กรงรัก...พันธนาการใจ(ฉบับรีเมก) : ตอนพิเศษ:(เพิ่มเติม)17/10/57- (นิยายจบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงรัก...พันธนาการใจ(ฉบับรีเมก) : ตอนพิเศษ:(เพิ่มเติม)17/10/57- (นิยายจบแล้วค่ะ)  (อ่าน 95424 ครั้ง)

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
รอดไปได้ยังไงเนี่ย ริวยะ นี่นะ

อิอิ

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[อ่านเวอร์ชั่นนี้มดเต็มจอ :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4



บทที่ 19



   หลังจากส่งยูคิเข้าโรงเรียนไปเรียบร้อยแล้ว ทาคุจึงโทรไปบอกริวยะเพื่อให้อีกฝ่ายหมดห่วง

   "หือ...ถึงไวกว่าที่คิดอีก อย่าบอกนะว่าเหยียบซิ่งไปอีกแล้วน่ะ"

   คำถามของปลายสายทำให้ทาคุอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงตอบไปตามตรง

   "ไม่ใช่หรอกครับ พอดีผมเลือกใช้ทางลัดอีกเส้นทางหนึ่ง...เพียงแต่ที่ไม่ได้ใช้ตั้งแต่วันแรก ก็เพราะคิดว่าท่านริวยะคงอยากใช้เวลาร่วมทางกับคุณยูคินาน ๆ มากกว่า"

   ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมา

   "นายนี่รู้ใจฉันเสมอเลยนะทาคุ...เอาล่ะ ยังไงก็ขอบใจมากที่โทรมารายงานให้ทราบ"

   "ครับท่าน"

   พออีกฝ่ายวางสายไป ทาคุก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ  ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น เมื่อไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเขาก็ขึ้นรถและขับออกไป  ทว่าเมื่อทาคุจากไปได้สักพัก รถยนต์สีดำติดฟิล์มกระจกเข้ม ก็ขับมาจอดบริเวณทางเข้าโรงเรียนอย่างช้า ๆ คนขับที่สวมแว่นตาดำแย้มยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง ก่อนจะขับออกไปหลังจากนั้นอย่างไม่รีบร้อนนัก

   

   ณ คฤหาสน์หรูแบบญี่ปุ่นแท้กลางกรุงโตเกียว  ชายชราท่าทางน่าเกรงขามในชุดยูกาตะสีเทาผู้หนึ่ง กำลังนั่งจิบชาชมวิวสวนน้ำตกเบื้องหน้า ก่อนจะหันไปทางชายใบหน้าเข้มซึ่งมีรอยแผลเป็นกรีดพาดยาวประมาณฝ่ามือบนตาขวา เจ้าตัวสวมชุดสูทสีดำและกำลังนั่งคุกเข่ารออยู่ตรงริมห้องได้สักพักใหญ่

   "แล้วเป็นไง...วันนี้ ริวยะก็ยังตามไปส่งเด็กนั่นที่โรงเรียนเหมือนเคยอีกไหม"

   ชายชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจ ซึ่งชายผู้มีรอยแผลเป็นบนดวงตาก็โค้งศีรษะน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย ก่อนจะรายงานออกไปตามตรง

   "วันนี้มีทาคุมาส่งเขาแค่คนเดียวครับ"

   คนฟังนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพึมพำตามมา

   "อืม...เข้าใจวางตัว  หึ! แต่บางทีนี่อาจจะเป็นคำแนะนำของทาคุไม่ก็อากิระก็ได้...เพราะเจ้าลูกโง่ของฉัน ตอนนี้มันกำลังหน้ามืดตามัว หลงเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่หัวปักหัวปำนี่นะ"

   "บางทีท่านริวยะ อาจจะต้องการเลี้ยงดูให้เด็กหนุ่มคนนั้น มาทำงานเป็นแขนเป็นขาให้กับตนเองก็ได้นะครับ"

   ผู้เป็นลูกน้องเสนอความเห็น แต่กลับได้รับเสียงหัวเราะดูแคลนจากอีกฝ่ายมาแทน

   "หึ! แกคิดว่าฉันไม่รู้จักนิสัยลูกในไส้ของตัวเองอย่างนั้นหรือ อาราตะ!  ถ้าเจ้าริวยะมันคิดจะเลี้ยงเด็กผู้ชายเอาไว้ปรนเปรอชั่วครั้งชั่วคราว ฉันก็ยังพอยอมรับได้ ... ขอเพียงแค่มันยอมคิดจะแต่งงานจริงจังกับผู้หญิงสักคนเพื่อไม่ให้ตระกูลเราขายหน้า ...แต่ไอ้ลูกจอมดื้อด้านนั่น นอกจากไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงดี ๆ ที่ฉันเลือกสรรให้มันแล้ว  มันยังกล้าเอาผู้ชายมาเลี้ยงดูเป็นชู้รักออกหน้าออกตาอีก ...อย่างนี้เท่ากับว่ามันไม่เห็นหัวฉันที่เป็นพ่อของมันชัด ๆ!"

   ชายชราโพล่งขึ้นเสียงดังด้วยความโมโห ทำเอาผู้เป็นลูกน้องคนสนิทต้องลอบถอนหายใจ

    จริง ๆ แล้ว มุราคามิ เซอิจิ ล่วงรู้ถึงรสนิยมทางเพศของบุตรชายคนโตมานานแล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นลูกชายที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ ทั้งจากตนเองและสมาชิกร่วมองค์กรคนอื่น ๆ  จึงทำให้ชายชราไม่ได้คิดต่อต้านเรื่องนี้ออกหน้าออกตา และเลือกใช้วิธีประนีประนอม โดยการเสนอให้ริวยะเลือกแต่งงานกับหญิงสาวที่ตนเลือกสรรให้ หลังจากนั้นแล้ว ตนจะไม่คิดต่อต้านหากบุตรชายจะมีสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน เพียงแต่ขออย่างเดียวว่า ต้องเป็นสัมพันธ์ที่หลบซ่อนไม่ให้สังคมภายนอกและภรรยาแต่งได้รับรู้เท่านั้น

   "อาราตะ! แกจงคอยตามสืบดูเรื่องชู้รักของเจ้าริวยะมันต่อไป...และถ้ามันเริ่มแสดงให้เห็นว่า มันมีความสำคัญกับเจ้าริวยะมากจนเกินไปกว่าความหลงใหลทั่วไปแล้วล่ะก็..."

   ชายชราหยุดพูดเพียงแค่นั้น ทว่านัยน์ตาคมกริบที่สบมานั้นทำให้ผู้เป็นลูกน้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ พร้อมกับโค้งรับคำสั่งแผ่วเบา

   "ครับท่าน"

   และเมื่อลูกน้องคนสนิทปลีกตัวไปจากบริเวณนั้นแล้ว เซอิจิจึงหันกลับมามองสวนสวยร่มรื่นของตนต่อ นัยน์ตาดุทอดแสงลง ก่อนจะพึมพำกับตนเองแผ่วเบา

   "ตอนนี้แกอาจจะต่อต้าน และเห็นว่าฉันเป็นตัวยุ่งยากสำหรับแกนะริวยะ ...แต่จงรู้ไว้เถอะว่า ไม่มีพ่อคนไหนหรอก ที่จะไม่อยากเห็นลูกตัวเองได้ดีน่ะ"

   เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นจากร่างของชายชรา ก่อนที่ร่างนั้นจะลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงและเดินกลับห้องพักส่วนตัวไปอย่างสง่างาม ไร้วี่แววของความแก่ชราให้ได้เห็นในท่วงท่าเดินนั้นแม้แต่น้อย



   อีกด้านหนึ่งเด็กหนุ่มที่กำลังถูกกล่าวถึง ก็กำลังใช้ชีวิตในวัยเรียนอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้น บทเรียน สภาพแวดล้อมรอบกาย นี่ถ้าไม่ติดที่ค่าใช้จ่ายแสนแพงในการศึกษา ยูคิก็คงต้องยอมรับว่า โรงเรียนเอกชนยามิคุระแห่งนี้ เป็นโรงเรียนในฝันแห่งหนึ่งของตนเลยทีเดียว

   "ทานากะ เดี๋ยวช่วงเย็นก่อนจะเข้าชมรม ช่วยแวะไปหาครูหน่อยนะ"

   อาจารย์มิซาวะ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาห้อง Z บอกกับลูกศิษย์ใหม่ของเขาหลังจากหมดชั่วโมงสอนในคาบเช้า ซึ่งยูคิก็พยักหน้ารับรู้อย่างงุนงง ทว่าอารากิที่อยู่ข้างหลังถึงกับสะดุ้ง แล้วจ้องมองคนพูดด้วยแววตานิ่งขึงจนอาจารย์มิซาวะที่หันมาเห็นชะงัก แต่แล้วเขาก็แสร้งทำเป็นเมินไปอีกทาง แล้วจึงบอกให้นักเรียนแต่ละคนแยกย้ายกันไปพักกลางวันได้

   "อ้าว! อารากิ จะไปไหนน่ะ ไม่กินข้าวกลางวันหรอกรึ!"

   ยูคิถามเพื่อนซึ่งจะเลี้ยวไปทางอื่นตรงข้ามกับทางไปโรงอาหาร

   "อืม...เดี๋ยวขอตัวไปเคลียร์ธุระแป๊บนึง พวกนายไปกินกันก่อนได้เลย ไม่ต้องรอนะ!"

   อารากิบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทำเอายูคิและคนอื่น ๆ พากันงุนงง แต่เพื่อนบางคนก็ตัดบทโดยการพูดบางอย่างขึ้นมาเสียก่อน

   "ฉันว่าช่างหมอนั่นเหอะ แต่พวกเราขืนไปช้า พวกเมนูเด็ด ๆ จะหมดเสียก่อนนะ!"

   พอได้ยินดังนั้น แต่ละคนก็ต่างมุ่งความสนใจไปที่อาหารแทน เพราะในแต่ละวันจะมีเมนูพิเศษเข้ามา และยังทำในจำนวนจำกัด เพื่อเป็นสีสันให้โรงอาหารและทำให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นในการกินอาหารกลางวันมากขึ้นนั่นเอง

   

   เมื่อต่างฝ่ายต่างสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย ยูคิก็เดินยกข้าวหน้าเนื้อตุ๋นของตนมานั่งกินข้าง ๆ เพื่อนในโต๊ะ ที่ล้วนต่างสั่งอาหารพิเศษมากินกันถ้วนหน้า

   "มันพิเศษตรงไหนกันน่ะ ราเม็งธรรมดาแบบนั้น"

   ยูคิถามเพื่อนของเขาที่มีสีหน้าพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัดนั่น 

   "ธรรมดาสำหรับนาย แต่พวกฉันใช่ว่าจะได้กินแบบนี้กันบ่อย ๆ สักหน่อย ...น่าอิจฉานายนะยูคิ พวกฉันน่ะอยากนั่งกินร้านข้างทางได้บรรยากาศแบบชาวบ้าน ๆ กับเขาบ้าง แต่ขืนหนีไปกินแบบนั้น แล้วเกิดโดนลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่เข้าให้ก็ซวยพอดี"   

   ยูคิรับฟังแล้วยิ้มเจื่อน ๆ นึกไม่ออกว่าตนควรจะดีใจไหม ที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เพื่อนใหม่อยากทำอยู่บ่อย ๆ เช่นนั้น

   "บางทีเป็นคนรวยก็ลำบากเหมือนกันนะ"

   ยูคิพึมพำ ซึ่งเพื่อน ๆ ก็พากันพยักหน้าหงึกหงักแล้วแย่งกันเล่าถึงความลำบากลำบนของพวกตนให้อีกฝ่ายฟัง จนยูคิแอบนึกสงสารและอดคิดว่าตนเองที่เคยใช้ชีวิตแบบพอกินพอใช้กับบิดาที่ผ่านมา ยังดูมีอิสระและมีความสุขมากกว่าเสียอีก 

   "แต่จะว่าไป ตั้งแต่ย้ายมาบ้านใหม่นี่ ฉันก็ชักจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพวกนายให้บ้างแล้วล่ะนะ"

   ยูคิพึมพำเมื่อหวนคิดถึงชีวิตประจำวันของตนหลังจากได้มาอยู่กับริวยะ และนั่นจึงทำให้เพื่อน ๆ ที่สนใจเรื่องราวของอีกฝ่ายก่อนหน้านั้นซักถามขึ้นมาบ้าง

   "ตกลงผู้ปกครองนายนี่ มุราคามิ ริวยะสินะ...เห็นเพื่อนของพ่อเคยคุย ๆ ให้ฟังว่า เขาเป็นผู้ชายที่เก่งหาตัวจับยาก อายุยังไม่มากเท่าไร ก็เป็นเจ้าของกิจการมั่นคงใหญ่โตได้แล้ว"

   "ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนั้นนักหรอก แต่ว่าจะลองถามดูหลังจากนี้ล่ะนะ"

   ยูคิตอบไปตามตรง ซึ่งคนอื่น ๆ ก็นำเรื่องของริวยะที่เคยได้ยินมาคุยต่อ

   "แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้ว ฉันยังเคยได้ยินมาว่า คุณริวยะเขาพัวพันกับพวกองค์กรอะไรสักอย่างที่ผิดกฎหมายด้วยนี่นา มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าล่ะยูคิ"

   เคนจิถามบ้าง แต่พอเขาถามจบ ก็กลับโดนเพื่อนตัวโตที่อยู่ชมรมคหกรรมข้าง ๆ ตบศีรษะเอาไม่แรงนัก แต่ก็ทำเอาหน้าเกือบทิ่มชามราเม็งของเจ้าตัวอยู่ดี

   "ตบมาทำไมวะ โช! เดี๋ยวสมองฉันเสื่อมจะชดใช้ยังไง หา!"

   "ถ้ามันเสื่อมได้ก็ดี เผื่อจะได้พูดจารู้จักคิดกับเขาบ้าง...ถึงจะเป็นข่าวลือหนาหูก็จริง แต่มันสมควรพูดกับคนเกี่ยวข้องอย่างยูคิไหมล่ะ!"

   คราวนี้เคนจิชะงัก แล้วจึงหันไปยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับยูคิที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

   "ง่า...ยูคิ ฉันขอโทษที ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอกนะ...แล้วเรื่องพวกทำธุรกิจผิดกฎหมายอะไรเนี่ย สำหรับคนแถวนี้ก็เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยน่ะ ...ก็นะ ความร่ำรวยมันก็มักจะมาพร้อมกับเรื่องมืดดำเป็นธรรมดาจริงมะ!"

   เจ้าตัวบอกแล้วยิ้มกว้าง เสียจนยูคิโกรธไม่ลง ส่วนคนอื่น ๆ ก็พากันถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาบ้าง

   "อย่าไปสนใจหมอนี่เลย พอดีเขาเป็นพวกปากตรงกับใจจนเกินไปน่ะ"

   ยูคิพยักหน้ารับรู้ทำเอาเคนจิหันไปมองเพื่อน ๆ แล้วทำตาปริบ ๆ ก่อนจะทำทีเป็นถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา

   "เฮ้อ! ฉันออกจะมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนซื่อตรงคบง่ายแท้ ๆ นะ"

   คนอื่นทำเป็นไม่ใส่ใจ จนเคนจิต้องบ่นอุบอิบ ยูคิเห็นแล้วก็นึกสงสารจึงชวนคุยเรื่องอื่นแทน

   "ว่าแต่ที่โรงเรียนยามิคุระนี่ มีพวกจัดงานกีฬา หรืองานวัฒนธรรมแบบโรงเรียนอื่นเขาหรือเปล่าน่ะ ...ถ้าเป็นที่โรงเรียนของฉันนะ ช่วงนี้ก็กำลังเป็นช่วงการจัดงานวัฒนธรรมโรงเรียนพอดี"

   แต่ละคนมองหน้ากัน แล้วหันมาพยักหน้าหงึกหงักให้กับเพื่อนใหม่ และเป็นเคนจิที่เป็นคนอธิบายถึงเรื่องที่อีกฝ่ายถามมา

   "มีสิ! ถ้าเป็นกีฬาสีนะ พวกเราจะจัดกันตอนเทอมแรก  ส่วนงานวัฒนธรรมก็ราว ๆ ช่วงนี้ของเดือนหน้าที่จะถึงนี่ล่ะ....แต่งานวัฒนธรรมของพวกเราจัดกันในนามของชมรมนะ...ชมรมไหนมีอะไรน่าสนใจก็งัดขึ้นมาสู้กัน ซึ่งงานในครั้งนี้ล่ะที่จะสามารถเก็บแต้มหลัก ๆ ของชมรม เอาไปรวมกับการพิจารณาปลายเทอม ว่าชมรมใครจะได้งบเพิ่ม โดนตัดงบ หรือโดนยุบชมรมไปเลยน่ะ!"

   ยูคิพยักหน้ารับรู้อย่างสนอกสนใจ พวกเขาคุยกันอีกสักพัก อารากิก็เดินยิ้มแย้มสดใสมาร่วมวง ผิดกับก่อนที่จะขอปลีกตัวไปลิบลับ

     "มาแล้ว ๆ เห! อาหารจานพิเศษวันนี้เป็นราเม็งเหรอนั่น! แย่ล่ะ! หมดหรือยังก็ไม่รู้!"

   คนที่เพิ่งโผล่มาโวยวายแล้วรีบวิ่งแจ้นไปที่ขายอาหาร ก่อนจะเดินยิ้มแป้นกลับมาพร้อมชามราเม็งชามใหญ่พิเศษชามหนึ่ง

   "อ้าว! ยังเหลืออยู่อีกหรือนั่น"

   "แน่นอน! ถึงจะเหลือแต่น้ำซุปก็เหอะ!"

   เพื่อนแต่ละคนพากันส่ายศีรษะไปมา เพราะอีกฝ่ายนั้นลงมือนั่งแทะกระดูกหมูในถ้วยที่แม่ครัวตักมาแถมให้เพราะความสงสาร เนื่องจากเมนูพิเศษนั้นหมด และมีเหลือเพียงแค่น้ำซุปเปล่า ๆ ก้นหม้อเท่านั้น

   "แล้วเมื่อครู่ไปไหนมาน่ะ เห็นทำหน้าเครียดเชียว"

   อารากิชะงัก ก่อนจะยิ้มเจื่อนตามมา

   "ก็ไปเคลียร์ธุระส่วนตัวนิดหน่อย ...อะนะ ...ช่างมันเหอะ อย่าใส่ใจเลยน่า"

   อารากิตัดบทแล้วทำเป็นชวนคุยเปลี่ยนเรื่องอื่นแทนเสียอย่างนั้น ทำให้เพื่อน ๆ ต่างสบตากันเอง ก่อนจะลอบถอนหายใจ แล้วจึงเลิกคิดใส่ใจในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่อยากบอกไปเสีย



   พอเลิกเรียน ยูคิก็รีบไปพบอาจารย์มิซาวะที่ห้องพักของอีกฝ่าย ซึ่งพอมาถึงอาจารย์หนุ่มก็ยิ้มแย้มให้แล้วเริ่มต้นเข้าธุระที่เขาเรียกเจ้าตัวมาทันที

   "พอดีครูได้รับการติดต่อเรื่องเปลี่ยนนามสกุลของเธอ จึงอยากให้เธอมายืนยันอีกที...ครั้นจะถามในห้องก็จะเป็นการรบกวนเวลาของเพื่อนคนอื่น ก็เลยเรียกมาพบเป็นการส่วนตัวน่ะ"

   "เอ่อ...ใช่ครับ ส่วนเรื่องเอกสารเห็นว่าทางคุณทาคุจะมาติดต่ออีกทีน่ะครับ"

   อาจารย์หนุ่มพยักหน้าอย่างรับรู้ แล้วจึงชวนอีกฝ่ายคุยต่อ

   "แล้วเป็นไง สองวันที่ผ่านมา ...เข้ากับเพื่อนในห้องได้บ้างหรือยัง"

   ยูคินั้นยิ้มกว้างให้ก่อน แล้วจึงตอบคำถามของอาจารย์หนุ่ม

   "ทุกคนเป็นคนดีกว่าที่ผมคิดไว้อีกครับ ...คิดแล้วก็นึกอายที่เผลอพูดจาเหมือนหาเรื่องตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแบบนั้น"

   อาจารย์หนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ เขาเองวันนั้นก็นึกทึ่งและประทับใจในตัวศิษย์ใหม่ของตนอยู่มาก และเขาคิดว่าลูกศิษย์คนอื่นของเขาก็คงคิดไม่แตกต่างกันนัก

   "เธอไม่ผิดหรอก ลองได้ยินแบบนั้นเป็นใครก็ฉุนเหมือนกัน ...แต่ก็อย่างที่เห็น เด็กพวกนี้ถึงจะพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะในบางครั้งไปสักหน่อย แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าเพราะพวกเขาเป็นเด็กไม่ดี หรือชอบดูถูกเหยียดหยามคนอื่นโดยนิสัยหรอกนะ"

   ยูคิยิ้มให้กับคำพูดนั้นพร้อมพยักหน้าตอบรับ

   "เรื่องนั้นผมเข้าใจดีครับ พอยิ่งได้พูดคุยกัน ก็ทำให้รู้จักตัวตนของแต่ละคนได้มากขึ้น"

   คนฟังยิ้มตอบ แล้วจึงสรุปตัดบท

   "ที่ครูเรียกเธอมาก็เพราะมาถามเรื่องเปลี่ยนนามสกุล แล้วก็อยากรู้ว่าเธอจะปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ ได้หรือไม่ก็เท่านั้นล่ะ ...ยังไงก็ขอให้สนุกกับโรงเรียนนี้นะ ทานากะ ไม่สิ มุราคามิคุง"

   "ง่า...เรียกชื่อต้นผมแทนดีกว่าครับอาจารย์ พอถูกแทนด้วยนามสกุลคุณริวยะแบบนี้ มันทำให้รู้สึกไม่ค่อยชินขึ้นมายังไงไม่รู้"

   ยูคิบอกเสียงอ่อย ทำให้คนพูดอมยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้ารับรู้

   "เอางั้นก็ได้ ...ถ้างั้นก็ไปเข้าชมรมของเธอได้แล้วล่ะยูคิคุง เห็นว่าเลือกอยู่ชมรมเดียวกับอินุเอะคุงเขาสินะ"

   ยูคิพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับโค้งอำลาขอตัวออกจากห้อง ก่อนจะชะงักเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วเจอว่าอารากิกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น

   "อ้าว! อารากิ มาทำอะไรที่นี่น่ะ"

   "เอ๋..ฉันน่ะหรือ...อ้อ! พอดีว่าจะแวะมาขอคำปรึกษาเรื่องเรียนกับอาจารย์มิซาวะสักหน่อยน่ะ!"

   ยูคิพอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับรู้ แม้จะนึกแปลกใจเพราะเห็นว่าอารากิเองก็เรียนเก่งจนไม่น่าจะต้องขอรับคำปรึกษาจากอาจารย์ที่ปรึกษาเช่นนี้

   "งั้นฉันไปชมรมล่ะนะ"

   "อือ! บาย โชคดี"

   อารากิโบกมือให้เพื่อนใหม่ ก่อนจะมองไปประตูห้องแล้วเคาะมันไม่ดังนัก

   "อาจารย์มิซาวะครับ....ผมมาแวะขอคำปรึกษาเรื่องเรียนหน่อยครับ"

   เงียบกริบไร้เสียงตอบจากข้างใน ทำเอาคนเคาะประตูอมยิ้ม แล้วจึงเอ่ยตามมาอีก

   "ถ้าอาจารย์ไม่เปิดประตู ผมจะตะโกนคุยกับอาจารย์ด้านนอกนี้แทนนะครับ...คุยเหมือนเมื่อตอนกลางวันนี้ยังไงล่ะครับ"

   พออารากิพูดจบ สักพักอาจารย์หนุ่มก็เดินหน้าบึ้งตึงมาเปิดประตู ทว่าผู้เป็นลูกศิษย์นั้นกลับยิ้มหยอกล้อส่งให้ เพราะแม้จะถูกทำหน้าบึ้งใส่ แต่ยังไงเขาก็ยังคงสังเกตว่าใบหน้าอ่อนเยาว์ผิดอายุนั้น มันแดงระเรื่อให้ได้เห็นบ้างอยู่ดี

   "คุณนี่น่ารักเสมอเลยนะครับ...อาจารย์มิซาวะ"

   อารากิที่เดินตามเข้าไปกระซิบเบา ๆ ข้างหูอีกฝ่าย ก่อนจะปิดประตูล็อกห้องตามมาโดยไม่สนใจคำประท้วงของเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย



...TBC...


...เหมือนจะโผล่มายั่วคนอ่าน สำหรับอารากิ  แต่ไม่มีฉากต่อจากนี้หรอกนะคะ 555 เพราะตั้งใจว่าจะไปเขียนละเอียด ๆ แยกคู่ในตอนพิเศษ ของแต่ละคู่รองแทนค่ะ ขืนเขียนในภาคหลักมีหวังขโมยซีน หนูยูคิ กับป๋า กระจุยกระจาย  เพราะปัดยิ่งเป็นพวกชอบชูคู่รองเด่นอยู่แล้ว หุ ๆ

สำหรับคุณพ่อเซอิจิ เผยตัวแล้ว  ว่าจะวางบทใหม่ไม่ให้ขโมยซีน คู่หลักมากเช่นกัน (ของเก่าคุณพ่อกับคุณตาขโมยซีนตอนจบไปหมด จนป๋ากับหนูยูคิแทบไร้บทเลยทีเดียว)  สำหรับเรื่องเล่าต่าง ๆ ในตอนท้ายจากฉบับเก่า  อาจจะเอาไว้แยกเป็นตอนพิเศษแทนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจะลองเขียน ๆ ดู ว่าแบบไหนโอเค ก็คงเอาแบบนั้น ...แต่รอบรีเมกนี่ จะแจกตอนพิเศษให้จุใจสมที่รอคอยการรวมเล่มเรื่องนี้มานานเลยค่ะ ^^





ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
จำได้ๆ คู่คุณพ่อ ซึ้งมากๆ

—`•B€NM๏R€`•—

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
มานิดเดียวแต่คู่รองแอบชิงซีนนะเคอะ555555555

ออฟไลน์ Der Adler

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +126/-0
ยูคิน่ารักๆๆๆ..คู่หลักเรา....โผล่มาเเป็ปเดียวเองแต่ว่าฟินอ่ะ
คู่รองมาเรียกคะเเนนคร้างานนี้้

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
เจอคนเป็นอมตะอีกแล้ว

55555

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4


บทที่ 20



    ยูคิมาอยู่กับริวยะเป็นเวลาได้เกือบอาทิตย์ และยังเปลี่ยนมาใช้นามสกุลมุราคามิเป็นที่เรียบร้อย  ทว่าเด็กหนุ่มก็ต้องพบกับความลำบากใจเป็นอย่างมาก เมื่อคนงานในบ้านที่ก่อนหน้านั้นก็สุภาพกับเขาอยู่แล้ว กลับยิ่งทำตัวอ่อนน้อมมากขึ้น และแม้แต่คำนำหน้าชื่อเขา ก็ยังถูกเปลี่ยนจากคุณเป็นท่านแทนเสียอย่างนั้น

    "ไม่เอานะครับ! ถ้าต้องถูกเรียกแบบนั้น ผมขอกลับไปใช้นามสกุลเดิมเสียดีกว่า!"

   ยูคิหลุดโวยวาย ที่แม้แต่ชิโนะก็ยังเรียกเขาว่าท่านตามคนอื่น ๆ ด้วย

   "มันเป็นเรื่องปกตินะครับ ท่านยูคิ ในเมื่อท่านเป็นหนึ่งในตระกูลมุราคามิแล้ว ก็จำเป็นต้องคุ้นชินกับคำเรียกเช่นนี้... ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกครับ  คิดเสียว่ามันเป็นคำนำหน้าตำแหน่งยศศักดิ์ธรรมดาทั่วไปก็ได้"

   ทาคุที่อยู่ด้วยกันเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากแต่ชิโนะนั้นสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายแอบลอบยิ้มขำ ในขณะที่ได้เห็นสีหน้าลำบากใจของนายน้อยคนใหม่เสียอย่างนั้น

   "อีกอย่าง เรื่องการปฏิบัติตนต่อท่านยูคิ ท่านริวยะเองก็เป็นคนกำชับเอาไว้ด้วย...พวกเราซึ่งเป็นคนของท่านริวยะก็ต้องปฏิบัติตามนั้น หวังว่าท่านคงจะเข้าใจความลำบากใจของพวกเรานะครับ"

   ทาคุบอกต่อทำเอายูคิชะงักแล้วเริ่มลังเลคิดหนัก ทว่าชิโนะที่ฟังอยู่เงียบ ๆ สักพักก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง

   "จริง ๆ ถ้าท่านยูคิไม่อยากให้ดิฉันเรียกท่าน ก็เปลี่ยนเป็นอีกอย่างแทนก็ได้นะคะ"

   ยูคิกับทาคุชะงัก จากนั้นเด็กหนุ่มจึงหันไปมองหญิงวัยกลางคนอย่างสนใจ

   "ก็ถ้าไม่อยากให้เรียกว่าท่าน ก็ขอดิฉันเรียกว่า นายน้อย แทนแล้วกันนะคะ"

    ยูคินิ่งอึ้งเงียบกริบไปชั่วครู่ ส่วนทางด้านทาคุหันไปลอบยิ้มอย่างนึกขำ แล้วจึงทำเป็นหันกลับมาตีหน้านิ่งเฉย เมื่อยูคิหันมามองที่ตน และเมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่ายังไงชิโนะกับทาคุคงไม่เปลี่ยนความตั้งใจแน่ เขาจึงต้องหลุดถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลง

   "เฮ้อ...ถ้ามีแค่ให้เลือกสองอย่างนี้เท่านั้น ...ผมขอเป็นอย่างแรกเหมือนเดิมแล้วกันครับ"

   ชิโนะกับทาคุโค้งรับกับคำตอบนั้น สักพักทาคุจึงลองเอ่ยบางอย่างขึ้นต่อ

   "แต่ถ้าจะให้ดี ผมว่าท่านน่าจะเปลี่ยนสรรพนามเฉพาะตัว โดยเรียกแทนตัวเองให้เหมือนกับท่านริวยะ แล้วเลิกพูดสุภาพกับพวกผมด้วยก็ดีนะครับ..."

   ทาคุชะงักในท้ายประโยค เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างจริงจัง

   "ผมเข้าใจว่าพวกคุณต้องปฏิบัติตามคำสั่งของคุณริวยะในเรื่องการทำตัวสุภาพต่อผม... แต่ผมขอให้ช่วยยกเว้นเรื่องการแสดงออกของผมไปบ้างเถอะครับ... ถึงผมจะเปลี่ยนนามสกุลมาใช้ของคุณริวยะ แต่ถึงยังไงไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็ยังเป็นเพียงแค่คนอาศัยของที่นี่เหมือนกับทุก ๆ คนไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดีนั่นล่ะครับ"

   ชิโนะกับทาคุ จ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มนิ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ทำเอายูคิรู้สึกผิดคิดว่าทั้งคู่เอือมระอาในตัวเขา ทว่ารอยยิ้มอ่อนโยนที่ตามมาหลังจากนั้น ก็ทำให้ยูคิถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่

   "นายน้อยคนใหม่ของดิฉันนี่ เป็นเด็กดียิ่งกว่าที่คิดไว้อีกนะคะ แบบนี้ก็คงวางใจให้อยู่เคียงข้างคอยเป็นกำลังใจให้ท่านริวยะตลอดไปได้แล้วล่ะค่ะ"

   ชิโนะหันมาบอกกับทาคุ ซึ่งทาคุก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมพยักหน้าตอบรับ  ก่อนจะหันมาพูดกับยูคิบ้าง

   "นับตั้งแต่นี้ต่อไป พวกผมคงต้องฝากท่านริวยะให้คุณช่วยดูแลด้วยนะครับ... ทางด้านความปลอดภัยของร่างกาย ผมและทุกคนที่นี่พร้อมเสียสละชีวิตปกป้องท่านริวยะเสมอ ...หากแต่เรื่องจิตใจนั้น ผมคงต้องให้คุณคอยช่วยปกป้องคุ้มครองท่านริวยะแทนด้วย ...เพราะพวกผมทุกคนในที่นี้ คงไม่มีใครจะทำหน้าที่นั้นได้ดีเท่าคุณแน่"

   ยูคิยิ้มพร้อมพึมพำตอบรับอย่างตื้นตัน ที่ทั้งสองคนยอมรับและไว้วางใจในตัวเขาถึงขนาดนี้

   "ส่วนเรื่องการวางตัวให้สมกับเป็นเจ้านาย ไว้คุณอยากทำเมื่อไหร่ก็ทำได้เสมอ ไม่ต้องเกรงใจพวกเรานะครับ ...ท่านยูคิ"

   ทาคุทิ้งท้ายชวนให้คนฟังต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และนั่นจึงทำให้ชิโนะและทาคุหันมายิ้มให้กัน จากนั้นหญิงวัยกลางคนจึงเชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มไปพักรอที่ห้องก่อน แล้วเธอจะให้สาวใช้นำของหวานไปให้อีกฝ่ายในภายหลัง และแม้จะรู้สึกเกรงใจในเรื่องนี้ ทว่าฝีมือทำขนมของชิโนะก็จัดได้ว่าสุดยอดจนยูคิปฏิเสธไม่ลงทีเดียว

    

    พอริวยะกลับมาถึงที่พักในตอนเย็น เขาก็ได้รับรายงานจากทาคุเรื่องคำพูดของยูคิก่อนหน้านั้น  ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ แต่ก็ยังคงอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกเอ็นดูตามมา

   "เพราะเด็กนั่นเป็นคนแบบนี้  ถึงได้ทำให้ฉันสนใจได้ยังไงล่ะ"   

   ทาคุโค้งรับอย่างเห็นด้วย จากนั้นจึงปล่อยให้ผู้เป็นนายเดินไปทางห้องพักของยูคิ โดยไม่ได้ตามไปอารักขาอย่างที่ควรจะเป็น

   "ดูเหมือนว่าพวกเราคงจะว่างยาวยันค่ำเลยมั้งวันนี้"

   อากิระที่ไม่ได้ตามริวยะไปเช่นเดียวกันเปรยขึ้น ทำให้ทาคุที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันมามองอีกฝ่ายอย่างนึกหมั่นไส้

   "แต่คิดอีกที เผื่อท่านริวยะเรียกขึ้นมาแล้วไม่เจอใครก็คงไม่ดีแน่ นายว่าพวกเราไปรอท่านริวยะ กันที่ห้องของนายแทนดีไหม"

   ทาคุขมวดคิ้วยุ่งกับข้อเสนอนั้น ทว่าพอคิดตามที่อากิระบอก เขาก็เห็นด้วยขึ้นมาเช่นกัน

   "งั้นก็ได้..."

   "โอเค ๆ งั้นไปกันเถอะ!"

   อากิระบอกอย่างร่าเริงพร้อมกับทำเป็นเนียนเดินไปโอบบ่าเพื่อนสนิท ซึ่งทาคุก็ชะงักเล็กน้อย แต่พอเหลือบมองใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่าย เขาก็ถอนหายใจ แล้วจึงยอมเดินไปพร้อมกับเพื่อนของตนแต่โดยดี



   ยูคิที่กำลังใช้สมาธิทบทวนบทเรียนอยู่บนโต๊ะทำงาน ถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ ๆ คนเปิดประตูเข้าห้องของเขามาโดยไม่เคาะ ก็เดินมาโอบกอดเขาจากด้านหลัง ซ้ำยังหอมแก้มเขาอีกฟอดใหญ่เลยด้วย

   "คะ...คุณริวยะ"   

   "ทำอะไรอยู่นะ...หือ อ่านหนังสือเรียนหรือ ขยันจังเลยนะ"

   ชายหนุ่มพึมพำ ก่อนจะจับเก้าอี้อีกฝ่ายพลิกหมุนให้เด็กหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับตนเองแทน

   "เธอตั้งใจเรียน ฉันก็ดีใจนะ...แต่ฉันอยากให้เธอใช้เวลาอยู่กับฉันแทนเจ้าหนังสือพวกนี้มากกว่า"

   ยูคิหน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะแย้งกลับไปบ้าง

   "แล้วถ้าผมเกิดสอบตกขึ้นมาล่ะครับ"

   ริวยะยิ้มน้อย ๆ แล้วชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกข้างของเด็กหนุ่มอย่างนึกเอ็นดู

   "ความรู้ระดับเธอลองสอบตก ก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นแน่...แต่ก็นั่นล่ะ เกิดตกขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันบอกอิชิโจให้ช่วยจัดการให้ทีหลังเอง"

   ยูคิชะงักก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

   "แบบนี้มันก็เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดน่ะสิครับ"

   "หึ...เขาเรียกว่าใช้อำนาจให้เป็นต่างหาก"

   ริวยะแย้งพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้ยูคิเลิกคิดเถียง แล้วจึงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ๆ แทน

   "มีอะไรอย่างนั้นหรือยูคิ"

   เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินคำถามนั้น เจ้าตัวยกมือขวาของตนลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลานั้นแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป

   "ผมกำลังคิดว่า ตอนนี้ผมฝันอยู่หรือเปล่านะ...บางทีผมอาจจะกำลังนอนหลับอยู่ในห้องเช่าห้องนั้นเพียงลำพัง แล้วฝันถึงเหตุการณ์ดี ๆ ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของผม ...แล้วพอท้ายที่สุด พอผมลืมตาตื่นขึ้น ก็จะพบเพียงแค่ว่า เหตุการณ์เหล่านั้น มันเป็นเพียงแค่ฝันอันแสนสุขที่ไม่มีวันเป็นจริงได้"

   ยูคิบอกด้วยสีหน้ายิ้มเศร้า ๆ ทำให้ริวยะโน้มใบหน้าจูบลงที่หน้าผากของคนพูดอย่างอ่อนโยน แล้วส่งยิ้มให้

   "เธอไม่ได้ฝันหรอกยูคิ...สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้มันคือความจริง...ฉันที่มีตัวตน และรักเธออย่างจริงใจยังไงล่ะ"

   ยูคินิ่งอึ้งเขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นโผเข้ากอดคนตัวสูงตรงหน้าแน่นอย่างรักใคร่

   "ผมขอโทษนะครับคุณริวยะ ที่คิดอะไรเพ้อเจ้อไปสักหน่อย... คงเพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากเหลือเกิน ...สุขจนผมกลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้สัมผัส มันจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น"

   ริวยะกอดตอบอย่างเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ชายหนุ่มหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมแววตาที่แสดงถึงความแน่วแน่ในการตัดสินใจ

   "ยูคิ...เป็นของฉันได้ไหม...ฉันจะกอดเธอจนกว่าเธอจะมั่นใจและเชื่อว่า ฉันรักเธอ และจะอยู่เคียงข้าง มอบความรักให้เธอเช่นนี้ไปตลอดชีวิต"

   ยูคิชะงักเขาค่อย ๆ ดันกายออกมาจ้องมองสบตาอีกฝ่าย ดวงตามุ่งมั่นคู่นั้นทำเอาเด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก จากนั้นจึงค่อย ๆ ซุกหน้าลงบนแผ่นออกกว้าง แล้วพึมพำตอบตกลงกลับไปเสียงแผ่ว

   "ครับ...คุณริวยะ"

   

   เสียงครางหวานคละเคล้ากับเสียงครางทุ้มต่ำผะแผ่ว พร้อมกับเสียงเสียดสีกระแทกของกล้ามเนื้อที่ดังเล็ดรอดมาจากภายในห้อง ทำเอาคนที่กำลังคิดมาสอบถามถึงอาหารมื้อค่ำ ถึงกับชะงัก แล้วจึงค่อย ๆ ก้าวถอยหลังออกมายืนนิ่ง ใบหน้าแดงระเรื่อนิด ๆ อย่างช่วยไม่ได้ จนคนที่มาด้วยกันนึกขำ

   "ทาคุ...คืนนี้พวกท่านริวยะคงจะไม่รับอาหารค่ำแล้วล่ะ"

   อากิระชะโงกหน้าเข้ามากระซิบเสียใกล้จนทาคุสะดุ้งโหยง แล้วจึงขยับถอยห่างเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดเข้ามากจนเกินไปนัก

   "ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปบอกคุณชิโนะ"

   ทาคุบอกเสียงอุบอิบ ซึ่งอากิระก็ยิ้มให้พร้อมกับตอบรับ

   "งั้นฉันไปด้วย...น่านะ...ขืนให้เฝ้าอยู่ตรงนี้คนเดียว มีหวังแย่แน่"

   อากิระบอกพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้คนมองหน้าร้อนวาบเมื่อคิดตาม ก่อนจะค้อนขวับให้แล้วเดินออกไปจากสถานที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว โดยมีเพื่อนสนิทเดินไปพลางอมยิ้มไปพลางอย่างถูกใจ

 

    เช้าวันรุ่งขึ้น ริวยะก็ออกมาจากห้องของเด็กหนุ่มคนรัก เจ้าตัวเรียกหาคนสนิทแล้วสั่งให้อีกฝ่ายโทรไปตามนายแพทย์หนุ่มเพื่อนของเขามาตรวจอาการคนในห้อง ทว่าทาคุนั้นสังเกตเห็นว่าริวยะไม่ได้มีท่าทางร้อนรน ตรงกันข้ามกับมีสีหน้าอิ่มเอิบใจผิดแปลกไปอีกด้วย

   "อ้อ...แล้วอย่าลืมแวะไปบอกชิโนะให้ทำของย่อยง่ายไว้ให้ยูคิด้วยล่ะ ...อืม แล้วจากนั้นก็โทรไปบอกทางอาจารย์ที่ปรึกษาของยูคิให้ด้วยว่า วันนี้เขาลาป่วยไม่ไปโรงเรียนน่ะ"

    ทาคุโค้งรับ แล้วขอตัวไปทำตามที่อีกฝ่ายสั่งอย่างรวดเร็ว ส่วนริวยะนั้นเดินเข้าไปดูร่างเปลือยเปล่าบนเตียงอีกครั้ง เสียงครางฮือในลำคอดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับอาการตัวสั่นคู้ของคนหลับอยู่ ทำให้ชายหนุ่มต้องหยิบผ้าห่มที่เลื่อนลงมาคลุมห่มให้ถึงลำคอของเจ้าตัวอย่างเอ็นดู

   "เด็กน้อย...เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน แล้วจะแวะมาอยู่เป็นเพื่อนนะ"

   ริวยะเอ่ยขึ้นพร้อมกับชะโงกหน้าไปจูบที่หน้าผากเนียนอุ่นนั่นอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเดินกลับห้องพักของตนไปอย่างอารมณ์ดี



   เมื่อนายแพทย์หนุ่มมาถึงห้องคนไข้ เขาก็ต้องกลืนน้ำลายเบา ๆ เมื่อได้เห็นร่องรอยที่ลำคอและแผ่นอกของเด็กหนุ่ม ที่ผ่านการเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชิโนะมาก่อนหน้านั้น

   "เอ้า! จะตรวจก็รีบตรวจ แล้วนั่นจะจ้องอกขาว ๆ ของแฟนฉันอีกนานแค่ไหนกันหา มานาเบะ!"

   คนที่คอยยืนคุมข้างเตียงบอกอย่างไม่สบอารมณ์นัก และเพราะอีกฝ่ายบอกว่าจะตรวจชีพจรผ่านหูฟัง เขาจึงต้องยอมให้เพื่อนสนิทปลดกระดุมเสื้อของคนรักตรวจอาการอย่างจำใจ

   "ก็ไม่ได้อยากจ้องนักหรอก แต่มันตกใจว่ะ...ก็เล่นฝากรอยรักไว้ซะทั่วแบบนี้ เด็กมันจะล้มหมอนนอนเสื่อก็ไม่แปลกหรอก...แล้วนี่คงไม่ได้มีรอยแค่ท่อนบนล่ะสิท่า"

   ท้ายประโยคเจ้าตัวยิ้มกระเซ้า ทำให้คนฟังกัดฟันอย่างหงุดหงิดแล้วสบถออกมาเบา ๆ

   "ไอ้หมอหื่น!"

   "ฮ่า ๆ ฉันนี่นะหื่น...โธ่เอ๊ย ริวยะ จะว่าใครก็ช่วยดูตัวเองหน่อยเถอะ!"

   และก่อนที่จะเกิดการทะเลาะขึ้นโดยยังไม่ได้ทำการรักษา ทาคุที่มองอยู่ก็ทำเป็นกระแอมขัดค่อย ๆ แล้วเอ่ยขึ้นตามมาอย่างสุภาพ

   "ผมว่าคุณหมอรีบตรวจอาการของท่านยูคิเถอะครับ เอ่อ...ดูเหมือนว่าไข้ของท่านยูคิจะขึ้นสูงนะครับ หน้าแดงก่ำเชียว"

   ร่างเล็กที่นอนป่วยสะดุ้งเล็กน้อย ...จริง ๆ ยูคินั้นตื่นสะลึมสะลือจนพอจะรับฟังการสนทนารอบ ๆ ด้านได้บ้าง ทว่าเรื่องที่มานาเบะกับริวยะคุยกันมันแสนจะน่าอับอายเสียจนเขาไม่กล้าลืมตาขึ้นมารับฟังทั้งคู่ จึงได้แต่แกล้งทำเป็นนอนหลับ ทว่าด้วยความเขินจึงไม่อาจจะปิดบังอาการหน้าแดงที่เป็นนี่ได้เลยสักนิด

    "เอ๋...แต่เมื่อครู่ตัวก็ไม่ร้อนมาก...อ้อ"

   คนที่พอมองออกว่าอีกฝ่ายแกล้งหลับ ซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิทที่ดูเคร่งขรึมขึ้นด้วยความเป็นห่วงคนรักโดยไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าตัวนั้นหลับจริงหรือไม่

   "แย่ล่ะ...สงสัยต้องให้ยาชนิดพิเศษลดไข้เสียแล้ว"

   ริวยะหันไปมองเพื่อนสนิทพลางขมวดคิ้วยุ่ง

   "ยาพิเศษ? ยาอะไร?"

   นายแพทย์หนุ่มยิ้มกว้าง แล้วแสร้งโพล่งขึ้นเสียงดังอย่างร่าเริง

   "ก็ยาสวนทวารยังไงล่ะ!"

   "หา! สวนทวารหรือครับ!"

   คนแกล้งหลับลืมตาโพลงขึ้นมองคนพูดอย่างตกใจ ก่อนจะหน้าแดงยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอึ้ง ๆ ของริวยะที่มองมาทางตน

   "ตกลงนี่ที่หน้าแดงไม่ใช่เพราะไข้ขึ้นหรอกหรือ..."

   น้ำเสียงของริวยะเริ่มเข้มขึ้น จนนายแพทย์หนุ่มนั้นนึกสงสารคนไข้ของเขา ที่ตอนนี้มีสีหน้าสลดลงเพราะความกลัวคนรักจะตำหนิ จึงได้แทรกขัดการสนทนาระหว่างทั้งคู่ขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม

   "ใครว่าล่ะ อักเสบระบมไปทั้งตัวแบบนี้ ยังไงก็ไม่พ้นไข้สูงแน่...คอยดูได้เลย ตอนนี้ตัวยังรุม ๆ อาการยังไม่ออกชัดเจน แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงได้ไข้สูงจนสั่นแน่"

   คำพูดของแพทย์หนุ่มทำให้ริวยะหันขวับกลับมามองเพื่อนสนิทแล้วหันไปมองคนรักอย่างเป็นห่วง ทำให้คนเป็นหมอนึกทึ่ง แต่เขาก็เข้าใจถึงความรู้สึกของริวยะดี เนื่องจากเขาเองก็มีคนสำคัญของตัวเองเช่นเดียวกัน

   "ไม่ต้องห่วงน่าริวยะ ฉันอยู่ที่นี่ทั้งคน ฉันไม่ปล่อยให้คนรักของนายต้องทรมานเพราะพิษไข้เหมือนก่อนหน้านั้นหรอกน่า"

   ริวยะหันมามองเพื่อนสนิท ก่อนจะพึมพำขอบคุณแผ่วเบา ส่วนยูคินั้นจ้องนายแพทย์หนุ่มนิ่ง จนคนถูกจ้องที่หันกลับมาเห็นต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

   "มีอะไรหรือเด็กน้อย"

   ยูคิสะดุ้ง เขามีท่าทางลังเล ก่อนจะบอกอ้อมแอ้มออกไปอย่างนึกอาย

   "เอ่อ...ผมขอฉีดยาแบบธรรมดา ไม่เอายาสวนทวารอะไรนั่นได้ไหมครับ"

   คนฟังชะงัก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ส่วนริวยะจ้องมองคนรักยิ้ม ๆ ด้วยความเอ็นดู และทาคุก็เบือนหน้าไปกลั้นยิ้มอีกทาง

   "โอเค ๆ เรื่องไข้นี่ยังไงก็จะรักษาแบบธรรมดา ...แต่เรื่องนั้น บางทีอาจจะต้องให้ยาทาภายนอกตรงนั้นด้วยนะ...ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะให้ริวยะมันรับผิดชอบให้เอง ก็เขาทำให้เธอเจ็บเอง ก็ต้องดูแลเธอเองจริงไหมล่ะ"

   ยูคินิ่งอึ้งพลางคิดตามในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกอย่างงุนงง ทว่าสักพักใบหน้าที่แดงอยู่แล้วก็ต้องยิ่งแดงเข้มจนเหมือนไฟลุก เพราะเพิ่งเข้าใจในสิ่งที่แพทย์หนุ่มบอกมาในที่สุด

   "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันทายาให้เขาเอง นายจัดการป้องกันเรื่องไข้ให้เขาด้วยแล้วกัน"

   ริวยะรับคำอย่างไม่นึกอายเลยสักนิด ทำให้คนเป็นหมอถอนหายใจ แล้วจึงจัดการรักษาคนไข้ผู้แสนจะน่ารักของตนต่อ โดยไม่คิดใส่ใจสายตาระแวงปนหึงหวงยามที่เขาตรวจอาการของคนบนเตียงเลยสักนิด



...TBC...


**ช่วงนี้ต่อมเรทตายด้านค่ะ 555 เขียนฉากไม่ได้เลย ก็เลยตัดฉับให้จิ้นเองอย่างที่เห็นนี่แล ..พอดีเขียนไม่ค่อยเก่งไม่ละเมียดละไมอย่างคนอื่นเขาด้วย ก็เลยต้องรอฟีลจึงจะเขียนได้ บางทีตอนรวมเล่มอาจจะมีซ่อมก็ได้ค่ะ แต่ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อนนะคะ ^^" 



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
เสร็จพ่อมาเฟียแล้วยูคิจัง
งานนี้อิตาริวยะ เป็นอมตะชัวร์ 5555

ออฟไลน์ Der Adler

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +126/-0
อากิระ ทาคุ.....คู่นี้ท่าจะมันส์แฮะ....555 o13 o13
ยูคิกะริวยะยังคงเซอร์วิสความหวานอย่างต่อเนื่องถึงแม้บรรยากาศจะมาคุ เหตุการณ์จะน่าหวาดเสียวก็ตาม :mew5: :mew5:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4



บทที่ 21



    ในเช้าเดียวกัน แต่คนละสถานที่  ชายหนุ่มผู้มีแผลเป็นบนใบหน้า ยามนี้กำลังคุกเข่านั่งนิ่งพร้อมกับลอบกลืนน้ำลายรับความกดดันอันชวนให้น่าหวาดหวั่นที่กำลังแผ่พุ่งออกมาจากร่างของชายชราที่ยืนหันหลังให้เขา หลังจากได้รับข่าวยืนยันว่า มุราคามิ  ริวยะ ผู้เป็นบุตรชาย ได้รับเด็กหนุ่ม ทานากะ ยูคิ มาเป็นบุตรบุญธรรม ร่วมใช้นามสกุลมุราคามิ เรียบร้อย โดยไม่ได้คิดปรึกษาคนอื่นในครอบครัวเลยสักนิด

   "ริวยะ...ถ้ามันไม่คิดจะเห็นหัวพ่ออย่างฉัน ...ฉันก็จะลงมือจัดการโดยไม่คิดว่ามันเป็นลูกเหมือนกัน!"

   เซอิจิพึมพำด้วยความโกรธ ทำเอาคนฟังสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะมองตามไล่หลังของชายสูงวัยที่เดินจากไป อย่างนึกหวั่นใจแทนบุตรชายของอีกฝ่าย เพราะคนอย่างมุราคามิ เซอิจิ แม้จะเกษียณตัวออกมาพักผ่อนอย่างสงบแล้ว ทว่าก็ยังคงเต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บและอำนาจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง 



   อีกทางด้านหนึ่ง หลังจากแพทย์หนุ่มได้ทำการตรวจรักษาอาการไข้ของยูคิ และตัวเด็กหนุ่มก็ได้พักผ่อนจนริวยะนั้นมั่นใจว่าคนรักจะไม่มีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นแล้ว  ชายหนุ่มจึงได้ย้ายคนรักให้มานอนที่ห้องส่วนตัวของเขาและคอยอยู่เฝ้าตลอดเวลา แถมยังหาเรื่องเบี้ยวงานหยุดตามเด็กหนุ่ม จนอากิระพูดอะไรไม่ออกและจำใจต้องไปทำงานแทนผู้เป็นเจ้านายเพียงลำพัง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

   "พรุ่งนี้ผมก็ยังต้องหยุดอีกวันหรือครับ"

   ยูคิพึมพำอย่างนึกตกใจ หลังจากที่ได้รู้ว่าริวยะสั่งทาคุให้โทรบอกทางโรงเรียนขอลาหยุดให้เขาสองวันเมื่อตอนเช้าที่ผ่านมา

   "ก็ใช่น่ะสิ ร่างกายยังไม่แข็งแรงแบบนี้จะปล่อยให้ไปโรงเรียนคนเดียวได้ยังไง"

   "เอ่อ...แต่แค่เรียนหนังสือ ไม่น่าจะเป็นไรนี่ครับ"

   ยูคิค้านเสียงอ่อย ทว่าคนฟังขมวดคิ้วยุ่งแล้วแย้งกลับทันที

   "เป็นสิ นั่งไหวแล้วหรือไง"

   คำแย้งของชายหนุ่มทำให้คนฟังชะงักหน้าแดงวาบ ก่อนจะทำทีเป็นหลบตาอีกฝ่ายด้วยความอาย จนริวยะอดใจไม่ไหวเดินมาทรุดนั่งลงข้างร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ของตน

      "อยู่ต่อหน้าคนอื่น อย่าเผลอทำหน้าแดงน่ารัก ๆ แบบนี้ให้ใครเขาเห็นรู้ไหมยูคิ"

   ริวยะบอกพร้อมกับก้มหน้าลงจูบที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา ยูคิหน้าร้อนวูบวาบ พูดอะไรไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ จึงพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับไปเพียงแค่นั้น

   "เด็กดี..."

   ริวยะพึมพำด้วยความเอ็นดู เขารู้สึกถึงความสุขที่มันเต็มตื้นขึ้นมาในใจ แต่แล้วเจ้าความกังวลที่เขาพยายามจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น มันก็กลับแวบเข้ามาในสมอง จนเขาเผลอตีหน้าขรึม ให้คนบนเตียงได้สังเกตเห็น

   "มีอะไรหรือครับคุณริวยะ"

   ริวยะชะงักพลางแสร้งทำเป็นฝืนยิ้ม แล้วสั่นศีรษะปฏิเสธ ทว่าเด็กหนุ่มนั้นก็พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายโกหกตนเรื่องนี้

   "คุณริวยะครับ..."

   ยูคิเอื้อมมือของเขาไปสัมผัสมือใหญ่ของคนนั่งข้างแผ่วเบา จนอีกฝ่ายแปลกใจ

   "เราเป็นคนรักกันแล้วไม่ใช่หรือครับ...ทำไมไม่ให้ผมได้มีส่วนช่วยแบ่งเบาความทุกข์ใจของคุณบ้าง...ถึงมันจะเล็กน้อยสักเพียงใด แต่ขอให้ผมได้มีส่วนช่วยคุณบ้างเถอะครับ คุณริวยะ"

   ริวยะเม้มปากน้อย ๆ พลางบีบมือเล็กนั้นตอบกลับอย่างตื้นตันใจ เขาเอนกายลงนอนตะแคงข้างเด็กหนุ่ม พร้อมมอบจุมพิตอันแสนอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยรักให้อีกฝ่ายอยู่สักพัก แล้วจึงส่งยิ้มให้ ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวความกังวลให้ยูคิได้รับรู้ เพราะถึงอย่างไร เด็กหนุ่มก็คงต้องรับทราบถึงปัญหาในอนาคตข้างหน้านี้อยู่ดี

   "พ่อของฉันคัดค้านเรื่องที่ฉันรักเธอ...ไม่สิ เขาแค่อยากให้ฉันแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาเลือกไว้ ส่วนฉันจะมีใครอื่นก็ตามใจ เพียงแต่ห้ามให้สังคมภายนอกและเมียแต่งของฉันรับรู้... ซึ่งฉันไม่ยอมทำตามคำสั่งของพ่อในข้อนี้...เพราะหากฉันจะรักใครสักคน ฉันจะซื่อสัตย์และมั่นคงต่อเขา มีเพียงเขา และทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อคนที่ฉันรักเพียงคนเดียวเท่านั้น"

   ยูคินิ่งอึ้ง ความรู้สึกของเด็กหนุ่มในยามนี้ มีทั้งตื้นตันทั้งตกใจและเสียใจคละเคล้ากันไป เขาเสียใจที่บิดาของอีกฝ่ายไม่ต้อนรับเขา แต่ก็ซาบซึ้งตื้นตันใจยิ่งนัก ที่ริวยะยอมเลือกเขา มากกว่าคำสั่งของผู้เป็นบิดาแท้ ๆ

   "แล้วแบบนี้คุณจะไม่เดือดร้อนหรือครับ"

   ยูคิถามคนรักด้วยความเป็นห่วง ทางด้านริวยะแย้มยิ้มอ่อนโยนส่งให้ ก่อนจะตอบคำถามนั้น

   "เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอกยูคิ พ่อเขาไม่ทำอะไรรุนแรงกับฉันหรอก เพราะยังไงฉันก็เป็นผู้นำตระกูลของมุราคามิคนปัจจุบัน ...แต่ที่ฉันห่วงก็คือเธอมากกว่า"

   ยูคิมีสีหน้างุนงงชั่วครู่ ก่อนจะเอะใจ และมีสีหน้าซีดเผือดตามมา

   "...พ่อของคุณคิดจะทำร้ายผมหรือครับ"

   "ฉันไม่มีวันยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!"

   ริวยะขัดขึ้นด้วยใบหน้าขึงขัง ทางด้านยูคิจ้องมองคนรักนิ่งอย่างตื้นตัน แล้วจึงหลุดพึมพำออกมา

   "ขอบคุณนะครับ คุณริวยะ...แต่ผมไม่อยากให้คุณทะเลาะกับพ่อของตัวเอง เพื่อคนนอกอย่างผมเลยครับ"

   "เธอไม่ใช่คนนอก แต่เธอเป็นคนรักของฉัน"

   ริวยะตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ซึ่งก็ทำให้ยูคิชะงัก พลางนิ่งคิดถึงหนทางออกระหว่างเขากับอีกฝ่าย ก่อนจะพึมพำตามมา

   "จริง ๆ ถ้าทำตามที่คุณพ่อของคุณบอกเอาไว้ เรื่องราวก็คงจะจบลงด้วยดีทุกฝ่าย..."

   "ไม่มีทาง! เธอไม่ได้ยินหรือยูคิ ว่าฉันจะไม่มีวันอยู่ร่วมกับคนที่ฉันไม่ได้รัก โดยปล่อยให้คนที่ฉันรักจริง ๆ ต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนจากสังคม และถูกดูแคลนว่าเป็นชู้รัก อย่างเด็ดขาด!"

   ยูคินิ่งอึ้ง พลางก้มหน้าลงหลบตาคมกริบวาวโรจน์คู่นั้น แล้วจึงตัดสินใจสารภาพความในใจของตนออกไป

   "ผมรู้...และก็ดีใจมากด้วยที่คุณรักผมและยอมทำเพื่อผมแบบนี้ ...แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณผิดใจกับพ่อแท้ ๆ ของคุณเช่นกัน... ผมยอมรับนะครับ ว่าผมคงจะต้องรู้สึกเจ็บ หากคุณแต่งงานไปและเป็นของคนอื่นนอกจากผม... แต่ถ้าการที่ผมจะเลือกหนทางเห็นแก่ตัว แล้วทำให้คุณกับพ่อของคุณต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะมีผมเป็นต้นเหตุ  ผมก็คงจะเจ็บยิ่งกว่าเลือกหนทางแรกหลายเท่า ...และผมมั่นใจว่า ลึก ๆ แล้ว คุณก็คงรู้สึกเสียใจที่ทำให้คุณพ่อของคุณผิดหวังเหมือนกัน ใช่ไหมครับ"

   ริวยะชะงัก พลางนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ที่ถูกเด็กหนุ่มคนรักมองออกถึงความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ในจิตใจ  เนื่องจากชายหนุ่มนั้นรู้ซึ้งดีว่าพ่อรักและปรารถนาดีต่อเขามาตลอด พ่อวางรากฐานทุกอย่างเอาไว้ เพื่อหวังให้เขาขึ้นสู่จุดสูงสุดเหนือคนอื่น แม้จะดูเหมือนบังคับเอาแต่ใจ ทว่าสิ่งที่พ่อเลือกให้มักจะสร้างผลดีให้กับเขามากกว่าผลเสียเสมอ ทว่า...

   "ฉันรู้ ว่าพ่อรักและหวังดีต่อฉัน...แต่เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ไม่ใช่หรือยูคิ"

   ยูคิไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป หากแต่เด็กหนุ่มนั้นเลือกที่จะขยับตัวซุกใบหน้าเข้าหาร่างที่นอนอยู่ใกล้แทน ซึ่งริวยะก็ไม่ได้คาดคั้นต่อ ทว่ากลับโอบกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดของตนไปเงียบ ๆ เพียงเท่านั้น



   ทางด้านทาคุที่คิดจะมาถามผู้เป็นนายถึงเรื่องการรับอาหารว่างรอบบ่าย ถึงกับลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ทว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเลือกวิธีไหน เพื่อช่วยให้ทั้งคู่สมรักโดยราบรื่น เพราะพี่เลี้ยงหนุ่มนั้นรู้ดีว่า บิดาของเจ้านายเป็นพวกหัวแข็งไม่แพ้ลูกชาย ลองมั่นใจในความคิดของตัวเองไปแล้ว ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้

   'เรื่องที่ท่านริวยะรับบุตรบุญธรรมคงจะเข้าหูอีกฝ่ายให้แล้ว...ถ้ายังอยู่ที่บ้านแบบนี้คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นระหว่างเดินทางไปข้างนอกก็คงต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้สักหน่อย...แต่ถ้าหากจะให้หยุดเรียนเลย ถึงท่านริวยะจะยอม แต่เด็กนั่นคงโวยวายแน่'

   ทาคุคิดในใจพลางสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา เมื่อหวนคิดถึงนายน้อยคนใหม่ของเขา ที่แม้จะดูว่าเป็นคนหัวอ่อน แต่บางครั้งก็แสนจะดื้อรั้นไม่ผิดกับริวยะเจ้านายของตนเลยแม้แต่น้อย

   'สงสัยคงต้องปรึกษาหามาตรการป้องกันจากหมอนั่น...เฮ้อ! ให้ตายเถอะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากปรึกษาด้วยแท้ ๆ ...เดี๋ยวก็คงหาเรื่องทวงบุญคุณเป็นอะไรทุเรศ ๆ อีกแน่ เหอะ!'

   พอคิดถึงเพื่อนสนิท ทาคุก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพักหลังอากิระมักจะแหย่เขาในแบบถึงเนื้อถึงตัวแบบแปลก ๆ ที่เขาไม่ชอบ ก็พาลให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องของชายหนุ่ม

   จากนั้นทาคุจึงตัดสินใจไม่เคาะประตูเรียกแล้วปล่อยให้คนทั้งสองใช้เวลาส่วนตัวอยู่ตามลำพังภายในห้องนั้นต่ออีกสักพัก  ส่วนตัวเขาก็ตัดสินใจปลีกตัวออกมาจากบริเวณนั้น และโทรไปหาใครบางคน ที่พอได้ยินเสียงร่าเริงชวนให้หมั่นไส้นั่นตอบรับ ก็ทำให้ทาคุแทบอยากจะวางสายลงในทันที

    "เห ๆ หายากจังที่นายเป็นฝ่ายโทรมาหาฉันก่อน  มีอะไรหรือทาคุจัง"

   "...ทีแรกมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว แค่นี้นะ"

   ทาคุบอกพร้อมกับตัดสาย ทำเอาปลายสายนิ่งอึ้งแล้วรีบโทรกลับมา  ซึ่งทาคุเองทีแรกก็ตั้งใจจะไม่รับสาย แต่สุดท้ายเขาก็กดรับสายนั้นจนได้

   "มีอะไรอีก"

   น้ำเสียงห้วนเย็นชาที่ถามทำให้อากิระหัวเราะเจื่อน ๆ ก่อนจะรีบพูดง้อเพื่อนของตน

   "โธ่! ทาคุล่ะก็ ฉันล้อเล่น นายมีอะไรถึงโทรมาหาฉันหรือ ธุระสำคัญหรือเปล่า"

   ทาคุพอเห็นอีกฝ่ายยอมลงทุนง้อ เขาก็ทำเสียงในลำคอเบา ๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก ทว่าก็ยังคงยอมพูดตอบกลับไป

   "ฉันคิดว่าทางท่านเซอิจิคงรู้เรื่องท่านยูคิแล้ว และคงไม่ชอบใจนัก...ฉันเลยอยากจะปรึกษานายถึงเรื่องมาตรการป้องกันสักหน่อย"

   อากิระเลิกคิ้วนิด ๆ แสดงว่าทาคุคงจะได้ยินอะไรบางอย่างมาจากไม่ริวยะก็ยูคิ จึงทำให้พี่เลี้ยงหนุ่มร้อนใจโทรมาปรึกษาเขาในตอนนี้ ทั้งที่จริงจะรอตอนเขากลับไปถึงบ้านพักก่อนก็ยังได้

   "อืม...มาตรการป้องกันน่ะหรือ  งั้นงดให้เด็กนั่นไปโรงเรียนสักอาทิตย์ดีไหมล่ะ!"

   ทาคุถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะย้อนกลับไปอย่างเอือมระอา

   "มีหวังเขาคงจะโวยวายและยืนกรานว่าจะไปโรงเรียน ต่อให้เจออะไรก็ตาม จนท่านริวยะใจอ่อนเข้าให้จนได้น่ะสิ"

   เสียงหัวเราะของอากิระดังตอบกลับมาทันทีที่ฟังจบ เพราะชายหนุ่มก็ค่อนข้างมั่นใจว่า จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นตามมาจริง ๆ หากพวกเขาเลือกปฏิบัติเช่นนั้น

   "แล้วตกลงนายไม่มีวิธีอื่นแล้วใช่ไหม ฉันจะได้วางสาย"

   ทาคุที่รำคาญอีกฝ่ายที่หัวเราะไม่เลิกสักทีบอกอย่างหมั่นไส้ ซึ่งอากิระก็รีบแย้งตามมา

   "เดี๋ยว ๆ มีสิ ก็พอมีอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ก็วิธีตั้งรับ คอยระวังตัวเองนั่นล่ะ เพราะจะไปง้างกับทางนั้นเดี๋ยวเรื่องก็ยิ่งจะไปกันใหญ่จริงไหม ...อ๊ะ ขอโทษนะทาคุ เดี๋ยวรับโทรศัพท์สายในสักแป๊บก่อนนะ"

   พออากิระเงียบไปติดต่อธุระก็ทำให้ทาคุชะงัก พลางเหลือบมองเวลาในมือถือ ทำให้เขาต้องหลุดถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่

   "เอาล่ะ เรียบร้อย พอดีมีปัญหานิดหน่อย แต่ฉันจัดการเองได้ไม่ต้องถึงมือท่านริวยะหรอก...งั้นเราก็มาคุยกันต่อเถอะ หือ ทาคุ ยังอยู่ในสายไหม"

   เสียงของเพื่อนสนิทที่ดังขึ้นทำให้ทาคุจ้องมองหน้าจออย่างตัดสินใจแล้วจึงเอ่ยขึ้นต่อจากนั้น

   "ไว้มาคุยกันที่บ้านดีกว่า...ขอโทษที่รบกวนเวลาทำงานนายนะ อากิระ"

   อากิระพยายามจะบอกว่าตนว่างแต่ทาคุก็ยังยืนกรานตามนั้น ทำให้ปลายสายถอนหายใจออกมาให้ได้ยิน ก่อนจะเอ่ยตามมา

   "ถ้านายกลุ้มใจ มีปัญหา อยากปรึกษาอะไรกับฉัน ก็โทรมาได้ทุกเมื่อเลยนะทาคุ ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก ...เรื่องของนายสำคัญกว่างานอยู่แล้ว...เอิ่ม...ฉันหมายถึงว่า ปัญหาของนายส่วนใหญ่ก็มักจะเกี่ยวกับท่านริวยะอยู่แล้วใช่ไหม ง่า...ฉันก็ยินดีช่วยแบ่งเบาปัญหาของท่านริวยะอยู่แล้วนั่นล่ะ...อืม แค่นี้แล้วกัน ตอนเย็นเจอกันนะ"

   คนที่กลัวจะเผลอบอกความในใจออกไปผ่านทางมือถือรีบแก้ตัวแล้วตัดบท ทำให้ปลายสายเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจต่อพฤติกรรมของเพื่อนสนิท ทว่าเขากลับแปลกใจตัวเองมากกว่า ที่ดันจดจำถ้อยคำที่อีกฝ่ายบอกว่าเขาสำคัญกว่างานนั่น อย่างถนัดชัดเจนจนน่าประหลาด

   "คิดอะไรของเรานะ ...หมอนั่นก็พูดไปตามประสาคนเป็นเพื่อนกันมาหลายปีนั่นล่ะ"

   ทาคุพึมพำกับตนเอง แล้วพยายามเลิกคิดใส่ใจคำพูดที่มันวนเวียนอยู่ในความทรงจำของเขา และดูเหมือนว่ามันจะช่างตื๊อเสียจนเขาสลัดให้หลุดออกไปจากสมองได้อย่างยากเย็นเสียเหลือเกิน



.... TBC ....



 :o8:  หายไปสองวัน แถมกลับมาสั้นอีก ต้องขออภัยด้วยนะคะ พอดีงานเข้า พรุ่งนี้ถ้าไม่มีปัญหาอะไรอีก จะพยายามปั่นมาลงตอนต่อไปให้อ่านกันนะคะ ใกล้ไคลแมกซ์แล้ว

ps. ถึงจะเคลียร์ตอนคุณป๊ะป๋าของริวยะจบ ในไม่กี่ตอนข้างหน้า(มั้ง) ก็ตาม แต่ตอนพิเศษ แต่ละคู่ ก็ยังรอคอยให้อ่านอีกหลายคู่สำหรับเรื่องนี้ค่ะ ตอนพิเศษตั้งใจจะเขียนให้ฟิน ทั้งคู่หลักและคู่รองแต่ละคู่แยกกันไปเลยจ้า    ^^"




ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
เอาแล้วๆ
งานนี้ยูคิจังโดนแน่ๆอ่ะ
อิคุณพ่อนิ ไม่เห็นใจริวยะบ้าง

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
ไม่ได้เปิดมาพักนึงตามอ่านกันไม่ทันเลย ขอไปไล่อ่านตามก่อนนะ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
รีบๆ มาสารภาพรักสักทีซิจ้า อากิระ


ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
รอตอนต่อจ้า ชอบเวอร์ชั่นรีไรท์กิงๆ

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4




บทที่ 22



   เซอิจิ กลับเข้ามาพักในห้องส่วนตัวของตนด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ชายชราเดินตรงไปยังตู้วางของในห้อง เขาหยิบกรอบภาพถ่ายเก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ในตู้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วเม้มปากน้อย ๆ เมื่อจ้องมองภาพนั้น ซึ่งเป็นรูปของลูกชายคนโตยืนยิ้มถือใบประกาศนียบัตรสมัยจบมัธยมปลาย เคียงข้างลูกชายของเขาอีกคนซึ่งอายุห่างกันเกือบ 9 ปี โดยมีเขาและภรรยา ยืนขนาบกับลูกชายทั้งสองคนละฝั่ง

   "ฉันคงให้อิสระแกมากเกินไปสินะ ริวยะ ...ทั้งที่ฉันไม่อยากให้ตัวเองต้องเดินซ้ำรอยเหมือนกับพ่อของฉัน... แต่ดูเหมือนว่าฉันคงจะต้องใช้วิธีเข้มงวดบังคับแกในเรื่องครั้งนี้จริง ๆ เสียแล้ว"

   เซอิจิพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงวางกรอบรูปนั้น ก่อนจะเหลือบไปมองรูปถ่ายสีขาวดำเก่า ๆ ในกรอบไม้อีกรูป ซึ่งในนั้นเป็นรูปหนุ่มสาวสามคนยืนถ่ายรูปในชุดยูคาตะร่วมกัน  หนึ่งในนั้นก็คือเขาในวัย 18 ปี ส่วนเด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มก็คือภรรยาของเขาที่ล่วงลับไปแล้วเมื่อสามปีก่อน ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนนั้น คือคนที่มุราคามิ เซอิจิ ให้การยอมรับเป็นเพื่อนสนิทคนสำคัญเพียงคนเดียวในชีวิตของตน

   "ซายูริ...ขอโทษนะ ที่หลังจากนี้ ฉันอาจจะต้องทำร้ายจิตใจลูกของเราก็ได้"

   ชายชราลูบภาพถ่ายใบหน้าของเด็กสาว ก่อนจะเลื่อนนิ้วมาที่เด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ

   "เรียว...ในเวลาแบบนี้ ฉันอยากเจอนายเหลือเกิน...ถ้านายอยู่ด้วยกันที่นี่...บางที นายอาจจะให้คำแนะนำดี ๆ กับฉัน...ทำให้ฉันไม่ต้องฝืนลงมือทำร้ายจิตใจลูกชายของฉันแบบนี้"

   เซอิจิพึมพำ เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะแค่นยิ้มให้กับตนเอง แล้วเอ่ยบางอย่างต่อมา

   "...ไม่สิ...ถึงนายจะมาอยู่ที่นี่ ต่อหน้าฉันยามนี้ก็ตาม...นายก็ยังคงจะไม่ให้อภัยคนอย่างฉันอยู่ดีสินะ เรียว"

   จากนั้นชายชราจึงวางรูปที่ถือลงบนโต๊ะ แล้วจึงยืนหลับตานิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นแววตาวาวโรจน์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจบางอย่าง

   "ขอโทษทีนะเจ้าหนู...ฉันกับเธอไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน ...แต่ถ้าเธอยังคงอยู่ข้างกายริวยะต่อไป ...ลูกชายของฉันก็จะไม่มีวันยอมก้าวเดินไปสู่อนาคตอันมั่นคงที่ฉันวางเอาไว้ให้เขาแน่!"

    ชายชราพึมพำ แล้วจึงเดินออกจากห้อง เรียกคนสนิทให้มารอรับคำสั่งบางอย่างจากตน ซึ่งพอได้ฟัง อีกฝ่ายก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย ก่อนจะโค้งศีรษะพร้อมตอบรับคำสั่ง แล้วจึงรีบไปดำเนินการวางแผนเพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายมา สำเร็จลงให้จงได้หลังจากนี้



   ตกเย็นในวันนั้น พออากิระกลับมาถึงที่พัก เจ้าตัวก็พบว่าผู้เป็นนายยังคงหวานสวีทกับคนรักตัวน้อย จนแทบไม่ยอมออกนอกห้อง เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงชวนทาคุไปนั่งคุยธุระส่วนตัวกันตามลำพังแทน และแม้ทาคุจะไม่ค่อยอยากอยู่ห่างห้องของเจ้านายนัก แต่เพราะปัญหาจากฝั่งบิดาของริวยะก็ทำให้เขายอมทำตามเงื่อนไขของเพื่อนสนิท และตามไปห้องส่วนตัวของอากิระซึ่งอยู่ห่างจากห้องพักของริวยะไปประมาณสองห้อง

   "...ไม่ได้มาห้องนายสักพัก ยังรกเหมือนเดิมนะ"

   ทาคุพึมพำ เมื่อเห็นกองเอกสารและหนังสือวิชาการต่าง ๆ ที่อากิระวางซ้อน ๆ ไว้ตามมุมห้อง  ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ภายในห้องนอนของชายหนุ่มจัดตกแต่งเป็นแบบญี่ปุ่นแท้ แม้แต่ที่นอนก็ยังเป็นฟูกปูนอนแบบญี่ปุ่นเลยด้วยซ้ำ 

   "มานั่งนี่สิ อ๊ะ...เบาะอยู่ไหนเนี่ย"

   ทาคุมองคนที่กำลังหาเบาะนั่งภายในห้อง แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบเบาะนั่งที่มันทิ่มอยู่กับกองหนังสือแถวที่เขายืนอยู่แล้วยื่นส่งให้

   "เอ้า! เบาะอยู่นี่ ...ทีหลังก็จัดห้องเสียมั่งสิ"

   "ก็ไม่ค่อยว่างจัดนี่ แล้วก็ไม่อยากให้คนในบ้านมาจัดด้วย เดี๋ยวจะหาของไม่เจอ"

   อากิระดันเบาะนั่งที่อีกฝ่ายยื่นมาส่งคืนให้กับคนตรงหน้า เพื่อให้อีกฝ่ายใช้ปูรองนั่ง  ซึ่งทาคุก็รับมาอย่างเสียไม่ได้  เขามองสภาพรอบห้องอีกครั้ง พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเปรยบอกเพื่อนของตน

   "ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันแวะมาจัดให้แทนก็แล้วกัน"

   คนฟังที่กำลังหันไปหาเบาะรองอีกใบ หันขวับมามอง ทีแรกเขาเตรียมจะอ้าปากตอบตกลง เพราะยังไงทาคุก็รู้เรื่องเอกสารพวกนี้ดีพอ ๆ กับเขา ถ้าชายหนุ่มเป็นคนจัดก็คงวางให้เป็นระเบียบ หยิบง่าย และไม่ปะปนกันแน่  ทว่าพอคิด ๆ ดูให้ดี ในบรรดาของรกพวกนี้ มันก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่แอบแฝงและสื่อถึงความคิดที่เขามีต่อเจ้าตัวเก็บซ่อนอยู่ พอคิดได้ดังนั้น อากิระจึงรีบค้านออกไปทันที

   "มะ...ไม่ต้อง! เอ่อ...ฉันเกรงใจนายน่ะ ไม่เป็นไรหรอก ห้องฉันเดี๋ยวฉันจัดเองได้"

   ทาคุขมวดคิ้วเขารู้สึกแปลกต่อคำปฏิเสธของอีกฝ่าย เพราะมันเหมือนว่าอากิระคิดจะกีดกันไม่ให้เขาเข้ามายุ่งในห้อง เพื่อไม่อยากให้รู้อะไรบางอย่างมากกว่า

   "...ถ้านายอยากทำเองก็แล้วแต่นาย"

   ทาคุตัดบท เพราะขืนซักอะไรออกไปแล้วอากิระไม่ตอบ ก็พาลจะทำให้เขาหงุดหงิดจนไม่ได้พูดคุยเรื่องสำคัญกันแน่

   "แล้วตกลงไอ้มาตรการป้องกันของนายน่ะ จะทำยังไง"

   พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มนั่งลง แล้วพูดเรื่องธุระแทนจะใส่ใจเรื่องของเขา ก็ทำให้อากิระลอบถอนหายใจ แล้วจึงนั่งลงตามเพื่อน ก่อนจะสนทนากับอีกฝ่ายขึ้นบ้าง

   "พวกเราก็เอาข้าวของทุกชิ้นของท่านยูคิมาติดตั้งสัญญาณติดตามตัวเอาไว้ให้หมด แค่นี้ต่อให้เราพลาดพลั้ง ท่านยูคิถูกลักพาตัวไป เราก็ยังสามารถติดตามตัวท่านได้อยู่ดียังไงล่ะ"

   ทาคุรับฟังแล้วขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งตามมา

   "แล้วถ้าฝ่ายนั้นไม่ใช้วิธีลักพาตัว แต่ลงมือรุนแรงกว่านั้นแทนล่ะ..."

   อากิระแย้มยิ้มต่อความกังวลของอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าเพื่อนซึ่งนั่งตรงหน้าของตน

   "ทาคุ...อย่าลืมสิว่าศัตรูของเราคราวนี้เป็นใคร ...คนคนนั้นน่ะ หยิ่งในศักดิ์ศรีตนเองมากขนาดไหน นายก็น่าจะรู้ดี ...ต่อให้เห็นว่าท่านยูคิเป็นขวากหนามขวางทางตนยังไง เขาก็ไม่มีวันจะลงมือรุนแรงกับเด็กไร้อาวุธไร้ทางสู้ ในแบบที่นายกังวลหรอก....อย่างดีก็แค่ลักพาตัวไปกักบริเวณไว้ที่ไหนสักแห่ง ไม่ให้มีวันได้เจอหน้าท่านริวยะตลอดชีวิตก็แค่นั้นล่ะนะ"

   "ไม่ว่าจะแบบไหนฉันก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นทั้งนั้นนั่นล่ะ"

   ทาคุเปรยตอบ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

   "พวกเราจะไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้เลยหรือ อากิระ... ฉันรู้ว่าท่านริวยะเองก็เจ็บ ที่ต้องยืนอยู่คนละฝ่ายกับท่านเซอิจิแบบนี้"

   "มันช่วยไม่ได้นี่นะทาคุ ...ยกเว้นเสียก็แต่ว่า จะทำให้ท่านเซอิจิเข้าใจในความรักของทั้งท่านริวยะและท่านยูคิ ...หากเป็นเช่นนั้นได้ เรื่องราวก็คงจะจบลงด้วยดีในที่สุดนั่นล่ะ"

   อากิระปลอบ ซึ่งทาคุก็ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ ให้คนตรงหน้า ทำเอาอากิระชะงัก เจ้าตัวรีบเบือนหน้าไปทางอื่น มือกำแน่น และพอจะคิดตัดสินใจหันมาสารภาพรัก  คนตรงหน้าเขาก็ลุกขึ้นยืน มองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเปรยขึ้นเบา ๆ

   "ฉันว่าฉันไปเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้แทนดีกว่า ขืนท่านริวยะเรียกหา แล้วไม่เจอใครเลย คงไม่ดีแน่"

   อากิระคอตกก่อนจะพึมพำตอบรับอีกฝ่าย แต่พอทาคุจะออกจากห้อง เจ้าตัวก็หันมาแล้วส่งยิ้มน้อย ๆ ให้เจ้าของห้อง

   "ขอบใจนะอากิระ ที่ช่วยรับฟังความกังวลของฉันแบบนี้"

   อากิระถึงกับนิ่งอึ้งตอบรอยยิ้มนั้น และก่อนที่ทาคุจะออกจากห้องไป ชายหนุ่มเจ้าของห้องก็โพล่งขึ้นตามมาอย่างลืมตัว

   "ฉันชอบนายนะ ทาคุ!"

   ทาคุที่หันหลังและกำลังเดินออกจากห้องไปชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมามองเพื่อนสนิทอย่างตกใจและมีสีหน้าไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ทางด้านอากิระเองก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ที่ดันเผลอโพล่งความในใจออกไปแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่าย เขาก็ฝืนยิ้มแล้วถามออกไปตามตรง

   "ฉันชอบนายมานานแล้วล่ะทาคุ...แล้วนายล่ะ คิดยังไงกับฉัน"

   ทาคุนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มหน้าสวยยืนเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะเบือนสายตาหลบ ไม่กล้าสบกับแววตาของเพื่อนสนิทที่จ้องมองมายังตน

   "ขะ...ขอโทษนะอากิระ...สำหรับฉันแล้ว นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด...แต่ว่า..."

   อากิระหลับตาลงทั้งที่หัวใจปวดแปลบ ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วฝืนยิ้มให้คนที่เบือนสายตากลับมามองตนอีกครั้ง

   "ไม่เป็นไร ...ขอบใจนะที่บอกกันตรง ๆ"

   ทาคุจ้องมองรอยยิ้มเศร้า ๆ นั่น ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงปิดประตูห้องให้อีกฝ่าย ก่อนจะออกมายืนจ้องมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดภายนอก เจ้าตัวหลับตาช้า ๆ แล้วจึงลืมตาขึ้น วางสีหน้านิ่งเฉยแบบปกติ ทว่าภาพในสมองของเขายามนี้ กลับมีแต่ภาพรอยยิ้มเศร้า ๆ ของเพื่อนสนิทวนเวียนให้คิดถึงอยู่ตลอดเวลา



   ริวยะเริ่มรู้สึกถึงความเหินห่างระหว่างคนสนิทของเขาทั้งสองที่เกิดขึ้นในช่วงระยะวันสองวันที่ผ่านมา โดยเฉพาะทาคุที่พยายามวางตัวให้ห่างเหินกับอากิระจนเห็นได้ชัด ส่วนอากิระก็มักจะหลุดแววตาเศร้าสร้อยยามที่มองทาคุให้เขาได้เห็นอยู่เสมอ

   "ถ้าอย่างนั้นเช้านี้ก็ฝากดูแลยูคิด้วยนะ ทาคุ"

   ริวยะที่ออกมาส่งคนรักไปโรงเรียน สั่งความกับคนสนิท แล้วจึงดึงร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างตนมาหอมแก้มฟอดใหญ่อย่างไม่นึกอายใคร ซึ่งคนถูกหอมก็หน้าแดงแล้วก้าวขึ้นรถไปนั่งด้านหลัง จากนั้นทาคุก็โค้งให้ผู้เป็นเจ้านาย พลางเบือนสายตามาสบกับเพื่อนของเขาวูบหนึ่ง แล้วจึงเดินอ้อมไปนั่งตำแหน่งคนขับ ก่อนจะขับรถออกไปหลังจากนั้น

   "อากิระ...วันนี้ที่บริษัทมีงานด่วนอะไรไหม...อากิระ"

   อากิระที่กำลังเหม่อ ๆ สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อผู้เป็นเจ้านายเรียกชื่อเขาอีกครั้ง เจ้าตัวหันไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะอ้ำอึ้งถามกลับไป

   "เอ่อ...ขออภัยครับท่านริวยะ คือเมื่อครู่นี้ท่านพูดว่าอะไรหรือครับ ผมฟังไม่ค่อยถนัด"

   ริวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงย้ำถามประโยคเดิม

   "ฉันถามว่า วันนี้ที่บริษัท มีงานด่วนอะไรไหม"

   "งานด่วนหรือครับ...ไม่น่าจะมีนะครับ"

   อากิระตอบไปตามตรง ซึ่งคนฟังก็พยักหน้ารับรู้

   "งั้นก็ดี จะได้ออกสายหน่อย"

   อากิระมองเจ้านายของตนอย่างแปลกใจ แต่ก็ยังคงนิ่งรับฟังไม่ได้ค้านอะไรออกไป ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อริวยะนั้นหันขวับมามองที่เขา

   "ถ้าอย่างนั้นก็มาคุยอะไรกันสักหน่อยดีไหมอากิระ"

   คนฟังนิ่งเงียบ ก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ ตามมา พอจะรู้ตัวว่า ที่เขาเผลอแสดงอาการเหม่อ ๆ ออกไป และการที่ทาคุทำตัวเหินห่างเขาไป น่าจะทำให้ริวยะผิดสังเกตได้บ้างนั่นเอง

   

   ภายในห้องรับแขกขนาดเล็กซึ่งอยู่ติดกับห้องส่วนตัวของยูคิ และห่างไกลสายตาของคนงานในบ้าน ริวยะกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ ส่วนอากิระนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ฝั่งตรงข้าม

   "จะเล่าเองหรือให้ฉันเป็นฝ่ายถามล่ะ"

   ริวยะเปรยขึ้น ซึ่งอากิระก็ถอนหายใจแล้วตอบไปตามตรง

   "ผมสารภาพรักกับทาคุ แล้วก็...อกหักน่ะครับ"

   ริวยะชะงัก พร้อมกับเงียบไปชั่วครู่ แม้เขาจะรู้ถึงความรู้สึกของมือขวาคนสนิทบ้างอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าผลจะลงเอยเช่นนี้ เพราะเท่าที่เขาเห็นในบรรดาคนรู้จักคุ้นเคยกับทาคุนอกจากเขาแล้ว ก็ไม่เคยมีใครคนไหนที่ทาคุจะยอมรับและสนิทสนมด้วยเท่ากับอากิระมาก่อน จนริวยะเผลอคิดว่าหากอากิระเป็นฝ่ายสารภาพก่อน คู่นี้คงจะลงเอยกันโดยไม่ยากลำบากนัก

   "ทาคุปฏิเสธนายหรือ..."

   "ครับ...เขาขอโทษผม แล้วบอกว่าผมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา"

   อากิระพึมพำตอบ รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในอกยามที่ย้อนคิดถึงภาพเมื่อวันนั้น

   "แล้วนายก็ยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้"

   ริวยะเอ่ยต่อ ทำให้คนที่นั่งก้มหน้านิ่งชะงัก แล้วเงยหน้ามองคนพูด

   "แต่ทาคุ ไม่ได้คิดอย่างเดียวกันกับผมนี่ครับ"

   "ก็จริงอยู่...แต่ไม่ได้คิดตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นว่าวันข้างหน้าจะคิดขึ้นมาไม่ได้ไม่ใช่หรือ"

   ริวยะเอ่ยตามมา ทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วเริ่มมีความหวังขึ้นในหัวใจทีละน้อย สีหน้าและแววตาที่เห็น ทำให้ริวยะแย้มยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ

   "ถ้าแค่โดนปฏิเสธหนสองหนแล้วยอมแพ้  ต่อให้ทาคุจะคิดกับนายแบบเดียวกัน ฉันก็ไม่ยกพี่เลี้ยงคนสำคัญของฉันให้กับคนขี้แพ้อย่างนายหรอกนะ อากิระ"

   อากิระกำมือเม้มปากแน่น ก่อนจะโค้งศีรษะให้คนตรงหน้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังตามมา

   "ขอบคุณมากครับ ท่านริวยะที่ช่วยสั่งสอน! ผมจะลองพยายามดูอีก  ...จนกว่าจะรู้แน่ชัดว่า ทาคุให้ผมได้แค่เพื่อนจริง ๆ ผมถึงจะยอมตัดใจจากเขา"

   ริวยะแย้มยิ้มให้คนตรงหน้า ที่แม้จะรับฟังความคิดของเขา แต่ก็ยังเลือกที่จะคิดถึงความรู้สึกของทาคุด้วยเช่นกัน

   "ฉันเชื่อว่าถ้าเป็นนาย คงจะทำให้ทาคุมีความสุขได้แน่...สำหรับทาคุนั้น ฉันคิดว่าเขาคงจะไม่ได้ตั้งใจปฏิเสธนายเด็ดขาดนักหรอก ...แต่คงเพราะยังไม่รู้ใจตัวเอง ก็เลยทำอะไรไม่ถูกเสียมากกว่า"

   พอได้ยินคนที่เข้าใจอีกฝ่ายได้พอ ๆ กับเขาหรืออาจจะดีกว่าเขาพูดยืนยันเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้อากิระเริ่มมีความหวังอีกครั้ง

   "ขอบคุณครับท่านริวยะ ผมสัญญานะครับ ว่าจะไม่ทำให้คุณพี่เลี้ยงคนโปรดของท่าน ต้องเสียใจเพราะผมแน่!"

   ริวยะหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างถูกใจ พลางหวนคิดถึงคนอีกคนที่เขาตั้งใจว่า จะหาเวลามาสนทนาปัญหาหัวใจกันเป็นการส่วนตัวเช่นเดียวกัน เพราะเท่าที่เห็น เขาเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่า การที่ทาคุมีปฏิกิริยาเหินห่างกับอีกฝ่ายเช่นนี้ ก็คงเพราะต้องการให้อากิระตัดใจได้เร็วขึ้น ทว่าชายหนุ่มหน้าสวยกลับไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด ว่าตนเองก็เผลอแสดงสายตาเศร้า ๆ ให้เขาได้เห็นเป็นระยะเฉกเช่นเดียวกันนั่นเอง

   

   อีกด้านหนึ่ง บนรถที่ยูคิและทาคุนั่งอยู่ ทางด้านยูคิเองก็รู้สึกผิดสังเกตต่อพฤติกรรมของพี่เลี้ยงหนุ่มผู้นี้ด้วยเช่นกัน แม้ว่าทาคุจะพูดน้อยอยู่แล้ว แต่คราวนี้ชายหนุ่มทั้งพูดน้อยกว่าเดิม แถมเหม่อลอยให้เห็นมากขึ้นอีกต่างหาก

   "คุณทาคุครับ...มีอะไรหรือเปล่าครับ"

   ทาคุที่เหม่อ ๆ อยู่ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองกระจกหลังรถยนต์

   "ไม่มีอะไรนี่ครับ ทำไมหรือครับ ท่านยูคิ"

   ยูคิขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงเอ่ยออกไปตามตรง

   "แต่ผมว่ามี...ผมกับคุณริวยะเห็นตรงกันว่าพักนี้คุณดูแปลก ๆ ไป คุณริวยะเป็นห่วงคุณมากนะครับ"

   ทาคุนิ่งอึ้งไปด้วยความตื้นตัน ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ

   "ขอบคุณครับ แต่ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ...พอดีมีปัญหาส่วนตัวที่ต้องคิดนิดหน่อย ก็เท่านั้น"

   พอได้ยินว่าเป็นปัญหาส่วนตัว ยูคิก็ลอบถอนหายใจ แต่ก็ยังคงยิ้มแย้มส่งให้กับอีกฝ่ายอยู่ดี

   "เอาเป็นว่า ถ้าคุณอยากเล่า อยากระบาย หรือขอความเห็น ก็บอกได้นะครับ ถึงผมจะช่วยอะไรได้ไม่มาก อย่างน้อยผมก็เป็นผู้ฟังที่ดีได้นะครับ"

   ทาคุพึมพำขอบคุณแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะชะงัก เมื่อเหลือบมองกระจกส่องข้างทางแล้วเห็นรถยนต์ติดกระจกสีทึบขับตามมาไม่ห่างนัก ชายหนุ่มลองเลี้ยวไปทางขวาของแยกถนนด้านหน้า รถยนต์คันดังกล่าวก็ยังคงขับตามเขามาเรื่อย ๆ แถมยังเร่งความเร็วตามจนมาอยู่กระชั้นชิดมากขึ้นอีกด้วย

   "บ้าชิบ...เพราะมัวแต่เหม่อแท้ ๆ"

   ทาคุสบถกับตัวเอง เพราะถ้าหากเขารู้สึกตัวว่าถูกตามเร็วกว่านี้ เขาก็คงหาทางสลัดรถคันที่ตามไปได้นานแล้ว

   "คุณทาคุ...เกิดอะไรขึ้นครับ...แล้วทำไมรถคันนั้นถึงตามเรามาล่ะครับ"

   ยูคิถามอีกฝ่ายเสียงสั่นนิด ๆ ซึ่งทาคุก็ฝืนยิ้ม แล้วบอกออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง

   "ไม่ต้องกังวลไปครับท่านยูคิ ...ต่อให้ผมต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็จะไม่มีวันปล่อยให้ท่านต้องบาดเจ็บอย่างแน่นอน!"

   "คุณทาคุ..."

   ยูคิพึมพำเรียกชื่ออีกฝ่าย ก่อนจะก้มหน้าเม้มปาก กำมือทั้งสองแน่น แล้วจึงเงยหน้าขึ้นประสานสายตาชายหนุ่มผ่านบานกระจกรถยนต์ ด้วยแววตาเชื่อมั่น

   "ครับ! ผมเชื่อคุณ!"



... TBC ...

เปลี่ยนบทนิดหน่อยนะคะ  คุณแม่ของริวยะ ปรับบทให้เป็นเสียชีวิตไปแล้ว ...คุณพ่ออยู่คนเดียวเลยมีความมุ่งมั่นอยากเลี้ยงลูกให้ดีมากขึ้น จนลืมนึกถึงจิตใจของลูกตนเอง  ส่วนเรื่องลักพาตัว ก็เปลี่ยนจากของเก่า เป็นการชิงตัวแทนค่ะ ตอนนี้ใกล้ไคลแม็กซ์แล้ว อาจจะมาวันเว้นวัน ถ้าตอนไหนต้องเขียนนานหน่อย แต่ก็จะพยายามไม่ให้หายไปนานนัก เพราะเรื่องก็ใกล้จะจบแล้วตามฉบับเก่า

แต่แน่นอนว่าฉบับรีเมกนี่ จะเน้นตอนพิเศษของคู่รอง และคู่หลัก หลาย ๆ ตอน เพื่อความฟินของนักอ่าน  แต่จะลงหมดก็เกรงว่าจะไม่เหลือให้คนซื้อรวมเล่มเซอร์ไพรส์ แหะ ๆ  ...ดังนั้น รบกวนมาโหวตคู่ที่อยากอ่านแบบตอนพิเศษมากที่สุดกันดีกว่าค่ะ  ให้โควต้า สองคู่ คู่ไหนมากสุดเป็นอันดับหนึ่งและสอง จะลงบอร์ดให้อ่านกันนะคะ (หมายถึงตอนพิเศษเท่านั้นนะคะ  ส่วนตอนหลักลงจนจบอยู่แล้วจ้ะ)





ออฟไลน์ PhInNoI

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
 :mew1:
แอบมาจิ้มก่อนอ่าน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






คุณพระ

  • บุคคลทั่วไป
รอ  :katai5: :katai5: :katai5:

แต่ทาคุกับอากิระ ใครกดใคร :hao6: :hao6: :hao6: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
ขอคู่อากิระค่า

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

บทที่ 23



   รถติดฟิมล์ดำที่แล่นขนาบเข้ามาใกล้ ทำให้ทาคุเหยียบคันเร่งทิ้งห่างออกไป รถทั้งสองคันแซงซ้ายป่ายขวาเรียกเสียงแตรบีบไล่ดังจากรถคันอื่นสนั่นถนนกันไปหมด

   "ผมจะพยายามสลัดพวกมันในเส้นทางข้างหน้า ท่านยูคิพยายามหลบหลังเบาะเอาไว้นะครับ!"

   ทาคุบอกกับคนนั่งด้านหลังซึ่งยูคิก็รับคำแล้วเกาะเบาะหลังของอีกฝ่ายแน่น เนื่องจากทาคุใช้ความเร็วมากในการขับจนตัวเขาแทบจะเหวี่ยงไปตามแรงเลี้ยวของรถในแต่ละครั้งเลยทีเดียว

   

   อีกด้านหนึ่ง คนขับรถยนต์ติดฟิลม์ทึบ ก็กำลังแย้มยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก เมื่อเห็นรถคันหน้าเร่งความเร็วไม่ยอมให้รถของตนตามประกบง่าย ๆ

   "เอาไงดีครับลูกพี่ ยิงล้อเลยดีไหมครับ!"

   ลูกน้องที่นั่งข้างหน้าด้วยกันหันมาถาม แต่กลับถูกลูกน้องอีกคนที่อยู่เบาะหลังใช้มือที่ถือปืนตบหัวของคนนั่งหน้าไม่แรงนักแทน

   "ยิงล้อด้วยความเร็วแบบนี้ แทนที่จะได้ชิงตัวประกัน เดี๋ยวก็ได้เป็นการฆาตกรรมพอดี!"

   "อ้าว! แล้วนี่ไม่ได้กะมาฆ่าหรอกรึ!"

   อีกฝ่ายเถียง ซึ่งก็ทำให้คนข้างหลังขมวดคิ้วยุ่ง

   "ก็ลูกพี่อาราตะ บอกว่าให้แค่จับตัวไปให้นายท่านเฉย ๆ นี่นา"

   อาราตะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาไม่ได้บอกลูกน้องทั้งสองหรอกว่า คนขับรถคันนั้นคือใคร เพราะขืนบอกออกไปทั้งคู่คงไม่กล้าลงมือเป็นแน่

   "นายท่านสั่งให้จับตัวไป...แต่ก็ไม่ได้บอกว่าให้จับแบบไร้รอยขีดข่วน เพราะงั้นถ้ามีแผลนิดแผลหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอก"

   ชายผู้มีแผลเป็นบนหน้าเปรยบอก พลางเร่งความเร็วรถให้ตามทันรถคันหน้าไปอีก ส่วนลูกน้องทั้งคู่หันมาสบตากันแล้วจึงลดกระจกลง ก่อนจะยื่นมือที่ถือปืนไปด้านนอก ก่อนช่วยกันกระหน่ำยิงล้อของรถยนต์เป้าหมายทันที!



   ทางด้านรถยนต์อีกคัน เมื่อคนขับเห็นกระจกถูกลดลงพร้อมกับปืนที่ยื่นมา เขาก็รีบตะโกนบอกให้ยูคิหลบไปใต้เบาะอย่างรวดเร็ว

   "ทิ้งตัวราบไว้กับพื้นแล้วอย่าลุกขึ้นมาเด็ดขาดนะครับ!"

   ยูคิรีบทำตามโดยไม่ต้องเอ่ยซ้ำสอง เสียงปังและตามมาด้วยอาการรถที่แกว่งและกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้เด็กหนุ่มต้องหลับตาภาวนาด้วยความกลัว  ส่วนทาคุก็พยายามบังคับรถให้ทรงตัวไปต่ออย่างทุลักทุเล ชายหนุ่มเห็นรถกระบะที่จอดส่งของริมทางอยู่ลิบ ๆ  เขาจึงตัดสินใจหักพวงมาลัยครูดข้างรถกระแทกไปกับทางกั้นไหล่ทางเพื่อชะลอความเร็ว พร้อมกับเหยียบเบรกจนเสียงดังเอี๊ยดลั่นไปทั่วถนน

    

   เสียงดังโครมลั่น พร้อมกับหน้ารถเก๋งคันหรูที่ยุบไปกว่าครึ่งจากแรงปะทะกับท้ายรถกระบะส่งของ  ผู้คนแถวนั้นพากันเอะอะโวยวายด้วยความตกใจต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น  ทาคุสะบัดศีรษะของตนไปมาขับไล่ความมึนงง ชายหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความเจ็บบริเวณซี่โครงที่อัดกระแทกกับพวงมาลัยหน้ารถ และพอตั้งสติได้เขาก็พยายามปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วหันไปทางเบาะหลังอย่างเป็นห่วง

   "ท่านยูคิ! ปลอดภัยดีไหมครับ!"

   ยูคิสูดริมฝีปากเบา ๆ ด้วยความเจ็บศีรษะที่กระแทกเอาเบาะด้านล่างไปเต็มแรง เด็กหนุ่มพึมพำตอบรับอีกฝ่าย แล้วพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก

   "ผมโอเค...แล้วคุณล่ะครับ คุณทาคุ"

   "ผมไม่เป็นไร...ท่านยูคิรีบหนีไปก่อนเถอะครับ ไปหาตำรวจหรือกลุ่มฝูงชนใหญ่ ๆ อยู่ แล้วรีบโทรบอกท่านริวยะขอความช่วยเหลือจากท่าน...ส่วนทางนี้ผมจะถ่วงเวลาไว้ให้เอง"

   ทาคุบอกพร้อมหยิบปืนพกด้านในเสื้อสูทออกมา เขาถีบประตูรถออก แล้วเล็งเป้ายิงไปรถคันที่ขับตามมา คนที่นั่งอยู่ในรถอีกสองคน พอเห็นว่าเป้าหมายของตนเป็นใคร ก็ถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงแล้วรีบหันไปมองลูกพี่ที่ขับรถหลบกระสุน แล้วเตรียมจะพุ่งชาร์ตไปยังร่างที่ยืนอยู่ข้างซากรถยนต์นั่น

   "ลูกพี่! นั่นมันคุณทาคุไม่ใช่หรือ!"

   "หึ! ก็เออน่ะสิ!"   

   อาราตะเหยียดยิ้มที่มุมปาก เขาเหยียบคันเร่งสวนกระสุนเข้าไป ส่วนลูกน้องทั้งสองก็รีบก้มหัวลงหลบกระสุนที่ยิงมายกใหญ่ ทางด้านทาคุกัดฟันกรอด เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจชนมาจริง ๆ เขาหยุดยิงแล้วหันไปบอกยูคิ ที่กำลังจะเปิดประตูอีกด้านให้รีบหนีออกมา ทว่าเพราะอุบัติเหตุทำให้มันเปิดออกได้ยากกว่าเดิม

   "ผมเปิดไม่ออกครับ คุณทาคุ!"

   "ท่านยูคิ! โธ่โว้ย!"

   ทาคุสบถแล้วพุ่งตัวเข้าไปในรถผ่านประตูหน้าที่เขาถีบออกมา เจ้าตัวกระโจนไปยังเบาะหลัง จับร่างเล็กมากอดแนบอกให้นอนราบไปกับพื้นรถแล้วใช้ตัวเองคร่อมบังเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่รถยนต์คันสีดำจะพุ่งมาชนพวกเขาหวุดหวิด



   เสียงโครมลั่นพร้อมกับแรงกระแทกจนรู้สึกถึงความสั่นไหวอย่างรุนแรง ทำให้ยูคิเกาะร่างของพี่เลี้ยงคนสนิทแน่น และพอรอบด้านเริ่มเงียบสงบ เขาก็เรียกชื่อของคนที่กอดตนแผ่วเบา

   "คุณทาคุ..."

   เงียบกริบ ไร้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย ยูคิชะงักกึก เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดมาแตะจมูก เขาพยายามดันกายออกจากอ้อมกอดนั่นอย่างยากลำบาก ทว่าภาพที่ได้เห็นกลับทำให้เด็กหนุ่มเบิกตาค้าง พูดอะไรไม่ออกด้วยความตื่นตระหนก

   "คุณทาคุ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ...ได้ยินผมไหม"

   ยูคิพึมพำถามเสียงสั่น เมื่อเห็นเลือดสีแดงเข้มไหลจากศีรษะมาอาบใบหน้าของคนที่ปกป้องเขา เด็กหนุ่มยื่นนิ้วมือสั่นเทาไปอังที่จมูกของอีกฝ่าย แล้วก็ต้องชะงักก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตนยังสัมผัสลมหายใจนั้นได้อยู่ ทว่าอาการของชายหนุ่มที่ได้เห็นก็ยังคงน่าเป็นห่วงอยู่มาก

   "คุณทาคุ...อดทนไว้นะครับ ผมจะพาคุณไปหาหมอนะ...!"

   ยูคิพึมพำก่อนจะสะดุ้งเฮือกสุดตัว เมื่อประตูรถอีกด้านถูกชายสองคนดึงมันออกมาแล้วเหวี่ยงมันทิ้งไว้แถวนั้น และด้วยสัญชาตญาณระวังภัย ก็ทำให้ยูคิพอจะรู้ว่า พวกที่ใส่สูทดำแว่นดำ ที่มาใหม่นั่น ไม่น่าจะใช่พวกเดียวกับเขาแน่นอน

   "ว่าง่าย ๆ แล้วมาด้วยกันดี ๆ รับรองว่าจะไม่เจ็บตัวแน่คุณหนู"

   ชายที่สวมแว่นดำและมีรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตาข้างหนึ่งเอ่ยขึ้น ยูคิเม้มปากน้อย ๆ เขาอยากจะตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่พอเห็นปืนที่ทั้งสามมี เด็กหนุ่มก็เกรงว่าจะทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนเสียเปล่า ๆ

   "ผมไปกับพวกคุณก็ได้...แต่ช่วยคุณทาคุด้วยนะครับ เขาบาดเจ็บมาก...ต้องส่งโรงพยาบาล ...ได้โปรดเถอะครับ"

   ยูคิขอร้องอีกฝ่าย คำพูดของเขาทำเอาชายสูทดำอีกสองคนชะงักแล้วหันไปมองผู้เป็นหัวหน้าของตนอย่างลังเล

   "ถ้าคุณหนูสัญญาว่าจะไม่คิดหนี หรือเล่นตุกติกอะไรล่ะก็...ผมจะพาเขาไปส่งโรงพยาบาลให้ก็ได้นะ"

   อาราตะเอ่ยขึ้นแล้วรอดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ทว่าเขาก็เห็นเพียงแค่สีหน้าโล่งอกและรอยยิ้มยินดีจากใจจริงของเด็กหนุ่มตรงหน้าตอบกลับมาเพียงเท่านั้น

   "โอเค...งั้นคุณหนูก็มานั่งที่รถกับผม ส่วนพวกแกก็ช่วยพาหมอนั่นออกมาด้วยแล้วกัน"

   อาราตะสั่งความลูกน้อง แล้วจึงหันไปมองพวกญี่ปุ่นมุงที่เริ่มทยอยมาออกันรอบ ๆ ด้วยความสนใจมากขึ้น

   "กำลังถ่ายหนังกันอยู่ครับ ซ่อนกล้องเอาไว้ที่ตึก ไม่มีอะไรหรอกครับ แยกย้ายกันได้แล้ว!"

    พออาราตะบอกเช่นนั้น คนอื่น ๆ ต่างก็หันซ้ายหันขวามองรอบ ๆ หากล้องที่ซ่อนกันยกใหญ่ ส่วนลูกน้องทั้งสองพากันลอบถอนหายใจที่หัวหน้าของพวกตนอ้างเหตุผลได้ไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้น แต่ก็ดันมีคนหลงเชื่อเข้าให้อีกจนได้

   "โห...คุณทาคุบาดเจ็บหนักเชียว...งานนี้ถ้าท่านริวยะรู้เข้า ไม่รู้พวกเราจะโดนเล่นงานอะไรบ้างเนี่ย"

   หนึ่งในสองคนพึมพำกับตนเอง ซึ่งเพื่อนอีกคนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะรู้ดีไม่แพ้กันว่า ทาคุนั้นเป็นคนโปรดของลูกชายเจ้านายใหญ่ของพวกตน 

   

   ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถ ยูคิเหลือบมองร่างบาดเจ็บซึ่งนั่งพิงเบาะหลังอย่างเป็นห่วง และเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อชายสองคนที่มาจับตัวเขาด้วยกันนั่น กำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้อีกฝ่ายอย่างระมัดระวังจนชวนให้ผิดสังเกตทีเดียว

   "ไม่ต้องห่วงหรอกน่าคุณหนู หมอนี่เห็นบอบบางแบบนี้ แต่อึดน่าดู โดนแค่นี้ไม่ตายง่าย ๆ หรอก ...เดี๋ยวสักพักถึงมือหมอก็ช่วยได้แล้วล่ะ"

   คำพูดของอาราตะทำให้ยูคิหันมามองอีกฝ่าย เขานิ่วหน้านิด ๆ แล้วจึงตัดสินใจถามออกไปตามตรง

   "พวกคุณเป็นคนของคุณพ่อคุณริวยะสินะครับ"

   อีกสองคนด้านหลังสะดุ้งนิด ๆ ส่วนอาราตะชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาดัง ๆ อย่างถูกใจ

   "ฉลาดจริง! มิน่าท่านริวยะถึงได้ถูกใจขนาดนั้น...เฮ้อ! ช่วยไม่ได้นะคุณหนู นี่ถ้าคุณหนูเป็นผู้หญิง อะไร ๆ มันก็คงจะง่ายกว่านี้แล้วล่ะ"

   อาราตะเอ่ยตามมา เขารู้สึกชื่นชมในตัวเด็กใสซื่อไร้เดียงสาคนนี้ตั้งแต่ที่เห็นอีกฝ่ายห่วงใยทาคุมากกว่าตัวเองแล้ว และยิ่งได้เห็นความมีสติของอีกฝ่ายที่แม้จะรู้ว่ากำลังถูกลักพาตัว แต่ก็ไม่พยายามโวยวายหาทางดิ้นรนหนีตลอดเวลา ก็ทำให้หนุ่มใหญ่นึกพึงพอใจในตัวของเด็กหนุ่มมากขึ้นไปอีก

   "แค่จะจับตัวผม...ถึงกับต้องทำร้ายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกเดียวกันเองแบบนี้หรือครับ"

   ยูคิถามต่อ แววตาจริงจังที่มองมา ทำให้อาราตะถอนหายใจ เขาขับเจ้ารถกระโปรงหน้าบุบบี้ของตนไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะค่อยเปรยตอบคำถามที่เด็กหนุ่มถามเมื่อครู่

   "ช่วยไม่ได้...ก็บอดี้การ์ดของคุณหนูดันเป็นเจ้าหมอนี่...คนหัวแข็งแถมดื้อด้านที่สุดในพรรคพวกของเรา ...นี่ถ้าเขายังมีสติอยู่ ต่อให้บังคับหักกระดูกหมอนั่นเล่นกันเป็นท่อน ๆ เขาก็จะไม่มีวันยอมปล่อยคุณหนูมาให้พวกเราง่าย ๆ อยู่ดีนั่นล่ะ"

   ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ พลางเหลือบมองทาคุอย่างนึกสงสาร ที่ชายหนุ่มต้องมาโชคร้ายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ

   "เอาล่ะ...เลี้ยวโค้งหน้าก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว แต่คุณหนูต้องนั่งที่รถ ห้ามลงไปโดยเด็ดขาด ...และถ้าไม่เชื่อฟังกัน ผมจะยิงเพิ่มแผลให้หมอนี่อีกสักรูสองรูล่ะนะ อยู่ใกล้โรงพยาบาล ยังไงก็ไม่น่ามีปัญหาอยู่แล้ว"

   อาราตะบอกอย่างอารมณ์ดี ทว่านัยน์ตาเป็นประกายเอาจริง ส่วนลูกน้องทั้งสองทางเบาะหลัง เฝ้าภาวนาขอให้ยูคิอย่าคิดขัดขืนหัวหน้าของตน เพราะพวกเขาไม่อยากให้คนข้าง ๆ ต้องบาดเจ็บมากไปกว่านี้

   "ผมไม่หนีหรอก ...ขอให้พวกคุณส่งคุณทาคุให้ถึงมือหมอ อย่างที่สัญญากันเอาไว้ก็พอ"

   ยูคิบอกออกไปตามตรง เพราะเขาไม่อยากหนีแล้วทำให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องมาเดือดร้อนเพราะเขาเป็นต้นเหตุเช่นนี้

   "ถ้าคุณหนูว่าอย่างนั้น ทางนี้ก็ไม่คิดเบี้ยวสัญญาอยู่แล้วล่ะนะ"

   อาราตะบอกพลางยักไหล่ เขาโทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลให้หมอเตรียมเตียงฉุกเฉินให้พร้อมที่หน้าโรงพยาบาล และเมื่อรถเลี้ยวมาถึงอาราตะก็ให้ลูกน้องประคองร่างที่ไม่ได้สติของทาคุส่งให้เจ้าหน้าที่ จากนั้นจึงบอกว่าเจ้าของไข้กำลังจะตามมาอีกในไม่ช้านี้

   "...เอาล่ะ คุณหนู ยืมโทรศัพท์หน่อยสิ"

   ยูคิมองคนขับอย่างแปลกใจแต่ก็ยังคงส่งมือถือของตนไปให้อีกฝ่ายแต่โดยดี

   "...ไหน ๆ เบอร์ของคุณริวยะหรือ...อืม ไม่ดีกว่า...อ้อ เบอร์ของอากิระสินะ ดีละ เจ้าหนูนั่นคงตกใจแน่ อยากอยู่เห็นหน้าหรอกนะ แต่ช่วยไม่ได้นี่นา"

   บอกจบอาราตะก็ส่งข้อความไปว่า ทาคุเจ็บหนัก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลxxx ให้รีบมาด่วน ด้วยมือถือของยูคิ จากนั้นเขาก็หยิบมือถือของเด็กหนุ่มใส่กระเป๋าเสื้อสูทของตนหน้าตาเฉย ทำเอายูคิถึงกับมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ พูดอะไรไม่ออก เช่นเดียวกับลูกน้องทั้งสองที่นั่งด้านหลัง

   "หึ ๆ ไม่ต้องมองแบบนั้นหรอก เดี๋ยวคนของท่านริวยะก็ตามร่องรอยมาจนเจอมือถือนี่ แล้วก็คงเก็บเอาไว้คืนให้คุณหนูเองนั่นล่ะ"

   อาราตะบอกไปตามตรง ก่อนจะใช้มือถือของตนโทรไปสั่งให้คนเอารถมาสับเปลี่ยนเพื่อจะเดินทางต่อ

   "เอาล่ะ! เดี๋ยวเราจะแวะลอกคราบคุณหนูกันสักพักก่อน"

   ยูคิชะงักพลางกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดระแวง แม้แต่ลูกน้องของอาราตะทั้งสองคนก็ยังมองหัวหน้าของเขา ด้วยสายตาที่แทบไม่แตกต่างจากเด็กหนุ่มนัก ทำเอาอาราตะนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ ก่อนจะหลุดหัวเราะตามมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ทำไมทั้งสามถึงมีสีหน้าแบบนั้น

   "ฮ่า ๆ คิดอะไรไร้สาระจริง ๆ น้า พวกแกเนี่ย! คุณหนูก็ดันเป็นไปกับพวกนี้ด้วย เห็นอย่างนี้ผมสนแต่เนื้อ นม ไม่สนไข่หรอกนะ"

   อาราตะพูดตรง ๆ เสียจนคนฟังพากันยิ้มเจื่อน จากนั้นชายผู้มีแผลเป็นบนดวงตาจึงอธิบายให้ฟังต่อ

   "...ที่ต้องพาคุณหนูไปลอกคราบเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เพราะผมมั่นใจว่าเจ้าอากิระตัวแสบนั่น จะต้องติดเครื่องติดตามไว้ในมือถือเครื่องนี้เป็นแน่...แม้แต่เข็มกลัดเนคไทของเครื่องแบบนักเรียนนั่นก็น่าสงสัยพอกัน...แต่ก็นั่นล่ะ ต่อให้ไม่มีอะไรติดไว้ ขืนไปไหนมาไหนกับนักเรียนของยามิคุระ ก็ดูจะเด่นสะดุดตาจนเกินไปอยู่ดี"

   แต่ละคนพอฟังเหตุผลก็ร้องอ๋อไปตาม ๆ กัน ทางด้านยูคิแม้จะสบายใจว่าตนจะไม่ต้องเปลืองตัวเหมือนอย่างที่เผลอคิดออกไป แต่พอรู้ว่าบางทีชิ้นส่วนของใช้ของตนอาจจะมีเครื่องติดตาม ก็ทำเอาเขาทั้งโล่งอกและเสียดายไปตาม ๆ กัน เมื่ออาราตะนั้นคิดรอบคอบและเตรียมระวังภัยเอาไว้ก่อน

   "งั้นก็ไปร้านประจำผมแล้วกัน ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวผมเป็นเจ้ามือให้เอง จะแต่งให้ปิ๊งเสียจนท่านริวยะเองก็จำไม่ได้เลยเชียวล่ะ!"

   อาราตะบอกแล้วจึงหัวเราะตามมาเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ทำให้ลูกน้องที่นั่งหลังหันมาสบตากัน ก่อนจะสรุปตรงกันว่า ดูท่าหัวหน้าของเขา คงจะถูกใจเด็กหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายของการลักพาตัวในครั้งนี้ไม่มากก็น้อย  เพราะพวกเขาก็ทำงานลักษณะนี้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ค่อยได้เห็นอาราตะดูใจเย็นและอารมณ์ดีเท่ากับครั้งนี้มาก่อน



   อีกด้านหนึ่งอากิระที่กำลังขับรถพาริวยะไปบริษัทด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม หลังจากได้พูดคุยเปิดใจกับผู้เป็นนายก่อนหน้านั้น ขณะที่เขากำลังจะเลี้ยวเข้าไปจอดรถในที่จอดประจำของบริษัท เจ้าตัวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นมีข้อความส่งมาจากมือถือของยูคิ

   "ท่านยูคิส่งข้อความมาหาผมครับ ท่านริวยะ"

   คนขับบอกแล้วเปิดอ่านข้อความดู ก่อนจะชะงัก ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เจ้าตัวกัดริมฝีปากแน่นแล้วรีบเลี้ยวรถขับพุ่งออกจากบริษัท โดยที่ยามเฝ้าประตูแทบจะเปิดรั้วกั้นให้ไม่ทันเลยทีเดียว

   "เดี๋ยวก่อน! เกิดอะไรขึ้นอากิระ!"

   ริวยะที่นั่งอยู่เบาะหลังเรียกคนขับเสียงดังเพื่อเรียกสติ ทำเอาอากิระชะงัก ก่อนจะชะลอรถจอดแถวนั้น แล้วยื่นมือถือของตนให้อีกฝ่ายได้อ่านข้อความ

   "ขออภัยนะครับท่านริวยะ...ผมเป็นห่วงทาคุมากเกินไปหน่อย...เอ่อ...ผมไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นกับดักหรือไม่...ยังไงท่านรออยู่ที่บริษัทก่อนจะดีกว่าไหมครับ"

   เมื่อสติกลับมา อากิระก็เสนอความเห็นให้ผู้เป็นเจ้านายของตนได้รับฟัง ซึ่งพอรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ริวยะเองก็เป็นห่วงทั้งคนสนิทและคนรักไม่แพ้กัน

   "ไปด้วยกันนี่ล่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันคิด!"

   ริวยะตัดบท เขาส่งคืนมือถือให้คนขับ ก่อนจะใช้มือถือของตนโทรติดต่อคนรักทันที

   "รับสายสักทีสิยูคิ...อ๊ะ...ยูคิ...!"

   ปลายสายที่รับแล้วตัดทิ้งทำให้ริวยะเม้มปากแน่น ก่อนจะติดต่อกลับไปอีกที ซึ่งก็พบว่าปลายสายนั้นปิดเครื่องหนีไปแล้ว

   "โธ่โว้ย! เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!"

   "ใจเย็น ๆ ครับท่านริวยะ...ถ้าแค่ปิดเครื่องหนี เราก็ยังพอตามตัวได้"

   อากิระบอกแล้วโทรติดต่อลูกน้องของตนให้ออกตามหาสัญญาณติดตามจากมือถือของเด็กหนุ่ม ส่วนตัวเขาก็ขับรถไปที่โรงพยาบาลอย่างร้อนรน และเมื่อถึงโรงพยาบาล ทั้งคู่ก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า มีพลเมืองดีพาคนเจ็บมาส่งก่อนหน้านั้นได้สักพัก ส่วนตัวทาคุแม้จะบาดเจ็บหนัก แต่ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว

   อากิระพอได้ฟังเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะชะงักเมื่อรู้สึกตัวว่า ยูคินั้นไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย

   "ขอโทษครับท่านริวยะ...เพราะผมเป็นห่วงทาคุมากเกินไป...จนไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของท่านยูคิ"

   อากิระโค้งขอโทษอย่างสำนึกผิดให้เจ้านายของเขา ส่วนริวยะพอได้ยินอย่างนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ปลอบอีกฝ่าย

   "อย่าคิดมากน่าอากิระ สำหรับฉันแล้ว ทาคุก็สำคัญไม่แพ้กับยูคินักหรอก...ส่วนยูคิฉันว่าคงไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะการที่ทาคุถูกนำมาส่งโรงพยาบาลโดยผู้หวังดีที่ไม่คิดจะอยู่รอหน้าพวกเรา ...มันก็เท่ากับบ่งบอกถึงพวกคนลงมือแล้วล่ะว่า เป็นพวกไหนกันแน่!"

   ริวยะบอกแล้วกัดฟันกรอดด้วยความขุ่นเคือง และแม้เขาจะรู้ว่าใครเป็นคนลงมือ แต่ต่อให้เขาบุกไปที่บ้านใหญ่ แล้วบอกเรื่องนี้กับพ่อของเขาตรง ๆ ก็เห็นทีว่าอีกฝ่ายคงทำเป็นปฏิเสธไม่รู้ไม่ชี้เป็นแน่

   "ให้มันรู้ไปว่าพวกนั้นจะซ่อนยูคิให้พ้นจากฉันไปได้ตลอด!  อากิระ! เตรียมคนของเราให้พร้อม  ฉันจะไปตามยูคิกลับคืนมาให้ได้เดี๋ยวนี้ล่ะ!"

   อากิระโค้งศีรษะรับคำสั่งอีกฝ่าย เขาเหลือบไปมองที่ห้องคนเจ็บอีกครั้ง ก่อนจะกำมือแน่นด้วยความขุ่นเคือง ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นคนของเซอิจิก็ตาม  แต่ถึงยังไงครั้งนี้ เห็นทีเขาคงจะต้องเล่นงานคืนให้สาสม กับที่อีกฝ่ายนั้นทำให้คนสำคัญของเขาบาดเจ็บหนักเช่นนี้


.... TBC ....

*หนูยูคิโดนจับตัวไปแล้ว ช่วงนี้ปั่น ๆ แก้ ๆ ลบ ๆ เลยอาจจะไม่โพสต่อเนื่องเช่นก่อนหน้านั้นนะคะ*

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ยูคิน่ารัก คุณพ่อน่าจะชอบยูคินะ  :ling3:

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:ยูคิน่ารักที่สุดดดดดดดดดดด :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
บทที่ 24



    อาราตะหยิบมือถือของเด็กหนุ่มขึ้นมาดูเบอร์โทรเข้า แล้วเหยียดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตัดสาย แล้วตามด้วยการปิดมือถือ ก่อนจะหยิบใส่ถุงกระดาษที่ข้างในมีเสื้อผ้าชุดนักเรียนของเด็กหนุ่มใส่ไว้

   "คุณอาราตะคะ แต่งเสร็จแล้วค่ะ"

   เสียงหวานจากหญิงสาวเจ้าของร้านดังขึ้น ทำให้อาราตะหันกลับไปมอง ก่อนจะนิ่งอึ้งตกตะลึงไม่แพ้กับลูกน้องทั้งสอง เมื่อได้เห็นสาวน้อยผมยาวตรงสลวยไว้ทรงหน้าม้า ในชุดกิโมโนญี่ปุ่นสีขาว ลายดอกซากุระสีชมพูหวาน เบื้องหน้าของพวกตน

   "เป็นไงบ้างคะ น่ารักจนจำไม่ได้เลยล่ะสิคะ"

   เจ้าของร้านสาวสวยที่สนิทสนมกันดีกับอีกฝ่าย บอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งอาราตะเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแต่งออกมาแล้วดูดีเหมือนผู้หญิงขนาดนี้

    "ขอบใจเธอมากเลยนะมาริกะจัง ...อ้อ แล้วเดี๋ยวฉันฝากนี่ไว้ที่ร้าน ถ้ามีใครแวะมาถาม ก็คืนเขาไปด้วยให้เลยแล้วกัน"

   อาราตะยื่นการ์ดส่งให้อีกฝ่ายเพื่อชำระค่าใช้จ่าย พร้อมกับส่งถุงกระดาษที่ร้านได้จัดเตรียมใส่เสื้อผ้าชุดเก่าไว้ให้คืนกลับไป

   "...อ๋อ ได้เลยค่ะ"

   แม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่ด้วยความเป็นคนค้าขาย เธอจึงไม่คิดจะซักถามอะไรลูกค้าให้มากเรื่อง และยิ่งเป็นลูกค้าขาประจำเงินหนาอย่างอาราตะ เจ้าของร้านสาวก็ไม่คิดจะซักไซ้ให้เสียมารยาทและเสี่ยงต่อการเสียลูกค้าเป็นแน่

   

   ทางด้านยูคินั้นตอนนี้กำลังมีสีหน้าบึ้งตึงอย่างหนัก แม้ว่าจะถูกแปลงโฉมออกมาได้อย่างสวยงามก็ตาม  เนื่องจากทีแรก เด็กหนุ่มคิดว่าจะถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าธรรมดาเท่านั้น แต่อาราตะดันสั่งให้เจ้าของร้านสาวหาชุดกิโมโนไซส์เขา แล้วจับเขาแต่งหน้าใส่วิกผมยาวหน้าม้า จนออกมากลายเป็นสาวน้อยน่ารักไปแทนเสียได้

   "ทำหน้าบึ้งทำไมกันล่ะคุณหนู เสียของหมด อุตส่าห์แต่งออกมาซะน่ารักขนาดนี้แท้ ๆ"   

   อาราตะบอกกับคนตัวเล็กที่กำลังเดินออกจากร้านไปขึ้นรถยนต์หรูคันใหม่พร้อมตน ซึ่งยูคิก็เหลือบตามามองแล้วค้อนนิด ๆ ให้อย่างนึกหมั่นไส้แทนคำตอบ

    "หึ ๆ ก็เข้าใจว่าโมโห...แต่นี่ผมอุตส่าห์จับคุณหนูแต่งตัวให้ตามสเป็คของนายท่านเลยนะ ...เวลาเจอกัน ทางนั้นจะได้ใจเย็นลงไม่วู่วามลงไม้ลงมือ เพราะมองยังไงทางนี้ก็สาวน้อยคนหนึ่งล่ะนะ ..ผมใจดีไหมล่ะ"

   ยูคินิ่งเฉยหน้าเชิดไม่ตอบอะไร เห็นดังนั้นอาราตะจึงยักไหล่นิด ๆ แล้วให้ลูกน้องขับรถออกไป ซึ่งยูคิที่นั่งด้านหลังด้วยกัน ก็มองผ่านกระจกไปข้างทาง เจ้าตัวขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อเห็นว่ารถยนต์ที่ตนนั่งนั้น มุ่งสู่เส้นทางหลวงที่ออกไปยังต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง

   "นึกว่าไปทัศนศึกษาเล่นแล้วกันนะคุณหนู...ส่วนที่ว่าจะได้อยู่นานขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณหนูนั่นล่ะ"

   อาราตะเปรยขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เอนกายพิงเบาะพักผ่อนหลับตาหลังจากนั้น  ส่วนยูคิหลังจากหันมาดูว่าอีกฝ่ายไม่คิดใส่ใจสนทนาอีก เขาก็หันกลับไปต่อ พยายามจดจำหนทางระหว่างนี้ให้ได้มากที่สุด เผื่อถ้ามีโอกาสหนีออกมา เขาจะได้ติดต่อริวยะให้มาช่วยหลังจากนี้โดยไม่ลำบากนักนั่นเอง

   

    หลังจากที่อาราตะพายูคิไปได้สักพักใหญ่ อากิระก็พาริวยะ รวมถึงลูกน้องคนอื่นมาสมทบกันที่ร้านของมาริกะ  ท่าทางของทั้งคู่ที่แสนจะเคร่งเครียด ทำเอาสาวสวยเจ้าของร้านถึงกับนิ่งอึ้ง รู้ในทันทีว่า อาราตะนำปัญหาใหญ่มาให้เธอเสียแล้ว

   "เด็กผู้ชายเจ้าของชุดนี่อยู่ไหน!"

   อากิระถามเสียงห้วน สีหน้าขรึมดุ ไม่มีร่องรอยความขี้เล่นให้เห็นแม้แต่น้อย

   "มะ...ไม่ทราบค่ะ  คือ คุณอาราตะ เอ่อ ลูกค้าขาประจำของที่นี่พาคุณหนูคนนั้นมาซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยน แล้ว...เอ่อ...เขาบอกแค่ว่า ถ้ามีคนมาถามหา ก็ให้คืนชุดให้ไปด้วยน่ะค่ะ"

   หญิงสาวบอกออกไปด้วยความกลัว เพราะเธอนั้นพอจะจำได้บ้างว่า ชายที่มาด้วยกันกับคนที่ถามเธอนั้น คือนักธุรกิจชื่อดัง มุราคามิ  ริวยะ แต่เธอเองก็ค่อนข้างแปลกใจ เพราะเธอก็พอจะรู้มาว่าอาราตะเองนั้นทำงานให้กับคนในตระกูลมุราคามิด้วยเช่นกัน

   อากิระรับฟังแล้วก็ถอนหายใจตามมา ดูจากท่าทางแล้ว เจ้าหล่อนคงไม่กล้าโกหกเขาแน่

   "ดูว่าทางนั้นคงพอจะเดาเรื่องเครื่องมือสื่อสารติดตามของทางเราอยู่บ้าง ถึงได้พาท่านยูคิมาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแบบนี้...."

   อากิระชะงักค้างคำพูด เขารื้อถุงเสื้อผ้าออกดู แล้วก็เม้มปากน้อย ๆ   ก่อนจะหันไปถามทางเจ้าของร้านสาวเพื่อความแน่ใจ

   "ชุดที่เด็กคนนั้นเปลี่ยนไปเป็นชุดแบบไหน"

   คำถามต่อมาน้ำเสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลกว่าเดิม ทำให้หญิงสาวลอบถอนหายใจแล้วจึงเล่าออกไปตามตรง ซึ่งก็ทำให้คนฟังอย่างริวยะขมวดคิ้วยุ่งเมื่อรู้ว่าคนรักของตนถูกจับแปลงโฉมเป็นแบบไหน

   "แล้วชุดชั้นในล่ะครับ...ได้เปลี่ยนด้วยไหม"

   คำถามของอากิระทำให้ริวยะและลูกน้องคนอื่น ๆ ที่มาด้วยกัน หันมามองคนพูดตาปริบ ๆ ส่วนหญิงสาวเจ้าของร้านนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบคำถามนั้นตามตรง

   "ไม่ได้เปลี่ยนค่ะ ทีแรกก็อยากจะหาแบบเซ็กซี่ให้น้องเขา แต่เจ้าตัวไม่เอา แล้วขอนุ่งชั้นในตัวเดิมแทนค่ะ"

   อากิระกำหมัดแน่นอย่างยินดี ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย ชายหนุ่มหันมาทางริวยะแล้วบอกกับผู้เป็นเจ้านายด้วยสีหน้าที่มีความหวังขึ้นผิดจากก่อนหน้านั้นอย่างเห็นได้ชัด

   "ไปกันเถอะครับท่านริวยะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราน่าจะพอมีหวังตามตัวท่านยูคิได้อยู่บ้าง"

   จากนั้นอากิระก็กำชับทางมาริกะว่า หากมีการโทรมาสอบถามจากอาราตะ ต้องห้ามบอกเรื่องที่สนทนากันถึงเรื่องชุดชั้นในให้อาราตะทราบโดยเด็ดขาด  จากนั้นก็สั่งการให้ลูกน้องคนหนึ่งเฝ้าหญิงสาวที่ร้าน จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีการติดต่อส่งข่าวให้ระหว่างกัน จึงจะละสายตาจากหญิงสาวได้ในภายหลัง

   

   เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถยนต์กันเรียบร้อย ริวยะก็เอ่ยถามอากิระที่นั่งหน้าข้างกับลูกน้องของเขาอีกคนซึ่งอยู่ตำแหน่งคนขับ

   "ตกลงเรื่องชุดชั้นในนั่นมันคืออะไร อย่าบอกเชียวนะว่าติดตั้งสัญญาณติดตามไว้กระทั่งที่นั่นด้วย"

   ริวยะลองเปรยประชด แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายหันมายิ้มเจื่อน ๆ ให้เขา

   "ก็ฝังชิพขนาดเล็กไว้หลังแบรนด์ชุดชั้นในนั่นล่ะครับ ...เผื่อเอาไว้"

   ริวยะฟังแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้จะดูเป็นการละเมิดเรื่องส่วนตัวของคนรักไปนิด แต่คิดอีกที ถ้าอากิระไม่แอบติดไว้ เห็นทีเขาคงหาร่องรอยของยูคิไม่เจอในเร็ววันนี้เป็นแน่

   "ต้องรีบเร่งคาดเดาสถานที่กันหน่อยล่ะครับ เพราะทางนั้นนำหน้าเราไปได้สักพักใหญ่แล้ว"

   พอได้ยินดังนั้นริวยะก็ถอนหายใจแผ่วเบา เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าเขาคงตามตัวคนรักได้ไม่ง่ายดายอย่างที่คาดไว้นัก เนื่องจากสัญญาณติดตามพวกนี้ มักจะมีระยะทางในการติดตามจำกัดนั่นเอง

   "คงต้องคาดเดาความคิดของท่านเซอิจิกันหน่อยล่ะครับ ว่างานนี้ท่านเซอิจิคิดจะพาท่านยูคิไปซ่อนตัวไว้ที่ไหนกันแน่"

   อากิระบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่กำลังเปิดแท็บเล็ตตัวเก่งเพื่อเช็คสัญญาณจากเครื่องส่งจิ๋วที่เขาซ่อนไว้ที่เนื้อผ้ากางเกงชั้นในของยูคิอย่างตั้งอกตั้งใจ

   "ความคิดของพ่ออย่างนั้นหรือ...ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ"

   ริวยะพึมพำ เพราะแต่ไหนแต่ไร เขากับบิดาก็ไม่ค่อยได้สนทนาพูดคุยเล่นหัวเหมือนพ่อลูกบ้านอื่น เนื่องจากตำแหน่งหน้าที่ภาระรับผิดชอบที่ทั้งบิดาและเขามี  ถ้าเป็นเรื่องงาน เรื่องวิสัยทัศน์ เขาก็พอจะคาดเดาความคิดของบิดาได้อยู่บ้าง แต่เรื่องความชอบพอ หรือเรื่องรสนิยมต่าง ๆ ถ้าหากไม่ใช่มารดาของเขา ก็คงจะมีเพียงคนสนิทคนก่อนของบิดา ที่ต่างรู้ดีว่าเซอิจินั้นชอบอะไรแบบไหน ทว่าทั้งคู่นั้นก็เสียชีวิตกันไปแล้ว จะเหลือก็เพียงอาราตะลูกชายคนโตของคนสนิทคนก่อน ที่ก็พอจะล่วงรู้นิสัยใจคอของผู้เป็นเจ้านาย ไม่แตกต่างจากบิดาของเจ้าตัวที่เสียไปเท่าใดนัก

   "ถ้าทาคุอยู่ด้วย ก็คงพอจะช่วยกันคาดเดาได้ว่า คุณอาราตะจะพาท่านยูคิไปที่ไหนล่ะนะครับ"

   อากิระพึมพำอย่างเคร่งเครียด ตามองหน้าจอ ยังจับสัญญาณจากเครื่องส่งไม่ได้เลยสักนิด ส่วนริวยะเองก็นิ่งคิดหนักเช่นกัน ทว่าสักพักพวกเขาก็หวนนึกถึงชุดที่อาราตะเลือกให้ยูคิใส่ ก่อนจะหลุดโพล่งขึ้นมาพร้อมกัน จนลูกน้องที่ขับรถอยู่สะดุ้งโหยง

   "ใช่แล้ว! ที่นั่นยังไงล่ะ!"

   ทั้งริวยะและอากิระหลังจากพูดจบ ก็ต่างมีรอยยิ้มให้กัน จากนั้นอากิระจึงหันไปทางคนขับ พร้อมกับบอกปลายทางให้อีกฝ่ายรับรู้ 

   "รีบไปที่เกียวโตเดี๋ยวนี้เลย!"

   

   อีกด้านหนึ่ง หลังจากถูกพามาทิ้งไว้ที่ห้องรับแขกในคฤหาสน์แบบญี่ปุ่นโบราณได้สักพัก ยูคิที่ตอนนี้อยู่เพียงลำพังในห้อง ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเสื่อไปทั้งชุดกิโมโนอย่างเหนื่อยอ่อน จะหาทางหนีก็ไม่รู้จะหนีไปทางไหน เพราะตอนเข้ามาก็เห็นแล้วว่ามีคนงานหน้าตาน่ากลัว เฝ้าอยู่มากมายเต็มไปหมด

   "ทางนี้ครับ ท่านเซอิจิ"

   เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นแว่วเข้ามา ทำเอาคนที่นอนอยู่บนเสื่อรีบยันกายลุกขึ้นนั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่บานประตูกระดาษเลื่อนถูกเปิดออกมาพอดี

   "...เด็กผู้หญิง?"

   เซอิจิพึมพำอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นร่างเล็กในชุดกิโมโน ก่อนจะหันไปมองอาราตะด้วยแววตาตั้งคำถาม ส่วนยูคิพอได้ยินดังนั้นเขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาบ้าง

   "ผมเป็นผู้ชายครับ...แต่ก่อนหน้านั้นถูกบังคับให้แต่งตัวแบบนี้ ก็เลยอาจจะชวนให้เข้าใจผิดไปสักหน่อย"

   เซอิจิชะงัก แล้วเพ่งพิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้าให้มากกว่าเดิม อีกฝ่ายดูไม่หวาดกลัวหวาดหวั่นอย่างที่ควรจะเป็น ซ้ำยังนั่งนิ่งรอดูท่าทีทางเขาอีกต่างหาก

   "เธอรู้สินะเจ้าหนู ว่าฉันเป็นใคร"

   ยูคิพยักหน้าตอบรับ เพราะริวยะนั้นถอดพิมพ์เซอิจิผู้เป็นบิดามาเกือบทั้งหมด

   "ครับ...คุณเป็นคุณพ่อของคุณริวยะสินะครับ"

   "...ในเมื่อรู้แล้วก็ดี ...อืม พอได้เห็นเธอแบบนี้ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร ที่ริวยะมันเลือกที่จะขัดคำสั่งฉันแทนล่ะนะ"

   คำพูดของชายชราทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ขุ่นเคืองจนเกินไป ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับที่ยูคิแสดงก็ทำให้เซอิจิ รู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย

   "หึ ...นิ่งใช้ได้ นี่ถ้าเธอเป็นเด็กผู้หญิง ฉันก็คงพอจะอะลุ้มอล่วยเรื่องของเธอกับริวยะมันได้บ้างอยู่หรอก"

   พอได้ยินดังนั้นก็ทำให้ยูคิขมวดคิ้วนิด ๆ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นตั้งใจจะให้ริวยะแต่งงานกับลูกสาวผู้ดีมีชาติตระกูลอย่างเดียวแต่แรกเสียอีก

   "แต่ถึงยังไงผมก็ไม่สามารถเป็นผู้หญิงได้อยู่ดี ...ก็คงเหมือนกับที่คุณ คงไม่ต้องการให้ผมคบหากับคุณริวยะต่อไปสินะครับ"

   คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้ชายชราชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย โดยมีอาราตะที่ตามมานั่งคุกเข่าอยู่ห่างออกไป

   "ดูท่าทางเธอจะเป็นเด็กที่พูดคุยกันรู้เรื่องพอสมควร ... ถ้าเช่นนั้นฉันก็จะพูดตามตรงเลยแล้วกัน ...ฉันอยากให้เธอออกไปจากชีวิตของริวยะ แล้วไปตั้งต้นชีวิตใหม่ไกล ๆ ที่อื่น จะเป็นต่างประเทศหรืออะไรก็ได้  อ้อ! เรื่องเงินทองไม่ต้องห่วง ฉันยินดีจ่ายเป็นเงินก้อนให้เธอ ชนิดที่เธอไม่ต้องทำงานก็สามารถอยู่สุขสบายไปได้หลายปี ...ว่าไง หรืออยากจะเรียกร้องจำนวนเงินเอง ก็บอกได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ฉันก็ยินดีจ่ายให้"

   ยูคิชะงักกึก คอแข็งตรง อย่างไม่พอใจที่ถูกอีกฝ่ายใช้เงินฟาดหัวเขาเช่นนี้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังเลือกที่จะตั้งคำถามอย่างใจเย็นต่อไปอีก

   "แล้วถ้าผมยอมจริง ๆ คุณจะทำยังไงเรื่องของคุณริวยะล่ะครับ"

   "...ก็ไม่ยากอะไร คนอย่างริวยะ ถ้ารู้ว่าเธอถูกซื้อได้ด้วยเงิน เดี๋ยวมันก็เลิกสนใจเธอไปเองนั่นล่ะ ...คิดดูให้ดี ๆ แล้วกัน ไม่ต้องอยู่ใกล้ลูกชายฉัน เธอก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายหลายอย่างที่อาจจะเกิดได้ในอนาคต แถมยังมีเงินมีทองไปใช้ได้อีก ...ส่วนเรื่องคนรัก เธอยังเด็ก หน้าตาก็จัดว่าใช้ได้ เดี๋ยวก็คงหาคนที่ดีกว่าริวยะได้เองนั่นล่ะ"

   ยูคิจิกมือที่ชุดกิโมโนตัวสวยค่อนข้างแรงด้วยความโมโหที่ถูกดูแคลน หากแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่า อีกฝ่ายนั้นให้เกียรติกับเขาในระดับหนึ่ง ที่เลือกวิธีเจรจาเช่นนี้  ทั้งที่จะว่าไปแล้วด้วยอำนาจและบารมีที่อีกฝ่ายมี การจะคิดกำจัดเขาไปให้พ้นทางลูกชาย โดยไม่ต้องแลกกับการเสียทรัพย์สินมากมาย ก็ย่อมจะทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว

   "ผมเคยตกลงเรื่องนี้กับคุณริวยะมาก่อนหน้านั้นแล้ว...ตอนนั้นผมเห็นดีด้วยกับเรื่องที่คุณเสนอให้คุณริวยะแต่งงานมีครอบครัวมีทายาท เหมือนดังเช่นผู้ชายปกติทั่วไป ...ส่วนผม ขอแค่เขายังให้ความรักต่อผม แม้จะต้องขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักลับ ๆ ผมก็คิดว่าผมจะทนได้..."

   ยูคิบอกไปด้วยสีหน้าที่ยังคงไม่สั่นไหว แววตาคู่สวยนั้นฉายแววจริงจังหนักแน่น จนสะกดให้เซอิจิต้องจ้องมองด้วยความสนใจ

   "แต่คุณริวยะปฏิเสธ ...เขาบอกผมว่า ถ้าเขาจะรักใครสักคน เขาจะซื่อสัตย์และมั่นคงและทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารักเพียงคนเดียวเท่านั้น...และคนที่คุณริวยะรักก็คือผม...เพราะฉะนั้น ผมจะไม่มีวันทำให้คนที่รักผมต้องผิดหวังโดยเด็ดขาด"

   เซอิจินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึมตามมา

   "นั่นคือคำตอบของเธอสินะ"

   "ครับ...ตราบใดที่คุณริวยะยังคงรักผม...ผมจะไม่มีวันทำอะไรที่ทรยศต่อความรักของเขาอย่างแน่นอน"

   เซอิจิมีสีหน้าที่เคร่งขรึมลงเมื่อรับรู้ว่าข้อเสนอของเขาไม่เป็นผล จากนั้นชายชราจึงลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไรต่อ ทว่ายูคิก็รู้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะปล่อยให้เขาเป็นอิสระง่าย ๆ แน่

   "คุณเซอิจิครับ...ผมอยากจะถามอะไรคุณสักคำถามจะได้ไหมครับ"

   เสียงของยูคิทำให้ชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปหันกลับมาแล้วย้อนถามกลับเสียงห้วน

   "มีอะไร"

   ยูคิจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะตั้งคำถามที่คิดไว้ออกไป

   "สำหรับคุณแล้ว...ระหว่างชีวิตอันก้าวหน้ามั่นคงของคุณริวยะที่คุณวาดหวังไว้ กับ ความสุขของคุณริวยะ ...อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณหรือครับ"

   เซอิจินิ่งอึ้ง...คำพูดนั้นหวนย้อนให้เขาคิดถึงใครบางคนในอดีต ที่เคยพูดประโยคคล้าย ๆ กันนี้ ต่อหน้าเขาและบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว ...มันเป็นคำถามที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านั้นไปเป็นคนใหม่ และช่วยให้เขาและบิดาที่เคยหมางเมินห่างเหิน ได้ปรับความเข้าใจกันอีกครั้งหนึ่ง

    "...ถ้าคุณยังตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ...แต่ผมมั่นใจว่า ถ้าคุณรักคุณริวยะลูกชายของคุณจริง ๆ คุณก็คงมีคำตอบในใจของคุณเอาไว้อยู่แล้ว"

    เซอิจิจ้องมองเด็กหนุ่มในรูปลักษณ์ของสาวน้อยตรงหน้า ก่อนจะเปรยขึ้นเสียงเรียบ

   "และเธอก็คงหวังว่า มันจะเป็นคำตอบที่มันเอื้อผลดีต่อตัวเธอด้วยสินะ"

   ยูคิชะงักเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มนิด ๆ ให้อีกฝ่ายอย่างไม่คิดขุ่นเคือง

   "มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกครับ เพราะบางทีความสุขของคุณริวยะที่แท้จริงแล้ว มันอาจจะไม่จำเป็นว่าต้องมีผมอยู่ร่วมก็ได้... ผมรักคุณริวยะนะครับ แต่จริง ๆ แล้ว ผมก็รู้ดีว่าคุณริวยะเคารพรักพ่ออย่างคุณมาก...และถ้าคุณได้บอกถึงความจริงในใจของคุณให้คุณริวยะได้รับรู้อย่างเปิดอก บางทีคุณริวยะอาจจะยอมรับในสิ่งที่คุณต้องการอยากให้เขาเป็นก็ได้นะครับ"

   "แม้ว่ามันจะทำให้ริวยะเลือกคนอื่นแทนเธออย่างนั้นหรือ"

   คำถามที่ย้อนกลับมาของเซอิจิ ทำให้คนฟังแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบออกไปจากใจจริง

   "ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณริวยะเลือก และเป็นหนทางที่ดีที่สุด ผมก็พร้อมจะยอมรับมันเสมอ..."

   ชายชราจ้องมองเด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยตรงหน้าอยู่สักพัก แล้วจึงหันหลังเดินจากไปเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรต่ออีก  ส่วนยูคินั้นถอนหายใจแผ่วเบา แล้วก็ยิ้มน้อย ๆ กับตัวเองหลังจากนั้น

    เขาได้พูดในสิ่งที่ค้างคาใจของเขาต่อหน้าอีกฝ่ายหมดแล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่ว่าเซอิจิจะคิดตัดสินใจอย่างไรต่อไป และแม้ต่อให้เซอิจิยอมเปิดใจกับริวยะจนชายหนุ่มตัดสินใจเลือกหนทางที่บิดาวางให้ ยูคิก็จะไม่คิดเสียใจในภายหลัง ถ้าสิ่งที่เลือกแล้วนั้นมันจะทำให้คนที่เขารักมีความสุขในอนาคต เขาก็พร้อมที่จะยินยอมรับหนทางนั้นอย่างเต็มใจ

   "...การเสียสละที่ทำให้คนที่เรารักต้องเป็นทุกข์ มันก็เท่ากับเป็นการทำร้ายคนที่เรารักเช่นกันสินะครับ...คุณตา"

   ยูคิหวนคิดถึงคำพูดของผู้เป็นตาที่เคยสั่งสอนเขาเอาไว้สมัยก่อนที่เขายังเป็นเด็ก ตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มคิดว่าพอจะรู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่...



... TBC ...


สวัสดีค่ะ ตอนนี้เป็นฉากการเจรจาของหนูยูคิกับคุณป๊ะป๋าเซอิจิค่ะ  ของเก่า หนูยูคิจะได้บารมีคุณตาช่วยทำให้สมรัก  แต่ของใหม่นี่อาศัยวาทะและคุณความดีของลูกสะใภ้เปลี่ยนใจพ่อสามีแทนค่ะ  ^^"

อ้อ เกือบลืม ช่วงนี้ปัดมีรีปริ้นท์นิยายทำมือทุกเรื่องนะคะ ลงไว้ในกระทู้แจ้งข่าวที่เล้า ในกระทู้นี้ค่ะ คลิก   นอกจากนี้บางเรื่องยังมีลงขายเป็นอีบุคในเว็บ meb ด้วยนะคะ ใช้ชื่อนามปากกาว่า P.Pat ค่ะ  ใครสนใจก็แวะไปดูกันได้ค่ะ จะทยอยลงเรื่องเรื่อย ๆ ให้เท่ากับแบบหนังสือค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2014 00:16:00 โดย Xenon »

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ดีค่ะ ยูคิดูเด็ดเดี่ยวมาก ชอบมาก

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
สู้ๆ นะ ยูคิ มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี


ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:ยูคิสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆนะลูกกก :L2: :L2: :L2: :L2: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด