ตอนที่ 3
วารีถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อหนุ่ม ๆ พากันมารุมแออัดที่ครัวของเธอ แม้จะเอ็นดูและชื่นชมในความมีน้ำใจของแต่ละราย ทว่าพอมารวมตัวกันเยอะเข้าแบบนี้ จากที่เคยหยิบจับอะไรได้คล่องก็กลับกลายเป็นวุ่นวายไปเสียแทน
“เฮ้อ...แม่ว่าพวกลูก ๆ แต่ละคนไปรอข้างนอกดีกว่า ถ้าจะเหลือลูกมือไว้ล่ะก็ ขอมีนคนเดียวก็พอแล้วจ้ะ”
วารีบอกกับทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็ยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรู้ตัวดีว่าดันเผลอมาสร้างความวุ่นวายให้กับหญิงสาวเข้าให้แล้ว
“เอ่อ...ถ้ายังไงผมขออยู่เป็นลูกมือของน้องมีนอีกทีจะได้ไหมครับคุณแม่”
เมฆายังคงต่อรอง เพราะไม่อยากแยกห่างจากคนรักของตน ทำเอามีนาหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย ส่วนวารีก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“ก็แล้วแต่เมฆเถอะจ้ะ เพราะขืนไม่ให้อยู่ เดี๋ยวก็มาผลุบ ๆ โผล่ ๆ ให้แม่ได้เห็นอยู่ดีล่ะนะ”
เมฆายิ้มเจื่อน ส่วนคนอื่นก็ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง เพราะต่างมั่นใจและเชื่อว่าเมฆาจะทำตามที่วารีพูดเช่นนั้นจริงแน่แท้
“อ้อ...ส่วนคนอื่นก็ไปพักผ่อนให้สบายเถอะนะ พอขนมเสร็จแม่จะให้มีนไปเรียกเองจ้ะ”
วารีหันมายิ้มหวานแกมบังคับเมื่อเห็นมีบางคนเตรียมจะอาสาอยู่ช่วยต่อ ซึ่งแต่ละคนพอได้ยินก็พากันยิ้มแห้งตอบรับ เพราะวารียังคงยืนยันตามความเห็นเดิมก่อนหน้านั้น
“ถ้าคุณแม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรล่ะก็ เรียกพวกเราได้ตลอดเลยนะครับ”
เวทิตบอกก่อนจะเดินจากไปอย่างเกรงใจ ซึ่งเจตต์เองก็รีบพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกับเพื่อนสนิททันที
“จ้า ๆ ถ้ามีเรื่องให้ต้องใช้แรงงานล่ะก็ แม่จะนึกถึงต้นกับเจก่อนเป็นคนแรกเลยจ้ะ”
วารีบอกอย่างเอ็นดู ซึ่งก็ทำให้เพื่อนของลูกชายเธอทั้งสองยิ้มออกได้ จากนั้นเมื่อทั้งหมดออกไปจากครัวแล้ว เธอกับลูกชายคนเล็กก็ลงมือทำขนมกันต่ออย่างราบรื่น โดยที่เมฆาที่อาสาอยู่ช่วยนั้น เอาเข้าจริง ๆ แล้วก็แทบจะไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย ทั้งนี้เพราะมืออาชีพทางด้านการครัวทั้งสองคน เหมางานไปทำกันอย่างคล่องแคล่วแล้วนั่นเอง
ทางด้านคนอื่นเมื่อออกมาจากบ้านพักแล้ว เวทิตก็ถามถึงบิดาของเวหา ซึ่งพอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไปดูแลต้นไม้ตามปกติ เด็กหนุ่มก็รีบอาสาตัวไปช่วยอย่างกระตือรือร้น ทำให้เวหาอมยิ้มแล้วสั่นศีรษะไปมา ก่อนบอกเพื่อนสนิท
“ถึงไปก็แทบไม่มีอะไรจะทำ ...เพราะพ่อเขามีผู้ช่วยส่วนตัวอยู่แล้ว”
เวทิตกับเจตต์ขมวดคิ้วยุ่งอย่างประหลาดใจ ซึ่งเวหาก็อธิบายให้เพื่อนทั้งสองฟัง
“ก็พี่ซันน่ะสิ กลัวพ่อจะเหนื่อยก็เลยหาคนงานให้มาช่วยทำ ทั้ง ๆ ที่พ่อก็บอกไว้แล้วว่ามันสิ้นเปลือง...”
เวหาเว้นวรรค แล้วเหลือบไปมองคนรักที่ยืนยิ้มข้าง ๆ ตน อย่างเอือมระอา ก่อนจะหันมาเล่าต่อ
“...แต่พี่ซันก็ยังตื๊อต่อ แถมคนที่พามาแนะนำให้ทำงาน ก็ยังเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับการเกษตร และเจ้าตัวก็อยากทำงานมีเงินเก็บ เพื่อหาซื้อที่ดินทำไร่นาสวนผสมแบบพอเพียงเป็นของตัวเองสัก 1 – 2 ไร่ ในอนาคต พ่อก็เลยใจอ่อนตกลงรับให้ทำงาน...แต่เขาก็ขยันขันแข็งดี แถมยังช่างจดช่างจำ พ่อก็เลยชอบใจ ถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างเต็มที่เลยล่ะ”
เวหาเล่าถึงตรงนี้ เจ้าตัวก็กวักมือชวนเพื่อนและคนอื่นให้ไปนั่งตรงซุ้มใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านแทน ระหว่างเดินไปนั้นเด็กหนุ่มก็เล่าให้เพื่อนของตนฟังต่อไปเรื่อย ๆ
“ส่วนเรื่องเงินเดือน ทีแรกพี่ซันจะให้ผู้ช่วยพ่อรับเงินเดือนจากเขา แต่พ่อไม่ยอม ตกลงกันไปมา สุดท้ายพี่ซันก็ต้องยอมให้พ่อเป็นคนจ่ายเงินเดือนแทน ...แต่พี่ซันก็ถือโอกาสแอบซื้อเครื่องมือโน่นนี่มาเพิ่มให้เรื่อย ๆ อยู่ดี ถ้าพ่อจับได้ทีก็หยุดไปทีล่ะนะ”
เวหาเล่าแล้วก็หันไปค้อนให้คนรักนิด ๆ ซึ่งรวีก็ยิ้มเจื่อนตอบ แล้วรีบแก้ตัวตามมา
“โธ่! น้องฟ้าล่ะก็ พี่เองก็อยากให้คุณพ่อได้พักสบาย ๆ นี่ครับ ส่วนเรื่องเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ พี่ก็ซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ได้แพงมากอะไรสักหน่อย”
“ครับ...ไม่แพงมาก ...แต่ของบางอย่างมันก็ยังใช้งานได้อยู่นะครับ ไม่เห็นจำเป็นต้องซื้อของใหม่มาให้สิ้นเปลืองเลย”
เวหาบ่นอุบ ซึ่งก็ทำให้รวีหุบปากเลิกโต้แย้ง เพราะรู้ดีว่าคนรักและครอบครัวคนรักไม่ค่อยชอบให้เขาใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อพวกตนเอง แม้ว่าเขาจะเต็มใจและไม่รู้สึกลำบากในการใช้จ่ายนั้นเลยก็ตาม
“....พี่ขอโทษนะครับ คราวหน้าคราวหลังพี่จะถามความสมัครใจของน้องฟ้าและพวกคุณพ่อ คุณแม่ กับน้องมีน ก่อนนะครับ...น้องฟ้าอย่าโกรธพี่นะครับ”
พอเห็นรวีเปลี่ยนมาอ้อนตนแทน ก็ทำให้เวหาหน้าแดงระเรื่อ แล้วพยักหน้าพร้อมอุบอิบตอบ
“ฟ้าก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่ซันหรอกครับ...แค่ไม่อยากให้พี่ซันสิ้นเปลืองก็เท่านั้นเอง”
คนอื่นที่มองอยู่ต่างอมยิ้มน้อย ๆ มีเพียงแต่เจตต์ที่แกล้งโพล่งแซวทั้งคู่
“แหม ๆ หวานกันจังเลยนะครับ ช่วยเกรงใจคนไม่มีแฟนหน่อยเหอะครับ”
“ถ้าอยากมีแฟน ฉันช่วยเธอได้เสมอนะเจ”
เสียงทุ้มที่แทรกมาจากคนหน้าขรึม ทำเอาคนพูดแซวสะดุ้งโหยง แล้วจึงหันหน้ามาหาคนพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อน
“ง่า...ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมยังอยากโสดต่ออยู่อีกสักหน่อย”
เจตต์ตอบเสียงอ่อย ซึ่งเอริคก็พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ด้วยใบหน้าเฉยชาดุจเดิม
“อย่างนั้นหรือ...ถ้าอยากมีเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน ฉันจะได้เสนอตัวเข้าสมัครเป็นแฟนเธอคนแรกยังไงล่ะ”
แทบทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ มีเพียงรวีที่อมยิ้มอย่างถูกใจกับความช่างตื๊อของญาติตน ส่วนเวทิตกับเวหาที่มองอยู่ต่างก็ลอบถอนหายใจอย่างระอา เพราะเพื่อนสนิทของพวกเขานั้น ทั้งที่รู้ดีว่ามีคนจ้องจะจับตัวเองเป็นแฟนอยู่แท้ ๆ แต่ก็ยังปากไวหาเรื่องเข้าตัวอยู่เสมออย่างน่าปวดหัวแทน
“ถ้าจะนั่งคุยกันที่นี่ เดี๋ยวฉันขอตัวไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะซัน”
เอริคบอกกับรวีที่นั่งลงบนเก้าอี้ในซุ้มพร้อมกับคนอื่น ๆ ซึ่งรวีก็พยักหน้าตอบรับ จากนั้นเอริคก็เดินห่างออกไป ทว่าเท่าที่พวกเวหาสังเกตก็เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นยามที่คุยโทรศัพท์กับปลายสายดูมีสีหน้าขรึมยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“หมอนั่นเห็นแบบนั้นแต่ธุรกิจรัดตัวน่าดูเลยนะ ...แต่คนอย่างหมอนั่นถึงกับยอมทิ้งงานทิ้งการเพื่อมาเมืองไทย... น้องเจก็ลองคิดดูแล้วกันนะครับว่า น้องเจมีค่ากับเขาขนาดไหน”
รวีบอกกับเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ทำเอาคนฟังสะดุ้งแล้วกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะยิ้มเจื่อนส่งให้ แล้วจึงเผลอแอบมองคนหน้าเคร่งขรึมที่อยู่ห่างออกไปอย่างลืมตัว
“...หรือครับ สำเร็จเรียบร้อยแล้วสินะครับ...ขอบคุณมากครับพี่อีธาน”
เอริคบอกกับปลายสายซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเขา ที่ยามนี้ช่วยรับฝากดูงานบริษัทให้ชั่วคราว
“ไม่เป็นไร...อีกอย่างที่เจรจาได้สำเร็จราบรื่น ก็เพราะได้คุณเลขาคนเก่งของนายเขาช่วยเตรียมข้อมูลทางฝ่ายนั้นให้ต่างหาก ส่วนฉันก็มีหน้าที่ไปเจรจาตามเขาสั่งก็เท่านั้นเอง....หึ ๆ"
ท้ายประโยคเจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เนื่องจากชายหนุ่มผมดำ ลูกครึ่งจีนอเมริกา ผู้มีใบหน้าคมคาย และรูปร่างเพรียวบาง ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลขาของน้องชายตนนั้น กำลังส่งสายตาแกมหมั่นไส้นิด ๆ ที่เขาเอาเจ้าตัวไปนินทากับน้องชายต่อหน้าต่อตาอีกฝ่ายนั่นเอง
“อ้อ...เกือบลืมไป แล้วตกลงเรื่องซินเดอเรลล่าของนายน่ะ เป็นยังไงบ้าง กำลังหวานชื่นกันอยู่สินะ”
อีธานถามต่อ ทำเอาคนที่กำลังจะคิดวางสายชะงัก ก่อนจะตอบออกไปตามตรง
“ยังเลยครับพี่ ...เขายังไม่มีทีท่าจะยอมรับผมเป็นแฟนด้วยซ้ำ”
เอริคบอกแล้วเหลือบไปมองคนที่ตนหลงรัก ก่อนจะชะงักอีกครั้งเมื่อสบกับสายตาของคนที่ลอบมองตนอยู่ก่อนหน้านั้นพอดี
“หือ! อะไรกัน! หน้าตาอย่างนายนี่ยังมีใครกล้าปฏิเสธอีกอย่างนั้นหรือ เด็กนั่นตาถั่วหรือเปล่า!”
ปลายสายโวยวายมาอย่างไม่สบอารมณ์ ที่มีคนปฏิเสธน้องชายคนเล็กสุดที่รักของบ้านเช่นนี้
“เอริค! เฮ้...นี่นายยังอยู่ในสายไหมน่ะ!”
เอริคชะงัก เพราะดันเผลอจ้องสบตากับเจตต์นานไปหน่อย ส่วนเด็กหนุ่มนั้นยามนี้หันขวับกลับไป แล้วนั่งเงียบใจเต้นระทึกด้วยความตกใจระคนสับสนในตัวเอง ที่เมื่อครู่เขาดันไม่ยอมหลบตาตอนเอริคหันมา แถมดันเผลอจ้องตาตอบอีกฝ่ายตั้งนานสองนานอีกต่างหาก
“...ผมฟังอยู่ครับพี่”
เอริคตอบปลายสายแผ่วเบา ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม พลางเอ่ยต่อก่อนที่ปลายสายจะโวยวายยิ่งกว่านี้
“เรื่องของผมพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ...ผมไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว พี่ก็รู้ดีไม่ใช่หรือ”
อีธานที่ฟังอยู่ชะงัก ก่อนจะยิ้มกับโทรศัพท์น้อย ๆ
“ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะสมกับเป็นน้องชายพี่ ... ขออวยพรให้โชคดีล่วงหน้าล่ะน้องรัก”
เอริคยิ้มตอบพร้อมกล่าวขอบคุณเบา ๆ ก่อนจะตัดสาย แล้วเดินเข้ามาร่วมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ตามเดิม
“ไง เอริค ...มีอะไรดี ๆ หรือเปล่า ถึงได้ดูอารมณ์ดีผิดเคยเชียว”
รวีที่รู้จักสนิทสนมกับอีกฝ่ายมานานเอ่ยทัก ทำเอาอีกสามคนที่เหลือต้องมองทั้งคู่สลับกันตาปริบ ๆ เพราะเอริคก็ยังคงหน้านิ่งเฉยชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเท่าไรนัก
“ก็ไม่มีอะไรมาก...ก็แค่ลูกค้าที่ฝากให้พี่อีธานช่วยดูแล ตกลงทำสัญญาเรียบร้อยแล้วก็เท่านั้นล่ะ”
เอริคตอบเสียงเรียบแต่กลับใช้สายตาปรายมามองหนึ่งในนั้นที่กลืนน้ำลายลงคอ และพยายามหลบสายตาอีกฝ่ายอย่างเต็มที่
“โอ...ข่าวดีสินะ ว่าแล้วเชียวถึงได้ดูอารมณ์ดีผิดเคย...หึ”
รวีเปรยพร้อมกับยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ มองสายตาของญาติตนก็พอจะรู้แล้วว่าเอริคนั้นอารมณ์ดีเรื่องอะไรกัน เพราะตั้งแต่เมื่อครู่เขาเห็นเจตต์นั้นเลิ่นลั่กผิดปกติ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัญญาณอันดี เพราะถ้าเด็กหนุ่มไม่คิดอะไรกับญาติของเขาเลย ก็คงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ให้ได้เห็นเป็นแน่
“...ง่า คือเดี๋ยวผมต้องขอตัวแป๊บนะครับ ...คือ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ไว้ในห้อง ..เกิดทางบ้านโทรมาแล้วไม่รับจะเป็นห่วงเอา”
เจตต์รีบลุกพรวดแล้วอ้างเหตุผลกับทุกคน ทว่ายังไม่ทันจะเดินห่างจากซุ้มไปไม่กี่ก้าวดี เอริคก็ลุกแล้วก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปเป็นเพื่อน”
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง เนื่องจากที่อ้างไปก็เพราะไม่อยากนั่งใกล้อีกฝ่ายให้รู้สึกแปลก ๆ ยิ่งกว่าเดิม แต่นี่เอริคดันอาสาเดินตามมาด้วย เขาคงไม่แคล้วต้องหลุดแสดงท่าทางชวนให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดยิ่งขึ้นแน่
“ต้น...”
เจตต์หันไปมองเพื่อนสนิทแล้วเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอน จนเวทิตอดใจอ่อนไม่ได้
“เฮ้อ...งั้นผมก็ขอไปด้วยคนแล้วกันนะครับ พอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบโทรศัพท์มาติดตัวไว้เหมือนกัน”
เอริคเหลือบมองเด็กหนุ่มอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ส่วนเจตต์พอเห็นเพื่อนไม่ทิ้งตนเขาก็ขยับมาเกาะแขนเวทิตหวังเอาเป็นที่พึ่ง จนอีกฝ่ายต้องมองตาปริบ ๆ ยิ่งได้เห็นสายตาคมกริบจ้องมาที่พวกเขา เด็กหนุ่มก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“งั้นก็ไปหยิบมือถือกันเถอะครับ จะได้กลับมารวมกลุ่มรอกินขนมฝีมือของคุณแม่กันต่อ”
“อื้อ ๆ ไปเลยไป”
เจตต์รับคำ เพราะรู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรที่จับจ้องมานั่นเหมือนกัน
“ก็ดีเหมือนกัน...”
เอริครับคำเสียงเรียบ จากนั้นทั้งสามก็เดินตรงไปที่บ้านพัก ซึ่งเอริคก็เลือกที่จะรอหน้าบ้านไม่ตามเข้าไป สร้างความโล่งอกให้กับเจตต์ยิ่งนัก
“ไม่ต้องมาทำสีหน้าโล่งอกโล่งใจแบบนั้นเลย...นั่งอยู่ด้วยกันก็ดีอยู่แล้ว คิดยังไงถึงสร้างสถานการณ์ให้เขาตามมาสองต่อสองแบบนั้นกันเล่า”
เวทิตบ่นเพื่อนเบา ๆ หลังจากที่เดินเข้ามาในบ้านพักด้วยกันสองคน
“บ้ารึ! ใครอยากสร้างสถานการณ์ให้เขาตามมากัน!”
เจตต์แย้งอย่างไม่ดังนัก ซึ่งเวทิตก็ถอนหายใจ แล้วเอ่ยตอบ
“ก็แบบที่นายทำอยู่นั่นล่ะ นี่ถ้านายปิ๊งเขาอยู่ก่อน ฉันคงเผลอคิดว่านายตั้งใจชวนเขาไปจู๋จี๋กันสองต่อสองแล้วด้วยซ้ำ”
เจตต์เบิกตากว้าง แล้วรีบอธิบายแก้ตัวตามมา
“ไม่ใช่นะ! ฉันก็แค่รู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่ใกล้เขา เลยหาเรื่องปลีกตัวหนีมาต่างหาก!”
พอโพล่งออกไปเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงแล้วรีบตะครุบปิดปากตัวเอง ที่ดันเผลอเล่าความในใจให้เพื่อนฟังจนหมด
“รู้สึกแปลก ๆ นี่นะ....อย่าบอกนะเจ ว่านายเริ่มชอบคุณเอริคเข้าให้แล้วน่ะ”
เวทิตทวนคำอย่างนึกอึ้ง แต่ก็ไม่ค่อยถึงกับแปลกใจมากนัก เพราะลองเจอคนหน้าตาดีมาดสุภาพบุรุษแบบนั้นคอยตามตื๊อตามรับส่งอยู่ทุกวัน ถ้าไม่ใจแข็งนัก ก็คงอดหวั่นไหวเข้าให้ไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ใช่สักหน่อย! ฉันแค่บอกว่ารู้สึกแปลก ๆ เท่านั้นเอง!”
เจตต์รีบแย้งเสียงดังอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งแล้วเผลอเหลือบไปมองทางเข้าบ้าน แต่พอไม่เห็นว่าเอริคจะเดินตามเข้ามา เขาก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะดึงมือเพื่อนให้เข้าไปคุยในห้องของตนแทน
“ฉันเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่ใกล้เขาในตอนนี้ใช่ไหมล่ะ...เพราะงั้นก่อนที่มันจะพัฒนาเป็นอย่างอื่นที่แย่ไปกว่านี้ ...ฉันว่าฉันหาทางเลี่ยงให้อยู่ไกลเขามากที่สุดก็คงจะดี ...บอกตรง ๆ ว่ะต้น ฉันยังไม่อยากเปลี่ยนสายไปชอบไม้ป่าเดียวกัน...ไม่ใช่ฉันรังเกียจหรอกนะ แต่ฉันยังไม่กล้าพออ่ะ ...ก็ชอบสาวมาทั้งชีวิต จู่ ๆ จะให้เปลี่ยนมันก็ทำใจลำบาก”
เจตต์บ่นอุบอิบ หากแต่เวทิตนั้นก็เข้าใจในความรู้สึกของเพื่อนสนิทดี เพราะถ้าเป็นเขาก็คงกลุ้มใจอยู่เหมือนกัน
“เอาเถอะ ...เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของนาย ฉันก็จะยกให้เป็นการตัดสินใจของนายโดยไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวล่ะนะ แต่ถ้ามีอะไรต้องการปรึกษา ก็มาคุยกับฉันได้ตลอดเวลา ถึงแม้จะช่วยแนะนำอะไรไม่ได้ แต่ก็เป็นที่รับฟังได้นะ ...กับฟ้าก็เหมือนกัน ฉันคิดว่าเขาก็คงเต็มใจและเคารพในการตัดสินใจของนายเหมือนกับฉันนั่นล่ะ”
เจตต์มองเพื่อนอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมา เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบา ๆ
“เจอมือถือหรือยังเจ...จะให้ฉันไปช่วยหาให้ไหม”
เสียงของเอริคดังขึ้นจากนอกห้อง ทำให้เวทิตหันไปมองแล้วถอนหายใจ
“ฉันว่านายรีบหยิบมือถือของนายแล้วไปรวมตัวกับพวกเราดีกว่านะเจ ...ต่อให้นายจะรู้สึกแปลก ๆ ยังไง แต่ก็ดีกว่าให้อยู่กับเขาสองต่อสองจริงไหมล่ะ”
เจตต์ยิ้มเจื่อมพร้อมกับพยักหน้ารับ ส่วนเวทิตนั้นเดินออกจากห้องไปก่อน เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าขรึม ๆ ของชายหนุ่มที่มองมา ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงยิ้มตอบ ก่อนจะบอกกับคนที่ยืนอยู่เบา ๆ
“เพื่อนของผมมันเป็นพวกขี้กลัวและชอบตีโพยตีพายจินตนาการไปเองก่อนเสมอ ถ้าคุณไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของคุณติดลบในความคิดของเขานัก ผมว่าเรื่องตามหึงหวงนี่ ช่วยลด ๆ ลงหน่อยจะดีไม่น้อยนะครับ เอาไว้ถ้าหมอนั่นรับรักคุณจริงเมื่อไหร่ล่ะก็ จะตามหึงตามหวงก็ยังไม่สาย…จริงไหมครับ”
เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่ใบหน้าขรึมนั้นจะผ่อนคลายและมีรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาแทน
“ขอบใจที่ช่วยเตือน...และแนะนำ”
“ขอเป็นช่วยเตือนเฉย ๆ จะดีกว่าครับ ...ขืนแนะนำด้วย เดี๋ยวหมอนั่นมันจะหาว่าผมขายเพื่อนพอดี”
เวทิตบอกอย่างนึกขำแล้วขอตัวเลี่ยงไปเข้าห้องตัวเอง เมื่อเหลือบเห็นว่าเจตต์นั้นกำลังเดินตรงมาที่ประตูอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“อ้าว...จะไปไหนน่ะต้น”
เด็กหนุ่มรีบถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทผลุบเข้าห้องไปเมื่อเขาออกมา
“เขาก็จะไปหยิบมือถือบ้างน่ะสิ...พวกเธอมาบ้านพักเพื่อที่จะเอามือถือไม่ใช่หรือไง”
เอริคตอบคำถามนั้นแทน ทำให้เจตต์สะดุ้งแล้วหันมาฝืนยิ้มเจื่อนให้กับคนพูด ก่อนจะรีบหลบสายตาก้มมองลงพื้น แล้วยืนกำมือยุกยิกทำอะไรไม่ถูก จนคนมองเริ่มสงสาร
“ฉันไปรอข้างนอกก่อนนะ ...ถ้าเพื่อนเธอได้มือถือแล้วก็ตามไปแล้วกัน”
บอกจบเอริคก็เดินตรงไปยังประตูทางออก ทำเอาเจตต์ที่เงยหน้าทันเห็นแค่แผ่นหลังอีกฝ่ายเดินจากไปเท่านั้น
“อ้าว...คุณเอริคล่ะ ไม่ได้ยืนรอด้วยกันหรอกหรือ”
เวทิตที่ออกมาจากห้องพร้อมมือถือเอ่ยถาม ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสนิท
“ง่า...เห็นบอกว่าจะไปยืนรอข้างนอกก่อนน่ะ”
“อืม...งั้นหรือ ก็ดีนะ ยังเว้นช่องว่างให้กันบ้าง นึกว่าจะเป็นพวกเอาแต่คอยตื๊อไม่เลิกจนน่ารำคาญเสียอีก”
เวทิตบอกยิ้ม ๆ แล้วชวนเพื่อนให้ออกไปพร้อมกับตน ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งนิด ๆ เพราะดันเผลอคิดอะไรเพลิน ๆ เกี่ยวกับคนที่รออยู่ข้างนอกนั่นเข้าให้อีกแล้ว
... TBC ...
ทยอยลงให้อ่านวันละตอนในช่วงนี้ไปก่อน แต่พอถึงช่วงสงกรานต์ข้าพเจ้าจะอู้นะคะ แหะ ๆ