พิมพ์หน้านี้ - ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Xenon ที่ 09-08-2014 11:24:07

หัวข้อ: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 09-08-2014 11:24:07
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



----------------------------------------------

นิยายเก่า ๆ ที่ลงไว้ (จบแล้ว)
คุณตำรวจยอดรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16626.0)  ,  คุณอาที่รัก(แนวโชตะ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17582.0)  , กรงรัก...พันธนาการใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0)  , The Eden School (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.0)  , ดวงใจจ้าวมังกร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=24780.00) , ม่านราตรี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27757.0) ,   Miracle Café (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.0) 
ลิขิตรักอสุรกาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35637.0)    ,  เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.0)    , ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.0)    , กรงรัก พันธนาการใจ (ฉบับรีเมก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.0)


เรื่องสั้น
คุณพี่...ที่รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20403.0)   ,  สัญญา สายใย เชื่อมใจรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33672.0)


นิยายที่ยังไม่จบ
-
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทนำ) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 09-08-2014 11:33:14
สวัสดีค่ะ นักอ่านชาวเล้า ขออภัยที่ปัดหายไปนาน แถมยังลบเรื่องรวมพลคนไล่ล่าไปด้วยนะคะ เนื่องจากเรื่องนั้นมีปัญหาค้างเติ่งไม่ได้ต่อ แถมช่วงหลังยังต้องโควเรื่องกับมายแองเจิ้ลที่ไม่ได้ลงที่นี่ก็เลยคิดว่าลบไปก่อนดีกว่า ถ้าตบตีเข้ารูปได้สมบูรณ์จนจบค่อยว่ากันอีกที

สำหรับนิยายขนาดสั้น  "ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว"  เป็นนิยายที่เขียนคั่นเวลาระหว่างมึนตันพล็อตเรื่องที่ลบไป

เรื่องนี้จะเป็นนิยาย ที่  "ไร้จุดพีค / เรื่อยเปื่อย  / พล็อตเดาง่าย(มาก) / และ หวานเลี่ยน สุด ๆ"

เรียกได้ว่าเขียนเพื่อคลายเครียด อ่านแก้กลุ้ม ไม่มีดราม่าบีบคั้นสะเทือนใจให้หมองหม่น (รึ) ตามสไตล์เรื่อยเปื่อยของคนแต่ง

ซึ่งก็หวังว่า คนที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องนี้ เมื่อได้อ่านแล้ว คงจะมีรอยยิ้มให้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ


ที่สำคัญ เรื่องนี้แต่งจบแล้ว ซึ่งปัดจะทยอยลงให้อ่านวันละตอน นะคะ....

....ทั้งนี้เพื่อจะได้ไว้ เช็คฟีคแบค/รับคำตำหนิ/รับฟังคำแนะนำ ฯลฯ เพื่อที่จะนำไปปรับปรุงวางพล็อตให้อีกคู่ของเรื่อง (ซึ่งใช้ตัวละครต่อเนื่องชุดเดียวกัน และยังไม่ได้เริ่มแต่ง) ซึ่งแน่นอนว่าจะเอาเรื่องรองที่ว่า มาลงต่อที่บอร์ดแห่งนี้เช่นกันค่ะ



สารบัญนิยาย

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2782333#msg2782333)
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2782340#msg2782340)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2783306#msg2783306)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2784318#msg2784318)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2785305#msg2785305)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2786442#msg2786442)

บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2787461#msg2787461)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2788196#msg2788196)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2789427#msg2789427)
บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2790434#msg2790434)
 บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2791344#msg2791344)
 บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2792000#msg2792000)
 บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2792977#msg2792977)
 บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2793839#msg2793839)
 บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2794501#msg2794501)
 
 ตอนพิเศษ/1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2794800#msg2794800)
 ตอนพิเศษ/2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2795578#msg2795578)


สารบัญภาคต่อ (เอริค-เจ)
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3013940#msg3013940)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3015362#msg3015362)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3016382#msg3016382)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3017758#msg3017758)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3019042#msg3019042)
บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3021523#msg3021523)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3022917#msg3022917)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3025378#msg3025378)
บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3026723#msg3026723)
บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3031008#msg3031008)
บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3033984#msg3033984)
บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3038331#msg3038331)
บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3039356#msg3039356)
บทที่ 14่(จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3040634#msg3040634)


ตอนพิเศษ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3044429#msg3044429)



:pig2:

แวะมาแจกอีบุค ภาคอีธาน-น้องต้น ต่อนะคะ โหลดฟรีเช่นเคยเหมือนสองภาคก่อนหน้านั้นค่ะ

ขออภัยที่ให้รอนานมากจ้ะ

คลิกlink (https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57962)ค่ะ ^^

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทนำ) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 09-08-2014 11:40:26

ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
บทนำ


   ณ สนามเด็กเล่นประจำหมู่บ้านในยามเย็น มีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอยู่สองสามราย โดยมีพ่อแม่เด็กนั่งมองอยู่ห่าง ๆ  ทว่าใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น กลับมีเด็กเล็กและเด็กโตสองคนนั่งเล่นคุยกัน โดยไม่ได้ไปวิ่งเล่นเช่นเดียวกับเพื่อน ๆ และไม่ไกลจากนั้นนักก็มีชายใส่สูทดำสองคนยืนเฝ้ามองทั้งคู่อยู่

   “น้องฟ้า...ชอบพี่ไหมครับ”

   เด็กหนุ่มวัยสิบสองเอ่ยถามเด็กน้อยตัวเล็กข้างกาย  เด็กหนุ่มมีนัยน์ตาเรียวยาวเขียวสดใส จมูกโด่งคมสัน ผมสีน้ำตาลไหม้ ใบหน้าและรูปร่างโดยรวมแสดงถึงความเป็นลูกครึ่งที่ค่อนข้างไปทางชาติกำเนิดฝั่งบิดามากกว่ามารดาที่เป็นคนไทย

   “ชอบสิคับ ก็พี่ใจดี ให้หนมน้องฟ้ากินทุกวันเลย”

   เด็กน้อยผิวขาวแก้มยุ้ย ตาโตน่ารัก วัยสามขวบ ตอบพร้อมรอยยิ้ม ในมือก็ถือถุงขนมที่พี่ชายข้างกายนำมาฝากตามปกติ

   “ถ้าอย่างนั้น พอโตขึ้นน้องฟ้าจะมาเป็นเจ้าสาวให้พี่ได้ไหมครับ”

   คำถามถัดมาทำให้คนที่กำลังล้วงขนมกินนิ่วหน้าอย่างสงสัย

   “เจ้าสาว...คืออะไรเหรอคับ กินได้ไหม”

   เด็กหนุ่มชะงัก แล้วมีสีหน้าหนักใจตามมา และพยายามอธิบายให้คนข้างกายเข้าใจอย่างช้า ๆ

   “อืม...มันก็กินไม่ได้หรอกนะครับ...”

   ยังไม่ทันขาดคำดี เด็กชายตัวน้อยก็โพล่งขัดเสียก่อน

   “งั้นน้องฟ้าไม่เอาดีกว่า น้องฟ้าไม่อยากเป็นเจ้าสาว”

   “อ๊ะ! เดี๋ยวก่อนสิครับ ถึงเจ้าสาวมันจะกินไม่ได้ แต่ถ้าน้องฟ้ายอมเป็นเจ้าสาวของพี่ พี่จะหาของกินและของเล่นมาให้น้องฟ้าเท่าที่น้องฟ้าต้องการเลยนะครับ”

   เด็กหนุ่มรีบบอกตามมาโดยเร็ว ทำให้คนฟังเอียงคอแล้วย้อนถามกลับไปอย่างเริ่มลังเล

   “จริงเหรอคับ”

   “ใช่ครับ...เพราะฉะนั้นน้องฟ้าอยากเป็นเจ้าสาวให้พี่หรือยังครับ”

   เด็กหนุ่มถามอย่างมีความหวัง ซึ่งร่างเล็กก็นิ่งคิดสักครู่ แล้วแย้มยิ้มกว้างน่ารัก พร้อมกับพยักหน้าแล้วตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสา

   “ก็ได้คับ น้องฟ้าจะเป็นเจ้าสาวให้พี่เอง”

   เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นจากเด็กหนุ่ม จากนั้นเจ้าตัวจึงจับมือกลมป้อมนั้นบีบเบา ๆ

   “ดีจังครับ...สัญญานะครับ...ใครผิดคำสัญญาต้องชดใช้นะครับ”

   “ชดใช้ยังไงหรือคับ”

   เด็กน้อยย้อนถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก ซึ่งเด็กหนุ่มก็ชะงัก แล้วจึงเลี่ยงตอบ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายนึกกลัวจนเปลี่ยนใจเสียก่อน

   “ก็...พอถึงตอนนั้นก็รู้เองล่ะครับ”

   “ก็ได้คับ”

   เด็กน้อยตอบกลับง่าย ๆ อย่างไม่คิดมาก สร้างความพึงพอใจให้คนฟังยิ่งนัก จากนั้นเด็กหนุ่มจึงได้โน้มใบหน้าลงไปจูบริมฝีปากของอีกฝ่าย ทำเอาชายในสูทดำทั้งสองที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ก็ยังคงทำตัวเป็นปกติ โดยไม่ได้เข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน

   “ตอนนี้น้องฟ้าเป็นแฟนพี่แล้วนะครับ ห้ามไปมีคนอื่นที่ไหน ต้องรอเป็นเจ้าสาวของพี่คนเดียวนะครับ”

   เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับล้วงกระเป๋าเสื้อของตน แล้วยัดอมยิ้มห่อถุงสีสดใสใส่ในมือของคนที่กำลังนิ่วหน้าเพราะถูกคนข้างกายจูบ ให้กลายเป็นยิ้มกว้าง

   “คับ ...ขอบคุณนะคับ”

   เด็กน้อยรับคำและขอบคุณสำหรับอมยิ้ม พวกเขานั่งเล่นกันอยู่สักครู่ ชายในสูทดำคนหนึ่งจึงเดินเข้ามาหาและบอกว่าถึงเวลาเดินทางแล้ว  ทำให้เด็กหนุ่มต้องพาเด็กน้อยข้างกายเดินไปส่งบ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น  มารดาของเด็กน้อยออกมารอรับแล้วทักทายด้วยความคุ้นเคยพร้อมกับชักชวนอีกฝ่ายเข้าไปนั่งเล่นในบ้าน ทว่าเด็กหนุ่มนั้นกล่าวปฏิเสธอย่างเกรงใจ ก่อนจะตรงกลับขึ้นรถเบนซ์คันหรูที่ขับมาจอดรับเขา โดยที่เด็กชายเองก็ยืนโบกมือส่งให้ตามมาอย่างไร้เดียงสาที่หน้าบ้านของตน  และนับจากวันนั้น เด็กน้อยก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกเลย จนกระทั่งสิบห้าปีผ่านไป...




:L1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 09-08-2014 11:46:21
บทที่ 1


   อากาศที่แสนร้อนอบอ้าวของเมืองไทย ทำเอาคนที่เพิ่งได้กลับมาประเทศนี้อีกครั้ง หลังจากต้องตามมารดาและบิดาไปอยู่อเมริกาเป็นเวลาสิบห้าปี ถึงกับบ่นอุบไม่ยอมเลิกรา จนเพื่อนสนิทที่ตามกลับประเทศมาด้วยกัน สั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา

   "ที่โน่น พอหน้าร้อนก็ร้อนไม่แพ้กันนั่นล่ะ ทำบ่นไปได้"

   คนกำลังบ่นหันกลับไปมองเพื่อนของตนพลางขมวดคิ้วยุ่ง อีกฝ่ายนั้นเป็นชายหนุ่มตัวสูงพอ ๆ กับเขา ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา โครงหน้าออกไปทางชาวตะวันตก และแม้เพื่อนของเขานั้นจะเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกาเฉกเช่นเดียวกัน หากแต่เจ้าตัวกลับมีผมสีดำและนัยน์ตาสีดำเหมือนทางฝ่ายมารดาซึ่งมีเชื้อชาติไทย  ผิดกับเขาที่มีผมสีน้ำตาลไหม้และนัยน์ตาสีเขียวสดใส เหมือนเชื้อชาติทางฝั่งบิดาแทนเสียอย่างนั้น

   "แต่ก็ไม่ใช่มีฤดูร้อนตลอดปีเหมือนที่ไทยนี่นา  เฮ้อ! หวังว่าเจ้าสาวของฉันคงไม่โดนแดดพวกนี้เผาเกรียมจนผิวเสียไปหมดก่อนล่ะนะ"

   คำบ่นถัดมา ทำให้คนที่นั่งอยู่ด้วยเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ตามมา

   "เจ้าสาว...อ้อ! น้องฟ้า ว่าที่คู่หมั้นคู่หมายที่นายตู่เอาเองคนนั้นน่ะรึ"

   น้ำเสียงเย้ยเยาะระคนขบขัน ทำให้ รวี สะดุ้งโหยง แล้วโพล่งโต้ตอบกลับไปในทันที

   "ไม่ได้ตู่เอาเองโว้ย! ฉันกับน้องฟ้าคบหากันอย่างบริสุทธิ์ใจ ที่สำคัญน้องเขาก็เต็มใจที่จะเป็นเจ้าสาวของฉันตั้งแต่เด็กแล้วด้วย!"

   คนฟังยักไหล่นิด ๆ คล้ายไม่ใส่ใจในคำโต้แย้งนั้น ก่อนจะเอ่ยต่อตามมาด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ

   "นายนี่มันโรคจิตจริง ๆ เลยว่ะซัน เสียดายที่รูปก็หล่อพ่อก็รวย มีสาว ๆ คอยตามกรี๊ดตามจีบมากมาย แต่ดันเป็นโรคจิตชอบเด็ก แถมยังเป็นเด็กผู้ชายอีกด้วย"

   "เหอะ...รักมั่นคงอย่างฉันก็ยังดีกว่านายแล้วกันวะเมฆ อย่างนายน่ะ ขอให้หน้าตาถูกใจ จะหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยง แถมเปลี่ยนแฟนแทบจะรายเดือน  ถ้าวันหนึ่งนายโดนฆ่าตายหมกคาคอนโด ฉันจะไม่แปลกใจสักนิด อ้อ! แล้วก็อย่าคิดมายุ่งกับน้องฟ้าของฉันเด็ดขาด ไม่งั้นฉันฆ่านายแน่!"

   รวีเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งสายตาคมกริบชนิดที่คนคุ้นเคยมองดูก็รู้ว่าเจ้าตัวพูดจริงทำจริง

   "โอเค ๆ ไม่ยุ่งแน่  กลัวตายว่ะ...นายน้อยแก๊งมาเฟียใหญ่ขู่เอาแบบนี้ ใครจะกล้าแหยมกัน หึ ๆ"

   เมฆาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ จากนั้นจึงเดินตรงไปเคาท์เตอร์บาร์ในห้องรับแขก ชายหนุ่มเปิดไวน์รินให้ตัวเองและเผื่อเพื่อนสนิท ก่อนจะหยิบแก้วไวน์มาเสิร์ฟให้รวีถึงที่นั่ง

   "แล้วนายจะไปหาว่าที่เจ้าสาวของนายได้ที่ไหนกันล่ะ...ก็เห็นเคยเล่าว่าพอถูกพ่อนายจับได้เรื่องที่นายเป็นพวกโรคจิตชอบเด็กผู้ชาย นายก็ไม่ได้มีโอกาสติดต่อไปทางเมืองไทยอีกเลย แล้วพอทั้งเถียงทั้งยกแม่น้ำทั้งห้ารวมถึงใช้เล่ห์กลต่อสู้กับพ่อนายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนพ่อนายยอมรับแบบไม่เต็มใจ...น้องฟ้าของนายก็ย้ายบ้านหนีไปแล้วไม่ใช่หรือ"

   คนที่กำลังรับแก้วไวน์ชะงัก ก่อนจะจ้องหน้าของเพื่อนสนิทแล้วหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด ที่เจ้าตัวช่วยตอกย้ำอดีตที่ไม่อยากจดจำของเขาเท่าใดนัก

   "เหอะ! ฉันให้นักสืบตามสืบจนรู้ที่อยู่ของน้องฟ้าเขาแล้วล่ะ  ไม่มีอะไรที่จะยากเกินความรักที่ฉันมีต่อน้องเขาอยู่แล้วล่ะนะ"

   เมฆารับฟังพร้อมรอยยิ้มกึ่งขัน จริง ๆ ก็อยากจะเถียงกลับไปว่า ที่ตามว่าที่เจ้าสาวสมัยเด็กของอีกฝ่ายจนเจอ มันก็เพราะอำนาจเงินที่เจ้าตัวมีต่างหาก ไม่เช่นนั้นการจะหาเบาะแสคนรู้จักสมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่ได้ข่าวเพียงว่ามารดาเปลี่ยนนามสกุลเพราะแต่งงานใหม่ไปกับใครที่ไหนก็ไม่รู้แถมญาติฝั่งมารดาก็ไม่มีใครเหลือให้สอบถามได้ ฝั่งสามีใหม่ก็ไม่ใช่คนมีชื่อเสียง ฟังจากเพื่อนบ้านที่เคยไปร่วมงานแต่งก็รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เกษตรกรธรรมดาที่ทำมาหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ก็แค่นั้น ส่วนจะมีชื่อหรือนามสกุลว่าอะไรเจ้าตัวก็ลืมไปเรียบร้อยแล้ว

   "หึ ๆ ยังไงก็หวังว่าน้องฟ้าของนายเขาจะยังจำเรื่องที่นายขอเขาแต่งงานได้ โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเกินเหตุล่ะนะ"

   รวีเหลือบมองเพื่อนของเขา ก่อนจะสบถอุบอิบให้เบา ๆ จากนั้นจึงกลับมานั่งฝันหวนถึงรักแรกในสมัยเด็กของเขาต่ออีกครั้ง โดยที่เมฆาเองก็ได้แต่เหลือบมองเพื่อนสนิท พร้อมกับลอบถอนหายใจแผ่วเบาอย่างเอือมระอา เพราะเขานั้นไม่คิดว่า อะไร ๆ มันจะง่ายดายอย่างที่รวีคิดวาดหวังเอาไว้นัก

 

   รถสปอร์ตคันงามซึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้านในตอนเช้า ทำให้คนที่กำลังรถน้ำต้นไม้ในสวนหน้าบ้านชะงัก ก่อนจะวางสายยางฉีดน้ำลง พลางเดินไปปิดก็อกน้ำ แล้วตรงมาสอบถามชายตัวสูงในชุดเสื้อผ้าแฟชั่นนำสมัยทั้งสองที่มาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าบ้านของตน

   "สวัสดีครับ มาพบใครหรือครับ"

   เมฆาถอดแว่นกันแดดที่สวมใส่ พลางผิวปากหวือเบา ๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา  อีกฝ่ายนั้นเป็นคนตัวเล็ก รูปร่างโปร่งบาง รูปหน้าผิวพรรณก็หมดจด จัดได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาค่อนข้างน่ารักอยู่มากทีเดียว

   "ต้องขอโทษที่ว่านายโรคจิตนะซัน  ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าน้องเขาโตมาแล้วน่ารักขนาดนี้ เป็นฉันฉันก็จองเอาไว้ก่อนเหมือนกัน"

   เมฆาหันไปกระซิบเอ่ยแซว พร้อมหันมาโปรยยิ้มหวานสไตล์หนุ่มเพลย์บอยให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า ทำเอาคนที่อยู่ด้านหลังรั้วบ้านขมวดคิ้วยุ่ง หากแต่รวีนั้นไม่ได้สนใจคำแซวของเพื่อนสนิท เขาไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้นแต่อย่างใด เพราะเคยได้เห็นอีกฝ่ายจากรูปถ่ายในรายงานของนักสืบที่เขาจ้างมาเรียบร้อยแล้ว

   "สวัสดีครับ...ที่นี่ใช่บ้านของน้องฟ้า เอ่อ...น้องเวหาหรือเปล่าครับ"

   ร่างเล็กชะงักเล็กน้อย แล้วจึงย้อนถามกลับไปบ้าง

   "ใช่ครับ อ๊ะ? หรือว่าคุณจะเป็นคนรู้จักของพี่ฟ้ากันครับ"

   รวีถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตนตามมาหาถูกบ้าน  ส่วนเมฆาชะงักแล้วหันไปมองเพื่อนสนิทตาปริบ ๆ อย่างแปลกใจ เพราะทีแรกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นคนเดียวกับที่เพื่อนแอบหลงรักเสียอีก

   "ใช่แล้วครับ...พี่รู้จักกับน้องฟ้าตั้งแต่เขายังเด็ก เอ่อ...ส่วนน้องคงจะเป็น..."

   เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย แล้วจึงแนะนำตัวเองบ้าง

   "ผมชื่อมีนาครับ เป็นน้องชายของพี่ฟ้า เราสองคนอายุห่างกันสามปี  พี่เรียกผมว่ามีนก็ได้"

   รวียิ้มตอบอีกฝ่าย ซึ่งก็ทำให้เด็กหนุ่มที่มองอยู่เริ่มคิดว่าคนตรงหน้านี้นอกจากหน้าตาหล่อเหลาแล้ว เวลายิ้มยังมีเสน่ห์มาก น่าแปลกที่พี่ชายของเขาไม่เคยเล่าเรื่องหรือพาเพื่อนคนนี้มาหาที่บ้านก่อนหน้านั้นเลยสักครั้ง เพราะถ้าเป็นเขาหากมีเพื่อนเด่น ๆ แบบนี้ เขาคงภูมิใจและอยากอวดให้คนอื่น ๆ ได้เห็นเป็นแน่ 

   "อ๊ะ! ลืมไปเลย คุณมาหาพี่ฟ้านี่นะ รอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวผมไปเรียกให้ ป่านนี้คงตื่นแล้วล่ะครับ วันหยุดทีไรก็งี้ล่ะครับ พี่เขาตื่นสายประจำ"

   มีนาที่เผลอจ้องอีกฝ่ายนานไปหน่อยรีบบอกอย่างร่าเริง แล้วจึงขอตัวไปเรียกพี่ชายมาก่อนโดยทิ้งให้สองหนุ่มยืนคอยอยู่นอกรั้วบ้านไปตามเดิม

   "ให้ตายเถอะ ฉันก็นึกว่าเขาเป็นน้องฟ้าของนายเสียอีก หึ ๆ นี่ยังคิดว่าจะแย่งจีบดีไหมอยู่เลยนะ"

   เมฆายิ้มแย้มกึ่งยั่วอีกฝ่าย ทำให้รวีพึมพำอุบอิบบ่นเพื่อนสนิทอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่พอประตูบ้านเปิดออก พร้อมกับใครบางคนที่เดินตามหลังมีนามา ก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองจ้องมองเป้าหมายที่ต้องการพบด้วยสีหน้าตกตะลึง ทว่าต่างความรู้สึกกันสิ้นเชิง 

   ทางด้านรวี ชายหนุ่มนั้นดูมีท่าทางตื่นเต้นและยินดีอย่างเห็นได้ชัด หากแต่เมฆานั้นถึงกับนิ่งอึ้งตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เจ้าตัวรีบหันกลับไปมองเพื่อนด้วยสายตาตั้งคำถามหลังจากตั้งสติได้ หากแต่รวีนั้นไม่ได้นึกสนใจแม้แต่น้อย แถมยังคงพุ่งเป้าไปยังร่างตรงหน้าไม่วางตาด้วยความตื่นเต้นยินดี จนเมฆาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะหันมามองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังร่างเล็กอีกครั้ง

   "สวัสดีครับ...เอ่อ...เห็นมีนบอกว่าคุณมาหาผมหรือครับ"

   น้ำเสียงทุ้มจากคนที่ยืนด้านหลังร่างเล็กดังขึ้น ทั้งใบหน้าที่คมเข้มหล่อเหลา หุ่นล่ำน้อย ๆ แบบนักกีฬา และรูปร่างสูงพอฟัดพอเหวี่ยงกับรวีและเมฆา ช่างดูแตกต่างกับคนตัวเล็กหน้าตาอ่อนหวานที่บอกว่าเป็นน้องชายแท้ ๆ นั่นอย่างสิ้นเชิง

   หากทว่าพอได้ดูจากสีหน้าของรวี และคำพูดแสดงตัวตนของคนตัวสูงตรงหน้าเขา มันก็ทำให้เมฆาไม่อาจจะเข้าใจผิดไปเป็นอย่างอื่นได้เลยว่า อีกฝ่ายนั้นคือ 'น้องฟ้า' ว่าที่เจ้าสาวเด็ก ที่เพื่อนสนิทของเขาเฝ้ารักเฝ้าหลงมาตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมานั้นจริง ๆ

   แต่เรื่องการเจริญเติบโตของเวหา ก็ทำให้เขาตกใจได้ไม่เท่ากับเรื่องที่ว่า เพื่อนของเขานั้นดูเหมือนจะทั้งปลาบปลื้มทั้งชื่นชม ในตัวว่าที่เจ้าสาวของเจ้าตัวจนออกนอกหน้านอกตาให้ได้เห็นถึงเพียงนี้ ...ตั้งแต่เขาคบกับอีกฝ่ายมาเกือบห้าปี เมฆาเพิ่งจะได้รู้เดี๋ยวนี้เองว่า เรื่องที่เขาคิดว่ารู้จักรสนิยมในเรื่องต่าง ๆ ของเพื่อนสนิทเป็นอย่างดี ...มาจนวันนี้เขาจึงบอกกับตัวเองได้สักทีว่า ตัวเขานั้นคิดผิดอย่างสิ้นเชิงเลยเชียวล่ะ!


:L1:



 
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ployyuki ที่ 09-08-2014 12:09:55
งานนี้จะมีพลิกโผไหมคะ ตอนแรกคิดว่ารวีจะเป็นพระเอก แต่ดูท่าแล้ว.... 555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-08-2014 12:52:11
55 น่ารัก  :mew3: น้องฟ้างงชัวร์อ่ะ
ติดตาม และเป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 09-08-2014 14:35:08
หืมมมมมมมมม เอายังไงล่ะทีนี้ เมฆาชอบซะด้วยแฮะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 09-08-2014 15:41:40
จากเจ้าสาวจะกลายเป้นเจ้าบ่าวมั้ยเนี่ย
แต่รวีนี่ท่าจะอาการหนัก
แม้น้องฟ้าสุดที่รักจะเติบโตขนาดนี้ก็ยังชอบ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 09-08-2014 17:44:32
ไหงน้องฟ้าเปลี่ยนไป๋
งั้นเปลี่ยนจากเจ้าสาวเป็นเจ้าบ่าวล่ะกันนะ พี่ซัน คึคึ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 09-08-2014 17:50:54
ค้างๆๆๆๆตอนต่อไปๆๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-08-2014 18:00:14
โอ๊ว ฝังใจตั้งแต่เด็ก ๆ จนป่านนี้ยังยึดมั่นคนเดิม
ว่าแต่ อีกคนเขาจะรู้ไหมเนี่ย คงต้องใช้ความ
พยายามอย่างสูงแล้วละ มารอลุ้นด้วยอีกคน
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: kritcha ที่ 09-08-2014 19:04:51
เหยยย ชอบแนวนี้อะ  :hao7: รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 09-08-2014 19:09:08
 :laugh:   ขำก๊ากเลย  น้องฟ้าโตขึ้นมาเป็นเจ้าบ่าวป่ะ   :hao6:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: acorntan ที่ 09-08-2014 20:56:34
ขอบคุณคะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: waiman ที่ 09-08-2014 21:19:01
น้องฟ้า กลายเป็นเจ้าบ่าว ซะแล้ว
รออ่านต่อจ้า :impress2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 09-08-2014 21:46:07
กร๊ากกกก เป็นเรา เราก็ช๊อค รสนิยมเพื่อน โคตรแมน 5555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 09-08-2014 21:52:07
พี่รวีนั่นแหละ ที่จะต้องมาเป็นเจ้าสาวให้น้องฟ้า 555555

ชอบคู่รองอะ  คงขโมยซีนคู่หลักไปเยอะ พี่เมฆากับน้องมีนา อิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-08-2014 03:28:23
พลิกเลย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mapreaw ที่ 10-08-2014 06:36:30
ความชอบไม่เข้าใครออกใครหรอกครัช หมี vs หมี :laugh5:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-08-2014 09:05:22
 :L1: รอติดตามจ้า ลุ้นๆๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 1) 9/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 10-08-2014 09:23:20
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 10-08-2014 10:40:06
มาแปะแล้วจ้า ^^
........................

บทที่ 2


   เวหามองชายหนุ่มลูกครึ่งตรงหน้าเขาอย่างสงสัย เขาคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน แต่มันก็เลือนลางมากจนจำอะไรไม่ได้นัก

   "เอ่อ...คุณครับ...คือ เราเคยรู้จักกันหรือครับ"

   คำถามถัดมาของเวหาทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

   "น้องฟ้าจำพี่ไม่ได้เลยหรือครับ..."

   เวหาชะงัก เขาพยายามนึกอีกรอบ แต่ก็ต้องสั่นศีรษะออกไปแทนคำตอบ

   "จำไม่ได้เลยครับ ...เราเคยเจอกันตอนไหนหรือครับ"

   สีหน้าของรวีสลดลงอีกจนเมฆานึกสงสาร ส่วนเวหาพอเห็นดังนั้น จึงได้ตัดสินใจเอ่ยออกไปบ้าง

   "ขอโทษนะครับ ผมจำคุณไม่ได้จริง ๆแต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว คุณลองเล่าให้ผมฟังดีกว่า ว่าคุณชื่ออะไร แล้วเราเคยรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหนอ๊ะ! จริงสิ มานั่งคุยที่หน้าบ้านนี่ดีกว่าครับ ดีกว่ายืนคุยกันแบบนี้"

   เวหาบอกตามมาอย่างนึกได้แล้วจึงเปิดประตูรั้วให้ทั้งคู่เข้ามาในบ้าน เพราะดูจากสายตาของรวียามพูดคุยกับเขา มันไม่น่าใช่สายตาของพวกมิจฉาชีพแต่อย่างใด

   รวีกับเมฆาเดินตามเด็กหนุ่มทั้งสองไปยังบริเวณสวนหน้าบ้าน ที่นั่นมีศาลาไม้เล็ก ๆ ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดูร่มรื่นน่าพักผ่อนยิ่งนัก

   "พี่เคยอยู่ข้างบ้านเก่าของน้องฟ้า ตอนนั้นน้องฟ้าเพิ่งจะ 3 ขวบ เราไปเล่นด้วยกันที่สนามเด็กเล่นข้างบ้านบ่อย ๆ  พี่ชื่อพี่ซันยังไงล่ะครับ น้องฟ้าพอจะจำได้ไหม"

   รวีเริ่มเล่าเรื่องของตนทันทีที่เขานั่งลง ทำให้เมฆาต้องลอบมองเพื่อนตาปริบ ๆ และพอหันมาทางเวหาก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าอึ้ง ๆ ปนลำบากใจอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด

   "เอ่อ...เรื่องสมัยเด็กขนาดนั้น ผม..."

   เวหาอึกอักไม่กล้าพูดออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะเพียงแค่นั้นรวีก็แลดูผิดหวังและเศร้าสลดเสียจน ทำให้เขารู้สึกผิดยิ่งขึ้นแล้ว

   "อืม...ถ้าเป็นตอนนั้น ผมว่าผมคุ้น ๆ อยู่นะ"

   เสียงพึมพำของน้องชายที่ดังขัดขึ้นมา ทำให้เวหาหันไปมองคนพูดอย่างประหลาดใจ เช่นเดียวกับเมฆาและรวี เพราะจะว่าไปเหตุการณ์ในช่วงนั้นอีกฝ่ายเองก็น่าจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป

   "ผมเพิ่งช่วยแม่จัดอัลบั้มตอนพวกเราเล็ก ๆ ยังไงล่ะ แล้วผมจำได้ว่าตอนพี่ฟ้ายังเด็ก พี่ฟ้ามีรูปถ่ายกับเด็กฝรั่งคนหนึ่งอยู่สามสี่รูป ดูท่าทางสนิทกันมาก ...เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้แล้วกัน!"

   มีนาบอกจบก็รีบวิ่งพรวดพราดเข้าบ้านไป โดยที่เวหายังไม่ทันได้พูดโต้ตอบอะไร และพอมีนาไปแล้วก็เหลือเพียงเวหาที่นั่งอ้ำอึ้งจ้องมองชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งคู่อยู่เพียงลำพัง

   "เอ่อ...พอดีผมไม่ค่อยได้ดูอัลบั้มรูปมานานแล้ว ก็เลยจำไม่ค่อยได้น่ะครับ... แต่ถ้าใช่คนเดียวกันก็ดีนะครับ... ถ้าเราสนิทกันขนาดนั้น ผมก็อาจจะนึกออกขึ้นมาเองก็เป็นได้"

   เวหาบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้กับคนมอง ทำให้รวีใจเต้นตึกตักแล้วรีบยิ้มตอบอย่างยินดี ส่วนเมฆาถึงกับชะงักเล็กน้อย เพราะเวลาที่เด็กหนุ่มยิ้มแล้วใบหน้าเข้ม ๆ นั่น กลับแลดูน่ารักสะดุดตาขึ้นมาอย่างน่าประหลาดเลยทีเดียว

   "พี่คิดถึงน้องฟ้ามาตลอดตั้งแต่พี่ย้ายไปทีแรกพี่ก็อยากจะติดต่อกลับมาเมืองไทย แต่พอดีมีเรื่องที่นั่นนิดหน่อย ทำให้พี่ส่งจดหมายหรือแม้แต่จะโทรมาคุยกับน้องฟ้าก็ยังไม่ได้ ...และพอจะเริ่มทำได้ ก็พบว่าน้องฟ้าย้ายบ้านไปแล้ว นี่พี่ก็ลงทุนตามหาอยู่นาน จนในที่สุดก็ได้เจอกันแบบนี้สักทีนั่นล่ะครับ"

   รวีเล่าเรื่องราวของเขาให้อีกฝ่ายฟัง โดยเลี่ยงปิดบังเฉพาะบางเรื่องที่ไม่อยากให้เด็กหนุ่มรู้ ส่วนเวหานั้นพอได้รับรู้ถึงว่าอีกฝ่ายนั้นพยายามจะติดต่อกับตนหลังจากย้ายไปอยู่เมืองนอกตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา ก็ทำให้เด็กหนุ่มยิ่งรู้สึกผิดที่ลืมรวีไปเลยเช่นนี้

   "เอ่อ...ถึงแม้ว่าถ้าเกิดผมจำคุณไม่ได้จริง ๆ แต่ผมคิดว่าเราก็น่าจะกลับมาคบหาเป็นเพื่อนกันเหมือนเมื่อตอนเด็ก ๆ ได้อีก ...คุณคิดว่ายังไงล่ะครับ"

   เวหาถามคนตรงหน้าอย่างเกรงใจ ทว่าพอได้ยินเช่นนั้นรวีก็เบิกตากว้างแล้วรีบยื่นมือของตนไปจับมือของเด็กหนุ่มมาเกาะกุมไว้แน่น พร้อมกับตอบรับด้วยสีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

   "แน่นอนครับ! พี่ดีใจจริง ๆ ที่น้องฟ้าไม่รังเกียจพี่ และยินดีคบหากับพี่อีกครั้งแบบนี้!"

   เวหาชะงักเล็กน้อยตั้งแต่ตอนที่ถูกจับมือ ทว่าน้ำเสียงและใบหน้าตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาไม่กล้าดึงมือกลับ แถมยังโล่งอกนิด ๆ ที่ทำให้คนตรงหน้ารู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

   "พี่ฟ้า! เจอแล้วครับ นี่ไง น่าจะคนเดียวกันนะครับเนี่ย!"

   เสียงของมีนาที่ดังขัดขึ้น ทำให้เวหาชะงักแล้วรีบดึงมือกลับมาจากมือของอีกฝ่าย เพราะกลัวจะถูกน้องชายมองด้วยสายตาแปลก ๆ เข้าให้  แต่พอมีนามาถึงเด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจท่าทางของแต่ละคนซึ่งอยู่ที่นั่น หากกลับกางอัลบั้มรูปเล่มใหญ่ในมือ แล้วชี้ที่รูปใบหนึ่งให้ทุกคนได้เห็น

   "นี่ยังไงครับ ใช่รูปคุณหรือเปล่าครับ!"

   มีนาเงยหน้าถามรวีพร้อมยิ้มกว้าง ซึ่งรวีก็พยักหน้าตอบรับพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ส่วนเวหาก้มมองที่รูปภาพสมัยเด็กของตนอย่างพิจารณา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ออกมา

   "รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่ก็จำไม่ค่อยได้อยู่ดีล่ะครับเอ่อ...ขอโทษด้วยนะครับ"

   รวีฝืนยิ้มน้อย ๆ ให้กับเด็กหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

   "ไม่เป็นไรหรอกครับ...ก็ในเมื่อน้องฟ้าให้โอกาสกับพี่อีกครั้งในการคบหากันแล้วนี่ครับ ถึงน้องฟ้าจะจำเรื่องสมัยเด็กไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร...ยังไงเราก็มาเริ่มต้นสานสัมพันธ์กันใหม่ก็แล้วกันนะครับ"

   เวหาฝืนยิ้มรับตอบ แม้จะรู้สึกทะแม่ง ๆ และแปลกใจ ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงยึดติดกับเขาถึงเพียงนี้  ทว่าสักพักรวีก็ตั้งคำถามบางอย่างขึ้นตามมา และคำถามนั้นก็ทำให้คนฟังและคนข้างกายถึงกับมองคนถามเป็นตาเดียว

   "เอ่อ...ขอโทษนะครับ ถ้าจะเป็นการละลาบละล้วงกันเกินไป...แบบว่าตอนนี้น้องฟ้ามีแฟนหรือยังครับ"

   เวหาขมวดคิ้วนิด ๆ กับคำถามนั้น เช่นเดียวกับมีนาที่ชักเริ่มเอะใจต่อพฤติกรรมของอีกฝ่าย ส่วนเมฆาลอบถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทตัดสินใจเล่นลูกตรงไม่อ้อมค้อมเสียขนาดนี้

   "ก็ยังไม่ได้คบใครหรอกครับ ตั้งใจจะรอให้เรียนจบเสียก่อน แล้วค่อยหาแฟน..."

   เวหาตอบไปตามตรงแม้จะประหลาดใจกับคำถามของอีกฝ่ายนักก็ตาม ส่วนรวีนั้นถอนหายใจแผ่วเบาอย่างโล่งอก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ตามมา

   "ดีจังครับ ถึงน้องฟ้าจะจำพี่ไม่ได้ แต่ก็ยังคงโตมาอย่างรักษาสัญญาของเราเป็นอย่างดีเลยนะครับ พี่ดีใจจริง ๆ"

   "สัญญา?"

   เวหาทวนคำอย่างงุนงง ซึ่งรวีก็ยิ้มหวานตอบรับ ทว่ายังไม่ได้ทันพูดอธิบายอะไรออกไป เมฆาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็กระแอมขัดขึ้นมาเบา ๆ พลางชะโงกหน้าเข้ามากระซิบแย้งเพื่อนสนิทของตนเสียก่อน

   "เฮ้...เอาจริงหรือวะซัน น้องเขาจำอะไรไม่ได้แบบนี้ เขาคงไม่ตกลงรับปากกับนายอีกรอบง่าย ๆ เหมือนตอนเด็กหรอกน่า"

   พอได้ยินดังนั้นรวีก็ขมวดคิ้วยุ่ง เจ้าตัวหันขวับไปจ้องเพื่อนสนิทตาเขม็งก่อนจะตะคอกแย้งกลับไปลั่นอย่างลืมตัว

   "หนวกหูน่า!รู้ไหมว่าฉันเฝ้ารอวันนี้มานานขนาดไหน ฉันอุตส่าห์สู้ฝ่าฟันต่ออุปสรรครายใหญ่อย่างพ่อของฉันมาได้จนสำเร็จ ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับน้องฟ้าเมื่อก่อนนั้นให้ได้!"

   เวหากะพริบตาปริบ ๆ เมื่อได้ยินชื่อของตนอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่ และเมื่อรวีหันขวับมาสบตากับเขา เวหาก็ถึงกับสะดุ้งนิด ๆ อย่างตกใจ

    "น้องฟ้าครับ...ก่อนที่พี่จะไปเมืองนอก พี่กับน้องฟ้าเคยให้คำมั่นสัญญาที่แสนสำคัญต่อกันไว้ ถึงแม้ตอนนี้น้องฟ้าจะจำมันไม่ได้แต่พี่ก็ยังคงจดจำสัญญาของเราสองคนได้เป็นอย่างดีและวันนี้ที่พี่กลับมาเมืองไทย ก็เพื่อตั้งใจจะทำสัญญาในวัยเด็กของเราให้เป็นจริงสักที"

   รวีบอกแล้วก็ลุกขึ้น ก้าวเดินไปยืนหยุดอยู่เบื้องหน้าของเวหา แล้วจึงค่อย ๆ คุกเข่าลงพร้อมกับจับมือของอีกฝ่ายมาเกาะกุมเอาไว้ ก่อนจะยกมือข้างนั้นขึ้นจูบแผ่วเบา โดยไม่สนใจสีหน้าและแววตาตกตะลึงของคนอื่นเลยสักนิด

   "และคำสัญญาที่แสนสำคัญของพวกเราก็คือ...ระหว่างอยู่ที่นี่ น้องฟ้าจะรอแต่พี่คนเดียวไม่ยอมมีใครอื่น จนกระทั่งถึงวันที่พี่กลับมาเมืองไทยอีกครั้งและเมื่อวันนั้นมาถึง พี่ก็จะมารับน้องฟ้าในฐานะว่าที่เจ้าสาวที่น่ารักของพี่ แล้วเราสองคนก็จะแต่งงานกันยังไงล่ะครับ...ถึงน้องฟ้าจะจำไม่ได้ แต่สัญญาก็ยังคงเป็นสัญญานะครับ...สุดที่รักของพี่ซัน"

   ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มหวานมีเสน่ห์ หากแต่นัยน์ตาสีเขียวคู่สวยนั้นกลับส่องประกายวาววับคมกริบชนิดที่ไม่คิดจะยอมให้ฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธ ทางด้านมีนากลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเหลือบมองพี่ชายที่บัดนี้ยังคงยืนนิ่งอึ้งตกตะลึงไม่หาย ซึ่งแม้มีนาจะไม่รู้ว่าพี่ชายนั้นคิดอย่างไร แต่อย่างเดียวที่เขาพอจะแน่ใจได้ก็คือ อีกฝ่ายนั้นคงไม่ใช่กำลังรู้สึกยินดีที่จะได้เป็นเจ้าสาวของรวีเป็นแน่ล่ะนะ!

 

 
:L1:

Talk:

จริง ๆ แล้ว น้องฟ้าของนายซัน เป็นหนุ่มน้อยน่ารักอ่อนโยนนะตัวเอง แต่ที่หุ่นนักกีฬาแบบนี้เพราะมีประวัติ...อ่านในตอนถัด ๆ ไปได้ ...ทีแรกปัดก็ตั้งใจจะให้สลับขั้วนะคะ แต่เขียนไปเขียนมา สงสารพี่ซัน เลยยอม ๆ หยวนให้ ทั้งที่ถ้าเอาจริง ๆ น้องฟ้าเอ่ยปากขอเป็นคนกด พี่แกก็ต้องยอมแน่ เพราะออกจะรักจะหลงปานนี้ 555

 
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mapreaw ที่ 10-08-2014 10:53:32
สู้ๆนะพี่ซัน  :a2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-08-2014 10:54:27
 :laugh: สงสารพี่ซันด้วยคน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Moonwish ที่ 10-08-2014 11:03:17
คนอื่นอาจจะเชียร์ให้พลิกแต่เราไม่
เพราะแบบนี้มันโดนใจจอร์จมาก
นายรวีดูแอบโรคจิตนิดๆ ส่วนน้องฟ้าก็ยังได้กลิ่นอายความน่ารักอยู่
ท่าทางจะเป็นเด็กหนุ่มอ่อนโยนตามที่คนเขียนบอก แล้วยิ่งหุ่นแมนๆ ด้วยแบบนี้ เราชอบมาก

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 10-08-2014 11:12:46
 พี่ซันเนี่ยเป็นผู้ชายในอุดมคติของใครหลายคน
นะเนี่ยรักเดียวใจเดียวมั่นคงไม่วอกแวกเลย
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
รับรักพี่ซันเลยน้องฟ้าน้องจะหาดีอย่างนี้ไม่ได้แล้วน้าา
ช้าเดียวก็อด มคปด.นะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 10-08-2014 11:30:05
กล้ามชนกล้าม แอร้ย....
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 10-08-2014 11:58:05
เอิ่มมมมมมม พี่ซันจะไม่ให้เวลน้องฟ้าได้ตั้งตัวก่อนหนอ?
ตอนนี้น้องคงช็อคไปแล้ว

รอดูน้องฟ้าจะว่าไง
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 10-08-2014 13:53:17
โอเค น้องฟ้ากลับมาเป็นเจ้าสาวเหมือนเดิม ไม่พลิก

ก็ดีแล้ว เพราะสงสารพี่ซันอยู่เหมือนกัน พี่เค้าดูมุ่งมั่นตั้งใจเอาไว้มาก

ถ้าเกิดอาการผิดหวังคงจะเสียใจแบบเสียคนเลยละมั้ง

ต่อจากนี้ ก็ต้องหาวิธีพิชิตใจน้องฟ้าให้ได้ละนะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mtd ที่ 10-08-2014 14:48:05
ทำน้องช็อคไปซะแล้วพี่ซัน o22
ต่อจากนี้ก็งัดกลยุทธ์ออกมาใช้พิชิตใจน้องฟ้าละกันนะ :laugh:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 10-08-2014 15:58:18
 :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-08-2014 16:16:03
ติดตามเรื่องใหม่ค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: jj_girl ที่ 10-08-2014 16:59:48
 :katai2-1:  ชอบเคะแมนๆ ล่ำๆ   อิอิ   :hao6:   
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 10-08-2014 17:22:56
5555555 น่องฟ้าช๊อคไปแล้วเรียลร้อยยย รู้สึกสงสารน้องยังไงไม่รู้ พี่ซันนี่ทำตามหัวใจมากก
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 10-08-2014 19:32:47
กร๊ากกก ฟ้า ไหวไหม อึ้งดิอึ้ง 5555 อย่าสลับเลยค่าาา พี่แกอุตส่าห์ฟ่าฝัน เพื่อรับเจ้าสาวเชียวนะ ทำร้ายพี่แกลงหรอ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-08-2014 20:45:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 10-08-2014 21:04:00
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-08-2014 21:32:12
พี่ซันตอนนั้น
 :oni3:
ส่วนน้องฟ้าตอนนี้
:m32:
ขอเวลาทำใจก่อน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 2) 10/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: loveyous ที่ 10-08-2014 21:38:38
นี่คือการกระทำตัวของคนอายุ ๒๗ เหรอ ???
มันตลกไปมั้ยอ่า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 11-08-2014 11:37:03
มาต่อแล้วค่ะ  ถึงเรื่องนี้ตัวเอกจะเกี่ยวพันกับมาเฟีย แต่อย่าได้หวังหาความสมจริง โหด ต่อสู้ บู๊ล้างผลาญในเรื่องนี้เลยค่ะ

อย่างที่บอกไว้แต่แรก เรื่องนี้เขียนคั่นเวลา เน้นสบาย ๆ ง่าย ๆ ไร้พล็อตซับซ้อน อ่านเอายิ้ม ไม่ซีเรียส จริงจังค่ะ  ใครที่ชอบอ่านหรืออยากอ่านอะไรเพลิน ๆ  ก็เชิญอ่านกันได้เรื่อย ๆ เลยนะคะ 

p.s. ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แต่งอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรือบู๊ล้างผลาญเลยค่ะ(ปกติก็ไม่ได้แต่งบ่อยอยู่แล้ว) เสพติดแต่ความหวานเลี่ยน + ไร้สาระอย่างเดียวเลย ใครรออ่านอะไรเข้ม ๆ หน่อย ก็คงต้องรอไปก่อนนะคะ แหะ ๆ ขออภัยเอาไว้ด้วยค่ะ




บทที่ 3



   ทางด้านเวหาหลังจากนิ่งอึ้งตกตะลึงไปอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มก็พยายามรวบรวมสติให้มั่นคง แล้วดึงมือของตนที่รวีจับไว้อยู่กลับมา ก่อนจะเอ่ยตอบไปด้วยสีหน้าที่ยังคงมึนงงสับสนอยู่ให้เห็น

   "เอ่อ...ผมว่า เรื่องนี้ผมคงตกปากรับคำคุณไม่ได้หรอกครับ...คือ...ผมยังไม่อยากคิดเรื่องแต่งงานในตอนนี้"

   มีนาและเมฆาเหลือบมองคนพูดตาปริบ ๆ  สำหรับมีนาแล้ว เด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่า พี่ชายคงกำลังตกใจจนคิดหาคำพูดอื่นมาปฏิเสธออกไปตรง ๆ เลยไม่ได้ 

   ส่วนเมฆาพอได้ยินคำตอบของเวหา เขาก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะเชื่อว่าเพื่อนสนิทคงต้องคิดเข้าข้างตัวเองว่า ตนไม่ได้ถูกเด็กหนุ่มปฏิเสธเป็นแน่

   "หรือครับ...ไม่เป็นไรครับ งั้นเราก็หมั้นกันไว้ก่อนก็ได้พี่รอน้องฟ้าได้เสมอ...สิบห้าปีก็ยังรอมาได้แล้วเลยนี่ครับ"

   ท้ายประโยคเจ้าตัวยิ้มหวานทั้งใบหน้าและนัยน์ตา ชวนให้คนมองชะงักเพราะพอจะดูออกว่าชายหนุ่มนั้นพูดจากใจจริง จึงทำให้ยากที่จะเอ่ยสวนปฏิเสธแย้งกลับไปตรง ๆ อันจะเป็นการทำลายน้ำใจของอีกฝ่ายไปนัก

   "เอ่อ...คือ...ผม..."

   พอเห็นเวหาอึกอักลำบากใจ มีนาจึงตัดสินใจช่วยพี่ชาย โดยการมายืนขวางหน้าเวหา แล้วพูดกับคนที่กำลังเผชิญหน้าแทน

   "ขอโทษที่ต้องเสียมารยาทขัดการสนทนานะครับ...แต่พี่ชายของผมปกติดี เอิ่ม...ผมหมายถึงว่าเขาชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายน่ะ"

   รวีเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตอบสวนกลับไปพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ

   "พี่เองก็ชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเหมือนกันครับ แต่ชอบน้องฟ้ามากที่สุดเพราะฉะนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรสำหรับความรักระหว่างพี่แล้วก็น้องฟ้า...น้องมีนว่าจริงไหมล่ะครับ"

   เจอแบบนี้มีนาก็แอบอึ้งไปเล็กน้อย ส่วนเมฆาถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอาต่อนิสัยเสีย ๆ ของเพื่อนสนิทที่มักชอบคิดเข้าข้างตัวเอง และไม่สนความลำบากใจของคนอื่นเช่นนี้

   "ตะ...แต่ว่าพี่ชายของผมไม่ได้ชอบคุณนี่ครับ! เขาจำคุณยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าอย่างนั้นเรื่องหมั้นหมาย แต่งงานอะไรนั่น ก็ต้องถือเป็นโมฆะไปสิครับ จริงไหม!"

   มีนาเถียงกลับ ซึ่งก็ทำให้รวีชะงักนิ่ง ส่วนเมฆากลืนน้ำลายลงคอ เพราะถึงเพื่อนจะยังดูนิ่งเฉย และยังมีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับบนใบหน้าหล่อเหลานั่น แต่คนที่สนิทกันก็พอจะมองออกว่า รอยยิ้มเช่นนั้นมันบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังไม่สบอารมณ์อยู่มากทีเดียว

   "เอ่อ...ซัน น้องเขาก็พูดไปตามเรื่องจริงนี่นา..."

   เมฆาบอกกับเพื่อนของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็หันมายิ้มเย็นยะเยือกส่งให้ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง

   "พี่เข้าใจเรื่องนั้นดีครับ...แต่พี่ก็อยากให้น้องมีนช่วยเข้าใจความรู้สึกของพี่ด้วย...พี่มั่นคงและจริงจังต่อคำสัญญาระหว่างพี่กับน้องฟ้ามาตลอดแล้วจู่ ๆ น้องมีนจะมาบอกว่าให้พี่ยกเลิกและทิ้งทุกอย่างที่พี่คาดหวังและฝันเอาไว้ เพียงเพราะพี่ชายของน้องลืมพี่แล้ว ...น้องมีนว่ามันจะดูใจร้ายกับพี่ไปไหมครับ"

   มีนาชะงักพลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เพราะแม้อีกฝ่ายจะยิ้มแย้มและพูดจาคล้ายจะชวนให้น่าสงสาร แต่มันก็ช่างแสนจะกดดันกันเสียจนเหมือนว่าเขากำลังจะถูกอีกฝ่ายเล่นงานเอาเสียอย่างนั้น

   "น้องฟ้าครับ...น้องฟ้าอยากให้พี่ยกเลิกสัญญาระหว่างเราและจากไปจริง ๆ หรือครับ...น้องฟ้ารังเกียจพี่มากขนาดนั้นเลยหรือครับ"

   รวีหันมาสบตากับเวหาแทน พลางออดอ้อนด้วยน้ำเสียงและแววตาน่าสงสารผิดเป็นคนละคนก่อนหน้านั้น จนมีนาที่มองอยู่ถึงกับต้องกะพริบตาปริบ ๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนท่าทางได้ไวขนาดนี้

   "คือ...ผมก็ไม่ได้ถึงกับรังเกียจ...แต่ว่า..."

   "ถ้าน้องฟ้าไม่รังเกียจพี่ น้องฟ้าจะให้โอกาสกับพี่อีกสักครั้งได้ไหมครับ"

   รวีรีบแทรกขัดขึ้นมา ทำเอาเวหาชะงัก ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินผ่านร่างเล็กของน้องชาย ตรงเข้ามาเผชิญหน้ากับตน

   "นะครับ...ให้โอกาสกับพี่ ให้พี่จีบน้องฟ้าอีกครั้งและถ้าน้องฟ้ายังยืนกรานรับรักพี่ไม่ได้อีก...พี่ก็จะขอไปจากชีวิตของน้องฟ้าเอง...นะครับ"

   เวหาจ้องมองคนที่อ้อนวอนขอร้องตนอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยความลำบากใจและนึกสงสารอีกฝ่าย เขาจึงตัดสินใจตอบในบางสิ่งที่ทำให้คนฟังแต่ละคนนิ่งอึ้ง ตกตะลึงกันไปคนละแบบ

   "ก็ได้ครับ...แต่ถ้าผมยังคงรู้สึกกับคุณแบบนั้นไม่ได้คุณก็ต้องตัดใจจากผมในแง่นั้นให้ได้นะครับ"

   "พี่ฟ้า! ไปรับปากเขาแบบนั้นได้ไง!"

   มีนาโวยวายขึ้นแต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อรวีหันหลังกลับมายิ้มเย็นแล้วจับบ่าอีกฝ่ายบีบเบา ๆ

   "น้องมีนครับ...ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่เป็นคนรักษาสัญญา และพูดคำไหนคำนั้นเสมอ ถ้าพี่ชายของน้องมีนไม่สนพี่จริง ๆ พี่ก็จะตัดใจให้ได้ครับ"

   บอกจบเจ้าตัวก็ปล่อยบ่าอีกฝ่าย แล้วหันมายิ้มหวานให้กับเวหาที่มองอยู่อย่างวิตก แต่พอเด็กหนุ่มได้ยินคำพูดและเห็นรอยยิ้มของรวี ก็ทำให้เขาเผลอยิ้มน้อย ๆ ตอบอย่างโล่งอก ทำเอารวีนั้นยิ่งยิ้มกว้างด้วยความดีใจยกใหญ่ ส่วนมีนานั้นพูดอะไรไม่ออก เพราะสายตาที่รวีใช้กับเขาเมื่อครู่ มันแสนจะประกาศออกมาให้เห็นชัดเจนว่า ขืนเขาเข้ามาขวางคงได้เจอดีบางอย่างเป็นแน่

   "อืม...ยังไงวันนี้พี่คงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับจะไปจัดเตรียมอะไรบางอย่างสักหน่อย ไว้ถ้าเรียบร้อยแล้ว พี่จะกลับมาหาน้องฟ้าอีกครั้งนะครับ"

   จู่ๆ รวีก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้จากนั้นจึงขอตัวกลับ ทำเอาเมฆาหันขวับมามองเพื่อนอย่างประหลาดใจ ส่วนมีนาและเวหานั้นค่อนข้างโล่งอกที่ชายหนุ่มกลับไปได้เช่นนี้

   "ไปนะครับ แล้วเจอกัน"

   รวีบอกพร้อมส่งยิ้มหวานให้กับเวหา ก่อนจะหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับมีนา แล้วเดินจากไป ส่วนเมฆานั้นเอ่ยลาเด็กหนุ่มทั้งคู่เช่นกัน แล้วจ้ำพรวดตามเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะไม่คิดอยู่รอหากเขาตามไปไม่ทัน

   

   หลังจากชายหนุ่มทั้งสองกลับขึ้นรถคันหรูขับจากไปแล้ว มีนาก็หันขวับมาเล่นงานพี่ชายของตนทันที

   "ทำไมพี่ไปเปิดโอกาสให้เขาง่าย ๆ แบบนั้น  หมอนั่นมองตาก็รู้แล้วว่าเป็นพวกไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แน่ พี่อยากจะกลายเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกันนักหรือไง พี่ฟ้า!"

   เวหามองน้องชายที่ต่อว่าเขาตาปริบ ๆ แล้วจึงแย้งกลับไปบ้าง

   "ก็พี่สงสารเขานี่นา เขาอุตส่าห์รักษาสัญญามาตลอดแบบนั้นแท้ ๆ"

   มีนาจ้องมองพี่ชายที่แสนจะใจดีอ่อนโยนของตน แล้วถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่

   "พี่ฟ้าก็อย่างนี้เสมอล่ะ ใจดี ใจอ่อน ขี้สงสาร...แต่งานนี้อย่ามัวแต่ไปสงสารหมอนั่นมากเกินไปนักล่ะ เดี๋ยวก็เสียท่าได้เป็นเจ้าสาวชาวบ้านเขาให้หรอก!"

   เวหาฟังแล้วก็นึกขำ ก่อนจะแสร้งทำเป็นพึมพำกับตนเอง

   "เจ้าสาวหรือ...ก็ดีไม่ใช่หรือ เป็นเจ้าสาวน่ะ"

   "พี่ฟ้า!"

   มีนาโพล่งเสียงดัง ทำให้คนที่แกล้งพูดเล่น ต้องรีบง้อน้องชายยกใหญ่

   "พี่ล้อเล่นน่า ...มีนอย่าคิดมากสิ พี่ก็ยังไม่อยากไปเป็นเจ้าสาวใครเขาในตอนนี้หรอก อ๊ะ! ว่าแต่วันนี้มีขนมอะไรกินมั่งน่ะ พี่ได้กลิ่นใบเตยหอมจากครัวตอนลงมาจากห้องด้วยนี่"

   มีนาขมวดคิ้วนิด ๆ เมื่อคนที่กำลังง้อเขา จู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นคุยเรื่องของกินแทนเสียงอย่างนั้น

   "มีนทำสังขยาใบเตยไว้ให้น่ะ ถ้าพี่จะกินเลย เดี๋ยวจะไปอุ่นขนมปังให้นะ"

   พอได้ยินดังนั้น คนตัวสูงกว่าก็กอดน้องชายของตนอย่างประจบทันที

   "รักมีนที่สุดเลย"

   "เหอะ...จะรักตอนที่เรามีขนมให้แค่นั้นละสิ"

   "ไม่หรอกน่า มีนเป็นน้องชายที่พี่รักมากที่สุดเลยล่ะ"

   มีนาอมยิ้มกับตนเอง นอกจากเขาและครอบครัวแล้ว คงไม่มีใครที่จะมีโอกาสได้เห็นเวหาในด้านน่ารัก ๆ แบบนี้เป็นแน่ เพราะด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาล่ำแมนเช่นนี้ คงไม่มีใครที่จะคิดว่า เวหานั้นเป็นคนที่แสนจะโปรดปรานขนมหวานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมไทยหรือต่างประเทศก็ตาม

   "ฮึ! ถ้าคนอื่นเอาขนมมาล่อบ้าง หวังว่าคงไม่ไปพูดกับเขาแบบเดียวที่พูดกับมีนหรอกนะ"

   เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นพูดประชด ทำให้เวหาหัวเราะเบา ๆ แล้วขยี้ศีรษะน้องชายอย่างเอ็นดู

   "ไม่หรอกน่า คงไม่มีใครเขาเอาขนมมาล่อพี่กันหรอก...อีกอย่างพี่ก็ใช่ว่าจะเที่ยวรับของกินคนอื่นเขาพร่ำเพรื่อสักหน่อย"

   มีนาถอนหายใจเบา ๆ กับคำพูดของอีกฝ่าย  แต่ก็อดไว้วางใจไม่ได้อยู่ดี เพราะดูจากนิสัยของรวีที่เพิ่งได้เจอกันแล้ว ก็ออกจะเข้าข่ายพวกช่างตื๊ออยู่ไม่น้อยและหากอีกฝ่ายจับจุดอ่อนของพี่ชายเขาได้ก็จะยิ่งอันตรายต่อสวัสดิภาพความเป็นโสดของพี่เขาเป็นยิ่งนัก

   

   อีกด้านหนึ่งภายในรถยนต์คันหรูที่กำลังแล่นกลับกรุงเทพฯ  เมฆานั้นเหลือบมองเพื่อนสนิทที่ฮัมเพลงระหว่างขับรถด้วยสายตาประหลาดใจปนสงสัยที่เห็นอีกฝ่ายนั้นยอมล่าถอยออกมาง่ายไปสักหน่อยผิดจากอุปนิสัยที่เจ้าตัวเป็น

   "ฉันนึกว่านายจะตื๊อขออยู่จีบน้องเขานานกว่านี้เสียอีก"

   เมฆาเอ่ยปากถามออกมาในที่สุด ซึ่งก็ทำให้คนฟังหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พร้อมกับตอบคำถามโดยที่ยังคงมองเส้นทางเบื้องหน้าอยู่ตามเดิม

   "ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวน้องฟ้าก็เปลี่ยนใจพอดี ยิ่งน้องชายของเขาคอยกันท่าแบบนั้น ถ้าฉันตื๊อเข้าไปตอนนี้ ยิ่งจะภาพลักษณ์ติดลบเข้าไปใหญ่...เพราะฉะนั้นฉันต้องถอยออกมาตั้งหลัก แล้วศึกษาข้อมูลของอีกฝ่ายให้ทะลุปรุโปร่งก่อน ถึงจะเริ่มต้นแผนการจีบน้องฟ้าอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง"

   เมฆามองเพื่อนสนิทตาปริบ ๆ เขานึกสงสารพี่น้องคู่นั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะดูแล้วเพื่อนสนิทของเขา คงไม่มีวันปล่อยให้เวหาต้องหลุดมือของเจ้าตัวไปได้เป็นแน่

   "แต่น้องฟ้าของนายเขาก็น่ารักดีนะ ทีแรกฉันเห็นหุ่นออกจะเท่ล่ำแบบนักกีฬาแบบนั้น ก็นึกว่านายจะโดนน้องเขาต่อยปากแตกตั้งแต่ไปสารภาพรักทีแรกเสียแล้ว...ที่ไหนได้กลับกลายเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย แถมยังใจดียอมให้โอกาสนายอีก...เฮ้ย!"

   คนกำลังพูดตะโกนเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ รถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่ก็เบรกกะทันหัน เคราะห์ดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ จึงไม่ทำเอาหัวเขาเกือบทิ่มจิ้มกระจกอย่างที่ควรเป็น

   "อะไรของนายวะซัน! ง่า...ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะเพื่อน..."

   เมฆาที่หันมาเตรียมตวาดเพื่อนด้วยความโมโหถึงกับชะงัก เมื่อเห็นสายตาคมกริบและใบหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายที่จ้องมองตนมาเขม็ง

   "น้องฟ้าเป็นของฉัน...หวังว่าคงจะจำได้นะเมฆ"

   "หา...ก็รู้อยู่แล้วไง...หือ...อย่าบอกนะว่านายคิดว่าฉันจะจีบน้องเขาเหมือนกันเฮ้ย! ฉันถือคติว่า ต่อให้ถูกใจยังไง ก็ไม่คิดแย่งของรักของเพื่อน นายก็รู้นี่นา!"

   เมฆารีบแย้ง ทำให้รวีทำปากสบถอุบอิบ ก่อนจะเอ่ยเสียงห้วน พร้อมกับกระชากรถขับออกไปอีกครั้ง

   "งั้นก็แล้วไป เห็นพูดชมน้องฟ้าของฉันก็นึกว่านายจะหลงเสน่ห์ของเขาด้วย...จำไว้นะเมฆ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทยังไง ถ้าเกิดล้ำเส้นมายุ่งกับของรักของฉัน ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ!"

   "เหอะ ๆ รู้แล้วน่า ไม่ยุ่งด้วยหรอก...คนอะไรขี้หึงเกินเหตุ ชมก็ไม่ได้ นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นแฟนกันแท้ ๆ นะนั่น"

   เมฆาบ่นพึมพำ เรียกเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้จากคนขับให้ดังขึ้น

   "เหอะ! ถ้าเป็นกับคนอื่นฉันก็ไม่ใส่ใจนักหรอก...แต่สำหรับน้องฟ้าแล้วมันต่างออกไป...ครั้งแรกที่ฉันพบเขา ฉันก็คิดเลยว่า เด็กคนนี้ล่ะ คือคู่แท้ของฉัน เป็นคนที่ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตน่ะ"

   เมื่อเอ่ยถึงคนที่ตนตกหลุมรัก ใบหน้าของรวีก็มีรอยยิ้มเคลิ้มฝันให้ได้เห็น ทำให้เมฆาต้องลอบถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยตามมา

   "ก็หวังว่าน้องเขาจะรับรู้ได้ถึงความรักร้อนแรงตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมาของนายล่ะนะ"

   "ต้องรับรู้ได้อยู่แล้ว! เพราะน้องฟ้าที่ฉันหลงรัก เขาแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เด็กเลยนี่นะ เคยน่ารักยังไงก็ยังน่ารักอย่างนั้นมาตลอด"

   เมฆาชะงักแล้วหันไปมองคนพูดตาปริบ ๆ ซึ่งสังเกตจากสีหน้าและแววตาแล้ว ดูเหมือนว่ารวีนั้นจะไม่ได้พูดประชดอะไรแต่อย่างใด

   "อืม...แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยสินะ"   

   แม้จะพอยอมรับว่า พอเวลายิ้มเวหานั้นแลดูน่ารักมากอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังห่างไกลกับตอนเป็นเด็กตุ้ยนุ้ยวัยสามขวบในรูปอยู่มาก จะว่าไปมีนาที่เป็นน้องชายยังคล้ายกับอีกฝ่ายตอนเด็กเสียกว่าด้วยซ้ำ

   "ทำเสียงแบบนั้นหมายความว่าไง...เหอะ! จริงอยู่ถึงรูปร่างน้องฟ้าเขาจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ความน่ารักของเขาไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ไม่เชื่อก็ดูสิ"

   รวีที่ฟังน้ำเสียงของเพื่อนแล้วก็พอจะคาดเดาความคิดอีกฝ่ายออก จัดแจงล้วงกระเป๋าเงินในกางเกงส่งให้เพื่อนสนิท ซึ่งเมฆาก็รับมาอย่างงุนงงแต่พอเปิดออกดูเขาก็ได้เห็นภาพของเวหาที่ดูเหมือนกับจะเป็นรูปแอบถ่ายเมื่อเร็ว ๆ นี้ในรูปนั้นเด็กหนุ่มกำลังแย้มยิ้มให้กับมีนาที่อยู่ข้าง ๆ เป็นรอยยิ้มที่น่ารักสะดุดตาเหมือนตอนที่เขาได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มครั้งแรกไม่มีผิด

   "น่ารักใช่ไหม...ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่น่ารัก ความหัวอ่อนไร้เดียงสา... น้องฟ้าของฉันก็ยังคงเป็นเหมือนกับภาพความทรงจำเมื่อก่อนของฉันไม่เปลี่ยนแปลง...เพราะฉะนั้นฉันเชื่อว่า เขากับฉันต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน!"

   รวีเอ่ยอย่างเชื่อมั่น ทำให้เมฆาลอบถอนหายใจก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ  อย่างนึกเอาใจช่วยเพื่อนของตนอยู่บ้างเช่นกัน

   "เออ! จริงสิเมฆ แล้วนายจะอยู่เมืองไทยอีกนานไหม จะกลับอเมริกาเลยหรือเปล่าล่ะ ถ้ากลับเลยฉันจะได้ขับรถไปส่งที่สนามบินให้"

   คำถามถัดมาทำให้คนกำลังอมยิ้มสะดุ้งโหยง ก่อนจะย้อนตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด

   "อะไรกันวะ! พอเจอว่าที่เจ้าสาวก็จะไล่เพื่อนกลับเลยหรือไง!"

   รวียักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบหน้าตาเฉย

   "ฉันกลัวนายเสียการเสียงานต่างหาก"

   "งั้นไม่ต้องกลัวฉันเสียการเสียงานอะไรนั่นหรอก ฉันเคลียร์งานและขอลาพักร้อนกับพ่อฉันมาเที่ยวพร้อมนายเรียบร้อย  อย่างน้อยก็อยู่เกาะติดนายได้อีกเป็นเดือนนั่นล่ะ!"

   เมฆาตอบกึ่งประชด ทำเอารวีบ่นอุบอิบเบา ๆ หากแต่สักพักเจ้าตัวก็ยื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับเพื่อนของเขา

   "ถ้านายจะคอยเกาะติดฉันตลอดอย่างที่ว่า นายก็ต้องช่วยฉันกันท่าน้องมีนออกไปเวลาที่ฉันจีบน้องฟ้า โอเคไหม!"

   เมฆาเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะนิ่งคิดถึงใบหน้าหวาน ๆ และรอยยิ้มร่าเริงของมีนา จากนั้นชายหนุ่มก็หลุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะพยักหน้าตอบรับตามมา

   "ก็ได้...ฉันจะคอยจัดการเรื่องน้องมีนเอง ปล่อยเป็นหน้าที่ของฉันได้เลย"

   รวีเหลือบมองสีหน้าของเพื่อนสนิท ก่อนจะหันกลับไปมองเส้นทางถนนเบื้องหน้า แล้วจึงมีรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์แทบจะไม่แตกต่างกับอีกฝ่ายนัก

   "ดี! แบบนี้ก็ค่อยอยู่กันได้ยืดหน่อยแล้วอย่าได้เข้ามาเฉียดหรือใกล้ชิดพูดคุยกับน้องฟ้าของฉันเกินจำเป็นด้วยล่ะ"

   รวีกำชับตามมาทำให้คนฟังถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง

   "เหอะ! เพื่อนเวร เห็นแฟนดีกว่าเพื่อนนี่หว่า"

   เมฆาสบถกับตนเอง แต่ก็ทำให้คนข้าง ๆ ที่ได้ยินนั้นหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม

   "ก็แหงล่ะ! เพื่อนน่ะหาตอนไหนก็หาได้ แต่คนที่เราถูกใจมันหาไม่ได้บ่อย ๆ นี่นา"

   "เขามีแต่สลับกันไม่ใช่หรือ"

   เมฆาแย้ง แต่รวีนั้นยักไหล่นิด ๆ

   "สำหรับฉันถือคติแบบนี้ล่ะนะ"

   คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

   "เออ...ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มาถูกใจคบนายเป็นเพื่อนล่ะนะ"

   "เอาน่า...ในบรรดาเพื่อนฉันที่คบมา นายก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนั่นล่ะ"

   รวีบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งขำซึ่งก็ทำให้คนฟังต้องยักไหล่นิด ๆ อย่างเอือมระอา ก่อนที่คนขับจะหันมาสนใจกับการขับรถต่อไปอย่างไม่เร่งรีบอะไรนักส่วนคนนั่งข้าง ๆ ก็นั่งมองวิวไปเงียบ ๆ เช่นเดียวกัน


 
:L1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 11-08-2014 12:31:38
5555 สมเป็นเพื่อนกันจริงๆ ฟ้ากะมีนระวังตัวน้าาา
ทำตัวน่ารักทั้งคู่เลยหุหุ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 11-08-2014 12:46:39
น้องฟ้าน่ารักมาก ยอมให้พี่เค้าจีบ 

ส่วนน้องมีน ไม่ต้องมาขวางทางรักของพี่ชายเลยนะ เพราะเดี๋ยวจะโดนพี่เมฆามาจัดการ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-08-2014 13:29:49
สองเสือจะกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆมั๊ยน๊าาา
ต้องคอยดู ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-08-2014 13:42:44
 :man1:
อยากเห็นวิธีจีบจังเลย รอ ๆ ๆ  นะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mapreaw ที่ 11-08-2014 14:13:36
จะจีบกันแบบไหนนะ ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-08-2014 14:57:38
น่ารักดีจัง
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 11-08-2014 15:20:32
น้องมีนหวงพี่ซะด้วย
น้องฟ้าก็เหมือนจะตามใจน้องอีก
เอาใจช่วยพี่ซันล่ะกัน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 11-08-2014 16:26:41
เมฆากับมีนาน่าสนนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-08-2014 17:15:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 11-08-2014 17:27:33
นีองฟ้านี่ช่างสุภาพเรียบร้อยจริงๆ น้องมีนเองก้อห่่วงพี่ชายสุดๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 11-08-2014 17:45:21
เอิ่ม น้องฟ้าน่าจะต้องตกหลุมรวีเป็นแน่แท้
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 11-08-2014 18:21:34
น่าจะฮา
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-08-2014 18:26:24
เอ่อ รวีเป็นคนแปลกอ่ะ 55 ตลกดี
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 3) 11/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 11-08-2014 19:15:33
น่าสนใจมากเรื่องนี้ ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 12-08-2014 16:07:59

บทที่ 4


   พอกลับมาถึงที่พักรวีก็เรียกนักสืบให้ไปตามสืบเกี่ยวกับเวหาและครอบครัวรวมไปถึงคนรอบตัวของเด็กหนุ่มเพิ่มเติมและระหว่างนั้นชายหนุ่มก็ใช้เวลานั่งคิดแผนการที่จะสานสัมพันธ์ของเขากับอีกฝ่ายไปพลาง ๆ อย่างไม่รีบร้อนนักจนกระทั่งข้อมูลทั้งหมดถูกนำมาส่งให้รวีในอีกสองวันถัดมา

   "เจ้าสาวของฉัน...เติบโตมาเป็นเด็กดี ไร้ประวัติเสื่อมเสียอย่างที่คาดคิดไว้จริง ๆ"

   รวีพึมพำอย่างมีความสุข สีหน้าระบายยิ้มนั้นทำให้เมฆาที่มองอยู่ แค่นหัวเราะนิด ๆ

   "เหอะ ๆ ยินดีด้วยนะเพื่อน"

   เมฆาบอกประชด เพราะเขาแน่ใจว่า ต่อให้เวหาจะเติบโตมาเป็นเด็กเกเรหรือแบบไหนก็ตาม รวีก็คงจะมีข้อแก้ตัวมารองรับให้สุดที่รักของเจ้าตัวได้มากมายอยู่แล้ว

   "แล้วทีนี้นายจะทำยังไงต่อไปล่ะ"

   เมฆาถามต่อ เพราะเพื่อนสนิทยังคงชื่นชมกับข้อมูลของเวหาโดยไม่คิดสนใจเขาสักนิด

   "หือ...ทำยังไงต่อน่ะหรือ"

   รวีเงยหน้าจากแผ่นเอกสารมามองเพื่อน แล้วจึงนิ่งคิดสักพัก

   "จากข้อมูลที่ได้รับมา น้องฟ้าเป็นเด็กที่รักครอบครัวมาก ดังนั้นฉันก็คงจะเข้าตามตรอกออกตามประตูตรง ๆ นั่นล่ะ  อีกอย่างฉันกับคุณแม่ของน้องฟ้า เมื่อก่อนก็รู้จักสนิทสนมกันดี ท่านเองก็คงจะจำฉันได้อยู่บ้างและที่สำคัญฉันกับท่านก็เคยมีสัญญาระหว่างพวกเราบางอย่างอยู่ด้วยเหมือนกัน หึ ๆ"

   ใบหน้าแย้มยิ้มติดเจ้าเล่ห์ และเสียงหัวเราะเบา ๆ นั่น ทำให้เมฆาเลิกคิ้วมองคนพูดอย่างประหลาดใจ

   "สัญญา? ไม่แค่กับน้องฟ้าแต่นายยังไปสัญญากับแม่ของเขาด้วยหรือนั่น...อย่าบอกนะว่านอกจากเด็กแล้วยังชอบคนแก่กว่าอีก"

   รวีขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะโพล่งใส่เพื่อนที่เข้าใจผิดตนอย่างหงุดหงิด

   "บ้ารึ! สัญญาที่ว่านั่นมันเกี่ยวข้องกับน้องฟ้าต่างหาก ไอ้นายนี่ก็ช่างคิดได้... ฉันว่าคนโรคจิตน่ะ ไม่ใช่ฉันคนเดียวแล้วล่ะ!"

   เมฆาชะงักกึก ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

   "แล้วนายจะดำเนินแผนการที่ว่าตอนไหนล่ะ"

   รวีเหลือบมองเพื่อนอย่างยังคงไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปตามตรง

   "อีกสามวันที่จะถึงนี่ ฉันจะเข้าไปทักทายครอบครัวน้องฟ้าอย่างเป็นทางการ"

   "เอ๋? แล้วทำไมถึงต้องสามวันล่ะ"

   เมฆาถามต่อ ซึ่งคนฟังก็ยักไหล่นิด ๆ

   "ก็เผื่อเวลาเตรียมการในเรื่องอื่น ๆ ไว้ยังไงล่ะ"

   "เรื่องอะไรบอกได้ไหม"

   รวีมองเพื่อนที่มีทีท่าอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ เจ้าตัวจึงยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะตอบแหย่กลับไปอย่างอารมณ์ดีขึ้นมากว่าเมื่อครู่

   "เอาไว้นายไปเซอร์ไพรส์พร้อมคนอื่นแทนแล้วกัน"

   "โห! ขี้งกว่ะ ใช่ซิ! เรามันแค่เพื่อน ไม่ใช่ว่าที่เจ้าสาวเด็กอย่างน้องฟ้าเค้านี่!"

   เมฆาแสร้งทำเป็นค้อนขวับ แล้วจีบปากจีบคอพูด เสียจนคนมองสะดุ้ง

   "พอ ๆ อย่ามาทำสะบัดสะบิ้งให้ชวนคลื่นไส้เลยว่ะเมฆ เห็นแล้วขนลุก!"

   "แหม! กับฉันทำเป็นขนลุก ทีน้องฟ้าของนายก็หุ่นพอ ๆ กันกับฉันไม่ใช่หรือไง"

   เมฆาแย้งขำ ๆ แต่ทำเอาคนฟังขมวดคิ้วยุ่ง

   "ถึงไซส์จะใกล้เคียง แต่ออร่าความน่ารักน่าทะนุถนอมของน้องฟ้าเขากินนายขาดกระจุยว่ะ สำหรับฉัน มองยังไงน้องฟ้าก็ยังดูบอบบางน่ารักกว่านายหลายร้อยเท่าอยู่ดีล่ะนะ"

   รวีบอกด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน ทำให้เมฆาที่ได้ยินเบ้หน้าใส่

   "ไอ้คนหลงแฟน...ไม่สิ น้องเขาจะยอมเป็นแฟนให้หรือเปล่าก็ไม่รู้"

   ท้ายประโยคเมฆาบ่นอุบอิบกับตัวเองเบา ๆ แต่คนหูดีที่อยู่ใกล้ก็ยังคงได้ยินอยู่ดี

   "ต้องยอมอยู่แล้วสิวะ! ไม่สิ...ถึงจะไม่ยอม แต่ฉันมีวิธีที่จะทำให้น้องฟ้าเขายอมรับฉัน อย่างละมุนละม่อมเตรียมไว้รอมากมายอยู่แล้วล่ะ"

   รวีบอกพร้อมกับเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ และนั่นจึงทำให้คนที่มองมาเสียวสันหลังวาบ นึกสงสารเป้าหมายของเพื่อนสนิทขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม้เขาจะมั่นใจว่ารวีนั้นจะไม่ใช้วิธีการรุนแรงกับเวหาก็ตาม ทว่าเด็กหนุ่มก็คงไม่แคล้วจะต้องเจอลูกตื๊อที่แสนจะน่ารำคาญจากเพื่อนของเขาอย่างแน่นอน



   นับจากวันที่รวีและเมฆามาสร้างความวุ่นวายที่บ้านพักของเขา มาวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่ทั้งคู่หายตัวไป มีนานั้นแม้จะรู้สึกโล่งอก แต่ก็ยังคงกังวลไม่หาย เพราะเท่าที่ได้เห็นสายตาของรวี เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะต้องไม่ยอมแพ้ในเรื่องพี่ชายของเขาง่าย ๆ แน่

   "หือ...รถรับขนย้าย? เข้ามาในซอยบ้านเราทำไมกันหว่า"

   มีนาที่ตอนนี้ออกมากวาดใบไม้หน้าบ้าน เหลียวมองตามรถหกล้อที่ติดป้ายรับขนย้ายซึ่งแล่นผ่านบ้านเขาไปอย่างสนอกสนใจ เพราะมันแล่นขับไปจอดยังบ้านเรือนไทยหลังงามหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านเขาไปสองสามหลัง และบ้านที่ว่าก็เป็นบ้านของเศรษฐีประจำหมู่บ้านแห่งนี้

   "ป้าพรครับ...ลุงจุกเขาจะย้ายบ้านหรือครับ"

   มีนาถามหญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงข้ามบ้านเขา เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างสนิทกับภรรยาของเศรษฐีจุกผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่นเอง

   "ใช่แล้วล่ะหนูมีน เห็นว่ามีคนกรุงเทพฯมาขอซื้อต่อ จะเอามาทำเป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัวน่ะ ตาจุกแกเห็นว่าอีกฝ่ายให้ราคางาม ก็เลยขายซะ เพราะยังไงที่ของแกแถวนี้ก็มีอีกมาก จะปลูกบ้านอีกหลังสองหลังก็ยังสบายน่ะ"

   พอได้ยินหญิงวัยกลางคนบอกเช่นนี้ มีนาก็ถึงกับชะงัก พลันอดนึกถึงเจ้าของรถยนต์คันหรูที่มาจีบพี่ชายของเขาเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาไม่ได้

   "เอ่อ...ป้าพร พอจะรู้ไหมครับ ว่าคนมาขอซื้อเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงแล้วอายุประมาณเท่าไหร่"

   หญิงวัยกลางคนมองเด็กหนุ่มที่ตั้งคำถามอย่างประหลาดใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงบอกออกไปตามที่ตนได้รู้มาอยู่ดี

   "เห็นแม่รินเขาบอกป้าว่า มีผู้หญิงอายุประมาณ 30 - 40 ปี มาติดต่อน่ะ บอกว่ามาซื้อให้หลานชาย หลานเขาอยู่ต่างประเทศกับพ่อแม่เขา แต่เจ้าตัวบอกว่าชอบประเทศไทยมากกว่า อยากได้บ้านพักในไทยตามต่างจังหวัดบ้าง น้าของเขาก็เลยมาหาซื้อบ้านให้แถวนี้น่ะ"

   มีนาพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังคงครุ่นคิดว่าคนที่มาซื้ออาจจะเกี่ยวข้องกับรวีอยู่ก็ได้ ทว่าระหว่างกำลังคิดเพลิน ๆ อยู่นั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

   "มีน! มาช่วยแม่ยกของหน่อยสิ!"

   "อ๊ะ! ครับ ๆ  แป๊บนะครับ!"

   มีนาตะโกนตอบแล้วหันมาเอ่ยลาหญิงวัยกลางคนเบื้องหน้าเขา

   "จ้า ๆ ไปเถอะ วันนี้พี่ฟ้าเขาไม่อยู่บ้านล่ะสิ"

   ป้าพรบอกอย่างรู้ดี ซึ่งมีนาก็ยิ้มรับ เพราะปกติงานใช้กำลังภายในบ้านมักจะเป็นหน้าที่ของเวหาเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมีนานั้นถอดความสามารถด้านการครัวมาจากมารดา แถมยังถนัดงานใช้ฝีมือและงานบ้านทุกประเภท จนชาวบ้านแถวนี้ที่มีลูกชายยังโสด ต่างก็นึกเสียดายที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย หาไม่แล้วก็คงจะมีคนไปขอให้มาเป็นลูกสะใภ้กันจนหัวกระไดบ้านไม่แห้งไปแล้ว

   

   เช้าวันถัดมาบริเวณในสวนผลไม้แห่งหนึ่ง เวหานั้นกำลังช่วยณรงค์พ่อเลี้ยงของเขาขุดดินปลูกต้นไม้อยู่อย่างขยันขันแข็ง  ซึ่งแม้ว่าพ่อของเขาคนนี้จะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ผู้ให้กำเนิด แต่อีกฝ่ายก็เลี้ยงดูเวหามาตั้งแต่เล็กและรักเด็กหนุ่มเหมือนกับลูกแท้ ๆ ของตน เช่นเดียวกับที่เวหาให้ความรักและความเคารพต่อณรงค์เหมือนพ่อแท้ ๆ ของเขาเช่นกัน

   "พ่อครับ หลุมตรงนี้ขุดเรียบร้อยแล้วล่ะครับ"

   เวหาบอกกับพ่อของเขา ซึ่งชายวัยกลางคนก็หันมามองแล้วยิ้มให้อย่างพอใจ

   "ขอบใจมากนะฟ้า ที่เหลือเดี๋ยวพ่อจัดการเอง ฟ้าไปนั่งพักก่อนเถอะ"

   "งั้นฟ้าไปนั่งเล่นแถวนี้นะครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยพ่อก็เรียกฟ้าได้เลยนะครับ"

   บิดาของชายหนุ่มยิ้มรับ ส่วนเวหาก็เดินลัดเลาะไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลอง อันเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจประจำตัวของเขา

   "แดดค่อนข้างแรงจังเลยแฮะวันนี้..."

   เวหาพึมพำ พลางจ้องมองน้ำคลองใสแจ๋วตรงหน้าอย่างสนใจปนลังเล เพราะณรงค์เคยเตือนเขาไว้ว่า หลังทำงานเสร็จเหนื่อย ๆ อย่าเพิ่งลงไปว่ายน้ำเล่น...หากแต่เพราะวันนี้อากาศร้อน และความที่ว่ายน้ำในคลองนี้เล่นมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เวหาอดใจไว้ไม่ไหวสักพักเจ้าตัวจึงถอดเสื้อออกเผยให้เห็นแผ่นอกสีแทนที่มีกล้ามเนื้อน้อย ๆ สมวัย ก่อนจะกระโจนลงน้ำแล้วดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตคนที่กำลังลงมาสำรวจศาลาริมน้ำของบ้านพักเรือนไทยฝั่งตรงข้าม และตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังจ้องมองคนที่ว่ายน้ำอยู่อย่างตกตะลึงไม่วางตาพอดี

   "เฮ้!ซัน บริเวณรอบ ๆ บ้านนี่ดูดีกว่าที่คิดไว้อีกว่ะ หือ มีศาลาริมน้ำด้วยหรือเนี่ย!"

   เมฆาที่เดินตามเพื่อนมาอุทานอย่างพึงพอใจ แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนจับจ้องมองบางสิ่งอยู่ไม่วางตา และเมื่อเขามองตามไปบ้าง จึงทำให้เห็นว่าเพื่อนกำลังมองสิ่งใดอยู่นั่นเอง

   "นั่นน้องฟ้าไม่ใช่รึ!?"

   เสียงของเมฆาไม่ค่อยเบานัก และก็ทำให้คนที่กำลังเล่นน้ำอยู่รู้สึกตัวขึ้นมา

   "เอ่อ...พวกคุณ"

   เวหานิ่งอึ้งเพราะไม่คิดว่าหนึ่งในคนที่มาจีบเขาและหายหน้าไปเกือบอาทิตย์ จะกลับมาเจอกันในสถานการณ์และสถานที่เช่นนี้

   "ง่า...น้องฟ้า สวัสดีครับ ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะครับ"

   รวีหันไปเขม่นใส่เพื่อน ก่อนจะหันมายิ้มหวานทักทายคนที่อยู่ในคลอง ซึ่งเวหาเองก็ยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมทักตอบกลับไป

   "สวัสดีครับ...เอ่อ ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสเจอกันในที่แบบนี้เลยนะครับ"

   เวหามองพวกรวี แล้วเหลือบมองเรือนไทยด้านหลังทั้งคู่ และดูเหมือนรวีนั้นจะพอคาดเดาสายตานั้นออก จึงรีบเอ่ยดักตอบขึ้นทันที

   "คือพวกพี่มาดูบ้านพักตากอากาศหลังใหม่ที่ซื้อต่อมาจากเจ้าของคนเก่าน่ะครับ"

   เวหาชะงักก่อนจะมองคนพูดอย่างตกใจ

   "ถ้าอย่างนั้นคนที่มาซื้อบ้านต่อจากลุงจุก ก็คือพวกคุณหรือครับ!"

   รวีพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มหวานแต่นั่นก็ทำเอาเวหาถึงกับยิ้มไม่ออก เขาไม่อยากคิดเลยว่า อีกฝ่ายจะกล้าลงทุนเงินเป็นหลักสิบล้าน เพื่อให้ได้มีโอกาสมาอยู่ใกล้กับเขาเช่นนี้

   "เท่านี้พวกเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้วนะครับน้องฟ้า ไว้เดี๋ยวกลางวันนี้พี่จะเข้าไปไหว้ทักทายแม่กับพ่อของน้องฟ้าด้วยนะครับ"

   เวหานิ่งอึ้ง นึกไม่ออกว่าจะห้ามหรือยิ้มรับดีหากแต่จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เมื่อรู้สึกว่าขาของตนกำลังเป็นตะคริว เขาพยายามตั้งสติใช้มือพยุงให้ลอยตัวเอาไว้ ส่วนทางด้านรวีพอเห็นอาการผิดปกติของเด็กหนุ่มเจ้าตัวก็พลันชะงักก่อนจะตะโกนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน

   "น้องฟ้า! เป็นอะไรไปครับ!"

   "...รู้สึกจะเป็นตะคริวครับ ...แต่...น่าจะพอไหว..."

   ยังไม่ทันพูดจบเจ้าตัวก็ผลุบหายลงไปในน้ำ ทำเอารวีเบิกตากว้างแล้วรีบกระโจนลงไปช่วยเด็กหนุ่มทันที

   "เฮ้ย! ซัน!"

   เมฆาตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ผลุบหายลงไปใต้ผืนน้ำด้วยความตกใจ ทว่าสักพักรวีก็ลอยตัวขึ้นมา ในอ้อมแขนมีร่างของเด็กหนุ่มที่จมลงไปใต้น้ำติดมาด้วย และเพราะเสียงเอะอะโวยวายที่เกิดขึ้น จึงทำให้ณรงค์ พ่อเลี้ยงของเวหาวิ่งตามมาเมื่อเห็นรวีกำลังลากลูกชายของเขาขึ้นมาจากคลอง เจ้าตัวก็รีบวิ่งลงไปช่วยประคองเด็กหนุ่มขึ้นมาด้วยกันอย่างรวดเร็ว

   "แค่ก ๆ ๆ"

   เวหานั้นไม่ได้หมดสติแต่อย่างใด เขาสำลักน้ำอยู่สักพัก แล้วจึงนอนหงายอย่างหมดแรงอยู่บนผืนดินริมฝั่งน้ำแถวนั้น

   "เกิดอะไรขึ้นกันน่ะฟ้า!แล้วคุณ..."

   ณรงค์ถามลูกชายแล้วมองไปยังชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็น ทางด้านรวีที่รู้จากข้อมูลดีว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อเลี้ยงของเวหา จึงยิ้มน้อย ๆ แล้วยกมือไหว้อีกฝ่าย ซึ่งณรงค์ก็รีบยกมือรับไหว้ทันที

   "ผมชื่อรวีครับ เรียกว่าซันก็ได้ ...ผมมาซื้อบ้านเรือนไทยฝั่งนั้นไว้เป็นบ้านตากอากาศตอนผมกลับเมืองไทย แล้วก็ได้เจอน้องฟ้าเล่นน้ำอยู่ คุยกันไปคุยกันมา น้องเขาเกิดเป็นตะคริว ผมก็เลยโดดลงมาช่วยนี่ล่ะครับ"

   พอได้ยินดังนั้น ณรงค์ก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจ เพราะถ้าเกิดรวีไม่อยู่แถวนี้ ลูกชายของเขาอาจจะจมน้ำตายไปแล้วก็ได้

   "ฟ้า! พ่อบอกหลายหนแล้วใช่ไหมว่า เวลาทำงานมาเหนื่อย ๆ ไม่ให้ลงเล่นน้ำเลย กล้ามเนื้อมันจะล้า อาจจะเป็นตะคริวได้ ...แล้วเห็นไหมล่ะ ผลของการไม่เชื่อที่พ่อเตือนมันทำให้เกิดอะไรขึ้น!"

   เวหาหน้าสลด เขายันกายลุกขึ้นนั่งก่อนจะยกมือไหว้ขอโทษบิดา ซึ่งอีกฝ่ายก็ถอนหายใจ แล้วตบบ่าลูกชายเบา ๆ อย่างให้อภัยเพราะเห็นว่าเจ้าตัวเจอเรื่องชวนให้ตกใจมามากเกินพอแล้ว

   "ขอบคุณ คุณรวีเขาด้วยสิลูก เขาช่วยชีวิตลูกไว้นะ"

   ณรงค์พูดต่อ ซึ่งรวีก็เตรียมจะแย้งห้าม หากแต่เวหานั้นหันมาทางชายหนุ่มแล้วพนมมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายตามที่บิดาของตนบอก

   "ขอบคุณจริง ๆ นะครับคุณรวี ที่ช่วยชีวิตผมไว้"

   "เรียกพี่ซันดีกว่านะครับน้องฟ้า ยังไงเราก็เพื่อนเก่าแก่กันไม่ใช่หรือครับ"

   รวีบอกอย่างไม่ถือสา ซึ่งก็ทำให้ณรงค์ที่ฟังอยู่แปลกใจทางด้านรวีพอเห็นสีหน้าเช่นนั้นเขาจึงรีบอธิบายตามมา

   "จริง ๆ แล้วผมเคยเป็นเพื่อนบ้านกับน้องฟ้าแล้วก็น้าวารีเมื่อสมัยน้องฟ้ายังเด็ก ๆ น่ะครับ แต่ผมต้องย้ายไปต่างประเทศเสียก่อน กลับมาเมืองไทยอีกครั้งก็พบว่าน้าวารีกับน้องฟ้าย้ายบ้านไปแล้ว...แต่บังเอิญดันได้กลายมาเป็นเพื่อนบ้านกันอีกครั้งแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาพรหมลิขิตแท้ ๆ เลยนะครับ"

   ณรงค์พอได้ยินก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นรู้จักภรรยาของเขา รวมถึงช่วยชีวิตลูกชายของเขาไว้ ก็ทำให้ชายวัยกลางคนไม่รู้สึกติดใจอะไรมากนัก

   "อ๊ะ! ถ้ายังไงพาน้องฟ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา...แล้วไว้ตอนกลางวันผมจะแวะไปทักทายน้าวารีที่บ้านอีกครั้ง และอาจจะไปขอฝากท้องกินข้าวกลางวันที่นั่นด้วย...หวังว่าคุณน้าณรงค์คงไม่รังเกียจใช่ไหมครับ"

   "หือ...ไม่เลย ผมไม่รังเกียจอะไรหรอก ดีเสียอีกจะได้เลี้ยงตอบแทนคุณที่ช่วยฟ้าเอาไว้ด้วย"

   รวียิ้มแย้มส่งให้พร้อมกับยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนจะกระโดดน้ำว่ายข้ามไปอีกฝั่ง แทนที่จะเดินอ้อมไปขึ้นสะพานซึ่งอยู่ไกลกว่าแทน

   ณรงค์มองตามชายหนุ่มที่ขึ้นศาลาริมน้ำแล้วหันมาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้ตน ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินกลับไปทางหน้าบ้านพร้อมกับเพื่อนที่มาด้วยกัน  ชายวัยกลางคนจึงได้หันมาทางลูกชายของตนอีกครั้ง

   "เพิ่งรู้ว่าฟ้ามีเพื่อนเป็นลูกครึ่งนะเนี่ย...แถมยังอายุมากกว่าเยอะด้วยเลยสินะ แล้วไปสนิทกันได้ยังไงล่ะ ตอนนั้นฟ้าก็น่าจะเพิ่งสามหรือสี่ขวบเองไม่ใช่หรือ"

   ณรงค์ถามบุตรชาย ซึ่งเวหาก็ยิ้มเจื่อน ๆ ไม่กล้าบอกต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงออกไปให้บิดารู้ ทว่าพอพวกเขาทั้งสองเริ่มลุกเดินเพื่อจะตรงกลับบ้านพัก ณรงค์ก็พลันชะงักแล้วหันกลับไปมองยังศาลาริมน้ำที่ไร้ผู้คนเบื้องหลัง แล้วจึงหันกลับมามองบุตรชายของเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

   "พ่อว่าพ่อยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยนะ แล้วเขารู้จักชื่อพ่อได้ไง ฟ้าบอกพี่เขาไปหรือลูก"

   เวหาสั่นศีรษะเบา ๆ และพอคิดตามที่บิดาบอก ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน

   "เอาเถอะ...ไว้ตอนกลางวันก็เจอกันอีก ไว้ค่อยถามตอนนั้นก็ได้"

   ณรงค์ตัดบทอย่างไม่อยากคิดมากนัก จากนั้นพวกเขาพ่อลูกก็พากันตรงกลับบ้าน ซึ่งพอเห็นสภาพลูกชาย วารีก็โวยวายยกใหญ่แล้วรีบไล่ให้เวหาไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่คิดจะรอฟังเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด



 
:L1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 12-08-2014 16:49:47
แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม   :ruready :ruready
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 12-08-2014 16:50:25
โอ้ววว ลงทุนซื้อบ้านใกล้กันเลย แหม่ๆๆ

น้องฟ้าจะจีบติดง่ายไหมคะนี่ ง่ายเกินไปไม่สนุกน้าาาาา  :hao3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 12-08-2014 16:55:43
พี่ซันนี่ เจ้าบุญทุ่มจริงๆ ถึงน้องฟ้าจะเริ่มไหวตัว แต่คงไม่รอดแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-08-2014 17:14:32
 :katai5: :katai5:
งานนี้น้องฟ้าหนียังไงก็ไม่พ้นแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-08-2014 19:31:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 12-08-2014 19:34:09
ยกให้พี่ซันเป็นเจ้าพ่อบุญทุ่มค่ะ ทุ่มเทสุดยอดจริงๆ

เหมาะแล้วที่จะมาเป็นสามีของน้องฟ้าในอนาคตอันใกล้นี้ อิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-08-2014 19:49:53
พ่อบุญทุ่มจริงๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mapreaw ที่ 12-08-2014 20:44:47
ทั้งทุ่มเทและทุ่มทุนขนาดนี้คงไม่รอดแน่ :hao6:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Moonwish ที่ 12-08-2014 20:56:57
มะ ไม่น่ารอดนะน้องฟ้า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: jj_girl ที่ 12-08-2014 22:56:23
เสี่ยซันลงทุนมากค่ะ  งานนี้น้องฟ้าจะไปไหนรอด
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 13-08-2014 00:01:38
วางแผนมาเป็นยังดี 555+
ทำการบ้านมาดีมากๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 13-08-2014 01:51:14
แหมลงทุนสร้างแลนมาร์คซะใกล้บ้านน้องฟ้าเลยนะ ทุ่มสุดๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 13-08-2014 09:12:32
พ่อบุญทุ่มนะเนี่ย พี่ซัน คึคึ
ยอมมาอยู่ใกล้ๆบ้านน้องฟ้าเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 13-08-2014 10:18:01
เจ้าแผนการจริงๆ เชียว
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 13-08-2014 12:34:50
 :m3: :m3: :m3: ซันเนี่ยทุ่มทุนสร้างจริงๆ
น้งฟ้าก็รีบๆใจอ่อนรับพี่ซันเค้าหน่อย :oni3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 13-08-2014 13:54:02
ตอนนี้ถึงกับสงสารน้องฟ้าเลย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 4) 12/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-08-2014 14:14:43
 :katai2-1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 13-08-2014 16:08:00

บทที่  5



   เมฆายืนมองเพื่อนที่เดินออกมาจากห้องอาบน้ำบนบ้าน ทั้งตัวของรวีมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันรอบเอวไว้อยู่ เจ้าตัวนั้นกำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีชนิดชวนให้คนมองหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   "ดีใจล่ะสิ ได้มีโอกาสเก็บแต้มโดยไม่คาดฝันแบบนี้น่ะ"

   รวีหันมามองเพื่อนก่อนจะยักไหล่นิด ๆ พลางหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางที่วางเอาไว้กับพื้นบ้านแถวนั้นมาสวมใส่ เนื่องจากเจ้าของเก่าได้ขนเฟอร์นิเจอร์หลักย้ายไปหมด จึงเหลือแต่เพียงบ้านโล่ง ๆ ซึ่งทั้งคู่เองนั้นก็เตรียมจะสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์มาลงเพิ่มภายในวันนี้อยู่แล้ว

   "ฉันเองก็ดีใจที่จะได้กลายเป็นผู้มีพระคุณในสายตาของน้องฟ้าและคนในครอบครัวเขา...แต่เอาจริง ๆ แล้ว ฉันก็ไม่อยากให้น้องฟ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงอันตรายแบบนี้บ่อย ๆ นักหรอก"

   เมฆารับฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ถ้าหากพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วเวหาก็อาจจะมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็เป็นได้

   "คราวหน้าน้องเขาก็คงไม่ประมาทอีกแล้วล่ะ เจอแบบนั้นเข้าไปก็คงขวัญเสียอยู่บ้างหรอก"

   "อืม...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะรับอาสาไปปลอบขวัญน้องฟ้าเอง...นี่ใกล้เที่ยงหรือยังน่ะ ถ้าพวกเราไปเร็วก่อนหน้านัดนิดหน่อยจะดูน่าเกลียดไปไหมวะเมฆ"

   รวีหันไปถามเพื่อน ซึ่งเมฆาก็ยกนาฬิกาข้อมือมาดูเวลาก่อนจะเบ้หน้าใส่

   "เพิ่งสิบโมงเองนา อย่างน้อยก็ไปสักราว ๆ ห้าโมงดีกว่า จะได้ดูไม่จงใจเกินไป ทางโน้นเขาจะได้ไม่อึดอัดนักด้วย"

   "โห! ให้รออีกตั้งชั่วโมงเลยนี่นะ!"

   คนเอาแต่ใจเริ่มโวยวายด้วยความหงุดหงิด ทำเอาเมฆาต้องรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาเพื่อเบรกอารมณ์ขุ่นมัวของอีกฝ่ายเสียก่อน

   "งั้นระหว่างว่าง ๆ นี่ เราก็สำรวจแต่ละห้องไปสิ ว่าจะซื้ออะไรเข้ามาเพิ่มดี...ที่แน่ ๆ พวกเตียง โต๊ะ เก้าอี้ ก็ต้องซื้อใหม่หมดยกเซ็ตนี่ล่ะนะ"

   พอได้ยินดังนั้นรวีก็เริ่มหันมาให้ความสนใจกับเรื่องที่เพื่อนสนิทเสนอ เพราะจะว่าไปแล้วถ้าไม่นับแผนการที่จะหาเรื่องอยู่ใกล้ชิดกับเวหา บรรยากาศโดยรวมของบ้านหลังนี้ก็ค่อนข้างน่าอยู่ถูกใจเขาพอสมควรเลยทีเดียว

   "ก็ได้...งั้นฉันจองห้องวิวศาลาน้ำห้องนี้แล้วกัน เผื่อตื่นเช้ามา จะได้เห็นน้องฟ้ามายืนโบกมือทักทายให้ที่ริมคลองฝั่งโน้นก็ได้"

   รวีบอกพร้อมรอยยิ้ม ส่วนเมฆาที่อยู่ด้วยกันอยากจะแย้งกลับไปว่า หากเห็นแบบนั้นแสดงว่ารวีก็คงยังหลับฝันไม่ตื่นอยู่หรอก แต่ขืนเขาหลุดปากพูดแบบที่ใจคิดออกไปจริง ๆ รับรองรวีคงบ่นอุบและโมโหใส่เขาอีกเป็นแน่

   

   อีกด้านหนึ่งหลังจากเวหาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดผมเรียบร้อย เขาจึงมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มารดาและน้องชายฟัง ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มโดนมารดาตำหนิร่ายยาวใส่ไปตามระเบียบ ทว่าพอดุลูกชายเสร็จ วารีก็หวนคิดถึงเด็กลูกครึ่งข้างบ้าน ที่สามีเล่าให้ฟังว่า อีกฝ่ายนั้นอ้างว่ารู้จักเธอและเวหามาก่อน

   "ถ้าเป็นผู้ชายผมสีน้ำตาลออกแดง ๆ หน่อย แล้วก็ตาสีเขียวสวย ๆ หน้าตาดีมาก ๆ นั่นก็คงใช่หนูซันเขานั่นล่ะค่ะ...เด็กคนนี้น่ารักนะคะ ช่างพูดช่างคุย รู้จักกาลเทศะ แถมยังมาคอยเล่นเป็นเพื่อนกับฟ้าเขาทุกวัน ตาฟ้าของเราก็ติดหนูซันเขาน่าดูเชียวล่ะ ตอนที่หนูซันย้ายไปต่างประเทศในช่วงแรก ๆ ตาฟ้าร้องไห้หาพี่เขาทุกวันเลยล่ะนะคะ"

   พอได้ยินมารดาเล่าเช่นนี้เวหาก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าในตอนเด็กตัวเองจะสนิทสนมกับรวีเป็นพิเศษขนาดนั้น

   "สนิทกันขนาดนั้นเลยหรือครับ แต่พี่ฟ้าไม่เห็นจะจำเขาได้สักนิดนี่ครับ"

   มีนาขัดมารดาขึ้นบ้างเมื่อได้เห็นสีหน้าของพี่ชายยามนี้ และนั่นก็ทำให้เวหาชะงักก่อนจะเหลือบไปมองน้องชายตาปริบ ๆ

   "แหม! ก็นั่นมันตอนพี่ชายของลูกแค่สามขวบเองนะ ถ้าฟ้าจำได้ดีไม่ลืมสิ ถึงน่าแปลก ขนาดแม่เองก็ยังลืม ๆ เลือน ๆ ไปบ้างแล้ว จำได้ก็แค่ว่า สองคนนี้สนิทกันมากก็เท่านั้นล่ะ"

   วารีบอกพร้อมยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งก็ทำให้มีนาแอบลอบถอนหายใจ เพราะพอจะคาดเดานิสัยของพี่ชายตนได้อยู่บ้าง ลองแบบนี้เวหาก็คงจะต้องรู้สึกผิดที่จดจำเรื่องสมัยเด็กไม่ได้ และอาจรู้สึกสงสารรวีที่ยังมั่นคงกับเจ้าตัวมานานถึงขนาดนั้น ยิ่งรวีเพิ่งจะทำคะแนนเรื่องช่วยชีวิตเวหาเอาไว้เมื่อครู่ที่ผ่านมาแบบนี้ด้วยแล้ว มีหวังงานนี้พี่ชายของเขาคงใจอ่อนยอมลดการ์ดปล่อยให้อีกฝ่ายมาอ้อนทำคะแนนขอความรักเพิ่มได้อีกเป็นแน่



   พอถึงเวลาห้าโมงเช้า เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น ทางด้านเวหาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องรับแขกกับบิดานั้นชะงักเล็กน้อย และเพราะมีนากำลังเข้าครัวทำกับข้าวกับมารดาของเขาอยู่ เด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายที่ต้องไปต้อนรับแขกที่มาเร็วก่อนกำหนดเข้ามาในบ้านแทน

   "สวัสดีครับคุณรวี คุณเมฆา"

   เวหาพนมมือไหว้ทั้งคู่ เล่นเอาเมฆายกมือรับไหว้แทบไม่ทัน ส่วนรวีขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วรีบบอกกลับไป

   "ไม่เอาสิครับ...บอกแล้วว่าให้เรียกพี่ซันยังไงล่ะครับ"

   เวหายิ้มเจื่อน แล้วจึงตัดสินใจเรียกตามที่อีกฝ่ายต้องการ

   "ครับ...พี่ซัน"

   รวียิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ และพอประตูรั้วเปิด ชายหนุ่มก็เข้ามาพร้อมกับกระเช้าขนมหวานหลากชนิดใบโต และหนึ่งในนั้นก็เป็นช็อกโกแลตยี่ห้อราคาแพงที่เวหานึกอยากกินแต่ไม่กล้าซื้อรวมอยู่ด้วย

   "ของเยี่ยมทักทายสำหรับเพื่อนบ้านใหม่น่ะครับ...น้องฟ้าไม่รังเกียจของหวานใช่ไหมครับ"

   รวีที่สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายออก ถามพร้อมยิ้มน้อย ๆ ซึ่งเวหาก็กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะยิ้มเขิน ๆ ส่งให้

   "ครับ...ไม่รังเกียจครับ เอ่อ...จริง ๆ ก็ค่อนข้างชอบมากด้วยซ้ำ"

   รวีใจเต้นตึกตัก มีความสุขที่ได้เห็นใบหน้ายิ้มเขินของเด็กหนุ่มที่ตนหลงรัก ส่วนเมฆานั้นแอบอึ้งปนทึ่ง ที่เห็นอีกฝ่ายยังคงชอบขนมหวานเหมือนตอนเด็ก แม้จะโตมาหุ่นล่ำมาดแมนขนาดนี้แล้วก็ตาม

   "ดีจัง...พี่นึกว่าจะเตรียมมาเก้อเสียแล้ว"

   ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นโล่งอก จนเพื่อนสนิทที่มองอยู่อดหมั่นไส้นิด ๆ ไม่ได้ เพราะรู้ดีว่ารวีนั้นมีข้อมูลส่วนตัวของเวหาอยู่แล้ว และข้อมูลนั่นก็รวมไปถึงเรื่องของกินที่ชอบและเกลียดอยู่ด้วยเรียบร้อย

   "เอ่อ...ขอบคุณนะครับอ๊ะ! เข้าไปในบ้านดีกว่าครับ"

   เวหารีบชวนทั้งสองคนเข้าบ้าน เพราะขืนอยู่คุยกันแบบนี้ต่อไป มีหวังเขาคงต้องเผลอใจอ่อนเห็นใจอีกฝ่าย อย่างที่น้องชายของเขากลัวล่วงหน้าเข้าให้เป็นแน่

   "สวัสดีครับ คุณน้าวารี คุณน้าณรงค์....คุณน้าวารีจำผมได้ไหมครับ ผมซัน ยังไงล่ะครับ"

   รวีไหว้ทักทายทันทีที่เห็นบิดามารดาของเวหาซึ่งวารีที่วางมือจากอาหารกลางวันมารอดูหน้าแขกของเธอ ก็ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากของอีกฝ่าย

   "สวัสดีจ้ะ...แหม! ตาซันหรือนี่ โตขึ้นมากเลยนะ แถมยังหล่อขึ้นกว่าตอนเด็กอีกจมเลยนะจ๊ะ"

   "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ...เอ่อ...มีอะไรหรือครับคุณน้าณรงค์ ทำไมจ้องผมแบบนั้นล่ะครับ"

   รวีหันไปมองชายวัยกลางคนที่จ้องมองตนเขม็งอย่างแปลกใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะตอบออกไปตามตรง

   "อืม...คือผมสงสัยมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ริมคลองนั่นแล้ว...คุณรู้จักชื่อผมได้ยังไง ผมยังไม่เคยแนะนำตัวกับคุณมาก่อนเลยนี่ ...แถมฟ้าก็ยังบอกว่าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคุณอีกต่างหาก"

   รวีชะงักกึกเช่นเดียวกับเมฆา ทางด้านเมฆานั้นทำปากบ่นอุบอิบใส่เพื่อนที่ดันเผลอตัวแสดงออกมากเกินไป ส่วนรวีนิ่งคิดประมวลผลชั่วครู่แล้วจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสไร้พิรุธให้จับผิด

   "อ๋อ...ตอนผมมาดูที่แถวนี้แรก ๆ ผมก็ชวนคุณภรรยาเจ้าของบ้านที่ผมซื้อเขาคุยโน่นนี่เรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับคนแถวนี้น่ะครับ ไหน ๆ ก็จะมาอยู่แล้ว ผมก็เลยอยากรู้จักเพื่อนบ้านแถวนี้ เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้ขอความช่วยเหลือได้...คุณภรรยาเจ้าของบ้านเขาก็ใจดีนะครับบอกให้ฟังชี้ให้ดูว่าหลังไหนใครเป็นใคร ...ตอนที่ผมได้ยินว่าบ้านหลังนี้เจ้าของบ้านชื่อณรงค์ มีภรรยาชื่อวารี มีลูกชายสองคน คนโตชื่อเวหา คนเล็กชื่อมีนา ผมเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันนะครับ ว่าจะเป็นคนเคยรู้จักกันแบบนี้...ตอนที่รู้ว่าคนที่ชื่อเวหาเป็นคนเดียวกับน้องฟ้า ผมงี้ตกใจแทบแย่แน่ะครับ"

   พอได้ยินที่รวีบอก ทั้งวารีและณรงค์ก็พากันพยักหน้าหงึกหงักรับรู้อย่างเลิกสงสัย เพราะภรรยาของเศรษฐีจุก เจ้าของบ้านเดิมที่พวกรวีซื้อมานั้น เป็นคนพูดเก่ง แถมยังชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน เจ้าหล่อนนั้นรู้จักแทบทุกเรื่องในครอบครัวคนอื่น ๆ ละแวกนี้ เสียยิ่งกว่ารู้เรื่องราวของครอบครัวตัวเองเสียอีก

   ส่วนทางด้านมีนาที่แอบโผล่หน้าจากครัวมาแอบมองชายหนุ่มนั้นยังคงขมวดคิ้วยุ่งจ้องมองรวีอย่างไม่ไว้วางใจนัก ทำเอาเมฆาที่หันไปเห็นอดขำไม่ได้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าเพื่อนนั้นช่างลื่นไหลและหัวไวพอที่จะหยิบข้อมูลของเพื่อนบ้าน มาสร้างเรื่องโกหกบิดามารดาของเวหาได้เช่นนี้

   "ขนมเยอะเชียว...นี่แสดงว่าซันยังจำได้สินะจ๊ะ ว่าฟ้าเขาชอบขนมมากขนาดไหน"

   วารีเอ่ยทักเมื่อเห็นเวหาวางตะกร้าขนมไว้บนโต๊ะรับแขก ซึ่งพอได้ยินดังนั้นรวีก็อมยิ้มน้อย ๆ ส่วนเวหาหน้าแดงนิด ๆ ด้วยความเขินในเรื่องที่ตนยังคงชอบกินขนมหวานเหมือนสมัยตอนเด็ก ๆ อยู่

   "เด็กคนนี้นี่นะ ตอนเด็ก ๆ กินแต่ขนมอย่างอื่นไม่ค่อยสนใจ เลยกลายเป็นเด็กอ้วนเสียจนหมอต้องสั่งงด แต่เจ้าตัวไม่ยอม เลยลงท้ายว่าจะขยันออกกำลังกาย และกินอาหารอย่างอื่นด้วยให้ครบห้าหมู่ แต่ขอให้ได้กินขนมหวานที่เจ้าตัวชอบเหมือนเดิม ...น้าเห็นเขาพยายามขนาดนี้ก็เลยปล่อยให้กินต่อ แต่ก็ต้องคอยควบคุมอยู่ตลอดไม่ให้กินมากเกินไปนั่นล่ะจ้ะ"

   วารีเล่าอดีตของบุตรชายให้อีกฝ่ายฟัง ซึ่งก็ทำให้รวีสนอกสนใจเป็นยิ่งนัก ส่วนเมฆานั้นพึมพำเบา ๆ อย่างเข้าใจได้สักทีว่า ทำไมคนชอบกินของหวานอย่างเวหา ถึงได้เติบโตมาหุ่นดีแบบนักกีฬาเช่นนี้

   "อยากเห็นน้องฟ้าตอนตุ้ยนุ้ยจัง คงต้องน่ารักมากเลยนะครับ"

   รวีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจริงใจชนิดที่ทำให้เพื่อนสนิทต้องกลืนน้ำลายลงคอ ส่วนมีนาที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นคิดอย่างไรกับพี่ของตน ก็ถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่คิดว่ารวีจะคลั่งไคล้ในตัวของพี่ชายเขาถึงขนาดนี้

   "จะดูรูปในอัลบั้มไหมล่ะจ๊ะ เพราะกว่ากับข้าวจะเสร็จก็อีกสักพักเลยน่ะจ้ะ"

   วารีเสนอความคิด ซึ่งรวีก็รีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ ทำเอามีนากับเวหาที่อ้าปากจะห้ามต้องหยุดชะงัก ส่วนณรงค์นั้นลอบมองบุตรชายของเขาอย่างรู้สึกสงสัยต่อท่าทีแปลก ๆ ของเจ้าตัวที่แสดงออกให้ได้เห็นในบางครั้ง

   "ฟ้าไปหยิบอัลบั้มให้พี่เขาสิจ๊ะ  ถ้าอย่างนั้นน้าขอตัวก่อนนะซัน จะไปทำกับข้าวต่อน่ะ"

   "ครับ...ขอโทษทีนะครับที่มารบกวนก่อนหน้าเวลานัดแบบนี้"

   "ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คนกันเองทั้งนั้น"

   วารีบอกพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในครัว ทำให้มีนาต้องตามไปเป็นลูกมือมารดาต่ออย่างจำใจ ส่วนเวหาก็ลุกไปค้นอัลบั้มสมัยเด็กมาให้รวีตามคำสั่งของมารดา เหลือแต่เพียงณรงค์ที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องรับแขกต่อ เห็นดังนั้นรวีจึงชวนอีกฝ่ายคุยไปพลาง ๆ ก่อน

   "ผมได้ยินมาว่าคุณน้าณรงค์เคยได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นประจำจังหวัดด้วย ...แสดงว่าคุณน้าต้องเอาใจใส่ผลผลิตของตัวเองมากเลยสินะครับ"

   ณรงค์แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นชายหนุ่มรู้เรื่องของเขา แต่พอคิดว่าภรรยาของเศรษฐีจุกคงจะเป็นคนเล่าให้ฟัง เจ้าตัวก็เลยไม่ใส่ใจอะไรนัก

   "ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกคุณ ผมก็ดูแลเพาะปลูกไปตามที่มีคนเขาแนะนำนั่นล่ะ อะไรที่ว่าดีเราก็เอามาทดลอง ถ้าได้ผลก็ทำต่อไป ไม่ได้ผลก็ปรับปรุงแก้ไขเอา จนกระทั่งมันดีขึ้นเองล่ะนะ"

   "ผมเองก็คิดเอาไว้เหมือนกันว่า จะมาลงทุนธุรกิจในไทย นี่ก็เล็ง ๆ เอาไว้เกี่ยวกับพวกพืชผักผลไม้แปรรูปเพื่อส่งออกอะไรพวกนี้ ...ผมไม่อยากเน้นพวกผลไม้หรือผักสดอะไรพวกนั้นหรอกนะครับ แต่ผมอยากลงทุนเกี่ยวกับพวกผลผลิตต่าง ๆ ในยามที่มันล้นตลาดจนราคาตกต่ำเสียจนน่าใจหายนั่นมากกว่า แทนที่บรรดาเกษตรกรจะยอมขายขาดทุนให้พ่อค้าคนกลางในราคาไม่กี่บาท สู้ให้พวกเขาเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยการขายตรงกับโรงงานแปรรูปที่รับซื้อโดยตรงจะดีกว่า...ส่วนจะแปรรูปเป็นอะไรบ้าง ผมก็คิดไว้หลายอย่างอยู่...ยังไงว่าง ๆ ผมจะมาขอคำแนะนำจากคุณน้าบ้างนะครับ"

   ณรงค์นั่งรับฟังความคิดของอีกฝ่ายอย่างสนใจ ในฐานะที่เขาเป็นเกษตรกรคนหนึ่ง ย่อมเข้าใจถึงปัญหาที่ชายหนุ่มบอกมาเป็นอย่างดี เพราะนิสัยเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ มักจะแห่กันเพาะปลูกพืชผลที่มีราคาดีตาม ๆ กัน โดยไม่ได้คำนึงถึงว่ามันจะมีผลิตผลล้นตลาด จนฉุดให้ราคาตกต่ำในอนาคตแต่อย่างใด ยิ่งถ้าใครปลูกพืชผักหรือผลไม้ชนิดเดียวทั้งหมด หากผลผลิตนั้นเกิดล้นตลาดจนราคาตก ก็แทบจะเรียกได้ว่าถึงขั้นขาดทุนสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว



   เวหาชะงักฝีเท้าอย่างประหลาดใจที่เห็นณรงค์กับรวีและเมฆานั้นพูดคุยกันด้วยท่าทางถูกคอ  เพราะณรงค์เป็นพวกไม่ค่อยชอบสนทนาเรื่องเรื่อยเปื่อยอื่น ๆ สักเท่าใดนัก จะมีก็แต่เรื่องการเกษตรนี่ล่ะที่เจ้าตัวพอจะโปรดปรานอยู่บ้าง

   "อัลบั้มมาแล้วครับ"

   "อ๊ะ...น้องฟ้า มาแล้วหรือครับ"

   รวีหันไปยิ้มกว้างให้กับเด็กหนุ่ม ซึ่งเวหาก็ชะงักแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ ส่วนณรงค์หันไปมองบุตรชายอย่างแปลกใจอีกครั้ง แต่เขาก็ตัดสินใจปล่อยให้ทั้งคู่พูดคุยรำลึกความหลัง แล้วเลี่ยงไปช่วยภรรยาในครัวแทน ทำเอามีนาสะดุ้งโหยง แล้วเริ่มลังเลว่าจะบอกบิดากับมารดาเรื่องที่รวีนั้นจงใจมาจีบพี่ชายดีหรือไม่กันแน่

   "ขอโทษนะครับคุณน้า...เอ่อ...ผมเห็นว่ายังพอจะมีเวลา เลยอยากให้น้องมีนาช่วยพาไปชมสวนผลไม้ของที่บ้านหน่อยน่ะครับ"

   เมฆาที่โผล่หน้ามาในครัว ทำเอามีนาที่เตรียมจะบอกเรื่องรวีกับบิดาและมารดาของตนชะงักนิ่ง แต่พอเด็กหนุ่มจะบอกปฏิเสธ ณรงค์ก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

   "ได้สิครับ ...มีนพาพี่เขาไปดูสวนของเราสิลูก"

   "ใช่จ้ะ ไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้แม่จัดการเอง ...เหลือแค่ตั้งเตาเคี่ยวแกงให้น้ำงวดลงอีกหน่อยก็เสร็จแล้วล่ะ"

   วารีเสริมตามมาทำเอามีนานิ่งอึ้งแต่ยังไม่ทันได้ประท้วงอะไร เมฆาก็รีบจูงมือเด็กหนุ่มไปด้วยกันกับตนทันที

   "เรารีบไปกันเถอะครับน้องมีน จะได้กลับมาทันข้าวกลางวันพอดียังไงล่ะครับ"

   เมฆาบอกพร้อมยิ้มหวาน ทำให้คนมองชะงักและขณะกำลังอึ้ง ๆ ก็ถูกจูงมือเดินไปด้วยกันเรียบร้อย ทางด้านเมฆานั้นขยิบตาให้กับรวีตอนเดินผ่านอีกฝ่าย ซึ่งรวีก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มรับนิด ๆ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับคนตรงหน้าตนอีกครั้งหนึ่ง




 
:L1:


มาถึงตรงนี้หลายคนก็คงจะรู้แล้วสินะคะว่าทำไมน้องฟ้าเขาถึงหุ่นดี แต่ถึงจะล่ำแต่น้องฟ้าก็ยังน่ารัก อ่อนหวาน แล้วยังโดนล่อด้วยขนมได้เหมือนเดิมนะเอ้อ! 555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 13-08-2014 17:08:07
โชคชะตาพรหมลิขิตบ้าบออะไรของแกฮะ อีตาพี่ซัน  :beat: :beat:
นี่มันอำนาจเงินของแกล้วนๆเลยนะเฮ้ย!
ขอโทษที่รุนแรงนะคะพอดีหมั่นไส้มาจากตอนที่แล้ว  :z6:

แหมม่ น้องฟ้า
หุ่นล่ำมาดแมนแบบนี้ เสียดายที่นิสัยน่ารักไปหน่อย(?)
น่าจะเพิ่มเลเวลความโหดขึ้นมาซัก 2-3 ระดับนะคะ
พี่ซันจะได้หงอยๆบ้าง

นิยายน่ารักมากเลยค่ะ อ่านเพลิน อ่านไปยิ้มไป
พี่ซันก็น่ารักพอๆกับน่าหมั่นไส้นั่นแหละค่ะ
น้องฟ้าก็น่ารักมากๆ คือเข้าใจอารมณ์ผู้ชายหล่อแต่ยิ้มแล้วน่ารักนะคะ
โอ๊ย คิดแล้วก็....  :-[ :-[

ไว้มาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 13-08-2014 17:35:35
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-08-2014 18:21:54
รุกหนักเลยนะสองหนุ่ม 5555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 13-08-2014 19:40:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-08-2014 20:14:59
น้องฟ้ามีที่มาของความล่ำที่น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-08-2014 20:25:48
แหม พี่ซันนี่เลื้อยได้ใจจริง ๆ เอาไปเลยเต็มสิบ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 13-08-2014 20:34:24
คุณแม่เตรียมตัวเรียกสินสอดได้เลยค่ะ

มีแววว่าลูกๆกำลังจะได้ออกเรือนในเร็วๆนี้ อิอิ

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Phoenix_SM ที่ 13-08-2014 22:46:48
ตามมาจากกิจกรรมค่ะ :katai5:
ยังคงแอบหมั่นไส้พี่ซันอยู่นิดๆ ถถถ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-08-2014 23:11:16
สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 14-08-2014 02:07:05
น้องฟ้าก็ยังคงจำพี่ซันไม่ได้อยู่ดี อิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 6) 14/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 14-08-2014 18:05:41
ตอนใหม่มาแล้วค่ะ ใครที่หมั่นไส้พี่ซัน ....เชิญตามสบายเลยค่ะ ! 555 พอดีเน้นเขียนคาแรกเตอร์ออกมาให้ช่างตื๊อ + หน้าด้านหน้าทน ชวนให้หมั่นไส้อยู่แล้วค่ะ หุ ๆ ......เรื่องนี้เน้นเวอร์ ๆ เป็นหลักค่ะ อาจจะลงเอยกันง่ายนิด ก็ถือว่าอ่านคลายเครียดนะคะ ^^




บทที่ 6



   มีนาถูกเมฆาจูงมือเดินผ่านประตูหลังบ้านออกไปทางถนนด้านหลัง ชายหนุ่มมองเห็นสะพานข้ามคลองอยู่เบื้องหน้าก็อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินตรงไป ก่อนจะชะงักเมื่อคนตัวเล็กพยายามดึงมือของตนออก แถมยังขืนตัวไม่ยอมเดินไปต่อด้วยกัน

   "อ้าว...มีอะไรหรือครับน้องมีนา หรือว่าไม่อยากพาพี่เดินเที่ยว"

   มีนามองคนพูดแล้วแยกเขี้ยวใส่อย่างไม่สบอารมณ์นัก

   "ฮึ! ก็รู้ตัวนี่...อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ว่าคุณดึงผมออกมาเพราะอยากให้เพื่อนคุณทำคะแนนกับพี่ชายของผมน่ะ! คอยดูเถอะ ผมจะบอกเรื่องนี้กับพ่อและแม่ พวกคุณจะได้เข้าใกล้พี่ฟ้าไม่ได้อีก!"

   เมฆาถอนหายใจแผ่วเบา เพราะเขาคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้ได้ จึงตัดสินใจดึงตัวมีนาออกมานี่ล่ะ

   "พี่รู้นะครับ ว่าน้องมีนาไม่อยากให้เจ้าซันมันจีบน้องฟ้า...แต่พี่ขอเตือนน้องมีนาไว้ก่อนเลยว่า อย่าได้ใช้วิธีหักดิบ ไล่เจ้าซันให้ไม่เหลือทางเลือกแบบนั้น...เพราะมันจะไม่เป็นผลดีทั้งกับตัวน้องมีนาและครอบครัวของน้องเลยนะ"

   มีนาขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอเขาจะย้อนถามกลับไป เด็กหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อเมฆาปล่อยมือออกจากข้อมือเขา แถมยังมีสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมลงจนเขาชะงัก

   "พี่เป็นเพื่อนกับซันมานานหลายปี ก็สนิทกันพอสมควร...ซันมันเป็นคนใจร้อนเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ แถมไม่เลือกวิธีการอีกต่างหาก นี่เพราะมันรักน้องฟ้ามาก และรู้ว่าน้องฟ้าเป็นคนรักครอบครัว มันก็เลยใช้วิธีแบบละมุนละม่อมอย่างที่เป็นอยู่...แต่ถ้าน้องมีนาเร่งตัดช่องทางในการจีบน้องฟ้าของมันลงแต่เนิ่น ๆ แบบนั้น  พี่ว่ามันคงเปลี่ยนไปใช้วิธีรุนแรงที่พี่เชื่อว่าน้องมีนาคงไม่อยากให้เกิดขึ้นแน่ ...พี่ไม่ได้อยากขู่นะครับ แต่น้องมีนาอย่าคิดริเล่นกับไฟดีกว่า เพื่อตัวน้องมีนาและครอบครัวของน้องมีนาเองด้วย"

   เด็กหนุ่มนิ่งเงียบรับฟังอย่างหวาดระแวง แม้จะดูเหลือเชื่อแต่สีหน้าและแววตาของเมฆาก็ดูจริงจังจนไม่เหมือนคนโกหกแต่อย่างใด

   "เชอะ! เพื่อนของคุณจะทำอะไรได้ จะฉุดพี่ผมงั้นรึ!"

   มีนาแกล้งทำเป็นประชดลองเชิง ซึ่งก็ดูเหมือนเมฆาจะอ่านสีหน้านั้นออก เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ แล้วเปรยตอบตามมา

   "ถ้าแค่ฉุดไปเฉย ๆ ก็ดีน่ะสิครับ...พี่กลัวจะ...อืม...แต่คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ถึงหมอนั่นจะเด็ดขาด แต่ก็ไม่น่าจะโหดเหี้ยมขนาดนั้น  เฮ้อ! แต่ก็ไม่แน่ พี่เองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับด้านมืดของเจ้าซันมันสักเท่าไหร่ด้วย...ยังไงหมอนั่นก็สืบสายเลือดมาจากมาเฟียตัวจริงเสียจริงนี่นา"

   มีนาเผลอกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อรู้ว่ารวีนั้นเป็นถึงลูกชายของมาเฟียเช่นนี้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงทำใจกล้า ปากดีย้อนกลับไป

   "มาเฟียนี่นะ ...ตลกตายล่ะ"

   "หึ ๆ น้องมีนาไม่อยากเชื่อก็ได้นะครับ พี่ไม่บังคับอะไร ก็แค่อยากจะเตือนด้วยความหวังดี  อ้อ! แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ หมอนั่นเป็นคนที่รักษาสัญญาเป็นอย่างดี ลองถ้าถึงที่สุดแล้ว พี่ชายของน้องมีนาไม่สนใจเขา...ซันเขาก็พร้อมจะรักษาสัญญาและยอมจากไปเองนั่นล่ะครับ"

   มีนานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเมฆาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ตน

   "มะ...มีอะไร...จู่ ๆ จะยื่นหน้าเข้ามาทำไมกัน!"

   มีนารีบถามอย่างตกใจพร้อมกับถอยหลังไปสองสามก้าว เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นยื่นหน้าเข้ามาเสียใกล้จนชวนให้หวาดเสียวเลยทีเดียว

   "ก็เห็นน้องมีนาเงียบไปเลยแปลกใจน่ะครับ เอาล่ะครับ...เราจะไปเดินชมสวนกันได้หรือยังครับ"

   เมฆาถามต่อพร้อมยิ้มหวานติดเจ้าเล่ห์ ชวนให้คนมองนึกหมั่นไส้ จึงประชดตอบกลับไปเสียงห้วน

   "ฮึ! ไปก็ได้!"

   "ถ้าอย่างนั้นขอเชิญเจ้าถิ่นนำไปได้เลยครับ"

   เมฆาแสร้งทำเป็นโค้งน้อย ๆ ให้อย่างนอบน้อม เรียกความหงุดหงิดให้กับมีนาเพิ่มขึ้น เจ้าตัวจึงเดินกระแทกเท้าหนัก ๆ นำหน้าไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก ส่วนเมฆานั้นเดินอมยิ้มตามไป ชายหนุ่มชักรู้สึกสนุกขึ้นมานิด ๆ ที่ได้แกล้งให้ใบหน้าหวานนั้นบึ้งตึงขึ้นมาได้เช่นนี้



   อีกด้านหนึ่งรวีที่อยู่ในห้องรับแขกกำลังเปิดอัลบั้มสมัยเด็กของเวหามานั่งดู แล้วพอได้เห็นเด็กหนุ่มในวัยสิบขวบ เจ้าตัวก็ตาเบิกกว้าง เพราะร่างเล็กกลมป้อมนั้นน่าจะหนักได้ถึงเกือบหกสิบกิโลได้ทีเดียว

   "โห...น่ารักจังเลยนะครับ...แต่ทำไมรูปน้องฟ้าตอนนี้ถึงไม่ค่อยมีตอนยิ้มเลยล่ะครับ"

   รวีซึ่งสังเกตดูรูปถ่ายของอีกฝ่ายในแต่ละรูป ไม่ว่าจะเป็นรูปเดี่ยวหรือรูปคู่กับคนอื่น ไม่มีรูปไหนที่อีกฝ่ายจะยิ้มให้เห็นนัก

   "เอ่อ...พอดีตอนนั้นผมไม่ค่อยชอบถ่ายรูปน่ะครับ"

   รวีขมวดคิ้วนิด ๆ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นเพราะอะไร เจ้าตัวก็ถอนหายใจแผ่วเบาตามมา

   "น่าเสียดายนะครับ เพราะสำหรับพี่แล้ว น้องฟ้าน่ารักที่สุดตอนยิ้มนี่ล่ะครับ...ไม่ว่ารูปร่างภายนอกจะเป็นแบบไหน แต่รอยยิ้มของน้องฟ้าก็ยังดูน่ารักเสมอไม่เคยเปลี่ยนอยู่ดี"

   รวีบอกจบก็ยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ แล้วหันไปสนใจรูปถ่ายของอีกฝ่ายต่อ โดยไม่ทันได้สังเกตคนที่กำลังชะงักและมีสีหน้าผิดแปลกไปชั่ววูบหนึ่งทางด้านเวหาจึงพยายามทำตัวให้เป็นปกติอีกครั้ง แม้เมื่อครู่จะเผลอหลุดใจเต้นไปบ้างก็ตาม

   "อา...หมดเสียแล้ว น่าเสียดายจัง ถ้ามีมากกว่านี้ก็ดีสินะ"

   รวีพึมพำแล้วเงยหน้ายิ้มหวานกับอีกฝ่าย

   "ไว้เราไปถ่ายกันเองหลาย ๆ รูป จะได้เอามาเพิ่มรวมในอัลบั้มนี่ดีไหมครับ"

   "เอ่อ...ถ้าแค่ถ่ายรูป ก็คงไม่เป็นไรหรอกครับ"

   เวหาบอกอึกอักอย่างลำบากใจ เมื่อเห็นดังนั้นรวีจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา

   "น้องฟ้าไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ครับ ถ้าไม่ชอบหรือไม่พอใจ จะปฏิเสธพี่มาตรง ๆ ก็ได้ครับ ไม่ต้องเกรงใจอะไรพี่นักหรอกนะ"

   "ตะ...แต่ คุณอายุมากกว่า แล้วก็เคยสนิทกันมาก...เอ่อ...ถึงผมจะจำไม่ได้ก็เถอะครับ"

   เวหาแย้งเสียงค่อย ซึ่งพอได้ยินดังนั้นคนฟังก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

   "แต่พี่อยากให้น้องฟ้าเป็นกันเอง และคุ้นเคยกับพี่เหมือนตอนเด็ก ๆ มากกว่า...ตอนเด็ก ๆ น้องฟ้าน่ารักและซื่อตรงกับตัวเองมาก ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ... ไหน ๆ น้องฟ้าก็อุตส่าห์ให้โอกาสรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างเราแล้วทั้งที พี่ก็ขอโลภมากอีกนิด...พี่อยากขอให้น้องฟ้าทำตัวตามสบายกว่านี้ ...จะได้ไหมครับ"

   เวหานิ่งอึ้งและเงียบไปสักพัก ก่อนจะมีรอยยิ้มน้อย ๆ ตามมา พร้อมกับอาการพยักหน้าตอบรับ

   "ครับ...ไว้ผมจะลองดู"

   รวียิ้มตอบอย่างพึงพอใจ พวกเขานั่งคุยกันสักพักใหญ่ วารีก็เรียกเวหาให้มาช่วยยกกับข้าวขึ้นโต๊ะ ซึ่งรวีก็รีบอาสาไปช่วย และเมื่ออาหารเตรียมขึ้นโต๊ะเรียบร้อยพร้อมทาน พวกมีนาและเมฆาก็ตามมาสมทบพอดี

   "ว้าว! กับข้าวน่าทานจังเลยครับ อาหารไทยนี่ล่ะดีที่สุด กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ!"

   เมฆาอุทานขึ้นเมื่อได้เห็นอาหารบนโต๊ะ ซึ่งก็ทำให้วารียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามมา

   "ดีใจนะจ๊ะที่ชอบ อ้อ! แกงพะแนงหมูถ้วยนี้ มีนเขาปรุงเองเลยนะ ซันกับเมฆลองชิมดูสิจ๊ะ ว่าจะถูกปากไหม"

   วารีเชื้อเชิญแขกทั้งสองให้ลองตักชิมหลังจากที่พวกเขานั่งร่วมโต๊ะกันเรียบร้อย ซึ่งทั้งคู่ก็ต่างตักชิมกันคนละคำ และหลังจากกินเสร็จ เมฆาก็หันไปทางวารีทันที

   "คุณน้าคิดสินสอดเท่าไหร่สำหรับลูกชายคนเล็กครับ...ผมจะได้บอกผู้ใหญ่ทางฝั่งผมให้เตรียมไว้ให้เรียบร้อย"

   ทั้งโต๊ะเงียบกริบไปชั่วขณะ ก่อนที่วารีจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่วนณรงค์นั้นอมยิ้มน้อย ๆ ทางด้านเวหาพอเห็นบิดามารดาหัวเราะเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมรวี หากแต่เวหานั้นเป็นการถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่วนรวีถอนหายใจด้วยความเอือมระอาแทน ทั้งหมดแทบไม่มีใครถือสาเอาความเรื่องที่เมฆาพูด ยกเว้นมีนาที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงด้วยความโมโหที่ถูกล้อเลียนเอาเช่นนี้

   "แหม! ตาเมฆ ทำสีหน้าจริงจังเสียจนน้านึกว่าจะมาขอตามีนไป จริง ๆ เสียอีก...รายนี้ยังให้ไม่ได้หรอกจ้ะ ต้องให้เรียนจบก่อน ถึงตอนนั้นถ้ายังไม่เปลี่ยนใจค่อยมาตกลงกันใหม่ก็แล้วกันนะจ๊ะ"

   "แม่ครับ!!"

   มีนาโพล่งใส่มารดาที่ทำเป็นพูดเล่นอย่างโมโหปนอาย ส่วนณรงค์นั้นสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา ต่อความร่าเริงของภรรยา ที่มักจะหาเรื่องชอบแกล้งแหย่ลูกรักของเจ้าหล่อนเล่นเช่นนี้เสมอ

   "พอได้ยินน้าวารีพูดแบบนี้ ทำให้ผมอดนึกถึงสัญญาของพวกเราเมื่อก่อนไม่ได้เลยนะครับ...ไม่ทราบว่าน้าวารีจะลืมไปหรือยัง..."

   จู่ ๆ รวีก็เอ่ยขัดการสนทนาของทุกคนขึ้น ทำเอาทั้งโต๊ะเงียบกริบอีกครั้ง ทางด้านวารีครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วจึงย้อนถามกลับไปอย่างสงสัย

   "เอ...สัญญาอะไรหรือจ๊ะ...ซันบอกน้าได้ไหม เผื่อน้าจะพอจำได้บ้าง"

   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจำไม่ได้จริง รวีก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา

   "ถ้าน้าวารีจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ...จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรมากนัก...อ๊ะ! ทานข้าวกันดีกว่าครับ เดี๋ยวแกงเย็นหมด"

   ชายหนุ่มตัดบทแล้วตักอาหารกินต่อ และนั่นจึงทำให้ทั้งโต๊ะหันมาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าอีกครั้ง แม้จะยังคงสงสัยในสิ่งที่รวีพูดทิ้งไว้ก่อนหน้านั้นอยู่ก็ตาม

   หลังจากมื้ออาหารที่แสนอร่อยผ่านพ้นกันอย่างอิ่มหนำสำราญถ้วนหน้าไปแล้ว พวกวารีกับเมฆาก็อาสาช่วยเก็บล้างจานเพื่อขอบคุณที่เลี้ยงอาหาร หากแต่วารีก็บอกปฏิเสธไป เพราะทั้งคู่นั้นเป็นแขกของบ้าน มีนาจึงอาสาไปช่วยมารดาเก็บล้างแทน ส่วนเวหาก็รับหน้าที่เป็นเพื่อนคุยของทั้งคู่ เพราะณรงค์นั้นขอตัวไปดูแลสวนผลไม้ต่อนั่นเอง

   "แม่ไปสัญญาอะไรไว้กับผู้ชายคนนั้นหรือครับ"

   มีนาถามมารดาระหว่างช่วยเก็บล้างจานด้วยความสงสัยที่ยังคงไม่จางหาย ซึ่งพอได้ยินดังนั้นวารีก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา

   "แม่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน  เอ...แต่พี่ซันเขาพูดขึ้นมาตอนแม่กำลังแซวเรื่องลูกกับพี่เมฆเขาอยู่สินะ..."

   มีนานิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์อีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องที่มารดาแหย่ตน แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร วารีก็พลันชะงัก พลางนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะพึมพำบางอย่างตามมา

   "หรือว่าจะเป็นเรื่องนั้น...บ้าน่า...เด็กคนนี้ยังคิดแบบเดิมอยู่อีกหรือ..."

   พูดแค่นั้นหญิงสาวก็ทิ้งจานที่กำลังล้างอยู่ไว้ในอ่างน้ำ แล้วก้าวเดิน ฉับ ๆ ออกไปยังห้องรับแขก ทำให้มีนาที่กำลังช่วยมารดาล้างจาน ต้องรีบปิดน้ำจากก๊อกน้ำ พลางเดินตามไปอย่างงุนงง

   "อ้าว...คุณน้ามีอะไรหรือครับ"

   รวีที่หันมาเห็นอีกฝ่ายเดินมาเอ่ยทัก ซึ่งก็ทำให้เวหาและเมฆามองตามมาเป็นตาเดียว

   "มีอะไรหรือครับแม่ ทำไมทำหน้าเครียดจัง"

   เวหาถามมารดาอย่างประหลาดใจ ซึ่งวารีก็ยืนตั้งสติเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่าย อันเป็นเวลาเดียวกับที่มีนาตามมารดามาทันพอดี

   "เอ่อ...สิ่งที่น้าจะถามต่อไปนี่ ถ้าน้าพูดอะไรผิดไป ซันก็ทักท้วงได้เลยนะ..."

   รวีขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้และรอในสิ่งที่หญิงสาวจะบอก

   "คือ...ที่ซันบอกว่าน้ากับซันเคยสัญญาอะไรบางอย่างเอาไว้...นั่นใช่สัญญาที่น้าเคยบอกว่าจะยกตาฟ้าให้เป็นเจ้าสาวของซัน...ถ้าซันบรรลุนิติภาวะแล้ว และยังชอบตาฟ้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน...ใช่หรือเปล่าจ๊ะ"

   พอขาดคำของวารี มีนา เวหา หรือแม้กระทั่งเมฆาเองก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน ยกเว้นรวีที่ชะงักไปชั่วครู่ หากแต่สักพักก็มีรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏที่ริมฝีปากได้รูปนั่น

   "แหม! ผมก็นึกว่าคุณน้าจะจำไม่ได้แล้วเสียอีก ดีจริง ๆ นะครับ ที่คุณน้าไม่ใช่ผู้ใหญ่ประเภทที่พูดหลอกให้ความหวังเด็กไปวัน ๆ แบบนั้น"

   วารีกลืนน้ำลายในลำคอต่อคำพูดที่แสนจะแทงใจดำนั่น สิ่งที่เธอภาวนาให้เธอจำผิด กลับเป็นความจริงที่เคยเกิดขึ้นทุกประการ ทั้งนี้ที่เคยให้สัญญาไป ก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะหลงรักลูกชายของตนได้อย่างจริงจังมาเนิ่นนานเช่นนี้นั่นเอง

   "นี่แสดงว่าซันยังชอบฟ้าเขาอยู่อีกหรือจ๊ะ"

   วารีลองหยั่งเชิงถามต่อ ซึ่งรวีก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร เพราะยังไงเขาก็ต้องการบอกให้บิดาและมารดาของเวหารับรู้ไว้ในที่สุดอยู่แล้ว

   "ใช่ครับ...แล้วผมก็ขออนุญาตน้องฟ้าเขาแล้วด้วย น้องเขายอมให้โอกาสผมจีบเขา ผมก็เลยตัดสินใจเลือกจีบแบบเข้าตามตรอก ออกตามประตูแบบนี้ล่ะครับ"

   วารีหันไปมองลูกชายคนโตของเธอด้วยสายตาตกตะลึง ทำเอาเวหาต้องรีบหลบตาทันควัน

   "หึ ๆ คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมเข้าใจดี ถึงน้องฟ้าเขาจะยอมให้โอกาสผมจีบเขาก็ตาม แต่ก็เพราะความสงสารนั่นล่ะครับ อีกอย่างก็ใช่ว่าเขาจะยอมรับรักผมง่าย ๆ หรอกนะครับ และท้ายที่สุดก็ต้องขึ้นอยู่กับความรู้สึกของน้องฟ้าด้วย... ถ้าน้องฟ้ายอมรับรักผมไม่ได้จริง ๆ ผมก็จะตัดใจเองครับ"

   วารีหันมามองชายหนุ่มลูกครึ่งนิ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา

   "น้าดีใจนะที่ซันคิดถึงความรู้สึกของฟ้าด้วย  น้าเองสมัยก่อนก็พูดจาไม่รู้จักคิดไปหน่อย  ไม่นึกเลยว่าซันจะจริงจังกับฟ้ามาจนถึงป่านนี้ เอาเถอะ ลองซันรักของซันมานานตั้งหลายปี แถมน้าก็เคยรับปากไว้ด้วย ดังนั้นน้าก็จะไม่ขวางเรื่องนี้ก็แล้วกัน ...ขออย่างเดียวอย่าฝืนใจบังคับน้องก็พอ สัญญากับน้าได้ไหมจ๊ะ"

   วารีบอกพลางจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังกว่าเดิม ซึ่งรวีเองก็ยิ้มตอบรับพร้อมกับพยักหน้าแล้วจ้องอีกฝ่ายตอบอย่างไม่คิดหลบตา

   "ได้ครับ...ผมให้สัญญา ผมจะไม่ทำอะไรที่เป็นการบังคับฝืนใจน้องฟ้าเด็ดขาด"

   วารีถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าหล่อนยังคงล้างจานค้างอยู่ จึงรีบขอตัวกลับไปทำงานต่อ ส่วนมีนานั้นลังเลระหว่างจะอยู่ขัดขวางไม่ให้รวีจีบพี่ชายหรือช่วยงานมารดาดี  เห็นดังนั้นเมฆาจึงอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจูงมือร่างเล็กให้เข้าไปในครัวด้วยกันแทน โดยแลกกับการจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่ตนรู้ของเพื่อนสนิทให้ฟัง จึงทำให้สองแม่ลูกยอมให้ชายหนุ่มอยู่ช่วยงานในครัวด้วยกันแต่โดยดี

   อีกด้านหนึ่ง เวหาที่อยู่กันตามลำพังกับรวี รู้สึกวางตัวลำบากขึ้นมากกว่าเดิม เนื่องจากเขาไม่คิดว่ามารดาจะเคยตกปากสัญญากับอีกฝ่ายเช่นเดียวกับตนสมัยเด็ก แถมตอนนี้มารดายังเปิดไฟเขียวยอมให้รวีจีบเขาตามสบายโดยไม่คิดขัดขวางอีกต่างหาก

   "น้องฟ้าครับ พี่บอกแล้วไงครับว่าน้องฟ้าไม่ต้องกังวล ไม่ต้องลำบากใจ  น้องฟ้าก็ทำตัวแบบเดิม ๆ นี่ล่ะครับ พี่เองก็ใช่ว่าจะเร่งรัดฟังคำตอบจากน้องฟ้าเสียตอนนี้เมื่อไหร่  ระยะนี้ก็ให้น้องฟ้าถือเสียว่าเราคบกันแบบพี่ ๆ น้อง ๆ ไปก่อนก็ได้นะครับ"

   เวหาเงยหน้าสบตาคนที่หลงรักตนด้วยสายตาประหลาดใจนิด ๆ และนั่นทำให้คนมองอมยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู

   "ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ พี่พูดจริง ๆ ...พี่รอมาแล้วสิบห้าปี รออีกนิดหน่อยทำไมจะไม่ได้ แค่น้องฟ้าไม่รังเกียจพี่ เท่านี้พี่ก็ดีใจมากแล้วล่ะครับ"

   เวหาสะดุ้งนิด ๆ ที่อีกฝ่ายคาดเดาความคิดของเขาได้ แถมท่าทางอ่อนโยนและรอยยิ้มใจดีนั่น ก็ทำให้เขาเริ่มคิดว่า หากอีกฝ่ายไม่ได้หลงรักเขา เด็กหนุ่มก็คงพร้อมที่จะยินดีต้อนรับรวีเป็นเสมือนพี่ชายของตนคนหนึ่งได้โดยไม่ยากนัก

   "พี่ซัน... ขอบคุณนะครับ ที่เข้าใจผม"

   รวีชะงักกึก เมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นของตนพร้อมมีรอยยิ้มเอียงอาย นิด ๆ ให้ได้เห็น เขาอยากจะจับมือของเด็กหนุ่มขึ้นจูบหรือแม้แต่ดึงร่างนั้นมากอด แต่ขืนทำแบบนั้นตอนนี้ มีหวังคงโดนเวหาเหินห่างกว่าเดิมเป็นแน่

   "เอ่อ...อืม...ถ้าอย่างนั้นวันนี้พี่ขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะครับ ว่าจะไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์มาเข้าบ้านด้วยน่ะครับ"

   เวหาพยักหน้ารับรู้แล้วยิ้มให้อีก ซึ่งก็ทำให้คนมองใจเต้นแรงมากขึ้นและเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ จึงจำต้องหาเรื่องเลี่ยงให้พ้นคนตรงหน้าให้เร็วที่สุด ก่อนจะเผลอลืมตัวทำอะไรแปลก ๆ ออกไปจนได้

   "งั้นเดี๋ยวพี่ไปลาคุณน้าวารีก่อนแล้วกันนะครับ"

   บอกจบรวีก็จ้ำพรวดเข้าไปในครัว ซึ่งเขาก็ได้เห็นสองแม่ลูกกำลังนั่งฟังเพื่อนของเขา นินทาเรื่องเขาสมัยเรียนอย่างสนุกสนานกันอยู่เลยทีเดียว

   "อะแฮ่ม! เมฆ! กลับกันได้แล้ว เดี๋ยวต้องไปซื้อของต่ออีก...เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับคุณน้า ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ด้วยนะครับ อาหารอร่อยทุกอย่างเลยครับ"

   "เอ๋...จะกลับแล้วหรือจ๊ะ น้านึกว่าซันจะอยู่คุยกับฟ้าเขาอีกนาน ๆ สักหน่อย"

   วารีถามอย่างแปลกใจ แต่นั่นก็ทำให้เวหาที่เดินตามมาและมีนาหันไปมองมารดาของตนตาปริบ ๆ เลยทีเดียว

   "อยากอยู่คุยนานกว่านี้เหมือนกันล่ะครับ แต่พอดีต้องไปเลือกซื้อของอีกนาน...ยังไงผมฝากลาคุณน้าณรงค์ด้วยนะครับ ไว้ว่าง ๆ ผมจะแวะมาเยี่ยมอีก"

   รวียกมือไหว้อำลาหญิงสาว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกมือรับไหว้ จากนั้นรวีก็หันไปทางมีนาและเวหาบ้าง

   "พี่ไปแล้วนะครับ น้องฟ้า น้องมีน"

   สองพี่น้องยกมือไหว้อีกฝ่ายที่อายุมากกว่าตามมารยาท ซึ่งก็ทำให้เมฆาที่ลอบมองอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของคนน้องที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ยกมือไหว้แบบขอไปทีหรือไหว้ประชดเพื่อนเขาให้เห็นแต่อย่างใด ประกอบกับที่ได้พูดคุยกันระหว่างเดินเล่นที่สวนก่อนหน้านั้น ก็ทำให้เมฆายิ่งมั่นใจว่ามีนานั้นเป็นเด็กดีคบหาง่ายคนหนึ่ง

   "เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่ประตูนะครับ"

   เวหาอาสาตามไปส่งชายหนุ่มทั้งคู่ ซึ่งก็ทำให้มีนาตาเบิกกว้างใส่พี่ชาย แล้วจึงรีบโพล่งตามมา

   "ถ้าอย่างนั้นผมก็ไปด้วยคน!"

   เวหามองน้องชายแล้วลอบถอนหายใจ เขาเชื่อเลยว่าหลังจากที่รวีกับเมฆากลับไปแล้ว เขาคงได้โดนมีนาบ่นใส่อีกมากมายตามมาหลังจากนี้เป็นแน่

   

   หลังออกจากบ้านของเวหามาแล้ว เมฆาก็สังเกตเห็นเพื่อนของตนลอบหายใจอย่างโล่งอก ทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัยเป็นยิ่งนัก

   "อะไรของนาย ได้มีโอกาสอยู่กันตามลำพังแท้ ๆ แถมแม่เขาก็เปิดไฟเขียวขนาดนี้ แต่ไหงถึงรีบชิ่งนักล่ะ"

   เมฆาถามเพื่อนออกไปตามตรง ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะทำหน้ายุ่งใส่เพื่อนสนิท

   "ก็ขืนไม่รีบชิ่ง ก็มีหวังได้เผลอปล้ำน้องเขาเข้าให้สิวะ! เด็กอะไรไม่รู้ น่ารักน่ากอดชะมัด ยิ่งเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวยิ้มให้แบบนั้น ทำเอาฉันแทบคุมตัวเองไม่อยู่เลยว่ะ!"

   เมฆานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจตามมาเช่นเดียวกัน

   "เฮ้อ...นายนี่มันเข้าขั้นยากจะเยียวยาแล้วว่ะซันเอ๋ย...โรคจิตของแท้เลยนะนายน่ะ"

   "เขาเรียกว่าคลั่งรักโว้ย ไม่ใช่โรคจิต!"

   รวีเถียงกลับ แต่นั่นทำให้คนฟังนิ่วหน้า แยกไม่ค่อยออกว่าระหว่างโรคจิตหรือคลั่งรัก แบบไหนมันจะฟังดูดีกว่ากัน

   "เออ ๆ คลั่งรักก็คลั่งรัก...ไปซื้อของกันเถอะว่ะ เดี๋ยวคืนนี้จะได้นอนที่บ้านใหม่กันเลย ไม่ต้องพึ่งโรงแรม"

   เมฆาตัดบทอย่างเอือมระอา ซึ่งก็ทำให้คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยักไหล่ แล้วเดินตรงไปที่รถยนต์ส่วนตัวอย่างเห็นดีด้วย เพราะทั้งเขาและเมฆาเป็นพวกช่างเลือก และคงต้องใช้เวลาเลือกสรรซื้อหาเฟอร์นิเจอร์ให้ถูกใจพวกตน อีกสักพักใหญ่ ๆ กันเลยทีเดียว



.... TBC ....
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 14-08-2014 18:37:13
น้องฟ้าตกทีนั่งลำบากซะแล้ว  :katai3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 14-08-2014 20:02:02
สนุกอ่าๆๆๆๆ ชอบคู่น้องมีน 5555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 5) 13/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 15-08-2014 00:16:57
 o13
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 15-08-2014 13:42:22
* เกือบจะลงตอนซ้ำเสียแล้วสิคะ ดันลืมแก้ชื่อหัวตอน ^^"





บทที่ 7



   หลังจากที่พวกรวีและเมฆากลับไปได้สักพัก  ณ บริเวณศาลาพักผ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ คนที่นั่งอยู่ในนั้นกำลังนั่งนิ่งเงียบกริบ เมื่อเห็นน้องชายของตนซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามทำหน้าบึ้งใส่

   "พี่ฟ้า!  รู้ไหมว่าทำไมมีนถึงโมโหน่ะ!"

   มีนาเริ่มต้นพูดขึ้นก่อน ซึ่งคนฟังก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบกลับไปเสียงอ่อย

   "พี่รู้...แต่พี่ซันเขาก็น่าสงสารไม่ใช่หรือ อีกอย่างเขาก็ให้เกียรติพี่ดี ยอมให้พี่เป็นคนตัดสินใจเองด้วยนะ"

   มีนาตาเบิกกว้าง แล้วรีบโพล่งย้อนกลับไปอย่างหงุดหงิด

   "พี่ฟ้า! อย่าบอกนะว่าแค่นี้ก็ใจอ่อนแล้ว! ให้ตายเถอะ! ทำไมพี่ถึงเป็นคนแบบนี้นะ!"

   "มีนล่ะก็...พี่ยังไม่ได้ใจอ่อนสักหน่อย แค่อยากจะบอกว่าพี่ซันเขาก็เป็นคนดีน่าคบหาเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นเอง"

   เวหาแย้งกลับ แต่เท่าที่ฟังดู มีนาก็พอจะคาดเดาความรู้สึกของพี่ชายได้บ้างแล้วว่า คงจะเริ่มใจอ่อนต่อรวีเข้าบ้างให้แล้ว

   "บ้าจริง! ช่วงนี้ไม่น่าปิดเทอมเลย ไม่อย่างนั้นหมอนั่นก็คงมาหาพี่ทุกวันแบบนี้ไม่ได้หรอก!"

   มีนาบ่นพาลไปถึงเรื่องเรียนทำให้คนมองถอนหายใจเบา ๆ

   "มีนล่ะก็ ถึงเขาจะตื๊อยังไง แต่ถ้าพี่ไม่ตกลง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมล่ะ"

   "มันจะมีปัญหา ก็เพราะมีนกลัวพี่ตอบตกลงนี่ล่ะ!"

   มีนาประชดใส่ ก่อนจะเอ่ยต่อ

   "พี่ฟ้ารู้ไหมว่าพี่ซันของพี่น่ะ พ่อของเขาเป็นมาเฟียนะ พี่อยากไปเป็นสะใภ้มาเฟียหรือไง!"

   เวหาขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วจึงย้อนถามกลับไป

   "มาเฟีย? แล้วมีนรู้ได้ไงว่าพ่อของพี่ซันเขาเป็นมาเฟียน่ะ"

   มีนาชะงัก ก่อนจะบอกออกไปตามตรง

   "ก็หมอนั่น...เอ่อ..พี่เมฆนั่นเล่าให้ผมฟังยังไงล่ะ!"

   เวหาขมวดคิ้วยุ่งมากขึ้นไปอีก

   "แล้วพี่เมฆเขาจะเล่าเรื่องนี้ให้มีนฟังทำไมกัน เรื่องนั้นมันจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์เพื่อนของเขาดูไม่ดียิ่งขึ้นไปอีกไม่ใช่หรือ"

   มีนาสะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงบอกออกไปตามตรง

   "ก็ผมคิดจะเอาเรื่องที่หมอนั่นจีบพี่ฟ้าไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง อีตาพี่เมฆนั่นก็เลยขู่ผมไง"

   เวหารับฟังแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยพึมพำตามมา

   "แต่ที่พี่เห็น พี่ซันเขาก็ไม่มีท่าทีข่มขู่อะไรพี่เลยนะ มีนคิดมากไปเองมากกว่า หรือไม่บางทีพี่เมฆเขาก็อยากแกล้งหลอกมีน ให้มีนกลัวไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ก็ได้ แต่มาถึงตอนนี้บอกไม่บอกก็ไม่ต่างกันแล้วนี่นะ"

   "เชอะ! ก็ใช่น่ะสิ แม่นะแม่ ดันเห็นดีเห็นงามอนุญาตให้ผู้ชายมาจีบลูกชายของตัวเองซะงั้น! นี่เดี๋ยวก็คงพูดกล่อมให้พ่อยอมรับอีกคนแน่ พ่อยิ่งยอมฟังแม่ทุกเรื่องอยู่ด้วย"

   มีนาบ่นอุบ ซึ่งก็ทำให้เวหาสั่นศีรษะไปมาเบา ๆ

   "ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง หรือว่ามีนอยากให้พ่อแม่ทะเลาะกัน"

   มีนาเม้มปากน้อย ๆ ทำหน้ายุ่ง แล้วบ่นใส่

   "ฮึ! ถ้าพี่ฟ้าว่าดีก็คงดีนั่นล่ะ! มันเรื่องของพี่ฟ้านี่ ไม่ใช่เรื่องของมีนสักหน่อย!"

   เวหาถอนหายใจอีกครั้ง แล้วจึงลูบศีรษะของน้องชายอย่างเอ็นดู

   "ไม่เอาน่า อย่างอนสิ  พี่รู้หรอกน่าว่ามีนห่วงพี่ แต่พี่ไม่อยากให้มีนต้องมาคอยเครียดเรื่องพี่แบบนี้  อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะมีน คนเราถ้าเป็นเนื้อคู่กัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคยังไงก็ย่อมได้อยู่เคียงคู่ กลับกันถ้าไม่ใช่ ต่อให้มีคนอุ้มสมช่วยเหลือเปิดทางให้คู่กันขนาดไหน มันก็ไม่มีทางจะคู่กันไปได้หรอกนะ"

   มีนารับฟังคำพูดของพี่ชายก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมาอย่างนึกปลง

   "ก็คงถูกของพี่ฟ้านั่นล่ะ เอาเหอะ! มีนไม่อยากจะคิดมากเรื่องนี้เท่าไหร่แล้ว ขึ้นอยู่กับพี่ฟ้าแล้วกัน  อืม...มีพี่เขยเป็นมาเฟียก็คงเข้าท่าดีล่ะมั้ง  อ๊ะ! ไม่สิ มีนไม่อยากให้พี่ฟ้าแต่งออกนอกบ้านไปแบบนั้น  เอาเป็นว่าถ้าพี่ฟ้ายอมรับเขาเป็นแฟนเมื่อไหร่ ก็บอกให้หมอนั่นแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ฝั่งเราแทนดีกว่า หุ่นอย่างพี่ฟ้ากดหมอนั่นได้สบาย ๆ อยู่แล้ว  ฮ่า ๆ"

   มีนาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแทน แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดนั้น กลับทำให้คนฟังหน้าแดง แล้วจึงตวาดใส่น้องชายลั่นเพื่อแก้เขิน

   "เดี๋ยวเถอะมีน! พูดอะไรของเราเนี่ย! พี่ยังไม่ได้ไปตกปากรับคำกับพี่ซันเขาสักหน่อย!  ฮึ! คอยดูนะ การบ้านปิดเทอมของมีน พี่จะปล่อยให้มีนทำเองทั้งหมดให้เข็ด!"

   "เอ๋! อะไรกัน! เรื่องการบ้านของมีนมาเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย! ไม่นะพี่ฟ้า ถ้าพี่ฟ้าไม่ช่วยสอนเลขล่ะก็ มีนคงทำเองไม่รอดแน่อะ!"

   มีนาโวยวายตอบ แต่เวหานั้นงอนที่ถูกน้องชายล้อเลียนเข้าให้แล้ว ทำให้มีนาต้องตามง้อยกใหญ่ และลงท้ายเด็กหนุ่มก็ต้องสัญญาว่า จะทำขนมหวานที่เวหานั้นชอบให้กิน ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายเริ่มมีรอยยิ้มและยอมยกโทษให้น้องชายในที่สุด

   

   หลังจากใช้เวลาพักใหญ่ ๆ เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกใจได้แล้ว  รวีก็สั่งให้ทางร้านมาจัดส่งให้ด่วน ซึ่งก็ไม่เสียแรงที่ชายหนุ่มเลือกซื้อจากร้านราคาแพง ที่คนแถวนั้นไม่กล้าเฉียดเข้าไป  สินค้าทุกชิ้นจึงมีจัดพร้อมส่งไม่ให้ลูกค้าต้องเสียอารมณ์รออย่างที่ควรจะเป็น

   "ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยเป็นธุระให้"

   รวีบอกกับคนส่งของจากทางร้านพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบพร้อมยกมือไหว้ก้มหัวปลก ๆ ขอบคุณ ยามเมื่อแบงค์พันจากมือของอีกฝ่ายยื่นส่งให้กับพวกตนคนละใบเช่นนี้

   "ทิปหนักจังเลยน้า รู้งี้ฉันไปลงทุนช่วยเขาขนของอีกคนก็ดีเนาะ"

   เมฆาเอ่ยแซวเพื่อน หลังจากที่คนส่งของจากทางร้านเฟอร์นิเจอร์กลับไปหมดแล้ว

   "หึ! ก็เขาอดทนต่อความจู้จี้ของฉันกับนายได้เป็นอย่างดี ก็ต้องทิปให้สักหน่อยสิ"

   เมฆารับฟังเพื่อนบอกแล้วก็หัวเราะในลำคอตามมา เพราะก็จริงอย่างที่รวีบอก พวกเขาต้องใช้เวลาถึงเกือบสองชั่วโมง ในการขนย้ายของและจัดของให้เข้าที่เข้าทางแบบนี้

   "แต่ก็ค่อนข้างถูกใจฉันมากอยู่นะ  อืม...แล้วข้าวเย็นพวกเราเอาไงดี ไปขอบ้านน้องฟ้ากินอีกดีไหม"

   ท้ายประโยครวีนั้นหันไปถามเพื่อนสนิท ซึ่งเมฆาก็ถอนหายใจตามมา

   "เฮ้อ! อย่าเลยน่าซัน...เราเพิ่งจะไปกันเมื่อตอนกลางวันเองนะ ฉันว่าน้องฟ้าเขาคงยังไม่ลืมหน้านายหรอก"

   รวีหันไปมองเพื่อนของตนตาปริบ ๆ ก่อนจะทำเสียงในลำคอเบา ๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก

   "ฮึ! คนรักกันก็อยากเห็นหน้ากันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทั้งนั้นล่ะ คนไม่เคยมีความรักอย่างนายไม่รู้หรอกน่า!"

   เมฆาเหลือบมองเพื่อนอย่างเอือมระอา แต่ก็ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงอีกฝ่าย จึงได้เปลี่ยนเรื่องสนทนาแทน

   "แล้วเรื่องของกินจะเอายังไง ถ้าจะไปเบียดเบียนบ้านน้องฟ้าทุกมื้อแบบนั้น ฉันว่ามันก็น่าเกลียดนา  อืม...แต่ฉันกับนายก็ไร้ฝีมือทำกับข้าวทั้งคู่   เอ...หรือว่าจะจ้างแม่บ้านมาชั่วคราวดี"

   เมฆาถามเพื่อนของตน ซึ่งรวีก็ขมวดคิ้วยุ่ง ทว่ายังไม่ทันตอบอะไร เสียงกดกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ทำให้สองหนุ่มชะโงกหน้าออกไปดูผ่านหน้าต่างห้อง และพอเห็นว่าเป็นใคร รวีก็แทบจะรีบวิ่งลงจากเรือนมาหาคนด้านล่างทันที

   "น้องฟ้า! มีอะไรหรือครับ ถึงมาหาพี่แบบนี้!"

   รวีถามด้วยใบหน้าตื่นเต้นยินดี เสียจนคนมองตอบรู้สึกเขินนิด ๆ ส่วนคนที่มาเป็นเพื่อนเหลือบมองอย่างนึกหมั่นไส้ ก่อนจะกระแอมเบา ๆ ขัด

   "อะแฮ่ม! มากันสองคนแต่ทักคนเดียวแบบนี้นี่จงใจหรือเปล่าครับ!"

   รวีชะงักก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็กแล้วยิ้มให้

   "อ้อ! ขอโทษทีครับน้องมีน  พอดีพี่ดีใจที่ได้เห็นน้องฟ้า เสียจนลืมมองรอบข้างเลยล่ะครับ"

   คำพูดที่แสนจะจริงใจทำให้มีนาทำเสียงพึมพำบ่นอุบอิบ ส่วนเวหารู้สึกอายเพิ่มขึ้นจนใบหน้าเริ่มมีสีเรื่อขึ้นมาน้อย ๆ 

   "เหอะ ๆ อย่ามัวยืนจีบกันหน้าบ้านอยู่เลย เดี๋ยวก็ได้กลายเป็นเป้าสายตาชาวบ้านหรอกครับพวกคุณ"

   เมฆาแกล้งกระเซ้า ทำให้เวหากับมีนาชะงัก จากนั้นมีนาก็รีบจูงมือพี่ชายเข้ามาในเขตบ้านเพื่อป้องกันข่าวลือแปลก ๆ จากเพื่อนบ้านละแวกนี้ทันที

   "พวกพี่เพิ่งลงเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เสร็จน่ะ พวกน้องฟ้ากับน้องมีนอยากเดินชมบ้านด้วยกันไหมครับ"

   รวีถามเด็กหนุ่มทั้งสอง ทางด้านมีนานั้นแม้จะอยากชมรอบบ้านหลังนี้ที่เขาคุ้นเคยมานาน แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้ามาก็จริง ทว่าเขาก็ไม่อยากให้เวหาอยู่ใกล้รวีมากไปกว่านี้นัก เพราะแม้เวหาจะเคยบอกเขาว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดก็ตาม แต่ถ้าเขาป้องกันเอาไว้บ้าง บางทีไอ้ที่ควรจะเกิดก็อาจจะไม่เกิดจริงก็เป็นได้

   "ไม่ล่ะครับ พวกเราแค่มาเพราะแม่สั่งให้มาก็แค่นั้น"

   พอได้ยินดังนั้น ก็ทำให้รวีกับเมฆามองมีนาอย่างประหลาดใจ

   "คุณน้าวารีสั่งมา?"

   "ครับ...แม่เห็นพวกคุณเพิ่งย้ายมาอยู่วันนี้ อาจจะลำบากเรื่องอาหารการกินในวันแรก ๆ เลยมาชวนคุณไปกินข้าวเย็นด้วยกันน่ะครับ"

   เวหาเป็นฝ่ายอธิบายให้ทั้งคู่ฟัง ซึ่งพอได้รับฟังก็ทำให้รวีกับเมฆารู้สึกซาบซึ้งในความมีน้ำใจของหญิงสาวยิ่งนัก

   "ขอบคุณนะครับ แต่จะไม่เป็นการรบกวนทางบ้านน้องฟ้ามากไปหรือครับ"

   รวีบอกด้วยสีหน้าเกรงใจ ทำเอาเมฆาจ้องมองเพื่อนตาปริบ ๆ เพราะอีกฝ่ายเพิ่งจะบอกเขาก่อนหน้านั้นให้ไปขอข้าวบ้านเวหากินอยู่หยก ๆ

   "ไม่หรอกครับ แม่บอกว่าพวกคุณ...เอ่อ...พวกพี่ซันกินง่ายกว่าที่คิด ดังนั้นก็เลี้ยงได้สบาย ๆ อยู่แล้ว"

   รวียิ้มกว้างตอบรับ เพราะอีกฝ่ายนั้นยอมเรียกเขาว่าพี่อย่างที่เขาอยากได้ยินอีกครั้งหนึ่ง

   "ใช่! ทอดไข่เจียวแจกโปะข้าวคนละฟอง แค่นั้นก็น่าจะพออิ่มแล้วล่ะ!"

   มีนาเอ่ยประชดขัดขึ้น ทำให้เวหาลอบถอนหายใจเบา ๆ

   "ไข่เจียวหรือ ก็ดีนะครับ ถ้าเป็นไข่ที่น้องมีนทอดคงอร่อยน่าดู"

   เมฆาแทรกขัดขึ้นบ้าง ทำให้คนตัวเล็กหันขวับมามองแล้วจ้องตาดุถลึงใส่ แต่ก็แลดูน่ารักเสียจนชายหนุ่มนึกขำ

   "ถ้าอย่างนั้นมื้อนี้ก็คงต้องขอรบกวนน้องฟ้าอีกมื้อนะครับ...อ้อ ขอฝากท้องอีกมื้อนะครับน้องมีน"

   รวีหันไปบอกมีนาท้ายประโยค ซึ่งอีกฝ่ายก็ค้อนนิด ๆ ให้อย่างนึกหมั่นไส้ แต่ก็จำต้องพาชายหนุ่มทั้งสองไปร่วมอาหารมื้อเย็นตามคำสั่งของมารดาอยู่ดี



   มื้อเย็นวันนี้เป็นกับข้าวง่าย ๆ แต่ถูกใจคนกินอย่างรวีและเมฆาที่ไม่ค่อยได้กินอาหารไทยบ่อยนัก ไข่เจียวที่มาจากไข่ไก่เลี้ยงของบ้าน น้ำพริก ผักลวกจิ้มจากพืชผักสวนครัวที่ปลูกริมรั้วและในสวน ปลานิลทอดจากในบ่อปลาที่ณรงค์ขุดไว้ รวมแล้วก็แทบจะไม่ต้องไปซื้อหาอะไรมาเพิ่มเติมในมื้อนั้นมากนัก

   "ดีจังเลยนะครับ แบบนี้ก็ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกมากเลยทีเดียว"

   เมฆาบอกกับวารีอย่างชื่นชม หลังจากได้รู้ที่มาที่ไปของวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารมื้อนี้

   "ใช่จ้ะ ยิ่งถ้าเราไม่ฟุ้งเฟ้ออะไรมากนัก แค่นี้ก็กินอยู่ได้อย่างพอเพียงแล้ว"

   "ผมเข้าใจครับ เมื่อกลางวันได้แวะไปดูสวนผลไม้ของคุณน้า เห็นน้องมีนบอกว่าทำแบบเกษตรผสมผสาน มีทั้งปลูกพืชผัก ขุดบ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่...ผมเห็นเข้ายังชอบใจเลยครับ"

   เมฆาเอ่ยตอบอย่างร่าเริง ส่วนรวีนั้นหันไปสนทนากับณรงค์บ้าง

   "คุณน้าไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูกสินะครับ"

   "ครับ ผมทำปุ๋ยน้ำชีวภาพใช้เอง ลดต้นทุนไปได้เยอะ แล้วก็ได้ผลค่อนข้างดีด้วยล่ะครับ"

   ณรงค์บอกพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร พวกเขากินกันไปและพูดคุยกันเรื่องเพาะปลูกรวมถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป ซึ่งก็ไม่พ้นการใช้ชีวิตอยู่ละแวกนี้ และเมื่อกินเสร็จอิ่มหนำสำราญกันแล้ว วารีก็เสนอให้ทั้งสองหนุ่มมากินข้าวที่บ้านของหล่อนได้ทุกวันในระหว่างที่อยู่อาศัยที่นี่

   "ก็ซันกับเมฆบอกว่าไม่ทานมื้อเช้าไม่ใช่หรือจ๊ะ เพราะฉะนั้นมื้อกลางวันกับเย็นก็มาทานด้วยกันสิ คนเยอะครึกครื้นดีออก"

   วารีชวนอย่างจริงใจซึ่งณรงค์เองก็ยิ้มพร้อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เวหาเองก็ยิ้มน้อย ๆ ให้อย่างไม่นึกรังเกียจ ยกเว้นแค่มีนาที่มีใบหน้าไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าใดนัก

   "ผมดีใจนะครับที่คุณน้าไม่รังเกียจพวกเราสองคน แต่พวกเราสองคนก็ไม่อยากรบกวนหรือเป็นภาระกับพวกคุณน้าให้มากนัก แค่นี้ก็โดนน้องมีนมองเขม่นเข้าให้แย่แล้วล่ะนะครับ"

   รวีที่หันไปเห็นใบหน้าของคนตัวเล็กเข้าพอดีแสร้งบอกด้วยสีหน้าที่ทำเป็นฝืนยิ้มลำบากใจ และนั่นก็ทำให้มีนาสะดุ้งโหยง และยิ่งต้องหลุดยิ้มเจื่อนเมื่อบิดาและมารดาหันมามองตำหนิตน

   "ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย! อย่ามองกันแบบนี้สิครับพ่อ! แม่!"

   "หึ ๆ เจ้าซันมันล้อเล่นน่ะครับ น้องมีนออกจะใจดีไปชวนพวกเรามากินข้าวเย็นถึงที่บ้านแบบนั้น แถมยังบอกว่าจะทอดไข่ให้กินเป็นพิเศษอีก เพราะฉะนั้นพวกคุณน้าอย่าดุน้องเขาเลยนะครับ"

   เมฆารีบแก้ตัวแทนเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ทำให้รวีหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วเอ่ยเสริมขึ้น

   "ก็ประมาณนั้นล่ะครับ ผมแค่อยากจะแหย่น้องมีนเขาสักหน่อยเอง พี่ขอโทษด้วยนะครับน้องมีน"

   มีนาทำเสียงฮึในลำคอ พร้อมกับค้อนขวับให้นิด ๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนที่จะเหลือบไปมองเมฆาเล็กน้อย แต่พอเห็นอีกฝ่ายหันมาสบตาพร้อมกับยิ้มหวานให้ตน เด็กหนุ่มก็ต้องรีบหันขวับไปมองทางอื่นแล้วพร่ำบอกตัวเองที่จู่ ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างประหลาดให้สงบจิตใจลงได้สักที



   จากนั้นสักพัก ทั้งหมดก็ตกลงกันได้ โดยที่ตอนแรกรวีกับเมฆานั้นจะขอมีส่วนในการช่วยเรื่องค่ากับข้าวในแต่ละมื้อ ซึ่งวารีและณรงค์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อเสนอโดยเด็ดขาด แต่ชายหนุ่มทั้งคู่ก็ไม่อยากจะเอาเปรียบ ลงท้าย   มีนาก็เลยเสนอให้พวกรวีและเมฆาซื้อพวกข้าวสารกับเครื่องปรุงรสเข้าบ้านแทน แล้วที่เหลือก็ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายอะไรอีก ซึ่งแม้วารีกับณรงค์จะไม่ค่อยชอบใจกับข้อเสนอนี้นัก แต่เมื่อพวกรวีกับเมฆา รวมถึงลูกชายทั้งสองของเธอเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์ ผู้ใหญ่ทั้งสองจึงจำใจยอมรับข้อเสนอครั้งนี้ไปโดยปริยาย

   "ถ้าอย่างนั้นตอนสามโมงเช้า พี่จะมารับน้องฟ้ากับน้องมีนไปที่ห้างนะครับ จะได้ไปช่วยกันซื้อของเข้าบ้านยังไงล่ะครับ"

   "ซื้อของแค่นี้ซื้อตามร้านของชำทั่วไปก็ได้ ไม่เห็นต้องไปซื้อที่ห้างเลยนี่ครับ!"

   มีนาที่พอจะรู้ทันว่ารวีนั้นต้องการอยู่ใกล้ชิดพี่ชายของตนรีบขัดขึ้น ทว่ารวีนั้นกลับหันมายิ้มน้อย ๆ ให้ ด้วยสีหน้าที่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาไม่รู้เท่าทันแทน

   "ก็เพราะว่าที่บ้านพี่ยังขาดของใช้อยู่หลายอย่างน่ะครับ เลยจะไปเลือกซื้อที่โน่นทีเดียวเลย เอ่อ...แต่ถ้าน้องมีนรำคาญไม่อยากมาด้วยก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ให้น้องฟ้านำทางให้เองก็ได้...น้องฟ้าล่ะครับ สะดวกไหม"

   มีนาอ้าปากค้างที่เห็นรวีนั้นพูดให้เขาดูแย่ในสายตาของพ่อแม่ได้อีกครั้ง แถมยังคิดจะกันเขาออกไปแล้วอยู่กับพี่ชายของเขาตามลำพังอีก

   "โอเคครับ! สามโมงเช้าสินะครับ ถ้าอย่างนั้นมีนกับพี่ฟ้าจะได้เตรียมตัวรอเอาไว้!"

   เมฆาเหลือบมองร่างเล็กที่โพล่งแย้งก่อนที่พี่ชายของเจ้าตัวจะตอบตกลงอย่างนึกขำ แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง

   "ตกลงครับ ไว้สามโมงเจอกัน  พวกคุณน้าจะฝากซื้ออะไรเพิ่มเติมก็คิดเอาไว้นะครับ เดี๋ยวพวกผมจะได้ขนมาให้ทีเดียวเลย"

   "ของพวกน้าน่ะหรือ ไม่มีอะไรต้องซื้อหรอกจ้ะ แล้วพ่อล่ะจ๊ะจะฝากอะไรให้หนุ่ม ๆ ซื้อบ้างไหม"

   "ของพ่อก็ไม่มีอะไรเหมือนกันนั่นล่ะแม่ ส่วนพวกคุณก็ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากนอกจากของกินที่คุยกันหรอกนะ มันจะสิ้นเปลืองเสียเปล่า ๆ"

   ณรงค์เอ่ยดักไว้ก่อน ทำให้เมฆาและรวีสะดุ้งนิด ๆ พวกเขายิ้มเจื่อนส่งให้ ก่อนจะขอตัวลากลับบ้านพักเพราะก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ซึ่งคราวนี้ทั้งครอบครัวของเวหาต่างก็เดินออกมาส่งแขกทั้งคู่พร้อมกัน สร้างความประทับใจให้กับรวีและเมฆาเป็นยิ่งนัก

   "พรุ่งนี้ถ้าพวกพี่เขาซื้ออะไรฟุ่มเฟือยเกินไป พวกลูก ๆ ต้องช่วยกันห้ามพี่เขานะ...เรื่องอาหารการกิน แค่เพิ่มมาสักคนสองคน มันไม่เป็นภาระอะไรให้บ้านเรานักหรอก มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่พี่เขาช่วยชีวิตลูกเอาไว้น่ะ เข้าใจไหมฟ้า"

   ณรงค์บอกกับเวหาหลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสองกลับไปแล้ว ซึ่งเวหาก็พยักหน้าน้อย ๆ พร้อมยิ้มรับ ส่วนมีนาทำเสียงพึมพำในลำคออย่างหมั่นไส้เมื่อคิดถึงหน้ารวีขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดนึกขอบคุณชายหนุ่มไม่ได้อยู่ดี ในเรื่องที่เจ้าตัวช่วยเหลือพี่ชายของเขาเอาไว้ไม่ให้จมน้ำในครั้งก่อน

   "เอาล่ะ หนุ่ม ๆ แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้ว ส่วนลูกสองคนก็อย่านอนดึกมากนัก ถึงตอนนี้จะปิดเทอมก็เถอะ แต่ถ้านอนดึกตลอด เดี๋ยวมันจะเคยชินเอา เข้าใจนะ!"

   วารีกำชับตามมาทำเอาเวหาและมีนาขานรับคำเสียงอ่อย เพราะพวกเขานั้นก็ถือโอกาสช่วงปิดเทอมเข้านอนเสียดึก โดยอ่านหนังสือบ้าง เล่นเกมบ้าง ไปตามวัยของตน ซึ่งถ้าเป็นช่วงเปิดเทอมพวกเขาก็แทบจะทำเช่นนี้ไม่ได้ เพราะจะโดนวารีบ่นเอายกใหญ่นั่นเอง



   ก่อนเวลาสามโมงเช้าเล็กน้อย พวกรวีกับเมฆาก็ขับรถยนต์คันหรูมาจอดรอที่หน้าบ้านของเวหา เด็กหนุ่มจึงรีบออกมาพร้อมน้องชาย โดยมีวารีเดินตามมาส่ง

   "ไม่ต้องซื้ออะไรให้สิ้นเปลืองนักนะจ๊ะ ซัน เมฆ"

   วารีเอ่ยดักคอ ซึ่งก็ทำให้สองหนุ่มส่งยิ้มเจื่อน จากนั้นรวีจึงเดินมาเปิดประตูหน้าข้างคนขับให้เวหาขึ้นนั่ง ทำเอามีนามองตาปริบ ๆ แต่พอจะค้าน เมฆาก็มาจับบ่าของตนแล้วพาเดินไปขึ้นรถด้านหลังด้วยกัน

   "นั่งด้านหลังดีกว่านะครับน้องมีน เบาะกว้างนั่งสบายกว่าเยอะเลยล่ะครับ"

   มีนาหันขวับมาจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาดุ ๆ แต่เมฆาก็ยังอมยิ้มตอบ แถมดันตัวร่างเล็กเข้าไปในรถอย่างง่ายดายอีกต่างหาก

   "ไปล่ะครับ แล้วจะรีบกลับมาก่อนข้าวกลางวันนะครับ"

   รวีหันไปบอกหญิงสาวซึ่งวารีก็ยิ้มรับ จากนั้นสองหนุ่มก็ขึ้นรถและขับออกไป โดยมีวารีไล่มองตามไปจนสุดสายตา เจ้าหล่อนถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยพึมพำตามมา

   "หวังว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรกันหรอกนะ เฮ้อ! ที่เหลือก็ต้องเล่าให้พ่อเค้ารู้สักทีนั่นล่ะ ขืนมารู้ทีหลังคงงอนแย่เลย!"

   วารีบ่นกับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจใช้เวลาที่เหลือนี้ไปคุยกับสามี เรื่องของรวีแทน ซึ่งเธอเชื่อว่าสามีของเธอนั้นเป็นคนมีเหตุผลพอจะรับฟังในเรื่องที่เธอจะเล่าได้เป็นอย่างดีแน่



   ระหว่างขับรถรวีก็เอาแต่เหลือบมองคนนั่งข้าง จนมีนาต้องคอยกระแอมเตือนเป็นระยะ เนื่องจากเห็นพี่ชายของตนหลุดอาการเขินนิด ๆ ให้ได้เห็นนั่นเองแต่พอเห็นรวีทำเป็นไม่สนใจเขา แถมเวหาก็ยังทำสีหน้าปรามเขาอย่างเกรงใจชายหนุ่มอีก มีนาจึงทำเสียงฮึในลำคอเบา ๆ ทว่านั่งรถไปสักพักเจ้าตัวก็นึกอะไรได้ แล้วแสร้งทำเป็นชวนพี่ชายคุยแทน

   "เฮ้อ! ปิดเทอมยาว ๆ แบบนี้ก็น่าเบื่อนะ นี่ถ้าเป็นเปิดเทอมก็คงสนุกพิลึก  อ๊ะ! จริงสิพี่ฟ้า พี่ต้นเพื่อนสนิทม๊ากมากของพี่ โทรมาหาบ้างป่ะ ชวนเขามานอนค้างบ้านเราบ้างดีไหม พี่เขาคุยสนุกดีออก มีนชอบ!"

   "หือ...ต้นน่ะหรือ ก็มีโทรมาบ้างนะ...ถ้ามีนอยากให้ต้นมาค้างจริง ๆ เดี๋ยวคืนนี้พี่จะโทรไปถามดูให้แล้วกัน"

   มีนายิ้มกว้างรับ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อมองกระจกหน้ารถแล้วสะท้อนให้เห็นคนขับที่กำลังมีสีหน้าบึ้งตึงดูน่ากลัว ทางด้านเมฆาพอหันมาเห็นสีหน้าของมีนาที่ลืมตัวเผลอกลัวไปชั่วขณะนั้น ชายหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะแสร้งโพล่งขัดขึ้นมา

   "คนชื่อต้นนี่เพื่อนน้องฟ้าหรือครับ สนิทกันมากไหมครับเนี่ย"

   "หือ...ต้นน่ะหรือครับ เราเรียนมัธยมปลายห้องเดียวกันมาสามปี ก็เลยสนิทกันพอสมควรน่ะครับ"

   เวหาบอกไปตามตรงอย่างไม่คิดสะกิดใจแต่อย่างใด ทว่ารวีนั้นกลับเงียบไปแถมยังเหยียบคันเร่งไวขึ้นอย่างลืมตัวอีกต่างหาก

   "อะแฮ่ม! แล้วสนิทกันมาก จนถึงกับทำให้คนที่นั่งข้าง ๆ น้องฟ้าหึงได้เลยไหมล่ะครับ ...ถ้าใช่ พี่คงต้องขอร้องน้องฟ้า ว่าอย่าเพิ่งเรียกเขามาค้างด้วยช่วงนี้เลย  เดี๋ยวเพื่อนพี่จะนั่งเศร้าเสียเปล่า ๆ"

   รวีสะดุ้งนิด ๆ เช่นเดียวกับเวหา ทางด้านเวหาหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินปนตกใจ แล้วรีบโพล่งบอกกับรวีที่หันมามองตน

   "ปะ...เปล่านะครับ...ต้นเป็นแค่เพื่อนเฉย ๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น อีกอย่างต้นเขาก็มีแฟนแล้วด้วยครับ!"

   ทางด้านมีนาแม้จะไม่สบอารมณ์ที่พี่ชายแก้ตัวให้รวีฟังแบบนั้นก็ตาม แต่ตอนนี้เขาคงต้องให้ความสำคัญกับชายหนุ่มมากกว่า เนื่องจากรวีเอาแต่มองพี่ชายของเขานิ่งอึ้งแบบนั้น ทั้งที่ตัวเองกำลังขับรถอยู่แท้ ๆ

   "ไอ้พี่ซันโว้ย! ดูทางข้างหน้าสิวะ! จะชนแล้วนะนั่น!"

   เสียงตะโกนของมีนาทำให้รวีสะดุ้ง ก่อนจะหันขวับไปมองทางแล้วรีบหักโค้งหลบก่อนที่รถของตนจะชนกับทางกั้นตรงหัวโค้งแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากคนที่นั่งมาด้วยแต่ละคนทันที

   "เกือบไปแล้ว...ขอบคุณน้องมีนนะครับที่ช่วยเตือน"

   เมฆาหันมายิ้มหวานให้กับคนนั่งข้างตน แต่คนตัวเล็กนั้นกลับแยกเขี้ยวใส่อย่างหงุดหงิด เพราะว่าหากเมื่อครู่นี้เมฆาไม่แกล้งพูดแหย่พี่ชายของตนและเพื่อนของเจ้าตัว พวกเขาก็คงไม่ต้องเจอเรื่องราวชวนหวาดเสียวแบบเมื่อครู่นี้หรอก

 

.... TBC ....
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 15-08-2014 13:53:11
คุณแม่เซนส์ดีจริงๆ

แล้วคุณพ่อจะรับได้ไหมค้านี่ ถึงคุณวารีจะบอกว่าคุณพ่อมีเหตุผลก็เถอะ ...แต่ก็นะ

เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-08-2014 16:31:01
ทางโล่งเลยซิเนี่ย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 15-08-2014 18:12:38
น้องมีนจ๊ะ เลิกขวางทางรักพี่ชายได้สักที

เดี๋ยวก็ยุให้พี่เมฆาลากไปปล้ำซะหร๊อกกก หึหึ

น้องฟ้าก็ใจอ่อนลงเรื่อยๆ อีกไม่นานคงรักพี่ซันเต็มหัวใจ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 15-08-2014 18:23:44
งานนี้รวีทางสะดวกเห็นๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 15-08-2014 18:28:11
 :-[ พี่น้องคู่นี้มุ้งมิ้งกันจัง  น้องมีนน่ารักเนอะ พี่เมฆรุกเลยๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-08-2014 18:32:44
ให้ไปเลยยยยย 3 คำ   "น่ารั๊กกก....อ่ะ"
อ่านแล้วมันกรุบกริบ ๆ กิ๊วก๊าว ดีค่ะ

ปูลู  ว่าแล้วก็ขอจองตั๋วล่วงหน้า  สำหรับเรื่องของอีกคู่ด้วยคนค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Moonwish ที่ 15-08-2014 19:13:23
น้องฟ้าหนูเขินง่ายไปมั้ยลูก ไม่ระวังตัวอีกต่างหาก
เป็นแบบนี้กลัวพี่ซันจะบรรลุเป้าหมายง่ายไป
เพราะมีนก็ไม่น่าจะเอาอยู่ พี่ซันดูร้ายเกิน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-08-2014 19:38:39
คุณพ่อณรงค์ทราบแล้วจะว่าไวบ้างอ่าเนี่ย

  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-08-2014 19:47:24
เหมือนจะทางสะดวกนะแบบนี้
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: rule ที่ 15-08-2014 19:47:54
2คู่ชู้ชื่น
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-08-2014 21:11:01
รู้สึกมีนจะเด่นกว่าแล้วนะ อิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 16-08-2014 12:01:06
น้องมีน จะหวง ขอหวงแบบน่ารักๆนะลูก
ด่านคุณแม่นี่ผ่านแล้ว คุณพ่อจะว่าไงหว่า?
แต่ด่านน้องฟ้านี่แหละสำคัญสุด
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 7) 15/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 16-08-2014 12:25:23
น้องฟ้าจะได้เป็นสะใภ้มาเฟีย  :-[
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-08-2014 18:39:58

บทที่ 8



   ณ ห้างแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ซึ่งนับว่าไม่ใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับห้างในตัวเมืองหลวง ทว่าก็มีข้าวของมากมายเพียงพอต่อความต้องการของคนพื้นที่ซึ่งแวะเวียนมาซื้อหาสินค้าภายในนี้

   "เอาข้าวยี่ห้อนี้เป็นไงครับน้องฟ้า พี่ถามเพื่อนมาแล้ว เห็นว่ายี่ห้อนี้หุงอร่อยและได้มาตรฐานส่งออกต่างประเทศด้วยนะครับ"

   เวหามองยี่ห้อข้าวที่รวีชี้ให้เขาดู ก่อนจะนิ่วหน้า แล้วตอบกลับไป

   "เรื่องนี้คงต้องถามมีนดูครับ เพราะเขามาซื้อของเข้าบ้านกับแม่อยู่บ่อย ๆ ...เอ่อ ส่วนผมไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่"

   รวีอมยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู เมื่อเห็นอาการอึกอักขัดเขินของเด็กหนุ่ม จากนั้นจึงหันไปทางมีนาที่กำลังเดินดูยี่ห้อข้าวสารอื่น ๆ อยู่กับเมฆา

   "น้องมีนครับ เอายี่ห้อนี้ไหมครับ"

   มีนาหันไปมองก่อนจะชะงัก แล้วเงยหน้าดูราคาข้าวสารที่ห้อยบอกไว้ด้านบน

   "...แพงชะมัด ไม่เอาหรอกครับ ถึงจะดูน่าอร่อยแต่แพงขนาดนี้ ซื้อยี่ห้ออื่นคุ้มกว่า"

   มีนาบอกปฏิเสธทำเอารวีขมวดคิ้วยุ่ง หากแต่ชั่วครู่เจ้าตัวก็ยิ้มหวานแล้วบอกต่อ

   "แต่พี่ชอบกินยี่ห้อนี้นี่ครับ...กินยี่ห้ออื่นก็อร่อยสู้ไม่ได้...นะครับ ยังไงพี่ก็จ่ายเงินเองอยู่แล้ว ระหว่างที่อยู่ที่นี่ พี่ขอกินยี่ห้อที่ตัวเองชอบนะครับ"

   มีนาชะงักแล้วหน้ามุ่ยใส่ ส่วนเมฆาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เมื่อเห็นเพื่อนหาเรื่องลื่นไหลทำตามใจตัวเองไปได้อีกครั้ง

   "ถ้างั้นก็ตามใจคุณแล้วกัน แล้วอย่าลืมบอกแม่อย่างที่บอกกับผมด้วยล่ะ ว่าผมห้ามแล้วแต่คุณอยากกินยี่ห้อนี้เอง!"

   รวียิ้มรับอย่างพึงพอใจ ส่วนเวหาลอบถอนหายใจเบา ๆ  จากนั้นเมฆาก็เดินมาคุยกับเพื่อนของตน ก่อนจะช่วยกันขนถุงข้าวลงรถเข็น จนพวกเวหาและมีนาตาค้าง

   "เดี๋ยว! นั่นพวกคุณจะซื้อกี่ถุงกันน่ะ!"

   มีนาโพล่งใส่ด้วยความตกใจ เพราะพวกเมฆากับรวีกำลังขนถุงข้าวถุงที่แปดลงรถเข็นและยังมีทีท่าว่าจะหยิบต่ออีก

   "หือ...ก็เราว่าจะอยู่พักร้อนสักสองอาทิตย์ ก็เลยคิดว่าจะซื้อข้าวไปสักยี่สิบถุงน่ะครับน้องมีน  เอ...แค่นี้มันจะพอแน่นะเมฆ"

   ท้ายประโยครวีหันไปถามเพื่อนสนิท ซึ่งเมฆาก็มีสีหน้าไม่แน่ใจ  ทำเอามีนาเม้มปาก แล้วตรงเข้าไปดึงรถเข็นออกมาจากชายหนุ่มทั้งสองอย่างหงุดหงิด

   "อยู่แค่สองอาทิตย์แต่ซื้อยังกับจะกินเป็นปี! เอาแค่สี่ห้าถุงก็พอแล้ว ถ้าพวกคุณตะกละกินจนมันหมดได้ ค่อยมาซื้อใหม่ทีหลัง!"

   สองหนุ่มมองคนตัวเล็กตาปริบ ๆ ก่อนจะหันมาสบตากัน แล้วถอนหายใจเบา ๆ ทว่าก็ยังคงหันไปต่อรอง จนสุดท้ายก็ได้ข้าวมาสิบถุง

   "ผมว่าเราไปเอารถเข็นมาเพิ่มดีกว่านะครับ..."

   เวหาที่เห็นข้าวสารเต็มรถเข็นหันไปบอกรวี ซึ่งรวีเองก็เห็นดีด้วย

   "งั้นนายกับน้องมีนไปจ่ายค่าข้าวสาร แล้วเอาข้าวไปเก็บในรถก่อน เดี๋ยวพวกฉันจะซื้อพวกเครื่องปรุงตามไปทีหลังนะ..."

   "ไม่ต้องเลย! เดี๋ยวก็ได้ซื้อโน่นนี่มาจนล้นรถอีกหรอกครับ!"

   มีนารีบแย้ง แล้วจึงตัดสินให้รวีกับเมฆาเอาข้าวสารไปจ่ายเงินและเก็บในรถก่อน ส่วนพวกตนจะซื้อพวกเครื่องปรุงเอง

   "อืม...งั้นเอาไปว่าให้เจ้าเมฆมันเอาข้าวไปเก็บ แล้วพี่ก็เดินซื้อของกับพวกน้องมีนกับน้องฟ้าดีกว่าครับ ซื้อเสร็จจะได้จ่ายเงิน แล้วตามไปสมทบกันที่รถเลย สะดวกกว่านะครับ"

   เมฆามองเพื่อนที่ไล่ให้ตนไปที่รถแทนตาปริบ ๆ ก่อนจะเปรยขึ้นมาบ้างอย่างเบื่อหน่าย

   "เดี๋ยวฉันก็เข็นข้าวสารตามพวกนายไปนี่ล่ะ หรือไม่ก็วางไว้ก่อน ไม่มีใครเขามาหยิบไปหรอกน่า แล้วพอจ่ายเงินก็ค่อยไปพร้อมกัน มันไม่เสียเวลามากไปนักหรอก"

   รวีทำเสียงหงุดหงิดในลำคอเบา ๆ แต่ก็ยอมทำตามที่เพื่อนสนิทบอก ส่วนเวหานั้นเห็นด้วยกับที่เมฆาพูด และมีนารีบตัดบทด้วยความเบื่อหน่าย

   "เอางั้นก็ได้ครับ! รีบ ๆ ไปซื้อเหอะ เดี๋ยวผมจะได้กลับไปช่วยแม่ทำมื้อกลางวันต่อ!"

   พอได้ยินคนตัวเล็กบอกแบบนั้น เวหาก็รีบเดินไปเอารถเข็นคันใหม่มา โดยมีรวีคอยเดินตามติดไปไม่ห่าง ส่วนมีนาพอจะเดินตาม ก็ถูกเมฆาจับข้อมือเอาไว้เสียก่อน

   "อยู่เฝ้าข้าวสารเป็นเพื่อนพี่เถอะ เดี๋ยวจะมีคนมาแอบหยิบไปนะครับ"

   มีนาขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด

   "รู้แล้วน่า! ปล่อยมือได้แล้ว!"

   "ครับ ๆ ปล่อยก็ปล่อย..."

   เมฆาทำเป็นพูดทว่ากลับดึงมืออีกฝ่ายมาจูบหลังมือเบา ๆ แล้วค่อยปล่อยออก ทำเอาคนถูกจูบมือชะงัก หน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองรอบด้าน ซึ่งโชคดีว่าตรงโซนนี้ไม่มีผู้คนอยู่นอกจากเขาสองคน

   "คุณ!"

   "อ๊ะ ๆ อย่าโวยวายสิครับน้องมีน พี่ยิ่งเป็นพวกบ้าจี้อยู่ เกิดตกใจเสียงโวยวายของน้องมีนขึ้นมา แล้วจะได้เผลอจับน้องมีนมากอดมาจูบเอาเข้าก็ได้...อยากให้เป็นแบบนั้นหรือครับ"

   มีนาสะดุ้งโหยงใบหน้าแดงวาบด้วยความฉุนสุดขีด เจ้าตัวด่าพึมพำใส่อีกฝ่ายว่าโรคจิต หากแต่เมฆากลับหัวเราะในลำคอแล้วโค้งน้อย ๆ ยิ้มรับ

   "ขอบคุณครับสำหรับคำชม"

   "คนเค้าด่าต่างหากไม่ได้ชม!"

   มีนาแย้งกลับไปไม่ดังนัก เพราะกลัวอีกฝ่ายจะแกล้งทำอย่างที่พูดเมื่อก่อนหน้ากับตนเข้าให้เหมือนกัน

   "หึ ๆ อย่าซีเรียสครับ พี่เห็นน้องมีนเครียด ๆ เลยหาเรื่องมาแกล้งแหย่ให้อารมณ์ดีขึ้นต่างหาก  เอ้า! พวกเจ้าซันกับน้องฟ้ามาแล้วล่ะครับ ยิ้มหน่อยสิครับ เดี๋ยวคุณพี่ชายจะกังวลเข้าให้นะครับ"

   เมฆาบอกพร้อมเอานิ้วชี้แตะที่มุมปากของตัวเองแล้วยิ้มกว้างโชว์ ทำให้คนมองที่กำลังหงุดหงิดปนโมโหถึงกับชะงัก แล้วสุดท้ายจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมาอย่างนึกปลง

   "คุณนี่นะ...นอกจากโรคจิตแล้วยังบ้า ๆ บอ ๆ อีกต่างหาก เสียดายหน้าตาเป็นบ้า!"

   เมฆาหัวเราะให้กับคำบ่นของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะไปด้วยดีกับคนที่เดินมาด้วยกัน

   "แทบไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะได้มีโอกาสเห็นเจ้าซันเอาใจคนอื่นแบบนี้  เคยเห็นแต่มันวางมาดเชิดหยิ่งมีสาวเดินตามตื๊อต้อย ๆ  นี่ถ้าเอาเรื่องไปบอกพวกสาว ๆ ที่เคยถูกหมอนี่หักอก มีหวังคงได้คำสาปแช่งและสมน้ำหน้าตามมาเพียบแหงม!"

   คำบ่นพึมพำของชายหนุ่ม ทำให้มีนาที่ยืนอยู่ด้วยต้องหันไปมองรวีอีกครั้ง เด็กหนุ่มเม้มปากน้อย ๆ และคิดว่าเมฆานั้นไม่ได้พูดอะไรเกินจริงนัก ไม่ว่าจะด้วยหน้าตา รูปร่าง รวมไปถึงฐานะการเงิน  ไม่แปลกเลยที่รวีจะเสน่ห์แรงจนมีแต่คนอยากได้เป็นแฟนเช่นนั้น

   "ถ้าพี่ฟ้าเป็นผู้หญิงเสียหน่อย ไอ้เรื่องความโรคจิตชอบเด็กนั่น ก็คงพอจะมองข้ามได้บ้างอยู่หรอกนะ"

   เมฆาเกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำเรียกถึงเพื่อนจากปากร่างเล็กข้างกายตน

   "พี่ว่าลองคิดในแง่ดี การที่จะหาคนที่รักมั่นคงกับเรามาหลายปีไม่เปลี่ยน แม้ขนาดที่ว่ากลับมาเจอกันอีกครั้งในสภาพที่อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่ทำให้ความรู้สึกรักนั้นเปลี่ยนไปได้...คนแบบนี้หาได้ยากอยู่นะครับ"

   มีนาขมวดคิ้วพลางนิ่งคิดตาม แล้วจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เพราะความมั่นคงรักเดียวใจเดียวของรวี ก็คงมีส่วนที่ทำให้มารดาของเขายอมเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มจีบเวหาได้เช่นนี้ด้วยนั่นเอง

   "มาแล้ว ๆ ไปเลือกซื้อของกันต่อเถอะครับ!"

   รวีที่เดินมาถึงบอกพร้อมกับยิ้มแย้มอารมณ์ดีอย่างเต็มที่ เนื่องจากตนได้มีโอกาสอยู่ข้าง ๆ เวหาตลอดเวลาเช่นนี้ เห็นดังนั้นมีนาจึงลอบถอนหายใจ แล้วจึงเปรยโพล่งขัดขึ้นมา

   "พี่ซันไม่ต้องไปหรอก! เดี๋ยวก็หยิบโน่นซื้อนี้ตามใจชอบอีก!"

   พอได้ยินดังนั้นรวีก็ชะงักนิ่งอึ้ง ส่วนเวหาเตรียมจะแย้งด้วยความเกรงใจชายหนุ่ม แต่มีนาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

   "พี่ซันกับพี่ฟ้าอยู่เฝ้าข้าวสารกันแถวนี้ล่ะ เดี๋ยวผมกับพี่เมฆจะไปซื้อพวกเครื่องปรุงเอง!"

   ทั้งสามหนุ่มเงียบกริบ ก่อนที่รวีจะเบิกตากว้างมองคนตัวเล็กอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

   "มองทำไม! ที่เลือกแบบนี้เพราะเห็นว่าพวกพี่แต่ละคนไม่มีใครชำนาญเรื่องในครัวหรอกนะ ขืนให้ไปช่วยกันเลือกก็ยิ่งมากคนมากความ ก็เลยไปเลือกเองแบบนี้นั่นล่ะ!"

   มีนารีบแก้ตัว ทำเอาเมฆาที่มองอยู่อมยิ้ม แล้วจึงแสร้งทำเป็นพูดหยอกขึ้นบ้าง

   "อ้าว...แล้วทำไมต้องให้พี่ไปช่วยด้วยล่ะ น้องมีนก็ไปเลือกเองคนเดียวสิครับ"

   ขาดคำของชายหนุ่ม ไม่เพียงแต่มีนาจะทำตาถลึงมองมา แม้แต่รวีก็ส่งสายตาเย็นชาสุดโหดจ้องมอง เสียจนเมฆาต้องกลืนน้ำลาย

   "ง่า...ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง  อ้าว! เดี๋ยวสิครับน้องมีน อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวพี่ไปช่วยเข็นให้นะครับ!"

   เมฆารีบจ้ำพรวดวิ่งตามคนตัวเล็กที่เข็นรถเข็นว่าง ๆ ออกไปด้วยความงอน ทิ้งให้รวีกับเวหาอยู่เฝ้ารถเข็นใส่ข้าวสารกันอยู่สองคน

   "พี่เมฆนี่เค้าเป็นคนตลกดีนะครับ"

   เวหายกเรื่องของคนที่เดินจากไปมาคุย ทำให้คนฟังชะงักแล้วจึงย้อนถามกลับไปด้วยสีหน้าขรึมลง

   "น้องฟ้าชอบคนคุยตลกหรือครับ แล้วแบบพี่คงน่าเบื่อใช่ไหมครับ"

   เวหาจ้องมองคนพูดพลางหลุบตาหลบ ก่อนจะพึมพำตอบไปเสียงแผ่ว

   "ผมเองก็ไม่ได้ชอบคนแบบไหนเป็นพิเศษหรอกครับ...ขอแค่จริงใจให้กัน ไม่โกหกกัน แค่นี้ก็คบหากันได้สบาย ๆ แล้วครับ"

   คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง พอมองใบหน้าผิวสีคล้ำแดดของอีกฝ่ายก็เห็นว่ามันค่อนข้างแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด ทำให้คนมองยิ่งใจเต้นแรง และนึกอยากจะดึงร่างข้างกายมากอดเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าชายหนุ่มก็ต้องทนข่มใจท่องให้ตนใจเย็นลง เพราะนี่เป็นที่สาธารณะโล่งแจ้ง แถมเวหาเองก็ยังไม่ได้ยอมตกปากรับรักเขาเลยสักนิด

   "พี่ซัน..."

   เวหาเงยหน้ามองอีกฝ่ายเพราะเห็นว่ารวีเงียบไปนาน แต่แล้วเขาก็ได้เห็นร่างสูงมองเมินไปทางอื่น ท่าทางหลุกหลิก เอามือปิดปากทำเหมือนพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ตลอด

   "พี่ซันครับ เป็นอะไรไปหรือครับ"

   เวหาถามต่อ ซึ่งก็ทำให้รวีสะดุ้งโหยง แล้วจึงรีบหันมา ก่อนจะหน้าแดงให้เห็นนิด ๆ ทำเอาคนมองนิ่งอึ้ง

   "เอ่อ...คือพี่..."

   รวีพยายามจะคิดหาเรื่องแก้ตัว ทว่าพอนึกได้ที่เวหาพูดว่าไม่ชอบคนโกหก เขาเลยตัดสินใจพูดออกไปตามตรง

   "คือพี่...พี่ดีใจที่น้องฟ้าดูไม่มีท่าทางรังเกียจ พี่ก็เลยรู้สึกอยากกอดน้องฟ้านะครับ...แต่ก็กลัวน้องฟ้าโกรธ เลยพยายามหักห้ามใจตัวเองอยู่นี่ล่ะครับ"

   รวีบอกแล้วก็นึกขอบคุณที่เมฆาตามมีนาไปเสียได้ เพราะหากเมฆาอยู่ที่นี่ด้วย เขาคงไม่กล้าบอกความในใจให้คนที่เขาหลงรักได้รับรู้ง่าย ๆ เช่นนี้แน่ 

   ทางด้านเวหาพอได้ยินคำพูดนั้นของชายหนุ่ม เขาก็ถึงกับตกตะลึง ก่อนจะหน้าแดงหนักขึ้นกว่าเดิม พลางก้มหน้าก้มตาหลบด้วยความเขิน เนื่องจากไม่คิดว่ารวีนั้นจะกล้าพูดความรู้สึกออกมาตรง ๆ เช่นนี้ แถมยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอาย ที่คนทั่วไปไม่น่าจะพูดออกมาได้ง่าย ๆ เสียด้วย



   ทว่าระหว่างที่บรรยากาศของอีกคู่หนึ่งกำลังเป็นสีชมพูอมม่วงอย่างเป็นใจ  หากแต่คู่ที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อเครื่องปรุงเข้าครัว ก็กำลังมีบรรยากาศชวนให้อึดอัดแทน เนื่องจากคนตัวเล็กนั้นยังคงไม่หายงอนที่โดนแกล้งแหย่เมื่อก่อนหน้านั้น

   "น้องมีนครับ...พี่ขอโทษนะ พี่รู้ว่าน้องยอมเปิดโอกาสให้เจ้าซันกับน้องฟ้ามัน ...พี่ดีใจน่ะ ก็เลยแค่แกล้งแหย่เท่านั้นเองครับ"

   มีนาหยุดเข็นรถ แล้วหันขวับมามองคนที่เดินตามง้อตนอย่างหงุดหงิด

   "ก็รู้ทั้งรู้ ยังมาทำให้โมโหอีก! พี่เป็นพวกโรคจิตไม่พอ ยังเป็นมาโซ ชอบให้คนโมโหด่าใส่ อีกด้วยหรือไง!"

   เมฆาชะงัก แล้วหลุดหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว โดยมีคนตัวเล็กยืนหน้ามุ่ยมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก

   "ฮะ ๆ พี่เพิ่งจะได้รู้จักตัวเองก็วันนี้ล่ะ น้องมีนนี่สุดยอดไปเลย คุยด้วยไม่เท่าไหร่ ก็มองออกว่าพี่เป็นคนยังไงได้เลยนะเนี่ย!"

   "ไม่ต้องมาขำเลย คนโรคจิต หน้าด้าน!"

   มีนาแย้งกลับไปด้วยความโมโหที่เพิ่มพูนมากขึ้น

   "แต่ก็หล่อแล้วก็เร้าใจนะครับ"

   มีนาอยากจะตวาดใส่คนตรงหน้าที่เถียงย้อนกลับมาหน้าตาเฉย แต่ก็กลัวจะเป็นจุดสนใจ เขาจึงหันไปมองเครื่องปรุงบนชั้นวางแล้วหยิบมันมาอย่างละขวดแทบจะไล่เรียงกันไปใส่รถเข็นเป็นการประชด ทว่าแทนที่เมฆาจะห้าม เจ้าตัวกลับช่วยหยิบช่วยจัดของในรถเข็นให้เป็นระเบียบเสียแทน และพออารมณ์หงุดหงิดเริ่มคลายลง มีนาก็ได้สติแล้วมองของในรถเข็นอย่างตกตะลึง

   "น้องมีนนี่ช็อปปิ้งเก่งใช่เล่นเลยนะครับ ไว้คราวหน้าเรามากันอีกนะครับ"

   เมฆาแสร้งทำเป็นเอ่ยชมด้วยสีหน้าไร้เดียงสา แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่มีอารมณ์จะใส่ใจ เจ้าตัวจ้องของในรถเข็นแล้วพึมพำตามมาอย่างร้อนรน

   "บ้าจริง! ขืนขนกลับไปหมดนี่ ได้โดนแม่บ่นกรอกหูยาวเป็นวันแน่ โอ๊ย! นี่ฉันต้องเอาไปเก็บอีกสินะ อะไรของมันกันนะวันนี้  ซวยจริง ๆ!"

   "หึ ๆ ไม่ต้องตกใจแบบนั้นครับ พี่จัดเรียงชนิดไว้แล้ว เดี๋ยวเราก็เอาคืนตามชนิดของมัน ช่วยกันแป๊บเดียวก็เสร็จครับ"

   เสียงของเมฆาที่ดังขึ้นทำให้ร่างเล็กชะงัก แล้วจึงหันไปมองซึ่งก็เห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มแย้มอ่อนโยนส่งให้ ไม่ได้ทำหน้าตาล้อเลียนหรือแกล้งแหย่เขาอย่างก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

   "เอ้า! ไปกันเถอะครับ ถ้าน้องมีนกลับไปไม่ทันทำมื้อกลางวัน พี่คงเสียดายแย่เลย"

   เมฆาพูดตัดบททำให้คนนิ่งอึ้งชะงัก แล้วพยักหน้าหงึกหงักตามมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มที่เข็นรถและช่วยหยิบของขึ้นคืนชั้นวางไปอย่างเงียบ ๆ  โดยที่เมฆาเองนั้นแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และช่วยเก็บของที่หยิบซ้ำมาคืนชั้นวางไปอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกัน



...
...
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-08-2014 18:40:46
...
..

   หลังจากที่ยืนโต้เถียงกันเรื่องจำนวนเครื่องปรุงแต่ละชนิดว่าจะเป็นอย่างละ 2 หรือ 3 ขวด ก็เสียเวลาไปพักใหญ่ ๆ จนรวีกับเวหาต้องตามมาสมทบ

   "แค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับ รีบกลับกันเถอะครับ เดี๋ยวจะกลับไม่ทันมื้อกลางวันเอา"

   เวหาบอกกับเมฆา ซึ่งรวีก็รีบยืนยันเห็นดีด้วยกับคำพูดของเด็กหนุ่มทันที ทำเอาเมฆาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นทุกคนจึงเข็นรถไปที่แคชเชียร์ ทว่าพอจะใกล้ถึง มีนาก็ชะงักแล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้

   "อ๊ะ! มีนลืมซื้อน้ำตาลอะพี่ฟ้า  มีนวิ่งไปเอาก่อนนะ รอแป๊บนึง!"

   มีนาบอกแล้วก็วิ่งไป ทำให้เวหาถอนหายใจเบา ๆ  ทว่าสักพักเจ้าตัวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

   "อ๊ะ...ผมก็ลืมเหมือนกัน ว่าจะซื้อน้ำหวานให้แม่ชงใส่ตู้เย็นไว้กินกลางคืนสักหน่อย  เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมมานะครับ"

   ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะพูดจบดี รวีก็รีบเสนอตัวขึ้นมาทันที

   "ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนนะครับ!"

   "เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่หยิบน้ำหวานขวดเดียวเอง"

   เวหาบอกอย่างเกรงใจ อีกอย่างเวลาที่อยู่ใกล้ ๆ กับรวี ก็ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ แถมวางตัวไม่ถูกอีกต่างหาก

   "งั้นผมไปนะครับ เดี๋ยวจะรีบกลับ"

   เวหาตัดบทแล้วรีบจ้ำพรวดไป แต่ก็ยังชะงักแล้วหันมายิ้มให้คนที่มองตาม ทำให้รวีที่กำลังรู้สึกแย่เล็กน้อยที่ถูกปฏิเสธ ถึงกับตกตะลึง

   "โอ้! ดูเหมือนสถานการณ์จะดำเนินไปได้ด้วยดีนะเพื่อน"

   รวีไม่ได้ใส่ใจคำแซวของเพื่อนสนิทแต่อย่างใด เนื่องจากตอนนี้ชายหนุ่มกำลังยิ้มกว้างอย่างยินดีมองตามไล่หลังเวหาไปอยู่นั่นเอง



   อีกด้านหนึ่ง มีนากำลังเลือกถุงน้ำตาลทรายในกระบะใหญ่ที่ห้างจัดวางไว้ และเมื่อเลือกได้แล้วเจ้าตัวก็เตรียมจะเดินกลับไปสมทบกับคนอื่น ทว่าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเด็กวัยรุ่นสองคนแถวนั้นเดินเข้ามาแล้วขวางทางเอาไว้

   "ไง! น้องคนสวย มาซื้อของคนเดียวหรือจ๊ะ ให้พวกพี่ช่วยเดินช็อปปิ้งเป็นเพื่อนเอาไหม"

   มีนามองคนพูดที่น่าจะอายุมากกว่าตนอยู่สามสี่ปี แล้วเบ้หน้าใส่

   "ไม่ต้อง ฉันเดินคนเดียวได้ ขอทางด้วย!"

   วัยรุ่นทั้งสองยักไหล่นิด ๆ แต่ก็ยังคงคอยขวางหน้าขวางหลังไม่ให้อีกฝ่ายไปไหนได้อยู่ดี

   "ดุจังน้า น้องคนสวย แต่ก็ดี พวกพี่ชอบคนปากจัด เพราะเวลาจับจูบมันแซบดี!"

   หนึ่งในนั้นเอ่ยแซวแล้วอีกคนก็หัวเราะรับเป็นลูกคู่ มีนาพยายามมองหาคนช่วย แต่แผนกนั้นแทบไม่มีคนอยู่ ทว่าสักพักเด็กหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างอย่างยินดี เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนกำลังเดินตรงเข้ามา

   "พี่ฟ้า!"

   เวหาหันไปมองตามต้นเสียงแล้วก็หรี่ตามอง ก่อนจะเดินตรงไปหาคนกลุ่มนั้น

   "ขอโทษนะครับ มีธุระอะไรกับน้องของผมหรือครับ"

   เวหาเดินตรงไปแล้วดึงมือมีนาให้มาอยู่ข้างตน ซึ่งก็สร้างความไม่สบอารมณ์กับวัยรุ่นทั้งสองที่ยืนอยู่ยิ่งนัก

   "แหม ๆ พวกผมกำลังคุยกับน้องคนสวยคนนี้สนุก ๆ อยู่เลยนะครับ  คุณพี่ชายช่วยถอยไปห่าง ๆ ได้ไหมครับ ถ้าคุณพี่ไม่อยากเจ็บตัวอะนะ!"

   หนึ่งในนั้นขู่ แต่เวหายังคงจ้องอีกฝ่ายนิ่งอย่างไม่เกรงกลัว วัยรุ่นทั้งสองทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างหงุดหงิด แล้วเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ดึงคอเสื้อของเวหาเข้ามาใกล้ ๆ

   "กูละเกลียดไอ้พวกหน้าหล่อ ๆ ทำตัวนิ่ง ๆ เป็นพระเอกแบบมึงจังเลยว่ะ...สงสัยคงจะต้องอัดให้หายหมั่นไส้ซักหน่อยล่ะมั้ง!"

   "พี่ฟ้า! ปล่อยพี่ฟ้านะ! ใครก็ได้ครับ ช่วยด้วย! ยาม! ตำรวจ!"

   เสียงมีนาตะโกนโวยวายด้วยความตกใจ ทำให้คนแถวนั้นต่างทยอยเดินมาดู และเสียงของเด็กหนุ่มก็ยังคงดังแว่วไปถึงชายหนุ่มที่ยืนรออีกสองคนด้วย

   "หนอย! ไอ้นี่! หยุดโวยวายสักทีสิวะ!"

   วัยรุ่นอีกคนที่อยู่ใกล้มีนาเตรียมเงื้อมือขึ้นจะตบคนตัวเล็กที่กำลังยืนตะโกนเรียกให้คนอื่นช่วย ทว่าเวหาที่อยู่ใกล้นั้นไวกว่า เด็กหนุ่มผลักเจ้าคนที่จับคอเสื้อตนไปแรง ๆ ทำให้ฝ่ายที่ไม่ระวังตัวหงายหลังล้มไปนั่งก้นจ้ำเบ้า  ส่วนอีกคนก็ถูกเวหานั้นจับข้อมือที่กำลังเงื้อตบน้องตนเอาไว้ทัน ก่อนเจ้าของมือจะร้องโอ้ยลั่น เพราะแรงบีบจากมือของเด็กหนุ่ม

   "พี่ฟ้า!"

   มีนาเข้าไปเกาะพี่ชายแน่น หลังจากที่เวหาสะบัดมือที่จับข้อมืออีกฝ่ายทิ้งไปแรง ๆ วัยรุ่นทั้งสองกัดฟันกรอด และก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปรุมเล่นงานเอาคืนคนที่ยืนอยู่ ร่างสูงร่างหนึ่งก็เดินหน้าบึ้งถมึงทึงมาขวางเอาไว้เสียก่อน

   "อะไรของไอ้ฝรั่งนี่วะ หลบไปโว้ย! คนจะมีเรื่องกัน!"

   "มีเรื่องรึ...ขอโทษทีนะไอ้หนู แต่ฉันไม่อนุญาตให้มี...แต่ถ้ายังอยากจะมี ก็เข้ามาได้เลย!"

   รวียิ้มกวน ๆ แต่นัยน์ตาคมกริบนั้นวาววับ ชนิดที่ทำให้คนมองหนาวเยือกอย่างลืมตัว

   "พี่ฟ้า...เอาไงดีล่ะ ถ้ามีเรื่องกันในห้างแบบนี้ พ่อกับแม่รู้เข้าคงโดนดุแน่เลย"

   มีนาพึมพำถามพี่ชาย ซึ่งเวหาก็เห็นด้วย เพราะเขาเองก็แค่จะป้องกันตัวเองและน้องชายเท่านั้น และเขาก็ไม่อยากให้เรื่องราวลามปามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตอีกด้วย

   "พี่ซันครับ...อย่าให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ"

   เวหาเดินมาดึงแขนเสื้อของชายหนุ่ม ทำให้รวีชะงัก จากนั้นเจ้าตัวก็มองวัยรุ่นตรงหน้าทั้งสอง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

   "ถ้าน้องฟ้าว่าแบบนั้น ก็เอาแบบนั้นก็ได้ครับ"

   รวีหันมายิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ทำให้เวหายิ้มตอบ ทว่าวัยรุ่นทั้งสองที่โดนเมิน ยามนี้กำลังรู้สึกเดือดดาล และหนึ่งในนั้นก็คว้าขวดแก้วของผลิตภัณฑ์ที่กำลังลดราคาอยู่แถวนั้น เตรียมจะตรงเข้าไปฟาดรวีที่หันหลังให้อยู่ เรียกเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนเตือนจากคนที่ได้เห็นกันถ้วนหน้า ทว่า...

   "นายเป็นคนลงมือก่อนสินะ...เพราะอย่างนั้นฉันก็คงต้องป้องกันตัวเอง...ถูกไหม"

   รวีที่หันขวับมาแล้วจับข้อมือข้างที่กำลังฟาดขวดใส่เขาไว้ได้ทัน บอกพลางแย้มยิ้มเย็นชาชวนขนลุกให้อีกฝ่าย จากนั้นเขาก็บิดแขนข้างที่จับอยู่ ส่วนอีกมือก็ดึงเอาขวดในมือนั้นมาถือเอง และพอปล่อยมือออก แขนของวัยรุ่นคนนั้นก็ห้อยตกอยู่ข้างลำตัว พร้อมกับเสียงโวยวายด้วยความตกใจปนเจ็บปวด

   "อ๊าก! แขนชั้น แขนชั้นหลุดแล้ว!"

   "ที่ถูกก็คือไหล่ต่างหากที่หลุด  เอ้า! เมฆมาพอดี แจ้งตำรวจให้ด้วยสิ อยากขึ้นโรงพักเมืองไทยมาตั้งนานแล้ว เคยเข้าออกแต่โรงพักเมืองนอก อยากรู้ว่าที่นี่จะต่างกันขนาดไหน!"

   รวีบอกกับเมฆาที่มาพร้อมยามของห้าง ทางด้านเมฆาพอได้ยินและเห็นสภาพของวัยรุ่นทั้งสอง ที่คนหนึ่งไหล่หลุด ส่วนอีกคนก็ยืนตัวสั่นด้วยความกลัว เจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "เอ้า! เอาไงเด็ก ๆ จะเลิกแล้วต่อกัน หรือจะตามกันไปโรงพักดีเอ่ย แต่บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าไปถึงที่นั่น ฉันจะไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่าเฉย ๆ แน่ ...อย่างน้อยก็ต้องขอหักซี่โครง หรือเลาะกระดูกพวกแกออกมาเล่นสักชิ้นสองชิ้นล่ะนะ"

   ท้ายประโยครวีกระซิบข้างหูเด็กวัยรุ่นที่ไหล่หลุด ทำเอาเด็กคนนั้นตาเบิกกว้าง พร้อมกับละล่ำละลักบอก

   "ผะ...ผมขอโทษครับ  ผมกลัวแล้วครับ  ปล่อยผมไปเถอะครับพี่!"

   เพื่อนวัยรุ่นอีกคนพอเห็นดังนั้นก็มองซ้ายมองขวา แล้วรีบวิ่งหนีแหวกฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เจ้าคนที่ไหล่หลุดมองตามไปด้วยความตกใจ

   "อ้าว! เพื่อนหนีเสียแล้ว...คราวหน้าก็เลือกเพื่อนดี ๆ หน่อยแล้วกัน เอ้า! กัดฟันซะ เดี๋ยวจะต่อไหล่ให้!"

   รวีบอกกับเด็กวัยรุ่นคนนั้น อีกฝ่ายรีบหลับตากัดฟัน ซึ่งแม้จะเจ็บแปลบชั่วครู่ แต่แขนของเขาก็เริ่มขยับได้ตามเดิมอีกครั้ง

   "จำไว้...เป็นเด็ก ก็ทำตัวให้สมเด็ก อย่าข้ามรุ่นหาเรื่องกับผู้ใหญ่ เพราะคราวหน้าอาจจะไม่ใช่แค่ไหล่หลุดแบบนี้หรอกนะ"

   รวียิ้มขู่เตือน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกหงัก แล้วรีบวิ่งหนีไปจากฝูงชนที่ยืนดูอยู่  จากนั้นเสียงเปาะแปะปรบมือก็ดังขึ้นจากคนเหล่านั้น รวียิ้มน้อย ๆ แล้วโค้งให้ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับเวหา ซึ่งเด็กหนุ่มก็ยังคงใจหายใจคว่ำกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ไม่หาย เพราะหากเมื่อครู่นี้รวีโต้ตอบไม่ทัน มีหวังชายหนุ่มคงหัวแตกได้เลือดเข้าให้แล้ว

   "เดี๋ยวฉันไปเคลียร์กับทางห้างก่อนนะ พวกนายไปจ่ายค่าของก่อนเลยแล้วกัน"

   เมฆาบอกกับเพื่อนของตน พร้อมส่งสายตาอย่างแฝงความนัยให้กัน จากนั้นรวีจึงชักชวนเวหากับมีนาให้ไปที่ช่องจ่ายเงินพร้อมกับเขาแทน

   "ไปกันเถอะครับน้องมีน น้องฟ้า  อ๊ะ! ว่าแต่น้องฟ้าได้น้ำหวานหรือยังครับ"

   "ยังครับ...แต่ไม่อยากกินแล้วล่ะครับ...ผมว่ารีบกลับบ้านกันดีกว่า"

   เวหาบอกกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำให้รวีถอนหายใจ แล้วจึงหันไปทางมีนาแทน

   "แล้วน้องมีนล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง ได้น้ำตาลหรือยังครับ"

   มีนาชะงัก แล้วมองถุงน้ำตาลในมือ เขาคิดว่ารวีก็คงจะเห็นอยู่ แต่พยายามชวนคุยให้เขาหายตกใจ คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรมากกว่าเดิม

   "เอาล่ะครับ ถ้างั้นก็ไปจ่ายเงินกันดีกว่า...อ้อ เดี๋ยวนะครับ"

   รวีซึ่งบังเอิญหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยกมือถือขึ้นถ่ายรูปเขา ทำให้เจ้าตัวเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งอึ้งเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินมาหาตน

   "คุณผู้หญิงครับ ผมไม่ห้ามหรอกครับถ้าคุณอยากจะถ่ายภาพผมเก็บไว้  แต่ผมไม่อยากให้ภาพของผมหลุดเผยแพร่ในที่สาธารณะเลยนะครับ...คนอื่น ๆ ก็ด้วยนะครับ ถ้ามีใครก่อนหน้านั้นได้ถ่ายภาพหรือถ่ายคลิปเอาไว้ หากคุณจะดูเองผมก็คงไม่ว่าอะไร แต่รบกวนอย่าอัพขึ้นสื่อบนเน็ตเลย...เพราะผมคงจะสืบหาต้นตอการปล่อยภาพหรือคลิปได้ไม่ยากนักหรอกนะครับ เอาจริง ๆ ผมก็ไม่อยากจ้างทนายฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลให้เสียเวลาพักผ่อนในไทยนัก...พวกคุณเองก็คงเหมือนกันใช่ไหมครับ"

   รวียิ้มหวานเยียบเย็นให้กับกลุ่มคนแถวนั้น ซึ่งแต่ละคนก็ยิ้มเจื่อน แล้วพากันพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ ก่อนจะแยกย้ายไปคนละทาง ส่วนสาวเจ้าก็รีบลบภาพแล้วโชว์ให้อีกฝ่ายได้เห็น ซึ่งรวีก็ยิ้มหวานฉ่ำพร้อมโค้งศีรษะนิด ๆ ขอบคุณเจ้าหล่อน ทำเอาเจ้าตัวยืนเคลิ้มเสียจนเพื่อนที่มาด้วยต้องเขย่าเรียกสติอยู่สักพักเลยทีเดียว



   ทางด้านเวหากับมีนา ยืนนิ่งอึ้งมองรวีจัดการสถานการณ์ภายในห้างกันอยู่เงียบ ๆ และพอรวีกลับมา ทั้งสองคนก็สะดุ้งจนชายหนุ่มชะงักแล้วถามกลับด้วยสีหน้าที่ขรึมลง

   "กลัวพี่หรือครับ"

   เวหามองใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้

   "ไม่หรอกครับ แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้น...ไม่คิดว่าพี่ซันจะ...เอ่อ...จะดูเท่แบบนี้"

   รวีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่กับคำพูดของเด็กหนุ่มและพอตั้งสติได้ เจ้าตัวก็รีบย้อนถามกลับไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น

   "น้องฟ้าชมพี่ว่าเท่หรือครับ! พี่ไม่ได้ฟังผิดใช่ไหมครับ!"

   เวหาหน้าแดงนิด ๆ แล้วพยักหน้าค่อย ๆ ทำเอารวีลืมตัวรวบร่างของเด็กหนุ่มมากอดแน่น ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงมีนากระแอมรัวตามมา

   "อะแฮ่ม ๆๆๆ จะทำอะไรช่วยเกรงใจแล้วก็รักษาหน้าพี่ชายผมหน่อยเหอะ คุณพี่ซัน!"

   รวียิ้มเจื่อน แล้วปล่อยร่างของเด็กหนุ่มออกจากอ้อมกอดอย่างนึกเสียดาย ส่วนเวหานั้นพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น จนมีนาต้องจูงมือพี่ชายเดินไปจ่ายเงิน พร้อมกับหันมาบอกคนที่ยืนอึ้งมองอยู่

   "เอ้า! ยืนอยู่ทำไมล่ะครับ  รีบ ๆ ตามมาสิครับ จะได้ไปจ่ายเงินแล้วก็กลับกันสักที!"

   รวีสะดุ้งก่อนจะพยักหน้าแล้วยิ้มกว้างรับอย่างอารมณ์ดี เพราะดูเหมือนว่านอกจากเวหาที่เริ่มยอมรับในตัวเขา แม้แต่ก้างขวางคออย่างมีนา ก็ดูเหมือนจะเริ่มทำดีกับเขาด้วยบ้าง คิด ๆ ดูแล้ว ก็น่าจะขอบคุณวัยรุ่นสองคนที่มีเรื่องกันเมื่อครู่อยู่ไม่น้อยทีเดียว



   หลังจากจ่ายเงินเสร็จและขนของมาเก็บที่รถได้สักพัก เมฆาก็เดินยิ้ม ตามมาที่รถ ก่อนจะยัดเทปวิดีโอม้วนหนึ่งใส่มือของรวีแล้วกระซิบบอก

   "ทีแรกจะให้เขาลบทิ้งอย่างเดียวแล้ว แต่แจ็คพอตได้เห็นภาพนายตอนกอดน้องฟ้าพอดี ก็เลยให้เขาบันทึกเก็บเอาไว้แล้วขอม้วนเทปเขามา นายจะได้เอาไว้เป็นที่ระลึกยังไงล่ะ"

   รวีตาเบิกกว้างรับเทปมาถืออย่างตื่นเต้น ก่อนจะดึงร่างเพื่อนสนิทมากอดแล้วผลักออกอย่างไม่ใส่ใจ พลางพุ่งความสำคัญมาที่เทปในมือแทน ทำเอาเด็กหนุ่มทั้งสองที่หันมาเห็น ถึงกับทำตาปริบ ๆ อย่างแปลกใจ

   "เอ้า! งั้นเราเปลี่ยนคนขับขากลับดีกว่า เพราะขืนให้เจ้าซันขับกลับตอนนี้ พี่ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ว่าเราจะกลับถึงบ้านได้โดยสวัสดิภาพล่ะนะ!"

   เมฆาที่หันไปสังเกตเห็นสายตาของเด็กหนุ่มทั้งสอง รีบเปลี่ยนเรื่องคุย ทำให้รวีหันขวับมามองเพื่อน แต่พอเห็นเมฆาขยิบตาแล้วบุ้ยใบ้ไปที่เวหา เจ้าตัวก็ร้องอ๋อเบา ๆ แล้วยิ้มรับ ก่อนจะหันไปทางคนที่ยืนอยู่

   "น้องฟ้าครับ นั่งเบาะหลังกันนะครับ ส่วนน้องมีนจะมาเบียดกันที่เบาะหลังก็ได้นะครับ แต่พี่ว่านั่งหน้าสบายกว่า จริงไหมครับ"

   มีนามองคนที่พูดตัดสินใจให้เองเสร็จสรรพ แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินมานั่งด้านหน้าข้างคนขับแต่โดยดี

   "ครับ ๆ เอาไงก็ได้ แต่รีบกลับบ้านกันสักทีเถอะครับ!"

   มีนาเปรยประชดอย่างหมั่นไส้ ทำให้คนซึ่งกำลังนั่งประจำที่คนขับอมยิ้ม ก่อนจะโน้มตัวไปช่วยดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาให้ร่างเล็กที่กำลังดึงออกมาอย่างลำบากเนื่องจากความไม่คุ้น ทำเอามีนาถึงกับสะดุ้งโหยงหน้าแดงระเรื่อ เพราะเมฆานั้นชะโงกหน้าเข้ามาใกล้กับตนอย่างน่าหวาดเสียว

   "เรียบร้อยแล้วครับน้องมีน"

   เมฆาบอกคนตัวเล็ก ซึ่งมีนาก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วก้มหน้านิ่งเงียบ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเห็นว่าใบหูขาว ๆ นั้น แดงระเรื่อให้ตนได้เห็น ทำให้เมฆาเผลอหลุดหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างนึกเอ็นดู 

    ส่วนทางด้านคนนั่งเบาะหลังเองนั้น ต่างก็ไม่มีใครสนใจคนนั่งด้านหน้าเท่าใดนัก เพราะรวีเองก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าเวหาตรง ๆ ด้วยแววตาหวานซึ้งไม่วางตา  ส่วนเวหาเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ทำให้เด็กหนุ่มจำต้องก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้าเงยหน้ามองคนนั่งข้าง ๆ ด้วยความเขิน และเป็นเช่นนั้นไปจนเกือบตลอดทางกลับบ้านเลยทีเดียว




... TBC ....

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-08-2014 19:25:58
แหม.. ต้องให้น้องมีนรีบไปเอาน้ำตาลมาเพิ่มแล้วละ
ที่เอามานั้น ตอนนี้คงจืดสนิทไปแล้ว  :impress3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-08-2014 19:31:52
 :mew1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-08-2014 20:31:33
พี่ซันเท่ห์มากกกกก
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-08-2014 20:54:17
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 16-08-2014 21:34:01
พี่ซันเนี่ยแอบโหดนะเนี่ยระวังน้องกลัวน้า
อย่าเพิ่งแสดงตัวตนมากนักเดี๋ยวน้องเตลิด :z1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-08-2014 22:00:46
เส้นทางรักของรวีกำลังไปได้สวยเลยนะเนี่ย
เป็นกำลังใจให้คนแต่งจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 16-08-2014 22:13:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 8) 16/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 16-08-2014 22:14:24
 :katai2-1: คืบหน้าแล้ว สองคู่เลยนะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 17-08-2014 20:30:54
*มาต่อแล้วค่ะ เกือบลืมแปะ แหะ ๆ  :o8: *


บทที่ 9



   พอกลับมาถึงบ้าน เมฆาและรวีต่างเสนอให้ปิดเรื่องวัยรุ่นที่มาหาเรื่องในวันนี้ เพื่อไม่ให้วารีและณรงค์ไม่สบายใจ โดยที่เวหากับมีนาเองนั้นก็เห็นดีด้วย

   "กลับมาแล้วหรือจ๊ะ ไหนดูซิ ว่าซื้ออะไรกันมาบ้าง..."

   วารีที่ออกมาต้อนรับยืนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เมื่อได้เห็นจำนวนข้าวของที่ทั้งสี่คนซื้อมา เจ้าหล่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเหลือบไปมองลูกชายทั้งสองด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย ทำเอาเวหากับมีนาหน้าสลดจนสองหนุ่มต้องรีบช่วยแก้ตัว

   "น้องมีนกับน้องฟ้าช่วยกันบอกแล้วล่ะครับ แต่พวกผมกลัวว่าถ้าซื้อน้อยจะไม่พอ ก็เลยซื้อมาตุนไว้ จะได้ไม่ต้องไปซื้อหลาย ๆ รอบยังไงล่ะครับ"

   วารีฟังที่รวีบอกแล้วหันไปทางลูกชายของเธอ ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นการยืนยันคำพูดนั้น ทำให้หญิงสาวต้องถอนหายใจอีกครั้ง

   "เฮ้อ! เอาเถอะ น้าก็คิดไว้บ้างแล้วว่าคงจะออกมาราว ๆ นี้  เอ้า! ช่วยกันขนของเข้าบ้านกันเถอะจ้ะ เดี๋ยวสักพักข้าวกลางวันก็เสร็จแล้วล่ะ"

   วารีสรุปตัดบท ทำให้หนุ่ม ๆ ต่างลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงช่วยกันขนของเข้าที่พักกันอย่างขยันขันแข็ง จนหญิงสาวที่มองอยู่อดยิ้มไม่ได้



   หลังจากนั่งพักคุยกันรออาหารกลางวันอยู่ครู่ใหญ่ ณรงค์ก็กลับมาจากสวน ซึ่งรวีกับเมฆาก็ไหว้ทักทายอีกฝ่ายตามมารยาท ณรงค์นั้นยกมือรับไหว้ หากแต่มีสีหน้าที่ขรึมกว่าปกติจนคนอื่น ๆ ประหลาดใจ ยกเว้นก็แต่วารีที่พอจะรู้ดีอยู่แล้วว่า เป็นเพราะเหตุใดสามีของเธอจึงมีท่าทางผิดปกติให้เห็นเช่นนี้

   "คุณรวี พอจะมีเวลาพูดคุยกับผมตามลำพังสักครู่ไหมครับ"

   ณรงค์หันไปทางรวีแล้วเอ่ยขึ้น ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะบังเอิญเหลือบไปเห็นวารีถอนหายใจเบา ๆ เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ในยามนี้ขึ้นมาได้

   "ได้ครับคุณน้า"

   รวีพยักหน้าพร้อมตอบรับด้วยท่าทางจริงจังไม่แพ้กัน จากนั้นพวกเขาจึงเดินกันไปทางหลังบ้าน ทำให้เวหาที่มองตามไปนึกแปลกใจในท่าทางของบิดา และนึกสงสัยว่าทั้งคู่จะสนทนากันเรื่องใด

   "แม่บอกเรื่องที่พี่ซันเขามาตามจีบลูกให้พ่อรู้ไปแล้วล่ะ"

   เสียงมารดาที่ขัดขึ้นเบา ๆ ทำเอาเวหา มีนา รวมไปถึงเมฆาที่ยืนมองตามไล่หลังของชายสองคนนั้นไปสะดุ้งโหยง แล้วต่างหันกลับมามองคนพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง

   "ยังไงสักวันก็ต้องรู้อยู่ดีใช่ไหมล่ะ อีกอย่างดูจากท่าทางของตาซันก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรด้วย แม่เลยชิงบอกพ่อเขาก่อน ขืนปล่อยให้รู้เองทีหลังมีหวังโกรธแย่"

   เมฆามองหญิงสาวตรงหน้าเขาพลางกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปบ้าง

   "แล้วคุณน้าณรงค์ว่ายังไงครับ โกรธที่เจ้าซันมาจีบน้องฟ้าหรือเปล่าครับ"

   เวหาที่ถูกเอ่ยถึงชะงักเล็กน้อย เจ้าตัวมองไปยังทิศที่คนทั้งคู่เดินหายไป ก่อนจะหันกลับมารอฟังคำตอบของมารดาอย่างเป็นกังวล

   "ก็ไม่โกรธอะไรหรอกจ้ะ แต่ก็ขรึม ๆ ไป...บางทีพ่อเค้าอาจจะทำใจลำบากนิดหน่อย  เพราะถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่พ่อเค้าก็รักหนูเหมือนลูกในไส้คนหนึ่งเลยนะจ๊ะฟ้า"

   เวหาเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ด้วยความตื้นตัน ส่วนเมฆาถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเปรยขึ้นบ้าง

   "ถ้าไม่มีเรื่องราวอะไรใหญ่โตก็ดีนะครับ...ผมเข้าใจว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่คงจะทำใจยากในเรื่องนี้  ขนาดพ่อแม่ของเจ้าซันยังช็อกและไม่ยอมรับเรื่องนี้เลย  ไม่สิ...จะว่าไปที่ฟังมาก็แค่ฝ่ายพ่อนั่นล่ะครับ...เจ้าซันเล่าให้ฟังว่าทะเลาะกับพ่อมาตั้งหลายปี จนแทบจะตัดพ่อตัดลูกกันด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเจ้าซันก็ทำให้พ่อเขายอมรับเรื่องความรักที่เขามีต่อน้องฟ้าได้ และยอมปล่อยให้มาเมืองไทยนี่ล่ะครับ"

   คำบอกเล่าของเมฆาทำให้วารีและสองพี่น้องถึงกับตกตะลึงและนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่  โดยเฉพาะเวหา เขาไม่คิดว่านอกจากเรื่องความรู้สึกที่มั่นคงต่อเขามาตลอดแล้ว รวียังถึงกับต้องทะเลาะกับบิดาเพื่อเขาอีกด้วย

   "ผม...ไม่เข้าใจเลย...ทำไมเขาถึงได้มั่นคงกับผมถึงขนาดนี้ล่ะครับ"

   "เรื่องนี้น้องฟ้าคงต้องไปถามกับเจ้าซันมันเองแล้วล่ะครับ ว่าเพราะอะไร"

   เมฆาตอบคำถามนั้นพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ส่วนทางด้านมีนาเองก็จ้องมองพี่ชายนิ่ง เขามั่นใจว่าเวหาเริ่มใจอ่อนและสงสารรวีเพิ่มมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นเขากลับไม่กล้าแย้งอะไรออกไป เพราะตัวเขาเองพอได้ยินเช่นนี้ ก็เริ่มชักจะใจอ่อนต่อความรักที่รวีมีให้กับพี่ชายของเขาบ้างแล้วเหมือนกัน   

   ส่วนทางด้านเวหานั้น เด็กหนุ่มกำลังนิ่งเงียบครุ่นคิดถึงวันแรกที่ตนได้พบกับรวี แม้เขาจะจำอีกฝ่ายไม่ได้สักนิด ทว่าเวลาที่สายตาอ่อนโยนแน่วแน่จริงใจคู่นั้นจ้องมองมายังเขาทีไร เวหาก็อดรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาทุกที

    เด็กหนุ่มไม่คิดหรอก ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความรัก เพราะว่ามันยังคงเร็วเกินไปสำหรับเขา หากแต่เวหาก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่า เขานั้นรู้สึกดีทุกครั้งเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของรวีที่มีให้กับเขา และรู้สึกพึงพอใจที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เห็นว่าเขานั้นสำคัญมากกับตนเองเพียงใด

    ...มันอาจจะยังไม่ถูกเรียกว่ารัก แต่เขาก็เริ่มจะคิดว่า มันคงจะดีไม่น้อย หากเขาได้อยู่เคียงข้างกับรวีตลอดไปเรื่อย ๆ เช่นนี้...

   

   อีกด้านหนึ่ง ณรงค์กับรวีกำลังยืนอยู่ด้านหลังบ้าน ชายหนุ่มสูงวัยมองเหม่อสายตาไปยังลำคลองเบื้องหน้า ก่อนจะเปรยขึ้นหลังจากเงียบมาสักครู่

   "คุณรวี ...คุณน่ะชอบเวหาลูกชายของผมใช่ไหม"

   รวีแม้จะพอคาดเดาได้ แต่ก็ยังคงสะดุ้งนิด ๆ ทว่าพออีกฝ่ายหันมาสบตาเขา ชายหนุ่มก็มีสายตาจริงจังพร้อมเอ่ยตอบกลับ

   "ครับ! ผมชอบน้องฟ้า...ชอบมานานแล้วตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน"

   พอได้เห็นแววตาแน่วแน่ของอีกฝ่าย ณรงค์ก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตามมาแผ่วเบา

   "แต่ตอนนั้นฟ้าก็เพิ่งแค่สามขวบนะ..."

   "ครับ...แค่สามขวบ แต่ผมก็ชอบเขา"

   ณรงค์มีสีหน้าอึ้ง ๆ ปนลำบากใจที่จะพูดต่อ ทำให้รวีนึกขำแล้วจึงเป็นฝ่ายพูดเสียเอง

   "ผมเข้าใจนะครับ ว่ามันอาจจะดูไม่ปกตินัก แต่ความรู้สึกของผมตอนนั้นเป็นของจริง และมันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน ...ไม่สิ...อาจจะเปลี่ยนไปตรงที่ว่า ผมตอนนี้เริ่มชอบเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอกันนั่นล่ะครับ"

   ณรงค์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะมองอย่างไรก็ไม่เห็นว่ารวีนั้นมีวี่แววโกหกหลอกลวงหรือล้อเล่นแต่อย่างใด

   "แล้วถ้าฟ้าไม่รู้สึกแบบเดียวกับคุณล่ะ คุณจะทำอย่างไร จะออกจากชีวิตของเขาไปจริง ๆ อย่างที่เคยบอกแน่น่ะหรือ"

   คำถามถัดมา ทำให้รวีชะงัก เขายิ้มกับตัวเองน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบออกไปตามตรงโดยไม่คิดปิดบัง

   "บอกตามตรงนะครับ ผมไม่คิดว่าจะตื๊อแค่ครั้งสองครั้งแล้วยอมแพ้หรอกครับ ...ผมตั้งใจจะตื๊อจีบไปเรื่อย ๆ จนกว่าน้องฟ้าจะเห็นใจและยอมรับรักผมจนได้ ...แต่คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะไม่มีวันทำร้ายหรือบีบบังคับใจน้องฟ้าเด็ดขาด และถ้าเกิดสุดท้ายแล้ว น้องฟ้าก็ให้ผมได้แค่พี่ชาย ผมก็จะตัดใจและยอมรับผลที่เกิดขึ้น และจะไปจากชีวิตของน้องฟ้าอย่างที่เคยสัญญาเอาไว้จริง ๆ"

   ณรงค์นิ่งพิจารณาชายผู้อ่อนวัยกว่าตนอยู่สักพัก แล้วจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

   "เฮ้อ...เอาเถอะ เรื่องของความรัก ยังไงมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน  ถ้าคุณสัญญาว่าจะให้เกียรติลูกชายผมและไม่บังคับจิตใจเขา ผมก็คงไม่คิดจะไปขัดขวางอะไรเรื่องความรักของคุณหรอกนะ"

   รวีชะงัก ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความยินดี ที่อีกฝ่ายนั้นยอมรับเรื่องความรักของเขาง่ายดายกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านั้นเสียอีก

   "ขอบคุณครับคุณน้า...ขอบคุณจริง ๆ ครับ"

   ณรงค์มองชายผู้อ่อนวัยกว่าตนที่โค้งศีรษะให้เขา แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะแสร้งถามหยอกออกไป

   "แล้วก่อนหน้านั้น ที่เห็นว่าสนใจเรื่องลงทุนเกี่ยวกับการเกษตรนั่น พูดเพื่อเอาใจผม หรือคิดจะทำจริง ๆ ล่ะ"

   รวีชะงักแล้วจึงเงยหน้ามองคนพูด ก่อนจะยิ้มแย้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้ายิ้มกระเซ้าของอีกฝ่าย

   "เรื่องนั้นผมพูดจริงนะครับ ...ผมคิดว่าจะมาทำธุรกิจลงทุนในไทยนี่ล่ะครับ  ผมไม่ชอบงานของพ่อผมเท่าไหร่ นอกจากเรื่องน้องฟ้าแล้ว ที่ผมตื๊อมาไทยให้ได้ ก็เพราะอยากจะพิสูจน์ฝีมือตัวเองให้พ่อผมได้เห็นว่า ไม่ต้องพึ่งพาอิทธิพลของเขา ผมก็ทำมาหากินเหมือนชาวบ้านได้เช่นกัน"

   ณรงค์นิ่วหน้าเล็กน้อย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนั้น

   "คุณไม่ค่อยจะถูกกับพ่อของคุณนักหรอกหรือ"

   รวียิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไปตามตรง 

   "ก็มีกระทบกระทั่งกันบ้างล่ะนะครับ...แม่เคยบอกว่าผมกับพ่อนิสัยคล้ายกัน ก็เลยทะเลาะกันง่าย ...แต่จริง ๆ แล้วผมว่าตัวผมนิสัยดีกว่าพ่อนิดหน่อยล่ะนะครับ"

   ท้ายประโยครวีบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้คนมองถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องของบิดาตนให้อีกฝ่ายได้ฟังต่อ

   "เรื่องของเรื่องก็คือ พ่อไม่เห็นด้วยที่ผมชอบผู้ชายด้วยกัน และพ่อก็อยากให้ผมรับช่วงงานที่เขาทำอยู่ต่อ...แต่ผมก็ปฏิเสธเขาทั้งสองเรื่องนั่นล่ะครับ ...สำหรับเรื่องงานที่ผมจะเลือกทำเองพ่อก็พอยอมรับได้ แต่เรื่องน้องฟ้านี่ผมต้องใช้ความพยายามทั้งตื๊อทั้งใช้เล่ห์กลอยู่หลายปี กว่าพ่อจะยอมรับได้ล่ะนะครับ ก็ลำบากอยู่เหมือนกัน ...แต่ก็คุ้มค่านะครับ เพราะน้องฟ้าที่ผมชอบ เติบโตขึ้นมาอย่างที่ผมคาดฝันไว้...เขายังคงโตมาเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดี และรักครอบครัวมากอีกด้วย... คนแบบนี้ล่ะครับ ที่ผมอยากให้มาอยู่เคียงข้างและเป็นคู่ชีวิตกันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายจากกันไป"

   ณรงค์มองชายหนุ่มที่พูดถึงลูกชายของเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยน แล้วจึงลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นตามมา

   "ผมดีใจนะที่ได้ยินว่าคุณยอมทำทุกอย่างเพื่อฟ้าแบบนั้น...ถึงฟ้าจะไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของผม แต่ผมก็รักเขาเหมือนเขาเป็นสายเลือดของผมคนหนึ่ง...ถ้าเกิดอนาคตข้างหน้าพวกคุณใจตรงกันแล้ว ผมก็คงวางใจฝากลูกชายของผมไว้กับคุณได้ใช่ไหม"

   รวีนิ่งเงียบไปพัก แล้วจึงโค้งศีรษะให้คนตรงหน้าอย่างสุภาพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับอีกฝ่ายนิ่ง

   "ถ้าเวลานั้นมาถึง ผมขอสัญญากับคุณน้าว่า ผมจะดูแลน้องฟ้าให้เป็นอย่างดี และจะใช้ทั้งชีวิตนี้ปกป้องเขาให้เขามีรอยยิ้มได้ตลอดไปครับ"

   "อืม...ผมเชื่อว่าคุณจะรักษาสัญญา"

   ณรงค์รับคำก่อนจะนิ่งเงียบไปอีกสักพัก แล้วเอ่ยถามบางสิ่งที่ทำให้รวีสะดุ้ง

   "แล้วเพื่อนคุณล่ะ...คงไม่ได้คิดมาจีบมีนาอีกคนใช่ไหม"

   รวียิ้มเจื่อนไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธออกไป เพราะเท่าที่สังเกตดูเขาก็เห็นว่าเพื่อนของเขาเริ่มจะสนใจมีนาเข้าบ้างให้แล้ว

   "เอ่อ...เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจนักครับ"

   ชายหนุ่มเลี่ยงตอบ ทำให้คนสูงวัยกว่าขมวดคิ้วนิด ๆ

   "ถ้าแค่หยอกล้อเล่น ๆ ผมก็ไม่ว่าอะไร ...แต่ถ้าไม่จริงจังก็อย่ามาให้ความหวังกัน  มีนายังเด็กบางครั้งก็แยกแยะไม่ออกระหว่างจริงจังกับล้อเล่น ผมไม่อยากให้ลูกชายผมกลายเป็นของเล่นใคร คุณเข้าใจนะ"

   รวีเม้มปากน้อย ๆ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ

   "ครับ...ผมจะพูดคุยกับเมฆเรื่องนี้เอง ถ้าเขาไม่คิดจริงจังกับน้องมีน ผมจะเตือนไม่ให้เขาเข้าใกล้น้องมีนมากเกินไปอย่างที่เป็นอยู่....แต่ถ้าเขาเกิดจริงจัง ผมเองก็อยากให้คุณน้าให้โอกาสกับเพื่อนของผมเหมือนที่ให้กับผมบ้าง... เมฆเขาอาจจะดูเหมือนเพลย์บอยทำตัวล่องลอยไปสักหน่อย แต่เขาก็เป็นคนดีและน่าคบหาคนหนึ่ง บางทีถ้าเขาเจอคนที่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไป เขาก็คงพร้อมจะทำทุกอย่างให้คนที่เขารักมีความสุข...ผมเชื่อเช่นนั้นครับ"

   ณรงค์รับฟังแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ตามมาค่อย ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้รวียิ้มออก

   "ขอบคุณคุณน้ามากเลยครับ...ผมอยากให้พ่อจอมเอาแต่ใจของผม ได้มาเจอคุณน้าสักครั้งจังเลย  เผื่อกลับไปจะได้นิสัยดีขึ้นกว่านี้บ้าง"

   รวีบอกพร้อมยิ้มแย้มจริงใจเสียจนคนฟังไม่กล้าพูดอะไรแย้งออกไป นอกจากยิ้มเจื่อนตอบรับเท่านั้น พวกเขาคุยกันถึงเรื่องเวหาอยู่อีกสักพัก ทั้งคู่จึงพากันเดินตรงกลับเข้าบ้าน แล้วก็ได้พบว่าสมาชิกคนอื่นกำลังนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก และจ้องมองมายังพวกเขาทันทีด้วยสายตากังวลแกมสงสัย

   "ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า...พ่อก็แค่อยากคุยกับคุณรวีเขา ตามประสาว่าที่พ่อตาในอนาคตก็เท่านั้นเอง"

   ณรงค์แกล้งหยอก ทำเอาเวหาหน้าแดงวาบ ส่วนมีนาสะดุ้งโหยง

   "แม้แต่พ่อก็ยอมรับหรือครับ!"

   "พ่อน่ะก็แล้วแต่พี่ของลูกต่างหาก...แต่ดูจากท่าทางของพี่ชายลูกที่เห็น บางทีที่พ่อพูดออกไป ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องจริงตามมาในไม่ช้านี้ก็ได้มั้ง"

   ณรงค์เปรยยิ้ม ๆ ซึ่งก็ทำให้เวหาก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้าพูดอะไร มีนามองพ่อทีพี่ชายที แล้วจึงโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด

   "ลูกชายทั้งคน ทำไมยกกันให้ง่ายแบบนี้! แล้วนี่ถ้ามีผู้ชายมาขอมีนบ้าง หวังว่าพ่อแม่คงจะไม่ยกให้ง่าย ๆ แบบพี่ฟ้าอีกคนนะนั่น!"

   เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังประสานขึ้นหลังจากมีนาพูดจบ จากนั้นวารีจึงเอ่ยขึ้นมาก่อนอย่างอารมณ์ดี

   "ถ้ามีนโอเค แม่กับพ่อก็คงไม่คิดขัดล่ะนะ แม่ถือหลักว่า เรื่องความรักก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน พ่อกับแม่ทำได้ก็เพียงมองดูอยู่ห่าง ๆ และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ก็เท่านั้น ส่วนเรื่องการตัดสินใจก็เป็นหน้าที่ของลูก ที่จะเป็นคนตัดสินใจเลือก พ่อแม่ไม่เข้าไปก้าวก่ายหรอกจ้ะ"

   มีนานิ่งอึ้ง แล้วจึงแสร้งทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่พอคนอื่นเผลอเขาก็แอบชำเลืองมองเมฆาที่กำลังนั่งคุยแสดงความยินดีกับรวีแทน ก่อนจะรีบตวัดสายตากลับเมื่อคนที่ถูกมองเหมือนจะรู้สึกตัว ทางด้านเมฆานั้นอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นคนตัวเล็กกำลังแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่นแต่ใบหน้ากับใบหูขาวเนียนนั่นดูแดงระเรื่อนิด ๆ พอจะให้จับผิดได้อยู่ดี

   "เอาล่ะจ้ะ ในเมื่อเคลียร์กันเรียบร้อย ก็ไปยกกับข้าวมาตั้งโต๊ะดีกว่าอ้อ! ซัน ถ้าเกิดฟ้ายอมตกลงคบด้วยจริง ๆ ล่ะก็ น้าขออะไรจากเธอสักอย่างจะได้ไหมจ๊ะ"

   วารีหันไปถามรวีที่มีสีหน้าประหลาดใจแกมสงสัย เช่นเดียวกับคนอื่นในห้อง ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงพยักหน้ารับรู้ตอบกลับไป

   "ได้ครับ คุณน้าอยากขออะไรหรือครับ"

   วารียิ้มหวาน แล้วจึงบอกในสิ่งที่ทำให้หนุ่ม ๆ ในห้องพากันนิ่งเงียบไปตาม ๆ กัน

   "ถ้าซันอยากได้น้องไปเป็นเจ้าสาว น้าก็อยากขอให้ฟ้าเขาเรียนให้จบ ป.ตรีเสียก่อน แล้วระหว่างนั้นก็อยากให้ซันหักห้ามใจ ไม่ชิงสุกก่อนห่ามกับน้องเขา ซันจะให้สัญญากับน้าเรื่องนี้ได้ไหมล่ะจ๊ะ"

   "คุณแม่! ขออะไรออกไปน่ะครับ!"

   มีนาโพล่งออกไปด้วยความอายแทนพี่ชาย ทว่าวารีนั้นกลับหันมามองลูกชายคนเล็กของเธอแล้วย้อนกลับหน้าตาเฉย

   "อ้าว! ก็ขอเรื่องปกติตามประสาคนเป็นแม่น่ะสิจ๊ะ หรือมีนอยากให้พี่ของมีนเสียตัวก่อนแต่ง"

   หนุ่ม ๆ แต่ละคนทำหน้ากันแทบไม่ถูก ทางด้านณรงค์ทำเป็นเปรยบอกพึมพำขอตัวไปเตรียมยกกับข้าวมาขึ้นโต๊ะในครัวแทน ส่วนเมฆาแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่น และเวหานั้นยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่ตามเดิม หากแต่ที่จริงแล้วนั้นเด็กหนุ่มกำลังรู้สึกอับอายจนแทบไม่อยากนั่งอยู่แถวนี้ด้วยซ้ำ

   "เอ้า! ว่าไงจ๊ะตาซัน ให้สัญญากับน้าเรื่องนี้ได้ไหม"

   รวีกลืนน้ำลายลงคอ พอหันไปมองเวหาที่นั่งก้มหน้าก้มตาแต่ใบหูแดงก่ำนั่น ก็ทำให้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันมาตอบหญิงสาวอย่างไม่เต็มเสียงนัก

   "ได้ครับ...ผมจะพยายามรักษาสัญญา เอ่อ...แต่ถ้าเกิดเผลอตัวกอดไปบ้าง จูบไปบ้าง จะเป็นอะไรไหมครับ"

   มีนาหันขวับไปมองคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่ารวีจะกล้าพูดออกมาแบบนี้ ส่วนเวหาเริ่มทนไม่ไหว เจ้าตัวลุกพรวด แล้วบอกมารดาด้วยใบหน้าแดงก่ำ

   "ผมว่าผมไปช่วยพ่อยกกับข้าวด้วยดีกว่า ขอตัวนะครับ!"

   บอกจบเจ้าตัวก็วิ่งพรวดพราดหายไปในครัวอย่างรวดเร็ว ทำให้แต่ละคนมองไปตาปริบ ๆ จากนั้นวารีจึงหันมาทางรวีอีกครั้งก่อนจะสนทนากันต่อถึงเรื่องเมื่อครู่

   "อืม...สำหรับคำตอบของซันเมื่อสักครู่ ถ้าพวกเธอเป็นคู่รักกันแล้ว เรื่องสัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกันบ้าง ก็คงจะเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ...แต่ที่น้าต้องยื่นข้อเสนอเช่นนี้ให้กับซัน ก็เพราะน้าอยากจะพิสูจน์ดูว่า ซันจะรักฟ้ามากพอที่จะหักห้ามใจตัวเองในเรื่องนี้ได้ไหม ...ถึงฟ้าจะไม่ใช่ลูกสาว แต่ในเมื่อซันอยากขอเขาไปเป็นเจ้าสาว ซันก็ควรจะทำตามประเพณีที่ดีงามของไทย จริงไหมล่ะจ๊ะ... แต่ถ้าเรื่องแค่นี้ซันยังทำไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ไปอยู่ด้วยกัน น้าก็ชักจะไม่มั่นใจเสียแล้วล่ะว่าซันจะดูแลลูกชายของน้าได้เป็นอย่างดีไหมล่ะนะ"

   เมฆาเหลือบมองว่าที่แม่ยายของเพื่อนสนิทแล้วกลืนน้ำลายลงคอ เพราะที่ผ่านมาเห็นว่าวารียอมไฟเขียวเรื่องจีบลูกชายง่าย ๆ แต่เอาจริง ๆ แล้วก็ใช่ว่าหญิงสาวจะยอมให้เพื่อนของเขาคบหากับลูกของเธอได้ง่ายดายอย่างที่พวกเขาเคยคาดคิดไว้ก่อนหน้านั้น

   "ครับ...ผมจะพยายามอดทนอดกลั้น ไม่ชิงสุกก่อนห่ามก่อนที่น้องฟ้าจะเรียนจบให้ได้ครับ"

   รวีรับคำกลับไปอย่างนึกปลง เพราะแค่รู้ว่าเวหาเองก็ดูไม่รังเกียจและเริ่มแสดงว่าเจ้าตัวก็มีใจกับเขาให้ได้เห็น แค่นี้เขาก็แทบจะโผเข้าไปกอดเด็กหนุ่มเข้าให้แล้ว แต่ขืนเขาลืมตัวทำเกินเลยไปกับเวหาอย่างที่ต้องการ มีหวังวารีหรือแม้แต่เวหาเองก็อาจจะผิดหวังในตัวเขาก็เป็นได้ ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้รวีพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้กลับมาหาคนที่เขารัก ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ความต้องการทางร่างกายเพียงชั่ววูบ มาทำให้ความรักของเขาต้องพังทลายลงได้เป็นแน่   

   ทางด้านวารีพอเธอสังเกตเห็นแววตาที่ดูหนักแน่นจริงจังขึ้นของรวี เธอก็ยิ้มออกมานิด ๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นเธอจึงชักชวนหนุ่ม ๆ ให้ไปร่วมโต๊ะอาหาร ซึ่งป่านนี้น่าจะถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วโดยทั้งสามคนก็ต่างพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ แล้วเดินตามหญิงสาวไปอย่างเงียบเชียบเรียบร้อย จนวารีที่เหลือบมองดูถึงกับอมยิ้มอย่างนึกขำแกมเอ็นดูเลยทีเดียว



   หลังจากพวกรวีกลับไปบ้านพักของพวกเจ้าตัวแล้ว  มีนาก็ลงมือถามบิดากับมารดาของตนอย่างสงสัย ว่าเหตุใดจึงยอมรับเรื่องที่รวีมาตามจีบเวหาได้ง่ายนัก  ซึ่งณรงค์ก็หันไปมองภรรยาแล้วยิ้มน้อย ๆ โดยวารีเองก็ยิ้มตอบ ก่อนจะหันมาชวนลูกชายทั้งสองไปยังห้องรับแขก เพื่อนั่งฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

   "ลูกรู้ไหมว่า ก่อนที่แม่จะแต่งงานกับพ่อเจตรินของลูกน่ะ แม่กับพ่อณรงค์คนนี้เคยคบกันมาก่อน"

   วารีหันไปถามเวหา ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งแล้วหันมามองบิดาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เช่นเดียวกับมีนาที่มองทั้งคู่สลับไปมาอย่างตกใจเช่นกัน

   "ไม่แปลกหรอกที่พวกลูกไม่รู้เรื่องนี้ เพราะแม่ไม่คิดจะเล่าให้ฟัง จนกว่าจะถึงวันที่พวกลูกเติบโต และมีความรักเช่นกันน่ะจ้ะ"

   วารีอมยิ้มเมื่อเห็นลูกชายทั้งสองทำหน้าตาประหลาดใจปนสงสัย เห็นดังนั้นเธอจึงเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตให้บุตรชายฟังต่อ

   "แม่กับพ่อณรงค์เคยคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน พอเราเรียนจบ พ่อณรงค์เค้าก็ไปสู่ขอแม่กับคุณตาแล้วก็คุณยาย แต่ตอนนั้นพ่อณรงค์เค้าฐานะการเงินไม่ค่อยดีนัก คุณตากับคุณยายก็เลยรังเกียจและไม่ยอมยกแม่ให้ แถมยังบังคับจับแม่ให้ไปแต่งงานกับลูกชายเพื่อนของพวกเขาอีก ทำให้พ่อณรงค์ต้องยอมตัดใจและไปจากชีวิตของแม่ในที่สุด..."

   ณรงค์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมาเมื่อเห็นวารีดูมีสีหน้าเศร้านิด ๆ ยามเมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต

   "ก็เพราะพ่อเจตรินของฟ้าเขาเป็นคนดี แล้วก็มีฐานะการงานมั่นคง...ที่สำคัญพ่อเพิ่งจะได้รู้ตอนที่พ่อแอบไปพบเขาเพื่อจะคุยตกลงเรื่องแม่ของลูก  คุณเจตรินเขาบอกพ่อว่าที่จริงเขาน่ะแอบชอบแม่ของลูกมานานแล้ว แต่แม่ของลูกคิดกับเขาแค่พี่ชายคนหนึ่ง จึงทำให้เขาไม่กล้าเผยตัว จนกระทั่งถูกพ่อแม่บังคับให้จับแต่งงานเช่นนี้ ...เขาขอโทษพ่อและบอกพ่อว่าจะพยายามพูดเรื่องนี้ให้พ่อแม่ของตนเข้าใจ และยกเลิกการแต่งงานให้ได้ เพราะเขาไม่อยากให้วารีเสียใจ....พอพ่อเห็นดังนั้น พ่อจึงได้ตัดสินใจออกไปจากชีวิตแม่ของลูก โดยเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้วารีได้อ่าน ...ในเนื้อความนั้น พ่อเขียนต่อว่าตัวเองว่าเป็นคนไร้ค่า ไม่คู่ควรกับแม่ของลูก....พ่อรู้ดีว่าแม่ของลูกไม่ชอบคนที่ท้อแท้ง่าย มองโลกในแง่ร้าย ไม่สู้คน ...พ่อจึงทำเป็นว่าพ่อกำลังกลายเป็นคนเช่นนั้น ...แล้วก็ได้ผล แม่ของลูกโกรธพ่อและเสียใจมาก สุดท้ายเขาจึงตอบตกลงและยอมแต่งงานกับคุณเจตรินแทนในที่สุด"

   มีนากับเวหานิ่งอึ้งรับฟังในสิ่งที่พวกตนไม่เคยรู้มาก่อน โดยเฉพาะเวหานั้นเขากำพร้าบิดาตั้งแต่เกิดเพราะอุบัติเหตุ ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสถึงความอบอุ่นหรือมีความทรงจำเกี่ยวกับบิดาแท้ ๆ ของตนมาก่อน

   "พี่เจตรินเป็นคนดีมาก...แต่น่าเสียดายที่อายุสั้น เขาตายก่อนที่ฟ้าจะคลอดเพราะอุบัติเหตุ แถมคุณพ่อของพี่เจตริน ก็มาหัวใจวายตายตามลูกชายไปอีก แถมเรื่องสมบัติของฝ่ายพ่อลูกก็มาถูกพวกญาติพี่น้องที่เหลือโกงไป ตอนนั้นแม่ไม่มีกระจิตกระใจจะไปสู้รบปรบมือกับพวกญาติของพ่อลูกสักนิด  แม่ได้แต่เคว้งคว้างไม่รู้จะทำยังไง แม่ร้องไห้ทุกวัน ข้าวปลาก็แทบไม่ได้กิน จนคุณตาและคุณยายของลูกก็เครียดตาม และสุดท้ายพอพ่อณรงค์รู้ข่าว เขาก็รีบกลับมาหาแม่ มาช่วยดูแล ปลอบโยนให้แม่คลายเศร้า...ตอนแรกแม่ก็โมโหและไม่ต้องการให้เขาเข้าใกล้  แต่พ่อณรงค์เขาเตือนสติแม่เรื่องลูก ทำให้แม่กลับมาคิดได้ และกลับมาดูแลตัวเองอีกครั้ง ส่วนคุณตาคุณยายเห็นว่าพ่อณรงค์ทำเพื่อแม่ ก็เลยไม่ต่อต้านหรือขับไล่รังเกียจเขาอีก..."

   เวหาหันกลับไปมองคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาต่างสายเลือด แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะลุกไปนั่งคุกเข่าข้างอีกฝ่าย พลางไหว้ที่ตักขอบคุณที่ณรงค์มีส่วนทำให้เขาเกิดมาดูโลกใบนี้อย่างปลอดภัยได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ณรงค์ลูบศีรษะเด็กหนุ่มอย่างตื้นตัน ส่วนวารียิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ และมีนาก็มีรอยยิ้มยินดีและปลื้มปีติที่ได้รู้ว่าณรงค์ซึ่งเป็นบิดาแท้ ๆ ของตนเป็นคนดีถึงเพียงนี้

   "จากนั้นพ่อก็ใช้เวลาเกือบห้าปี เทียวไปเทียวมาเยี่ยมเยียนฟ้ากับแม่ และสร้างเนื้อสร้างตัวจนพอมีพอกิน ก่อนจะมาขอแม่ของลูกแต่งงาน ซึ่งคราวนี้คุณตาคุณยายของพวกลูกต่างก็ยอมรับให้พ่อเป็นลูกเขยของพวกท่านได้สักทีล่ะนะ"

   ณรงค์เล่าเสริมเรื่องราวของภรรยา พร้อมกับขยิบตาให้ในท้ายประโยค  ซึ่งก็ทำให้ลูกชายทั้งสองอมยิ้มน้อย ๆ ส่วนวารีหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงบอกกับลูกชายที่รักทั้งสองคนของเธอต่อ

   "ก็เพราะว่าพ่อและแม่เคยมีความรักที่ไม่สมหวังเพราะถูกกีดกันจากผู้ให้กำเนิด ดังนั้นพ่อกับแม่จึงตัดสินใจแล้วว่า หากวันใดพวกเรามีลูก และลูก ของเรามีความรัก ...เราจะขอแค่คอยดูแลพวกเขาอยู่ห่าง ๆ และให้คำแนะนำในฐานะคนในครอบครัว ให้เขาได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางความรักของเขาเอง ...ไม่ว่าจะออกมาสุขหรือทุกข์ พวกเราในฐานะพ่อและแม่ ก็จะคอยอยู่เคียงข้างลูก ๆ ของเราเสมอ... ทีนี้ลูกเข้าใจหรือยังล่ะจ๊ะ ว่าทำไมพ่อและแม่ถึงไม่คิดจะเข้าไปขัดขวางในเรื่องนี้"

   มีนากับเวหานิ่งอึ้งไปสักพักใหญ่ จากนั้นสองพี่น้องจึงตรงเข้าไปสวมกอดมารดาและบิดาสลับกันอย่างตื้นตัน ทั้งคู่ต่างให้สัญญาว่า จะพยายามใช้สติไตร่ตรองอย่างมีเหตุผลในเรื่องของความรักในอนาคตข้างหน้านี้ และจะไม่ประพฤติเสื่อมเสียอะไรให้พ่อแม่ต้องผิดหวังในตัวพวกเขาอย่างเด็ดขาด ซึ่งก็ทำให้วารีและณรงค์นั้นมีรอยยิ้มอย่างชื่นชมและพึงพอใจในบุตรทั้งสองของพวกเขาเป็นยิ่งนัก



... TBC ...
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 17-08-2014 21:00:53
เป็นครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักกันมาก

ส่วนพี่ซันก็อดใจไว้ก่อนนะ อย่าเผลอปล้ำน้องฟ้าทำเมียเข้าล่ะ

เดี๋ยวอดแต่งงาน อิอิ  น้องมีนก็เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวให้พี่เมฆาเหมือนกันนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-08-2014 22:00:09
 :L1: อบุอุ่นจังค่ะ  สงสัยว่าลูกสองคนคงได้ออกเรือนพร้อมกัน 
:pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 17-08-2014 22:17:20
ปลื้มคุณพ่อคุณแม่
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-08-2014 22:28:41
น่ารัก อบอุ่น :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-08-2014 22:50:12
ความรักมั่นคง
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 17-08-2014 23:50:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: jj_girl ที่ 18-08-2014 01:03:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu_Chise ที่ 18-08-2014 03:59:40
ครอบครัวนี้น่ารักจริงๆ ><

เชียร์น้อง ฟ้ากับพี่ซัน และ พี่เมฆกับน้องมีน

ฟินเวอร์  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 18-08-2014 11:20:46
ครอบครัวนี้น่ารักมากจริงๆ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-08-2014 13:33:30
ว้าวววว ครอบครัวนี้ได้ใจไปเลย เต็มร้อย
 :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 18-08-2014 19:12:52
เอาล่ะ เตรียมรายชื่อแขกไว้เนิ่นๆ จะได้ไม่ฉุกละหุก พร้อมร่อนการ์ดได้เลยเมื่อเรียนจบ เอ หรือไม่ต้องจบก็ก :mew2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 18-08-2014 19:25:17
ครอบครัวน่ารัก
ทางสะดวก พี่ซันลุยยย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 9) 17/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-08-2014 20:26:59
2 ผ่านละค่าาาา
พี่ซันสู้ต่อไป
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 18-08-2014 20:27:55
บทที่ 10



   รวีกับเมฆาแวะเวียนมาเป็นแขกขาประจำของบ้านได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว และเพราะความหล่อโดดเด่นชวนสะดุดตาเพื่อนบ้านรอบข้างของทั้งสองหนุ่ม ในระยะสองสามวันแรกนั้นจึงทำให้เกิดข่าวลือแปลก ๆ ขึ้นมา ทว่ารวีก็ใช้ความไหลลื่นในการสนทนา ทำให้เพื่อนบ้านแต่ละรายเข้าใจไปว่า ชายหนุ่มนั้นแวะเวียนมาที่นี่เพราะความเป็นญาติห่าง ๆ กับวารี และสนอกสนใจที่จะทำธุรกิจทางด้านเกษตรร่วมกับณรงค์อีกด้วย

   "น้องฟ้าครับ วันพรุ่งนี้พวกเราไปเที่ยวทะเลกันไหมครับ...ไปเที่ยวพักผ่อนค้างสักคืนสองคืนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลของพี่กันนะครับ"

   หลังมื้ออาหารเย็นภายในซุ้มนั่งนอกบ้าน รวีก็จัดแจงพูดอ้อนเด็กหนุ่มตรงหน้าตนด้วยรอยยิ้มหวาน ทำเอาเวหาชะงักไปเล็กน้อย เพราะเมื่อสองสามวันก่อน เขาเพิ่งเปรยบ่นลอย ๆ กับครอบครัวระหว่างทานข้าวกลางวันว่าอากาศร้อนแบบนี้น่าจะไปเที่ยวทะเลกัน มาวันนี้รวีก็กลับมาชวนเขาไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศของเจ้าตัวเข้าเสียแล้ว

   "ชวนพี่ฟ้าคนเดียวหรือครับ แล้วคนอื่น ๆ ในบ้านล่ะ ไม่คิดจะชวนกันเลยหรือไง"

   มีนาที่นั่งอยู่ด้วยกันขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะแสร้งเปรยขัดขึ้นมาทำเอารวีหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับคนพูด ก่อนจะเอ่ยตอบ

   "พี่ก็ต้องชวนน้องมีน แล้วก็พวกคุณน้าไปด้วยอยู่แล้วครับ เพราะบ้านพักตากอากาศหลังนี้ค่อนข้างใหญ่โต อยู่กันได้หลายคนสบาย ๆ อยู่แล้วล่ะครับ"

   มีนาฟังแล้วก็ทำปากมุบมิบบ่น ส่วนเวหาขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะถามย้อนกลับไปคล้ายกับสงสัยอะไรบางอย่าง

   "บ้านพักที่ว่านั่น มีมานานแล้ว หรือเพิ่งติดต่อซื้อขายมากันไม่กี่วันนี้ล่ะครับ..."

   รวีสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบทำเป็นยิ้มแย้มแล้วพูดกลบเกลื่อนตามมา

   "แหม! ก็ต้องมีมานานแล้วสิครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ มีคนดูแลทำความสะอาดเป็นประจำ ไม่สกปรกแน่!"

   เวหาหรี่ตามองแล้วนิ่งเงียบคล้ายกำลังจ้องจับผิดโดยไม่พูดอะไรต่อ ทำเอารวีชะงักและสุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา

   "คือบ้านน่ะสร้างมาเกือบสิบปีแล้ว แต่พี่เพิ่งติดต่อซื้อไปเมื่อสองวันก่อน...ก็เห็นน้องฟ้าบ่นว่าอยากไปเที่ยวทะเล พี่ก็เลยคิดว่า ถ้ามีบ้านพักริมทะเลไว้เป็นของตัวเองสักหลัง ก็คงจะดีไม่น้อย ...ก็เลยติดต่อซื้อไปแล้วมาชวนน้องฟ้าไปเที่ยวด้วยกันนี่ล่ะครับ"

   พอรวียอมบอกเล่าความจริง เด็กหนุ่มที่นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ก็เริ่มยิ้มออก ทำให้รวีโล่งอกแล้วยิ้มตาม ส่วนเมฆามองเพื่อนด้วยความตะลึง เพราะไม่คิดว่าเพื่อนของเขาจะกลายเป็นลูกแมวเชื่อง ๆ ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเวหาเช่นนี้

   "ผมอยากไปเที่ยวทะเลก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่ซันต้องมาสิ้นเปลืองไปมากมายเพราะผมแบบนี้เลย"

   เวหาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ฟังรวีบอกเหตุผลที่แท้จริง แต่พอรวีได้ยินดังนั้นก็รีบแย้งกลับมาทันที

   "พี่ไม่เคยคิดว่าตัวเองสิ้นเปลืองเลยนะครับน้องฟ้า! สำหรับน้องฟ้าแล้ว อะไรก็ได้ ขอแค่น้องฟ้ามีความสุข พี่ก็พร้อมยินดีจะทำทุกอย่าง"

   เด็กหนุ่มสั่นศีรษะค่อย ๆ คล้ายเอือมระอา ส่วนเมฆาที่เห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งคู่กำลังเริ่มลงตัวเขาจึงตัดสินใจจับมือของมีนาแล้วส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มเงียบและเดินตามตนมา ทำเอาคนถูกวิสาสะจับมือขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่ม เจ้าตัวก็ค้อนขวับเข้าให้ แล้วยอมเดินตามไปอีกทางแต่โดยดี



   ทางด้านเวหานั้นหลังจากนิ่งเงียบมาครู่ใหญ่ เขาก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้กับชายตรงหน้าตน

   "พี่ซันครับ...ถ้าผมจะรักใครสักคน ผมจะไม่รักเขาที่ทรัพย์สินเงินทองหรือรูปลักษณ์ภายนอกหรอกนะครับ แต่ผมจะรักเขาเพราะเขานั้นมีความรัก ความจริงใจ และมั่นคงซื่อสัตย์ต่อผม ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม"

   รวีมองเด็กหนุ่มเบื้องหน้าตนอย่างตื้นตัน ในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้น ล้วนเจอแต่คนเข้าหาเพราะหน้าตา ฐานะ และอำนาจที่มี หากแต่เวหากำลังแสดงให้เขาได้เห็นว่า ของพวกนั้นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ หากแต่เป็นความจริงใจและความรักต่างหาก ที่สำคัญกับเจ้าตัวมากกว่า

   "พี่ดีใจจังเลยนะครับน้องฟ้า ที่ได้มีโอกาสเจอน้องฟ้า ได้รักน้องฟ้า  ต่อให้พี่จะต้องผิดหวัง แต่พี่ก็ยังดีใจ ที่ในชีวิตนี้ของพี่ มีโอกาสได้รักคนดี ๆ อย่างน้องฟ้าแบบนี้"

   เวหายิ้มเขิน ๆ ให้คนตรงหน้าเขา แล้วอุบอิบพึมพำตอบแผ่วเบา

   "บางทีพี่ซันอาจจะไม่ต้องผิดหวังก็ได้นะครับ..."

   รวีชะงักนิ่งงันไปชั่วครู่กับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเบิกตากว้างตามมาด้วยความตกตะลึงเป็นที่สุด

   "น้องฟ้า! ที่พูดมานั่นหมายความว่ายังไงครับ! หรือว่า....!"

   รวีมีสีหน้าตื่นตกใจปนคาดหวัง ทำให้คนที่เผลอหลุดปากพูดความในใจออกไปหน้าแดงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะตอบกลับออกไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างติดขัดผิดเคย

   "กะ...ก็ ยังไม่แน่ใจนักหรอกครับ... เอ่อ...แต่ตอนนี้ ดูท่าทางมันจะเอนมาทางสมหวัง...มากกว่าผิดหวังอยู่มากน่ะครับ"

   รวียิ้มกว้างด้วยความยินดีเป็นที่สุด เขาเผลอดึงร่างคนตรงหน้ามากอดหมับ ทำเอาเวหาสะดุ้งโหยง ทว่าสักพักคนกอดก็คืนสตินึกขึ้นได้ เจ้าตัวรีบปล่อยร่างในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ แล้วรีบขอโทษด้วยใบหน้าที่แสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด จนเวหานึกขำ

   "กอดแค่นี้ผมไม่โกรธอะไรหรอกครับ...แต่อย่าเผลอกอดต่อหน้าคนอื่นแล้วกันนะครับ"

   รวีตาเบิกกว้างพลางพยักหน้าหงึกหงักยิ้มรับอย่างมีความสุข เสียจนคนที่มองอยู่อดยิ้มตามไปไม่ได้



   อีกด้านหนึ่งนั้น มีนากับเมฆาที่กำลังแอบมองอยู่ห่าง ๆ คนหนึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มพึงพอใจ ส่วนอีกคนมีสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมาอย่างนึกปลง ทำเอาเมฆาที่อยู่ด้วย ต้องเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกาย ก่อนจะหวนนึกถึงคำพูดของเพื่อนสนิทที่เคยได้คุยกันเป็นการส่วนตัวก่อนหน้านั้นเมื่ออาทิตย์ก่อน

   "น้าณรงค์เขาฝากมาบอกนายว่า ถ้าไม่คิดจริงจังอะไร ก็อย่าทำเหมือนไปจีบให้ความหวังลูกชายเขา...แล้วฉันก็รับปากมาแล้วว่าจะพูดเตือนให้ ก็เลยมาบอกกับนายแบบนี้นี่ล่ะ!"

   เมฆาจำได้ว่าหลังจากฟังถ้อยคำตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมของเพื่อนสนิท ก็ทำให้เขานิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว เนื่องจากเขานั้นถูกใจมีนามากก็จริง แต่ก็ยังไม่มากถึงกับขนาดจะปักใจและยอมหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มเพียงแค่คนเดียว ...แต่จะให้ตัดใจจากเด็กคนนี้ไปเลย เขาก็เกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจทำตัวสนิทสนมไปแบบเดิม แต่พยายามพูดหยอกล้อเล่นในแง่นั้นกับเด็กหนุ่มให้น้อยลงแทน

   "นี่! เมื่อไหร่จะปล่อยมือผมเสียทีนี่! จับมานานแล้วนะ!"

   เสียงของมีนาที่ดังขึ้นเรียกสติชายหนุ่มให้กลับคืนมา เมฆาชะงักเล็กน้อย แล้วจึงรีบปล่อยมือก่อนจะเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ทำให้คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้วยกันต้องนิ่วหน้าอย่างนึกแปลกใจกับท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย แถมอาการขยับตัวหนีถอยทิ้งระยะห่างของเมฆาที่ตามมา ก็ทำให้มีนาชักเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเข้าให้แล้ว



   หลังจากที่รวีกับเวหาช่วยพูดกล่อมเรื่องไปเที่ยวค้างคืนริมทะเล ก็ทำให้วารีและณรงค์ยอมตอบตกลงรับคำอนุญาต ทว่าทั้งสองคนนั้นขอเลือกอยู่เฝ้าบ้านแทน และปล่อยให้ลูก ๆ ไปสนุกกันเองตามประสา ทำเอามีนากับเวหาชักรู้สึกไม่อยากไปเที่ยวขึ้นมาเสียแล้ว  ร้อนถึงรวีกับเมฆาต้องช่วยกันพูดโน้มน้าวผู้ใหญ่ทั้งสองกันยกใหญ่

   "นะครับ...ไปค้างแค่ไม่กี่วันเอง ส่วนเรื่องสวนก็จ้างคนดูแลก็ได้นี่ครับ  หรือถ้าคุณน้ากลัวคนที่จ้างจะดูแลให้แบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เดี๋ยวผมสั่งให้คนของผมมาช่วยแบบครั้งก่อนนั่นก็ได้  รับรองเลยครับว่าสวนของคุณน้าและบ้านหลังนี้จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่องแน่นอน!"

   ณรงค์รับฟังแล้วมองหน้าวารี ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "ก็เพราะกลัวคนจะแตกตื่นเอาแบบครั้งก่อนนั่นล่ะ น้าถึงไม่อยากทิ้งบ้านไปน่ะ"

   ณรงค์ที่เริ่มหันมาพูดคุยกับพวกรวีอย่างเป็นกันเองบอกกับชายหนุ่มตามตรง ทำเอารวีและเมฆาชะงักกึก ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มเจื่อนตามมา เนื่องจากเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ณรงค์หกล้มขาแพลง ทำให้ไปทำงานลำบาก ส่วนรวีเองก็ไม่อยากให้เวหาต้องรับผิดชอบงานแทนพ่อหนักจนเกินไป เลยจัดแจงออกคำสั่งให้บรรดาบอดี้การ์ดของเขาที่คอยดูแลติดตามเขาอยู่ห่าง ๆ ไม่ให้เห็นตัวเป็นที่สะดุดตาก่อนหน้านั้น  ให้เปิดเผยตัวและออกมาช่วยงานสวนของณรงค์  ซึ่งก็ทำให้คนอื่นในละแวกนั้น พากันแตกตื่นตกใจที่ได้เห็นคนใส่สูทชุดดำ สวมแว่นตาดำ ท่าทางโหด ๆ เหมือนพวกตัวร้ายในหนัง ราวสามสี่คน  มาลงมือช่วยกันทำสวนทำไร่ให้ได้เห็นเช่นนี้

   "ไม่เป็นไรหรอกฟ้า...มีน...พ่อกับแม่ก็อายุมากแล้ว นั่งรถนาน ๆ ก็เมื่อย แถมพ่อยังเมารถอีก ไปถึงก็คงเที่ยวได้ไม่สนุกนัก สู้ให้เด็ก ๆ ไปเที่ยวกันตามประสาน่าจะดีกว่า แล้วอีกอย่างพ่อกับแม่ก็ไว้ใจว่า พวกพี่ ๆ เขาจะดูแลลูกของพ่อทั้งสองได้เป็นอย่างดีแน่ ...จริงไหม"

   ณรงค์บอกกับบุตรชายแล้วหันมาทางชายหนุ่มอีกสองคน ก่อนจะส่งสายตาแฝงความนัยบางอย่างที่ทำให้คนมองทั้งคู่ชะงัก ทว่าสักพักทั้งคู่ก็พยักหน้ารับรู้ แล้วตอบกลับไปด้วยสายตาหนักแน่นจริงจังแทบจะพร้อมกัน

   "ครับ! คุณน้า!"

   ณรงค์กับวารียิ้มแย้มตอบรับ จากนั้นณรงค์จึงหันมาทางลูก ๆ ของพวกตนบ้าง

   "ส่วนพวกลูกก็อย่าไปก่อความเดือดร้อนอะไรให้พวกพี่เขานักนะ ...อ้อ! แล้วถ้าพวกพี่เขาเกิดใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือยให้พวกลูกจนเกินไป ก็ช่วยกันปราม ๆ ห้าม ๆ เขาด้วยล่ะ"

   เวหากับมีนามองหน้ากัน แล้วเหลือบไปมองชายหนุ่มทั้งสองที่ต่างสะดุ้งนิด ๆ เมื่อถูกพาดพิง ท่าทางยิ้มเจื่อนของพวกรวีที่ได้เห็นทำเอาสองพี่น้องหลุดขำนิด ๆ อย่างลืมตัว แล้วจึงหันกลับไปตอบบิดาด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมกัน

   "ได้เลยครับพ่อ!"

   วารีจ้องมองครอบครัวของเธอที่ครึกครื้นขึ้นมามาก หลังจากที่มีพวกรวีและเมฆาเข้ามาในชีวิต หญิงสาวแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุข สำหรับเรื่องบุตรชายคนโต เธอคงไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก เพราะรวีนั้นแสดงออกให้เห็นว่ารักและหลงใหลในตัวของเวหาเสียเหลือเกิน มิหนำซ้ำหลัง ๆ มานี้ยังดูเชื่อฟังลูกชายของเธอเสียจนน่าสงสารอีกด้วย

   ทว่าแม้จะไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของเวหาแล้ว แต่มีนานั้นกลับดูน่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะเธอสังเกตได้ว่าเมฆานั้นแม้จะพูดคุยสนิทสนมกับมีนาเป็นอย่างดี แต่ก็วางตัวในลักษณะแบบพี่น้องและดูจะไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าความเอ็นดู หากแต่ลูกชายคนเล็กของเธอนี่สิ ชักเริ่มมีท่าทางผิดแผกแปลกไปยามที่ได้อยู่ใกล้ชิดเมฆาเข้าให้เสียแล้ว

   หากว่ามีนานั้นตกหลุมรักเมฆาเข้าให้จริง และตัวเมฆาเองก็มีใจและคิดจริงจังกับมีนาแบบรวีที่มีต่อเวหาบ้าง เธอก็คงยินดีและไม่คิดขัดขวางในความรักของทั้งคู่  แต่ถ้าไม่ใช่ แม้จะต้องเห็นลูกเสียใจก็ตาม ทว่าเห็นทีเธอคงต้องเป็นคนลงมือบอกให้มีนาเป็นฝ่ายตัดใจจากชายหนุ่มเสียก่อนที่เจ้าตัวจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้เสียแล้วล่ะนะ



   หัวค่ำคืนนั้น วารีลงมือช่วยสองพี่น้องเก็บเสื้อผ้าเตรียมไปเที่ยว พอหญิงสาวสังเกตเห็นลูกชายคนเล็กของเธอทำเป็นบ่นในเรื่องนี้แต่กลับมีท่าทางกระตือรือร้นผิดเคย ก็ทำให้เธอต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วแสร้งเปรยขึ้นคล้ายบ่นกับตัวเอง

   "...บางทีการที่เราเลิกแกล้งโกหกตัวเองและหันมามองความรู้สึกของตัวเองอย่างจริงจังสักที มันก็อาจจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่จะตามมาในอนาคตก็เป็นได้นะลูก"

   มีนาชะงักและหยุดมือที่กำลังจัดเก็บเสื้อผ้าลง ส่วนเวหานั้นมองมาที่มารดาอย่างแปลกใจ

   "หมายความว่ายังไงหรือครับแม่"

   วารียิ้มน้อย ๆ แล้วจึงทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่น

   "ก็ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แม่ก็แค่นึกอะไรได้ก็เลยพูดเรื่อยเปื่อย อ๊ะ! จริงสิฟ้าเอาครีมกันแดดไปหรือยังจ๊ะ แดดทะเลแรงกว่าบ้านเราเยอะนะ เดี๋ยวผิวลอกแสบเอาแย่"

   "ฟ้าเตรียมไว้แล้วล่ะครับ ขืนดำมากไปกว่านี้ เดี๋ยวพอเปิดเทอม เพื่อนฟ้ามันจะจำกันไม่ได้พอดี"

   เวหาพูดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ ส่วนมีนาแสร้งทำเป็นยิ้มตามพี่ชาย แต่ก็ยังคงเหลือบมองมารดาที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่เขา เด็กหนุ่มเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นผสมโรงชวนพี่ชายคุยเรื่องอื่นต่อ และเมื่อมารดาออกจากห้องไปแล้ว เขาก็ยังคงหวนคิดถึงถ้อยคำที่มารดาพูดเปรยขึ้นโดยไม่ระบุตัวใครนั่นอีกครั้ง

   'มีนรู้ว่าแม่ตั้งใจจะเตือนมีนทางอ้อม...แต่แม่อย่าห่วงเลยนะครับ...มีนยังไม่รู้สึกอะไรกับเขาถึงขั้นนั้นหรอก....ยังไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นสักนิด...ไม่รู้สึกเลยจริง ๆ ...'

   มีนาลอบถอนหายใจเบา  ๆ แล้วพยายามข่มตาหลับ เขาได้ยินเสียงเวหาขยับกายปิดไฟตรงหัวนอนของเจ้าตัว จากนั้นสักพักใหญ่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของพี่ชายก็ดังขึ้น ทว่ามีนานั้นกลับยังคงนอนไม่หลับ เจ้าตัวลืมตามองเพดานไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบตีสอง เปลือกตาของเด็กหนุ่มก็เริ่มหนักลงและผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียในที่สุด



   พอถึงเวลานัดในตอนเช้าเวหาก็ต้องแปลกใจที่เห็นมีนาซึ่งมักตื่นเช้าอยู่เสมอ กลับมีท่าทางสะลึมสะลืองัวเงีย เหมือนคนอดนอน ทั้งที่เมื่อคืนเขาก็เห็นว่าน้องชายเข้านอนก่อนเขาแท้ ๆ ส่วนทางด้านวารีและณรงค์หลังจากฝากฝังลูกชายกับพวกรวีเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ก็ขอตัวตรงไปที่สวนผลไม้ด้วยกัน เพราะวันนี้วารีนั้นตั้งใจจะตามไปเป็นลูกมือช่วยสามี แทนลูกชายคนโตที่มักจะคอยไปช่วยอยู่ทุกวันนั่นเอง

   "น้องมีนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับสินะครับ ตาเป็นหมีแพนด้าเชียว"

   เมฆาเอ่ยกระเซ้าเมื่อได้เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่ม หากแต่เขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นมีนาชะงักแล้วทำเป็นเมินมองไปอีกทาง ไม่โวยวายต่อล้อต่อเถียงเหมือนที่เคยเป็น

   "มีนไม่สบายหรือเปล่า...ถ้าไปไม่ไหวเราเลื่อนเวลาไปช้ากว่านี้สักหน่อยก็ได้นะ...ได้ไหมครับพี่ซัน"

   เวหาหันไปถามชายหนุ่มเพราะความเป็นห่วงน้อง ซึ่งรวีก็รีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับโดยไม่มีการเกี่ยงงอน

   "ได้เลยครับ! ยังไงทะเลก็ไม่หนีเราไปอยู่แล้ว ...น้องมีนอยากให้พวกพี่พาไปหาหมอก่อนไหมครับ"

   มีนามองรวีและพี่ชายของเขาก่อนจะฝืนยิ้มน้อย ๆ ให้

   "มีนไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ แค่ง่วงนิดหน่อย...เมื่อคืนก็คงตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวเลยทำให้นอนไม่หลับ เหมือนที่พี่เมฆบอกมานั่นล่ะครับ"

   คนฟังทั้งคู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่วนเมฆานั้นรู้สึกติดใจกับท่าทางของเด็กหนุ่มอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไรขัดออกไป

   "ถ้าอย่างนั้นน้องมีนก็นอนหลับไปบนรถก็ได้นะครับ เดี๋ยวถ้าถึงแล้วพี่จะปลุกเอง"

   เมฆาบอกกับเด็กหนุ่ม ซึ่งมีนาก็ฝืนยิ้มรับ และพอขึ้นไปนั่งตรงหลังรถ เจ้าตัวก็หลับตาลงไม่ได้พูดคุยอะไรกับใคร หากแต่พอรถแล่นไปสักพัก เด็กหนุ่มก็ผล็อยหลับไปจริง ๆ เสียงกรนเบา ๆ อย่างคนหลับสนิททำให้คนที่นั่งข้าง ๆ อมยิ้มอย่างเอ็นดู ส่วนเวหาพอเห็นน้องชายหลับสบายเขาก็สบายใจตาม และเริ่มหันไปคุยกับรวีพลางมองโน่นนี่ข้างทางตามที่คนขับแนะนำอย่างสนอกสนใจ และยิ่งพอรวีเอาขนมหวานที่แอบไปซื้อมายื่นส่งให้ เวหาก็ยิ้มหวานตอบรับด้วยความยินดีเสียจนทำให้คนขับแทบจะลืมมองทางข้างหน้า จนเมฆาต้องคอยกระแอมเตือนถี่อยู่บ่อยครั้ง เพราะพอเผลอ ๆ คนขับก็เหลือบชำเลืองมองคนนั่งข้าง ๆ อยู่เรื่อยจนน่าเป็นห่วง



   ขับรถมาได้เกือบสองชั่วโมงพวกรวีก็ตัดสินใจจอดรถพักในปั๊มใหญ่ เพื่อเข้าห้องน้ำและยืดเส้นยืดสาย รวมถึงซื้อของกินของใช้ที่ขาดเหลือติดรถไปต่อด้วย

   "อืม...ถึงแล้วหรือครับ"

   มีนาที่ถูกปลุกขึ้นถามพี่ชายของตน ซึ่งเวหาก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกว่ารถแวะจอดพักชั่วครู่ จากนั้นเด็กหนุ่มก็สอบถามอาการของน้องชาย ซึ่งมีนาก็ยิ้มแล้วตอบไปตามตรง

   "ดีขึ้นมากเลยครับ คงเพราะนอนไม่พอจริง ๆ นั่นล่ะ"

   "ถ้าอย่างนั้นน้องมีนไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นดีไหมครับ เดี๋ยวพี่จะไปซื้อเครื่องดื่มเย็น ๆ มาให้ อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ"

   เมฆาถามคนข้างกายอย่างเอาใจ ทำเอามีนาสะดุ้งและขยับห่างอย่างลืมตัว แต่พอเห็นสีหน้าแปลกใจของอีกฝ่ายก็ทำให้เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติ แล้วแสร้งยิ้มน้อย ๆ พร้อมตอบกลับไป

   "ผมขอพวกโคล่าเย็น ๆ ซ่า ๆ ก็ได้ครับ ...ขอบคุณนะครับพี่เมฆ"

   เมฆายิ้มรับพร้อมพยักหน้า แม้จะยิ่งสงสัยต่อพฤติกรรมที่แปลกไปของเด็กหนุ่มยิ่งขึ้นไปอีก

   จากนั้นเวหากับมีนาก็แยกย้ายไปล้างหน้าล้างตาและทำธุระส่วนตัว ส่วนพวกรวีกับเมฆาก็แยกไปซื้อเครื่องดื่ม ขนมของขบเคี้ยวเพิ่มเติม เมฆามองเพื่อนสนิทจ้องช็อกโกแลตแล้วต้องรีบปรามเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะเหมามาหมดชั้น

   "ขืนกินหมด น้องฟ้าคงได้อิ่มก่อนกินข้าวกลางวันกันแน่ ...มันคงไม่ดีใช่ไหมล่ะ ถ้าพวกเรากินข้าวกัน แล้วต้องให้น้องเขานั่งมองเพราะกินขนมจนอิ่มเกินไปน่ะ"

   รวีนิ่วหน้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา

   "ช่วยไม่ได้นี่นะ แต่หน้าน้องฟ้าตอนได้รับขนมแล้วก็ตอนกินขนมน่ะน่ารักมากเลยนะ เหมือนตอนเด็กไม่มีผิด"

   เมฆามองหน้าเพื่อนตอนกำลังเคลิ้มฝันถึงอดีตด้วยสีหน้าค่อนข้างขยาด เพราะนึกยังไงรวีในวัยสิบสองที่ตกหลุมรักกับเวหาตอนสามขวบ มันก็ดูไม่ค่อยจะปกตินักอยู่ดีนั่นเอง

   และเมื่อทั้งหมดมารวมกันที่รถ เมฆาก็เสนอตัวเป็นคนขับรถแทนเพื่อนสนิทที่สมาธิไม่ค่อยจะอยู่กับร่องกับรอยนัก ทำให้เวหากับมีนานั้นจำต้องย้ายที่สลับกัน โดยมีนาตอนนี้มานั่งเป็นเพื่อนข้างคนขับแทนที่พี่ชาย ซึ่งเด็กหนุ่มก็กลับมาพูดคุยกับเขาสนิทตามเดิม ทำให้เมฆาบอกตัวเองว่า บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเอง เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายนั้นดูค่อนข้างผิดปกติไปเมื่อตอนเช้านี้

   ส่วนทางด้านมีนาค่อนข้างโล่งอกเล็กน้อย ที่เขาสามารถพูดคุยกับเมฆาได้เหมือนก่อนหน้านั้น เนื่องจากระหว่างไปเข้าห้องน้ำ เด็กหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่า หากเขายังคงทำตัวผิดปกติต่อหน้าเมฆาออกไปมากกว่านี้ ก็เท่ากับเขายอมรับว่าเขาแอบมีใจให้กับเมฆาจริง ๆ ซึ่งนั่นทำให้ มีนาทนไม่ได้ ที่จะกลายเป็นว่าตัวเขาเองอาจจะเป็นฝ่ายตกหลุมรักข้างเดียวเช่นนี้

   'เราไม่ได้คิดอะไรกับผู้ชายคนนี้สักหน่อย....ไม่ได้คิดสักนิด...ใช่แล้ว! เพราะอย่างนั้นก็ทำตัวตามปกติไปเหมือนเดิมสิ มีนา!'

   เด็กหนุ่มเฝ้าบอกตัวเอง แล้วทำเป็นค้อนใส่เมื่ออีกฝ่ายพูดแหย่ตน ซึ่งนั่นก็สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนขับรถได้เป็นอย่างดี และนั่นจึงทำให้คนที่แอบลอบชำเลืองมองยามที่อีกฝ่ายเผลอ ต้องหลุดยิ้มเศร้า ๆ ออกมา แต่แล้วเพียงครู่เดียวก็กลับเป็นปกติ และหันไปหาเรื่องแซวสลับขัดคอคู่หวานด้านเบาะหลังแทน จนกระทั่งถึงที่พักส่วนตัวของรวีในที่สุด


 
.... TBC .....


ใครจะรอดราม่า คาดว่าอาจจะรอเก้อค่ะ  เพราะคนแต่งไม่ค่อยชอบอะไรบีบคั้นเท่าไหร่ มาแป๊บ ๆ ก็ผ่านไปละ เน้นสุขสันต์หรรษามากกว่า หุ ๆ  :impress2:

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: epoch ที่ 18-08-2014 20:28:51
มารออ่านค่า ชอบเรื่องที่อ่านแล้วสบายใจอย่างนี้มากเลยค่า ไม่ชอบดราม่า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 18-08-2014 20:42:34
เรื่องนี้อ่านแล้วสุข
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 18-08-2014 20:43:05
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-08-2014 20:53:51
 o13 no drama 
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-08-2014 20:55:11
ไม่ชอบมาม่าเท่าไหร่ มันให้รู้สึกหนึบ ๆ ยังไงพิกล
ขอบคุณคนเขียนมากเลยน๊ะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 18-08-2014 21:56:53
อยากให้พี่เมฆาแสดงให้ชัดเจนกว่านี้ ว่ารักน้องมีนเหมือนกัน

น้องมีนจะได้ไม่ต้องคิดไปเองฝ่ายเดียว

คู่พี่ก็มีความสุขไปแล้ว ลุ้นคู่น้องนี่ละ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-08-2014 22:54:18
เอ๊ะ คู่เมฆมีนนี่ยังไงแน่
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 18-08-2014 23:11:41
 :L2: :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 19-08-2014 10:04:40
โธ่น้องมีน เฮ้ออออ

ขอบคุณที่ไม่มีดราม่า กรุบกริบพอได้ มาเต็มๆนี่บอกเลยไม่ถูกกัน 5555555 
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 19-08-2014 10:39:58
สงสารน้องมีนาจังครับ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 19-08-2014 13:25:36
เรื่องนี้น่ารักมุ้งมิ้งมากเลยอะ น้องฟ้าเปิดตัวมานึกว่ารวีจะโดนตั๊นหน้าให้รักคุดเข้าให้ซะแล้ว ที่ไหนได้เป็นเด็กดีแถมยังกตัญญูด้วย  :-[  สมกับที่พระเอกของเราปักใจรักมานับสิบกว่าปี
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 10) 18/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 19-08-2014 13:56:04
แบบน่ารักอบอุ่นแบบนี้ก็ดีแล้วค่ะ
ไม่ต้องมีดราม่าเลยก็ยิ่งดี  :-[
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 19-08-2014 15:59:33

บทที่ 11



   "ว้าว! บ้านหลังเบ้อเริ่มเลย สุดยอด!"

   มีนาโพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างลืมตัว ทำให้เวหาและอีกสองหนุ่มต้องอมยิ้มน้อย ๆ มองตามคนที่กำลังมองซ้ายมองขวาไปทั่วอย่างเอ็นดู

   "พี่ซัน! ผมขอไปดูรอบ ๆ บ้านได้ไหมครับ!"

   "ได้สิ ตามสบายเลยนะครับน้องมีน"

   รวีบอกพร้อมรอยยิ้ม ส่วนเวหาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเหลือบไปมองกระเป๋าเสื้อผ้าของน้องชายที่เจ้าตัวควรจะนำไปเก็บเข้าห้องก่อน ทว่าเจ้าของกระเป๋าตอนนี้กลับวิ่งเล่นไปสำรวจรอบบ้านเสียแล้ว

   "เดี๋ยวพี่ช่วยถือนะครับ"

   รวีหันมาบอกคนใกล้ตัว ซึ่งเวหาก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ พร้อมกับพึมพำขอบคุณแผ่วเบา ทางด้านเมฆาพอเห็นดังนั้นเจ้าตัวก็คว้ากระเป๋าของตัวเองออกมาแล้วเดินแยกตัวไป ปล่อยให้ว่าที่คู่รักใช้เวลาส่วนตัวกันตามลำพังแทน



   ทางด้านมีนาพอสำรวจรอบบริเวณบ้านจนเป็นที่พอใจแล้ว เด็กหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าต้องเอากระเป๋าไปเก็บเข้าห้อง แต่พอไปที่รถก็ไม่เห็นมีใคร เขาจึงเข้าใจว่าทุกคนเข้าไปอยู่ในบ้านพักหมดแล้ว

   "พี่ฟ้า...อยู่ห้องนี้หรือเปล่า"

   มีนาเดินเข้าไปในห้องที่เปิดประตูแง้มเอาไว้ ข้างในมีกระเป๋าเดินทางเปิดอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นของเมฆาหรือรวี แต่เจ้าของกระเป๋าดูท่าทางว่าจะไม่อยู่ในห้อง มีนาเดินเข้าไปหมายจะชะโงกหน้าดูในห้องน้ำว่ามีคนอยู่ไหม แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเมฆานั้นเดินสวนออกมา จนทำให้พวกเขาเกือบชนกัน

   "อ้าว! น้องมีน มีอะไรหรือครับ"

   เมฆายิ้มน้อย ๆ ให้ ทำเอาคนที่กำลังตกใจชะงัก แล้วฝืนยิ้มตอบ

   "ผมกำลังหาห้องที่พี่ฟ้าอยู่น่ะครับ...งั้นผมขอตัวก่อนนะ"

   "เดี๋ยวสิครับ...น้องมีนดูแปลก ๆ ไปอีกแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่าครับหรือว่ายังเกลียดหน้าพี่อยู่"

   เมฆาดึงมือของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วถามด้วยความสงสัย ทว่าคำถามของชายหนุ่มนั้นทำให้มีนาชะงัก ก่อนจะหันกลับไปมอง

   "ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ...มาถึงตอนนี้ผมเองก็พอจะรู้แล้วว่าถึงทั้งคู่จะดูไม่ค่อยปกตินัก  แต่พวกพี่สองคนก็น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง"

   คำปฏิเสธพร้อมถ้อยคำอธิบายที่ทำให้คนฟังขมวดคิ้วนิด ๆ แต่ก็ยังคงย้อนถามกลับไป

   "แล้วทำไมน้องมีนถึงทำตัวเหมือนจะพยายามเหินห่างจากพี่จังล่ะครับ"

   มีนาชะงักแล้วเงียบไปชั่วครู่ แต่พอเมฆาย้ำถามอีกครั้งโดยไม่ยอมปล่อยมือ ก็ทำให้เด็กหนุ่มหลุดโพล่งออกไปในที่สุด

   "คนที่เหินห่างไปก่อนน่ะ นั่นพี่เมฆเองไม่ใช่รึ! แล้วผมเองจะทำแบบเดียวกันบ้างมันผิดด้วยหรือไง!"

   เมฆานิ่งอึ้งแล้วจ้องมองคนที่เถียงกลับมาอย่างลืมตัวนั่นด้วยสายตาวิเคราะห์พิจารณา ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างไม่แน่ใจนัก

   "หรือว่าน้องมีนจะ...ชอบพี่หรือครับ"

   มีนาชะงักกึก หน้าแดงก่ำ ปากสั่นตัวสั่น ตกใจที่ถูกอีกฝ่ายรู้ถึงความในใจของตน

   "น้องมีน..."

   เมฆาที่เห็นอาการเช่นนั้นเรียกชื่อเด็กหนุ่มอย่างตกใจ ส่วนมีนาที่เริ่มจะสติแตกพอเห็นชายหนุ่มขยับเข้ามาหาใกล้ขึ้น เจ้าตัวจึงหลุดโพล่งออกไปลั่นด้วยความลืมตัว

   "หยุดนะ! ถ้าไม่คิดจะชอบกัน ก็ไม่ต้องมาทำเป็นใจดีด้วยหรอก!"

   เมฆานิ่งอึ้งกับถ้อยคำนั้น เจ้าตัวเผลอผ่อนแรงที่จับข้อมือของอีกฝ่ายไว้ ทำให้มีนาสะบัดมือออก แล้ววิ่งหนีไปจากห้อง ชายหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าที่ห่างไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นวิ่งออกจากบ้านพักไปแล้ว เมฆายืนเงียบไปอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงตัดสินใจออกจากห้องวิ่งตามมีนาไปเช่นกัน

   

   อีกด้านหนึ่งทางด้านเวหา พอเขาได้ยินเสียงน้องชายของตัวเองตะโกนดังแว่ว ๆ เจ้าตัวก็รีบลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องออกไปดู และทันได้เห็น   มีนาวิ่งร้องไห้ผ่านหน้าตัวเองไป ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตกใจยิ่งนัก แต่พอเขากำลังจะวิ่งตามไป รวีที่เปิดประตูห้องออกมาหลังจากนั้นก็หันมามองเขาแล้วบอกขึ้นทันที

   "พี่ไปด้วยคนนะครับ!"

   "ครับ...รีบตามไปกันเถอะครับ ผมเป็นห่วงน้อง!"

   เวหารีบรับคำ แล้ววิ่งตามออกไป หากแต่พอไปถึงหาดส่วนตัวหน้าบ้านพักที่ไร้ผู้คน เขาก็ได้เห็นมีนายืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าทะเล เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะตะโกนออกไปสุดเสียง

   "ไอ้พี่เมฆบ้า! ถ้าไม่ชอบกันแต่แรก จะมาทำให้คนเขาเข้าใจผิดทำไมกันวะ! งี่เง่าที่สุด!"

   เวหานิ่งอึ้งไม่แพ้รวี ทว่าพอตั้งสติได้ รวีก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงทำเป็นตะโกนเป็นเพื่อนขึ้นบ้าง

   "ไอ้เมฆ ไอ้เพื่อนงี่เง่า! อุตส่าห์มีคนน่ารักมาชอบแท้ ๆ ยังทำเล่นตัวอีก น้องเขาหมดรักเมื่อไหร่ จะสมน้ำหน้าให้ดู!"

   เวหามองคนข้างกายตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วนมีนาหันมามองรวีอย่างอึ้ง ๆ ในทีแรก ก่อนที่จะมีรอยยิ้มตามมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มให้เขา

   "ใช่แล้ว! ถ้าเลิกชอบเมื่อไหร่ ต่อให้เปลี่ยนใจมาจีบอีก ก็จะไม่สนอีกแล้วล่ะ!"

   มีนาตะโกนต่อ แล้วหัวเราะออกมา น้ำตาที่ไหลเมื่อครู่นั้นก็เหือดแห้งไปตั้งแต่ตอนไหนเขาก็ไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่าตอนนี้กำลังโล่งอกและสบายใจ ที่ได้เปิดเผยความในใจออกมาเช่นนี้

   "อย่าคิดมากเลยนะครับน้องมีน คนน่ารักอย่างน้องมีน พี่แน่ใจว่าจะมีคนมารอคิวจีบอีกเยอะแน่  ปล่อยให้เพื่อนโง่ ๆ ของพี่มันโง่ต่อไปดีกว่า หมอนั่นมันโสดเสียเคยตัว แถมยังมัวแต่กลัวที่จะมีพันธะ ก็เลยทำให้ชวดคนดี ๆ ไปหลายคนแล้วล่ะนะ"

   รวีเดินมาปลอบเด็กหนุ่ม ส่วนเวหาก็โอบบ่าน้องชายมาปลอบโยนโดยไร้คำพูด แต่นั่นกลับทำให้มีนารู้สึกสบายใจมากขึ้น ทว่ามีนาก็ต้องชะงักเมื่อเขาหันไปเห็นเมฆากำลังเดินตรงมาหาตน

   "น้องฟ้า...ซัน ...ขอเวลาส่วนตัวให้ฉันพูดคุยกับน้องมีนตามลำพังจะได้ไหม"

   คนที่เดินมาถึงหันไปบอกเพื่อนสนิทและเวหา ซึ่งเวหานั้นก็มีท่าทางลังเลเล็กน้อย หากแต่รวีนั้นจับไหล่เด็กหนุ่มบีบนิด ๆ แล้วพยักหน้าให้เวหาวางใจ จากนั้นรวีจึงหันไปทางมีนาแล้วเอ่ยขึ้น

   "ถ้าเจ้าเมฆมันทำอะไรล่วงเกินน้องมีนล่ะก็ อย่าลืมตะโกนเรียกให้พี่ช่วยดัง ๆ เลยนะครับ เดี๋ยวพี่จะมาต่อยมันให้เอง"

   เมฆาชะงัก พลางหันไปมองเพื่อนสนิทตาปริบ ๆ ส่วนมีนาหลุดหัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับเมฆาด้วยใจที่ชื้นขึ้น ทำให้เวหาที่เดินห่างออกไปพร้อมรวีรู้สึกโล่งอกนิด ๆ ที่เห็นท่าทางน้องชายกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

   

   มีนาจ้องมองคนที่ยืนนิ่งตรงหน้าตนอย่างเริ่มอึดอัด เพราะเมฆานั้นนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรมาได้สักพักแล้ว

   "นี่! พี่เมฆ มีอะไรก็พูดมาสิ ยืนเงียบแบบนี้ผมอึดอัดนะ!"

   มีนาโพล่งออกมาอย่างอดรนทนไม่อยู่ในที่สุด ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วยุ่งอย่างหงุดหงิดมากขึ้น

   "ขำอะไร!"

   "พี่ขำที่เห็นน้องมีน คิดอะไรก็ออกมาทางสีหน้าหมด แถมยังพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้รู้อีกต่างหาก"

   มีนาค้อนขวับเข้าให้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเงียบกันต่ออีกสักพัก และสุดท้ายเด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

   "พี่เมฆ...เมื่อครู่ผมขอโทษนะ...พี่ไม่ผิดหรอก ผมเองต่างหากที่ดันใจง่าย คิดเองเออเองเข้าข้างตัวเองแบบนี้ แล้วก็ดันมาโทษว่าเป็นความผิดพี่อีก"

   เมฆานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจึงถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่

   "ไม่ใช่ความผิดน้องมีนหรอกครับ...พี่ยอมรับนะ ว่าตอนแรกพี่ก็คิดจะจีบน้องมีนอยู่เหมือนกัน...แต่พอได้ยินที่น้าณรงค์ฝากเจ้าซันมาบอกพี่ว่าถ้าไม่คิดจริงจังก็อย่ามาสร้างความหวังให้ลูกชายเขา...พี่ก็เลยตัดสินใจถอยห่างออกมา"

   มีนาเงียบกริบ เขารู้สึกตกใจที่บิดามองออกในเรื่องนี้ และรู้สึกผิดหวังที่เมฆานั้นคิดจีบเขาเล่น ๆ ไม่ได้จริงจังอย่างที่เขาเคยคาดหวังเอาไว้

   "...พี่ขอโทษนะน้องมีน พี่ชอบน้องมีนมากก็จริง แต่เรื่องที่จะตกลงปลงใจกับใครสักคน สำหรับพี่มันเป็นเรื่องใหญ่... เพราะพี่ตั้งใจแล้วว่า หลังจากนี้ ถ้าพี่จะลงเอยกับใครสักคน พี่ก็จะซื่อสัตย์ต่อเขาคนเดียว และไม่เหลียวมองใครอีก... น้องมีนเป็นคนดี น่ารัก แต่ระยะเวลาที่เรารู้จักกัน มันยังสั้นเกินไปกว่าที่พี่จะยืนยันกับหัวใจตัวเองได้ว่า น้องมีนเป็นคนที่ใช่แล้วสำหรับพี่"

   มีนานิ่งเงียบรับฟัง เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่งเงียบไปนาน จนเมฆารู้สึกใจเสีย แต่พอจะเอ่ยปลอบ อีกฝ่ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเงยหน้าขึ้น พร้อมกับแย้มยิ้มกว้างส่งให้ จนเมฆาแปลกใจ

   "ได้ยินอย่างนี้ค่อยโล่งอกหน่อย  เอาเหอะ! ถ้าเป็นแบบนี้มีนก็เข้าใจแล้วไม่โกรธอะไรพี่หรอก ก็พี่เมฆไม่ได้รักมั่นปักใจมานานแบบพี่ซันนี่นะ...ถ้ามาเจอกันไม่กี่วัน แล้วหลงมีนหัวปักหัวปำแบบนั้น มีนก็คงคิดว่าพี่เมฆผิดปกติอะไรเข้าให้ไปแล้วล่ะ!"

   เมฆาฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารเพื่อนสนิทที่ถูกอ้างถึงดี แต่พอเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   "ได้คุยกันตรง ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนอะ! งั้นเอาเป็นว่าหลังจากนี้ มีนก็จะถือว่าพี่เมฆเป็นพี่ชายคนหนึ่งแล้วกัน เราจะได้สบายใจกันทั้งคู่ยังไงล่ะ!"

   คนฟังชะงักกึก แม้ว่าจะออกมาเป็นอย่างที่เขาต้องการ แต่พอได้ฟังมีนาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแบบนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดในหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด

   "น้องมีนพูดเหมือนจะเลิกชอบพี่แล้วเลยนะครับ"

   มีนาขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไปอย่างงุนงง

   "ก็พี่เมฆต้องการแบบนั้นไม่ใช่หรือไง"

   เมฆาชะงัก แล้วมีสีหน้าครุ่นคิดหนัก ส่วนมีนาก็ได้แต่เอียงคอมอง สักพักชายหนุ่มก็ถอนหายใจตามมา แล้วบอกออกไปตามตรง

   "พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน ใจหนึ่งก็ยังอยากโสด แต่อีกใจพอคิดว่าน้องมีนไม่ชอบพี่แล้ว มันก็รู้สึกหงุดหงิดพิลึก"

   มีนานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจึงมีสีหน้าแดงระเรื่อนิด ๆ ให้เห็น

   "...แบบนี้มันเห็นแก่ตัวชัด ๆ"

   เด็กหนุ่มพึมพำบ่น ทว่าสีหน้าที่แสดงให้เห็นว่าดีใจนั้นก็ทำให้คนมองอมยิ้ม

   "ครับ...พี่เห็นแก่ตัว...แต่ถ้าน้องมีนไม่ว่าอะไร ช่วยอย่าเพิ่งคบใครตอนนี้ แล้วรอจนกว่าพี่จะรู้ใจตัวเองแน่ ๆ จะได้ไหมล่ะครับ"

   มีนาก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้าสบตาของชายหนุ่ม แต่ก็ยังคงตอบอุบอิบ กลับไป

   "ถ้าพี่เมฆยังไม่คิดคบกับคนอื่น...ผมก็จะยังไม่คบใครเหมือนกัน"

   เมฆาเผลอหลุดยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ชายหนุ่มจับมือของอีกฝ่ายขึ้นจูบเบา ๆ แต่ก็ทำให้เจ้าของมือหน้าแดงวาบ แล้วเผลอผลักอีกฝ่ายไปเต็มแรงด้วยความตกใจปนอาย ส่งผลให้คนไม่ทันได้ตั้งตัว ต้องหงายหลังล้มลงก้นจ้ำเบ้าไปบนทราย ซึ่งพอเห็นดังนั้น มีนาก็หน้าแดงก่ำแล้วรีบวิ่งหนีกลับเข้าบ้านพักไป โดยไม่แม้แต่จะคิดหยุดทักทายเวหากับรวีที่ยืนแอบดูอยู่แถวนั้นแม้แต่น้อย
..
..
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 19-08-2014 15:59:55
..
..


   ทางด้านเวหานั้น ถึงกับมองตามไล่หลังน้องชายของตนไปอย่างมึนงง แถมถ้าสังเกตจากปฏิกิริยาที่ทั้งคู่คุยกัน ดูเหมือนว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งสองคนนั้นจะค่อนข้างไปในทางดีมากกว่าร้าย

   "เรื่องความรักมันก็แบบนี้ล่ะครับน้องฟ้า...บางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรรองรับ...บางทีเจอกันพูดคุยกันไม่กี่คำ แต่ดันตกหลุมรักไปแล้วก็ยังมี"

   รวีที่สังเกตเห็นสีหน้าของคนข้างกายเอ่ยขึ้น ทำให้เวหาหันมามองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจที่เจ้าตัวนั้นคาดเดาความคิดของเขาได้ ทว่าพอได้เห็นรอยยิ้มหวานของรวี ก็ทำเอาเวหาถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ตามมา

   "นั่นสินะครับ...ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะไม่สนใจ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็เผลอรักไปแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว"

   เวหาพึมพำพร้อมยิ้มตอบ ทว่าคำพูดของเด็กหนุ่มกลับทำให้คนฟังชะงักแล้วจ้องมองกลับด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างคาดหวัง

   "หรือว่า...น้องฟ้าจะหมายถึงเรื่องของน้องฟ้ากับพี่..."

   เวหาหน้าแดงระเรื่อ เพราะคนตรงหน้าเล่นถามเขาแบบไม่คิดจะอ้อมค้อมเลยสักนิด

   "ก็แล้วแต่พี่ซันจะคิดแล้วกันครับ..."

   เด็กหนุ่มตัดบท แล้วหันหลังกลับเดินเข้าบ้านพัก ทำให้คนที่ยืนนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึงเริ่มได้สติ เจ้าตัวรีบจ้ำฝีเท้าเดินตามไปอ้อนถามให้เด็กหนุ่มยอมตอบออกมาตรง ๆ  จนเมฆาที่เดินตามมาถึงกับต้องถอนหายใจอย่างเอือมระอาต่อพฤติกรรมช่างตื๊อของเพื่อนสนิท ทว่าพอเขาหันไปเห็นคนตัวเล็กกำลังยืนรออยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มก็หลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ  ส่วนมีนาพอเห็นว่าเมฆาเดินตามมาด้วย เด็กหนุ่มก็หน้าแดงนิด ๆ แล้วรีบเดินกลับหายเข้าไปในบ้านพักทันที



   เวหาเข้ามาหลบหน้ารวีในห้องส่วนตัวเพียงลำพัง เนื่องจากมีนานั้นไม่กล้าสู้หน้าพี่ชาย เพราะเกรงว่าจะถูกซักถามเรื่องเมฆา ทำให้เด็กหนุ่มขอตัวไปพักอีกห้องที่อยู่ไม่ห่างกันนัก

   "น้องฟ้าครับ...ให้พี่เข้าไปในห้องได้ไหมครับ"

   เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของรวี ทำให้เวหาสะดุ้งโหยง ทีแรกเด็กหนุ่มจะไม่ยอมลุกไปเปิดประตูเพราะรู้สึกเขิน แต่พอได้ยินเสียงของคนข้างนอกที่ฟังแล้วซึมเศร้าลง เขาก็เริ่มใจอ่อน

   "น้องฟ้าครับ...โกรธอะไรพี่หรือครับ...พี่ขอโทษนะครับ ถ้าพี่เผลอทำอะไรให้น้องฟ้าโกรธพี่ไป...ยกโทษให้พี่นะครับ"

   เวหาถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ชายหนุ่ม

   "ไม่ได้โกรธอะไรหรอกครับ...เอ่อ...ก็แค่อายเท่านั้นเอง"

   เด็กหนุ่มตัดสินใจบอกไปตามตรงพร้อมกับใบหน้าเขินอายที่ทำให้คนมองกลืนน้ำลายลงคอ ยิ่งมองผ่านเข้าไปเห็นเตียง ก็ทำให้รวีต้องจับบ่าของเด็กหนุ่มดันเข้าไปในห้อง ส่วนตัวเองก็ปิดประตูห้องโดยไม่ได้เข้ามาด้วย ทำเอาเวหามองบานประตูที่ถูกปิดลงอย่างงุนงง

   "น้องฟ้าครับ...รบกวนน้องฟ้าอยู่ในนั้นสักพักนะครับ ไว้พี่ตั้งสติควบคุมตัวเองได้ค่อยออกมา  เพราะขืนได้จ้องหน้าน้องฟ้านานกว่านี้ พี่คงควบคุมตัวเองไม่ได้แน่...พี่ไม่อยากผิดสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ของน้องฟ้าหรอกนะครับ"

   คำเฉลยที่ได้ยินจากอีกด้านของประตู ทำให้คนที่ยืนอยู่ในห้องหน้าร้อนวาบ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกชื่นชมที่เห็นรวียอมอดทนและรักษาสัญญาเพื่อเขาเช่นนี้

   "ขอบคุณนะครับ พี่ซัน...ผม...เอ่อ ฟ้าดีใจที่พี่ยอมอดทนรักษาสัญญาเพื่อฟ้าแบบนี้"

   รวีแทบอยากจะยกเลิกสัญญาตรงเข้าไปกอดจูบคนในห้อง เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นกับเขา ชายหนุ่มพยายามสงบสติระงับอารมณ์แล้วบอกออกไป

   "น้องฟ้าครับ...พี่ขอตัวก่อนนะครับ ขืนอยู่ตรงนี้นานอีกนิดคงอดทนไม่ไหวแน่"

   เวหาหน้าแดงพร้อมกับรับคำ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไป และเสียงประตูห้องปิดลง เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะเขาก็ไม่แน่ใจตัวเองว่า หากได้ยินรวีอ้อนขอความรักให้เขาฟังนานกว่านี้อีกนิด บางทีเขาอาจจะเป็นฝ่ายใจอ่อนยอมให้ชายหนุ่มเข้ามาหาในห้องเองก็เป็นได้

   

   จากนั้นพักใหญ่ ๆ รวีก็มาเคาะประตูห้อง แต่คราวนี้ชายหนุ่มพาเมฆามาด้วย เพื่อที่จะได้ให้เพื่อนสนิทคอยปราม เผื่อเวลาเขาลืมตัว

   "ไปกินข้าวกลางวันกันนะครับ"

   รวีเอ่ยชักชวนซึ่งเวหาก็ตอบตกลง เพราะตอนนี้ก็ล่วงเวลาเที่ยงเข้าไปแล้ว และเขาก็เริ่มหิวแล้วด้วยเช่นกัน

   "เดี๋ยวฟ้าไปตามมีนก่อนนะครับ"

   เวหาบอกกับรวี ซึ่งรวีก็ยิ้มหวานรับ ทำให้เด็กหนุ่มนึกเขินนิด ๆ ทว่าเมฆาที่อยู่ด้วยถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย ต่อพัฒนาการในด้านความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ค่อนข้างก้าวกระโดดไปไวกว่าที่เขาคิด

   และเมื่อทุกคนออกมาพร้อมกันที่รถ เมฆาก็รับอาสาเป็นคนขับตามเคย เนื่องจากชายหนุ่มไม่ค่อยมั่นใจกับอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยของเพื่อนสนิท ที่แม้แต่เวลาเดินมาที่รถ รวีก็ยังคอยแต่ส่งสายตาหวานไปให้เด็กหนุ่มสุดที่รักของเจ้าตัวอยู่เป็นระยะเลยทีเดียว



   เมื่อมาถึงร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่งย่านนั้น รวีก็เริ่มเอาอกเอาใจคนนั่งตรงข้ามอย่างออกนอกหน้า โดยการสั่งอาหารจากเมนูเรียงลงมาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของเวหาด้วยกันทั้งสิ้น

   "เอ่อ...พี่ซันครับ พอแค่นี้ก่อนดีกว่าไหมครับ แค่นี้ก็จะกินกันไม่หมดแล้ว"

   เวหารีบขัดขึ้นเมื่อเห็นรวีพึมพำว่าจะสั่งเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง ส่วนมีนามองชายหนุ่มแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย แต่พอหันมาสบตาอีกคนที่นั่งตรงข้ามกับตน เด็กหนุ่มก็ต้องชะงักแล้วหน้าแดงนิด ๆ พร้อมกับรีบหลบสายตาอย่างลืมตัว

   "หรือครับ...งั้นก็ได้ครับ ถ้ากินไม่อิ่มค่อยสั่งเพิ่มแล้วกันเนอะ!"

   คนพูดบอกพร้อมยิ้มหวานให้ ทำเอาเวหารู้สึกเขินที่เห็นอีกฝ่ายยังคงแสดงออกต่อตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะอยู่กันลำพังหรือท่ามกลางผู้คนมากมายในร้านแบบนี้

   "เฮ้ย! เจ! คนนั่งเต็มเลย ไปร้านอื่นดีไหมวะ"

   เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นแว่ว ๆ ทำให้เวหาหันขวับไปมองยังทิศทางของต้นเสียง และเมื่อเห็นว่าเป็นใครเวหาก็ตาเบิกกว้างแล้วโบกมือตะโกนเรียกเด็กหนุ่มหน้าตาคมเข้มผิวคล้ำที่กำลังยืนลังเลอยู่ข้าง ๆ คนผิวขาวหน้าตี๋อีกคน ด้วยน้ำเสียงยินดี

   "ต้น! เจ! ทางนี้ ๆ"

   คนถูกเรียกชื่อสะดุ้งโหยง แล้วพอเห็นว่าใครเป็นคนเรียก ทั้งคู่ก็รีบเดินตรงเข้ามาหาอย่างดีใจระคนแปลกใจ

   "ฟ้า! ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่เลยนะ  เอ๋? แล้วนี่..."

   เวทิต กับ เจตต์ มองคนร่วมโต๊ะอีกสองคนอย่างประหลาดใจ เพราะพวกเขารู้จักมีนาและพ่อแม่ของเวหาดี หากแต่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เพื่อนสนิทนั้นจะมีญาติพี่น้องหน้าตาดีแถมยังดูเหมือนเป็นชาวต่างชาติอย่างนี้ด้วย

   "เอ่อ...นี่พี่ซัน กับพี่เมฆ...เป็น...เอิ่ม..."

   เวหาไม่รู้จะอธิบายยังไง เห็นดังนั้นรวีจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองแทน

   "สวัสดีครับ พี่ชื่อซัน เคยเป็นเพื่อนบ้านของน้องฟ้าสมัยน้องฟ้ายังเด็ก และตอนนี้ก็เป็นเพื่อนบ้านปัจจุบันกับน้องฟ้าด้วยครับ"

   พอได้ยินดังนั้นทั้งสองคนก็ยกมือขึ้นไหว้ทั้งรวีและเมฆาตามมารยาท เนื่องจากทั้งคู่นั้นอายุมากกว่าพวกตน ซึ่งรวีกับเมฆาก็ยกมือรับไหว้ ก่อนจะเชื้อเชิญให้ทั้งคู่ร่วมโต๊ะด้วยกัน

   "เอ่อ...จะดีหรือครับ"

   เวทิตบอกอย่างเกรงใจ ส่วนเวหานั้นเหลือบมองคนนั่งตรงข้ามด้วยแววตาลังเล แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกเมื่อเห็นรวียิ้มหวานให้

   "ไม่ต้องเกรงใจกันหรอกครับ คนรู้จักของน้องฟ้าก็เหมือนคนรู้จักของพี่นั่นล่ะ"

   รวีบอกกับทั้งสองคน ซึ่งก็ทำให้ทั้งคู่หันไปสบตากัน แล้วตัดสินใจร่วมโต๊ะกับทั้งสี่ในที่สุด

   "แล้วเป็นไงมาไงถึงได้มาโผล่ที่นี่กับเจสองคนได้ล่ะต้น"

   เวหาชวนคุยระหว่างรออาหาร ซึ่งพอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็ถอนหายใจแล้วเหลือบมองเวทิตด้วยสายตาเอือมระอา

   "ก็เพราะหมอนี่มันเลิกกับแฟนแล้วเกิดเซ็งอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ก็เลยโทรมาบังคับฉันให้ไปเที่ยวด้วยกันตั้งแต่เช้า พอฉันโบ้ยให้โทรไปชวนนายแทน หมอนี่ก็บอกว่าโทรไปแล้วแต่นายไม่อยู่บ้านออกไปเที่ยวทะเล หมอนี่ก็เลยชวนฉันมาทะเลเหมือนกัน ...ทะเลเมืองไทยมีตั้งหลายที่ แม่นายก็ไม่ได้บอกว่าไปทะเลไหน แต่มันดันพาฉันมาเจอนายได้นี่สงสัยจะเป็นพรหมลิขิตเนอะ"

   เจตต์แกล้งแหย่เพื่อน ส่วนเวหานั้นแม้จะตกใจกับเนื้อความตอนแรก แต่พอได้ยินท้ายประโยคเขาก็เผลอหลุดยิ้ม เพราะรู้ดีว่าเพื่อนพูดเล่น หากแต่บางคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกันชักไม่สบอารมณ์มากขึ้นทุกขณะ

   "พี่ต้นเลิกกับแฟนแล้วหรือครับ...เห็นพี่ฟ้าบอกว่าคนที่คบนี่ คบกันมาตั้งแต่ตอน ม.ปลายไม่ใช่หรือครับ"

   มีนาถามอย่างแปลกใจ ซึ่งเวทิตก็หันมามองคนพูด แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ

   "ใช่...ก็คบกันมาได้เกือบสองปีแล้วล่ะ แต่หลัง ๆ นี่ไม่ไหว ทั้งเหวี่ยงทั้งวีน ทั้งไร้เหตุผล ขี้หึงก็เท่านั้น ...หึงได้กระทั่งเพื่อนของพี่ ขนาดอธิบายให้ฟัง ก็ไม่ยอมเชื่อ แถมมีการมาแอบเปิดมือถือพี่เช็คเบอร์เช็คเมล์อีก...ไอ้รักน่ะก็รักอยู่นะ แต่คนเราลองมันไม่มีความเชื่อใจไม่ให้เกียรติกันเหลืออยู่แบบนี้ ขืนคบกันต่อ ก็คงจะจบลงด้วยการเกลียดกันแทนมากกว่า สู้เลิกเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไอ้เจ้าความรู้สึกดี ๆ มันก็ยังคงจะเหลือให้คิดถึงกันอยู่บ้างล่ะนะ"

   แทบทั้งโต๊ะเงียบกริบเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม  ทางด้านเมฆาเหลือบไปมองเพื่อนที่ทีแรกกำลังมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยความหึง แต่พอได้ยินที่เวทิตพูด อีกฝ่ายก็มีสีหน้าเจื่อน ๆ แทนอย่างน่าขำ

   "ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าไม่พอใจ แต่มันร้ายแรงถึงกับต้องเลิกกันเลยหรือ...ลองบอกเขาหรือยังล่ะ ว่านายไม่พอใจที่เขาทำแบบนั้นกับนาย ถ้าเขาพร้อมจะปรับตัว นายก็ควรจะให้โอกาสเขา แต่ถ้าไม่ยอมปรับ หรือยังทำแบบเดิม ๆ อยู่  อันนี้ก็แล้วแต่นาย เพราะถือว่านายกับเขาคงจะไปกันได้ไม่รอดจริง ๆ"

   เวหาเสนอความเห็นบ้าง ซึ่งก็ทำให้เวทิตชะงัก แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "จริง ๆ เมื่อวานนี้เราทะเลาะกัน เรื่องที่เขามาไล่ลบเบอร์เพื่อนผู้หญิงในเครื่องฉัน ก็พวกเบอร์ไอ้แคท ไอ้พิม ไอ้นิด กลุ่มสาวแสบในห้องเรานั่นล่ะ พวกนั้นไปเที่ยวกันแล้วเจอหนังสือที่ฉันเคยบ่นว่าอยากได้ ก็เลยโทรมาถามว่ายังอยากได้อยู่ไหมจะซื้อให้ แล้วนายก็รู้ว่าพวกนั้นมันชอบเรียกฉันป๋าคะป๋าขาแบบล้อเล่นอะไรของพวกมันตลอด แล้วแฟนฉันก็ดันบังเอิญได้ยินเข้าเพราะฉันเผลอไปเปิดลำโพงคุย ทีนี้แม่คุณก็วีนใหญ่ ขนาดฉันบอกแล้วว่านั่นมันเพื่อนในห้องเธอก็ยังไม่ยอมเชื่อ แถมโวยวายหาว่าฉันนอกใจ  พอฉันรำคาญมาก ๆ เข้า ฉันก็เลยโพล่งไปว่าถ้ายังระแวงไร้สาระแบบนี้ก็เลิกกันเถอะแล้วก็แยกมาเลย ...เขาโทรมาฉันก็ไม่รับ วันนี้ก็ปิดเครื่องแล้วชวนไอ้เจมันมาเที่ยวแก้เซ็งแบบนี้ล่ะ"

   เวหาพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงแนะนำให้เพื่อนสนิทลองโทรไปคุยกับแฟนสาวอีกครั้ง เพราะบางทีอีกฝ่ายอาจจะเริ่มคิดได้ แล้วอยากจะปรับความเข้าใจกันก็เป็นได้

   "ก็ได้...จะลองคุยดู  เอ่อ...ขอตัวสักครู่นะครับ"

   เวทิตรับคำเพื่อน ก่อนจะหันไปบอกขอตัวกับรวีและเมฆา จากนั้นจึงเดินเลี่ยงออกไปห่าง ๆ เพื่อโทรติดต่อแฟนสาว สีหน้าเด็กหนุ่มดูเคร่งเครียดในทีแรก ก่อนจะถอนหายใจให้เห็นเฮือกใหญ่ แล้วจึงพูดอะไรต่ออยู่อีกสักพัก จากนั้นจึงวางสายแล้วกลับมาสมทบกับคนอื่น ๆ

   "เป็นไงวะ ตกลงเลิกกันแล้วสินะ"

   เจตต์ถามออกไปเป็นคนแรก ซึ่งก็ทำให้คนถูกถามต้องแยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะกระแทกเสียงตอบ

   "แช่งจริงนะมึง!"

   "แล้วตกลงเป็นไง ปรับความเข้าใจกันได้หรือยัง"

   เวหาถามตามมา ซึ่งเวทิตก็หันมามองเพื่อนสนิท ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วตอบคำถามของอีกฝ่าย

   "แฟนฉันเขาร้องไห้ขอโทษ บอกว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก...ฉันก็เลยบอกเขาว่า ให้เราลองห่างกันสักสองสามวันโดยไม่ต้องติดต่อกันอีกหลังจากนี้ เพื่อที่จะให้เขาได้ทบทวนตัวเองบ้าง เพราะตอนนี้เขาก็แค่เสียใจกลัวจะถูกทิ้ง ต่อให้ฉันบอกอะไรก็คงยอมรับปากส่ง ๆ ไปทุกอย่าง ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์เดิม ๆ ย้อนกลับมาอีก  มันจะทำให้ฉันพลอยผิดหวังในตัวเขามากขึ้น และหลังจากนี้อีกสามวัน ฉันถึงจะโทรไปหาเขาอีก ถ้าเขาตกลงยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อฉัน เราก็จะยังคงคบกันต่อ  ถ้าไม่ได้ก็คงต้องจบกันไปเลยนั่นล่ะ"

   เวหานิ่งเงียบรับฟังการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของเพื่อน ส่วนคนอื่น ๆ นั้นฟังแล้วต่างก็คิดว่าเวทิตนั้นเลือกทางที่ดีสำหรับความรักของเจ้าตัวแล้ว  และสักพักพออาหารมาเสิร์ฟ ทั้งหมดก็หันมาสนใจเรื่องอาหารการกินและคุยเรื่องสนุก ๆ ระหว่างทานกันแทน

   

   เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว รวีจึงตัดสินใจพาสองหนุ่มไปส่งที่พัก แต่ก็ได้รับฟังว่า ทั้งคู่นั้นเพิ่งมาถึงและตั้งใจสะพายกระเป๋าแบกเป้กันไปหาที่พักริมหาดเอาข้างหน้าสักที่นั่นเอง

   "ตกลงว่าพวกน้องยังไม่ได้จองบ้านพักกันสินะ ถ้ายังไงจะมาพักที่เดียวกันไหมล่ะครับ"

   รวีเอ่ยชักชวนเจตต์กับเวทิตอย่างเป็นมิตร ทำเอามีนาและเวหาลอบมองชายหนุ่มอย่างนึกแปลกใจ เพราะก่อนหน้านั้นแค่มีนาแกล้งแหย่ว่าเวหามีเพื่อนสนิทมาก รวียังออกอาการหึงหวงให้เห็นชัดเจนอยู่เลยด้วยซ้ำ

   "จะดีหรือครับพี่ แค่ที่พี่เลี้ยงอาหารกลางวันเมื่อครู่นี้ พวกผมก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงกันแล้ว"

   เวทิตเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ ส่วนเมฆารีบเปรยขัดบอกกับเด็กหนุ่มแทนเพื่อนสนิทไปอย่างอารมณ์ดี

   "ไม่ต้องห่วงเลยครับน้องต้น บ้านหลังใหญ่ห้องเยอะแยะ อีกอย่างมีคนมาเพิ่มเยอะ ๆ ก็สนุกดีออก เนอะซัน!"

   รวีหันไปฉีกยิ้มแยกเขี้ยวให้เพื่อน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดแหย่ตน เนื่องจากเมฆานั้นย่อมรู้ดีว่า ใจจริงแล้ว เขานั้นไม่อยากให้เพื่อนของเวหาได้อยู่ใกล้ชิดเด็กหนุ่ม แต่ก็ไม่อยากถูกเวหามองตนเป็นคนใจแคบเห็นแก่ตัว และกลัวว่าเวหาจะเก็บเอาเรื่องแฟนของเวทิตมาเปรียบเทียบกับเขา รวีจึงจำต้องแสดงตัวเป็นคนใจกว้างไม่หึงหวงพร่ำเพรื่ออย่างที่ควรจะเป็นเช่นนี้

   "ถ้าอย่างนั้นผมกับเพื่อนก็ต้องขอบคุณมากเลยครับ"

   เวทิตบอกขอบคุณอย่างจริงใจเช่นเดียวกับเจตต์ที่พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับเพื่อน และจากนั้นสักพักพวกเขาก็ทยอยกันขึ้นไปนั่งเบียดกันบนรถยนต์คันหรู  ใช้เวลาไม่นานนัก รถก็แล่นเลี้ยวเข้ามาในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งและเข้ามาจอดภายในบ้านพักซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนหย่อมกว้าง ซึ่งความใหญ่โตและสวยงามของมันก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่เพิ่งมาถึงยิ่งนัก

   "โห! บ้านใหญ่มากเลย ติดหาดด้วยอ่ะ  อ๊ะ! มีสระว่ายน้ำในบ้านด้วยว่ะต้น หรูชิบ!"

   "เข้าบ้านเอาของไปเก็บก่อนสิ  หรือพวกนายจะไปนอนห้องเดียวกับฉันก็ได้นะ"

   เวหาบอกกับเพื่อนทั้งสอง ทว่าก็ทำเอารวีสะดุ้งโหยงพร้อมกับรีบตะโกนห้ามออกไปอย่างลืมตัว

   "ไม่ได้นะครับน้องฟ้า!"

   เวหาชะงักกึก เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคน ส่วนมีนาหันไปลอบถอนหายใจ และเมฆากลั้นหัวเราะอย่างนึกขำ

   "อ่า...เอ่อ...อ้อ! คือพี่กำลังจะบอกว่า ห้องว่างเหลืออีกเยอะ ไม่จำเป็นต้องไปนอนเบียดกันก็ได้ครับ"

   พวกเวทิตร้องอ๋อตามมา แล้วก็ยิ้มให้ในความมีน้ำใจของชายหนุ่ม ส่วนเวหานั้นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด ซึ่งรวีก็แสร้งทำเป็นมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้แทน

   "งั้นเดี๋ยวมีนพาพวกพี่ไปเก็บของที่ห้องก่อนแล้วกัน จะได้บอกให้รู้ด้วยว่าห้องไหนมีคนจองแล้ว"

   มีนาแทรกขัดการสนทนาขึ้น แล้วกวักมือเรียกเด็กหนุ่มทั้งสองให้ตามตนไป ส่วนเวหานั้นไม่ได้ตามไปด้วย เห็นดังนั้นเมฆาจึงหาเรื่องปลีกตัวหนีไปบ้าง ทำเอารวีต้องอุบอิบบ่นใส่เพื่อนที่ไม่ยอมช่วยเหลือกันเลยสักนิด

   "พี่ซันหึงเพื่อนของฟ้าหรือครับ"

   รวีสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำถามของเด็กหนุ่ม ทว่าพอหันไปเห็นสายตาคาดคั้นคู่นั้น เขาก็ต้องทอดถอนหายใจแล้วยอมสารภาพตามมา

   "พี่ไม่ได้หึงอะไรนั่นหรอกครับ ถ้าหึงจริงก็คงไม่ให้มาค้างด้วยแต่แรก แต่ถึงจะพยายามไม่หึงแต่ก็ยังหวงนี่ครับ...มันต่างกันนะครับหึงกับหวงเนี่ย"

   เวหาชะงักเล็กน้อย ทว่าสักพักเจ้าตัวก็ต้องหลุดยิ้มอย่างเอือมระอาตามมาเมื่อเห็นสีหน้าเศร้า ๆ กับแววตาอ้อน ๆ ของคนตัวใหญ่ตรงหน้าตน

   "เอาเถอะครับ...หวงฟังแล้วก็ยังดีกว่าหึง เพราะถ้าหึง ก็แสดงว่าไม่เชื่อใจกัน จริงไหมครับ"

   "พี่เชื่อใจน้องฟ้าเสมอนะครับ!"   

   รวีรีบยืนยันตัวเองทำให้เวหาถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอด้วยความขำปนเอ็นดู

   "ครับ...ฟ้าเชื่อพี่"

   บอกจบเวหาก็มองซ้ายมองขวาแล้วแสร้งกระแอมนิด ๆ ก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มรวีตอนที่อีกฝ่ายเผลอ จากนั้นจึงรีบจ้ำพรวดหนีเข้าบ้านพัก โดยทิ้งคนที่กำลังยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกตะลึงเอาไว้ที่สวนหน้าบ้านเพียงลำพังนั่นเอง




... TBC ...
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 19-08-2014 16:11:18
ฟินแทนรวี  :heaven  คืนนี้พี่รวีจะนอนหลับมั้ย  :laugh:
พี่เมฆนี่หล่อขึ้นมาเลยอะ น้องมีนาก็น่ารักมีเหตุผล ดีมากที่รู้ว่ายังไม่แน่ใจก็ยังไม่เดินหน้าต่อ ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-08-2014 16:34:23
สมหวังแล้วนะซัน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-08-2014 16:39:42
 :o8: ความอดทนของพี่ซันกำลังถูกทดสอบ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-08-2014 16:54:05
 :hao7:
ว้าว   ... พี่ซันช็อกไป 3 วิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-08-2014 17:08:15
อ่านแล้วอมยิ้มแก้มตุ่ยจจริง ๆ เรื่องนี้   ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 19-08-2014 17:36:58
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-08-2014 17:38:40
55555 โดนเวหารุกเข้าให้รวีถึงกับเงิบ

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 19-08-2014 18:08:29
ซันหัวใจวายแล้วมั้งนะ :heaven
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 19-08-2014 18:10:42
โอ๊ยยย นับวันพี่ซันชักจะทำตัวน่ารักไปนะ
น่ารักแซงหน้าน้องฟ้า น้องมีนกันเลยทีเดียว

แต่อยากบอกว่าคนเขียนขยันมากจริงๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-08-2014 19:29:29
น้องมีนน่ารักเชียว
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 19-08-2014 19:56:16
จูบเลยค่าาพี่ซันนนนนนนน
ถ้าน้องฟ้าจะทอดสะพานขนาดนี้  :impress2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 19-08-2014 20:54:33
น้องฟ้าน่ารักไปไหมคะ ถ้าพี่เป็นพี่ซันจะไม่ทน555555555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 19-08-2014 22:25:18
น้องฟ้าคะ แอบหอมแก้มพี่ซันแบบนี้ เดี๋ยวฟ้องคุณแม่นะคะ ข้อหาไม่รักนวลสงวนตัว 5555

ส่วนพี่เมฆก็อย่าคิดนานละกัน เดี๋ยวน้องมีนคนน่ารัก จะอดทนรอไม่ไหว
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ~@มาวินฮับ@~ ที่ 20-08-2014 10:09:19
ชื่นชมในความรักอันหนักแน่นของพี่ซันมากๆ อยากเจออย่างนี้บ้างจังเลยมีบ้างมั๊ย :mew1: :mew4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 11) 19/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: jj_girl ที่ 20-08-2014 13:10:27
 :o8:


 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 20-08-2014 18:08:29
บทที่ 12



   เวทิตและเจตต์ ตัดสินใจเลือกพักในห้องเดียวกัน เนื่องจากเวทิตให้เหตุผลว่าเวลาไปค้างที่อื่นตนไม่กล้านอนคนเดียว เพราะกลัวว่าหากลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วดันมีคนแปลกหน้าโผล่มานอนเป็นเพื่อนโดยไม่ได้ขออนุญาต เขาคงจะช็อกตายคาเตียงเป็นแน่

   "ยังกลัวผีไม่เปลี่ยนเลยนะต้น นึกว่าพอขึ้นมหาลัยแล้วจะเลิกกลัวเสียอีก"

   "ไอ้การเลื่อนชั้นเรียนมันไปเกี่ยวอะไรกับกลัวหรือเลิกกลัวผีวะ! ไม่รู้ล่ะ ถึงจะดูหรูหราไฮโซขนาดไหน แต่ถ้าให้นอนห้องกว้าง ๆ คนเดียวก็ไม่ไหวเหมือนกัน!"

   เวทิตยืนกรานหนักแน่นโดยไม่สนใจว่าเพื่อนสนิทหรือใครจะแหย่แซวตนในเรื่องนี้

   "ทนเบียดไปสักคืนแล้วกันนะเจ หมอนี่นอนไม่ค่อยดิ้นนักหรอก"

   เวหาหันไปบอกเพื่อนอีกคน ทว่าคำพูดของเด็กหนุ่มนั้น ทำให้คนที่กำลังเดินมาตามอีกฝ่ายถึงกับชะงัก ก่อนจะพยายามข่มจิตข่มใจบอกตัวเองไม่ให้ออกอาการหึงหวงหรืออิจฉาจนออกนอกหน้าให้ใครได้เห็น

   "ไม่มีปัญหาหรอกฟ้า เตียงออกจะใหญ่ขนาดนี้ อีกอย่างต้นมันจะนอนดิ้นอะไรก็ปล่อยมัน ขออย่างเดียวอย่าละเมอดิ้นมากอดกันก็พอ ถ้าทำแบบนั้นเมื่อไหร่ รับรองฉันถีบมันตกเตียงแน่!"

   เวทิตหันไปมองเพื่อนร่วมชั้นของตนตาปริบ ๆ ส่วนมีนาและเวหาหัวเราะเบา ๆ กับคำพูดนั้น สักพักมีนาก็บังเอิญหันไปเห็นประตูห้องแง้มและขาของใครบางคนโผล่พ้นประตูออกมา เห็นดังนั้นเจ้าตัวจึงสะกิดให้พี่ชายดู ซึ่งเวหาเองก็จำสีของกางเกงขายาวตัวนั้นได้เป็นอย่างดี

   "...ขอตัวแป๊บนะ"

   เด็กหนุ่มหันไปบอกเพื่อนทั้งสอง แล้วจึงเดินไปที่ประตู ก่อนจะเปิดออกให้ได้เห็นสีหน้าตกใจของคนที่ยืนแอบฟังอยู่แถวนั้น

   "ง่า...เอ่อ...พี่จะมาชวนน้องฟ้ากับเพื่อน ๆ ไปกินขนมด้านล่างกันน่ะครับ...แต่ถ้าน้องฟ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร"

   รวีรีบบอกแล้วมีสีหน้าสลดนิด ๆ ตามมา ทำให้คนมองลอบถอนหายใจแล้วจึงอมยิ้มน้อย ๆพร้อมกับพยักหน้ารับคำ

   "ไปสิครับ...พวกนายลงไปนั่งคุยกันต่อด้านล่างกันเถอะ"

   เวหารับคำชายหนุ่มแล้วจึงหันไปชวนเพื่อนกับน้องชายของตน ซึ่งทั้งสามคนก็พยักหน้ารับรู้ แล้วจึงทยอยเดินตามกันไปที่ห้องรับแขกของบ้าน ซึ่งที่นั่นก็มีเมฆานั่งจิบไวน์สบายอารมณ์รออยู่แล้ว

   "ไงเด็ก ๆ สนใจไอ้นี่ไหม"

   เมฆายกแก้วถามแต่ละคนที่เพิ่งลงมา หากแต่กลับถูกรวีแยกเขี้ยวใส่

   "อย่าเอาของมึนเมามามอมเด็กอายุไม่ถึง 20! เดี๋ยวน้าวารีรู้เข้า ฉันก็โดนด่าเปิงพอดี!"

   เมฆาหัวเราะเบา ๆ แล้วโบกไม้โบกมือขอโทษ ทว่าคนที่เตรียมจะอ้าปากรับคำแต่ละรายถึงกับต้องหลุดยิ้มเจื่อน และจำใจต้องเปลี่ยนไปกินน้ำอัดลมกับน้ำผลไม้ ที่รวีแช่เย็นเอาไว้ก่อนหน้านั้นแทน

   "อ๊ะ! นั่นเค้กนี่! พี่ซันแวะซื้อมาตอนไหนหรือครับ ทำไมฟ้าถึงไม่เห็นเลย!"

   เวหาที่หันไปเห็นกล่องขนมที่เพิ่งถูกเปิด อุทานอย่างแปลกใจระคนดีใจ ซึ่งรวีก็ยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วตอบกลับไปตามตรง

   "พี่ฝากคนดูแลบ้านซื้อน่ะครับ เห็นว่าเป็นร้านอร่อยแถวนี้ พอดีเขาเพิ่งเอามาส่งพี่เมื่อครู่ พี่ก็เลยขึ้นไปเรียกน้องฟ้ากับเพื่อน ๆ ลงมากินกันยังไงล่ะครับ  อยากจะรู้เหมือนกันว่าอร่อยจริงสมกับราคาคุยไหม"

   เวหายิ้มแย้มรับอย่างนึกเขินนิด ๆ ที่อีกฝ่ายเตรียมเซอร์ไพรส์ให้เขา  ส่วนเพื่อนอีกสองคนพากันขมวดคิ้วหรี่ตามองทั้งคู่อย่างนึกแปลกใจต่อบรรยากาศหวาน ๆ อมม่วงที่เกิดขึ้น

   "อร่อยจังครับ... อร่อยจริง ๆ นะครับเนี่ย!"

   เวหาที่กัดเข้าไปคำแรกเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อย ท่าทางที่กินอย่างมีความสุข ทำให้รวีเผลอหลุดยิ้มอ่อนโยนออกมาจนทำให้เจตต์และเวทิตชักเริ่มเอะใจบางอย่าง หากแต่ความอร่อยของขนมเค้กที่ได้กินก็ทำให้ทั้งคู่ละความสนใจจากรวีชั่วคราว และหันมาเคี้ยวกินอย่างถูกอกถูกใจเช่นเดียวกัน

   "อ้าว! แล้วพี่เมฆกับพี่ซันไม่กินหรือครับ อร่อยนะครับ"

   เวหาถามสองคนที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ได้กินเช่นเดียวกับคนอื่น

   "พี่ไม่ค่อยถนัดของหวานเท่าไหร่น่ะครับ และยิ่งช็อกโกแลตเนี่ย ขอบายเลย"

   เมฆาบอกยิ้ม ๆ ส่วนรวีจ้องมองคนน่ารักของเขาด้วยสายตาเปี่ยมรักและเอ็นดู ก่อนจะบอกออกไปตามตรง

   "ส่วนของพี่ให้น้องฟ้ากินแทนดีกว่าครับ...พี่ชอบเวลาเห็นน้องฟ้ากินขนม ดูน่ารักและมีความสุข เห็นทีไรก็อดยิ้มตามไม่ได้สักที"

   เวหาชะงักกึกหน้าแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ ส่วนมีนาฟังที่อีกฝ่ายพูดจบเขาก็มีทีท่าสำลักขนมเค้กตรงหน้า เมฆาจึงรีบยื่นน้ำเปล่าส่งให้เด็กหนุ่มทันที

   "ไอ้พี่ซัน! เกรงใจกันบ้าง เพื่อนพี่ฟ้านั่งหัวโด่อยู่ตั้งสองคน! เดี๋ยวพี่ชายผมก็โดนเข้าใจผิดพอดี!"

   มีนารีบแก้ตัวแทนพี่ชาย ทว่าเจตต์กับเวทิต กลับหันไปมองคนพูด แล้วเผลอหลุดปากถามออกไป

   "อ้าว! ไม่ใช่ว่าพี่ซันกับฟ้ากำลังคบกันอยู่หรอกเหรอ?"

   "นั่นสิ...อ๊ะ หรือว่าไม่ใช่"

   เจตต์เอ่ยขึ้นบ้าง แล้วทำหน้าตื่น ๆ เพราะเกรงว่าเพื่อนกับคนรู้จักของเพื่อนจะไม่พอใจพวกตนเข้า

   "เฮ้ย! แล้วพวกพี่รู้ได้ไงอะ!"

   มีนาโพล่งขึ้นอย่างตกใจที่ความลับแตก ส่วนเวหานิ่งอึ้งเล็กน้อย และอีกสองหนุ่มก็ทำเป็นนั่งเงียบ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้แทนเสียอย่างนั้น

   "ตอนเจอทีแรกก็ไม่รู้หรอก แต่แอบนึก ๆ ว่า สนิทกันดีจังอะไรพวกนี้อยู่เหมือนกัน ...แต่พอหลังจากมาถึงที่นี่แล้ว เวลาสังเกตเห็นสายตาพี่ซันมองฟ้าแต่ละที ก็มักจะแสดงออกให้เห็นแบบไม่คิดปิดบังเลยว่าพี่เขากำลังรู้สึกยังไงน่ะ"

   เวทิตบอกกับน้องชายของเพื่อน ซึ่งเจตต์เองพอเห็นเพื่อนพูดแบบนั้นเขาก็รีบเสริมตามมา

   "ใช่! เวลาพี่ซันมองฟ้าทีงี้ยังกับจะกลืนกิน...แถมถ้าไม่คิดไปเอง ยังเหมือนพี่เขาจะตั้งใจแสดงออกให้พวกฉันรู้ตัวด้วยซ้ำ...ใช่หรือเปล่าครับ"

   เจตต์หันไปถามรวี ซึ่งอีกฝ่ายก็สะดุ้งโหยงแล้วทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน หากแต่เวหาที่หันมาเห็นเข้าพอดี ถึงกับขมวดคิ้วยุ่งตามมา

   "จริงหรือครับพี่ซัน..."

   รวีฉีกยิ้มหวานให้กับเด็กหนุ่ม หากแต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงและหลุดเป็นยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นเวหาไม่ยิ้มตอบด้วย

   "ก็... แหม! ก็พี่ไม่รู้นี่ครับว่าน้องฟ้าอยากปิดบังเรื่องของเรากับเพื่อน ๆ ของน้องฟ้า...อีกอย่างพี่เห็นว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกับน้องฟ้า พี่ก็เลยอยากจะแสดงความจริงใจให้พวกเขาเห็นว่า พี่รักเพื่อนของพวกเขาจริง ๆ ก็เท่านั้นเอง"

   ถ้อยคำแก้ตัวออดอ้อนทั้งน้ำเสียงและสีหน้า ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิด โมโหต่อไม่ลง เจ้าตัวถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงหันไปมองเพื่อนสนิททั้งสอง

   "เอิ่ม...มันก็ประมาณนั้น คือเรื่องมันเกิดขึ้นไวมาก ๆ ก็เลยยังไม่ได้เล่าให้ฟัง...และก็ไม่แน่ใจว่าพวกนายจะคิดยังไงหากรู้เรื่องนี้ด้วย..."

   คำพูดอ้ำอึ้งของเวหา ทำให้เจตต์กับเวทิตต่างสบตา แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ไล่เลี่ยกันตามมา

   "เฮ้อ! นายนี่นะ พวกฉันเป็นเพื่อนสนิทนาย ถ้านายมีแฟนทั้งที พวกฉันก็ต้องดีใจด้วยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว...ส่วนแฟนที่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของนาย  ถ้านายรับได้ พวกฉันที่เป็นเพื่อนก็รับได้เหมือนกัน!"

   เจตต์บอกแล้วยิ้มกว้างให้ ซึ่งเวทิตก็พยักหน้ายืนยันกับคำพูดของเพื่อน แล้วจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

   "ถ้าเป็นคนที่นายเลือกแล้ว เพื่อนอย่างฉันก็พร้อมจะยอมรับและยินดีด้วยเสมอ...อีกอย่างเท่าที่เห็น ฉันก็ว่านายเลือกได้ไม่ผิดอะไรนี่...พี่ซันเขาก็ดูรักนายดีไม่ใช่หรือ"

   เวหาหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน ส่วนรวียิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่ายออกไป

   "แน่นอนครับ! พี่รักน้องฟ้ามาก รักจริงหวังแต่งด้วย...ทั้งสองคนไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่ไม่ทำให้เพื่อนของน้องต้องเสียใจแน่!"

   ทั้งเจตต์และเวทิตพอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเขินแทนเพื่อนนิด ๆ เพราะอีกฝ่ายนั้นเล่นพูดตรงไปตรงมา ด้วยสีหน้าและแววตาที่หนักแน่นจริงจังเต็มที่

   "ฮะ ๆ น่าอิจฉาฟ้าเนอะต้น  จริงสิ! ถ้าเกิดนายไปไม่รอดกับแฟนนาย ลองเปลี่ยนไปหาป๋ามาเลี้ยงบ้างดีมะ งานนี้อาจจะอยู่กันยืดก็ได้... โอ๊ย! ตบหัวเพื่อนทำไมวะ!!"

   เจตต์ที่กำลังแกล้งพูดแหย่เพื่อนของตนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศความหวานที่มันลอยฟุ้งเต็มห้อง ต้องหลุดอุทานเสียงดังตามมา เมื่อคนที่นั่งข้าง ๆ ตบหัวเขาเสียแรงจนเกือบทิ่ม

   "สมแล้ว! ขยันแช่งให้เพื่อนโสดจริงนะมึง!"

   เวทิตบ่นอุบอิบ เขาไม่กล้าพูดต่อเรื่องที่เพื่อนเชียร์ให้ตนได้แฟนหนุ่มแทนแฟนสาว เพราะกลัวจะไปกระทบเวหาและรวีเข้าให้ ทั้งนี้แม้เด็กหนุ่มจะไม่นึกรังเกียจและยอมรับในสิ่งที่เพื่อนเลือก แต่ถ้าให้เขาที่คบผู้หญิงมาตลอดหันไปคบผู้ชายแทน เขาก็คงรู้สึกแปลก ๆ และทำใจลำบากอยู่เหมือนกัน

   "ฉันดีใจนะที่พวกนายยังยอมเป็นเพื่อนกับฉันเหมือนเดิม แล้วก็ขอโทษที่ดันไปเผลอคิดดูถูก ว่าหากพวกนายรู้เรื่องนี้จะรังเกียจฉันเข้าให้"

   ทั้งเจตต์และเวทิตพอได้ยินเวหาพูดเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ยิ้มกว้างให้เพื่อน ก่อนจะหันไปชวนอีกคนคุยอย่างอยากรู้อยากเห็นแทน

   "แล้วเป็นไงมาไงพี่ซันถึงได้มาจีบฟ้าเข้าให้ล่ะครับ แล้วอย่างนี้พ่อกับแม่ฟ้าเขารู้เรื่องนี้ดีหรือเปล่า!"

   "นั่นสิ ๆ เห็นบอกว่าเพิ่งกลับมาเมืองไทย แล้วมาเป็นเพื่อนบ้านกับฟ้าอีกครั้งโดยบังเอิญสินะครับ...ตกลงที่ว่าบังเอิญนั่นบังเอิญจริงหรือจงใจกันแน่ครับเอ่ย!"

   เวหานั้นรู้สึกอายและพยายามจะบอกให้เพื่อนหยุดพูด ทว่าพ่อตัวดีของเขาพอเห็นมีคนอยากรู้เรื่องราวความรักของตน ก็ลงมือสาธยายเล่าเรื่องราวโดยไม่คิดปิดบัง ลงท้ายคนที่ขอฟังเรื่องกับเป็นฝ่ายเขินแทนเองเสียอีก ที่ได้รับรู้ว่าชายหนุ่มนั้นรักมั่นคงในตัวเพื่อนของพวกเขาขนาดไหน



   "โห! พี่ซัน! สุดยอดพระเอกละครน้ำเน่าเลยอะ! ฟ้าน่าอิจฉาว่ะ มีคนมาหลงรักตั้งแต่เด็กจนโตแบบนี้ ...ผู้ชายอย่างพี่ซันยังหาได้อีกไหม! ถ้าได้ผมยอมเป็นเกย์เลยนะเนี่ย!"

   เจตต์โพล่งขึ้นหลังจากฟังเรื่องเล่าของชายหนุ่มกับเพื่อนสนิทจบ ซึ่งก็ทำให้เวทิตที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ศอกที่เอวของคนพูดเข้าให้แรง ๆ อย่างหมั่นไส้ ทำเอาเจตต์สูดปากเบา ๆ แล้วบ่นอุบอิบใส่เพื่อน ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำของตนยกขึ้นดื่ม อันเป็นเวลาเดียวกับที่รวีตอบกลับมา

   "อืม...ก็พอมีอยู่นะครับ อาจจะไม่ตรงสเป็คน้องเจครบถ้วนนัก แต่เรื่องรักเดียวใจเดียวนี่ไม่เป็นสองรองใคร...ถ้าน้องเจสนใจจริง ๆ พี่จะแนะนำให้ไหมล่ะครับ รายนี้เขาเป็นลูกครึ่งอิตาลีอเมริกา สเป็คของเขาก็เป็นแบบคนตัวเล็ก ผิวขาว หน้าตี๋ แบบน้องเจนี่ล่ะครับ ถ้ายังไงพี่ติดต่อให้เลยไหมล่ะครับ?"

   เจตต์แทบจะพ่นน้ำที่ดื่มออกมาเมื่อได้ยิน เจ้าตัวยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้อีกฝ่าย ส่วนเมฆาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงขัดเพื่อนสนิทขึ้นมาเสียก่อน

   "รายนั้นรักเดียวใจเดียวก็จริงอยู่ แต่เรื่องควบคุมอารมณ์หึงหวงนี่ไม่ไหวว่ะ! ถ้าเกิดได้คบกันจริง ๆ แล้วน้องเจเผลอไปเหล่คนโน้นคนนี้เข้าให้แบบไม่ตั้งใจ มีหวังโดนญาตินายโมโหเป่าทิ้งแบบแฟนคนเก่าของเจ้าตัวแน่ แล้วถ้าเพื่อนหายไปทั้งคนโดยไม่ล่ำลา น้องฟ้าก็ต้องสงสัยจริงไหม แล้วนายจะแก้ตัวกับน้องฟ้ายังไง บอกเขาว่าโดนญาตินายเก็บไปเรียบร้อยแล้วอย่างนั้นหรือไง"

   รวีฟังแล้วก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจแล้วยักไหล่ จากนั้นจึงหันมายิ้มหวานให้กับคนที่กำลังนั่งนิ่งอึ้งมือถือแก้วน้ำค้างอยู่อย่างนั้นไม่ยอมวางด้วยความตกตะลึง

   "งั้นรายนี้ก็ผ่านไป...ถ้ายังไงเดี๋ยวพี่จะลองหาผู้ชายดี ๆ แบบพี่มาให้น้องเจเลือกแทนแล้วกันนะครับ"

   "ง่า! ไม่เป็นไรครับพี่ ...พอดีผมตั้งใจว่าจะเรียนให้จบสักปริญญาโทเอ๊ย! ไม่สิ ให้จบดอกเตอร์เลยดีกว่า แล้วค่อยคิดเรื่องแฟนอีกรอบน่ะครับ"

   เจตต์รีบบอกหลังจากตั้งสติได้ ส่วนเวทิตหันมาพึมพำถามเพื่อนสนิทที่นั่งข้าง ๆ ตน

   "พี่ซันกับพี่เมฆ เขาอำเรา หรือเขาจริงจังวะนั่น"

   เวหายิ้มเจื่อนให้เพื่อน แล้วพึมพำตอบกลับ

   "ไม่รู้สิ...แต่เห็นพี่เมฆเคยบอกมีนว่าพ่อพี่ซันเขาเป็นมาเฟียน่ะ ไม่รู้อำหรือพูดจริง ฉันเองก็ยังไม่เคยถามสักที"

   เวทิตชะงักกึก ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ ตอบ พลางจ้องมองเพื่อนอีกคนอย่างไม่รู้ว่าจะสมน้ำหน้าหรือสงสาร ที่มันดันเผลอปากดี จนเกือบจะได้แฟนเป็นญาติมาเฟียโหดเข้าให้แล้ว

   

   หลังจากพูดคุยกันต่ออีกสักพัก ทั้งเจตต์และเวทิตก็ได้ตกปากรับคำรวีเอาไว้ว่า จะคอยช่วยเหลือดูแลไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามวุ่นวายกับเวหาระหว่างเรียนอยู่เด็ดขาด ทำเอาคนที่ถูกกล่าวถึงต้องมองเพื่อนของตนที มองว่าที่คนรักที แล้วถอนหายใจยาวออกมาอย่างเอือมระอาแทน

   "เย็นนี้เราจะกินบาร์บีคิวซีฟู้ดกัน ยังไงพี่ก็ฝากพ่อครัวของเราช่วยเรื่องนี้ด้วยนะครับ"

   รวีเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอาหารเย็น พลางหันไปยิ้มให้กับมีนา ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเป็นพยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ แต่ใจจริงแล้วเจ้าตัวนั้นชอบกินอาหารทะเลมาก เพียงแต่มันราคาแพงจนกินแทบไม่ลงนั่นเอง

   "เอ่อ...แล้วไม่เห็นพี่ซันจะซื้อพวกวัตถุดิบเตรียมไว้เลย หรือจะออกไปซื้อตอนบ่าย ๆ ยังไงก็ต้องเตรียมไว้ก่อนนะครับ ไม่งั้นพอถึงเวลามันจะฉุกละหุก"

   มีนาที่เห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อแถมเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่น รีบเอ่ยแย้งขึ้น ทำให้รวีชะงักกึก ส่วนเมฆาเห็นดังนั้นก็อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้นแทนเพื่อนของตน

   "พวกพี่สั่งให้แม่บ้านไปหามาให้ล่วงหน้าแล้วล่ะ รับรองสดแน่ เพราะได้มาจากชาวประมงโดยตรง เดี๋ยวสักบ่ายสามเห็นว่าจะเอามาส่งน่ะครับ"

   มีนาพอได้ฟังก็ถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก ก่อนจะหน้าแดงนิด ๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มล้อเลียนของเมฆาเข้าให้

   "ไม่ใช่มีนอยากกินหรอกนะ! แต่ที่ต้องพูดเพราะกลัวจะลืมกัน แล้วสุดท้ายมีนจะต้องมาเหนื่อยเตรียมของแบบกระชั้นชิดต่างหากเพราะแต่ละคนที่นี่ดูแล้วน่าจะทำอาหารกันไม่เป็นสักคนเลยไม่ใช่หรือไง!"

   คนที่โดนหางเลขพาดพิงเข้าให้แต่ละคนพากันกระแอมเบา ๆ แล้วยิ้มแห้งให้เห็นกันถ้วนหน้า ทำเอามีนาที่ไม่ได้ตั้งใจจะว่ากระทบจริงจังชะงัก สีหน้าเจื่อนลงแล้วพึมพำขอโทษทุกคนจนคนมองพากันนึกสงสาร

   "น่า ๆ พวกพี่ไม่โกรธน้องมีนหรอก ก็น้องมีนพูดจริงนี่ครับ อ๊ะ! จริงสิ! ต้นกับฟ้ามันชมให้พี่ฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าน้องมีนน่ะทำกับข้าวเก่ง นี่โชคดีของพี่ชะมัดที่จะได้มากินฝีมือน้องมีนเองแบบนี้เนอะ!"

   เจตต์บอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะชวนคุยเรื่อยเปื่อยตามมาอีกสักพักทำให้มีนายิ้มออก และรู้สึกเริ่มชอบใจเพื่อนของพี่ชายคนนี้เข้าให้บ้างแล้ว แต่นั่นกลับทำให้ใครบางคนที่มองอยู่ห่าง ๆ ชักเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   "แสดงว่าช่วงนี้เราก็ว่างกันอยู่สินะครับ งั้นพวกผมขอตัวไปเล่นน้ำทะเลก่อนได้ไหมครับ"

   เวทิตหันไปขออนุญาตเจ้าของบ้านพัก ซึ่งรวีก็ยิ้มแล้วพยักหน้ารับรู้ หากแต่เจตต์นั้นกลับโพล่งขัดขึ้นมาแทน

   "หา! บ่าย ๆ แบบนี้นี่นะ! เดี๋ยวก็ตัวดำพอดี"

   "ก็ทากันแดดสิวะกลัวทำไม!"

   เวทิตสวนกลับ แต่เจตต์นั้นทำเป็นแกล้งค้อนขวับแล้วจีบปากพูดอย่างน่าหมั่นไส้ในสายตาของอีกฝ่าย

   "ตัวดำอย่างพวกนายอยู่แล้วก็พูดได้สิ เกิดฉันตัวดำกลับบ้านไป เดี๋ยวป๊ากับม๊าจำไม่ได้ ไม่ให้เข้าบ้านจะทำยังไง"

   "หมั่นไส้ว่ะ! งั้นก็อยู่เฝ้าบ้านไป ฟ้าเราไปเล่นน้ำกันเหอะ!"

   เวทิตหันไปชวนเพื่อนสนิทโดยไม่คิดจะใส่ใจเพื่อนอีกคน ทำให้เจตต์ต้องรีบมาง้อ ส่วนเวหานั้นสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา เพราะเพื่อนสองคนนี้มักจะมีเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อความบันเทิงกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้นพอถูกชวนเขาเองก็ชักจะสนใจขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

   "เอาสิ! งั้นเดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนะ"

   "ถ้าน้องฟ้าไป พี่ก็ขอไปด้วยคนนะครับ!"

   รวีโพล่งแทรกขัดทำเอาหลายคนชะงัก หากแต่เวทิตนั้นกลับยิ้มรับพร้อมพยักหน้าอย่างยินดี

   "ดีเลยครับพี่ซัน คนเยอะสนุกดี  อ๊ะ! ผมเอาลูกบอลชายหาดมาด้วย แบ่งทีมกันเล่นบอลดีไหมครับ"

   อีกสามหนุ่มพยักหน้าตอบรับ ส่วนมีนานั้นขอสละสิทธิ์เนื่องจากสู้แสงแดดไม่ค่อยจะไหว

   "มีนขอบายนะครับ เดี๋ยวเหนื่อยเกินแล้วจะหมดแรงทำกับข้าว"

   "งั้นพี่อยู่เป็นเพื่อนน้องมีนที่บ้านพักเองครับ  ซันนายก็ฝากดูน้อง ๆ ด้วยนะ"

   "ได้เลยไม่ต้องห่วง!  น้องฟ้าเรามาจับคู่ทีมเดียวกันนะครับ"

   รวีรับปากเพื่อนแล้วจึงหันมายิ้มหวานชวนคนข้างกายตน พอเจตต์และเวทิตได้ยินดังนั้นก็หันมาสบตากัน แล้วจึงยิ้มล้อเลียนเพื่อนสนิท ที่ตอนนี้กำลังทำเป็นก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาใคร ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ ตรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องอย่างเร่งรีบ  คนอื่น ๆ พอเห็นดังนั้นก็ต่างแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทากันแดดบ้าง จากนั้นสักพักจึงลงมารวมตัวกันที่หน้าบ้านอีกที เพื่อตรงไปยังทะเลกว้างเบื้องหน้าต่อไป




... TBC ...


**อีกสองตอนก็จะจบแล้วค่ะ พอดีเป็นนิยายขนาดสั้น   พอจบก็จะลงตอนพิเศษแถมให้อ่านตอนนึง พอหมดนี่ก็จะปั่นเรื่องภาคต่อของนายเจ เพื่อนของน้องฟ้า กับคุณลูกพี่ลูกน้องของพี่ซันต่อบ้างแล้วค่ะ คู่นั้นคงลงเอยยากกันนิด เพราะน้องเจเขากลัวความโหดของคุณญาติขึ้นสมอง 555 (แต่จริง ๆ คุณญาติพี่ซันน่ารักนะ แค่ดุเงียบ ๆ เท่านั้นเอง) **
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 20-08-2014 18:27:15
 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-08-2014 19:43:18
เดี๋ยวพี่หาคนดีๆ แบบพี่ให้ ... ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยพี่ซัน 555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: jj_girl ที่ 20-08-2014 20:08:20
เอร้ยยยยยยย    เจจะคู่กับญาติของซันจริงๆ หรอคะ    รออ่านค่ะ   :hao7:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 20-08-2014 20:31:55
รอๆทั้งเรื่องนี้และเรื่องใหม่จร้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 20-08-2014 21:04:03
 :L2: :L2: :L2: :L2:  :L2: :L2: :L2: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-08-2014 21:34:01
 o13 น้องเจ เป็นรายต่อไป แอร๊ยยยย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-08-2014 21:41:41
หวานๆกันไป
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 20-08-2014 22:05:01
จะจบแล้วหรออออ 

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 20-08-2014 22:55:16
อยากเห็นซีนแต่งงานของพี่ซันกับน้องฟ้า ไม่รู้จะมีให้เห็นมั้ย  :mew3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 20-08-2014 23:15:26
มาติดตามความน่าฮักของน้องฟ้า  :mew1:
เห็นพี่ซันพูดถึงญาติก็อยากอ่าน ปรากฏว่าจะเป็นเรื่องถัดไป ฮุฮุ ดีใจจัง รอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 21-08-2014 10:50:05
โอ๊ยยยย อยากได้แบบพี่ซันเหมือนกันนะ
แต่ญาติพี่ก็คงมีคนจองแล้วช่ะ
งั้นรอต่อไป
 :mew3:
รอติดตามเรื่องของเจกับญาติจอมโหดของพี่ซัน คริคริ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 12) 20/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 21-08-2014 16:59:18
จบเร็วจัง
รอติดตามนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 21-08-2014 19:39:43

บทที่ 13


   หลังจากที่แต่ละคนลงไปเล่นน้ำทะเลกันหมดแล้ว บ้านทั้งบ้านจึงเหลือเพียงแค่มีนากับเมฆาตามลำพัง มีนานั้นจึงตัดสินใจเลี่ยงออกมานั่งเล่นที่ศาลาหน้าบ้านริมสระว่ายน้ำ นั่งจ้องมองพวกพี่ชายและคนอื่นเล่นน้ำทะเลแทน ทั้งนี้เพราะเขารู้สึกเขิน หากจะต้องอยู่กันสองต่อสองกับเมฆานั่นเอง

   "หนีพี่มาอยู่ที่นี่เอง  พี่เดินตามหาเสียแทบแย่"

   เมฆาเดินตามมานั่งตรงข้ามกับอีกฝ่ายพร้อมยิ้มน้อย ๆ ให้ ทว่าคนฟังนั้นมัวแต่รู้สึกเขินที่คนซึ่งตนหนีหน้าเดินมาตาม จึงไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มของชายหนุ่มว่ามันดูผิดแผกแปลกไปจากทุกครั้งที่เคยได้เห็น

   "ไม่ได้หนีสักหน่อย! มีนก็แค่อยากมาพักผ่อนนอกบ้านบ้างเท่านั้นเอง!"

   "งั้นหรือ... ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่ว พี่ก็คิดว่ามีนจะเปลี่ยนใจจากพี่ ไปหาคนอื่นแทนเสียแล้วล่ะนะ"

   มีนาชะงัก แล้วย้อนถามกลับไปอย่างแปลกใจ เพราะสีหน้ายิ้ม ๆ ของเมฆาตอนนี้มันดูเหยียด ๆ หยัน ๆ เขาชอบกล

   "พี่เมฆหมายความว่าไง"

   เมฆาจ้องมองเด็กหนุ่ม แล้วเหลือบมองไปยังใครบางคนที่กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่ด้วยสายตาที่ค่อนข้างเย็นชา

   "ก็หมายความตามที่เห็น...เพื่อนของน้องฟ้าเขาก็น่ารักดีนี่ แถมยังใจดีด้วย เป็นแบบที่น้องมีนชอบเลยไม่ใช่หรือครับ"

   มีนานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนพรวดแล้วยื่นมือไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยความโมโหอย่างลืมตัว

   "อย่ามาดูถูกกันให้มากนักนะพี่เมฆ! มีนอาจจะดูเหมือนคนใจง่ายในสายตาพี่ก็จริง แต่มีนไม่เคยทำตัวง่าย ๆ รักเร็วเปลี่ยนใจเร็วอย่างที่พี่พูดมาสักหน่อย!  พี่เองต่างหากที่ไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับมีน แต่พอเห็นมีนดีกับใคร กลับดันมาทำตัวหวงก้างแบบนี้ ใครกันแน่ที่น่าชวนโมโหกว่ากันน่ะ!"

   บอกจบเจ้าตัวก็ปล่อยคอเสื้อของชายหนุ่ม ก่อนจะเดินกระแทกเท้ากลับเข้าไปในบ้าน  แต่ก็ยังไม่วายหันมาตวาดลั่นใส่คนที่ทำให้ตนโมโหอีกครั้งหนึ่ง

   "ไอ้คนงี่เง่า! เห็นแก่ตัว! มีนไม่น่าไปเผลอตกหลุมรักคนงี่เง่าอย่างพี่เข้าให้เลย บ้าที่สุด!"

   เมฆานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาเห็นอีกฝ่ายน้ำตาคลอก่อนจะวิ่งหนีไป ชายหนุ่มสบถกับตัวเองอย่างหงุดหงิด มาถึงตอนนี้ก็ทำให้เขาพอจะตอบตัวเองได้แล้วว่า เจ้าความรู้สึกที่มันกำลังก่อตัวขึ้นอยู่ขณะนี้ มันคือความหึงหวงที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน ไม่ว่าเขาจะคบกับใครคนไหนก็ตาม

   "เฮ้อ! งี่เง่าจริง ๆ ด้วยสินะเรา ...สมแล้วกับที่โดนเด็กมันด่าให้"

   เมฆาพึมพำ ก่อนจะตัดสินใจเดินตามคนที่วิ่งหนีเข้าบ้านพักไป ด้วยแววตาที่ฉายแววมุ่งมั่นในบางสิ่ง ผิดจากทุกครั้ง



   อีกด้านหนึ่งหลังจากที่วิ่งหนีเมฆาเข้ามาหลบในห้องพัก มีนาก็เอาหน้าซุกหมอนร้องไห้โฮอย่างเจ็บใจ  เมื่อโดนคนที่ตนตกหลุมรักพูดจาดูถูกเข้าให้แบบนี้

   "ไอ้พี่เมฆงี่เง่า...ตัวเองก็ยังบอกไม่ได้เต็มปาก ว่าชอบเราจริงหรือเปล่า ...ฮึก...ยังจะมาว่าชาวบ้านเค้าใจง่ายอีก...ฮึก...ทำตัวเป็นหมาหวงก้างไปได้!"

   คนที่แอบย่องมาดูอยู่หน้าห้องแถมยังถูกเรียกว่าเป็นหมาถึงกับสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วลงมือเคาะประตูห้องที่เปิดแง้มทิ้งไว้เพราะลืมปิดเบา ๆ ทำเอาคนที่กำลังนอนร้องไห้อยู่บนเตียงชะงักกึก รีบหันขวับมามองก่อนจะตวาดใส่เสียงแข็ง

   "ตามมาทำไม! ไปให้พ้นหน้าเลยนะ!"

   "ไม่ได้หรอกครับ เพราะพี่ตั้งใจจะมาขอโทษน้องมีนนี่ครับ ขืนไปจริงน้องมีนก็ไม่ให้อภัยพี่น่ะสิ"

   เมฆาบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ แบบขี้เล่นตามปกติทำเอาคนมองชะงักแล้วยันกายขึ้นมานั่งกอดหมอนพร้อมตวาดใส่เสียงห้วน

   "ฮึ! ถ้าจะมาขอโทษ สู้ไม่ทำให้โกรธแต่แรกจะง่ายกว่าไหม! ทีเมื่อครู่พูดจาดูถูกเค้า ทีนี้จะมาขอโทษ มีนไม่ใช่ถังขยะรองรับอารมณ์แปรปรวนของพี่เมฆนะ!"

   เมฆาลอบถอนหายใจกับถ้อยคำต่อว่ารุนแรงกลับมา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้นึกโกรธอะไรอีกฝ่าย เนื่องจากครั้งนี้เป็นเพราะเขานั่นล่ะที่เป็นคนก่อเรื่อง ดังนั้นต่อให้มีนาจะต่อว่าเขารุนแรงกว่านี้เขาก็ไม่มีสิทธิ์โกรธอะไรทั้งนั้น

   "ครับ...พี่รู้แล้ว พี่ผิดเองที่พี่พูดไม่ดีกับน้องมีนออกไป แต่ก็เพราะพี่หึงที่เห็นน้องมีนยิ้มหวานให้น้องเจก่อนหน้านั้น ทั้งที่พี่ก็น่าจะรู้ดีว่ารอยยิ้มที่น้องมีนมีให้คนอื่นมันก็เป็นเรื่องปกติ  แต่เพราะความหึงหวง มันเลยทำให้พี่ทำตัวแย่ ๆ จนเผลอทำให้น้องมีนเสียใจ ...น้องมีนอภัยให้พี่ด้วยนะครับ"

   มีนานิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ใบหน้าที่ชุ่มรอยน้ำตานั้นบัดนี้แดงระเรื่อ เมื่อได้ยินคำขอโทษที่ปนมากับคำสารภาพของอีกฝ่าย

   "กะ...ก็ไหนพี่เมฆเคยบอกว่า...ยังไม่รู้ใจตัวเองว่าคิดยังไงกับมีนยังไงล่ะ..."

   มีนาถามออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก น้ำตาที่เคยไหลตอนนี้มันกลับแห้งเหือดไปเสียดื้อ ๆ อย่างนั้น

   "ก่อนหน้านั้นยังไม่รู้ แต่มาตอนนี้พี่รู้แล้วล่ะว่า น้องมีนสำคัญกับพี่มากขนาดไหน..."

   เมฆาบอกพร้อมยิ้มมุมปากนิด ๆ อย่างนึกขำแกมเอ็นดู เมื่อคนที่เขาจงใจมาง้อ กลับเขินจนหน้าแดงก่ำ แถมตอนนี้ก็ยังเอาหน้าไปซุกกับหมอนใบใหญ่ที่ตนกอดอยู่ ไม่กล้าโผล่หน้าออกมาสบตากับเขาโดยตรง

    "น้องมีนครับ...พี่ว่าตอนนี้พี่เจอคนที่พี่อยากอยู่เคียงข้าง และพร้อมจะซื่อสัตย์ต่อเขาไปเพียงคนเดียวตลอดชีวิตแล้วล่ะนะครับ"

   มีนารู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนไฟลุกไหม้ไปทั้งตัว เขาไม่กล้าเงยหน้าจากหมอนเพื่อสบตากับชายหนุ่ม เพราะขนาดแค่ได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกเขินเสียจนแทบจะละลายไปเสียเดี๋ยวนั้นแล้ว

   เมฆาอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของเด็กหนุ่ม เขาเดินมานั่งตรงหน้าของคนที่ยังคงซุกหลบใบหน้ากับหมอน ก่อนจะตัดสินใจสารภาพรักออกมา

   "น้องมีนครับ...พี่ชอบน้องมีนนะ...เป็นแฟนพี่ได้ไหมครับ"

   มีนาสะดุ้งโหยง ก่อนจะนิ่งเงียบตัวแข็งไปสักพักจนเมฆานึกแปลกใจ ทว่าพอจะเอื้อมมือไปแตะตัว อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นพรวด พร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มเขม็งด้วยใบหน้าแดงก่ำ

   "พี่เมฆพูดจริงใช่ไหม! พูดแล้วอย่ามากลับคำ หรือบอกว่าล้อเล่นทีหลังนะ! ไม่งั้นมีนจะโกรธพี่ไปตลอดชีวิตเลย คอยดู!"

   เมฆานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะตามมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทำเอาคนหน้าแดงสับสน แล้วรีบโพล่งถามตามมาทันที

   "พี่เมฆหัวเราะทำไม! ล้อเล่นจริง ๆ สินะ! คนบ้า! บ้าที่สุดเลย!"

   เมฆาพยายามกลั้นหัวเราะ แล้วรีบดึงมือของคนที่เข้าใจผิดและจะลุกหนีไปเสียก่อน ทว่าเพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัว จึงทำให้คนถูกดึงเสียหลักเซล้มลงมาในอ้อมแขนของคนดึง ทำเอามีนาใจเต้นแรง ตัวร้อนวูบวาบ ส่วนเมฆาพอเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงปล่อยเลยตามเลย แล้วกอดร่างเล็กในอ้อมกอดแน่นด้วยความเอ็นดูแทน

   "มีนครับ...พี่ไม่ได้พูดเล่นนะครับ พี่พูดจริง...พี่ชอบมีนจริง ๆ ...มีนเป็นแฟนพี่นะครับ"

   มีนารู้สึกว่าหัวใจตัวเองแทบจะหลุดออกมาจากอก มันเต้นแรงเสียจนเขาแน่ใจว่าเมฆาก็คงจะได้ยินมันด้วยเช่นกัน

   "...ถ้าชอบแล้วเมื่อครู่พี่เมฆหัวเราะเยาะมีนทำไมกันล่ะ"

    "หึ ๆ พี่ไม่ได้หัวเราะเยาะมีนสักหน่อย ที่พี่หัวเราะก็ด้วยความเอ็นดูต่างหาก ...ก็น้องมีนเล่นดีใจแบบน่ารักเสียขนาดนั้น พี่ก็อดขำด้วยความเอ็นดูไม่ได้สิครับ"

   คำตอบของชายหนุ่มทำให้มีนาที่หวนคิดตาม หน้าแดงวาบขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าตัวซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่ายด้วยความอับอาย ทำให้เมฆาอมยิ้ม ก่อนจะย้ำถามเพื่อต้องการฟังคำตอบจากคนในอ้อมกอดของตนอีกครั้ง

   "แล้วตกลงว่าน้องมีนจะยอมเป็นแฟนพี่ หรือไม่ยอมล่ะครับ"

   ยังคงไม่มีคำตอบในทันที หากแต่อ้อมแขนเล็ก ๆ นั่นกอดรัดร่างของตนแน่นขึ้น ซึ่งก็ทำให้เมฆาอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมา

   "ถ้ายังไม่รีบตอบ พี่จะถือว่าน้องมีนตกลงรับรักและยอมรับพี่เป็นแฟนเรียบร้อยแล้วนะครับ ...เอ้า! นับถึงสามนะครับ หนึ่ง...สอง...สา..."

   "ตกลงครับ! มีนตกลงเป็นแฟนกับพี่เมฆ!"

   มีนารีบดันตัวออกพร้อมโพล่งขัดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะนับถึงสาม โดยที่เมฆาเองก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่เพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะกล้าพูดออกมาเช่นนี้

   "ก็มีนอยากเป็นฝ่ายบอกด้วยตัวเองเหมือนกันนี่ครับ..."

   มีนาบอกตามมาอย่างเขิน ๆ และนั่นก็ทำให้คนมองอดใจไม่ไหว ก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มเนียนใสนั่นฟอดใหญ่อย่างลืมตัว

   "น้องมีนของพี่น่ารักจริง ๆ เลยน้า... ดีนะครับที่พี่รู้ใจตัวเองแต่เนิ่น ๆ ขืนรู้นานกว่านี้ เกิดน้องมีนเปลี่ยนใจไปมองคนอื่น พี่คงเศร้าแน่"

   มีนามองตอบอย่างเอียงอาย แล้วจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้มของอีกฝ่ายอย่างประจบบ้าง

   "มีนเป็นคนชอบอะไรง่าย ๆ ก็จริง แต่ตัดใจยากนะ... เพราะงั้นมีนไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ แน่ ...พี่เมฆนั่นล่ะ ถ้านอกใจเมื่อไหร่ล่ะก็ มีนจะบอกให้พี่ฟ้าฝากบอกพี่ซัน ให้เล่นงานพี่เมฆให้หนักแน่  คอยดู!"

   เมฆายิ้มเจื่อนกับคำขู่ ที่ดูไม่ค่อยเหมือนจะเป็นการล้อเล่นจากอีกฝ่าย และเขาเองนั้นเชื่อมั่นว่า หากเวหาเป็นคนขอร้อง ต่อให้เป็นเรื่องเหลวไหลหรือ ไร้สาระเพียงใด รวีก็คงพร้อมจะยอมทำตามทุกอย่าง ต่อให้เรื่องนั้นมันจะเกี่ยวกับสวัสดิภาพความปลอดภัยของเพื่อนสนิทอย่างเขาก็ตามทีล่ะนะ

   "ครับ ๆ ยังไงพี่ก็ไม่กล้านอกใจแน่  แต่แหม! แฟนพี่คนนี้นี่นะ เห็นน่ารักขนาดนี้ แต่ดุใช่เล่นนะเนี่ย"

   มีนาค้อนให้นิด ๆ อย่างหมั่นไส้ จากนั้นเมฆาจึงชวนเด็กหนุ่มออกจากห้องไปนั่งคุยเล่นที่ห้องรับแขกด้านล่างแทน เพราะเขาเกรงว่าขืนอยู่ในห้องนอนกันสองต่อสอง คุยกันไปอ้อนกันมานานกว่านี้อีกนิด เขาคงจะได้ตบะแตกเผลอลืมตัวจับอีกฝ่ายปล้ำเข้าให้ก็ได้  ซึ่งหลังจากนี้แล้ว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าวารีเองหากรู้เรื่องนี้ ก็คงจะต้องยื่นเงื่อนไขเดียวกับที่เพื่อนสนิทโดนกับเขาเข้าด้วยอีกคนเป็นแน่ ดังนั้นเขาก็ควรจะหัดฝึกความอดทนของตนเองให้ชินไว้เสียก่อนแบบนี้แต่เนิ่น ๆ บ้างนั่นล่ะนะ!



   ทางด้านรวีนั้นหลังจากออกไปเล่นน้ำกับพวกเวหาได้สักครู่ใหญ่ชายหนุ่มจึงขอตัวมานั่งพักที่ริมหาด เพราะรู้สึกไม่ค่อยชินกับอากาศร้อนของเมืองไทยนัก  แต่พอรวีนั่งหลบใต้ร่มกันแดดริมหาดอยู่ได้สักพัก เวหาก็วิ่งขึ้นมาจากทะเลและเดินผ่านอีกฝ่ายไป ทว่าพอชายหนุ่มขยับจะลุกตามก็กลับถูกเวหาสั่งให้รอที่นี่ก่อน ทำให้รวีถึงกับหน้าสลด ทว่าพอเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้งพร้อมน้ำเย็นและผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเฉียบก็ทำให้คนที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่ถึงกับนิ่งอึ้งอย่างตกตะลึงระคนยินดี

   "ขอโทษนะครับ ฟ้าเองก็ลืมไปว่า พี่ซันน่ะอยู่เมืองนอกมานาน คงจะไม่ค่อยชินอากาศเมืองไทยนัก"

   เวหาบอกด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ทว่ากลับทำให้คนที่จ้องมองอยู่สะดุ้งแล้วรีบบอกตามมา

   "น้องฟ้าอย่าโทษตัวเองเลยนะครับ! ไม่ใช่ความผิดของน้องฟ้าสักหน่อย! มันเป็นเพราะพี่อยากอยู่ใกล้น้องฟ้าตลอดไม่อยากห่างไปไหนต่างหาก ...แต่บางทีพี่ก็ลืมลิมิตตัวเองไปบ้าง เลยต้องมานั่งหมดสภาพไม่น่าดูแบบนี้ล่ะนะครับ"

   รวียิ้มเจื่อน ๆ  แต่กลับทำให้เด็กหนุ่มชะงักแล้วจึงมีรอยยิ้มตามมา  จากนั้นเจ้าตัวจึงส่งแก้วน้ำเย็นยื่นให้กับรวี ซึ่งรวีก็รับมาดื่มพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องนิ่งอึ้ง เมื่อเวหานำผ้าเย็นที่ติดตัวมาด้วยช่วยซับหน้าของตนเบา ๆ

   "ทุกสิ่งที่พี่ซันทำไปทั้งหมดก็เพื่อฟ้าไม่ใช่หรือครับ เพราะฉะนั้นสำหรับฟ้าแล้ว ไม่ว่าพี่ซันจะเป็นยังไง พี่ซันก็เท่สำหรับฟ้าเสมอนะครับ"

   รวีตกตะลึงพูดอะไรแทบไม่ออก ส่วนทางด้านเวหานั้นหน้าแดงระเรื่อ เจ้าตัวเหลือบไปมองที่ทะเล ก็เห็นว่าเพื่อนทั้งสองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังแสร้งหันไปมองทางอื่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงแอบหันมามองในบางครั้ง จนคนที่กำลังจ้องอยู่ต้องสั่นศีรษะอย่างระอา

   "ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปเล่นน้ำต่อนะครับ"

   เวหาบอกแล้วลุกขึ้นยืน หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อรวีนั้นรีบจับมือของตนรั้งเอาไว้ก่อน

   "มีอะไรหรือครับพี่ซัน"

   รวีนิ่งอึ้งต่อการกระทำของตัวเอง ชายหนุ่มมีทีท่าลังเลและคิดหนักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจโพล่งออกไปอย่างลืมตัวในที่สุด

   "เป็นแฟนกับพี่นะครับน้องฟ้า!"

   เวหานิ่งอึ้งหน้าแดงระเรื่อ โชคดีที่พวกเวทิตกับเจตต์นั้นเล่นน้ำอยู่ห่างไปไกล จึงทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ยินในสิ่งที่รวีพูดออกมา

   "เอ่อ...แล้วถ้าฟ้าบอกว่ายังไม่พร้อมล่ะครับ"

   เวหาตอบกลับไปเสียงแผ่ว แต่นั่นกลับทำให้คนฟังหัวใจกระตุกวูบ ทว่าไม่นานเจ้าตัวก็มีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้ได้เห็น

   "ไม่เป็นไรครับ ยังไม่พร้อมตอนนี้พี่ก็จะรอจนกว่าน้องฟ้าจะพร้อม"

   เวหาอมยิ้ม แล้วจึงแสร้งถามต่อ

   "แล้วถ้าฟ้าเกิดยังไม่พร้อมต่อไปเรื่อย ๆ  พี่ซันก็จะยังคงรอฟ้าต่อไปเรื่อย ๆ อีกหรือครับ"

   รวีชะงักกึก เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้าตน

   "ถ้าเป็นการรอที่ยังคงมีความหวัง พี่ก็พร้อมจะรอครับ...ไม่ว่าจะใช้เวลากี่เดือนกี่ปีก็ตาม"

   เวหาฟังแล้วก็ถึงกับนิ่งอึ้ง เจ้าตัวก้มหน้านิ่งเงียบไปชั่วครู่จนรวีใจเสีย เพราะคิดว่าเด็กหนุ่มอาจจะไม่พอใจที่เขาตื๊อเกินไปก็เป็นได้

   "น้องฟ้า...พี่ขอโทษนะครับ...น้องฟ้าโกรธพี่หรือครับ"

   "ใครว่าล่ะครับ"

   เวหาเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มหวาน ก่อนจะใช้มืออีกข้างเอื้อมไปจับมือข้างที่เกาะกุมข้อมือเขาอยู่แผ่วเบา

   "ฟ้าให้พี่ซันรอมาตั้งหลายปีแล้ว...ฟ้าไม่ใจร้ายให้พี่ต้องรอต่อไปอีกหรอกนะครับ"

   รวีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เจ้าตัวทวนคำไปมา แล้วจึงโพล่งขึ้นอย่างตกใจ

   "แสดงว่าน้องฟ้ายอมตอบรับเป็นแฟนพี่แล้วหรือครับ!"

   เวหาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าพร้อมยิ้มอย่างเขินอายนิด ๆ

   "ครับ...ผมยินดีเป็นแฟนกับพี่ซันครับ"

   รวีเบิกตากว้างพร้อมกับดึงร่างตรงหน้ามาหาตน จนเวหาเสียหลักล้มลงไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย หากแต่รวีนั้นไม่สนใจเขากอดรัดร่างนั้นแน่นอย่างยินดีเป็นที่สุด ทำเอาเวหารู้สึกอายจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนพวกเจตต์กับเวทิตที่หันมาเห็นเข้าก็พากันนิ่งอึ้ง แล้วจึงตัดสินใจกึ่งเดินกึ่งแหวกว่ายกลับเข้ามาฝั่ง และแม้ว่าจะมีคนมายืนจ้องอยู่ไม่ห่างนัก หากแต่ชายหนุ่มก็ยังคงกอดร่างในอ้อมกอดพร้อมกระซิบคำรักรวมถึงหอมแก้มคนในอ้อมกอดจนฉ่ำปอด เสียจนเจตต์ต้องสะกิดเวทิตแล้วพากันกลับเข้าบ้านพักไปก่อน แต่ก็ยังไม่วายขยิบตาให้เพื่อนสนิท ที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงและเริ่มดิ้นขลุกขลักเพราะความเขินอายเต็มที่

   "พี่ซัน...ปล่อยฟ้าก่อนครับ"

   "ครับ ๆ ปล่อยแน่  แต่ขอกอดอีกนิดนะครับ"

   รวีบอกแล้วหอมแก้มซ้ายขวาของคนในอ้อมกอดอีกครั้ง

   "พี่ซัน...ฟ้าอายนะครับ ที่โล่งแจ้งขนาดนี้"

   เวหาประท้วงต่อ แต่ดูเหมือนว่าคนกอดจะไม่สนใจ แถมยังยิ้มให้แทนอีกต่างหาก

   "ไม่เป็นไรครับ  ถ้าน้องฟ้าอายก็ซุกหน้ากับอกพี่ก็ได้"

   เวหาหน้าแดงก่ำ ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป รวีก็มีข้ออ้างมาแย้งได้ทุกที ทว่าสักพักเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงตะโกนโวยวายที่คุ้นเคยดังลั่นขึ้น

   "นี่พี่ซัน! ปล่อยพี่ชายมีนเดี๋ยวนี้นะ!"

   รวีเงยหน้ามองน้องชายคนรัก แล้วยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี

   "แต่พี่ชายน้องมีน ตอนนี้เป็นแฟนพี่แล้วนะครับ"

   มีนาชะงัก แล้วหันขวับไปมองพี่ชายพร้อมเอ่ยถามอย่างคาดคั้น

   "จริงหรือพี่ฟ้า!"

   เวหาหน้าแดงวาบ ยิ่งเห็นเมฆาเดินตามน้องชายมาแล้วยิ้มล้อเลียนให้ตนเขาก็ยิ่งอายใหญ่ มองไปด้านหลังก็เห็นเจตต์กับเวทิตโบกมือแล้วฉีกยิ้มกว้างชูสองนิ้วให้ เวหาก็แทบอยากจะมุดทรายหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น

   "แหม ๆ ไอ้เราก็คิดว่า คู่ของเราจะมาแรงแซงโค้งคู่เดียวเสียอีกเนอะน้องมีน ไม่คิดเลยว่าเจ้าซันก็ไม่ยอมแพ้ ชิงสารภาพรักกับน้องฟ้าเข้าให้เหมือนกัน"

   เมฆาเปรยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทว่าคำพูดของชายหนุ่มนั้นทำให้มีนาหันขวับมาถลึงตาจ้องดุ ๆ ด้วยความอาย ส่วนรวีกับเวหาพากันนิ่งอึ้ง พอ ๆ กับเจตต์และเวทิตที่อยู่ด้วยแถวนั้น

   "พี่เมฆ! บอกเขาไปทำไมกันเล่า! มีนอายนะ!"

   เมฆามองคนขี้อายของตนแล้วอมยิ้มอย่างนึกขำแกมเอ็นดู เพราะอีกฝ่ายนั้นไม่ได้แก้ตัวปฏิเสธ แต่กลับทำเป็นดุใส่เขาแทน ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อน่ารักนั้น

   "ก็คิดบ้างหรอกว่าคู่นี้ก็แปลก ๆ เหมือนกัน ...มิน่าล่ะตอนที่ฉันจะไปเล่นน้ำ พอเดินผ่านพี่เมฆ ยังนึก ๆ อยู่ว่าทำไมถึงเสียวสันหลังวาบ ๆ คล้ายจะโดนเขม่น  ฮ่า ๆ ที่แท้ก็งี้นี่เอง!"

   เจตต์ที่หัวไวประมวลสถานการณ์รอบด้านได้อย่างรวดเร็วเปรยขึ้นแล้วหัวเราะตามมา ทำเอามีนาสะดุ้งโหยงแล้วหน้าแดงก่ำ เด็กหนุ่มพยายามจะแก้ตัวด้วยความอาย แต่พูดไม่ออก เห็นดังนั้นเวทิตเลยตบหลังเพื่อนไปหนึ่งฉาด โทษฐานที่ทำให้น้องชายของเพื่อนสนิทต้องอับอายเช่นนี้

   "ขอโทษน้องมีนด้วยแล้วกันที่หมอนี่พูดไม่ค่อยคิด ว่าแต่แทนที่จะมา สวีทหวานกันท่ามกลางแสงแดดช่วงบ่ายแบบนี้  ผมว่าเข้าไปพักในห้อง แล้วเปิดแอร์เย็น ๆ คุยกันแทนไม่ดีกว่าหรือครับ"

   เวทิตที่กลัวเพื่อนจะเป็นลมแดดเอาเข้าเสียก่อนเสนอความเห็น ทำให้เวหารีบพยักหน้าหงึกหงักเห็นดีด้วย ซึ่งรวีก็ทำเสียงในลำคออย่างนึกเสียดาย ก่อนจะยิ้มหวานตามมาหลังจากนั้น

   "โอเคครับ งั้นไปกอดกันในบ้านต่อก็ได้"

   "คุยกันต่างหากครับ ไม่ใช่กอด!"

   เวหารีบแย้ง แล้วผลักคนที่คลายอ้อมกอดออกให้ตน อย่างนึกหมั่นไส้ ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปโดยที่รวีไม่ทันตั้งตัว

   "เดี๋ยวครับน้องฟ้า! รอพี่ก่อน! พี่ไปด้วย!"

   รวีรีบวิ่งตามเด็กหนุ่มไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้แต่ละคนที่เหลือพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่พอเจตต์หันมาสบตากับมีนา คนตัวเล็กก็หน้าแดงวาบแล้วรีบหลบไปยืนด้านหลังเมฆาด้วยความอาย ทำให้เจตต์นึกขำและคิดจะแกล้งแหย่ให้อีกฝ่ายอายเพิ่มขึ้น

   "เฮ้อ! ขนาดน้องมีนก็ยังมีแฟนแล้วแบบนี้ ก็กลายเป็นว่าหนุ่มโสดซิง ในกลุ่มก็เหลือแต่พี่คนเดียวแล้วสิครับ  เหงาจัง...อุตส่าห์คิดว่าน้องมีนยังว่างเหมือนกัน เลยจะจีบเสียหน่อยเชียว!"

   เวทิตมองเพื่อนสนิทที่ชอบปากหาเรื่องอย่างเอือมระอา ส่วนเมฆานั้นกระแอมเบา ๆ แล้วจึงแสร้งเปรยขึ้นบ้าง

   "พี่จะบอกให้ซันมันติดต่อญาติของมันให้น้องเจเสียวันสองวันนี้เลยดีไหมครับ เผื่อน้องเจจะได้ไม่เหงา และจะได้ไม่มีเวลาว่างมาเที่ยวแซวแฟนชาวบ้านเขาแบบนี้"

   เมฆาบอกแล้วยิ้มเยียบเย็นเสียจนเจตต์สะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบสั่นศีรษะไปมายกใหญ่

   "โอ๊ย! ไม่เอาเด็ดขาดครับ!  ผมยังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร!"

   เมฆาชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะเสียงดังอย่างลืมตัว แล้วจึงตบบ่าอีกฝ่ายพร้อมยิ้มน้อย ๆ ให้

   "พี่ล้อเล่นน่ะ อีกอย่างญาติเจ้าซันมันก็ไม่ได้โหดขนาดนั้นหรอก ไอ้ที่บอกว่าเป่าทิ้งนั่นเขาก็แค่คิดจะยิงขู่ แต่บังเอิญมือมันดันเผลอไปเหนี่ยวไก ก็เลยกลายเป็นลือกันไปว่าหมอนั่นเป็นพวกหึงโหดก็แค่นั้นเองล่ะ"

   เจตต์ยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อได้รับฟัง เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นพูดเรื่องจริงหรืออำเขาเล่นกันแน่ แต่เท่าที่รู้เขาปฏิเสธไว้ก่อนเห็นจะดีเป็นที่สุด

   "ง่า...ผมว่าตอนนี้ผมเป็นโสดไปก่อนจะดีกว่า เพราะฟังที่พี่เมฆเล่ามันยิ่งทำให้ผมหายเหงาเข้าไปใหญ่เลยครับ"

   เมฆาอมยิ้มมองคนพูด ที่ตอนนี้กำลังรีบดึงเพื่อนกลับเข้าบ้านพักไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเหลือบมามองคนข้างกายที่ขยับมาจับมือเขา พร้อมบ่นอุบอิบด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

   "เข้าบ้านกันเถอะพี่เมฆ...ขืนช้ากว่านี้เพื่อนพี่ก็ปล้ำพี่ชายผมเข้าให้พอดี!"

   เมฆาเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะทำท่าเป็นนึกอะไรบางอย่าง

   "นั่นสิ...ขนาดน้องฟ้ายังไม่ตอบรับรัก เจ้าซันยังคลั่งไคล้เสียขนาดนั้น นี่ยอมตอบตกลงเป็นแฟนกันเรียบร้อย เจ้าซันมีหวังของขึ้น จนเผลอลืมตัวผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับน้าวารีเข้าให้แน่..."

   ยังไม่ทันพูดจบดี มีนาก็ตาเบิกกว้างแล้วรีบดึงมือชายหนุ่มลากเข้าไปในบ้านพักอย่างรวดเร็ว ทำเอาเมฆาถึงกับอมยิ้มอย่างเอ็นดู ที่ถึงแม้มีนาจะเป็นห่วงสวัสดิภาพของพี่ชายสักเพียงใดก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ยังคงไม่ลืมเขา และจูงมือพาไปด้วยกันแบบนี้อยู่ดีนั่นเอง



..... TBC ...


พรุ่งนี้จะลงตอนจบ(14) และตอนพิเศษให้ช่วงเย็นๆ ค่ำ ๆ นะคะ ^^ (วันนี้ก็เกือบลืมโพส พอดีงานเข้ากว่าจะเสร็จก็ช่วงเย็นละ)   

สำหรับเรื่องนี้หลายคนอาจจะคิดว่าดำเนินเรื่องเร็ว รักกันง่ายไปนิด ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ พอดีปัดตั้งใจจะเขียนสั้น ๆ ง่าย ๆ ไร้ปมซ่อนเงื่อน อยู่แล้ว ก็เลยรวบรัดอย่างที่เห็น...แต่ถึงยังไงก็ตั้งใจเขียนให้คนอ่านได้มีรอยยิ้มกันบ้าง และรู้สึกดีใจมากๆ เวลาอ่านคอมเมนต์แล้วนักอ่านแต่ละท่านบอกว่าเรื่องนี้ชวนให้ยิ้มได้ ...ในฐานะคนเขียนก็รู้สึกปลื้มใจมาก และดีใจที่มีคนชอบสไตล์การแต่งเรื่อยเปื่อยเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ^^  และหวังว่าภาคต่อไปของน้องเจกับคุณญาติของพี่ซัน ก็จะสามารถสร้างรอยยิ้มให้กับนักอ่านที่รออยู่ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 21-08-2014 20:04:31
 :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-08-2014 20:25:13
หวานกันน่าดูนะ ทั้ง 2 คู่เลย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: jj_girl ที่ 21-08-2014 20:33:39
มีความสุขจริงๆ ค่ะ   เทียวมารีเฟรชเพจ สอดส่องบ่อยๆ ว่าคนเขียนมาอัพแล้วรึยัง  อิอิ


รอตอนต่อไป  และรอเรื่องใหม่นะคะ    :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-08-2014 20:44:10
หวานกันไปอีกคู่
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-08-2014 20:59:35
 :-[ ตอนนี้ทะเลหวานไปเลยทีเดียว  จะจบแล้วหรอ อ้ากกก สั้นจัง รอคู่น้องเจด้วยคนค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-08-2014 21:15:52
น้ำตาลหกตามชายหาดหมดแล้วนะนั่น
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Elizabeth_TonnY ที่ 21-08-2014 21:43:35
น้องฟ้าน่ารัก อ่ะ
ชอบพี่ซันน อั้ยย๊ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu_Chise ที่ 21-08-2014 21:58:21
ไม่อยากให้จบบบบบบบบบบบบบบบบบบ  :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

ไม่เอาน๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา

เอาน้องฟ้า น้องมีน มาต่อเรื่อยๆๆๆๆ ไม่เอาไม่จบบบบบบบบบบบบบบบบบบ :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 21-08-2014 22:33:14
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 22-08-2014 08:18:03
กรี๊ดดดดด เป็นแฟนกันแล้วๆๆ
ทั้งพี่ทั้งน้องเลย  :mew3:
ตอนนี้รู้สึกน้องมีนน่ารักมากอ่ะ
ตอนนี้อ่านแล้วยิ้มกว้าง ^____^
เพื่อเจแซวเค้ามากๆ ระวังถึงทีตัวเองบ้างนะจ๊ะ คริคริ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 22-08-2014 08:54:16
หวานๆ กลางทะเลกันเลยทีเดียว อิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-08-2014 10:47:12
ซันนี่น่าหมั่นไส้จริงๆให้ดิ้นตาย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 13) 21/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 22-08-2014 13:59:23
เรื่องน่ารัก เบาๆดีฮะ ชอบ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-08-2014 16:22:12
 
บทที่ 14

 

   หลังกลับมาจากทะเล วารีกับณรงค์ก็ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกชายพวกเขา ดังนั้นทั้งคู่จึงเรียกลูก ๆ มาคุยกันเป็นการส่วนตัว และก็ได้รับฟังคำตอบอย่างที่พอจะคาดเดาเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นบ้างแล้ว

   "แม่ก็คิดอยู่ว่าถ้าลองได้ไปค้างกันแบบนี้ความสัมพันธ์ก็คงมีคืบหน้าบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้ล่ะนะ  โดยเฉพาะลูกนะมีน...ทีแรกแม่ก็คิดว่าตาเมฆเขาจะไม่สนใจจริงจังลูกเสียอีก แต่นี่เห็นกระซิบบอกแม่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะมีเรื่องสำคัญมาคุยกับพ่อแล้วก็แม่ ถ้าให้เดาก็คงจะมาคุยเรื่องลูกนี่เองล่ะสิ"

   วารีเปรยกึ่งบ่น ทำเอามีนาที่ได้ยินหน้าแดงระเรื่อ หญิงสาวมองลูกชายคนเล็กอย่างนึกระอาแกมเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยถามตามมา

   "แน่ใจแล้วหรือมีนสำหรับเรื่องนี้"

   มีนาชะงักกึก เขาเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเงยหน้าจ้องสบตามารดานิ่ง แล้วพูดออกไปตามความรู้สึกของตน

   "แน่ใจครับ...และถึงแม้อนาคตข้างหน้ามันอาจจะไม่สวยงามอย่างที่มีนคิดหวังเอาไว้ แต่มีนก็จะไม่เสียใจ...เพราะนี่เป็นทางเลือกที่มีนได้เลือกด้วยตัวเองครับแม่"

    วารียิ้มเช่นเดียวกับณรงค์ที่มองอยู่เงียบ ๆ หญิงสาวดึงลูกชายคนเล็กมากอดแนบอก แล้วลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

   "ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ มีนก็ยังมีแม่ มีพ่อ แล้วก็มีพี่ฟ้า ที่รักและพร้อมให้กำลังใจมีนอยู่เสมอนะลูก"

   "ครับแม่..."

   มีนาพึมพำอย่างตื้นตัน ส่วนณรงค์นั้นยิ้มมองบุตรชายของเขา ก่อนจะเอ่ยบางอย่างที่ทำให้คนฟังพากันสะดุ้ง

   "แต่ถ้ามีนต้องทุกข์เพราะเขา พ่อก็คงไม่ปล่อยให้พี่เมฆของลูกลอยนวลไปง่าย ๆ หรอกนะ"

   "แล้วพ่อจะทำอะไรเขาล่ะจ๊ะ"

   วารีถามอย่างแปลกใจ เพราะปกติไม่เคยเห็นสามีขู่อาฆาตคนอื่นเช่นนี้มาก่อน

   "พ่อไม่ทำด้วยตัวเองหรอก แต่จะวานลูกเขยคนโตจัดการให้แทนต่างหากล่ะ!"

   ขาดคำของณรงค์ก็เรียกเสียงหัวเราะดังขึ้นจากทั้งวารีและมีนา ยกเว้นเวหาที่หน้าแดงนิด ๆ เพราะบิดานั้นพูดแซวไปถึงรวีที่ตอนนี้ได้คบหากับเขาเป็นแฟนกันเรียบร้อย



   และพอเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง เมฆาก็หอบเอากระเช้าผลไม้ใบโตพร้อมกับแต่งตัวด้วยชุดสูทเต็มยศ เข้ามาขอพบวารีและณรงค์ โดยมีรวีตามมาด้วยเช่นเคย  และเมื่อเข้ามานั่งรวมกันอยู่ในห้องรับแขกอย่างพร้อมเพรียงแล้ว เมฆาจึงเอ่ยปากขอคบหากับมีนาอย่างเป็นทางการทันทีเล่นเอาผู้สูงวัยทั้งสองถึงกับนิ่งอึ้งในท่าทีที่ดูจริงจังผิดเคยของชายหนุ่ม

   "ที่จริงผมอยากหมั้นไว้ก่อนเพื่อแสดงให้คุณน้าเห็นว่าผมจริงใจกับน้องมีนจริง ๆ ผมคุยกับน้องตั้งแต่ตอนที่อยู่ทะเลแล้ว แต่น้องมีนเขาห้ามผมเอาไว้ เขาบอกว่ามันเป็นทางการเกินไป แต่ผมก็ยังอยากจะให้พวกคุณน้ารับรู้ว่า ถ้าคุณน้าทั้งสองอยากให้หมั้นกันไว้ก่อนที่น้องมีนจะเรียนจบ ผมก็พร้อมเสมอครับ"

   วารีนั้นพอได้ยินก็ถอนหายใจเบา ๆ จากที่เคยคิดจะแกล้งพูดข่มแฟนของลูกชายคนเล็กก็เลยพูดไม่ออก เพราะอีกฝ่ายดันจริงจังกว่าที่เธอและสามีเคยคิดไว้เสียอีก

   "ถ้าเมฆรักลูกน้าจริง เมฆก็ไม่ต้องใช้หลักประกันอะไรมากมายนักหรอก แค่เมฆกล้ายืนยันว่าความรักของเมฆที่มีต่อมีนเป็นของจริง แค่นี้พวกน้าก็สบายใจแล้วล่ะจ้ะ"

   เมฆานิ่งอึ้งก่อนจะพนมมือไหว้วารี แล้วจึงหันไปไหว้ณรงค์ที่ส่งยิ้มจริงใจให้กับเขา ชายหนุ่มไม่นึกแปลกใจแล้วว่าเหตุใดรวีถึงได้เอ่ยชื่นชมบิดามารดาของคนรักให้ตนฟังว่า ทั้งคู่เป็นคนมีเหตุผลและเข้าใจในเรื่องความรักของลูก ๆ ได้เป็นอย่างดี

   "อย่างนี้ก็เท่ากับว่าบ้านเรามีลูกชายมาเพิ่มอีกสองคนแล้วสินะจ๊ะพ่อ"

   วารีหันไปยิ้มให้กับณรงค์ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้านิด ๆ ก่อนจะแสร้งเปรยขึ้นเบา ๆ

   "อา...จริงสิ ดูเหมือนพ่อจะลืมบอกไปนะว่า ลูกเขยบ้านนี้ต้องแต่งเข้า เพราะพ่อไม่คิดจะให้ลูกชายทั้งคู่แต่งออกหรอกนะ"

   วารีพอได้ยินที่สามีพูด เธอก็ถึงกับชะงัก ก่อนจะหลุดหัวเราะตามมาอย่างชอบใจ

   "จริงด้วยสินะ เอ้า! ว่าไงหนุ่ม ๆ คิดจะเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะจ๊ะ"

   เมฆากับรวี หันไปสบตากันชั่วครู่ จากนั้นทั้งสองคนจึงหันมายิ้มแล้วพูดแทบจะพร้อมกัน

   "พวกเราตกลงครับ!"

   คำตอบของสองหนุ่มทำเอามีนาและเวหารู้สึกเขินขึ้นมาทันที ส่วนผู้สูงวัยทั้งสองพากันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพราะไม่คิดว่าสองหนุ่มจะตอบตกลงโดยแทบไม่เสียเวลาคิดขนาดนี้

   "ผมน่ะยังไงก็ไม่คิดจะไปสืบทอดกิจการต่อจากพ่ออยู่แล้ว และทางนั้นเขาก็จัดหาผู้สืบทอดคนใหม่เตรียมไว้แทนแล้วล่ะครับ ผมขออยู่ใกล้ ๆ น้องฟ้าแบบนี้ไปตลอดดีกว่า อีกอย่างถ้าไม่อยู่ที่นี่ เรื่องธุรกิจที่เราคุยกันไว้ก็ลำบากแย่สิครับคุณพ่อ"

   รวีอธิบายให้ฟังพร้อมกับเปลี่ยนสรรพนามเรียกณรงค์โดยที่ไม่ได้ขอก่อนล่วงหน้า ทำเอาคนฟังลอบถอนหายใจนิด ๆ อย่างเอือมระอา แต่ก็ยังคงยิ้มรับในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาอยู่ดี

   "ส่วนผมก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วแค่พ่อกับแม่รู้ว่าผมจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แล้วจะหยุดทำตัวเจ้าชู้ หันมาตั้งใจทำมาหากินเหมือนชาวบ้านเขาสักที แค่นั้นพวกท่านก็แทบจะบินกลับมาเมืองไทยเพื่อขอดูตัวว่าที่ลูกสะใภ้กันแล้วล่ะครับ...นี่ขนาดผมบอกว่าแฟนเป็นผู้ชายก็ยังโดนสวนกลับว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย แค่ขอให้ผมทำตัวเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้ก็พอแล้ว...คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะตามมาพบที่นี่ล่ะครับ"

   คำบอกเล่าของเมฆาทำให้แต่ละคนยกเว้นรวี ถึงกับนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกทำตัวเสเพลเช่นนั้นมาก่อน

   "พี่เมฆเคยทำตัวเกเรขนาดนั้นเลยหรือครับ"

   มีนาถามแล้วทำหน้ามุ่ยใส่ ทำเอาเมฆาอมยิ้มแล้วบอกไปตามตรง

   "จริงครับ แต่ตอนนี้หยุดแล้วล่ะ เป็นเพราะมาเจอน้องมีนคนเดียวเลยนะครับ"

   คนฟังหน้าแดงวาบ แล้วทำเป็นเมินมองไปทางอื่น ซึ่งก็เรียกสีหน้าเอ็นดูจากคนอื่น ๆ ในห้องที่ได้เห็นกันถ้วนหน้า

   "คงเพราะผมเป็นลูกคนกลางด้วยน่ะครับ พ่อกับแม่เลยเลี้ยงแบบไม่เข้มงวดนัก...ตัวผมเองก็ใช้ชีวิตแบบผลาญเงินผลาญทองพ่อแม่ เที่ยวเตร่รักสนุกไปเรื่อย ๆ  แต่พอได้มาคบเป็นเพื่อนกับซัน ก็เลยได้มันคอยช่วยเตือนสติอะไรหลาย ๆ อย่าง แถมตอนนี้ก็มีคนสำคัญอย่างน้องมีนมาเพิ่มในชีวิต ต่อไปนี้ผมก็คงต้องตั้งใจทำงานสร้างความมั่นคงในอนาคตอย่างจริงจังสักทีล่ะนะครับ"

   ชายหนุ่มบอกจบแล้วหันมายิ้มให้กับคนรักซึ่งมีนาเองก็ยิ้มตอบอย่างปลาบปลื้มใจ  ส่วนเวหาพอได้ยินที่เมฆาเล่ามาก็ทำให้เขาหันไปเหลือบมองรวีที่ก็บังเอิญหันมาสบตากับเขาด้วยเช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ก็ต่างมีรอยยิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด หากแต่นั่นกลับดูเหมือนจะทำให้ความผูกพันของพวกเขามีมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

   และหลังจากการได้พูดคุยกันอีกพักใหญ่  วารีจึงถือโอกาสชวนทั้งสองหนุ่มให้ไปทานข้าวเช้าด้วยกัน  ซึ่งแม้ว่าพวกรวีกับเมฆานั้นจะเป็นพวกไม่ทานมื้อเช้าก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีใครคิดปฏิเสธ แถมยังยินดีและเต็มใจเป็นที่สุด เนื่องจากต่างรู้ฝีมือของวารีกันเป็นอย่างดีว่า อร่อยเสียจนต่อให้อิ่มมาจากข้างนอกก็ยังคงสามารถทานได้ต่ออยู่ดีนั่นเอง

   

   และเมื่อมื้อเช้าผ่านพ้นไปเรียบร้อยเวหากับมีนานั้นจึงได้ขออนุญาตบิดาและมารดามาเที่ยวเล่นที่บ้านของรวีกับเมฆาต่อ  โดยทั้งสองคู่นั้น ต่างแยกย้ายกันไปเดินเล่นพูดคุยเป็นคู่ ๆ ไป สำหรับเวหาและรวีได้เดินแยกมานั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำ เด็กหนุ่มหวนคิดถึงตอนที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตของตนเอาไว้ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมา

   "มีอะไรหรือครับน้องฟ้า ดูอารมณ์ดีจัง"

   รวีที่สังเกตเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มเอ่ยถาม ทางด้านเวหาอมยิ้มนิด ๆ แล้วจึงบอกกับอีกฝ่ายออกไปตามตรง

    "ฟ้าคิดถึงตอนที่ฟ้าจมน้ำน่ะครับ ตอนนั้นที่ฟ้าคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่...วินาทีนั้นฟ้าก็มองผ่านน้ำขึ้นไปแล้วเห็นพี่ซันว่ายลงมาช่วย...น่าแปลกที่ตาของฟ้าตอนนั้นมองอะไรมัวไปหมด แต่กลับเห็นหน้าพี่ซันชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน...มาถึงตอนนี้ฟ้าคิดว่า มันคงเป็นความประทับใจที่ฟ้ามีกับพี่โดยไม่รู้ตัวก็ได้"

   รวีเบิกตากว้างแล้วเตรียมจะรวบร่างตรงหน้ามากอดอย่างยินดี ทว่าเขาก็ต้องชะงัก แล้วมีสีหน้าอดกลั้นอะไรอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "เราไปนั่งคุยกันในบ้านดีกว่าไหมครับ...นะครับ"

   น้ำเสียงทุ้มนั้นอ้อนวอนเช่นเดียวกับแววตา ทำให้คนฟังนึกขำปนเขิน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไร แต่การที่รวียอมอดทนไม่ทำประเจิดประเจ้อในที่โล่งแจ้งจนอาจจะมีเพื่อนบ้านมาเห็นเข้าเช่นนี้ ก็ทำให้เวหารู้สึกเห็นใจและขอบคุณชายหนุ่มเป็นยิ่งนัก

   "ไปสิครับ...พี่ซันนำไปแล้วกัน"

   รวีพยักหน้าหงึกหงัก พลางยิ้มกว้างอย่างดีใจ แล้วรีบจูงมืออีกฝ่ายไปด้วยสีหน้ายินดีเหมือนเด็ก ๆ จนเวหาที่ได้เห็นอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ เด็กหนุ่มเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างว่าง่าย จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนของรวี

   "รับรองว่าพี่จะไม่ทำอะไรที่เป็นการผิดสัญญากับคุณแม่ของน้องฟ้าแน่นอนครับ...เชื่อพี่เถอะนะ"

   รวีหยุดเดินแล้วหันมาบอกกับคนที่เขาจูงมือ ซึ่งเวหาก็พยักหน้าตอบรับค่อย ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างเชื่อมั่นในตัวของอีกฝ่าย

   "ครับ...ฟ้าเชื่อพี่"

   รวียิ้มกว้างแล้วรวบร่างของเด็กหนุ่มมากอดอย่างรักใคร่ เขาหอมแก้มทั้งสองข้างของเวหาก่อนจะเลื่อนมาจูบที่ริมฝีปากได้รูปนั้นอย่างดูดดื่ม จนคนถูกจูบแทบจะยืนไม่อยู่ และพอรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มก็ถูกพาไปที่เตียงและนั่งลงไปบนนั้นด้วยกัน

   "ก่อนหน้านั้นพี่เคยจูบน้องฟ้ามาแล้วตอนน้องฟ้าสามขวบ...น้องฟ้าคงจำไม่ได้สินะครับ"

   คำเฉลยของคนที่จูบเขาเมื่อสักครู่ ทำเอาเวหาถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อนัก

   "ตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือครับ..."

   รวียิ้มรับ แล้วก้มหน้าลงไปจะจูบเด็กหนุ่มอีกรอบ แต่ก็ถูกเวหายกมือห้ามเอาไว้ก่อน

   "พอแล้วครับ...จูบอะไรบ่อย ๆ แค่นี้ก็จะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว"

   "จูบบ่อย ๆ จะได้ชินยังไงล่ะครับ"

   ชายหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่คนฟังกลับชะงักแล้วหวนคิดถึงจูบที่ดูเชี่ยวชาญของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจถามออกไปตามตรง พร้อมกับรอฟังว่าอีกฝ่ายจะแก้ตัวกับเขาว่าอย่างไรบ้าง

   "พี่ซันคงจูบมาบ่อย ๆ เสียจนชำนาญแล้วสินะครับ"

   รวีชะงักกึกเจ้าตัวเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ

   "พี่จะไม่โกหกน้องฟ้าหรอกนะครับ...ก่อนหน้านี้พี่ก็เคยมีสัมพันธ์กับคนอื่นบ้าง แต่ว่าคนที่อยู่ในใจของพี่นั้นมีเพียงน้องฟ้าแค่คนเดียวเสมอมานะครับ"

   เวหาจ้องมองคนตรงหน้านิ่งสักพัก ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนตามมา

   "ครับ ฟ้าเชื่อ...ดีใจนะครับที่บอกกันตรง ๆ แบบนี้"

   "เพราะน้องฟ้าเคยบอกว่าไม่ชอบคนโกหกยังไงล่ะครับ...ถ้าเป็นสิ่งที่น้องฟ้าชอบและต้องการ พี่ก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อน้องฟ้าเสมอนั่นล่ะครับ"

   รวีบอกไปตามตรงพร้อมรอยยิ้มหวานอีกครั้ง ทำเอาเวหาพูดอะไรไม่ออก เจ้าตัวหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะแสร้งเป็นมองไปทางอื่นเพื่อแก้เขิน ทว่ากลับชะงักเมื่อเห็นกล่องช็อกโกแลตแท่งที่ถูกแกะแล้ววางอยู่บนโต๊ะหนังสือในห้องนั้น

   "อ๊ะ...พี่ซันชอบกินช็อกโกแลตด้วยหรือครับ"

   รวีสะดุ้ง แล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้อีกฝ่ายก่อนจะสารภาพความจริงตามมา

   "พี่ลองเอามากินดู เผื่อเวลาคุยเรื่องขนมกับน้องฟ้าจะได้อินมากขึ้นยังไงล่ะครับ  แต่เอาจริง ๆ ยี่ห้อนี้มันค่อนข้างหวานไปหน่อย พี่เลยกินไม่หมด เหลือทิ้งไว้ตั้งแต่วันก่อนไปทะเลแล้วล่ะครับ"

   เวหาฟังแล้วก็รู้สึกทั้งขำทั้งเห็นใจอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเดินไปหยิบช็อกโกแลตแท่งที่เริ่มจะละลายนั้นแกะเปลือกออก แล้วจึงใช้นิ้วปาดที่เนื้อช็อกโกแลต ก่อนจะนำมาทาที่ริมฝีปากของตนบาง ๆ

   "ลองชิมอีกครั้งดูไหมครับ...บางทีคราวนี้อาจจะหวานน้อยกว่าเดิมก็ได้นะครับ"

   รวีเบิกตากว้างแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเดินตรงมาหาเด็กหนุ่มคนรัก พร้อมกับโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากเปื้อนช็อกโกแลตนั้นอย่างดูดดื่ม

   "หวาน...เป็นช็อกโกแลตที่หวาน แต่อร่อยที่สุดเท่าที่พี่เคยได้กินมาเลยล่ะครับ"

   รวีพึมพำคลอเคลียที่ริมฝีปากของเวหาหลังจากที่ได้ลิ้มรสช็อกโกแลตบนริมฝีปากนั้นอย่างหนำใจมารอบหนึ่งแล้ว

   "ขอพี่กินอีกสักคำจะได้ไหมครับ"

   รวีอ้อนต่อ ซึ่งก็ทำให้เวหาหน้าแดงระเรื่อ แล้วทำเป็นบุ้ยใบ้ไปที่ช็อกโกแลตบนโต๊ะแทน

   "คำนี้พี่กินเองแล้วกันครับ ...ฟ้าไม่ป้อนแล้ว"

   รวีลอบยิ้ม แล้วจึงแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้าต่อ

   "แต่กินเองกับน้องฟ้าป้อน มันอร่อยไม่เหมือนกันนี่ครับ...นะครับ ขออีกคำนะครับ"

   เวหาหน้าแดงมากยิ่งขึ้น เจ้าตัวอุบอิบบ่นเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมา

   "อีกแค่คำเดียวนะครับ"

   รวีพยักหน้าหงึกหงัก ทำให้เวหาต้องทำแบบเดิมอีกครั้ง และการ 'ป้อน' ครั้งนี้ ก็ยังคงร้อนแรงและถูกใจคนกินอยู่ไม่เปลี่ยน

   "พี่ซัน...พอได้แล้วครับ"

   เวหาประท้วงคนที่ยังคงคลอเคลียตนเองไม่เลิกรา หนำซ้ำยังเริ่มมือซนจับโน่นจับนี่ไปทั่วตัวเขาอีกต่างหาก

   "พี่ว่าพี่ชักจะติดใจช็อกโกแลตหวาน ๆ เข้าให้แล้วเหมือนกันนะครับเนี่ย เพราะน้องฟ้าแท้ ๆ เลย คราวหน้าป้อนให้พี่กินแบบนี้อีกนะครับ"

   รวีอ้อนพร้อมกับหอมแก้มคนในอ้อมกอดของตนฟอดใหญ่ ทำเอาเวหาชักจะเริ่มหมั่นไส้คนที่ชอบทำหน้ามึนเอาเปรียบเขาคนนี้ขึ้นมานิด ๆ เข้าให้แล้ว

   "ไว้คราวหน้าฟ้าจะอมบอระเพ็ดแทนช็อกโกแลต แล้วมาป้อนให้พี่ซันกินแล้วกันครับ"

   เวหาประชดใส่ ทำเอาคนฟังสะดุ้ง ก่อนจะส่งยิ้มออดอ้อนชวนให้คนมองใจอ่อนตามมา

   "อย่าเลยนะครับ...ถ้าเป็นน้องฟ้าป้อนให้พี่ไม่กลัวขมหรอก แต่พี่กลัวน้องฟ้าจะขมลิ้นเสียเองมากกว่าน่ะสิครับ"

   "คนเจ้าเล่ห์..."

   เวหาพึมพำพร้อมยิ้มให้อย่างเอือมระอา ซึ่งรวีก็รีบหอมแก้มเด็กหนุ่มซ้ายขวาอย่างประจบ แล้วจึงชวนเวหาเดินไปยังที่ตั้งตู้เย็นของบ้าน ซึ่งในนั้นมีเค้กชิ้นเล็ก ๆ หน้าตาสวยงาม แพคอย่างดีแช่ไว้อยู่หลายชิ้น

   "พี่แอบแวะไปซื้อมาเมื่อเย็นนี้ พอไปถึงร้านใกล้จะปิดพอดี เกือบซื้อไม่ทันแน่ะครับ...นี่ตั้งใจจะเอาไปให้ตอนกลางวันนะครับเนี่ย แต่ไหน ๆ น้องฟ้าก็มาเที่ยวที่บ้านพี่แล้ว จะไปนั่งกินด้วยกันก่อนก็ได้นะครับ"

   บอกจบเจ้าตัวก็แย้มยิ้มติดเจ้าเล่ห์อย่างลืมตัว ทำเอาเวหาขมวดคิ้วอย่างนึกสังหรณ์ใจบางอย่าง

   "หวังว่าเค้กพวกนี้  ฟ้าคงไม่ต้อง 'ป้อน' เผื่อพี่ซันด้วยสินะครับ"

   รวีสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนอาการหลุดของตนตามมาทันทีด้วยรอยยิ้มออดอ้อน

   "แหม...พี่ตั้งใจซื้อมาเพื่อน้องฟ้าโดยเฉพาะนะครับ...ส่วนน้องฟ้าจะ 'ป้อน' เค้กให้พี่กินด้วยไหม อันนี้ก็แล้วแต่ความกรุณาของน้องฟ้าแล้วกันนะครับ... แต่ถ้าน้องฟ้าไม่ 'ป้อน' พี่ยอมอดกินก็ได้ครับ"

   เวหาเผลอค้อนให้นิด ๆ อย่างนึกหมั่นไส้ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายนั้นเน้นบางคำเป็นพิเศษ  เด็กหนุ่มได้แต่โทษตัวเองในใจว่าเขาไม่น่าจะเผลอป้อนช็อกโกแลตให้อีกฝ่ายกินแบบก่อนหน้านั้นเลย เห็นทีหลังจากนี้พอกินขนมหวานอะไรก็ตาม รวีก็คงจะขอมีส่วนร่วมช่วยเขา 'กิน' แทบทุกครั้งเป็นแน่

   "ฟ้าจะ 'ป้อน' เค้กให้พี่ซันกินด้วยก็ได้นะครับ..."

   รวีทำตาโตด้วยความยินดี ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

   "แต่ถ้าฟ้าป้อนให้พี่ซันกินหนึ่งครั้ง พี่ซันก็ไม่ต้องมาให้ฟ้าเห็นหน้าสักหนึ่งวันเต็ม ๆ ตกลงไหมล่ะครับ"

   เวหาลอบยิ้มแล้วทำเป็นตีหน้าตาเฉย ทำเอารวีถอนหายใจ แล้วทำหน้าสลดอย่างชวนให้น่าสงสาร

   "ก็ได้ครับ...พี่ไม่กินด้วยก็ได้ น้องฟ้ากินเถอะครับ ยังไงพี่ก็ตั้งใจซื้อมาให้น้องฟ้ากินอยู่ดี"

   เวหามองคนรักของตนแล้วจึงสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา เขามั่นใจว่าท่าทางออดอ้อนน่าสงสารนั้นอีกฝ่ายคงจงใจทำเสียครึ่งหนึ่ง ถึงกระนั้นแม้จะรู้ทั้งรู้ แต่เขาก็ชอบที่จะเห็นเวลารวียิ้มให้อยู่ดี เพราะรอยยิ้มของชายหนุ่มนั้น ช่างเป็นรอยยิ้มแจ่มใสที่เหมือนดังแสงตะวันเจิดจ้า ทำให้คนมองมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็น

   "น้องฟ้า...น้องฟ้าจะเอาเค้กไปไหนน่ะครับ"

   รวีถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเวหาหยิบเค้กช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งออกมาจากตู้เย็น ก่อนจะเดินเลี้ยวไปหยิบช้อนในครัว แล้วทำท่าจะเดินไปที่อื่นต่อจากนั้น

   "ก็ฟ้ากลัวว่าขืน 'ป้อน' เค้กให้พี่ซันกินด้วยกันแถวนี้  มีนกับพี่เมฆจะผ่านมาเห็นเข้าพอดีน่ะสิครับ ฟ้าก็เลยว่าจะยกเค้กกลับเข้าห้องของพี่ซันแทน...แต่ถ้าพี่ซันไม่อยากกินก็ไม่ต้องตามมาก็ได้นะครับ ฟ้ากินคนเดียวก็ได้"

   เวหาบอกแล้วยิ้มให้ แต่แล้วเจ้าตัวก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันมามองคนที่กำลังนิ่งอึ้งด้วยสีหน้าตกตะลึงแล้วจึงเอ่ยต่อเบา ๆ

   "ส่วนเรื่องทำโทษ...ฟ้ายกให้ก่อนก็ได้ครับ"

   พอบอกจบ เจ้าตัวก็รีบเดินหน้าแดงไปยังห้องพักของรวีทันที  ส่วนรวีนั้นหลังจากนิ่งอึ้งตั้งสติได้ชั่วครู่ ชายหนุ่มก็กำมือแน่นแล้วพึมพำกับตัวเองด้วยความยินดีเป็นที่สุด  จากนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้าตามคนรักกลับเข้าห้องของตนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกลัวว่าเวหาจะกินเค้กหมดคนเดียวและไม่เหลือเผื่อ 'ป้อน' ให้เขากินบ้างนั่นเอง



...END...


เอาตอนจบไปอ่านกันก่อนนะคะ เดี๋ยวตอนพิเศษจะมาดึก ๆ ^^"

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้มาจนจบค่ะ   :L2:


 :pig4:


สำหรับคู่น้องเจกำลังอยู่ในช่วงทดลองแต่งค่ะ ว่าจะลากไปรอดหรือไม่รอด แหะ ๆ ^^"
ถ้าเห็นแววรอด ปั่นได้เกินครึ่งจะรีบมาโพสให้อ่านทันที เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอนานและได้อ่านต่อเนื่องเหมือนเรื่องนี้นะคะ


หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-08-2014 16:28:48
รวีหวานได้แบบน่าถีบมากกกกก โดนหนูฟ้าเอาคืนบ้างแล้วนะนี่ คึคึ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-08-2014 16:40:31
โอ๊ว น้ำตาลทั้งนั้นเลย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: shijino ที่ 22-08-2014 16:41:28
ตามอ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ บอกได้เลยเค้กกับชอกโกแลตยังหวานสู้ไม่ได้  :-[
รอตอนพิเศษค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 22-08-2014 17:06:42
อ๋อยยยย น้องฟ้า ไหงน่ารักขนาดนี้
แค่นี้พี่ซันเค้าก็คลั่งจะแย่แล้วลูกกกก
 :mew3:
รอตอนพิเศษจ้าา
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-08-2014 17:42:33
แหมคู่หลักจะหวานเกินช้อคโกแลตแล้วจ้า ขอบคุณที่มาลงต่อเนื่องตลอดค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 22-08-2014 17:48:21
อยากอ่านตอนพิเศษที่ทั้งสามครอบครัว พ่อแม่ของเมฆและพ่อแม่ของซัน
มาเมืองไทยและอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันจังเลยอ่ะครับ ขอซักตอนเถอะ พลีสสส!!!
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 22-08-2014 18:40:57
 :impress2: :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-08-2014 19:06:47
Thank a lot
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 22-08-2014 20:10:02
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 22-08-2014 20:27:32
 :-[ เค้กก้อนนี้หวานมากเป็นพิเศษแน่เลย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 22-08-2014 21:55:04
โอ้ย หวานยิ่งกว่าน้ำตาลรวมกันซะอีก

และก็น่าอิจฉามากๆ  พี่ซันก็หอมแก้มน้องจนช้ำไปหมดแล้ว

ถ้าคุณแม่ไม่สั่งห้ามไว้ก่อน มีหวังน้องฟ้าเสียตัวก่อนแต่งเป็นแน่ คริๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-08-2014 22:09:38
โอ๊ะ ๆ ๆ โอ๊ยยยย !!! มดกัด   หว๊านนนน   หวานอ่ะ  ป้าเบาหวานจะขึ้นแล้ว 5555+
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-08-2014 22:24:12
สวัสดีค่ะ เอาตอนพิเศษที่แต่งไว้มาให้อ่านค่ะ ทีแรกว่าจะเขียนสไตล์รวมญาติ แต่แต่งไปแต่งมาก็ดูมันไม่รวมกันสักเท่าไหร่   ...แต่หลังจากนี้ อาจจะมีตอนพิเศษของสองคู่นี้ และของครอบครัว มาให้ได้อ่านเพิ่มเติมอีกก็ได้นะคะ  / // 

ส่วนคู่น้องเจ คงต้องรอสักพักนะคะ เดือนนี้ต้องเคลียร์กรงรักฯ ให้รอดก่อน (ฉบับรีเมกอะไรไม่รู้ยิ่งแต่งยิ่งยาว--"  สงสัยจะได้หนาเป็นสองสามเท่าจากฉบับเดิมแหงม...)

ps.เริ่มนิสัยเสีย หมักดองไห(นิยาย) อีกแล้ว  ก่อนปีนี้ต้องเคลียร์ให้หมดให้ได้!!

 :hao5:



ตอนพิเศษแถมท้ายเรื่อง..



   สามวันหลังจากที่เมฆามาขอคบหากับมีนาเป็นคนรักอย่างเป็นทางการ บิดาและมารดาของชายหนุ่มก็บินจากอเมริกามาที่เมืองไทย  มารดาของเมฆานั้นเป็นสาวไทยที่มีรูปร่างบอบบางและมีหน้าตาสะสวยแม้จะอายุมากก็ตาม ส่วนบิดาก็เป็นชาวอเมริกาผมสีทองตัวสูงใหญ่หุ่นบึกบึนไม่แพ้นักกีฬาจำพวกอเมริกันฟุตบอลทั่วไปเลยทีเดียว

   "ขอบใจหนูมีนมากเลยนะจ๊ะ ที่ทำให้ลูกชายจอมเสเพลของน้า เริ่มคิดเป็นผู้เป็นคนขึ้นมากับเขาได้"

   มารตี มารดาของเมฆากล่าวขอบอกขอบใจเด็กหนุ่มยกใหญ่ หญิงสาวดูจะถูกใจมากเมื่อรู้ว่ามีนานั้นแม้จะเป็นผู้ชาย แต่นิสัยกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือน หนำซ้ำยังมีฝีมือทางด้านทำอาหารเป็นอย่างดีอีกด้วย ที่สำคัญใบหน้าหวานแสนน่ารักนั่น ก็สะดุดสายตาเธอทันทีเมื่อแรกเห็น และนั่นจึงทำให้ทั้งเธอและ โจนาธานผู้เป็นสามีไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดลูกชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอย  ของสาว ๆ จึงสามารถยอมรับอีกฝ่ายที่เป็นผู้ชาย ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเช่นนี้

   "มากไปครับแม่...เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ของน้องมีน เขาเกิดเปลี่ยนใจไม่ให้ผมคบกับน้องมีนพอดี"

   เมฆาเปรยขัดขึ้นอย่างเอือมระอา ที่มารดาย้ำนักย้ำหนาถึงเรื่องอดีตที่ไม่ค่อยน่าจดจำของเขา

   "อ๊ะ! ไม่ได้สิจ๊ะ การที่คนเราจะตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายเป็นครอบครัวเดียวกัน มันก็ต้องรู้ทั้งเรื่องดีและเรื่องเสียของทั้งสองฝ่าย  ถ้าลองรับได้แต่ด้านดี แต่รับด้านเสียซึ่งกันและกันไม่ได้ ยังไงก็คงอยู่กันไม่ยืดหรอก จริงไหมคะคุณวารี"

   มารตีหันไปยิ้มให้กับวารี ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้าค่อย ๆ พร้อมยิ้มตอบ

   "เห็นไหมล่ะเจ้าลูกตัวแสบ ...อีกอย่างยิ่งได้เห็นหนูมีนาแม่ก็ยิ่งเอ็นดู เด็กดี ๆ แบบนี้ ไม่น่ายกให้ลูกไปเลย เสียของชะมัด  อืม...หนูมีนาจ๊ะ สนใจลูกชายคนโตของป้าไหม อ๊ะ! หรือจะยกให้ตาน้ำดีคะคุณ อายุก็ใกล้เคียงกันดีด้วย"

   มารตีหันไปคุยกับสามีซึ่งพูดและฟังภาษาไทยรู้เรื่องเป็นอย่างดี ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นบุตรชายคนรองทำหน้ามุ่ยใส่ต่อคำพูดล้อเล่นกึ่งจริงจังของภรรยาตน

   "ทำเป็นพูดเล่นไปได้คุณ ทั้งลมกับน้ำ เรื่องสเป็คก็ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับเมฆอยู่ไม่น้อยทีเดียว เกิดลูกติดใจหนูมีนขึ้นมาเหมือนกัน มีหวังพี่น้องได้เกิดศึกชิงนายกันแน่!"

   โจนาธานตอบกลับไปอย่างขำ ๆ  ทำให้ครอบครัวของมีนาพากันคิดตรงกันว่า โจนาธานคงต้องเชี่ยวชาญเรื่องภาษาไทยอยู่ไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงกับใช้คำเปรียบเปรยได้เช่นนี้ แถมสำเนียงที่พูดแม้จะแปร่งไปบ้าง แต่ก็ออกคำสะกดได้อย่างถูกต้องชัดเจนทีเดียว

   "วายุ ลูกชายคนโตของดิฉัน กับธารา ลูกชายคนเล็ก ยังโสดกันทั้งคู่ค่ะ  ดิฉันเองก็อยากได้สะใภ้จริง ๆ กับเขาเหมือนกันล่ะนะคะ แต่ผู้หญิงสมัยนี้หาความเป็นแม่บ้านแม่เรือนยากเสียเหลือเกิน แถมบางคนยังชอบทำตัวไม่รู้จักกาลเทศะ เห็นผู้ใหญ่เป็นหัวหลักหัวตอ...ขืนรับเข้ามาเป็นสะใภ้ มีหวังเราเองจะต้องเป็นฝ่ายคอยบริการให้พวกเจ้าหล่อนเสียแทน ...แต่ถ้าได้แบบน้องมีนมาเป็นสะใภ้ ต่อให้เป็นผู้ชายดิฉันก็ไม่เกี่ยงหรอกนะคะ..."

   มารตีบอกกับณรงค์และวารีพร้อมยิ้มหวาน แถมยังทำเป็นเหลือบมองเวหาด้วยสายตามุ่งมั่นประหลาดเข้าให้อีกคน ทำเอารวีที่อยู่ด้วยที่นั่นและนั่งใกล้เวหาถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะเผลอโอบไหล่อีกฝ่ายมากอดหมับอย่างหวงแหน

   "ไม่ได้นะครับคุณป้า! คนนี้ของผมนะครับ!"

   มารตีอมยิ้มน้อย ๆ เพราะพอจะรู้เรื่องรวีกับเวหาจากลูกชายมาบ้างแล้ว สำหรับเธอนั้นถึงแม้ว่าเวหาจะไม่รูปร่างอรชนอ้อนแอ้นหรือมีหน้าตาน่ารักอย่างมีนา แต่ด้วยความมีมารยาทและความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเด็กหนุ่มมี ก็ทำให้เธอเองรู้สึกถูกใจเวหาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

   "แหม! ป้าเองก็ลืมไปว่าหนูฟ้าน่ะซันจองไว้แล้ว"

   มารตีหัวเราะคิกคักเบา ๆ แล้วจึงหันมาสนทนากับพวกวารีและณรงค์ต่อ ส่วนเวหานั้นหยิกที่แขนคนรักเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้รวีนั้นปล่อยตนสักที ทำเอาชายหนุ่มต้องยิ้มเจื่อน ๆ แล้วยอมปล่อยคนรักเสียก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายงอนใส่เขานั่นเอง

   "เห็นตาเมฆบอกว่าทางพวกคุณไม่ต้องการให้หมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการ แต่ดิฉันกับสามีได้คุยปรึกษากันแล้วว่า อย่างน้อยดิฉันก็อยากจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ภายในครอบครัว เพื่อเป็นการรับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคต...ไม่ทราบว่าทางพวกคุณจะขัดข้องไหมคะ"

   วารีกับณรงค์มองสบตากัน แล้ววารีจึงเป็นคนเปรยตอบให้แทนอย่างลังเล

   "ถ้าเป็นงานเลี้ยงภายในครอบครัวกันเอง ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ...เพียงแต่จะจัดกันที่ไหนหรือคะ ถ้าต้องเดินทางไกลบ้าน ทางฉันกับสามีเกรงว่าจะไม่สะดวก"

   มารตีชะงักเล็กน้อย แล้วจึงหันไปปรึกษากับสามีของเธออยู่สักพัก จากนั้นจึงหันมายิ้มให้กับวารีและณรงค์ก่อนจะเอ่ยตามมา

   "ถ้าทางคุณวารีกับคุณณรงค์ไม่ว่าอะไร ดิฉันจะให้ลูกชายทั้งสองบินตามมาที่นี่ แล้วเราจะได้จัดงานเลี้ยงฉลองรับขวัญหนูมีนมาเป็นว่าที่สะใภ้ของตระกูลดิฉันกันที่นี่เสียเลย ...คุณวารีสะดวกไหมคะ"

   วารีกับณรงค์พอได้ยินเช่นนั้นทั้งคู่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นวารีจึงพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับรับอาสาเป็นคนทำอาหารสำหรับงานเลี้ยงที่จะมาถึงด้วยตนเอง ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากทั้งมารตีและโจนาธานยิ่งนัก เพราะทั้งคู่ได้รับการยืนยันจากบุตรชายว่า หญิงสาวมีฝีมือในการทำอาหารไทยอยู่ในขั้นแนวหน้าเลยทีเดียว

   

   หลังจากการสนทนาและนัดแนะการจัดงานเลี้ยงล่วงหน้าสิ้นสุดลง มารตีกับโจนาธานจึงขอตัวกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมต่อ เนื่องจากทั้งคู่ไม่อยากรบกวนความเป็นส่วนตัวของลูกชายและเพื่อนสนิทของลูกชายเท่าใดนัก แม้ว่าชายหนุ่มทั้งสองจะยินดีให้ทั้งคู่นั้นพักอาศัยอยู่ด้วยกันก็ตามที เมื่อเป็นเช่นนั้นเมฆาและมีนาจึงตัดสินใจขับรถตามไปส่งทั้งคู่ถึงโรงแรมแทน

   "...น้องฟ้าครับ คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ  ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่พาพ่อกับแม่ของตัวเอง มารับรู้การคบหากับน้องฟ้าอย่างเป็นทางการเหมือนที่เมฆทำไม่ได้..."

   รวีบอกกับคนทั้งสามที่เหลือ หลังจากที่มารตีกับโจนาธานกลับไปแล้วด้วยสีหน้าที่เศร้าซึมและรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก

   "พี่ซันล่ะก็ คิดมากไปได้ เรื่องแค่นี้ผมไม่ถือหรอกครับ... ใช่ไหมครับพ่อ แม่"

   เวหารีบบอกเมื่อเห็นใบหน้าเศร้า ๆ ของคนรัก ทางด้านณรงค์กับวารี ที่พอจะรู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องครอบครัวของชายหนุ่มมาจากเมฆาอยู่บ้าง ต่างสบตากันอย่างพอจะเข้าใจความรู้สึกของรวี จากนั้นณรงค์จึงเป็นฝ่ายพูดกับคนรักของลูกชายตนบ้าง

   "แค่สิ่งที่ซันทำเพื่อฟ้าทุกวันนี้ มันก็มากมายและยืนยันได้ว่าซันรักน้องจริง ๆ แล้วล่ะ ...ส่วนคุณพ่อคุณแม่ของซัน พ่อเองเชื่อนะว่า พวกท่านจะเข้าใจและรับรู้ได้เองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อแม่แล้วนั้น ก็คือความสุขของลูกนั่นเองล่ะนะ"

   รวีรับฟังคำของณรงค์ด้วยความซาบซึ้ง หลังจากคบกับเวหาแล้ว ทั้งณรงค์และวารีก็ให้ความสนิทสนมกับเขาราวดังเป็นลูกชายของบ้านนี้อีกคน และรวีเองก็นับถือทั้งคู่ราวดังบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเช่นกัน

   "แม่เองก็คิดเหมือนพ่อนั่นล่ะ เพราะฉะนั้นซันก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ขืนซันทำหน้าเศร้า ๆ แบบนั้น ฟ้าเองก็คงเป็นกังวลจนทำอะไรไม่ถูกพอดี"

   ขาดคำของมารดา ก็ทำให้เวหาสะดุ้งแล้วทำเป็นเมินมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตากับคนรักที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้ายินดีขึ้นมาแทนเสียแล้ว

   "หึ ๆ งั้นพ่อไปดูสวนดีกว่า...แม่ล่ะ อีกนานกว่าจะถึงเวลากลางวันไม่ใช่หรือ ไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนพ่อดีไหม"

   "ดีเหมือนกันจ้ะ แม่เองก็ชักอยากมีเวลาหวาน ๆ สวีทกับพ่อตามลำพังบ้างเหมือนกัน"

   วารีรับคำสามีแล้วหันมายิ้มแหย่บุตรชายที่ตอนนี้รู้สึกเขินและพยายามหลบตา และเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองเดินจากไปได้สักพัก รวีก็หันมาจับมือของเวหาขึ้นจูบเบา ๆ แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม

   "น้องฟ้าเป็นห่วงพี่จริง ๆ หรือครับ"

   "...ก็ห่วงสิครับ คนรักทั้งคนนี่นา"

   เวหาตอบเขิน ๆ ทำให้คนฟังยิ่งยิ้มกว้างแล้วรวบร่างของคนนั่งใกล้มากอดและหอมแก้มซ้ายขวาอย่างยินดีเป็นที่สุด

   "พี่ดีใจจังเลยนะครับ ที่ได้รักน้องฟ้า แล้วก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่แสนอบอุ่นอย่างครอบครัวของน้องฟ้า...บางทีพี่ยังเคยเผลอคิดเลยนะครับว่า นี่คงเป็นผลตอบแทนความพยายามที่พี่ทำมาตลอดสิบห้าปีนี้ ก็ได้"

   เวหามองคนรักของตนแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู เพราะยามที่คนรักอยู่กับเขาอีกฝ่ายมักจะแสดงออกในตัวตนที่ ทั้งร่าเริง เศร้าซึม น้อยอกน้อยใจ แตกต่างจากรวีที่เมฆาเคยเล่าผ่านมีนามาให้ฟังว่า เจ้าตัวแทบจะไม่ค่อยมีรอยยิ้มให้ได้เห็นสักเท่าใดนัก ยิ่งหากอยู่ที่บ้านหรือเป็นเรื่องงานที่เกี่ยวกับครอบครัวด้วยแล้ว รวีก็ยิ่งทำตัวเย็นชานิ่งเฉย ผิดจากยามที่อยู่กับเพื่อนฝูงที่สนิทลิบลับ

   "มันก็อาจจะมีส่วนก็ได้นะครับ...เพราะแค่รู้ว่าพี่ซันยังคงรู้สึกกับฟ้าแบบเดิมทั้งที่เราไม่เคยได้เจอกันมาตลอดสิบห้าปีเลย ตอนนั้นฟ้าก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหวเข้าให้แล้ว  ...ยิ่งเห็นที่พี่ไม่โกรธเรื่องที่ฟ้าลืมพี่ แถมพี่ยังแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่พี่มีต่อฟ้าอีก... ต่อให้ไม่รู้สึกอะไรเลย เจอเข้าแบบนี้ก็อดทำใจแข็งต่อไม่ลงหรอกนะครับ"

   เวหาบอกพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนให้ ซึ่งรวีก็ยิ้มตอบรับ จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยหยอกล้อกันอยู่อีกพักใหญ่ ๆ พวกมีนาและเมฆาก็ตามมาสมทบ และวารีก็กลับมาเตรียมมื้อกลางวัน มีนาจึงขอตัวไปช่วยมารดาเตรียมกับข้าว โดยมีเมฆาเป็นลูกมือต่ออีกทอด  ทางด้านเวหาและรวีจึงขอตัวไปช่วยทางด้านณรงค์ดูแลต้นไม้แทน และพอถึงเวลา ทั้งหมดก็มารวมตัวกันกินมื้อกลางวันกันอย่างมีความสุขและอิ่มอร่อยดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา



   เช้าวันรุ่งขึ้น เวหาก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อชายในชุดสูทดำสวมแว่นตาดำ ดูมีอายุแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม เจ้าตัวแสดงความประสงค์ว่ามาเพื่อขอพบเด็กหนุ่มโดยตรง พร้อมกับแนะนำตัวว่าเขานั้นเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดที่ทำการอารักขารวีอยู่ที่นี่ และแม้อีกฝ่ายจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็สามารถพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วพอตัว อีกทั้งยังรู้ข้อมูลทุกอย่างของทุกคนในบ้านนี้จนพวกณรงค์และวารีค่อนข้างจะเชื่อว่าอีกฝ่ายนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับรวีจริงอย่างที่บอก จึงยอมให้ชายหนุ่มเข้ามานั่งคุยในบ้านของพวกตน

   "ทางเราได้ข่าวมาว่า ศัตรูของบอสคิดจะมาลอบเล่นงานคนรักของบอส...พวกเรากำลังสืบกันว่า ทำไมเรื่องคนรักของบอสถึงได้รั่วออกไปถึงหูศัตรูได้ แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ บอสเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณเวหามาก ดังนั้นจึงสั่งให้ผมมาพาคุณเวหาไปหลบที่เซฟเฮาส์ ส่วนตัวบอสเองก็ว่าจะสืบหาต้นตอที่เกิดขึ้น ว่าจะเป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในพวกเดียวกันจริง ๆ หรือไม่ จากนั้นบอสก็จะตามไปสมทบกับคุณในไม่ช้านี้"

   "จะพาพี่ฟ้าไปคนเดียวหรือครับ ผมไปเป็นเพื่อนพี่ฟ้าด้วยได้ไหม!"

   มีนาโพล่งขัดขึ้น ก่อนจะชะงักเมื่อใบหน้าใต้แว่นตาดำหันขวับมาทางตน

   "ผมเองก็รู้ดีว่าคุณห่วงพี่ชาย หากแต่เป้าหมายครั้งนี้คือคุณเวหา อีกอย่างหากมีผู้ต้องทำการอารักขาเพียงคนเดียว ทางทีมบอดี้การ์ดจะทำงานกันได้ง่ายกว่า หวังว่าคุณจะเข้าใจนะครับ"

   มีนาชะงักแล้วมีสีหน้ากังวลหวั่นวิตก ส่วนณรงค์กับวารีนั้นขมวดคิ้วนั่งเงียบครุ่นคิดหนัก ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้

   "แล้วถ้าผมไปอยู่ที่โน่น แล้วทางนี้ล่ะครับ พ่อแม่กับน้องชายผมจะเป็นยังไง"

   ชายสูทดำหันมาทางเวหา แล้วจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบเฉยดุจเคย

   "สำหรับทางนี้คุณไม่ต้องห่วง เราได้จัดทีมบอดี้การ์ดมือดีนับสิบเอาไว้คุ้มครองแล้ว ...ที่สำคัญเป้าหมายครั้งนี้คือคุณ การที่คุณแยกตัวออกไป ทางนี้จะกลายเป็นปลอดภัยเสียมากกว่า"

   "ฉันอยากคุยกับตาซันเรื่องนี้ก่อนจะส่งฟ้าไป จะได้ไหมคะ"

   วารีถามขึ้นบ้าง ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อย ทว่าเจ้าตัวก็เอ่ยขึ้นตามมาด้วยใบหน้าที่แทบไม่เปลี่ยน

   "ผมก็อยากทำตามประสงค์ของคุณผู้หญิง...แต่บอสกำลังจัดการปัญหาใหญ่อยู่ จนไม่อาจจะมาพบได้...เอาอย่างนี้ไหมครับ เดี๋ยวผมจะให้คุณผู้หญิงโทรติดต่อกับบอสแทนแล้วกัน"

   "อย่างนั้นก็ได้ค่ะ"

   วารีรับคำเช่นเดียวกับณรงค์ที่พยักหน้า จากนั้นบอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ก็หยิบมือถือมาโทรออก เขารอสายสักพัก แล้วจึงพูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษทันทีที่ปลายสายกดรับ

   "บอสหรือครับ นี่ผมเอง...ผมอยู่บ้านคุณเวหา เตรียมจะพาเขาไปที่เซฟเฮาส์ แต่คุณแม่ของคุณเวหาอยากคุยกับบอสก่อนน่ะครับ... ครับ ๆ เดี๋ยวจะบอกให้"

   บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่หันไปทางวารี แล้วยื่นมือถือให้อีกฝ่าย

   "คงคุยได้ไม่นานนะครับ บอสกำลังยุ่งอยู่"

   วารีพยักหน้าและเมื่อได้รับมือถือ เธอก็ได้ยินเสียงจากรวีดังมาจากปลายสาย แต่จากคลื่นสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้น ทำให้ได้ยินไม่ค่อยชัดนัก ซ้ำยังมีเสียงดังจากรอบด้านเหมือนกับว่าชายหนุ่มนั้นกำลังอยู่ในสถานที่ซึ่งมีคลื่นลมแรงรบกวนการสนทนาเป็นอันมากอีกด้วย

   "สวัสดีครับ! ขอโทษนะครับ...พอดีผมอยู่ข้างนอก คงได้ยินไม่ชัดนัก!"

   "ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่ซันจะให้ฟ้าไปอยู่เซฟเฮาส์อะไรนั่นคนเดียวจริง ๆ หรือจ๊ะ ...ซันว่ามันจะปลอดภัยแน่หรือจ๊ะ"

   "ปลอดภัยแน่นอนครับ! แล้วผมจะตามไปสมทบทางนั้นอีกที...อ๊ะ! ขอโทษนะครับ คงต้องตัดสายก่อนนะครับ พอดีมีเรื่องยุ่ง ๆ เข้ามา! ขอตัวนะครับ!"

   เสียงจากปลายสายหายไปพร้อมสัญญาณที่ถูกตัดทำให้วารีหันไปสบตากับสามี แล้วณรงค์จึงพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันไปทางบอดี้การ์ดในชุดดำตรงหน้า

   "ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านายคุณเขาคิดอะไรกันแน่ ถึงจะแยกฟ้าออกไปคุ้มกันคนเดียว... แต่ตาซันที่ผมรู้จักนั้น เขารักลูกชายผมมาก มากจนทำให้ผมยอมรับในการตัดสินใจของเขา..."

   ชายในชุดดำนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ ตามมา

   "ผมขอให้สัญญากับทางคุณว่า ผมจะดูแลและปกป้องคุ้มครองคุณเวหาเป็นอย่างดีในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ครับ"

   ณรงค์พยักหน้าตอบรับ ส่วนวารีถอนหายใจเบา ๆ หญิงสาวดึงลูกชายคนโตมากอดอย่างเป็นห่วง เช่นเดียวกับมีนาที่มีสีหน้ากังวลไม่อยากให้พี่ชายเดินทางไปคนเดียว ทว่าเมื่อบอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่เร่งมาว่าใกล้เวลาเดินทางแล้ว ก็ทำให้เวหาจำต้องตามอีกฝ่ายไปอย่างจำยอม ส่วนครอบครัวของเด็กหนุ่มก็พากันมาส่งอีกฝ่ายขึ้นรถจนกระทั่งรถยนต์ขับไปลับตา แต่พอทั้งหมดกลับเข้ามาในบ้าน ก็มีเสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้น มีนารีบวิ่งไปรับ แล้วก็ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินเสียงปลายสายทักทาย

   "ไง! น้องมีน ...อรุณสวัสดิ์ครับ  คิดถึงจังเลย  เช้านี้มาเที่ยวเล่นบ้านพี่ไหมครับ"

   มีนาชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ร่าเริงตามปกติของคนรัก เจ้าตัวหน้าซีดเผือด พลางหันไปมองหน้าบิดาและมารดา ก่อนจะย้อนถามปลายสายกลับไปด้วยความหวาดหวั่น

   "พี่เมฆยังอยู่บ้านหรือครับ...ไม่ได้ไปเป็นเพื่อนพี่ซันหรอกหรือ"

   ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะย้อนกลับมาด้วยน้ำเสียงงุนงง

   "ไปเป็นเพื่อนเจ้าซัน...ไปไหนหรือครับ? ซันมันก็นั่งหัวโด่อยู่ในห้องรับแขกแถวนี้นี่ล่ะครับ...นี่มันรอต่อคิวพี่โทรชวนน้องฟ้ามาเที่ยวบ้านเหมือนกันนะครับเนี่ย"

   มีนาแทบจะทรุดลงไปนั่งอย่างหมดแรง ส่วนณรงค์และวารีที่ได้ยินปลายสายสนทนาแว่ว ๆ ถึงกับนิ่งอึ้ง และเป็นณรงค์ที่รีบแย่งหูโทรศัพท์ของลูกชายคุยกับปลายสายอย่างร้อนรน

   "เมฆ! นี่พ่อเองนะ! ซันอยู่แถวนั้นหรือเปล่า เรียกมาคุยกับพ่อด่วนเดี๋ยวนี้เลย!"

   "เอ๋! คุณพ่อหรือครับ... อ๊ะ! ครับ ได้ครับเดี๋ยวตามซันมาพูดให้ เฮ้ย! ซัน!"

   เสียงโครมครามคล้ายคนรีบร้อนจนชนโน่นนี่ดังแว่วมา จากนั้นสักพักปลายสายก็เปลี่ยนเป็นรวีแทน

   "มีอะไรหรือครับคุณพ่อ เห็นเมฆบอกว่าคุณพ่อจะคุยกับผมด่วน"

   ณรงค์พยายามรวบรวมสติแล้วถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่บังคับไม่ให้สั่นเครือเต็มที่

   "ซัน...พ่อถามซันหน่อยนะ...เมื่อครู่ซันได้ส่งบอดี้การ์ดให้มารับฟ้าไปไหนหรือเปล่า..."

   รวีชะงักกึกก่อนจะทวนคำที่อีกฝ่ายพูดมา

   "บอดี้การ์ด...ไม่นี่ครับ ผมไม่ได้ส่งใครไปเลย...หรือว่ามีคนแอบอ้าง...คุณพ่อครับ! แล้วตอนนี้น้องฟ้าอยู่ไหนครับ! ยังอยู่ที่บ้านนั่นหรือเปล่า!"

    รวีที่พอจะคาดเดาความผิดปกติจากน้ำเสียงและถ้อยคำของอีกฝ่ายรีบถามกลับไปอย่างร้อนรนและตื่นตระหนก  ณรงค์พยามตั้งสติสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้อีกฝ่ายฟังทั้งที่มือซึ่งจับโทรศัพท์ยามนี้กำลังสั่นเทาหนัก ส่วนวารีกับมีนานั้นกอดกันแน่นด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดไม่แพ้กัน

   "มีผู้ชายอ้างว่าเป็นบอดี้การ์ดของซันมาบอกว่าซันให้พาฟ้าไปหลบที่เซฟเฮาส์ เพราะมีศัตรูทางการค้าคิดร้ายกับฟ้า ทีแรกพวกพ่อก็ยังลังเลไม่กล้าส่งฟ้าไปตามลำพัง ผู้ชายคนนั้นก็เลยต่อโทรศัพท์ให้คุยกับซัน...ถึงจะคุยกันจับใจความไม่ได้ เพราะทางนั้นดูเร่งรีบร้อนรนและตัดสายไป...แต่เสียงของปลายสายก็เหมือนกับซันมาก จนพวกพ่อกับแม่ยอมเชื่อ และส่งฟ้าขึ้นรถไปกับเขา...เมื่อครู่นี้เอง"

   ขาดคำของณรงค์ รวีก็เซไปด้านหลังเล็กน้อย หน้าซีดเผือด เจ้าตัวกำโทรศัพท์แน่น ตั้งสติอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

   "ไม่ต้องห่วงนะครับคุณพ่อ...ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม ผมก็จะไม่มีวันให้มันทำร้ายน้องฟ้าได้เป็นแน่...เดี๋ยวผมจะสั่งให้คนตามหารถคันนั้นเดี๋ยวนี้...คุณพ่อพอจะจำลักษณะรถและเลขทะเบียนได้ไหมครับ"

   ณรงค์ฟังแล้วก็รีบบอกไปทันที เนื่องจากด้วยความกังวลก่อนหน้านั้น จึงทำให้เขาสังเกตรถที่บุตรชายนั่งไปได้อย่างแม่นยำ

   "ดีแล้วครับ ถ้าเพิ่งออกไปก็คงตามได้ทันไม่ยากนัก ...คุณพ่อกับคุณแม่แล้วก็น้องมีน รออยู่ที่บ้านนะครับ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง...น้องฟ้าจะต้องปลอดภัยแน่นอนครับ ผมให้สัญญา!"

   รวีรับคำอย่างหนักแน่น ปลายสายเงียบไปแต่ยังไม่ตัดสาย สักพักเมฆาก็กลับมาสนทนากับอีกฝ่ายต่อ

   "เดี๋ยวผมจะไปหาที่บ้านนะครับ ซันมันให้ผมไปคอยอยู่ที่นั่น เผื่อพวกที่หลอกน้องฟ้าไป จะกลับมาหลอกล่อทางนั้นอีก ผมจะได้ช่วยดูให้เพราะผมเองก็รู้จักบอดี้การ์ดของซันที่นี่ทั้งหมดดี ...ส่วนเรื่องน้องฟ้าคุณพ่อไม่ต้องห่วงนะครับ ซันมันต้องพาน้องฟ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน!"

   ณรงค์รับคำแผ่วเบา และพอปลายสายตัดไป เขาก็หันมาทางภรรยาและลูกชาย ก่อนจะกอดทั้งคู่ที่กำลังเสียขวัญอย่างปลอบโยน

   "ไม่ต้องห่วงนะ ซันรับปากแล้ว เขาจะพาฟ้ากลับมา...ขนาดสัญญาเมื่อสิบห้าปีก่อนที่ให้กับฟ้าเขาก็ยังรักษาได้...เพราะฉะนั้นครั้งนี้ พ่อก็เชื่อว่าเขาจะต้องทำอย่างที่สัญญาเอาไว้ได้แน่นอน"

   วารีกับมีนาพยักหน้ารับคำ แม้จะเป็นกังวลเพียงใด แต่ทั้งคู่ก็พยายามคิดในแง่ดีอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการปลอบใจทั้งตัวเองและคนในครอบครัวด้วยกันยามนี้นั่นเอง

...
....
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (บทที่ 14)-จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-08-2014 22:28:26
..
...



   เวหานั่งอยู่ข้าง ๆ บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ที่เบาะหลัง ส่วนตำแหน่งคนขับมีชายในชุดดำเช่นกันขับรถไปเงียบ ๆ จนสักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้คนด้านหลังต้องมองเบอร์มือถือพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะกดรับสายตามปกติ

   "บอสครับ ทางคุณรวีรู้ตัวแล้วครับ แถมยังโมโหมาก และกำลังสั่งรวบรวมคนตามท่านไปติด ๆ แล้วครับ!"

   "หือ...รู้ตัวไวกว่าที่คิดอีกนะ  โอเค...ไม่ต้องรายงานมาแล้ว เดี๋ยวฉันจัดการทางนี้เอง...หึ ๆ รับรองน่า ไม่ทำให้เขาต้องมีอันตรายแน่ เขาเป็นคนรักคนสำคัญของซันนี่นะ"

   เสียงที่สนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ แต่เวหาก็ยังแปลได้อยู่ดี เจ้าตัวหน้าซีดเมื่อใจความที่ได้รับฟังนั้น มันช่างดูแตกต่างจากสิ่งที่คนข้างกายบอกมาก่อนหน้านั้น

   "ทำไมเขาถึงเรียกคุณว่าบอสล่ะครับ...แล้วที่พี่ซันกำลังสั่งคนตามมาหมายความว่ายังไงครับ...คงไม่ใช่ตามมาด้วยกันเฉย ๆ เหมือนที่คุณเคยบอกไว้ใช่ไหมครับ"   

   คำถามที่ได้ยินทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบเป็นภาษาอังกฤษ

   "อืม...ฉันก็ลืมไปว่าความรู้ระดับเธอก็คงน่าจะฟังภาษาอังกฤษออกบ้าง...แต่การที่หัวไวแล้วคาดเดาสถานการณ์ได้ใกล้เคียง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอยู่ดีล่ะนะ"

   คนพูดนั้นมีรอยยิ้ม ทว่าเวหานั้นไม่ได้ยิ้มตอบ เขาขยับตัวออกห่างแล้วพยายามจะเปิดประตูรถ ซึ่งก็ไม่เป็นผลเพราะมันเป็นล็อกอัตโนมัตินั่นเอง

   "ถ้าฉันไม่อนุญาต ยังไงเธอก็หนีไปเองไม่ได้หรอก"

   ชายวัยกลางคนเปลี่ยนภาษาที่พูดเป็นภาษาไทย พร้อมกับถอดแว่นตาออกเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเขียว ซึ่งนั่นก็ทำให้เวหาชะงักเล็กน้อย เพราะไม่ว่าจะสีตาและโครงหน้าของอีกฝ่าย ก็ดูช่างแสนจะคุ้นชินตาคล้ายกับใครบางคนที่เขารู้จักอย่างน่าประหลาด

   "หรือว่า...คุณจะเป็น พ่อของพี่ซัน"

   คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ ตามมา

   "ถูกต้อง...อืม...เธอนี่นะ นอกจากหัวไวแล้วก็ยังช่างสังเกตดีมาก...แต่ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะซันมันก็ถอดแบบตอนฉันหนุ่ม ๆ มาไม่ค่อยจะผิดเพี้ยนนักล่ะนะ"

   "แสดงว่าคุณเองก็ยังคงไม่เห็นด้วยเรื่องที่พี่ซันกับผมคบกันใช่ไหมครับ"

   เวหาถามต่อ เมื่อทราบว่าเป็นบิดาของคนรัก เขาก็ใจชื้นขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าจะพอรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงมาเฟียก็ตาม

   "แน่นอน...และฉันก็เชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหน ที่จะยิ้มอย่างยินดีที่เห็นลูกชายตนเองไปคบผู้ชายด้วยกันหรอกนะ  อ้อ! คงยกเว้นพ่อแม่ของเธอที่เต็มใจยกเธอให้ลูกชายฉัน ...แต่ฉันก็เข้าใจดีอยู่หรอก เพราะทรัพย์สินเงินทองที่ลูกฉันมี มันก็ค่อนข้างมากอยู่ไม่น้อย"

   บิดาของรวีเอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มเหยียดซึ่งก็ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ แล้วกำหมัดแน่นอย่างพยายามข่มอารมณ์โกรธที่พุ่งพล่านขึ้น

   "ผมและพ่อแม่ยอมรับพี่ซัน เพราะพี่ซันแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่มีต่อผม...ไม่ใช่เพราะหวังทรัพย์สมบัติอะไรอย่างที่คุณพูดมานั่นสักนิด!"

   "หึ! แล้วถ้าเกิดฉันตัดหางปล่อยวัดเจ้าซัน ไม่ให้มรดกมันสักแดง แถมยังยึดเงินทองที่มันมีติดตัวกลับคืนแทนค่าตัดขาดไม่ให้ฉันเข้าไปยุ่งเรื่องของมันกับเธอล่ะ เธอยังจะยินดีรับผู้ชายที่เหลือแต่ตัวอย่างลูกชายฉันอีกหรือเปล่า...หือ?"

   คนพูดบอกพร้อมยกยิ้มหยัน แล้วมองดูรวีที่ก้มหน้านิ่งเงียบไปด้วยสีหน้ายิ้มเยาะคล้ายคนเป็นต่อ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อคนฟังเงยหน้าขึ้นมาจ้องเขา พร้อมตอบกลับไปด้วยแววตาและน้ำเสียงที่หนักแน่น

   "แน่นอนครับ ต่อให้พี่ซันจะเหลือแต่ตัว ไม่มีสมบัติติดร่างกายแม้แต่เศษเงินสักเหรียญ...ถ้าเขายังคงรักและมั่นคงต่อผมเช่นเดิม ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...อีกอย่างต่อให้ไม่มีเงินมรดกตกทอดอะไรก็ตามนั่น ขอแค่ยังมีสองมือสองเท้ามีหนึ่งสมองที่พร้อมจะสู้ต่อไม่ยอมแพ้  ยังไงคนเราก็ไม่อดตายหรอกครับ!"

   บิดาของรวีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ แล้วพิงกายไปกับเบาะนั่งด้วยท่าทางเหนื่อยอกเหนื่อยใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเปรยขึ้นคล้ายพูดกับตัวเอง

   "ตอนฉันยื่นข้อเสนอเดียวกันนี้เพื่อให้เจ้าซันมันตัดใจจากเรื่องของเธอที่อเมริกานั่น...รู้ไหมว่าเจ้าลูกชายตัวดีของฉันมันทำยังไง"

   เวหาชะงักที่เห็นอีกฝ่ายพูดคล้ายชวนคุยด้วย แถมท้ายประโยคยังหันกลับมามองเขาอีก เด็กหนุ่มสั่นศีรษะค่อย ๆ ซึ่งก็ทำให้คนพูดยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยต่อ

   "ไอ้เจ้าลูกบ้านั่นมันตอบตกลงโดยไม่ลังเล มันคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่ติดตัวมันตอนนั้น ยกเว้นเสื้อผ้า ที่บอกว่าขอใส่ติดตัวไว้ก่อนกันอนาจาร เดี๋ยวหาเงินเองแล้วได้เสื้อผ้าใหม่จะถอดสูทที่มันใส่มาคืนให้อีกที...ตอนนั้นฉันโมโหจนพูดแทบไม่ออก เลยไม่คิดสนใจมันอีก...หลังจากนั้นมันก็หายหัวไปจากบ้านสามวัน พอวันที่สี่ก็มีชุดสูทแพคใส่กล่องส่งไปรษณีย์มาคืนที่บ้าน  ฉันเลยให้ลูกน้องไปสืบดูว่ามันทำอะไรอยู่... หึ! ก็เลยได้พบว่าเจ้าลูกบ้านั่น มันกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นเด็กเสิร์ฟในบาร์เสียอย่างนั้นแถมยังได้ทิปจากทั้งสาวทั้งหนุ่มที่คิดจะหิ้วมันกลับบ้านเสียมากอีกด้วย...ไอ้ฉันพอเห็นแบบนั้น ก็เลยต้องยอมแพ้ เพราะเจ้าซันมันทำให้ฉันเห็นว่า มันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินของพ่ออย่างฉัน มันก็ยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้อยู่ดี... ป่านนี้มันคงสบายใจสินะที่พ้นจากพ่อที่มันเกลียดนักเกลียดหนาอย่างฉันมาได้... แถมตอนนี้ก็ยังสมหวังกับเธอแล้วอีกด้วย"

   เวหานิ่งเงียบรับฟัง เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นแลดูเหงา ๆ เวลาที่พูดถึงลูกชาย ซึ่งก็ทำให้เขาหวนคิดถึงรวีขึ้นมาบ้าง...ชายหนุ่มนั้นแม้จะชอบพูดบ่นเรื่องบิดาของเจ้าตัวเวลาที่เขาถามถึง แต่บางครั้งรวีก็มักจะเผลอมีแววตาเหงา ๆ ให้เขาได้เห็นเมื่อยามพูดถึงบิดาตนเองเช่นกัน

   "พี่ซันไม่ได้เกลียดอะไรคุณอย่างที่คุณคิดหรอกครับ...อีกอย่างไม่มีลูกคนไหนเกลียดพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตัวเองได้ลงคอหรอกครับ...อาจจะมีกระทบกระทั่งผิดใจกันบ้าง  แต่สำหรับคนเป็นลูกแล้ว ไม่ว่าใครก็ทดแทนพ่อแม่ของตนเองไม่ได้หรอกนะครับ"

   "เขาบอกเธออย่างนั้น หรือเธอคิดเอาเองล่ะ"

   อีกฝ่ายย้อนถามเสียงเรียบ ซึ่งก็ทำให้เวหาอมยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบไปตามตรง

   "ไม่ได้คิดเอาเองหรอกครับ แค่ตอบจากการที่ผมสังเกตดูเวลาที่คุยเรื่องครอบครัวกับพี่ซันน่ะครับ... คนที่เกลียดกันน่ะ เขาจะแทบไม่อยากพูดถึงเรื่องของอีกฝ่ายหรอกครับ  แต่พี่ซันกลับชอบพูดถึงคุณให้ผมฟังอยู่บ่อย ๆ ซึ่งมันอาจจะเป็นการบ่นเสียส่วนใหญ่ก็จริง แต่ผมฟังแล้วมันเหมือนคนที่น้อยใจที่พ่อตัวเองไม่เข้าใจและเห็นด้วยในสิ่งที่ตนทำ มากกว่าที่จะเป็นการเกลียดนะครับ"

   ชายวัยกลางคนนิ่งอึ้งหลังจากที่ได้ฟังเวหาพูดจบ เขาเงียบไปพักใหญ่จนเวหารู้สึกกังวล ก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายนั้นหัวเราะขึ้นเบา ๆ ในลำคอ

   "...ฉันว่าเจ้าซันมันฉลาดเลือก และคงมีสังหรณ์ดีล่วงหน้า ถึงได้คาดเดาได้ว่า เด็กสามขวบไร้เดียงสาเมื่อสิบห้าปีก่อน จะเติบโตมาเป็นเด็กนิสัยดีแบบเธอได้ล่ะนะ... เฮ้อ! เอาเถอะ ถ้าเป็นเด็กอย่างเธอ ฉันก็คงเบาใจปล่อยลูกชายฉันอยู่กับเธอได้หรอก  ส่วนฉันหลังมอบตำแหน่งให้คนที่ฉันเลือกแล้ว ก็คงจะเกษียณออกจากองค์กร และไปหาที่สงบอยู่อาศัยกับภรรยาของฉันตามลำพังประสาคนแก่ ที่ไม่มีลูกหลานเหลียวแลล่ะนะ"

   "เอ๋!? แล้วทำไมไม่มาอยู่ด้วยกันล่ะครับ...อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ครึกครื้นดีออก ที่บ้านหลังปัจจุบันที่พี่ซันอยู่ก็หลังใหญ่โต มีห้องก็ตั้งหลายห้อง คุณกับคุณแม่ของพี่ซัน ก็น่าจะมาอยู่ได้สบาย ๆ อยู่แล้ว"

   เวหาสวนขึ้นทันควัน ทำให้ชายวัยกลางคนต้องจ้องมองเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าตนนั้นลักพาตัวอีกฝ่ายมา ริมฝีปากได้รูปมีรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดูเป็นครั้งแรก แล้วจึงเอ่ยตอบกลับไป

   "เธอคิดว่าซันจะยินดีให้ฉันไปอยู่กับเขาอย่างเต็มใจ หลังจากที่ฉันลักพาตัวเธอออกมาด้วยกันอย่างนี้หรือ"

   เวหาชะงัก แล้วจึงนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปด้วยสีหน้าสงสัยแกมกังวล

   "แล้วการที่คุณลักพาตัวผมมาด้วยกันนี่ เพราะอะไรล่ะครับ"

   คนฟังยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงบอกจุดประสงค์ของตนออกไปตามตรง

   "นอกจากเรื่องที่ฉันอยากจะพิสูจน์ดูว่าเธอจริงจังกับลูกชายของฉันหรือไม่...เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ ฉันต้องการให้เธอได้รับรู้ว่า หากเธอยังคิดจะอยู่เคียงข้างซันมันแบบนี้ต่อไป เธอก็คงต้องพบกับเรื่องร้าย ๆ จากศัตรูในอนาคตของเจ้าซันอีกเรื่อย ๆ"

   "ศัตรูในอนาคตหรือครับ" 

    เวหาย้อนถามกลับไปอย่างแปลกใจ ซึ่งคนฟังก็พยักหน้านิด ๆ

   "ใช่แล้ว...ฉันอยากให้เธอได้รับรู้ด้วยตัวเองว่า หากคิดจะใช้ชีวิตร่วมอยู่กับซันเช่นนี้ต่อไป บางทีตัวเธอและครอบครัว ก็อาจจะต้องพบกับเรื่องเสี่ยง ๆ แบบนี้เข้าได้ในสักวัน จริงอยู่ที่ซันวางมือไม่ยอมสืบทอดตำแหน่งองค์กรต่อจากฉัน แต่คนที่อยากให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับตระกูลของทางฝั่งฉัน แทนที่จะยกให้ทางฝั่งของทายาทคนต่อไป ก็คิดจะดึงซันให้กลับมารับตำแหน่งแทน ส่วนพวกทางฝั่งทายาทที่ฉันเตรียมไว้ ก็คิดจะกำจัดซันให้สิ้นซาก เพื่อที่จะได้ไม่มีการผิดพลาดในอนาคต ....ตัวฉันและคนที่ฉันเลือกเองก็พยายามจะเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่จะมีการสละตำแหน่งอยู่หรอกนะ... แต่ก็นั่นล่ะ กว่าเรื่องราวภายในของพวกเราจะเรียบร้อย จนเธอกับครอบครัวจะไม่ต้องมาเสี่ยงกับลูกชายของฉันอีก ก็คงจะเป็นราวช่วงสี่ห้าปีหลังจากนี้ ...ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคนที่ฉันเลือกให้มาสืบทอดต่อด้วยล่ะนะ"

   เวหาเงียบกริบ เรื่องหลังที่ได้ฟังแลดูหนักหนากว่าเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการพิสูจน์ความรักของเขากับรวีเสียอีก เนื่องจากมันไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้นที่เกี่ยวข้อง หากแต่ครอบครัวของเขาก็อาจจะต้องถูกลากเข้ามาพัวพันอีกด้วย

   "เรื่องนี้ผมคงตัดสินใจเองไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว...ผมก็คงต้องฟังความเห็นของทุกคนในครอบครัวด้วย"

   เวหาเอ่ยขึ้นในที่สุดซึ่งก็ทำให้คนฟังถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังนึก  ชื่นชมที่เด็กหนุ่มไม่มีสีหน้า หรือน้ำเสียงหวาดกลัวอย่างที่เขาเคยคาดคิดไว้

   "...แต่ผมเชื่อนะครับว่า ทุกคนในครอบครัวของผมก็คงให้โอกาสพี่ซันเหมือนเดิม เรื่องความกลัวความกังวลมีเอาไว้บ้างมันก็นับเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้เรารู้จักป้องกันและไม่ประมาท ...แต่ถ้าเราเอาแต่ปล่อยให้ความกลัวครอบงำจิตใจจนเกินไป...บางทีพอรู้สึกตัวอีกที ก็อาจจะทำให้เราเผลอปล่อยผ่านสิ่งดี ๆ ที่เรารอคอยมาตลอดชีวิต ให้หลุดมือออกไปก็เป็นได้"

   เวหาหันไปสบตากับคนที่นั่งข้างเขา แล้วยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างจริงใจก่อนจะพูดต่อ

   "ผมไม่อยากเป็นคนที่เอาแต่กลัวต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ผมอยากสู้และเผชิญหน้าไปพร้อมกับคนที่ผมรักมากกว่าครับ"

   ชายวัยกลางคนอึ้งเงียบไปชั่วครู่กับคำพูดนั้น ก่อนที่จะมีรอยยิ้มอ่อนโยนตามมาในที่สุด

   "อืม...บางทีการที่ลูกชายของฉัน เลือกที่จะทิ้งทุกอย่างที่ฉันสร้างมาเพื่อเขา แล้วมาอยู่กับคนจิตใจดีอย่างเธอ มันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจถูกต้องแล้วก็เป็นได้ล่ะนะ"

   เวหาชะงักก่อนหน้าหน้าแดงนิด ๆ เมื่อนึกถึงคนรักที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อตนแบบนี้

   "หึ ๆ มิน่าล่ะ เรไรเมียฉันถึงได้บอกว่าเธอตอนสามขวบเป็นเด็กน่ารักมาก...ที่จริงฉันว่าเวลาเธอยิ้มนี่ก็น่ารักดีนะ เหมือนเมียฉันเลย รายนั้นน่ารักตอนยิ้มเป็นที่สุดนั่นล่ะ...น่ากลัวเจ้าซันจะติดใจรอยยิ้มของเธอตั้งแต่เธอยังเด็กแน่ล่ะนะ...หึ ๆ เหมือนพ่อมันไม่มีผิด!"

    เวหารู้สึกเขินที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น สักพักคนที่นั่งข้างเขาก็สั่งให้คนขับเลี้ยวกลับรถและพาเวหาไปส่งที่บ้านแทน ก่อนที่จะยื่นโทรศัพท์ส่งให้

   "เอ้า! โทรไปบอกทางบ้านเธอสิ ป่านนี้คงห่วงกันแย่แล้ว"

   "ขอบคุณนะครับ คุณ...เอ่อ คุณพ่อของพี่ซัน"

   เวหาเลือกใช้คำเรียกอีกฝ่ายอย่างลำบาก เนื่องจากเด็กหนุ่มคิดว่าตนนั้นไม่สนิทสนมพอที่จะเรียกอีกฝ่ายอย่างกันเองนัก ซึ่งก็ทำให้คนฟังอมยิ้ม

   "อืม...ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวกับเธออย่างเป็นทางการเลยสินะ...ฉันชื่ออังเดร แต่เธอจะเรียกฉันว่าพ่อแทนก็ได้นะ และจริง ๆ มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นด้วยไม่ใช่หรือ"

   "เอ่อ...ครับ"

   เวหารับคำเขิน ๆ ซึ่งก็ทำให้คนข้างกายยิ้มน้อย ๆ และมองดูเด็กหนุ่มโทรคุยกับคนที่บ้านพลางบอกเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นย่อ ๆ ก่อนจะย้ำว่าตัวเองปลอดภัยดีอีกครั้งแล้วจึงวางสายไป

   "ฉันคงต้องไปขอโทษพ่อกับแม่เธออย่างหนักทีเดียว ที่ทำให้พวกเขาตกใจขนาดนี้  อ้อ...แล้วก็ต้องขอโทษเธอที่พูดจาดูถูกพ่อกับแม่ของเธอเมื่อก่อนหน้านั้นด้วย  ที่จริงฉันก็รู้มาจากลูกน้องของลูกชายฉันแล้วล่ะว่า ทั้งคู่เป็นคนดี ขยันทำมาหากิน ไม่เห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองของคนอื่น...แถมเอาจริง ๆ ลูกชายฉันเองต่างหาก ที่เป็นฝ่ายไปรบกวนฝากท้องกับทางบ้านเธอแทบทุกวันด้วยซ้ำนี่นะ"

   เวหายิ้มน้อย ๆ ให้ เขารู้สึกว่าบิดาของคนรักนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด พอพวกเขาเข้าใจกันดี เจ้าตัวก็คุยง่ายเหมือนเวลาเขาคุยกับรวีด้วยซ้ำไป



   เมื่อมาถึงบ้านรวีที่ได้รับการแจ้งข่าว และกลับมารอที่บ้านของคนรัก ก็แทบจะวิ่งพรวดไปดึงตัวของเวหาทันทีที่อีกฝ่ายลงจากรถด้วยซ้ำ

   "น้องฟ้า! เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ โดนทำร้ายอะไรไหม!"

   ครอบครัวของเวหามองรวีตาปริบ ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะชายหนุ่มเล่นเข้าถึงตัวเวหาเสียก่อนที่พวกเขาจะขยับเดินไปเสียอีก

   "หึ! ฉันไม่ใช่พ่อสามีใจร้าย ที่จะรังแกลูกสะใภ้ตัวเองหรอกนะ...จริงไหมหนูฟ้า"

   คนที่ก้าวลงจากรถตามมาพูดขึ้นดัง ๆ แล้วจึงหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับเวหา สร้างความตกตะลึงให้กับรวี เมฆา รวมถึงเหล่าบอดี้การ์ดที่รู้จักในตัวของบิดานายจ้างเป็นอย่างดี

   "คุณพ่อไม่ได้ทำอะไรฟ้าหรอกครับพี่ซัน ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดกันนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง"

   เวหารีบแก้ต่างแทนให้บิดาคนรัก ทำเอารวีขมวดคิ้วยุ่ง ทว่าชายวัยกลางคนนั้นไม่คิดใส่ใจในตัวลูกชาย เขาเดินตรงไปหาณรงค์และวารี ก่อนจะยืนโค้งศีรษะให้อีกฝ่ายแล้วเงยหน้าจ้องมองทั้งคู่

   "ผมต้องขอโทษพวกคุณจริง ๆ ที่วางแผนแกล้งโกหกและลักพาตัวลูกชายของคุณไปแบบนั้น ...ผมยินดีและไม่คิดจะโต้ตอบ หากคุณต้องการจะลงมือกับผมหลังจากนี้"

   คนพูดบอกแล้วก็ยืนนิ่งทำให้ณรงค์กับวารีต่างหันมาสบตา แล้วทั้งคู่จึงถอนหายใจออกมาไล่เลี่ยกัน

   "อย่าให้ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยครับ แค่คุณรู้สึกผิดจากใจจริงก็พอแล้ว  อีกอย่างลูกชายผมก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรด้วย แล้วซันเองก็คงไม่สบายใจ ถ้าผมทำร้ายพ่อของเขาต่อหน้าเจ้าตัวแบบนั้น"

   รวีสะดุ้ง เขาแสร้งทำเป็นเมินมองไปทางอื่นเมื่อบิดาหันกลับมาทางตน เพราะเมื่อครู่นี้หากณรงค์หรือวารีลงมือกับบิดาของเขาจริง ๆ เขาก็คงจะไม่มีสิทธิห้ามปราม แต่นั่นก็คงทำให้เขารู้สึกแย่กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นนั่นอยู่มากทีเดียว

   "ขอบคุณที่อภัยให้ผม...ไว้หลังจากนี้ผมจะแวะมาขอขมาพวกคุณทั้งบ้านอีกครั้ง  อ้อ...บางทีผมและภรรยาอาจจะถือโอกาสมาร่วมงานฉลองรับสะใภ้ของครอบครัวโจนาธานด้วยก็ได้ หวังว่าคุณคงจะไม่รังเกียจนะครับ"

   ท้ายประโยคนั้นทำให้เมฆาสะดุ้ง ส่วนรวีหันขวับมาจ้องบิดาเขม็ง

   "พ่อรู้เรื่องนี้ได้ไง!  ...น้องฟ้าบอกพ่อพี่หรือครับ"

   อังเดรเหลือบมองลูกชายที่ขึ้นเสียงถามตัวเองเสียงห้วน แต่พอหันไปพูดกับแฟน กลับทำเสียงอ่อนเสียงหวานจนน่าหมั่นไส้

   "ฟ้าไม่ได้บอกนะครับ  เอ่อ...แล้วคุณพ่อรู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ"

   เวหาหันมาถามคนที่ยืนเงียบอยู่  ซึ่งอังเดรก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกไปตามตรง

   "ก็ได้ยินจากปากเจ้าตัวน่ะสิ หรือจริง ๆ ก็คือ ทั้งฉันทั้งเมียฉัน มาที่เมืองไทยพร้อมกับพ่อแม่ของเมฆเขานั่นล่ะ แต่ฉันปล่อยให้ทางนั้นมาเคลียร์เรื่องลูกชายของตัวเองก่อน  ส่วนฉันก็ครุ่นคิดหนักว่าจะลงมือพูดคุยอธิบายสถานการณ์ความจำเป็นของเจ้าซันกับครอบครัวเธอดี ๆ หรือแสดงให้เห็นเลยดี ...แล้วก็เลยกลายมาเป็นแบบนี้นั่นล่ะ  อ้อ! เจ้าซัน แม่แกบ่นถึงแกให้ฉันฟังตลอด ยิ่งมาเมืองไทยนี่ก็ยิ่งบ่นใหญ่ ถ้าไม่อยากเป็นลูกเนรคุณให้แม่ตัวเองร้องไห้ล่ะก็ ว่าง ๆ ก็แวะไปเยี่ยมแม่เขาบ้าง...ถึงกับฉันแกจะไม่อยากเจอหน้ากันนักก็เถอะ!"

   ท้ายประโยคเจ้าตัวยังไม่วายประชดประชัน เรียกเสียงถอนหายใจจากคนที่ได้ฟังอยู่แต่ละคน และเพราะเป็นเสียงถอนหายใจที่ดังในเวลาใกล้กัน แม้มันจะเบาแสนเบาทว่าพอเป็นจากหลายคน มันก็ทำให้สองพ่อลูกสะดุ้งได้เลยทีเดียว

   "เอาเถอะ! เดี๋ยวผมแวะไปหาแม่พร้อมกับพ่อตอนนี้เลยก็ได้ และอีกอย่างผมเองก็มีอะไรอยากคุยแบบเปิดอกตามประสาพ่อลูกกับพ่อด้วยอีกเยอะเลยล่ะนะครับ"

   รวีเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นสายตาของคนรักที่จับจ้องมองมายังตนอย่างร้องขอ  ซึ่งอังเดรพอได้ยินดังนั้นเจ้าตัวก็เงียบไป ก่อนจะแสร้งทำเป็นยักไหล่ด้วยความไม่ใส่ใจแทน

   "ก็แล้วแต่แกแล้วกัน ...ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ...พ่อไปละนะหนูฟ้า"

   หนุ่มใหญ่หันไปเอ่ยลาพวกณรงค์แล้วหันมายิ้มให้กับเวหา ซึ่งเด็กหนุ่มก็ยิ้มตอบ ทำให้อังเดรอารมณ์ดีจนลูกชายที่เดินไปขึ้นรถด้วยกันชักไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาเสียแล้ว

   "พ่อ...นี่พ่อคงไม่ลืมสินะ ว่าพ่อมีแม่แล้ว และน้องฟ้าก็เป็นแฟนผมด้วย!"

   "หือ...แน่นอน พ่อรักแม่แกที่สุดอยู่แล้ว...แต่มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ถ้าหากพ่อสามีกับลูกสะใภ้จะไปกันได้ด้วยดีและรักใคร่กลมเกลียวกันน่ะ"

   อังเดรแย้งกลับไปอย่างนึกขำ เพราะไม่คิดว่าลูกชายของตนนั้นจะเป็นคนขี้หึงถึงขนาดนี้

   "ก่อนหน้านั้นเห็นกีดกันแทบตาย! ทำไมมาเปลี่ยนง่ายดายแบบนี้ล่ะครับ!"

   รวีแย้งกลับไปอย่างเริ่มหงุดหงิด และคำพูดของชายหนุ่มที่กำลังเดินไปขึ้นรถพร้อมบิดา ก็แว่วมาถึงคนที่อยู่ในบ้านจนต้องโผล่หน้าออกมามองอย่างสงสัย

   "ก็ก่อนหน้านั้น ฉันไม่รู้ว่าแฟนแกน่ารักแบบนี้นี่...ยิ่งเวลายิ้มงี้น่ารักเหมือนแม่แกตอนสาว ๆ เลยทีเดียว แบบนี้สเป็คฉันเลยล่ะ!"

   อังเดรแย้งกลับไปกึ่งแกล้งกึ่งจริงจัง ทำให้คนเป็นลูกชายนึกอยากจะกลับไปบอกให้ณรงค์ช่วยมาต่อยพ่อของตนสักหมัดสองหมัดขึ้นมาตงิด ๆ

   "อ้าว...หนูฟ้า ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะแวะมาหาอีกนะ...เห็นว่าชอบขนมมากใช่ไหม ไว้พ่อจะซื้อมาฝากแล้วกัน"

   อังเดรที่หันมาเห็นเวหาโผล่หน้าออกมาดูพวกตนเอ่ยทัก ซึ่งเวหาก็ยิ้มกว้างตามมาก่อนจะชะงักแล้วเปลี่ยนกลับเป็นยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อเห็นคนรักทำหน้าบึ้งไม่สบอารมณ์หนักยิ่งขึ้นไปอีก

   "พ่อ! รีบไปกันได้แล้ว! เร็วสิครับ!"



   รวีรีบตะโกนบอกให้บิดาขึ้นรถ ก่อนที่คนรักของเขาจะโดนอีกฝ่ายล่อลวงมากไปกว่านี้ จะว่าไปแล้วเขาก็ดีใจหรอกนะที่อังเดรยอมรับในตัวเวหาได้สักที แต่ยอมรับแล้วเล่นมาหลงเสน่ห์คนรักของเขาด้วยแบบนี้ เห็นทีต่อไปเขาคงจะต้องกันท่าให้ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้กันตามลำพังเสียแล้วล่ะนะ!




...END...


ยังมีตอนพิเศษต่อจากนี้อีกนิด เป็นตอนสั้น ๆ เขียนเพื่อแนะนำตัวคุณญาติของพี่ซัน ไว้จะเอามาแปะให้อ่านกันนะคะ

อยากจะบอกว่าหลังจากนี้ อีตาคุณพี่ซัน มัน เจ้าบุญทุ่มเพิ่มมากขึ้นเสียจนเวอร์จัดเลยค่ะ 555 ขนาดน้องมีนยังเซ็งทีเดียว

สุดท้ายนี้ปัดก็ต้องขอขอบคุณนักอ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้อีกครั้งนะคะ

ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ   :pig4:


หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 22-08-2014 22:50:02
คุณพ่อนี่เอง น้องฟ้าน่ารักใช่ปะล่ะะะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-08-2014 22:52:27
ลงตัวซะที จะมีบ้างไหมน้า ที่ทางครอบครัว
หน้าชื่นตาบาน รับได้กับเรื่องแบบนี้ทั้งสองฝั่ง
อิจฉาาาาาาาาาาาาาาาาา อะ

 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-08-2014 00:07:13
เหมือนเด็กเลย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 23-08-2014 01:40:31
พอบอกอยากจะอ่านตอนครอบครัวของฝั่งเขยมาเยี่ยมเยียนสะใภ้ปุ๊บก็ได้อ่านปั๊บเลย
รักคนแต่งมากๆๆๆๆๆๆ  :mew1: มารออ่านวันงานฉลองรับสะใภ้ว่าจะสุขสันต์ขนาดไหน
เป็นกำลังใจให้คนแต่งคราฟสู้ๆ

ปล.เรื่องนี้คงเป็นอีกเรื่องที่เราประทับใจมากๆ อ่านแล้วมีแต่รอยยิ้มและความสุขนะครับ
เอาไปแนะนำในห้องแนะนำนิยายน่าอ่านให้เรียบร้อยแล้วนะคราฟ  o13 o13
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 23-08-2014 07:29:19
ขอบคุณครับสำหรับเรื่องน่ารักๆ ที่ไม่ต้องมีดราม่าก็สนุกได้
ขอบคุณคนแต่งแสนขยันที่มาต่อให้อย่างไม่ขาดตอน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 23-08-2014 08:19:37
ฮ่าๆ คุณพ่อชอบน้องฟ้าซะขนาดนั้นเชียว
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 23-08-2014 10:12:17
แอบตกใจว่าใครมาลักพาตัวน้องฟ้าไป
ที่ไหนได้พ่อพี่ซัน
พ่อพี่ซันก็มีมุมน่ารักๆนะ
พี่ซันหึงแม้กระทั่งพ่อตัวเอง 5555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 23-08-2014 10:49:26
เพิ่งได้มาอ่านหลังจากจบแล้ว

ชอบซันมาก จริงใจ มั่นคง แม้จะเจ้าเล่ห์นิดๆ ก็ไว้เพื่อหลอกล่อน้องฟ้านะเออ

น้องฟ้า ชอบนายเอกแบบนี้มากเลย มีเหตุผล หล่อ น่ารัก นิสัยดี จิตใจดี แอบมุ้งมิ้งชอบของหวานด้วย

คุณพ่อคุณแม่น่ารักทุกคนเลย  :pig4: นักเขียน

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 23-08-2014 11:10:06
 o13 :katai2-1: o13 :L1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/1) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: rule ที่ 23-08-2014 12:29:29
ตอนของเจกับลูกพี่ลูกน้องของพี่ซันนี่จะต่อในนี้หรือเปิดเรื่องใหม่คะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/1) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-08-2014 12:41:20
ตอนของเจกับลูกพี่ลูกน้องของพี่ซันนี่จะต่อในนี้หรือเปิดเรื่องใหม่คะ

เป็นเปิดเรื่องใหม่ค่ะ แต่ตอนพิเศษสั้น ๆ ที่เปิดตัวพระเอก จะต่อในนี้ค่ะ  บ่าย ๆ เย็น ๆ จะมาแปะให้อ่านนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/1) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 23-08-2014 13:29:20
 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/1) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 23-08-2014 13:44:18
ทีแรกก็ตกใจอยู่นะ ที่น้องฟ้าโดนลักพาตัว

แต่พอรู้ว่าเป็นพ่อสามีที่วางแผนการ ล่อลูกแกะออกจากคอกเท่านั้นแหละ

ก็โล่งใจไปเลย แถมคุณพ่อนี่ก็ยังหลงเสน่ห์ความน่ารักของน้องฟ้าเข้าให้อีก

แค่นี้พี่ซันก็ไม่รู้จะหวงยังไงดีแล้ว  คุณพ่ออย่าสร้างภาระให้พี่ซันสิคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/1) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 23-08-2014 16:25:04
 :pig4:ชื่นมื่นค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/1) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-08-2014 18:48:46
อยากอ่านตอนพิเศษที่สมาชิกครอบครัวทั้งหมดมาเจอกันแล้วอ่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/1) 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ~@มาวินฮับ@~ ที่ 23-08-2014 20:46:48
อยากเจอรักแท้อย่างนี้บ้างจัง. รอตอนพิเศษอีกนะครัล
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-08-2014 20:52:42

ตอนพิเศษ / 2



   เวหากับรวี คบกันมาได้เกือบปีแล้ว โดยรวีนั้นตัดปัญหาจุกจิกกวนใจที่อาจจะเกิดขึ้นจากองค์กรของบิดา โดยการกลับอเมริกาและแสดงตัวปฏิเสธรับมอบอำนาจทุกตำแหน่งต่อหน้าผู้นำแต่ละขั้วอำนาจในองค์กร จนสุดท้ายพวกที่คิดจะพาตัวรวีกลับมาสืบทอดตำแหน่ง รวมไปถึงพวกที่ต่อต้าน จึงได้เลิกที่จะคอยตามมาจองล้างจองผลาญชายหนุ่มอย่างที่ควรจะเป็นในที่สุด

   และปัจจุบัน รวีก็กำลังเริ่มต้นใช้ชีวิตในฐานะนักธุรกิจซึ่งทำการค้าเกี่ยวกับสินค้าเกษตรแปรรูปอย่างที่เคยตั้งเป้าหมายเอาไว้ โดยมีณรงค์ผู้เป็นว่าที่พ่อตาคอยให้คำแนะนำอย่างเต็มใจ

   "น้องฟ้าครับ...พรุ่งนี้พี่คงจะไปรับน้องฟ้าที่มหาลัยเลทไปสักหน่อย  น้องฟ้าคอยพี่สักประมาณครึ่งชั่วโมงได้ไหมครับ"

   รวีเอ่ยกับคนซึ่งกำลังเดินให้อาหารปลาสวยงามในบ่อกว้างใกล้น้ำตกจำลอง ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยการที่ชายหนุ่มลงทุนซื้อบ้านทั้งสองหลังที่ปลูกขวางระหว่างบ้านพักของเขากับเวหา โดยวารีและณรงค์เองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะอังเดรและเรไรบิดาและมารดาของรวีเองต่างก็เห็นดีเห็นงาม แถมยังยุให้ลูกชายรื้อบ้านเก่าบนที่ดินเดิม และต่อเติมบ้านหลังใหม่เตรียมไว้ให้พวกตนมาอยู่ในอนาคตอีกด้วย  ซึ่งในตอนนี้ บ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงจำนวนสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ ก็ได้ถูกปลูกสร้างเสร็จเรียบร้อย ท่ามกลางอาณาบริเวณกว้างของที่ดินซึ่งถูกดัดแปลงเป็นสวนหย่อมกึ่งป่า รวีสั่งซื้อต้นไม้ใหญ่น้อยมาลง และขุดบ่อทำน้ำตกจำลองเพื่อเลี้ยงปลาสวยงาม จนดูเสมือนว่าสถานที่แห่งนี้นั้นได้กลายเป็นรีสอร์ตขนาดย่อมไปแทนเลยด้วยซ้ำ

   "ฟ้าคอยได้อยู่แล้วครับ แต่ฟ้าว่าถ้าพี่ซันมีธุระ พี่ซันก็ไม่ต้องมารับฟ้าหรอกครับ ฟ้ากลับเองได้"

   เวหาฟังคำคนรักแล้วหันมาบอกพร้อมรอยยิ้ม แต่นั่นกลับทำให้คนที่อยู่ใกล้ขมวดคิ้วยุ่งทันที

   "ไม่เอาหรอกครับ พี่อยากจะไปรับน้องฟ้านี่ครับ...จริง ๆ พี่ก็ไม่อยากไปเลทด้วยซ้ำ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะโดนพ่อสั่งให้ไปรับที่สนามบินให้ได้ พี่ก็จะปล่อยให้คนอื่นไปรับแทนแล้วล่ะ!"

   "คุณพ่อจะมาเมืองไทยหรือครับ แล้วคุณแม่ล่ะครับ มาด้วยกันหรือเปล่า!"

   เวหาถามคนรักอย่างตื่นเต้น เพราะครั้งล่าสุดที่ได้เจอบิดาและมารดาของคนรัก ก็ผ่านมาแล้วเกือบสามเดือนเลยทีเดียว

   "ไม่ใช่พ่อกับแม่พี่จะมาหรอกครับ...ญาติของพี่จะมาต่างหาก เห็นว่าเจ้าตัวอยากจะมาพักผ่อนที่นี่สักเดือน พ่อก็เลยฝากให้พี่ช่วยดูแลเขาให้หน่อย ทั้งที่หมอนั่นก็ดูแลตัวเองได้สบาย ๆ อยู่แล้วแท้ ๆ"

   เวหารับฟังอย่างสนใจ เพราะลองถ้าบิดาของรวีฝากฝังให้ลูกชายดูแล แสดงว่าอีกฝ่ายนั้นคงต้องเป็นญาติคนสำคัญของชายหนุ่มเป็นแน่

   "เป็นญาติของพี่ซันหรือครับ อยากเจอจัง แล้วเขาจะพักแถวนี้หรือเปล่าครับ"

   รวีพอได้เห็นคนรักแสดงออกถึงความสนใจญาติของตน เจ้าความหึงหวงก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกเช่นเคย

   "ทำไมน้องฟ้าถึงอยากเจอเขาล่ะครับหมอนั่นไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ"

   "ก็เขาเป็นญาติคนสำคัญของพี่ซันไม่ใช่หรือครับ...ฟ้าก็อยากทำความรู้จักเอาไว้บ้างเอ่อ...จริง ๆ ก็คือ ฟ้าอยากรู้เรื่องของพี่ซันเพิ่มให้มากขึ้นอีกสักเรื่องก็ยังดีน่ะครับ"

   คำตอบและท่าทางเขินอายนิด ๆ ของเวหา ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังหึงหวงถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วจึงหลุดถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา

   "ยอมแพ้น้องฟ้าเลยครับ ถ้าอย่างนั้นพี่จะพาเขามาทำความรู้จักกับน้องฟ้าก็ได้...แต่น้องฟ้าห้ามสนใจเขาจนเกินไปนะครับ"

   ท้ายประโยครวีทำเสียงอ้อน ทำให้คนที่รู้นิสัยของอีกฝ่ายดีอมยิ้ม แล้วจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้มคนรักหนึ่งฟอดแทนคำยืนยัน

   "รับรองครับ ว่าฟ้าจะไม่สนใจใครเกินพี่ซันเด็ดขาด...ทีนี้วางใจได้หรือยังครับ"

   รวียิ้มแก้มแทบปริ แล้วจึงหอมแก้มของคนรักคืนบ้าง โดยไม่คิดใส่ใจสายตาของใคร เนื่องจากฝั่งตรงกันข้าม ก็เป็นบ้านพักของเหล่าบอดี้การ์ดที่เขาซื้อมาจากเจ้าของที่ดินเดิมแถวนั้น  จนตอนนี้ถ้าไม่นับรวมบ้านของเวหา อาจจะกล่าวได้ว่าภายในซอยนี้ ทั้งบ้านฝั่งซ้ายและขวา ได้กลายเป็นที่ดินทั้งของรวีและเมฆา ที่มากว้านซื้อเอาไว้ไปจนหมดแล้วด้วยซ้ำ

   "อะแฮ่ม! คุณพี่ซันครับ! จะทำอะไรก็เกรงสายตาชาวบ้านเขาบ้าง ถึงซอยนี้ทั้งซอยมันแทบจะกลายเป็นดงมาเฟียไปหมดแล้วก็เถอะ!"

   มีนาที่ออกมาเห็นทั้งสองคนสวีทหวานกระแอมขัดอย่างนึกหมั่นไส้ในตัวคนรักของพี่ชาย ซึ่งก็ทำให้เมฆาที่เดินตามมานึกขำต่อคำพูดที่เด็กหนุ่มใช้ค่อนขอดเพื่อนสนิทของตน

   "มาฟงมาเฟียอะไรกันครับน้องมีน...แถวนี้มีแต่นักธุรกิจหน้าซื่อมือสะอาดทั้งนั้นนั่นล่ะครับ"

   มีนาหันมาค้อนขวับให้คนพูด เพราะพวกเมฆาไม่รู้หรอกว่าในตลาดเขาลือว่าอะไรกันบ้าง เวลาเขาและมารดาไปซื้อของทีไร ก็มักจะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ว่า พวกรวีกับเมฆา เป็นมาเฟียต่างชาติมากว้านซื้อที่ดินแล้วค้าของผิดกฎหมายในซอยนั้นกันหรือเปล่า  จนเขาต้องคอยแก้ตัวให้แทนอยู่เสมอว่า พวกที่ใส่สูทใส่แว่นดำท่าทางน่ากลัวที่อาศัยอยู่ในซอยนั้น เป็นเหล่าบอดี้การ์ดของพวกรวีและเมฆา ส่วนสองคนนั่นก็เป็นนักธุรกิจทุนหนาที่ตั้งใจมาลงทุนเกี่ยวกับพืชผลการเกษตรในไทย ไม่ใช่มาเฟียต่างชาติค้าของเถื่อนอย่างที่ทุกคนเข้าใจกันเลยสักนิด

   "อ๊ะ! จริงสิ  นายไปรับหมอนั่นแทนฉันก็ได้นี่เมฆ!"

   จู่ ๆ รวีก็โพล่งขัดขึ้นมาเหมือนนึกได้ ทำเอาเมฆาหันมาทำหน้างุนงงใส่เพื่อน เพราะไม่ทันได้รู้ต้นสายปลายเหตุที่อีกฝ่ายบอกมาก่อน

   "หมอนั่นก็ เอริค ญาติฉันไงเขาจะมาถึงเมืองไทยตอนบ่าย ๆ แล้วทีนี้พ่อสั่งให้ฉันไปรับ แต่ถ้าฉันไปรอหมอนั่น ก็ต้องไปรับน้องฟ้าที่มหาลัยเลทไปด้วย เพราะงั้นนายก็ไปรับเขาแทนฉันนะ!"

   รวีอธิบายพร้อมกับรวบรัดตัดบทเอาเองเสร็จสรรพ ทำเอาเมฆาสะดุ้งโหยง พร้อมกับปฏิเสธตามมาทันควัน

   "ไม่มีทาง!เย็นพรุ่งนี้ฉันมีนัดเดทกับน้องมีน เพราะงั้นคงไปรับหมอนั่นแทนนายไม่ได้หรอก!"

   "ก็แค่เดท เลื่อนไปก่อนก็ได้นี่!"

   คนเอาแต่ใจเถียงกลับ ทำเอาเมฆาจ้องมองเพื่อนตาปริบ ๆ เพราะอีกฝ่ายก็คิดจะหนีภาระไปรับคนรักไม่แตกต่างอะไรจากตนเลยสักนิด

   "...ถ้าต้องรบกวนคนอื่นขนาดนั้น ฟ้าว่าฟ้ากลับเองดีกว่าครับ"

   เวหาแสร้งเปรยขัด ทำเอารวีสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบหันกลับไปอ้อนเด็กหนุ่มทันที

   "ไม่เอานะครับน้องฟ้า...ขอให้พี่ไปรับน้องฟ้าเหมือนเดิมนะครับ...เอ้า! พี่ยอมไปรับหมอนั่นด้วยตัวเองก็ได้!"

   เวหาอมยิ้มแล้วหันไปขยิบตากับเมฆาที่ก็ยิ้มเจื่อนตอบ เพราะดูเหมือนเพื่อนสนิทของเขานั้นจะอยู่ในโอวาทของแฟนเด็กชนิดหือไม่ขึ้นเสียแล้ว

   "จริง ๆ ก็แค่เดทเอง เลื่อนไปวันอื่นก็ได้ วันหยุดมีนก็อยู่กับพี่เมฆเป็นประจำอยู่แล้วล่ะนะ"

   มีนาเปรยขึ้นบ้าง ทำเอาคนข้างกายเขาสะดุ้งโหยง จากนั้นเมฆาจึงรีบพาร่างเล็กปลีกตัวไปทางอื่นเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเริ่มหันกลับมามองทางตนอีกครั้ง

   "เดี๋ยว! จะพามีนไปไหนน่ะพี่เมฆ!"

   มีนาร้องปรามเพราะคนตัวโตจูงแขนเขาเดินหลบไปอีกทางลิ่ว ๆ โดยไม่คิดจะหยุดเดิน ซึ่งพอได้ยินเสียงคนรักเมฆาก็ชะงักก่อนจะหยุดฝีเท้า แล้วจึงหันมายิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้

   "ขอโทษทีครับน้องมีน แต่ขืนพี่ไม่รีบพาน้องมีนหลบมา มีหวังเจ้าซันมันหาเรื่องให้พี่ไปรับญาติมันแทนแน่"

   "ก็นั่นล่ะ มีนถึงว่าเลื่อนเดทไปแค่วันเดียวไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร มีนไม่อยากให้พี่ฟ้านั่งรถกลับเอง ทางมันไกล แล้ววันพรุ่งนี้พี่ฟ้าก็เลิกเย็นด้วย ขืนนั่งรถสองแถวมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็กลับบ้านมืด ๆ ค่ำ ๆ กันพอดี"

   มีนาให้เหตุผล แต่คนฟังนั้นถอนหายใจ แล้วตอบกลับมาเสียงอ่อย

   "พี่รู้ดีครับ ...แต่พี่ไม่อยากไปรับหมอนั่นด้วยตัวเองนี่ เกิดเขาบอกว่าอยากเจอน้องมีน พี่ก็คงปฏิเสธลำบาก...แล้วถ้าน้องมีนเจอเขาเข้า แล้วเกิดชอบใจขึ้นมา พี่คงหึงแย่"

   มีนารับฟังแล้วก็ถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตีแขนคนพูดดังเผียะ แล้วตอบออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึงนิด ๆ

   "พี่เมฆนี่นะ! คบกันมาก็เกือบปีแล้ว ยังเห็นมีนเป็นคนรักง่าย เปลี่ยนง่าย อยู่อีกหรือไง!"

   "พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงแบบนั้น พี่ก็แค่หึงกับหวง...พี่รู้ว่ามีนไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ แน่ ...แต่พี่ไม่ชอบที่จะเห็นมีนยิ้มกับผู้ชายคนอื่นนอกจากพี่ ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้คิดอะไรในแง่นั้นก็ตาม แต่พี่ก็ไม่ชอบอยู่ดี"

   มีนาชะงักก่อนจะเบือนหน้ามองไปทางอื่นอย่างนึกเขินอาย ที่อีกฝ่ายแสดงถึงความรักหลงเขาขนาดนั้นให้เห็น

   "พี่เมฆอะขี้หวง แถมไร้เหตุผลเป็นบ้า..."

   ร่างเล็กบ่นพึมพำ ทว่าใบหูที่แดงก่ำนั้นทำให้คนเฝ้ามองอยู่อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแสร้งทำเป็นออดอ้อนด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร

   "ก็เพราะพี่ไม่เคยมีคนสำคัญจริง ๆ กับเขานี่ครับ...พอได้มาเจอเข้า ก็เลยอดหึงอดหวงไม่ได้สักที"

   มีนาหน้าแดงหนักขึ้น เจ้าตัวบ่นอุบอิบกับตัวเองเบา ๆ ส่วนเมฆาก็ลุ้นดูว่าคนรักจะทำอะไรต่อไป ทว่าชายหนุ่มก็ต้องนิ่งอึ้ง เมื่อคนตัวเล็กหันมามองตนด้วยใบหน้าแดงก่ำ พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงอึกอักอย่างเขินอาย

   "แต่ถึงมีนจะบ่นว่าพี่ขี้หึงไร้เหตุผล...มีนก็ชอบนะที่พี่เห็นมีนสำคัญเสมอแบบนั้นน่ะ"

   "...น้องมีนของพี่น่ารักแบบนี้นี่นะ พี่ถึงอยากเก็บน้องมีนไว้มองคนเดียว ไม่อยากเผื่อแผ่ให้ใครได้เห็นเลย...เพราะงั้นรีบเรียนจบไว ๆ นะครับ จะได้มาเป็นเจ้าสาวของพี่ไง พี่จะได้สบายใจกับเขาสักที"

   เมฆาดึงร่างเล็กมากอดพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ทำเอาคนที่เขินอยู่แล้วยิ่งเขินหนัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงพึมพำตอบรับไปแผ่วเบาอยู่ดี



   อีกด้านหนึ่ง เวหานั้นก็กำลังแสร้งเดินมองโน่นนี่เรื่อยเปื่อย อย่างไม่คิดใส่ใจคนที่เดินตามตนมาต้อย ๆ ด้านหลัง ทว่าเป็นแบบนั้นได้สักพักเด็กหนุ่มก็อดใจอ่อนนึกสงสารคนที่ทำเป็นเงียบเพราะสำนึกผิดเข้าให้จนได้

   "พี่ซัน...นี่ก็ค่ำแล้ว พี่ยังไม่กลับบ้านอีกหรือครับ"

   รวีชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปเสียงอ่อย

   "พี่ยังไม่อยากกลับเลยครับ แต่ถ้าน้องฟ้าไม่อยากให้พี่อยู่ พี่กลับก็ได้"

   "หรือครับ...งั้นฟ้าเดินไปส่งให้ที่บ้านแล้วกัน"

   เวหาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทั้งที่จริงก็รู้สึกสงสารแกมเอ็นดูคนใกล้ตัวเข้าให้จะแย่อยู่แล้ว

   "น้องฟ้าโกรธพี่จริง ๆ หรือครับ"

   คำถามของคนที่เดินตามมา ทำให้เวหาหยุดฝีเท้าแล้วจึงหันมาสบตากับอีกฝ่าย 

   "ใครโกรธกันครับ ถ้าโกรธล่ะก็จะไม่เดินมาด้วยแบบนี้หรอกครับ"

   คำตอบพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้น้อย ๆ ทำให้คนมองใจชื้น แต่ก็อดแปลกใจที่อีกฝ่ายอยากรีบส่งเขากลับบ้านทั้งที่ยังไม่ดึกนัก

   "แต่น้องฟ้า..."

   "ฟ้าก็แค่เป็นห่วงพี่ซัน เพราะพรุ่งนี้พี่ก็ต้องตื่นไปส่งฟ้าแต่เช้า พอส่งเสร็จก็ต้องตรงดิ่งไปที่บริษัท แถมบ่ายยังต้องออกไปรับญาติที่สนามบินอีก ...พี่ต้องขับรถตลอดแบบนั้น ถ้าไม่พักให้มาก ฟ้ากลัวพี่จะเพลียเอา..."

   เวหาบอกแล้วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ คนที่ฟังอยู่ก็รั้งร่างเขาเข้าไปกอดทั้งที่เขายังพูดไม่จบดีด้วยซ้ำ

   "น้องฟ้า...พี่รักน้องฟ้ามากที่สุดเลยรู้ไหมครับ"

   "รู้ครับ...ก็เล่นบอกให้ฟังทุกวัน ไม่รู้ก็แย่แล้ว"

   เวหายิ้มอาย ๆ ตอบ แล้วจึงปล่อยให้รวีหอมแก้มของตนทั้งสองข้างอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะยันกายออกจากอ้อมกอดนั้นค่อย ๆ

   "แล้วพรุ่งนี้ถ้าเป็นไปได้ ให้คนของพี่ซันขับรถพาพี่ไปสนามบินน่าจะดีกว่านะครับ ...จริงอยู่ที่ฟ้ารู้ว่าพี่ชอบขับรถเอง แต่ฟ้ากลัวพี่เพลีย อย่างน้อยฟ้าก็อยากให้พี่พักให้เต็มที่ช่วงนั้น จะได้มีแรงขับรถมารับฟ้าตอนเย็นยังไงล่ะครับ"

   รวียิ้มปลื้มต่อความเป็นห่วงของคนรัก จากนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย

   "ก็ได้ครับ พี่จะทำตามนั้น"

   เวหายิ้มตอบ แล้วจึงเดินคล้องแขนชายหนุ่มไปส่งที่บ้านพัก ทำให้รวีนึกอยากจะรั้งคนข้างกายให้ค้างคืนกับตนด้วยสักคืน แต่ขืนทำแบบนั้น เขาคงได้เผลอตัวทำมากกว่านอนหลับเฉย ๆ อย่างที่ควรจะเป็นแน่นอน


..
...
...

 
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) -จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-08-2014 20:54:21

...
..


   เช้าวันถัดมา หลังจากรวีไปส่งคนรักที่มหาวิทยาลัยและกลับมาทำงานที่บริษัทของตนได้สักพัก เขาก็ได้รับการติดต่อจากบิดาซึ่งโทรมาเน้นย้ำอีกครั้งว่า อย่าลืมไปรับญาติคนนี้ให้ด้วย

   "รู้แล้วล่ะครับ! ไม่ต้องโทรมาย้ำแบบนี้ก็ได้ ผมรับปากไปแล้วไม่เบี้ยวหรอกน่า!"

   ทางปลายสายพอได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดเช่นนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยตามมา

   "ฉันรู้ว่าแกไม่อยากให้เอริคเจอกับหนูฟ้าเขาใช่ไหมล่ะ...ไอ้ลูกขี้หวง! ญาติแกเขาไม่ใช่พวกชอบแย่งของรักคนอื่นหรอก...ถ้าเจ้าตัวไม่ถูกใจเข้าให้ก่อนนั่นล่ะนะ"

   รวีเบ้หน้าใส่มือถือก่อนจะเอ่ยตอบ

   "ก็เพราะกลัวหมอนั่นถูกใจน้องฟ้าเข้าให้นั่นล่ะครับ! บอกไว้ก่อนนะ ถึงหมอนั่นจะเป็นหลานรักของพ่อก็ตาม แต่ขืนลองมายุ่มย่ามกับน้องฟ้าล่ะก็ ผมไม่ไว้หน้าแน่ ๆ"

   พอรวีพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะราวกับไม่ทุกข์ร้อนต่อคำขู่ของตนดังขึ้น สักพักปลายสายก็เอ่ยขึ้นตามมาอีก

   "แกไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกน่าซัน...เพราะตอนนี้เอริคเขากำลังอยู่ในช่วงตกหลุมรักครั้งใหม่ ...แกก็รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของแกคนนี้ เวลาเขารักใครชอบใครเข้า ถ้ายังไม่ผิดหวังหรือเลิกคบหากับคนปัจจุบัน ต่อให้มีคนใหม่มายั่วยวนยังไง เขาก็ไม่มีทางหวั่นไหวอยู่แล้ว"

   รวีเลิกคิ้วกับเรื่องที่ได้ยิน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยกินเส้นกับบิดาเท่าใดนัก แต่กับญาติพี่น้องของอังเดรนั้น รวีก็ให้ความสนิทสนมดี โดยเฉพาะเอริคที่อายุไล่เลี่ยกัน  เมื่อสมัยอยู่อเมริกา รวีเองก็มักชอบชวนอีกฝ่ายไปเข้ากลุ่มดื่มกับเพื่อนสนิทของตนอย่างเมฆาอยู่บ่อยครั้งด้วยซ้ำไป

   "หมอนั่นกำลังตกหลุมรักอย่างนั้นหรือครับกับใคร? หวังว่าคงจะไม่ถูกพวกนักแสดง ดารา นางแบบนายแบบ อะไรพวกนั้นหลอกเอาเข้าอีกนะ!"

   "ญาติแกไม่โง่ขนาดให้โดนหลอกซ้ำสองแบบนั้นหรอกน่า...อีกอย่างหลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว คงไม่มีพวกหิวเงินหน้าไหนที่อเมริกานี่ กล้ามาหลอกญาติของแกอย่างเหมือนคราวไอ้นายแบบคนนั้นอีกแล้วล่ะ!"

   น้ำเสียงเข้มกึ่งห้วนที่ตอบกลับมาทำเอารวีลอบกลืนน้ำลายลงคอนิด ๆ เพราะครั้งที่เอริคจับได้ว่านายแบบหนุ่มคนรักที่คบกันมาแอบลักลอบเอาเงินที่ตนให้ไปปรนเปรอชู้รักนายแบบอีกคน ทำให้เอริคนั้นโกรธมาก ทว่าแม้จะพลั้งมือยิงอีกฝ่ายไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นสาหัสและชายหนุ่มก็เลิกที่จะสนใจทั้งคู่อีกต่อไป

   ทว่าญาติพี่น้องที่รู้เรื่องราวนั้นต่างยอมไม่ได้ที่ชายหนุ่มถูกลูบคมเข้าให้เช่นนี้ นายแบบหนุ่มกับชู้รักของเจ้าตัว จึงถูกญาติพี่น้องของเอริคลงมือกระทำการบางอย่าง ที่ทำให้พวกนั้นไม่สามารถกลับมาทำงานในวงการบันเทิงได้อีกเลยตลอดชีวิต

   "เฮ้อ! ถ้าได้แบบนั้นก็ดี ...หมอนั่นมันชอบทำตัวนิ่งเฉย จนคนรอบข้างก็เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ...แต่เท่าที่ผมรู้ ครั้งนั้นหมอนั่นก็เจ็บปวดอยู่ไม่น้อย  ผมเองก็ไม่อยากให้คนจริงจังอย่างหมอนั่น ต้องพบกับความผิดหวังอีก"

   อังเดรรับฟังคำพูดของลูกชาย แล้วแย้มยิ้มนิด ๆ แม้ว่ารวีจะบ่นเรื่องที่เอริคมาเมืองไทย และไม่อยากให้อีกฝ่ายเจอะเจอคนรักของตนเพียงใด แต่ลึก ๆ แล้ว ลูกชายของเขาก็ยังคงเป็นห่วงญาติผู้นี้อยู่ไม่น้อยนั่นเอง

   "คราวนี้เท่าที่ฉันรู้ คนที่เขาตกหลุมรักค่อนข้างจะแตกต่างจากคนก่อนหน้านั้นที่คบมา เห็นว่าพบเจออีกฝ่ายโดยบังเอิญ ได้พูดคุยกันชั่วครู่ แล้วเขาก็จากไป ...เหมือนกับเป็นซินเดอเรลล่า อะไรราว ๆ นั้นล่ะนะ"

   "ซินเดอเรลล่า?"

   รวีทวนคำพลางขมวดคิ้วยุ่งสักพัก จากนั้นเสียงหัวเราะจากบิดาจึงดังขึ้นตามมาอีกครั้ง

   "ใช่!เอริคเขาลงทุนตามหาตัวซินเดอเรลล่าของเขา จนกระทั่งเจอแล้วว่าเธอคนนั้นอยู่ที่ไหน  เพราะอย่างนั้นฉันถึงให้แกไปคอยรับเขาที่สนามบินยังไงล่ะ พอจะเข้าใจบ้างหรือยังเจ้าลูกชาย!"

   รวีนิ่งอึ้งพลางทบทวนสิ่งที่บิดาพูดมาชั่วครู่ ก่อนจะย้อนกลับไปอย่างตกใจ

   "หรือว่าซินเดอเรลล่าของหมอนั่นอยู่ในประเทศไทยนี่!"

   เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นแทนคำตอบ ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่งอีกครั้งแล้วจึงถามกลับไปต่อ

   "หวังว่าซินเดอเรลล่าคนนั้น คงจะไม่เกี่ยวข้องกับผมแล้วก็น้องฟ้านะพ่อ!"

   "ถ้าเกี่ยวแล้วจะมีปัญหาอะไร ขอแค่คนนั้นไม่ใช่หนูฟ้า แกก็ไม่น่าจะต้องวิตกไม่ใช่หรือไง"

   คำพูดที่ย้อนสวนมา ทำให้คนฟังขมวดคิ้วอีกรอบ แต่สักพักก็คลายลงแล้วถอนหายใจตามมา

   "ก็ถูกอย่างพ่อพูด ขอแค่ไม่ใช่น้องฟ้า หมอนั่นจะชอบใครก็เรื่องของเขาแล้วกัน"

   อังเดรหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะฝากฝังให้รวีดูแลหลานชายคนโปรด ซึ่งชายหนุ่มก็รับคำส่ง ๆ ก่อนวางสาย แต่เขาก็อดนึกสงสัยและลุ้นตามไม่ได้ว่า ญาติของตนนั้นไปตกหลุมรักใครคนไหนในประเทศไทยแห่งนี้ จนถึงขั้นเพ้อว่าอีกฝ่ายเป็นซินเดอเรลล่าขึ้นมาได้กันแน่



   ชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาหารวีนั้น เป็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ ไว้ผมรองทรงสีทองสลวย หน้าตาคมเข้มหล่อเหลารูปร่างดีราวกับหลุดออกมาจากแคตตาล็อกนายแบบ ทว่าเพราะความเคร่งขรึมที่ชวนให้คนรอบข้างขยาดก็ทำให้มีแต่คนเฝ้ามองและซุบซิบอยู่ห่าง ๆ และต่างพากันหันขวับหลบเมื่อยามสายตาคมกริบนั้นตวัดมาทางพวกตน

   "ยินดีต้อนรับสู่เมืองไทยนะ เอริค"

   รวียื่นมือให้อีกฝ่ายสัมผัส ซึ่งชายหนุ่มตรงหน้าก็ยื่นมือของตนมาสัมผัสมือของญาติผู้น้องเช่นเดียวกัน

   "ขอบคุณที่มารอรับนะซัน ...ขอโทษด้วยที่รบกวนเวลาทำงานของนาย"

   เอริคบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน ซึ่งรวีก็ยิ้มรับ เพราะชินเสียแล้วกับบุคลิกของญาติผู้พี่ของตน

   "พ่อเล่าเรื่องนายให้ฟังแล้ว ได้ข่าวว่ามาที่เมืองไทยเพื่อตามหาซินเดอเรลล่าของนายอย่างนั้นสินะ"

   ทั้งสองคนเดินคุยกันไปพลางระหว่างตรงไปทางออก ซึ่งชายหนุ่มผู้เงียบขรึมก็พยักหน้าค่อย ๆ แล้วเอ่ยตอบไปตามตรง

   "ก็ตามนั้น..."

   "เล่าให้ฟังบ้างได้ไหม เรื่องรักแรกพบอะไรนั่นน่ะ"

   รวีถามอย่างสนใจ ซึ่งเอริคก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบ

   "ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก ก็แค่ฉันเจอเขาตอนที่เขามาท่องเที่ยวที่ LA แล้วก็เลยถูกชะตา แล้วก็พอจะคาดเดาได้จากภาษาพูดที่เจ้าตัวหลุดปากออกมาว่าเป็นคนไทย เลยตามมาที่นี่นั่นล่ะ"

   รวีขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายบอก

   "แค่นั้น?"

   "อืม...แค่นั้น"

   เอริคตอบสั้น ๆ ทำเอารวีกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจตามมาแผ่วเบา

   "เฮ้อ...เอาเถอะ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกมาแล้วกัน เผื่อจะช่วยเหลือให้ได้บ้าง"

   รวีบอกกับญาติของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็หลุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับจากนั้นทั้งคู่ต่างก็พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบ จนกระทั่งเดินมาถึงรถยนต์ที่มีคนของเขาจอดรอรับอยู่

   "แล้วเอาไง จะให้ฉันไปส่งที่ไหน นายมีที่พักหรือยังล่ะ"

   รวีถามอีกฝ่ายในขณะที่กำลังขึ้นรถออกจากสนามบินด้วยกัน

   "ไปที่มหาวิทยาลัยของคนรักนายเลยก็ได้จะได้ไม่เสียเวลา เพราะที่พักฉันก็อยู่แถว ๆ นั้น"

   รวีขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนถามกลับไป

   "หวังว่าคงจะไม่มีเป้าหมายที่น้องฟ้าหรอกนะ"

   "...เห็นฉันเป็นคนชอบแย่งของรักคนอื่นอย่างนั้นหรือไง"

   อีกฝ่ายย้อนพร้อมยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ทำให้รวีรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เพราะนั่นเป็นรอยยิ้มกึ่งแหย่ที่มันช่างคล้ายกับบิดาของเขายามที่ต้องการจะกลั่นแกล้งเขาให้หัวหมุนยิ่งนัก

   "เอริค...บางครั้งนายมันก็กวนโมโหเหมือนเจ้าพ่อบ้าของฉันไม่มีผิด!"

   คนฟังหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงเอ่ยขอโทษออกไปอย่างว่าง่าย

   "ขอโทษทีแล้วกัน  พอดีฉันได้ยินจากลุงว่านายหวงคนรักคนนี้มาก ก็เลยอยากลองพิสูจน์ดู อืม...ทีแรกก็นึกว่าลุงแค่พูดเล่นเสียอีกนะนั่น"

   "ของรักของหวงก็ต้องหวงเป็นธรรมดา นายเองก็เคยมีความรักมาก่อน ก็น่าจะรู้นะ!"

   รวีเอ่ยประชดใส่ แต่นั่นกลับทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงมีสีหน้าขรึมลงระหว่างหวนคิดถึงความหลัง

   "นั่นสิ...แต่ทั้ง ๆ ที่ให้ความสำคัญและหวงแหนขนาดนั้น เขาก็ยังทรยศหักหลังต่อความรักของฉันจนได้"

   รวีนิ่งอึ้ง เจ้าตัวเหลือบมองคนนั่งข้าง ก่อนจะกระแอมเบา ๆ แล้วแสร้งเปรยขึ้นกับตัวเองตามมา

   "เรื่องในอดีตที่ผ่านมาก็อย่าไปใส่ใจมันนักเลย อีกอย่างก็ใช่ว่าคนเรามันจะเหมือนกันทุกคนเสียเมื่อไหร่ ...ถ้าคราวนี้นายคิดว่าคนที่นายเลือกคือคนที่ใช่ นายก็พยายามทุ่มเทให้ความรักของนายกับเขา จนเขามีแต่นายเพียงคนเดียวในหัวใจ และไม่คิดเหลียวมองใครอีกต่อไปเลยสิ!"

   เอริคหันไปมองญาติผู้น้องที่นั่งข้างกายตน แล้วจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมถ้อยคำขอบคุณต่ออีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงออกไปในที่สุด

   "ความจริงแล้ว คนที่ฉันตามหา เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับคนรักของนายน่ะ"

   รวีหันขวับไปมองคนพูดอย่างตกตะลึง ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างรวดเร็ว

   "ใคร! รู้จักชื่อเขาไหม ปีเดียวกับน้องฟ้าหรือเปล่า"

   "...แล้วนายคิดว่าทำไมฉันถึงต้องให้นายมารับ และขอตามนายไปที่มหาวิทยาลัยนั่นด้วยกันล่ะ"

   คำตอบของเอริคทำให้รวีนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่

   "อย่าบอกนะว่าคนนั้นเกี่ยวข้องกับน้องฟ้าน่ะ..."

   เอริคยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ เขาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ลายสก็อตสีน้ำตาลออกมาจากเสื้อสูท พลางจ้องมองผ้าผืนนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยตามมาค่อย ๆ

   "เด็กคนนั้น...คนที่ฉันเจอที่ LA นั่น เขาเรียนคณะเดียวกัน ภาควิชาเดียวกัน และห้องเดียวกันกับคนรักของนายยังไงล่ะ ซัน"

   

   เวหานั่งรอคนรักมารับอยู่ที่ซุ้มพักผ่อนหน้าตึกอาคารคณะ ซึ่งเจตต์กับเวทิตก็มานั่งเป็นเพื่อนคุยกับอีกฝ่าย เพราะเวทิตนั้นบ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ส่วนเจตต์นั้นก็เช่าบ้านพักอยู่ร่วมกับญาติซึ่งเรียนอยู่คนละคณะ จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกลับบ้านแต่อย่างใด

   "เห...แสดงว่าวันนี้ญาติของพี่ซันก็มาที่ไทยนี่สินะ...ว่าแต่จะใช่ญาติที่เคยเล่าว่าจะให้จับคู่กับฉันหรือเปล่าวะ...บรึ๋ย! แค่คิดก็หวาดเสียวละ คนอะไรโหดชะมัด แฟนนอกใจก็ถึงกะยิงทิ้งเลยทีเดียว!"

   เจตต์บอกแล้วทำท่ากอดอกขวัญเสีย จนเวทิตที่มองอยู่อดนึกหมั่นไส้ไม่ได้ เลยแกล้งใช้เท้าเตะขาอีกฝ่ายไปเบา ๆ จนคนถูกเตะหันมาทำหน้าหงิกใส่

   "จู่ ๆ มาเตะกันทำไมวะต้น!"

   "ก็หมั่นไส้อะ ก็เลยเตะ"

   คนพูดทำเบะปากยักไหล่ ซึ่งก็เรียกเสียงอุบอิบบ่นจากคนนั่งข้าง ๆ ขึ้นมาทันที

   "นิสัยแบบนี้ไงล่ะถึงได้เป็นโสด ชริ!"

   เวทิตฟังแล้วก็สั่นศีรษะอย่างเอือมระอา ไม่ได้ใส่ใจหรือโมโหในสิ่งที่เพื่อนสนิทว่าตนแต่อย่างใด อีกอย่างเขายอมรับว่าตั้งแต่เลิกกับแฟนเก่าแล้ว เขารู้สึกมีอิสระและสบายใจขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จนเด็กหนุ่มคิดไว้ว่าถ้าจะหาแฟนอีกครั้งก็คงจะเป็นตอนเรียนจบไปแล้วน่าจะดีกว่า

   "แต่ฉันก็เห็นแฟนนายเขาแอบมองนายอยู่บ่อย ๆ นะ คงอยากจะให้นายกลับมาคืนดีกันอีกครั้งล่ะมั้ง"

   เวหาพูดขึ้นบ้าง ทำให้เวทิตหันมามองเพื่อนสนิทอีกคนของตน แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "ไม่เอาแล้วล่ะ...เคยให้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่แค่ไม่กี่เดือนก็เป็นแบบเดิม ๆ  ถ้าแค่หึงหวงแล้วฟังกันบ้างเหมือนพี่ซันของนาย ฉันจะไม่ว่าเลย... แต่นี่หึงหวงแล้วอาละวาดใส่ อธิบายก็ไม่ฟัง แถมยังพาลไปถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องคนอื่น ฉันทนรับไม่ได้ว่ะ!"

   เวหายิ้มเจื่อนเมื่อได้ฟังดังนั้น ส่วนเจตต์มีสีหน้าเซ็งเล็กน้อย เพราะเมื่อเดือนก่อน แฟนสาวของเวทิตนั้นมาแผลงฤทธิ์ถึงที่ห้องเรียนของพวกเขา และยังตรงเข้าไปอาละวาดใส่และกล่าวหาหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสาวคนสนิทของพวกเขาว่าคิดแย่งแฟนตน ทั้งที่จริง ๆ แล้วเพื่อนสาวคนนั้นเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทและอยู่ชมรมเดียวกับเวทิตเท่านั้น ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เวทิตหมดความอดทน เนื่องจากเขาได้พยายามอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับฟังท่าเดียว เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจประกาศเลิกกับเจ้าหล่อนต่อหน้าเพื่อนฝูงมากมายในห้องนั้นนั่นเอง

   "จะว่าไปเอ๋เขาก็รู้สึกผิดที่เหมือนเขามีส่วนให้ฉันกับก้อยเลิกกัน และพยายามช่วยให้ฉันกลับไปคืนดีกับก้อย แต่ฉันบอกเขาไปเองว่า ต่อให้ไม่มีเรื่องของเขา ยังไงเราก็คงต้องเลิกกันอยู่ดีในสักวัน ...เพราะฉันทนอยู่กับคนที่ไม่เชื่อใจและไม่ยอมฟังเหตุผลของกันและกันไม่ได้หรอก"

   "นึกถึงก่อนหน้านั้น เรื่องยัยเอ๋ก็เป็นข่าวลือไปอาทิตย์กว่าเหมือนกันนะ แต่โชคดีที่แฟนมันหนักแน่นพอ และพร้อมจะเลาะฟันใครก็ได้ที่นินทาแฟนตัวเองล่ะนะ...แหม! ก็ดันมีกัปตันชมรมมวยสากลเป็นแฟนแบบนี้ ใครล่ะจะกล้าหือ...จริงไหม!"

   เจตต์เสริมตามมา ซึ่งเวทิตก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหวนคิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาเมื่อราวเดือนก่อน

   "ตอนนั้นฉันล่ะเสียวสันหลังวาบ ที่พี่อิฐแกมาดักรอฉันแล้วถามเสียงห้วนว่าตกลงข่าวลือนั่นจริงไหม ฉันงี้นึกว่าจะถูกชกไปละ"

   "ฉันสิเสียวกลัวจะโดนลูกหลงมากกว่า ดันซวยกลับพร้อมนายพอดี!"

   เจตต์แย้งขัดขึ้นมาอย่างนึกเซ็ง ซึ่งก็ทำให้เวหาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

   "ฉันได้ยินพวกสาว ๆ คุยกันว่าเอ๋เขาขอให้แฟนเขาไปยืนยันกับแฟนเก่านาย ว่าคบกันมานานแล้ว และไม่ได้คิดนอกใจมาคบนาย ขอให้เลิกกังวลและเข้าใจผิดสักทีด้วย...นายรู้เรื่องนี้แล้วสินะ"

   เวทิตพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะตอบออกไปอย่างเบื่อหน่าย

   "ใช่...ก็เพราะงั้นล่ะ ก้อยเขาถึงได้โทรมาตามตื๊อฉันอีกตามเคย แต่ฉันปฏิเสธไปแล้วล่ะ แถมยังบอกเขาไปด้วยอีกว่า ไม่อยากให้เกิดเรื่องบ้า ๆ นี่ เป็นครั้งที่สามอีก"

   เจตต์กับเวหาฟังแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เพราะพอจะรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดพูดคำไหนคำนั้น แต่ไม่คิดว่าแม้แต่เรื่องความรักก็ไม่เว้นเช่นเดียวกัน

   "จะว่าไปผู้หญิงนี่ก็ปัญหามากชะมัด ฉันว่านายไปรักผู้ชายด้วยกันจะดีกว่าไหมวะต้น!"

   เจตต์โพล่งขึ้นพร้อมยิ้มยิงฟันกวนประสาทใส่เพื่อน ซึ่งก็ทำให้เจ้าตัวถูกมะเหงกจากเพื่อนสนิทเขกเข้าให้ที่กลางศีรษะหลังจากนั้น

   "นายนี่ก็รู้ทั้งรู้ว่าต้นมันของขึ้นง่าย ก็ยังขยันแหย่ให้เจ็บตัว...เป็นมาโซหรือไงนะเจ"

   เวหาบ่นอย่างเอือมระอา ทำเอาคนที่เตรียมจะโวยวายนิ่วหน้า ส่วนเวทิตหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แทน จากนั้นทั้งสามก็นั่งคุยเรื่อยเปื่อยกันต่อ เพราะเวทิตกับเจตต์ตั้งใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่ารวีจะมารับเวหานั่นเอง

   "...ช่วงหยุดยาวคราวหน้า ฉันว่าจะแวะไปค้างบ้านนายนะฟ้า ขอป๊ากับม๊าไว้แล้วด้วย ขี้เกียจโดนลากพาไปLA อีกแล้วอะ คราวก่อนกลับมาเซ็งแทบตาย ไม่รู้พวกคุณนายเขาเกิดคึกอะไรกัน เล่นช็อปกระจายไม่เกรงใจใคร...ช็อปมันได้ทุกที่ ขนาดปั๊มน้ำมัน พี่แกยังแวะช็อปเลยคิดดู!"

   เจตต์บ่นโอดครวญถึงพี่สาวทั้งสองและมารดาที่เป็นใหญ่ในบ้านโดยพี่สาวคนโตของเขานั้นแต่งงานอยู่กินกับสามีชาวต่างชาติที่ LA จึงมักชอบชวนมารดา บิดา ตัวเขา และพี่สาวคนรองไปเที่ยวที่นั่นในช่วงวันหยุดยาวของไทยอยู่เสมอ

   "จะว่าไปคราวนี้นายไม่เห็นอยากจะเล่าให้ฟังเลยนี่ ว่าที่ไป LA รอบนี้มาเป็นไงบ้าง ปกติเห็นไม่ถามก็เล่าเองตลอดนี่นะ"

   เวหาย้อนถามกลับ ซึ่งก็ทำให้คนฟังชะงักแล้วนิ่วหน้าน้อย ๆ ก่อนจะถอนหายใจตามมา

   "ก็พวกสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่อยากไปงวดนี้ก็ไม่ได้ไป เพราะพวกคุณนายเขาโฟกัสไปที่ช็อปปิ้งอย่างเดียวเลย แถมตอนจะกลับยังไปเจอคนแปลก ๆ อีก ก็เลยไม่รู้จะเล่าอะไรให้ฟัง เพราะมีแต่เรื่องไม่อยากจะจำทั้งนั้นน่ะ"

   เวทิตกับเวหาจ้องมองคนพูดตาปริบ ๆ แล้วเป็นเวทิตที่ย้อนถามกลับไปอย่างสงสัย

   "คนแปลก ๆ  แปลกแบบไหนกัน"

   เจตต์ขมวดคิ้วยุ่ง แล้วมีท่าทางลังเลว่าจะเล่าดีไหม แต่พอเห็นสายตากึ่งบังคับ และสายตาสนอกสนใจของเพื่อนทั้งสอง ก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ทั้งคู่ได้รับฟัง

   "ก็วันสุดท้ายก่อนจะกลับพวกเจ๊กับแม่ฉัน เขาก็เข้าไปเลือกซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมอะไรสักอย่างกันอยู่ในร้านเป็นนานสองนาน ฉันเบื่อก็เลยออกมานั่งรอที่สวนสาธารณะแถวนั้นคนเดียวเพราะป๊ากับพี่เขยฉันเขาอาสาเฝ้าบ้าน...แล้วระหว่างรอฉันก็เห็นรถขายไอติมจอดข้างทาง ฉันก็เลยไปซื้อมากินรอฆ่าเวลา แต่พอเดิน ๆ ก็ดันเกิดสะดุดแผ่นปูกระเบื้องที่มันไม่เสมอกันล้ม...แล้วเจ้าไอติมที่ฉันซื้อมาก็เลยไปหล่นแหมะเอาที่รองเท้าของผู้ชายคนหนึ่งเข้า"

   เจตต์นิ่งเงียบไปชั่วครู่ และมีสีหน้าสยดสยองเมื่อหวนคิดถึงชายที่เขาพบที่ LA คนนั้น

   "หมอนั่นสวมสูท ใส่แว่นดำมองโครงหน้าผ่าน ๆ ก็น่าจะหน้าตาดีหรอก แต่ออร่าความโหดมันแผ่ออกมาเหมือนกับพวกมาเฟียในหนังยังไงยังงั้น  แถมยังจ้องมาที่ฉันเขม็ง ถึงจะมองแววตาไม่เห็นก็เหอะ แต่ดูเขาจะไม่พอใจแน่ ฉันก็เลยรีบรน ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดรองเท้าให้เขาแต่พอขัดเสร็จหมอนั่นก็ดันมาจับข้อมือฉันหมับ ฉันงี้สะดุ้งสุดตัวจนมือไม้อ่อนไปหมด แต่หมอนั่นก็ยังจ้องฉันนิ่งเหมือนไม่พอใจฉันกลัวก็เลยบอกขอโทษแต่ก็ลืมตัวพูดเป็นภาษาไทยออกไปล่ะนะ หมอนั่นก็เลยชะงักแล้วเผลอปล่อยมือ ฉันก็เลยฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไปหลบในร้านที่ม๊ากับพวกเจ๊กำลังช็อปอยู่ แล้วแอบดูผ่านกระจกร้าน  แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นว่าเขาจะตามมาแต่กลับยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินหายไปที่ไหนแทนก็ไม่รู้....แต่ที่แน่ ๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดของฉัน นอกจากจะต้องกลายเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดรองเท้าแล้ว ยังหล่นหายไปไม่ได้คืนอีก น่ากลัวคงตกตอนฉันเผลอวิ่งหนีมาก็ได้...พอย้อนกลับไปดูก็ไม่เจอ สงสัยใครเก็บไปแล้วก็ไม่รู้"

   เวทิตนิ่วหน้ารับฟังในท้ายประโยค แล้วจึงย้อนเพื่อนสนิทกลับไป

   "ใครจะเก็บไป ผ้าเลอะไอติมแบบนั้น...นายลองไปดูในถังขยะหรือเปล่าล่ะ อาจจะมีคนเอาไปทิ้งที่นั่นให้ก็ได้"

   เจตต์หันมามองเพื่อนแล้วจึงย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ

   "ขนาดถ้วยโคนไอติมยังตกอยู่ที่เดิมเลย ...ฉันเองก็ตั้งใจจะไปค้นถังขยะดูหรอกนะ แต่พอม๊ารู้ว่าฉันจะไปทำอะไรก็เลยโดนด่าเปิง แล้วลากกลับโรงแรม ฉันก็เลยไม่ได้เช็คให้แน่ใจว่ามันอยู่ในนั้นจริงหรือเปล่าน่ะ"

   เวหามองเพื่อนตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยถามราคาผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดของเจ้าตัวออกไปอย่างเกรงใจ

   "ตกลงผ้าผืนนั้นราคาเท่าไหร่น่ะ แพงมากสินะ"

   "ผืนละ 59  ซื้อจากตลาดนัดแถวนี้น่ะ"

   คนที่ไปซื้อด้วยกันเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแทน ทำเอาเจตต์หันมาทำเป็นค้อนขวับใส่เพื่อนสนิทที่ขัดคอมาเช่นนี้

   "แค่ 59 แล้วไง ถึงราคาจะไม่แพงมาก แต่คุณค่าทางจิตใจมันสูงกว่านั้นเยอะ!"

   "เหอะ! ก็แค่คนขายเป็นแม่ค้าหุ่นเซ็กซี่ ที่หว่านล้อมให้ซื้อแล้วบอกว่าลายสก็อตนี่เหมาะกับน้องชายมากเลยนะคะ อะไรนั่นน่ะหรือ ...จะบอกให้นะ วันก่อนฉันเห็นเขามาขายที่ตลาด แต่คราวนี้มีผู้ชายที่ดูคล้ายสามีมานั่งคุมด้วย นายเลิกอ้างเอาผ้าเช็ดหน้าที่ซื้อใช้ ไปคุยกับเจ้าหล่อนฟรี ๆ โดยไม่ช่วยอุดหนุนอะไรนั่นได้แล้วล่ะ!"

   เวหามองเพื่อนสนิททั้งสองตาปริบ ๆ  แม้เขากับเวทิตจะเคยสนิทกันมากเมื่อสมัยเรียนมัธยมปลายก็จริง แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัย ด้วยความใกล้ชิดและพูดคุยรู้ใจแถมยังเข้าขากันได้ดี ก็ทำให้เวหารู้สึกว่าทั้งเจตต์และเวทิตนั้นดูสนิทสนมกันมาก เสียยิ่งกว่าเขาที่คบกับเวทิตมานานกว่าเสียอีก

   "พวกนายนี่สนิทกันจังเลยน้า น่าอิจฉาจัง"

   "หา! ฉันกับหมอนี่อะนะ! น่าจะเหมือนคู่กัดกันเสียมากกว่าอะ!"

   เจตต์รีบแย้งกลับไปทันที ส่วนเวทิตเมื่อได้ยินดังนั้นจึงทำเป็นเปรยตอบพร้อมกับทำท่าเซ็ง เสียจนคนมองหมั่นไส้

   "ใช่! อยู่กับหมอนี่แล้วมีแต่เรื่องชวนปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน"

    "เหอะ! ใช่ซิ! แล้วทีหลังมีอะไร อย่ามาเรียกนายเจคนนี้ให้ไปเป็นเพื่อนแก้เหงาแล้วกัน ...พอหายเหงาก็ทิ้งเค้า พอเหงาก็กลับมาหากัน เชอะ!"

   คนพูดแสร้งทำเป็นจีบปากจีบคอดัดเสียงแถมค้อนขวับให้ เสียจนเวหาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ส่วนเวทิตพอเห็นดังนั้นก็อดขำไม่ได้เช่นกัน เจ้าตัวจึงเกิดนึกสนุกเล่นตามน้ำไปด้วยเสียเลย

   "โถ! หนูเจ ป๋าขอโทษ อย่างอนเลยนะ! เอ้า! ป๋าหอมแก้มให้ก็ได้!"

   "อ๊าย! ไม่เอานะคะป๋า เจอาย! คนมองใหญ่แล้ว!เอ๋...?!"

   คนทำเป็นสะบัดสะบิ้งเมื่อเพื่อนสนิทแกล้งทำเป็นจะหอมแก้ม ถึงกับชะงัก พลางเบิกตาค้างนิ่ง และนั่นจึงทำให้เวทิตมองตามสายตาเพื่อนไป รวมถึงเวหาที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ

   "อ้าว! พี่ซัน ...มากับใครน่ะ หือ...หรือว่าญาติที่ว่านั่น..."

   "เอ๋! คนนั้นน่ะ ญาติพี่ซันหรอกหรือ!"

   เจตต์ถามเพื่อนของตนอย่างตกใจ ทำให้เวทิตขมวดคิ้วยุ่ง เขามองหนุ่มชาวต่างชาติที่ยืนอยู่ข้างกับรวีอีกครั้ง ก่อนจะหันมามองเพื่อนสนิทที่กำลังมีสีหน้าซีดเผือดข้างกายตน

   "เป็นอะไรไปวะเจ ทำหน้ายังกับเห็นผี"

   เจตต์เหลือบมามองคนตั้งคำถาม แล้วหันกลับไปมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้หยิบแว่นตาดำจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวม ซึ่งก็ยิ่งตอกย้ำให้เด็กหนุ่มมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า ตนนั้นจำคนไม่ผิดแน่

   "ยิ่งกว่าผีอีกว่ะต้นฉันล่ะภาวนาให้สิ่งที่ฉันคิดแผลง ๆ อยู่ในหัวตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องจริงกับเขาล่ะนะ"

   เจตต์พึมพำกับตัวเองพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ตอบ เพราะจู่ ๆ เรื่องที่รวีเคยพูดกับเขาเมื่อตอนช่วงราวปีก่อนที่พบกันเป็นครั้งแรก มันดันย้อนกลับมาแจ่มชัดในสมองเสียตอนนี้อย่างน่าประหลาด และเขาคิดว่า คงไม่มีคนไหนจะโกรธแค้นกับเรื่องถูกทำไอศกรีมหกใส่เท้า จนถึงกับต้องข้ามน้ำข้ามทะเล มาโผล่ตรงหน้าเขาเพื่อแก้แค้นแบบนี้แน่

   ...ก็ได้แต่ภาวนาว่า เรื่องหลงตัวเองที่เขากำลังคิดอยู่ตอนนี้ จะเป็นเรื่องไม่จริงเข้าให้ล่ะนะ ถึงตอนนั้นเขาจะยิ้มรับอย่างร่าเริง โดยไม่นึกอายเลยสักนิด ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจผิดไปเองนั่นล่ะ ...

   เจตต์คิดในใจ ขณะที่ทำเป็นยิ้มเจื่อนสู้ใส่คนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับรวี และเริ่มแนะนำตัวเองว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอีกฝ่ายให้พวกตนได้รับรู้หลังจากนั้น...



... END ...


(Talk By...ปัด)
     

   จบแล้วนะคะ อาจจะเป็นการจบที่ดูเหมือนตัดจบก็จริง แต่เป็นการจบเพื่อเริ่มเนื้อเรื่องของคู่ใหม่  ซึ่งก็คือ คู่ของเอริค และนายเจ นั่นเองค่ะ ซึ่งปัดจะเขียนเรื่องของคู่นี้เป็นเรื่องหลักต่างหาก  ดังนั้นจึงอยากจะสร้างเรื่องเพื่อเกริ่นนำการพบกันของทั้งคู่ให้ผู้อ่านได้ทราบ โดยผ่านตอนพิเศษเช่นนี้ซึ่งปัดก็หวังว่าคงจะไม่ค้างคาใจกันเท่าใดนักนะคะ  ยังไงก็รอติดตามคู่ใหม่ในเรื่องใหม่ แต่เป็นซีรียส์ตัวละครชุดเดียวกันด้วยนะคะ....ขอบคุณที่อ่านกันจนจบเล่มค่ะ


ps. แต่สำหรับคนที่ชอบพี่ซัน  อาจจะมีตอนพิเศษของฝั่งนี้งอกมาเพิ่มอีกเรื่อย ๆ ก็ได้ ใครจะรู้เนอะ!
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 23-08-2014 21:12:39
 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 23-08-2014 21:20:16
พรหมลิขิตเล่นงานน้องเจเข้าให้แล้วล่ะ
งานนี้มีหวังได้สามีเป็นตัวเป็นตนแน่ๆ
เป็นการพบกันที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
ลงทุนมากเลยนะ เอาผ้าเช็ดหน้าผืนที่ชอบเช็ดรอยเปื้อนไอติมบนรองเท้าให้เอริค

รออ่านคู่นี้ในเรื่องต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 23-08-2014 21:27:49
ขอบคุณครับ สำหรับเรื่องราวน่ารักๆ
รออ่านคู่ใหม่ ด้วยคน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-08-2014 22:03:55
 :mew1: สองคู่พี่น้องหวานได้ตลอดจริงๆ
น้องเจ เป็นซินเดอเรลล่า จะรอเรื่องใหม่นะคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-08-2014 22:12:29
 :pig4: อีกครั้งค่ะ  สำหรับนิยาย น่ารัก ๆ เรื่องนี้



ปูเสื่อ :katai3:  รอ  น้องเจ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 23-08-2014 22:31:41
เขาไม่ได้ตามมาเพราะแค้น เขามาตามเนื้อคู่ตะหาก  :impress2:
บ้านนี้ท่าทางจะช่างตื๊อปักใจแล้วไม่ปล่อยทุกคน เตรียมตัวไว้เถอะเจตต์
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-08-2014 22:45:29
สองคู่ไม่พอต้องเผื่อแผ่ไปถึงญาติด้วยซัน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: wews ที่ 23-08-2014 23:49:40
ชอบเรื่องน่ารัก ราบรื่น ไม่เครียดมาก
เพราะในชีวิตคนส่วนใหญต้องมีเรื่องเครียดอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้าง
จึงชอบอ่านเรื่องที่ให้ความรู้สึกหวานๆ น่ารักๆ ไม่ดราม่าค่ะ
ขอบคุณมากๆที่แต่งเรื่องแนวนี้ให้อ่าน
 :L2:  :L2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: rule ที่ 23-08-2014 23:51:06
ขอชื่อเรื่องใหม่ลงให้ด้วยคะ ของคุณพี่มาเฟียเอริคกับพี่เจ ท่าทางพี่เจจะใส่ตีนหมาโกยแน่
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: jj_girl ที่ 24-08-2014 00:20:14
 :pig4:

รอเอริคกับน้องเจนะคะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 24-08-2014 07:59:31
 :pig4:

อ่านรวดเดียวจนจบเลย และไม่ผิดหวังจริงๆ
เพราะอมยิ้มตลอดเรื่องค่ะ  :katai2-1:
เรื่องคงความน่ารักใสๆ อ่านเรื่อยๆ เป็นเอกลักษณ์
ไม่ผิดหวังที่คลิ๊กเข้ามาอ่าน  o13

ชอบซันฟ้า เมฆมีนมากเลย ตอนพิเศษที่อาจจะมี
ขอบทร้อนแรงสักนิดค่ะ ลุ้นให้ซัน เมฆสมหวังเสียหน่อย  :impress2:
จะได้ครบรส 555 เป็นในเล่มก็ได้ค่ะ เตรียมหยอดกระปุกรอ

รอคู่ใหม่เอริคเจนะคะ  :hao6:

เป็นกำลังใจและสนับสนุนคุณปัดเสมอค่ะ

 :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-08-2014 11:48:04
มารอคู่ใหม่จ้าาาาาาา
จะติดตามตลอดนะ
 :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 24-08-2014 12:00:26
ว๊ายๆๆๆ เจนายเสร็จแน่ ฮิ้ววว
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 24-08-2014 14:40:24
พี่ซันยังน่ารักเหมือนเดิม
รอๆเอริคกะเจด้วยจร้าา
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 24-08-2014 14:48:38
แต่ละคู่นี่ก็ช่างน่ารักกันเสียจริง
จะผิดไหมคะคนเขียนอยากจะอ่าน NC ไม่ได้หื่นน้าาาา
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 24-08-2014 19:33:58
แบบนี้เค้าเรียกพรหมลิขิตชัดๆ
พอได้อ่านแล้วยิ่งอยากอ่านต่อ
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu_Chise ที่ 25-08-2014 04:12:04
อ่านแล้วหมอนเปียก กัด กรี๊ด จนเพลีย กันไปข้าง น่ารักทุกคู่เลยอะ

><// ขอตอนแถมอีกนิดได้ไหมอ่ะๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 25-08-2014 11:43:51
พี่ซันนี่มั่นคงดีจังเลยเนอะ แต่น้องฟ้าน่ารักแบบนี้ก็สมควรหลงอยู่หรอก

คู่เมฆมีนนี่มาไวนะคะ แต่ก๊าวมาก ยิ่งฉากที่มีนงอนไปตะโกนริมหาดแล้วพี่เมฆมาง้อเนี่ย

รอติดตามเอริคเจค่ะ ท่าจะโหดมันฮา
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 25-08-2014 14:04:21
ขอบคุณคุณปัดค่ะ แต่งเรื่องสนุกๆให้ได้อ่านเสมอ
รอคู่เอริค-เจนะคะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 25-08-2014 17:08:23
ยังอยากอ่านตอนพิเศษของพี่ซันเยอะๆเลยค่ะ
พี่ซันน่าร้าก น้องฟ้าโชคดีที่สุดเลยยยย  :-[
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-08-2014 12:30:22
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 10-09-2014 22:45:43
ชอบเรื่องนี้ อยากเห็นตอนหนูเมฆหึงบ้างงงงงงงงงงง
ปล.อยากเห็นหนูเมฆเวอร์ชั่นทำงานแล้วด้วย อิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: janeyuya ที่ 11-09-2014 05:59:05
งือออออ น้องต้องต้องโดนอีริคหมายหัวแน่ๆอ่ะ เจนสัมผัสได้
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 11-09-2014 11:34:27
รอออออออออ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: SOBANG✖ ที่ 12-09-2014 23:00:00
ชอบคู่เมฆมีน มากกกกกกกกกกกกกกกกก
ขอตอนพิเศษเมฆมีนบ้างสิคะ >.< ขอแบบเต็มตอนเลย มาแค่นี้ใจมันคิดถึงงงงงง
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 13-09-2014 14:52:59
คู่ใหม่น่าลุ้นๆ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 13-09-2014 23:47:40
อยากอ่านพี่ซันน    :ling1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 15-09-2014 15:06:45
 o16
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 24-09-2014 22:40:25
พี่ซันน้องฟ้า พี่เมฆน้องมีน สนุกมาก
เรื่องใหม่ก็น่าอ่าน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: CorNnE PRiNCeS ที่ 26-09-2014 11:54:27
สิ้นสุดการรอคอย 15 ปี

น่ารักทุกคนเลย เข้าอกเข้าใจ กันดีจริงๆ

ขอบคุณเรื่องราวดีๆ นะคับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: sey19 ที่ 28-09-2014 00:25:55
ขอบคุณครับ นิยายสนุกมากเลย

รอคู่เอริคกับเจอยู่
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 29-09-2014 21:10:34
 :mew1: คู่ใหม่ หน้าสนใจ จริงๆ ขอบคุณมากค่ะ อ่านแล้วสนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 08-10-2014 22:39:12
สนุกจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 10-10-2014 10:33:27
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: teamkoyza ที่ 10-10-2014 10:56:00
ว๊าว ความรักฟุ้งฟิ้ง กระดิ้งแมวจริงๆ ชอบจุง
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Kanya97 ที่ 10-10-2014 23:43:38
เป็นเรื่องที่น่ารักมากๆค่ะ อ่านจนจบได้ สุดยอดเลย ปกติจะไม่ค่อยอ่านแนวนี้ ชอบดราม่ามากกว่า เรื่องนี้สดใส ทำเอาเรายิ้มเบาๆ แต่คาใจนะ ใครกดใคร?? อิอิ  :mew3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ตอนพิเศษ/2) - จบ 22/8/57
เริ่มหัวข้อโดย: Ningg.Destiny ที่ 13-10-2014 13:27:50
ชอบๆๆๆ คู่สุดท้ายนี่ยังไง มีต่อมั้ยค้าาา
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว- แจ้งข่าว หน้า 9 (เรื่องทำเป็นอีบุคฟรีให้อ่านค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 15-10-2014 18:04:37
ขออนุญาตใช้พื้นที่ประชาสัมพันธ์หน่อยค่ะ

นิยายเรื่อง ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว นี้แต่งขึ้น จากการร่วมกิจกรรม "สร้างงานให้เป็นเล่ม" ที่ปัดและเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งเข้าร่วมกิจกรรมกัน

จากนั้นปัดจึงนำนิยายที่แต่งจบแล้ว มาลงให้อ่านในบอร์ดไทยบอยเลิฟ ในช่วงที่ผ่านมา หลังกิจกรรมจบ

 หลังจากที่ทำต้นฉบับไว้แจกเป็นรางวัลคนร่วมกิจกรรมเรื่องนี้เสร็จ ปัดก็เลยตั้งใจไว้ว่า
จะเอาต้นฉบับที่จัดหน้าไว้แล้ว  ทำเป็นอีบุค แจกให้โหลดอ่าน "ฟรี" ค่ะ 
โดยเนื้อหาก็จะเหมือนกับในบอร์ด แต่จะอ่านง่ายกว่า ถือเสียว่า เอาไว้อ่านรอภาคน้องเจแต่งแล้วกันนะคะ

ใครสนใจแวะไปโหลดอ่านกันได้เลยค่ะ ^^

 :pig2:

คลิกไปโหลดกันได้ที่นี่ค่ะ
(http://www.harempat.com/picpat/thumbs/viu1413371521v.jpg) (https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=17533)

ถ้ากระทู้นี้ ผิดกฏกติกาเล้าก็แจ้งได้นะคะ จะรีบลบทันทีค่ะ
 :mew2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 16-10-2014 16:16:20
^
^
^ :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Maria_safe ที่ 19-10-2014 08:51:52
รอภาคน้องเจอยู่นะคะคุณปัด
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 19-10-2014 12:35:32
รอภาคน้องเจอยู่นะคะคุณปัด

รอปัดเคลียร์ทำเล่มทำมือ กรงรักพันธนาการใจ (รีเมก) ก่อนนะคะ ^^"   
คิวว่างจะรีบกลับมาปั่นค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 04-11-2014 12:01:31
อยากอ่านของเจกับเอริคเร็วๆจัง
ดูน่าจะสนุก อยากอ่านๆๆๆ
รีบมาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมสัมปันนี ที่ 04-11-2014 13:23:46
สนุกมากครับ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jeabjunsu ที่ 30-11-2014 00:16:35
น้องฟ้าน่ารักกกจังเลยค่า พี่ซันก็รักษาสัญญาได้เยี่ยมที่สุด
น้องมีกับนายเมฆนี่เร็วทันใจมาก
บ้านน้องฟ้าน่ารักที่สุด รักลูกมาก น่ารัก >●<
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 30-11-2014 21:33:15
ขอบคุณมากค่ะคุณปัด
โหลดมารออ่านเรียบร้อย ^^
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 21-12-2014 18:59:01
น่ารักดี รักจริงหวังแต่งกันน่าดูเลยนะเนี่ย แอบเสียดายนิดหน่อยที่เรื่องมันสั้นไป น่าจะยาวกว่านี้อ่ะ
ตอนที่ตัดจบเมฆกับมีนสารภาพรักกันแอบเซ็งไปแวบนึงเลย เพราะเรื่องปูมายาวกว่านี้ได้อีกอ่ะ
ส่วนซันกับฟ้า คู่นี้ไม่ค่อยรู้สึกไม่ดีอะไรนะ เพราะซันรักของเขามานานแล้วจริงๆ

ไงก็ขอบคุณสำหรับ e-book เรื่องนี้ที่แจกฟรีนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 24-12-2014 01:03:33
ขอบคุณค่ะ น่ารักมาก ยิ้มได้ทั้งเรื่องเลย
ชอบพี่ซันอ่ะ ป๋ามาก ป๋าที่สุด
รอเอริคกะน้องเจนะค๊าาา  ^^
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: umarinnew ที่ 24-12-2014 07:51:21
น่ารักมากเลยคะ
จุ๊บๆ คนเขียน  :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวเรื่องแจกอีบุคฟรี หน้า 9 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 24-12-2014 20:01:04
เป็นรักที่ทรหดและอดทน ใจมุ่งมั่นมากๆๆๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 11-01-2015 22:29:31
ความรักเดียวใจเดียวและมั่นคงยาวนาน ช่วยพระเอกเรื่องนี้ได้มากๆ เลยแฮะ   o13

ขอบคุณคนเขียนมากๆ ค่ะ   :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: waterlily ที่ 12-01-2015 15:20:23
เรื่องนี้น่ารักทุกคู่เลยค่ะ :-[
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 13-01-2015 15:40:37
อ่านสนุกเอาเพลินดีครับ ไม่เครียดด้วย ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆนะครับ

เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผ่อนคลาย เพราะไม่มีดราม่าเลยละ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Ѷanᴉ££a ที่ 16-01-2015 21:40:56
จะบอกว่า

เข้ามารอคู่หลัก น้องเจจ้า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: beer9999 ที่ 18-01-2015 15:05:58
จบแล้วหรอ จบอย่างไงอ่ะ งง ???
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 22-01-2015 17:01:52
น่ารักมากๆเลยค่ะ พี่ซันน้องฟ้า  :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 28-02-2015 08:27:01
น่ารักมากๆๆๆ :mew1:
ขอบคุณที่นำนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านค่ะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: mucan99 ที่ 02-03-2015 16:51:18
สนุกดีน่ารักด้วยยย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 16-03-2015 00:36:12
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกก
อ๊ายยยยยยยยยย
จะมีบ้างไหมเนี๊ยผู้ชายอย่างพี่ซันในโลกนี้
รออ่านคู่เจต่อค๊าาาา
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 17-03-2015 12:30:04
สนุกมากๆ น่ารักกกกกกกสุดๆ ชอบคู่พี่ซันกับน้องฟ้า ❤️
อ่านแล้วยิ้มปวดแก้มเลย  :-[ คลายเครียดดีค่ะ
ขอบคุณนะคะ
ติดตามเรื่องน้องเจกับเอริค (>_<) เป็นคู่ที่น่าสนใจม๊ากมาก
จะมีตอนพิเศษคู่น้องฟ้ากับพี่ซันอีกไหมน้า แอบลุ้น
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Chrysan ที่ 27-03-2015 22:38:29
เราอยากรู้ว่าน้องฟ้าจะหุ่นมาดแมนแบบนี้ตลอดไปหรือเปล่า
ลึกๆแล้ว พี่ซันแกอยากได้แบบร่างบางบ้างไหม
 :a11:
ต่อไปก็เมฆที่ต้องอดทนสินะกว่ามีนจะเรียนจบ โฮะๆ
ไม่เป็นไรนะพี่เมฆ ถือว่าที่ผ่านมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะแล้ว
แต่เรากลัวจะเป็นเจ้าน้องมีนน่ะสิที่อดใจไม่ไหว 5 55
 :a3:
ซินเดอเรลล่าผ้าเช็ดหน้าตก อยากรู้จริงๆ ว่าตามหาได้อย่างไร?
สามารถมากพ่อมาเฟีย
 :a1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ 5/4/58
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 05-04-2015 16:23:04
สวัสดีค่ะ นักอ่านชาวเล้าทุกท่าน ^^
หลังจากที่ทิ้งตอนพิเศษห้อยคู่ต่อทิ้งท้ายไว้นานหลายเดือน ช่วงนี้ก็แวะมาต่อให้แล้วค่ะ

(ถ้าใครลืมก็ย้อนไปอ่านภาคแรกได้นะคะ ตามลิงค์นี้เลยค่ะ)

สารบัญนิยาย ภาคแรก (พี่ซัน - น้องฟ้า)

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2782333#msg2782333)
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2782340#msg2782340)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2783306#msg2783306)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2784318#msg2784318)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2785305#msg2785305)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2786442#msg2786442)

บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2787461#msg2787461)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2788196#msg2788196)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2789427#msg2789427)
บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2790434#msg2790434)
 บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2791344#msg2791344)
 บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2792000#msg2792000)
 บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2792977#msg2792977)
 บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2793839#msg2793839)
 บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2794501#msg2794501)
 
 ตอนพิเศษ/1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2794800#msg2794800)
 ตอนพิเศษ/2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2795578#msg2795578)



สำหรับภาคต่อนี้ คู่หลักจะเป็นนายเอริค กับ น้องเจ แต่พวกน้องฟ้า พี่ซัน น้องมีน พี่เมฆ ก็ยังวนเวียนมาแจมอยู่ตามเดิมค่ะ

และเหมือนเดิมค่ะ  สำหรับใครชอบอะไร ซับซ้อน ซ่อนเงือน มีปม อ่านแล้วต้องตามลุ้น เรื่องนี้ "ไม่มีให้" ค่ะ

แต่ถ้าชอบอ่านนิยาย เรื่อย ๆ ยิ้มได้เป็นพัก ๆ ไร้อุปสรรค ไร้ดราม่า (ก็มีบ้างแต่น้อยนิด)  ก็เชิญอ่านเรื่องนี้ได้เลยค่ะ


หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 05-04-2015 16:27:08

ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว
ภาค เอริค – เจ
/1


 

   เด็กหนุ่มรูปร่างโปร่งเพรียว ผู้มีสีผิวขาวและตาเรียวเล็กสมกับเชื้อชาติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ในตอนนี้เจ้าตัวกำลังเบิกตาชั้นเดียวให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อได้เห็นว่ามีใครคนหนึ่ง กำลังยืนอยู่หน้ารั้วบ้านเช่าของตน

   "คะ...คุณเอริค...มาได้ไงวะเนี่ย!"

   เจตต์หันซ้ายหันขวาคล้ายจะหาทางหนีทีไล่ ทว่าคนตัวสูงที่ตีหน้าขรึมซึ่งยืนอยู่หน้ารั้ว กลับหันมาเห็นเข้าให้เสียก่อน

   "อรุณสวัสดิ์...เจ"

   คนถูกทักสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันมาสบตาอีกฝ่าย พลางฉีกยิ้มแหย ๆ ส่งให้

   "ง่า...สวัสดีครับคุณเอริค มีธุระแถวนี้หรือครับ"

   เจตต์แสร้งถามออกไปทั้งที่รู้อยู่เต็มอกดีว่าอีกฝ่ายมาหาเขาเพราะอะไร

   "อืม...ก็ตั้งใจมาพบเธอนี่ล่ะ"

    ชายหนุ่มผมทองบอกตามตรง ทำเอาคนฟังฉีกยิ้มเจื่อน แล้วก็นิ่งเงียบไปเพื่อหาข้ออ้างหลบ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ทันเลยเอ่ยดักเอาไว้เสียก่อน

    "ฉันตั้งใจจะมารับเธอไปส่งที่มหาวิทยาลัย"

   "เอ่อ...แต่มหาลัยใกล้แค่นี้เองนะครับ"

   เด็กหนุ่มแย้งกลับไปเสียงอ่อย ๆ ใจจริงอยากจะปฏิเสธออกไปตามตรง แต่ก็ติดที่อีกฝ่ายนั้นเป็นญาติของแฟนเพื่อน แถมยังอายุมากกว่าเขาอีกหลายปีด้วยซ้ำ

   "เธอกินข้าวเช้าหรือยังล่ะ"

   คำถามถัดมาจากเอริคหลังจากที่ถูกแย้งเรื่องที่เขาจะมารับอีกฝ่ายไปส่งที่มหาวิทยาลัยของเจ้าตัว ทำให้คนฟังชะงักแล้วเผลอหลุดปากบอกไปตามตรง

   "เอ๋...ยังครับ"

   "ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินข้าวเช้าด้วยกัน แล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง"

   เอริคบอกเสียงเรียบและใช้นัยน์ตาสีเขียวคมกริบจับจ้องมาแกมบังคับ ทำให้อีกฝ่ายฉีกยิ้มเจื่อน แล้วพยายามหาข้อแก้ตัวปฏิเสธเต็มที่

   "แต่ว่า...คือ..." 

   "รังเกียจที่จะกินข้าวด้วยกันกับฉันอย่างนั้นหรือ" 

   น้ำเสียงที่ถามตามมาเริ่มเข้มขึ้น จนคนฟังสะดุ้งโหยง แล้วรีบสั่นศีรษะไปมา

   "ปะ...เปล่านะครับ!"

   เอริคหรี่ตามองคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยตัดบทห้วน ๆ

   "งั้นก็มาด้วยกัน"

   "ง่า...ครับ" 

    เจตต์จำต้องรับคำอย่างจำยอม พลางคิดในใจว่า อีกฝ่ายนั้นช่างสมกับเป็นญาติของรวีเสียเหลือเกิน ในเรื่องความเอาแต่ใจนั้นช่างเหมือนกันไม่มีผิด แม้ว่าจะแสดงออกกันคนละแบบก็ตามที...



   ...ถ้าจะย้อนความกันไปว่าเขากับหนุ่มฝรั่งผมทองสุดหล่อมาดเข้มคนนี้มารู้จักกันได้อย่างไร  ก็คงต้องบอกว่า พวกเขานั้นรู้จักกันในแบบบังเอิญสุด ๆ ชนิดที่เขานั้นไม่อยากจะให้เกิดขึ้นเลยสักนิด

   เรื่องราวในครั้งนั้นก็คงต้องเริ่มต้นจากการที่เขาตามครอบครัวไปเที่ยว LA และระหว่างที่รอพี่สาวและมารดาช็อปปิ้งอยู่ เขาที่เซ็ง ๆ ก็เดินไปซื้อไอติมกิน และก็ด้วยความบังเอิญหรือซุ่มซ่ามก็สุดจะรู้ได้ เขาดันสะดุดพื้นแล้วล้มหน้าทิ่มจนไอติมในมือหก และหากว่ามันหกลงไปแหมะบนถนนก็คงไม่มีปัญหา แต่มันดันกระเด็นไปเลอะบนรองเท้าหนังมันปลาบราคาแพง ของคนหน้าขรึมสวมแว่นดำ ท่าทางเหมือนพวกมาเฟีย ที่นั่งพักอยู่แถวนั้นเอาเข้าพอดี

   และตัวเขาก็ไม่คิดเลยว่า เรื่องที่เขาตื่นตระหนกจนเผลอคว้าผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดมาเช็ดถูรองเท้าให้อีกฝ่ายจนสะอาดนั่น มันจะกลายเป็นชนวนแห่งความประทับใจของคุณพี่มาดเข้มผู้นั้น ให้บินมาตามหาเขาถึงที่ประเทศไทย  ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังเป็นญาติของแฟนเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งแฟนของเพื่อนที่ว่านั่นก็เป็นถึงลูกชายของมาเฟียอเมริกา ถึงบิดาของเจ้าตัวจะประกาศวางมือทิ้งทุกอย่าง แล้วเตรียมตามลูกชายมาอยู่ด้วยกันที่ไทยในอีกไม่ช้านี้ก็เถอะ...

    เจตต์เผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาคนที่เดินนำหน้าได้ยินแล้วเหลือบมามองเด็กหนุ่มที่เดินตามมาด้วยกัน...



    เอริคยังจำวันแรกที่เขาตามลูกพี่ลูกน้องของตนมาที่เมืองไทย และได้เห็นสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดหวั่นสุด ๆ ของคนที่เขาตั้งใจติดตามหาจนพบ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาเข้าใจดีเลยว่า ความรักครั้งนี้ คงจะไม่ได้ง่ายดายเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา

     แต่ถึงอาจจะต้องเสียเวลาในการตามตื๊อตามจีบกันไปสักหน่อย แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังพึงพอใจในเรื่องที่ว่า รูปร่างหน้าตาและฐานะการเงินของเขา ไม่ได้มีส่วนที่จะทำให้เจตต์นั้นเกิดความสนใจได้  อีกอย่างเอริคนั้นไม่ต้องการคนที่จะรับรักเขาเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกและทรัพย์สินที่เขามี เหมือนกับอดีตคนรักคนอื่น ๆ ที่ผ่านมาอีกแล้วด้วย

   

   "ตกลงจะกินอะไร...กาแฟ แซนวิช หรือ ร้านข้าวต้มข้างทาง"

   คำถามและข้อเสนอที่ทำให้คนซึ่งกำลังจะอ้าปากบอกชะงักค้าง ก่อนจะฉีกยิ้มเจื่อนส่งให้อีกฝ่าย

   "คุณเอริคกินร้านข้างทางได้หรือครับ"

   "แล้วทำไมจะกินไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นอาหารเหมือนกัน"

   เจตต์กลืนน้ำลายลงคอ แม้อีกฝ่ายจะสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงผ้าเพื่อให้เข้ากับอากาศในเมืองไทยก็ตาม แต่มองเนื้อผ้าปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของแบรนด์เนมชั้นนำ ชนิดที่หากจะต้องให้อีกฝ่ายไปนั่งกินในร้านประจำของเขา ก็ดูออกจะสงสารเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายใส่อยู่ไม่น้อย

   "ถึงอากาศตอนเช้าที่นี่จะไม่ร้อนมากเหมือนตอนกลางวันตอนบ่าย แต่กินข้าวต้มร้อน ๆ แต่เช้า คุณจะโอเคหรือครับ"

   เจตต์ถามด้วยความเป็นห่วงแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนหน้าขรึมมีรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้เขา

   "ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ถ้าอะไรฉันกินไม่ได้ แล้วฉันจะบอกเอง"

   คนฟังส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ และสุดท้ายเขาก็ต้องพาชายหนุ่มไปยังร้านข้าวต้มเช้า ที่มีทั้งข้าวต้ม โจ๊ก รวมไปถึงพวกต้มเลือดหมู เจ้าประจำ ที่พอป้าเจ้าของร้านเห็นมีฝรั่งรูปหล่อเข้าร้าน แกก็รีบกุลีกุจอมาต้อนรับอย่างตื่นเต้น และยังแถมพิเศษอย่างที่ไม่เคยจะมีให้เขามาก่อนด้วยอีกต่างหาก... 

   

   "นายเปิดโอกาสให้คุณเอริคเขามากเกินไป ถ้าไม่อยากให้มาคอยตื๊อคอยจีบ ก็ปฏิเสธไปตรง ๆ เลยสิ"

   เวทิตบอกอย่างเอือมระอา เมื่อเพื่อนสนิทมาบ่นโอดครวญให้เขาและเวหาฟังว่าถูกตามตื๊ออย่างหนักตั้งแต่เช้า แถมหลังกินอาหารเสร็จเอริคก็กึ่งชวนกึ่งบังคับให้เขาขึ้นรถคันหรูของเจ้าตัว มาส่งถึงที่หน้าคณะทั้งที่จริง ๆ เขาเดินมาแค่สิบนาทีกว่าก็ถึงแล้วแท้ ๆ

   "ก็ฉันเกรงใจอะ อีกอย่างเขาก็เป็นญาติพี่ซันด้วย"

   เจตต์รีบแก้ตัว ทว่าเวหาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

   "พี่ซันเขาบอกฉันว่า เรื่องของความรักเป็นเรื่องส่วนตัว พี่เขาไม่ก้าวก่ายหรอก ถ้านายไม่อยากรับรักเขาก็ปฏิเสธไปอย่างที่ต้นบอกก็ได้"

   คนฟังชะงักแล้วมีสีหน้าคิดหนัก จนเวหาเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไป

   "หรือว่านายชอบคุณเอริคเขาเข้าแล้ว"

   คำถามนั้นทำเอาคิดอะไรเพลิน ๆ สะดุ้งโหยงแล้วรีบสั่นศีรษะไปมายกใหญ่

   "ไม่มีทาง!  และต่อให้ฉันชอบผู้ชายด้วยกันจริง ๆ ฉันก็มีสเป็คของฉัน แล้วที่สำคัญฉันไม่มีวันเป็นฝ่ายรับเด็ดขาด!"

   เวทิตขมวดคิ้วยุ่ง ส่วนเวหาหน้าแดงนิด ๆ เมื่อหวนคิดถึงเรื่องของตนกับคนรักบ้าง

   "ไม่อยากรับก็ขอคุณเอริคเขาดี ๆ สิ  เผื่อบางทีเขาอาจจะชอบรับแทนรุกก็ได้"

   เวทิตบอกหน้าตาเฉย ส่วนเวหาก็ยิ่งหน้าแดงหนักขึ้น เพราะแม้จะมีแฟนแล้วแถมแฟนยังเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่เขากับรวีก็ไม่เคยทำอะไรที่มากกว่าจูบและเล้าโลมทางกายเล็ก ๆ น้อย ๆ มาก่อนด้วยซ้ำ

   "ไม่มีทาง! ที่สำคัญหุ่นแบบนั้น หน้าเข้มแบบนั้น ขืนเป็นรับเข้า...บรึ๋ย! แค่คิดก็สยองแล้ว"

   "เอ่อ...ฉันว่าก่อนจะไปถึงขั้นเลือกสถานภาพรุกรับ...ตกลงว่านายพร้อมโอเคเป็นแฟนกับคุณเอริคเขาแล้วแน่หรือเจ"

   เวหาแย้งขึ้นมาค่อย ๆ ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะคุยเจาะลึกกันไปมากกว่านี้

   "ไม่แน่นอน!"

   เจตต์รีบหันมาบอกกับเพื่อนอีกคน จากนั้นเจ้าตัวก็นิ่งเงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเขาหรอกนะ...เท่าที่ได้คุยกันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี่ ก็ทำให้พอจะมองออกว่าเขาก็เป็นคนนิสัยโอเคคบง่าย  ...อาจจะดูทำตัวขรึม ๆ ดุ ๆ หน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นบ้าอำนาจ... แต่ถ้าจะให้คบกันถึงขั้นเป็นคนรัก คงลำบากใจ ...อ้อ! ไม่ใช่ฉันแอนตี้เรื่องความรักระหว่างเพศเดียวกันหรอกนะ แต่..."

   เจตต์ลังเลว่าจะพูดดีไหม เจ้าตัวมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าปลอดคนอื่น นอกจากพวกเขาที่นั่งอยู่แถวนั้น เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกไป

   "ฉันไม่รังเกียจคุณเอริคเขาก็จริง... แต่ฉันกลัวว่ะ! ขืนไปรับรักแล้วลองคบหาพี่แกเป็นแฟน แล้วเกิดฉันไปเหล่มองคนอื่นเข้า มีหวังได้เป็นไข้โป้งตายก่อนวัยอันควรแหงม... พวกนายก็รู้นิสัยฉันดีไม่ใช่หรือว่า ชอบเหล่อะไรสวย ๆ งาม ๆ แถมยังปากพูดไปก่อนใจคิด ...ฉันกลัวคุณเอริคจะเข้าใจผิด แล้วจับฉันถ่วงน้ำโบกปูนเป็นอาหารปลาเข้าให้สักวันน่ะ"

   เวหานั้นถอนหายใจเบา ๆ กับความขี้กลัวของเพื่อนสนิท ส่วนเวทิตก็สั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอาแทน

   "ถ้าเขาชอบนายจริง เขาก็คงไม่โหดกับนายด้วยเรื่องผิดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหรอก ...อีกอย่างพี่เมฆกับพี่ซันก็เคยบอกย้ำให้ฟังแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องปืนนั่นมันเป็นอุบัติเหตุปืนลั่น แล้วอีกอย่างคนรักเก่าของคุณเอริคตอนนี้เขาก็ไม่ได้โดนยิงตายไม่ใช่หรือไง"

   เจตต์หันไปฟังเวทิตพูดบ่น แล้วนึกหวนถึงเรื่องที่รวีบอกกับเขาเมื่อครั้งก่อนหน้านั้น

   'แฟนเก่าของหมอนั่นตอนอุบัติเหตุปืนลั่นนั่นก็เจ็บถาก ๆ ที่แขนนิดหน่อยเองครับ ...อ้อ แต่หลังจากเอริคเลิกสนใจเขาแล้ว แฟนเก่าของเขาก็โดนทางครอบครัวหมอนั่นยำหนักใช่ย่อย ขนาดพ่อของพี่ยังไปร่วมแจมด้วยเลย...พวกนี้นี่นะรักญาติพี่น้องเกินเหตุ จนคนอื่นพากันเข้าใจหมอนั่นผิดหมด'

   คำพูดของรวียิ่งตอกย้ำให้เจตต์มั่นใจว่า ตนนั้นควรถอยห่างจากเอริคจะดีที่สุด เพราะต่อให้เกิดเรื่องเลิกรากันไป แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้ลงมือเอง แต่เขาคงไม่แคล้วจะต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวที่แสนจะรักศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายก็เป็นได้

   "เออ! ไม่ตายเพราะคุณเอริค แค่เกือบปางตายเพราะโดนครอบครัวเขารุมเล่นงานไงล่ะ  โอ๊ย! ต่อให้อะไรก็เหอะ ยังไงฉันก็ทำใจยอมรับรักพี่แกได้ยากอยู่ว่ะ... ถ้ามาแบบตัวเล็ก ๆ น่ารัก ยิ้มง่าย เป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างน้องมีน ไอ้เราจะไม่ว่าสักคำ"

   "เหอะ ๆ แค่เรื่องโดนตื๊อยังไม่พอ ยังจะปากเปราะหาเรื่องให้พี่เมฆเขามาเขม่นอีกหรือไง"

   เวทิตเอ่ยประชดอย่างหมั่นไส้ ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้เวหา

   "ฟ้าอย่าไปฟ้องพี่เมฆนะ ...ฉันยังไม่อยากโดนดักกระทืบหน้าบ้านน่ะ"

   เวหาฟังแล้วก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะด้วยความระอาเช่นเดียวกับเพื่อนอีกคน

   "นายนี่นะ...ตกลงลำบากใจจริงหรือเปล่าเนี่ย เห็นพูดเล่นอยู่ได้"

   "ฉันก็คิดเหมือนฟ้าว่ะ  ตกลงนายลำบากใจเรื่องที่ถูกตามจีบจริงหรือเปล่าวะเจ ...หรือนายจะเป็นประเภทเล่นตัวเพื่อเพิ่มความน่าสนใจกัน"

   เจตต์ชูนิ้วกลางใส่เพื่อนของเขาก่อนจะสบถตามมา

   "เล่นตัวบ้านเอ็งสิวะ! นี่เพื่อนกลุ้มจริง ๆ นะเนี่ย!"

   "เออ ๆ เชื่อว่ะว่ากลุ้ม"

    เวทิตบอกอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอเห็นเพื่อนทำหน้ามุ่ยอย่างนึกงอน เขาก็กลับมาถามอีกฝ่ายอย่างจริงจังมากขึ้น

    "แล้วเย็นนี้เอาไง คุณเอริคเขาคงมาดักรอรับนายเหมือนวันที่ผ่านมาแน่ ...ถ้าอยากปฏิเสธก็ต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแล้วนะ ขืนยอมกลับพร้อมเขาอีก ก็ยิ่งเท่ากับสร้างความหวังให้เขามากขึ้นนั่นล่ะ"

   เจตต์จ้องมองหน้าเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ตามมา

   "เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน คราวนี้ล่ะจะปฏิเสธซึ่ง ๆ หน้าให้ได้เลย!"

   

   หลังเวลาเลิกเรียน เจตต์ที่มักจะคอยหาเรื่องหลบหน้าเอริคในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่วันนี้เจ้าตัวกลับเป็นฝ่ายเดินไปเผชิญหน้าชายหนุ่มด้วยตัวเอง ทำให้คนที่ยืนกอดอกพิงรถรออยู่จ้องมองอย่างนึกแปลกใจ

   "แปลกนะ ที่วันนี้เธอยอมมาพบฉันโดยไม่หนีได้น่ะ"

   เอริคถามพร้อมกับจ้องหน้า ซึ่งก็ทำให้เด็กหนุ่มชะงัก ใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อย่างนึกหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่ายไปตามตรง

   "คุณเอริคครับ! ผมคงเป็นคนรักให้คุณไม่ได้หรอกครับ! ขอโทษด้วยนะครับ!"

   เจตต์บอกออกไปแล้วก็สะดุ้งโหยงเผลอถอยหลังหนีไปสองสามก้าวอย่างลืมตัว เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่ขรึมลงจนน่ากลัว

   "เหตุผลล่ะ...ถ้ายอมรับไม่ได้ก็คงจะมีเหตุผลให้รับฟังกันบ้างสินะ"

   "เอ่อ...ก็..."

   เจตต์อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าบอกสิ่งที่คิดออกไปตามตรง ทำให้คนฟังสรุปตัดบทเอาเองดื้อ ๆ

   "ถ้าไม่มีเหตุผลดี ๆ ล่ะก็ ...ฉันก็คงตัดใจไม่ได้หรอก"

   "หา! แบบนั้นผมก็ลำบากสิครับ!"

   "ลำบาก? ตรงไหนล่ะ"

   "ก็คุณเล่นมาตื๊อเช้าเย็นแบบนี้...ผมก็ถูกคนอื่นมองว่าผมเป็นคู่ขาของคุณเข้าให้ แล้วสาว ๆ ที่ผมเล็งไว้แต่ละคนก็ถอยหนีห่างหมด...ง่า..."

   "เธอชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างนั้นสินะ"

   "ก็ประมาณนั้นล่ะครับ  อ๊ะ...แต่ก็ไม่ได้รังเกียจคนที่รักชอบเพศเดียวกันนะครับ"

   เจตต์รีบบอกตามมา ทำให้คนหน้าบึ้งชะงักแล้วเริ่มคลายสีหน้าเคร่งขรึมลง พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้น

   "เธอนี่เป็นเด็กที่แย่จริง ๆ จะปฏิเสธคนทั้งที ก็อย่ามาทำใจดีให้ความหวังกับคนที่ตัวเองจะปฏิเสธสิ"

   "ง่า...ผม..."

   เจตต์อ้าปากพะงาบ ๆ พูดต่อไม่ออก พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของชายหนุ่มก็ทำเอาเขาใจร้ายปฏิเสธเสียงแข็งไม่ลงเสียอย่างนั้น

   "เอาเถอะ...ถ้าเธอยังไม่มีใคร ฉันก็ขอตามตื๊อต่อแล้วกัน อีกอย่างเธอก็ไม่เคยคบกับผู้ชายด้วยกันมาก่อนใช่ไหม ไม่แน่ว่า จริง ๆ แล้ว เธออาจจะชอบทางด้านนี้มากกว่าก็ได้ ...จริงไหม"

   คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ ที่แผนการปฏิเสธของเขาพังไม่เป็นท่า แถมถ้ามองไม่ผิด ดูเหมือนคนตรงหน้านั้นจะยิ่งสนใจเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ

    “ง่า...ครับ”

   เจตต์รับคำอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่แค่คำพูดนั้น หากแต่นัยน์ตาคมกริบกึ่งบังคับที่จ้องมา ก็ทำให้เขาไม่กล้าที่จะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรออกไป จำได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปขึ้นรถด้วยความกลัว จนเวหาและเวทิตที่แอบมองอยู่ห่าง ๆ ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ไล่เลี่ยกัน

   “สภาพอย่างนี้คงไม่รอดแน่ว่ะเพื่อนเรา สงสัยจะได้แฟนเป็นผู้ชายเข้าให้อีกคนเสียแล้ว”

   เวทิตพึมพำ ทำเอาคนที่อยู่ข้าง ๆ สะดุ้ง จนคนพูดรู้สึกตัว

   “ง่า...ฉันไม่ได้หมายความในทางที่ไม่ดีนะฟ้า”

   “อือ...รู้น่า ไม่ได้โกรธอะไรหรอก ...และจริง ๆ เท่าที่ฟังจากพี่ซันเล่า และได้เห็นมา คุณเอริคเขาก็เป็นคนจริงใจและเสมอต้นเสมอปลายดีออก ...ถ้าเจคิดจะคบเขาจริง ฉันว่าเขาก็คงดูแลและไม่ทำให้เจต้องเสียใจแน่”

   เวทิตเหลือบมองคนข้างกาย แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา เพราะยังไงเอริคก็เป็นญาติกับรวี และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่า คนตระกูลนี้ นิสัยรักแรงนี่คงจะเป็นเหมือนกัน  ถ้าหากเจตต์ตกลงปลงใจคบกับเอริค มีหวังเพื่อนของเขาคงได้ทั้งแฟนทั้งสโตกเกอร์ คอยตามประกบติดไม่ห่างเช่นเดียวกับเวหาเจออยู่เป็นแน่




... TBC …

 
 ช่วงนี้ร้างราไปนาน หากพบเจอคำผิดหลุด ๆ ออกมาก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ สายตาชักแย่ค่ะ อ่านตรวจทานรอบสองรอบ บางทียังหลุดมาได้ บางทีเขียนผิดแบบไม่น่าอภัยก็มี เจอก็แจ้งกันได้ค่ะ ^^

ป.ล. สำหรับเรื่องนี้มาตอนละสั้น ๆ นะคะ ไม่ได้ยาว แต่ก็ไม่ค้างคานักค่ะ พยายามให้จบฉากในแต่ละตอน ๆ ไป
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ [ 5/4/58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: rule ที่ 05-04-2015 21:09:42
ในที่สุด็สมหวัง รอภาคเจมานาน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ [ 5/4/58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-04-2015 21:21:08
ดีใจจังในที่สุดก็ได้อ่านภาคต่อแล้ว
น้องเจเด็กน้อยจังเลย. ค่อยๆเรียนรู้ไปนะอย่าเพิ่งปิดกั้นตัวเอง
คุณเอริคสู้ๆ.  :mew1: 
คนแต่งสู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ [ 5/4/58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 05-04-2015 22:00:31
มาต้อนรับน้องเจค่า   :pig2:  :mc4:
เจจ๋าอย่าคิดมากได้ทั้งแฟนทั้งสโตกเกอร์อ่ะเก๋กู้ดจะตาย
เวทิตอ่ะไม่รู้อะไรซะแล้ว 2 in 1 เลยนะ!! คุ้มมมมมมม
ว่าแต่คู่น้องฟ้ากับพี่ซัน...
เขาลูบคลำกันยังไงบ้างหว่า ไม่เข้าใจ เอิ๊ก  :hao7:
เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ [ 5/4/58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 06-04-2015 10:21:34
ไม่รอแน่งานนี้ น้องเจ  ออกจะเป็นที่หมายปองของ เอริค ซะขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 2 [ 6/4/58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 06-04-2015 20:29:23
 :L2:

บทที่
/2



   นับจากวันที่เอริคมาเมืองไทยเพื่อคอยตามตื๊อเด็กหนุ่มที่เจ้าตัวหมายปอง เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเกือบอาทิตย์ ทว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งสองคนก็ยังคงไม่คืบหน้าไปจากวันแรก ๆ สักเท่าใดนัก...

   
   ช่วงพักกลางวันของวันหนึ่ง เวหากำลังจ้องมองเพื่อนสนิทที่ยืนโวยวายกับโทรศัพท์อย่างประหลาดใจ และเมื่อเจตต์นั้นเดินกลับมารวมกลุ่มกับเขาและเวทิตอีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงเอ่ยถามเพื่อนออกไปตามตรง

   “มีอะไรเหรอเจ ทะเลาะกับพี่สาวหรือไง”

   การที่เวหาถามออกไปเช่นนั้น เพราะก่อนหน้าที่เจตต์จะเดินเลี่ยงไปโทรศัพท์คุยเป็นการส่วนตัว  อีกฝ่ายได้บอกเขาว่า สายที่โทรเข้านั้นมาจากพี่สาวนั่นเอง

   “ก็เจ๊จอยอะดิ! เล่นโทรมาบอกว่าวันหยุดยาวงวดนี้ฉันไม่ต้องกลับมาบ้านหรอก ให้ไปสิงอยู่ตามบ้านเพื่อนใครก็ได้แทน ถึงกลับมาบ้านก็ไม่มีใครอยู่  เพราะทั้งเจ๊ ป๊าแล้วก็ม๊า เค้าจะไปทัวร์ยุโรปกันยันปีใหม่โน่นเลย แถมยังกำหนดวันเดินทางยังเป็นช่วงก่อนมหาลัยจะปิดอีกต่างหาก!”

   “โห! เที่ยวยุโรปเป็นเดือน ไปรวยกันมาจากไหนวะพ่อแม่นาย ขายที่ได้เหรอ”

   เวทิตเอ่ยแซวเพื่อนสนิท ซึ่งคำพูดนั้นก็ทำให้เจตต์แสร้งค้อนใส่

   “บ้าสิ! ที่ดินทำกินน่ะป๊าฉันไม่ขายหรอก เพราะเขากลัวจะไม่เหลืออะไรให้ฉันผลาญตอนแก่!”

   เจตต์ประชด ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวที่ได้ยินจากการสนทนาให้เพื่อนทั้งคู่ฟังต่อ

   “จริง ๆ ก็คือ เจ๊จอยแกเลิกกับแฟนที่คบอยู่น่ะ แล้วเกิดอาการเบื่อเมืองไทยขึ้นมากะทันหัน ป๊ากับม๊าก็กลัวเจ๊แกจะเป็นโรคซึมเศร้า ก็เลยชวนกันไปเที่ยวต่างประเทศ เจ๊เขาก็ตอบตกลง แล้วเอาข้าวของทุกอย่างที่แฟนเก่าซื้อให้ไปขายทิ้งให้หมด พวกนายก็รู้ไม่ใช่หรือว่าแฟนเก่าเจ๊แกน่ะเป็นไฮโซ ให้ของขวัญแต่ละชิ้นเหยียบหมื่นเหยียบแสนตลอด เจ๊แกก็เลยสบายไป ได้ตัดใจลืม แถมได้เงินเที่ยวอีกด้วย”

   “จะตัดใจได้ง่าย ๆ จริงหรือ เห็นพี่จอยเคยบอกว่ารายนี้รักจริงหวังแต่งไม่ใช่หรือไง”

   เวทิตขัดขึ้นอย่างพอจะรู้จักพี่สาวของอีกฝ่ายดี เนื่องจากเมื่อตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ ๆ เขานั้นเคยไปนอนค้างที่บ้านของเจตต์อยู่บ่อย ๆ จนเมื่อเจตต์ย้ายมาอยู่บ้านเช่าใกล้มหาวิทยาลัยในตอนปีสองเพราะเรียนหนักขึ้น เขาก็เริ่มเหินห่างกับครอบครัวของเพื่อนสนิทไปบ้าง

    “ช่วยไม่ได้...ก็มันดันไปนอกใจเจ๊เขาเองนี่หว่า พี่สาวฉันน่ะนิสัยเสียอย่างอื่นทนได้หมด ขออย่างเดียวอย่าเจ้าชู้ แต่ไอ้คุณแฟนเจ๊มันก็ดันละเมิดคำเตือนเจ๊เข้าให้จนได้ แถมยังโดนจับได้แบบคาหนังคาเขาตอนกำลังกอดจูบลูบคลำแบบต่อหน้าต่อตาด้วยแล้ว มันก็จบเกมล่ะนะ... อีกอย่างที่เจ๊เขาจะรีบเดินทาง ก็เพราะหมอนั่นเล่นมาตามตื๊อไม่ยอมเลิก เห็นบอกว่ารักจริงหวังแต่งแค่เจ๊คนเดียว ส่วนผู้หญิงคนอื่นก็แค่เล่น ๆ เหอะ! เจ๊ก็เลยไม่อยากอยู่เมืองไทยให้รำคาญใจมากไปกว่านี้ไงล่ะ ...ฉันก็เลยซวยโดนปล่อยเกาะให้อยู่คนเดียวเป็นเดือนเลย แย่ชะมัด!”

   เจตต์บ่นอุบยาว เพราะถึงแม้จะเบื่อเวลาไปท่องเที่ยวกับครอบครัวอยู่บ่อย ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ เขาก็ไม่ค่อยชอบเวลาที่จะต้องอยู่คนเดียวแบบนี้นัก

   “งั้นมาค้างที่บ้านฉันไหมล่ะเจ คนเยอะครึกครื้นดี จะได้ไม่เหงาไง”

   เวหาเอ่ยชวนเพื่อน ซึ่งเจตต์ก็ชะงักเล็กน้อย เจ้าตัวหวนคิดถึงฝีมือทำอาหารแสนอร่อยของมีนาและมารดาของเวหา แล้วก็รีบตอบตกลงทันที

    “โอเค! กำลังคิดอยู่เลยว่าจะฝากปากฝากท้องที่ไหนดี! ขอบใจมากเลยนะฟ้า!”

   “จริง ๆ ถึงไม่ต้องไปค้างกับฟ้า อยู่ที่นี่ก็มีคนคอยมาเทียวรับส่งเลี้ยงข้าวนายอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

   เวทิตเอ่ยแซว ซึ่งนั่นก็ทำให้คนฟังสะดุ้ง แล้วหันขวับมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนของตนทันที

   “ก็นั่นล่ะที่เป็นอีกเหตุผลที่ฉันไม่อยากค้างที่นี่  เกิดคุณเอริคเขาหน้ามืดปล้ำฉันเข้า ฉันจะร้องให้ใครช่วยได้กันล่ะ!”

   เวทิตถอนหายใจยาวกับคำพูดกลุ้มใจที่ดูเหมือนทีเล่นทีจริงของเพื่อนสนิท ส่วนเวหาก็อมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตบบ่าอีกฝ่าย

   “เอาน่า ๆ คุณเอริคเขาคงไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะถ้าเขาจะทำ เขาก็คงหาโอกาสทำไปตั้งนานแล้ว นายเองก็เคยให้เขาเข้าบ้านอยู่หลายครั้งไม่ใช่หรือไง”

   “ง่า...นั่นให้เข้ามากินน้ำนั่งพัก ขอบคุณที่เขาอุตส่าห์มาส่งต่างหาก”

   เจตต์รีบแก้ตัว ซึ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายจากเวทิตได้อีกครั้ง

   “นายนี่นะ ปากก็บอกว่ากลัวเขาอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่อยากเป็นแฟนด้วย แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่กล้าตัดขาด แถมยังทำตัวให้ความหวังเขาตลอด...เชื่อเหอะว่ะเจ นายน่ะไม่แคล้วเสร็จคุณเอริคเข้าให้สักวันแน่ล่ะ!”

   เจตต์สะดุ้งโหยงพลางโพล่งกลับเสียงลั่น

   “เฮ้ย! ไหงแช่งเพื่อนแบบนั้นวะ!”

   “ไม่ได้แช่ง แค่พูดความจริงต่างหาก”

   เวทิตแย้งกลับ ทำเอาเวหาต้องเข้ามาห้ามเพื่อนทั้งสองก่อนที่จะโต้เถียงกันใหญ่โตไปยิ่งกว่านี้

   “เอาน่า ทั้งสองคนเลิกเถียงกันเถอะ...ว่าแต่นายล่ะต้น จะไปค้างที่บ้านฉันด้วยอีกคนไหม”

   “อืม...อาจจะได้แค่อาทิตย์เดียวนะ เพราะขืนอยู่นานกว่านั้น คงโดนแม่บ่นแย่”

   เวทิตบอกไปตามตรง ซึ่งเวหาก็ไม่ถือสา เพราะเขาเข้าใจมารดาของเพื่อนสนิทดีว่า คงอยากใช้เวลาส่วนตัวกับลูกชายกันตามประสาครอบครัวในช่วงวันหยุดบ้างนั่นเอง

   “ก็เอาตามสะดวกแล้วกัน...จะนอนที่บ้านฉันหรือยืมบ้านพักของพี่ซันนอนก็ได้นะ”

   ทั้งเวทิตและเจตต์พอได้ยินก็พากันพยักหน้าหงึกหงัก เพราะต่างก็เคยได้เห็นรูปบ้านพักหลังใหม่สไตล์รีสอร์ทของรวีกันมาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นสถานที่จริง ๆ กับตาตัวเองเลยสักที

   “โอเค! งั้นฉันจะบอกพี่ซันกับที่บ้านไว้ล่วงหน้า ว่าพวกนายจะมาค้างด้วยตอนช่วงวันหยุด...คงสนุกครึกครื้นกันน่าดูเลยนะ”

   เวหาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง ซึ่งเพื่อนของเขาก็ยิ้มตอบ แล้วต่างช่วยกันคิดวางแผนการใช้เวลาในวันหยุดกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาเข้าเรียนวิชาถัดไป



   ตกเย็นภายในวันเดียวกัน ร่างสูงซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอยู่ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะดังขึ้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นจึงเอื้อมมือหยิบขึ้นมาดูเบอร์คนโทรเข้ามาแล้วกดรับ

   “โทรมาทำไมหรือซัน”

   “หือ...ญาติจะโทรหากันนี่ต้องมีธุระด้วยหรือไง”

   ปลายสายเอ่ยแซว ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อลูกพี่ลูกน้องถอนหายใจให้ได้ยิน

   “ถอนหายใจเป็นตาแก่ไปได้...จีบเด็กไม่ติดเลยท้อหรือไง”

   เอริคชะงักต่อคำกระเซ้าถัดมา ก่อนจะแย้งกลับไปเสียงเข้ม

   “ฉันไม่เคยท้ออะไรง่าย ๆ นายก็น่าจะรู้ดี!”

   “ฮ่า ๆ ขอโทษที อย่าโมโหสิ จะโทรมาบอกข่าวดีให้รู้นะเนี่ย”

   รวีแย้งกลับมาอย่างอารมณ์ดี ทำให้คนที่กำลังคุยด้วยต้องขมวดคิ้วน้อย ๆ

   “ข่าวดีอะไร?”

   “ก็น้องเจสุดที่รักของนาย เขาจะมาค้างที่บ้านน้องฟ้าของฉันในช่วงวันหยุดที่จะถึง เพราะครอบครัวของเขาไม่มีใครอยู่บ้านเลย ไอ้ฉันพอรู้ข่าว ก็เลยจะมาชวนนายมาพักที่บ้านเรือนไทยของฉัน จะได้มีโอกาสจีบน้องเจของนายง่ายขึ้นยังไงล่ะ…ฉันใจดีใช่ไหม” 

   รวีอธิบายพร้อมถามกลับ ซึ่งเอริคก็มีสีหน้ายินดีแล้วเอ่ยตอบกลับไปสั้น ๆ

   “ขอบใจนายมากเลยนะซัน”

   “อือ! ไม่เป็นอะไร ถ้าช่วยให้นายกับน้องเจคบกันได้เร็วเมื่อไหร่ ฉันก็จะได้สบายใจมากขึ้นเท่านั้น จะได้ตัดคู่แข่งที่อาจจะมาสนน้องฟ้าของฉันออกไปด้วย!”

   รวีตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทว่าคำพูดที่ออกมาจากใจนั้นก็ทำให้คนฟังต้องสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างระอา

   “นายนี่ก็ยังขี้หึงไม่เปลี่ยนเลยนะ”

   “ก็คงไม่มากไม่น้อยกว่านายนักหรอก เห็นว่าขนาดอีกฝ่ายยังไม่ยอมรับรัก ก็ยังคอยกันท่าชาวบ้านไม่ให้เข้าใกล้อยู่เรื่อย ๆ ไม่ใช่หรือไง...อ๊ะ แค่นี้นะเอริค ไว้คุยกันวันหลังแล้วกัน!”

   รวีเอ่ยบอกก่อนจะรีบขอตัวตัดสายไป ซึ่งเอริคก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขาเองก็ได้ยินเสียงของเวหาดังเข้ามาแว่ว ๆ ให้ได้ยินเช่นกัน

   “เมื่อไหร่นะ ฉันจะได้มีโอกาสหึงหวงเธออย่างเต็มที่แบบนี้บ้าง...เจ”

   เอริคพึมพำถึงเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ที่นับวันก็เริ่มเข้ามาอยู่ในใจของเขามากขึ้น แม้ว่าเจ้าตัวจะยังคงแสดงออกว่าไม่พร้อมจะรับรักเขาเลยก็ตาม

   

   ในที่สุด เช้าวันหยุดวันแรกก็เวียนมาถึง เจตต์กับเวธิตได้มารวมตัวกันที่บ้านของเวหา โดยพ่อแม่ของเวหาต่างก็ยินดีต้อนรับเพื่อนทั้งสองของลูกชายอย่างเต็มที่ ส่วนรวีนั้นชักชวนให้ทั้งคู่ค้างที่บ้านพักหลังใหม่ของตน ที่สร้างเอาไว้สำหรับบิดามารดาที่คิดจะมาตั้งรกรากถิ่นฐานที่นี่ หลังกลับมาจากการท่องเที่ยวรอบโลกตามที่ทั้งคู่ตั้งเป้าหมายเอาไว้

   “ว้าว! บ้านสวยชะมัด เอ่อ...จะดีหรือครับพี่ซัน ที่ให้พวกผมค้างที่นี่น่ะ”

   เจตต์หันมาถามรวีอย่างเกรงใจ ซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มให้พร้อมตอบกลับมาอย่างจริงใจ

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะถ้าพวกน้องเจกับน้องต้นค้างห้องเดียวกับน้องฟ้า พี่คงไม่สบายใจสักเท่าไหร่ สู้จับแยกให้ค้างคนละที่จะดีกว่า”

   เจตต์กับเวทิตยิ้มแห้งให้กับคนพูด ส่วนเวหานั้นหน้าแดงวาบ และมีนาที่ตามมาด้วยกันถึงกับถอนหายใจอย่างเอือมระอา

   “พี่ซันจะหึงหวงอะไรนักหนา ก็รู้ ๆ อยู่ว่าเขาเป็นเพื่อนกันแท้ ๆ  เอาไว้พี่ซันมองพี่เมฆแล้วเกิดคิดอะไรเลยเถิดได้เมื่อไหร่ ค่อยมาหึงหวงพวกเพื่อนพี่ฟ้าเขาเถอะ... อ๊ะ! หรือว่าพี่ซันจะเคยคิดอะไรแบบนั้นกับพี่เมฆด้วย...”

    มีนาที่ขัดขึ้นมาชะงัก แล้วหันไปมองคนรักของตนกับคนรักของพี่ชายด้วยสายตาหวาดระแวงนิด ๆ จนชายหนุ่มทั้งคู่สะดุ้งโหยงไปตาม ๆ กัน

   “น้องมีนอย่ามองพี่อย่างนั้นสิครับ! ต่อให้โลกนี้ผู้ชายเหลือซันมันคนเดียว พี่ก็ไม่มีวันคิดกับมันแบบนั้นแน่!”

   เมฆารีบแย้งกลับไป ส่วนรวียังรู้สึกขนลุกเมื่อดันเผลอคิดตามในสิ่งที่เด็กหนุ่มบอก

   “นั่นสิครับ...อีกอย่างพี่ก็มั่นคงกับน้องฟ้าเท่านั้น ต่อให้เมฆมันมาลงทุนยั่วยวนยังไงพี่ก็ไม่สนใจมันหรอกครับ”

   รวีตอบกลับไปบ้าง แต่นั่นทำให้เพื่อนสนิทต้องหันไปมองตาปริบ ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “เพราะความขี้หวงมั่วซั่วของนายนั่นล่ะซัน เลยทำให้น้องมีนกังวลอะไรแปลก ๆ เข้าให้”

   เมฆาบ่นอุบ ทำให้รวีไม่กล้าเถียง เจ้าตัวบ่นอุบอิบลำพังจนเวหาที่มองอยู่นึกขำแกมระอา

   “เอาเถอะครับ อย่าเถียงกันเลย...ต้น เจ เอาของเข้าไปเก็บในบ้านก่อนดีกว่านะ”

   พอเวหาพูดเช่นนั้น ทุกคนจึงหันมามองเด็กหนุ่มก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ทว่าพอรวีเปิดประตูบ้านพักเข้าไป เจตต์ที่เดินตามชายหนุ่มเข้าไปเป็นคนแรก ก็ต้องชะงักเผลอทำกระเป๋าใส่เสื้อผ้าตกเฉียดเท้าตัวเองหวุดหวิด เมื่อได้เห็นคนคุ้นเคยบางคนกำลังนั่งอ่านหนังสือรออยู่ในห้องรับแขก

   “คุณ...เอ...ริค”

   “สวัสดีเจ มาช้ากว่าที่คิดนะ รู้อย่างนี้ฉันไปรับมาพร้อมกันด้วยก็คงดี”

   เอริคทักทายพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ทำเอาเจตต์ต้องหันขวับไปมองรวีด้วยสายตาตั้งคำถาม

   “พอดีพี่เห็นว่าน้องเจจะมาค้าง ก็เลยชวนหมอนี่มาค้างด้วยไง...แหม! ยิ่งคนเยอะยิ่งครึกครื้นดีออก จริงไหมล่ะครับ”

   เจตต์แค่นยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันมามองคนตรงหน้าอย่างหวาดหวั่นจนคนถูกจ้องต้องถอนหายใจค่อย ๆ

   “ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า เธอก็นอนพักที่บ้านนี้กับเพื่อนของเธอ ส่วนฉันก็นอนที่เรือนไทยของซัน ...รับรองว่า ถ้าเธอไม่ยินยอมเอง ฉันก็ไม่มาปล้ำเธอถึงห้องหรอก”

   เอริคบอกตรง ๆ เสียจนคนฟังพากันกลืนน้ำลายลงคอไปตาม ๆ กัน เจตต์นั้นหัวเราะแห้ง ๆ ให้ แล้วยกกระเป๋าเสื้อผ้าของตนไปยังห้องนอนในบ้าน แต่ก็ยังคงหันมาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้กับเอริคเมื่อเดินผ่านเจ้าตัวอยู่ดี

   “ดูแล้วก็พอมีหวังนี่นา...ให้ฉันช่วยวางแผนให้เอาไหม เอริค”

   รวีที่มองดูอยู่เข้ามาถามลูกพี่ลูกน้องของตนเบา ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็มีสีหน้าเรียบเฉยขณะตอบกลับ

   “ไม่ต้อง ฉันจะพยายามเอาชนะหัวใจของเขาเอง”

   “โอ้! งั้นก็แล้วแต่นาย...แต่ถ้าต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”

   รวีตอบกลับพลางยักไหล่ ก่อนจะหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับเวทิตที่เดินผ่านพวกเขาไป เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนตอบ เพราะดันได้ยินที่ทั้งคู่สนทนากันอย่างชัดเจนทีเดียว

   

   เวทิตนั้นเลือกพักคนละห้องกับเจตต์ เนื่องจากเมฆากระซิบแนะนำก่อนจะเข้ามาว่า อย่าคิดเสี่ยงกับความหึงหวงของคนตระกูลนี้จะดีที่สุด ซึ่งเวทิตเองแม้จะไม่เคยคิดอะไรกับเพื่อนของตนมาก่อน แต่เพื่อความปลอดภัยและตัดรำคาญของตัวเองและเพื่อน เขาจึงยินยอมทำตามที่ชายหนุ่มแนะนำเป็นอย่างดี

   “ต้น เก็บของเสร็จหรือยัง ออกไปกันเหอะ!”

   เสียงเจตต์ดังมาจากนอกห้องทำให้เวทิตที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ชะงัก ก่อนจะลุกเดินไปเปิดประตู

   “เสร็จแล้ว พอดีนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ไปหน่อย”

   “ฉันก็อยากจะคิดอะไรเพลิน ๆ แบบนายเหมือนกัน แต่ฉันสังหรณ์ว่า ขืนหมกตัวในห้องนานกว่านี้ จะมีคนมาตามถึงหน้าห้องแน่เลยว่ะ”

   เจตต์บอกกับเพื่อนของตนด้วยสีหน้ากังวล ทำให้คนมองลอบถอนหายใจ   

   “เอาน่า  คุณเอริคเขาบอกแล้วไงว่าจะไม่มาปล้ำนาย ถ้านายไม่ยอมเอง”

   เวทิตพยายามปลอบเพื่อน ซึ่งคำปลอบของเด็กหนุ่มก็ทำให้คนฟังคิ้วขมวดยุ่ง แต่สักพักก็ต้องคลายบึ้งตึงลง เพราะเพื่อนสนิทนั้นออกตัวเดินไปก่อน

   “เฮ้ย! รอด้วยสิต้น!”

   เจตต์วิ่งตามเพื่อนออกไป ก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเอริคนั้นยังคงนั่งรอเขาอยู่ที่ห้องรับแขก

   “มาแล้วหรือ...ว่าจะไปตามอยู่พอดี”

   เจตต์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขานั้นสังหรณ์ถูก ส่วนทางด้านเอริคนั้นลุกขึ้นเดินมาใกล้คนที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่กล้าไปไหน

   “เห็นซันบอกว่า ทางคุณแม่ของฟ้าทำขนมไทยไว้เลี้ยงพวกเรา พวกนั้นเขาไปช่วยกันเตรียมของ ฉันก็เลยรออยู่บอกพวกเธอให้ตามไปสมทบด้วยน่ะ”

   พอเอริคบอกอย่างนั้น เวทิตก็เลยรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปช่วยเพื่อนอีกแรงด้วยความเกรงใจ ส่วนเจตต์นั้นก็อยากจะรีบไปแต่ก็ติดร่างสูงที่ยืนขวางเอาไว้เสียก่อน

   “เอ่อ..คุณเอริค”

   “เดินไปพร้อมกันแค่นี้ คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

   คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะยิ้มเจื่อนแล้วพยักหน้าให้อย่างจำยอม เพราะคนขอไม่ได้แสดงท่าทีข่มขู่เขา แต่ขออย่างสุภาพจนเด็กหนุ่มปฏิเสธไม่ลง

   ‘โอย แย่ว่ะ เล่นทำตัวตื๊อแบบสุภาพแบบนี้ ขืนปฏิเสธไปเราก็ดูใจร้ายแย่สิวะ...’

   ทางด้านเอริคนั้น จากที่ได้สังเกตศึกษานิสัยใจคอของเจตต์อยู่เป็นเดือน รวมถึงจ้างให้นักสืบ สืบค้นประวัติของเด็กหนุ่มให้เขา ชายหนุ่มจึงสรุปได้ว่า คนที่เขาตกหลุมรักนอกจากจะเป็นคนมีจิตใจดีแล้ว ก็ยังมีนิสัยขี้สงสารเห็นใจคนง่าย โดยเฉพาะคนที่ทำดีกับตัวเอง แม้ว่าจะไม่ต้องการ แต่เด็กหนุ่มก็มักจะยอมรับความหวังดีของอีกฝ่ายอยู่เสมอ  ซึ่งแม้จะไม่ยุติธรรมกับเจตต์ไปสักหน่อย แต่เขาก็จะใช้จุดอ่อนนี้ของเด็กหนุ่มทำให้เขาใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมาให้ได้

   


... TBC ...


จะทยอยโพสนะคะ และจะพยายามปั่นไม่ให้ต้องทิ้งช่วงห่างกันนักค่ะ
ถึงแต่ละตอนจะสั้น แต่จะพยายามชดเชยโดยการไม่โพสห่างนักค่ะ (ถ้าไม่ติดขัดอะไร)

ป.ล. ส่วนสารบัญของภาคใหม่ ก็จะไปลงในหน้าแรก ช่องเดียวกับสารบัญของภาคแรกนะคะ จะได้ไม่สับสนเวลาหา ^^


หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ [ 5/4/58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 06-04-2015 20:32:14
 :mew1:

เอาล่ะสิ. พี่เอริคนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ. จีบแบบมีชั้นเชิงนะ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 2 [ 6/4/58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-04-2015 22:01:34
 :mc4:  กิ๊ซซซ  เพิ่งเห็น  ภาคต่อมาแล้ว   :pig4:    :heaven
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 2 [ 6/4/58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 07-04-2015 01:47:15
 :mc4: กรีสสสสส ภาคต่อ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 3 [ 7/4/58 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 07-04-2015 17:26:53


ตอนที่ 3


   วารีถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อหนุ่ม ๆ พากันมารุมแออัดที่ครัวของเธอ แม้จะเอ็นดูและชื่นชมในความมีน้ำใจของแต่ละราย ทว่าพอมารวมตัวกันเยอะเข้าแบบนี้ จากที่เคยหยิบจับอะไรได้คล่องก็กลับกลายเป็นวุ่นวายไปเสียแทน   

   “เฮ้อ...แม่ว่าพวกลูก ๆ แต่ละคนไปรอข้างนอกดีกว่า ถ้าจะเหลือลูกมือไว้ล่ะก็ ขอมีนคนเดียวก็พอแล้วจ้ะ”

   วารีบอกกับทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็ยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรู้ตัวดีว่าดันเผลอมาสร้างความวุ่นวายให้กับหญิงสาวเข้าให้แล้ว

   “เอ่อ...ถ้ายังไงผมขออยู่เป็นลูกมือของน้องมีนอีกทีจะได้ไหมครับคุณแม่”

   เมฆายังคงต่อรอง เพราะไม่อยากแยกห่างจากคนรักของตน ทำเอามีนาหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย ส่วนวารีก็ถอนหายใจอีกครั้ง 

   “ก็แล้วแต่เมฆเถอะจ้ะ เพราะขืนไม่ให้อยู่ เดี๋ยวก็มาผลุบ ๆ โผล่ ๆ ให้แม่ได้เห็นอยู่ดีล่ะนะ”

    เมฆายิ้มเจื่อน ส่วนคนอื่นก็ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง เพราะต่างมั่นใจและเชื่อว่าเมฆาจะทำตามที่วารีพูดเช่นนั้นจริงแน่แท้

    “อ้อ...ส่วนคนอื่นก็ไปพักผ่อนให้สบายเถอะนะ พอขนมเสร็จแม่จะให้มีนไปเรียกเองจ้ะ”

   วารีหันมายิ้มหวานแกมบังคับเมื่อเห็นมีบางคนเตรียมจะอาสาอยู่ช่วยต่อ ซึ่งแต่ละคนพอได้ยินก็พากันยิ้มแห้งตอบรับ เพราะวารียังคงยืนยันตามความเห็นเดิมก่อนหน้านั้น

    “ถ้าคุณแม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรล่ะก็ เรียกพวกเราได้ตลอดเลยนะครับ”

   เวทิตบอกก่อนจะเดินจากไปอย่างเกรงใจ ซึ่งเจตต์เองก็รีบพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกับเพื่อนสนิททันที

   “จ้า ๆ ถ้ามีเรื่องให้ต้องใช้แรงงานล่ะก็ แม่จะนึกถึงต้นกับเจก่อนเป็นคนแรกเลยจ้ะ”

   วารีบอกอย่างเอ็นดู ซึ่งก็ทำให้เพื่อนของลูกชายเธอทั้งสองยิ้มออกได้ จากนั้นเมื่อทั้งหมดออกไปจากครัวแล้ว เธอกับลูกชายคนเล็กก็ลงมือทำขนมกันต่ออย่างราบรื่น โดยที่เมฆาที่อาสาอยู่ช่วยนั้น เอาเข้าจริง ๆ แล้วก็แทบจะไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย ทั้งนี้เพราะมืออาชีพทางด้านการครัวทั้งสองคน เหมางานไปทำกันอย่างคล่องแคล่วแล้วนั่นเอง



   ทางด้านคนอื่นเมื่อออกมาจากบ้านพักแล้ว เวทิตก็ถามถึงบิดาของเวหา ซึ่งพอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไปดูแลต้นไม้ตามปกติ เด็กหนุ่มก็รีบอาสาตัวไปช่วยอย่างกระตือรือร้น ทำให้เวหาอมยิ้มแล้วสั่นศีรษะไปมา ก่อนบอกเพื่อนสนิท

   “ถึงไปก็แทบไม่มีอะไรจะทำ ...เพราะพ่อเขามีผู้ช่วยส่วนตัวอยู่แล้ว”

   เวทิตกับเจตต์ขมวดคิ้วยุ่งอย่างประหลาดใจ ซึ่งเวหาก็อธิบายให้เพื่อนทั้งสองฟัง

   “ก็พี่ซันน่ะสิ กลัวพ่อจะเหนื่อยก็เลยหาคนงานให้มาช่วยทำ ทั้ง ๆ ที่พ่อก็บอกไว้แล้วว่ามันสิ้นเปลือง...”

   เวหาเว้นวรรค แล้วเหลือบไปมองคนรักที่ยืนยิ้มข้าง ๆ ตน อย่างเอือมระอา ก่อนจะหันมาเล่าต่อ

   “...แต่พี่ซันก็ยังตื๊อต่อ แถมคนที่พามาแนะนำให้ทำงาน ก็ยังเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับการเกษตร และเจ้าตัวก็อยากทำงานมีเงินเก็บ เพื่อหาซื้อที่ดินทำไร่นาสวนผสมแบบพอเพียงเป็นของตัวเองสัก 1 – 2 ไร่ ในอนาคต พ่อก็เลยใจอ่อนตกลงรับให้ทำงาน...แต่เขาก็ขยันขันแข็งดี แถมยังช่างจดช่างจำ พ่อก็เลยชอบใจ ถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างเต็มที่เลยล่ะ”

     เวหาเล่าถึงตรงนี้ เจ้าตัวก็กวักมือชวนเพื่อนและคนอื่นให้ไปนั่งตรงซุ้มใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านแทน ระหว่างเดินไปนั้นเด็กหนุ่มก็เล่าให้เพื่อนของตนฟังต่อไปเรื่อย ๆ 

     “ส่วนเรื่องเงินเดือน ทีแรกพี่ซันจะให้ผู้ช่วยพ่อรับเงินเดือนจากเขา แต่พ่อไม่ยอม ตกลงกันไปมา สุดท้ายพี่ซันก็ต้องยอมให้พ่อเป็นคนจ่ายเงินเดือนแทน ...แต่พี่ซันก็ถือโอกาสแอบซื้อเครื่องมือโน่นนี่มาเพิ่มให้เรื่อย ๆ อยู่ดี ถ้าพ่อจับได้ทีก็หยุดไปทีล่ะนะ”

   เวหาเล่าแล้วก็หันไปค้อนให้คนรักนิด ๆ ซึ่งรวีก็ยิ้มเจื่อนตอบ แล้วรีบแก้ตัวตามมา

   “โธ่! น้องฟ้าล่ะก็ พี่เองก็อยากให้คุณพ่อได้พักสบาย ๆ นี่ครับ ส่วนเรื่องเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ พี่ก็ซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ได้แพงมากอะไรสักหน่อย”

   “ครับ...ไม่แพงมาก ...แต่ของบางอย่างมันก็ยังใช้งานได้อยู่นะครับ ไม่เห็นจำเป็นต้องซื้อของใหม่มาให้สิ้นเปลืองเลย”

   เวหาบ่นอุบ ซึ่งก็ทำให้รวีหุบปากเลิกโต้แย้ง เพราะรู้ดีว่าคนรักและครอบครัวคนรักไม่ค่อยชอบให้เขาใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อพวกตนเอง แม้ว่าเขาจะเต็มใจและไม่รู้สึกลำบากในการใช้จ่ายนั้นเลยก็ตาม

   “....พี่ขอโทษนะครับ คราวหน้าคราวหลังพี่จะถามความสมัครใจของน้องฟ้าและพวกคุณพ่อ คุณแม่ กับน้องมีน ก่อนนะครับ...น้องฟ้าอย่าโกรธพี่นะครับ”

   พอเห็นรวีเปลี่ยนมาอ้อนตนแทน ก็ทำให้เวหาหน้าแดงระเรื่อ แล้วพยักหน้าพร้อมอุบอิบตอบ

   “ฟ้าก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่ซันหรอกครับ...แค่ไม่อยากให้พี่ซันสิ้นเปลืองก็เท่านั้นเอง”

   คนอื่นที่มองอยู่ต่างอมยิ้มน้อย ๆ มีเพียงแต่เจตต์ที่แกล้งโพล่งแซวทั้งคู่

   “แหม ๆ หวานกันจังเลยนะครับ ช่วยเกรงใจคนไม่มีแฟนหน่อยเหอะครับ”

   “ถ้าอยากมีแฟน ฉันช่วยเธอได้เสมอนะเจ”

   เสียงทุ้มที่แทรกมาจากคนหน้าขรึม ทำเอาคนพูดแซวสะดุ้งโหยง แล้วจึงหันหน้ามาหาคนพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อน

   “ง่า...ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมยังอยากโสดต่ออยู่อีกสักหน่อย”

   เจตต์ตอบเสียงอ่อย ซึ่งเอริคก็พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ด้วยใบหน้าเฉยชาดุจเดิม

   “อย่างนั้นหรือ...ถ้าอยากมีเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน ฉันจะได้เสนอตัวเข้าสมัครเป็นแฟนเธอคนแรกยังไงล่ะ”

   แทบทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ มีเพียงรวีที่อมยิ้มอย่างถูกใจกับความช่างตื๊อของญาติตน ส่วนเวทิตกับเวหาที่มองอยู่ต่างก็ลอบถอนหายใจอย่างระอา เพราะเพื่อนสนิทของพวกเขานั้น ทั้งที่รู้ดีว่ามีคนจ้องจะจับตัวเองเป็นแฟนอยู่แท้ ๆ แต่ก็ยังปากไวหาเรื่องเข้าตัวอยู่เสมออย่างน่าปวดหัวแทน

    “ถ้าจะนั่งคุยกันที่นี่ เดี๋ยวฉันขอตัวไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะซัน”

   เอริคบอกกับรวีที่นั่งลงบนเก้าอี้ในซุ้มพร้อมกับคนอื่น ๆ ซึ่งรวีก็พยักหน้าตอบรับ จากนั้นเอริคก็เดินห่างออกไป ทว่าเท่าที่พวกเวหาสังเกตก็เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นยามที่คุยโทรศัพท์กับปลายสายดูมีสีหน้าขรึมยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ 

   “หมอนั่นเห็นแบบนั้นแต่ธุรกิจรัดตัวน่าดูเลยนะ ...แต่คนอย่างหมอนั่นถึงกับยอมทิ้งงานทิ้งการเพื่อมาเมืองไทย... น้องเจก็ลองคิดดูแล้วกันนะครับว่า น้องเจมีค่ากับเขาขนาดไหน”

   รวีบอกกับเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ทำเอาคนฟังสะดุ้งแล้วกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะยิ้มเจื่อนส่งให้ แล้วจึงเผลอแอบมองคนหน้าเคร่งขรึมที่อยู่ห่างออกไปอย่างลืมตัว



   “...หรือครับ สำเร็จเรียบร้อยแล้วสินะครับ...ขอบคุณมากครับพี่อีธาน”

   เอริคบอกกับปลายสายซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเขา ที่ยามนี้ช่วยรับฝากดูงานบริษัทให้ชั่วคราว 

   “ไม่เป็นไร...อีกอย่างที่เจรจาได้สำเร็จราบรื่น ก็เพราะได้คุณเลขาคนเก่งของนายเขาช่วยเตรียมข้อมูลทางฝ่ายนั้นให้ต่างหาก ส่วนฉันก็มีหน้าที่ไปเจรจาตามเขาสั่งก็เท่านั้นเอง....หึ ๆ"

   ท้ายประโยคเจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เนื่องจากชายหนุ่มผมดำ ลูกครึ่งจีนอเมริกา ผู้มีใบหน้าคมคาย และรูปร่างเพรียวบาง ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลขาของน้องชายตนนั้น กำลังส่งสายตาแกมหมั่นไส้นิด ๆ ที่เขาเอาเจ้าตัวไปนินทากับน้องชายต่อหน้าต่อตาอีกฝ่ายนั่นเอง

   “อ้อ...เกือบลืมไป แล้วตกลงเรื่องซินเดอเรลล่าของนายน่ะ เป็นยังไงบ้าง กำลังหวานชื่นกันอยู่สินะ”

   อีธานถามต่อ ทำเอาคนที่กำลังจะคิดวางสายชะงัก ก่อนจะตอบออกไปตามตรง

   “ยังเลยครับพี่ ...เขายังไม่มีทีท่าจะยอมรับผมเป็นแฟนด้วยซ้ำ”

   เอริคบอกแล้วเหลือบไปมองคนที่ตนหลงรัก ก่อนจะชะงักอีกครั้งเมื่อสบกับสายตาของคนที่ลอบมองตนอยู่ก่อนหน้านั้นพอดี

   “หือ! อะไรกัน! หน้าตาอย่างนายนี่ยังมีใครกล้าปฏิเสธอีกอย่างนั้นหรือ เด็กนั่นตาถั่วหรือเปล่า!”

   ปลายสายโวยวายมาอย่างไม่สบอารมณ์ ที่มีคนปฏิเสธน้องชายคนเล็กสุดที่รักของบ้านเช่นนี้

   “เอริค! เฮ้...นี่นายยังอยู่ในสายไหมน่ะ!”

   เอริคชะงัก เพราะดันเผลอจ้องสบตากับเจตต์นานไปหน่อย ส่วนเด็กหนุ่มนั้นยามนี้หันขวับกลับไป แล้วนั่งเงียบใจเต้นระทึกด้วยความตกใจระคนสับสนในตัวเอง ที่เมื่อครู่เขาดันไม่ยอมหลบตาตอนเอริคหันมา แถมดันเผลอจ้องตาตอบอีกฝ่ายตั้งนานสองนานอีกต่างหาก

   “...ผมฟังอยู่ครับพี่”

   เอริคตอบปลายสายแผ่วเบา ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม พลางเอ่ยต่อก่อนที่ปลายสายจะโวยวายยิ่งกว่านี้

   “เรื่องของผมพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ...ผมไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว พี่ก็รู้ดีไม่ใช่หรือ”

   อีธานที่ฟังอยู่ชะงัก ก่อนจะยิ้มกับโทรศัพท์น้อย ๆ

   “ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะสมกับเป็นน้องชายพี่ ... ขออวยพรให้โชคดีล่วงหน้าล่ะน้องรัก”

   เอริคยิ้มตอบพร้อมกล่าวขอบคุณเบา ๆ ก่อนจะตัดสาย แล้วเดินเข้ามาร่วมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ตามเดิม

   

   “ไง เอริค ...มีอะไรดี ๆ หรือเปล่า ถึงได้ดูอารมณ์ดีผิดเคยเชียว”

   รวีที่รู้จักสนิทสนมกับอีกฝ่ายมานานเอ่ยทัก ทำเอาอีกสามคนที่เหลือต้องมองทั้งคู่สลับกันตาปริบ ๆ เพราะเอริคก็ยังคงหน้านิ่งเฉยชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเท่าไรนัก

   “ก็ไม่มีอะไรมาก...ก็แค่ลูกค้าที่ฝากให้พี่อีธานช่วยดูแล ตกลงทำสัญญาเรียบร้อยแล้วก็เท่านั้นล่ะ”

   เอริคตอบเสียงเรียบแต่กลับใช้สายตาปรายมามองหนึ่งในนั้นที่กลืนน้ำลายลงคอ และพยายามหลบสายตาอีกฝ่ายอย่างเต็มที่

   “โอ...ข่าวดีสินะ ว่าแล้วเชียวถึงได้ดูอารมณ์ดีผิดเคย...หึ”

   รวีเปรยพร้อมกับยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ มองสายตาของญาติตนก็พอจะรู้แล้วว่าเอริคนั้นอารมณ์ดีเรื่องอะไรกัน  เพราะตั้งแต่เมื่อครู่เขาเห็นเจตต์นั้นเลิ่นลั่กผิดปกติ  ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัญญาณอันดี เพราะถ้าเด็กหนุ่มไม่คิดอะไรกับญาติของเขาเลย ก็คงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ให้ได้เห็นเป็นแน่

   “...ง่า คือเดี๋ยวผมต้องขอตัวแป๊บนะครับ ...คือ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ไว้ในห้อง ..เกิดทางบ้านโทรมาแล้วไม่รับจะเป็นห่วงเอา”

   เจตต์รีบลุกพรวดแล้วอ้างเหตุผลกับทุกคน ทว่ายังไม่ทันจะเดินห่างจากซุ้มไปไม่กี่ก้าวดี เอริคก็ลุกแล้วก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว

   “ถ้าอย่างนั้นฉันไปเป็นเพื่อน”

   เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง เนื่องจากที่อ้างไปก็เพราะไม่อยากนั่งใกล้อีกฝ่ายให้รู้สึกแปลก ๆ ยิ่งกว่าเดิม แต่นี่เอริคดันอาสาเดินตามมาด้วย เขาคงไม่แคล้วต้องหลุดแสดงท่าทางชวนให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดยิ่งขึ้นแน่

   “ต้น...”

   เจตต์หันไปมองเพื่อนสนิทแล้วเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอน จนเวทิตอดใจอ่อนไม่ได้

   “เฮ้อ...งั้นผมก็ขอไปด้วยคนแล้วกันนะครับ พอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบโทรศัพท์มาติดตัวไว้เหมือนกัน”

   เอริคเหลือบมองเด็กหนุ่มอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ส่วนเจตต์พอเห็นเพื่อนไม่ทิ้งตนเขาก็ขยับมาเกาะแขนเวทิตหวังเอาเป็นที่พึ่ง จนอีกฝ่ายต้องมองตาปริบ ๆ ยิ่งได้เห็นสายตาคมกริบจ้องมาที่พวกเขา เด็กหนุ่มก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

   “งั้นก็ไปหยิบมือถือกันเถอะครับ จะได้กลับมารวมกลุ่มรอกินขนมฝีมือของคุณแม่กันต่อ”

   “อื้อ ๆ ไปเลยไป”

   เจตต์รับคำ เพราะรู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรที่จับจ้องมานั่นเหมือนกัน

   “ก็ดีเหมือนกัน...”

   เอริครับคำเสียงเรียบ จากนั้นทั้งสามก็เดินตรงไปที่บ้านพัก ซึ่งเอริคก็เลือกที่จะรอหน้าบ้านไม่ตามเข้าไป สร้างความโล่งอกให้กับเจตต์ยิ่งนัก

   

   “ไม่ต้องมาทำสีหน้าโล่งอกโล่งใจแบบนั้นเลย...นั่งอยู่ด้วยกันก็ดีอยู่แล้ว คิดยังไงถึงสร้างสถานการณ์ให้เขาตามมาสองต่อสองแบบนั้นกันเล่า”

   เวทิตบ่นเพื่อนเบา ๆ หลังจากที่เดินเข้ามาในบ้านพักด้วยกันสองคน

   “บ้ารึ! ใครอยากสร้างสถานการณ์ให้เขาตามมากัน!”

   เจตต์แย้งอย่างไม่ดังนัก ซึ่งเวทิตก็ถอนหายใจ แล้วเอ่ยตอบ

   “ก็แบบที่นายทำอยู่นั่นล่ะ  นี่ถ้านายปิ๊งเขาอยู่ก่อน ฉันคงเผลอคิดว่านายตั้งใจชวนเขาไปจู๋จี๋กันสองต่อสองแล้วด้วยซ้ำ”

   เจตต์เบิกตากว้าง แล้วรีบอธิบายแก้ตัวตามมา

   “ไม่ใช่นะ! ฉันก็แค่รู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่ใกล้เขา เลยหาเรื่องปลีกตัวหนีมาต่างหาก!”

   พอโพล่งออกไปเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงแล้วรีบตะครุบปิดปากตัวเอง ที่ดันเผลอเล่าความในใจให้เพื่อนฟังจนหมด

   “รู้สึกแปลก ๆ นี่นะ....อย่าบอกนะเจ ว่านายเริ่มชอบคุณเอริคเข้าให้แล้วน่ะ”

   เวทิตทวนคำอย่างนึกอึ้ง แต่ก็ไม่ค่อยถึงกับแปลกใจมากนัก เพราะลองเจอคนหน้าตาดีมาดสุภาพบุรุษแบบนั้นคอยตามตื๊อตามรับส่งอยู่ทุกวัน ถ้าไม่ใจแข็งนัก ก็คงอดหวั่นไหวเข้าให้ไม่ได้อยู่ดี

   “ไม่ใช่สักหน่อย! ฉันแค่บอกว่ารู้สึกแปลก ๆ เท่านั้นเอง!”

   เจตต์รีบแย้งเสียงดังอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งแล้วเผลอเหลือบไปมองทางเข้าบ้าน แต่พอไม่เห็นว่าเอริคจะเดินตามเข้ามา เขาก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะดึงมือเพื่อนให้เข้าไปคุยในห้องของตนแทน

   “ฉันเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่ใกล้เขาในตอนนี้ใช่ไหมล่ะ...เพราะงั้นก่อนที่มันจะพัฒนาเป็นอย่างอื่นที่แย่ไปกว่านี้ ...ฉันว่าฉันหาทางเลี่ยงให้อยู่ไกลเขามากที่สุดก็คงจะดี ...บอกตรง ๆ ว่ะต้น ฉันยังไม่อยากเปลี่ยนสายไปชอบไม้ป่าเดียวกัน...ไม่ใช่ฉันรังเกียจหรอกนะ แต่ฉันยังไม่กล้าพออ่ะ ...ก็ชอบสาวมาทั้งชีวิต จู่ ๆ จะให้เปลี่ยนมันก็ทำใจลำบาก”

   เจตต์บ่นอุบอิบ หากแต่เวทิตนั้นก็เข้าใจในความรู้สึกของเพื่อนสนิทดี เพราะถ้าเป็นเขาก็คงกลุ้มใจอยู่เหมือนกัน

   “เอาเถอะ ...เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของนาย ฉันก็จะยกให้เป็นการตัดสินใจของนายโดยไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวล่ะนะ แต่ถ้ามีอะไรต้องการปรึกษา ก็มาคุยกับฉันได้ตลอดเวลา ถึงแม้จะช่วยแนะนำอะไรไม่ได้ แต่ก็เป็นที่รับฟังได้นะ ...กับฟ้าก็เหมือนกัน ฉันคิดว่าเขาก็คงเต็มใจและเคารพในการตัดสินใจของนายเหมือนกับฉันนั่นล่ะ”

   เจตต์มองเพื่อนอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมา เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบา ๆ

   “เจอมือถือหรือยังเจ...จะให้ฉันไปช่วยหาให้ไหม”

   เสียงของเอริคดังขึ้นจากนอกห้อง ทำให้เวทิตหันไปมองแล้วถอนหายใจ

   “ฉันว่านายรีบหยิบมือถือของนายแล้วไปรวมตัวกับพวกเราดีกว่านะเจ ...ต่อให้นายจะรู้สึกแปลก ๆ ยังไง แต่ก็ดีกว่าให้อยู่กับเขาสองต่อสองจริงไหมล่ะ”

   เจตต์ยิ้มเจื่อมพร้อมกับพยักหน้ารับ ส่วนเวทิตนั้นเดินออกจากห้องไปก่อน เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าขรึม ๆ ของชายหนุ่มที่มองมา ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงยิ้มตอบ ก่อนจะบอกกับคนที่ยืนอยู่เบา ๆ

   “เพื่อนของผมมันเป็นพวกขี้กลัวและชอบตีโพยตีพายจินตนาการไปเองก่อนเสมอ ถ้าคุณไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของคุณติดลบในความคิดของเขานัก ผมว่าเรื่องตามหึงหวงนี่ ช่วยลด ๆ ลงหน่อยจะดีไม่น้อยนะครับ เอาไว้ถ้าหมอนั่นรับรักคุณจริงเมื่อไหร่ล่ะก็ จะตามหึงตามหวงก็ยังไม่สาย…จริงไหมครับ”

   เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่ใบหน้าขรึมนั้นจะผ่อนคลายและมีรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาแทน

   “ขอบใจที่ช่วยเตือน...และแนะนำ”

   “ขอเป็นช่วยเตือนเฉย ๆ จะดีกว่าครับ ...ขืนแนะนำด้วย เดี๋ยวหมอนั่นมันจะหาว่าผมขายเพื่อนพอดี”

   เวทิตบอกอย่างนึกขำแล้วขอตัวเลี่ยงไปเข้าห้องตัวเอง เมื่อเหลือบเห็นว่าเจตต์นั้นกำลังเดินตรงมาที่ประตูอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ



   “อ้าว...จะไปไหนน่ะต้น”

   เด็กหนุ่มรีบถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทผลุบเข้าห้องไปเมื่อเขาออกมา

   “เขาก็จะไปหยิบมือถือบ้างน่ะสิ...พวกเธอมาบ้านพักเพื่อที่จะเอามือถือไม่ใช่หรือไง”

   เอริคตอบคำถามนั้นแทน ทำให้เจตต์สะดุ้งแล้วหันมาฝืนยิ้มเจื่อนให้กับคนพูด ก่อนจะรีบหลบสายตาก้มมองลงพื้น แล้วยืนกำมือยุกยิกทำอะไรไม่ถูก จนคนมองเริ่มสงสาร

   “ฉันไปรอข้างนอกก่อนนะ ...ถ้าเพื่อนเธอได้มือถือแล้วก็ตามไปแล้วกัน”

   บอกจบเอริคก็เดินตรงไปยังประตูทางออก ทำเอาเจตต์ที่เงยหน้าทันเห็นแค่แผ่นหลังอีกฝ่ายเดินจากไปเท่านั้น

   “อ้าว...คุณเอริคล่ะ ไม่ได้ยืนรอด้วยกันหรอกหรือ”

   เวทิตที่ออกมาจากห้องพร้อมมือถือเอ่ยถาม ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสนิท

   “ง่า...เห็นบอกว่าจะไปยืนรอข้างนอกก่อนน่ะ”

   “อืม...งั้นหรือ ก็ดีนะ ยังเว้นช่องว่างให้กันบ้าง นึกว่าจะเป็นพวกเอาแต่คอยตื๊อไม่เลิกจนน่ารำคาญเสียอีก”

   เวทิตบอกยิ้ม ๆ แล้วชวนเพื่อนให้ออกไปพร้อมกับตน ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งนิด ๆ เพราะดันเผลอคิดอะไรเพลิน ๆ เกี่ยวกับคนที่รออยู่ข้างนอกนั่นเข้าให้อีกแล้ว



... TBC ...

ทยอยลงให้อ่านวันละตอนในช่วงนี้ไปก่อน แต่พอถึงช่วงสงกรานต์ข้าพเจ้าจะอู้นะคะ แหะ ๆ

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 3 [ 7/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-04-2015 23:20:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 4 [ 8/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 08-04-2015 23:45:52
แวะมาโพส ซะเกือบหมดวัน ขอโทษทีค่า แหะ ๆ (แบบว่าลืม)

...................................................................................

ตอนที่ 4


    เจตต์เดินออกมาก็เห็นว่าเอริคยืนกอดอกพิงผนังบ้านอยู่ ชายหนุ่มหันมามองแล้วยกยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ ทำเอาคนที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นชะงัก เผลอยืนนิ่งก้าวขาไม่ออก จนเวทิตที่เดินนำไปก่อนต้องหันมามองอย่างแปลกใจเมื่อไม่เห็นเพื่อนเดินตามมา

   “เป็นไรวะเจ ยืนนิ่งเชียว”

   “เอ๋? ฉันน่ะหรือ...ง่า...ไม่มีอะไร”

   เจตต์ชะงักก่อนจะรีบแก้ตัว พลางเดินก้มหน้างุด ๆ ตามเวทิตไป ซึ่งปฏิกิริยาที่ได้เห็นก็ทำเอาชายหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ แล้วจึงเดินตามไล่หลังทั้งคู่ไปติด ๆ



   หลังจากกินแกงบวชฟักทองฝีมือวารีกันเรียบร้อย พวกหนุ่ม ๆ ก็อาสาช่วยกันเก็บล้างจาน แล้วปลีกตัวออกมานั่งเล่นรับลม พูดคุยกันที่ศาลาริมน้ำบ้านเรือนไทยของรวี ซึ่งพอเจตต์เห็นน้ำคลองใสสะอาด เจ้าตัวก็สะกิดเพื่อนสนิทยิก ๆ ทันที

   “ต้น...ว่ายน้ำเล่นกันมะ...ฟ้า ในน้ำไม่มีปลิงใช่หรือเปล่า”

   แม้จะอยากเล่นน้ำมากเพียงไหน แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี เพราะเด็กหนุ่มนั้นไม่ค่อยจะถูกโรคกับเจ้าตัวลื่น ๆ หยุ่น ๆ นั่นสักเท่าไรนัก

   “ไม่มีหรอก นายอยากเล่นน้ำหรือไงเจ”

   เวหาตอบยิ้ม ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกหงักตามมา

   “อื้อ! น้ำใสน่าเล่นขนาดนี้ แถมอากาศก็ยังเป็นใจ แดดร่มลมตก ...แหม! นี่ถ้ามีแพยางใหญ่ ๆ จะเอามานอนอาบแดดอาบลม ล่องไปตามคลองให้สบายใจเลย...”

   “แล้วไม่กลัวไอ้เข้มันคาบไปกินหรือไง”

   เสียงเวทิตที่แทรกขัดขึ้นทำเอาคนกำลังเพ้อสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันขวับไปทางเพื่อนอีกคนทันที

   “เฮ้ย! ที่นี่มีจระเข้ด้วยหรือฟ้า!”

   “ฮะ ๆ ไม่มีหรอก หรือถึงจะมีแต่ฉันก็ยังไม่เคยเจอสักทีล่ะนะ”

   เวหาตอบทีเล่นทีจริง ทำเอาคนอยากเล่นน้ำหน้าซีด จนเวทิตที่เริ่มต้นแหย่นึกสงสารเพื่อน เลยคิดจะแก้ตัว ทว่า...

   “ถ้าเธออยากเล่นน้ำจริง ๆ เดี๋ยวฉันคอยเป็นบอดี้การ์ดดูแลให้เอง...เพราะงั้นเล่นให้สบายเถอะ”

   เอริคพูดขัดขึ้นด้วยสีหน้าขรึมน้อย ๆ ตามแบบฉบับของเจ้าตัว ทว่าน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มทุ้มอ่อนโยนนั่น ทำเอาบางคนรู้สึกเขินแทนเจตต์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   “ง่า...ขอบคุณครับ”

   เจตต์พูดอะไรไม่ถูก ตอนนี้ความรู้สึกอยากเล่นน้ำมันหายไปกว่าครึ่ง ไม่ใช่ว่าเพราะกลัวจระเข้หรืออะไรในนั้น หากแต่เป็นเพราะถ้าต้องลงไปเล่นตอนนี้ เขาคงจะถูกแววตาคมกริบนั่นจับจ้องหลังจากนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นแน่

   “อืม...จะว่าไปก็น่าสนุกดีนะ ฟ้ากับพวกพี่ซันจะเล่นน้ำด้วยกันเลยไหมล่ะครับ”

   เวทิตพูดโพล่งขึ้นเพราะอ่านบรรยากาศความอึดอัดของเพื่อนออกเป็นอย่างดี ซึ่งก็ทำให้เจตต์นั้นลอบถอนหายใจ และมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

   “ดีเหมือนกัน ...แล้วพี่ซันล่ะครับ”

   รวียิ้มน้อย ๆ ส่งให้อีกฝ่าย ก่อนจะปฏิเสธออกไป

   “พี่ขอนั่งดูน้องฟ้าเล่นอยู่บนนี้ดีกว่าครับ...เกิดฉุกละหุกยังไงจะได้ช่วยเหลือทัน”

   เวหาชะงัก แล้วหน้าแดงนิด ๆ เพราะดันหวนคิดถึงตอนที่รวีมาช่วยเขาที่กำลังจะจมน้ำเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาได้

   ส่วนทางด้านรวีพอเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของคนรัก เขาก็ชักไม่อยากให้เวหาเล่นน้ำ แต่อยากพาไปนั่งคุยหวาน ๆ กันตามลำพังเสียมากกว่าขึ้นมาแล้ว

   

   หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสามก็ขอตัวลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยที่มีนานั้นไม่ได้ตามลงไปเล่นด้วย แต่เจ้าตัวชวนเมฆาไปยกน้ำหวานกับขนมมาเตรียมไว้ให้ทั้งคนที่เล่นน้ำและไม่ได้เล่นน้ำแทนนั่นเอง

   “ไม่เสียแรงที่เป็นญาติกัน...เรื่องที่เขาจะยอมรับรักนายน่ะ มันก็คงอีกไม่นานนักล่ะสินะ”

   รวีเอ่ยแซวญาติของตน เมื่อเห็นสายตาอ่อนโยนของเอริคเอาแต่จับจ้องมองร่างของเจตต์แทบจะไม่วางตาเลยทีเดียว   

   “ฉันก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้น...ปฏิกิริยาโต้ตอบในช่วงหลังของเด็กนั่น มันทำให้ฉันรู้สึกคาดหวัง...ว่าเขาจะเริ่มคิดอะไรกับฉันในแง่นั้นเข้าบ้างให้แล้วก็ได้”

   เอริคพึมพำตอบโดยไม่คิดละสายตาจากเด็กหนุ่ม ซึ่งรวีก็อมยิ้มก่อนจะหันไปมองคนรักของตนเช่นกัน

   “ฉันเข้าใจ...ตอนที่น้องฟ้าแสดงให้เห็นว่าไม่ได้รังเกียจฉัน และเริ่มยอมรับฉัน...ตอนนั้นฉันดีใจแทบตายแน่ะ จนถึงวันนี้ฉันยังจำความรู้สึกในวันที่เขาบอกรักฉันครั้งแรกได้อยู่เลย มันมีความสุขจริง ๆ ...แล้วฉันก็ภาวนาให้นายได้รู้สึกถึงความสุขแบบนั้นเหมือนกันในสักวันนะ เอริค”

   รวีบอกแล้วหันมองคนข้าง ๆ ที่ก็ละสายตามายิ้มน้อย ๆ ให้กับเขา

   “ขอบคุณ...ฉันก็หวังว่าวันนั้นจะเข้ามาในชีวิตของฉันบ้างล่ะนะ”

   รวียิ้มตอบ จากนั้นก็ต่างจ้องมองคนที่ตนพึงใจเล่นน้ำดำผุดดำว่าย จนพอพวกมีนากลับมาพร้อมขนมและน้ำหวาน รวีก็ตะโกนเรียกให้ทั้งสามที่ดูท่าทางจะเริ่มเหนื่อยให้ขึ้นมาพักข้างบนศาลาก่อน



    “เฮ้อ! สนุกชะมัด!”

   เด็กหนุ่มหน้าตี๋เปรยขึ้น ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเมื่อน้องชายเพื่อนยื่นน้ำหวานส่งมาให้เขา

   “ขอบคุณครับน้องมีน แหม! ดื่มน้ำหวาน ๆ ที่คนน่ารักชงให้ มันยิ่งหวานขึ้นหลายเท่าเลยน้า”

   มีนายิ้มรับอย่างไม่ถือสากับคำแซวนั้น หากแต่เมฆากลับกระแอมเบา ๆ แล้วส่งสายตาคมกริบมายังคนพูดทำเอาเจตต์ที่ได้เห็นสะดุ้งโหยง แต่พอแสร้งเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เด็กหนุ่มก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นเอริคกำลังจ้องเขาเขม็งด้วยแววตาวาววับอย่างน่ากลัว

   “ง่า...”

   เจตต์พูดอะไรไม่ออก และพอเขาเบือนสายตาหนีไปอีกทาง เขาก็เห็นเพื่อนสนิททำปากอุบอิบบ่นเขาจับความได้คล้าย ๆ กับคำว่าปากหาเรื่อง หรืออะไรสักอย่างที่ความหมายใกล้เคียงกัน

   “อ้าว...เจ แขนนายเลือดไหลแน่ะ”

   เวหาที่หันไปเห็นแขนของเพื่อนที่มีเลือดไหลซึมยาวเข้าพอดีเอ่ยทักอย่างตกใจ ซึ่งเจตต์พอได้ยินดังนั้นเจ้าตัวก็สะดุ้งโหยง แล้วยกแขนตัวเองขึ้นดูทั้งสองข้าง ปรากฏว่าที่แขนซ้ายของเขามีรอยขีดข่วนยาวราวสิบเซนติเมตร และมีเลือดไหลซึมออกมาไม่มากนัก

   “เห...มาได้ไงเนี่ย...อูย แสบแผลอ่ะ!”

   คนที่ก่อนหน้านั้นยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอเห็นแผลก็ออกอาการเจ็บหนักเสียจนเวทิตที่มองอยู่หมั่นไส้

   “แผลโดนข่วนเล็กนิดเดียวอย่าสำออยนักเลยน่ะ แค่นั้นเลียก็หายมั้งน่ะ!”

   “เชอะ! เลียก็หาย งั้นนายก็มาเลียแผลให้ฉันสิวะ!”

   เจตต์เถียงกลับ ก่อนจะเดินเซไปนั่ง เพราะเจ้าตัวเป็นโรคแพ้เลือด จะมากหรือน้อยเห็นแล้วก็พาลจะเป็นลมขึ้นมาให้ได้

   “เหอะ...จะให้ฉันเลียนี่นะ...”

   พูดได้แค่นั้นเวทิตก็อ้าปากค้าง เมื่อคนตัวสูงลุกจากที่นั่งมาคุกเข่าต่อหน้าเจตต์ที่นั่งอยู่ ก่อนจะจับแขนข้างซ้ายของอีกฝ่ายมาเลียแผลให้ นัยน์ตาคมกริบจับจ้องประสานกับเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ซึ่งหลังจากคลายตกตะลึงแล้ว เจตต์ก็หน้าแดงวาบตามมา แล้วรีบดึงแขนกลับ ก่อนจะโพล่งขึ้นดังลั่น

   “ผะ...ผม ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาว ๆ ยังไงไม่รู้!”

   บอกแล้วเจ้าตัวก็ลุกจากที่นั่งแล้ววิ่งจ้ำอ้าวไปที่บ้านพัก ทิ้งให้แต่ละคนที่ยังอึ้งไม่หายจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น อึ้งซ้ำเข้าไปอีก ทว่าเอริคนั้นกลับลุกขึ้นยืนแล้วหันไปถามทางเวหาแทน

   “บ้านที่เจพัก มีกล่องปฐมพยาบาลไหม”

   เวหาพอได้ยินดังนั้นก็ชะงัก แล้วรีบบอกตามมา

   “มะ..มีครับ อยู่ในตู้กระจกของห้องครัวน่ะครับ”

   เอริคพยักหน้าแล้วเตรียมจะเดินไปทางเดียวกับที่เจตต์เดินไป ทำเอาเวทิตที่รู้สึกตัวรีบตะโกนถาม

   “คุณเอริคจะไปไหนหรือครับนั่น!”

   “...ก็จะไปปฐมพยาบาลให้เพื่อนของเธอไงล่ะ...น้ำลายน่ะไม่ช่วยฆ่าเชื้อโรคหรอกนะ”

    เอริคตอบเสียงเรียบแล้วจึงเดินจากไป ทิ้งให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะหันมาพึมพำกับเพื่อนอีกคน

   “รู้อย่างนั้นแล้วเขาจะยังเลียแผลให้เจมันเตลิดทำไมวะนั่น”

   “ไม่รู้สิ...”

   เวหาตอบกลับอย่างมึนงง หากแต่รวีนั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกกับทั้งคู่

   “พี่ว่าพี่เดาได้นะครับ”

   “อะไรหรือครับพี่ซัน”

   เวหาหันมาถามคนรัก ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มแล้วอธิบายให้ฟัง

   “ก็เพราะหมอนั่นหึงที่น้องเจ จะให้น้องต้นเลียแผลเขายังไงล่ะครับ ก็เลยทำตัดหน้าเสียเลย”

   ทั้งเวทิตกับเวหารับฟังตาปริบ ๆ แล้วจึงพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา ทว่ามีนากลับหลุดคำพูดในอีกแบบที่ทำเอาคนอื่นโดยเฉพาะเมฆาสะดุ้งโหยง

   “แต่มีนว่า คุณเอริคดูเท่ดีอ่ะ ถ้าเป็นมีนถูกทำแบบเมื่อครู่นี้คงเขินแย่...อ๊ะ”

   เด็กหนุ่มอุทานเบา ๆ เมื่อมือใหญ่ของคนรักจับหมับที่บ่าทั้งสองข้าง พลางพลิกกายหมุนให้ร่างบางหันมาเผชิญหน้ากับตน

   “น้องมีนอยากถูกเลียบ้างหรือครับ...พี่ช่วยได้นะครับ จะให้เลียตรงไหน พี่ทำให้ได้ทั้งนั้น”

   รอยยิ้มกับตาวาววับของอีกฝ่ายทำให้มีนาชะงัก เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นโมโหหึงกับคำพูดเขาให้อีกแล้ว

   “พี่เมฆบ้า...มีนหมายความว่า ที่คุณเอริคทำลงไปน่ะ มันทำให้เขาดูเท่ต่างหาก...ไม่ได้หมายถึงว่ามีนไปหลงเสน่ห์เขาสักหน่อย...มีนมีคนเท่ที่สุดของมีนอยู่ตรงหน้าทั้งคนแล้ว มีนไม่ไปหลงชอบใครคนอื่นอีกหรอกน่า”

   คำพูดของคนรักตัวน้อย ทำเอาความโมโหหึงที่มีพัดปลิวหายไปจนหมดสิ้น เมฆาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรวบร่างนั้นมากอดอย่างไม่เกรงสายตาคนอื่นที่อยู่ด้วย

   “ทีหลังน้องมีนอย่าเที่ยวไปชมใคร จนทำให้พี่เข้าใจผิดแบบนี้อีกนะครับ...”

   “อื้ม...อ๊ะ! พี่เมฆ ปล่อยได้แล้ว คนอื่นก็อยู่เห็นไหม!”

   มีนาที่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยรีบโวยวายด้วยใบหน้าแดงก่ำ เห็นดังนั้น รวีจึงถือโอกาสชวนเวหาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง ซึ่งเวหาก็เหลือบมามองเพื่อนสนิทอย่างเกรงใจ ทำเอาเวทิตสะดุ้งโหยง แล้วรีบโบกไม้โบกมือพร้อมบอกตามมา

   “ไม่เป็นไร ๆ ฉันก็ว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เหมือนกัน”

   “จะดีหรือครับน้องต้น ถ้าเข้าไปตอนนี้ก็ไปขัดจังหวะน้องเจเข้าให้สิครับ”

   รวีขัดขึ้นทำเอาเวทิตสะดุ้งโหยงพลางส่งยิ้มเจื่อนแล้วก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง

   “ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องอยู่สภาพนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือครับ”

   รวีมองคนพูดแล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ

   “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ...เอางี้สิครับ น้องต้นยืมเสื้อผ้าของพี่ใส่ก่อนก็ได้ ส่วนเสื้อผ้าที่เปียกก็ใส่เครื่องซักอบให้เรียบร้อยไปเลย”

   “งั้นฟ้าก็ยืมเสื้อพี่ซันใส่บ้างได้ไหมล่ะครับ...จะได้ไม่ต้องเดินไปเปลี่ยนถึงบ้าน”

    เวหาเอ่ยขึ้นบ้างเพราะเห็นว่าสะดวกดี แต่นั่นกับทำให้คนฟังชะงัก แล้วเผลอคิดจินตนาการบางอย่างตามมา

   “เอ่อ...ก็ดีนะครับ..แต่พี่กลัวจะคุมตัวเองลำบาก แหะ ๆ”

   เวหาขมวดคิ้วอย่างงุนงง ทว่าพอลองคิดตามเขาก็หน้าแดงวาบ ส่วนเวทิตนั้นหัวเราะเจื่อน ๆ แล้วบอกกับทั้งคู่

   “ผมว่านะ ผมยอมไปขัดจังหวะคุณเอริคดีกว่า ...อีกอย่างขืนปล่อยให้เจอยู่กับเขาตามลำพัง ผมกลัวหมอนั่นจะสติแตกแล้วหนีกลับบ้านไปก่อนน่ะสิครับ”

    คำพูดของเวทิตทำให้เวหาที่รู้จักเจตต์ดีพอ ๆ กันชะงักน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

   “นั่นสินะ...หมอนั่นบทจะสติแตกก็ทำอะไรบ้า ๆ อย่างที่เราแทบจะคาดไม่ถึงได้เหมือนกันล่ะนะ”

   “อื้อ... เพราะงั้นเชิญนายกับพี่ซันตามสบายเลยนะ ฉันคงไม่เข้าไปขัดหรอก”

   เวทิตยิ้มนิด ๆ ทำเอาคนฟังหน้าแดงวาบ

   “บ้ารึ! พวกฉันไม่ได้จะไปทำอะไรกันสักหน่อย”

   “ง่า...จะไม่ทำอะไรเลยจริง ๆ หรือครับน้องฟ้า”

   รวีแทรกขัดมาทำให้คนฟังหน้าแดงวาบ ยิ่งได้เห็นเมฆามองมายิ้ม ๆ และมีนาจ้องมองตนเองอย่างเขิน ๆ  ส่วนเวทิตก็ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับเขา ทำเอาเวหายิ่งหน้าแดงก่ำแล้วตัดสินใจวิ่งหนีกลับบ้าน ทำเอารวีสะดุ้งโหยง

   “เดี๋ยวครับน้องฟ้า! รอพี่ด้วยสิครับ!”

   ชายหนุ่มรีบวิ่งตามคนรักไปติด ๆ เรียกเสียงถอนหายใจจากอีกสามคนไล่เลี่ยกัน

   “งั้นผมกลับไปเปลี่ยนชุดกับดูเจก่อนดีกว่าครับ...ตามสบายเลยนะน้องมีน”

   ท้ายประโยคเวทิตแกล้งกะพริบตาส่งให้กับมีนา ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าแดงวาบ ส่วนเมฆาหัวเราะเบา ๆ แต่ยังคงโอบบ่าคนรักมาแนบชิดตนมากขึ้น

   “พวกพี่ ๆ นี่นะ...รักกันหวานชื่นขนาดนี้ ยังจะขี้หวงกันอีก ไม่เข้าใจเลยแฮะ”

   เด็กหนุ่มบ่น แล้วโบกมือให้มีนาค่อย ๆ ก่อนจะเดินกลับบ้านพักไปอย่างไม่รีบร้อนนัก ส่วนเมฆานั้นถอนหายใจเบา ๆ ก็เข้าใจดีว่าทั้งเจตต์และเวทิต แต่ละคนไม่มีใครคิดเกินเลยกับมีนาแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหึงหวงทุกครั้งที่มีคนอื่นพูดคุยกับมีนาอย่างสนิทสนม

   “พี่เมฆ...พี่ยังหึงผมกับพวกพี่เจและพี่ต้นอีกไหมครับ”

   มีนากระตุกแขนเสื้อคนรักแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าแกมกังวลนิด ๆ ซึ่งก็ทำให้เมฆายิ้มน้อย ๆ พร้อมตอบกลับ

   “ตอนนี้ก็ไม่แล้วล่ะครับ ...เพราะรู้แล้วนี่นาว่าน้องมีนน่ะ รักแค่พี่คนเดียวเท่านั้น”

   “พี่เมฆบ้า! พูดอะไรก็ไม่รู้...”

   มีนาตีแขนคนรักเผียะ หน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน แล้วจึงคล้องแขนของอีกฝ่ายก่อนจะพูดพึมพำแผ่วเบา

   “มีนรักพี่เมฆคนเดียวนะ...จำเอาไว้ให้ดี ๆ ด้วยล่ะ”

   เมฆายิ้มกว้างแล้วก้มลงจูบเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งป้อนขนมให้กัน และนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว

   

   อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่วิ่งหนีมาจากทุกคนด้วยความตกใจแล้ว เจตต์ก็วิ่งเข้าไปในบ้านพักตรงเข้าไปในห้องตัวเอง ใจเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งเห็นรอยแผลที่ยังคงมีเลือดซึมอยู่เล็กน้อยนั่น เขาก็ยิ่งหน้าแดงก่ำหนักเข้ากว่าเดิม แต่พอรู้สึกตัวเด็กหนุ่มก็ต้องอุทานเบา ๆ เพราะพื้นห้องที่เป็นปาเก้ไม้สักขัดมันสวยอย่างดี กำลังเปียกนองน้ำจากเสื้อผ้าของเขา

   “หวา...ลืมไปเลย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า”

   บอกกับตัวเองแล้วเด็กหนุ่มก็รีบหยิบผ้าขนหนูเขาไปในห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้า อาบน้ำราดตัวอีกครั้ง แล้วเอาผ้าเปียกใส่ตะกร้าในห้อง ก่อนจะพันผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ ทว่าเขาก็ต้องชะงักฝีเท้ากึก เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนกำลังนั่งรออยู่บนเตียงของตน

   “คะ...คุณเอริค...”

   เอริคเองก็ชะงักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มในสภาพนั้น เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ พลางลุกขึ้นยืน แล้วบอกขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   “แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วค่อยตามไปที่ห้องรับแขก เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้”

   เจตต์สะดุ้งแล้วเตรียมจะบอกปฏิเสธ หากแต่อีกฝ่ายก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

   “ถ้าไม่เอาแบบนั้น ฉันก็จะอยู่รอทำแผลให้เธอในห้องนี้แทน...เลือกเอาแล้วกัน”

   “งะ...งั้น ผมเลือกแบบแรกดีกว่าครับ”

   เจตต์รีบบอก เพราะคนที่ยืนและเตรียมจะเดินออกไป เดินกลับมาที่เตียงของตนและนั่งลงอีกครั้ง

   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปรอข้างนอก...แล้วรีบตามมาเร็ว ๆ ล่ะ”

   เอริคบอกกึ่งบังคับ ทำให้เจตต์กลืนน้ำลายลงคอ แต่ก็ยังรู้สึกโล่งอกที่ชายหนุ่มยอมเดินออกจากห้องของตนไปอย่างง่าย ๆ เด็กหนุ่มรีบตามไปล็อกประตูห้อง และเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงว่าขืนช้ากว่านี้ อีกฝ่ายอาจจะตามมาเคาะประตูห้องของตนอีกครั้ง และบางทีอาจจะถึงขั้นพังเข้ามาถ้าเขาไม่ยอมเปิดให้ก็เป็นได้



....TBC .....


หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 4 [ 8/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 09-04-2015 01:09:27
 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 4 [ 8/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 09-04-2015 13:27:47
โธ่ น้องเจ อย่ากลัว เอริค ไปเลยเค้าแค่เป็นห่วงเฉยๆ

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 4 [ 8/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-04-2015 13:40:13
 :mew3:  กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหวมากกว่ามั้งน้องเจ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 4 [ 8/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 09-04-2015 23:34:51
โอ๊ยยยย อ่านอย่างจุใจ ขอบคุณคนแต่งค่า กดบวกกดเป็ด ><
หนูเจตต์ไม่รอดมือเอริคแหงๆ จีบกันขนาดนี้ เขินอ่า เฮียแกไม่แคร์สายตาใครเลยจริงๆ
คู่น้องฟ้า น้องมีนน่ารัก หวานกันเสมอต้นเสมอปลาย
อ่านไปอ่านมาชักสงสารต้นง่ะ เดียวดายอยู่ลำพัง  :laugh:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 5 [ 10/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 10-04-2015 11:51:53

ตอนที่ 5


    ทางด้านเอริคหลังออกมาจากห้องของเด็กหนุ่ม เขาก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะดันเผลอใจเต้นเข้าให้กับร่างเปลือยท่อนบนของเจตต์ โชคดีที่เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้ามากนัก เลยทำให้ไม่หลุดอาการอะไรออกไป ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงจะกลัวและตีตนออกห่างเขายิ่งกว่าเดิมเป็นแน่

   “อ้าว...คุณเอริค แล้วเจล่ะครับ”

   เวทิตที่เดินเข้ามาในบ้านเอ่ยถามถึงเพื่อนของเขา ซึ่งเอริคก็หันไปมองเด็กหนุ่มแล้วตอบคำถามตามตรง

   “เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ...มีอะไรหรือเปล่า”

   ท้ายประโยคน้ำเสียงนั้นดูขรึมลงจนคนฟังจับสังเกตได้ เวทิตเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยักไหล่ตามมา

   “ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เห็นคุณบอกว่าจะตามมาทำแผลให้เจมัน ก็เลยแปลกใจที่เจไม่อยู่”

   เอริคชะงักก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงความหึงหวงออกไปให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ ทั้งที่เขาพยายามบอกตัวเองแล้วว่าเวทิตนั้นคิดกับเจตต์แค่เพื่อน และก็ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่คิดขัดขวางอะไรเขาเสียด้วย

   “...ฉันก็ตั้งใจจะทำแผลให้เขานั่นล่ะ แต่รอให้เขาแต่งตัวให้เสร็จก่อนแล้วถึงจะทำ”

   น้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนลงทำให้เวทิตยิ้มออกอย่างพึงพอใจ ที่อีกฝ่ายก็ยังพอระงับอารมณ์และรู้จักแยกแยะได้อยู่บ้าง

   “งั้นผมไปล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างดีกว่า...อ้อ! ฝากเรื่องแผลของเจด้วยล่ะครับ”

   เอริคพยักหน้าตอบรับ ซึ่งเวทิตก็เดินกลับเข้าห้องไปอันเป็นเวลาเดียวกับที่เจตต์นั้นเปิดประตูห้องออกมา เขามองไปยังห้องเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากคนที่รออยู่

   “ตามมาสิ ฉันจะได้ทำแผลให้”

เจตต์หันมายิ้มแห้งให้คนหน้าขรึม แล้วเดินก้มหน้าก้มตาตามมาที่ห้องรับแขก ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย เห็นดังนั้นเอริคจึงถอนหายใจแผ่วเบา แล้วขยับลุกมานั่งข้างเด็กหนุ่มซึ่งก็สะดุ้งโหยงทันทีที่ร่างสูงนั่งลงเคียงข้าง

   “เอ่อ...ทำไมคุณเอริคต้องมานั่งใกล้กันแบบนี้ด้วยล่ะครับ”

   เจตต์ถามกลับไปด้วยสีหน้าที่พยายามทำเป็นไร้เดียงสา ทั้งที่ตอนนี้ก็กลัวจนหน้าซีด เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะหน้ามืดมาปล้ำเขานั่นเอง

   ทางด้านเอริคจ้องมองสีหน้าคนถาม ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

   “ก็ถ้าให้นั่งห่างแบบนั้นจะทำแผลให้ได้ยังไงล่ะ”

   “อ๊ะ...จริงด้วยสินะ”

   เจตต์ชะงักก่อนจะพึมพำตามมา เพราะมัวแต่กลัวจนลืมไปว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำแผลให้เขา

   “แสบหรือไง”

   เอริคถามขณะกำลังเอาน้ำเกลือเช็ดแผล เพราะเห็นว่าเจตต์นั้นสะดุ้งแล้วหลับตาปี๋ไม่ยอมลืมตามองทั้งเขาทั้งแผล

   “มะ..ไม่หรอกครับ...แต่ผมกลัวเลือด ไม่อยากมองแผล”

   คนฟังชะงักนิด ๆ ก่อนจะหลุดแย้มยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างลืมตัว

   “เลือดหยุดไหลไปแล้วล่ะ อีกอย่างแผลก็ไม่ลึกมากด้วย สงสัยคงจะแค่ไปเฉี่ยวโดนเศษกิ่งไม้ในน้ำอะไรพวกนั้นมากกว่า”

   น้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนโยนลง ทำให้เจตต์ลืมตามามองคนพูด ก่อนจะนิ่งอึ้งเมื่อทันได้เห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งประดับบนสีหน้าคมเข้มของอีกฝ่าย แล้วจึงตามมาด้วยอาการใจเต้นผิดจังหวะ หน้าร้อนวูบวาบ อย่างที่ตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร

   

   อาการก้มหน้างุด ๆ หลบตาอีกครั้งของเด็กหนุ่ม ทำให้เอริคขมวดคิ้ว แล้วจึงลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

   “ฉันทายาให้เรียบร้อยแล้วล่ะ ไม่นานแผลก็คงแห้ง”

   ชายหนุ่มบอกพึมพำ เขาปล่อยมือที่จับแขนอีกฝ่ายออกอย่างนึกเสียดาย แต่เขาก็ไม่อยากจะรุกเร็วไปกว่านี้ เพราะเกรงว่าเจตต์นั้นจะเปลี่ยนท่าทีเป็นกลัวและออกห่างแทน แค่ตอนนี้เด็กหนุ่มมีท่าทางตอบรับเขาบ้างในบางครั้ง ก็ทำให้เอริครู้สึกยินดีมากแล้ว

   “อะ...เอ่อ ขอบคุณมากครับ”

   เจตต์ตอบเสียงแผ่ว จริงแล้วเขาก็อยากรีบลุกออกไป แต่ดูเหมือนว่าร่างกายมันไม่ยอมทำตามสมองสั่ง จึงได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น จนเวทิตที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดินออกมาสมทบ

   “อ้าว...นั่นยังทำแผลกันไม่เสร็จอีกหรือครับ”

   เด็กหนุ่มเอ่ยทัก แม้จะเห็นอยู่บ้างว่าเอริคนั้นไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งมองเพื่อนของเขา ส่วนเพื่อนของเขาก็นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน

   “อ๊ะ! ต้น! มาแล้วหรือ!”

   เจตต์ลุกขึ้นพรวดแล้วก้าวฉับไปหาเพื่อนสนิททันที สร้างความไม่สบอารมณ์ให้คนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนเวทิตนั้นแค่นยิ้มกับตัวเองที่เพื่อนดันหาเรื่องมาให้เขา แต่เด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจดีว่าเจตต์เองคงกำลังสับสนอยู่ไม่น้อย จึงรีบตรงมาหาที่พึ่งอย่างเขาเช่นนี้

   “อืม...จริงสิเจ ฉันว่าเราไปเดินเล่นนอกบ้านกันดีกว่านะ...ไปด้วยกันไหมครับคุณเอริค”

   เอริคเลิกคิ้วนิด ๆ มองคนชวน หากแต่พอเห็นเจตต์ที่รีบหลบหน้าเขา ชายหนุ่มจึงตอบออกไปเสียงเรียบ

   “ไม่เป็นไร พวกเธอไปกันเองเถอะ...ฉันไปด้วยก็คงมีคนลำบากใจเปล่า ๆ”

   คำตอบของเอริคทำให้เจตต์ชะงัก แต่พอมองไปก็เห็นอีกฝ่ายเมินหลบตาเขาบ้าง ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย

   “ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวล่ะครับ เอ้า! มาสิเจ มัวแต่มองตามคุณเอริคเขาตาละห้อยอยู่ได้!”

   เวทิตแสร้งโพล่งขึ้นเสียงดังเมื่อเห็นอาการของเพื่อน ทำให้คนที่เมินมองไปทางอื่นชะงัก ส่วนเจตต์นั้นหน้าแดงวาบ พลางหันขวับมาถลึงตาดุใส่เพื่อนที่พูดเกินจริงเช่นนั้น

   “มะ..ไม่มีอะไรหรอกครับ ต้นมันก็ปากเปราะแบบนี้ล่ะครับ แหะ ๆ จะรีบใช่ไหม งั้นก็ไปได้แล้ว เร็ว ๆ เข้า!”

   เจตต์รีบหันมาแก้ตัวกับชายหนุ่มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แล้วจึงหันไปดุพร้อมดึงเพื่อนที่ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ตนให้เดินตามออกนอกบ้านพักไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกนิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนความคิด แล้วเดินตามพวกเด็กหนุ่มที่ออกไปก่อนหน้านั้นอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาแทน

     

   เจตต์ลอบถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อเหลือบเห็นเอริคนั้นเดินตามมาด้วย

   “จะว่าไป คุณเอริคเขาก็นิสัยค่อนข้างใช้ได้นะ ถ้าเขาเป็นผู้หญิงแทนผู้ชายล่ะก็ เป็นฉันก็โอเคว่ะ”   

   เวทิตเปรยบอกกับเพื่อนสนิทเบา ๆ ซึ่งเจตต์ก็ถอนหายใจอีกครั้งแล้วเปรยตอบ

   “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็คงไม่ลำบากใจอย่างทุกวันนี้หรอก”

   “แสดงว่านายก็เริ่มคิดอะไร ๆ แบบนั้นกับคุณเอริคเขาบ้างแล้วสินะ”

   คำถามของเพื่อนทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง ใบหน้าแดงระเรื่อ แล้วรีบแก้ตัวเสียงสั่น

   “บะ..บ้าหรือวะ! ใครจะคิดอะไรแบบนั้นกัน!”

   เวทิตมองเพื่อนปฏิเสธเสียงสั่น แล้วก็หันมาลอบถอนหายใจกับตัวเองแผ่วเบา เพราะจากปฏิกิริยาตอบรับของเพื่อน มันก็ทำให้เขามั่นใจว่า เจตต์นั้นเริ่มหวั่นไหวกับเอริคเข้าให้แล้ว

   “แบบนี้เห็นทีคงไม่รอดแล้วล่ะวะ”

   เวทิตเผลอบ่นกับตัวเอง ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง จะถามก็กลัวเข้าตัวเลยทำเป็นหูทวนลมไม่ใส่ใจอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดเหลือบมองคนที่เดินตามอยู่ห่าง ๆ เป็นระยะไม่ได้ จนเอริคที่รู้สึกตัวว่าถูกแอบมองต้องลอบยิ้มกับตัวเอง ทว่าเขายังคงไม่แสดงท่าทางอะไรออกไปมากกว่าเงียบขรึม จนกระทั่งพวกรวีตามมาสมทบ ทั้งหมดจึงย้ายกันไปนั่งพักที่ซุ้มในบ้านของเวหากันแทน



   ตกเย็นในวันนั้นหลังจากกินอาหารเย็นกันอิ่มหมีพลีมันแล้ว เวหากับมีนาก็มารวมพลกันที่บ้านหลังเล็กที่พวกเวทิตพักอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าพวกหนุ่ม ๆ ก็ต้องตามคนรักของพวกตนมา ห้องรับแขกที่ค่อนข้างกว้างสำหรับคนสองสามคนก็เลยดูคับแคบไปสักหน่อย

   “สงสัยต้องขยายบ้านพักแล้วแบบนี้”

   รวีพึมพำก่อนจะสะดุ้งเมื่อมือของเวหาตีเผียะที่แขนของเขาเบา ๆ และพอหันไปมองก็เห็นคนรักอายุน้อยกว่ากำลังใช้สายตาดุ ๆ จับจ้องตนอยู่

   “ง่า...พี่ก็แค่เปรย ๆ เอาไว้เท่านั้นเองครับ ยังไม่คิดจะทำเพิ่มเติมตอนนี้หรอก”

   รวีรีบบอก ซึ่งก็ทำให้คนฟังทำเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้ เพราะรู้นิสัยของคนรักตนดีว่าฟุ่มเฟือยเพียงใด

   “จะว่าไปบ้านหลังนี้ก็สวยมาก แถมด้านนอกก็ตกแต่งเสียสวยเชียว  นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นบ้านพัก ถ่ายรูปไปให้เพื่อนดู ก็ต้องคิดว่าเป็นรีสอร์ทกันทั้งนั้นนะครับ”

   เวทิตชมขึ้นมาบ้าง ซึ่งก็ทำให้รวียิ้มตอบ เพราะทั้งนี้เขาก็ตั้งใจจะตกแต่งบริเวณรอบ ๆ ให้ดูเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของตัวเองและครอบครัวคนรักอยู่แล้ว

   “โดยเฉพาะน้ำตกจำลองนั่นสวยมากเลยครับ เสียดาย ถ้าเป็นน้ำตกจริงก็คงดี แหะ ๆ”

   เจตต์บอกตามมา ทำให้สายตาของบางคนหันไปมอง แล้วเอ่ยถาม

   “เธอชอบน้ำตกหรอกหรือ”

   เจตต์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของเอริคไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก

   “เอ่อ...ก็ชอบอยู่ครับ”

   “หมอนี่ชอบน้ำตกพอ ๆ กับทะเลน่ะครับ แต่ถ้าจะให้เลือก ก็ชอบน้ำตกมากกว่า เห็นบอกว่าเพราะอากาศดี เย็นสบาย ไม่เหนียวตัวเท่ากับทะเล”

   เวทิตเสริมให้ต่อ ทำเอาเจตต์หันมามองเพื่อนตาดุ ๆ หากแต่เวทิตนั้นกลับไม่สนใจ แถมยังหยิบคุ้กกี้ช็อกโกแลตที่มีนาทำเองมากินแทนหน้าตาเฉย

   “เอ...จะว่าไปใกล้ ๆ นี้ก็มีน้ำตกอยู่ไม่ใช่หรือ เพราะว่าอยู่ลึก เข้าลำบาก และแถวนี้ก็ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว ก็เลยคนไม่เยอะมากด้วย”

   มีนาบอกขึ้นมาอย่างนึกได้ ซึ่งก็ทำให้แต่ละคนหันมามองอย่างสนใจ

   “จริงด้วยสิ ตอนเด็ก ๆ เราก็เคยไปเที่ยวแถวนั้นกับพ่อแม่กันนี่นะ ถึงจะเดินไปยากสักหน่อย แต่ก็ไม่ลำบากมากนัก ที่สำคัญแอ่งน้ำที่นั่นใสมาก ถึงจะไม่ใหญ่หรือมีหลายชั้นเหมือนกับน้ำตกอื่น ๆ ก็เถอะ”

   เวหาเสริมตามอย่างนึกขึ้นได้ ซึ่งก็ทำให้หลายคนสนใจ และตัดสินใจเพิ่มโปรแกรมท่องเที่ยวน้ำตกเอาไว้ในวันหยุดยาวครั้งนี้ด้วย

   

   และเมื่อนั่งพูดคุยกันจนเกือบจะถึงเวลาสามทุ่ม ทางด้านเอริคก็เอ่ยตัดบทให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน เพราะรวีนั้นเกิดตัดสินใจดึงเวลาท่องเที่ยวน้ำตกมาเป็นวันพรุ่งนี้ ตามประสาคนใจร้อนเสียแล้ว

   “เฮ้...เจ...”

   เวทิตหันมาบอกเพื่อนสนิทที่เดินตามตนมา แล้วพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายไปคุยกับเอริคที่เหลือเป็นรายสุดท้ายยังไม่กลับไปไหน เจตต์นั้นชะงัก แต่ก็ยังคงเดินกลับไปคุยกับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่

   “เอ่อ...คุณเอริคจะอยู่ต่อหรือครับ”

   “เธอคงอยากให้ฉันรีบกลับไปเร็ว ๆ สินะ”

   เอริคย้อนถามเสียงเรียบ ทำเอาเจตต์สะดุ้งแล้วรีบแก้ตัวกลับไป

   “อ๊ะ! เปล่านะครับ!”

   ทั้งคู่เงียบไปสักพัก เจตต์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนอย่างตะกุกตะกัก

   “เอ่อ...ถ้าคุณเอริคจะอยู่ต่อ...ผมก็กะว่าจะมานั่งคุยเป็นเพื่อนน่ะครับ...ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น”

   แม้ว่าคำพูดนั้นจะติดขัด หากแต่แววตาก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจไม่ได้หลุกหลิกแต่อย่างใด ทำให้คนฟังเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้เห็น

   “ขอบใจ...ถ้าอย่างนั้นช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุยกับฉันอีกสักพักจะได้ไหม”

   “อ๊ะ...ดะ...ได้ครับ”

   เด็กหนุ่มรีบตอบรับ แล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย ก่อนจะก้มหน้างุดไม่รู้จะทำยังไงดี ทางด้านเอริคก็ไม่ได้คิดจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นสนทนาก่อน เขาเพียงแต่นั่งจ้องคนที่ตนสนใจตรงหน้าเงียบ ๆ เท่านั้น

   ‘เฮ้อ...ก็ไม่ใช่อยากจะส่งเสริมให้เพื่อนเป็นเกย์หรอก...แต่นายคงจะไม่รู้ตัวเองเลยสินะเจ ว่าเวลาอยู่กับคุณเอริคเขาน่ะ นายแสดงออกยังไงบ้าง...ลองเป็นถึงขนาดนี้แล้ว แทนที่จะช่วยห้าม สู้ช่วยส่งเสริมแทนดีกว่าล่ะนะ ...แหม! เรานี่ช่างเป็นเพื่อนที่แสนดีจริง ๆ แฮะ’   

   เวทิตคิดในใจ ก่อนจะเดินฮัมเพลงเข้าไปในห้องพักอย่างอารมณ์ดี เสียงปิดประตูห้องทำให้คนที่กำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ สะดุ้ง แล้วเหลือบไปมองทางเข้าห้องพักของเพื่อนด้วยสายตาอึ้ง ๆ

   “...คงอยากไปนอนบ้างแล้วสินะ”

   เอริคตีความสีหน้าแบบนั้นของเด็กหนุ่ม ซึ่งเจตต์ก็หันมายิ้มเจื่อน ๆ แล้วมีท่าทางกังวลจนคนมองต้องถอนหายใจเบา ๆ

   “ไปนอนเถอะ ฉันกลับล่ะ”

   บอกจบเอริคก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมเดินออกจากบ้านพักไป ทำเอาเจตต์ที่นั่งอยู่ตกใจและรีบลุกขึ้นตามไปติด ๆ

   “อ๊ะ! เดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับ!”

   “ไม่เป็นไร...”

   เอริคหยุดเดินหันมาบอก ทำให้คนที่ก้าวตามมาติด ๆ ชนเข้าให้กับร่างสูงเต็มแรง เด็กหนุ่มตกใจรีบถอยหลังหนีแต่ก็ลนลานจนเกือบจะล้มทำให้อีกฝ่ายต้องรีบรั้งร่างตรงหน้ามาไว้ในอ้อมกอดเสียก่อน

   “ใจเย็น ๆ เดี๋ยวก็ล้มลงไปหรอก”

   น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เจตต์หน้าแดงวาบ ใจเต้นแรง ยืนแข็งค้างนิ่งให้อีกฝ่ายกอดเอาไว้เช่นนั้นสักพัก จนเอริคต้องเป็นฝ่ายตัดใจผลักร่างของเด็กหนุ่มออกห่าง เพราะเกรงว่าตนจะห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่ไหวนั่นเอง

   “ฉันไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกันนะ...ราตรีสวัสดิ์”

   ชายหนุ่มโน้มใบหน้าไปกระซิบบอกพร้อมกับหอมแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบา ทำให้คนที่นิ่งอึ้งอยู่แล้วยิ่งอึ้งหนัก แม้กระทั่งว่าเอริคเดินจากไปพร้อมกับปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยแล้ว เจตต์ก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ตรงนั้นไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว


…TBC…

สำหรับคู่นี้ ก็เริ่มหวานขึ้นเรื่อย ๆ เอาจริง ๆ หนูเจ เค้าก็เริ่มชอบแล้วล่ะ แต่ก็ไม่กล้ายอมรับใจตัวเอง  ส่วนนายต้น ที่มีคนบอกสงสาร น่าจะให้มีคู่กับเขาบ้าง กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ได้สาว หรือได้หนุ่มดี แหะ ๆ ^^"

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 5 [ 10/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-04-2015 12:32:35
 :o8:  ยืนตัวแข็งเลยน้อ จะนอนหลับไหมน้องเจ

คุณเอริคมาถูกทางแล้วจ้ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 5 [ 10/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-04-2015 17:35:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 5 [ 10/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Nunun_B2UTY ที่ 10-04-2015 22:02:32
 :o8 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 5 [ 10/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu_Chise ที่ 10-04-2015 23:26:20
เจ น่ารัก >< เชียร์ๆๆๆ ต้นโสดคนเดียวไม่ได้นะ ต้องมีคู่สิๆๆๆ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 5 [ 10/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 11-04-2015 20:20:45
ต้นจะมีคู่แล้ววววววว ปริ่มค่ะ น้ำตาจะไหล
คนแต่งเมตตานายแล้วต้น 555555555  :laugh3:
ต้น: .... เอ่อ จะดีเหรอ วาบๆ ด้านหลังอย่างบอกไม่ถูก
อิชั้น: แหม เด็กดีๆ มันต้องมีครั้งแรกเป็นธรรมดา 55555
ต้น: ... ครั้งแรกอะไรรึครับ?
อิชั้น: ก็ ครั้งแรกจาก first boyfriend ไงจ๊ะ อิอิ (ชั้ดเจนมากอิชั้น :hao7: )
ก็นะ เป็นเพื่อนที่แสนดีแบบนี้จะเดียวดายไม่ด๊ายยยย ขอบคุณคนแต่งค่ะ (อ่าวเฮ้ย! นี่แกมัดมือชกสินะ!)

หนูเจน่ารักขึ้นทุกวัน คุณเอริครุกเข้าค่า
รุกอีกๆๆ ชอบอ่ะ เค้าหอมแก้มกันแล้ววววว  :-[ บรรยากาศตอนนี้มุ้งมิ้งมากมาย
ตอนไปน้ำตก จะมีอะไรเกิดขึ้นเปล่าเอ่ย อยากเห็นน้องเจในชุดวาบหวิวอีก  :m3:
อรั๊ยยยยย รออ่านตอนต่อไปค่ะ   :L2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 6[ 12/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 12-04-2015 13:09:50
*ช่วงสงกรานต์ สำหรับปัดเป็นเทศกาล ทำความสะอาด จัดบ้าน รวมญาติ สังสรรค์ ฯลฯ เลยไม่ค่อยสะดวกมาหน้าคอม แต่ถ้านึกได้ก็จะมาโพสให้อ่านเป็นระยะ แบบนี้นะคะ*


บทที่ 6



   เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนต่างพากันมารวมตัวที่หน้าบ้านของเวหาเพื่อขึ้นรถตู้ที่รวีจัดการให้ ทางด้านเจตต์นั้นนั่งสัปหงกไปตลอดทางจนหลายคนแอบสงสัย แต่ต้นเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มเป็นเช่นนั้นกลับอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพอจะคาดเดาได้ว่า ที่อีกฝ่ายนั้นนอนไม่พอเกิดมาจากสาเหตุใดกันแน่

   น้ำตกที่ทุกคนมาเที่ยว อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเวหานัก ทางเข้าน้ำตกต้องเดินเท้าเข้าไปอีกเป็นกิโล ทว่าพอมาถึงตัวน้ำตกทุกคนก็เลิกบ่นและแทบจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

   “สวยมาก...น้ำใสน่าเล่นชะมัด”

   เจตต์เปรยขึ้นมาอย่างเพ้อ ๆ นัยน์ตาเป็นประกายแวววาวจนคนอื่นนึกขำแกมเอ็นดู

   “ทางเข้าลำบากอย่างนี้นี่เอง คนถึงไม่เยอะและยังคงความเป็นธรรมชาติได้อยู่แบบนี้”

   รวีพึมพำขึ้น ซึ่งเวหาที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย

   “ใช่ครับ...แต่ก็ต้องระวังอย่าเดินเที่ยวเข้าไปลึกมาก เพราะอาจจะหลงป่าเข้าให้ได้  ตอนสมัยยังเด็กผมกับมีนเดินเล่นซนจนเกือบหลง โชคดีที่พ่อตามไปเจอ แต่โดนดุและโดนห้ามเที่ยวอยู่หลายเดือนจนเข็ดเลยล่ะครับ”

   เวหาเล่าให้ฟังแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้รวีที่ได้ยินแอบสะดุ้ง นี่ถ้าเขาอยู่ด้วยตอนนั้นแล้วเวหาเกิดหายไป เขาก็คงร้อนใจและเป็นห่วงอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย

   “ก็ไม่แปลกหลอกที่จะหลงทาง ก็ฟ้าน่ะเป็นจอมหลงทิศมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอ ๆ กับเจมันเลย เวลาไปไหนไม่คุ้นที่ ขืนให้สองคนนี่นำทางมีหวังหลงกับหลงอย่างเดียวล่ะนะ”

   เวทิตเสริมขึ้นมา ทำเอาสองคนที่ถูกเพื่อนสนิทแฉ ต่างประท้วงขึ้นแทบพร้อมกัน

   “จอมหลงทิศอะไรกันวะ! ฉันก็แค่เป็นพวกจำสับสนนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็ไม่ได้พานายหลงบ่อยสักหน่อย!”

   เจตต์โวยขึ้นมาก่อน ซึ่งเวหาก็รีบเอ่ยเสริมตามมาทันที

   “ส่วนฉันเท่าที่เคยพานายหลงก็แค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่หรือไงต้น แล้วนั่นมันก็นานมาแล้ว จะว่าฉันเป็นจอมหลงทิศนี่ มันไม่ค่อยจะยุติธรรมเท่าไรเลยนะ”

   เวทิตมองเจตต์และเวหาสลับกัน ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะเจตต์นั้นตอนที่เคยนัดไปเที่ยวห้างดังในกรุงเทพฯ กับเขาเมื่อปีที่แล้ว อีกฝ่ายที่โม้กับเขาเสียดิบดีว่าเคยมาเที่ยวกับครอบครัวที่นี่หลายครั้ง ก็พาเขาหลงไปคนละทิศ จนสุดท้ายต้องไปสอบถามคนแถวนั้น และทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายพาเขามาผิดทางนั่นเอง

    ส่วนทางด้านเวหานั้นก็ใช่ย่อย แม้เด็กหนุ่มจะบอกกับเขาว่าเคยพาเขาหลงเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ครั้งเดียวของเวหาก็ทำให้เวทิตเข็ดขยาด เพราะเด็กหนุ่มในตอนนั้นนำพวกเขาซึ่งไปเข้าค่ายลูกเสือตอนมัธยมปลาย ทำกิจกรรมเดินทางไกล จนเดินหลงไปคนละเส้นทางหลายกิโล เดือดร้อนพวกอาจารย์ต้องเป็นฝ่ายออกตามหาเลยทีเดียว

   “โอเค ๆ ฉันผิดเอง...พวกนายแค่เคยสับสนทิศนิดหน่อยเมื่อนานมาแล้วก็เท่านั้น... พอใจหรือยังล่ะ”

   เวทิตที่โดนเพื่อนรุมยักไหล่พร้อมบอกอย่างเอือมระอา ซึ่งก็ทำให้เวหากับเจตต์หันมายิ้มให้กันแล้วตบบ่าเพื่อนคนละข้าง

   “ก็พอไหววะ!”   

   เจตต์บอกกึ่งขำ เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรเรื่องที่เพื่อนสนิทว่า เนื่องจากไม่ใช่แค่เวทิตเท่านั้นที่พูดแบบนี้ กระทั่งครอบครัวของเขาเองก็ยังบ่นอยู่บ่อย ๆ เรื่องที่เขาเป็นพวกจำทางไม่เก่งและชอบหลงทิศอยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องแกล้งโวยวายบ่นใส่เพื่อนเอาไว้ก่อน เพราะไม่อยากจะเสียฟอร์มต่อพวกรวีนั่นเอง

   ส่วนทางด้านเวหานั้นผิดกัน เจ้าตัวยังคงคิดว่าความผิดพลาดสมัยมัธยมปลายเป็นเพราะเขาจำทางผิดไปเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าตนเป็นจอมหลงทางหลงทิศอย่างที่เพื่อนพูดมาแต่อย่างใด ซึ่งหากเด็กหนุ่มจะลองทบทวนดูสักนิด ก็จะพบว่าเวลาที่ครอบครัวหรือเพื่อนฝูงไปท่องเที่ยวแล้วเกิดไม่แน่ใจทิศทางขึ้นมา ยามใดที่เขาเสนอว่าน่าจะไปเส้นทางนี้ อีกฝ่ายก็มักจะเลือกเส้นทางตรงข้ามแทนเสมอ แต่เขาก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจเพราะมัวแต่อยากให้ถึงเป้าหมายไว ๆ เสียมากกว่า

   

   ทางด้านเอริคนั้นยืนฟังข้อมูลที่ได้รับรู้จากเวทิตอย่างเงียบ ๆ แม้จะให้นักสืบคอยสืบเรื่องราวเกี่ยวกับเจตต์มาบ้างแล้ว หากแต่เรื่องอุปนิสัยอื่น ๆ ของเด็กหนุ่มนั้น ถ้าไม่รู้จากเพื่อนสนิท ครอบครัว ก็คงจะต้องคอยสังเกตจากเจ้าตัวได้แค่อย่างเดียว และเอริคเองก็ต้องการทราบทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่เขาพึงใจเสียด้วย

   “ถ้าอย่างนั้นมีนจะปูเสื่อกับจัดกล่องข้าวไว้รอนะ พวกพี่ ๆ จะไปเล่นน้ำตกก็ไปเล่นกันก่อนได้เลย มีนเฝ้าของให้เอง”

   “อ้าว อย่างนี้น้องมีนก็ไม่ได้เล่นน้ำน่ะสิครับ”

   เจตต์ท้วงขึ้นมา ซึ่งมีนาก็ยิ้มหวานให้แล้วเอ่ยตอบ

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ จริง ๆ มีนก็ไม่ชอบเล่นน้ำเท่าไหร่ แต่ชอบนั่งชมบรรยากาศริมน้ำมากกว่า”

   คนฟังพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันมาสบตากับเอริคเข้าโดยบังเอิญ เจตต์นั้นสะดุ้งโหยง แล้วยิ้มเจื่อนให้อีกฝ่ายอย่างเคยชิน

   “ง่า...แล้วคุณเอริคจะเล่นน้ำด้วยกันไหมครับ”

   เอริคนิ่งเงียบคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปฏิเสธออกไป

   “ไม่ล่ะ...ฉันว่าฉันนั่งเฝ้าเธอเล่นเฉย ๆ แทนดีกว่า”

   เด็กหนุ่มยิ่งยิ้มแห้งเข้าไปใหญ่ เจ้าตัวรับคำเบา ๆ แล้วเดินก้มหน้าก้มตาไปรวมกลุ่มกับเพื่อนอีกสองคนแทน ทางด้านรวีที่มองอยู่จึงเดินมาสมทบกับลูกพี่ลูกน้องของเขาและเอ่ยปากถามอย่างแปลกใจ

   “อ้าว...ฉันก็นึกว่านายจะฉวยโอกาสพัฒนาสัมพันธ์กับเขามากกว่านี้ ถ้าไปเล่นน้ำด้วยกัน ยังแกล้งจับแกล้งกอดแกล้งแต๊ะอั๋งได้ตั้งเยอะนา”

   เอริคหรี่ตามองญาติของเขา ก่อนจะถอนหายใจเอามาเฮือกใหญ่

   “ขอบใจสำหรับคำแนะนำ ...แต่ไว้เขายอมรับฉันโดยไม่กลัวไม่หนี ให้ได้ก่อน ฉันถึงจะค่อยพิจารณาความคิดของนายก็แล้วกัน”

   เอริคตอบตัดบททำให้รวียักไหล่ แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อลูกพี่ลูกน้องของเขาเปรยขึ้นตามมา

   “แต่ฉันไม่เข้าใจ ว่าเด็กนั่นจะกลัวอะไรฉันนักหนา ...ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ฉันก็ไม่ได้ตวาดหรือดุเขาเลยสักนิดแท้ ๆ”

   “ง่า...แหม ก็บุคลิกของนายมันน่าเกรงขามนี่นา ถ้าคนไม่เคยรู้จักตัวตนของนายมาก่อนจะกลัวนายบ้างมันก็ไม่แปลกหรอก”

   รวีรีบแก้ตัว ทั้งนี้เพราะเขาและคนอื่น ๆ ยังไม่เคยมีใครบอกเอริคเลยว่า ที่เจตต์นั้นกลัวแสนกลัวอีกฝ่ายขนาดนั้น ก็เพราะเรื่องที่เขาเผลอเล่าเกี่ยวกับคดีแฟนเก่าของอีกฝ่ายนั่นเอง

   ทางด้านเอริคพอได้ยินคำแก้ตัวของลูกพี่ลูกน้อง ก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วยุ่งนิด ๆ เนื่องจากพอจะมองออกว่าอีกฝ่ายมีอะไรปิดบังเขาอยู่ และน่าจะเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย

   “พี่ซันครับ! ลงเล่นน้ำด้วยกันไหมครับ!”

   เสียงของเวหาที่เรียกตนทำให้รวีหันขวับไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้าง แล้วรีบจ้ำพรวดไปหาคนรักทันที

   “น้องฟ้าครับ! ถอดเสื้อทำไมกันครับ!”

   เวหาค่อนข้างตกใจนิด ๆ ที่อีกฝ่ายพุ่งพรวดเข้ามาโวยวายใส่เขา แต่ก็ยังคงตอบไปตามตรง

   “อ้าว ก็ถอดเสื้อเล่นน้ำน่ะสิครับ”

   รวีถอนหายใจแล้วดึงแขนอีกฝ่ายไปห่าง ๆ ก่อนจะออดอ้อนเบา ๆ ชนิดที่ทำให้คนฟังหน้าแดง โดยเจตต์กับเวทิตที่ยังไม่ทันได้ถอดเสื้อก็มองตามเพื่อนไปและพอจะรู้ว่าเหตุใดรวีถึงต้องโวยวายเรื่องเมื่อครู่นี้

   “ก็รู้ว่าพี่ซันแกหวงฟ้ามาก แต่ไม่คิดว่าจะหวงขนาดนี้เลยว่ะ”

   เจตต์พึมพำ ซึ่งก็ทำให้เวทิตเหลือบมามองคนพูดแล้วหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่กำลังจ้องมายังพวกเขาเขม็ง

   “ฉันว่าไม่ใช่แค่พี่ซันที่หวงฟ้าหรอก...สงสัยพวกเราคงต้องลงเล่นน้ำทั้งชุดกันแล้วล่ะนะ”

   เจตต์หันมามองเพื่อนอย่างแปลกใจ แต่พอเหลือบไปมองเอริคที่จ้องเขาอยู่ เด็กหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ว่าทำไมเพื่อนถึงพูดแบบนั้น ใบหน้าขาวเริ่มมีสีระเรื่อที่ชวนให้เวทิตนึกขำ

   “หึ ๆ แต่ก็น่าให้นายลองถอดเสื้อเล่นน้ำดูนะ ฉันอยากเห็นปฏิกิริยาคุณเอริคเขาเหมือนกันว่ะ ว่าจะหวงนายแบบไหน”

   “อะ...ไอ้บ้า หวงเหิงอะไรกัน ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย!”

   เจตต์แก้ตัวเสียงสั่น หน้าแดงก่ำด้วยความเขิน ก่อนจะเดินเลี่ยงเพื่อนที่กำลังกลั้นหัวเราะไปเล่นน้ำก่อนคนแรกด้วยความหงุดหงิดที่ถูกล้อเลียนเอาเช่นนี้

   “อ้าว ๆ อย่างอนสิวะ  เฮ้! รอด้วยเจ ฉันเล่นด้วยคน”

   เวทิตรีบบอกเพราะเห็นเพื่อนเดินดุ่ม ๆ ไปก่อน ส่วนเวหาหลังจากสวมเสื้อเรียบร้อยอย่างจำใจ เจ้าตัวก็เดินตามเพื่อนทั้งสองไปติด ๆ โดยรวีนั้นเลือกที่จะไปนั่งเฝ้าเวหาเล่นน้ำ ใกล้ ๆ กับที่เอริคนั่งมองเจตต์อยู่ก่อนหน้านั้น ส่วนเมฆากับมีนาก็นั่งพูดคุยหยอกล้อกันอีกทางอย่างเพลิดเพลินแทน

   

   แอ่งน้ำใสกว้างเย็นฉ่ำสบาย ช่วนให้คนที่กำลังหงุดหงิดผ่อนคลายลงไปได้มาก พอเพื่อนทั้งสองตามลงมาสมทบ เจตต์ก็กลับมาอารมณ์ดีและดำผุดดำว่ายเล่นน้ำกับเพื่อนสนิทได้อย่างร่าเริงทันที

   “เหวอ! น้ำลึกใช่ย่อยนะเนี่ย พื้นด้านใต้เนี่ย”

   เจตต์ที่ว่ายเข้าไปใกล้ชั้นน้ำตกเอ่ยปาก เพราะพื้นที่เขาเหยียบลาดลงไปจนน้ำเล่นระดับตื้น ๆ แค่หน้าอกลึกไปจนเกือบมิดศีรษะเลยทีเดียว

   “เฮ้! ระวัง ๆ หน่อยนะเจ  แถวนั้นน้ำมันลึกมาก”

   เวหาตะโกนเตือนเพื่อนสนิท ซึ่งคำเตือนนั้นก็ทำให้เอริคขมวดคิ้วยุ่ง แล้วยิ่งจ้องมองเจตต์อย่างไม่วางตามากขึ้นไปอีก

   “น้ำลึกด้วยหรือ อันตราย ๆ น้ำเย็นจัดเสียด้วยสิ ...น้องฟ้าเล่นริม ๆ ฝั่งดีกว่าครับ ระวังเป็นตะคริวด้วยนะ  ถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องรีบบอกนะครับ!”

   รวีที่ได้ยินคำเตือนเช่นกันรีบวักน้ำวัดความเย็นดู แล้วตะโกนบอกคนรักอย่างเป็นห่วง ทำให้เวหาหันมายิ้มตอบเขิน ๆ แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับรู้ส่งให้คนเตือนสบายใจอยู่ดี

   “น้ำเย็นสบาย แต่ถ้าคนว่ายน้ำไม่แข็งก็น่ากลัวเหมือนกันนะ”

   เวทิตบ่นกับเพื่อน ซึ่งทั้งสองก็เห็นด้วยและเริ่มระมัดระวังในการเล่นน้ำมากขึ้น พวกเขาเล่นอยู่เป็นชั่วโมง รวีก็เห็นว่าน่าจะพักได้แล้ว จึงชวนทั้งสามให้ขึ้นจากน้ำเสียก่อน

   “ทุกคนขึ้นมาพักก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวค่อยลงไปเล่นใหม่ก็ได้”

   เด็กหนุ่มทั้งสามหันไปมองคนชวนแล้วก็ขานรับคำ ทางด้านเวทิตนั้นปีนขึ้นฝั่งอย่างคล่องแคล่ว ส่วนเวหา ทางรวีก็คอยรอบริการช่วยดึงอีกฝ่ายจากน้ำอยู่แล้ว และคนสุดท้ายที่ว่ายมาหลังสุดก็กำลังชะงักเมื่อเห็นเอริคยืนรอเขาอยู่

   “จะไม่ขึ้นหรือไง”

   คำถามดังขึ้นจากเอริคเมื่อเห็นว่าเจตต์นั้นไม่ยอมว่ายมาหาตนสักที

   “เอ่อ...ขึ้นสิครับ”

   เจตต์บอกเสียงอ่อยแล้วว่ายไปที่ฝั่งห่างจากที่เอริคอยู่ ทว่าพอเด็กหนุ่มจะยันตัวขึ้น คนที่ยืนอยู่ก็เดินตามมาแล้วยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย

   “ง่า...เอ่อ...”

   เจตต์พูดอะไรไม่ออก แต่พอเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจแล้วทำท่าจะถอนมือไป เขาก็ตกใจแล้วรีบเอื้อมจับมืออีกฝ่ายหมับทันที

   “อ๊ะ..เอ่อ...คือ ถ้าไม่ลำบากนัก ช่วยดึงผมขึ้นไปได้ไหมครับ”

   เจตต์ก้มหน้าบอกไม่กล้าสบตากับชายหนุ่ม จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของคนที่ชอบทำหน้าขรึมเบื้องหน้าเขา

   “ได้สิ...”

   เอริคบอกเสียงแผ่ว เขาดึงรั้งร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมา ใบหน้าของเจตต์เฉียดริมฝีปากของเอริคไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มหน้าแดงวาบ รีบปล่อยมือจนทำให้เสียหลักพลัดตกลงไปในน้ำดังตูมใหญ่ ทางด้านเอริคชะงักด้วยความตกใจไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นคนที่หล่นไปในน้ำโผล่พรวดขึ้นมาไอค่อกแค่ก แต่พอสบตาเขาเจ้าตัวก็อายหน้าแดงแล้วรีบดำน้ำหลบ ก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพลางสำลักน้ำเข้าอีกยกใหญ่



   “เห...ไม่ได้เห็นหมอนั่นหัวเราะแบบนี้มานานแล้วนะ น้องเจนี่เจ๋งจริง ๆ แฮะ ทำให้เสือยิ้มยากอย่างหมอนั่นออกอาการขนาดนี้ได้”

   รวีที่มองอยู่ห่าง ๆ พึมพำขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า คำพูดนั้นทำให้เวหาที่อยู่ใกล้จ้องมองเพื่อนของเขาที่ตอนนี้ถูกดึงขึ้นมาบนฝั่งเรียบร้อย ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตามมา

   “ถ้าเจเกิดชอบคุณเอริคขึ้นมาจริง ๆ ก็คงดีนะครับ”

   รวีหันมามองคนรักของเขาแล้วยิ้มตอบ จากนั้นพวกเอริคก็ตามมาสมทบ ทั้งหมดล้อมวงกันกินอาหารกลางวันที่มีนากับวารีทำมาให้อย่างเอร็ดอร่อย และหลังจากอิ่มแล้วเจตต์ก็ชวนพวกเวหาไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารแถวนี้แทน 



   “ฟ้าบอกว่าน้ำตกมีหลายชั้นใช่ไหม งั้นเราเพิ่งกินอิ่ม ๆ แบบนี้ เราไปเดินสำรวจดูกันดีกว่า ถ้าชั้นไหนสวยน่าเล่นก็ย้ายไปเล่นชั้นนั้นกันแทนไงล่ะ!”

   ทั้งเวหากับเวทิตพอได้ยินก็ต่างพยักหน้าเห็นดีด้วย ทว่ารวีที่ฟังอยู่ก็รีบแทรกขัดขึ้นทันที

   “งั้นขอพี่ไปด้วยคนนะครับ น้องฟ้า”

   เวหาชะงักก่อนจะส่งยิ้มให้พร้อมพยักหน้าตอบรับ ส่วนเวทิตกับเจตต์นั้นลอบถอนหายใจไล่เลี่ยกัน เพราะคนรักของเพื่อนสนิทนั้น ยังคงตามติดเป็นเงาตามตัวเพื่อนของพวกเขาไม่ห่างดังเดิม

    “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอไปด้วยคนแล้วกัน”

   เอริคขัดขึ้นบ้าง ทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ 

   “เชิญตามสบายเลยครับ แล้วน้องมีนกับพี่เมฆจะมาเดินเล่นด้วยกันไหมล่ะครับ”

   เวทิตพูดตอบแทนเพื่อนของเขา แถมยังหันไปชวนมีนากับเมฆาด้วย

   “ตามสบายเลยครับ เดี๋ยวพี่กับน้องมีนอยู่เฝ้าของแถวนี้เอง”

   มีนาหน้าแดงนิด ๆ เพราะคนพูดนั้นบีบมือเขาเบา ๆ เพื่อเป็นการไม่ให้ปฏิเสธ เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบเวทิตซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปมองเจตต์ที่ทำหน้ายุ่งปนหน้าแดงอย่างน่าขำ ส่วนเอริคนั้นก็ยังคงนิ่งขรึมตามปกติเช่นเคย

   “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยกโขยงไปเดินเล่นกันเลยดีกว่าครับ”

   เวทิตบอกซึ่งก็ทำให้คนฟังแต่ละคนทำตาปริบ ๆ แต่ก็ยังคงพากันเดินรวมกลุ่มไปด้วยกัน และเมื่อบางเส้นทางที่ค่อนข้างแคบเดินยาก พวกเขาก็จับแยกคู่กันเดิน โดยเวหาก็เดินไปกับรวีตามคาด ส่วนเจตต์ที่ตั้งใจจะเดินกับเพื่อนสนิทก็ถูกใครคนหนึ่งขวางเอาไว้แล้วยื่นมือส่งให้เขา

   “พื้นแถวนี้ค่อนข้างลื่น ช่วยกันจูงไปน่าจะดีกว่านะ”

   เจตต์นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก พอเหลือบไปมองเวทิตก็เห็นอีกฝ่ายทำเป็นมองนกชมไม้อย่างไม่ใส่ใจตนแทน

   “...ฝากไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวเอาคืนทีหลังแน่ ไอ้เพื่อนเวร!”   

   เจตต์พึมพำบ่นว่าเวทิต แล้วจึงตัดสินใจส่งมือให้เอริคอย่างจำใจ เพราะอีกฝ่ายนั้นไม่มีท่าทางว่าจะถอยหรือยอมรามือไปเลยสักนิด



... TBC ...
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 6 [ 12/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 12-04-2015 13:22:31
เจคงเริ่มชอบแล้วล่ะ. แต่อย่าชอบแค่แบบพี่น้องนะ. พี่เอริคคงจะเสียใจแย่
ชอบบรรยากาศจัง. อยากไปส่องเอ้ยอยากไปเล่นน้ำตกบ้าง
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะคุณปัด  :L1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 6 [ 12/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-04-2015 22:04:07
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 6 [ 12/4/58 ] p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu_Chise ที่ 13-04-2015 10:30:00
คือจะขำเจ สงสารเอริค หรือตลกทั้งคู่ดี น่ารักอะ 5555 ถ้ารักกันแล้ว เจจะเป็ฯไงหว่าาาาาาาาา  :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ลงภาคต่อ) เอริค - เจ : part 7 [ 13/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 13-04-2015 17:54:44
สวัสดีปีใหม่ไทยนักอ่านทุกท่านค่ะ ^^  :L2:  ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะคะ  :pig4:



ตอนที่ 7


    เจตต์ยอมให้เอริคเดินจูงมือเขาไปเงียบ ๆ ทว่าหัวใจของเขากลับเต้นแรง แถมยังหน้าร้อนวูบวาบไปเป็นระยะอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่าอาการเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเผลอใจให้กับอีกฝ่าย แต่ลึก ๆ แล้วเจตต์นั้นก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่า เขาเริ่มที่จะมีเรื่องของเอริคเข้ามารบกวนในหัวใจอยู่แทบจะตลอดเวลา

   “อ๊ะ...”

   คนที่กำลังเหม่อเผลอเดินสะดุดก้อนหิน ยังดีที่คนจูงมือคอยระวังและรับไว้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะล้ม

   “เดินระวังหน่อยสิ อย่าใจลอยนัก”

   เอริคเตือนอีกฝ่ายด้วยใบหน้าขรึม ๆ ทำให้เจตต์ยิ้มเจื่อนตอบพร้อมกับพึมพำขอโทษ  เด็กหนุ่มเหลือบมองทางคู่ของเวหากับรวี แล้วลอบถอนหายใจ

    แม้ว่าเอริคจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับรวี แต่การแสดงออกและนิสัยใจคอนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถึงเอริคจะแสดงออกว่าชอบเขา แต่ก็ไม่เคยพูดจาเอาอกเอาใจอ่อนหวานใส่เหมือนกับที่รวีเป็น เจตต์คิดว่าบางทีหากเอริคใจดีกว่านี้สักนิด เขาคงจะใจอ่อนกับชายหนุ่มได้ไม่ยากนักหรอก

   “เจ...นี่ ได้ยินฉันพูดไหม”

   ใบหน้าที่ชะโงกเข้ามาใกล้ ๆ ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สะดุ้งเฮือก แล้วรีบถอยหลังหนีอย่างตกใจ ทว่าเขาก็ต้องลื่นจนเกือบลงไปนั่งจ้ำเบ้าเพราะพื้นซึ่งเต็มไปด้วยหินที่มีตะไคร่ปกคลุมบริเวณนั้น

   “เธอนี่นะ...ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลาเดินอย่าเหม่อลอยนัก”

   เอริคดุแล้วนิ่วหน้านิด ๆ เพราะเขานั้นคว้าอีกฝ่ายได้ทันก็จริง แต่ตัวเขาก็ลื่นจนเข่ากระแทกพื้นหินไปค่อนข้างแรง และเมื่อลุกขึ้นก็ต้องพบว่ากางเกงผ้าขายาวของตัวเองนั้นถลอก และแผลก็มีเลือดไหลผสมกับตะไคร่น้ำเปรอะไปหมด

   “คะ...คุณเอริค ...เข่าคุณ”

   เจตต์บอกด้วยใบหน้าซีดเผือดคล้ายจะเป็นลม แม้จะแพ้เลือด แต่เพราะอีกฝ่ายต้องเจ็บเพราะเขา เด็กหนุ่มจึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก จนเอริคที่มองอยู่นึกสงสาร

   “ฉันไม่เจ็บมากหรอก... เธออย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

   คำพูดปลอบอ่อนโยนของอีกฝ่ายทำให้เจตต์นึกอยากร้องไห้ แม้ว่าเอริคจะไม่เคยพูดหวานกับเขา แต่ทุกคำพูดที่ชายหนุ่มแสดงออกก็ล้วนแต่แสดงถึงความรักและหวังดีกับเขาทั้งนั้น

   “เฮ้ย! เป็นอะไรมากหรือเปล่าน่ะเอริค!”

   รวีย้อนกลับมาสมทบแล้วมองแผลของญาติตนอย่างเป็นห่วง

   “นายจะโวยวายทำไมกันซัน ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”

   เอริคดุอีกฝ่ายเบา ๆ เพราะยิ่งรวีโวยวาย เจตต์ก็ยิ่งมีสีหน้ารู้สึกผิดและหวั่นวิตกให้เขาได้เห็นมากขึ้น

   “ไม่โวยได้ไง เกิดนายเป็นอะไรไป ครอบครัวนายกับพ่อของฉันก็ตามมาอาละวาดฉันเข้าพอดี!”   

   รวีบอกตามมาอย่างใจเย็นขึ้น แถมยังนึกขำเมื่อเห็นเอริคห่วงใยเจตต์เสียมากกว่าแผลของตนเองเสียอีก

   “ง่า...ผมว่า พาคุณเอริคไปล้างแผลก่อนดีไหมครับ ...แผลไม่ใหญ่ก็จริง แต่ถ้าเชื้อโรคเข้าไปก็ลำบากนะครับ”

   เสียงของเวทิตที่มองอยู่แย้งขึ้น ทำให้แต่ละคนเห็นด้วย ทางเจตต์รีบอาสาตัวประคองชายหนุ่ม ทว่าด้วยความที่เอริคตัวสูงและหนากว่า จึงทำให้รวีอาสาเปลี่ยนตัว เพราะเกรงว่าทั้งคู่จะกลิ้งไปตามทางลาดลงเสียก่อน

   

   เนื่องจากพวกเขามาเพื่อเล่นน้ำตก จึงไม่มีใครเตรียมอุปกรณ์ทำแผลมาสักคน หลังจากใช้น้ำสะอาดล้างแผลแล้ว เจตต์จึงรีบชวนให้เอริคกลับไปทำแผลที่โรงพยาบาลแถวนี้

   “แผลแค่นี้ต้องไปโรงพยาบาลเลยเชียวหรือครับน้องเจ”

   รวีเป็นคนแย้งแทนญาติ  ซึ่งเอริคก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับรวี  หากแต่เจตต์นั้นเม้มปากน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบ

   “ถ้าไม่ไปโรงพยาบาล ก็ต้องไปทำแผลใส่ยา...นะครับ คุณเอริค”

   สายตาอ้อนวอนและมือที่ยื่นมาจับแขนตน ทำให้คนมองนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย จนรวีกับเมฆาที่รู้จักเอริคดีถึงกับประหลาดใจไปตาม ๆ กัน

   

   ตลอดเวลาที่นั่งรถตู้ไป จากที่ปกติเจตต์จะเลี่ยงนั่งคนละเบาะกับเอริค คราวนี้เด็กหนุ่มเลือกนั่งข้างกัน แถมยังเหลือบมองแผลของอีกฝ่ายเป็นระยะด้วยใบหน้าซีดเผือด จนเอริคต้องจับมือของเด็กหนุ่มมาบีบเบา ๆ แล้วยิ้มให้

   “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร...ฉันเคยมีแผลใหญ่กว่านี้ตั้งหลายเท่า ยังรอดมาได้เลย”

   พอได้ยินเอริคบอกอย่างนั้น เจตต์ก็มองอีกฝ่ายอย่างสงสัย จนลืมใส่ใจเรื่องที่เอริคยังคงจับมือเขาอยู่

   “แผลที่ว่านั่น ใช่แผลตอนโดนกระจกบาดหลังนั่นหรือเปล่า...”

   รวีขัดขึ้นมา ทำให้เอริคเหลือบไปมองแล้วตอบรับสั้น ๆ

   “ใช่...แผลนั่นล่ะ”

   “แล้วทำยังไงถึงได้โดนกระจกบาดหลังได้ล่ะครับ”

   เจตต์ถามแทรกขัดขึ้นมาอย่างสงสัย ทางด้านรวีชะงักแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนเอริคก็เงียบขรึมไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเริ่มต้นเล่าให้เด็กหนุ่มฟัง

   “เกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อย ...พอดีฉันกับเอล...แฟนเก่าฉันน่ะ... พวกเราไปเลือกนาฬิกาข้อมือด้วยกัน แล้วร้านนั้นตั้งอยู่ที่ริมถนน รถยนต์ข้างนอกเกิดเสียหลักพุ่งชนมาหน้าร้านที่เป็นกระจกใสทั้งบาน เศษกระจกปลิวมาทางพวกฉัน ...ฉันก็เลยมีแผลที่หลังน่ะ”

   ท้ายประโยคเอริคชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ ทว่าแม้จะไม่ได้เล่ารายละเอียดในตอนนั้น แต่เจตต์ก็พอจะคาดเดาได้ว่าแผลที่หลังของเอริคเกิดขึ้นเพราะเหตุใด...ขนาดเขาที่อีกฝ่ายแค่ชื่นชอบ ชายหนุ่มยังดูแลและห่วงใยเขาขนาดนี้  แล้วกับแฟนเก่าที่เอริครักมาก คนใจดีอย่างเอริคคงจะต้องสละแผ่นหลังของตนปกป้องคนรักเก่าของเจ้าตัวไว้แน่

   เจตต์รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกอิจฉาคนรักเก่าของชายหนุ่ม ที่เคยได้รับความรักมากมายจากคนตรงหน้าขนาดนี้ และนึกสงสารชายหนุ่มที่แม้จะมอบใจให้ แต่กลับได้รับการทรยศตอบแทน

   “เจ...มีอะไรหรือเปล่า”

   สีหน้าซีด ๆ ของเด็กหนุ่มและอาการเงียบงันใจลอยนั้น ทำให้เอริคเอ่ยทัก เจตต์สะดุ้งนิด ๆ แล้วหันมาฝืนยิ้มให้กับอีกฝ่าย

   “อ๊ะ..เอ่อ...ไม่เป็นอะไรครับ เอิ่ม...แบบว่า... ผมก็แค่ปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้น”

   คำแก้ตัวของอีกฝ่ายทำให้เอริคขมวดคิ้ว เพราะพวกเขารีบร้อนกลับขึ้นรถ เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มจึงยังไม่แห้งดี แถมยังขึ้นมานั่งบนรถตู้ที่เปิดแอร์เย็นเฉียบอีกต่างหาก

   “เคน ช่วยเบาแอร์ให้หน่อย”

   เอริคบอกคนขับซึ่งเป็นลูกน้องของรวี แล้วหันมาถามทางเด็กหนุ่มต่อ

   “เอาชุดมาเผื่อหรือเปล่า”

   “ง่า...ก็ติดมาเผื่อไว้เหมือนกันครับ”

   เจตต์รีบบอก และพอได้ยินดังนั้นรวีเองก็นึกขึ้นได้ จึงรีบหันมาสอบถามเวหาเรื่องเสื้อผ้า จนเวหาต้องยิ้มเจื่อนเพราะเขาตั้งใจถอดเสื้อเล่นตั้งแต่แรก จึงไม่ได้เอาเสื้อมาเผื่อ พอรู้ดังนั้นรวีจึงถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองให้คนรักสวมใส่แทนทันที ส่วนตัวเขาก็เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวใส่ติดกายเท่านั้น 

   “เอ้า! เจ เสื้อเปลี่ยน ...เห็นไหมล่ะ ว่าติดมาก็ไม่เสียหายน่ะ”

   ทางด้านเวทิตเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของเจตต์ส่งให้เจ้าตัว ส่วนเขาที่พกชุดสำรองมาด้วยเช่นกัน ก็ถอดเสื้อผ้าเปียกเปลี่ยนชุดใหม่อย่างสบาย ๆ ทว่าเจตต์นั้นยังคงไม่กล้าเปลี่ยนตามเพื่อน เพราะเอริคเล่นจ้องเขาไม่วางตา แม้จะรู้ว่าถูกจ้องเพราะเป็นห่วงก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็อดที่จะเขินไม่ได้อยู่ดี

   “ทำไมไม่รีบเปลี่ยนเสื้อ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

   เอริคบอกเสียงดุ ทำเอาคนถูกดุสะดุ้งโหยง แล้วก้มหน้างุด ๆ หลบตา ทว่ายังไม่ทันที่เอริคจะพูดต่อ เสียงของรวีก็ขัดขึ้นเสียก่อน

   “แหม ๆ คุณเอริคครับ... ก็นายเล่นจ้องเอา ๆ เสียขนาดนั้น เขาก็ไม่กล้าถอดเสื้อต่อหน้านายน่ะสิ!”

   พอได้ยินที่รวีพูดเอริคก็รู้สึกตัว ยิ่งได้เห็นใบหูที่แดงระเรื่อของเด็กหนุ่มเขาก็รู้สึกที่จะยินดีขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้

   “อย่างนั้นเองหรือ...ถ้างั้นฉันไม่ดูเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้ จัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียสิ”

   บอกแล้วชายหนุ่มก็เบือนหน้าหันมองกระจก ทำให้เจตต์ที่เงยหน้าขึ้นมาโล่งอก แล้วจึงรีบถอดเสื้อตัวเปียกออก และเปลี่ยนเสื้อแห้งตัวใหม่ใส่แทน โดยไม่ทันสังเกตว่าภาพของตนจะสะท้อนบนเงากระจกให้คนที่หันหน้าหนีได้เห็น

   ทางด้านเอริคเขาหลับตาลงช้า ๆ เพราะขืนแอบมองนานกว่านั้นมีหวังคงจะได้ควบคุมตัวเองไม่อยู่เข้าให้ก็เป็นได้ และพอหลังจากลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นเด็กหนุ่มนั่งหน้าแดงระเรื่อสวมเสื้อตัวใหม่ใส่เรียบร้อย

   “หายปวดหัวหรือยัง...หรือจะเปลี่ยนไปโรงพยาบาลแทนดี จะได้ให้หมอตรวจดูสักหน่อย”

   เจตต์สะดุ้งโหยง เตรียมจะเอ่ยปากปฏิเสธเต็มที่ ทว่าพอเหลือบไปเห็นแผลที่เข่าของเอริค เขาก็ชะงักแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ตามมา

   “ก็ได้ครับ...ถ้าอย่างนั้นคุณเอริคก็ต้องแวะไปทำแผลด้วยกันนะครับ”

   เอริคขมวดคิ้วนิด ๆ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วส่งยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้คนข้างกาย

   “ตกลง”

   “เอาเป็นว่าเปลี่ยนแผนนะ เคน! ขับตรงไปที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้ ๆ นี่เลยแล้วกัน”

   คำพูดของรวีที่แทรกขึ้น นอกจากเอริค เมฆา และคนของรวีแล้ว คนอื่นต่างก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะต่างรู้ดีว่าค่ารักษาของโรงพยาบาลเอกชนแถวนี้นั้นมันแพงขนาดไหน แต่ทั้งหมดก็ได้แต่นั่งไปเงียบ ๆ เพราะแม้ต่อให้คัดค้านอะไรออกไป รวีก็มักจะอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา มาแย้งพวกเขาอยู่ดี



   เมื่อถึงโรงพยาบาล เอริคก็แยกไปทำแผล ส่วนเจตต์ก็ไปให้พยาบาลวัดไข้ซึ่งก็เป็นปกติ ประกอบกับที่เด็กหนุ่มรีบแก้ตัวว่าปวดหัวเพราะรู้สึกเครียด ๆ ในตอนนั้น ไม่ใช่เกิดจากพิษไข้ เด็กหนุ่มจึงรอดจากการโดนกินยามาได้อย่างหวุดหวิด

   “อ๊ะ! คุณเอริคออกมาแล้ว”

   เวทิตที่นั่งรอเป็นเพื่อนกับเจตต์พูดขึ้น เมื่อหันไปเห็นเอริคเดินออกมาจากห้องทำแผลพร้อมกับรวี  ทางด้านเจตต์เฝ้ารอจนอีกฝ่ายเดินมาถึง จึงอ้อมแอ้มถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

   “แผลเป็นยังไงบ้างครับ ...ต้องฉีดยาอะไรหรือเปล่า”

   “ไม่หรอก แค่ทำแผลเฉย ๆ อีกอย่างฉันเพิ่งฉีดบาดทะยักไปไม่กี่ปีนี้เอง ยังไม่ต้องฉีดซ้ำหรอก”

   เอริคบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งเจตต์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมาเมื่อถูกชายหนุ่มถามถึงอาการของตนบ้าง

   “ง่า...ผมไม่เป็นไรครับ ไม่มีไข้ หมอก็เลยไม่ได้จัดยาอะไรให้”

   “แต่เธอบ่นปวดหัวก่อนหน้านั้นไม่ใช่หรือไง”

   เอริคยังคงแย้งต่อ ซึ่งก็ทำให้เจตต์ยิ้มเจื่อน

   “ง่า...ตอนนั้นปวดนิด ๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะครับ จริง ๆ นะครับ!”

   เด็กหนุ่มรีบย้ำ แล้วก็มีสีหน้ากึ่งกลัวกึ่งหวาดวิตกให้เห็น เนื่องจากเขาเกรงว่าเอริคจะไม่พอใจเรื่องที่เขาแกล้งพูดหลอกเรื่องปวดหัวออกไปก่อนหน้านั้น

   “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายก็ให้รีบบอกรู้ไหม”

   เอริคไม่ได้โกรธ หากแต่กลับบอกกำชับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนทำให้เจตต์รู้สึกผิด เขาพยักหน้าตอบรับแล้วอาสาเดินประคองชายหนุ่มไปที่รถ ทีแรกบุรุษพยาบาลเตรียมจะเอารถเข็นมาให้ แต่เอริคนั้นปฏิเสธ แล้วปล่อยให้เจตต์ประคองตนไปแทน ทำให้เด็กหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ ทว่าเพราะบาดแผลครั้งนี้ของเอริคมีสาเหตุจากเขา จึงทำให้เจตต์ยอมประคองอีกฝ่ายไปต่อเงียบ ๆ จนกระทั่งถึงตอนขึ้นรถ

   “ไปนั่งด้วยกัน”

   คนเจ็บพูดถ้อยคำเอาแต่ใจด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทำเอาเจตต์ชะงัก เขายิ้มแห้งให้อีกฝ่ายก่อนจะหันหาผู้ช่วยชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันเมินจนน่าโมโห

   “กะ...ก็ได้ครับ”

   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ และก็ยังทำให้คนอื่นยืนออขึ้นรถไม่ได้ สุดท้ายเจตต์จึงจำต้องทำตามคำพูดนั้น เขากับเอริคนั่งเบาะหลังสุด และเมื่อทุกคนขึ้นรถพร้อมกันหมด รถตู้ก็เคลื่อนที่ตรงกลับบ้านพัก เพราะดูเหมือนทุกคนจะไม่อยากกลับไปเล่นน้ำต่อแล้ว

   

   เมื่อมาถึงบ้าน วารีที่แปลกใจว่าเหตุใดเด็ก ๆ ถึงกลับมาไวนักจึงออกมาดู พอเห็นขาของเอริคเธอก็อุทานด้วยความตกใจแล้วรีบสอบถามยกใหญ่ ทว่าพอรู้ว่าบาดแผลไม่หนักมากหญิงสาวจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกตามมา

   “ค่อยยังชั่ว ทีหลังก็ระวังตัวกันหน่อยนะจ๊ะ”

   หญิงสาวบอกกับทุกคน ส่วนทางด้านเจตต์นั้นพอได้ฟังที่เอริคเล่าเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เพราะเอริคบอกกับวารีว่าลื่นล้มเอง โดยไม่ยอมบอกว่าสาเหตุการล้มที่แท้จริงนั้นเกิดจากตน

   “เอ่อ...คุณเอริคครับ...จะไปพักที่เรือนไทย หรือไปนั่งพักที่บ้านเล็กครับ ...เอ่อ..ผมจะได้เดินไปส่ง”

   เจตต์ถามขึ้นเสียงแผ่ว ทำให้เอริคขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วถอนหายใจตามมา

   “ไปที่พักของเธอก็ได้...แต่เลิกทำหน้าแบบนั้นสักที”

   เอริคใช้นิ้วจิ้มหน้าผากที่ขมวดย่นนิด ๆ ของอีกฝ่าย ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง

   “ฉันเต็มใจปกป้องเธอ ...และฉันก็ดีใจที่เธอไม่บาดเจ็บอะไร เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าแบบนี้ เข้าใจนะ”

   คำพูดอ่อนโยนและจริงใจของอีกฝ่ายทำเอาเจตต์ถึงกับหน้าร้อนวาบ เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย เสียจนเวทิตที่มอบอยู่นึกทึ่ง จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันไปสะกิดเวหาและส่งสายตาในเชิงรู้กันกับอีกฝ่าย ทางด้านเวหายิ้มรับ ทว่าเขาก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงกระแอมถี่ ๆ จากคนข้างกาย

   “อะแฮ่ม ๆ”

   “อะไรติดคอเหรอพี่ซัน ...หรือโรคเก่ากำเริบ”

   เสียงเนือย ๆ ของมีนาดังแทรกขึ้นอย่างเอือมระอา เพราะทันได้เห็นภาพทั้งหมด และเขามั่นใจว่า ที่รวีกระแอมขัดก็เพราะเริ่มที่จะหึงหวงใส่พี่ชายเขาให้อีกแล้ว

   “ง่า...พี่แค่คันคอนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เท่านั้นล่ะครับน้องมีน ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

   รวีแก้ตัวพร้อมแสร้งยิ้มกว้าง เนื่องจากทางเวหากำลังใช้สายตาจ้องจับผิดมาที่เขา และเพราะรู้ว่าคนรักไม่ชอบที่เขาหึงหวงพร่ำเพรื่อโดยเฉพาะกับเพื่อนฝูง จึงทำให้รวีเลี่ยงจะพูดความจริงอย่างเต็มที่

    “เฮ้อ! งั้นผมขอตัวเดินไปล่วงหน้าแล้วกันนะครับ ใครจะหวานใส่กัน ใครจะแก้ตัวกัน ก็เชิญตามสบาย!”

   เวทิตตัดบทแล้วเดินฮัมเพลงนำไปก่อน ทำให้เจตต์ที่กำลังยืนเขินเอริคถึงกับสะดุ้งโหยง เด็กหนุ่มจากหน้าแดงก็กลายเป็นแดงก่ำ แล้วจึงรีบเอ่ยปากขอตัวทันที

   “งะ...งั้นผมเอาของไปเก็บก่อนนะครับ!”

   พอวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าแล้วหันมามองชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่กับที่

   “เอ่อ...เดินเองไหวไหมครับ...จะให้ผมไปช่วยพยุงไหม”

   เอริคที่ยืนอึ้ง ๆ ก่อนหน้านั้น แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกไปตามตรง

   “ฉันไม่เป็นไรมาก เธอไปเก็บของก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวเจอกันที่ห้องรับแขกนะ”

   เจตต์ยิ้มตอบด้วยความเขิน เขาพยักหน้ารับรู้ แล้ววิ่งแซงหน้าเวทิต กลับเข้าบ้านพักไปอย่างรวดเร็ว จนคนอื่นที่มองอยู่นึกขำ

   “นึกว่าจะอ้อนให้เขาประคองไปต่อเสียอีกนะนั่น”

   รวีเอ่ยแซวญาติของตน ซึ่งทางด้านเอริคก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบตามตรง

   “จริง ๆ ก็อยากทำแบบนั้น...แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขารู้สึกผิดไปมากกว่านี้ แผลนี่ก็แค่แผลเล็ก ๆ ไม่ได้เจ็บอะไรมากสักหน่อย”

   “คุณเอริคนี่เท่จังนะครับ ถ้าเจรู้ว่าคุณคิดกับเขาแบบนี้ เขาคงจะรู้สึกดีกับคุณเพิ่มมากขึ้นแน่ ๆ”

   เวหาบอกพร้อมรอยยิ้ม ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้อีกคนชะงัก หน้าบึ้งตึงขึ้น แล้วจึงเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มก่อนจะโอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังแน่น

   “อ๊ะ...มีอะไรหรือครับพี่ซัน”

   “ไม่มีครับ...แค่อยากกอดน้องฟ้าก็เท่านั้น”

   ชายหนุ่มยังคงพูดเสียงเรียบ สุภาพ ทว่าใบหน้าบึ้ง ๆ ติดงอนที่ไม่ค่อยจะได้เห็น ทำให้เวหาชะงัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

   “พี่ซันนี่นะ...ช่วยปล่อยก่อนได้ไหมครับ กอดแบบนี้ฟ้ายืนไม่ถนัด”

   รวีเม้มปากน้อย ๆ แต่ก็ยอมปล่อยคนรักโดยดี พอเป็นอิสระเวหาก็ชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเอียงอายนิด ๆ

   “ฟ้าจะเอาเสื้อผ้าไปเก็บ ...เอ่อ...พี่ซันไปเป็นเพื่อนฟ้าได้ไหมครับ”

   รวีที่กำลังนิ่งอึ้งพอได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ ก่อนจะยิ้มกว้างตามมา

   “ได้เลยครับ... งั้นพวกฉันขอตัวก่อนนะ เชิญทุกคนตามสบาย!”

   รวีหันกลับมาบอกกับคนอื่น ๆ อย่างร่าเริง พร้อมกับจูงมือเวหากลับเข้าบ้านของเด็กหนุ่มไป และนั่นจึงเรียกเสียงถอนหายใจจากคนที่เหลืออยู่แทบไล่เลี่ยกัน

   “หมอนั่นนี่ขี้หึงได้ตลอด...น้องฟ้าก็ใจเย็นน่าดู เจอแบบนี้ประจำยังไม่เบื่ออีก”

   “ไม่แปลกหรอก พี่เมฆก็ขี้หึงบ่อย ๆ มีนเองก็ยังไม่เบื่อเลยนี่ครับ”

   มีนาพูดแทรกขัดคนรักขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เมฆาสะดุ้งโหยงก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้อีกฝ่าย

   “แหม...น้องมีนล่ะก็ ถึงพี่จะขี้หึง แต่ก็ไม่งี่เง่าเท่าเจ้าซันมันนะครับ”

   “ครับ ๆ รู้แล้ว ..แต่ถึงพี่เมฆจะเป็นยังไงมีนก็ยังชอบมาก ๆ อยู่ดีนั่นล่ะ”

   ท้ายประโยคของเด็กหนุ่มเสียงนั้นแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน หากแต่ก็ยังคงจับใจความบางคำได้ โดยเฉพาะคำว่า…ชอบ

   “เอ๋? เมื่อครู่น้องมีนว่าอะไรนะครับ!”

   “ไม่ได้ยินก็ช่างเหอะ! ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมขอตัวเอาของไปเก็บก่อนนะครับคุณเอริค!”

   บอกจบมีนาก็วิ่งกลับเข้าบ้านไปทันที ทำเอาเมฆาสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันไปบอกกับเอริค ก่อนจะวิ่งตามมีนาไปติด ๆ

   “งั้นฉันขอตัวสักครู่นะเอริค ...น้องมีนครับ! รอพี่ด้วยครับ!”

   ทางด้านเอริคมองตามคู่รักทั้งสองคู่ไป แล้วถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา ก่อนจะหันกลับมามองยังทิศที่ตั้งของบ้านพักชั้นเดียวเบื้องหน้า ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มน้อย ๆ จากนั้นเขาจึงเริ่มเดินไปยังเป้าหมายเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนอันใดนัก


... TBC ....


ลงอีกตอนก็จะทันกับต้นฉบับที่ปั่นอยู่แล้วนะคะ แหะ ๆ แต่จะพยายามไม่ดองนะ เพราะยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาว (แต่ก็อยากเขียนตอนหลังจากคบแล้วยืดต่ออีกสักนิดเหมือนกัน)

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 7 [ 13/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 13-04-2015 18:48:02
 :z13:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 7 [ 13/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-04-2015 19:01:10
อ้าวน้องมีน. หนูยังกระดึ้บๆอยู่เลยเหรอเนี่ย
ช้าระวังน้องเจจะแซงหน้าไปหวานก่อนนะ. พี่เมฆก็สู้ๆนะ
พี่เอริคเจ็บตัวนิดหน่อยแต่โอเคเลยใช่ไหมล่ะ.
 :3123:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 7 [ 13/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 15-04-2015 11:31:56
แบบนี้ก็มีหวังแล้วสินะ เอริค
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 8 [ 15/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 15-04-2015 21:20:08

ตอนที่ 8



   พอเวทิตกลับเข้ามาบ้านพัก เจตต์ที่เร่งฝีเท้าเข้าบ้านไปก่อนก็มายืนสงบอกสงบใจอยู่หน้าประตูห้องของตนเอง ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเวทิตที่เดินมาใกล้เคาะผนังบ้านเบา ๆ เรียกสติ

   “ไงเพื่อน ใจลอยไปถึงใครกันล่ะนั่น ใช่คุณเอริคหรือเปล่า”

   เจตต์หน้าร้อนวาบกับคำพูดแทงใจดำนั้น เขารีบสั่นศีรษะปฏิเสธไปมา ก่อนจะชะงัก แล้วค่อย ๆ ก้มหน้าลง พลางบอกกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

   “ใช่จริง ๆ ด้วยนั่นล่ะ...สงสัยฉันคงจะชอบเขาเข้าให้แล้วจริง ๆ ว่ะต้น...ทำยังไงดีวะ”

   เวทิตถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยังคงยิ้มให้เพื่อนของเขา ที่ในที่สุดก็ยอมรับและไม่คิดจะโกหกหัวใจของตัวเองต่อไป   

   “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลยนี่ ชอบก็คือชอบ นายก็แค่ตอบรับรักเขาไป จะได้มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย”

   “แต่มันเกิดขึ้นไวมากเลยนะ ฉันกับเขาเจอหน้ากันได้ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ...แล้วถ้าเกิดมันไม่ใช่ความรักล่ะ...ถ้าเป็นแบบนั้น คุณเอริคก็น่าสงสารไม่ใช่หรือ”

   เจตต์แย้งออกมาอย่างสับสน ทำให้เวทิตอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ

   “เรื่องรักเรื่องชอบ มันไม่ขึ้นกับระยะเวลาสักหน่อย...ไม่อย่างนั้นคุณเอริคเขาคงไม่ตกหลุมรักแรกพบกับนาย จนต้องบินข้ามน้ำข้ามประเทศมาคอยตื๊อจีบแบบนี้หรอกนะ จริงไหม... แล้วอีกอย่าง การที่นายห่วงใยความรู้สึกของเขาแบบนี้ มันก็ตอบทุกอย่างที่นายไม่มั่นใจได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

   เจตต์ชะงัก เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับค่อย ๆ แต่แล้วประโยคถัดมา เด็กหนุ่มก็เอ่ยปากถามเวทิต ในสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายนิ่งอึ้ง

   “เอ่อ...และถ้าฉันเกิดรับรักเขาแล้ว แต่ดันเผลอไปปากเสียชมใครเข้าให้...คุณเอริคเขาจะยิงฉันทิ้งไหมวะ”

   เวทิตเงียบกริบไปชั่วครู่ แล้วจึงถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเปรยตอบอย่างเอือมระอา

   “งั้นเวลาที่คุณเอริคเขาพกปืนมาด้วย นายก็อย่าไปอยู่กับเขาสองต่อสองก็แล้วกัน”

   เจตต์ขมวดคิ้วยุ่ง ทว่ายังไม่ทันจะพูดแย้งกลับ เวทิตก็ยักไหล่แล้วเตรียมกลับเข้าห้องพักของตน อันเป็นเวลาเดียวกับที่เอริคเปิดประตูบ้านพักเข้ามาพอดี

   “ความจริงนี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะสารภาพความในใจต่อกันนะ...ฉันเองก็จะได้โล่งอก ไม่ต้องมีคนมาคอยจับผิดคอยหึงให้น่ารำคาญเล่นด้วยนั่นล่ะ”

   เวทิตกระซิบบอกเพื่อน ทำให้เจตต์หันมองคนพูดตาปริบ ๆ ทว่าเขาก็ต้องถอนหายใจแล้วเดินย้อนกลับไปที่ห้องรับแขก ในขณะที่เวทิตนั้นเลือกที่จะกลับเข้าไปนั่งพักผ่อนในห้องแทน

   “คุยอะไรกัน ถึงต้องกระซิบกันใกล้ขนาดนั้น...เป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้ใช่ไหม”

   เมื่อเจตต์เดินมาถึง เอริคก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่นัยน์ตานั้นเป็นประกายวาววับ ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงแล้วส่งยิ้มเจื่อนให้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะยืนก้มหน้าก้มตาหาคำแก้ตัวออกไป

   “เฮ้อ...ช่างเถอะ นั่งลงสิ”

   เอริคถอนหายใจ เลิกคิดคาดคั้นคำตอบ เพราะในยามนี้ความสัมพันธ์ที่เจตต์มอบให้ สำหรับเขาก็ถือว่าก้าวหน้ามากแล้ว

   “คะ...ครับ”

   เจตต์รีบรับคำเสียงสั่น เขาเลือกที่นั่งฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย ก้มหน้านั่งเงียบ กำมือแน่น เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปนานจนเอริคเริ่มขัดใจ จึงคิดจะเอ่ยปากชวนสนทนาก่อน ทว่า...

   “คุณเอริคครับ...เอ่อ...คือว่าผม...”

   เจตต์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขัดแผ่วเบา ก่อนจะเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย แม้จะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หากแต่นัยน์ตาเรียวเล็กนั้นก็ยังคงฉายแววจริงจังสะกดให้เอริคจ้องตอบได้อยู่ดี

   “ผมน่ะ...คือเริ่มคิดกับ...เอ่อ...”

   พอเอาเข้าจริง ๆ เจตต์ก็นึกคำพูดที่จะพูดขึ้นมาไม่ออกเสียดื้อ ๆ ยิ่งเอริคสบตาตอบเขานิ่งแบบนี้ เขาก็หน้าร้อนวูบวาบ หัวสมองก็เริ่มโล่งว่างเปล่าขึ้นมาทันที

   ทางด้านเอริคเขานิ่งเงียบจ้องตอบเด็กหนุ่มก็จริง ทว่าในใจกลับเต้นระทึกด้วยความหวังอันน้อยนิด หากไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เขาก็พอจะมองออกว่าเจตต์นั้นแปลกไป เด็กหนุ่มกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา และมันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาเฝ้ารออยู่แล้วก็เป็นได้ และเพราะเช่นนั้นชายหนุ่มจึงไม่พูดไม่ซักไม่เร่งร้อนอันใดออกไป เขาได้แต่นิ่งเงียบและรอรับฟังอย่างใจเย็นเป็นที่สุดตั้งแต่เคยเป็นมา

   “ผะ...ผมน่ะ...คือ....ชะ..”

   “เฮ้! เป็นไงทั้งสองคน หวานใส่กันถึงไหนแล้วเอ่ย!”

   เสียงเปิดประตูพรวดเข้ามา พร้อมกับคำทักทายอันแสนจะร่าเริงของรวี ทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง หน้าแดงก่ำ ความคิดจะสารภาพรักปลิวหายไปจากสมอง เขาลุกพรวดขึ้นยืนแล้วโค้งให้กับคนตรงหน้า ก่อนจะวิ่งกลับเข้าห้องแล้วล็อกประตูห้องทันที ทำเอาเอริคถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนจะหันขวับไปมองรวีอย่างขุ่นเคืองจนคนถูกมองสะดุ้งโหยง

   “เฮ้ย! ไหงจ้องฉันอย่างนั้นล่ะ ...เอ๋? หรือว่าฉันมาขัดจังหวะอะไรพวกนายหรือเปล่า”

   รวีถามอย่างสงสัย ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายตอบกลับ ทางด้านเวหาที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มก็โผล่หน้ามามองเอริค 

   “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมเจถึงวิ่งหนีเข้าห้องไปแบบนั้น”

    เพราะทันได้เห็นเพื่อนวิ่งกลับเข้าห้องแวบ ๆ จึงทำให้เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย เอริคมองคนถามแล้วถอนหายใจอีกรอบ

   “เฮ้อ...ไม่มีอะไรมากหรอก...ก็แค่กว่าฉันจะได้ฟังสิ่งที่เขาคิดจะพูดอีกครั้ง ก็คงอีกนานเป็นแน่”

   พอได้ยินเช่นนั้น รวีก็พอจะสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ชายหนุ่มส่งยิ้มเจื่อนแล้วพึมพำขอโทษลูกพี่ลูกน้องของตน ซึ่งเอริคก็ยักไหล่ เพราะแม้จะรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็รู้ดีว่ารวีนั้นไม่ได้ตั้งใจนั่นเอง

   “ง่า...งั้นพวกฉันถอยไปก่อนดีไหม เผื่อน้องเจจะออกมาอีกรอบ”

   รวีเสนอความเห็น ซึ่งเอริคก็สั่นศีรษะปฏิเสธค่อย ๆ

   “ไม่ต้องหรอก ฉันเชื่อว่าเขาคงจะไม่ออกมาข้างนอกอีกนานเลยล่ะ ...ยังไงฉันกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ไว้เจอกันตอนกินข้าวเย็นเลยแล้วกัน”

   เอริคบอกกับรวีแล้วลุกเตรียมเดินกลับห้องพัก ทว่าพอชายหนุ่มเดินไปสองสามก้าว เขาก็หยุดเดิน เจ้าตัวหันมามองที่ห้องของเจตต์ ก่อนจะตัดสินใจเดินย้อนกลับมาหยุดยืนหน้าประตูห้องของเด็กหนุ่ม เคาะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเปิดออกมา

   “ฉันไม่รู้ว่าเมื่อครู่ เธอกำลังจะบอกอะไรฉัน...แต่ถ้าเธอจะกรุณาพูดให้ฟังอีกครั้ง ฉันก็คงดีใจมากเลยล่ะ...แล้วฉันจะรอฟังนะ”

   พูดจบแล้ว เอริคก็เดินออกจากบ้านพักไป ส่วนเจตต์ที่อยู่ในห้องนั้นได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ และหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาจึงตัดสินใจว่า จะลองหาโอกาสสารภาพให้ชายหนุ่มได้รับรู้ความในใจของตนอีกครั้งหนึ่งหลังจากนี้

   

   มื้อเย็นของวันผ่านไป โดยที่เจตต์นั้นพูดน้อยลงแถมยังก้มหน้าก้มตาเสียจนวารีสังเกตเห็น ยังดีที่เธอก็พอจะรู้เรื่องราวของหนุ่ม ๆ ผ่านลูกชายคนเล็กมาบ้าง จึงทำให้พอจะคาดเดาบางอย่างและเลือกที่จะไม่ถามไถ่ออกไปแทน   

    “ค่ำนี้อากาศดีจังเลยนะ...พวกเรามาแยกย้ายกันไปเดินเล่นกันดีไหม!”

   หลังจากกินมื้อเย็นเรียบร้อยและต่างทยอยกันกลับที่พัก รวีก็คิดจะแก้ตัวเรื่องที่เผลอไปขัดจังหวะญาติของเขาเมื่อตอนช่วงกลางวัน ชายหนุ่มจึงแสร้งเปรยขึ้นและขยิบตาไปมองยังคนอื่น ๆ ให้ช่วยรับมุกของตนด้วย

   “แยกกันก็ดีอยู่หรอกครับ แล้วผมล่ะครับ จะไปกับใครดี”

   เวทิตพูดตอบขึ้นพร้อมรอยยิ้มขำ เนื่องจากทันเห็นเจตต์สะดุ้งโหยงหลังจากที่ได้ยินรวีพูดเมื่อครู่

   “ง่า...จริงด้วยสินะครับ ถ้าอย่างนั้นน้องต้นก็มาเดินเล่นกับพวกพี่ก็ได้ครับ”

   คนอื่นที่เหลือต่างหันมามองรวีอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ส่วนเวหานั้นอมยิ้มน้อย ๆ เพราะมั่นใจว่าการที่รวีลงทุนแบบนี้ เพราะอยากแก้ตัวกับเอริคเรื่องเมื่อกลางวันนั่นเอง

   “หึ ๆ ก็ได้ครับ ...ถ้าอย่างนั้นไม่เกรงใจแล้วนะครับพี่ซัน ...ฟ้า! ไปนั่งเล่นริมศาลากันเถอะ!”

   บอกแล้วเวทิตก็ควงแขนเพื่อนสนิทเดินนำลิ่วไป ทำให้รวีเบิกตากว้าง แล้วรีบจ้ำพรวดพราดตามทั้งคู่ไปทันที แต่กระนั้นก็ยังไม่วายหันมาขยิบตาให้กับเอริคอยู่ดี จนคนมองต้องสั่นศีรษะไปมาอย่างระอา ทว่าก็ยังคงมีรอยยิ้มตอบกลับไป

   “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเดินเล่นริมคลองกันดีกว่านะครับพี่เมฆ!”

   มีนาที่รู้สถานการณ์ดีหันมาชักชวนคนรัก ซึ่งเมฆาก็เต็มใจจะแยกตัวไปกันสองคนอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดปฏิเสธคำชวนนั้นแต่อย่างใด



   ใช้เวลาไม่นาน ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป เหลือแต่เพียงเอริคกับเจตต์ที่ยืนอยู่กันเพียงลำพังเท่านั้น

   “ถ้าเธอลำบากใจ ฉันแยกไปก็ได้นะ”

   เอริคเอ่ยขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบกันทั้งคู่อยู่สักพัก ทว่าพอได้ยินดังนั้น เจตต์ก็สะดุ้งโหยง แล้วรีบโพล่งออกไปอย่างลืมตัว

   “อ๊ะ อย่าไปนะครับ!”

   “ทำไมล่ะ”   

   เอริคซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้เด็กหนุ่มชะงัก แล้วอ้ำอึ้งบอก

   “เอ่อ...ผม...ผมไม่รู้จะเริ่มต้นพูด..ยังไงดี”

   คนฟังถอนหายใจแผ่วเบา เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะตอบกลับไป

   “เธออยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ ฉันจะรอฟัง ไม่ว่าเธอจะใช้เวลาพูดมันออกมานานแค่ไหนก็ตาม”

   เจตต์ชะงัก ก่อนจะก้มหน้านิ่งคล้ายกำลังตัดสินใจบางอย่าง เจ้าตัวเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาสั่นระริกน้อย ๆ แก้มขาวเนียนทั้งสองข้างเป็นสีแดงเรื่อชวนมอง จนเอริคต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะกลัวจะเผลอลืมตัวห้ามใจไม่อยู่ จับอีกฝ่ายกอดเข้าให้

   “ผม...เอ่อ...ผมรู้สึกว่าตัวเองจะเริ่มชอบ...คะ”

   R...R...R…R

   เสียงเรียกเข้ามือถือของเอริคดังขัดขึ้นก่อนที่เจตต์จะพูดจบ เอริคกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด เขาพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ ทว่าเจตต์ไม่เป็นเช่นนั้น อีกฝ่ายหยุดพูดไปดื้อ ๆ เพราะความเกรงใจ ทำให้เขาต้องยอมรับโทรศัพท์ในที่สุด

   “สวัสดีครับ เอริคพูด”

   น้ำเสียงห้วนที่ไม่ค่อยจะได้ยินเวลาสนทนากับตน ทำให้ปลายสายขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนถาม

   “ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นล่ะ มีปัญหาอะไรหรือ เอริค”

   เอริคที่รู้สึกตัวว่าเผลอแสดงอารมณ์หงุดหงิดใส่พี่ชายคนโต ก็ต้องลอบถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกไป

   “ขอโทษครับ ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แล้วพี่อีธานโทรมาทำไมหรือครับ”

   อีธานขมวดคิ้วยุ่ง ลองน้องชายเขามีน้ำเสียงหงุดหงิดและพูดจาชวนตัดบทเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องกำลังขัดจังหวะสำคัญอะไรบางอย่างของเจ้าตัวเป็นแน่

   “เฮ้! หรือว่าพี่โทรมาขัดจังหวะเลิฟซีนของนาย แสดงว่าจีบเด็กนั่นติดแล้วล่ะสิ!”

   เสียงที่แว่วให้ได้ยินนั้น แม้เป็นภาษาอังกฤษแต่ก็ไม่ใช่ศัพท์ยากอะไร และสำหรับเจตต์ที่คุ้นเคยกับการที่มีพี่เขยเป็นชาวต่างชาติ ก็ทำให้เขาพอจะฟังออกได้ไม่ยาก เด็กหนุ่มหน้าแดงวาบแล้วทำท่าจะเดินหนี จนเอริคต้องรีบจับข้อมือรั้งเอาไว้

   สายตาชายหนุ่มจับจ้องที่ร่างของอีกฝ่ายไม่วางตา แม้จะยังคงพูดคุยตอบพี่ชายกลับไปตามปกติ

   “ผมยังเป็นฝ่ายตกหลุมรักเขาข้างเดียวอยู่เลยครับพี่...แต่ผมก็ยังคงหวังอยู่นะครับ...หวังให้เขาใจตรงกันกับผมสักวันหนึ่ง ...เมื่อถึงวันนั้นผมคงจะมีความสุขมากเลยทีเดียว”

   แม้จะพูดเป็นภาษาอังกฤษ หากแต่ถ้อยคำที่เน้นย้ำอย่างช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำที่เอริคจงใจพูด ก็ทำให้เจตต์หน้าแดงก่ำ ใจเต้นแรง รับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายจงใจจะสื่อย้ำให้ตนเป็นอย่างดี

   ทางด้านอีธานนั้นชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของน้องชาย และด้วยความสนิทคุ้นเคยในตัวผู้เป็นน้อง เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่า คนที่ทำให้น้องชายของเขาตกหลุมรักชนิดถอนตัวไม่ขึ้นนั้น คงจะอยู่ไม่ห่างอีกฝ่ายเป็นแน่

   “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ภาวนาให้นายสมหวังเร็ว ๆ แล้วกันนะน้องรัก งั้นพี่คุยแค่นี้ล่ะ ...ขอโทษแล้วกันที่โทรมาขัดจังหวะน่ะ”

   ปลายสายบอกอย่างอารมณ์ดีแล้ววางสายไป ทางด้านเอริคที่จับข้อมือของเด็กหนุ่ม เปลี่ยนมาเป็นเกาะกุมมือทั้งสองของอีกฝ่าย พลางยกขึ้นจุมพิตแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน

   “เจ...ฉันรักเธอนะ ความรู้สึกของฉัน มันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง และมีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวันที่ฉันได้รู้จักเธอ ...ต่อให้เธอจะยังไม่มีใจให้กับฉัน แต่ฉันก็จะรอ...รอจนกว่าเธอจะพบใครสักคนที่สำคัญกับเธอจริง  และเขาก็รักเธอมากไม่แพ้ฉัน... ถ้าวันนั้นมาถึง ฉันจึงจะยอมจากเธอไป และจะไม่ทำให้เธอต้องลำบากใจแน่…ฉันสัญญา”

   คำพูดที่จริงใจและแววตาที่ฉายแววหนักแน่นดังเช่นคำพูด ทำให้เจตต์เงียบกริบ เด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นวาบที่แก้มของตนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาจ้องตาตอบอีกฝ่ายเนิ่นนานอยู่สักพัก ก่อนจะเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้คนตรงหน้า

   “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวผมจะดีพอกับความรักของคุณไหม...แต่ผมก็จะพยายามนะครับ ...จะพยายามทำตัวให้เหมาะสมและคู่ควรกับความรักของคุณ เท่าที่ผมจะสามารถทำได้...”

   เอริคนิ่งอึ้ง มือที่กุมมือของเด็กหนุ่มสั่นระริกจนเจตต์รู้สึก เด็กหนุ่มบีบมือตอบกลับแล้วจึงพูดต่อพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่แดงก่ำ

   “ผมชอบคุณครับ...คุณเอริค ...อาจจะไม่ชอบมากเท่าที่คุณชอบผม ...แต่ผมก็ชอบคุณเข้าให้แล้วล่ะครับ”

   เอริคเม้มปากน้อย ๆ เขาปล่อยมือและรวบร่างตรงหน้ามาไว้ในอ้อมกอดแน่นจนเจตต์ตกใจ หากแต่สักพักเด็กหนุ่มก็หลับตาซุกใบหน้าลงบนอกกว้างอย่างเป็นสุข พวกเขากอดกันอยู่เช่นนั้นสักพัก จนกระทั่งเอริคหลุดถอนหายใจแผ่วเบาและคลายอ้อมกอดนั้น ก่อนจะก้มลงมองเด็กหนุ่มที่สบตาตอบเขาและมีแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ จากนั้นเอริคจึงเฉลยให้อีกฝ่ายได้รับฟัง

   “ขืนไม่ปล่อย ฉันคงควบคุมตัวเองไม่ได้ และอาจจะจับเธอกดลงบนสนามหญ้าตอนนี้เลย...เป็นแบบนั้นจะดีหรือ”

   คนฟังหน้าแดงวาบรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ จนคนมองอมยิ้มน้อย ๆ

   “ก็นั่นล่ะ...ตอนนี้ฉันเองก็กำลังอดกลั้นอะไรหลาย ๆ อย่าง... เอาไว้ฉันควบคุมตัวเองได้ดีกว่านี้ ฉันจะกลับมากอดเธออีกครั้งแล้วกัน”

   เจตต์หน้าแดงก่ำ บอกไม่ถูกว่าควรจะตอบรับหรือปฏิเสธดี ปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มทำให้เอริคอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้ามาหอมแก้มเนียนแดงนั้นฟอดใหญ่ แล้วจึงจับไหล่ของเด็กหนุ่มดันกลับเข้าบ้านพัก โดยที่ตัวเขาไม่ได้ตามเข้าไปด้วย

   “ฉันไม่อยากให้ใครก็ตามได้เห็นใบหน้าน่ารักของเธอในตอนนี้...เพราะฉะนั้น รีบเข้าห้องนอนให้เรียบร้อย แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเพิ่งออกมาเจอใคร...เข้าใจนะ”

   เจตต์ยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ แม้จะยังมึนงงต่อปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายมีให้ตนอยู่บ้างก็ตาม

   “เอ่อ...ราตรีสวัสดิ์ครับ คุณเอริค”

   เด็กหนุ่มบอกไล่หลังคนที่กำลังเดินกลับที่พักไป ทำให้ร่างสูงชะงักแล้วหันกลับมายิ้มน้อย ๆ ให้

   “ราตรีสวัสดิ์ เจ ...ฝันดีนะ”

   เจตต์หน้าร้อนวูบวาบต่อความอ่อนโยนของอีกฝ่าย เขาพยักหน้ารับหงึกหงักและรีบปิดประตูบ้านพัก ตรงกลับเข้าไปที่ห้องนอนของตน นั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มนั้น

    “เฮ้อ! ไม่น่าเชื่อเลยนะเรา...ชอบผู้หญิงอยู่ดี ๆ แท้ ๆ แต่ดันมีแฟนเป็นผู้ชายซะงั้น!”

   เจตต์บ่นอุบ ก่อนจะเงียบไป แล้วจึงหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน  รู้แต่เพียงว่ายามนี้ ในอกมันอัดแน่นไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั่นเอง

   


... TBC ...

ทันสต็อกที่ปั่นไว้แล้วค่ะ ช่วงนี้ก็อาจจะช้าบ้างอะไรบ้างแต่ก็จะไม่ทิ้งกันจ้า เพราะเรื่องนี้ไม่ยาวนัก ^^"
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 8 [ 15/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 15-04-2015 21:35:45
 :katai2-1:   เป็นฉากสารภาพรักที่น่ารักมาก. เจ้นท์มากมาย
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 8 [ 15/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 15-04-2015 22:23:56
กว่าจะได้บอกรัก...คนขัดจังหวะเยอะมากกกกกก  :m20:
น่ารักมากค่ะคู่นี้ อิอิ ชักอยากอ่านต่อไวๆแล้วสิ :katai1:

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 9 [ 16/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-04-2015 22:53:57

ตอนที่ 9

 
   พอกลับมาถึงบ้านพัก เวทิตก็เหลือบมองรองเท้าแตะของเพื่อนที่ถอดวางไว้ตรงทางเข้า ทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นกลับมาแล้ว

   “เจ! หลับหรือยังน่ะ”

   เด็กหนุ่มเคาะประตูห้องพร้อมเรียก ทว่าในห้องก็ยังคงเงียบ เวทิตจึงเลิกคิดเคาะ และเตรียมจะกลับเข้าห้องนอนพักเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายก็เปิดประตูห้องออกมาเสียก่อน

   “มีอะไรหรือต้น”

   “ก็...อืม...แค่อยากรู้ว่า นายกับคุณเอริคลงเอยกันหรือยังน่ะ”

   เวทิตแสร้งกระเซ้า และเขาก็ต้องซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้าเมื่อเห็นเพื่อนหน้าแดงวาบ 

   “อ้อ...พอจะเข้าใจแล้ว อืม ๆ อย่างนี้ก็ต้องเลี้ยงฉลองสละโสดสินะ”

   เวทิตเปรยต่อ ทำให้คนหน้าแดงยิ่งหน้าแดงหนัก เจตต์เตรียมจะหนีกลับเข้าห้อง ทำให้เวทิตต้องรีบขอโทษแล้วตามไปชวนคุยกันอยู่อีกครู่ใหญ่ ๆ จนเจตต์นั้นเริ่มปรับอารมณ์ได้เป็นปกติ

   “สรุปแล้วตอนนี้พวกนายก็คบหากันอย่างเป็นทางการสินะ...เฮ้อ น่าอิจฉาคนมีความรักจังเลยนะ”

   เวทิตแสร้งทำเป็นถอนหายใจ แต่ใบหน้าส่งยิ้มแหย่ จนคนมองต้องขมวดคิ้วยุ่ง

   “ทำหน้าแบบนั้น ตกลงอิจฉาจริงหรือเปล่าเนี่ย”

   “ฮะ ๆ เปล่าหรอกน่า อย่าลืมสิ ฉันตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังพักใจ ยังไม่อยากจะคบใครให้ปวดหัวหรอก  อ้อ! แต่นายไม่ต้องห่วงหรอกนะเจ ช่วงแรก ๆ ข้าวใหม่ปลามัน ส่วนใหญ่จะหวานกันตลอด ไม่ค่อยมีอะไรมาให้รำคาญนักหรอกนะ”

   เจตต์ฟังเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักพูด แล้วยิ้มเจื่อน ก่อนจะหวนคิดถึงเรื่องคู่ของตนบ้าง

   “แล้วคู่ของฉัน ปัญหามันจะเกิดเมื่อไหร่กันนะ...แล้วมันจะลงเอยแบบคู่ของนายไหมวะ ต้น”

   เวทิตฟังแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ แล้วจึงตอบคำถามนั้นตามมา

   “อย่าคิดมากสิ... ใช่ว่าคู่ของนายจะลงเอยเหมือนฉันเสียเมื่อไหร่ และที่สำคัญนายก็เคยเห็นข้อผิดพลาดของคู่ฉันแล้ว ฉันว่าคนอย่างนายคงจะคิดได้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และไม่เลือกเดินซ้ำรอยแบบพวกฉันอีกล่ะนะ”

   เจตต์พยักหน้าหงึกหงักตอบรับ แล้วยิ้มให้เพื่อน พร้อมพึมพำขอบคุณแผ่วเบา จากนั้นเมื่อดูเวลาจากนาฬิกาบนผนัง เวทิตจึงขอตัวกลับห้องเพื่อไปพักผ่อน ส่วนเจ้าของห้องก็เดินไปส่งเพื่อนที่หน้าประตู และกลับมาทิ้งกายลงบนเตียง เงยหน้ามองเพดาน ก่อนจะพึมพำพร้อมมีรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้า

   “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดล่ะนะ กังวลไปก็เปล่าประโยชน์”

   เจตต์บอกกับตัวเอง พลางหลับตาลงช้า ๆ และหลับสนิทในเวลาไม่นาน เนื่องจากเกิดการผ่อนคลาย หลังจากที่ต้องพบกับความเครียดสะสมมาหลายวันก่อนหน้านั้น

   

   เสียงธรรมชาติยามเช้าที่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน ทำให้คนที่กำลังหลับสบายปรือตาขึ้น เจ้าตัวบิดกายอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะสะดุ้งเฮือก หัวใจแทบหยุดเต้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคยของใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่ตน

   “คะ...คุณ เอริค เข้ามาได้ยังไงครับเนี่ย!”

   เอริคที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องนั้นและเฝ้ามองเด็กหนุ่มนอนเงียบ ๆ โดยไม่คิดปลุก พอได้ยินคำถาม ชายหนุ่มจึงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วตอบกลับไป

   “ก็เธอเล่นไม่ยอมปิดประตูนอน ฉันเห็นเข้าก็เลยแวะมาดู...นี่ดีนะเจ ที่แถวนี้มีคนของซันคอยดูแลรอบ ๆ ถ้าเป็นที่บ้านพักแถวมหาวิทยาลัยของเธอ หรือเป็นที่อื่นเข้า การประมาทแบบนี้มันจะนำอันตรายมาสู่ตัวเธอรู้ไหม”

   เอริคบ่นยาวใส่ ทำให้คนที่เพิ่งตื่นยิ้มเจื่อน เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักพร้อมก้มหน้าอย่างสำนึกผิด จึงทำให้คนบ่นถอนหายใจอีกครั้ง

   “เฮ้อ...เอาเถอะ ทีหลังก็อย่าลืมแล้วกัน”

   บอกแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาคนที่นอนอยู่ เขานั่งลงบนเตียงแล้วเท้าแขนกักร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับชะโงกใบหน้าเข้ามา ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยงแล้วรีบถามอีกฝ่ายเสียงสั่น

   “จะ...จะทำอะไรน่ะครับ...”

   เอริคขมวดคิ้วจ้องมองคนบนเตียง ก่อนจะย้อนถามกลับไป

   “ก็จะจูบอรุณสวัสดิ์ยังไงล่ะ หรือเธอจะลืมไปว่า ตอนนี้พวกเราเป็นคนรักกันเรียบร้อยแล้ว”

   คนฟังชะงักก่อนจะหน้าแดงระเรื่อตามมาด้วยความเขิน แล้วจึงพูดตะกุกตะกักตอบออกไป

   “กะ...ก็ไม่ลืมหรอกครับ...ตะ...แต่ว่า... อ๊ะ! คือผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลยนะครับ!”

   คนที่กำลังเขินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ทำเอาอีกฝ่ายนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้

   “ฉันไม่ถือหรอก”

   “ตะ...แต่...!”

   เจตต์ค้านเสียงสั่น ก่อนจะเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก เมื่ออีกฝ่ายชะโงกหน้ามาหอมแก้มของเขาแผ่วเบา

   “ถ้าอย่างนั้นหอมแค่แก้มก่อน คงไม่เป็นไรใช่ไหม...อรุณสวัสดิ์นะ เจ”

   เด็กหนุ่มหน้าร้อนวูบวาบ เขาอุบอิบพูดทักทายตอบ ใจเต้นแรง คิดอะไรไม่ออก จนเอริคนึกสงสารแกมเอ็นดู เขาผละออกไป ลุกขึ้นยืน แล้วบอกอีกฝ่าย

   “ฉันจะให้เวลาเธอทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยภายใน 20 นาที แล้วถ้าเธอยังไม่เสร็จ ...ฉันจะเข้ามาช่วยด้วย เข้าใจนะ”

   เจตต์สะดุ้งโหยงแล้วรีบพยักหน้าตอบรับ และเมื่อเอริคเดินไปที่ประตูห้อง เด็กหนุ่มก็รีบลนลานลงจากเตียง ทางด้านเอริคเหลือบมามองเล็กน้อย เขาอมยิ้มแล้วสั่นศีรษะเบา ๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องครัว ชงกาแฟมาดื่มรอที่ห้องรับแขกอย่างอารมณ์ดี

   

   เวทิตเดินออกมาจากห้องส่วนตัว เพื่อที่จะหากาแฟดื่ม แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเอริคกำลังนั่งดื่มกาแฟรอใครบางคน อยู่ที่ห้องรับแขก

   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณเอริค...มิน่าล่ะ ผมถึงได้ยินเสียงเจมันราดน้ำอาบโครม ๆ ทั้งที่ปกติกว่าจะอาบได้ที ก็อ้อยอิ่งอยู่นั่นล่ะ”

   เวทิตบอกอย่างนึกขำ หากแต่คนฟังนั้นวางแก้วกาแฟลงอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

   “อรุณสวัสดิ์ต้น ...เมื่อคืนนี้เธอเข้านอน โดยไม่ได้ล็อกบ้านพักใช่ไหม”

   เวทิตชะงักแล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้

   “ง่า...พอดีผมเห็นว่าแถวนี้ก็มีแต่คนกันเองทั้งนั้น ...และก็ไม่น่าจะมีขโมย ผมก็เลยไม่ได้ล็อกน่ะครับ”

   “พวกเธอนี่นะ ประมาทกันทั้งคู่เลย...ต่อให้เป็นสถานที่คุ้นเคยยังไง แต่เรื่องพวกนี้มันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ”

   เอริคเอ่ยเตือน ซึ่งเวทิตก็พยักหน้ารับรู้พร้อมกับให้สัญญาว่าจะไม่ประมาทอีก ทำให้เอริคเลิกคิดที่ซักไซ้เอาผิด เพราะที่เตือนไปก็แค่ไม่อยากให้ทั้งเวทิตและเจตต์นั้นติดนิสัยชอบประมาทนั่นเอง

   “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปชงกาแฟดื่มก่อนนะครับ”

   เวทิตบอกกับคนตรงหน้า ซึ่งเอริคก็พยักหน้าตอบรับ และเมื่อชงกาแฟเสร็จ เด็กหนุ่มก็เข้ามาสมทบกับอีกฝ่ายตามเดิม แถมยังลอบจ้องเป็นระยะเสียจนคนถูกแอบมองขมวดคิ้ว

    “มีอะไร”

   “อ๊ะ...ขอโทษครับ พอดีกำลังคิดว่า พอคบกับเจมันแล้ว คุณจะเปลี่ยนมาคอยตามติดเจมันเหมือนที่พี่ซันทำกับฟ้าหรือเปล่าน่ะครับ”

   เวทิตบอกออกไปตามตรง ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อย

   “ใครบอกเธอเรื่องนี้...เจบอกหรือ”

   “ก็ใช่ล่ะครับ ยังไงพวกผมก็เพื่อนสนิทกัน ...คนรักน่ะคบกันยังเลิกรากันได้ แต่เพื่อนรักน่ะ ทำยังไงก็ตัดไม่ขาดหรอกครับ”

   เวทิตบอกพร้อมยิ้มแหย่นิด ๆ ซึ่งเอริคก็มีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาให้เห็นทันที ทำให้คนแหย่แสร้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจ้องตอบพร้อมรอยยิ้มที่เปลี่ยนมาเป็นเอือมระอาแทน จนเอริครู้สึกตัว

   “เธอนี่นะ...ระวังเถอะ ชอบแหย่แบบนี้ ถ้าไปเจอพวกอารมณ์ร้อนเข้า เดี๋ยวก็เดือดร้อนกันพอดี”

   เวทิตหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รู้สึกพอใจที่อีกฝ่ายรู้ทันแถมปรับอารมณ์เป็นปกติได้อีก

   “ขอบคุณที่เตือนครับ แต่คุณก็เหมือนกันล่ะครับ ...อุตส่าห์มัดใจเพื่อนผมได้ขนาดนี้แล้วแท้ ๆ เรื่องขี้หึงขี้หวงอะไรพวกนั้นก็เพลา ๆ หน่อยเถอะครับ แค่นี้เจมันก็กลัวคุณจนหัวหดแล้วล่ะ”

   เอริคชะงักกับท้ายประโยคที่ได้ยิน ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะตั้งคำถาม

    “ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนสนิทกับเขา ...บอกฉันได้ไหม ว่าทำไมเจถึงได้กลัวฉันขนาดนั้น ...เพราะเท่าที่ฉันจำได้ ฉันยังไม่ได้ทำพฤติกรรมอะไรจนถึงขนาดทำให้เขากลัวจนฝังใจเลยสักครั้งนะ”

   เวทิตเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตอบคำถามนั้นของชายหนุ่มไปตามตรง

   “คุณไม่เคยทำกับเจมันก็จริง ...ง่า...แต่เรื่องแฟนเก่าของคุณ มันก็ทำให้หมอนั่นกลัวคุณกับครอบครัวของคุณอยู่ไม่น้อยนะครับ...ถึงผมจะค่อนข้างมั่นใจว่า เจมันจะไม่นอกใจคุณในอนาคตข้างหน้านี้ แต่เรื่องที่มันชอบเหล่มองคนน่ารักแล้วปากเปราะชมไปทั่ว ยังไงนิสัยนี้ก็คงแก้ยากล่ะนะ... แล้วมันก็กลัวคุณโกรธจนเผลอลืมตัวเล่นงานมันเข้าให้เหมือนอย่างแฟนเก่าคุณโดนด้วยนั่นล่ะ”

   เอริคนิ่งอึ้ง ไม่คิดเลยว่าเรื่องของเขากับแฟนเก่าที่เลิกราไปแล้ว จะถูกเจตต์ล่วงรู้  ชายหนุ่มไม่แปลกใจแล้วว่า เพราะเหตุใดเจตต์จึงมักมีท่าทางหวาดกลัวเขา เวลาเขาเข้าใกล้เช่นนั้นเสมอ

   “ให้ตายเถอะ...ถ้าฉันเดาไม่ผิด ซันเป็นคนเล่าให้พวกเธอฟังใช่ไหม”

   เอริคถามเวทิตต่อ ซึ่งเด็กหนุ่มก็พยักหน้าตอบอย่างไม่คิดปิดบัง

   “ใช่ครับ พี่ซันเคยเล่าให้ฟังเมื่อปีที่แล้ว”

   คราวนี้เอริคถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง เพราะไม่คิดว่าเรื่องของเขาจะเคยถูกนำมาเล่าเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่เคยรู้จักเจตต์มาก่อนด้วยซ้ำ

   “ก็ตอนนั้นเจมันก็ปากเปราะพูดว่าอยากมีแฟนแสนดีเหมือนพี่ซัน พี่ซันก็เลยแนะนำญาติของเขาให้แทน ...แล้วพวกผมก็เลยได้รู้ประวัติคร่าว ๆ ของคุณมาจากพี่ซันยังไงล่ะครับ”

   เรื่องราวที่ได้ยิน ยังไม่สะดุดหูเท่ากับประโยคที่ว่า “แฟนแสนดีเหมือนพี่ซัน” และนั่นก็ทำให้เอริคนิ่งเงียบไป เลิกคิดซักไซ้อะไรอีก จนเวทิตนึกแปลกใจ และพยายามทบทวนคำพูดของตัวเองว่าเผลอหลุดปากพูดผิดหูอีกฝ่ายไปบ้างหรือเปล่า ทว่ายังไม่ทันนึกออก เพื่อนของเขาก็ออกมาจากห้องพักเสียก่อน

   “อ้าว...ต้น...ออกมานานแล้วเหรอ”

   “อือ มานั่งคุยเป็นเพื่อนคุณเอริคเขา รอนายไปพลาง ๆ ยังไงล่ะ”

   เวทิตตอบ ทำให้คนฟังหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน จากนั้นจึงเดินไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามชายหนุ่ม ทางด้านเวทิตเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วถามอีกฝ่าย

   “เอากาแฟไหม”

   “เอา! ใส่น้ำตาล 3 ช้อน แล้วก็ครีมเทียมเยอะ ๆ นะ”

   เจตต์รีบบอก ทำให้อีกฝ่ายสั่นศีรษะไปมาแล้วรับคำอย่างเอือมระอา เพราะเพื่อนสนิทก็ยังคงสั่งแบบไม่มีนึกเกรงใจเหมือนทุกครั้งนั่นเอง



   พอสั่งกาแฟเสร็จ เจตต์ก็หันมามองคนที่นั่งตรงกันข้าม ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสีหน้าขรึม ๆ ของอีกฝ่าย

   “คุณเอริค...เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

   คนฟังชะงักแล้วจึงฝืนยิ้มพร้อมย้อนถามกลับไป

   “ไม่มีนี่...มีอะไรหรือ”

   “คือ...ผมเห็นคุณทำหน้าเครียด ๆ ก็เลย...เอ่อ...ก็เลยคิดว่า คุณอาจจะมีปัญหาให้คิด...และถ้าผมช่วยได้ ผมก็ยินดีจะช่วยนะครับ”

   เจตต์บอกตะกุกตะกักด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เพราะยังรู้สึกไม่ชินกับตำแหน่งคนรักของคนตรงหน้าตนนัก

   “เจ...ถ้าฉันใจดีกว่านี้ เอาอกเอาใจเธอมากกว่านี้ เธอจะชอบฉันมากขึ้นไหม”

   คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังชะงัก เขาสบตาอีกฝ่ายนิ่งอยู่สักพักจนเอริคต้องเป็นฝ่ายเรียก

   “ว่ายังไงล่ะเจ...คำตอบน่ะ”

   แววตาคนถามดูเศร้าลง ทำให้เจตต์รู้สึกตัว ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับตอบคำถามนั้น

   “ผมชอบคุณที่เป็นตัวคุณมากกว่า...ต่อให้คุณจะทำตัวขรึมและดูเหมือนจะเย็นชา แต่ผมก็รู้ดีว่า จริง ๆ แล้วคุณน่ะ อ่อนโยนขนาดไหน... จริงอยู่ ไม่ว่าใครก็ชอบคนทำดีด้วย แต่ถ้าต้องฝืนตัวเองเพื่อให้คนอื่นชอบ...แบบนั้นก็อย่าทำเลยครับ นอกจากตัวคุณจะไม่มีความสุขแล้ว ...ผมเองก็จะไม่มีความสุขและรู้สึกผิดไปด้วยนะครับ”

   เอริคนิ่งเงียบ เขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เขารักอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นเบา ๆ จากบุคคลที่สาม

   “อะแฮ่ม...ขอโทษนะครับ แต่พอดีผมกลัวกาแฟจะเย็นเสียก่อน ขี้เกียจชงใหม่น่ะครับ แหะ ๆ”

   ทางด้านเจตต์ที่ลืมไปว่าเพื่อนสนิทก็อยู่ด้วย ถึงกับหน้าร้อนวูบวาบ แต่ก็พยายามควบคุมสติไม่ให้เตลิดด้วยความอาย เพราะถึงอย่างไรเวทิตก็รู้อยู่แล้วว่าเขากับเอริคนั้นคบหากันเรียบร้อย

   “เอ้า! นี่ กาแฟของนาย”

   เวทิตวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนจะเหลือบไปมองอีกคนพร้อมกับยกยิ้มน้อย ๆ ให้

   “ขอโทษนะครับที่ก่อนหน้านั้นผมเผลอพูดอะไรให้คุณเป็นกังวลไป ...แต่ผมก็เกริ่นแล้วนะว่าตอนนั้นหมอนั่นมันพูดคะนองปากไปโดยไม่คิด... ไม่เหมือนกับวันนี้ ที่เขาตั้งใจพูดและกลั่นกรองคำพูดนั้นออกมาจากใจจริงของเขา เพื่อให้คนสำคัญที่สุดของเขาได้รับฟังยังไงล่ะครับ”

   พอบอกจบเวทิตก็ขอตัวออกไปเดินเล่นรับอากาศยามเช้า ทิ้งให้เอริคต้องนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่บนโซฟา พลางสั่นศีรษะไปมา

   “รับมือยากจริง ๆ เลยนะ เพื่อนของเธอคนนี้น่ะ”

   ทางด้านเจตต์นั้นยามนี้กำลังงุนงงในสิ่งที่เพื่อนสนิทกับคนรักสนทนากัน สีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจเต็มที่ ทำให้เอริคต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

   “ไม่มีอะไรมากหรอก...เพียงแต่ฉันรู้สึกโชคดี ที่เขาไม่ใช่คู่แข่งฉันก็เท่านั้นล่ะนะ”

   พอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็หน้าร้อนวาบ แล้วรีบแก้เขินโดยการยกกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนจะสะดุ้งเฮือกแลบลิ้นเบ้หน้า เพราะความร้อนของกาแฟในแก้วนั้น

   “ไอ้เพื่อนบ้า! ไหนบอกว่ากาแฟจะกลายเป็นกาแฟเย็นแล้วยังไงล่ะ นี่ยังร้อนอยู่เลย!”

   เจตต์บ่นอุบอย่างลืมตัว ก่อนจะชะงักแล้วเงยหน้ามองสบตาชายหนุ่ม ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้

   “แหะ ๆ ขอโทษครับ...ลืมตัวไปหน่อย”

   เอริคสั่นศีรษะแล้วส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกฝ่าย

   “ไม่เป็นไร...ฉันชอบเธอที่เป็นตัวของเธอเอง ก็เหมือนกับที่เธอชอบฉันที่เป็นฉันยังไงล่ะ”

   เจตต์หน้าแดงวาบ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับหงึกหงักถี่ ๆ จากนั้นก็ยิ้มทั้งหน้าแดงระเรื่อส่งให้ ทำเอาเอริคนิ่งอึ้ง แล้วเริ่มหมดความอดทนในที่สุด

   “คะ...คุณเอริค”

   เจตต์พึมพำด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นและโน้มใบหน้าคมเข้มชะโงกเข้ามาใกล้ใบหน้าของตน

   “เจ...ที่รัก...ฉันรักเธอมากนะ”

   คำสารภาพอ่อนหวานของชายหนุ่มทำให้คนฟังใจเต้นแรง และเมื่อยามที่ริมฝีปากนุ่มนั้นสัมผัสที่ริมฝีปากของตนแผ่วเบา สมองของเขาก็เริ่มว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก จนกระทั่งชายหนุ่มผละริมฝีปากออกไป

   “หวานกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก”

   “วะ...หวาน...ระ...หรือ..ครับ”

   คนฟังพูดเสียงตะกุกตะกัก หากแต่คนมองกลับไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้ามปฏิกิริยาโต้ตอบที่เด็กหนุ่มมี นั้นกลับดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของเขาเสียเหลือเกิน

   “เจ...ไปนั่งคุยในห้องกันแทนไหม”

   คำถามของเอริคทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง ดูจากสายตาคมกริบวาววับที่มันสื่อความในใจโดยไม่ปิดบังนั่น ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที

   “ง่า...ผมว่าเราคุยกันแถวนี้ก็ดีแล้วนี่ครับ”

    ถึงแม้เขาจะตกลงคบหาเป็นแฟนกับอีกฝ่าย แต่เจตต์ก็ยังคงไม่พร้อมจะเสียตัวให้กับผู้ชายด้วยกันในตอนนี้อยู่ดี อย่างน้อยก็คงต้องขอเวลาให้เขาทำใจอีกสักพักใหญ่ ๆ นั่นล่ะ

    ทางด้านเอริคก็พอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง เขาลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้

   “ถ้าอย่างนั้นมานั่งใกล้ ๆ แทนแล้วกัน...นะ”

   ท้ายประโยคคล้ายจะฟังดูเหมือนอ้อน ทว่าเมื่อคนพูดด้วยนัยน์ตาคมกริบมันก็กลายเป็นขอกึ่งบังคับไปแทน

   “...ครับ”

   เจตต์รับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วขยับมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกับอีกฝ่าย ทว่าพอเขาตั้งท่าจะนั่งห่างออกไป ก็ถูกคนตัวโตรวบบ่าให้เข้ามาใกล้อย่างจงใจเสียอย่างนั้น

    “คุณเอริค...”

   “ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่...เราเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่หรือ”

   เจตต์ยิ้มเจื่อนส่งให้ แต่ก็ไม่กล้าขัดอะไรออกไป ไม่ใช่กลัวว่าชายหนุ่มจะโมโห แต่เขากลัวว่าเอริคจะเสียใจหรือน้อยใจมากกว่า เพราะเท่าที่เขาสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่ผ่านมา คนที่ดูเหมือนเย็นชาคนนี้ จะเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับคนที่เจ้าตัวใส่ใจ

   “ครับ...เอ่อ...คือผมก็แค่...เขินนิดหน่อย”

   เจตต์บอกตามตรง ทำให้เอริคยิ้มออก จากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยกันเรื่อย ๆ โดยคนเริ่มต้นบทสนทนาในตอนแรกนั้นจะเป็นเอริคเสียส่วนใหญ่ ทว่าพอผ่านไปเจตต์เริ่มหายประหม่า เด็กหนุ่มก็มีเรื่องมาเป็นฝ่ายชวนคุยแทน และเอริคก็กลายเป็นคนรับฟังเสียส่วนมากในตอนหลัง

   

   ภาพคู่รักที่นั่งใกล้ชิดพูดคุยกันสนิทสนม ทำให้เวทิตที่เปิดประตูเข้ามาเบา ๆ ต้องชะงัก ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ แล้วปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ในโลกส่วนตัวต่อไปโดยไม่คิดขัดขวาง

   “เฮ้อ...ชักจะอิจฉาขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้วสิเรา”

   เด็กหนุ่มพึมพำ แต่ก็ยังคงรู้สึกดีที่เห็นเพื่อนรักมีความสุข เขาเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจอกับเวหาที่ออกมาเดินเล่นเช่นกัน

   “ไง! ต้น ออกมาเดินเล่นแต่เช้าเชียวนะ”

   เวหาทักทายเพื่อนสนิท ซึ่งอีกฝ่ายก็ยักไหล่แล้วยกยิ้มให้

   “ไม่ออกมาได้ยังไงล่ะ ก็ในบ้านเขากำลังสวีทกัน ขืนอยู่ด้วยก็ได้เป็นหัวหลักหัวตอพอดี”

   เวหาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แล้วจึงย้อนถามกลับมา

   “สวีท...หรือว่าเจตกลงเป็นแฟนกับคุณเอริคเขาแล้วหรือ”

   “ใช่...แถมตอนนี้ยังหวานใส่กันเสียจนอยากแกล้งเลยล่ะ”

   เวทิตบอกแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จนคนมองอมยิ้ม

   “ไม่เอาน่า อย่าไปแกล้งเขาเลย สงสารคุณเอริคเขาออก”

   “แหม...ก็ตอนนี้ฉันเป็นโสดอยู่คนเดียวก็เหมือนโดนทอดทิ้งนี่นา”

   “อืม...งั้นให้พี่ซันแนะนำญาติให้สักคนไหมล่ะ เห็นว่าญาติผู้หญิงที่ยังโสดอยู่ก็มีนะ”

   “ง่ะ…ไม่เอาล่ะ ขืนข้องเกี่ยวกับคนตระกูลนี้ มีหวังได้โดนตามประกบตลอดเวลาแน่ ...ฉันยิ่งไม่ชอบให้ใครมาคอยตามจุ้นจ้านเสียด้วยสิ”

   คำตอบของเวทิตทำให้เวหาส่งยิ้มเจื่อนให้กับอีกฝ่าย เพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ว่า คนรักนั้นก็ประพฤติตัวไม่ต่างกับที่เพื่อนสนิทบอกมา ทว่าเพราะเคยชินเสียแล้ว จึงทำให้เวหาไม่ค่อยนึกรำคาญหรือเบื่อหน่ายเท่าใดนัก

   “แต่การที่มีคนคอยรักคอยเป็นห่วงเราอยู่ตลอดเวลา บางทีมันก็มีความสุขนะ”

   เวทิตมองเพื่อนสนิท แล้วถอนหายใจเบา ๆ เพราะจะว่าไป เขาก็ค่อนข้างพูดถึงเรื่องนี้ในทางลบมากไปหน่อย คงเพราะเคยมีประสบการณ์ความรักแย่ ๆ จึงทำให้เขาไม่ค่อยชอบการที่อีกฝ่ายคอยตามติดเป็นเงาตามตัวเช่นนั้น

   “อืม...ฉันเข้าใจ ถ้าแฟนเก่าฉันจะยอมรับฟังและเชื่อใจฉันบ้าง เหมือนกับพี่ซันของนาย ฉันก็คงไม่ต่อต้านเรื่องการสโตกเกอร์ระหว่างคู่รักแบบนี้นักหรอกนะ”

   เวหารับฟังตาปริบ ๆ กับถ้อยคำที่เวทิตใช้เรียกพฤติกรรมของรวีที่เป็นอยู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วตบบ่าเพื่อนตามมาเบา ๆ

   “เอาเถอะ ...เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใคร ไม่แน่บางทีบทจะมาเดี๋ยวมันก็มาเองล่ะ จริงไหม”

   “นั่นสินะ...แต่ถ้าไม่มีมาจริง ๆ เดี๋ยวก็อยู่คอยแหย่ คอยป่วน พวกนายสองคนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็สนุกดีล่ะนะ”

   เวทิตบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้เวหาสั่นศีรษะไปมา เพราะมั่นใจว่าเพื่อนสนิทคงจะทำอย่างที่พูดจริงแน่ แล้วเขาก็คงต้องคอยง้อคอยปลอบคนขี้หึงของเขาไม่ให้หึงหวง ด้วยการเปลืองเนื้อเปลืองตัวประจำ จนพักหลัง ๆ เวหาชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า รวีนั้นหึงหวงเขาจริง หรือแกล้งงอนให้เขาง้อกันแน่



...TBC...


กำลังหวานเจี๊ยบ ๆ ได้ที่  ตัดจบเลยดีไหมน้อ หุ ๆ
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 8 [ 16/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 17-04-2015 04:22:12
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
น่ารักกกกกกกกกกกก
น่าจะจับคู่เวทิตกับอีธานนะ
คงดีมากๆจริงๆ
อย่างที่เขาว่าเกลียดอะไรมักได้อย่างนั้นไงละ
ฮุๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 8 [ 16/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 17-04-2015 06:09:31
ญาติพี่ซันยังมีเหลืออีกมั้ยคะ  :-[
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 8 [ 16/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 17-04-2015 16:49:18
โอ้หวานทุกคู่เลยครับ น่าอิจฉาจัง ...... สนุกน่ารักอ่านแล้วยิ้มได้อารมณ์ดี

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 8 [ 16/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 17-04-2015 20:39:34
พอได้คบกันแล้ว ก็ออกลายเลยนะ เอริค

555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 8 [ 16/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-04-2015 20:47:43
ใจเย็นๆนะเอริค. เดี๋ยวเด็กตื่นหมด
ค่อยๆตอดไปจ้า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 8 [ 16/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 17-04-2015 20:53:23
อร๊ายยย ไม่ๆๆๆๆ อย่าเพิ่งตัดจบนะค๊าาา
กำลังอ่านเพลิน เจอคนแต่งบอกแบบนี้อิชั้นนี่สะดุ้งเลยค่า
ไม่นะ ไม่ยอม  :ling1: อยากอ่านอีกยาวๆ

เจน่ารักอ่ะ นับวันยิ่งน่าร้าก ยิ่งเผยใจตัวเองแล้วยิ่งน่ารักน่ากอดเข้าไปใหญ่
แก้มแดงเรื่อยๆ ใครจะอดใจไหว  :impress2:

แอบลุ้นว่าใครจะมากำหราบชายต้น พ่อคนรับมือยากคนนี้หนอ?
จะใช่คนในตระกูลนี้อีกรึเปล่า  :laugh:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 10 [ 20/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 20-04-2015 16:58:23

สวัสดีค่ะ มาต่อแล้วค่ะ ตอนแรกว่าจะตัดจบ แล้วไปจัดในตอนพิเศษแทน  แต่มันยังปั่นไม่จุใจ ประกอบกับคิดพล็อตเสริมได้ เลยมาปั่นให้อ่านกันต่อนี่ล่ะค่ะ  หวังว่าคงจะถูกใจกันนะคะ

ป.ล. นายต้นเริ่มฮอตในหมู่นักอ่าน เห็นมีแต่คนอยากจับให้เป็นเคะกันถ้วนหน้า 555 



ตอนที่ 10



    เรื่องที่เอริคกับเจตต์คบหากัน ก็ได้ล่วงรู้ถึงทุกคนทั้งที่ยังไม่พ้นช่วงเช้าดี เพราะเอริคนั้นไม่คิดจะปิดบังแถมยังแสดงท่าทางเป็นเจ้าของเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่ จนเจตต์รู้สึกเขินแทบไม่กล้าสบตากับคนอื่น ๆ เลยทีเดียว

   “เอ...แบบนี้ผมย้ายไปนอนที่เรือนไทยแทนดีกว่าไหมครับ คุณเอริคจะได้ย้ายมานอนห้องข้าง ๆ เจมันแทน”

   เวทิตเอ่ยแซวชายหนุ่มที่นั่งชิดกับเพื่อนของเขา ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งพักกินขนมหวานฝีมือของมีนา ที่ห้องรับแขกของบ้านพักหลังเล็กกัน และทันทีที่เวทิตพูดจบเจตต์ก็หันขวับมามองเพื่อนแล้วจ้องเขม็งด้วยแววตาเอาเรื่องทันที

   “ตอนนี้ยังก่อนดีกว่า...ขืนย้ายมาอยู่ใกล้กันกว่านี้ เดี๋ยวจะควบคุมตัวเองไม่ไหว”

   เอริคพูดตอบหน้าตาเฉย ทำให้คนแกล้งแซวชะงัก ก่อนจะพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดฤทธิ์เมื่อได้เห็นใบหน้าเหวอ ๆ แดงก่ำ ของเพื่อนสนิทของตน

   “ต้น! นายนี่มัน...”

   “ฮะ ๆ อย่าโกรธฉันสิ ฉันก็แค่อยากทำหน้าที่เพื่อนที่ดี ช่วยประสานสัมพันธ์ให้นายกับคุณเอริคเขาต่างหาก”

   คนที่พยายามควบคุมอารมณ์ขันตัวเองตอบออกไปอย่างร่าเริง ก่อนจะพยักหน้าขอโทษเอริคเบา ๆ แล้วเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย

   “ถึงยังไงผมก็อยู่ที่นี่ต่ออีกแค่ 4-5 วัน ก็ต้องกลับอยู่แล้ว แต่เจยังต้องอยู่อีกตั้งหลายวัน ถ้าผมกลับบ้าน หมอนี่ก็นอนคนเดียวอยู่ดี ถึงตอนนั้นยังไงก็ต้องจัดห้องกันใหม่ จริงไหมล่ะครับ”

   คำพูดของเวทิต ทำให้หลายคนชะงักแล้วพยักหน้ารับรู้ตามมาอย่างเข้าใจ ยกเว้นเจตต์ที่ยังคงเขินอยู่ไม่หาย

   “ไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย บ้านก็อยู่ใกล้ ๆ กันแค่นี้เอง!”

   “แล้วนอนคนเดียวไม่กลัวผีหลอกเหรอ...”

   เวทิตแกล้งแหย่ แต่อีกฝ่ายกลับแค่นยิ้ม แล้วโต้กลับทันที

   “ฉันไม่ใช่นายนี่จะได้กลัวผี  เหอะ! คราวก่อนตอนมาค้างที่บ้านเช่าฉัน พอได้ยินเสียงลมพัดแรง ๆ โครมครามด้านนอกหน่อย ก็กลัวจนกอดฉันเสียแทบจะหายใจไม่ออก!”

   เวทิตชะงัก ก่อนจะทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกประจานจุดอ่อนของตนเช่นนี้ ทว่าเอริคที่รับฟังอยู่เงียบ ๆ นั้นขยับมาโอบบ่าของเจตต์หมับ แถมยังลืมตัวออกแรงบีบจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง

   “ง่า...คุณเอริค”

   เจตต์หันไปสบตาอีกฝ่ายอย่างงุนงงพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ เพราะคนอารมณ์ดีก่อนหน้านั้น ตอนนี้กลับมีสีหน้าขรึมขึ้นมาอีกแล้ว

   “คุณเอริคครับ ไม่ต้องหึงไปหรอกครับ เรื่องต้นกลัวผีมาก ๆ น่ะ เป็นเรื่องจริงนะครับ ถ้าลองตกใจกลัวแล้วตรงหน้าต่อไม่ใช่เจ แต่เป็นคุณ หมอนี่ก็กอดทั้งนั้นล่ะครับ”

   เวหาที่เฝ้าดูอยู่รีบพูดแก้ตัวให้เพื่อนเพราะเกรงว่าเอริคจะโมโหหึงจนทำให้เจตต์กลัวเสียก่อน แต่คำพูดนั้นก็ทำให้รวีที่นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างอารมณ์ดีถึงกับชะงัก พลางขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะย้อนถามคนรักบ้าง

   “แล้วน้องฟ้ารู้ได้ยังไงครับ... อยู่ในเหตุการณ์หรือเป็นผู้ถูกกระทำล่ะครับ”

   เวหาเหลือบมามองคนถาม เขาลอบถอนหายใจแผ่วเบาอย่างระอา แล้วจึงอธิบายออกไปตามตรง

   “ผมแค่อยู่ในเหตุการณ์ครับ ตอนนั้นพวกเราไปเข้าค่ายลูกเสือตอน ม.4 ต้นเขาตกใจเสียงนกแสกร้องในตอนกลางคืน ก็เลยโวยวายวิ่งออกมานอกเต็นท์ แล้วกอดอาจารย์ที่ปรึกษาที่เข้ามาดูจนล้มไปกับพื้นทั้งคู่ ทำเอาต้องโดนลงโทษให้นั่งคุกเข่านอกเต็นท์ทั้งคืน น่าสงสารมากเลยล่ะครับ”

   “ง่า...ฟ้า เลิกเล่าเรื่องฉันได้แล้วล่ะ ...รู้สึกยิ่งเล่า ภาพพจน์ฉันมันยิ่งแย่ลง ๆ ยังไงไม่รู้สิ”

   เวทิตแย้งเสียงอ่อย แต่นั่นก็ทำให้หนุ่ม ๆ แต่ละคนหายหึง และกลับมานึกขำแกมสงสารเด็กหนุ่มแทน

   “เอ๊ะ! แล้วทำไมคราวนี้ พี่ต้นถึงได้แยกนอนคนเดียวได้ล่ะครับ ไม่กลัวผีแล้วหรือครับ”

   มีนาที่นั่งฟังเพลิน ๆ แทรกขึ้นมาบ้าง และนั่นก็ทำให้หลายคนสงสัย ยกเว้นเจตต์ที่รู้เหตุผลนั้นดี เพราะได้รับคำตอบจากเพื่อนสนิทมาตั้งแต่วันแรกที่เลือกห้องนอนแล้ว

   “ง่า...ข้อแรก นั่นก็เพราะพี่มั่นใจว่า น่าจะมีใครบางคนตามเจมันมาค้างที่นี่ด้วยแน่ และถ้าพี่ยังกล้านอนห้องเดียวกับเจ บางทีพี่อาจจะหลับไม่เป็นสุขตลอดที่พักที่นี่ก็ได้ยังไงล่ะครับ”

   เวทิตบอกกับมีนา ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกหงักรับรู้ ทว่าเอริคนั้นสะดุ้งนิด ๆ แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้ จนเวทิตและคนอื่นนึกทึ่ง

   “ส่วนข้อสอง...เพราะบ้านหลังนี้สร้างขึ้นใหม่ ทำให้ไม่น่ามีเรื่องอะไรให้ชวนสยองขวัญแน่...แต่ถึงจะมีพี่ก็เตรียมพร้อมของพี่ไว้แล้ว”

   พอเวทิตพูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้วยุ่ง เจตต์จึงบอกให้ทุกคนตามไปดูที่ห้องของเพื่อนสนิท โดยที่เจ้าของห้องก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยอมให้ทุกคนเดินไปดูโดยไม่ขัดขวาง

   

   พระประธานประจำบ้าน ขนาดองค์เกือบ 10 นิ้ว ที่ตั้งตระหง่านไว้บนหัวเตียงนอน ทำให้แต่ละคนที่ได้เห็นถึงกับพูดอะไรไม่ออก และเริ่มเชื่อแล้วว่าเวทิตนั้นกลัวผีจริง ๆ ไม่ใช่แกล้งเล่น

   “มิน่า...เห็นว่าจะมาอยู่แค่ 1อาทิตย์แต่ลากกระเป๋ามาตั้ง 2 ใบ”

   เวหาพึมพำ ซึ่งเวทิตก็ยิ้มเจื่อนแล้วพูดขึ้นบ้าง

   “ก็นะ...จะให้ใส่พระรวมกับเสื้อผ้าได้ยังไงเล่า แต่กว่าจะเอาออกมาจากบ้านได้ ก็โดนแม่บ่นตั้งหลายรอบ บอกว่าแค่พระเครื่องห้อยคอก็พอ แต่พระเครื่องของแม่แพงจะตาย ขืนฉันไปทำหล่นหายที่ไหน มีหวังโดนตีหัวแตก ก็เลยไม่กล้าสวมมาน่ะ”

   ทางด้านเจตต์ที่ฟังอยู่สั่นศีรษะอย่างเอือมระอา จะว่าไปเพื่อนสนิทของเขาทั้งนิสัยใจคอ ทั้งรูปร่างหน้าตา ก็ดูดีไปหมดเสียทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องกลัวผีนี่ล่ะ ที่ทำให้เวทิตไม่เพอเฟกต์อย่างที่ควรจะเป็น

   “เอาล่ะครับ ดูเรื่องขายหน้าของผมกันมากพอแล้ว ผมว่าพวกเรากลับไปนั่งคุยกันต่อดีกว่าครับ!”

   เวทิตที่รู้สึกว่าตัวเองจะถูกมองด้วยแววตาเปลี่ยนไปจากคนอื่น ๆ เอ่ยตัดบทขึ้น ทำให้แต่ละคนต่างอมยิ้มไปตาม ๆ กัน และทยอยเดินกลับมานั่งรวมตัวที่ห้องรับแขกของบ้านอีกครั้งหนึ่ง

   

   สำหรับช่วงบ่ายวันนี้ พวกหนุ่ม ๆ มีโปรแกรมออกท่องเที่ยวกันอีกรอบ เพราะรวีเห็นว่าเวทิตนั้นจะอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วัน ชายหนุ่มจึงเสนอให้ทุกคนไปท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อเวทิตจะได้มีความทรงจำที่ดีกลับไปในวันหยุดครั้งนี้นั่นเอง

   และการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ก็คือการพักค้างแรมในป่า และแม้จะเป็นป่าใหญ่ที่มีรีสอร์ทสะดวกสบายรองรับ หากแต่พื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นป่าทึบน่าท้าทายสำหรับพวกที่รักอิสระในการผจญภัยอยู่มากทีเดียว

   “อ้าว...ทีแรกพวกผมก็คิดว่าจะไปตั้งเต็นท์นอนกลางป่ากันเสียอีกนะครับ”

   เวหาบอกอย่างนึกเสียดาย เมื่อรถตู้พาพวกเขามาจอดที่หน้าบ้านพักหรูขนาดใหญ่ เนื่องจากทีแรกที่เด็กหนุ่มได้ยินรวีเสนอว่าน่าจะไปค้างแรมกันในป่า เขาก็คิดไปถึงการกางเต็นท์ใกล้ลำธารในป่าลึกเข้าให้แล้ว

   “แบบนั้นมันลำบากนี่ครับ แล้วก็อาจจะมีอันตรายก็ได้ ที่นี่ทั้งป่าไม้และสัตว์ป่าก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มากเสียด้วย ถ้าเราเข้าไปก็จะเป็นการรบกวนพวกมันเสียเปล่า ๆ”

   รวีให้เหตุผล ซึ่งเวหาพอได้ฟังก็พยักหน้ารับแล้วยิ้มตอบอย่างเข้าใจ ทำให้รวีแอบโล่งอก เพราะเขานั้นยังจำได้ดีในเรื่องที่คนรักเป็นพวกชอบหลงทิศ เกิดเวหาไปหลงป่าเข้าให้แล้วเขาตามไม่พบ เขาคงจะบ้าตายเป็นแน่

   “แต่ไม่ต้องห่วงนะครับน้องฟ้า ถึงเราจะพักกันที่นี่ แต่ตอนกลางวันเราจะเดินชมป่าแล้วก็ไปเล่นน้ำตกใกล้ ๆ แถวนี้กันด้วย”

   เวหาและเพื่อนอีกสองคน พอได้ยินก็รู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะเจตต์นั้นถึงกับเบิกตาเรียวเล็กของตนเสียกว้างด้วยความยินดี จนเอริคที่อยู่ข้าง ๆ นึกขำแกมเอ็นดู แต่ก็ยังไม่วายเตือนคนรักไม่ให้ประมาทเหมือนเมื่อคราวก่อนอีก

   “คราวนี้ต้องเดินระวังกว่าเดิมนะ เผื่อฉันรับไม่ทันเดี๋ยวจะเป็นแผลเอา”

   “ง่า...ครับ”

   เจตต์รับคำเสียงอ่อย ทำให้เอริคต้องลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นการปลอบ และนั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มมีรอยยิ้มเขิน ๆ ให้ได้เห็นอีกครั้ง

   “ถ้าอย่างนั้นเราแยกย้ายกันไปเก็บของกันดีกว่าครับ ไว้ตอนมื้อเย็นค่อยมาสรุปกันอีกทีว่าพรุ่งนี้จะจัดโปรแกรมเที่ยวยังไงกันบ้าง”

   รวีบอกกับทุกคน เพราะเวลานี้ก็เป็นเวลาจวนเย็นมากแล้ว ทว่าพอรวีบอกจบ พวกหนุ่ม ๆ ก็ยืนมองกันตาปริบ ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะจัดห้องพักกันยังไง เพราะแม้บ้านพักจะหลังใหญ่ก็จริง แต่ก็คงไม่มีห้องพอให้นอนเดี่ยวกันแต่ละคนแน่

   “เฮ้! ซัน ตกลงเอาไง...เรื่องนอนน่ะ”

   เมฆาที่เผอิญหันไปเห็นสายตาของเด็ก ๆ และอ่านพอออก จึงหันมาถามเพื่อนสนิท ซึ่งรวีก็นิ่งคิดก่อนจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

   “ก็ไม่เห็นยาก มี 3 ห้องนอน พวกเราก็แยกกันไป 3 คู่ ห้องนอนไหนที่ใหญ่สุดก็พ่วงน้องต้นไปคน แค่นี้ก็จบละ”

   พวกเด็กหนุ่มแต่ละคนพอได้ยินดังนั้นก็ทำตาปริบ ๆ โดยเฉพาะเวทิตที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากฟังจบ

   “ผมว่าผมนอนห้องรับแขกดีกว่าครับ ยังไงอากาศตอนกลางคืนบนภูเขาก็เย็นสบายอยู่แล้ว ถึงไม่มีแอร์ก็นอนได้”

   พอได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้น เวหาก็นึกสนุกแล้วเสริมตามขึ้นมาบ้าง

   “ถ้าอย่างนั้นฉันก็มานอนกับนายด้วยดีกว่า ที่นี่น่าจะมีพวกฟูกเสริมไว้ให้ด้วย เราก็ใช้ปูนอนด้วยกันก็นอนได้ละ... แล้วนายล่ะเจ ว่ายังไง”

   เวหาหันไปถามเจตต์ ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก ทำเอาคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกายเม้มปากนิด ๆ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

   “ถ้าอย่างนั้นพวกผมจะนอนรวมกันที่ห้องรับแขก ส่วนพวกพี่สามคน ก็แบ่งกันไปคนละห้องตามสบายเลยครับ ไม่ต้องห่วง”

   มีนาสรุปตัดบทก่อนที่คนที่เหลือจะรวมตัวกันประท้วง ทำให้รวีขมวดคิ้วยุ่งนิด ๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มแย้ม แล้วเอ่ยตามมา

   “ถ้าอย่างนั้นพี่ขอมานอนรวมด้วยคนนะครับ”

   “ไม่ได้ครับ อึดอัด แค่พวกผมก็เต็มแล้ว”

   คนที่ตอบคือเวหา ทำให้คนฟังสะดุ้งโหยงแล้วทำสีหน้าละห้อยน่าสงสารเสียจนเวหาเกือบจะหลงกล ทว่าก็ต้องทำใจแข็งไว้ก่อน เพราะเขาตั้งใจจะแก้เผ็ดเรื่องที่อีกฝ่ายวางแผนแบ่งห้องนอนแบบคู่รัก โดยไม่คิดจะบอกเขาล่วงหน้า

   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะนอนห้องชั้นล่าง”

   เอริคที่เหลือบไปเห็นห้องนอนด้านล่างรีบบอก แล้วเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของตนพร้อมกับแย่งกระเป๋าของเจตต์ไปถือ พลางหันมาบอกเด็กหนุ่มก่อนที่อีกฝ่ายจะตั้งคำถาม

   “เอากระเป๋ามาเก็บที่ห้องฉัน มันจะได้ไม่รกและไม่กินพื้นที่ห้องรับแขก ...ส่วนพวกเธอถ้าจะนอนที่ห้องรับแขกกันจริง ก็เอากระเป๋ามารวมกันในห้องฉันก็ได้”

   คำตอบของเอริคทำให้คนฟังแต่ละคนยิ้มออก ยกเว้นเมฆากับรวี ที่ถูกแย่งตำแหน่งห้องนอนที่ดีที่สุดในบ้านไปเสียแล้ว เพราะห้องนอนอีกสองห้องนั้นจะต้องขึ้นไปนอนบนชั้นสองของบ้านพักนั่นเอง

   “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่าพี่เมฆ...อืม...เอาไว้ถ้ามีนอยากนอนเตียงนุ่ม ๆ เมื่อไหร่ มีนจะขึ้นไปเคาะประตูขอนอนกับพี่เมฆด้วยคนแล้วกันนะ”

   มีนาที่สังเกตเห็นหน้าบึ้งตึงของคนรัก เดินไปกระซิบปลอบ ทำให้เมฆาชะงัก ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาได้ ชายหนุ่มกระซิบกลับ ซึ่งก็ทำให้มีนาที่ได้ยินนิ่งอึ้งเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมตกลง ตัดสินใจเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ไว้ในห้องพักของคนรักตามคำขอร้องของอีกฝ่าย

   

   ทางด้านเวหาพอเห็นน้องชายเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าตามเมฆาขึ้นไปบนชั้นสองก็แอบอึ้งเล็กน้อย ทว่ามีนาก็รีบหันมาบอกด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนที่พี่ชายจะเข้าใจตนผิดไปมากกว่านี้

   “มีนก็แค่จะเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่ห้องพี่เมฆเท่านั้นเอง...ขืนเอาไปเก็บรวมที่ห้องคุณเอริคทั้งหมด ก็รบกวนคุณเอริคเขาน่ะสิครับ”

   พอได้ยินดังนั้นเวหาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะถ้าลองมีนาเลือกค้างห้องเดียวกับเมฆา มีหวังเขาคงจะถูกรวีตื๊อแล้วอ้างเปรียบเทียบเข้าให้แน่

   “ถ้าอย่างนั้นน้องฟ้าก็เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องพี่ดีกว่านะครับ เห็นพนักงานเขาบอกว่าห้องพักที่นี่มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง ...เวลานอน น้องฟ้าก็ไปนอนรวมกับเพื่อน แต่เวลาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำธุระส่วนตัว น้องฟ้าก็มาใช้ห้องพี่ยังไงล่ะครับ”

   รวีอ้อนเต็มที่จนเวหาต้องลอบถอนหายใจ และเลิกคิดแกล้งทำใจแข็งต่อ

   “เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”

   รวีเบิกตากว้างอย่างยินดี จากนั้นก็รีบกุลีกุจอช่วยเด็กหนุ่มหิ้วกระเป๋าขึ้นไปเก็บ แถมยังชักชวนให้เวหาไปดูห้องพักของตนด้วยอีกต่างหาก ทำให้ชั้นล่างในห้องรับแขกเหลือเพียงสองคน คือ เจตต์ และเวทิต  ส่วนเอริคนั้นยกกระเป๋าเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มไปเก็บในห้องเรียบร้อยเพื่อกันอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ

   “เอาไง...นายก็จะเอากระเป๋าไปเก็บในห้องด้วยใช่ไหม”

   เจตต์ถามเพื่อน เพราะแม้จะไม่ค้างห้องเดียวกัน แต่การที่อยู่ด้วยกันลำพังในห้องส่วนตัวกับเอริคก็อดที่จะทำเขาเขินขึ้นมาไม่ได้

   “ไม่ล่ะ ...กระเป๋าฉันแค่ใบเดียว เอาไปซุกไว้ตามริมห้องก็ได้ อีกอย่างข้างนอกนี่ก็มีห้องน้ำ ฉันก็ไม่ต้องไปแย่งเข้าห้องน้ำกับพวกนายสองคนก็ได้ เพียงแต่ว่า...”

   เวทิตหยุดเว้นวรรค สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

   “ถ้าเกิดนายเปลี่ยนใจจะนอนห้องเดียวกับคุณเอริค ฉันขอติดไปนอนในห้องด้วยคนนะ  ถ้าพวกนายจะทำอะไรกันบนเตียงก็ทำไป รับรองว่าฉันจะไม่รบกวนและทำตัวเงียบ ๆ นอนบนพื้นมุมห้องอย่างสงบเสงี่ยมที่สุดเลยล่ะ สาบานได้!”

   เจตต์นิ่งอึ้งก่อนจะหน้าแดงวาบตามมา แล้วจึงโวยวายใส่เพื่อนด้วยเสียงที่ไม่กล้าดังนัก

   “อะ...ไอ้บ้า...ใครจะทำกันเล่า...ไอ้เพื่อนลามก!”

   “อ้าว! ฉันก็แค่พูดเผื่อไว้ก่อน  ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็ไม่นอนคนเดียวแน่ พระก็ไม่ได้พกมาด้วย”

   เวทิตรับคำอย่างไม่นึกสนใจ แถมยังพึมพำด้วยความเป็นกังวลตามมาเสียจนคนมองหมั่นไส้

   “ทีแรกดันเสนอตัวขอนอนห้องรับแขกคนเดียวได้หน้าตาเฉย ทีนี้ดันจะมาทำเป็นกลัว!”   

   เจตต์บ่นอุบ ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะแย้งกลับไป

    “ก็ทีแรกฉันมั่นใจว่า ถ้าพูดแบบนั้นออกไป ไม่ฟ้าก็นายจะต้องเสียสละมานอนเป็นเพื่อนกับฉันด้วยน่ะสิ เรื่องอะไรจะยอมทำตัวกลัวผีเสียหน้าต่อพวกพี่ซันให้เพิ่มไปกว่านี้วะ!”

   “แล้วตอนนี้ล่ะ...”

   เจตต์ถามด้วยสีหน้าที่เอือมระอา ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดต่อ

   “แหะ ๆ ก็พวกนายเล่นทำตัวเหมือนจะแยกกันไปนอนคู่ใครคู่มันนี่หว่า ฉันก็เลยเก๊กต่อไม่ไหวน่ะสิ”

   เวทิตสารภาพออกมาตามตรง ทำให้เจตต์ทั้งฉุนทั้งสงสารเพื่อนสนิท แล้วจึงรับปากว่า หากต้องย้ายเข้าไปนอนในห้องจริง ยังไงเขาก็จะพ่วงเวทิตเข้าไปด้วยกันแน่นอน

   

   หลังจากพูดคุยตกลงกับเวทิตเรียบร้อย เจตต์ก็เดินตรงไปเคาะประตูห้องเอริคเบา ๆ

   “คุณเอริคครับ...เอ่อ...ผมเข้าไปได้ไหมครับ”

   “...เชิญ”

   ข้างในเงียบไปสักพัก ก่อนที่คำตอบรับสั้น ๆ จะดังขึ้น ทำให้เด็กหนุ่มใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ และพอเปิดประตูเข้าไปเขาก็ต้องหลุดอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเอริคซึ่งลุกขึ้นมายืนรออยู่หน้าประตูดึงแขนเขา พลางรวบร่างที่เสียหลักเข้าไปกอดแน่น และก่อนจะถูกกอดจนหายใจไม่ออก เจตต์ก็รีบดันอีกฝ่ายให้ห่างกายแล้วถามขึ้นเสียก่อน

   “คะ...คุณเอริค...อะไรกันครับเนี่ย”

   “ก็เธอปล่อยให้ฉันรอนานเสียจนฉันคิดว่า เธอจะโกรธที่ฉันมัดมือชกเรื่องกระเป๋าเสื้อผ้านั่นน่ะสิ”

   เอริคสารภาพตามตรง ทำให้เจตต์ชะงัก ก่อนจะหลุดยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่าย

   “ผมไม่โกรธคุณเรื่องนั้นหรอกครับ...เอ่อ...และจริง ๆ แล้ว ถึงจะจัดห้องให้คู่กัน ผมก็ไม่ว่าอะไร...จะมีก็แต่...เอ่อ...รู้สึกเขินมากกว่า ก็เท่านั้น”

   เพราะค่อนข้างเข้าใจดีว่า คนที่เขารัก เป็นคนตรงไปตรงมา จริงใจ และอ่อนไหวในเรื่องความรักเป็นพิเศษ จึงทำให้เจตต์ยอมข่มความอายและบอกความในใจออกไป เพื่อไม่ให้เอริคต้องเข้าใจผิด และอยากให้อีกฝ่ายเชื่อใจและมั่นใจในความรักที่เขามีตอบด้วยนั่นเอง

   “เจ...ที่รัก...ฉันรักเธอนะ”

   เอริครับรู้ถึงความจริงใจที่มีให้ตนผ่านคำพูด สีหน้า และแววตาของเด็กหนุ่ม เขาไม่รู้จะตอบแทนยังไงให้สมกับความรู้สึกนั้น จึงทำได้เพียงบอกรักออกไป หากแต่เจตต์ก็ยังคงยิ้มเขินตอบรับเขา และกอดตอบเขาหลวม ๆ ซึ่งก็สร้างความสุขใจให้กับเอริคยิ่งนัก



    พวกเขายืนกอดกันอยู่เช่นนั้นพักใหญ่ จนกระทั่งเสียงเคาะประตูของใครบางคนดังขึ้น จึงทำให้ทั้งคู่ผละจากกัน และพอหันมามองต้นเสียง ก็เห็นเวทิตเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้

   “ง่า...พอดี ผมเห็นต่างคนต่างแยกเข้าห้องกันไปเสียนาน เลยรู้สึกโหวง ๆ เอ๊ย! รู้สึกเหงานิดหน่อยน่ะครับ ...อีกอย่างมันก็เย็นมากแล้ว แถมบนเขานี่ก็มืดเร็วเสียด้วยสิ แหะ ๆ”

   เจตต์มองเพื่อนสนิทของตนก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายมาขัดจังหวะเพราะอะไร ทางด้านเอริคนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองคนรักพร้อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยขึ้น

   “ถ้าอย่างนั้นเราไปตามทุกคนไปกินข้าวเย็นดีกว่า ขืนปล่อยแบบนี้ กว่าจะได้กินก็คงจะค่ำแน่”

   เจตต์หน้าแดงวาบ ส่วนเวทิตหัวเราะแห้ง ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยู่คนเดียวท่ามกลางห้องรับแขกกว้างขวางวังเวงแบบนั้น เขาก็คงไม่คิดจะเสียมารยาทมาขัดจังหวะคู่รักแต่ละคู่เป็นแน่ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างต้องทนกลัวอยู่คนเดียวล่ะก็ เขายอมถูกเบื่อหน้าจากพวกคนรักของเพื่อนเสียจะดีกว่าล่ะนะ

   

... TBC ...
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 10 [ 20/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-04-2015 17:03:19
 :o8:  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 10 [ 20/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 20-04-2015 19:28:30
 :กอด1: :mc4: ชอบตอนนี้อ่ะน่ารักดี
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 10 [ 20/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: sweetyswtcou ที่ 21-04-2015 03:56:49
อ่านทันแล้ววว
เป็นเรื่องที่สนุกมากค่ะ ไม่มีดราม่า ชอบมากกกกกก o13
อยากอ่านต่ออีกมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 10 [ 20/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 21-04-2015 10:51:40
 :jul3: :jul3: :jul3: :jul3: :jul3: สงสารต้นนะ..อย่างนี้ต้องหาคู่ให้ต้นแล้วล่ะนะ..  :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 10 [ 20/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 21-04-2015 11:08:29
น่ารักกกกกกกกกกกกกกก  :-[ :-[
เมื่อไหร่คู่ของเวทิตจะออกมาน๊า  :hao6: :hao6:
จะได้ไม่ต้องไปค่อยขัดคู่อื่นเค้า หุๆๆๆ  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 10 [ 20/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: raviiib❁ ที่ 21-04-2015 16:23:28
แอร้ยยยยยยยยย น่ารัก
เมื่อไหร่ต้นจะมีแฟนคร้า มีหนุ่มล่ำๆให้ต้นซูกตอนกลัวผีมั้ย อิอิ :hao3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 10 [ 20/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 21-04-2015 17:54:33
คุณเอริค กรี๊ดดดดดดดดดด แบบ... เจที่รัก
เจที่รัก ง่ะ เขิน ม้วนตัวๆ  :-[

ตาต้นเอ้ย นายมีจุดอ่อนแล้ว ไม่รอดแน่ๆ กร๊าก
น่าแกล้งมากอ่ะ  :laugh:

ขอบคุณคนแต่งค่ะ LOVE LOVE  :L2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 10 [ 20/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-04-2015 23:15:37
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 11 [ 23/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-04-2015 15:56:16

ตอนที่ 11


    ค่ำวันนั้นหลังจากที่ทานอาหารมื้อเย็นกันเรียบร้อย แต่ละคนก็มารวมตัวกันที่ห้องรับแขก ทางด้านเจตต์ที่กินมื้อเย็นจนอิ่มก็เริ่มหาวออกมา ทำให้เอริคที่มองอยู่อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยถามอีกฝ่าย

   “ง่วงแล้วหรือ...จะไปนอนที่ห้องฉันก่อนก็ได้นะ”

   เจตต์สะดุ้งก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ แล้วสั่นศีรษะไปมา

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมแค่อิ่มนิดหน่อย ถ้าง่วงจริง ๆ เดี๋ยวผมฟังไปหลับไปแถวนี้ก็ได้ครับ แหะ ๆ”

   เอริคถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ขยับไปนั่งใกล้แล้วโน้มศีรษะของเด็กหนุ่มให้มาซบพิงกับไหล่ของตน

   “ถ้าอย่างนั้นก็หลับพิงไหล่ฉันไปแล้วกัน หรือถ้าไม่ถนัดก็จะนอนตักแทนก็ได้นะ”

   ชายหนุ่มบอกอย่างอ่อนโยน ทำให้เจตต์หน้าแดงวาบด้วยความเขิน ส่วนคนอื่นที่อยู่ด้วยต่างพากันทำเป็นเมินไม่ใส่ใจความหวานของทั้งคู่ แล้วสนทนากันต่อไป ซึ่งก็ทำให้เจตต์รู้สึกโล่งอก เพราะถ้าเขาโดนล้อตอนนี้ เขาก็คงทำตัวไม่ถูกเป็นแน่

   “อืม...จะว่าไปตอนนี้กลุ่มของพวกเรา คนที่โสดก็เหลือแต่น้องต้นคนเดียวแล้วสินะครับ”

   รวีเปลี่ยนเรื่องสนทนาจากกำหนดการท่องเที่ยววันรุ่งขึ้น เป็นเรื่องของความรักแทน ทำเอาเวทิตถึงกับชะงัก ก่อนจะยิ้มตอบกลับไป

   “ง่า...ก็คงงั้นครับ แต่ผมเองก็โอเคนะ ยังไม่เหงาอะไรเท่าไหร่”

   เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากรวีทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ เพราะแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคนรักนั้นไม่เคยคิดกับเวทิตเกินเพื่อน  หากแต่เพราะความสนิทสนมที่ทั้งคู่มีต่อกัน ก็ทำให้รวีเกิดอาการหึงหวงและเกรงว่ามิตรภาพมันจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักเข้าให้สักวัน แต่หากเวทิตมีคนรักเป็นของตัวเอง เขาก็คงจะพอลดความกังวลลงไปได้บ้าง

   “เอ่อ...แล้วสเป็คที่น้องต้นชอบล่ะครับ เป็นแบบไหน”

    คำถามถัดมาทำให้เวทิตขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะนึกเอะใจบางอย่าง เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ ก่อนจะตอบคำถามนั้น

   “จะว่าไปแล้วผมก็ไม่มีรสนิยมตายตัวหรอกครับ ถ้านิสัยเข้ากันพอได้ ก็คบกันได้แล้ว  อืม...จริง ๆ ถ้าให้เลือกล่ะก็ นิสัยแบบฟ้านี่ล่ะครับถูกใจที่สุด ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ถ้านิสัยเหมือนหมอนี่ผมว่าผมยอมรับได้สบาย ๆ เลยล่ะ”

   รวีสะดุ้งโหยงแล้วจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ทำเอาเวหาที่มองอยู่ต้องถอนหายใจแผ่วเบา มองเพื่อนก็พอจะรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มแกล้งตอบหาเรื่องแหย่ให้คนรักของเขาเกิดความหึงหวงเข้าอีกจนได้

    “ต้น...”

   เวทิตหันมายิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ ให้เพื่อนสนิท ก่อนจะยักไหล่นิด ๆ แล้วหันไปทางรวีอีกครั้ง

   “ผมล้อเล่นน่า! พี่ซันนี่ล่ะก็หึงหวงพร่ำเพรื่อเสียจริงเลย”

   “ล้อเล่น...จริง ๆ หรือครับ”

   รวียังไม่หายระแวง ทำเอาเวหาที่มองอยู่ลอบถอนหายใจ แล้วเรียกชื่อคนรักเบา ๆ   

   “พี่ซันครับ”

   เวหาเรียกชื่ออีกฝ่าย พลางจ้องแบบดุ ๆ ไม่จริงจังนัก แต่นั่นก็ทำให้รวีที่กำลังเขม่นใส่เวทิตสะดุ้งโหยง แล้วหันมายิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้

   “แหม...ก็น้องต้นเขาล้อเล่นเสียเหมือนจริง พี่ก็เลยระแวงนี่ครับ”

   “ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยครับ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าฟ้ากับต้นเป็นแค่เพื่อนกัน ทำไมถึงไม่เชื่อใจกันบ้างเลย... นายก็เหมือนกันนะต้น ถ้าไม่เลิกแหย่ให้พี่ซันหึงอีก ฉันจะให้มีนกับเจไปนอนที่อื่นแล้วทิ้งให้นายนอนห้องรับแขกคนเดียวด้วย!”

   เวทิตที่กำลังยิ้ม ๆ สะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบโวยวายตามมาอย่างลืมตัว

   “เหวอ! ไม่เอานะฟ้า! ฉันไม่นอนคนเดียวเด็ดขาด!”

   พอโวยวายออกไป เจ้าตัวก็ชะงัก ก่อนจะกระแอมเบา ๆ เรียกฟอร์มกลับมาแล้วพูดต่อ

   “ง่า...เอาเป็นว่าฉันขอโทษที่แกล้งแหย่เรื่องนายแล้วกัน ...แต่ฉันก็แค่ขำพี่ซันนี่นา ตัวเองก็ทั้งหล่อทั้งรวย จะมาหึงหวงอะไรกับคนอย่างฉัน เฮ้อ...ไม่เข้าใจจริง ๆ เลยน้า”

   ท้ายประโยคเจ้าตัวทำเป็นสั่นศีรษะไปมาแถมยังปรายสายตาไปยักคิ้วให้กับเจตต์ที่นั่งอยู่อีกที่ สร้างความหมั่นไส้ให้กับทั้งเวหาและเจตต์ที่มองอยู่ และเริ่มคิดตรงกันว่าควรจะหาคู่ให้กับเวทิตบ้างได้แล้ว เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องโดนล้อเลียนหรือแกล้งแหย่เอาฝ่ายเดียวแบบนี้



   “แล้วตอนน้องต้นมีแฟน น้องต้นไม่เคยหึงหวงแฟนบ้างเลยหรือครับ”

   รวีที่รู้สึกเสียหน้านิด ๆ เอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ ทำให้เวหาต้องหันไปมองคนรัก แล้วแอบลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา

   “หืม...ไม่นี่ครับ เพราะผมเชื่อใจเขา แถมเอาจริง ๆ แล้ว ผมกลับต้องคอยรำคาญเพราะเรื่องหึงหวงไม่เป็นเรื่องอยู่เสมอจากเขานี่ล่ะครับ”

   เวทิตบอกอย่างเบื่อหน่ายเมื่อนึกถึงอดีตคนรัก ทำให้รวีชะงักก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงคอ เลิกถามต่อ เพราะเหมือนมันจะเข้าตัวเองแทนเสียแล้ว ทว่าอาการของรวีที่เกิดขึ้นนั้นก็เผอิญอยู่ในสายตาของเวทิตพอดี เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยกับอีกฝ่าย

   “พี่ซันไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกครับ พี่ซันน่ะถึงจะแสดงท่าทางหึงหวงฟ้าให้ผมเห็นเสมอ แต่พี่ซันก็ยังยอมรับฟังทุกถ้อยคำที่ฟ้าพูด และก็ยังไม่ทำตัวดื้อรั้นหัวชนฝาไม่ยอมฟังอะไรเลยเหมือนกับแฟนเก่าของผมเป็น ...ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ผมน่ะอิจฉาฟ้ามากเลยนะ ที่ได้แฟนแบบพี่ซันน่ะ”

   คำพูดจากใจจริงของเวทิตทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ แล้วจึงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของแต่ละคน โดยเฉพาะรวีที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรตามมา ทว่าเวทิตกลับดักคอไว้ก่อนคล้ายรู้ทัน

   “ง่า...ถ้าพี่ซันจะแนะนำญาติพี่น้องคนใดคนหนึ่งให้ล่ะก็ ผมขอไว้ดีกว่าครับ...ถึงจะอิจฉาฟ้าก็จริง แต่ผมคงรับมือกับญาติพี่ลำบากแน่ ผมยังความอดทนสูงไม่พอเท่าเพื่อน ๆ ของผมน่ะครับ”

   เวทิตบอกแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ทำเอาเมฆาหันไปกลั้นหัวเราะ มีนาลอบถอนหายใจ เจตต์กับเวหาฝืนยิ้มรับ ส่วนรวีกับเอริคนั้นมีสีหน้าพิลึก แต่ทั้งสองก็ไม่กล้าจะย้อนถามให้เด็กหนุ่มอธิบายให้กระจ่าง เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะหลุดคำพูดที่ฟังแล้วแสนจะแสลงหูมากไปกว่านั้นนั่นเอง

   

    หลังจากนัดแนะโปรแกรมท่องเที่ยวกันเป็นที่เรียบร้อย พวกหนุ่ม ๆ ก็ถูกไล่ให้ไปนอนในห้องพักโดยที่ต่างก็ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ทว่าเพราะคนรักของแต่ละคนยอมตามไปส่งให้ถึงหน้าห้อง จึงทำให้บรรดาชายหนุ่มยอมกลับเข้าห้องพักไปโดยไม่มีปัญหาตามมา

   “ไง ต้น...อ้าว! เจยังไม่กลับอีกเหรอ”

   เวหาที่ลงจากชั้นสองมาพร้อมมีนาเอ่ยทัก ซึ่งเวทิตก็ชี้นิ้วโป้งไปที่ห้องของเอริค แล้วยักไหล่นิด ๆ

   “เห็นยืนคุยกันอยู่ดี ๆ ก็โดนดึงเข้าห้องไป ยังไม่รู้เลยว่าจะออกมาตอนไหน... นี่ถ้าพวกนายยังไม่ลงมาอีก ฉันจะลองด้านหน้าเสี่ยงไปเคาะประตูเรียกแล้วล่ะ บ้านในป่าในเขานี่เวลาค่ำมันวังเวงพิกล”

   เวหากับมีนาหัวเราะเบา ๆ เพราะเวทิตนั้นแสดงออกให้เห็นอย่างไม่คิดจะรักษาฟอร์มต่อหน้าพวกเขา ว่ากลัวผีมากเพียงใด ทว่าพอคุยกันอีกสักพัก เจตต์ก็เปิดประตูห้องแล้วเดินหน้าแดงออกมา ส่วนเอริคก็ยิ้มน้อย ๆ ทักทายพวกเขาก่อนจะปิดประตูห้องนอนของตน

   “ไงเพื่อน นึกว่าคืนนี้จะเปลี่ยนใจค้างห้องโน้นเสียแล้ว”

   เวทิตทักทายทันทีที่เจตต์เดินมาถึง ทางด้านเจตต์บ่นอุบอิบใส่เพื่อนสนิท แล้วทรุดกายลงนั่งบนเบาะนอนที่ปูเอาไว้เรียบร้อย

   “เกือบจะไม่ได้ออกมาเหมือนกัน...คนอะไรไม่รู้ทั้งอ้อนทั้งตื๊อเก่งเป็นบ้า...นี่ถ้าไม่คบกันก็คงไม่รู้หรอก...”

   เจตต์เงียบไปแล้วหน้าแดงวาบ เพราะคนทำตัวเคร่งขรึมเย็นชาอย่างเอริค เวลาหวานใส่เขาก็ช่างแสนจะน่ารัก และยังชวนให้เขาใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

   “เห...คุณเอริคอ้อนใส่นี่นะ อยากเห็นชะมัดเลยว่ะ!”

   เวทิตพูดขึ้นด้วยสีหน้าสนอกสนใจจนเจตต์สะดุ้ง แล้วจึงมองเพื่อนด้วยสายตาจ้องเขม็งอย่างลืมตัว ทำเอาเวทิตนิ่งอึ้ง ก่อนจะหลุดหัวเราะลั่นอย่างห้ามไม่อยู่

   “ฮ่า ๆ ๆ ให้ตายเถอะเจ! นี่นายหึงฉันเหรอ! โอ๊ย...ไม่อยากเชื่อเลยว่ะเพื่อน ว่านายจะขี้หึงกับเขาเหมือนกัน!”

   “หุบปากไปเลยไอ้เพื่อนบ้า! เลิกหัวเราะได้แล้ว!”

   เจตต์ที่อายจนหน้าแดงก่ำ คว้าหมอนมาตีใส่เวทิตแรง ๆ ด้วยความเขินปนฉุน ซึ่งเวทิตก็หลบแล้วหยิบหมอนตัวเองมาสู้ ทะเลาะกันไป ๆ มา ๆ ก็พลาดไปโดนพวกเวหากับมีนาที่นั่งดูอยู่ จนสุดท้ายก็กลายเป็นสงครามหมอนในห้องรับแขก โดยมีหนุ่ม ๆ ออกจากห้องมาแอบดูบ้าง ยืนดูตรง ๆ บ้าง อย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งสงครามจบลง พวกเด็ก ๆ ก็ล้มตัวนอนพักอย่างอ่อนเพลีย ส่วนบรรดาผู้ใหญ่ก็แยกย้ายกันกลับเข้าไปนอนตามเดิม

   

    เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นนอนกันอย่างสดชื่น แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำตามห้องของคนรักตน ยกเว้นเวทิตที่ยึดห้องน้ำของห้องรับแขกใช้คนเดียวอย่างสบายใจไม่มีใครคิดแย่ง

   “ถ้าอย่างนั้นตามกำหนดเดิมของเรา ก็คือเดินลุยป่าไปในช่วงเช้า แล้วไปกินข้าวกลางวันกันที่น้ำตก  เราจะเล่นน้ำและออกเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณนั้น ในเวลาที่เหมาะสมไม่ช้าไม่เร็วเกินไปนัก เพราะหากช้าเกินไปจะกลับค่ำเอา ถึงเราจะมีคนนำทางที่ชำนาญก็ตาม แต่พวกเราไม่ได้ชำนาญด้วย เพราะอย่างนั้นกลับตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินมันน่าจะดีกว่า

   รวีสรุปโปรแกรมการท่องเที่ยวของวันนี้ให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้งหลังจากที่ต่างทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย  ทางด้านเจตต์นั้นใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่แทบตลอดเวลา สาเหตุแรกก็เพราะเขาจะได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่ซึ่งตนชอบ และสาเหตุของการอารมณ์ดีอีกอย่างก็คือ เขาเพิ่งจะได้รับของสำคัญจากเอริคมาเมื่อเช้าหนึ่งชิ้น

 

   ...ย้อนไปเมื่อตอนเช้าหลังจากที่เจตต์นั้นอาบน้ำแต่งตัวออกมาเสร็จ เอริคที่นั่งรอคอยอยู่บนเตียงจู่ ๆ ก็เรียกเขาเข้ามา ก่อนจะถอดสร้อยไม้กางเขนที่ห้อยคออยู่ มันเป็นสร้อยไม้กางเขนสีเงินเรียบ ๆ ไม่ได้สลักหรือประดับด้วยอัญมณีมีค่าอันใด แถมยังดูเหมือนจะผ่านเวลาการใช้งานมานานแล้วด้วย

   “ของเก่าน่ะ...ชอบไหม ฉันให้”

   เอริคถามเรียบ ๆ ทำให้เจตต์ที่กำลังจ้องมองไม้กางเขนอยู่สะดุ้ง ก่อนจะนิ่วหน้าแล้วย้อนถามกลับไป

   “เอ่อ...จะดีหรือครับ”

   เอริคที่ได้ยินคำถามนั้นชะงักเล็กน้อย ใบหน้าขรึมลง ก่อนจะยิ้มเศร้า ๆ อย่างน่าประหลาด

   “ถ้าไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไรหรอก...จริงสิ...แล้วอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมล่ะ อย่างแหวน นาฬิกา หรือพวกสร้อยเพชรอะไรแบบนั้น”

   ท้ายประโยคชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้ากลับมายิ้มน้อย ๆ ทว่าเจตต์ก็พอมองออกว่าเอริคนั้นฝืนยิ้ม และที่สำคัญเขายังคาใจสีหน้าเมื่อครู่ของอีกฝ่ายอยู่ไม่หาย ซึ่งเขามั่นใจว่ามันน่าจะเกี่ยวกับสร้อยไม้กางเขนที่เจ้าตัวตั้งใจให้เขานั่นแน่

   “เอ่อ...ที่ผมถามคุณก่อนหน้านั้น ไม่ใช่ว่าเพราะไม่อยากได้สร้อยของคุณหรอกนะครับ...”

   เอริคจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะหลุดถามออกมา

   “แล้วทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”

   “ก็...” เจตต์ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วตัดสินใจพูดออกมาตามที่ใจคิด

   “ก็คุณบอกว่ามันเป็นของเก่า และคุณยังใส่ติดตัวอยู่ตลอดแบบนั้น แสดงว่าต้องเป็นของสำคัญมาก...แล้วของสำคัญแบบนั้น คุณจะยกให้คนอย่างผม...เอ่อ คือมันทำให้ผมเกรงใจและกลัวว่าจะรักษามันได้ไม่ดีเท่ากับคุณน่ะสิครับ”

   เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เขาเอื้อมมือไปดึงแขนของเจตต์ให้เข้ามาใกล้ตัวก่อนจะกอดร่างของเด็กหนุ่มแน่นจนเจตต์ตกใจ ทว่าสักพักเอริคก็คลายอ้อมกอดออก แล้วยกร่างโปร่งของอีกฝ่ายให้มานั่งตักของตนอย่างไม่ลำบากอะไรนัก

   “สร้อยนี้ฉันได้จากยายของฉัน ตอนฉันไปเยี่ยมท่าน ตอนนั้นท่านอายุมากแล้ว ท่านถอดมันให้ฉัน แล้วบอกว่าสร้อยนี้ท่านเคยให้คุณตาตอนไปรบและคุณตาก็กลับมาอย่างปลอดภัย...ตอนนี้คุณตาเสียไปแล้วด้วยโรคชรา ท่านก็เลยยกมันให้ฉันเก็บไว้แทน”

   พอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็เบิกตากว้าง เขามองเอริคที่สวมสร้อยใส่คอของเขาอย่างลำบากใจ ทว่าเอริคนั้นกลับส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขาแทน แล้วจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องในอดีตให้เขาฟังต่อ

   “จริง ๆ ฉันเคยคิดจะยกสร้อยเส้นนี้ให้กับแฟนเก่าของฉัน แต่เขาไม่ต้องการ...ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เล่าความสำคัญของมันให้เขาฟัง เพราะเขาปฏิเสธเสียก่อน ...เขาบอกว่ามันเก่า อยากได้เส้นใหม่มากกว่า...และพอเธอทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ ฉันก็เลยกลัวว่าเธอจะแอบคิดเหมือนเขายังไงล่ะ”

   เจตต์นิ่งอึ้ง มองสร้อยกางเขนที่คอของตน ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงยกแขนกอดโอบรอบคอของชายหนุ่มหลวม ๆ พร้อมกับพึมพำบอก

   “ผมจะเก็บมันไว้อย่างดีที่สุดเลยครับ...ขอบคุณมากนะครับ คุณเอริค”

   เอริคแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างยินดี เขากอดร่างบนตักพร้อมกับกระซิบถ้อยคำตอบกลับไป

   “ฉันก็ขอบคุณมากนะเจ...ฉันดีใจ ที่ครั้งนี้ ฉันเลือกรักคนไม่ผิดอีกแล้ว”

   เจตต์ยิ้มรับ เขาค่อย ๆ คลายอ้อมแขนที่โอบกอดรอบลำคอนั้นออก ทว่าเอริคเองกลับยังไม่ยอมคลายอ้อมกอดของตน และยังกอดร่างของเด็กหนุ่มอยู่อีกสักพักจนเจตต์ต้องอ้อนขอ

   “ปล่อยเถอะครับ...เดี๋ยวเกิดออกไปช้า พวกนั้นจะสงสัยเอา”

   “ใครจะสงสัยอะไรได้...คู่รักอยู่ด้วยกันตามลำพัง ก็ต้องใช้เวลาตามประสาคู่รักเป็นธรรมดาน่ะสิ”

   เอริคตอบหน้าตาเฉย แถมยังเริ่มลูบไล้ไปทั่วตัวคนรัก แล้วหอมไปทั่วเท่าที่เขาจะหอมได้

   “คะ...คุณเอริคครับ”

   “หือ...ทำไมหรือ”

   เอริคแกล้งถามคนที่ร้องขอตน ทำเอาเจตต์ต้องเผลอทำหน้ามุ่ยอย่างนึกหมั่นไส้

   “หึ ๆ โกรธหรือ...”

   ใบหน้าคมเข้มถามพร้อมรอยยิ้มกระเซ้า ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกเขินขึ้นมาแทน

   “มะ...ไม่ได้โกรธหรอกครับ...แต่ว่า...”

   “หรือว่าจะเขิน หือ...”

   คำถามกระซิบพร้อมกับริมฝีปากที่งับใบหูของตนเล่น ทำเอาเจตต์สะดุ้งเฮือก หน้าแดงก่ำ เสียจนคนมองเริ่มชักจะทนไม่ไหวขึ้นมาจริง ๆ

   “ให้ตายเถอะ...เธอนี่มันน่ารักจริง ๆ เลยนะเจ ...เอาล่ะ คราวนี้จะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้”

   เอริคบอกแล้วก้มลงหอมแก้มของเด็กหนุ่มคนรักฟอดใหญ่ จากนั้นจึงอุ้มเจตต์ลงจากตัก แล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องพร้อม ๆ กัน...



   ภาพใบหน้าเขิน ๆ และมือที่เผลอกุมตำแหน่งสร้อยไม้กางเขนที่สวมอยู่ ทำให้เอริคที่หันไปเห็นต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ทำให้รวีที่เหลือบไปเห็นปฏิกิริยาของลูกพี่ลูกน้อง ต้องแอบเดินมากระซิบถามอย่างสงสัย

   “อารมณ์ดีเชียว มีอะไรดี ๆ อย่างนั้นหรือไง”

   “ฉันแน่ใจตัวเองแล้วล่ะซัน ...ว่าฉันคิดไม่ผิด ที่เลือกรักเด็กคนนี้”

   รวีเลิกคิ้วก่อนจะอมยิ้มนิด ๆ แล้วตอบกลับ

   “มันแน่อยู่แล้ว ก็เขาเป็นเพื่อนกับน้องฟ้าของฉัน ก็ต้องเป็นคนดีเหมือนกันอยู่แล้วล่ะ”

   เอริคหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่สำหรับรวีแล้ว เวหาก็ยังเป็นที่หนึ่งสำหรับเจ้าตัวเสมอในทุกด้าน

   “...หลังจากนี้ ถ้าครอบครัวของเขากลับมาจากต่างประเทศ ฉันคิดว่าจะลองเข้าไปคุยและขอลูกชายของพวกเขาอย่างเป็นทางการสักที”

   เอริคเอ่ยตามมาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น ซึ่งพอได้ฟังรวีก็ยักไหล่ แล้วตบบ่าญาติของตนเบา ๆ

   “ดีแล้วล่ะ เราต้องแสดงความจริงใจให้ครอบครัวของเขาเห็น อ้อ! แล้วถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกฉันได้เสมอเลยนะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”

   “หึ...จะได้กำจัดคนที่อาจจะเป็นคู่แข่งตัวเองในอนาคตไปด้วยใช่ไหมล่ะ”

   เอริคย้อนเข้าให้ ทำเอารวีชะงัก พลางบ่นอุบอิบตามมา

   “ก็ใช่น่ะสิ! พักหลัง ๆ นี่น้องฟ้าชอบชมนายให้ฉันฟังตลอด...ฉันก็ชักไม่สบอารมณ์เหมือนกันนะ  แต่ถ้านายเป็นฝั่งเป็นฝากับน้องเจไปเรียบร้อย ฉันก็จะได้สบายใจได้มากกว่าเก่ายังไงล่ะ!”

   รวีพูดออกมาตรง ๆ โดยไม่คิดปิดบัง ทำให้เอริคสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา เพราะถึงเขาจะหึงหวงคนที่ตนรักสักเพียงใด แต่ก็ยังคงไม่เท่ากับที่รวีเป็นอยู่นั่นเอง

   “ซัน! มาทางนี้หน่อย เจ้าหน้าที่เขาถามว่าเราอยากเที่ยวถ้ำด้วยไหม แถวนั้นมีถ้ำสวย ๆ อยู่ด้วย ถ้าเราอยากเที่ยวถ้ำ เขาจะจัดโปรแกรมเดินทางให้เราใหม่น่ะ”

   เสียงของเมฆาที่แว่วขัดขึ้น ทำให้รวีชะงัก ก่อนจะรีบเดินตามไปสมทบ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คน ที่ต่างพากันตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าพวกตนอาจจะได้ไปท่องเที่ยวสำรวจถ้ำเข้าให้อีกด้วย
   

… TBC …

อีกตอนสองตอนก็น่าจะจบสำหรับคู่นี้ค่ะ ...กำลัง ๆ คิดคู่ของน้องต้นอยู่เหมือนกัน
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างไหม ถ้ามีก็อาจจะออกในรูปแบบตอนพิเศษมากกว่าตอนยาวค่ะ ^^"


หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 11 [ 23/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-04-2015 16:06:39
 :mew1: เอาใจช่วยคนเขียนค่ะ
น้องเจน่ารักจัง คุณเอริคอดทนอีกนิดนะ ไว้ไปขอกับพ่อแม่เขาก่อน
คู่น้องต้น หุหุ รอค่ะ น่าสนุก อยากเห็นน้องมีคู่  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 11 [ 23/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 23-04-2015 19:52:40
มารูปแบบไหนก็จะติดตามไม่ห่างค่ะ
จะตอนพิเศษ ใส่ไข่ เพิ่มลูกชิ้น อะไรก็จัดมาาาาาา พร้อมตาม! อิอิ

พี่ซันจัดการเลยค่า พ่อสื่อนัมเบอร์วัน
พี่แกรุ่งเรื่องกำจัดคู่แข่ง (ที่พี่แกคิดไปเอง) ด้วยการหาคู่ให้คู่แข่งจริงๆ :laugh:
เทพกว่าพี่มีอีกม้ายยยยยยย  :laugh:

ดีใจที่เอริคสมหวังอ่ะ คิดแล้วสมน้ำหน้าแฟนเก่าเอริคมากมาย
ขอบคุณที่นอกใจเอริคให้เอริคมารักกับเจตต์ได้
คู่นี้เขาเหมาะสมกันทีซู้ดดดดด
เจตต์คู่ควรกับการถูกรักมาก น้องน่ารัก  :-[
คุณเอริคก็สมควรได้เจอคนที่ดีๆ แบบน้อง
:hao5: ซึ้งอ่ะพูดเลย ฉากที่มอบสร้อยให้

ว่าแต่น้องต้น วาจาเชือดเฉือนมากบทนี้ พี่ซันถึงกับเงิบ  :laugh:
เจอพี่แกกับพ้องเพื่อนหาคู่ให้ละจะหนาว แซวเขานัก 555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 11 [ 23/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 23-04-2015 22:22:32
น่ารักกกกกกกกกกกกกกก
ชอบๆๆๆ
มาต่ออีกเร็วๆน๊า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 11 [ 23/4/58 ] p.11
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 26-04-2015 21:12:49
สวีทหวานกันเป็นคู่เลย แบบนี้ น้องต้น ไม่อิจฉาแย่หรอ

555
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 12 [ 27/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-04-2015 15:15:58

สวัสดีค่ะ ^^ กลับมาแปะต่อแล้วนะคะ พอดีท้องเสียไปสองวัน เลยต้องพักผ่อนยาว น้ำหนักลดไปตั้ง 2 โลแน่ะ  ...ตอนนี้กลับมาแข็งแรงหิวโหย(?) เหมือนเดิมแล้วค่ะ ^^  เลยเอาตอน 12 มาแปะให้อ่านกันนี่ล่ะค่ะ


ตอนที่ 12



   ทางเดินที่ค่อนข้างลื่นทำให้แต่ละคนพากันเดินด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทว่าธรรมชาติและความร่มเย็นของผืนป่า ก็ทำให้พวกเขารู้สึกสดชื่นและไม่รู้สึกลำบากในการเดินทางครั้งนี้เกินไปนัก  ใช้เวลากว่าชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงน้ำตกขนาดกลางแห่งหนึ่ง แม้จะมีเพียงสามชั้น แต่แอ่งน้ำก็กว้าง แถมน้ำยังใส น่าเล่นเป็นอย่างมาก

   “น้ำตกที่ฟ้าพาไปเที่ยวก็ว่าสวยแล้วนะ แต่ที่นี่ก็สวยไม่แพ้กันเลยล่ะ”

   เจตต์เอ่ยชมหลังจากที่พวกเขามาถึงจุดหมายแรกของการเดินทางในวันนี้

   “น้ำตกตรงจุดนี้ เดินเข้าลำบากสักหน่อยน่ะครับ พวกที่มากันแบบครอบครัวก็เลยไม่ค่อยสนใจ มีแต่พวกวัยรุ่นกับพวกที่ตั้งใจมาเดินป่า ถึงจะมาเที่ยวกัน”

   เจ้าหน้าที่ซึ่งนำทางทุกคนมายังที่นี่อธิบายให้ฟัง ซึ่งพวกหนุ่ม ๆ ก็พยักหน้ารับรู้ และต่างพากันหาที่เหมาะ ๆ เพื่อวางของและเล่นน้ำตามกำหนดการที่ตั้งใจไว้

   “งวดนี้มีนเตรียมมาพร้อม ไม่ว่าจะเป็นกล่องปฐมพยาบาล ยาสามัญประจำบ้าน พวกพี่บาดเจ็บกันได้ไม่ต้องห่วงเลยนะ!”   

   มีนาที่รับหน้าที่เฝ้าของตามเดิมบอกกับทุกคนเสียงใส ทำให้แต่ละคนยิ้มเจื่อนบ้าง ทำตาปริบ ๆ บ้าง เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มจึงหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดตามมา

   “มีนล้อเล่นน่ะ เล่นน้ำกันให้ระวังแล้วกันนะครับ”

   จากนั้นมีนาก็นำขนมและอาหารออกมาวาง และชวนเจ้าหน้าที่ให้มานั่งพักกินขนมด้วยกัน เพราะกว่าพวกพี่ชายของเขาจะเล่นน้ำกันจนหนำใจก็น่าจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงแน่

   

   ทางด้านเอริคนั้นทีแรกชายหนุ่มก็จะไม่ลงเล่นน้ำกับคนอื่น ๆ ทว่าพอเจตต์ลองอ้อนขอร้อง ชายหนุ่มจึงยอมใจอ่อนลงเล่นกับอีกฝ่าย โดยเขาตัดสินใจถอดเสื้อลงเล่น เพราะไม่ได้นำเสื้อมาเปลี่ยนเช่นคนอื่น ทว่ากล้ามอกที่เพิ่งเคยได้เห็นก็ทำให้เจตต์ถึงกับหน้าแดงวาบด้วยความเขิน ทั้งที่มองผู้ชายคนอื่นเปลือยเขายังรู้สึกเฉย ๆ แถมบางทียังแหยง ๆ ด้วยซ้ำไป

   “เห...จ้องซิคแพคคุณเอริคเขาใหญ่เชียวนะนาย...ชอบล่ะสิ”

   เวทิตเดินมากระซิบแซว ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง แล้วหันมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนอย่างฉุนปนเขิน

   “ไอ้บ้า! พูดซะยังกับฉันเป็นพวกโรคจิตไปได้!”

   “ฮะ ๆ ไม่ได้ว่านายโรคจิตสักหน่อย ...คนเป็นแฟนกันก็อยากจะดูร่างเปลือยของกันและกัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ เอาเถอะ...ฉันเข้าใจ”

   เวทิตพูดพลางพยักหน้าหงึกหงักไปพลาง ทำให้เจตต์ยิ่งฉุนที่ถูกแซวเลยแกล้งผลักอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ริมตลิ่งตกน้ำลงไปโครมใหญ่

   “หนอย! ลอบโจมตีรึไงไอ้เพื่อนบ้า!”

   เวทิตที่โผล่พรวดมาจากน้ำโวยวาย ทางด้านเจตต์นั้นหัวเราะอย่างสะใจ ก่อนจะร้องอุทานลั่นเมื่อเขาถูกอีกฝ่ายดึงขาและลากตกน้ำโครมกันไปด้วยกัน

   “หึ ๆ พอเห็นแบบนี้ แล้วยังเด็กกันจริงเลยนะพวกนั้น”

   รวีที่มองอยู่ห่าง ๆ เอ่ยขึ้นอย่างนึกขำ ทว่าเอริคกลับขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะหึงหวง หากแต่เมื่อครู่นั้นถ้าทั้งสองคนเล่นกันแรงไปกว่านี้ ไม่ใครก็ใครคงเกิดอุบัติเหตุเข้าให้ไปแล้ว

   “ไม่เอาน่าเอริค เด็กผู้ชายก็แบบนี้ล่ะ เมื่อก่อนทั้งนายและฉันก็เล่นอะไรกันแผลง ๆ กว่านี้ตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง!”

   รวีที่อ่านสีหน้านั้นออกตบบ่าอีกฝ่าย ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นเวหากำลังจ้องที่แผ่นหลังของเอริคนิ่ง

   “น้องฟ้าจ้องหมอนี่ทำไมกันครับ หรือว่าจะสนใจหมอนี่มากกว่าพี่”

   รวีเริ่มถามอย่างหึงหวงทำให้เวหาถอนหายใจแล้วเขม็งตาดุใส่ จนรวีต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อน แล้วเงียบไม่กล้าถามอะไรอีก เด็กหนุ่มจึงหันไปทางเอริคแล้วเอ่ยถาม

   “...นั่นใช่แผลเป็นที่เคยเล่าหรือครับ”

   แผลรอยของมีคมกรีดลากยาวแลดูน่ากลัว แต่ก็ดูเด่นสะดุดตาเมื่อประดับอยู่บนแผ่นหลังของอีกฝ่าย เอริคมองคนถาม แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

   “ใช่...แผลใหญ่มากใช่ไหมล่ะ”

   เวหาพยักหน้าหงึกหงัก เขาแทบไม่อยากจะจินตนาการถึงตอนได้รับแผลใหม่ ๆ เลยว่า เอริคนั้นจะเจ็บมากเพียงใด แล้วจึงหันไปมองรวี ก่อนจะพึมพำบอกกับคนรักตน

   “ถ้ามีอะไรอันตรายเกิดขึ้นกับฟ้า พี่ซันต้องอย่ามัวแต่ปกป้องฟ้า จนลืมดูแลตัวเองนะครับ...เพราะถ้าพี่ซันต้องเป็นอะไรไป ต่อให้ฟ้าปลอดภัย ฟ้าก็ไม่ดีใจหรอกนะครับ”

   คำพูดของเวหาทำให้ทั้งรวีกับเอริคนิ่งอึ้ง รวีนั้นยิ้มอ่อนโยนให้คนรักแล้วจึงเอ่ยตามมาแผ่วเบา

   “พี่สัญญาครับ พี่จะดูแลทั้งตัวเองและน้องฟ้า จะไม่ยอมให้น้องฟ้าต้องเสียใจเพราะพี่เด็ดขาด”

   พอได้ยินดังนั้น เวหาก็ยิ้มตอบคนรักด้วยความยินดี ส่วนทางด้านเอริคเขาเหลือบไปมองทางเจตต์ที่กำลังคุยกับเวทิตอยู่ในน้ำ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

    ก่อนหน้าที่จะมาเจอเจตต์นั้น เอริคได้มอบความรักและปกป้องดูแลอดีตแฟนของเขาราวไข่ในหิน ไม่ยอมให้อีกฝ่ายต้องพบกับความเจ็บปวดหรือลำบากใด ๆ ทั้งสิ้น  แต่มาวันนี้เขากลับเริ่มได้คิดแล้วว่า บางทีการที่เขาเลือกทำแบบนั้น มันอาจจะทำให้อดีตแฟนของเขาอึดอัดและโหยหาอิสระ โดยเลือกที่จะทรยศไปคบกับคนอื่นที่ทำให้เจ้าตัวได้ใช้ชีวิตตามใจอย่างที่อยากเป็นแทนก็ได้

   

   อีกด้านหนึ่งระหว่างที่พวกรวีคุยกันอยู่ เจตต์ที่กำลังเล่นน้ำกับเวทิตแล้วหันมาเห็นด้านหลังของเอริคเข้าให้พอดี เจ้าตัวก็ถึงกับชะงักนิ่ง ทำให้เวทิตแปลกใจแล้วหันไปมองตามเพื่อน ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เมื่อหันกลับมาเห็นสีหน้าเศร้า ๆ ของเพื่อนสนิท

   “ไม่เอาน่า...อดีตก็คืออดีต ยังไงเราก็ย้อนไปเปลี่ยนไม่ได้อยู่แล้ว”

   “ฉันไม่เข้าใจ...ทั้งที่คุณเอริครักเขากระทั่งยอมเสี่ยงชีวิตปกป้องเขาถึงขนาดนี้ เขายังทรยศคุณเอริคได้”

   เจตต์บอกอย่างนึกเจ็บใจอดีตแฟนของคนรัก ทว่าเวทิตก็ตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ

   “ถ้ามันไม่เกิดเรื่องพวกนั้น ป่านนี้นายกับเขาก็คงไม่มาเจอกันได้หรอก...คิดเสียว่ามันเป็นเรื่องของพรหมลิขิตก็แล้วกันนะ อีกอย่างถ้านายคิดว่าแฟนเก่าคุณเอริคเขาทำไม่ดี นายก็อย่าไปเจริญรอยตามเขาก็แล้วกัน”

   เจตต์เม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงมีรอยยิ้มให้ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ

   “อืม! ฉันจะไม่มีวันหักหลังหรือทรยศเขาแบบนั้นแน่ ...ขอบใจมากนะต้น”

   ท้ายประโยคเด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณเพื่อนสนิท ที่มักจะคอยช่วยพูดเตือนสติ และปลอบยามเขามีเรื่องทุกข์ใจเสมอ

   

   เสียงคนลงน้ำทำให้เวทิตกับเจตต์ที่กำลังคุยติดพันหันกลับไปมอง แล้วก็เป็นเจตต์ที่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นเอริคลงว่ายน้ำแล้วตรงเข้ามาหาเขา

   “อ้าว! คุณเอริค กำลังคุยกับเจอยู่เลยครับว่า คุณไม่ยอมลงน้ำมาสักที สงสัยจะกลัวว่ายน้ำสู้พวกผมไม่ไหว!”

   เวทิตแสร้งทักออกไปทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง พลางหันขวับมามองเพื่อนสนิทอย่างนึกฉุน

   “หือ...ฉันนี่นะ จะสู้พวกเธอไม่ไหว  ลองว่ายแข่งกันสักหน่อยไหมล่ะ”

   คนพูดถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ใบหน้านั้นไม่ได้ดูดุหรือขุ่นเคืองอะไร ตรงกันข้ามนัยน์ตาคมเข้มนั้นมีประกายสนุกอย่างที่ยากจะได้เห็นอีกด้วยซ้ำ   

   “เอ๋! เอางั้นหรือครับ ...งั้นผมเป็นกรรมการเองแล้วกัน เจ! นายลุยเลย ใครแพ้ต้องยอมทำตามที่คนชนะสั่ง 1 อย่างนะครับ!”

   เวทิตนั้นตัดบทสรุปเอาเองจนคนอื่น ๆ เงียบกริบ ก่อนที่จะมีรอยยิ้มถูกใจน้อย ๆ ประดับบนใบหน้าของเอริค ส่วนเจตต์นั้นอ้าปากเหวอเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะหาเรื่องมาโยนให้เขาแบบนี้

   “พร้อมหรือยังล่ะเจ ...ฉันรออยู่นะ”

   เอริคหันไปถามคนรักที่ยังมีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่เช่นนั้น ทางด้านเจตต์พอได้ยินเจ้าตัวก็หันไปยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะถึงจะปฏิเสธตอนนี้ก็คงโดนเวทิตหาเรื่องอื่นแกล้งเข้าให้อีกแน่

   “ก็ได้ครับ...”

   เอริคอมยิ้ม เขามองดูก็รู้แล้วว่าเจตต์นั้นไม่เต็มใจ แต่เงื่อนไขของเวทิตก็ทำให้เขานึกสนุกขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

   “เอาล่ะ! ว่ายจากจุดนี้ไปแตะก้อนหินตรงโน้นนะครับ! ฟ้ากับพี่ซันช่วยดูตรงจุดเส้นชัยให้ด้วยนะครับ!”

   เวทิตตะโกนบอกอีกสองคนที่ยืนอยู่บนฝั่ง ทางด้านเวหาและรวีโบกมือและตอบรับเป็นอย่างดี เมื่อเห็นเช่นนั้นเวทิตจึงให้เอริคและเจตต์ประจำที่ให้เรียบร้อย

   “ห้ามออมมือกันนะเจ ว่ายให้เต็มที่เลยล่ะ”

   เอริคหันไปบอกคนรัก ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งนิด ๆ ทว่าสักพักเด็กหนุ่มก็มีรอยยิ้มให้อีกฝ่าย

   “ครับ! ผมจะว่ายให้สุดฝีมือเลย!”

   เอริคยิ้มน้อย ๆ ตอบ และหันไปด้านหน้ารอสัญญาณปล่อยตัว ท่าทางเตรียมพร้อมของชายหนุ่มทำให้ แต่ละคนยกเว้นรวีถึงกับต้องขมวดคิ้ว เพราะดูมีรูปแบบและบ่งบอกให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นน่าจะเคยฝึกว่ายน้ำแบบมาตรฐานมาก่อน

   “หมอนั่นก็นี่นะ...จะบอกน้องเจก่อนสักนิดก็ไม่ได้ว่า ตัวเองเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาลัย”

   คำพูดของรวีทำให้เวหาที่อยู่ข้าง ๆ ตกใจ ก่อนจะหันมามองเพื่อนแล้วลอบถอนหายใจเบา ๆ

   “เอาล่ะ! ระวัง ...เตรียมตัว...ไป!”

   เสียงของเวทิตให้สัญญาณการแข่งขัน เอริคโผนำไปก่อน เขาว่ายท่าฟรีสไตล์นำไปอย่างไม่รีบเร่งนัก ส่วนเจตต์นั้นรีบจ้วงมือตีขาว่ายตามอย่างรีบร้อน และก็เป็นตามคาดเอริคเป็นฝ่ายถึงฝั่งก่อนเป็นช่วงตัว ทำให้เจตต์ที่เพิ่งมาถึงบ่นปนหอบ

   “คุณเอริคเก่งจัง...ไม่รู้ว่าเก่งขนาดนี้นี่ครับ...รู้งี้ไม่แข่งด้วยก็ดีหรอก”

   เอริคมองคนที่ทั้งชมทั้งบ่นเขาอย่างนึกขำ เจ้าตัวชะโงกหน้าไปหอมแก้มเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู ทำเอาเจตต์ตัวแข็งทื่ออย่างตกใจ ส่วนคนอื่นพากันยิ้มแห้งแล้วสั่นศีรษะไปมา ยกเว้นก็แต่รวีที่รู้สึกอิจฉาญาติของตน ที่สามารถแสดงความรักได้ตลอดแบบนี้ เพราะถ้าเป็นเขาขืนลองทำบ้าง คงจะโดนเวหางอนเข้าให้เป็นแน่

    “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่ารางวัลของคนชนะเป็นโมฆะดีไหมล่ะ”

   เอริคบอกกับเจตต์ ซึ่งเด็กหนุ่มก็สะดุ้งโหยงเพราะเพิ่งนึกถึงเรื่องของรางวัลก่อนหน้านั้นได้

   “ง่า...คือ...”

   เจตต์นิ่งคิดหนักอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจตามมา

   “ไม่เป็นไรครับ กฎก็ต้องเป็นกฎ ...เพียงแต่...”

   เด็กหนุ่มเว้นวรรค แล้วมีสีหน้าแดงระเรื่อให้เห็น

   “เอ่อ...แค่อย่าขออะไรที่ทำยากเกินไปก็พอครับ”

   เอริคนิ่งอึ้ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจับโยกศีรษะของเด็กหนุ่มไปมาอย่างเอ็นดู ภาพที่เห็นทำให้รวีซึ่งมองอยู่อมยิ้ม และคิดในใจว่า ถ้าพ่อของเขาและครอบครัวของเอริคมาอยู่ที่นี่ด้วย ก็คงจะมีความสุขที่ได้เห็นชายหนุ่มมีรอยยิ้มกลับคืนมาอีกครั้ง

   “เอ๋...พี่ซันทำอะไรน่ะครับ”

   เวหาหันไปถามเมื่อเห็นคนรักหยิบมือถือมาถ่ายคลิปคนที่ตอนนี้กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ด้านล่าง ซึ่งรวีพอได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มให้กับอีกฝ่าย พร้อมกับตอบออกไปตามตรง

   “พี่จะส่งคลิปให้คนทางบ้านหมอนั่นน่ะครับ ...แล้วก็จะแถมคำพูดไปอีกหน่อยว่า ตอนนี้หมอนั่นเหลือแค่เรื่องเข้าหาทางครอบครัวของน้องเจ...ถ้าทำสำเร็จ สองคนนี้ก็คงคบหากันได้อย่างไร้อุปสรรค...ซึ่งพี่เชื่อว่าถ้าทางบ้านหมอนั่นเห็นคลิปนี้เข้า พวกเขาคงจะรู้กันเองว่าจะทำอย่างไรต่อไปน่ะครับ”

   รวีบอกโดยเก็บประเด็นสำคัญที่ว่า ถ้าเอริคกับเจตต์คบหากันอย่างเป็นทางการได้เมื่อไหร่ ก็เท่ากับเขากำจัดคู่แข่งไปได้ถึงสองคนเลยทีเดียว

   ส่วนทางด้านเวหา พอได้ยินเช่นนั้นเจ้าตัวก็ขมวดคิ้วนิด ๆ เพราะไม่ค่อยแน่ใจว่าทางครอบครัวของเอริคคิดจะทำอะไร  แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่า ทางนั้นคงจะไม่ทำให้คนรักและครอบครัวของลูกชายต้องพบกับความลำบากใจเป็นแน่



   หลังจากเล่นน้ำกันสักพัก ทั้งหมดก็นั่งแวะทานอาหารที่เตรียมมา และเมื่ออิ่มหนำสำราญดี พวกเขาก็ช่วยกันเก็บเศษอาหารใส่ถุงดำที่เตรียมไว้ แล้วออกเดินทางกันต่อ เพื่อที่จะไปเที่ยวถ้ำซึ่งเดินห่างไปอีกไม่ไกลมากนัก ทว่าเพราะทางเดินในป่าที่ค่อนข้างลำบากก็ทำให้เสียเวลาเดินทางกันเป็นชั่วโมงอยู่ดี

   “เฮ้อ...ถึงสักที เหนื่อยชะมัด”

    เจตต์บ่นพร้อมหอบ ระหว่างทางเขาก็เหนื่อยจนเผลอเดินเซออกเส้นทางไป ทำเอาโดนกิ่งไม้เกี่ยวขูดขีดตามตัวหลายแห่ง จนเอริคที่เดินตามห่าง ๆ ต้องคอยประกบติดอีกฝ่ายตลอดในช่วงหลัง ด้วยความเป็นห่วง

   “เห็นไหมล่ะ เวลาชวนออกกำลังกายก็ไม่ค่อยจะสน”

   เวทิตเปรยแหย่เพื่อนสนิท ซึ่งเจตต์ก็ทำปากหมุบหมิบใส่อีกฝ่ายแทน ทั้งนี้เพราะเขาเห็นมีนาที่อายุน้อยและยังตัวเล็กสุดในกลุ่มยังเดินมาได้สบาย ๆ โดยไม่บ่นอะไร จึงทำให้เจตต์ไม่กล้าโวยวายให้เสียหน้าไปกว่านี้

   “ไว้กลับไป เดี๋ยวจะพาเข้าฟิสเนตบ่อย ๆ ดีไหม”

   เอริคบอกกับเด็กหนุ่มซึ่งเจตต์ก็ชะงัก ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักค่อย ๆ เพราะแม้จะไม่ชอบออกกำลังกายนัก แต่ถ้ามีเอริคออกกำลังกายเป็นเพื่อนก็คงจะดี

   “จะพักกันก่อนไหมล่ะครับ ทางเดินเข้าถ้ำช่วงแรกจะค่อนข้างยาว เดินยาก แล้วก็อากาศไม่ถ่ายเทเท่าไหร่ด้วย”

    เจ้าหน้าที่นำเที่ยวเสนอความเห็นเพราะเป็นห่วง เนื่องจากดูสภาพของเจตต์แล้ว คงจะเดินกันต่อเลยลำบากแน่

   “ง่า...ไม่เป็นไรครับ ผมยังไหวอยู่”

   เจตต์ที่ไม่อยากให้เขาเป็นตัวถ่วงการเดินทางรีบบอก เพราะลำพังแค่ต้องชะลอฝีเท้าการเดินเพื่อรอเขาที่รั้งท้าย ก็เสียเวลาการเดินทางมาที่นี่มากแล้ว

    “ไม่เป็นไรหรอกเจ พักสักครึ่งชั่วโมงก็คงไม่มีปัญหาอะไร อย่างดีก็แค่กลับช้าไปหน่อยเท่านั้น”

    เอริคให้เหตุผลซึ่งแต่ละคนก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย ยกเว้นคนเดียวที่รู้นิสัยคนขี้เกรงใจตรงหน้าเป็นอย่างดี

    “พักน่ะดีแล้ว ดีกว่าฝืนเดินแล้วไปหมดแรงข้างในถ้ำ มันจะลำบากคนอื่นเขาด้วยนะ”

   เวทิตบอกเสริม ทำให้เจตต์กลืนน้ำลายลงคอ แล้วจึงพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี ทำให้คนอื่นพากันโล่งอกแล้วจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัยกันชั่วคราว



   “เข้าใจพูดดีนะต้น กำลังคิดอยู่เลยว่าเจคงจะไม่ยอมฟังง่าย ๆ แน่”

   เวหาคุยกับเวทิตที่แยกมานั่งกับตน ส่วนเจตต์นั้นกำลังนั่งคุยกับเอริคห่างออกไป  ทางด้านเวทิตพอได้ยินคำพูดของเพื่อนเขาก็หัวเราะเบา ๆ แล้วยักคิ้วส่งให้

   “ให้มันรู้เสียบ้าง ว่าใครเป็นใคร ตำแหน่งเพื่อนสนิทของทั้งนายและเจน่ะ ไม่ได้มาเพราะคบกันนานเฉย ๆ นา”

   “เออ! รู้แล้วน่า คุณเพื่อนสนิทสุดเลิฟ!”

    เวหาบอกตอบอย่างนึกขำ จนลืมไปว่าคนรักขี้หึงนั้นนั่งอยู่ข้าง ๆ ตน และอีกฝ่ายก็เริ่มคิดได้แล้วว่า ศัตรูหัวใจที่ควรจะกำจัดโดยการหาคู่ให้อย่างเร่งด่วนตอนนี้ ไม่ใช่แค่พวกเอริคเสียแล้ว

   

   หลังจากพักมาได้สักระยะ เจตต์ก็รู้สึกดีขึ้น และพอเริ่มเดินทางเข้าถ้ำ เด็กหนุ่มก็คิดว่าดีแล้วที่เลือกพักก่อนหน้านั้น เพราะทางเดินเข้าด้านในแม้จะกว้างพอประมาณและเดินไม่ยากนัก แต่อากาศก็ค่อนข้างเบาบางและร้อนอบอยู่ไม่น้อย

   “ไหวไหมเจ...ถ้าไม่ไหว เราออกไปก่อนก็ได้นะ”

   เอริคที่เดินรั้งท้ายเด็กหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง ทว่าเจตต์นั้นสั่นศีรษะแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย

   “ไม่เป็นไรครับ พอได้พักเมื่อครู่ก็เลยมีแรงเดินได้สบาย ๆ เลยครับ”

   “อดทนเดินร้อน ๆ กันไปอีกสักพักนะครับ ด้านในถ้ำจะกว้างกว่านี้ แถมยังมีลมพัดผ่าน อากาศโปร่งสบายด้วยครับ”

   เจ้าหน้าที่นำเที่ยวหันมาบอกกับทุกคน ทำให้แต่ละคนที่ได้ยินล้วนยิ้มออก และยังเร่งฝีเท้าเดินกันไวขึ้นอย่างไม่รู้ตัวอีกต่างหาก



   ห้องโถงใหญ่ของถ้ำที่เจ้าหน้าที่บอกนั้น นอกจากจะมีอากาศปลอดโปร่ง ลมพัดสบายแล้ว ยังมีหินงอกหินย้อยสวยงามสมบูรณ์มากมาย ทั้งนี้เพราะเจ้าหน้าที่อธิบายว่าทางเดินมายังถ้ำนั้นค่อนข้างลำบาก จึงมีคนเข้ามาเที่ยวที่นี่น้อย หาไม่แล้วก็อาจจะมีพวกมือบอนเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับสถานที่แห่งนี้เข้าก็ได้

   “เดี๋ยวถ่ายรูปกันอีกสักพัก ค่อยเดินย้อนออกไปทางหน้าถ้ำนะครับ จริง ๆ ผมอยากพาไปทางออกอีกทาง แต่ทางนั้นมันค่อนข้างสมบุกสมบัน และมีปีนป่ายกันมากสักหน่อย ซึ่งมันจะเหมาะกับพวกที่ค่อนข้างชอบผจญภัยและเตรียมตัวกันมาพร้อมมากกว่าน่ะครับ”

   เจตต์พอได้ฟังก็ทำหน้าเจื่อน เขาภาวนาว่าไม่ให้มีใครในกลุ่มคิดอยากจะผจญภัยขึ้นมา ซึ่งก็เป็นที่โชคดีที่บรรดาหนุ่ม ๆ แต่ละคนนั้นก็ล้วนเป็นพวกห่วงใยดูแลคนรักเป็นพิเศษ รายการผจญภัยนอกโปรแกรมที่เวทิตกับเวหาแอบสนใจจึงถูกเมินเฉยไปโดยปริยายนั่นเอง...



... TBC ...
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 12 [ 27/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 27-04-2015 15:26:52
 :pig4:   :L1:

ขอบคุณค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ อากาศแปรปรวนมากๆเลย แถมอาหารเสียง่ายมาก
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 12 [ 27/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 27-04-2015 15:33:59
 o13 o13 o13 ฮั่นแน่..ซันจะหาคู่ให้ต้นละ.. o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 12 [ 27/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 27-04-2015 21:27:24
ขอบคุณคับบบบบบบ
อยากอ่านต่อแย้วววววววววววววว
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 13 [ 28/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-04-2015 12:03:48


ตอนที่ 13


   ขากลับออกมาจากถ้ำ มีเรื่องให้ต้องตื่นเต้นตกใจกันเล็กน้อย เมื่อเจตต์ที่เดินรั้งท้ายกับเอริคเกิดร้องโวยวายขึ้นมาเพราะคิดว่ามีใครดึงเสื้อเอาไว้ ทำเอาเวทิตที่กลัวผีอยู่แล้วสะดุ้งโหยงและเผลอหันไปกอดเวหาที่อยู่ใกล้เสียแน่น จนรวีต้องมาจับทั้งคู่แยกจากกันด้วยความหึง ลงท้ายรวีก็เลยกลายเป็นฝ่ายโดนเด็กหนุ่มกอดหมับไม่ยอมปล่อยแทน เพราะเวหานั้นไม่คิดจะช่วยแยกหรือปลอบให้เพื่อนใจเย็นลงแต่อย่างใด เพื่อเป็นการแก้เผ็ดคนรักที่ชอบขี้หึงเสมอนั่นเอง

   ส่วนทางด้านเจตต์ จริง ๆ แล้วไม่ได้มีใครมาดึงเสื้ออะไรทั้งสิ้น เพราะเด็กหนุ่มนั้นเหนื่อยจึงยืนพิงผนังถ้ำชั่วครู่ แต่พอจะเดินต่อคอเสื้อของเขาก็ดันไปเกี่ยวติดแง่งหินแถวนั้น เลยกลายเป็นเด็กหนุ่มคิดว่ามีคนมาดึงคอเสื้อเขาเอาไว้นั่นเอง

   และกว่าจะแก้ไขการเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น ก็เป็นเวลาชั่วครู่ใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งโชคดีของพวกเขาที่เจ้าหน้าที่นำทางนั้นเป็นคนใจเย็น อารมณ์ดี จึงไม่ได้มีอาการฉุนเฉียวอะไร มิหนำซ้ำยังเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านั้นลูกทัวร์ที่เข้ามาเที่ยวถ้ำ ยังเคยมีคนร้องว่าถูกผีจับขา ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่ถูกรากไม้เกี่ยวเอาเท่านั้นเอง

   

   “วู้! ในที่สุดก็ได้เจอแสงสว่างสักที!”

   เจตต์ที่ออกมารั้งท้ายพร้อมเอริค ตะโกนขึ้นอย่างยินดี ทำให้คนอื่น ๆ หันมามองเขาอย่างนึกขำ ยกเว้นเวทิตที่เขม่นใส่เพื่อนสนิท เพราะเจ้าตัวนั้นรู้สึกเสียหน้าหนักที่เผลอไปกอดทั้งเวหาและรวีเข้า จนตั้งใจว่าคราวหน้าถ้าจะมาถ้ำ จะไม่เข้าพร้อมกับเจตต์อีกแล้ว

   “เหนื่อยแต่ก็สนุกดีนะครับงานนี้”

   เวหาบอกพร้อมยิ้มกว้างส่งให้รวี ซึ่งอีกฝ่ายนั้นยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรู้ดีว่าคนรักนั้นตั้งใจพูดถึงเรื่องราวในถ้ำ ที่เขาดันเผลอหลุดอาการหึงหวงออกไปนั่นเอง

   “ถ้าใครยังไม่เหนื่อยมาก เลยตรงนี้ไปไม่ไกลจะมีพวกกล้วยไม้ป่ากำลังบานสวยเลยครับ ถ้าสนใจอยากถ่ายรูปเดี๋ยวผมจะพาไป”

   เจ้าหน้าที่นำเที่ยวเสนอความเห็น ทำเอาแต่ละคนหันไปมอง แล้วพากันพยักหน้าหงึกหงักตามมา โดยเฉพาะมีนาที่ชอบพวกดอกไม้และของสวยงามอยู่แล้ว รีบดึงแขนเสื้อเมฆาให้รีบเก็บข้าวของที่วางไว้ จนชายหนุ่มต้องอมยิ้มเลยทีเดียว

   

   ระหว่างการเดินทางไปชมกล้วยไม้ป่าที่อยู่ไม่ห่างจากทางเข้าถ้ำเท่าใดนัก เจตต์ก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเขาเผลอลูบสร้อยที่หน้าอกตามปกติ ทว่ากลับไม่พบมันห้อยอยู่ที่เดิม

   ‘บ้าน่า! หายไปไหนกัน!’

   เจตต์คิดในใจอย่างตื่นตระหนก ทีแรกเขาตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับเอริค ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อดันคิดไปเองว่า ชายหนุ่มอาจจะไม่พอใจที่เขาดันทำของสำคัญตกหายเช่นนี้

   ‘คิดดี ๆ เข้าสิเจ! ก่อนจะเข้าถ้ำก็ยังอยู่เลยไม่ใช่หรือไง!’

   เจตต์คิดในใจอย่างร้อนรน แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ เมื่อหวนถึงเหตุการณ์บางอย่างก่อนหน้านั้น

   ‘ต้องใช่ตอนนั้นแน่ ๆ ...เอาไงดี...แอบไปเอาเงียบ ๆ ดีไหมหว่า...ถ้ำก็อยู่แค่ตรงนี้เองด้วย’

   เด็กหนุ่มนิ่งคิด เขาเดินก้มหน้าไปเงียบ ๆ จนเอริคแปลกใจ ทว่าชายหนุ่มนั้นคิดว่าบางทีเจตต์คงจะเหนื่อยนั่นเอง

   “ไหวไหม...ถ้าไม่อยากเดินเราก็นั่งพักกันอยู่แถวนี้รอพวกเขาก็ได้”

   เจตต์ชะงัก ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วสั่นหน้าปฏิเสธ เพราะถ้าเขาขอพัก เอริคก็คงเสนอตัวอยู่เป็นเพื่อน และเขาก็คงจะหาเรื่องปลีกตัวกลับไปหาสร้อยได้ยากเป็นแน่

   “อืม...งั้นเธอก็เดินช้า ๆ ไม่ต้องรีบร้อนนักตามพวกนั้นไปหรอก เห็นเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าไม่ไกลเท่าไหร่นี่”

   เอริคบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ยิ่งทำให้เจตต์รู้สึกผิด และตั้งใจปิดเป็นความลับไม่คิดจะให้เอริครู้เรื่องสร้อยเด็ดขาด

   

   เดินกันไปอีกไม่ถึงห้านาที พวกเขาก็พบเจอดอกกล้วยไม้ป่ามากมายที่เกาะเกี่ยวต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นอาศัยออกดอกบานสวยสะพรั่ง และมีสีสันสดใสแตกต่างกันออกไปตามชนิดพันธุ์  ภาพที่เห็นล้วนสร้างความประทับใจและตื่นตะลึงให้กับคณะเดินป่าในครั้งนี้นัก

   “สวยจริง ๆ แม่ผมชอบกล้วยไม้มาก เลี้ยงเอาไว้หลายต้น ...แต่กล้วยไม้ป่าพวกนี้สวยกว่ากล้วยไม้เลี้ยงที่เคยได้เห็นหลายเท่า ...คงเป็นเพราะมันสามารถเติบโตในธรรมชาติ อย่างที่ควรจะเป็นล่ะนะครับ”

   เวทิตพึมพำแผ่วเบา เขาอยากเอื้อมมือไปสัมผัสกลีบดอกสดใสตรงหน้า แต่รู้ดีว่ามันมีค่าและบอบบางสักเพียงใด เด็กหนุ่มจึงได้แต่หยิบมือถือมาซูมถ่ายรูปเก็บไว้ดูแทน คนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นจึงพากันแยกย้ายไปถ่ายรูปเก็บคนละมุมอย่างเพลิดเพลิน จนไม่ทันสังเกตว่า หนึ่งในพวกเขาได้หายตัวไปจากบริเวณนั้นเรียบร้อย

   

     เมื่อได้ถ่ายรูปเก็บจนพอใจ แต่ละคนก็หันกลับมาพูดคุยแลกเปลี่ยนรูปภาพที่ตนได้ถ่ายกันให้คนอื่นดู และนั่นจึงทำให้ทุกคนเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น

   “เจหายไปไหน...”

   เอริคถามคนอื่น ๆ อย่างร้อนรน ซึ่งแต่ละคนก็สั่นศีรษะและเริ่มหน้าซีด ทางเจ้าหน้าที่นำเที่ยวรีบบอกให้ทุกคนใจเย็น ๆ และย้อนถามไปก่อนหน้านั้นว่ามีใครได้เห็นเจตต์ครั้งสุดท้ายเมื่อใด

   “พอมาถึงที่นี่ตอนแรก เจก็ยังอยู่ด้วยกัน แต่พอเริ่มแยกย้ายกันถ่ายรูป ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”

   เวทิตบอกเจ้าหน้าที่นำเที่ยว ซึ่งอีกฝ่ายก็ถอนหายใจแผ่วเบา เพราะเขาเองก็ดันประมาท มัวแต่อธิบายถึงเรื่องชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้ให้กับพวกมีนาที่สนใจฟัง จึงทำให้ไม่ทันได้สังเกตคนรอบตัวเช่นนี้

   “ผมว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ ...อา จริงสิ ลองโทรหาน้องเจดูสิครับ ว่าอยู่ไหนกัน”

   รวีรีบพูดขึ้นเพื่อให้ทุกคนคลายกังวลและมีสติ ซึ่งพอได้ยินรวีพูด เวทิตก็รีบโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันที ทว่าปลายสายกลับไม่มีสัญญาณตอบรับ ทำให้เด็กหนุ่มต้องนิ่วหน้า แล้วพึมพำไปมาอย่างร้อนใจ

   “แปลกจัง ตอนเดินมาก่อนหน้านั้นผมเช็คสัญญาณมือถือ ก็ยังเห็นมีขึ้นอยู่เลย...แล้วหมอนั่นไปอยู่ที่ไหนกัน ...หรือจะไปอยู่ในจุดอับสัญญาณกันแน่”

   ทุกคนนิ่งคิด ทางด้านเอริคนั้นแทบอยากจะรื้อป่าหาเด็กหนุ่มเสียเดี๋ยวนั้น เพราะกลัวว่าเจตต์จะพลัดหลงทางไป ทว่าเขาก็ต้องสงบสติอารมณ์ช่วยทุกคนคิด เพื่อที่จะได้ค้นหาเจตต์ให้ได้ไวขึ้น

   “อับสัญญาณ...อ๊ะ หรือว่าจะเป็นแถวถ้ำกันครับ?”

   เจ้าหน้าที่นำเที่ยวเอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้แต่ละคนเริ่มเห็นด้วย และมีบางคนสงสัยว่าเจตต์จะกลับเข้าไปในถ้ำทำไม

   “น้องเจอาจจะมีเหตุผลของเขาก็ได้ แต่ทางที่ดีเราตามไปที่ถ้ำกันดีกว่า”

   รวีสรุปตัดบท ทว่าเจ้าหน้าที่นำเที่ยวกลับแย้งขึ้นมาเสียก่อน

   “เดี๋ยวครับ ถ้าเกิดเราตามไปที่ถ้ำทั้งหมด แล้วน้องเขาเดินย้อนมารวมตัวกับเราจากทางอื่นแทนล่ะครับ จะกลายเป็นคลาดกันเสียเปล่า ๆ นะครับ”

   แต่ละคนต่างชะงัก และเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย

   “จริงอย่างที่คุณเจ้าหน้าที่บอก ถ้าอย่างนั้นน้องมีนกับเมฆ น้องฟ้าแล้วก็น้องต้นอยู่รอแถวนี้ ฉัน เอริค แล้วก็คุณเจ้าหน้าที่ จะไปตามหาน้องเจที่ถ้ำเอง”

   รวีสรุปและแบ่งกลุ่มให้โดยไม่ต้องรอให้ใครเสนอ จากนั้นเขาก็บอกทุกคนว่า ใครที่เจอเจตต์ก่อนก็ให้โทรหากันได้เลย หรือถ้าโทรไม่ติดก็ให้เคลื่อนพลมารวมกันหน้าปากถ้ำรอไว้อย่าได้แยกย้ายกันไปค้นหาโดยเด็ดขาด

   

   อีกด้านหนึ่งภายในถ้ำ เจตต์ที่รีบเร่งฝีเท้าวิ่งมาหาของ และตั้งใจว่าจะกลับไปรวมตัวให้ทันกับเพื่อน ๆ ในภายหลัง ก็ต้องพบกับอุบัติเหตุสะดุดลื่นล้มจนข้อเท้าพลิก แม้จะโชคดีเจอสร้อยไม้กางเขนหล่นอยู่บริเวณที่เขาถูกแง่งหินเกี่ยวเสื้อก็ตาม แต่แผนที่ตั้งใจไว้ว่าจะรีบกลับออกไปแล้วอ้างว่าเดินหลงถ่ายรูปเพลินก็มีอันต้องล้มเหลว และกลายเป็นว่าต้องรอจนกว่าจะมีคนมาช่วยแทน เพราะนอกจากจะไม่มีสัญญาณมือถือแล้ว ตอนนี้ขนาดจะคลานออกไป เขายังเจ็บจนขยับแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

   “คุณเอริค...ถ้าผมบอกคุณไปตรง ๆ แต่แรกก็คงดี...ป่านนี้คุณคงจะโมโหผมแย่แล้วสินะ”

   เจตต์พึมพำกับตัวเอง นึกอยากจะร้องไห้ที่ดันคิดตื้น ๆ แอบมาคนเดียวเช่นนี้ เด็กหนุ่มมั่นใจว่า ป่านนี้ทุกคนคงจะเป็นห่วงเขาและเริ่มออกตามหาเขากันแล้วก็ได้

   “เจ! อยู่ไหน ได้ยินฉันไหม เจ!”

   เสียงตะโกนแว่ว ๆ ที่ดังขึ้น ทำให้เจตต์นั้นชะงัก และพยายามเงี่ยหูฟังว่าเขาหูฝาดไปหรือเปล่า

   “วู้! น้องเจครับ! อยู่ในนี้หรือเปล่าครับ!”

   เสียงคุ้นเคยที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้เจตต์เบิกตากว้าง แล้วรีบตะโกนร้องตอบ

   “ผมอยู่ในนี้ครับ! อยู่ทางนี้!”

   เสียงตะโกนเงียบไป สักพักเสียงของเอริคก็ดังขึ้นมาบ้าง

   “อยู่นิ่ง ๆ แถวนั้นอย่าขยับไปไหนนะเจ! เดี๋ยวพวกฉันเข้าไป!”

   เจตต์ชะงักก่อนจะตะโกนตอบรับคำแล้วนั่งรอลุ้นด้วยความระทึก และเมื่อเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาพร้อมแสงไฟฉาย เจตต์ก็รีบโพล่งออกไปด้วยความยินดี

   “คุณเอริคครับ! ผมอยู่ทางนี้!”

   เอริคชะงักกึก เขาฉายไฟหาต้นเสียง และก็ได้เห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่กับพื้นพิงผนังถ้ำ  เอริคเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ นั่งคุกเข่าลงประสานสายตายินดีของอีกฝ่าย แล้วสะบัดฝ่ามือลงบนใบหน้านั้นทันที

   “คะ...คุณเอริค”

   เจตต์อุทานเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ หน้าของเขาหันไปตามแรงตบของชายหนุ่ม ที่แม้จะลงมือไม่รุนแรงนัก แต่ก็ยังคงเจ็บจนน่าจะขึ้นรอยปื้นแดงในภายหลังอยู่ดี

   “เด็กบ้า...เธอทำให้ฉันเกือบจะคลั่งตายแล้วรู้ไหม...ทำไมถึงแยกออกมาตามลำพังแบบนี้...ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตรายมากแค่ไหน”

   เอริคบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วโอบกอดร่างของอีกฝ่ายไว้แน่น ทางด้านเจตต์พอได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นห่วง เด็กหนุ่มโอบกอดตอบคนรักแน่นไม่แพ้กัน พร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างลืมตัว

   “ขอโทษครับ...คุณเอริค...ผมขอโทษ...ฮึก...”

   ทางด้านรวีที่เดินตามมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่นำเที่ยว พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นรวีจึงเสนอให้ทางเจ้าหน้าที่ย้อนออกไปแจ้งพวกที่อยู่ข้างนอกให้มารวมตัวรอกันที่ปากถ้ำ ส่วนเขาจะรอทางนี้เอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็เห็นดีด้วยและแยกไปก่อน  ทางรวียืนรออยู่สักพัก จนเอริคได้สติและเริ่มสอบถามว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้แยกมาลำพังเช่นนี้

   “กะ...ก็ผมทำสร้อยของคุณตกไว้...ผมก็เลยย้อนมาหาน่ะครับ”

   เอริคนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยิน และเริ่มฉุนเฉียวกับการตัดสินใจของเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง

   “แล้วทำไมไม่บอกฉัน ไม่บอกกับทุกคน! แยกมาคนเดียวแบบนี้ก็น่าจะรู้ว่ามันจะทำให้ทุกคนเป็นห่วงไม่ใช่หรือไง!”

   เจตต์สะดุ้งโหยง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวกับท่าทางโมโหที่เขาไม่เคยเห็นจากอีกฝ่าย ร้อนถึงรวีต้องรีบมาเป็นตัวกลางสอบถามกับเจตต์แทนญาติของตน

   “เฮ้...ใจเย็น ๆ น่ะเอริค ...น้องเจครับ...แล้วทำไมน้องเจถึงไม่บอกพวกเราล่ะครับ ถ้าพวกเรารู้จะได้มาช่วยกันหาแต่แรกยังไงล่ะครับ”

   เจตต์เม้มปากน้อย ๆ เขาก้มหน้าลงมองพื้น ก่อนจะอุบอิบตอบไม่เต็มเสียงนัก

   “กะ...ก็ผมเพิ่งให้สัญญากับคุณเอริคว่าจะดูแลรักษาสร้อยนี่อย่างดี ...แต่ยังไม่ทันข้ามวัน ผมก็มาทำหล่นหาย ...ผมกลัวคุณเอริคจะโกรธ แล้วก็ผิดหวังในตัวผมน่ะสิครับ”

   เจตต์บอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ แต่ก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ เนื่องจากไม่อยากให้เอริคหัวเสียมากไปกว่านี้

   ทางด้านเอริคที่แยกไปยืนสงบสติอารมณ์ พอได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มบอก ก็ทำให้เขาถึงกับสบถบางอย่างกับตัวเองเบา ๆ ทำให้รวีที่หันไปมองต้องถอนหายใจออกมา  ชายหนุ่มนั้นรู้ดีว่าที่เอริคโมโหเป็นเพราะห่วงเจตต์เป็นอย่างมาก และก็ยังหงุดหงิดตัวเองที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจตต์ต้องตัดสินใจทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ด้วย

   “เอาล่ะครับ พี่ว่าเราออกไปหาทุกคนข้างนอกดีกว่า ป่านนี้คงเป็นห่วงแย่แล้ว”

   รวียื่นมือส่งให้เจตต์แทนญาติของเขาที่กำลังสงบสติอารมณ์ ทว่าพอเห็นเจตต์พยายามจะยันกายแล้วนิ่วหน้า เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติแล้วฉายไฟไปที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายทันที

   “แย่จริง...น้องเจข้อเท้าบวมมากเลยนะครับ หกล้มมาหรือครับ”

   คำถามของรวีทำให้เอริคที่ได้ยินถึงกับชะงัก แล้วรีบพรวดพราดเข้ามาดูอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

   “ให้ตายสิ...เจ็บหนักขนาดนี้ ทำไมไม่รีบบอกกัน”

   เอริคดุแบบไม่หนักแน่นนัก เขาสัมผัสที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายแผ่วเบา ทว่านั่นก็ยังทำให้คนเจ็บสะดุ้งแล้วเม้มปากพยายามกลั้นเสียงไม่ให้หลุดร้องออกไป จนคนมองสงสาร

   “เดี๋ยวฉันอุ้มเขาไปเอง นายฉายไฟนำทางให้ด้วยแล้วกัน”

   เอริคหันไปบอกกับรวี แล้วช้อนร่างของเด็กหนุ่มขึ้นแนบอก ส่วนรวีก็ช่วยถือกระเป๋าของเด็กหนุ่มที่วางอยู่แล้วฉายไฟนำทางไป ระหว่างทางทั้งเอริคกับเจตต์แทบไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงรวีที่นาน ๆ ก็ชวนคนนั้นคนนี้สนทนากันสักทีเพื่อลดความเครียดที่เกิดขึ้น

   

   เมื่อออกมาถึงปากถ้ำ แต่ละคนก็เตรียมจะมารุมซักถามเจตต์ให้หายสงสัย ทว่าพอเห็นใบหน้าขรึม ๆ ของเอริค กับใบหน้าซีด ๆ ของเจตต์แล้ว แต่ละคนก็ระงับท่าทางเอาไว้ แล้วมารุมซักถามรวีแทน ซึ่งพอได้รับคำตอบแต่ละคนก็ลอบถอนหายใจไปตาม ๆ กัน

   “เฮ้อ... ผมว่าเราเดินทางกลับไปที่พักกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นค่ำเสียก่อน”

   เวทิตตัดบทหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันได้สักพัก ซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วยและเริ่มต้นเดินทางกลับ โดยเจตต์นั้นเปลี่ยนเป็นขี่หลังเอริคไปแทน เนื่องจากสะดวกในการเดินมากกว่าแบบอุ้มข้างหน้านั่นเอง

   

   การท่องเที่ยวภายในวันแรก ถ้าไม่นับเหตุการณ์วุ่นวายในช่วงหลัง ทุกคนก็ล้วนลงความเห็นว่ามันประทับใจและคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย และเพราะอาการบาดเจ็บของเจตต์ จึงทำให้โปรแกรมท่องเที่ยววันที่เหลือของเด็กหนุ่ม ต้องกลายเป็นพักผ่อนอยู่ที่รีสอร์ทกับเอริคตามลำพังแทน เนื่องจากคนอื่นต่างลงมติเห็นพ้องต้องกันตามที่รวีเสนอว่า ทิ้งทั้งสองคนให้ปรับความเข้าใจกันโดยไม่มีมือที่สามเกี่ยวข้องด้วยน่าจะดีที่สุด

   “เบื่อหรือไง ...ต้องมานั่งเฝ้าบ้านอยู่กับฉันสองคนน่ะ”

   เอริคถามคนที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนเหม่ออยู่บนเตียง แม้อาการข้อเท้าเคล็ดของเด็กหนุ่มจะดีขึ้นแล้ว แต่ทุกคนลงมติว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดน่าจะดีกว่า

   “ปะ...เปล่าหรอกครับ”

   เจตต์ตอบคำถามตะกุกตะกักแล้วก้มหน้าหลบตา เด็กหนุ่มเริ่มกลับมาแสดงท่าทางเหมือนตอนที่เจอกันใหม่ ๆ จนเอริครู้สึกแย่ เขามั่นใจว่าเรื่องที่เขาดันเผลอแสดงท่าทางโมโหออกไปมากมาย ต้องทำให้เจตต์หวาดกลัวเขาขึ้นมากกว่าเดิมแน่  แถมเมื่อวานพอตอนขากลับแม้จะให้เจตต์ขี่หลังมาตลอดทาง แต่เขากลับไม่ชวนอีกฝ่ายคุยเลยแม้แต่น้อย เพราะยังคงรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่หายนั่นเอง

   “กลัวฉันหรือเจ”

   คำถามถัดมาทำให้ร่างบนเตียงสะดุ้งโหยง แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะชะงักนิ่งเมื่อสบกับแววตาอมทุกข์คู่นั้นที่จ้องมองมา

   “...คุณเอริค”

   เอริคขยับมานั่งบนเตียงข้างอีกฝ่าย เขาเอื้อมมือมาลูบใบหน้าที่เป็นรอยปื้นแดงเพราะฝ่ามือของเขาแผ่วเบา คิ้วเรียวขมวดอย่างรู้สึกผิด

   “ขอโทษนะ...คงเจ็บมากใช่ไหม”

   เจตต์หัวใจกระตุกวูบ รู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ขอบตา ก่อนจะสะอื้นออกมาเบา ๆ

   “เจ...ที่รัก อย่าร้องไห้สิ ...ฉันขอโทษนะ ฉันผิดเอง ฉันจะไม่ทำรุนแรงกับเธออีกแล้ว ฉันสัญญา”

   เอริคโอบร่างของเด็กหนุ่มมาปลอบ ทว่ายิ่งเอริคอ่อนโยนมากเท่าไร เจตต์ก็ยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก เขาได้แต่ขอโทษและกอดร่างนั้นอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเสียงสะอื้นนั้นเริ่มสงบลง

   “เจ...หายโกรธฉันหรือยัง...หืม”

   เอริคลูบศีรษะของคนรัก พร้อมกับจูบซับน้ำตาอีกฝ่าย ทางด้านเจตต์เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตอบออกมาเสียงแผ่วเจือสะอื้น

   “ผมไม่ได้โกรธคุณ...แต่ผมกลัวคุณจะเกลียดผม...เรื่องที่ผมทำอะไรโง่ ๆ ...จนทำให้คุณโมโห...ทำให้ทุกคนเดือดร้อนไปหมด”

   เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะแย้งกลับไป

   “เกลียด? ฉันจะเกลียดเธอได้ยังไง ในเมื่อฉันรักเธอมาก เธอก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ”

   เจตต์เงยหน้ามาสบตาคนพูดแล้วบอกเสียงสั่นกลับ

   “แต่เมื่อวาน...คุณโมโหผมมาก...ขนาดตอนขากลับ...คุณยังไม่ยอมพูดอะไรกับผมเลย...ผะ...ผม ก็เลยคิดว่า...คุณจะเกลียดผม...จะเลิกรักผมแล้ว”

   พอได้ฟังคำตอบเอริคก็หลุดถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เขาชะโงกหน้าไปจูบหน้าผากและแก้มของอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน

   “เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะเจ...ที่ฉันไม่พูดไม่จาเมื่อวาน เป็นเพราะฉันกำลังโมโหตัวเองอยู่ต่างหาก”

   เจตต์จ้องอีกฝ่าย พร้อมกับถามอย่างแปลกใจ

   “โมโหตัวเอง... ทำไมล่ะครับ”

   เอริคถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับยื่นมือไปลูบไล้แก้มข้างที่เป็นผื่นแดงของเด็กหนุ่มแผ่วเบา

   “ก็เพราะฉันโมโหจนเผลอรุนแรงกับเธอ...ทั้งที่เธอทำไปก็เพื่อฉันน่ะสิ”

   “มะ...ไม่ใช่ความผิดของคุณเอริคเลยครับ ...ระ...เรื่องนั้น...เป็นเพราะผมแยกออกมา โดยไม่บอกคนอื่นเองต่างหาก...คุณเป็นห่วงผม ก็เลยโกรธ...มันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ครับ”

   เจตต์แก้ตัวแทนอีกฝ่าย ซึ่งเอริคก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับหอมแก้มเด็กหนุ่มอีกครั้ง

   “ใช่...เธอผิดที่แยกออกมาโดยไม่บอกใครก็จริง...แต่ถึงฉันจะเป็นห่วงเธอมากขนาดไหน ก็ไม่ควรจะเผลอลงมือไปขนาดนั้น...”

   เอริคเงียบไปสักพัก แล้วจึงมองคนตรงหน้าด้วยสายตารักใคร่และหวงแหนอย่างไม่คิดจะปิดบัง

    “รู้ไหมเจ...เมื่อคืนนี้ฉันนอนไม่หลับเอาเสียเลย ...ฉันกลัวว่าเธอจะโกรธ จะเกลียด จะหวาดกลัวฉัน...จะเลิกรักฉัน...และหนีฉันไป”

   เจตต์ที่เพิ่งได้รู้ความในใจของอีกฝ่ายและรู้สาเหตุของการเมินเฉยเมื่อวานถึงกับเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก น้ำตาที่เหือดแห้งไปเมื่อครู่ก็เริ่มกลับมารินไหลอีกครั้ง

   “ผมไม่มีวันจะเกลียดหรือเลิกรักคุณง่าย ๆ หรอกครับ...ผมรักคุณนะครับ...คุณเอริค...ยิ่งนับวัน ก็ยิ่งรักคุณมากขึ้น...รัก...จนกลัวจะเสียคุณไป เพราะความงี่เง่าของตัวเอง เหมือนเรื่องเมื่อวานนี้”

   เอริครั้งร่างของเด็กหนุ่มมากอดแนบอก ความกังวลใจที่เคยมีก่อนหน้าเริ่มสลายหายไปจนหมดสิ้น

   “เจ...ที่รัก...ฉันดีใจนะ ที่เรายังรักกันอยู่เหมือนเดิมแบบนี้”

   “ผมก็เหมือนกันครับ...คุณเอริค”

   เจตต์กระซิบพร้อมโอบกอดตอบคนรัก และแม้เขาจะกำลังร้องไห้ แต่ใบหน้ายามนี้กลับมีรอยยิ้มอย่างเป็นสุขไม่แพ้กัน


… TBC …


เป็นไงคะ ใกล้จบแล้วค่ะ ที่ตั้งใจไว้คือตอนหน้าค่ะ เป็นบทสรุปน้อย ๆ หวาน ๆ ปนวุ่นวายทิ้งท้ายของเรื่องนี้

ส่วนตอนพิเศษ....คาดว่าหลายคนคงอยากจะอ่านเรื่องคู่ของนายต้นเป็นแน่ ก็รอลุ้นกันนะคะ ว่าจะได้อ่านไหม หุ ๆ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 13 [ 28/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-04-2015 12:21:33
 :-[  น่ารักมากๆเลยเจ
คุณเอริคก็จำเอาวันนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจนะคะ วันหน้าวันหลังอย่าให้น้องเจ็บตัวอีก  :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 13 [ 28/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 28-04-2015 13:12:25
 :katai1: :katai1: :katai1: นึกว่าจะแย่ซะแล้ว..ดีนะที่เจไม่เป็นไรมาก..
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 13 [ 28/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 28-04-2015 16:38:17
อิคุณเอริค ตบหน้าน้องได้ไง !!! อ่านตอนแรกนี่คิดแบบนี้เลย
ดีนะว่าเฮียแกคิดเองได้ 55555 ไม่งั้นสวย  :fire:
แม่ยกน้องเจตต์  :กอด1: ฮา เข้าใจว่าห่วงแต่ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงค่า
เราอนุญาตให้รุนแรงกันได้แค่บนเตียงเท่านั้น แต่คู่นี้คงไม่รุนแรงแต่จะหวานแทนสินะ
อร๊ายยย แค่คิดก็เขิน  :-[ (เขายังไม่ได้ทำอะไรกันเลยนังนี่!! #ว่าตัวเอง  :laugh:)

บทล่าสุดนี่ฮาน้องต้น น้องซัน กับพี่ฟ้ามาก เรานี่ฮากร๊ากกกๆๆๆ เลยค่ะ
คลิปที่ส่งไปนี่จะเป็นชนวนในเรื่องของตาต้นรึเปล่าน้า
ก็ลุ้นกันต่อไป
ขอบคุณคนแต่งค่า รักษาสุขภาพด้วยนะคะ  :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 13 [ 28/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-04-2015 21:10:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 13 [ 28/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 29-04-2015 02:33:04
อ๊ายยยยยยยยยยยยยย
เขินนนนนนนนนนนนน
ชอบๆ 
รอตอนต่อไปปปปปปปปปปปปป
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 13 [ 28/4/58 ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: sweetyswtcou ที่ 29-04-2015 08:12:04
ต่างคนต่างห่วงล่ะนะ
โล่งใจที่เจไม่เป็นอะไรมาก
ดีที่ได้คุยความในใจกันออกมา :hao5:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 14 [ จบ ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-04-2015 16:20:48
14 (จบ)


    หลังจากกอดกันมาได้สักพัก เจตต์ก็เริ่มรู้สึกเขินขึ้นมาแล้วเริ่มขยับตัวยุกยิกในอ้อมกอดจนเอริครู้สึกตัว พลางอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะจับบ่าอีกฝ่ายดันออก แล้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเมื่อเห็นว่าหน้าตาของเด็กหนุ่มนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาเต็มไปหมด

   “ร้องไห้เหมือนเด็กเลยนะเธอน่ะ”

   พอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็สะดุ้งแล้วรีบใช้แขนเช็ดน้ำตาทำให้เอริคอมยิ้ม ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาเพื่อตั้งใจจะเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย ทว่าผ้าเช็ดหน้าที่เขาเก็บไว้คู่กันกลับติดมาด้วย ทำให้ชายหนุ่มชะงักมือ เช่นเดียวกับเจตต์ที่จดจำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นได้ดี

   “ผ้าเช็ดหน้านั่นมัน...”

   เอริคถอนหายใจเบา ๆ เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าของเด็กหนุ่มเข้ากระเป๋า และเตรียมจะใช้ผ้าเช็ดหน้าอีกผืนเช็ดหน้าอีกฝ่าย ทว่าเจตต์ที่หายตะลึงแล้วกลับรีบถามออกไปด้วยความตกใจทันที

   “คุณเอริค นี่คุณเก็บผ้าเช็ดหน้าของผมไว้เองหรือครับ!”

   เอริคชะงักมือที่เตรียมจะเช็ดหน้าของเด็กหนุ่ม แล้วตอบคำถามของคนที่กำลังจ้องรอคำตอบจากเขาเขม็ง

   “ใช่...ก็มันเป็นของแทนตัวเธอเพียงชิ้นเดียวในตอนนั้นนี่นะ”

   เจตต์หน้าแดงวาบ ทำให้คนมองอมยิ้มอย่างเอ็นดู เขาบรรจงเช็ดหน้าเช็ดตาของเด็กหนุ่มอยู่สักพัก ก่อนจะพูดต่อ

   “ตอนนั้นที่เราเจอกัน ฉันเองก็ตกใจนะ ที่จู่ ๆ เธอหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดรองเท้าให้ฉัน แถมพอฉันกำลังจะบอกเธอว่าไม่เป็นไร เธอก็ดันกลัวจนวิ่งหนีฉันไปอีก...เฮ้อ”

   เอริคแสร้งถอนหายใจเบา ๆ แล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคนตรงหน้า ทำเอาเจตต์นั้นยิ่งใจเต้นแรงหน้าแดงหนัก ทั้งเขินทั้งอายจนพูดอะไรไม่ถูก ใบหน้านั้นของเด็กหนุ่มช่างดูน่ารักเสียจนเอริคเองก็เริ่มห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่ไหว

   “เจ...ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วสิ ขอฉันสัมผัสตัวเธอจะได้ไหม”

   เจตต์หน้าแดงก่ำ ลามไปกระทั่งถึงลำคอ คำพูดนั้นทำเอาเด็กหนุ่มอายจนพูดแทบไม่ออก

   “สะ...สัมผัส...หรือครับ...ตะ...แต่”

   “ไม่ต้องห่วงนะ... ฉันแค่อยากสัมผัสเธอเฉย ๆ และจะพยายามไม่ล่วงเกินไปมากกว่านี้”

   เอริคพึมพำพร้อมกับพลิกกายขยับเป็นขึ้นคร่อมร่างของเด็กหนุ่ม ทำเอาเจตต์สติเตลิดคิดอะไรไม่ออก ได้แต่หลับตาปี๋ยามที่ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาหาตน ก่อนจะเกิดอาการสะดุ้งโหยงทั้งเขาและเอริค เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมาจากด้านนอกบ้านพัก เอริคนั้นยันกายขึ้นนั่งบนเตียงด้วยสีหน้าหงุดหงิด  สักพักเสียงฝีเท้าหลายคู่ก็เข้ามาใกล้ ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดเข้ามาโดยคนเปิดไม่คิดจะเคาะขออนุญาตแต่อย่างใด

   “กลับมาแล้ว! ...อ้าว ไม่ได้ทำอะไรกันอยู่หรอกหรือเนี่ย...”

   รวีบ่นพึมพำอย่างผิดหวัง ทำเอาเวหาที่เดินตามมาตีเผียะเบา ๆ เข้าที่แขนของคนรักด้วยสีหน้าเขิน ๆ

   “ฟ้าบอกแล้วใช่ไหมครับ ว่าคุณเอริคเขาไม่ใช่คนหื่นเหมือนที่พี่ซันบอกสักหน่อย”

   “เห...แต่พี่ว่าพี่มั่นใจนะครับ ว่าหลังจากง้องอนกันแล้ว หมอนี่ต้องจัดหนักแน่ ...ไม่น่าเดาพลาดเลยแฮะ”

   รวีพึมพำก่อนจะเหลือบมองเอริคที่ตอนนี้ทำเป็นตีสีหน้าขรึมเฉยชา ทว่าเจตต์นั้นกลับกลบเกลื่อนอาการได้ไม่เก่งเท่าคนรัก เจ้าตัวยังคงหน้าแดงก่ำไม่หาย จนรวีเอะใจ ก่อนจะทำเสียงฮึมฮัมในลำคอตามมา

   “อืม...แบบนี้นี่เอง รู้งี้ย่องมาเบา ๆ ดีกว่า... หึ ๆ”

   เอริคเขม่นมองญาติของเขา ก่อนจะถามออกไปเสียงเข้ม

   “แล้วนี่ทำไมกลับไว ไหนบอกว่าจะไปเที่ยวไร่แถวนี้ไม่ใช่หรือไง!”

   รวียักไหล่พร้อมอมยิ้มวางท่า ทำให้เวหานึกหมั่นไส้ จึงเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแทน ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็ทยอยเข้ามาในห้องแล้วจับจองหาที่ยืนที่นั่งกันตามอัธยาศัย โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องอนุญาต

   “พอดีพวกเราสงสารเจที่ต้องเฝ้าบ้านน่ะครับ...แล้วอีกอย่างก็เป็นห่วงด้วยว่า พวกคุณจะคืนดีกันหรือยัง ...เอ่อ...แล้วนี่คืนดีกันแล้วใช่ไหมครับ”

   เวหาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงดังเช่นคำพูด ซึ่งก็ทำให้เอริคถอนหายใจแล้วมีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย

   “ใช่...ฉันกับเพื่อนเธอคืนดีกันแล้ว...หรือจริง ๆ ก็คือ เราไม่ได้โกรธกันหรอก แค่แต่ละคนต่างกังวลและคิดไปเองว่าอีกฝ่ายจะโกรธตัวเองก็เท่านั้น”

   เอริคบอกแล้วหันไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่มคนรักอย่างอ่อนโยน ทำให้เจตต์รู้สึกเขินมากขึ้น จนถึงกับเอาผ้าห่มคลุมโปงปิดหน้าตาเอาไว้ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในห้องกันได้ทั้งหมด และหลังจากที่เสียงหัวเราะเริ่มเบาลง รวีก็เดินไปโอบบ่าของเวหา แล้วบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส 

   “เห็นไหมครับน้องฟ้า พี่ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วง ยังไงหมอนี่ก็ไม่ปล่อยให้เกิดบรรยากาศอึมครึมระหว่างตัวเองกับน้องเจนานนักหรอกครับ ขืนเป็นแบบนั้นมีหวังน้องเจได้กลัวจนแผ่นแน่บหนีกลับบ้านไปแน่”

   เจตต์กับเอริคที่ถูกพาดพิงสะดุ้งเล็กน้อย ทางด้านเอริคนั้นเก๊กหน้าเคร่งขรึมทำเป็นไม่ใส่ใจ ส่วนเจตต์ที่โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มก็หน้าแดงระเรื่อและมุดลงไปหลบในผ้าห่มอีกรอบ คนอื่นก็เริ่มหัวเราะกันอีกครั้ง ทางด้านเวทิตอมยิ้มมองคนอื่นที่อยู่กันเป็นคู่ ๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นถอนหายใจออกมาแรง ๆ แล้วเอ่ยแซวขึ้นบ้าง

    “เฮ้อ...ใคร ๆ เขาก็มีคู่หวานจี๋จ๋ากันหมด เหลือผมเหงาอยู่คนเดียว น่าอิจฉาจังเลยน้อ!”

   ทางด้านเวหา มีนา และเจตต์ รู้สึกเขินที่ถูกอีกฝ่ายแซว โดยเฉพาะเจตต์นั้นทำปากบ่นหมุบหมิบว่าเพื่อน ทั้งที่ตัวเองก็ยังคลุมโปงอยู่

   “แหม ๆ น้องต้นครับ ไม่ต้องอิจฉาไปหรอกครับ ...อีกหน่อยเดี๋ยวน้องต้นก็จะวุ่นวาย เอ๊ย จะมีคนมาคอยดูแลให้หายเหงาเองนั่นล่ะครับ”

   รวีพูดขัดขึ้น ทำเอาแต่ละคนหันมามองคนพูดอย่างสงสัย โดยเฉพาะเวทิตนั้นจ้องชายหนุ่มเขม็งอย่างไม่ไว้ใจนัก

   “หมายความว่ายังไงครับ พี่ซัน”

   ทางด้านรวีนั้นส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบ ก่อนจะอธิบายให้ทั้งเวทิตและคนอื่นได้รับฟัง

   “พอดีคลิปที่พี่ถ่ายตอนน้องเจกับเอริคเล่นน้ำกัน ดันมีน้องต้นติดไปด้วย แล้วทางหนึ่งในพี่น้องของหมอนี่ก็เกิดสนใจถามไถ่ถึงน้องต้นมายังไงล่ะครับ...เห็นว่าจะแวะมาดูตัวกันถึงที่เมืองไทยเลยด้วยนะครับเนี่ย!”

    คำตอบของรวีทำเอาเวทิตนิ่งอึ้ง และพอตั้งสติได้เจ้าตัวก็รีบย้ำถามไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

   “นี่พี่ซันพูดจริงหรือครับ!”

   “แน่นอนครับ พี่พูดจริงเสมอ”

   รวียิ้มหวานรับ ขณะที่คนอื่น ๆ พากันเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออกไปตาม ๆ กัน ยกเว้นเอริคที่มีสีหน้าครุ่นคิดแล้วย้อนถามกลับไปเสียงเรียบ

   “ซัน...พี่น้องของฉันที่ว่าน่ะ เป็นพี่คนไหนกันแน่”

    รวีหันมายักคิ้วให้อีกฝ่าย ก่อนจะย้อนกลับไป

   “นายลองเดาดูเองสิ...แต่ฉันว่าเดาได้ไม่ยากเท่าไรหรอกมั้ง”

   เอริคขมวดคิ้วยุ่ง เอาจริง ๆ แล้วนอกจากพี่ชายคนโตของเขา พี่ชายคนรองกับพี่ชายคนที่สามนั้นค่อนข้างจะมีรสนิยมทางเพศปกติ และมีสเป็คตายตัวที่ค่อนข้างห่างไกลกับเวทิตอยู่มาก

   “พี่อีธานน่ะหรือ  อืม...ไม่น่าจะใช่นะ...”

    “แล้วทำไมถึงคิดว่าไม่น่าจะใช่พี่อีธานล่ะ”

   รวีย้อนถามพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้เอริคยิ่งสงสัยมากขึ้น แต่ก็ยังคงตอบกลับไปตามที่ตนรับรู้มา

    “ก็จริงอยู่ที่พี่อีธานเขาชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิง และไม่จำกัดรูปร่างหน้าตาตายตัว ...เพียงแต่พี่เขาเป็นพวกชอบคนโดยดูจากนิสัย... ยิ่งดื้อรั้นปราบยาก นี่ยิ่งชอบมาก...แต่เขาก็ไม่เคยรู้จักต้นมาก่อน ...จะว่าแค่เห็นภาพแล้วชอบก็ไม่น่าจะใช่”

   เอริคพึมพำก่อนจะชะงัก แล้วจ้องมองลูกพี่ลูกน้องของตนด้วยแววตาจับผิด

   “หรือว่านายจะ...”

    เอริคพูดแล้วเงียบไป ทว่าแววตารู้ทันที่มองมาก็ทำให้รวีหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พลางยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มกวนอารมณ์

   “หึ...ฉันก็แค่ช่วยโปรโมทน้องต้นให้พี่ชายนายรู้จักนิดหน่อยแค่นั้นเอง...ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของพรหมลิขิตบันดาลชักพา ...กามเทพผู้แสนดีอย่างฉัน ก็ขอยืนมองอยู่ห่าง ๆ หลังจากนี้ก็พอแล้วล่ะ”

    ขาดคำของรวีก็เรียกทั้งสีหน้าตกตะลึง และเสียงถอนหายใจคละเคล้ากันไป ทางด้านเจตต์ที่เลิกเขินแล้วโผล่หน้ามาจากผ้าห่มถึงกับเหลือบมองเพื่อนสนิทอย่างนึกเห็นใจ ส่วนเวทิตนั้นตอนนี้กำลังจ้องมองต้นเหตุที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวเขม็ง

   “พี่ซัน...พี่นี่นะ...”

   เวหาเรียกคนรักแล้วจ้องมองด้วยสายตาเอือมระอาแกมดุ ทำให้คนถูกมองสะดุ้งโหยง แล้วรีบแก้ตัวเสียงอ่อย

   “พี่ก็แค่พูดเล่าเรื่องน้องต้นไปตามความจริงเองนี่ครับ...ใครจะรู้ว่าพี่ชายของหมอนี่เขาจะสนใจขึ้นมาง่าย ๆ ล่ะครับ...อีกอย่างพี่ก็สงสารที่น้องต้นไร้คู่อยู่คนเดียว ก็เลยคิดจะช่วยจับคู่ให้ก็เท่านั้นเอง แล้วพี่อีธานก็ยังนิสัยดีมาก ๆ เลยนะครับ”

   “ใช่...นิสัยดี แต่โคตรเจ้าชู้ตัวพ่อเลย”

   เมฆาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ทว่ามีนาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นดันได้ยินไปด้วย จึงย้อนถามเสียงใสอย่างสนใจ

   “เจ้าชู้? พี่ชายคุณเอริคน่ะหรือครับ!”

   เมฆาสะดุ้งโหยงพอ ๆ กับรวี ส่วนเวหา เจตต์ และเวทิต ต่างหันมามองทางเมฆา ก่อนจะหันไปมองรวีและไล่มองไปยังเอริคเป็นคนสุดท้าย ชายหนุ่มหน้าขรึมถอนหายใจ แล้วจึงพยักหน้ายอมรับตามมา

   “ใช่...พี่ชายฉันถ้าพูดถึงเรื่องนิสัย เขาเป็นคนดีไว้ใจได้คนหนึ่ง แต่เรื่องเจ้าชู้นี่เป็นข้อเสียใหญ่ของเขา ...เพราะฉะนั้นถ้าดูจากนิสัยของต้นแล้ว ฉันว่ายังไงพี่อีธานก็คงไม่น่าจะผ่านการยอมรับจากต้นได้หรอก เพียงแต่...”

   เอริคหยุดพูดแล้วหันไปมองทางเวทิตก่อนจะเอ่ยตามมาอย่างจริงจังกว่าเดิม

   “ถ้าเธอไม่อยากให้เขามาวอแวหรือตามตื๊อเธอไม่เลิกล่ะก็...เวลาเขามาจีบ เธอก็อย่าไปปฏิเสธเขาตรง ๆ แบบไร้เยื่อใยนักก็แล้วกัน ...ไม่อย่างนั้นหากเขาเกิดติดใจเธอจริง ๆ ถึงเป็นฉันก็คงช่วยพูดให้ไม่ได้แล้วล่ะนะ”

   เวทิตฟังแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก เขาเหลือบไปมองรวีอีกครั้งก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มหวานให้เสียจนน่าหมั่นไส้ แต่พอไล่มองไปทางเพื่อนของเขาบ้าง เวหาก็พึมพำขอโทษอุบอิบ จนเวทิตโมโหรวีไม่ลง ทางด้านมีนากับเมฆานั้นยิ้มเจื่อน ๆ คล้ายจะให้กำลังใจ ส่วนเอริคตอนนี้ก็หันไปให้ความสนใจกับเจตต์แทน โดยที่เด็กหนุ่มหน้าตี๋ก็เอาแต่เขินหน้าแดงไม่เลิก จนเวทิตต้องหลุดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   ‘ช่วยไม่ได้แฮะ ...ถ้าเป็นเนื้อคู่กันจริง ต่อให้หนียังไง มันก็หนีไม่พ้น...แต่ถ้าไม่ใช่ ดึงดันยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดีล่ะนะ’

    และแล้วเด็กหนุ่มที่ไม่อยากคิดมากก็ยักไหล่กับตัวเองน้อย ๆ พลางเอ่ยขอตัวกับเจ้าของห้องที่ตอนนี้เริ่มออกอาการจ้องตากันหวานซึ้งกับคนบนเตียง ชนิดไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับคนอื่น  เห็นดังนั้นพวกรวีเองก็ต่างพยักหน้าส่งสัญญาณให้กัน แล้วทยอยเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะช่วยปิดประตูห้องให้เรียบร้อย พร้อมกับนัดแนะกันออกไปเดินเล่นนอกบ้านพัก ปล่อยให้คนในห้องได้สานสัมพันธ์หวานซึ้งต่อจากก่อนหน้านั้น โดยไม่มีใครที่คิดจะเข้าไปขัดขวางเลยสักคนเดียว...


... END …


จบแล้วจ้าาา สำหรับคู่นี้ มาเรื่อย ๆ แล้วก็จบแบบหวาน ๆ ^^ ตามสไตล์ของเรื่องนี้ตั้งแต่ภาคแรก
สำหรับตอนพิเศษก็รออ่านกันจ้ะ เดี๋ยวลงให้อ่านแน่นอน

สำหรับเรื่องนี้ไม่ได้แยกออกตั้งเรื่องใหม่ บางคนก็เพิ่งจะเห็นว่ามีภาคต่อ แต่ที่ลงแบบนี้ก็เพราะอยากเก็บให้มันอยู่ในกระทู้เดียว เนื่องจากเป็นนิยายที่ไม่ยาวนักด้วยน่ะค่ะ

แต่ถึงยังไงปัดก็ต้องขอขอบคุณนักอ่านที่ยังตามมาคอมเมนต์ให้ปัดเสมอนะคะ อ่านคอมเมนต์ยาวบ้าง สั้นบ้าง แล้วมีความสุขมากเลยค่ะ ทำให้เกิดกำลังใจในการจะแต่งนิยายต่อไปได้เรื่อย ๆ

ขอบคุณมากเลยค่ะ  :pig4:

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 14 [ จบ ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-04-2015 16:36:00
 :กอด1:  ขอขอบคุณสำหรับนิยายหวานๆน่ารักนะคะ จะกี่คู่ก็น่ารักเสมอ
น้องต้นเตรียมตัวเลยนะ  ถ้าคู่กันแล้วล่ะก็หนียังไงก็ไม่พ้น ใช่ไหมน้องเจ

ว่าแต่คุณเอริคจะทำอะไรต่อนะ แหมน้องเจขี้เขินขนาดนี้ค่อยๆตะล่อมไปเน้อ อย่าใจร้อนอีกล่ะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 14 [ จบ ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 29-04-2015 19:24:43
เอาแล้วไง ต้นจะทำยังไงล่ะทีนี้ ปฏิเสธตรงๆ ก็ไม่ได้
เค้าลางความวุ่นวายเริ่มมา :laugh:

พี่ซันทำหน้าที่ดีมาก  o13
แต่ แต่ แต่...พี่จะเข้ามาขวางทำมายยยย หา ตอบค่ะ!!
ไม่ใช่ว่าอิจฉาคู่ของเอริคกับเจหรอกนะ (ก็ของเฮียแกต้องรอน้องเรียนจบนี่หว่า ฮ่าๆ)
ตอนแรกก็นึกสงสารเฮียนะแต่ รอไปเถอะ กร๊าก
จะว่าไปร้ายกว่าใครต้องยกให้เฮียซันเจ้าค่ะ  o18 แต่ร้ายแบบน่ารักนะ

ฉากในห้องหลังจากที่ไม่มีใครขวางแล้วคือ.... อร๊าย จิ้นค่ะจิ้น  :-[

เอริคเก็บผ้าเช็ดหน้าน้องไว้ด้วย อารมณ์ซินเดอเรลล่าเลย
คุณเอริคทำดีมากค่า นั่นน่ะผ้าผืนโปรดของน้องนะ
อร๊าย คิดดีๆ เหมือนของหมั้นเลย ผ้าเช็ดหน้ากับสร้อย ว้ายๆ  :heaven ฟินสลบ

ขอบคุณคนแต่งมากมาย อ่านเรื่องนี้แล้วมีความสุขมากเลยค่ะ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความรักและผองเพื่อน คือ feel good มากๆ ขอบคุณค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอติดตามตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 14 [ จบ ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 29-04-2015 21:21:43
ขอบคุณคนแต่งมากๆเหมือนกันนะค่ะ ที่ให้กำเนิดตัวละครมากมาย o13
ชอบทุกคู่เลยค่ะ แร้วจะรอลุ้นคู่ต้นนะค่ะ :-[

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 14 [ จบ ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-04-2015 23:03:51
พี่ซันขี้หึงเวอร์ งานเข้านายต้นเลย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 14 [ จบ ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 30-04-2015 19:57:03
กรี๊ดดดดดดดดด
ชอบคุณมากๆค่ะ
อยากอ่านคู่ต่อไปแล้ว
งานนี้คงสนุกแน่ๆ
มาต่อไวๆน๊า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : part 14 [ จบ ] p.12
เริ่มหัวข้อโดย: sweetyswtcou ที่ 30-04-2015 20:47:15
เรื่องใหม่น่าลุ้นมากอ่ะ
รอติดตามนะคะ
เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆให้ได้อ่านค่ะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 02-05-2015 22:01:43
 **มาต่อแล้วนะคะ ขอบคุณที่รออ่านกันค่ะ **



ตอนพิเศษ
รักวุ่นวายของนายต้น


    เวทิตไม่คิดเลยว่าตนจะต้องมาถูกผู้ชายตามตื๊อจีบเช่นนี้ แถมคนจีบเขายังเป็นหนุ่มมาดเพลย์บอย ที่ถูกการันตีโดยคนรู้จักกันว่าเป็นจอมเจ้าชู้ของจริงอีกต่างหาก

   เหตุการณ์เริ่มต้นของเคราะห์ร้ายสำหรับเด็กหนุ่มก็ต้องเริ่มมาจากเจ้าคลิปวิดีโอที่คนรักของเพื่อนส่งไปให้ครอบครัวของญาติสนิทเจ้าตัวนั่นล่ะ...


   ชายหนุ่มผมทองยาวปรกคอ นัยน์ตาสีเขียว ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มชวนสะดุดตาและมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าอยู่เสมอ ขณะนี้เจ้าตัวกำลังนั่งดูคลิปที่ญาติผู้น้องส่งมาให้ซ้ำอีกครั้ง และเน้นดูเด็กหนุ่มผิวเข้มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ คนรักของน้องชายเป็นพิเศษ

   “หือ...ดูอะไรน่ะ อีธาน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”

   ชายหนุ่มไว้ผมสั้นเกรียนคล้ายนักกีฬาซึ่งโผล่มาทีหลังเอ่ยทักทาย เจ้าตัวมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับอีกฝ่าย แต่อายุอ่อนกว่ากันแค่สองปี เขาแขวนเสื้อคลุมบนไม้แขวนในห้องนั้น แล้วเดินไปยังโซฟาของห้องนั่งเล่นที่พี่ชายคนโตกำลังเอนกายพักผ่อนอยู่ ก่อนจะชะโงกหน้าไปมองมือถือของชายหนุ่มอย่างสนอกสนใจ

    “เห...นี่มันคลิปของเอริคกับแฟนนี่นา หือ...อย่าบอกนะ ว่านายคิดจะแย่งแฟนน้องชายตัวเองน่ะ”

   “เหอะ! อย่าหาเรื่องให้เอริคมาตีหัวฉันเลยน่า ...ที่ฉันสนน่ะอีกคนที่อยู่ในคลิปนี่ต่างหาก”

   อดัมน้องชายคนรองจ้องมองภาพเด็กหนุ่มชาวไทยผิวสีเข้มที่อยู่ในคลิป เขาเองก็รับรู้ข้อมูลมาพอ ๆ กับอีกฝ่าย เพราะตอนที่รวีส่งคลิปและข้อความมา เขาก็กำลังนั่งดื่มกับพี่ชายคนโตอยู่พอดี 

   “เอาจริงหรืออีธาน...บางทีซันอาจจะแกล้งพูดให้นายสนใจเด็กนี่ก็ได้นะ นายก็รู้อยู่ว่าหมอนั่นขี้หึงขนาดไหน แถมเท่าที่รู้มาเด็กคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกับคนรักของเขาด้วย หมอนั่นอาจจะหลอกใช้นายไปจีบเด็กนั่นก็ได้นา”

   ชายหนุ่มบอกอย่างรู้นิสัยของญาติผู้น้องดี ซึ่งพอได้ฟังดังนั้นอีธานก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยตามมา

   “ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร...ไหน ๆ ฉันก็คิดจะไปเยี่ยมเอริคกับคนรักของเขาที่เมืองไทยอยู่แล้ว ...ถึงจะใช่สเป็คหรือไม่ แต่ก็ดีกว่าไปแล้วเสียเที่ยวเปล่าจริงไหมล่ะ”

   “ระวังเหอะ ถ้าล้ำเส้นเกินไป จะโดนเอริคโมโหเข้าให้ ก็รู้อยู่ว่านั่นเป็นเพื่อนสนิทแฟนเขา”

   อดัมเอ่ยย้อนเตือนอย่างเอือมระอา ซึ่งอีธานก็ยักไหล่นิด ๆ แล้วยิ้มตอบติดเจ้าเล่ห์

   “ฉันรู้ดีน่า ว่าจะเล่นด้วยแค่ไหน ...แต่ถ้าเด็กมันยอมเอง อันนี้ก็ช่วยไม่ได้นา”

   “อีธาน...นายนี่มันนิสัยแย่จริง ๆ เลยนะ”

   อดัมบ่นแล้วถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

   “อ้อ! จริงสิ เจค็อบ ฝากมาบอกว่า อย่ามาเจ๊าะแจ๊ะกับแฟนของเขาให้มากนัก ไม่งั้นเขาอาจจะแกล้งขอหมายจับนายแล้วยัดยาเสพติดเข้าให้สักวันก็ได้”

   อีธานพอได้ยินก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกขำ คงเป็นเพราะช่วงนี้เขาต้องคอยดูแลบริษัทให้น้องชาย ทำให้เผลอไปคอยตอดเล็กตอดน้อย ตามประสาคนเจ้าชู้กับเลขาคนเก่งของน้องชายเข้าให้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าตัวนั้นมีแฟนเป็นตำรวจประจำหน่วยปราบปรามยาเสพติดชื่อดังของนิวยอร์ก ที่คอยกวาดล้างพวกค้ายารายน้อยใหญ่มามากมาย แต่ถึงจะเป็นตำรวจที่ค่อนข้างจะตงฉินอยู่ไม่น้อย แต่อีกฝ่ายก็ยังมีเส้นสายกันในหมู่พวกมาเฟีย และเป็นเพื่อนสนิทกับคนในครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี

   “หึ ๆ ลองดูสิ จะได้ฟ้องกลับเข้าให้ พวกเราเคยค้ายาเมื่อไหร่ ใครก็รู้ อ้อ...แต่ถ้ายัดอาวุธสงครามมาให้ นี่คงคิดหนักเหมือนกัน...”

    อดัมสั่นหน้ากับคำพูดทีเล่นทีจริงของพี่ชาย ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำถามถัดมา

     “อืม...จริงสิ แล้วนี่ เอียนไม่ได้มาพร้อมนายหรอกหรือ แมนชั่นผีสิงของหมอนั่น มันทางผ่านของนายนี่นา”

   อีธานเอ่ยถามถึงน้องชายคนที่สาม เพราะในทุกวันอาทิตย์พวกเขาทั้งครอบครัวจะนัดกันมากินข้าวกลางวันร่วมกันที่บ้านของบิดาเสมอ และวันนี้พวกเขาก็มีเรื่องต้องปรึกษากัน เกี่ยวกับการช่วยเหลือเรื่องความรักของเอริคน้องชายคนสุดท้องของบ้านด้วย

   ทางด้านอดัมขมวดคิ้วนิด ๆ ที่พี่ชายคนโตเรียกที่พักของน้องชายคนที่สามของพวกเขาว่าแมนชั่นผีสิง แต่ก็ยังคงตอบออกไปตามปกติ

   “ก็แวะไปรับอยู่หรอก แต่เจ้าตัวขอนอนพักต่ออีกชั่วโมงถึงจะตามมาสมทบ เห็นบอกว่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสี่ ...เพราะห้องข้าง ๆ ตอนประมาณตีสองตีสาม อยู่ดี ๆ คนในห้องก็ร้องกรี๊ด ๆ โวยวาย แล้วก็วิ่งชนกระจกตกระเบียงห้องลงมา ...ดีนะ ด้านล่างเป็นสระว่ายน้ำ ไม่งั้นคงได้ตายสยอง ตกมาจากชั้น 4 เสียด้วยสิ ...ทางตำรวจก็เข้ามาตรวจสอบจนวุ่นวายกันไปหมดทั้งแมนชั่น”

   อีธานยักไหล่ แล้วเปรยบ่นอย่างเอือมระอา

   “ฉันก็บอกหมอนั่นแล้วให้ย้ายบ้าน คนอื่นอยู่แล้วเจอแต่ผีหลอก มีหมอนั่นล่ะที่ประสาทแข็ง เลยไม่เจอผีกับเขา ...ขนาดฉันเข้าห้องหมอนั่นไปไม่ถึงชั่วโมง ยังหนาว ๆ ร้อน ๆ ขนลุกซู่ตลอด”

   “เอิ่ม...มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า ...ก็แค่แมนชั่นเก่าเคยไฟไหม้แล้วมีคนโดนไฟคลอกตายในชั้นที่หมอนั่นอยู่ก็เท่านั้นเอง...แต่เขาก็ปรับปรุงใหม่จนหรูกว่าของเดิมด้วยซ้ำนา”

   อดัมแก้ตัวแทนน้องชายคนที่สาม ถึงแม้ว่าเขาเองจะรู้สึกไม่ค่อยชอบบรรยากาศอึมครึมในทุกครั้งที่เข้าไปในห้องอีกฝ่ายก็ตามที

   “เหอะ ๆ นายจะคิดแบบนั้นก็ตามใจ ...แต่ถ้าเกิดหมอนั่นมีปัญหาหรือเจออันตรายขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็  ผีก็ผีเถอะ...ฉันจะเล่นงานพวกมันจนไร้ที่อยู่ให้ดู!”

   อีธานบอกเสียงเข้มในท้ายประโยค ทำเอาคนฟังลอบถอนหายใจ เพราะรู้ดีว่าอีธานนั้นเป็นพวกรักครอบครัวมาก โดยเฉพาะน้องชายทั้งสองที่อายุห่างกันอยู่หลายปี

   “เออ...ฉันว่าพวกผีนั่นคงไม่คิดร้ายอะไรกับเขาหรอก ไม่อย่างนั้นเอียนก็คงอยู่ไม่ทนมากว่าปีแบบนั้น ทั้งที่ข้างห้องย้ายเข้าออกเป็นว่าเล่นหรอกนะ...อ้อ...ว่าแต่ที่นายว่าจะไปไทยนี่มันวันไหนกันล่ะ”

   อดัมเปรยบ่น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา ซึ่งพอได้ยินคำถาม อีธานก็ยักไหล่พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ

   “ไปพรุ่งนี้... พอวันนี้สรุปเรื่องจัดการครอบครัวของเด็กเจตต์นั่นเสร็จ ฉันก็จะเดินทางไปไทย ตั้งใจจะไปดูว่าที่น้องสะใภ้ของฉันสักหน่อย ...ส่วนพวกนายกับพ่อก็จัดการเรื่องครอบครัวของเขาไป เพราะตอนนี้ได้ข่าวว่าอยู่ที่อเมริกานี่ไม่ใช่หรือ”

   อดัมกะพริบตาปริบ ๆ ที่พี่ชายคนโตของเขาตัดสินใจเอาเองเสร็จสรรพโดยไม่คิดจะฟังความเห็นคนอื่น แต่ถึงเขาจะขัดใจยังไง ก็ไม่คิดจะแย้งออกไป เพราะคนอย่างอีธานลองตัดสินใจแล้วก็ยากจะเปลี่ยนได้ ขนาดบิดากับมารดายังต้องเบื่อหน่ายและระอาที่จะค้าน แล้วกับเขาที่เป็นน้องชายคงยากที่ชายหนุ่มจะยอมรับฟังล่ะนะ

   

   หลังจากที่ทุกคนมาพร้อมหน้า การประชุมหารือภายในครอบครัวก็ได้เริ่มต้นขึ้น ทางอีธานและพี่น้องอีกสองคนต่างเห็นพ้องต้องกันในการยกหน้าที่นี้ให้ทางบิดาและมารดา เป็นฝ่ายเข้าไปเจรจาทำความรู้จักมักคุ้นกับครอบครัวของเจตต์ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะพี่เขยของเด็กหนุ่มก็ทำงานในบริษัทที่เป็นคู่ค้าสำคัญกับทางเครือบริษัทของตระกูลเขาอยู่แล้ว

   และด้วยความที่เป็นคนใจร้อน ไม่ชอบรออะไรนาน วันถัดมาอีธานก็ออกเดินทางทันที และพอเครื่องบินไปถึงเมืองไทย ชายหนุ่มก็มุ่งตรงไปที่บ้านของรวี โดยไม่คิดจะหยุดพัก หรือบอกกล่าวคนที่เมืองไทยสักคนล่วงหน้าเลยว่าตนกำลังจะมาหา…

..
..
.
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 02-05-2015 22:02:13
..
..   

 เวทิตนิ่งอึ้งหลังจากที่โทรศัพท์ไปบอกมารดาว่าตนจะกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น แต่กลับถูกขอร้องแกมบังคับให้เขาพักอยู่กับเวหาต่ออีกสักสองสามวัน เนื่องจากบิดาของชายหนุ่มนั้นถูกแจกพ็อตรางวัลใหญ่จากการส่งชิงโชคเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่ง และขณะนี้ครอบครัวของเขารวมไปถึงญาติพี่น้องที่พร้อมใจว่างตรงกัน ก็ย้ายสถานที่พักอาศัยไปนอนค้างอ้างแรมฉลองกันที่ริมทะเลเรียบร้อย

   “แล้วทำไมแม่ถึงไม่รอต้นกลับไปก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวล่ะ!”

    เวทิตโวยวายผ่านโทรศัพท์ ซึ่งปลายสายก็ตอบกลับมาง่าย ๆ

   “ทีแรกพวกเราก็คิดว่าจะรอแกกลับมาก่อนหรอก แต่พ่อแกเขาเริ่มลังเลแสดงความงกให้ญาติ ๆ เห็นว่าจะเก็บเงินใส่ธนาคารไว้แทนไปเที่ยวดีไหม อาของแกมันก็เลยจัดการมัดมือชก จองบ้านพัก จ่ายมัดจำ นัดญาติพี่น้องเสร็จสรรพ แล้วตอนนี้พวกแม่ก็อยู่ทะเลกันแล้วด้วย ส่วนพ่อกับญาติพี่น้องแกก็กินเหล้าเมาแอ๋กันตั้งแต่หัววันไปเรียบร้อยแล้วล่ะ!”

   เวทิตขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะตอบกลับไป

   “งั้นต้นตามไปสมทบทีหลังก็ได้ ยังไงก็อยู่นั่นกันหลายวันไม่ใช่หรือครับ”

   “จะตามมา? รู้หรือเปล่าว่าพวกแม่อยู่ไหนกัน”

   “อ้าว แล้วไม่ใช่ทะเลใกล้ ๆ แถวพวกชะอำ หัวหิน ระยองอะไรแบบนั้นหรอกหรือครับ”

   เวทิตย้อนถาม แล้วก็ต้องแอบอึ้งนิด ๆ เมื่อแม่ของเขาบอกกลับมา

   “พวกแม่อยู่ชุมพรกันต่างหาก แล้วก็อยู่นี่แค่วันนี้ พรุ่งนี้ก็จะยกโขยงไปเที่ยวกันต่ออีกแล้ว แม่ก็เลยจะให้แกรอที่บ้านหนูฟ้าเขาก่อนแล้วค่อยกลับไงล่ะ อีกอย่างหนูเจเองก็ยังกลับบ้านไม่ได้เหมือนกันใช่ไหม เพราะงั้นแกก็อยู่เป็นเพื่อนเขาไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”

     มารดาของเด็กหนุ่มสรุปตัดบทแล้ววางสายไปโดยไม่คิดจะฟังคำคัดค้านของลูกชายเลยสักนิดเดียว

    “แม่! เดี๋ยวสิ! อย่าเพิ่งวาง…. โธ่เว้ย!”

   เวทิตสบถอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันมามองเพื่อนสนิทที่นั่งมองตนอยู่ และได้ยินบทสนทนานั้นชัดเจนดี

   “ขอโทษนะฟ้า สงสัยต้องรบกวนฟ้ากับที่บ้านอีกสักสองสามวันแล้วล่ะ”

   “บ้าน่า รบกงรบกวนอะไร อย่าคิดมากเลยน่าต้น!”

   เวหารีบบอก ซึ่งคนอื่นที่นั่งเล่นอยู่ในซุ้มของสวนหน้าบ้านเด็กหนุ่มต่างก็ช่วยกันพูดปลอบและชักชวนเวทิตพูดเล่นคุยเรื่องอื่นเพื่อให้อีกฝ่ายหายวิตกและเลิกกังวลเรื่องนี้สักที



   “ว่าแต่ฉันอยู่ต่อแบบนี้ นายก็อดนอนบ้านพักเดียวกับคุณเอริคอย่างที่ตั้งใจไว้เลยน่ะสิ โทษทีว่ะเจ เพื่อนลำบากใจจริง ๆ นะเนี่ย”

   พอหายกังวลใจแล้ว เวทิตก็แหย่เพื่อนสนิทต่อ ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง หน้าแดงระเรื่อ ยิ่งพอถูกเอริคจ้องเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาแกมยินดี เด็กหนุ่มก็ยิ่งหน้าแดงเข้มมากขึ้นเสียจนคนแซวนึกขำ

   “มะ...ไม่ใช่นะครับ...หนอย! เจ้าเพื่อนตัวแสบ!”

   เจตต์รีบแก้ตัวเมื่อตั้งสติได้ ก่อนจะเตรียมเหวี่ยงหมัดใส่เพื่อนรักด้วยความเขินปนฉุน ทำให้เวทิตต้องรีบวิ่งหนี ก่อนจะชะงักกึกเมื่อเห็นรถยนต์คันหรูชะลอจอดอยู่หน้าบ้านทรงไทยของรวี และมีชาวต่างชาติสวมแว่นตาดำลงมาจากรถ 

   “จับได้แล้ว! หือ...ใครน่ะ ญาติพี่ซันหรือไง”

   เจตต์ที่วิ่งตามมาทันกอดเพื่อนสนิทหมับก่อนจะแปลกใจที่เวทิตไม่หนีและพอมองตามเขาก็เห็นดังเช่นที่อีกฝ่ายเห็น

   “ไม่รู้สิ...ไปตามพี่ซันมาดีกว่า”

   เวทิตบอกกับเพื่อนแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อชายคนนั้นหันมาทางเขา เจ้าตัวถอดแว่นดำเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเขียวคู่สวย ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้านิด ๆ ให้

   “หน้าคุ้น ๆ ว่ะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนไม่รู้สิ”

   เจตต์พึมพำ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อชายคนนั้นหันมามองเขาแล้วส่งยิ้มหวานมีเสน่ห์มาให้บ้าง รอยยิ้มที่เห็นทำให้เจตต์ต้องส่งยิ้มเจื่อนตอบ พอจะคาดเดาได้ไปกว่าครึ่งว่าคนที่มานั้นเกี่ยวข้องอะไรกับคนรักของตน

   “นายคิดเหมือนฉันไหมวะเจ ว่าคนนี้น่ะเกี่ยวข้องกับคุณเอริคไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่”

   เวทิตกระซิบถามเพื่อนพลางฉีกยิ้มตอบรับแขกผู้มาเยือนที่ตอนนี้กำลังเดินตรงมาหาพวกเขา

   “ฉันก็คิดเหมือนกันว่ะ สายเลือดนี่น่ากลัวแท้ ขนาดยิ้มยังคล้ายกันเลย”

   เจตต์พึมพำบอก เด็กหนุ่มเองก็ทำเหมือนเพื่อนก็คือ ยิ้มรับสู้เอาไว้ก่อน

   

   “พี่อีธาน! มาได้ยังไงกันครับ แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนล่วงหน้าว่าจะมา ผมจะได้ขับรถไปรับ!”

   เอริคที่เดินตามคนรักของตนมา พอเห็นหน้าแขกผู้มาเยือนเจ้าตัวก็ต้องตกใจแล้วเอ่ยทักขึ้น ทำให้อีธานหันไปมองแล้วก้าวเท้าฉับ ๆ ผ่านพวกเวทิตกับเจตต์เดินไปกอดน้องชายคนเล็กของตนอย่างคิดถึง

   “ไง! น้องรัก ไม่ได้เจอกันพักใหญ่ ๆ นายดูดีขึ้นเยอะเชียวนา กำลังมีความสุขอยู่ล่ะสิ!”

   “ครับ...ผมมีความสุขดี”

   เอริคบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเหลือบมามองเด็กหนุ่มคนรัก แล้วพยักหน้าเรียกเจตต์ที่สบตาตนให้เดินมาหา

   “พี่อีธานครับ ...นี่เจ คนรักของผมครับ เจ...นี่พี่อีธาน พี่ชายคนโตของฉันเอง”

   เจตต์ที่เดินมาหายกมือไหว้ชายหนุ่ม หากแต่อีธานนั้นรั้งร่างของอีกฝ่ายเข้าไปกอด หอมแก้มซ้ายขวา แล้วบอกตามมาด้วยภาษาไทยอย่างร่าเริง

   “สวัสดีเจ ฉันอยากเจอเธอมานานแล้วรู้ไหม...หึ ๆ ไม่เอาน่าเอริค อย่าทำหน้าดุแบบนั้นสิ ฉันไม่คิดจะแย่งแฟนนายหรอกน่า!”

   อีธานบอกกับน้องชายอย่างนึกขำ ทว่าเอริคกลับหรี่ตามองพี่ชายแล้วดึงคนรักไปโอบกอดไม่ยอมปล่อย เห็นดังนั้นอีธานจึงยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเหลือบมองเวทิตที่ก็สะดุ้งโหยงทันที

   “ฉันให้ทางโน้นจัดการเรื่องพูดคุยกับทางครอบครัวของเจให้แล้ว ส่วนฉันก็ขอลาพักร้อนมาอยู่ที่ไทยนี่เป็นเพื่อนนายในช่วงนี้...”

   ท้ายประโยคอีธานหันมาจับจ้องที่เวทิตเต็มตา นัยน์ตาสีเขียววาววับ ริมฝีปากก็ยกยิ้มติดเจ้าเล่ห์นิด ๆ จนคนถูกมองต้องกลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นอีธานก็หันกลับมาพูดกับเอริคด้วยภาษาอังกฤษแทน

   “อ้อ! ส่วนเรื่องบริษัทของนายไม่ต้องห่วงหรอกนะ อดัมกับเอียนจะผลัดกันมาดูแลให้...แต่พูดก็พูดเถอะ แค่เลขาคนสวยของนายคนเดียว ก็ดูแลในส่วนต่าง ๆ ของบริษัทได้หมดแล้ว  ฉันมีหน้าที่อย่างดีก็อ่านตรวจทานแล้วเซ็นเอกสารให้เฉย ๆ ก็เท่านั้นเองล่ะนะ”

   จากนั้นไม่นานพวกรวีที่ได้ยินเสียงสนทนาแว่ว ๆ ก็ตามมาสมทบ ทางอีธานนั้นเดินตามญาติของเขาไป และได้แนะนำตัวกับบิดามารดาของเวหาและมีนา ก่อนจะฝากเนื้อฝากตัวขออาศัยด้วยท่าทางที่เป็นมิตร ซึ่งทางวารีและณรงค์ก็รู้สึกนิยมชมชอบในความเป็นกันเองและมีสัมมาคารวะของชายหนุ่ม แม้ว่าเจ้าตัวจะเป็นชาวต่างชาติก็ตาม

     “พวกญาติ ๆ ของพี่ซันนี่พูดภาษาไทยได้ทุกคนเลยหรือครับ”

   เวหาที่เฝ้ามองอีธานสนทนากับบิดาและมารดาของตัวเองเอ่ยถามคนรัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเอริค หรือแม้แต่อีธานเอง ก็สามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว แม้สำเนียงจะยังคงแปร่งอยู่นิดหน่อย แต่ก็ถือว่าชัดมากสำหรับคนต่างชาติอยู่ดี

   “เฉพาะที่สนิทกันจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะพูดได้หมดน่ะครับ”

พอเห็นเวหาทำหน้างุนงงนิด ๆ รวีจึงอธิบายให้คนรักฟังต่อ

“คือพวกพี่ถือคติว่า เราต้องพูดภาษาถิ่นของคนในครอบครัวและญาติพี่น้องที่สนิทกันให้ได้ทั้งหมด อย่างคุณแม่ของพี่เป็นคนไทย ทางครอบครัวของพวกพี่อีธานที่สนิทกับเราเป็นพิเศษ ก็จะเรียนรู้ และเลือกใช้ภาษาไทยเวลาที่มาเยี่ยมบ้านพี่  ส่วนคุณแม่ของพี่เวลาไปเยี่ยมบ้านนั้นก็จะพูดภาษาอังกฤษสนทนาแทน ประมาณนั้นล่ะครับ”

   เวหานั่งฟังอย่างนึกทึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับคนรัก

   “ครอบครัวกับญาติของพี่ซันนี่น่ารักจังเลยนะครับ อย่างนี้ฟ้าก็คงต้องหัดภาษาอังกฤษให้คล่อง ๆ กว่านี้แล้วล่ะสิครับ”

   รวียิ้มตอบ พลางกุมมือเด็กหนุ่มมาจูบเบา ๆ อย่างชื่นใจ เรียกเสียงกระแอมจากมีนาที่นั่งอยู่แถวนั้น เพราะรวีดันเผลอลืมเข้าโลกส่วนตัวที่มีแต่ชายหนุ่มกับพี่ชายของเขาเข้าให้อีกแล้ว

   

   อีกด้านหนึ่งเวทิตที่เลือกนั่งข้างเจตต์และเอริคก็กำลังขมวดคิ้วยุ่งระหว่างแอบลอบจ้องมองอีธานเป็นระยะ ทำให้เจตต์ที่สังเกตเห็นเอ่ยทัก

   “ทำหน้ายุ่งแบบนั้นทำไมวะต้น ...หรือเกี่ยวกับคุณอีธาน”

   “เออสิ! ฉันล่ะกลัวพี่ชายคุณเอริคจะบ้าจี้มาจีบฉันบ้าง เพราะคลิปและคำโฆษณาบ้า ๆ ของพี่ซันนั่นน่ะสิ!”

   เวทิตบอกเสียงที่พยายามกระซิบ หากแต่เอริคก็ยังคงได้ยินอยู่ดี

   “เดี๋ยวไว้ฉันถามเขาเอง ...และถ้าเขามาจีบเธอจริง แล้วเธอไม่สน ก็ทำอย่างที่บอกไว้นั่นล่ะ ปฏิเสธไปแบบถนอมน้ำใจเขาหน่อย อย่าเล่นลูกตรงมากนัก”

   เอริคเปรยเบา ๆ ทำให้เวทิตสะดุ้งแล้วส่งยิ้มเจื่อนให้อีกฝ่าย ก่อนจะลอบถอนหายใจตามมา อาการของเด็กหนุ่มทำให้เจตต์ที่เห็นเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้าง

   “เอ...แต่ผมว่า เชียร์ให้พี่ชายคุณจีบหมอนี่ติดดีกว่าครับ พอเขาเป็นแฟนกันแล้ว จะได้มีแต่คนคุ้นเคยกันเองอยู่ในกลุ่มเดียวกันยังไงล่ะครับ”

   เวทิตสะดุ้งโหยงพลางทำปากด่าเพื่อนขมุบขมิบ ส่วนเอริคนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพราะรู้ดีว่าเจตต์นั้นกำลังหาเรื่องล้างแค้นที่เคยโดนอีกฝ่ายแกล้งแหย่แกล้งแซวอยู่เสมอก่อนหน้านั้น

   “อืม...ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลดีนะเจ...ว่าไงล่ะต้น สนใจไหม”

   เอริคแกล้งทำเป็นเห็นดีด้วยกับคนรัก ทำเอาเวทิตหัวเราะแห้ง ๆ แล้วขยับหนีไปนั่งกับพวกเมฆาและมีนาแทน ทำให้คู่รักทั้งสองหัวเราะเบา ๆ ไล่มองตามไปอย่างถูกใจ

   

   พอสนทนาทักทายกันได้สักพัก รวีก็แนะนำให้อีธานไปพักที่บ้านเรือนไทยของเขา เพราะกว้างขวางมีห้องว่างเหลือ และเอริคเองก็ยังพักอยู่ที่เดียวกันอีกด้วย

   “ขอบใจมากนะซัน”

   “ไม่เป็นไรครับพี่อีธาน เรื่องแค่นี้เอง”

   รวีบอกกับอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็พยายามกันท่าโดยให้อีธานอยู่ห่างจากคนรักของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่ดี เพราะแม้จะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่คิดแย่งคนรักของตน แต่เรื่องคอยตอดเล็กตอดน้อยหยอดคำหวานคนอื่นไปเรื่อยของอีธานนั้น มักจะไม่แยกแยะว่าอีกฝ่ายมีคนรักแล้วหรือไม่นั่นเอง

    “ว่าแต่คนรักของนายไปไหนเสียล่ะ เมื่อครู่ยังเห็นนั่งอยู่แถวนี้เลยไม่ใช่หรือไง”

   อีธานแกล้งถามอีกฝ่าย ซึ่งรวีก็ชะงักก่อนจะแสร้งยิ้มตอบ

   “อ๋อ! น้องฟ้า เขาไม่ค่อยสบายน่ะครับ ผมเลยให้ไปพักผ่อนที่ห้องของเขาก่อน”

   “อ้อ...อย่างนั้นหรือ”

   อีธานรับคำด้วยสีหน้ารู้ทัน ก่อนจะหันไปมองทางเวทิตด้วยความสนอกสนใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง

   “นั่นสินะ เด็กคนที่นายแนะนำฉันน่ะ”

   รวีชะงักก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ เมื่อถูกเวทิตที่กำลังมองมาทางพวกเขาจ้องเขม็ง

   “ก็ประมาณนั้นล่ะครับ...”

   “หือ...ดูเหมือนนายไม่ค่อยมั่นใจเลยนะซัน วันก่อนยังบอกฉันอยู่เลยว่า เด็กคนนี้ตรงสเป็คฉันแน่น่ะ”

   รวีหัวเราะแห้ง ๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะก่อนหน้านั้นเขาก็โดนเวหาดุเรื่องนี้ ขืนเขาเข้าไปยุ่งอีกคงจะโดนคนรักงอนเข้าให้เป็นแน่

   “หึ ๆ ไม่ตอบหรือ...ไม่เป็นไร ของแบบนี้เดี๋ยวทดสอบเองก็รู้”

   อีธานบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นจึงเดินตรงไปยังที่เวทิตนั่งอยู่ ชายหนุ่มยกยิ้มหว่านเสน่ห์ พร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าอีกฝ่าย

   “สวัสดี...เธอชื่อเวทิตสินะ ฉันชื่ออีธานยินดีที่รู้จัก”

   เวทิตยิ้มเจื่อนให้ เขาลอบถอนหายใจ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสกับมืออีกฝ่ายอย่างไม่เกี่ยงงอน

   “สวัสดีครับคุณอีธาน เรียกผมว่าต้นก็ได้ครับ”

   “โอเค...งั้นฉันก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”   

   อีธานบอกพร้อมรอยยิ้มเขาบีบมือของอีกฝ่ายแรงขึ้นอีกนิด ก่อนจะปล่อยออก พร้อมกับคำถามตามมาที่ทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง

   “เธอสนใจจะรับผู้ชายเป็นแฟนบ้างไหมล่ะต้น”

   เวทิตพอได้ยินดังนั้นก็ตั้งสติให้มั่นคง ทีแรกเขาตั้งใจจะปฏิเสธไปตรง ๆ เลยว่าไม่สน แต่พอลองคิดถึงคำเตือนของเอริค เขาจึงส่งยิ้มเจื่อน แล้วอ้อมแอ้มตอบออกไป

   “ง่า...พอดีผมเคยคบแต่ผู้หญิงน่ะครับ...ก็เลยไม่ถนัดจะคบผู้ชาย...ง่า แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร...เพียงแต่เอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่สนดีกว่าครับ”

   อีธานเลิกคิ้วนิด ๆ ที่อีกฝ่ายเลือกตอบกึ่งรับกึ่งสู้ แทนที่จะตัดบทห้วนอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่พอเขาเหลือบไปเห็นน้องชายของตนที่ลอบถอนหายใจหลังจากเวทิตพูดจบ อีธานก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ทันที

   “อ้อ...อย่างนั้นเองหรือ...อืม...แต่ไม่รังเกียจแบบนี้ แสดงว่าจริง ๆ แล้วก็แอบสนอยู่ไม่มากก็น้อยใช่ไหมล่ะ...ว่าไง จะลองคบกันดูไหม ถ้าไม่ใช่จริง ๆ ก็ค่อยแยกย้ายกันไปก็ได้”

   อีธานตามตื๊อต่อทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง แล้วเหลือบมองเอริคอย่างขอความช่วยเหลือ ซึ่งอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วยุ่งทว่าพอได้เห็นพี่ชายหันมามองแล้วยักคิ้วให้ เขาก็ทราบทันทีว่าอีธานนั้นคงรู้แล้วว่า เป็นเขาที่เสนอให้เด็กหนุ่มเลือกตอบไปเช่นนั้น

   “ว่าไง...ของพวกนี้ไม่ลองไม่รู้...ถ้าได้ลองแล้วอาจจะติดใจก็ได้”

   ชายหนุ่มนั้นรุกคืบต่อแถมยังขยับเข้าไปใกล้ จนเวทิตต้องขยับหนีก่อนจะชะงักเมื่อหลังของตนติดกำแพงห้องเข้าให้แล้ว

   “ง่า...พี่อีธาน ผมว่าพี่เอาของไปเก็บที่ห้องพักก่อนดีไหมครับ แล้วค่อยคุยกันต่อ”

   รวีที่เห็นอีธานรุกเร็วเกินคาดรีบห้าม หากแต่อีธานกลับไม่สนใจ  เจ้าตัวขยับเดินเข้าหาแล้วเอามือเชยคางของเด็กหนุ่ม ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไป ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของแต่ละคนที่มองมา และมีบางคนเตรียมจะอ้าปากห้าม ทว่า...

   ปึก!

   เสียงบางอย่างดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ทรุดกายนั่งลงด้วยความจุก เพราะเวทิตนั้นยกเข่ากระแทกเอาที่ตรงท้องน้อยของอีกฝ่ายด้วยความตกใจปนฉุน

   “ผมไม่ผิดนะ! ผมทำไปเพราะป้องกันตัวต่างหาก ใครใช้ให้พี่ชายของพวกคุณหื่นเองเล่า!”

   เวทิตโพล่งลั่นใส่รวีกับเอริคที่จ้ำพรวดมาดูคนเจ็บ แล้วรีบวิ่งหนีกลับบ้านพักไป โดยมีเจตต์ที่วิ่งตามเพื่อนไปหลังจากหายตกใจ ส่วนเวหาที่ถูกรวีกึ่งบังคับกึ่งขอร้องให้กลับไปที่ห้อง ก็รีบลงมาดูด้านล่างเพราะได้ยินเสียงตะโกนของเพื่อนแว่ว ๆ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ได้มีนาและเมฆาที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟัง เขาจึงตัดสินใจตามเวทิตไปอีกคน เพราะกลัวเพื่อนจะโมโหจนหนีกลับบ้านไปเสียก่อน

   

   ทางด้านของอีธานพอหายจากอาการจุกแล้ว เจ้าตัวก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอด้วยท่าทางที่ทำให้เอริคนึกเสียวสันหลังวาบแทนเวทิตขึ้นมาทันที

   “ฮะ ๆ ถูกใจฉันจริง ๆ ด้วยแฮะ...ยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีกนะ”

   “พี่อีธาน พี่เป็นมาโซหรือไงน่ะ ถ้าเด็กนั่นเล่นงานต่ำกว่านี้ พี่มีสิทธิ์เสื่อมสมรรถภาพได้เลยนะ”

   รวีสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา ทีแรกเขาคิดว่าอย่างดีอีกฝ่ายก็น่าจะชกหรือตบ แต่เล่นใช้เข่าในตำแหน่งใกล้จุดหวาดเสียวแบบนั้น ก็ทำเอาเขาชักจะหวาด ๆ แทนอีธานในอนาคตเข้าให้แล้ว

   “ฉันชอบปราบพวกพยศ ...ยิ่งแรง ๆ แบบนี้ยิ่งดี...ขืนยอมง่ายเกินมันก็น่าเบื่อไป”

    อีธานบอกก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืนโดยปัดมือน้องชายที่เตรียมจะช่วยพยุงเขาลุก

   “ไม่เป็นไร ...ฉันยืนเองได้”

   บอกจบเจ้าตัวก็ยืดตัวขึ้นยืนตรงด้วยท่วงท่าสง่างาม จนทำให้ลืมสภาพก่อนหน้านั้นเสียสนิท

   “แล้วเด็กนั่นล่ะ...อย่าบอกนะว่าหนีไปแล้ว”

   รวีถอนหายใจเบา ๆ ส่วนทางเอริคก็เปรยบอกอย่างเอือมระอา

   “ก็คงหนีกลับห้องของเขานั่นล่ะ คงกลัวไม่ผมก็พี่จะเอาเรื่องเขาล่ะมั้ง ...แต่ผมก็หวังว่าพี่คงจะไม่ไปเอาเรื่องเขาหรอกนะ เพราะกรณีนี้ดูยังไงพี่ก็ผิดเต็ม ๆ อยู่ดี”

   อีธานหัวเราะเบา ๆ หลังจากที่ฟังน้องชายคนสุดท้องบ่นจบ เขาเดินไปตบบ่าอีกฝ่ายแล้วบอกตามมาอย่างอารมณ์ดี

   “ไม่ต้องห่วงน่า พี่ไม่ได้คิดเอาเรื่องเขาหรอก...อีกอย่างเมื่อครู่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะจูบจริงสักหน่อย ก็แค่อยากดูปฏิกิริยาจริง ๆ ของเขาแบบที่ไม่ต้องให้ใครมาคอยสอนให้ทำต่างหาก”

    เอริคชะงักเล็กน้อย แต่ก็แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่ใส่ใจ เห็นดังนั้นอีธานจึงอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปทางรวีแทน

   “งั้นนายพาฉันไปที่ห้องพักสิซัน ฉันจะได้เอาของไปเก็บ...แล้วจะได้ตามไปขอโทษเด็กนั่นสักหน่อย เพราะฉันเองก็ไม่อยากให้เขาหนีหน้าตั้งแต่วันแรกแบบนี้หรอกนะ”

   “ง่า...ก็ได้ครับพี่”

   รวีรับคำ ชายหนุ่มชักจะเริ่มรู้สึกผิดต่อเวทิตที่แนะนำอีธานให้ เพราะทีแรกเขาไม่คิดว่าอีธานจะจริงจังแบบนี้ อย่างดีอีกฝ่ายก็น่าจะแค่มาหยอกแล้วกันท่าไม่ให้เวทิตได้เข้าใกล้กับคนรักของเขาเกินจำเป็น  หากแต่ใครจะรู้ว่าเวทิตจะดันไปจี้จุดให้อีธานสนใจตัวเองมากขนาดนี้ขึ้นมาได้

   ‘เอาเหอะ! ถ้าคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกันล่ะนะ!’

   รวีคิดในใจ เพราะไม่อยากจะคิดมากให้วุ่นวาย ดูอย่างเจตต์กับเอริคที่ตอนแรกเด็กหนุ่มทั้งหนีทั้งกลัว ตอนนี้ก็ยังมารักหวานแหววกันจนนำหน้าคู่เขาไปด้วยซ้ำ ไม่แน่บางทีเวทิตอาจจะทำให้จอมเจ้าชู้อย่างอีธาน กลายเป็นคนรักเดียวใจเดียวในอนาคตข้างหน้านี้ก็เป็นได้



END(?)

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านทั้งภาคหลัก และตอนพิเศษกันจนจบนะคะ

สำหรับคู่นี้ เปิดตัวการพบกัน และตัดจบแบบให้คิดเอาเอง ไปก่อนว่าจะแซบขนาดไหน 555 เพราะจริง ๆ ถ้าแต่งต่อก็คงไม่ได้กลายเป็นตอนพิเศษ แต่จะงอกกลายเป็นภาคใหม่อีกคู่แน่ค่ะ เลยตัดแค่นี้ให้ไปจิ้นเอาเอง เอาไว้ คนแต่งว่างอยากหยิบมาขยายต่อ ก็คงได้อ่านกันยาว ๆ จุใจสำหรับคู่นี้อีกครั้งค่ะ   แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวไปปั่นนิยายใหม่ แนวแฟนตาซีก่อนล่ะค่ะ ไว้ค่อยเจอกันใหม่นะคะ ^^

ป.ล. ถ้าสามารถปั่นตอนพิเศษงอกเพิ่ม ก็อาจจะมีรวมเล่ม แต่ถ้าไม่งอก ก็อาจจะทำอีบุคแจกให้เก็บไว้เหมือนภาคแรกค่ะ


หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-05-2015 23:06:36
 :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-05-2015 23:24:19
ว้า อยากอ่านอีกจัง แต่ถ้าคนเขียนยังไม่อยาก(เขียน)ก็ไม่เป็นไรจ๊ะ ยังไงก็รออยู่นะ
รู้สึกสนใจแมนชั่นผีสิงของเอียนซะแล้วสิ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

 :pig4:   :pig4:   :pig4:     :pig4:    :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 03-05-2015 00:42:47
อ๊ายยยยยยยยยยยยยย มาต่อเถอะค่ะ
แบบนี้มันค้างน๊า
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 03-05-2015 09:35:43
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ก็คอยต่อไปอย่างมีความหวังว่าจะเปลี่ยนจาก end เป็น tbc ซักวัน
อิอิ แบบว่าแซ่บมาก น่าติดตาม
เจอเข่าเข้าให้เป็นไงคะอีธาน :laugh: หลงเลย
ต้นเอ้ย นายพลาดดดดดดดแล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 03-05-2015 10:07:39
 :call: :call: :call: สาธุ..ให้นักเขียนมาแต่งต่อทีเถอะ..อิอิ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-05-2015 10:10:24
ต้นเอ๋ย. เข่านี้แหละจุกจี้ดโดนใจพี่อีธานเข้าเต็มๆเลยจ้า. โถ่น้อง. หนีไม่พ้นแล้ว. พยศอีกๆพี่ๆชอบ
ขอบคุณมากมายค่ะ. เอาใจช่วยสำหรับโปรเจคใหม่แนวแฟนตาซีนะคะ
จะรอติดตามเช่นเคยค่ะ.  :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 03-05-2015 17:45:45
คู่ของ เอริคกับน้องเจ หวานจนน้ำตาลขึ้นเต็มเลยนะ

ตอนพิเศษของ น้อวต้น ก็น่ารัก อยากอ่านต่อเพราะอยากรู้ส่า พี่อีธาน จะจีบ น้องต้น แบบไหนกันน้า

ปล. ขอบคุณ นักเขียน มากค่ะ สำหรับเรื่องนี้ แล้วจะรอเรื่องใหม่นะค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 04-05-2015 14:26:27
ตามอ่านจนจบแล้ว เรื่องน่ารักมากๆทั้งสองภาคเลย ขอบคุณที่นำมาลงให้้อ่านนะค้าา  จะรอติดตามคู่ของพี่อีธานต่อนะค้าาาาาาาา   
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: sweetyswtcou ที่ 05-05-2015 07:39:36
ไม่รอดแล้วล่ะต้นเอ๊ย :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 05-05-2015 10:26:37
เอริค กับ เจ น่ารักมากเลยครับ ..... อยากอ่านคู่ต้นกับอีธานเขียนต่อก็ดีนะครับ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu_Chise ที่ 06-05-2015 23:17:12
เค้าตามมาอ่าน ถึงต้นแล้ว...

ขอต้นต่อเถอะจ๊าาา  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

เค้ารอต้นตั้งนานแล้วววววววววววววววววว :hao4: :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 02-06-2015 20:05:32
อีดิท: ฉบับอีบุคฟรีตอนนี้ไม่มีแจกแล้วนะคะ แต่ยังอ่านในเว็บได้ตามปกติค่ะ ไม่ได้ลบอะไร
.
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: sweetyswtcou ที่ 02-06-2015 21:08:05
มาไวๆนะ คิดถึงแล้ว :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 14-08-2015 23:00:41
 o13
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 12-03-2016 20:19:05
น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 12-03-2016 20:31:35
อยากอ่าอีกกกกกกก :ling1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 14-03-2016 00:18:53
มีภาคต่ออีกได้ไหมค่ะ
 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 20-03-2016 11:57:33
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:อยากอ่านอีกอ่ะคับขอภาคของต้นกับอีธาน
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : ตอนพิเศษ p.12
เริ่มหัวข้อโดย: risanana ที่ 29-05-2016 15:37:06
แหมมมม ซันรุกเร๊วเร็ว :hao3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (ภาคต่อ) เอริค - เจ : p.13
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 15-05-2017 15:09:16
อีดิท: ฉบับอีบุคฟรีตอนนี้ไม่มีแจกแล้วนะคะ ... แวะมาลบลิ้งเผื่อใครมาขุดแล้วกดไปไม่เจอ อาจจะงง ๆ ได้ค่ะ

หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวภาคต่อ) อีธาน-ต้น p.1/P.13
เริ่มหัวข้อโดย: falovekanda ที่ 17-05-2017 15:23:31
เรากลับมาดูก็เพิ่งเห้นว่ามีภาคต่อมาแล้ว อ้ายยยยย ชอบบบบ และขอบคูณมากงือออ :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวภาคต่อ) อีธาน-ต้น p.1/P.13
เริ่มหัวข้อโดย: silasa ที่ 18-05-2017 14:07:16
เพิ่งจะเข้ามาอ่าน..แบบรวดเดียวน่ารักจัง...
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวภาคต่อ) อีธาน-ต้น p.1/P.13
เริ่มหัวข้อโดย: o4u0n7 ที่ 26-06-2017 11:21:46
 :L2: :L2: :L2: :L2:

ขอบคุณสำหรับ E-book นะคะ

 :impress3:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวภาคต่อ) อีธาน-ต้น p.1/P.13
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 15-01-2018 07:54:52
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวภาคต่อ) อีธาน-ต้น p.1/P.13
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-01-2018 10:25:44
ขอบคุณสำหรับ E-book  คะ  :pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว (แจ้งข่าวภาคต่อ) อีธาน-ต้น p.1/P.13
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 14-10-2018 14:49:46
 o13