถึงตรงจุดนี้บ้างไหม!"

   ฉันสะดุ้งแล้วก้มหน้าพลางพึมพำขอโทษ ไม่ค่อยได้เห็นพ่อโกรธฉันแบบนี้มานานแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้คิดต่อว่าท่าน เพราะฉันนั้นก็ทำผิดจริงอย่างที่พ่อตำหนิ

   "ส่วนเรื่องเจ้าหนูนั่น...ฉันว่าแกบอกให้เขาตัดใจเสียเถอะ ต่อให้หนูซายูริจะมีใจให้เด็กนั่นก็ตาม แต่คนอย่างโทริคาวะไม่มีวันยกลูกสาวให้เขาแน่"

   "แต่เรียวรักซายูริจริง ๆ นะครับคุณพ่อ!"

   ฉันแย้งกลับไป พ่อจ้องมองฉันนิ่ง ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าจริงจัง

   "เซอิจิ...บางครั้งเรื่องของความรักมันก็ไม่เป็นไปตามที่ใจเราต้องการเสมอไปหรอกนะ...ถ้าแกเข้าไปดึงดันฝืนมัน บางทีมันอาจจะออกมามีผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างที่แกไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยก็ได้...ฉันเตือนในฐานะพ่อที่หวังดีต่อลูกชายตัวเอง แกคงเข้าใจสินะ"

   ฉันเงียบกริบ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ แม้ในใจยังคิดโต้แย้งในเรื่องนี้อยู่บ้างก็ตาม

   "ส่วนเรื่องหนูซายูริ ...ถ้าแกไม่คิดอะไรกับหล่อนก็ถอนตัวออกมาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ...หนูซายูริเป็นผู้หญิง ต่อให้แกบอกว่าไม่เคยคิดสนใจเธอ ยังไงเธอก็ยังเป็นฝ่ายเสียหายอยู่ดี ...ยิ่งเธอเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ด้วยแล้ว การที่แกคอยแวะเวียนไปหาหล่อนอยู่ตลอด ต่อให้แกปฏิเสธว่าไม่ได้คิดอะไร จะหาคนนอกเชื่อได้สักกี่คนเชียว"

   ฉันชะงักแล้วนิ่งอึ้งไปนานก่อนจะรับคำแผ่วเบา จนด้วยถ้อยคำโต้เถียงใด ๆ แต่ก็อดสงสารเรียวไม่ได้ ถ้าฉันผละออกมา เรียวก็คงจะหาโอกาสใกล้ชิดซายูริได้ลำบากกว่าเดิมเป็นแน่

   "ถ้าแกรักเพื่อนของแกจริง ถอยออกมาก่อนที่เรื่องราวจะสายเกินไป จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดนะเซอิจิ"

   พ่อเอ่ยเตือนเรื่องนี้ให้ฉันรับรู้อีกครั้ง ฉันรับฟังคำพูดของท่าน แต่ก็ตัดสินใจว่าจะช่วยให้เรียวกับซายูริพบกันเป็นครั้งสุดท้าย และให้เรียวบอกความรู้สึกของตนให้ซายูริรับรู้ ฉันแน่ใจว่าซายูริไม่ได้เกลียดเรียว และหากทั้งคู่ใจตรงกัน บางทีเรียวอาจจะใช้ความดีชนะใจโทริคาวะ ยามาโตะ เหมือนกับที่เคยเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับฉันและพ่อมาแล้วก็ได้

   

   วันนี้ฉันนัดพบซายูริที่บ้านพักของเธอ เรียวนั้นขอตัวตามมาทีหลังเพราะติดงาน ฉันจึงไปรอที่บ้านโทริคาวะก่อน ฉันกับซายูริเดินชมสวนนอกบ้านของเธอไปพลาง ๆ เพื่อคอยเรียว เวลาอยู่กับฉัน ซายูริมักจะขี้อายและไม่ค่อยกล้าพูดอะไรนัก ผิดกับเวลาอยู่กับเรียวที่ทั้งคู่จะสนทนากันได้อย่างถูกคอ นั่นจึงทำให้ฉันมั่นใจว่า ซายูริคงจะมีใจให้เรียวอยู่บ้างเป็นแน่

   "นี่...ซายูริ...เอ่อ...เธอมีคนที่ชอบอยู่ในใจหรือยังน่ะ"

   ฉันตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ด้วยความอยากรู้ ทางด้านซายูรินั้นหน้าแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำถามของฉัน เธออึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ ตามมา ทำให้ฉันมีความหวังแทนเรียวมากยิ่งขึ้น

   "จริงรึ! ถ้าอย่างนั้นบอกได้ไหมว่าเธอชอบใคร ใช่คนที่ฉันรู้จักหรือเปล่า!"

   ซายูริหน้าแดงเข้มจนฉันชะงัก และเริ่มคิดว่าฉันคงจะถามตรงไปตรงมาเกินไปหน่อย เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิงแถมยังเป็นถึงลูกคุณหนูมีตระกูลอีกด้วย

   "ง่า...ขอโทษนะ ที่ถามตรงไปหน่อย ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่าคนที่เธอชอบน่ะเป็นใคร"

   ซายูริยังคงหน้าแดงและมีท่าทางขัดเขิน แต่เธอก็หลุดปากถามฉันกลับเสียงค่อย

   "เอ่อ...ทำไมคุณเซอิจิ...ถึงอยากรู้เรื่องนี้ล่ะคะ"

   ฉันฟังแล้วก็ยิ้มให้ แล้วจึงบอกออกไปตามตรง

   "ก็เพราะอยากรู้ว่าคนที่เธอชอบ จะใช่คนเดียวกับคนที่ฉันคอยเฝ้าลุ้นเขาอยู่หรือเปล่าน่ะสิ!"

   อีกฝ่ายชะงัก เธอเงียบไปสักพัก แล้วจึงหลุดถามออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก

   "หรือว่า คุณเซอิจิจะหมายถึง...คุณเรียว"

   ฉันยิ้มให้ที่เธอเข้าใจความหมายของคำพูดฉันเป็นอย่างดี แม้จะแปลกใจที่เห็นท่าทางของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย

   "อื้อ! เรียวชอบเธอมากเลยนะซายูริ และฉันจะดีใจมากเลยถ้าเธอคิดเหมือนเขา เพราะหมอนั่นเป็นคนดีมาก เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวของฉันเลยล่ะ!"

   ฉันบอกออกไปด้วยความภาคภูมิใจ ทว่าซายูริกลับก้มหน้านิ่งแล้วเงียบไปอย่างน่าประหลาด

   "ซายูริ...เป็นอะไรไปน่ะ"

   "...ล่ะคะ"

   เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินทำให้ฉันขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอจะย้ำถาม อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยแววตาตัดพ้อและผิดหวัง

   "แล้วฉันล่ะคะ! คุณเรียวสำคัญสำหรับคุณเซอิจิ ...แล้วสำหรับฉันล่ะคะ สำคัญกับคุณบ้างไหม!"

   ฉันนิ่งอึ้ง พอได้ยินแบบนี้มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายนั้นจะคิดกับฉันในแบบที่ฉันไม่เคยนึกถึงเลยว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง ๆ

   "...ซายูริ...เอ่อ...กับเธอ ฉันคิดแค่เป็นน้องสาวเท่านั้น แต่เรียวน่ะ..."

   "แต่ฉันชอบคุณเซอิจินี่คะ!"

   ซายูริโพล่งใส่ฉันเสียงดังเป็นครั้งแรก เธอกำมือแน่นนัยน์ตาคู่สวยมีน้ำใสเกาะพราวระยิบระยับอย่างน่าสงสาร

   "...ฉันชอบคุณเรียวมากก็จริง แต่ฉันชอบเขาในฐานะเพื่อนหรือพี่ชายคนหนึ่ง...แต่กับคุณเซอิจิมันไม่ใช่อย่างนั้น..."

   ซายูริหยุดพูดชั่วครู่ เธอเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของหล่อน

    "ฉันมันโง่มากใช่ไหมคะ ...ที่คาดหวังไปเองว่าคุณก็อาจจะมีใจให้กันบ้าง...ถึงได้มาพบฉันบ่อย ๆ ...มาชวนไปเที่ยวด้วยกันเสมอ ...รอยยิ้มและสายตาอ่อนโยนที่คุณมักจะมองมาทางฉัน ...จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่สำหรับฉัน...แต่มันมีไว้สำหรับคุณเรียวสินะคะ..."

   ซายูริบอกทั้งเสียงสะอื้น ทำให้ฉันรู้สึกสงสารเธอจับใจ ฉันรวบร่างของเธอมากอดปลอบโยนให้เธอสงบลง  ทว่าพอฉันเงยหน้าขึ้น ภาพเบื้องหน้าที่ได้เห็นก็ทำให้ฉันตัวแข็งค้าง พูดอะไรไม่ออก ไปชั่วขณะ

   "อะแฮ่ม...ผมก็พอเข้าใจความรู้สึกของหนุ่มสาวสมัยนี้อยู่หรอกนะครับ แต่ถึงขนาดถูกเนื้อต้องตัวกันแบบนี้ เห็นทีคงต้องคุยเรื่องหมั้นเรื่องหมายกันให้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วล่ะนะ...จริงไหม โคบายาชิคุง"

   โทริคาวะ ยามาโตะ ที่เดินมาพร้อมกับเรียวเอ่ยขึ้น พลางหันมาให้เรียวที่อยู่ข้าง ๆ รับรอง ด้านเรียวที่ยืนแข็งค้างนิ่งอึ้งในทีแรก ค่อย ๆ ฝืนยิ้มให้กับฉันและซายูริ  ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับอีกคนข้าง ๆ

   "นั่นสิครับคุณโทริคาวะ ...ทั้งสองคนเหมาะสมกันมาก ถ้ามีงานมงคลเกิดขึ้นเร็ว ๆ ก็ดีนะครับ"

   "ฮ่า ๆ พูดถูกใจฉันเสียจริงนะโคบายาชิคุง... เอาล่ะ ๆ ปล่อยให้หนุ่มสาวคุยกันตามสบายดีกว่า ...จริงสิโคบายาชิคุง เธอก็มาดื่มชาคุยกับฉันแทนแล้วกัน ปล่อยให้สองคนนี้เขาพูดคุยกันลำพังดีกว่านะ"

   ฉันเห็นเรียวฝืนยิ้มตอบอีกฝ่าย ทางด้านซายูริก็ค่อนข้างตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าแก้ตัวออกไป ซึ่งฉันก็ไม่ได้ตำหนิเธอในเรื่องนี้ เพราะแค่เรื่องที่เธอกล้าสารภาพรักกับฉันนั้น ฉันเองก็พอมองออกว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอนั้นต้องใช้ความพยายามมากมายขนาดไหน

    "เรียว! ฉันน่ะ..."

   ฉันเตรียมจะแก้ตัวออกไป ทว่าเรียวนั้นหันมาพร้อมกับใช้สายตาสื่อความนัยน์บางอย่างห้ามฉันเอาไว้ ฉันชะงักค้างพูดไม่ออกอยู่กับที่ จนกระทั่งเรียวกับยามาโตะเดินลับสายตาไป

    "ฉัน...นี่ฉันทำอะไรลงไป..."

   ฉันพึมพำตำหนิตัวเอง ถ้าฉันไม่รั้นมาพบซายูริ ถ้าฉันไม่เผลอถามเรื่องคนที่เธอชอบออกไป บางทีฉันอาจจะไม่มีวันได้เห็นสายตาเจ็บปวดของเพื่อนฉันแบบนั้นก็เป็นได้

   "คุณเซอิจิคะ..."

   ซายูริจับแขนฉันอย่างเป็นกังวล เธอเองก็คงสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเรียวเช่นกัน

   "ขอโทษนะซายูริ...ฉันต้องพูดกับเรียวเรื่องนี้ให้รู้เรื่องก่อน"

   ฉันขอตัวแล้วจากมา ถึงยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมให้เพื่อนรักของฉันต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ฉันทิ้งซายูริให้ยืนอยู่คนเดียวที่นั่น ฉันไม่กล้าพอจะหันกลับไปมองเพราะกลัวจะได้เห็นน้ำตาของเธออีกครั้งหนึ่ง

   
..
..

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
..
..

   ฉันตามไปในห้องรับแขก แต่โทริคาวะ ยามาโตะบอกว่าเรียวขอตัวกลับไปแล้ว พอได้ยินฉันก็รีบวิ่งตามออกไปโดยไม่คำนึงถึงเรื่องมารยาทในเวลานั้น ฉันวิ่งและวิ่งจนกระทั่งมาทันเรียวที่กำลังเดินเรื่อย ๆ ไปตามถนนริมตลิ่งติดแม่น้ำสายเก่าที่พวกเราพบกันครั้งแรก

   "เรียว! รอเดี๋ยว!"

   "เซอิจิ..."

   เรียวมองฉันอย่างแปลกใจ ฉันรีบวิ่งไปจับแขนเขาดึงให้หยุดเดิน แล้วบอกตามมาอย่างรวดเร็ว

   "เรียว! นายเข้าใจผิดนะ! ฉันไม่ได้คิดอะไรกับซายูริ ฉันแค่กอดปลอบเธอเพราะเธอร้องไห้ก็แค่นั้นเอง!"

   เรียวนิ่งเงียบรับฟัง เขายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะย้อนถามฉันกลับเสียงเรียบ

   "แล้วทำไมซายูริถึงร้องไห้ได้ล่ะ...พวกนายคุยอะไรกันหรือ..."

   ฉันชะงักพยายามนึกข้อแก้ตัวเพื่อไม่ต้องการให้เรียวเสียใจ ทว่าฉันก็ต้องสะดุ้งเมื่อเรียวนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ใบหน้าแลดูเศร้าอย่างที่ฉันไม่เคยได้เห็นมาก่อน

   "...เซอิจิ ฉันได้ยินนะ ที่พวกนายคุยกันก่อนหน้านั้น...ฉันได้ยินความในใจของซายูริว่าเธอรักใคร ...พอได้ยิน แทนที่ฉันจะเข้าไปยินดีกับพวกนาย...แต่ฉันก็เอาแต่ยืนขาแข็งอยู่แถวนั้น จนคุณโทริคาวะเดินมาเห็น ...พอเขาถามว่าฉันมายืนแถวนี้ทำไม... ฉันจึงบอกว่าไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะของพวกนาย...หึ ๆ พอได้ยินดังนั้น เขาก็ทำหน้าเป็นมิตรกับฉันขึ้นมาเป็นครั้งแรกเลยล่ะ...น่าขำดีเนอะ"

   แม้ว่าเรียวจะพูดแล้วหัวเราะเบา ๆ แต่สีหน้าเศร้า ๆ ของเขาก็ทำให้ฉันแทบจะอดทนไม่ไหว ฉันโผเข้ากอดร่างของเรียวแน่น แล้วพึมพำบอกกับเจ้าตัวด้วยน้ำเสียงที่ห้ามให้สะอื้นไม่ได้

   "อย่าพูดอีกเลยนะเรียว...ขอโทษนะ...ฉันขอโทษ..."

    "บ้าน่ะเซอิจิ...มันไม่ใช่ความผิดของนายเลยสักนิด ...จะว่าไปฉันเองก็เตรียมใจไว้แต่แรกแล้วล่ะ"

   เรียวดันร่างของฉันออกมาแล้วฝืนยิ้มให้ ฉันเม้มปากแน่น นิ่งคิดตัดสินใจบางอย่างชั่วครู่ แล้วจึงหลุดโพล่งออกไป

   "ฉันจะไปบอกโทริคาวะ ยามาโตะ ว่าฉันไม่ได้รักลูกสาวเขา! ที่ฉันทำลงไปนั่นทุกอย่างก็เพื่อนาย!"

   เรียวชะงักตาเบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนจะรีบห้ามฉัน

   "ไม่ได้นะเซอิจิ! นายจะทำร้ายจิตใจซายูริอย่างนั้นหรือ!"

   "ก็ฉันไม่ได้ชอบเขา! คนที่ชอบเขาน่ะคือนายต่างหาก!"

   ฉันเถียงออกไปดังลั่น โชคดีที่ไม่มีคนอยู่แถวนั้น จึงไม่มีใครได้ยินเรื่องราวเหล่านี้

   "แต่ซายูริรักนาย...ได้โปรดเถอะเซอิจิ ...อย่าทำให้ผู้หญิงดี ๆ อย่างเธอต้องมาเดือดร้อนด้วยเลย"

   ฉันเงียบกริบ กำมือแน่น แล้วจึงย้อนถามกลับไปบ้าง

   "แล้วนายล่ะเรียว...นายรับได้หรือ ถ้าฉันจะคบกับซายูริน่ะ"

   เรียวชะงักให้เห็น ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มแย้มร่าเริงตอบฉัน

   "รับได้สิ! ก็พวกนายเป็นคนสำคัญสำหรับฉันทั้งคู่นี่นะ!"

   "...แต่ฉันรับไม่ได้  ซายูริน่าสงสารก็จริง แต่ให้ตายฉันก็ไม่มีวันทำร้ายความรู้สึกของนายเด็ดขาด! ฉันจะไปบอกพ่อลูกคู่นั้นเดี๋ยวนี้ล่ะ...!"

   ฉันหน้าหันไปอีกทาง ก่อนจะมองไปยังคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เรียวเองก็มีท่าทางตกใจในตอนแรก แต่สักพักเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชา แล้วตะคอกใส่ฉัน

   "สงบสติอารมณ์ได้หรือยัง! แค่นี้นายยังจะทำให้ฉันขายหน้าไม่พออีกหรือไง! นายอยากไปตอกย้ำให้ซายูริรู้ใช่ไหมว่า ผู้ชายจน ๆ อย่างฉันไม่มีปัญญาจีบเธอ จนต้องไปขอร้องให้นายช่วย แต่ท้ายที่สุดเธอก็ยังไม่เหลียวแลฉันอยู่ดีน่ะ!"

   ฉันนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าเรียวจะโมโหใส่ฉันถึงขนาดนี้

   "มะ...ไม่ใช่นะเรียว ...ฉันไม่ได้คิดจะทำให้นายต้องขายหน้า หรืออะไรนั่นเลยนะ...ฉัน..."

   "พอเถอะเซอิจิ...แค่นี้ฉันก็รู้สึกแย่มากพออยู่แล้ว...ให้ฉันอยู่เฉย ๆ และลืมเรื่องนี้ไปเองจะได้ไหม ...ถือว่าเป็นคำขอร้องจากฉันแล้วกัน"

   เรียวบอกพร้อมกับสะบัดหน้าไปอีกทางด้วยท่าทางรำคาญ ฉันเอื้อมมือไปแตะที่แขนของเขา แต่แล้วก็ต้องใจหายวูบเมื่อเรียวดึงแขนตัวเองกลับ เขาเหลือบมองฉันครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินจากไป ฉันทำท่าจะวิ่งตาม ก่อนจะชะงักฝีเท้าอยู่กับที่ เมื่อสัมผัสได้แต่ความเย็นชาของคนที่เดินไปเรื่อย ๆ ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองฉันอีก 

   "เรียว...ฉันขอโทษจริง ๆ นะ"

   ฉันบอกพึมพำไล่หลังไป ฉันไม่รู้ว่าเรียวได้ยินที่ฉันพูดไหม วันนั้นฉันเดินซึม ๆ กลับบ้านไม่พูดไม่จาทักทายใคร แล้วตรงกลับเข้าห้องนอนข่มตาหลับลงอย่างยากลำบาก



   วันถัดมา ฉันเตรียมจะไปหาเรียวที่ห้องพักของเขาแต่เช้า เพื่อปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง  ทว่าพ่อก็เรียกฉันเอาไว้ก่อน

   "เซอิจิ ขอฉันคุยด้วยหน่อยสิ"

   "เอ่อ...มีอะไรหรือครับคุณพ่อ"

   พ่อของฉันเงียบไปสักพัก แล้วจึงพูดถึงเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันชะงัก

   "โทริคาวะ ยามาโตะ มาคุยกับฉันเรื่องหมั้นหมายของแกกับหนูซายูริ...เห็นว่าแกกับลูกสาวเขา คบหาสนิทกันจนถึงขั้นถูกเนื้อต้องตัวกันแล้ว ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ ก็เกรงจะเป็นที่ครหาเสียเปล่า ๆ"

   ฉันนิ่งอึ้งก่อนจะแย้งกลับไปด้วยความตกใจอย่างลืมตัว

   "นั่นมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ! ซายูริเขาร้องไห้ ผมก็เลย...เอ่อ..เผลอกอดปลอบเธอเท่านั้น"

   พ่อของฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ และมีสีหน้าเหนื่อยใจจนฉันรู้สึกผิด

   "ขอโทษจริง ๆ ครับพ่อ ...ผมไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแบบนี้"

   "เซอิจิ ...แกต้องหมั้นกับหนูซายูรินะ"

   พ่อบอกตามมาทำให้ฉันนิ่งอึ้ง และพอฉันจะปฏิเสธ อีกฝ่ายก็ยื่นกระดาษพับแผ่นหนึ่งส่งให้

   "อะไรหรือครับ..."

   "เพื่อนของแกฝากเอาไว้...อ่านแล้วช่วยตั้งสติให้ดี ๆ ...แล้วก็อย่าลืมเรื่องหมั้นหมาย ที่ยังไงแกก็ไม่มีทางหลีกได้ ...ฉันเตือนแกแล้วใช่ไหม เซอิจิ ว่าอย่าถลำลึกเรื่องนี้ไปมากกว่านั้น"

   พ่อบอกจบแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้ฉันที่รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีประหลาดเปิดกระดาษแผ่นนั้นขึ้นอ่านตามลำพัง

   '...ถึงเซอิจิ ...นับจากวันนี้ไป ฉันคงไม่ได้อยู่พบหน้านายอีก...นายพูดถูก ฉันคงทำใจอยู่เคียงข้างนายและดูนายคบหากับซายูริไม่ได้...แต่รู้ไหม เซอิจิ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรักซายูริมาก...มาก จนไม่อยากเห็นเธอเสียใจ... เซอิจิ ฉันขอร้อง ถ้านายยังถือว่าฉันเป็นเพื่อนของนาย...คบกับซายูริเสียเถอะ...หมั้นกับเธอ และแต่งงานครองรักกับเธอ ทำให้เธอมีความสุขแทนฉัน...

    ฉันขอเพียงแค่นี้ ...ทำให้ฉันได้ไหมเซอิจิ ...ถ้านายไม่คิดว่ามันเป็นคำขอของเพื่อน อย่างน้อยก็คิดว่าเป็นการตอบแทนที่ฉันเคยช่วยชีวิตนายวันนั้นแล้วกัน....แล้วฉันจะคอยตามข่าวนายอยู่เงียบ ๆ แต่ฉันคงจะไม่ปรากฏตัวให้นายได้เห็นอีกแล้ว

    ...ลาก่อน...จากเรียว'

   วินาทีนั้นฉันพูดอะไรไม่ออก ฉันกำกระดาษแผ่นนั้นแน่น แล้ววิ่งออกจากบ้านไปอย่างไร้สติ ฉันตรงไปห้องพักของเรียว เจ้าของห้องเช่าบอกว่าเรียวเก็บของออกไปก่อนหน้านั้นเกือบชั่วโมงแล้ว  ฉันวิ่งไปที่ร้านทากะซัง อีกฝ่ายก็บอกว่าเรียวมาขอลาออกกะทันหันตั้งแต่เมื่อคืนวาน เขาถามฉันว่าฉันกับเรียวมีเรื่องผิดใจอะไรกันไหม ฉันก็พูดไม่ออก ได้แต่ขอตัวกลับ ฉันเดินไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่ตลิ่งริมแม่น้ำที่เราพบกันครั้งแรก ฉันเดินลงไปที่แม่น้ำ ก้าวลงไปจนเกือบครึ่งตัว หมายจะให้ได้ยินเสียงเรียกจากใครคนหนึ่งที่ฉันต้องการพบ หากแต่ก็มีเพียงเสียงสายลมและเสียงนกร้องในยามเช้าดังแว่วมาเพียงเท่านั้น

   "เรียว...ได้โปรด....กลับมาเถอะ..นายอยากให้ฉันทำอะไร ฉันก็ยินดีทั้งนั้น...แต่ขออย่างเดียว...กลับมาได้ไหม...เรียว....เรียว!!!"

   ฉันตะโกนเรียกชื่อเพื่อนของฉันซ้ำไปมา จนเสียงของฉันแหบ ฉันร้องไห้เสียจนน้ำตามันเหือดแห้ง  วันนั้นฉันกลับไปบ้าน พ่อไม่ซักถามว่าฉันหายไปไหนมา ไม่ได้บ่นเรื่องที่ฉันตัวเปียกไปแทบทั้งตัวแบบนั้น ท่านแค่ตบบ่าและดึงฉันมากอดเบา ๆ จนน้ำตาของฉันไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง



   สุดท้ายฉันก็เข้าพิธีหมั้นกับซายูริ ...แต่เรียวก็ไม่ปรากฏตัวให้ฉันได้เห็นอีกเลย ส่วนซายูริ หลังจากหมั้นกันแล้วฉันก็ไม่ค่อยได้ไปเจอเธออีก ฉันอ้างเรื่องเรียน และเรื่องงานที่ฉันเริ่มเข้าไปช่วยเหลือรับช่วงต่อจากพ่ออย่างเต็มตัว ทางด้านโทริคาวะ ยามาโตะ แม้จะไม่พอใจนัก แต่เพราะฉันพูดเปรย ๆ ว่า ถ้าไม่พอใจก็สามารถถอนหมั้นได้เสมอ เขาจึงยอมทำเป็นเงียบ ส่วนพ่อของฉันก็รู้ถึงความในใจของฉันดี จึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้มากนัก

    จนในที่สุดฉันก็เรียนจบ อันเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่พ่อฉันเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจกำเริบ ฉันจัดพิธีศพให้พ่ออย่างใหญ่โต และขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ แต่ฉันก็ยังคงไม่ไปสู่ขอซายูริเสียที จนโทริคาวะ ยามาโตะเริ่มอ่อนใจและเลิกจะเซ้าซี้ถามเรื่องนี้กับฉันอีก  ทว่าในที่สุดฉันที่หัวใจตายด้านเย็นชามาหลายปี ก็ต้องกลับมารับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกครั้ง เมื่อซายูริมาพบฉันเพื่อคืนแหวนหมั้น

   "ฉันพูดให้คุณพ่อท่านเข้าใจและยอมรับได้แล้วค่ะ...ขอโทษนะคะคุณเซอิจิ ที่ทำให้คุณต้องฝืนใจมาเสียนานหลายปี"

   เธอบอกกับฉันพร้อมรอยยิ้ม เป็นยิ้มที่อ่อนโยนและไม่ได้นึกขุ่นเคืองตัวฉันแต่อย่างใด  ฉันรับฟังอย่างนิ่งอึ้ง วินาทีที่ซายูริยื่นแหวนใส่มือฉัน และเดินจากไป ทำให้ฉันรู้สึกถึงความสิ้นหวังและอ้างว้าง ...คนที่รักฉันและปรารถนาดีต่อฉัน กำลังจะเดินจากไปอีกคน ....หากไร้ซึ่งซายูริ ฉันก็จะไม่เหลือใครอีกแล้ว

   "ซายูริ...ฉันขอโทษ ...อย่าทิ้งฉันไป...ให้โอกาสฉันอีกครั้งเถอะนะ...ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว...ไม่เหลือจริง ๆ"

   ฉันรั้งซายูริเอาไว้ กอดเธอแน่นอย่างโหยหา และแม้จะดูเหมือนว่าเธอจะตกใจในทีแรก แต่สุดท้ายซายูริก็กอดฉันตอบอย่างอ่อนโยน เธอยอมให้โอกาสฉันอีกครั้ง ...และหลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็แต่งงานกัน มีริวยะ ...ริวจิ... แต่เธอก็ดันมาด่วนจากคนอย่างฉันไปเสียก่อน...



   ...เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นจากชายชรา หลังจากได้เล่าถึงอดีตอันยาวนานของตนให้ลูกชายและหลานของเพื่อนสนิทได้รับฟัง ทางด้านยูคินั้นเอานิ้วซับน้ำตาแผ่วเบา ด้วยความรู้สึกสงสารคนตรงหน้านี้จับใจ

   "ฉันอยากจะเจอตาของเธอมาตลอด...อยากขอโทษเขา...อยากปรับความเข้าใจกัน ...แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะอายุสั้น จากไปก่อนแบบนี้..."

   "ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า คุณตาจะโกรธจนทิ้งคุณไปแบบนั้น...คุณตาเป็นคนใจดี และอภัยให้คนอื่นเสมอ...ผมคิดว่า คุณตาคงมีความจำเป็นบางอย่าง ถึงต้องจากคุณไปแบบนั้นก็ได้"

   ยูคิพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ  ส่วนริวยะที่นั่งข้าง ๆ ก็บีบไหล่คนรักเบา ๆ อย่างปลอบโยน

   "คุณตาของเธอท่านเคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคุณพ่อให้หลานอย่างเธอฟังบ้างไหมล่ะยูคิ"

   ริวยะลองถามดู แม้ว่าตาของเด็กหนุ่มจะมีชีวิตอยู่ในตอนช่วงชีวิตวัยเด็กของอีกฝ่าย แต่คนรักของเขาเป็นเด็กที่มีความจำดี หากเรียวได้เล่าเรื่องราวให้ฟัง ยูคิก็คงพอจะจำอะไรได้บ้างเป็นแน่

   "...เรื่องเพื่อนน่ะหรือครับ...จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยคุยกันอยู่นะครับ....อืม"

   ยูคินิ่งเงียบคิดไปพักใหญ่ ๆ ก่อนจะตบมือค่อย ๆ ตามมาอย่างนึกได้

   "นึกออกแล้วครับ! ตอนนั้นรู้สึกจะเห็นคุณตาเขียนบันทึกอยู่... คุณตาเป็นพวกชอบจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้...เห็นบอกว่าจะให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้อ่าน ...ตอนนั้นผมจำได้ว่าคุณตากำลังเขียนบันทึกเล่มหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ พอผมไปถามว่าคุณตาเขียนอะไรอยู่ ท่านก็บอกว่า ท่านเขียนบันทึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง ที่ท่านอยากให้ได้อ่าน...พอผมถามว่าเป็นใคร ท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่าผมไม่รู้จักหรอก ...จากนั้นท่านก็เงียบไป แล้วจ้องผมนิ่ง ก่อนจะสอนผมด้วยประโยคยาว ๆ ที่ผมจำได้แม่นแต่ไม่รู้ความหมายในตอนนั้นว่า...การเสียสละที่ทำให้คนที่เรารักต้องเป็นทุกข์ มันก็เท่ากับเป็นการทำร้ายคนที่เรารักเช่นกัน..."

   พอได้ยินยูคิพูดถึงตรงนี้ เซอิจิก็ใจเต้นแรงขึ้นอย่างคาดหวัง ทางด้านเด็กหนุ่มนิ่งหวนทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก แล้วจึงเอ่ยขึ้นตามมาช้า ๆ

   "และเมื่อเขียนบันทึกเสร็จ คุณตาก็เก็บสมุดบันทึกเล่มนั้นลงไว้ในกล่องไม้เก่า ๆ ของท่าน ...ท่านบอกกับผมว่า หากผมโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ...ให้ช่วยนำบันทึกเล่มนี้ไปมอบให้กับเพื่อนของท่านที ...หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ท่านก็เสียชีวิต...ของทุกชิ้นของท่านเก็บเอาไว้ในกล่องไม้สำคัญของท่าน....นี่ถ้าคุณริวยะไม่ถาม ผมก็คงลืมไปแล้วนะครับเนี่ย"

   ยูคิบอกแล้วหันไปยิ้มให้คนรัก รู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดว่าสมุดบันทึกเล่มนั้นอาจจะเขียนเพื่อมอบให้เซอิจิก็เป็นได้

   "แล้วสมุดบันทึกนั่น..."

   "อยู่ครับ! ของทุกอย่างที่บ้านเก่า ผมกับพ่อเก็บรักษาอย่างดีทุกชิ้นเลยล่ะครับ!"

   ยูคิรีบบอกแล้วตรงไปรื้อกล่องใส่ของที่เก็บไว้โดยมีริวยะคอยช่วยอย่างกระตือรือร้น ค้นหาได้สักพัก ยูคิก็หยิบสมุดบันทึกปกหนังสีดำออกมา เขาเปิดออกมาหน้าแรก แล้วก็ชะงัก เช่นเดียวกับริวยะที่มองอยู่ จากนั้นทั้งคู่จึงหันมาหาชายชราก่อนจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนส่งให้พร้อมกัน

   "นี่ครับ...สมุดบันทึกนี้ คุณตาต้องการส่งมอบให้คุณ ...ขอโทษนะครับที่ผมส่งมันช้าไปสักหน่อย"

   ยูคิยื่นสมุดบันทึกส่งให้กับคนตรงหน้า เซอิจิรับมาด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนจะเปิดหน้าแรกออกมา ชายชราชะงักมือนิ่งเมื่อเห็นลายมือหวัดบนกระดาษเก่า ๆ แผ่นนั้น

   'ขอมอบบันทึกเล่มนี้ให้กับ...มุราคามิ  เซอิจิ ...เพื่อนที่ฉันรักที่สุด'

   เซอิจิเปิดบันทึกหน้าต่อมา ลายมือหวัดคุ้นเคยเหมือนที่เขาได้อ่านเมื่อหลายปีมาแล้ว ทว่าเนื้อหานั้นกลับไม่ได้แฝงความเย็นชาเหมือนดังจดหมายที่เคยสร้างความเจ็บปวดใจให้เขาเลยสักนิด

   '...ขอโทษนะเซอิจิ ...ฉันอยากจะพูดคำนี้กับนายมาตลอด...แต่ฉันมันคนขี้ขลาด ไม่กล้าสู้หน้านาย เพราะฉันได้ทำเรื่องเลวร้ายกับนายลงไป อย่างไม่น่าให้อภัยได้... แต่ฉันอยากบอกนายเสมอว่า จริง ๆ แล้ว ฉันไม่เคยคิดเกลียดนายเลย...ฉันชอบนาย...อาจจะชอบมากกว่าที่ฉันชอบซายูริด้วยซ้ำ ...และเพราะชอบ จึงไม่อยากทำลายอนาคตของพวกนายทั้งคู่ ด้วยมือของฉันเอง

   ฉันรู้...ว่าหากฉันยังอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะอย่างไรนายก็คงไม่ยอมรับซายูริเป็นแน่...แต่ฉันก็อยากให้พวกนายได้ครองคู่กันจริง ๆ นะ ...เซอิจิ นายคงจะพอมองออกสินะว่า นิสัยของซายูริน่ะคล้ายกับฉัน เธอเป็นคนใจเย็น มีความอดทน เทียบกับนายที่เป็นคนใจร้อนแล้ว ซายูริก็เหมือนดังน้ำที่คอยดับรดไฟอย่างนาย ให้มีสติขึ้นมาได้ ...ไม่ว่าจะฐานะ ความเหมาะสม ชาติตระกูล ...ฉันมั่นใจว่านายกับเธอจะครองคู่กันอย่างมีความสุขในอนาคตได้แน่...และเพราะเช่นนั้น ฉันถึงแกล้งทำตัวเย็นชา ปล่อยให้นายเข้าใจผิดว่าฉันโกรธนาย เกลียดนาย...หึ ...รู้ไหม ตอนที่ฉันเอาจดหมายไปฝากพ่อของนาย และบอกเรื่องนี้กับท่าน ฉันยังโดนท่านตำหนิว่าคิดอะไรตื้น ๆ ด้วยซ้ำ....พ่อของนายท่านคงไม่เคยบอกนายเรื่องนี้สินะ ...แต่ก็อย่าโกรธท่านล่ะ ทั้งฉันและท่าน ต่างรู้นิสัยนายดี พวกเราถึงได้เลือกวิธีนี้อย่างไรล่ะ...'

   มือของคนอ่านบันทึกเริ่มสั่นไหวจนคนมองสังเกต ยูคิแม้จะสงสัยและอยากรู้เนื้อความแต่เขาก็จำทนเก็บเงียบ และดึงมือของริวยะเบา ๆ ซึ่งชายหนุ่มมองคนรักก็รู้ว่าอยากให้ทำอะไร ทั้งคู่จึงได้เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ เหลือเพียงแต่เซอิจิที่ยังคงนั่งอ่านบันทึกเล่มนั้นตามลำพัง

   '...หลังจากที่ฉันจากนายมา ฉันก็พบกับคนสำคัญของฉันบ้างในที่สุด เธอไม่ใช่ผู้หญิงสวยอย่างซายูริ แต่เธอเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ...คล้าย ๆ กับเวลาที่ฉันอยู่กับนาย ..เราสองคนก็เลยแต่งงานกัน ...ทั้งฉันและเธอเป็นพวกตัวคนเดียวเหมือนกัน ก็เลยไมมีใครคัดค้านอะไร...และจากนั้นพวกเราก็ได้ลูกสาวมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ ... ตอนนั้นฉันมีความสุขมาก แต่ฉันกลับต้องมารับรู้ข่าวอันน่าเศร้า คือเรื่องพ่อของนายเสียชีวิต ...ตอนนั้นฉันคิดจะไปพบหน้านาย ปลอบโยนนาย ฉันมั่นใจว่านายต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นแน่...แต่ว่า สุดท้ายแล้ว ฉันก็ทำไม่ได้ ...นายอาจจะไม่รู้ก็ได้เซอิจิ วันนั้นฉันไปงานศพของพ่อนาย...ท่ามกลางผู้คนมากมาย ฉันเห็นนายยืนโดดเดี่ยวและมีสีหน้าเย็นชาแต่แววตาปวดร้าว ไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยด ทั้งที่นายที่ฉันเคยรู้จักสามารถร้องไห้ได้แค่เพียงเห็นคนอื่นเสียใจ  ...ในตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนโดนไม้ตีแสกหน้าแรง ๆ เลยทีเดียว... ฉันคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายกลายเป็นคนที่อยากจะร้องไห้แต่ก็ทำไม่ได้สินะ ... 

   วันนั้นฉันกลับมาบ้าน นั่งอมทุกข์ จนภรรยาของฉันสงสัย ...ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง ...เธอรับฟังแล้วปลอบโยนฉัน สุดท้ายเธอก็บอกฉันให้เผชิญหน้ากับความจริง ...แต่ฉันในตอนนี้มันกลายเป็นคนขี้ขลาดไปแล้ว...ฉันขอสารภาพตามตรงนะเซอิจิ...ว่าฉันกลัว...กลัวนายจะมองฉันด้วยสายตาเย็นชาตอบกลับ ...กลัวนายจะไม่เหมือนคนเดิมอีกต่อไป ...แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังแวะเวียนไปมาแอบคอยมองนายห่าง ๆ อย่างเป็นห่วง ...จนในที่สุด ฉันก็ได้รู้ข่าวว่านายกับซายูริ ตกลงแต่งงานกันได้สักที ...วินาทีนั้น ฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว....สำหรับฉันขอแค่ข้างกายนายมีซายูริอยู่...ฉันเองก็วางใจได้ว่า ความสุขที่เคยสูญเสียไปของนายจะต้องกลับคืนมาอีกครั้งแน่...ฉันจึงได้ตัดสินใจเงียบหายไปจากชีวิตของนายหลังจากนั้น...

   ...มาจนถึงวันนี้  วันที่ฉันรู้ตัวดีว่าคงจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานแล้ว...ฉันก็ยังคงขี้ขลาดเหมือนเดิม...ทั้ง ๆ ที่อยากเจอหน้านายเป็นครั้งสุดท้าย ...แต่ฉันก็กลัวว่านายจะเมินเฉยใส่ฉัน ...ขอโทษนะเซอิจิ ที่ฉันทำให้นายผิดหวัง ...ที่นายเคยชื่นชมว่าฉันเข้มแข็งเมื่อก่อนน่ะ จริง ๆ มันก็เป็นแค่การพยายามสร้างภาพปิดบังหัวใจที่มันอ่อนแอของฉันต่างหาก...

   ...เซอิจิ...หากนายได้อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วอภัยให้ฉัน...ไม่โกรธที่ฉันทิ้งนายเอาไว้แบบนั้น ...ฉันก็อยากให้นายได้อ่านบันทึกชีวิตของฉันโดยละเอียดหลังจากนี้...ฉันเขียนเก็บรวบรวมความทรงจำอันล้ำค่าของฉันเอาไว้ และฉันหวังว่านายจะช่วยจดจำเรื่องราวเหล่านั้น และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตราบลมหายใจที่เหลือของนายเผื่อฉันด้วยนะเซอิจิ... 

    ...สุดท้ายนี้ฉันอยากให้นายได้รับรู้ไว้อย่างหนึ่ง ...สำหรับฉันแล้ว คนที่ฉันจะเรียกได้ว่าเพื่อนอย่างเต็มปากเต็มคำ ทั้งชีวิตนี้ มีแต่นายคนเดียวเท่านั้น...มุราคามิ  เซอิจิ ...เพื่อนคนสำคัญที่ฉันรักที่สุด

     ...จาก โคบายาชิ  เรียว ...'.



    เสียงสะอื้นดังขึ้นแผ่วเบาจากร่างของชายชรา เจ้าตัวปิดสมุดบันทึกแล้วนำมันมากอดแน่นแนบอก

   "เจ้าบ้าเรียว...ทำไมถึงต้องทำตัวงี่เง่า คิดเล็กคิดน้อยอะไรแบบนั้น... นายมันบ้าชะมัด...ฉันจะไปโกรธนายได้ยังไงกันเล่า...ไม่เคยโกรธเลย...แม้แต่สักครั้ง..."

   น้ำตาแห่งความปีติระคนโศกเศร้าไหลออกมาอย่างที่เจ้าของไม่เคยคิดห้าม เขาอยากให้คนที่เขียนบันทึกได้รับรู้ว่า ตอนนี้เขาไม่ใช่คนเดิมที่เคยอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ได้เหมือนอย่างในวันนั้นอีกแล้ว

   "คุณเซอิจิครับ..."

   น้ำเสียงอ่อนโยนระคนห่วงใยจากคนที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกประตูดังขึ้น ชายชราชะงักเล็กน้อย ใช้ชายเสื้อซับน้ำตาแล้วหันมายิ้มให้กับอีกฝ่ายและลูกชาย ที่จ้องมองมาด้วยสายตาห่วงใย

   "...เอ่อ บันทึกนั่น...แล้วคุณตา...เอ่อ...ไม่ได้โกรธคุณ...ใช่ไหมครับ"

   ยูคิถามด้วยน้ำเสียงอ้ำอึ้งอย่างไม่มั่นใจ เซอิจิก้มลงมองสมุดในอ้อมกอด แล้วจึงตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน

   "ใช่แล้วล่ะ...ฉันและเขา ...เราก็แค่เดินสวนทางกันตลอดชีวิต...แต่มิตรภาพของเรานั้น มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย..."

   ยูคิรับฟังแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดีใจที่ญาติผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรักไม่ใช่คนใจแคบและทิ้งเพื่อนมาเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

   "ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังในทีหลัง แต่วันนี้ฉันคงต้องกลับก่อน ...จะได้ไม่เป็นการรบกวนเวลาส่วนตัวของพวกเธอนัก"

   ยูคิหน้าแดงวาบ ส่วนริวยะทำเป็นตีหน้านิ่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้ ทว่าพอเซอิจิลุกขึ้นยืน เขาก็มองหนังสือในมืออย่างลังเล ก่อนจะยื่นหนังสือให้เด็กหนุ่มซึ่งเป็นหลานชายของเพื่อนรัก หากแต่ยูคินั้นกลับดันหนังสือคืนเบา ๆ แล้วบอกตามมาพร้อมรอยยิ้ม

   "มันเป็นของคุณครับ รับไว้เถอะ...คุณตาเขียนมันเพื่อมอบให้คุณไม่ใช่หรือครับ"

   เซอิจิชะงัก เขาหยิบหนังสือมาถือแนบอก พลางพึมพำขอบใจอีกฝ่ายแผ่วเบา  จากนั้นชายชราจึงหันไปมองทางป้ายวิญญาณที่ตู้บูชาอีกครั้ง  และยิ้มน้อย ๆ อย่างเปี่ยมสุข

   "ขอบใจนะเรียว...เพื่อนรักของฉัน"



... END ...


ในที่สุดก็จบจนได้สำหรับตอนพิเศษของคุณตา  การเขียนอิงพล็อตเดิมแต่ให้รายละเอียดและความประทับใจมากกว่าเดิม ต้องบอกว่ายากมาก ๆ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ในที่สุด  :'(

ยังไงก็หวังว่าตอนพิเศษเวอร์ชันรีเมกนี้ คงจะสร้างความประทับใจให้ทุกคนที่ได้อ่านตอนนี้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ


ป.ล. เรื่องนี้มีเปิดจองนะคะ เดี๋ยวจะมาลงรายละเอียดในเล้าแล้วแจ้งพร้อมตอนลงตอนพิเศษของทาคุกับอากิระค่ะ

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
น้ำตาไหลกับมิตรภาพของเพื่อนจริงๆ
นี่สินะที่ว๋ารักแท้ ไม่ได้มีแค่รักแบบคนรัก
แต่ยังมีรักแบบเพื่อน ที่เป็นรักแท้
เสียดายที่เรียวจากไปก่อน....แต่เซอิจิ ก็คงมีความสุขแล้วหล่ะ ที่ได้รับรู้ความรู้สึกจริงๆของเรียว
ปล.แอบจิ้น เรียว กะ เซอิจิ เหมือนกันนะ 5555

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
อ่านจบแล้วซึ้งไปกับ เซอิจิ ด้วย

มิตรภาพของเพื่อนเป็นสิ่งที่สวยงามและประทับอยู่ในความทรงจำ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
มาลงตามสัญญา ถึงจะช้าไปหน่อยก็ตาม (สองสามวันที่ผ่านมา หวัดกินค่ะ หัวไม่แล่น)





ตอนพิเศษ(อากิระ -  ทาคุ)

(ยังคิดชื่อตอนไม่ได้เลย...-- )

 

   ทาคุลืมตาปรือขึ้นมาอย่างงัวเงีย ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ เมื่อพบกับความเจ็บปวดระบมไปทั่วร่างของตน

   "...ที่นี่"

   ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วหลุดพึมพำออกมา

   "โรงพยาบาล?"

    ทาคุพยายามยันกายลุกขึ้นก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู พร้อมกับใครบางคนเปิดออกมา

   "ทาคุ! นายฟื้นแล้วหรือ!"

   อากิระปราดตรงเข้ามาหาคนบนเตียงอย่างห่วงใย เขาจับมืออีกฝ่ายมาบีบแน่นแล้วจูบเบา ๆ อย่างลืมตัว ทำเอาทาคุนิ่งอึ้ง แล้วจึงรีบหลบตาเพื่อนของตน จนอากิระรู้สึกตัว

   "อะ...เอ่อ ขอโทษนะ พอดีฉันลืมตัวไปหน่อย"

   อากิระพึมพำพร้อมกับวางมือของอีกฝ่ายลงอย่างเบามือ

   "อืม...ไม่เป็นไร...อ๊ะ! จริงสิ ท่านยูคิ...โอ๊ย!"

   คนที่นึกบางอย่างขึ้นได้รีบพรวดพราดยันกายลุกนั่ง พลางหลุดร้องแล้วทรุดตัวงอด้วยความเจ็บ ทำเอาอากิระต้องรีบปลอบและรั้งร่างนั้นให้สงบลง

   "ไม่ต้องห่วง ท่านยูคิปลอดภัยดี ...เรื่องราวทุกอย่างก็เคลียร์ลงด้วยดีแล้วในระหว่างที่นายหลับไป"   

   ทาคุมีสีหน้าประหลาดใจให้เห็น อากิระจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่าย

   "เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังเอง นายนอนพักก่อนนะ...ถ้านายอาการดีกว่านี้ จะได้ไปพักฟื้นที่บ้านแทนยังไงล่ะ"

   ทาคุจึงจำใจต้องนอนลงพัก แล้วรับฟังสิ่งที่อากิระเล่าอย่างนึกทึ่ง สุดท้ายชายหนุ่มก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้หลังจากฟังจบเรื่องราวทั้งหมด

   "ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าท่านยูคิจะทำให้ท่านเซอิจิยอมรับได้แบบนี้...แต่ก็โล่งอกไปที...ท่านริวยะเองก็จะได้มีความสุขสักที"

   อากิระชะงักก่อนจะบ่นอุบอิบออกมาแผ่วเบา

   "ฮึ...อะไร ๆ ก็ท่านริวยะ ...ใช่ซิ สำหรับนายหายใจเข้าออกก็มีแต่ท่านริวยะอยู่แล้วล่ะนะ"

   ทาคุที่ได้ยินทำเงียบเฉยแถมหลับตาหนีอีกต่างหาก อากิระจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา ก่อนจะจับมือข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือขึ้นบีบเบา ๆ

   "ทาคุ ...จำไว้นะ ฉันไม่ยอมแพ้เรื่องนายง่าย ๆ หรอก...ฉันจะตื๊อจนกว่านายจะบอกว่าเกลียด ...แต่ฉันว่านายคงจะไม่ใจร้ายบอกเกลียดฉันเร็วนักหรอกใช่ไหม"

   อากิระจูบที่มือข้างนั้นแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะปล่อยให้เพื่อนสนิทนอนพักผ่อนตามลำพังและเมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้น คนที่แกล้งหลับตาหนีก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ใบหน้าหวานก็เริ่มแดงระเรื่อ ใจก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

    "เจ้าบ้า...ก่อนหน้านั้นทำเป็นถอดใจไปแล้วแท้ ๆ ...แล้วจะมาทำเป็นตื๊ออะไรตอนนี้กันอีกเล่า"

   ทาคุพึมพำกับตัวเองก่อนจะพยายามฝืนหลับตาพักผ่อน ซึ่งก็ทำได้ไม่ยากนัก เพราะร่างกายของเขายังคงบาดเจ็บและต้องการพักฟื้นอยู่นั่นเอง

   

   ถัดจากนั้นสามวัน ริวยะกับยูคิ รวมถึงอากิระ ก็ไปรับทาคุออกจากโรงพยาบาล ยูคิเฝ้าขอโทษทาคุอยู่หลายครั้ง จนพี่เลี้ยงหนุ่มต้องแกล้งบอกว่าหากยูคิยังขอโทษเขาให้ได้ยินอีกครั้ง เขาจะโกรธเด็กหนุ่มขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

   "หึ...ก็บอกแล้วว่าทาคุเขาไม่โกรธเธออยู่แล้ว"

   ริวยะบอกกับคนรักอย่างนึกขำ ส่วนยูคิยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้ แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา

   "นั่นสิครับ ...ถ้าจะโกรธคงโกรธตัวเองที่ดันเผลอสลบไปเสียมากกว่า จนท่านยูคิถูกพาตัวไปง่าย ๆ แบบนั้น"

   ทาคุที่นั่งด้านหน้าเคียงข้างกับคนขับคืออากิระเปรยบอก ทำเอาคนฟังแต่ละคนชะงัก แล้วยูคิก็รีบแย้งกลับไป

   "ไม่ใช่ความผิดของคุณทาคุเลยนะครับเรื่องนั้น!"

   "ใช่...ฝั่งตรงข้ามคืออาราตะ นะทาคุ ...แค่นายปกป้องยูคิให้ปลอดภัยไม่บาดเจ็บได้  ฉันก็ต้องขอบคุณนายมากแล้ว"

   ริวยะเอ่ยตามมาทำให้พี่เลี้ยงหนุ่มนิ่งอึ้ง ก่อนจะพึมพำตอบรับแผ่วเบา จนอากิระแอบนึกอิจฉา ทว่าเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงจนเกือบเผลอเหยียบเบรก เมื่อริวยะเปรยขึ้นตามมาลอย ๆ

   "...ฉันว่านายเอาเวลาหึงหวงไร้สาระ ไปหาวิธีทำคะแนนเพิ่มให้ตัวเอง มันน่าจะดีกว่านะอากิระ"

   อากิระหน้าแดงนิด ๆ ที่ถูกผู้เป็นนายมองออก ส่วนทาคุแสร้งทำเป็นเบือนหน้าไปมองข้างทางด้วยความเขิน

   "เอ๋...อะไรหรือครับ...หึงหวงที่ว่า...อ๊ะ หรือว่าจะเป็น...!"

   ยูคิมองไปทางคนนั่งหน้าทั้งสองอย่างตกใจ ทว่าริวยะกลับเอานิ้วมือแตะที่ริมฝีปากของเจ้าตัวแล้วยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ก่อนสั่นศีรษะเป็นเชิงห้ามให้เด็กหนุ่มพูดออกมา

   "เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของเธอและฉัน ...ไว้คุยกันที่บ้านดีกว่านะ"

   ริวยะบอกกับคนรัก ซึ่งเด็กหนุ่มก็ชะงักก่อนจะยิ้มเจื่อน แล้วพยักหน้ารับรู้ ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนนั่งหน้าทั้งสอง ยิ่งพูดอะไรไม่ออก  ทางด้านอากิระไม่เคยนึกขายหน้าอะไรเท่านี้มาก่อน ลำพังถ้าอยู่กันแค่ริวยะกับทาคุ เขาคงหัวเราะหรือยิ้มกลบเกลื่อนไปแล้ว  ส่วนทาคุนั้นยิ่งอาการหนักกว่า ชายหนุ่มแทบอยากจะขอลงจากรถเสียเดี๋ยวนี้ด้วยความอับอายเลยทีเดียว 

   

   พอมาถึงบ้านพัก อากิระก็เตรียมประคองทาคุไปพักที่ห้อง หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมให้เพื่อนสนิทแตะตัว ทำเอาอากิระหน้าสลดจนคนที่ทำเฉยชานึกสงสาร แต่ทาคุก็เกรงว่าขืนปล่อยให้อีกฝ่ายถูกเนื้อต้องตัวตอนนี้ เขาก็อาจจะเผลอแสดงท่าทางแปลก ๆ ให้อากิระได้เห็นก็เป็นได้

   "ถ้าไม่ให้ฉันประคองนายไป ก็ขอเดินไปข้าง ๆ จะได้ไหม"

   ทาคุชะงัก เขาเตรียมจะปฏิเสธ แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาก็จำต้องพยักหน้ารับอย่างนึกสงสาร ซึ่งอากิระก็มีสีหน้าดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นเพื่อนสนิทอนุญาตเช่นนี้ และเมื่อถึงห้องพักของตน ทาคุก็หันมาบอกกับคนที่อยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าที่ขัดเขินนิด ๆ

   "...ขอบคุณนะ"

   อากิระนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก แต่พอตั้งสติและขยับปากจะพูด อีกฝ่ายก็ปิดประตูล็อกห้องหนีไปเสียแล้ว

   "แบบนี้แสดงว่ายังมีหวังสินะ"

   ชายหนุ่มพึมพำ แล้วกำมืออย่างดีใจ จากนั้นจึงเดินอารมณ์ดีกลับห้องพักจนคนงานคนอื่นที่ได้เห็นพากันสงสัยไปตาม ๆ กัน

   

   ทางด้านยูคินั้นรู้สึกสนอกสนใจในเรื่องความรักของพี่เลี้ยงหนุ่มเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าอากิระกับทาคุเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ไม่คิดว่าทั้งคู่จะมีความรู้สึกดี ๆ แบบนี้ต่อกันด้วย

   "จริง ๆ แล้วต้องบอกว่า อากิระเขาตกหลุมรักทาคุเอาเข้าฝ่ายเดียว แล้วก็โดนหักอกไปเรียบร้อย....แต่ฉันเห็นว่าทาคุคงแค่กำลังสับสนและไม่รู้ใจตัวเองจึงปฏิเสธไปมากกว่า ก็เลยยุให้อากิระตื๊อต่อน่ะ"

   ริวยะบอกกับคนรักของเขาเมื่ออีกฝ่ายถาม ซึ่งพอได้ยินยูคิก็ทำตาโตอย่างสนใจ

   "อย่างนั้นหรือครับ ผมก็คิดว่าคุณทาคุจะมีใจให้คุณอากิระด้วยแล้วเสียอีก ผมว่าคุณทาคุเขาดูเขิน ๆ ให้เห็น ตอนที่คุณพูดเรื่องพวกเขาในรถนะครับ"

   ริวยะหัวเราะเบา ๆ พลางโยกหัวคนรักไปมาค่อย ๆ อย่างเอ็นดู

   "หึ ๆ ช่างสังเกตจริงนะเด็กน้อย...ก็นั่นล่ะ ฉันคิดว่าทาคุก็คงเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า เขาเองก็มีใจให้กับอากิระเหมือนกัน... ตั้งแต่ไหนแต่ไร ทาคุก็ห่วงแต่เรื่องงานและดูแลฉันมาตลอด ก็เลยทำให้เขาไม่ใส่ใจเรื่องความรัก...มาตอนนี้ฉันเองก็มีความสุขดีแล้ว ฉันก็อยากให้พี่เลี้ยงที่ดูแลฉันมาตั้งแต่สมัยก่อน มีความสุขด้วยเช่นกันล่ะนะ"

   ยูคิยิ้มตอบชายหนุ่ม จากนั้นทั้งสองคนก็ช่วยกันคิดแผนสร้างบรรยากาศดี ๆ เพื่อให้คนสนิททั้งสองได้สมหวังกันสักที

   

   ตกเย็นของวันนั้น  ริวยะกับอากิระก็ไปเยี่ยมทาคุที่ห้อง จากนั้นริวยะก็เสนอความเห็นกึ่งบังคับให้ทาคุหยุดพักร้อนเพื่อพักฟื้นร่างกาย โดยให้มีอากิระตามไปคอยดูแลด้วย

   "จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะครับ! ถ้าอากิระไม่อยู่แล้วที่บริษัทจะทำยังไงล่ะครับ!"

   ทาคุแย้งด้วยความตกใจมากกว่าความเขิน ทำให้ริวยะลอบถอนหายใจ  ส่วนอากิระที่ยืนรับฟังอยู่ห่าง ๆ สั่นศีรษะไปมาอย่างระอา ที่เพื่อนรักนั้นรับผิดชอบงานเสียจนเผื่อแผ่ไปถึงเขาอีกต่างหาก

   "ไม่มีอากิระฉันก็ทำงานได้ หรือนายไม่ไว้ใจความสามารถของฉัน หือ ทาคุ"

   ริวยะแกล้งถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย และแม้ทาคุจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายแกล้งไม่พอใจ แต่เขาก็ยังเกรงใจเรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาอยู่ดี

   "ผมยอมรับว่าท่านริวยะทำงานด้วยตัวเองสบายมาก....แต่ผมเป็นห่วงเรื่องอื่นด้วย ไหนจะเรื่องความปลอดภัยของท่านอีกล่ะ"

   "บอดี้การ์ดของฉันมีเยอะแยะน่า พวกนั้นคงดีใจแย่ที่ได้ทำงานกันเสียบ้างล่ะนะ"

   ริวยะแย้ง ทำให้ทาคุเริ่มจนหนทางแต่ก็ยังคงหาเหตุผลโต้กลับไปต่อ

   "แต่หากเกิดมีงานเร่งด่วนเข้าบริษัท... ถ้าไม่มีผู้ช่วยเลยจะลำบากนะครับ"

   ริวยะรับฟังแล้วยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ

   "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันเรียกผู้ช่วยจำเป็นมาช่วยแล้ว ช่วงที่อากิระไม่อยู่ ฉันจะให้ริวจิมาฝึกงานเป็นผู้ช่วยฉัน...เพราะเขาเองก็อายุสมควรแก่การเรียนรู้เรื่องธุรกิจได้แล้วล่ะนะ"

   ทาคุนิ่งอึ้ง พอเหลือบไปมองเพื่อนสนิทที่ยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้ เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับยอมรับด้วยสีหน้าปลง

   "ครับ...รับทราบแล้ว"

   "ดีมาก!  อ้อ...แล้วใช้พักร้อนที่ฉันให้อย่างคุ้มค่ากันด้วยล่ะ ทั้งสองคน"

   อากิระโค้งรับพร้อมรอยยิ้มให้อย่างนึกขอบคุณที่ริวยะลงทุนช่วยเหลือเรื่องความรักของเขาเช่นนี้  ส่วนทาคุเองแม้จะไม่ค่อยเต็มใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าริวยะนั้นเป็นห่วงเป็นใยเรื่องของพวกเขา และอยากช่วยให้เขาสมหวัง ซึ่งในตอนนี้เขาก็พอจะยอมรับกับตัวเองบ้างแล้วว่า เริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับอากิระขึ้นมาบ้าง แต่จะให้ยืดอกยอมรับบอกความในใจไปง่าย ๆ ทั้งที่เขาเคยหักอกอีกฝ่ายมาก่อนหน้านี้ เขาก็ค่อนข้างทำใจลำบากอยู่เหมือนกัน



   ริวยะนั้นก็ยังเป็นคนใจร้อนตัดสินใจเด็ดขาดตามปกติ เขาจัดแจงให้อากิระออกเดินทางในเย็นวันนั้น เพื่อพาทาคุไปพักร้อนที่เรียวคังในโตเกียว ที่คนในครอบครัวของเขาใช้บริการอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นการพักร้อนครั้งนี้ของทั้งสองจึงเป็นการพักร้อนแบบวีไอพีเลยทีเดียว

   "คุณทาคุ กับคุณอากิระ จากโตเกียวสินะคะ  ทางเราได้จัดเตรียมห้องให้ทั้งสองท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ"

   พนักงานสาวในเรียวกังออกมาต้อนรับอย่างนอบน้อม และพาทั้งคู่ไปยังเรือนพักผ่อนที่แยกออกมาเป็นส่วนตัว ซึ่งพอเห็นดังนั้นทาคุก็พอจะรู้เลยว่าริวยะต้องโทรมาให้ทางนี้จัดเตรียมไว้ให้พวกเขาแน่

   "สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุจริง ๆ เลยนะ"

   ทาคุบ่น ทำให้คนที่ช่วยถือกระเป๋าของอีกฝ่ายและกำลังวางของอมยิ้มน้อย ๆ

   "ท่านริวยะเขาก็คงอยากตอบแทนที่นายคอยช่วยเหลือเขามาตลอดบ้างล่ะนะ... นี่ถ้าไม่บาดเจ็บแบบนี้ แล้วให้นายลาพักก็คงไม่มีวันจะยอมใช่ไหมล่ะ"

   พอฟังคำพูดของเพื่อนก็ทำให้ทาคุสะดุ้ง ก่อนจะแสร้งทำเป็นเฉยแล้วมองเมินไปทางอื่นแทน

   "แต่ก็ต้องขอบคุณท่านริวยะมาก ๆ เลยนะ  ...ฉันไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่า จะได้มีโอกาสมาเที่ยวกับนายสองต่อสองแบบนี้มาก่อน ...ฮะๆ ดีใจสุด ๆ ไปเลยล่ะ!"

   อากิระหันมายิ้มกว้างอย่างจริงใจให้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ทาคุที่หันกลับมามองพอดีชะงัก ก่อนจะก้มหน้าก้มตาหลบสายตาและรอยยิ้มของอีกฝ่าย ทำให้อากิระถอนหายใจเบา ๆ

   "ขอโทษแล้วกันที่ทำให้เครียดอีกแล้ว...อ๊ะ มาดูบ่อน้ำร้อนด้านนอกห้องกันดีกว่า ...น่าแช่เป็นบ้าเลยเนอะ!"

   อากิระรีบทำเป็นเปลี่ยนเรื่องแล้วแสร้งยิ้มแย้มร่าเริง ทำให้คนที่อ่านอีกฝ่ายได้ดี เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเดินไปใกล้ แล้วพูดเสียงแผ่ว

   "ไม่ได้เครียดหรอก...แค่ทำตัวไม่ถูกเท่านั้นล่ะ"

   อากิระสะดุ้ง รีบหันขวับมามองคนพูด แล้วก็ทันได้เห็นใบหน้าหวานแดงระเรื่อชั่วครู่ ก่อนที่คนพูดจะแสร้งทำเป็นเฉไฉหันไปมองทางอื่น

   "ทาคุ...เอ่อ...ถ้าฉัน...ถ้าฉันจะสารภาพกับนายอีกครั้ง....นายจะ..."

   อากิระพูดติดขัดอย่างนึกหวาดหวั่น เพราะกลัวจะถูกปฏิเสธอีก ทางด้านทาคุชะงักเล็กน้อย เขาหยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ แล้วจึงหันกลับมามองอีกฝ่าย ก่อนจะสารภาพความในใจของตนบ้าง

   "อากิระ...ก่อนหน้านั้น...ตอนที่ฉันปฏิเสธนายออกไป ฉันก็สับสนตัวเอง และหงุดหงิดตัวเองอยู่ไม่น้อย... และตอนที่ฉันคิดว่าตัวเองคงจะตายแน่...ฉันก็คิดถึงหน้าของนายขึ้นมา....ฉัน...เอ่อ...ฉันคิดว่า..."

   ทาคุบอกถึงแค่นั้นก็หน้าแดงระเรื่อแล้วพูดต่อไม่ออก ทว่าคนฟังกลับมีสีหน้ายินดีจนถึงขีดสุด เจ้าตัวจับมือทั้งสองของอีกฝ่ายมากุม แล้วเอ่ยขึ้นต่ออย่างมีความหวัง

   "ถ้านายพูดไม่ออก นายก็แค่พยักหน้าหรือสั่นหน้าในสิ่งที่ฉันจะถามก็พอนะ..."

   อากิระบอกแล้วจึงตั้งคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

   "ทาคุ...นายเองก็เริ่มใจตรงกันกับฉัน ...และชอบฉันเหมือนกันแล้วใช่ไหม"

   ทาคุหน้าแดงก่ำ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับค่อย ๆ และนั่นก็ทำให้คนถามยินดีจนต้องรวบร่างของอีกฝ่ายมากอดแน่น จนทาคุต้องนิ่วหน้า

   "...เจ็บ"

   "อ๊ะ! ขอโทษ! เป็นอะไรมากหรือเปล่าทาคุ!  งั้นฉันไปเรียกหมอก่อนนะ!"

   อากิระรีบปล่อยร่างในอ้อมกอด พลางบอกตามมาอย่างตื่นตระหนก ทำให้ทาคุต้องสั่นศีรษะอย่างเอือมระอาแต่ก็อดยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่ายไม่ได้

   "บ้ารึ...แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่ต้องเรียกหมอหรอก อาการบาดเจ็บฉันก็ค่อยยังชั่วมากขึ้นแล้วล่ะ"

   "จริง ๆ นะ  ถ้าไม่ไหว ก็ต้องรีบบอกนะ"

   อากิระยังคงเซ้าซี้ ทำให้อีกคนถอนหายใจก่อนจะแสร้งทำเป็นชกไปตรงหน้าแล้วหยุดกะทันหันให้คนเกือบถูกชกยิ้มเจื่อน

   "ง่า..หมัดตรงของนายนี่ยังน่าหวาดเสียวเหมือนเดิม ...งั้นก็พอจะเชื่อล่ะว่า นายโอเคแล้ว"

   ทาคุยิ้มน้อย ๆ เขาดูคนที่ชวนเขาชมนกชมไม้ข้างกาย ก่อนจะตัดสินใจบอกความในใจที่ยังค้างคาออกไป

   "อากิระ...ขอบใจนะ...เอ่อ...ที่ไม่โกรธฉันเรื่องที่...เคยปฏิเสธนายน่ะ"

   อากิระชะงัก ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนส่งให้คนข้างกายเขา

   "คิดมากน่า...ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจ ที่นายยอมรับรักฉันในที่สุดน่ะ ..ทีแรกต้องคิดว่าจะต้องตื๊อนานกว่านี้แล้วเสียอีก"

   ทาคุชะงักรอยยิ้ม ก่อนจะแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาแทน

   "...แสดงว่าฉันทำตัวใจง่ายไปสินะ"

   "เฮ้! ไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้นเลยสักหน่อยนะทาคุ"

   อากิระรีบแก้ตัว แต่ก็ดูเหมือนทาคุจะไม่สนใจคำพูดนั้น เพราะชายหนุ่มนั้นค้อนให้แล้วเตรียมจะเดินหนี จนอากิระต้องรีบไปสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังหลวม ๆ

   "อย่าโกรธกันสิ สาบานได้เลยนะ ว่าที่พูดไปไม่ได้คิดอะไรในแง่ไม่ดีเลยสักนิด"

   ทาคุทำเสียงฮึในลำคอ แล้วเปรยบ่นตามมา

   "ปากเสียชวนหาเรื่องทะเลาะตลอดเลยนะนายน่ะ รู้ตัวบ้างไหม"

   "ครับ ๆ คราวหน้าจะคิดก่อนพูดทุกครั้งเลย....หายงอนหรือยัง"

   "ไม่ได้งอนสักหน่อย!"

   ทาคุทำเสียงเข้ม แต่ใบหน้านั้นหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา เพราะอีกฝ่ายยังคงสรรหาถ้อยคำหวาน ๆ มาง้อเขาอย่างน่าขำ

   "ทาคุจ๋า...น่านะ...ยกโทษให้ฉันได้ไหม...พลีส!"

   ทาคุหลุดหัวเราะออกมาอย่างลืมตัวก่อนจะแสร้งทำเป็นเมินเฉย ทำเอาอากิระที่เห็นทันพอดีชะงัก แล้วก็รีบโพล่งตามมา

   "นายแกล้งโกรธฉันสินะ!"

   "เปล่าสักหน่อย...แล้วถึงฉันจะแกล้งจริง นายจะทำอะไร ...โกรธฉันคืนหรือไง?"

    ทาคุย้อนถาม ทำเอาอีกฝ่ายชะงัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "ใครจะกล้า...ก็รักมากขนาดนี้ จะโกรธนายลงได้ยังไง"

   ทาคุหน้าแดงวาบแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น พลางบ่นคนที่พูดหวานใส่เขาอย่างไม่อายได้ง่ายดายเช่นนี้

   "ปกติก็รู้ว่านายเป็นพวกปากเสียอยู่นะ...แต่ไม่คิดว่าจะเป็นพวกหน้าด้านแบบนี้"

    "ฉันยอมเป็นคนหน้าด้าน  ถ้ามันจะทำให้ใครบางคนยอมรับรักฉันได้ล่ะนะ"

   อากิระบอกพร้อมยิ้มหวานอ้อน จนทาคุนึกหมั่นไส้แล้วตีแขนคนข้างกายแรง ๆ ก่อนจะเดินหนี แต่อากิระก็ตามไปกอดรั้งร่างของชายหนุ่มอีกครั้ง มาหอมแก้มบ้าง จูบซอกคอบ้าง จนคนถูกหอมหน้าแดงก่ำ

   "พอเถอะอากิระ...ปล่อยได้แล้ว"

   "ไม่ปล่อย...ขอหอมตัวจริงให้ชื่นใจหน่อยเถอะ...ก่อนหน้านั้นได้แต่กอดได้แต่หอมนายในจินตนาการของฉัน...มันให้ความชื่นใจไม่เท่ากับตอนนี้เลยล่ะนะ"

   ทาคุหน้าร้อนวาบด้วยความอาย แล้วจึงอาศัยเวลาที่อีกฝ่ายพัวพันเขา กระทืบไปที่เท้าของเจ้าตัวเต็มแรง จนอากิระสะดุ้งเฮือกยอมปล่อยอ้อมกอดที่รั้งร่างชายหนุ่มหน้าหวานเอาไว้ ก่อนจะยกเท้ามากุมกระโดดเหย็ง ๆ ด้วยความเจ็บ

   "ใจร้ายชะมัด! ฉันยังไม่ได้ทำอะไรล่วงเกินนายสักหน่อย!"

   อากิระประท้วง ทำให้คนที่ลงมือค้อนขวับให้อย่างหมั่นไส้

   "ที่ทำไปนี่ยังเรียกว่าไม่ล่วงเกินได้อีกหรือไง!  หึ! สมควรแล้ว จะได้หายหื่นกับเขาเสียมั่ง!"

   "ฮึ...ที่เป็นอยู่นี่ยังไม่ถึงครึ่งท่านริวยะเวลาอยู่กับท่านยูคิแท้ ๆ"

   อากิระบ่นอุบ แต่กลับทำให้คนได้ยินขึ้นเสียงใส่

   "อากิระ!"

   คนถูกตวาดลอบถอนหายใจ ก่อนจะรีบยกมือสองข้างยอมแพ้ พร้อมบอกตามมา

   "คร้าบ ๆ ขอโทษที่ดึงท่านริวยะมานินทานะครับผม!"

   "เหอะ!" ทาคุค้อนแล้วเมินมองไปทางอื่น ทำให้อากิระรีบเข้าไปสวมกอดแล้วอ้อนอีกครั้ง

    "ขอโทษนะ...หายโกรธหรือยัง"

   ทาคุพอเห็นอีกฝ่ายลงทุนง้อเขาเต็มที่ ชายหนุ่มก็เหลือบมองแล้วบอกไปด้วยใบหน้าแดงนิด ๆ

   "...ก็ไม่ได้โกรธอะไรมาก...เพราะเรื่องที่ว่านั่น มันก็จริงอยู่ล่ะนะ...แต่ก็ไม่ควรจะเอามาพูด... นี่! อากิระ! หยุดหัวเราะได้แล้ว!"

   อากิระที่ได้ยินคำพูดนั้นปล่อยมือที่กอดอีกฝ่ายออก พลางหลุดหัวเราะงอหายอย่างห้ามไม่อยู่ จนทาคุเริ่มนึกฉุนขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว

   "ถ้าอยากหัวเราะนัก ก็หัวเราะไปคนเดียวเลย ฉันไปล่ะ!"

   "ฮ่า ๆ อ๊ะ! เดี๋ยวทาคุ อย่าเพิ่งไป...ฮ่า ๆ โอ๊ย! อยากให้ท่านริวยะได้ยินประโยคเมื่อครู่ชะมัด...ทาคุ ฮ่า ๆ รอเดี๋ยว!"

   อากิระหัวเราะไปพลางเดินตามง้ออีกฝ่ายไปพลาง กว่าทาคุจะยอมพูดคุยด้วยดี ๆ ก็เป็นเวลาอีกพักใหญ่  จากนั้นอากิระจึงชักชวนคนรักไปเข้านอนด้วยกัน เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ทางด้านทาคุแม้จะรู้สึกอายอยู่มากก็ตามที่ต้องนอนบนฟูกผืนเดียวกับอีกฝ่าย แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะยอมรับรักของคนข้างกายแล้ว ทาคุก็ตัดสินใจยอมรับคำขอนั้นอย่างไม่มีอิดออด สร้างความยินดีให้กับอากิระเป็นอย่างมากเสียจนภายในคืนนั้น ชายหนุ่มถึงกับนอนเบิกตาค้าง หลับไม่ลงไปจนเกือบเช้าเลยทีเดียว



... END (?)...

คิดชื่อตอนพิเศษไม่ออก ...ใครคิดชื่อโดนใจเหมาะสำหรับนำมาใส่ตอนนี้ได้ บางทีอาจจะตอบแทนโดยการเอาฉากเข้าหออีกวันสองวันในเรียวกังของคู่นี้มาโพสต่อก็ได้นะคะ หุ ๆ 

อ้อ ตอนหวาน ๆ ของคู่นี้ (รวมถึงตอนซึน ๆ ใส่กัน) ไม่ได้มีแค่นี้ค่ะ ตั้งใจจะเขียนในเล่มอีกเยอะ  ตอนที่เอาลงในบอร์ดนี่ลงให้อ่านกันเป็นน้ำจิ้มเท่านั้นจ้ะ (ปกติปัดเป็นคนชอบงอกตอนพิเศษเรื่อย ๆ ลงบอร์ดบ้าง ลงเล่มบ้าง แล้วแต่สะดวกล่ะนะคะ)

...ตอนนี้เรื่องนี้มีเปิดจองแล้วค่ะ ติดตามได้ในเพจ Novelpat ของปัดนะคะ   ส่วนอีบุคของเรื่องนี้ คงรอส่งหนังสือพรีออเดอร์ล็อตแรกให้หมดก่อน ก็อาจจะไม่ปลายธันวา ก็ต้นมกราคม ตามเรื่องอื่น ๆ ที่อัพขึ้นขายอีบุคไปก่อนหน้านั้นแล้วค่ะ


ป.ล. ยังมีสัญญาตอนพิเศษกันอีกคู่นะคะ ถ้าลงตอนนั้นแล้วจะย้ายนิยายเข้าห้องจบแล้วหลังจากนั้นค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ (แต่ถ้าโดนย้ายก่อนก็จะตามไปลงให้ในห้องนั้นนะคะ)

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
คู่นี้น่ารัก ทาคุซึนมากๆ

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:จะว่าไปคู่นี้เค้าก็น่ารักดี :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
ตอนพิเศษ
รักข้ามรุ่น



   คำตำหนิที่ดูไม่จริงจัง และใบหน้าอ่อนเยาว์ผิดวัยที่มีรอยยิ้มมอบให้ แม้ว่าตนจะเผลอเตะบอลพลาดไปจนเกือบโดนเจ้าตัวก็ตาม ทำให้เด็กหนุ่มที่วิ่งมาขอโทษขอโพยอีกฝ่ายถึงกับชะงักงัน และเมื่ออาจารย์หนุ่มเดินจากไป เด็กหนุ่มผู้นั้นก็รู้สึกราวกับว่า หัวใจของตนมันเหมือนจะหลุดจากร่างบินล่องลอยติดตามอาจารย์หนุ่มไปด้วยเสียแล้ว

   และนับจากวันนั้น ยามิคุระ อารากิ  ก็ตัดสินใจแล้วว่า จะยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้อาจารย์หนุ่มหน้าละอ่อน อย่างอาจารย์มิซาวะ อากิ กลายเป็นของเขาทั้งร่างกายและหัวใจให้จงได้...



   ...อาจารย์หนุ่มนั่งทอดถอนหายใจตามลำพังในห้องทำงานส่วนตัวของเขา หลังจากที่ไล่เด็กหนุ่มผู้คอยติดตามตื๊อเขามานับเกือบปีให้ออกจากห้องเพื่อกลับไปเรียนต่อในช่วงบ่าย โดยคนที่ถูกไล่ก็ไม่ค่อยจะเต็มใจออกจากห้องสักเท่าใดนัก

   "เด็กบ้า...เมื่อไหร่จะเลิกมายุ่มย่ามกันแบบนี้สักทีนะ"

   อาจารย์มิซาวะบ่นอุบกับตัวเองแผ่วเบา พลางหวนถึงครั้งแรกที่อารากิ เข้ามาหาเขาเพื่อสารภาพรัก ในช่วงที่อีกฝ่ายยังอยู่แค่เพียงมัธยมปลายปีแรกนั่น...

   "ผมชอบคุณนะครับ อาจารย์มิซาวะ!"

   อาจารย์หนุ่มจำได้ว่าตอนนั้นเขานิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ แต่พอตั้งสติได้ เขาก็ปฏิเสธออกไป ทว่าอีกฝ่ายนั้นกลับยิ้มแย้มกว้าง แล้วบอกตามมาในสิ่งที่ทำให้เขานิ่งอึ้ง

   "ยังไม่ชอบตอนนี้ก็ไม่เป็นไรครับ แต่ผมจะทำให้คุณชอบผมให้ได้หลังจากนี้เอง!"

   และหลังจากวันนั้น อารากิก็คอยมาวนเวียนตื๊อให้เขาเห็นหน้าไม่เว้นกระทั่งวันหยุดเรียนก็ตาม ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธเด็ดขาด หรือยกเหตุผลนานัปการมาอ้าง เด็กหนุ่มก็ยังคงตื๊อและตื๊อไม่เลิกรา จนเขาอ่อนใจและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เวลาที่อีกฝ่ายมาหาในแต่ละครั้งแทน...

   "อายุก็น้อยกว่าเราเป็นรอบได้แท้ ๆ ...ไม่รู้คิดอะไรอยู่ของเขากันนะ"

   อาจารย์หนุ่มพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทว่าแม้จะบ่นออกมาว่าเบื่อหน่ายเสมอ หากแต่ว่าวันใด ไม่เห็นคนที่ช่างตื๊อปรากฏกายตามปกติ เขาก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายและหงุดหงิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

   ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์ที่อายุห่างกันเกือบเท่าตัวเช่นนี้ ยังคงดำเนินไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร จนกระทั่งในเทอมสุดท้ายที่มีเด็กใหม่ย้ายมาในโรงเรียนเอกชนยามิคุระ และนั่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์หนุ่มกับหลานชายของผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ดำเนินมาอย่างเรื่อย ๆ เริ่มพัฒนากระโดดก้าวหน้าไปในทิศทางที่อันตรายมากขึ้น



   "เห็นอาบอกว่าจะมีเด็กใหม่ย้ายมาห้อง Z ...อาจารย์มิซาวะรู้เรื่องนี้หรือยังครับ"

    อารากิตรงเข้ามาที่ห้องพักส่วนตัวของอาจารย์ที่ปรึกษาของตนตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อคาดคั้นถามคำถามที่ทำให้คนฟังนิ่วหน้า

   "...หือ...อ้อ ใช่แล้ว คุณฮิโรโตะเองก็แจ้งให้ครูทราบเมื่อวานนี้ล่ะนะ ว่าจะมีเด็กใหม่ย้ายมาห้อง Z ในวันนี้"

   อาจารย์หนุ่มตอบคำถามพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งก็ทำให้คนมองหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก

   "แล้วอาจารย์รู้จักเด็กคนนั้นหรือเปล่าครับ ว่าเป็นใคร"

   คำถามห้วน ๆ ที่ได้ยินทำให้คนฟังขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างสงสัย แต่ก็ยังคงตอบออกไปตามตรง

   "ก็รู้จากที่คุณฮิโรโตะบอกนั่นล่ะ...รู้สึกว่าเขาจะชื่อทานากะ  ยูคิ น่ะนะ"

   "...อาจารย์ไม่เคยรู้จักเขามาก่อนแน่หรือครับ"

   "ก็ไม่เคยน่ะสิ ...ตกลงเธอมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับเด็กใหม่ยังงั้นหรือ ถึงได้มาถามครูแบบนี้น่ะ"

   อาจารย์หนุ่มย้อนถามกลับไปอย่างแปลกใจ ซึ่งอารากิก็ชะงักแล้วจึงตัดบทการสนทนานั่นเสีย

   "ไม่มีอะไรหรอกครับ...ถ้าอาจารย์ไม่รู้จักเขามาก่อนก็ดีแล้ว ขอตัวล่ะนะครับ"

   อารากิบอกแล้วก็เดินออกจากห้องไป ทำให้อาจารย์มิซาวะขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

   "...ไม่ค่อยจะเข้าใจเด็กคนนี้เลยนะ คิดอะไรของเขาอยู่ก็ไม่รู้"

   จากนั้นอาจารย์หนุ่มก็นั่งรอลูกศิษย์คนใหม่มารายงานตัว ทว่าผ่านไปจนใกล้จะถึงเวลาเข้าห้องเรียนเขาก็ได้รับแจ้งจากทางนั้นว่า ลูกศิษย์คนนี้ไม่สบายและคงมาเรียนไม่ได้ในวันนี้นั่นเอง



   หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้น ลูกศิษย์คนใหม่ก็มาโรงเรียนจนได้ อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักและมีอัธยาศัยดี ทำให้อาจารย์มิซาวะรู้สึกพอใจมาก ทว่าดูเหมือนเด็กหนุ่มตัวปัญหาประจำห้องและชีวิตของเขา จะไม่ค่อยพอใจนักเรียนใหม่อย่างออกนอกหน้า แถมแสดงท่าไม่ค่อยเป็นมิตรในยามแรกพบให้เขาได้เห็นอีกต่างหาก

   แต่ในวันเดียวกันนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่คอยเขม่นนักเรียนใหม่แต่แรกพบ กลับสนิทสนมกันให้เขาได้เห็นจนน่าแปลกใจ แต่สำหรับอาจารย์หนุ่มแล้ว การที่นักเรียนในชั้นเรียนเข้ากันดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี จนทำให้เขาไม่คิดจะใส่ใจไปสืบหาสาเหตุนั้น จนกระทั่งในอีกวันที่เขาได้รับเรื่องแจ้งถึงการเปลี่ยนนามสกุลของลูกศิษย์คนใหม่ เขาจึงได้เรียกตัวยูคิไปเพื่อคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวในตอนเย็น ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการจะสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ภายในโรงเรียนใหม่ของอีกฝ่ายด้วยนั่นเอง

    ทว่าในช่วงพักกลางวันของวันเดียวกัน จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูห้องของเขาดังขึ้น แถมพอเขาถามอีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก ทำให้เขาจำใจต้องลุกไปเปิดประตูเพื่อดูว่าใครเป็นคนเคาะ แต่แล้วยังไม่ทันเปิดประตูพอจะได้เห็นหน้าว่าใครเป็นใคร คนข้างนอกก็ดันกายเข้ามาแล้วแถมยังกดปิดล็อกห้องของเขาอีกต่างหาก

   "อารากิ! ทำอะไรของเธอน่ะ!"

   อาจารย์หนุ่มโพล่งใส่ด้วยความหงุดหงิดแกมโมโห หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงไม่แพ้กันของเด็กหนุ่ม

   "ผมต่างหากที่อยากจะถามคุณว่าจะทำอะไรกันแน่! คุณก็รู้ว่าผมรักคุณขนาดนี้ แต่ทำไมล่ะครับ! ทำไมต้องให้ความสนใจกับยูคิขนาดนั้นด้วย!"

   อาจารย์หนุ่มรู้สึกมึนงงต่อถ้อยคำต่อว่านั่น ก่อนจะชะงักตัวแข็ง เมื่อเด็กหนุ่มที่สูงพอ ๆ กับเขาขยับเข้ามาใกล้ แล้วบีบที่ไหล่ทั้งสองของเขาค่อนข้างแรง

   "ผมรักคุณนะอาจารย์มิซาวะ....มองแต่ผมคนเดียวได้ไหม...ได้โปรด อย่าสนใจใครมากไปกว่าผมเลยนะครับ"

   น้ำเสียงและแววตาที่บีบคั้นอารมณ์นั่น ทำให้อาจารย์หนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วยกนิ้วชี้ดีดหน้าผากคนตรงหน้าไม่แรงนัก แต่ก็ทำเอาคนถูกดีดสะดุ้งอยู่ดี

   "เพ้อเจ้ออะไรของเธอ ครูไปสนใจทานากะคุงในลักษณะนั้นเมื่อไหร่กัน!"

   "ก็อาจารย์เรียกยูคิไปคุยกันลำพังตอนเย็นนี้ไม่ใช่หรือครับ...แล้วจะให้ผมเข้าใจว่ายังไงได้ล่ะ!"

   อารากิแย้งกลับ ทำให้คนฟังต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ

   "ก็ครูจะคุยเรื่องส่วนตัวกับทานากะเขา ก็ต้องเรียกไปคุยกันตามลำพังน่ะสิ"

   "เรื่องส่วนตัว?"

   "อืม...ก็เรื่องที่เขาจะเปลี่ยนนามสกุลมาใช้มุราคามิ เหมือนกับผู้ปกครองของเขา  ...อีกอย่างครูเองก็อยากรู้ว่าเขาเข้ากับพวกเธอในห้องได้ดีขนาดไหนแล้วด้วยน่ะ"

   อาจารย์หนุ่มอธิบายออกไปตามตรง ทำให้คนที่กำลังขุ่นเคืองด้วยความหึงหวงชะงัก ก่อนจะเกาแก้มตัวเองเบา ๆ แก้เขินให้ได้เห็น

   "เอ่อ...หรือครับ...ผมก็คิดว่าอาจารย์จะสนใจยูคิในแง่นั้นขึ้นมาเสียอีก...อ๊ะ! บอกไว้ก่อนนะครับ หมอนั่นมีแฟนแล้ว แฟนเขาก็คุณริวยะนั่นล่ะครับ!"

   อารากิรีบบอกเพื่อตัดปัญหาคู่แข่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้คนฟังมีสีหน้าตกใจให้ได้เห็น

   "ทานากะคุงกับคุณริวยะนี่นะ..."

   "ใช่แล้วครับ หมอนั่นบอกกับผมเอง รับรองว่าข่าวไม่ผิด"

   เด็กหนุ่มบอกแล้วยิ้มกว้าง ทำให้คนมองนึกหมั่นไส้ขึ้นมาไม่น้อย

   "ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ช่างเถอะ ...เพราะเรื่องความรักเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ถ้าไม่ได้ทำให้เสียการเสียงาน หรือเสียการเรียนก็ไม่เป็นไร....อีกอย่าง ครูเองก็ไม่ได้สนใจชอบคนอายุน้อยกว่าด้วย"

   อาจารย์หนุ่มสรุปตัดบท ทำให้คนฟังชะงักแล้วมีสีหน้าสลดลงจนคนมองนึกสงสารแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจและเมินไปทางอื่น

   "แม้ว่าผมจะยังเป็นเด็กในสายตาของคุณก็จริง...แต่เรื่องความรู้สึกรักคุณ ผมเองก็ไม่แพ้ผู้ใหญ่คนไหนหรอกนะครับ"

    อารากิเอ่ยขึ้น ในสิ่งที่ทำให้คนฟังหัวใจกระตุก ทว่าอาจารย์หนุ่มก็จำต้องข่มอารมณ์ของตัวเองไม่ให้คิดเกินเลย เพราะสำหรับเขาอีกฝ่ายยังไงก็คือลูกศิษย์ที่เขามีหน้าที่ต้องให้การดูแลอบรมสั่งสอนให้ได้ดีนั่นเอง

   "ขอโทษนะอารากิ แต่ยังไงครูก็รับความรู้สึกของเธอไม่ได้หรอก...ตราบใดที่เรายังเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์แบบนี้"

   อารากิชะงัก เขาจ้องมองคนตรงหน้านิ่งจนอาจารย์หนุ่มเองก็ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

   "มีอะไร...มองครูแบบนั้นทำไม"

   "เมื่อครู่คุณบอกว่ารับความรู้สึกของผมไม่ได้ ตราบใดที่พวกเรายังเป็นศิษย์กับอาจารย์กันแบบนี้สินะครับ"

   "ก็ใช่...แล้วทำไม"

   อาจารย์มิซาวะย้อนถาม ซึ่งอารากิก็ยิ้มกว้างแล้วจับมืออีกฝ่ายมาเกาะกุมพร้อมกับยกขึ้นจูบเบา ๆ จนเจ้าของมือสะดุ้ง

   "ถ้าอย่างนั้น หากผมเรียนจบจากที่นี่เมื่อไหร่ คุณก็รับรักผมได้แล้วล่ะสิ"

   "ดะ...เดี๋ยวก่อน ครูไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น"

   อาจารย์หนุ่มรีบแย้ง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นนัยน์ตาหงอย ๆ ชวนน่าสงสารของอีกฝ่ายที่มองมา

   "อาจารย์เกลียดผมหรือครับ..."

   "มะ...ไม่ได้เกลียดสักหน่อย ครูจะเกลียดเธอได้ยังไงกันล่ะ"

   อาจารยหนุ่มเอ่ยปลอบเพราะอีกฝ่ายทำสีหน้าสลดจนน่าใจหาย และเมื่อได้ยินเช่นนั้นอารากิก็ช้อนตาอ้อน แล้วเอ่ยต่อ

   "ถ้างั้นก็รักสินะครับ"

   "ก็รัก...บะ...บ้ารึ! อย่ามาพูดจากวนโมโหใส่ครูแบบนี้นะ!"

   คนที่รู้สึกตัวว่าโดนแกล้งให้รับรักรีบโพล่งใส่อย่างฉุนแกมเขิน หากแต่เด็กหนุ่มนั้นตอนนี้รู้สึกยินดีเสียจนไม่สนใจอะไร เพราะก่อนหน้านั้นอาจารย์หนุ่มแทบไม่เคยพูดเปิดโอกาสให้ความหวังกับเขาแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง

   "อาจารย์ครับ ...ผมดีใจจังเลยครับ ที่ยังพอจะมีความหวังบ้าง... เพื่อให้อาจารย์ยอมรับและรับรักผมสักที  ...ผมจะพยายามอดทน...อาจารย์รอผมด้วยนะครับ"

   อาจารย์มิซาวะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ คำพูดและสีหน้าของอารากิยามนี้ ชวนให้เขาใจเต้นแรงและลืมตัวจนเผลอพยักหน้าตกปากรับคำออกไปแผ่วเบา

   "...ก็ได้"

   "จริงหรือครับ! โอ๊ย! ดีใจที่สุดเลย! ผมรักอาจารย์ที่สุดเลยครับ!"

   อารากิหลุดตะโกนอย่างลืมตัวพร้อมกับรวบร่างตรงหน้ามากอดและหอมแก้มจนคนถูกกอดหน้าแดงก่ำ และพอรู้สึกตัวอาจารย์หนุ่มก็หยิกที่แขนข้างที่กอดตนไปเต็มแรง และออกคำสั่งให้อีกฝ่ายออกไปจากห้อง ซึ่งอารากิก็ยังคงยิ้มแป้นยินดี และยอมทำตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่วายแอบขโมยหอมแก้มเนียนของคนที่มายืนหน้าบึ้งไล่เขาอยู่หน้าห้องอีกฟอดหนึ่งอยู่ดี ก่อนจะวิ่งหนีไปโดยมีเสียงโวยวายของอีกคนตามไล่หลังมาอย่างฉุนปนเขิน



   
... End ...??

มาสั้น  ๆ   แต่จริง ๆ มีมากกว่านี้   ที่เหลือไว้ฟินในเล่ม (ในเล่มยังมีต่อ )   ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ตัวที่อาจจะทำให้ฟินไม่สุด ไว้หลังจากนี้ (ถ้าไม่อู้) ปัดจะหยิบตอนพิเศษคู่อืน ๆ มาแปะเป็นระยะแล้วกันค่ะ (ถึงจะมาแปะแบบสั้น แต่เน้นให้กร๊าวเล่นน้อ)

ออฟไลน์ PhInNoI

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
 :L2:
น่าร๊ากกกกกกกกก
ชอบๆๆๆๆๆ
 :3123:

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
น่ารักอ่ะ อาจารย์ได้เป็นอมตะแน่ๆงานนี้ 555

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ฉบับรีเมกนี้ต่างจากฉบับเดิมไปพอสมควรเลยขอรับ

แค่ที่ไม่ต่างก็น่าจะเป็นท่านริวยะล่ะขอรับ

เพราะพี่ท่านยังคงความเป็นตัวเองไว้ครบถ้วน อิอิ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ไม่เคยอ่านฉบับดั้งเดิมค่ะ โดดมาอ่านอันนี้เลย หวานดีมาก เวอร์ชั่นนี้ไม่รู้สึกว่าพระเอกเอาแต่ใจนะคะ แอบรู้สึกว่าบทนายเอกเด่นกว่า ฮ่าๆ ชอบที่ยูคิไม่โง่ไม่งี่เง่า รับมือกับอะไรต่างๆได้ดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด