ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว  (อ่าน 197222 ครั้ง)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Ryu_Chise

  • You love me?
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
คือจะขำเจ สงสารเอริค หรือตลกทั้งคู่ดี น่ารักอะ 5555 ถ้ารักกันแล้ว เจจะเป็ฯไงหว่าาาาาาาาา  :hao4: :hao4:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
สวัสดีปีใหม่ไทยนักอ่านทุกท่านค่ะ ^^  :L2:  ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะคะ  :pig4:



ตอนที่ 7


    เจตต์ยอมให้เอริคเดินจูงมือเขาไปเงียบ ๆ ทว่าหัวใจของเขากลับเต้นแรง แถมยังหน้าร้อนวูบวาบไปเป็นระยะอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่าอาการเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเผลอใจให้กับอีกฝ่าย แต่ลึก ๆ แล้วเจตต์นั้นก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่า เขาเริ่มที่จะมีเรื่องของเอริคเข้ามารบกวนในหัวใจอยู่แทบจะตลอดเวลา

   “อ๊ะ...”

   คนที่กำลังเหม่อเผลอเดินสะดุดก้อนหิน ยังดีที่คนจูงมือคอยระวังและรับไว้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะล้ม

   “เดินระวังหน่อยสิ อย่าใจลอยนัก”

   เอริคเตือนอีกฝ่ายด้วยใบหน้าขรึม ๆ ทำให้เจตต์ยิ้มเจื่อนตอบพร้อมกับพึมพำขอโทษ  เด็กหนุ่มเหลือบมองทางคู่ของเวหากับรวี แล้วลอบถอนหายใจ

    แม้ว่าเอริคจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับรวี แต่การแสดงออกและนิสัยใจคอนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถึงเอริคจะแสดงออกว่าชอบเขา แต่ก็ไม่เคยพูดจาเอาอกเอาใจอ่อนหวานใส่เหมือนกับที่รวีเป็น เจตต์คิดว่าบางทีหากเอริคใจดีกว่านี้สักนิด เขาคงจะใจอ่อนกับชายหนุ่มได้ไม่ยากนักหรอก

   “เจ...นี่ ได้ยินฉันพูดไหม”

   ใบหน้าที่ชะโงกเข้ามาใกล้ ๆ ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สะดุ้งเฮือก แล้วรีบถอยหลังหนีอย่างตกใจ ทว่าเขาก็ต้องลื่นจนเกือบลงไปนั่งจ้ำเบ้าเพราะพื้นซึ่งเต็มไปด้วยหินที่มีตะไคร่ปกคลุมบริเวณนั้น

   “เธอนี่นะ...ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลาเดินอย่าเหม่อลอยนัก”

   เอริคดุแล้วนิ่วหน้านิด ๆ เพราะเขานั้นคว้าอีกฝ่ายได้ทันก็จริง แต่ตัวเขาก็ลื่นจนเข่ากระแทกพื้นหินไปค่อนข้างแรง และเมื่อลุกขึ้นก็ต้องพบว่ากางเกงผ้าขายาวของตัวเองนั้นถลอก และแผลก็มีเลือดไหลผสมกับตะไคร่น้ำเปรอะไปหมด

   “คะ...คุณเอริค ...เข่าคุณ”

   เจตต์บอกด้วยใบหน้าซีดเผือดคล้ายจะเป็นลม แม้จะแพ้เลือด แต่เพราะอีกฝ่ายต้องเจ็บเพราะเขา เด็กหนุ่มจึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก จนเอริคที่มองอยู่นึกสงสาร

   “ฉันไม่เจ็บมากหรอก... เธออย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

   คำพูดปลอบอ่อนโยนของอีกฝ่ายทำให้เจตต์นึกอยากร้องไห้ แม้ว่าเอริคจะไม่เคยพูดหวานกับเขา แต่ทุกคำพูดที่ชายหนุ่มแสดงออกก็ล้วนแต่แสดงถึงความรักและหวังดีกับเขาทั้งนั้น

   “เฮ้ย! เป็นอะไรมากหรือเปล่าน่ะเอริค!”

   รวีย้อนกลับมาสมทบแล้วมองแผลของญาติตนอย่างเป็นห่วง

   “นายจะโวยวายทำไมกันซัน ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”

   เอริคดุอีกฝ่ายเบา ๆ เพราะยิ่งรวีโวยวาย เจตต์ก็ยิ่งมีสีหน้ารู้สึกผิดและหวั่นวิตกให้เขาได้เห็นมากขึ้น

   “ไม่โวยได้ไง เกิดนายเป็นอะไรไป ครอบครัวนายกับพ่อของฉันก็ตามมาอาละวาดฉันเข้าพอดี!”   

   รวีบอกตามมาอย่างใจเย็นขึ้น แถมยังนึกขำเมื่อเห็นเอริคห่วงใยเจตต์เสียมากกว่าแผลของตนเองเสียอีก

   “ง่า...ผมว่า พาคุณเอริคไปล้างแผลก่อนดีไหมครับ ...แผลไม่ใหญ่ก็จริง แต่ถ้าเชื้อโรคเข้าไปก็ลำบากนะครับ”

   เสียงของเวทิตที่มองอยู่แย้งขึ้น ทำให้แต่ละคนเห็นด้วย ทางเจตต์รีบอาสาตัวประคองชายหนุ่ม ทว่าด้วยความที่เอริคตัวสูงและหนากว่า จึงทำให้รวีอาสาเปลี่ยนตัว เพราะเกรงว่าทั้งคู่จะกลิ้งไปตามทางลาดลงเสียก่อน

   

   เนื่องจากพวกเขามาเพื่อเล่นน้ำตก จึงไม่มีใครเตรียมอุปกรณ์ทำแผลมาสักคน หลังจากใช้น้ำสะอาดล้างแผลแล้ว เจตต์จึงรีบชวนให้เอริคกลับไปทำแผลที่โรงพยาบาลแถวนี้

   “แผลแค่นี้ต้องไปโรงพยาบาลเลยเชียวหรือครับน้องเจ”

   รวีเป็นคนแย้งแทนญาติ  ซึ่งเอริคก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับรวี  หากแต่เจตต์นั้นเม้มปากน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบ

   “ถ้าไม่ไปโรงพยาบาล ก็ต้องไปทำแผลใส่ยา...นะครับ คุณเอริค”

   สายตาอ้อนวอนและมือที่ยื่นมาจับแขนตน ทำให้คนมองนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย จนรวีกับเมฆาที่รู้จักเอริคดีถึงกับประหลาดใจไปตาม ๆ กัน

   

   ตลอดเวลาที่นั่งรถตู้ไป จากที่ปกติเจตต์จะเลี่ยงนั่งคนละเบาะกับเอริค คราวนี้เด็กหนุ่มเลือกนั่งข้างกัน แถมยังเหลือบมองแผลของอีกฝ่ายเป็นระยะด้วยใบหน้าซีดเผือด จนเอริคต้องจับมือของเด็กหนุ่มมาบีบเบา ๆ แล้วยิ้มให้

   “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร...ฉันเคยมีแผลใหญ่กว่านี้ตั้งหลายเท่า ยังรอดมาได้เลย”

   พอได้ยินเอริคบอกอย่างนั้น เจตต์ก็มองอีกฝ่ายอย่างสงสัย จนลืมใส่ใจเรื่องที่เอริคยังคงจับมือเขาอยู่

   “แผลที่ว่านั่น ใช่แผลตอนโดนกระจกบาดหลังนั่นหรือเปล่า...”

   รวีขัดขึ้นมา ทำให้เอริคเหลือบไปมองแล้วตอบรับสั้น ๆ

   “ใช่...แผลนั่นล่ะ”

   “แล้วทำยังไงถึงได้โดนกระจกบาดหลังได้ล่ะครับ”

   เจตต์ถามแทรกขัดขึ้นมาอย่างสงสัย ทางด้านรวีชะงักแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนเอริคก็เงียบขรึมไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเริ่มต้นเล่าให้เด็กหนุ่มฟัง

   “เกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อย ...พอดีฉันกับเอล...แฟนเก่าฉันน่ะ... พวกเราไปเลือกนาฬิกาข้อมือด้วยกัน แล้วร้านนั้นตั้งอยู่ที่ริมถนน รถยนต์ข้างนอกเกิดเสียหลักพุ่งชนมาหน้าร้านที่เป็นกระจกใสทั้งบาน เศษกระจกปลิวมาทางพวกฉัน ...ฉันก็เลยมีแผลที่หลังน่ะ”

   ท้ายประโยคเอริคชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ ทว่าแม้จะไม่ได้เล่ารายละเอียดในตอนนั้น แต่เจตต์ก็พอจะคาดเดาได้ว่าแผลที่หลังของเอริคเกิดขึ้นเพราะเหตุใด...ขนาดเขาที่อีกฝ่ายแค่ชื่นชอบ ชายหนุ่มยังดูแลและห่วงใยเขาขนาดนี้  แล้วกับแฟนเก่าที่เอริครักมาก คนใจดีอย่างเอริคคงจะต้องสละแผ่นหลังของตนปกป้องคนรักเก่าของเจ้าตัวไว้แน่

   เจตต์รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกอิจฉาคนรักเก่าของชายหนุ่ม ที่เคยได้รับความรักมากมายจากคนตรงหน้าขนาดนี้ และนึกสงสารชายหนุ่มที่แม้จะมอบใจให้ แต่กลับได้รับการทรยศตอบแทน

   “เจ...มีอะไรหรือเปล่า”

   สีหน้าซีด ๆ ของเด็กหนุ่มและอาการเงียบงันใจลอยนั้น ทำให้เอริคเอ่ยทัก เจตต์สะดุ้งนิด ๆ แล้วหันมาฝืนยิ้มให้กับอีกฝ่าย

   “อ๊ะ..เอ่อ...ไม่เป็นอะไรครับ เอิ่ม...แบบว่า... ผมก็แค่ปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้น”

   คำแก้ตัวของอีกฝ่ายทำให้เอริคขมวดคิ้ว เพราะพวกเขารีบร้อนกลับขึ้นรถ เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มจึงยังไม่แห้งดี แถมยังขึ้นมานั่งบนรถตู้ที่เปิดแอร์เย็นเฉียบอีกต่างหาก

   “เคน ช่วยเบาแอร์ให้หน่อย”

   เอริคบอกคนขับซึ่งเป็นลูกน้องของรวี แล้วหันมาถามทางเด็กหนุ่มต่อ

   “เอาชุดมาเผื่อหรือเปล่า”

   “ง่า...ก็ติดมาเผื่อไว้เหมือนกันครับ”

   เจตต์รีบบอก และพอได้ยินดังนั้นรวีเองก็นึกขึ้นได้ จึงรีบหันมาสอบถามเวหาเรื่องเสื้อผ้า จนเวหาต้องยิ้มเจื่อนเพราะเขาตั้งใจถอดเสื้อเล่นตั้งแต่แรก จึงไม่ได้เอาเสื้อมาเผื่อ พอรู้ดังนั้นรวีจึงถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองให้คนรักสวมใส่แทนทันที ส่วนตัวเขาก็เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวใส่ติดกายเท่านั้น 

   “เอ้า! เจ เสื้อเปลี่ยน ...เห็นไหมล่ะ ว่าติดมาก็ไม่เสียหายน่ะ”

   ทางด้านเวทิตเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของเจตต์ส่งให้เจ้าตัว ส่วนเขาที่พกชุดสำรองมาด้วยเช่นกัน ก็ถอดเสื้อผ้าเปียกเปลี่ยนชุดใหม่อย่างสบาย ๆ ทว่าเจตต์นั้นยังคงไม่กล้าเปลี่ยนตามเพื่อน เพราะเอริคเล่นจ้องเขาไม่วางตา แม้จะรู้ว่าถูกจ้องเพราะเป็นห่วงก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็อดที่จะเขินไม่ได้อยู่ดี

   “ทำไมไม่รีบเปลี่ยนเสื้อ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

   เอริคบอกเสียงดุ ทำเอาคนถูกดุสะดุ้งโหยง แล้วก้มหน้างุด ๆ หลบตา ทว่ายังไม่ทันที่เอริคจะพูดต่อ เสียงของรวีก็ขัดขึ้นเสียก่อน

   “แหม ๆ คุณเอริคครับ... ก็นายเล่นจ้องเอา ๆ เสียขนาดนั้น เขาก็ไม่กล้าถอดเสื้อต่อหน้านายน่ะสิ!”

   พอได้ยินที่รวีพูดเอริคก็รู้สึกตัว ยิ่งได้เห็นใบหูที่แดงระเรื่อของเด็กหนุ่มเขาก็รู้สึกที่จะยินดีขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้

   “อย่างนั้นเองหรือ...ถ้างั้นฉันไม่ดูเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้ จัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียสิ”

   บอกแล้วชายหนุ่มก็เบือนหน้าหันมองกระจก ทำให้เจตต์ที่เงยหน้าขึ้นมาโล่งอก แล้วจึงรีบถอดเสื้อตัวเปียกออก และเปลี่ยนเสื้อแห้งตัวใหม่ใส่แทน โดยไม่ทันสังเกตว่าภาพของตนจะสะท้อนบนเงากระจกให้คนที่หันหน้าหนีได้เห็น

   ทางด้านเอริคเขาหลับตาลงช้า ๆ เพราะขืนแอบมองนานกว่านั้นมีหวังคงจะได้ควบคุมตัวเองไม่อยู่เข้าให้ก็เป็นได้ และพอหลังจากลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นเด็กหนุ่มนั่งหน้าแดงระเรื่อสวมเสื้อตัวใหม่ใส่เรียบร้อย

   “หายปวดหัวหรือยัง...หรือจะเปลี่ยนไปโรงพยาบาลแทนดี จะได้ให้หมอตรวจดูสักหน่อย”

   เจตต์สะดุ้งโหยง เตรียมจะเอ่ยปากปฏิเสธเต็มที่ ทว่าพอเหลือบไปเห็นแผลที่เข่าของเอริค เขาก็ชะงักแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ตามมา

   “ก็ได้ครับ...ถ้าอย่างนั้นคุณเอริคก็ต้องแวะไปทำแผลด้วยกันนะครับ”

   เอริคขมวดคิ้วนิด ๆ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วส่งยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้คนข้างกาย

   “ตกลง”

   “เอาเป็นว่าเปลี่ยนแผนนะ เคน! ขับตรงไปที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้ ๆ นี่เลยแล้วกัน”

   คำพูดของรวีที่แทรกขึ้น นอกจากเอริค เมฆา และคนของรวีแล้ว คนอื่นต่างก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะต่างรู้ดีว่าค่ารักษาของโรงพยาบาลเอกชนแถวนี้นั้นมันแพงขนาดไหน แต่ทั้งหมดก็ได้แต่นั่งไปเงียบ ๆ เพราะแม้ต่อให้คัดค้านอะไรออกไป รวีก็มักจะอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา มาแย้งพวกเขาอยู่ดี



   เมื่อถึงโรงพยาบาล เอริคก็แยกไปทำแผล ส่วนเจตต์ก็ไปให้พยาบาลวัดไข้ซึ่งก็เป็นปกติ ประกอบกับที่เด็กหนุ่มรีบแก้ตัวว่าปวดหัวเพราะรู้สึกเครียด ๆ ในตอนนั้น ไม่ใช่เกิดจากพิษไข้ เด็กหนุ่มจึงรอดจากการโดนกินยามาได้อย่างหวุดหวิด

   “อ๊ะ! คุณเอริคออกมาแล้ว”

   เวทิตที่นั่งรอเป็นเพื่อนกับเจตต์พูดขึ้น เมื่อหันไปเห็นเอริคเดินออกมาจากห้องทำแผลพร้อมกับรวี  ทางด้านเจตต์เฝ้ารอจนอีกฝ่ายเดินมาถึง จึงอ้อมแอ้มถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

   “แผลเป็นยังไงบ้างครับ ...ต้องฉีดยาอะไรหรือเปล่า”

   “ไม่หรอก แค่ทำแผลเฉย ๆ อีกอย่างฉันเพิ่งฉีดบาดทะยักไปไม่กี่ปีนี้เอง ยังไม่ต้องฉีดซ้ำหรอก”

   เอริคบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งเจตต์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมาเมื่อถูกชายหนุ่มถามถึงอาการของตนบ้าง

   “ง่า...ผมไม่เป็นไรครับ ไม่มีไข้ หมอก็เลยไม่ได้จัดยาอะไรให้”

   “แต่เธอบ่นปวดหัวก่อนหน้านั้นไม่ใช่หรือไง”

   เอริคยังคงแย้งต่อ ซึ่งก็ทำให้เจตต์ยิ้มเจื่อน

   “ง่า...ตอนนั้นปวดนิด ๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะครับ จริง ๆ นะครับ!”

   เด็กหนุ่มรีบย้ำ แล้วก็มีสีหน้ากึ่งกลัวกึ่งหวาดวิตกให้เห็น เนื่องจากเขาเกรงว่าเอริคจะไม่พอใจเรื่องที่เขาแกล้งพูดหลอกเรื่องปวดหัวออกไปก่อนหน้านั้น

   “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายก็ให้รีบบอกรู้ไหม”

   เอริคไม่ได้โกรธ หากแต่กลับบอกกำชับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนทำให้เจตต์รู้สึกผิด เขาพยักหน้าตอบรับแล้วอาสาเดินประคองชายหนุ่มไปที่รถ ทีแรกบุรุษพยาบาลเตรียมจะเอารถเข็นมาให้ แต่เอริคนั้นปฏิเสธ แล้วปล่อยให้เจตต์ประคองตนไปแทน ทำให้เด็กหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ ทว่าเพราะบาดแผลครั้งนี้ของเอริคมีสาเหตุจากเขา จึงทำให้เจตต์ยอมประคองอีกฝ่ายไปต่อเงียบ ๆ จนกระทั่งถึงตอนขึ้นรถ

   “ไปนั่งด้วยกัน”

   คนเจ็บพูดถ้อยคำเอาแต่ใจด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทำเอาเจตต์ชะงัก เขายิ้มแห้งให้อีกฝ่ายก่อนจะหันหาผู้ช่วยชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันเมินจนน่าโมโห

   “กะ...ก็ได้ครับ”

   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ และก็ยังทำให้คนอื่นยืนออขึ้นรถไม่ได้ สุดท้ายเจตต์จึงจำต้องทำตามคำพูดนั้น เขากับเอริคนั่งเบาะหลังสุด และเมื่อทุกคนขึ้นรถพร้อมกันหมด รถตู้ก็เคลื่อนที่ตรงกลับบ้านพัก เพราะดูเหมือนทุกคนจะไม่อยากกลับไปเล่นน้ำต่อแล้ว

   

   เมื่อมาถึงบ้าน วารีที่แปลกใจว่าเหตุใดเด็ก ๆ ถึงกลับมาไวนักจึงออกมาดู พอเห็นขาของเอริคเธอก็อุทานด้วยความตกใจแล้วรีบสอบถามยกใหญ่ ทว่าพอรู้ว่าบาดแผลไม่หนักมากหญิงสาวจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกตามมา

   “ค่อยยังชั่ว ทีหลังก็ระวังตัวกันหน่อยนะจ๊ะ”

   หญิงสาวบอกกับทุกคน ส่วนทางด้านเจตต์นั้นพอได้ฟังที่เอริคเล่าเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เพราะเอริคบอกกับวารีว่าลื่นล้มเอง โดยไม่ยอมบอกว่าสาเหตุการล้มที่แท้จริงนั้นเกิดจากตน

   “เอ่อ...คุณเอริคครับ...จะไปพักที่เรือนไทย หรือไปนั่งพักที่บ้านเล็กครับ ...เอ่อ..ผมจะได้เดินไปส่ง”

   เจตต์ถามขึ้นเสียงแผ่ว ทำให้เอริคขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วถอนหายใจตามมา

   “ไปที่พักของเธอก็ได้...แต่เลิกทำหน้าแบบนั้นสักที”

   เอริคใช้นิ้วจิ้มหน้าผากที่ขมวดย่นนิด ๆ ของอีกฝ่าย ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง

   “ฉันเต็มใจปกป้องเธอ ...และฉันก็ดีใจที่เธอไม่บาดเจ็บอะไร เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าแบบนี้ เข้าใจนะ”

   คำพูดอ่อนโยนและจริงใจของอีกฝ่ายทำเอาเจตต์ถึงกับหน้าร้อนวาบ เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย เสียจนเวทิตที่มอบอยู่นึกทึ่ง จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันไปสะกิดเวหาและส่งสายตาในเชิงรู้กันกับอีกฝ่าย ทางด้านเวหายิ้มรับ ทว่าเขาก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงกระแอมถี่ ๆ จากคนข้างกาย

   “อะแฮ่ม ๆ”

   “อะไรติดคอเหรอพี่ซัน ...หรือโรคเก่ากำเริบ”

   เสียงเนือย ๆ ของมีนาดังแทรกขึ้นอย่างเอือมระอา เพราะทันได้เห็นภาพทั้งหมด และเขามั่นใจว่า ที่รวีกระแอมขัดก็เพราะเริ่มที่จะหึงหวงใส่พี่ชายเขาให้อีกแล้ว

   “ง่า...พี่แค่คันคอนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เท่านั้นล่ะครับน้องมีน ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

   รวีแก้ตัวพร้อมแสร้งยิ้มกว้าง เนื่องจากทางเวหากำลังใช้สายตาจ้องจับผิดมาที่เขา และเพราะรู้ว่าคนรักไม่ชอบที่เขาหึงหวงพร่ำเพรื่อโดยเฉพาะกับเพื่อนฝูง จึงทำให้รวีเลี่ยงจะพูดความจริงอย่างเต็มที่

    “เฮ้อ! งั้นผมขอตัวเดินไปล่วงหน้าแล้วกันนะครับ ใครจะหวานใส่กัน ใครจะแก้ตัวกัน ก็เชิญตามสบาย!”

   เวทิตตัดบทแล้วเดินฮัมเพลงนำไปก่อน ทำให้เจตต์ที่กำลังยืนเขินเอริคถึงกับสะดุ้งโหยง เด็กหนุ่มจากหน้าแดงก็กลายเป็นแดงก่ำ แล้วจึงรีบเอ่ยปากขอตัวทันที

   “งะ...งั้นผมเอาของไปเก็บก่อนนะครับ!”

   พอวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าแล้วหันมามองชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่กับที่

   “เอ่อ...เดินเองไหวไหมครับ...จะให้ผมไปช่วยพยุงไหม”

   เอริคที่ยืนอึ้ง ๆ ก่อนหน้านั้น แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกไปตามตรง

   “ฉันไม่เป็นไรมาก เธอไปเก็บของก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวเจอกันที่ห้องรับแขกนะ”

   เจตต์ยิ้มตอบด้วยความเขิน เขาพยักหน้ารับรู้ แล้ววิ่งแซงหน้าเวทิต กลับเข้าบ้านพักไปอย่างรวดเร็ว จนคนอื่นที่มองอยู่นึกขำ

   “นึกว่าจะอ้อนให้เขาประคองไปต่อเสียอีกนะนั่น”

   รวีเอ่ยแซวญาติของตน ซึ่งทางด้านเอริคก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบตามตรง

   “จริง ๆ ก็อยากทำแบบนั้น...แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขารู้สึกผิดไปมากกว่านี้ แผลนี่ก็แค่แผลเล็ก ๆ ไม่ได้เจ็บอะไรมากสักหน่อย”

   “คุณเอริคนี่เท่จังนะครับ ถ้าเจรู้ว่าคุณคิดกับเขาแบบนี้ เขาคงจะรู้สึกดีกับคุณเพิ่มมากขึ้นแน่ ๆ”

   เวหาบอกพร้อมรอยยิ้ม ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้อีกคนชะงัก หน้าบึ้งตึงขึ้น แล้วจึงเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มก่อนจะโอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังแน่น

   “อ๊ะ...มีอะไรหรือครับพี่ซัน”

   “ไม่มีครับ...แค่อยากกอดน้องฟ้าก็เท่านั้น”

   ชายหนุ่มยังคงพูดเสียงเรียบ สุภาพ ทว่าใบหน้าบึ้ง ๆ ติดงอนที่ไม่ค่อยจะได้เห็น ทำให้เวหาชะงัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

   “พี่ซันนี่นะ...ช่วยปล่อยก่อนได้ไหมครับ กอดแบบนี้ฟ้ายืนไม่ถนัด”

   รวีเม้มปากน้อย ๆ แต่ก็ยอมปล่อยคนรักโดยดี พอเป็นอิสระเวหาก็ชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเอียงอายนิด ๆ

   “ฟ้าจะเอาเสื้อผ้าไปเก็บ ...เอ่อ...พี่ซันไปเป็นเพื่อนฟ้าได้ไหมครับ”

   รวีที่กำลังนิ่งอึ้งพอได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ ก่อนจะยิ้มกว้างตามมา

   “ได้เลยครับ... งั้นพวกฉันขอตัวก่อนนะ เชิญทุกคนตามสบาย!”

   รวีหันกลับมาบอกกับคนอื่น ๆ อย่างร่าเริง พร้อมกับจูงมือเวหากลับเข้าบ้านของเด็กหนุ่มไป และนั่นจึงเรียกเสียงถอนหายใจจากคนที่เหลืออยู่แทบไล่เลี่ยกัน

   “หมอนั่นนี่ขี้หึงได้ตลอด...น้องฟ้าก็ใจเย็นน่าดู เจอแบบนี้ประจำยังไม่เบื่ออีก”

   “ไม่แปลกหรอก พี่เมฆก็ขี้หึงบ่อย ๆ มีนเองก็ยังไม่เบื่อเลยนี่ครับ”

   มีนาพูดแทรกขัดคนรักขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เมฆาสะดุ้งโหยงก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้อีกฝ่าย

   “แหม...น้องมีนล่ะก็ ถึงพี่จะขี้หึง แต่ก็ไม่งี่เง่าเท่าเจ้าซันมันนะครับ”

   “ครับ ๆ รู้แล้ว ..แต่ถึงพี่เมฆจะเป็นยังไงมีนก็ยังชอบมาก ๆ อยู่ดีนั่นล่ะ”

   ท้ายประโยคของเด็กหนุ่มเสียงนั้นแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน หากแต่ก็ยังคงจับใจความบางคำได้ โดยเฉพาะคำว่า…ชอบ

   “เอ๋? เมื่อครู่น้องมีนว่าอะไรนะครับ!”

   “ไม่ได้ยินก็ช่างเหอะ! ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมขอตัวเอาของไปเก็บก่อนนะครับคุณเอริค!”

   บอกจบมีนาก็วิ่งกลับเข้าบ้านไปทันที ทำเอาเมฆาสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันไปบอกกับเอริค ก่อนจะวิ่งตามมีนาไปติด ๆ

   “งั้นฉันขอตัวสักครู่นะเอริค ...น้องมีนครับ! รอพี่ด้วยครับ!”

   ทางด้านเอริคมองตามคู่รักทั้งสองคู่ไป แล้วถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา ก่อนจะหันกลับมามองยังทิศที่ตั้งของบ้านพักชั้นเดียวเบื้องหน้า ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มน้อย ๆ จากนั้นเขาจึงเริ่มเดินไปยังเป้าหมายเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนอันใดนัก


... TBC ....


ลงอีกตอนก็จะทันกับต้นฉบับที่ปั่นอยู่แล้วนะคะ แหะ ๆ แต่จะพยายามไม่ดองนะ เพราะยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาว (แต่ก็อยากเขียนตอนหลังจากคบแล้วยืดต่ออีกสักนิดเหมือนกัน)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2015 17:57:51 โดย Xenon »

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
อ้าวน้องมีน. หนูยังกระดึ้บๆอยู่เลยเหรอเนี่ย
ช้าระวังน้องเจจะแซงหน้าไปหวานก่อนนะ. พี่เมฆก็สู้ๆนะ
พี่เอริคเจ็บตัวนิดหน่อยแต่โอเคเลยใช่ไหมล่ะ.
 :3123:

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
แบบนี้ก็มีหวังแล้วสินะ เอริค

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

ตอนที่ 8



   พอเวทิตกลับเข้ามาบ้านพัก เจตต์ที่เร่งฝีเท้าเข้าบ้านไปก่อนก็มายืนสงบอกสงบใจอยู่หน้าประตูห้องของตนเอง ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเวทิตที่เดินมาใกล้เคาะผนังบ้านเบา ๆ เรียกสติ

   “ไงเพื่อน ใจลอยไปถึงใครกันล่ะนั่น ใช่คุณเอริคหรือเปล่า”

   เจตต์หน้าร้อนวาบกับคำพูดแทงใจดำนั้น เขารีบสั่นศีรษะปฏิเสธไปมา ก่อนจะชะงัก แล้วค่อย ๆ ก้มหน้าลง พลางบอกกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

   “ใช่จริง ๆ ด้วยนั่นล่ะ...สงสัยฉันคงจะชอบเขาเข้าให้แล้วจริง ๆ ว่ะต้น...ทำยังไงดีวะ”

   เวทิตถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยังคงยิ้มให้เพื่อนของเขา ที่ในที่สุดก็ยอมรับและไม่คิดจะโกหกหัวใจของตัวเองต่อไป   

   “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลยนี่ ชอบก็คือชอบ นายก็แค่ตอบรับรักเขาไป จะได้มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย”

   “แต่มันเกิดขึ้นไวมากเลยนะ ฉันกับเขาเจอหน้ากันได้ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ...แล้วถ้าเกิดมันไม่ใช่ความรักล่ะ...ถ้าเป็นแบบนั้น คุณเอริคก็น่าสงสารไม่ใช่หรือ”

   เจตต์แย้งออกมาอย่างสับสน ทำให้เวทิตอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ

   “เรื่องรักเรื่องชอบ มันไม่ขึ้นกับระยะเวลาสักหน่อย...ไม่อย่างนั้นคุณเอริคเขาคงไม่ตกหลุมรักแรกพบกับนาย จนต้องบินข้ามน้ำข้ามประเทศมาคอยตื๊อจีบแบบนี้หรอกนะ จริงไหม... แล้วอีกอย่าง การที่นายห่วงใยความรู้สึกของเขาแบบนี้ มันก็ตอบทุกอย่างที่นายไม่มั่นใจได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

   เจตต์ชะงัก เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับค่อย ๆ แต่แล้วประโยคถัดมา เด็กหนุ่มก็เอ่ยปากถามเวทิต ในสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายนิ่งอึ้ง

   “เอ่อ...และถ้าฉันเกิดรับรักเขาแล้ว แต่ดันเผลอไปปากเสียชมใครเข้าให้...คุณเอริคเขาจะยิงฉันทิ้งไหมวะ”

   เวทิตเงียบกริบไปชั่วครู่ แล้วจึงถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเปรยตอบอย่างเอือมระอา

   “งั้นเวลาที่คุณเอริคเขาพกปืนมาด้วย นายก็อย่าไปอยู่กับเขาสองต่อสองก็แล้วกัน”

   เจตต์ขมวดคิ้วยุ่ง ทว่ายังไม่ทันจะพูดแย้งกลับ เวทิตก็ยักไหล่แล้วเตรียมกลับเข้าห้องพักของตน อันเป็นเวลาเดียวกับที่เอริคเปิดประตูบ้านพักเข้ามาพอดี

   “ความจริงนี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะสารภาพความในใจต่อกันนะ...ฉันเองก็จะได้โล่งอก ไม่ต้องมีคนมาคอยจับผิดคอยหึงให้น่ารำคาญเล่นด้วยนั่นล่ะ”

   เวทิตกระซิบบอกเพื่อน ทำให้เจตต์หันมองคนพูดตาปริบ ๆ ทว่าเขาก็ต้องถอนหายใจแล้วเดินย้อนกลับไปที่ห้องรับแขก ในขณะที่เวทิตนั้นเลือกที่จะกลับเข้าไปนั่งพักผ่อนในห้องแทน

   “คุยอะไรกัน ถึงต้องกระซิบกันใกล้ขนาดนั้น...เป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้ใช่ไหม”

   เมื่อเจตต์เดินมาถึง เอริคก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่นัยน์ตานั้นเป็นประกายวาววับ ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงแล้วส่งยิ้มเจื่อนให้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะยืนก้มหน้าก้มตาหาคำแก้ตัวออกไป

   “เฮ้อ...ช่างเถอะ นั่งลงสิ”

   เอริคถอนหายใจ เลิกคิดคาดคั้นคำตอบ เพราะในยามนี้ความสัมพันธ์ที่เจตต์มอบให้ สำหรับเขาก็ถือว่าก้าวหน้ามากแล้ว

   “คะ...ครับ”

   เจตต์รีบรับคำเสียงสั่น เขาเลือกที่นั่งฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย ก้มหน้านั่งเงียบ กำมือแน่น เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปนานจนเอริคเริ่มขัดใจ จึงคิดจะเอ่ยปากชวนสนทนาก่อน ทว่า...

   “คุณเอริคครับ...เอ่อ...คือว่าผม...”

   เจตต์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขัดแผ่วเบา ก่อนจะเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย แม้จะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หากแต่นัยน์ตาเรียวเล็กนั้นก็ยังคงฉายแววจริงจังสะกดให้เอริคจ้องตอบได้อยู่ดี

   “ผมน่ะ...คือเริ่มคิดกับ...เอ่อ...”

   พอเอาเข้าจริง ๆ เจตต์ก็นึกคำพูดที่จะพูดขึ้นมาไม่ออกเสียดื้อ ๆ ยิ่งเอริคสบตาตอบเขานิ่งแบบนี้ เขาก็หน้าร้อนวูบวาบ หัวสมองก็เริ่มโล่งว่างเปล่าขึ้นมาทันที

   ทางด้านเอริคเขานิ่งเงียบจ้องตอบเด็กหนุ่มก็จริง ทว่าในใจกลับเต้นระทึกด้วยความหวังอันน้อยนิด หากไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เขาก็พอจะมองออกว่าเจตต์นั้นแปลกไป เด็กหนุ่มกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา และมันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาเฝ้ารออยู่แล้วก็เป็นได้ และเพราะเช่นนั้นชายหนุ่มจึงไม่พูดไม่ซักไม่เร่งร้อนอันใดออกไป เขาได้แต่นิ่งเงียบและรอรับฟังอย่างใจเย็นเป็นที่สุดตั้งแต่เคยเป็นมา

   “ผะ...ผมน่ะ...คือ....ชะ..”

   “เฮ้! เป็นไงทั้งสองคน หวานใส่กันถึงไหนแล้วเอ่ย!”

   เสียงเปิดประตูพรวดเข้ามา พร้อมกับคำทักทายอันแสนจะร่าเริงของรวี ทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง หน้าแดงก่ำ ความคิดจะสารภาพรักปลิวหายไปจากสมอง เขาลุกพรวดขึ้นยืนแล้วโค้งให้กับคนตรงหน้า ก่อนจะวิ่งกลับเข้าห้องแล้วล็อกประตูห้องทันที ทำเอาเอริคถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนจะหันขวับไปมองรวีอย่างขุ่นเคืองจนคนถูกมองสะดุ้งโหยง

   “เฮ้ย! ไหงจ้องฉันอย่างนั้นล่ะ ...เอ๋? หรือว่าฉันมาขัดจังหวะอะไรพวกนายหรือเปล่า”

   รวีถามอย่างสงสัย ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายตอบกลับ ทางด้านเวหาที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มก็โผล่หน้ามามองเอริค 

   “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมเจถึงวิ่งหนีเข้าห้องไปแบบนั้น”

    เพราะทันได้เห็นเพื่อนวิ่งกลับเข้าห้องแวบ ๆ จึงทำให้เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย เอริคมองคนถามแล้วถอนหายใจอีกรอบ

   “เฮ้อ...ไม่มีอะไรมากหรอก...ก็แค่กว่าฉันจะได้ฟังสิ่งที่เขาคิดจะพูดอีกครั้ง ก็คงอีกนานเป็นแน่”

   พอได้ยินเช่นนั้น รวีก็พอจะสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ชายหนุ่มส่งยิ้มเจื่อนแล้วพึมพำขอโทษลูกพี่ลูกน้องของตน ซึ่งเอริคก็ยักไหล่ เพราะแม้จะรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็รู้ดีว่ารวีนั้นไม่ได้ตั้งใจนั่นเอง

   “ง่า...งั้นพวกฉันถอยไปก่อนดีไหม เผื่อน้องเจจะออกมาอีกรอบ”

   รวีเสนอความเห็น ซึ่งเอริคก็สั่นศีรษะปฏิเสธค่อย ๆ

   “ไม่ต้องหรอก ฉันเชื่อว่าเขาคงจะไม่ออกมาข้างนอกอีกนานเลยล่ะ ...ยังไงฉันกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ไว้เจอกันตอนกินข้าวเย็นเลยแล้วกัน”

   เอริคบอกกับรวีแล้วลุกเตรียมเดินกลับห้องพัก ทว่าพอชายหนุ่มเดินไปสองสามก้าว เขาก็หยุดเดิน เจ้าตัวหันมามองที่ห้องของเจตต์ ก่อนจะตัดสินใจเดินย้อนกลับมาหยุดยืนหน้าประตูห้องของเด็กหนุ่ม เคาะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเปิดออกมา

   “ฉันไม่รู้ว่าเมื่อครู่ เธอกำลังจะบอกอะไรฉัน...แต่ถ้าเธอจะกรุณาพูดให้ฟังอีกครั้ง ฉันก็คงดีใจมากเลยล่ะ...แล้วฉันจะรอฟังนะ”

   พูดจบแล้ว เอริคก็เดินออกจากบ้านพักไป ส่วนเจตต์ที่อยู่ในห้องนั้นได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ และหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาจึงตัดสินใจว่า จะลองหาโอกาสสารภาพให้ชายหนุ่มได้รับรู้ความในใจของตนอีกครั้งหนึ่งหลังจากนี้

   

   มื้อเย็นของวันผ่านไป โดยที่เจตต์นั้นพูดน้อยลงแถมยังก้มหน้าก้มตาเสียจนวารีสังเกตเห็น ยังดีที่เธอก็พอจะรู้เรื่องราวของหนุ่ม ๆ ผ่านลูกชายคนเล็กมาบ้าง จึงทำให้พอจะคาดเดาบางอย่างและเลือกที่จะไม่ถามไถ่ออกไปแทน   

    “ค่ำนี้อากาศดีจังเลยนะ...พวกเรามาแยกย้ายกันไปเดินเล่นกันดีไหม!”

   หลังจากกินมื้อเย็นเรียบร้อยและต่างทยอยกันกลับที่พัก รวีก็คิดจะแก้ตัวเรื่องที่เผลอไปขัดจังหวะญาติของเขาเมื่อตอนช่วงกลางวัน ชายหนุ่มจึงแสร้งเปรยขึ้นและขยิบตาไปมองยังคนอื่น ๆ ให้ช่วยรับมุกของตนด้วย

   “แยกกันก็ดีอยู่หรอกครับ แล้วผมล่ะครับ จะไปกับใครดี”

   เวทิตพูดตอบขึ้นพร้อมรอยยิ้มขำ เนื่องจากทันเห็นเจตต์สะดุ้งโหยงหลังจากที่ได้ยินรวีพูดเมื่อครู่

   “ง่า...จริงด้วยสินะครับ ถ้าอย่างนั้นน้องต้นก็มาเดินเล่นกับพวกพี่ก็ได้ครับ”

   คนอื่นที่เหลือต่างหันมามองรวีอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ส่วนเวหานั้นอมยิ้มน้อย ๆ เพราะมั่นใจว่าการที่รวีลงทุนแบบนี้ เพราะอยากแก้ตัวกับเอริคเรื่องเมื่อกลางวันนั่นเอง

   “หึ ๆ ก็ได้ครับ ...ถ้าอย่างนั้นไม่เกรงใจแล้วนะครับพี่ซัน ...ฟ้า! ไปนั่งเล่นริมศาลากันเถอะ!”

   บอกแล้วเวทิตก็ควงแขนเพื่อนสนิทเดินนำลิ่วไป ทำให้รวีเบิกตากว้าง แล้วรีบจ้ำพรวดพราดตามทั้งคู่ไปทันที แต่กระนั้นก็ยังไม่วายหันมาขยิบตาให้กับเอริคอยู่ดี จนคนมองต้องสั่นศีรษะไปมาอย่างระอา ทว่าก็ยังคงมีรอยยิ้มตอบกลับไป

   “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเดินเล่นริมคลองกันดีกว่านะครับพี่เมฆ!”

   มีนาที่รู้สถานการณ์ดีหันมาชักชวนคนรัก ซึ่งเมฆาก็เต็มใจจะแยกตัวไปกันสองคนอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดปฏิเสธคำชวนนั้นแต่อย่างใด



   ใช้เวลาไม่นาน ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป เหลือแต่เพียงเอริคกับเจตต์ที่ยืนอยู่กันเพียงลำพังเท่านั้น

   “ถ้าเธอลำบากใจ ฉันแยกไปก็ได้นะ”

   เอริคเอ่ยขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบกันทั้งคู่อยู่สักพัก ทว่าพอได้ยินดังนั้น เจตต์ก็สะดุ้งโหยง แล้วรีบโพล่งออกไปอย่างลืมตัว

   “อ๊ะ อย่าไปนะครับ!”

   “ทำไมล่ะ”   

   เอริคซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้เด็กหนุ่มชะงัก แล้วอ้ำอึ้งบอก

   “เอ่อ...ผม...ผมไม่รู้จะเริ่มต้นพูด..ยังไงดี”

   คนฟังถอนหายใจแผ่วเบา เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะตอบกลับไป

   “เธออยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ ฉันจะรอฟัง ไม่ว่าเธอจะใช้เวลาพูดมันออกมานานแค่ไหนก็ตาม”

   เจตต์ชะงัก ก่อนจะก้มหน้านิ่งคล้ายกำลังตัดสินใจบางอย่าง เจ้าตัวเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาสั่นระริกน้อย ๆ แก้มขาวเนียนทั้งสองข้างเป็นสีแดงเรื่อชวนมอง จนเอริคต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะกลัวจะเผลอลืมตัวห้ามใจไม่อยู่ จับอีกฝ่ายกอดเข้าให้

   “ผม...เอ่อ...ผมรู้สึกว่าตัวเองจะเริ่มชอบ...คะ”

   R...R...R…R

   เสียงเรียกเข้ามือถือของเอริคดังขัดขึ้นก่อนที่เจตต์จะพูดจบ เอริคกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด เขาพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ ทว่าเจตต์ไม่เป็นเช่นนั้น อีกฝ่ายหยุดพูดไปดื้อ ๆ เพราะความเกรงใจ ทำให้เขาต้องยอมรับโทรศัพท์ในที่สุด

   “สวัสดีครับ เอริคพูด”

   น้ำเสียงห้วนที่ไม่ค่อยจะได้ยินเวลาสนทนากับตน ทำให้ปลายสายขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนถาม

   “ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นล่ะ มีปัญหาอะไรหรือ เอริค”

   เอริคที่รู้สึกตัวว่าเผลอแสดงอารมณ์หงุดหงิดใส่พี่ชายคนโต ก็ต้องลอบถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกไป

   “ขอโทษครับ ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แล้วพี่อีธานโทรมาทำไมหรือครับ”

   อีธานขมวดคิ้วยุ่ง ลองน้องชายเขามีน้ำเสียงหงุดหงิดและพูดจาชวนตัดบทเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องกำลังขัดจังหวะสำคัญอะไรบางอย่างของเจ้าตัวเป็นแน่

   “เฮ้! หรือว่าพี่โทรมาขัดจังหวะเลิฟซีนของนาย แสดงว่าจีบเด็กนั่นติดแล้วล่ะสิ!”

   เสียงที่แว่วให้ได้ยินนั้น แม้เป็นภาษาอังกฤษแต่ก็ไม่ใช่ศัพท์ยากอะไร และสำหรับเจตต์ที่คุ้นเคยกับการที่มีพี่เขยเป็นชาวต่างชาติ ก็ทำให้เขาพอจะฟังออกได้ไม่ยาก เด็กหนุ่มหน้าแดงวาบแล้วทำท่าจะเดินหนี จนเอริคต้องรีบจับข้อมือรั้งเอาไว้

   สายตาชายหนุ่มจับจ้องที่ร่างของอีกฝ่ายไม่วางตา แม้จะยังคงพูดคุยตอบพี่ชายกลับไปตามปกติ

   “ผมยังเป็นฝ่ายตกหลุมรักเขาข้างเดียวอยู่เลยครับพี่...แต่ผมก็ยังคงหวังอยู่นะครับ...หวังให้เขาใจตรงกันกับผมสักวันหนึ่ง ...เมื่อถึงวันนั้นผมคงจะมีความสุขมากเลยทีเดียว”

   แม้จะพูดเป็นภาษาอังกฤษ หากแต่ถ้อยคำที่เน้นย้ำอย่างช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำที่เอริคจงใจพูด ก็ทำให้เจตต์หน้าแดงก่ำ ใจเต้นแรง รับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายจงใจจะสื่อย้ำให้ตนเป็นอย่างดี

   ทางด้านอีธานนั้นชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของน้องชาย และด้วยความสนิทคุ้นเคยในตัวผู้เป็นน้อง เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่า คนที่ทำให้น้องชายของเขาตกหลุมรักชนิดถอนตัวไม่ขึ้นนั้น คงจะอยู่ไม่ห่างอีกฝ่ายเป็นแน่

   “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ภาวนาให้นายสมหวังเร็ว ๆ แล้วกันนะน้องรัก งั้นพี่คุยแค่นี้ล่ะ ...ขอโทษแล้วกันที่โทรมาขัดจังหวะน่ะ”

   ปลายสายบอกอย่างอารมณ์ดีแล้ววางสายไป ทางด้านเอริคที่จับข้อมือของเด็กหนุ่ม เปลี่ยนมาเป็นเกาะกุมมือทั้งสองของอีกฝ่าย พลางยกขึ้นจุมพิตแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน

   “เจ...ฉันรักเธอนะ ความรู้สึกของฉัน มันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง และมีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวันที่ฉันได้รู้จักเธอ ...ต่อให้เธอจะยังไม่มีใจให้กับฉัน แต่ฉันก็จะรอ...รอจนกว่าเธอจะพบใครสักคนที่สำคัญกับเธอจริง  และเขาก็รักเธอมากไม่แพ้ฉัน... ถ้าวันนั้นมาถึง ฉันจึงจะยอมจากเธอไป และจะไม่ทำให้เธอต้องลำบากใจแน่…ฉันสัญญา”

   คำพูดที่จริงใจและแววตาที่ฉายแววหนักแน่นดังเช่นคำพูด ทำให้เจตต์เงียบกริบ เด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นวาบที่แก้มของตนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาจ้องตาตอบอีกฝ่ายเนิ่นนานอยู่สักพัก ก่อนจะเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้คนตรงหน้า

   “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวผมจะดีพอกับความรักของคุณไหม...แต่ผมก็จะพยายามนะครับ ...จะพยายามทำตัวให้เหมาะสมและคู่ควรกับความรักของคุณ เท่าที่ผมจะสามารถทำได้...”

   เอริคนิ่งอึ้ง มือที่กุมมือของเด็กหนุ่มสั่นระริกจนเจตต์รู้สึก เด็กหนุ่มบีบมือตอบกลับแล้วจึงพูดต่อพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่แดงก่ำ

   “ผมชอบคุณครับ...คุณเอริค ...อาจจะไม่ชอบมากเท่าที่คุณชอบผม ...แต่ผมก็ชอบคุณเข้าให้แล้วล่ะครับ”

   เอริคเม้มปากน้อย ๆ เขาปล่อยมือและรวบร่างตรงหน้ามาไว้ในอ้อมกอดแน่นจนเจตต์ตกใจ หากแต่สักพักเด็กหนุ่มก็หลับตาซุกใบหน้าลงบนอกกว้างอย่างเป็นสุข พวกเขากอดกันอยู่เช่นนั้นสักพัก จนกระทั่งเอริคหลุดถอนหายใจแผ่วเบาและคลายอ้อมกอดนั้น ก่อนจะก้มลงมองเด็กหนุ่มที่สบตาตอบเขาและมีแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ จากนั้นเอริคจึงเฉลยให้อีกฝ่ายได้รับฟัง

   “ขืนไม่ปล่อย ฉันคงควบคุมตัวเองไม่ได้ และอาจจะจับเธอกดลงบนสนามหญ้าตอนนี้เลย...เป็นแบบนั้นจะดีหรือ”

   คนฟังหน้าแดงวาบรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ จนคนมองอมยิ้มน้อย ๆ

   “ก็นั่นล่ะ...ตอนนี้ฉันเองก็กำลังอดกลั้นอะไรหลาย ๆ อย่าง... เอาไว้ฉันควบคุมตัวเองได้ดีกว่านี้ ฉันจะกลับมากอดเธออีกครั้งแล้วกัน”

   เจตต์หน้าแดงก่ำ บอกไม่ถูกว่าควรจะตอบรับหรือปฏิเสธดี ปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มทำให้เอริคอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้ามาหอมแก้มเนียนแดงนั้นฟอดใหญ่ แล้วจึงจับไหล่ของเด็กหนุ่มดันกลับเข้าบ้านพัก โดยที่ตัวเขาไม่ได้ตามเข้าไปด้วย

   “ฉันไม่อยากให้ใครก็ตามได้เห็นใบหน้าน่ารักของเธอในตอนนี้...เพราะฉะนั้น รีบเข้าห้องนอนให้เรียบร้อย แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเพิ่งออกมาเจอใคร...เข้าใจนะ”

   เจตต์ยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ แม้จะยังมึนงงต่อปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายมีให้ตนอยู่บ้างก็ตาม

   “เอ่อ...ราตรีสวัสดิ์ครับ คุณเอริค”

   เด็กหนุ่มบอกไล่หลังคนที่กำลังเดินกลับที่พักไป ทำให้ร่างสูงชะงักแล้วหันกลับมายิ้มน้อย ๆ ให้

   “ราตรีสวัสดิ์ เจ ...ฝันดีนะ”

   เจตต์หน้าร้อนวูบวาบต่อความอ่อนโยนของอีกฝ่าย เขาพยักหน้ารับหงึกหงักและรีบปิดประตูบ้านพัก ตรงกลับเข้าไปที่ห้องนอนของตน นั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มนั้น

    “เฮ้อ! ไม่น่าเชื่อเลยนะเรา...ชอบผู้หญิงอยู่ดี ๆ แท้ ๆ แต่ดันมีแฟนเป็นผู้ชายซะงั้น!”

   เจตต์บ่นอุบ ก่อนจะเงียบไป แล้วจึงหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน  รู้แต่เพียงว่ายามนี้ ในอกมันอัดแน่นไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั่นเอง

   


... TBC ...

ทันสต็อกที่ปั่นไว้แล้วค่ะ ช่วงนี้ก็อาจจะช้าบ้างอะไรบ้างแต่ก็จะไม่ทิ้งกันจ้า เพราะเรื่องนี้ไม่ยาวนัก ^^"

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:   เป็นฉากสารภาพรักที่น่ารักมาก. เจ้นท์มากมาย

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กว่าจะได้บอกรัก...คนขัดจังหวะเยอะมากกกกกก  :m20:
น่ารักมากค่ะคู่นี้ อิอิ ชักอยากอ่านต่อไวๆแล้วสิ :katai1:

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

ตอนที่ 9

 
   พอกลับมาถึงบ้านพัก เวทิตก็เหลือบมองรองเท้าแตะของเพื่อนที่ถอดวางไว้ตรงทางเข้า ทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นกลับมาแล้ว

   “เจ! หลับหรือยังน่ะ”

   เด็กหนุ่มเคาะประตูห้องพร้อมเรียก ทว่าในห้องก็ยังคงเงียบ เวทิตจึงเลิกคิดเคาะ และเตรียมจะกลับเข้าห้องนอนพักเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายก็เปิดประตูห้องออกมาเสียก่อน

   “มีอะไรหรือต้น”

   “ก็...อืม...แค่อยากรู้ว่า นายกับคุณเอริคลงเอยกันหรือยังน่ะ”

   เวทิตแสร้งกระเซ้า และเขาก็ต้องซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้าเมื่อเห็นเพื่อนหน้าแดงวาบ 

   “อ้อ...พอจะเข้าใจแล้ว อืม ๆ อย่างนี้ก็ต้องเลี้ยงฉลองสละโสดสินะ”

   เวทิตเปรยต่อ ทำให้คนหน้าแดงยิ่งหน้าแดงหนัก เจตต์เตรียมจะหนีกลับเข้าห้อง ทำให้เวทิตต้องรีบขอโทษแล้วตามไปชวนคุยกันอยู่อีกครู่ใหญ่ ๆ จนเจตต์นั้นเริ่มปรับอารมณ์ได้เป็นปกติ

   “สรุปแล้วตอนนี้พวกนายก็คบหากันอย่างเป็นทางการสินะ...เฮ้อ น่าอิจฉาคนมีความรักจังเลยนะ”

   เวทิตแสร้งทำเป็นถอนหายใจ แต่ใบหน้าส่งยิ้มแหย่ จนคนมองต้องขมวดคิ้วยุ่ง

   “ทำหน้าแบบนั้น ตกลงอิจฉาจริงหรือเปล่าเนี่ย”

   “ฮะ ๆ เปล่าหรอกน่า อย่าลืมสิ ฉันตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังพักใจ ยังไม่อยากจะคบใครให้ปวดหัวหรอก  อ้อ! แต่นายไม่ต้องห่วงหรอกนะเจ ช่วงแรก ๆ ข้าวใหม่ปลามัน ส่วนใหญ่จะหวานกันตลอด ไม่ค่อยมีอะไรมาให้รำคาญนักหรอกนะ”

   เจตต์ฟังเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักพูด แล้วยิ้มเจื่อน ก่อนจะหวนคิดถึงเรื่องคู่ของตนบ้าง

   “แล้วคู่ของฉัน ปัญหามันจะเกิดเมื่อไหร่กันนะ...แล้วมันจะลงเอยแบบคู่ของนายไหมวะ ต้น”

   เวทิตฟังแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ แล้วจึงตอบคำถามนั้นตามมา

   “อย่าคิดมากสิ... ใช่ว่าคู่ของนายจะลงเอยเหมือนฉันเสียเมื่อไหร่ และที่สำคัญนายก็เคยเห็นข้อผิดพลาดของคู่ฉันแล้ว ฉันว่าคนอย่างนายคงจะคิดได้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และไม่เลือกเดินซ้ำรอยแบบพวกฉันอีกล่ะนะ”

   เจตต์พยักหน้าหงึกหงักตอบรับ แล้วยิ้มให้เพื่อน พร้อมพึมพำขอบคุณแผ่วเบา จากนั้นเมื่อดูเวลาจากนาฬิกาบนผนัง เวทิตจึงขอตัวกลับห้องเพื่อไปพักผ่อน ส่วนเจ้าของห้องก็เดินไปส่งเพื่อนที่หน้าประตู และกลับมาทิ้งกายลงบนเตียง เงยหน้ามองเพดาน ก่อนจะพึมพำพร้อมมีรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้า

   “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดล่ะนะ กังวลไปก็เปล่าประโยชน์”

   เจตต์บอกกับตัวเอง พลางหลับตาลงช้า ๆ และหลับสนิทในเวลาไม่นาน เนื่องจากเกิดการผ่อนคลาย หลังจากที่ต้องพบกับความเครียดสะสมมาหลายวันก่อนหน้านั้น

   

   เสียงธรรมชาติยามเช้าที่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน ทำให้คนที่กำลังหลับสบายปรือตาขึ้น เจ้าตัวบิดกายอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะสะดุ้งเฮือก หัวใจแทบหยุดเต้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคยของใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่ตน

   “คะ...คุณ เอริค เข้ามาได้ยังไงครับเนี่ย!”

   เอริคที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องนั้นและเฝ้ามองเด็กหนุ่มนอนเงียบ ๆ โดยไม่คิดปลุก พอได้ยินคำถาม ชายหนุ่มจึงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วตอบกลับไป

   “ก็เธอเล่นไม่ยอมปิดประตูนอน ฉันเห็นเข้าก็เลยแวะมาดู...นี่ดีนะเจ ที่แถวนี้มีคนของซันคอยดูแลรอบ ๆ ถ้าเป็นที่บ้านพักแถวมหาวิทยาลัยของเธอ หรือเป็นที่อื่นเข้า การประมาทแบบนี้มันจะนำอันตรายมาสู่ตัวเธอรู้ไหม”

   เอริคบ่นยาวใส่ ทำให้คนที่เพิ่งตื่นยิ้มเจื่อน เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักพร้อมก้มหน้าอย่างสำนึกผิด จึงทำให้คนบ่นถอนหายใจอีกครั้ง

   “เฮ้อ...เอาเถอะ ทีหลังก็อย่าลืมแล้วกัน”

   บอกแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาคนที่นอนอยู่ เขานั่งลงบนเตียงแล้วเท้าแขนกักร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับชะโงกใบหน้าเข้ามา ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยงแล้วรีบถามอีกฝ่ายเสียงสั่น

   “จะ...จะทำอะไรน่ะครับ...”

   เอริคขมวดคิ้วจ้องมองคนบนเตียง ก่อนจะย้อนถามกลับไป

   “ก็จะจูบอรุณสวัสดิ์ยังไงล่ะ หรือเธอจะลืมไปว่า ตอนนี้พวกเราเป็นคนรักกันเรียบร้อยแล้ว”

   คนฟังชะงักก่อนจะหน้าแดงระเรื่อตามมาด้วยความเขิน แล้วจึงพูดตะกุกตะกักตอบออกไป

   “กะ...ก็ไม่ลืมหรอกครับ...ตะ...แต่ว่า... อ๊ะ! คือผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลยนะครับ!”

   คนที่กำลังเขินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ทำเอาอีกฝ่ายนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้

   “ฉันไม่ถือหรอก”

   “ตะ...แต่...!”

   เจตต์ค้านเสียงสั่น ก่อนจะเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก เมื่ออีกฝ่ายชะโงกหน้ามาหอมแก้มของเขาแผ่วเบา

   “ถ้าอย่างนั้นหอมแค่แก้มก่อน คงไม่เป็นไรใช่ไหม...อรุณสวัสดิ์นะ เจ”

   เด็กหนุ่มหน้าร้อนวูบวาบ เขาอุบอิบพูดทักทายตอบ ใจเต้นแรง คิดอะไรไม่ออก จนเอริคนึกสงสารแกมเอ็นดู เขาผละออกไป ลุกขึ้นยืน แล้วบอกอีกฝ่าย

   “ฉันจะให้เวลาเธอทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยภายใน 20 นาที แล้วถ้าเธอยังไม่เสร็จ ...ฉันจะเข้ามาช่วยด้วย เข้าใจนะ”

   เจตต์สะดุ้งโหยงแล้วรีบพยักหน้าตอบรับ และเมื่อเอริคเดินไปที่ประตูห้อง เด็กหนุ่มก็รีบลนลานลงจากเตียง ทางด้านเอริคเหลือบมามองเล็กน้อย เขาอมยิ้มแล้วสั่นศีรษะเบา ๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องครัว ชงกาแฟมาดื่มรอที่ห้องรับแขกอย่างอารมณ์ดี

   

   เวทิตเดินออกมาจากห้องส่วนตัว เพื่อที่จะหากาแฟดื่ม แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเอริคกำลังนั่งดื่มกาแฟรอใครบางคน อยู่ที่ห้องรับแขก

   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณเอริค...มิน่าล่ะ ผมถึงได้ยินเสียงเจมันราดน้ำอาบโครม ๆ ทั้งที่ปกติกว่าจะอาบได้ที ก็อ้อยอิ่งอยู่นั่นล่ะ”

   เวทิตบอกอย่างนึกขำ หากแต่คนฟังนั้นวางแก้วกาแฟลงอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

   “อรุณสวัสดิ์ต้น ...เมื่อคืนนี้เธอเข้านอน โดยไม่ได้ล็อกบ้านพักใช่ไหม”

   เวทิตชะงักแล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้

   “ง่า...พอดีผมเห็นว่าแถวนี้ก็มีแต่คนกันเองทั้งนั้น ...และก็ไม่น่าจะมีขโมย ผมก็เลยไม่ได้ล็อกน่ะครับ”

   “พวกเธอนี่นะ ประมาทกันทั้งคู่เลย...ต่อให้เป็นสถานที่คุ้นเคยยังไง แต่เรื่องพวกนี้มันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ”

   เอริคเอ่ยเตือน ซึ่งเวทิตก็พยักหน้ารับรู้พร้อมกับให้สัญญาว่าจะไม่ประมาทอีก ทำให้เอริคเลิกคิดที่ซักไซ้เอาผิด เพราะที่เตือนไปก็แค่ไม่อยากให้ทั้งเวทิตและเจตต์นั้นติดนิสัยชอบประมาทนั่นเอง

   “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปชงกาแฟดื่มก่อนนะครับ”

   เวทิตบอกกับคนตรงหน้า ซึ่งเอริคก็พยักหน้าตอบรับ และเมื่อชงกาแฟเสร็จ เด็กหนุ่มก็เข้ามาสมทบกับอีกฝ่ายตามเดิม แถมยังลอบจ้องเป็นระยะเสียจนคนถูกแอบมองขมวดคิ้ว

    “มีอะไร”

   “อ๊ะ...ขอโทษครับ พอดีกำลังคิดว่า พอคบกับเจมันแล้ว คุณจะเปลี่ยนมาคอยตามติดเจมันเหมือนที่พี่ซันทำกับฟ้าหรือเปล่าน่ะครับ”

   เวทิตบอกออกไปตามตรง ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อย

   “ใครบอกเธอเรื่องนี้...เจบอกหรือ”

   “ก็ใช่ล่ะครับ ยังไงพวกผมก็เพื่อนสนิทกัน ...คนรักน่ะคบกันยังเลิกรากันได้ แต่เพื่อนรักน่ะ ทำยังไงก็ตัดไม่ขาดหรอกครับ”

   เวทิตบอกพร้อมยิ้มแหย่นิด ๆ ซึ่งเอริคก็มีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาให้เห็นทันที ทำให้คนแหย่แสร้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจ้องตอบพร้อมรอยยิ้มที่เปลี่ยนมาเป็นเอือมระอาแทน จนเอริครู้สึกตัว

   “เธอนี่นะ...ระวังเถอะ ชอบแหย่แบบนี้ ถ้าไปเจอพวกอารมณ์ร้อนเข้า เดี๋ยวก็เดือดร้อนกันพอดี”

   เวทิตหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รู้สึกพอใจที่อีกฝ่ายรู้ทันแถมปรับอารมณ์เป็นปกติได้อีก

   “ขอบคุณที่เตือนครับ แต่คุณก็เหมือนกันล่ะครับ ...อุตส่าห์มัดใจเพื่อนผมได้ขนาดนี้แล้วแท้ ๆ เรื่องขี้หึงขี้หวงอะไรพวกนั้นก็เพลา ๆ หน่อยเถอะครับ แค่นี้เจมันก็กลัวคุณจนหัวหดแล้วล่ะ”

   เอริคชะงักกับท้ายประโยคที่ได้ยิน ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะตั้งคำถาม

    “ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนสนิทกับเขา ...บอกฉันได้ไหม ว่าทำไมเจถึงได้กลัวฉันขนาดนั้น ...เพราะเท่าที่ฉันจำได้ ฉันยังไม่ได้ทำพฤติกรรมอะไรจนถึงขนาดทำให้เขากลัวจนฝังใจเลยสักครั้งนะ”

   เวทิตเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตอบคำถามนั้นของชายหนุ่มไปตามตรง

   “คุณไม่เคยทำกับเจมันก็จริง ...ง่า...แต่เรื่องแฟนเก่าของคุณ มันก็ทำให้หมอนั่นกลัวคุณกับครอบครัวของคุณอยู่ไม่น้อยนะครับ...ถึงผมจะค่อนข้างมั่นใจว่า เจมันจะไม่นอกใจคุณในอนาคตข้างหน้านี้ แต่เรื่องที่มันชอบเหล่มองคนน่ารักแล้วปากเปราะชมไปทั่ว ยังไงนิสัยนี้ก็คงแก้ยากล่ะนะ... แล้วมันก็กลัวคุณโกรธจนเผลอลืมตัวเล่นงานมันเข้าให้เหมือนอย่างแฟนเก่าคุณโดนด้วยนั่นล่ะ”

   เอริคนิ่งอึ้ง ไม่คิดเลยว่าเรื่องของเขากับแฟนเก่าที่เลิกราไปแล้ว จะถูกเจตต์ล่วงรู้  ชายหนุ่มไม่แปลกใจแล้วว่า เพราะเหตุใดเจตต์จึงมักมีท่าทางหวาดกลัวเขา เวลาเขาเข้าใกล้เช่นนั้นเสมอ

   “ให้ตายเถอะ...ถ้าฉันเดาไม่ผิด ซันเป็นคนเล่าให้พวกเธอฟังใช่ไหม”

   เอริคถามเวทิตต่อ ซึ่งเด็กหนุ่มก็พยักหน้าตอบอย่างไม่คิดปิดบัง

   “ใช่ครับ พี่ซันเคยเล่าให้ฟังเมื่อปีที่แล้ว”

   คราวนี้เอริคถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง เพราะไม่คิดว่าเรื่องของเขาจะเคยถูกนำมาเล่าเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่เคยรู้จักเจตต์มาก่อนด้วยซ้ำ

   “ก็ตอนนั้นเจมันก็ปากเปราะพูดว่าอยากมีแฟนแสนดีเหมือนพี่ซัน พี่ซันก็เลยแนะนำญาติของเขาให้แทน ...แล้วพวกผมก็เลยได้รู้ประวัติคร่าว ๆ ของคุณมาจากพี่ซันยังไงล่ะครับ”

   เรื่องราวที่ได้ยิน ยังไม่สะดุดหูเท่ากับประโยคที่ว่า “แฟนแสนดีเหมือนพี่ซัน” และนั่นก็ทำให้เอริคนิ่งเงียบไป เลิกคิดซักไซ้อะไรอีก จนเวทิตนึกแปลกใจ และพยายามทบทวนคำพูดของตัวเองว่าเผลอหลุดปากพูดผิดหูอีกฝ่ายไปบ้างหรือเปล่า ทว่ายังไม่ทันนึกออก เพื่อนของเขาก็ออกมาจากห้องพักเสียก่อน

   “อ้าว...ต้น...ออกมานานแล้วเหรอ”

   “อือ มานั่งคุยเป็นเพื่อนคุณเอริคเขา รอนายไปพลาง ๆ ยังไงล่ะ”

   เวทิตตอบ ทำให้คนฟังหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน จากนั้นจึงเดินไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามชายหนุ่ม ทางด้านเวทิตเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วถามอีกฝ่าย

   “เอากาแฟไหม”

   “เอา! ใส่น้ำตาล 3 ช้อน แล้วก็ครีมเทียมเยอะ ๆ นะ”

   เจตต์รีบบอก ทำให้อีกฝ่ายสั่นศีรษะไปมาแล้วรับคำอย่างเอือมระอา เพราะเพื่อนสนิทก็ยังคงสั่งแบบไม่มีนึกเกรงใจเหมือนทุกครั้งนั่นเอง



   พอสั่งกาแฟเสร็จ เจตต์ก็หันมามองคนที่นั่งตรงกันข้าม ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสีหน้าขรึม ๆ ของอีกฝ่าย

   “คุณเอริค...เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

   คนฟังชะงักแล้วจึงฝืนยิ้มพร้อมย้อนถามกลับไป

   “ไม่มีนี่...มีอะไรหรือ”

   “คือ...ผมเห็นคุณทำหน้าเครียด ๆ ก็เลย...เอ่อ...ก็เลยคิดว่า คุณอาจจะมีปัญหาให้คิด...และถ้าผมช่วยได้ ผมก็ยินดีจะช่วยนะครับ”

   เจตต์บอกตะกุกตะกักด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เพราะยังรู้สึกไม่ชินกับตำแหน่งคนรักของคนตรงหน้าตนนัก

   “เจ...ถ้าฉันใจดีกว่านี้ เอาอกเอาใจเธอมากกว่านี้ เธอจะชอบฉันมากขึ้นไหม”

   คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังชะงัก เขาสบตาอีกฝ่ายนิ่งอยู่สักพักจนเอริคต้องเป็นฝ่ายเรียก

   “ว่ายังไงล่ะเจ...คำตอบน่ะ”

   แววตาคนถามดูเศร้าลง ทำให้เจตต์รู้สึกตัว ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับตอบคำถามนั้น

   “ผมชอบคุณที่เป็นตัวคุณมากกว่า...ต่อให้คุณจะทำตัวขรึมและดูเหมือนจะเย็นชา แต่ผมก็รู้ดีว่า จริง ๆ แล้วคุณน่ะ อ่อนโยนขนาดไหน... จริงอยู่ ไม่ว่าใครก็ชอบคนทำดีด้วย แต่ถ้าต้องฝืนตัวเองเพื่อให้คนอื่นชอบ...แบบนั้นก็อย่าทำเลยครับ นอกจากตัวคุณจะไม่มีความสุขแล้ว ...ผมเองก็จะไม่มีความสุขและรู้สึกผิดไปด้วยนะครับ”

   เอริคนิ่งเงียบ เขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เขารักอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นเบา ๆ จากบุคคลที่สาม

   “อะแฮ่ม...ขอโทษนะครับ แต่พอดีผมกลัวกาแฟจะเย็นเสียก่อน ขี้เกียจชงใหม่น่ะครับ แหะ ๆ”

   ทางด้านเจตต์ที่ลืมไปว่าเพื่อนสนิทก็อยู่ด้วย ถึงกับหน้าร้อนวูบวาบ แต่ก็พยายามควบคุมสติไม่ให้เตลิดด้วยความอาย เพราะถึงอย่างไรเวทิตก็รู้อยู่แล้วว่าเขากับเอริคนั้นคบหากันเรียบร้อย

   “เอ้า! นี่ กาแฟของนาย”

   เวทิตวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนจะเหลือบไปมองอีกคนพร้อมกับยกยิ้มน้อย ๆ ให้

   “ขอโทษนะครับที่ก่อนหน้านั้นผมเผลอพูดอะไรให้คุณเป็นกังวลไป ...แต่ผมก็เกริ่นแล้วนะว่าตอนนั้นหมอนั่นมันพูดคะนองปากไปโดยไม่คิด... ไม่เหมือนกับวันนี้ ที่เขาตั้งใจพูดและกลั่นกรองคำพูดนั้นออกมาจากใจจริงของเขา เพื่อให้คนสำคัญที่สุดของเขาได้รับฟังยังไงล่ะครับ”

   พอบอกจบเวทิตก็ขอตัวออกไปเดินเล่นรับอากาศยามเช้า ทิ้งให้เอริคต้องนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่บนโซฟา พลางสั่นศีรษะไปมา

   “รับมือยากจริง ๆ เลยนะ เพื่อนของเธอคนนี้น่ะ”

   ทางด้านเจตต์นั้นยามนี้กำลังงุนงงในสิ่งที่เพื่อนสนิทกับคนรักสนทนากัน สีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจเต็มที่ ทำให้เอริคต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

   “ไม่มีอะไรมากหรอก...เพียงแต่ฉันรู้สึกโชคดี ที่เขาไม่ใช่คู่แข่งฉันก็เท่านั้นล่ะนะ”

   พอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็หน้าร้อนวาบ แล้วรีบแก้เขินโดยการยกกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนจะสะดุ้งเฮือกแลบลิ้นเบ้หน้า เพราะความร้อนของกาแฟในแก้วนั้น

   “ไอ้เพื่อนบ้า! ไหนบอกว่ากาแฟจะกลายเป็นกาแฟเย็นแล้วยังไงล่ะ นี่ยังร้อนอยู่เลย!”

   เจตต์บ่นอุบอย่างลืมตัว ก่อนจะชะงักแล้วเงยหน้ามองสบตาชายหนุ่ม ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้

   “แหะ ๆ ขอโทษครับ...ลืมตัวไปหน่อย”

   เอริคสั่นศีรษะแล้วส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกฝ่าย

   “ไม่เป็นไร...ฉันชอบเธอที่เป็นตัวของเธอเอง ก็เหมือนกับที่เธอชอบฉันที่เป็นฉันยังไงล่ะ”

   เจตต์หน้าแดงวาบ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับหงึกหงักถี่ ๆ จากนั้นก็ยิ้มทั้งหน้าแดงระเรื่อส่งให้ ทำเอาเอริคนิ่งอึ้ง แล้วเริ่มหมดความอดทนในที่สุด

   “คะ...คุณเอริค”

   เจตต์พึมพำด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นและโน้มใบหน้าคมเข้มชะโงกเข้ามาใกล้ใบหน้าของตน

   “เจ...ที่รัก...ฉันรักเธอมากนะ”

   คำสารภาพอ่อนหวานของชายหนุ่มทำให้คนฟังใจเต้นแรง และเมื่อยามที่ริมฝีปากนุ่มนั้นสัมผัสที่ริมฝีปากของตนแผ่วเบา สมองของเขาก็เริ่มว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก จนกระทั่งชายหนุ่มผละริมฝีปากออกไป

   “หวานกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก”

   “วะ...หวาน...ระ...หรือ..ครับ”

   คนฟังพูดเสียงตะกุกตะกัก หากแต่คนมองกลับไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้ามปฏิกิริยาโต้ตอบที่เด็กหนุ่มมี นั้นกลับดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของเขาเสียเหลือเกิน

   “เจ...ไปนั่งคุยในห้องกันแทนไหม”

   คำถามของเอริคทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง ดูจากสายตาคมกริบวาววับที่มันสื่อความในใจโดยไม่ปิดบังนั่น ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที

   “ง่า...ผมว่าเราคุยกันแถวนี้ก็ดีแล้วนี่ครับ”

    ถึงแม้เขาจะตกลงคบหาเป็นแฟนกับอีกฝ่าย แต่เจตต์ก็ยังคงไม่พร้อมจะเสียตัวให้กับผู้ชายด้วยกันในตอนนี้อยู่ดี อย่างน้อยก็คงต้องขอเวลาให้เขาทำใจอีกสักพักใหญ่ ๆ นั่นล่ะ

    ทางด้านเอริคก็พอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง เขาลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้

   “ถ้าอย่างนั้นมานั่งใกล้ ๆ แทนแล้วกัน...นะ”

   ท้ายประโยคคล้ายจะฟังดูเหมือนอ้อน ทว่าเมื่อคนพูดด้วยนัยน์ตาคมกริบมันก็กลายเป็นขอกึ่งบังคับไปแทน

   “...ครับ”

   เจตต์รับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วขยับมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกับอีกฝ่าย ทว่าพอเขาตั้งท่าจะนั่งห่างออกไป ก็ถูกคนตัวโตรวบบ่าให้เข้ามาใกล้อย่างจงใจเสียอย่างนั้น

    “คุณเอริค...”

   “ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่...เราเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่หรือ”

   เจตต์ยิ้มเจื่อนส่งให้ แต่ก็ไม่กล้าขัดอะไรออกไป ไม่ใช่กลัวว่าชายหนุ่มจะโมโห แต่เขากลัวว่าเอริคจะเสียใจหรือน้อยใจมากกว่า เพราะเท่าที่เขาสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่ผ่านมา คนที่ดูเหมือนเย็นชาคนนี้ จะเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับคนที่เจ้าตัวใส่ใจ

   “ครับ...เอ่อ...คือผมก็แค่...เขินนิดหน่อย”

   เจตต์บอกตามตรง ทำให้เอริคยิ้มออก จากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยกันเรื่อย ๆ โดยคนเริ่มต้นบทสนทนาในตอนแรกนั้นจะเป็นเอริคเสียส่วนใหญ่ ทว่าพอผ่านไปเจตต์เริ่มหายประหม่า เด็กหนุ่มก็มีเรื่องมาเป็นฝ่ายชวนคุยแทน และเอริคก็กลายเป็นคนรับฟังเสียส่วนมากในตอนหลัง

   

   ภาพคู่รักที่นั่งใกล้ชิดพูดคุยกันสนิทสนม ทำให้เวทิตที่เปิดประตูเข้ามาเบา ๆ ต้องชะงัก ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ แล้วปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ในโลกส่วนตัวต่อไปโดยไม่คิดขัดขวาง

   “เฮ้อ...ชักจะอิจฉาขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้วสิเรา”

   เด็กหนุ่มพึมพำ แต่ก็ยังคงรู้สึกดีที่เห็นเพื่อนรักมีความสุข เขาเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจอกับเวหาที่ออกมาเดินเล่นเช่นกัน

   “ไง! ต้น ออกมาเดินเล่นแต่เช้าเชียวนะ”

   เวหาทักทายเพื่อนสนิท ซึ่งอีกฝ่ายก็ยักไหล่แล้วยกยิ้มให้

   “ไม่ออกมาได้ยังไงล่ะ ก็ในบ้านเขากำลังสวีทกัน ขืนอยู่ด้วยก็ได้เป็นหัวหลักหัวตอพอดี”

   เวหาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แล้วจึงย้อนถามกลับมา

   “สวีท...หรือว่าเจตกลงเป็นแฟนกับคุณเอริคเขาแล้วหรือ”

   “ใช่...แถมตอนนี้ยังหวานใส่กันเสียจนอยากแกล้งเลยล่ะ”

   เวทิตบอกแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จนคนมองอมยิ้ม

   “ไม่เอาน่า อย่าไปแกล้งเขาเลย สงสารคุณเอริคเขาออก”

   “แหม...ก็ตอนนี้ฉันเป็นโสดอยู่คนเดียวก็เหมือนโดนทอดทิ้งนี่นา”

   “อืม...งั้นให้พี่ซันแนะนำญาติให้สักคนไหมล่ะ เห็นว่าญาติผู้หญิงที่ยังโสดอยู่ก็มีนะ”

   “ง่ะ…ไม่เอาล่ะ ขืนข้องเกี่ยวกับคนตระกูลนี้ มีหวังได้โดนตามประกบตลอดเวลาแน่ ...ฉันยิ่งไม่ชอบให้ใครมาคอยตามจุ้นจ้านเสียด้วยสิ”

   คำตอบของเวทิตทำให้เวหาส่งยิ้มเจื่อนให้กับอีกฝ่าย เพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ว่า คนรักนั้นก็ประพฤติตัวไม่ต่างกับที่เพื่อนสนิทบอกมา ทว่าเพราะเคยชินเสียแล้ว จึงทำให้เวหาไม่ค่อยนึกรำคาญหรือเบื่อหน่ายเท่าใดนัก

   “แต่การที่มีคนคอยรักคอยเป็นห่วงเราอยู่ตลอดเวลา บางทีมันก็มีความสุขนะ”

   เวทิตมองเพื่อนสนิท แล้วถอนหายใจเบา ๆ เพราะจะว่าไป เขาก็ค่อนข้างพูดถึงเรื่องนี้ในทางลบมากไปหน่อย คงเพราะเคยมีประสบการณ์ความรักแย่ ๆ จึงทำให้เขาไม่ค่อยชอบการที่อีกฝ่ายคอยตามติดเป็นเงาตามตัวเช่นนั้น

   “อืม...ฉันเข้าใจ ถ้าแฟนเก่าฉันจะยอมรับฟังและเชื่อใจฉันบ้าง เหมือนกับพี่ซันของนาย ฉันก็คงไม่ต่อต้านเรื่องการสโตกเกอร์ระหว่างคู่รักแบบนี้นักหรอกนะ”

   เวหารับฟังตาปริบ ๆ กับถ้อยคำที่เวทิตใช้เรียกพฤติกรรมของรวีที่เป็นอยู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วตบบ่าเพื่อนตามมาเบา ๆ

   “เอาเถอะ ...เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใคร ไม่แน่บางทีบทจะมาเดี๋ยวมันก็มาเองล่ะ จริงไหม”

   “นั่นสินะ...แต่ถ้าไม่มีมาจริง ๆ เดี๋ยวก็อยู่คอยแหย่ คอยป่วน พวกนายสองคนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็สนุกดีล่ะนะ”

   เวทิตบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้เวหาสั่นศีรษะไปมา เพราะมั่นใจว่าเพื่อนสนิทคงจะทำอย่างที่พูดจริงแน่ แล้วเขาก็คงต้องคอยง้อคอยปลอบคนขี้หึงของเขาไม่ให้หึงหวง ด้วยการเปลืองเนื้อเปลืองตัวประจำ จนพักหลัง ๆ เวหาชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า รวีนั้นหึงหวงเขาจริง หรือแกล้งงอนให้เขาง้อกันแน่



...TBC...


กำลังหวานเจี๊ยบ ๆ ได้ที่  ตัดจบเลยดีไหมน้อ หุ ๆ
 :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
น่ารักกกกกกกกกกกก
น่าจะจับคู่เวทิตกับอีธานนะ
คงดีมากๆจริงๆ
อย่างที่เขาว่าเกลียดอะไรมักได้อย่างนั้นไงละ
ฮุๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
ญาติพี่ซันยังมีเหลืออีกมั้ยคะ  :-[

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
โอ้หวานทุกคู่เลยครับ น่าอิจฉาจัง ...... สนุกน่ารักอ่านแล้วยิ้มได้อารมณ์ดี

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
พอได้คบกันแล้ว ก็ออกลายเลยนะ เอริค

555

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ใจเย็นๆนะเอริค. เดี๋ยวเด็กตื่นหมด
ค่อยๆตอดไปจ้า

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
อร๊ายยย ไม่ๆๆๆๆ อย่าเพิ่งตัดจบนะค๊าาา
กำลังอ่านเพลิน เจอคนแต่งบอกแบบนี้อิชั้นนี่สะดุ้งเลยค่า
ไม่นะ ไม่ยอม  :ling1: อยากอ่านอีกยาวๆ

เจน่ารักอ่ะ นับวันยิ่งน่าร้าก ยิ่งเผยใจตัวเองแล้วยิ่งน่ารักน่ากอดเข้าไปใหญ่
แก้มแดงเรื่อยๆ ใครจะอดใจไหว  :impress2:

แอบลุ้นว่าใครจะมากำหราบชายต้น พ่อคนรับมือยากคนนี้หนอ?
จะใช่คนในตระกูลนี้อีกรึเปล่า  :laugh:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

สวัสดีค่ะ มาต่อแล้วค่ะ ตอนแรกว่าจะตัดจบ แล้วไปจัดในตอนพิเศษแทน  แต่มันยังปั่นไม่จุใจ ประกอบกับคิดพล็อตเสริมได้ เลยมาปั่นให้อ่านกันต่อนี่ล่ะค่ะ  หวังว่าคงจะถูกใจกันนะคะ

ป.ล. นายต้นเริ่มฮอตในหมู่นักอ่าน เห็นมีแต่คนอยากจับให้เป็นเคะกันถ้วนหน้า 555 



ตอนที่ 10



    เรื่องที่เอริคกับเจตต์คบหากัน ก็ได้ล่วงรู้ถึงทุกคนทั้งที่ยังไม่พ้นช่วงเช้าดี เพราะเอริคนั้นไม่คิดจะปิดบังแถมยังแสดงท่าทางเป็นเจ้าของเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่ จนเจตต์รู้สึกเขินแทบไม่กล้าสบตากับคนอื่น ๆ เลยทีเดียว

   “เอ...แบบนี้ผมย้ายไปนอนที่เรือนไทยแทนดีกว่าไหมครับ คุณเอริคจะได้ย้ายมานอนห้องข้าง ๆ เจมันแทน”

   เวทิตเอ่ยแซวชายหนุ่มที่นั่งชิดกับเพื่อนของเขา ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งพักกินขนมหวานฝีมือของมีนา ที่ห้องรับแขกของบ้านพักหลังเล็กกัน และทันทีที่เวทิตพูดจบเจตต์ก็หันขวับมามองเพื่อนแล้วจ้องเขม็งด้วยแววตาเอาเรื่องทันที

   “ตอนนี้ยังก่อนดีกว่า...ขืนย้ายมาอยู่ใกล้กันกว่านี้ เดี๋ยวจะควบคุมตัวเองไม่ไหว”

   เอริคพูดตอบหน้าตาเฉย ทำให้คนแกล้งแซวชะงัก ก่อนจะพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดฤทธิ์เมื่อได้เห็นใบหน้าเหวอ ๆ แดงก่ำ ของเพื่อนสนิทของตน

   “ต้น! นายนี่มัน...”

   “ฮะ ๆ อย่าโกรธฉันสิ ฉันก็แค่อยากทำหน้าที่เพื่อนที่ดี ช่วยประสานสัมพันธ์ให้นายกับคุณเอริคเขาต่างหาก”

   คนที่พยายามควบคุมอารมณ์ขันตัวเองตอบออกไปอย่างร่าเริง ก่อนจะพยักหน้าขอโทษเอริคเบา ๆ แล้วเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย

   “ถึงยังไงผมก็อยู่ที่นี่ต่ออีกแค่ 4-5 วัน ก็ต้องกลับอยู่แล้ว แต่เจยังต้องอยู่อีกตั้งหลายวัน ถ้าผมกลับบ้าน หมอนี่ก็นอนคนเดียวอยู่ดี ถึงตอนนั้นยังไงก็ต้องจัดห้องกันใหม่ จริงไหมล่ะครับ”

   คำพูดของเวทิต ทำให้หลายคนชะงักแล้วพยักหน้ารับรู้ตามมาอย่างเข้าใจ ยกเว้นเจตต์ที่ยังคงเขินอยู่ไม่หาย

   “ไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย บ้านก็อยู่ใกล้ ๆ กันแค่นี้เอง!”

   “แล้วนอนคนเดียวไม่กลัวผีหลอกเหรอ...”

   เวทิตแกล้งแหย่ แต่อีกฝ่ายกลับแค่นยิ้ม แล้วโต้กลับทันที

   “ฉันไม่ใช่นายนี่จะได้กลัวผี  เหอะ! คราวก่อนตอนมาค้างที่บ้านเช่าฉัน พอได้ยินเสียงลมพัดแรง ๆ โครมครามด้านนอกหน่อย ก็กลัวจนกอดฉันเสียแทบจะหายใจไม่ออก!”

   เวทิตชะงัก ก่อนจะทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกประจานจุดอ่อนของตนเช่นนี้ ทว่าเอริคที่รับฟังอยู่เงียบ ๆ นั้นขยับมาโอบบ่าของเจตต์หมับ แถมยังลืมตัวออกแรงบีบจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง

   “ง่า...คุณเอริค”

   เจตต์หันไปสบตาอีกฝ่ายอย่างงุนงงพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ เพราะคนอารมณ์ดีก่อนหน้านั้น ตอนนี้กลับมีสีหน้าขรึมขึ้นมาอีกแล้ว

   “คุณเอริคครับ ไม่ต้องหึงไปหรอกครับ เรื่องต้นกลัวผีมาก ๆ น่ะ เป็นเรื่องจริงนะครับ ถ้าลองตกใจกลัวแล้วตรงหน้าต่อไม่ใช่เจ แต่เป็นคุณ หมอนี่ก็กอดทั้งนั้นล่ะครับ”

   เวหาที่เฝ้าดูอยู่รีบพูดแก้ตัวให้เพื่อนเพราะเกรงว่าเอริคจะโมโหหึงจนทำให้เจตต์กลัวเสียก่อน แต่คำพูดนั้นก็ทำให้รวีที่นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างอารมณ์ดีถึงกับชะงัก พลางขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะย้อนถามคนรักบ้าง

   “แล้วน้องฟ้ารู้ได้ยังไงครับ... อยู่ในเหตุการณ์หรือเป็นผู้ถูกกระทำล่ะครับ”

   เวหาเหลือบมามองคนถาม เขาลอบถอนหายใจแผ่วเบาอย่างระอา แล้วจึงอธิบายออกไปตามตรง

   “ผมแค่อยู่ในเหตุการณ์ครับ ตอนนั้นพวกเราไปเข้าค่ายลูกเสือตอน ม.4 ต้นเขาตกใจเสียงนกแสกร้องในตอนกลางคืน ก็เลยโวยวายวิ่งออกมานอกเต็นท์ แล้วกอดอาจารย์ที่ปรึกษาที่เข้ามาดูจนล้มไปกับพื้นทั้งคู่ ทำเอาต้องโดนลงโทษให้นั่งคุกเข่านอกเต็นท์ทั้งคืน น่าสงสารมากเลยล่ะครับ”

   “ง่า...ฟ้า เลิกเล่าเรื่องฉันได้แล้วล่ะ ...รู้สึกยิ่งเล่า ภาพพจน์ฉันมันยิ่งแย่ลง ๆ ยังไงไม่รู้สิ”

   เวทิตแย้งเสียงอ่อย แต่นั่นก็ทำให้หนุ่ม ๆ แต่ละคนหายหึง และกลับมานึกขำแกมสงสารเด็กหนุ่มแทน

   “เอ๊ะ! แล้วทำไมคราวนี้ พี่ต้นถึงได้แยกนอนคนเดียวได้ล่ะครับ ไม่กลัวผีแล้วหรือครับ”

   มีนาที่นั่งฟังเพลิน ๆ แทรกขึ้นมาบ้าง และนั่นก็ทำให้หลายคนสงสัย ยกเว้นเจตต์ที่รู้เหตุผลนั้นดี เพราะได้รับคำตอบจากเพื่อนสนิทมาตั้งแต่วันแรกที่เลือกห้องนอนแล้ว

   “ง่า...ข้อแรก นั่นก็เพราะพี่มั่นใจว่า น่าจะมีใครบางคนตามเจมันมาค้างที่นี่ด้วยแน่ และถ้าพี่ยังกล้านอนห้องเดียวกับเจ บางทีพี่อาจจะหลับไม่เป็นสุขตลอดที่พักที่นี่ก็ได้ยังไงล่ะครับ”

   เวทิตบอกกับมีนา ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกหงักรับรู้ ทว่าเอริคนั้นสะดุ้งนิด ๆ แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้ จนเวทิตและคนอื่นนึกทึ่ง

   “ส่วนข้อสอง...เพราะบ้านหลังนี้สร้างขึ้นใหม่ ทำให้ไม่น่ามีเรื่องอะไรให้ชวนสยองขวัญแน่...แต่ถึงจะมีพี่ก็เตรียมพร้อมของพี่ไว้แล้ว”

   พอเวทิตพูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้วยุ่ง เจตต์จึงบอกให้ทุกคนตามไปดูที่ห้องของเพื่อนสนิท โดยที่เจ้าของห้องก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยอมให้ทุกคนเดินไปดูโดยไม่ขัดขวาง

   

   พระประธานประจำบ้าน ขนาดองค์เกือบ 10 นิ้ว ที่ตั้งตระหง่านไว้บนหัวเตียงนอน ทำให้แต่ละคนที่ได้เห็นถึงกับพูดอะไรไม่ออก และเริ่มเชื่อแล้วว่าเวทิตนั้นกลัวผีจริง ๆ ไม่ใช่แกล้งเล่น

   “มิน่า...เห็นว่าจะมาอยู่แค่ 1อาทิตย์แต่ลากกระเป๋ามาตั้ง 2 ใบ”

   เวหาพึมพำ ซึ่งเวทิตก็ยิ้มเจื่อนแล้วพูดขึ้นบ้าง

   “ก็นะ...จะให้ใส่พระรวมกับเสื้อผ้าได้ยังไงเล่า แต่กว่าจะเอาออกมาจากบ้านได้ ก็โดนแม่บ่นตั้งหลายรอบ บอกว่าแค่พระเครื่องห้อยคอก็พอ แต่พระเครื่องของแม่แพงจะตาย ขืนฉันไปทำหล่นหายที่ไหน มีหวังโดนตีหัวแตก ก็เลยไม่กล้าสวมมาน่ะ”

   ทางด้านเจตต์ที่ฟังอยู่สั่นศีรษะอย่างเอือมระอา จะว่าไปเพื่อนสนิทของเขาทั้งนิสัยใจคอ ทั้งรูปร่างหน้าตา ก็ดูดีไปหมดเสียทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องกลัวผีนี่ล่ะ ที่ทำให้เวทิตไม่เพอเฟกต์อย่างที่ควรจะเป็น

   “เอาล่ะครับ ดูเรื่องขายหน้าของผมกันมากพอแล้ว ผมว่าพวกเรากลับไปนั่งคุยกันต่อดีกว่าครับ!”

   เวทิตที่รู้สึกว่าตัวเองจะถูกมองด้วยแววตาเปลี่ยนไปจากคนอื่น ๆ เอ่ยตัดบทขึ้น ทำให้แต่ละคนต่างอมยิ้มไปตาม ๆ กัน และทยอยเดินกลับมานั่งรวมตัวที่ห้องรับแขกของบ้านอีกครั้งหนึ่ง

   

   สำหรับช่วงบ่ายวันนี้ พวกหนุ่ม ๆ มีโปรแกรมออกท่องเที่ยวกันอีกรอบ เพราะรวีเห็นว่าเวทิตนั้นจะอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วัน ชายหนุ่มจึงเสนอให้ทุกคนไปท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อเวทิตจะได้มีความทรงจำที่ดีกลับไปในวันหยุดครั้งนี้นั่นเอง

   และการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ก็คือการพักค้างแรมในป่า และแม้จะเป็นป่าใหญ่ที่มีรีสอร์ทสะดวกสบายรองรับ หากแต่พื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นป่าทึบน่าท้าทายสำหรับพวกที่รักอิสระในการผจญภัยอยู่มากทีเดียว

   “อ้าว...ทีแรกพวกผมก็คิดว่าจะไปตั้งเต็นท์นอนกลางป่ากันเสียอีกนะครับ”

   เวหาบอกอย่างนึกเสียดาย เมื่อรถตู้พาพวกเขามาจอดที่หน้าบ้านพักหรูขนาดใหญ่ เนื่องจากทีแรกที่เด็กหนุ่มได้ยินรวีเสนอว่าน่าจะไปค้างแรมกันในป่า เขาก็คิดไปถึงการกางเต็นท์ใกล้ลำธารในป่าลึกเข้าให้แล้ว

   “แบบนั้นมันลำบากนี่ครับ แล้วก็อาจจะมีอันตรายก็ได้ ที่นี่ทั้งป่าไม้และสัตว์ป่าก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มากเสียด้วย ถ้าเราเข้าไปก็จะเป็นการรบกวนพวกมันเสียเปล่า ๆ”

   รวีให้เหตุผล ซึ่งเวหาพอได้ฟังก็พยักหน้ารับแล้วยิ้มตอบอย่างเข้าใจ ทำให้รวีแอบโล่งอก เพราะเขานั้นยังจำได้ดีในเรื่องที่คนรักเป็นพวกชอบหลงทิศ เกิดเวหาไปหลงป่าเข้าให้แล้วเขาตามไม่พบ เขาคงจะบ้าตายเป็นแน่

   “แต่ไม่ต้องห่วงนะครับน้องฟ้า ถึงเราจะพักกันที่นี่ แต่ตอนกลางวันเราจะเดินชมป่าแล้วก็ไปเล่นน้ำตกใกล้ ๆ แถวนี้กันด้วย”

   เวหาและเพื่อนอีกสองคน พอได้ยินก็รู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะเจตต์นั้นถึงกับเบิกตาเรียวเล็กของตนเสียกว้างด้วยความยินดี จนเอริคที่อยู่ข้าง ๆ นึกขำแกมเอ็นดู แต่ก็ยังไม่วายเตือนคนรักไม่ให้ประมาทเหมือนเมื่อคราวก่อนอีก

   “คราวนี้ต้องเดินระวังกว่าเดิมนะ เผื่อฉันรับไม่ทันเดี๋ยวจะเป็นแผลเอา”

   “ง่า...ครับ”

   เจตต์รับคำเสียงอ่อย ทำให้เอริคต้องลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นการปลอบ และนั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มมีรอยยิ้มเขิน ๆ ให้ได้เห็นอีกครั้ง

   “ถ้าอย่างนั้นเราแยกย้ายกันไปเก็บของกันดีกว่าครับ ไว้ตอนมื้อเย็นค่อยมาสรุปกันอีกทีว่าพรุ่งนี้จะจัดโปรแกรมเที่ยวยังไงกันบ้าง”

   รวีบอกกับทุกคน เพราะเวลานี้ก็เป็นเวลาจวนเย็นมากแล้ว ทว่าพอรวีบอกจบ พวกหนุ่ม ๆ ก็ยืนมองกันตาปริบ ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะจัดห้องพักกันยังไง เพราะแม้บ้านพักจะหลังใหญ่ก็จริง แต่ก็คงไม่มีห้องพอให้นอนเดี่ยวกันแต่ละคนแน่

   “เฮ้! ซัน ตกลงเอาไง...เรื่องนอนน่ะ”

   เมฆาที่เผอิญหันไปเห็นสายตาของเด็ก ๆ และอ่านพอออก จึงหันมาถามเพื่อนสนิท ซึ่งรวีก็นิ่งคิดก่อนจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

   “ก็ไม่เห็นยาก มี 3 ห้องนอน พวกเราก็แยกกันไป 3 คู่ ห้องนอนไหนที่ใหญ่สุดก็พ่วงน้องต้นไปคน แค่นี้ก็จบละ”

   พวกเด็กหนุ่มแต่ละคนพอได้ยินดังนั้นก็ทำตาปริบ ๆ โดยเฉพาะเวทิตที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากฟังจบ

   “ผมว่าผมนอนห้องรับแขกดีกว่าครับ ยังไงอากาศตอนกลางคืนบนภูเขาก็เย็นสบายอยู่แล้ว ถึงไม่มีแอร์ก็นอนได้”

   พอได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้น เวหาก็นึกสนุกแล้วเสริมตามขึ้นมาบ้าง

   “ถ้าอย่างนั้นฉันก็มานอนกับนายด้วยดีกว่า ที่นี่น่าจะมีพวกฟูกเสริมไว้ให้ด้วย เราก็ใช้ปูนอนด้วยกันก็นอนได้ละ... แล้วนายล่ะเจ ว่ายังไง”

   เวหาหันไปถามเจตต์ ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก ทำเอาคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกายเม้มปากนิด ๆ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

   “ถ้าอย่างนั้นพวกผมจะนอนรวมกันที่ห้องรับแขก ส่วนพวกพี่สามคน ก็แบ่งกันไปคนละห้องตามสบายเลยครับ ไม่ต้องห่วง”

   มีนาสรุปตัดบทก่อนที่คนที่เหลือจะรวมตัวกันประท้วง ทำให้รวีขมวดคิ้วยุ่งนิด ๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มแย้ม แล้วเอ่ยตามมา

   “ถ้าอย่างนั้นพี่ขอมานอนรวมด้วยคนนะครับ”

   “ไม่ได้ครับ อึดอัด แค่พวกผมก็เต็มแล้ว”

   คนที่ตอบคือเวหา ทำให้คนฟังสะดุ้งโหยงแล้วทำสีหน้าละห้อยน่าสงสารเสียจนเวหาเกือบจะหลงกล ทว่าก็ต้องทำใจแข็งไว้ก่อน เพราะเขาตั้งใจจะแก้เผ็ดเรื่องที่อีกฝ่ายวางแผนแบ่งห้องนอนแบบคู่รัก โดยไม่คิดจะบอกเขาล่วงหน้า

   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะนอนห้องชั้นล่าง”

   เอริคที่เหลือบไปเห็นห้องนอนด้านล่างรีบบอก แล้วเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของตนพร้อมกับแย่งกระเป๋าของเจตต์ไปถือ พลางหันมาบอกเด็กหนุ่มก่อนที่อีกฝ่ายจะตั้งคำถาม

   “เอากระเป๋ามาเก็บที่ห้องฉัน มันจะได้ไม่รกและไม่กินพื้นที่ห้องรับแขก ...ส่วนพวกเธอถ้าจะนอนที่ห้องรับแขกกันจริง ก็เอากระเป๋ามารวมกันในห้องฉันก็ได้”

   คำตอบของเอริคทำให้คนฟังแต่ละคนยิ้มออก ยกเว้นเมฆากับรวี ที่ถูกแย่งตำแหน่งห้องนอนที่ดีที่สุดในบ้านไปเสียแล้ว เพราะห้องนอนอีกสองห้องนั้นจะต้องขึ้นไปนอนบนชั้นสองของบ้านพักนั่นเอง

   “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่าพี่เมฆ...อืม...เอาไว้ถ้ามีนอยากนอนเตียงนุ่ม ๆ เมื่อไหร่ มีนจะขึ้นไปเคาะประตูขอนอนกับพี่เมฆด้วยคนแล้วกันนะ”

   มีนาที่สังเกตเห็นหน้าบึ้งตึงของคนรัก เดินไปกระซิบปลอบ ทำให้เมฆาชะงัก ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาได้ ชายหนุ่มกระซิบกลับ ซึ่งก็ทำให้มีนาที่ได้ยินนิ่งอึ้งเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมตกลง ตัดสินใจเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ไว้ในห้องพักของคนรักตามคำขอร้องของอีกฝ่าย

   

   ทางด้านเวหาพอเห็นน้องชายเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าตามเมฆาขึ้นไปบนชั้นสองก็แอบอึ้งเล็กน้อย ทว่ามีนาก็รีบหันมาบอกด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนที่พี่ชายจะเข้าใจตนผิดไปมากกว่านี้

   “มีนก็แค่จะเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่ห้องพี่เมฆเท่านั้นเอง...ขืนเอาไปเก็บรวมที่ห้องคุณเอริคทั้งหมด ก็รบกวนคุณเอริคเขาน่ะสิครับ”

   พอได้ยินดังนั้นเวหาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะถ้าลองมีนาเลือกค้างห้องเดียวกับเมฆา มีหวังเขาคงจะถูกรวีตื๊อแล้วอ้างเปรียบเทียบเข้าให้แน่

   “ถ้าอย่างนั้นน้องฟ้าก็เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องพี่ดีกว่านะครับ เห็นพนักงานเขาบอกว่าห้องพักที่นี่มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง ...เวลานอน น้องฟ้าก็ไปนอนรวมกับเพื่อน แต่เวลาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำธุระส่วนตัว น้องฟ้าก็มาใช้ห้องพี่ยังไงล่ะครับ”

   รวีอ้อนเต็มที่จนเวหาต้องลอบถอนหายใจ และเลิกคิดแกล้งทำใจแข็งต่อ

   “เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”

   รวีเบิกตากว้างอย่างยินดี จากนั้นก็รีบกุลีกุจอช่วยเด็กหนุ่มหิ้วกระเป๋าขึ้นไปเก็บ แถมยังชักชวนให้เวหาไปดูห้องพักของตนด้วยอีกต่างหาก ทำให้ชั้นล่างในห้องรับแขกเหลือเพียงสองคน คือ เจตต์ และเวทิต  ส่วนเอริคนั้นยกกระเป๋าเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มไปเก็บในห้องเรียบร้อยเพื่อกันอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ

   “เอาไง...นายก็จะเอากระเป๋าไปเก็บในห้องด้วยใช่ไหม”

   เจตต์ถามเพื่อน เพราะแม้จะไม่ค้างห้องเดียวกัน แต่การที่อยู่ด้วยกันลำพังในห้องส่วนตัวกับเอริคก็อดที่จะทำเขาเขินขึ้นมาไม่ได้

   “ไม่ล่ะ ...กระเป๋าฉันแค่ใบเดียว เอาไปซุกไว้ตามริมห้องก็ได้ อีกอย่างข้างนอกนี่ก็มีห้องน้ำ ฉันก็ไม่ต้องไปแย่งเข้าห้องน้ำกับพวกนายสองคนก็ได้ เพียงแต่ว่า...”

   เวทิตหยุดเว้นวรรค สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

   “ถ้าเกิดนายเปลี่ยนใจจะนอนห้องเดียวกับคุณเอริค ฉันขอติดไปนอนในห้องด้วยคนนะ  ถ้าพวกนายจะทำอะไรกันบนเตียงก็ทำไป รับรองว่าฉันจะไม่รบกวนและทำตัวเงียบ ๆ นอนบนพื้นมุมห้องอย่างสงบเสงี่ยมที่สุดเลยล่ะ สาบานได้!”

   เจตต์นิ่งอึ้งก่อนจะหน้าแดงวาบตามมา แล้วจึงโวยวายใส่เพื่อนด้วยเสียงที่ไม่กล้าดังนัก

   “อะ...ไอ้บ้า...ใครจะทำกันเล่า...ไอ้เพื่อนลามก!”

   “อ้าว! ฉันก็แค่พูดเผื่อไว้ก่อน  ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็ไม่นอนคนเดียวแน่ พระก็ไม่ได้พกมาด้วย”

   เวทิตรับคำอย่างไม่นึกสนใจ แถมยังพึมพำด้วยความเป็นกังวลตามมาเสียจนคนมองหมั่นไส้

   “ทีแรกดันเสนอตัวขอนอนห้องรับแขกคนเดียวได้หน้าตาเฉย ทีนี้ดันจะมาทำเป็นกลัว!”   

   เจตต์บ่นอุบ ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะแย้งกลับไป

    “ก็ทีแรกฉันมั่นใจว่า ถ้าพูดแบบนั้นออกไป ไม่ฟ้าก็นายจะต้องเสียสละมานอนเป็นเพื่อนกับฉันด้วยน่ะสิ เรื่องอะไรจะยอมทำตัวกลัวผีเสียหน้าต่อพวกพี่ซันให้เพิ่มไปกว่านี้วะ!”

   “แล้วตอนนี้ล่ะ...”

   เจตต์ถามด้วยสีหน้าที่เอือมระอา ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดต่อ

   “แหะ ๆ ก็พวกนายเล่นทำตัวเหมือนจะแยกกันไปนอนคู่ใครคู่มันนี่หว่า ฉันก็เลยเก๊กต่อไม่ไหวน่ะสิ”

   เวทิตสารภาพออกมาตามตรง ทำให้เจตต์ทั้งฉุนทั้งสงสารเพื่อนสนิท แล้วจึงรับปากว่า หากต้องย้ายเข้าไปนอนในห้องจริง ยังไงเขาก็จะพ่วงเวทิตเข้าไปด้วยกันแน่นอน

   

   หลังจากพูดคุยตกลงกับเวทิตเรียบร้อย เจตต์ก็เดินตรงไปเคาะประตูห้องเอริคเบา ๆ

   “คุณเอริคครับ...เอ่อ...ผมเข้าไปได้ไหมครับ”

   “...เชิญ”

   ข้างในเงียบไปสักพัก ก่อนที่คำตอบรับสั้น ๆ จะดังขึ้น ทำให้เด็กหนุ่มใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ และพอเปิดประตูเข้าไปเขาก็ต้องหลุดอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเอริคซึ่งลุกขึ้นมายืนรออยู่หน้าประตูดึงแขนเขา พลางรวบร่างที่เสียหลักเข้าไปกอดแน่น และก่อนจะถูกกอดจนหายใจไม่ออก เจตต์ก็รีบดันอีกฝ่ายให้ห่างกายแล้วถามขึ้นเสียก่อน

   “คะ...คุณเอริค...อะไรกันครับเนี่ย”

   “ก็เธอปล่อยให้ฉันรอนานเสียจนฉันคิดว่า เธอจะโกรธที่ฉันมัดมือชกเรื่องกระเป๋าเสื้อผ้านั่นน่ะสิ”

   เอริคสารภาพตามตรง ทำให้เจตต์ชะงัก ก่อนจะหลุดยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่าย

   “ผมไม่โกรธคุณเรื่องนั้นหรอกครับ...เอ่อ...และจริง ๆ แล้ว ถึงจะจัดห้องให้คู่กัน ผมก็ไม่ว่าอะไร...จะมีก็แต่...เอ่อ...รู้สึกเขินมากกว่า ก็เท่านั้น”

   เพราะค่อนข้างเข้าใจดีว่า คนที่เขารัก เป็นคนตรงไปตรงมา จริงใจ และอ่อนไหวในเรื่องความรักเป็นพิเศษ จึงทำให้เจตต์ยอมข่มความอายและบอกความในใจออกไป เพื่อไม่ให้เอริคต้องเข้าใจผิด และอยากให้อีกฝ่ายเชื่อใจและมั่นใจในความรักที่เขามีตอบด้วยนั่นเอง

   “เจ...ที่รัก...ฉันรักเธอนะ”

   เอริครับรู้ถึงความจริงใจที่มีให้ตนผ่านคำพูด สีหน้า และแววตาของเด็กหนุ่ม เขาไม่รู้จะตอบแทนยังไงให้สมกับความรู้สึกนั้น จึงทำได้เพียงบอกรักออกไป หากแต่เจตต์ก็ยังคงยิ้มเขินตอบรับเขา และกอดตอบเขาหลวม ๆ ซึ่งก็สร้างความสุขใจให้กับเอริคยิ่งนัก



    พวกเขายืนกอดกันอยู่เช่นนั้นพักใหญ่ จนกระทั่งเสียงเคาะประตูของใครบางคนดังขึ้น จึงทำให้ทั้งคู่ผละจากกัน และพอหันมามองต้นเสียง ก็เห็นเวทิตเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้

   “ง่า...พอดี ผมเห็นต่างคนต่างแยกเข้าห้องกันไปเสียนาน เลยรู้สึกโหวง ๆ เอ๊ย! รู้สึกเหงานิดหน่อยน่ะครับ ...อีกอย่างมันก็เย็นมากแล้ว แถมบนเขานี่ก็มืดเร็วเสียด้วยสิ แหะ ๆ”

   เจตต์มองเพื่อนสนิทของตนก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายมาขัดจังหวะเพราะอะไร ทางด้านเอริคนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองคนรักพร้อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยขึ้น

   “ถ้าอย่างนั้นเราไปตามทุกคนไปกินข้าวเย็นดีกว่า ขืนปล่อยแบบนี้ กว่าจะได้กินก็คงจะค่ำแน่”

   เจตต์หน้าแดงวาบ ส่วนเวทิตหัวเราะแห้ง ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยู่คนเดียวท่ามกลางห้องรับแขกกว้างขวางวังเวงแบบนั้น เขาก็คงไม่คิดจะเสียมารยาทมาขัดจังหวะคู่รักแต่ละคู่เป็นแน่ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างต้องทนกลัวอยู่คนเดียวล่ะก็ เขายอมถูกเบื่อหน้าจากพวกคนรักของเพื่อนเสียจะดีกว่าล่ะนะ

   

... TBC ...

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
 :กอด1: :mc4: ชอบตอนนี้อ่ะน่ารักดี

ออฟไลน์ sweetyswtcou

  • R.Chek SwtCou
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
อ่านทันแล้ววว
เป็นเรื่องที่สนุกมากค่ะ ไม่มีดราม่า ชอบมากกกกกก o13
อยากอ่านต่ออีกมากๆเลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ aom2529

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 885
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
 :jul3: :jul3: :jul3: :jul3: :jul3: สงสารต้นนะ..อย่างนี้ต้องหาคู่ให้ต้นแล้วล่ะนะ..  :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
น่ารักกกกกกกกกกกกกกก  :-[ :-[
เมื่อไหร่คู่ของเวทิตจะออกมาน๊า  :hao6: :hao6:
จะได้ไม่ต้องไปค่อยขัดคู่อื่นเค้า หุๆๆๆ  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ raviiib❁

  • คนเขียนนิยาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
แอร้ยยยยยยยยย น่ารัก
เมื่อไหร่ต้นจะมีแฟนคร้า มีหนุ่มล่ำๆให้ต้นซูกตอนกลัวผีมั้ย อิอิ :hao3:

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
คุณเอริค กรี๊ดดดดดดดดดด แบบ... เจที่รัก
เจที่รัก ง่ะ เขิน ม้วนตัวๆ  :-[

ตาต้นเอ้ย นายมีจุดอ่อนแล้ว ไม่รอดแน่ๆ กร๊าก
น่าแกล้งมากอ่ะ  :laugh:

ขอบคุณคนแต่งค่ะ LOVE LOVE  :L2:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

ตอนที่ 11


    ค่ำวันนั้นหลังจากที่ทานอาหารมื้อเย็นกันเรียบร้อย แต่ละคนก็มารวมตัวกันที่ห้องรับแขก ทางด้านเจตต์ที่กินมื้อเย็นจนอิ่มก็เริ่มหาวออกมา ทำให้เอริคที่มองอยู่อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยถามอีกฝ่าย

   “ง่วงแล้วหรือ...จะไปนอนที่ห้องฉันก่อนก็ได้นะ”

   เจตต์สะดุ้งก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ แล้วสั่นศีรษะไปมา

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมแค่อิ่มนิดหน่อย ถ้าง่วงจริง ๆ เดี๋ยวผมฟังไปหลับไปแถวนี้ก็ได้ครับ แหะ ๆ”

   เอริคถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ขยับไปนั่งใกล้แล้วโน้มศีรษะของเด็กหนุ่มให้มาซบพิงกับไหล่ของตน

   “ถ้าอย่างนั้นก็หลับพิงไหล่ฉันไปแล้วกัน หรือถ้าไม่ถนัดก็จะนอนตักแทนก็ได้นะ”

   ชายหนุ่มบอกอย่างอ่อนโยน ทำให้เจตต์หน้าแดงวาบด้วยความเขิน ส่วนคนอื่นที่อยู่ด้วยต่างพากันทำเป็นเมินไม่ใส่ใจความหวานของทั้งคู่ แล้วสนทนากันต่อไป ซึ่งก็ทำให้เจตต์รู้สึกโล่งอก เพราะถ้าเขาโดนล้อตอนนี้ เขาก็คงทำตัวไม่ถูกเป็นแน่

   “อืม...จะว่าไปตอนนี้กลุ่มของพวกเรา คนที่โสดก็เหลือแต่น้องต้นคนเดียวแล้วสินะครับ”

   รวีเปลี่ยนเรื่องสนทนาจากกำหนดการท่องเที่ยววันรุ่งขึ้น เป็นเรื่องของความรักแทน ทำเอาเวทิตถึงกับชะงัก ก่อนจะยิ้มตอบกลับไป

   “ง่า...ก็คงงั้นครับ แต่ผมเองก็โอเคนะ ยังไม่เหงาอะไรเท่าไหร่”

   เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากรวีทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ เพราะแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคนรักนั้นไม่เคยคิดกับเวทิตเกินเพื่อน  หากแต่เพราะความสนิทสนมที่ทั้งคู่มีต่อกัน ก็ทำให้รวีเกิดอาการหึงหวงและเกรงว่ามิตรภาพมันจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักเข้าให้สักวัน แต่หากเวทิตมีคนรักเป็นของตัวเอง เขาก็คงจะพอลดความกังวลลงไปได้บ้าง

   “เอ่อ...แล้วสเป็คที่น้องต้นชอบล่ะครับ เป็นแบบไหน”

    คำถามถัดมาทำให้เวทิตขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะนึกเอะใจบางอย่าง เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ ก่อนจะตอบคำถามนั้น

   “จะว่าไปแล้วผมก็ไม่มีรสนิยมตายตัวหรอกครับ ถ้านิสัยเข้ากันพอได้ ก็คบกันได้แล้ว  อืม...จริง ๆ ถ้าให้เลือกล่ะก็ นิสัยแบบฟ้านี่ล่ะครับถูกใจที่สุด ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ถ้านิสัยเหมือนหมอนี่ผมว่าผมยอมรับได้สบาย ๆ เลยล่ะ”

   รวีสะดุ้งโหยงแล้วจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ทำเอาเวหาที่มองอยู่ต้องถอนหายใจแผ่วเบา มองเพื่อนก็พอจะรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มแกล้งตอบหาเรื่องแหย่ให้คนรักของเขาเกิดความหึงหวงเข้าอีกจนได้

    “ต้น...”

   เวทิตหันมายิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ ให้เพื่อนสนิท ก่อนจะยักไหล่นิด ๆ แล้วหันไปทางรวีอีกครั้ง

   “ผมล้อเล่นน่า! พี่ซันนี่ล่ะก็หึงหวงพร่ำเพรื่อเสียจริงเลย”

   “ล้อเล่น...จริง ๆ หรือครับ”

   รวียังไม่หายระแวง ทำเอาเวหาที่มองอยู่ลอบถอนหายใจ แล้วเรียกชื่อคนรักเบา ๆ   

   “พี่ซันครับ”

   เวหาเรียกชื่ออีกฝ่าย พลางจ้องแบบดุ ๆ ไม่จริงจังนัก แต่นั่นก็ทำให้รวีที่กำลังเขม่นใส่เวทิตสะดุ้งโหยง แล้วหันมายิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้

   “แหม...ก็น้องต้นเขาล้อเล่นเสียเหมือนจริง พี่ก็เลยระแวงนี่ครับ”

   “ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยครับ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าฟ้ากับต้นเป็นแค่เพื่อนกัน ทำไมถึงไม่เชื่อใจกันบ้างเลย... นายก็เหมือนกันนะต้น ถ้าไม่เลิกแหย่ให้พี่ซันหึงอีก ฉันจะให้มีนกับเจไปนอนที่อื่นแล้วทิ้งให้นายนอนห้องรับแขกคนเดียวด้วย!”

   เวทิตที่กำลังยิ้ม ๆ สะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบโวยวายตามมาอย่างลืมตัว

   “เหวอ! ไม่เอานะฟ้า! ฉันไม่นอนคนเดียวเด็ดขาด!”

   พอโวยวายออกไป เจ้าตัวก็ชะงัก ก่อนจะกระแอมเบา ๆ เรียกฟอร์มกลับมาแล้วพูดต่อ

   “ง่า...เอาเป็นว่าฉันขอโทษที่แกล้งแหย่เรื่องนายแล้วกัน ...แต่ฉันก็แค่ขำพี่ซันนี่นา ตัวเองก็ทั้งหล่อทั้งรวย จะมาหึงหวงอะไรกับคนอย่างฉัน เฮ้อ...ไม่เข้าใจจริง ๆ เลยน้า”

   ท้ายประโยคเจ้าตัวทำเป็นสั่นศีรษะไปมาแถมยังปรายสายตาไปยักคิ้วให้กับเจตต์ที่นั่งอยู่อีกที่ สร้างความหมั่นไส้ให้กับทั้งเวหาและเจตต์ที่มองอยู่ และเริ่มคิดตรงกันว่าควรจะหาคู่ให้กับเวทิตบ้างได้แล้ว เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องโดนล้อเลียนหรือแกล้งแหย่เอาฝ่ายเดียวแบบนี้



   “แล้วตอนน้องต้นมีแฟน น้องต้นไม่เคยหึงหวงแฟนบ้างเลยหรือครับ”

   รวีที่รู้สึกเสียหน้านิด ๆ เอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ ทำให้เวหาต้องหันไปมองคนรัก แล้วแอบลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา

   “หืม...ไม่นี่ครับ เพราะผมเชื่อใจเขา แถมเอาจริง ๆ แล้ว ผมกลับต้องคอยรำคาญเพราะเรื่องหึงหวงไม่เป็นเรื่องอยู่เสมอจากเขานี่ล่ะครับ”

   เวทิตบอกอย่างเบื่อหน่ายเมื่อนึกถึงอดีตคนรัก ทำให้รวีชะงักก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงคอ เลิกถามต่อ เพราะเหมือนมันจะเข้าตัวเองแทนเสียแล้ว ทว่าอาการของรวีที่เกิดขึ้นนั้นก็เผอิญอยู่ในสายตาของเวทิตพอดี เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยกับอีกฝ่าย

   “พี่ซันไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกครับ พี่ซันน่ะถึงจะแสดงท่าทางหึงหวงฟ้าให้ผมเห็นเสมอ แต่พี่ซันก็ยังยอมรับฟังทุกถ้อยคำที่ฟ้าพูด และก็ยังไม่ทำตัวดื้อรั้นหัวชนฝาไม่ยอมฟังอะไรเลยเหมือนกับแฟนเก่าของผมเป็น ...ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ผมน่ะอิจฉาฟ้ามากเลยนะ ที่ได้แฟนแบบพี่ซันน่ะ”

   คำพูดจากใจจริงของเวทิตทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ แล้วจึงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของแต่ละคน โดยเฉพาะรวีที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรตามมา ทว่าเวทิตกลับดักคอไว้ก่อนคล้ายรู้ทัน

   “ง่า...ถ้าพี่ซันจะแนะนำญาติพี่น้องคนใดคนหนึ่งให้ล่ะก็ ผมขอไว้ดีกว่าครับ...ถึงจะอิจฉาฟ้าก็จริง แต่ผมคงรับมือกับญาติพี่ลำบากแน่ ผมยังความอดทนสูงไม่พอเท่าเพื่อน ๆ ของผมน่ะครับ”

   เวทิตบอกแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ทำเอาเมฆาหันไปกลั้นหัวเราะ มีนาลอบถอนหายใจ เจตต์กับเวหาฝืนยิ้มรับ ส่วนรวีกับเอริคนั้นมีสีหน้าพิลึก แต่ทั้งสองก็ไม่กล้าจะย้อนถามให้เด็กหนุ่มอธิบายให้กระจ่าง เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะหลุดคำพูดที่ฟังแล้วแสนจะแสลงหูมากไปกว่านั้นนั่นเอง

   

    หลังจากนัดแนะโปรแกรมท่องเที่ยวกันเป็นที่เรียบร้อย พวกหนุ่ม ๆ ก็ถูกไล่ให้ไปนอนในห้องพักโดยที่ต่างก็ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ทว่าเพราะคนรักของแต่ละคนยอมตามไปส่งให้ถึงหน้าห้อง จึงทำให้บรรดาชายหนุ่มยอมกลับเข้าห้องพักไปโดยไม่มีปัญหาตามมา

   “ไง ต้น...อ้าว! เจยังไม่กลับอีกเหรอ”

   เวหาที่ลงจากชั้นสองมาพร้อมมีนาเอ่ยทัก ซึ่งเวทิตก็ชี้นิ้วโป้งไปที่ห้องของเอริค แล้วยักไหล่นิด ๆ

   “เห็นยืนคุยกันอยู่ดี ๆ ก็โดนดึงเข้าห้องไป ยังไม่รู้เลยว่าจะออกมาตอนไหน... นี่ถ้าพวกนายยังไม่ลงมาอีก ฉันจะลองด้านหน้าเสี่ยงไปเคาะประตูเรียกแล้วล่ะ บ้านในป่าในเขานี่เวลาค่ำมันวังเวงพิกล”

   เวหากับมีนาหัวเราะเบา ๆ เพราะเวทิตนั้นแสดงออกให้เห็นอย่างไม่คิดจะรักษาฟอร์มต่อหน้าพวกเขา ว่ากลัวผีมากเพียงใด ทว่าพอคุยกันอีกสักพัก เจตต์ก็เปิดประตูห้องแล้วเดินหน้าแดงออกมา ส่วนเอริคก็ยิ้มน้อย ๆ ทักทายพวกเขาก่อนจะปิดประตูห้องนอนของตน

   “ไงเพื่อน นึกว่าคืนนี้จะเปลี่ยนใจค้างห้องโน้นเสียแล้ว”

   เวทิตทักทายทันทีที่เจตต์เดินมาถึง ทางด้านเจตต์บ่นอุบอิบใส่เพื่อนสนิท แล้วทรุดกายลงนั่งบนเบาะนอนที่ปูเอาไว้เรียบร้อย

   “เกือบจะไม่ได้ออกมาเหมือนกัน...คนอะไรไม่รู้ทั้งอ้อนทั้งตื๊อเก่งเป็นบ้า...นี่ถ้าไม่คบกันก็คงไม่รู้หรอก...”

   เจตต์เงียบไปแล้วหน้าแดงวาบ เพราะคนทำตัวเคร่งขรึมเย็นชาอย่างเอริค เวลาหวานใส่เขาก็ช่างแสนจะน่ารัก และยังชวนให้เขาใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

   “เห...คุณเอริคอ้อนใส่นี่นะ อยากเห็นชะมัดเลยว่ะ!”

   เวทิตพูดขึ้นด้วยสีหน้าสนอกสนใจจนเจตต์สะดุ้ง แล้วจึงมองเพื่อนด้วยสายตาจ้องเขม็งอย่างลืมตัว ทำเอาเวทิตนิ่งอึ้ง ก่อนจะหลุดหัวเราะลั่นอย่างห้ามไม่อยู่

   “ฮ่า ๆ ๆ ให้ตายเถอะเจ! นี่นายหึงฉันเหรอ! โอ๊ย...ไม่อยากเชื่อเลยว่ะเพื่อน ว่านายจะขี้หึงกับเขาเหมือนกัน!”

   “หุบปากไปเลยไอ้เพื่อนบ้า! เลิกหัวเราะได้แล้ว!”

   เจตต์ที่อายจนหน้าแดงก่ำ คว้าหมอนมาตีใส่เวทิตแรง ๆ ด้วยความเขินปนฉุน ซึ่งเวทิตก็หลบแล้วหยิบหมอนตัวเองมาสู้ ทะเลาะกันไป ๆ มา ๆ ก็พลาดไปโดนพวกเวหากับมีนาที่นั่งดูอยู่ จนสุดท้ายก็กลายเป็นสงครามหมอนในห้องรับแขก โดยมีหนุ่ม ๆ ออกจากห้องมาแอบดูบ้าง ยืนดูตรง ๆ บ้าง อย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งสงครามจบลง พวกเด็ก ๆ ก็ล้มตัวนอนพักอย่างอ่อนเพลีย ส่วนบรรดาผู้ใหญ่ก็แยกย้ายกันกลับเข้าไปนอนตามเดิม

   

    เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นนอนกันอย่างสดชื่น แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำตามห้องของคนรักตน ยกเว้นเวทิตที่ยึดห้องน้ำของห้องรับแขกใช้คนเดียวอย่างสบายใจไม่มีใครคิดแย่ง

   “ถ้าอย่างนั้นตามกำหนดเดิมของเรา ก็คือเดินลุยป่าไปในช่วงเช้า แล้วไปกินข้าวกลางวันกันที่น้ำตก  เราจะเล่นน้ำและออกเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณนั้น ในเวลาที่เหมาะสมไม่ช้าไม่เร็วเกินไปนัก เพราะหากช้าเกินไปจะกลับค่ำเอา ถึงเราจะมีคนนำทางที่ชำนาญก็ตาม แต่พวกเราไม่ได้ชำนาญด้วย เพราะอย่างนั้นกลับตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินมันน่าจะดีกว่า

   รวีสรุปโปรแกรมการท่องเที่ยวของวันนี้ให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้งหลังจากที่ต่างทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย  ทางด้านเจตต์นั้นใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่แทบตลอดเวลา สาเหตุแรกก็เพราะเขาจะได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่ซึ่งตนชอบ และสาเหตุของการอารมณ์ดีอีกอย่างก็คือ เขาเพิ่งจะได้รับของสำคัญจากเอริคมาเมื่อเช้าหนึ่งชิ้น

 

   ...ย้อนไปเมื่อตอนเช้าหลังจากที่เจตต์นั้นอาบน้ำแต่งตัวออกมาเสร็จ เอริคที่นั่งรอคอยอยู่บนเตียงจู่ ๆ ก็เรียกเขาเข้ามา ก่อนจะถอดสร้อยไม้กางเขนที่ห้อยคออยู่ มันเป็นสร้อยไม้กางเขนสีเงินเรียบ ๆ ไม่ได้สลักหรือประดับด้วยอัญมณีมีค่าอันใด แถมยังดูเหมือนจะผ่านเวลาการใช้งานมานานแล้วด้วย

   “ของเก่าน่ะ...ชอบไหม ฉันให้”

   เอริคถามเรียบ ๆ ทำให้เจตต์ที่กำลังจ้องมองไม้กางเขนอยู่สะดุ้ง ก่อนจะนิ่วหน้าแล้วย้อนถามกลับไป

   “เอ่อ...จะดีหรือครับ”

   เอริคที่ได้ยินคำถามนั้นชะงักเล็กน้อย ใบหน้าขรึมลง ก่อนจะยิ้มเศร้า ๆ อย่างน่าประหลาด

   “ถ้าไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไรหรอก...จริงสิ...แล้วอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมล่ะ อย่างแหวน นาฬิกา หรือพวกสร้อยเพชรอะไรแบบนั้น”

   ท้ายประโยคชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้ากลับมายิ้มน้อย ๆ ทว่าเจตต์ก็พอมองออกว่าเอริคนั้นฝืนยิ้ม และที่สำคัญเขายังคาใจสีหน้าเมื่อครู่ของอีกฝ่ายอยู่ไม่หาย ซึ่งเขามั่นใจว่ามันน่าจะเกี่ยวกับสร้อยไม้กางเขนที่เจ้าตัวตั้งใจให้เขานั่นแน่

   “เอ่อ...ที่ผมถามคุณก่อนหน้านั้น ไม่ใช่ว่าเพราะไม่อยากได้สร้อยของคุณหรอกนะครับ...”

   เอริคจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะหลุดถามออกมา

   “แล้วทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”

   “ก็...” เจตต์ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วตัดสินใจพูดออกมาตามที่ใจคิด

   “ก็คุณบอกว่ามันเป็นของเก่า และคุณยังใส่ติดตัวอยู่ตลอดแบบนั้น แสดงว่าต้องเป็นของสำคัญมาก...แล้วของสำคัญแบบนั้น คุณจะยกให้คนอย่างผม...เอ่อ คือมันทำให้ผมเกรงใจและกลัวว่าจะรักษามันได้ไม่ดีเท่ากับคุณน่ะสิครับ”

   เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เขาเอื้อมมือไปดึงแขนของเจตต์ให้เข้ามาใกล้ตัวก่อนจะกอดร่างของเด็กหนุ่มแน่นจนเจตต์ตกใจ ทว่าสักพักเอริคก็คลายอ้อมกอดออก แล้วยกร่างโปร่งของอีกฝ่ายให้มานั่งตักของตนอย่างไม่ลำบากอะไรนัก

   “สร้อยนี้ฉันได้จากยายของฉัน ตอนฉันไปเยี่ยมท่าน ตอนนั้นท่านอายุมากแล้ว ท่านถอดมันให้ฉัน แล้วบอกว่าสร้อยนี้ท่านเคยให้คุณตาตอนไปรบและคุณตาก็กลับมาอย่างปลอดภัย...ตอนนี้คุณตาเสียไปแล้วด้วยโรคชรา ท่านก็เลยยกมันให้ฉันเก็บไว้แทน”

   พอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็เบิกตากว้าง เขามองเอริคที่สวมสร้อยใส่คอของเขาอย่างลำบากใจ ทว่าเอริคนั้นกลับส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขาแทน แล้วจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องในอดีตให้เขาฟังต่อ

   “จริง ๆ ฉันเคยคิดจะยกสร้อยเส้นนี้ให้กับแฟนเก่าของฉัน แต่เขาไม่ต้องการ...ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เล่าความสำคัญของมันให้เขาฟัง เพราะเขาปฏิเสธเสียก่อน ...เขาบอกว่ามันเก่า อยากได้เส้นใหม่มากกว่า...และพอเธอทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ ฉันก็เลยกลัวว่าเธอจะแอบคิดเหมือนเขายังไงล่ะ”

   เจตต์นิ่งอึ้ง มองสร้อยกางเขนที่คอของตน ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงยกแขนกอดโอบรอบคอของชายหนุ่มหลวม ๆ พร้อมกับพึมพำบอก

   “ผมจะเก็บมันไว้อย่างดีที่สุดเลยครับ...ขอบคุณมากนะครับ คุณเอริค”

   เอริคแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างยินดี เขากอดร่างบนตักพร้อมกับกระซิบถ้อยคำตอบกลับไป

   “ฉันก็ขอบคุณมากนะเจ...ฉันดีใจ ที่ครั้งนี้ ฉันเลือกรักคนไม่ผิดอีกแล้ว”

   เจตต์ยิ้มรับ เขาค่อย ๆ คลายอ้อมแขนที่โอบกอดรอบลำคอนั้นออก ทว่าเอริคเองกลับยังไม่ยอมคลายอ้อมกอดของตน และยังกอดร่างของเด็กหนุ่มอยู่อีกสักพักจนเจตต์ต้องอ้อนขอ

   “ปล่อยเถอะครับ...เดี๋ยวเกิดออกไปช้า พวกนั้นจะสงสัยเอา”

   “ใครจะสงสัยอะไรได้...คู่รักอยู่ด้วยกันตามลำพัง ก็ต้องใช้เวลาตามประสาคู่รักเป็นธรรมดาน่ะสิ”

   เอริคตอบหน้าตาเฉย แถมยังเริ่มลูบไล้ไปทั่วตัวคนรัก แล้วหอมไปทั่วเท่าที่เขาจะหอมได้

   “คะ...คุณเอริคครับ”

   “หือ...ทำไมหรือ”

   เอริคแกล้งถามคนที่ร้องขอตน ทำเอาเจตต์ต้องเผลอทำหน้ามุ่ยอย่างนึกหมั่นไส้

   “หึ ๆ โกรธหรือ...”

   ใบหน้าคมเข้มถามพร้อมรอยยิ้มกระเซ้า ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกเขินขึ้นมาแทน

   “มะ...ไม่ได้โกรธหรอกครับ...แต่ว่า...”

   “หรือว่าจะเขิน หือ...”

   คำถามกระซิบพร้อมกับริมฝีปากที่งับใบหูของตนเล่น ทำเอาเจตต์สะดุ้งเฮือก หน้าแดงก่ำ เสียจนคนมองเริ่มชักจะทนไม่ไหวขึ้นมาจริง ๆ

   “ให้ตายเถอะ...เธอนี่มันน่ารักจริง ๆ เลยนะเจ ...เอาล่ะ คราวนี้จะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้”

   เอริคบอกแล้วก้มลงหอมแก้มของเด็กหนุ่มคนรักฟอดใหญ่ จากนั้นจึงอุ้มเจตต์ลงจากตัก แล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องพร้อม ๆ กัน...



   ภาพใบหน้าเขิน ๆ และมือที่เผลอกุมตำแหน่งสร้อยไม้กางเขนที่สวมอยู่ ทำให้เอริคที่หันไปเห็นต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ทำให้รวีที่เหลือบไปเห็นปฏิกิริยาของลูกพี่ลูกน้อง ต้องแอบเดินมากระซิบถามอย่างสงสัย

   “อารมณ์ดีเชียว มีอะไรดี ๆ อย่างนั้นหรือไง”

   “ฉันแน่ใจตัวเองแล้วล่ะซัน ...ว่าฉันคิดไม่ผิด ที่เลือกรักเด็กคนนี้”

   รวีเลิกคิ้วก่อนจะอมยิ้มนิด ๆ แล้วตอบกลับ

   “มันแน่อยู่แล้ว ก็เขาเป็นเพื่อนกับน้องฟ้าของฉัน ก็ต้องเป็นคนดีเหมือนกันอยู่แล้วล่ะ”

   เอริคหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่สำหรับรวีแล้ว เวหาก็ยังเป็นที่หนึ่งสำหรับเจ้าตัวเสมอในทุกด้าน

   “...หลังจากนี้ ถ้าครอบครัวของเขากลับมาจากต่างประเทศ ฉันคิดว่าจะลองเข้าไปคุยและขอลูกชายของพวกเขาอย่างเป็นทางการสักที”

   เอริคเอ่ยตามมาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น ซึ่งพอได้ฟังรวีก็ยักไหล่ แล้วตบบ่าญาติของตนเบา ๆ

   “ดีแล้วล่ะ เราต้องแสดงความจริงใจให้ครอบครัวของเขาเห็น อ้อ! แล้วถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกฉันได้เสมอเลยนะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”

   “หึ...จะได้กำจัดคนที่อาจจะเป็นคู่แข่งตัวเองในอนาคตไปด้วยใช่ไหมล่ะ”

   เอริคย้อนเข้าให้ ทำเอารวีชะงัก พลางบ่นอุบอิบตามมา

   “ก็ใช่น่ะสิ! พักหลัง ๆ นี่น้องฟ้าชอบชมนายให้ฉันฟังตลอด...ฉันก็ชักไม่สบอารมณ์เหมือนกันนะ  แต่ถ้านายเป็นฝั่งเป็นฝากับน้องเจไปเรียบร้อย ฉันก็จะได้สบายใจได้มากกว่าเก่ายังไงล่ะ!”

   รวีพูดออกมาตรง ๆ โดยไม่คิดปิดบัง ทำให้เอริคสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา เพราะถึงเขาจะหึงหวงคนที่ตนรักสักเพียงใด แต่ก็ยังคงไม่เท่ากับที่รวีเป็นอยู่นั่นเอง

   “ซัน! มาทางนี้หน่อย เจ้าหน้าที่เขาถามว่าเราอยากเที่ยวถ้ำด้วยไหม แถวนั้นมีถ้ำสวย ๆ อยู่ด้วย ถ้าเราอยากเที่ยวถ้ำ เขาจะจัดโปรแกรมเดินทางให้เราใหม่น่ะ”

   เสียงของเมฆาที่แว่วขัดขึ้น ทำให้รวีชะงัก ก่อนจะรีบเดินตามไปสมทบ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คน ที่ต่างพากันตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าพวกตนอาจจะได้ไปท่องเที่ยวสำรวจถ้ำเข้าให้อีกด้วย
   

… TBC …

อีกตอนสองตอนก็น่าจะจบสำหรับคู่นี้ค่ะ ...กำลัง ๆ คิดคู่ของน้องต้นอยู่เหมือนกัน
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างไหม ถ้ามีก็อาจจะออกในรูปแบบตอนพิเศษมากกว่าตอนยาวค่ะ ^^"




ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mew1: เอาใจช่วยคนเขียนค่ะ
น้องเจน่ารักจัง คุณเอริคอดทนอีกนิดนะ ไว้ไปขอกับพ่อแม่เขาก่อน
คู่น้องต้น หุหุ รอค่ะ น่าสนุก อยากเห็นน้องมีคู่  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
มารูปแบบไหนก็จะติดตามไม่ห่างค่ะ
จะตอนพิเศษ ใส่ไข่ เพิ่มลูกชิ้น อะไรก็จัดมาาาาาา พร้อมตาม! อิอิ

พี่ซันจัดการเลยค่า พ่อสื่อนัมเบอร์วัน
พี่แกรุ่งเรื่องกำจัดคู่แข่ง (ที่พี่แกคิดไปเอง) ด้วยการหาคู่ให้คู่แข่งจริงๆ :laugh:
เทพกว่าพี่มีอีกม้ายยยยยยย  :laugh:

ดีใจที่เอริคสมหวังอ่ะ คิดแล้วสมน้ำหน้าแฟนเก่าเอริคมากมาย
ขอบคุณที่นอกใจเอริคให้เอริคมารักกับเจตต์ได้
คู่นี้เขาเหมาะสมกันทีซู้ดดดดด
เจตต์คู่ควรกับการถูกรักมาก น้องน่ารัก  :-[
คุณเอริคก็สมควรได้เจอคนที่ดีๆ แบบน้อง
:hao5: ซึ้งอ่ะพูดเลย ฉากที่มอบสร้อยให้

ว่าแต่น้องต้น วาจาเชือดเฉือนมากบทนี้ พี่ซันถึงกับเงิบ  :laugh:
เจอพี่แกกับพ้องเพื่อนหาคู่ให้ละจะหนาว แซวเขานัก 555

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
น่ารักกกกกกกกกกกกกกก
ชอบๆๆๆ
มาต่ออีกเร็วๆน๊า

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
สวีทหวานกันเป็นคู่เลย แบบนี้ น้องต้น ไม่อิจฉาแย่หรอ

555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด