บทที่ 23
รถติดฟิมล์ดำที่แล่นขนาบเข้ามาใกล้ ทำให้ทาคุเหยียบคันเร่งทิ้งห่างออกไป รถทั้งสองคันแซงซ้ายป่ายขวาเรียกเสียงแตรบีบไล่ดังจากรถคันอื่นสนั่นถนนกันไปหมด
"ผมจะพยายามสลัดพวกมันในเส้นทางข้างหน้า ท่านยูคิพยายามหลบหลังเบาะเอาไว้นะครับ!"
ทาคุบอกกับคนนั่งด้านหลังซึ่งยูคิก็รับคำแล้วเกาะเบาะหลังของอีกฝ่ายแน่น เนื่องจากทาคุใช้ความเร็วมากในการขับจนตัวเขาแทบจะเหวี่ยงไปตามแรงเลี้ยวของรถในแต่ละครั้งเลยทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง คนขับรถยนต์ติดฟิลม์ทึบ ก็กำลังแย้มยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก เมื่อเห็นรถคันหน้าเร่งความเร็วไม่ยอมให้รถของตนตามประกบง่าย ๆ
"เอาไงดีครับลูกพี่ ยิงล้อเลยดีไหมครับ!"
ลูกน้องที่นั่งข้างหน้าด้วยกันหันมาถาม แต่กลับถูกลูกน้องอีกคนที่อยู่เบาะหลังใช้มือที่ถือปืนตบหัวของคนนั่งหน้าไม่แรงนักแทน
"ยิงล้อด้วยความเร็วแบบนี้ แทนที่จะได้ชิงตัวประกัน เดี๋ยวก็ได้เป็นการฆาตกรรมพอดี!"
"อ้าว! แล้วนี่ไม่ได้กะมาฆ่าหรอกรึ!"
อีกฝ่ายเถียง ซึ่งก็ทำให้คนข้างหลังขมวดคิ้วยุ่ง
"ก็ลูกพี่อาราตะ บอกว่าให้แค่จับตัวไปให้นายท่านเฉย ๆ นี่นา"
อาราตะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาไม่ได้บอกลูกน้องทั้งสองหรอกว่า คนขับรถคันนั้นคือใคร เพราะขืนบอกออกไปทั้งคู่คงไม่กล้าลงมือเป็นแน่
"นายท่านสั่งให้จับตัวไป...แต่ก็ไม่ได้บอกว่าให้จับแบบไร้รอยขีดข่วน เพราะงั้นถ้ามีแผลนิดแผลหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอก"
ชายผู้มีแผลเป็นบนหน้าเปรยบอก พลางเร่งความเร็วรถให้ตามทันรถคันหน้าไปอีก ส่วนลูกน้องทั้งคู่หันมาสบตากันแล้วจึงลดกระจกลง ก่อนจะยื่นมือที่ถือปืนไปด้านนอก ก่อนช่วยกันกระหน่ำยิงล้อของรถยนต์เป้าหมายทันที!
ทางด้านรถยนต์อีกคัน เมื่อคนขับเห็นกระจกถูกลดลงพร้อมกับปืนที่ยื่นมา เขาก็รีบตะโกนบอกให้ยูคิหลบไปใต้เบาะอย่างรวดเร็ว
"ทิ้งตัวราบไว้กับพื้นแล้วอย่าลุกขึ้นมาเด็ดขาดนะครับ!"
ยูคิรีบทำตามโดยไม่ต้องเอ่ยซ้ำสอง เสียงปังและตามมาด้วยอาการรถที่แกว่งและกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้เด็กหนุ่มต้องหลับตาภาวนาด้วยความกลัว ส่วนทาคุก็พยายามบังคับรถให้ทรงตัวไปต่ออย่างทุลักทุเล ชายหนุ่มเห็นรถกระบะที่จอดส่งของริมทางอยู่ลิบ ๆ เขาจึงตัดสินใจหักพวงมาลัยครูดข้างรถกระแทกไปกับทางกั้นไหล่ทางเพื่อชะลอความเร็ว พร้อมกับเหยียบเบรกจนเสียงดังเอี๊ยดลั่นไปทั่วถนน
เสียงดังโครมลั่น พร้อมกับหน้ารถเก๋งคันหรูที่ยุบไปกว่าครึ่งจากแรงปะทะกับท้ายรถกระบะส่งของ ผู้คนแถวนั้นพากันเอะอะโวยวายด้วยความตกใจต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทาคุสะบัดศีรษะของตนไปมาขับไล่ความมึนงง ชายหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความเจ็บบริเวณซี่โครงที่อัดกระแทกกับพวงมาลัยหน้ารถ และพอตั้งสติได้เขาก็พยายามปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วหันไปทางเบาะหลังอย่างเป็นห่วง
"ท่านยูคิ! ปลอดภัยดีไหมครับ!"
ยูคิสูดริมฝีปากเบา ๆ ด้วยความเจ็บศีรษะที่กระแทกเอาเบาะด้านล่างไปเต็มแรง เด็กหนุ่มพึมพำตอบรับอีกฝ่าย แล้วพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก
"ผมโอเค...แล้วคุณล่ะครับ คุณทาคุ"
"ผมไม่เป็นไร...ท่านยูคิรีบหนีไปก่อนเถอะครับ ไปหาตำรวจหรือกลุ่มฝูงชนใหญ่ ๆ อยู่ แล้วรีบโทรบอกท่านริวยะขอความช่วยเหลือจากท่าน...ส่วนทางนี้ผมจะถ่วงเวลาไว้ให้เอง"
ทาคุบอกพร้อมหยิบปืนพกด้านในเสื้อสูทออกมา เขาถีบประตูรถออก แล้วเล็งเป้ายิงไปรถคันที่ขับตามมา คนที่นั่งอยู่ในรถอีกสองคน พอเห็นว่าเป้าหมายของตนเป็นใคร ก็ถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงแล้วรีบหันไปมองลูกพี่ที่ขับรถหลบกระสุน แล้วเตรียมจะพุ่งชาร์ตไปยังร่างที่ยืนอยู่ข้างซากรถยนต์นั่น
"ลูกพี่! นั่นมันคุณทาคุไม่ใช่หรือ!"
"หึ! ก็เออน่ะสิ!"
อาราตะเหยียดยิ้มที่มุมปาก เขาเหยียบคันเร่งสวนกระสุนเข้าไป ส่วนลูกน้องทั้งสองก็รีบก้มหัวลงหลบกระสุนที่ยิงมายกใหญ่ ทางด้านทาคุกัดฟันกรอด เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจชนมาจริง ๆ เขาหยุดยิงแล้วหันไปบอกยูคิ ที่กำลังจะเปิดประตูอีกด้านให้รีบหนีออกมา ทว่าเพราะอุบัติเหตุทำให้มันเปิดออกได้ยากกว่าเดิม
"ผมเปิดไม่ออกครับ คุณทาคุ!"
"ท่านยูคิ! โธ่โว้ย!"
ทาคุสบถแล้วพุ่งตัวเข้าไปในรถผ่านประตูหน้าที่เขาถีบออกมา เจ้าตัวกระโจนไปยังเบาะหลัง จับร่างเล็กมากอดแนบอกให้นอนราบไปกับพื้นรถแล้วใช้ตัวเองคร่อมบังเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่รถยนต์คันสีดำจะพุ่งมาชนพวกเขาหวุดหวิด
เสียงโครมลั่นพร้อมกับแรงกระแทกจนรู้สึกถึงความสั่นไหวอย่างรุนแรง ทำให้ยูคิเกาะร่างของพี่เลี้ยงคนสนิทแน่น และพอรอบด้านเริ่มเงียบสงบ เขาก็เรียกชื่อของคนที่กอดตนแผ่วเบา
"คุณทาคุ..."
เงียบกริบ ไร้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย ยูคิชะงักกึก เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดมาแตะจมูก เขาพยายามดันกายออกจากอ้อมกอดนั่นอย่างยากลำบาก ทว่าภาพที่ได้เห็นกลับทำให้เด็กหนุ่มเบิกตาค้าง พูดอะไรไม่ออกด้วยความตื่นตระหนก
"คุณทาคุ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ...ได้ยินผมไหม"
ยูคิพึมพำถามเสียงสั่น เมื่อเห็นเลือดสีแดงเข้มไหลจากศีรษะมาอาบใบหน้าของคนที่ปกป้องเขา เด็กหนุ่มยื่นนิ้วมือสั่นเทาไปอังที่จมูกของอีกฝ่าย แล้วก็ต้องชะงักก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตนยังสัมผัสลมหายใจนั้นได้อยู่ ทว่าอาการของชายหนุ่มที่ได้เห็นก็ยังคงน่าเป็นห่วงอยู่มาก
"คุณทาคุ...อดทนไว้นะครับ ผมจะพาคุณไปหาหมอนะ...!"
ยูคิพึมพำก่อนจะสะดุ้งเฮือกสุดตัว เมื่อประตูรถอีกด้านถูกชายสองคนดึงมันออกมาแล้วเหวี่ยงมันทิ้งไว้แถวนั้น และด้วยสัญชาตญาณระวังภัย ก็ทำให้ยูคิพอจะรู้ว่า พวกที่ใส่สูทดำแว่นดำ ที่มาใหม่นั่น ไม่น่าจะใช่พวกเดียวกับเขาแน่นอน
"ว่าง่าย ๆ แล้วมาด้วยกันดี ๆ รับรองว่าจะไม่เจ็บตัวแน่คุณหนู"
ชายที่สวมแว่นดำและมีรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตาข้างหนึ่งเอ่ยขึ้น ยูคิเม้มปากน้อย ๆ เขาอยากจะตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่พอเห็นปืนที่ทั้งสามมี เด็กหนุ่มก็เกรงว่าจะทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนเสียเปล่า ๆ
"ผมไปกับพวกคุณก็ได้...แต่ช่วยคุณทาคุด้วยนะครับ เขาบาดเจ็บมาก...ต้องส่งโรงพยาบาล ...ได้โปรดเถอะครับ"
ยูคิขอร้องอีกฝ่าย คำพูดของเขาทำเอาชายสูทดำอีกสองคนชะงักแล้วหันไปมองผู้เป็นหัวหน้าของตนอย่างลังเล
"ถ้าคุณหนูสัญญาว่าจะไม่คิดหนี หรือเล่นตุกติกอะไรล่ะก็...ผมจะพาเขาไปส่งโรงพยาบาลให้ก็ได้นะ"
อาราตะเอ่ยขึ้นแล้วรอดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ทว่าเขาก็เห็นเพียงแค่สีหน้าโล่งอกและรอยยิ้มยินดีจากใจจริงของเด็กหนุ่มตรงหน้าตอบกลับมาเพียงเท่านั้น
"โอเค...งั้นคุณหนูก็มานั่งที่รถกับผม ส่วนพวกแกก็ช่วยพาหมอนั่นออกมาด้วยแล้วกัน"
อาราตะสั่งความลูกน้อง แล้วจึงหันไปมองพวกญี่ปุ่นมุงที่เริ่มทยอยมาออกันรอบ ๆ ด้วยความสนใจมากขึ้น
"กำลังถ่ายหนังกันอยู่ครับ ซ่อนกล้องเอาไว้ที่ตึก ไม่มีอะไรหรอกครับ แยกย้ายกันได้แล้ว!"
พออาราตะบอกเช่นนั้น คนอื่น ๆ ต่างก็หันซ้ายหันขวามองรอบ ๆ หากล้องที่ซ่อนกันยกใหญ่ ส่วนลูกน้องทั้งสองพากันลอบถอนหายใจที่หัวหน้าของพวกตนอ้างเหตุผลได้ไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้น แต่ก็ดันมีคนหลงเชื่อเข้าให้อีกจนได้
"โห...คุณทาคุบาดเจ็บหนักเชียว...งานนี้ถ้าท่านริวยะรู้เข้า ไม่รู้พวกเราจะโดนเล่นงานอะไรบ้างเนี่ย"
หนึ่งในสองคนพึมพำกับตนเอง ซึ่งเพื่อนอีกคนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะรู้ดีไม่แพ้กันว่า ทาคุนั้นเป็นคนโปรดของลูกชายเจ้านายใหญ่ของพวกตน
ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถ ยูคิเหลือบมองร่างบาดเจ็บซึ่งนั่งพิงเบาะหลังอย่างเป็นห่วง และเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อชายสองคนที่มาจับตัวเขาด้วยกันนั่น กำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้อีกฝ่ายอย่างระมัดระวังจนชวนให้ผิดสังเกตทีเดียว
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่าคุณหนู หมอนี่เห็นบอบบางแบบนี้ แต่อึดน่าดู โดนแค่นี้ไม่ตายง่าย ๆ หรอก ...เดี๋ยวสักพักถึงมือหมอก็ช่วยได้แล้วล่ะ"
คำพูดของอาราตะทำให้ยูคิหันมามองอีกฝ่าย เขานิ่วหน้านิด ๆ แล้วจึงตัดสินใจถามออกไปตามตรง
"พวกคุณเป็นคนของคุณพ่อคุณริวยะสินะครับ"
อีกสองคนด้านหลังสะดุ้งนิด ๆ ส่วนอาราตะชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาดัง ๆ อย่างถูกใจ
"ฉลาดจริง! มิน่าท่านริวยะถึงได้ถูกใจขนาดนั้น...เฮ้อ! ช่วยไม่ได้นะคุณหนู นี่ถ้าคุณหนูเป็นผู้หญิง อะไร ๆ มันก็คงจะง่ายกว่านี้แล้วล่ะ"
อาราตะเอ่ยตามมา เขารู้สึกชื่นชมในตัวเด็กใสซื่อไร้เดียงสาคนนี้ตั้งแต่ที่เห็นอีกฝ่ายห่วงใยทาคุมากกว่าตัวเองแล้ว และยิ่งได้เห็นความมีสติของอีกฝ่ายที่แม้จะรู้ว่ากำลังถูกลักพาตัว แต่ก็ไม่พยายามโวยวายหาทางดิ้นรนหนีตลอดเวลา ก็ทำให้หนุ่มใหญ่นึกพึงพอใจในตัวของเด็กหนุ่มมากขึ้นไปอีก
"แค่จะจับตัวผม...ถึงกับต้องทำร้ายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกเดียวกันเองแบบนี้หรือครับ"
ยูคิถามต่อ แววตาจริงจังที่มองมา ทำให้อาราตะถอนหายใจ เขาขับเจ้ารถกระโปรงหน้าบุบบี้ของตนไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะค่อยเปรยตอบคำถามที่เด็กหนุ่มถามเมื่อครู่
"ช่วยไม่ได้...ก็บอดี้การ์ดของคุณหนูดันเป็นเจ้าหมอนี่...คนหัวแข็งแถมดื้อด้านที่สุดในพรรคพวกของเรา ...นี่ถ้าเขายังมีสติอยู่ ต่อให้บังคับหักกระดูกหมอนั่นเล่นกันเป็นท่อน ๆ เขาก็จะไม่มีวันยอมปล่อยคุณหนูมาให้พวกเราง่าย ๆ อยู่ดีนั่นล่ะ"
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ พลางเหลือบมองทาคุอย่างนึกสงสาร ที่ชายหนุ่มต้องมาโชคร้ายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ
"เอาล่ะ...เลี้ยวโค้งหน้าก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว แต่คุณหนูต้องนั่งที่รถ ห้ามลงไปโดยเด็ดขาด ...และถ้าไม่เชื่อฟังกัน ผมจะยิงเพิ่มแผลให้หมอนี่อีกสักรูสองรูล่ะนะ อยู่ใกล้โรงพยาบาล ยังไงก็ไม่น่ามีปัญหาอยู่แล้ว"
อาราตะบอกอย่างอารมณ์ดี ทว่านัยน์ตาเป็นประกายเอาจริง ส่วนลูกน้องทั้งสองทางเบาะหลัง เฝ้าภาวนาขอให้ยูคิอย่าคิดขัดขืนหัวหน้าของตน เพราะพวกเขาไม่อยากให้คนข้าง ๆ ต้องบาดเจ็บมากไปกว่านี้
"ผมไม่หนีหรอก ...ขอให้พวกคุณส่งคุณทาคุให้ถึงมือหมอ อย่างที่สัญญากันเอาไว้ก็พอ"
ยูคิบอกออกไปตามตรง เพราะเขาไม่อยากหนีแล้วทำให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องมาเดือดร้อนเพราะเขาเป็นต้นเหตุเช่นนี้
"ถ้าคุณหนูว่าอย่างนั้น ทางนี้ก็ไม่คิดเบี้ยวสัญญาอยู่แล้วล่ะนะ"
อาราตะบอกพลางยักไหล่ เขาโทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลให้หมอเตรียมเตียงฉุกเฉินให้พร้อมที่หน้าโรงพยาบาล และเมื่อรถเลี้ยวมาถึงอาราตะก็ให้ลูกน้องประคองร่างที่ไม่ได้สติของทาคุส่งให้เจ้าหน้าที่ จากนั้นจึงบอกว่าเจ้าของไข้กำลังจะตามมาอีกในไม่ช้านี้
"...เอาล่ะ คุณหนู ยืมโทรศัพท์หน่อยสิ"
ยูคิมองคนขับอย่างแปลกใจแต่ก็ยังคงส่งมือถือของตนไปให้อีกฝ่ายแต่โดยดี
"...ไหน ๆ เบอร์ของคุณริวยะหรือ...อืม ไม่ดีกว่า...อ้อ เบอร์ของอากิระสินะ ดีละ เจ้าหนูนั่นคงตกใจแน่ อยากอยู่เห็นหน้าหรอกนะ แต่ช่วยไม่ได้นี่นา"
บอกจบอาราตะก็ส่งข้อความไปว่า ทาคุเจ็บหนัก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลxxx ให้รีบมาด่วน ด้วยมือถือของยูคิ จากนั้นเขาก็หยิบมือถือของเด็กหนุ่มใส่กระเป๋าเสื้อสูทของตนหน้าตาเฉย ทำเอายูคิถึงกับมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ พูดอะไรไม่ออก เช่นเดียวกับลูกน้องทั้งสองที่นั่งด้านหลัง
"หึ ๆ ไม่ต้องมองแบบนั้นหรอก เดี๋ยวคนของท่านริวยะก็ตามร่องรอยมาจนเจอมือถือนี่ แล้วก็คงเก็บเอาไว้คืนให้คุณหนูเองนั่นล่ะ"
อาราตะบอกไปตามตรง ก่อนจะใช้มือถือของตนโทรไปสั่งให้คนเอารถมาสับเปลี่ยนเพื่อจะเดินทางต่อ
"เอาล่ะ! เดี๋ยวเราจะแวะลอกคราบคุณหนูกันสักพักก่อน"
ยูคิชะงักพลางกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดระแวง แม้แต่ลูกน้องของอาราตะทั้งสองคนก็ยังมองหัวหน้าของเขา ด้วยสายตาที่แทบไม่แตกต่างจากเด็กหนุ่มนัก ทำเอาอาราตะนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ ก่อนจะหลุดหัวเราะตามมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ทำไมทั้งสามถึงมีสีหน้าแบบนั้น
"ฮ่า ๆ คิดอะไรไร้สาระจริง ๆ น้า พวกแกเนี่ย! คุณหนูก็ดันเป็นไปกับพวกนี้ด้วย เห็นอย่างนี้ผมสนแต่เนื้อ นม ไม่สนไข่หรอกนะ"
อาราตะพูดตรง ๆ เสียจนคนฟังพากันยิ้มเจื่อน จากนั้นชายผู้มีแผลเป็นบนดวงตาจึงอธิบายให้ฟังต่อ
"...ที่ต้องพาคุณหนูไปลอกคราบเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เพราะผมมั่นใจว่าเจ้าอากิระตัวแสบนั่น จะต้องติดเครื่องติดตามไว้ในมือถือเครื่องนี้เป็นแน่...แม้แต่เข็มกลัดเนคไทของเครื่องแบบนักเรียนนั่นก็น่าสงสัยพอกัน...แต่ก็นั่นล่ะ ต่อให้ไม่มีอะไรติดไว้ ขืนไปไหนมาไหนกับนักเรียนของยามิคุระ ก็ดูจะเด่นสะดุดตาจนเกินไปอยู่ดี"
แต่ละคนพอฟังเหตุผลก็ร้องอ๋อไปตาม ๆ กัน ทางด้านยูคิแม้จะสบายใจว่าตนจะไม่ต้องเปลืองตัวเหมือนอย่างที่เผลอคิดออกไป แต่พอรู้ว่าบางทีชิ้นส่วนของใช้ของตนอาจจะมีเครื่องติดตาม ก็ทำเอาเขาทั้งโล่งอกและเสียดายไปตาม ๆ กัน เมื่ออาราตะนั้นคิดรอบคอบและเตรียมระวังภัยเอาไว้ก่อน
"งั้นก็ไปร้านประจำผมแล้วกัน ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวผมเป็นเจ้ามือให้เอง จะแต่งให้ปิ๊งเสียจนท่านริวยะเองก็จำไม่ได้เลยเชียวล่ะ!"
อาราตะบอกแล้วจึงหัวเราะตามมาเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ทำให้ลูกน้องที่นั่งหลังหันมาสบตากัน ก่อนจะสรุปตรงกันว่า ดูท่าหัวหน้าของเขา คงจะถูกใจเด็กหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายของการลักพาตัวในครั้งนี้ไม่มากก็น้อย เพราะพวกเขาก็ทำงานลักษณะนี้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ค่อยได้เห็นอาราตะดูใจเย็นและอารมณ์ดีเท่ากับครั้งนี้มาก่อน
อีกด้านหนึ่งอากิระที่กำลังขับรถพาริวยะไปบริษัทด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม หลังจากได้พูดคุยเปิดใจกับผู้เป็นนายก่อนหน้านั้น ขณะที่เขากำลังจะเลี้ยวเข้าไปจอดรถในที่จอดประจำของบริษัท เจ้าตัวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นมีข้อความส่งมาจากมือถือของยูคิ
"ท่านยูคิส่งข้อความมาหาผมครับ ท่านริวยะ"
คนขับบอกแล้วเปิดอ่านข้อความดู ก่อนจะชะงัก ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เจ้าตัวกัดริมฝีปากแน่นแล้วรีบเลี้ยวรถขับพุ่งออกจากบริษัท โดยที่ยามเฝ้าประตูแทบจะเปิดรั้วกั้นให้ไม่ทันเลยทีเดียว
"เดี๋ยวก่อน! เกิดอะไรขึ้นอากิระ!"
ริวยะที่นั่งอยู่เบาะหลังเรียกคนขับเสียงดังเพื่อเรียกสติ ทำเอาอากิระชะงัก ก่อนจะชะลอรถจอดแถวนั้น แล้วยื่นมือถือของตนให้อีกฝ่ายได้อ่านข้อความ
"ขออภัยนะครับท่านริวยะ...ผมเป็นห่วงทาคุมากเกินไปหน่อย...เอ่อ...ผมไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นกับดักหรือไม่...ยังไงท่านรออยู่ที่บริษัทก่อนจะดีกว่าไหมครับ"
เมื่อสติกลับมา อากิระก็เสนอความเห็นให้ผู้เป็นเจ้านายของตนได้รับฟัง ซึ่งพอรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ริวยะเองก็เป็นห่วงทั้งคนสนิทและคนรักไม่แพ้กัน
"ไปด้วยกันนี่ล่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันคิด!"
ริวยะตัดบท เขาส่งคืนมือถือให้คนขับ ก่อนจะใช้มือถือของตนโทรติดต่อคนรักทันที
"รับสายสักทีสิยูคิ...อ๊ะ...ยูคิ...!"
ปลายสายที่รับแล้วตัดทิ้งทำให้ริวยะเม้มปากแน่น ก่อนจะติดต่อกลับไปอีกที ซึ่งก็พบว่าปลายสายนั้นปิดเครื่องหนีไปแล้ว
"โธ่โว้ย! เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!"
"ใจเย็น ๆ ครับท่านริวยะ...ถ้าแค่ปิดเครื่องหนี เราก็ยังพอตามตัวได้"
อากิระบอกแล้วโทรติดต่อลูกน้องของตนให้ออกตามหาสัญญาณติดตามจากมือถือของเด็กหนุ่ม ส่วนตัวเขาก็ขับรถไปที่โรงพยาบาลอย่างร้อนรน และเมื่อถึงโรงพยาบาล ทั้งคู่ก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า มีพลเมืองดีพาคนเจ็บมาส่งก่อนหน้านั้นได้สักพัก ส่วนตัวทาคุแม้จะบาดเจ็บหนัก แต่ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว
อากิระพอได้ฟังเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะชะงักเมื่อรู้สึกตัวว่า ยูคินั้นไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย
"ขอโทษครับท่านริวยะ...เพราะผมเป็นห่วงทาคุมากเกินไป...จนไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของท่านยูคิ"
อากิระโค้งขอโทษอย่างสำนึกผิดให้เจ้านายของเขา ส่วนริวยะพอได้ยินอย่างนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ปลอบอีกฝ่าย
"อย่าคิดมากน่าอากิระ สำหรับฉันแล้ว ทาคุก็สำคัญไม่แพ้กับยูคินักหรอก...ส่วนยูคิฉันว่าคงไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะการที่ทาคุถูกนำมาส่งโรงพยาบาลโดยผู้หวังดีที่ไม่คิดจะอยู่รอหน้าพวกเรา ...มันก็เท่ากับบ่งบอกถึงพวกคนลงมือแล้วล่ะว่า เป็นพวกไหนกันแน่!"
ริวยะบอกแล้วกัดฟันกรอดด้วยความขุ่นเคือง และแม้เขาจะรู้ว่าใครเป็นคนลงมือ แต่ต่อให้เขาบุกไปที่บ้านใหญ่ แล้วบอกเรื่องนี้กับพ่อของเขาตรง ๆ ก็เห็นทีว่าอีกฝ่ายคงทำเป็นปฏิเสธไม่รู้ไม่ชี้เป็นแน่
"ให้มันรู้ไปว่าพวกนั้นจะซ่อนยูคิให้พ้นจากฉันไปได้ตลอด! อากิระ! เตรียมคนของเราให้พร้อม ฉันจะไปตามยูคิกลับคืนมาให้ได้เดี๋ยวนี้ล่ะ!"
อากิระโค้งศีรษะรับคำสั่งอีกฝ่าย เขาเหลือบไปมองที่ห้องคนเจ็บอีกครั้ง ก่อนจะกำมือแน่นด้วยความขุ่นเคือง ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นคนของเซอิจิก็ตาม แต่ถึงยังไงครั้งนี้ เห็นทีเขาคงจะต้องเล่นงานคืนให้สาสม กับที่อีกฝ่ายนั้นทำให้คนสำคัญของเขาบาดเจ็บหนักเช่นนี้
.... TBC ....
*หนูยูคิโดนจับตัวไปแล้ว ช่วงนี้ปั่น ๆ แก้ ๆ ลบ ๆ เลยอาจจะไม่โพสต่อเนื่องเช่นก่อนหน้านั้นนะคะ*