-
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
----------------------------------------------
นิยายเก่า ๆ ที่ลงไว้ (จบแล้ว)
คุณตำรวจยอดรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16626.0) , คุณอาที่รัก(แนวโชตะ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17582.0) , กรงรัก...พันธนาการใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0) , The Eden School (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.0) , ดวงใจจ้าวมังกร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=24780.00) , ม่านราตรี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27757.0) , Miracle Café (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.0)
ลิขิตรักอสุรกาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35637.0) , เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.0) , ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.0) , กรงรัก พันธนาการใจ (ฉบับรีเมก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.0)
เรื่องสั้น
คุณพี่...ที่รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20403.0) , สัญญา สายใย เชื่อมใจรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33672.0)
นิยายที่ยังไม่จบ
-
-
สวัสดีค่ะ นักอ่านชาวเล้า ขออภัยที่ปัดหายไปนาน แถมยังลบเรื่องรวมพลคนไล่ล่าไปด้วยนะคะ เนื่องจากเรื่องนั้นมีปัญหาค้างเติ่งไม่ได้ต่อ แถมช่วงหลังยังต้องโควเรื่องกับมายแองเจิ้ลที่ไม่ได้ลงที่นี่ก็เลยคิดว่าลบไปก่อนดีกว่า ถ้าตบตีเข้ารูปได้สมบูรณ์จนจบค่อยว่ากันอีกที
สำหรับนิยายขนาดสั้น "ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว" เป็นนิยายที่เขียนคั่นเวลาระหว่างมึนตันพล็อตเรื่องที่ลบไป
เรื่องนี้จะเป็นนิยาย ที่ "ไร้จุดพีค / เรื่อยเปื่อย / พล็อตเดาง่าย(มาก) / และ หวานเลี่ยน สุด ๆ"
เรียกได้ว่าเขียนเพื่อคลายเครียด อ่านแก้กลุ้ม ไม่มีดราม่าบีบคั้นสะเทือนใจให้หมองหม่น (รึ) ตามสไตล์เรื่อยเปื่อยของคนแต่ง
ซึ่งก็หวังว่า คนที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องนี้ เมื่อได้อ่านแล้ว คงจะมีรอยยิ้มให้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ
ที่สำคัญ เรื่องนี้แต่งจบแล้ว ซึ่งปัดจะทยอยลงให้อ่านวันละตอน นะคะ....
....ทั้งนี้เพื่อจะได้ไว้ เช็คฟีคแบค/รับคำตำหนิ/รับฟังคำแนะนำ ฯลฯ เพื่อที่จะนำไปปรับปรุงวางพล็อตให้อีกคู่ของเรื่อง (ซึ่งใช้ตัวละครต่อเนื่องชุดเดียวกัน และยังไม่ได้เริ่มแต่ง) ซึ่งแน่นอนว่าจะเอาเรื่องรองที่ว่า มาลงต่อที่บอร์ดแห่งนี้เช่นกันค่ะ
สารบัญนิยาย
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2782333#msg2782333)
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2782340#msg2782340)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2783306#msg2783306)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2784318#msg2784318)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2785305#msg2785305)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2786442#msg2786442)
บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2787461#msg2787461)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2788196#msg2788196)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2789427#msg2789427)
บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2790434#msg2790434)
บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2791344#msg2791344)
บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2792000#msg2792000)
บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2792977#msg2792977)
บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2793839#msg2793839)
บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2794501#msg2794501)
ตอนพิเศษ/1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2794800#msg2794800)
ตอนพิเศษ/2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2795578#msg2795578)
สารบัญภาคต่อ (เอริค-เจ)
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3013940#msg3013940)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3015362#msg3015362)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3016382#msg3016382)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3017758#msg3017758)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3019042#msg3019042)
บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3021523#msg3021523)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3022917#msg3022917)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3025378#msg3025378)
บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3026723#msg3026723)
บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3031008#msg3031008)
บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3033984#msg3033984)
บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3038331#msg3038331)
บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3039356#msg3039356)
บทที่ 14่(จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3040634#msg3040634)
ตอนพิเศษ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg3044429#msg3044429)
:pig2:
แวะมาแจกอีบุค ภาคอีธาน-น้องต้น ต่อนะคะ โหลดฟรีเช่นเคยเหมือนสองภาคก่อนหน้านั้นค่ะ
ขออภัยที่ให้รอนานมากจ้ะ
คลิกlink (https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=57962)ค่ะ ^^
:pig4:
-
ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
บทนำ
ณ สนามเด็กเล่นประจำหมู่บ้านในยามเย็น มีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอยู่สองสามราย โดยมีพ่อแม่เด็กนั่งมองอยู่ห่าง ๆ ทว่าใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น กลับมีเด็กเล็กและเด็กโตสองคนนั่งเล่นคุยกัน โดยไม่ได้ไปวิ่งเล่นเช่นเดียวกับเพื่อน ๆ และไม่ไกลจากนั้นนักก็มีชายใส่สูทดำสองคนยืนเฝ้ามองทั้งคู่อยู่
“น้องฟ้า...ชอบพี่ไหมครับ”
เด็กหนุ่มวัยสิบสองเอ่ยถามเด็กน้อยตัวเล็กข้างกาย เด็กหนุ่มมีนัยน์ตาเรียวยาวเขียวสดใส จมูกโด่งคมสัน ผมสีน้ำตาลไหม้ ใบหน้าและรูปร่างโดยรวมแสดงถึงความเป็นลูกครึ่งที่ค่อนข้างไปทางชาติกำเนิดฝั่งบิดามากกว่ามารดาที่เป็นคนไทย
“ชอบสิคับ ก็พี่ใจดี ให้หนมน้องฟ้ากินทุกวันเลย”
เด็กน้อยผิวขาวแก้มยุ้ย ตาโตน่ารัก วัยสามขวบ ตอบพร้อมรอยยิ้ม ในมือก็ถือถุงขนมที่พี่ชายข้างกายนำมาฝากตามปกติ
“ถ้าอย่างนั้น พอโตขึ้นน้องฟ้าจะมาเป็นเจ้าสาวให้พี่ได้ไหมครับ”
คำถามถัดมาทำให้คนที่กำลังล้วงขนมกินนิ่วหน้าอย่างสงสัย
“เจ้าสาว...คืออะไรเหรอคับ กินได้ไหม”
เด็กหนุ่มชะงัก แล้วมีสีหน้าหนักใจตามมา และพยายามอธิบายให้คนข้างกายเข้าใจอย่างช้า ๆ
“อืม...มันก็กินไม่ได้หรอกนะครับ...”
ยังไม่ทันขาดคำดี เด็กชายตัวน้อยก็โพล่งขัดเสียก่อน
“งั้นน้องฟ้าไม่เอาดีกว่า น้องฟ้าไม่อยากเป็นเจ้าสาว”
“อ๊ะ! เดี๋ยวก่อนสิครับ ถึงเจ้าสาวมันจะกินไม่ได้ แต่ถ้าน้องฟ้ายอมเป็นเจ้าสาวของพี่ พี่จะหาของกินและของเล่นมาให้น้องฟ้าเท่าที่น้องฟ้าต้องการเลยนะครับ”
เด็กหนุ่มรีบบอกตามมาโดยเร็ว ทำให้คนฟังเอียงคอแล้วย้อนถามกลับไปอย่างเริ่มลังเล
“จริงเหรอคับ”
“ใช่ครับ...เพราะฉะนั้นน้องฟ้าอยากเป็นเจ้าสาวให้พี่หรือยังครับ”
เด็กหนุ่มถามอย่างมีความหวัง ซึ่งร่างเล็กก็นิ่งคิดสักครู่ แล้วแย้มยิ้มกว้างน่ารัก พร้อมกับพยักหน้าแล้วตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสา
“ก็ได้คับ น้องฟ้าจะเป็นเจ้าสาวให้พี่เอง”
เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นจากเด็กหนุ่ม จากนั้นเจ้าตัวจึงจับมือกลมป้อมนั้นบีบเบา ๆ
“ดีจังครับ...สัญญานะครับ...ใครผิดคำสัญญาต้องชดใช้นะครับ”
“ชดใช้ยังไงหรือคับ”
เด็กน้อยย้อนถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก ซึ่งเด็กหนุ่มก็ชะงัก แล้วจึงเลี่ยงตอบ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายนึกกลัวจนเปลี่ยนใจเสียก่อน
“ก็...พอถึงตอนนั้นก็รู้เองล่ะครับ”
“ก็ได้คับ”
เด็กน้อยตอบกลับง่าย ๆ อย่างไม่คิดมาก สร้างความพึงพอใจให้คนฟังยิ่งนัก จากนั้นเด็กหนุ่มจึงได้โน้มใบหน้าลงไปจูบริมฝีปากของอีกฝ่าย ทำเอาชายในสูทดำทั้งสองที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ก็ยังคงทำตัวเป็นปกติ โดยไม่ได้เข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน
“ตอนนี้น้องฟ้าเป็นแฟนพี่แล้วนะครับ ห้ามไปมีคนอื่นที่ไหน ต้องรอเป็นเจ้าสาวของพี่คนเดียวนะครับ”
เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับล้วงกระเป๋าเสื้อของตน แล้วยัดอมยิ้มห่อถุงสีสดใสใส่ในมือของคนที่กำลังนิ่วหน้าเพราะถูกคนข้างกายจูบ ให้กลายเป็นยิ้มกว้าง
“คับ ...ขอบคุณนะคับ”
เด็กน้อยรับคำและขอบคุณสำหรับอมยิ้ม พวกเขานั่งเล่นกันอยู่สักครู่ ชายในสูทดำคนหนึ่งจึงเดินเข้ามาหาและบอกว่าถึงเวลาเดินทางแล้ว ทำให้เด็กหนุ่มต้องพาเด็กน้อยข้างกายเดินไปส่งบ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น มารดาของเด็กน้อยออกมารอรับแล้วทักทายด้วยความคุ้นเคยพร้อมกับชักชวนอีกฝ่ายเข้าไปนั่งเล่นในบ้าน ทว่าเด็กหนุ่มนั้นกล่าวปฏิเสธอย่างเกรงใจ ก่อนจะตรงกลับขึ้นรถเบนซ์คันหรูที่ขับมาจอดรับเขา โดยที่เด็กชายเองก็ยืนโบกมือส่งให้ตามมาอย่างไร้เดียงสาที่หน้าบ้านของตน และนับจากวันนั้น เด็กน้อยก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกเลย จนกระทั่งสิบห้าปีผ่านไป...
:L1:
-
บทที่ 1
อากาศที่แสนร้อนอบอ้าวของเมืองไทย ทำเอาคนที่เพิ่งได้กลับมาประเทศนี้อีกครั้ง หลังจากต้องตามมารดาและบิดาไปอยู่อเมริกาเป็นเวลาสิบห้าปี ถึงกับบ่นอุบไม่ยอมเลิกรา จนเพื่อนสนิทที่ตามกลับประเทศมาด้วยกัน สั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา
"ที่โน่น พอหน้าร้อนก็ร้อนไม่แพ้กันนั่นล่ะ ทำบ่นไปได้"
คนกำลังบ่นหันกลับไปมองเพื่อนของตนพลางขมวดคิ้วยุ่ง อีกฝ่ายนั้นเป็นชายหนุ่มตัวสูงพอ ๆ กับเขา ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา โครงหน้าออกไปทางชาวตะวันตก และแม้เพื่อนของเขานั้นจะเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกาเฉกเช่นเดียวกัน หากแต่เจ้าตัวกลับมีผมสีดำและนัยน์ตาสีดำเหมือนทางฝ่ายมารดาซึ่งมีเชื้อชาติไทย ผิดกับเขาที่มีผมสีน้ำตาลไหม้และนัยน์ตาสีเขียวสดใส เหมือนเชื้อชาติทางฝั่งบิดาแทนเสียอย่างนั้น
"แต่ก็ไม่ใช่มีฤดูร้อนตลอดปีเหมือนที่ไทยนี่นา เฮ้อ! หวังว่าเจ้าสาวของฉันคงไม่โดนแดดพวกนี้เผาเกรียมจนผิวเสียไปหมดก่อนล่ะนะ"
คำบ่นถัดมา ทำให้คนที่นั่งอยู่ด้วยเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ตามมา
"เจ้าสาว...อ้อ! น้องฟ้า ว่าที่คู่หมั้นคู่หมายที่นายตู่เอาเองคนนั้นน่ะรึ"
น้ำเสียงเย้ยเยาะระคนขบขัน ทำให้ รวี สะดุ้งโหยง แล้วโพล่งโต้ตอบกลับไปในทันที
"ไม่ได้ตู่เอาเองโว้ย! ฉันกับน้องฟ้าคบหากันอย่างบริสุทธิ์ใจ ที่สำคัญน้องเขาก็เต็มใจที่จะเป็นเจ้าสาวของฉันตั้งแต่เด็กแล้วด้วย!"
คนฟังยักไหล่นิด ๆ คล้ายไม่ใส่ใจในคำโต้แย้งนั้น ก่อนจะเอ่ยต่อตามมาด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ
"นายนี่มันโรคจิตจริง ๆ เลยว่ะซัน เสียดายที่รูปก็หล่อพ่อก็รวย มีสาว ๆ คอยตามกรี๊ดตามจีบมากมาย แต่ดันเป็นโรคจิตชอบเด็ก แถมยังเป็นเด็กผู้ชายอีกด้วย"
"เหอะ...รักมั่นคงอย่างฉันก็ยังดีกว่านายแล้วกันวะเมฆ อย่างนายน่ะ ขอให้หน้าตาถูกใจ จะหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยง แถมเปลี่ยนแฟนแทบจะรายเดือน ถ้าวันหนึ่งนายโดนฆ่าตายหมกคาคอนโด ฉันจะไม่แปลกใจสักนิด อ้อ! แล้วก็อย่าคิดมายุ่งกับน้องฟ้าของฉันเด็ดขาด ไม่งั้นฉันฆ่านายแน่!"
รวีเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งสายตาคมกริบชนิดที่คนคุ้นเคยมองดูก็รู้ว่าเจ้าตัวพูดจริงทำจริง
"โอเค ๆ ไม่ยุ่งแน่ กลัวตายว่ะ...นายน้อยแก๊งมาเฟียใหญ่ขู่เอาแบบนี้ ใครจะกล้าแหยมกัน หึ ๆ"
เมฆาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ จากนั้นจึงเดินตรงไปเคาท์เตอร์บาร์ในห้องรับแขก ชายหนุ่มเปิดไวน์รินให้ตัวเองและเผื่อเพื่อนสนิท ก่อนจะหยิบแก้วไวน์มาเสิร์ฟให้รวีถึงที่นั่ง
"แล้วนายจะไปหาว่าที่เจ้าสาวของนายได้ที่ไหนกันล่ะ...ก็เห็นเคยเล่าว่าพอถูกพ่อนายจับได้เรื่องที่นายเป็นพวกโรคจิตชอบเด็กผู้ชาย นายก็ไม่ได้มีโอกาสติดต่อไปทางเมืองไทยอีกเลย แล้วพอทั้งเถียงทั้งยกแม่น้ำทั้งห้ารวมถึงใช้เล่ห์กลต่อสู้กับพ่อนายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนพ่อนายยอมรับแบบไม่เต็มใจ...น้องฟ้าของนายก็ย้ายบ้านหนีไปแล้วไม่ใช่หรือ"
คนที่กำลังรับแก้วไวน์ชะงัก ก่อนจะจ้องหน้าของเพื่อนสนิทแล้วหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด ที่เจ้าตัวช่วยตอกย้ำอดีตที่ไม่อยากจดจำของเขาเท่าใดนัก
"เหอะ! ฉันให้นักสืบตามสืบจนรู้ที่อยู่ของน้องฟ้าเขาแล้วล่ะ ไม่มีอะไรที่จะยากเกินความรักที่ฉันมีต่อน้องเขาอยู่แล้วล่ะนะ"
เมฆารับฟังพร้อมรอยยิ้มกึ่งขัน จริง ๆ ก็อยากจะเถียงกลับไปว่า ที่ตามว่าที่เจ้าสาวสมัยเด็กของอีกฝ่ายจนเจอ มันก็เพราะอำนาจเงินที่เจ้าตัวมีต่างหาก ไม่เช่นนั้นการจะหาเบาะแสคนรู้จักสมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่ได้ข่าวเพียงว่ามารดาเปลี่ยนนามสกุลเพราะแต่งงานใหม่ไปกับใครที่ไหนก็ไม่รู้แถมญาติฝั่งมารดาก็ไม่มีใครเหลือให้สอบถามได้ ฝั่งสามีใหม่ก็ไม่ใช่คนมีชื่อเสียง ฟังจากเพื่อนบ้านที่เคยไปร่วมงานแต่งก็รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เกษตรกรธรรมดาที่ทำมาหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ก็แค่นั้น ส่วนจะมีชื่อหรือนามสกุลว่าอะไรเจ้าตัวก็ลืมไปเรียบร้อยแล้ว
"หึ ๆ ยังไงก็หวังว่าน้องฟ้าของนายเขาจะยังจำเรื่องที่นายขอเขาแต่งงานได้ โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเกินเหตุล่ะนะ"
รวีเหลือบมองเพื่อนของเขา ก่อนจะสบถอุบอิบให้เบา ๆ จากนั้นจึงกลับมานั่งฝันหวนถึงรักแรกในสมัยเด็กของเขาต่ออีกครั้ง โดยที่เมฆาเองก็ได้แต่เหลือบมองเพื่อนสนิท พร้อมกับลอบถอนหายใจแผ่วเบาอย่างเอือมระอา เพราะเขานั้นไม่คิดว่า อะไร ๆ มันจะง่ายดายอย่างที่รวีคิดวาดหวังเอาไว้นัก
รถสปอร์ตคันงามซึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้านในตอนเช้า ทำให้คนที่กำลังรถน้ำต้นไม้ในสวนหน้าบ้านชะงัก ก่อนจะวางสายยางฉีดน้ำลง พลางเดินไปปิดก็อกน้ำ แล้วตรงมาสอบถามชายตัวสูงในชุดเสื้อผ้าแฟชั่นนำสมัยทั้งสองที่มาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าบ้านของตน
"สวัสดีครับ มาพบใครหรือครับ"
เมฆาถอดแว่นกันแดดที่สวมใส่ พลางผิวปากหวือเบา ๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา อีกฝ่ายนั้นเป็นคนตัวเล็ก รูปร่างโปร่งบาง รูปหน้าผิวพรรณก็หมดจด จัดได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาค่อนข้างน่ารักอยู่มากทีเดียว
"ต้องขอโทษที่ว่านายโรคจิตนะซัน ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าน้องเขาโตมาแล้วน่ารักขนาดนี้ เป็นฉันฉันก็จองเอาไว้ก่อนเหมือนกัน"
เมฆาหันไปกระซิบเอ่ยแซว พร้อมหันมาโปรยยิ้มหวานสไตล์หนุ่มเพลย์บอยให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า ทำเอาคนที่อยู่ด้านหลังรั้วบ้านขมวดคิ้วยุ่ง หากแต่รวีนั้นไม่ได้สนใจคำแซวของเพื่อนสนิท เขาไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้นแต่อย่างใด เพราะเคยได้เห็นอีกฝ่ายจากรูปถ่ายในรายงานของนักสืบที่เขาจ้างมาเรียบร้อยแล้ว
"สวัสดีครับ...ที่นี่ใช่บ้านของน้องฟ้า เอ่อ...น้องเวหาหรือเปล่าครับ"
ร่างเล็กชะงักเล็กน้อย แล้วจึงย้อนถามกลับไปบ้าง
"ใช่ครับ อ๊ะ? หรือว่าคุณจะเป็นคนรู้จักของพี่ฟ้ากันครับ"
รวีถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตนตามมาหาถูกบ้าน ส่วนเมฆาชะงักแล้วหันไปมองเพื่อนสนิทตาปริบ ๆ อย่างแปลกใจ เพราะทีแรกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นคนเดียวกับที่เพื่อนแอบหลงรักเสียอีก
"ใช่แล้วครับ...พี่รู้จักกับน้องฟ้าตั้งแต่เขายังเด็ก เอ่อ...ส่วนน้องคงจะเป็น..."
เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย แล้วจึงแนะนำตัวเองบ้าง
"ผมชื่อมีนาครับ เป็นน้องชายของพี่ฟ้า เราสองคนอายุห่างกันสามปี พี่เรียกผมว่ามีนก็ได้"
รวียิ้มตอบอีกฝ่าย ซึ่งก็ทำให้เด็กหนุ่มที่มองอยู่เริ่มคิดว่าคนตรงหน้านี้นอกจากหน้าตาหล่อเหลาแล้ว เวลายิ้มยังมีเสน่ห์มาก น่าแปลกที่พี่ชายของเขาไม่เคยเล่าเรื่องหรือพาเพื่อนคนนี้มาหาที่บ้านก่อนหน้านั้นเลยสักครั้ง เพราะถ้าเป็นเขาหากมีเพื่อนเด่น ๆ แบบนี้ เขาคงภูมิใจและอยากอวดให้คนอื่น ๆ ได้เห็นเป็นแน่
"อ๊ะ! ลืมไปเลย คุณมาหาพี่ฟ้านี่นะ รอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวผมไปเรียกให้ ป่านนี้คงตื่นแล้วล่ะครับ วันหยุดทีไรก็งี้ล่ะครับ พี่เขาตื่นสายประจำ"
มีนาที่เผลอจ้องอีกฝ่ายนานไปหน่อยรีบบอกอย่างร่าเริง แล้วจึงขอตัวไปเรียกพี่ชายมาก่อนโดยทิ้งให้สองหนุ่มยืนคอยอยู่นอกรั้วบ้านไปตามเดิม
"ให้ตายเถอะ ฉันก็นึกว่าเขาเป็นน้องฟ้าของนายเสียอีก หึ ๆ นี่ยังคิดว่าจะแย่งจีบดีไหมอยู่เลยนะ"
เมฆายิ้มแย้มกึ่งยั่วอีกฝ่าย ทำให้รวีพึมพำอุบอิบบ่นเพื่อนสนิทอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่พอประตูบ้านเปิดออก พร้อมกับใครบางคนที่เดินตามหลังมีนามา ก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองจ้องมองเป้าหมายที่ต้องการพบด้วยสีหน้าตกตะลึง ทว่าต่างความรู้สึกกันสิ้นเชิง
ทางด้านรวี ชายหนุ่มนั้นดูมีท่าทางตื่นเต้นและยินดีอย่างเห็นได้ชัด หากแต่เมฆานั้นถึงกับนิ่งอึ้งตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เจ้าตัวรีบหันกลับไปมองเพื่อนด้วยสายตาตั้งคำถามหลังจากตั้งสติได้ หากแต่รวีนั้นไม่ได้นึกสนใจแม้แต่น้อย แถมยังคงพุ่งเป้าไปยังร่างตรงหน้าไม่วางตาด้วยความตื่นเต้นยินดี จนเมฆาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะหันมามองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังร่างเล็กอีกครั้ง
"สวัสดีครับ...เอ่อ...เห็นมีนบอกว่าคุณมาหาผมหรือครับ"
น้ำเสียงทุ้มจากคนที่ยืนด้านหลังร่างเล็กดังขึ้น ทั้งใบหน้าที่คมเข้มหล่อเหลา หุ่นล่ำน้อย ๆ แบบนักกีฬา และรูปร่างสูงพอฟัดพอเหวี่ยงกับรวีและเมฆา ช่างดูแตกต่างกับคนตัวเล็กหน้าตาอ่อนหวานที่บอกว่าเป็นน้องชายแท้ ๆ นั่นอย่างสิ้นเชิง
หากทว่าพอได้ดูจากสีหน้าของรวี และคำพูดแสดงตัวตนของคนตัวสูงตรงหน้าเขา มันก็ทำให้เมฆาไม่อาจจะเข้าใจผิดไปเป็นอย่างอื่นได้เลยว่า อีกฝ่ายนั้นคือ 'น้องฟ้า' ว่าที่เจ้าสาวเด็ก ที่เพื่อนสนิทของเขาเฝ้ารักเฝ้าหลงมาตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมานั้นจริง ๆ
แต่เรื่องการเจริญเติบโตของเวหา ก็ทำให้เขาตกใจได้ไม่เท่ากับเรื่องที่ว่า เพื่อนของเขานั้นดูเหมือนจะทั้งปลาบปลื้มทั้งชื่นชม ในตัวว่าที่เจ้าสาวของเจ้าตัวจนออกนอกหน้านอกตาให้ได้เห็นถึงเพียงนี้ ...ตั้งแต่เขาคบกับอีกฝ่ายมาเกือบห้าปี เมฆาเพิ่งจะได้รู้เดี๋ยวนี้เองว่า เรื่องที่เขาคิดว่ารู้จักรสนิยมในเรื่องต่าง ๆ ของเพื่อนสนิทเป็นอย่างดี ...มาจนวันนี้เขาจึงบอกกับตัวเองได้สักทีว่า ตัวเขานั้นคิดผิดอย่างสิ้นเชิงเลยเชียวล่ะ!
:L1:
-
งานนี้จะมีพลิกโผไหมคะ ตอนแรกคิดว่ารวีจะเป็นพระเอก แต่ดูท่าแล้ว.... 555
-
55 น่ารัก :mew3: น้องฟ้างงชัวร์อ่ะ
ติดตาม และเป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
-
หืมมมมมมมมม เอายังไงล่ะทีนี้ เมฆาชอบซะด้วยแฮะ
-
จากเจ้าสาวจะกลายเป้นเจ้าบ่าวมั้ยเนี่ย
แต่รวีนี่ท่าจะอาการหนัก
แม้น้องฟ้าสุดที่รักจะเติบโตขนาดนี้ก็ยังชอบ
-
ไหงน้องฟ้าเปลี่ยนไป๋
งั้นเปลี่ยนจากเจ้าสาวเป็นเจ้าบ่าวล่ะกันนะ พี่ซัน คึคึ
-
ค้างๆๆๆๆตอนต่อไปๆๆ :katai1:
-
โอ๊ว ฝังใจตั้งแต่เด็ก ๆ จนป่านนี้ยังยึดมั่นคนเดิม
ว่าแต่ อีกคนเขาจะรู้ไหมเนี่ย คงต้องใช้ความ
พยายามอย่างสูงแล้วละ มารอลุ้นด้วยอีกคน
:katai5: :katai5:
-
เหยยย ชอบแนวนี้อะ :hao7: รออ่านต่อ
-
:laugh: ขำก๊ากเลย น้องฟ้าโตขึ้นมาเป็นเจ้าบ่าวป่ะ :hao6:
-
ขอบคุณคะ
-
น้องฟ้า กลายเป็นเจ้าบ่าว ซะแล้ว
รออ่านต่อจ้า :impress2:
-
กร๊ากกกก เป็นเรา เราก็ช๊อค รสนิยมเพื่อน โคตรแมน 5555
-
พี่รวีนั่นแหละ ที่จะต้องมาเป็นเจ้าสาวให้น้องฟ้า 555555
ชอบคู่รองอะ คงขโมยซีนคู่หลักไปเยอะ พี่เมฆากับน้องมีนา อิอิ
-
พลิกเลย
-
ความชอบไม่เข้าใครออกใครหรอกครัช หมี vs หมี :laugh5:
-
:L1: รอติดตามจ้า ลุ้นๆๆ
-
:hao6: :hao6: :hao6:
-
มาแปะแล้วจ้า ^^
........................
บทที่ 2
เวหามองชายหนุ่มลูกครึ่งตรงหน้าเขาอย่างสงสัย เขาคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน แต่มันก็เลือนลางมากจนจำอะไรไม่ได้นัก
"เอ่อ...คุณครับ...คือ เราเคยรู้จักกันหรือครับ"
คำถามถัดมาของเวหาทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
"น้องฟ้าจำพี่ไม่ได้เลยหรือครับ..."
เวหาชะงัก เขาพยายามนึกอีกรอบ แต่ก็ต้องสั่นศีรษะออกไปแทนคำตอบ
"จำไม่ได้เลยครับ ...เราเคยเจอกันตอนไหนหรือครับ"
สีหน้าของรวีสลดลงอีกจนเมฆานึกสงสาร ส่วนเวหาพอเห็นดังนั้น จึงได้ตัดสินใจเอ่ยออกไปบ้าง
"ขอโทษนะครับ ผมจำคุณไม่ได้จริง ๆแต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว คุณลองเล่าให้ผมฟังดีกว่า ว่าคุณชื่ออะไร แล้วเราเคยรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหนอ๊ะ! จริงสิ มานั่งคุยที่หน้าบ้านนี่ดีกว่าครับ ดีกว่ายืนคุยกันแบบนี้"
เวหาบอกตามมาอย่างนึกได้แล้วจึงเปิดประตูรั้วให้ทั้งคู่เข้ามาในบ้าน เพราะดูจากสายตาของรวียามพูดคุยกับเขา มันไม่น่าใช่สายตาของพวกมิจฉาชีพแต่อย่างใด
รวีกับเมฆาเดินตามเด็กหนุ่มทั้งสองไปยังบริเวณสวนหน้าบ้าน ที่นั่นมีศาลาไม้เล็ก ๆ ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดูร่มรื่นน่าพักผ่อนยิ่งนัก
"พี่เคยอยู่ข้างบ้านเก่าของน้องฟ้า ตอนนั้นน้องฟ้าเพิ่งจะ 3 ขวบ เราไปเล่นด้วยกันที่สนามเด็กเล่นข้างบ้านบ่อย ๆ พี่ชื่อพี่ซันยังไงล่ะครับ น้องฟ้าพอจะจำได้ไหม"
รวีเริ่มเล่าเรื่องของตนทันทีที่เขานั่งลง ทำให้เมฆาต้องลอบมองเพื่อนตาปริบ ๆ และพอหันมาทางเวหาก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าอึ้ง ๆ ปนลำบากใจอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด
"เอ่อ...เรื่องสมัยเด็กขนาดนั้น ผม..."
เวหาอึกอักไม่กล้าพูดออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะเพียงแค่นั้นรวีก็แลดูผิดหวังและเศร้าสลดเสียจน ทำให้เขารู้สึกผิดยิ่งขึ้นแล้ว
"อืม...ถ้าเป็นตอนนั้น ผมว่าผมคุ้น ๆ อยู่นะ"
เสียงพึมพำของน้องชายที่ดังขัดขึ้นมา ทำให้เวหาหันไปมองคนพูดอย่างประหลาดใจ เช่นเดียวกับเมฆาและรวี เพราะจะว่าไปเหตุการณ์ในช่วงนั้นอีกฝ่ายเองก็น่าจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป
"ผมเพิ่งช่วยแม่จัดอัลบั้มตอนพวกเราเล็ก ๆ ยังไงล่ะ แล้วผมจำได้ว่าตอนพี่ฟ้ายังเด็ก พี่ฟ้ามีรูปถ่ายกับเด็กฝรั่งคนหนึ่งอยู่สามสี่รูป ดูท่าทางสนิทกันมาก ...เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้แล้วกัน!"
มีนาบอกจบก็รีบวิ่งพรวดพราดเข้าบ้านไป โดยที่เวหายังไม่ทันได้พูดโต้ตอบอะไร และพอมีนาไปแล้วก็เหลือเพียงเวหาที่นั่งอ้ำอึ้งจ้องมองชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งคู่อยู่เพียงลำพัง
"เอ่อ...พอดีผมไม่ค่อยได้ดูอัลบั้มรูปมานานแล้ว ก็เลยจำไม่ค่อยได้น่ะครับ... แต่ถ้าใช่คนเดียวกันก็ดีนะครับ... ถ้าเราสนิทกันขนาดนั้น ผมก็อาจจะนึกออกขึ้นมาเองก็เป็นได้"
เวหาบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้กับคนมอง ทำให้รวีใจเต้นตึกตักแล้วรีบยิ้มตอบอย่างยินดี ส่วนเมฆาถึงกับชะงักเล็กน้อย เพราะเวลาที่เด็กหนุ่มยิ้มแล้วใบหน้าเข้ม ๆ นั่น กลับแลดูน่ารักสะดุดตาขึ้นมาอย่างน่าประหลาดเลยทีเดียว
"พี่คิดถึงน้องฟ้ามาตลอดตั้งแต่พี่ย้ายไปทีแรกพี่ก็อยากจะติดต่อกลับมาเมืองไทย แต่พอดีมีเรื่องที่นั่นนิดหน่อย ทำให้พี่ส่งจดหมายหรือแม้แต่จะโทรมาคุยกับน้องฟ้าก็ยังไม่ได้ ...และพอจะเริ่มทำได้ ก็พบว่าน้องฟ้าย้ายบ้านไปแล้ว นี่พี่ก็ลงทุนตามหาอยู่นาน จนในที่สุดก็ได้เจอกันแบบนี้สักทีนั่นล่ะครับ"
รวีเล่าเรื่องราวของเขาให้อีกฝ่ายฟัง โดยเลี่ยงปิดบังเฉพาะบางเรื่องที่ไม่อยากให้เด็กหนุ่มรู้ ส่วนเวหานั้นพอได้รับรู้ถึงว่าอีกฝ่ายนั้นพยายามจะติดต่อกับตนหลังจากย้ายไปอยู่เมืองนอกตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา ก็ทำให้เด็กหนุ่มยิ่งรู้สึกผิดที่ลืมรวีไปเลยเช่นนี้
"เอ่อ...ถึงแม้ว่าถ้าเกิดผมจำคุณไม่ได้จริง ๆ แต่ผมคิดว่าเราก็น่าจะกลับมาคบหาเป็นเพื่อนกันเหมือนเมื่อตอนเด็ก ๆ ได้อีก ...คุณคิดว่ายังไงล่ะครับ"
เวหาถามคนตรงหน้าอย่างเกรงใจ ทว่าพอได้ยินเช่นนั้นรวีก็เบิกตากว้างแล้วรีบยื่นมือของตนไปจับมือของเด็กหนุ่มมาเกาะกุมไว้แน่น พร้อมกับตอบรับด้วยสีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
"แน่นอนครับ! พี่ดีใจจริง ๆ ที่น้องฟ้าไม่รังเกียจพี่ และยินดีคบหากับพี่อีกครั้งแบบนี้!"
เวหาชะงักเล็กน้อยตั้งแต่ตอนที่ถูกจับมือ ทว่าน้ำเสียงและใบหน้าตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาไม่กล้าดึงมือกลับ แถมยังโล่งอกนิด ๆ ที่ทำให้คนตรงหน้ารู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
"พี่ฟ้า! เจอแล้วครับ นี่ไง น่าจะคนเดียวกันนะครับเนี่ย!"
เสียงของมีนาที่ดังขัดขึ้น ทำให้เวหาชะงักแล้วรีบดึงมือกลับมาจากมือของอีกฝ่าย เพราะกลัวจะถูกน้องชายมองด้วยสายตาแปลก ๆ เข้าให้ แต่พอมีนามาถึงเด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจท่าทางของแต่ละคนซึ่งอยู่ที่นั่น หากกลับกางอัลบั้มรูปเล่มใหญ่ในมือ แล้วชี้ที่รูปใบหนึ่งให้ทุกคนได้เห็น
"นี่ยังไงครับ ใช่รูปคุณหรือเปล่าครับ!"
มีนาเงยหน้าถามรวีพร้อมยิ้มกว้าง ซึ่งรวีก็พยักหน้าตอบรับพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ส่วนเวหาก้มมองที่รูปภาพสมัยเด็กของตนอย่างพิจารณา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ออกมา
"รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่ก็จำไม่ค่อยได้อยู่ดีล่ะครับเอ่อ...ขอโทษด้วยนะครับ"
รวีฝืนยิ้มน้อย ๆ ให้กับเด็กหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
"ไม่เป็นไรหรอกครับ...ก็ในเมื่อน้องฟ้าให้โอกาสกับพี่อีกครั้งในการคบหากันแล้วนี่ครับ ถึงน้องฟ้าจะจำเรื่องสมัยเด็กไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร...ยังไงเราก็มาเริ่มต้นสานสัมพันธ์กันใหม่ก็แล้วกันนะครับ"
เวหาฝืนยิ้มรับตอบ แม้จะรู้สึกทะแม่ง ๆ และแปลกใจ ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงยึดติดกับเขาถึงเพียงนี้ ทว่าสักพักรวีก็ตั้งคำถามบางอย่างขึ้นตามมา และคำถามนั้นก็ทำให้คนฟังและคนข้างกายถึงกับมองคนถามเป็นตาเดียว
"เอ่อ...ขอโทษนะครับ ถ้าจะเป็นการละลาบละล้วงกันเกินไป...แบบว่าตอนนี้น้องฟ้ามีแฟนหรือยังครับ"
เวหาขมวดคิ้วนิด ๆ กับคำถามนั้น เช่นเดียวกับมีนาที่ชักเริ่มเอะใจต่อพฤติกรรมของอีกฝ่าย ส่วนเมฆาลอบถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทตัดสินใจเล่นลูกตรงไม่อ้อมค้อมเสียขนาดนี้
"ก็ยังไม่ได้คบใครหรอกครับ ตั้งใจจะรอให้เรียนจบเสียก่อน แล้วค่อยหาแฟน..."
เวหาตอบไปตามตรงแม้จะประหลาดใจกับคำถามของอีกฝ่ายนักก็ตาม ส่วนรวีนั้นถอนหายใจแผ่วเบาอย่างโล่งอก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ตามมา
"ดีจังครับ ถึงน้องฟ้าจะจำพี่ไม่ได้ แต่ก็ยังคงโตมาอย่างรักษาสัญญาของเราเป็นอย่างดีเลยนะครับ พี่ดีใจจริง ๆ"
"สัญญา?"
เวหาทวนคำอย่างงุนงง ซึ่งรวีก็ยิ้มหวานตอบรับ ทว่ายังไม่ได้ทันพูดอธิบายอะไรออกไป เมฆาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็กระแอมขัดขึ้นมาเบา ๆ พลางชะโงกหน้าเข้ามากระซิบแย้งเพื่อนสนิทของตนเสียก่อน
"เฮ้...เอาจริงหรือวะซัน น้องเขาจำอะไรไม่ได้แบบนี้ เขาคงไม่ตกลงรับปากกับนายอีกรอบง่าย ๆ เหมือนตอนเด็กหรอกน่า"
พอได้ยินดังนั้นรวีก็ขมวดคิ้วยุ่ง เจ้าตัวหันขวับไปจ้องเพื่อนสนิทตาเขม็งก่อนจะตะคอกแย้งกลับไปลั่นอย่างลืมตัว
"หนวกหูน่า!รู้ไหมว่าฉันเฝ้ารอวันนี้มานานขนาดไหน ฉันอุตส่าห์สู้ฝ่าฟันต่ออุปสรรครายใหญ่อย่างพ่อของฉันมาได้จนสำเร็จ ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับน้องฟ้าเมื่อก่อนนั้นให้ได้!"
เวหากะพริบตาปริบ ๆ เมื่อได้ยินชื่อของตนอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่ และเมื่อรวีหันขวับมาสบตากับเขา เวหาก็ถึงกับสะดุ้งนิด ๆ อย่างตกใจ
"น้องฟ้าครับ...ก่อนที่พี่จะไปเมืองนอก พี่กับน้องฟ้าเคยให้คำมั่นสัญญาที่แสนสำคัญต่อกันไว้ ถึงแม้ตอนนี้น้องฟ้าจะจำมันไม่ได้แต่พี่ก็ยังคงจดจำสัญญาของเราสองคนได้เป็นอย่างดีและวันนี้ที่พี่กลับมาเมืองไทย ก็เพื่อตั้งใจจะทำสัญญาในวัยเด็กของเราให้เป็นจริงสักที"
รวีบอกแล้วก็ลุกขึ้น ก้าวเดินไปยืนหยุดอยู่เบื้องหน้าของเวหา แล้วจึงค่อย ๆ คุกเข่าลงพร้อมกับจับมือของอีกฝ่ายมาเกาะกุมเอาไว้ ก่อนจะยกมือข้างนั้นขึ้นจูบแผ่วเบา โดยไม่สนใจสีหน้าและแววตาตกตะลึงของคนอื่นเลยสักนิด
"และคำสัญญาที่แสนสำคัญของพวกเราก็คือ...ระหว่างอยู่ที่นี่ น้องฟ้าจะรอแต่พี่คนเดียวไม่ยอมมีใครอื่น จนกระทั่งถึงวันที่พี่กลับมาเมืองไทยอีกครั้งและเมื่อวันนั้นมาถึง พี่ก็จะมารับน้องฟ้าในฐานะว่าที่เจ้าสาวที่น่ารักของพี่ แล้วเราสองคนก็จะแต่งงานกันยังไงล่ะครับ...ถึงน้องฟ้าจะจำไม่ได้ แต่สัญญาก็ยังคงเป็นสัญญานะครับ...สุดที่รักของพี่ซัน"
ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มหวานมีเสน่ห์ หากแต่นัยน์ตาสีเขียวคู่สวยนั้นกลับส่องประกายวาววับคมกริบชนิดที่ไม่คิดจะยอมให้ฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธ ทางด้านมีนากลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเหลือบมองพี่ชายที่บัดนี้ยังคงยืนนิ่งอึ้งตกตะลึงไม่หาย ซึ่งแม้มีนาจะไม่รู้ว่าพี่ชายนั้นคิดอย่างไร แต่อย่างเดียวที่เขาพอจะแน่ใจได้ก็คือ อีกฝ่ายนั้นคงไม่ใช่กำลังรู้สึกยินดีที่จะได้เป็นเจ้าสาวของรวีเป็นแน่ล่ะนะ!
:L1:
Talk:
จริง ๆ แล้ว น้องฟ้าของนายซัน เป็นหนุ่มน้อยน่ารักอ่อนโยนนะตัวเอง แต่ที่หุ่นนักกีฬาแบบนี้เพราะมีประวัติ...อ่านในตอนถัด ๆ ไปได้ ...ทีแรกปัดก็ตั้งใจจะให้สลับขั้วนะคะ แต่เขียนไปเขียนมา สงสารพี่ซัน เลยยอม ๆ หยวนให้ ทั้งที่ถ้าเอาจริง ๆ น้องฟ้าเอ่ยปากขอเป็นคนกด พี่แกก็ต้องยอมแน่ เพราะออกจะรักจะหลงปานนี้ 555
-
สู้ๆนะพี่ซัน :a2:
-
:laugh: สงสารพี่ซันด้วยคน
-
คนอื่นอาจจะเชียร์ให้พลิกแต่เราไม่
เพราะแบบนี้มันโดนใจจอร์จมาก
นายรวีดูแอบโรคจิตนิดๆ ส่วนน้องฟ้าก็ยังได้กลิ่นอายความน่ารักอยู่
ท่าทางจะเป็นเด็กหนุ่มอ่อนโยนตามที่คนเขียนบอก แล้วยิ่งหุ่นแมนๆ ด้วยแบบนี้ เราชอบมาก
-
พี่ซันเนี่ยเป็นผู้ชายในอุดมคติของใครหลายคน
นะเนี่ยรักเดียวใจเดียวมั่นคงไม่วอกแวกเลย
:laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
รับรักพี่ซันเลยน้องฟ้าน้องจะหาดีอย่างนี้ไม่ได้แล้วน้าา
ช้าเดียวก็อด มคปด.นะ
-
กล้ามชนกล้าม แอร้ย....
-
เอิ่มมมมมมม พี่ซันจะไม่ให้เวลน้องฟ้าได้ตั้งตัวก่อนหนอ?
ตอนนี้น้องคงช็อคไปแล้ว
รอดูน้องฟ้าจะว่าไง
-
โอเค น้องฟ้ากลับมาเป็นเจ้าสาวเหมือนเดิม ไม่พลิก
ก็ดีแล้ว เพราะสงสารพี่ซันอยู่เหมือนกัน พี่เค้าดูมุ่งมั่นตั้งใจเอาไว้มาก
ถ้าเกิดอาการผิดหวังคงจะเสียใจแบบเสียคนเลยละมั้ง
ต่อจากนี้ ก็ต้องหาวิธีพิชิตใจน้องฟ้าให้ได้ละนะ สู้ๆ
-
ทำน้องช็อคไปซะแล้วพี่ซัน o22
ต่อจากนี้ก็งัดกลยุทธ์ออกมาใช้พิชิตใจน้องฟ้าละกันนะ :laugh:
-
:m20: :m20: :m20:
-
ติดตามเรื่องใหม่ค่ะ :)
-
:katai2-1: ชอบเคะแมนๆ ล่ำๆ อิอิ :hao6:
-
5555555 น่องฟ้าช๊อคไปแล้วเรียลร้อยยย รู้สึกสงสารน้องยังไงไม่รู้ พี่ซันนี่ทำตามหัวใจมากก
-
กร๊ากกก ฟ้า ไหวไหม อึ้งดิอึ้ง 5555 อย่าสลับเลยค่าาา พี่แกอุตส่าห์ฟ่าฝัน เพื่อรับเจ้าสาวเชียวนะ ทำร้ายพี่แกลงหรอ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
ติดตามจ้า
-
พี่ซันตอนนั้น
:oni3:
ส่วนน้องฟ้าตอนนี้
:m32:
ขอเวลาทำใจก่อน
-
นี่คือการกระทำตัวของคนอายุ ๒๗ เหรอ ???
มันตลกไปมั้ยอ่า
-
มาต่อแล้วค่ะ ถึงเรื่องนี้ตัวเอกจะเกี่ยวพันกับมาเฟีย แต่อย่าได้หวังหาความสมจริง โหด ต่อสู้ บู๊ล้างผลาญในเรื่องนี้เลยค่ะ
อย่างที่บอกไว้แต่แรก เรื่องนี้เขียนคั่นเวลา เน้นสบาย ๆ ง่าย ๆ ไร้พล็อตซับซ้อน อ่านเอายิ้ม ไม่ซีเรียส จริงจังค่ะ ใครที่ชอบอ่านหรืออยากอ่านอะไรเพลิน ๆ ก็เชิญอ่านกันได้เรื่อย ๆ เลยนะคะ
p.s. ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แต่งอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรือบู๊ล้างผลาญเลยค่ะ(ปกติก็ไม่ได้แต่งบ่อยอยู่แล้ว) เสพติดแต่ความหวานเลี่ยน + ไร้สาระอย่างเดียวเลย ใครรออ่านอะไรเข้ม ๆ หน่อย ก็คงต้องรอไปก่อนนะคะ แหะ ๆ ขออภัยเอาไว้ด้วยค่ะ
บทที่ 3
ทางด้านเวหาหลังจากนิ่งอึ้งตกตะลึงไปอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มก็พยายามรวบรวมสติให้มั่นคง แล้วดึงมือของตนที่รวีจับไว้อยู่กลับมา ก่อนจะเอ่ยตอบไปด้วยสีหน้าที่ยังคงมึนงงสับสนอยู่ให้เห็น
"เอ่อ...ผมว่า เรื่องนี้ผมคงตกปากรับคำคุณไม่ได้หรอกครับ...คือ...ผมยังไม่อยากคิดเรื่องแต่งงานในตอนนี้"
มีนาและเมฆาเหลือบมองคนพูดตาปริบ ๆ สำหรับมีนาแล้ว เด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่า พี่ชายคงกำลังตกใจจนคิดหาคำพูดอื่นมาปฏิเสธออกไปตรง ๆ เลยไม่ได้
ส่วนเมฆาพอได้ยินคำตอบของเวหา เขาก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะเชื่อว่าเพื่อนสนิทคงต้องคิดเข้าข้างตัวเองว่า ตนไม่ได้ถูกเด็กหนุ่มปฏิเสธเป็นแน่
"หรือครับ...ไม่เป็นไรครับ งั้นเราก็หมั้นกันไว้ก่อนก็ได้พี่รอน้องฟ้าได้เสมอ...สิบห้าปีก็ยังรอมาได้แล้วเลยนี่ครับ"
ท้ายประโยคเจ้าตัวยิ้มหวานทั้งใบหน้าและนัยน์ตา ชวนให้คนมองชะงักเพราะพอจะดูออกว่าชายหนุ่มนั้นพูดจากใจจริง จึงทำให้ยากที่จะเอ่ยสวนปฏิเสธแย้งกลับไปตรง ๆ อันจะเป็นการทำลายน้ำใจของอีกฝ่ายไปนัก
"เอ่อ...คือ...ผม..."
พอเห็นเวหาอึกอักลำบากใจ มีนาจึงตัดสินใจช่วยพี่ชาย โดยการมายืนขวางหน้าเวหา แล้วพูดกับคนที่กำลังเผชิญหน้าแทน
"ขอโทษที่ต้องเสียมารยาทขัดการสนทนานะครับ...แต่พี่ชายของผมปกติดี เอิ่ม...ผมหมายถึงว่าเขาชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายน่ะ"
รวีเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตอบสวนกลับไปพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ
"พี่เองก็ชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเหมือนกันครับ แต่ชอบน้องฟ้ามากที่สุดเพราะฉะนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรสำหรับความรักระหว่างพี่แล้วก็น้องฟ้า...น้องมีนว่าจริงไหมล่ะครับ"
เจอแบบนี้มีนาก็แอบอึ้งไปเล็กน้อย ส่วนเมฆาถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอาต่อนิสัยเสีย ๆ ของเพื่อนสนิทที่มักชอบคิดเข้าข้างตัวเอง และไม่สนความลำบากใจของคนอื่นเช่นนี้
"ตะ...แต่ว่าพี่ชายของผมไม่ได้ชอบคุณนี่ครับ! เขาจำคุณยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าอย่างนั้นเรื่องหมั้นหมาย แต่งงานอะไรนั่น ก็ต้องถือเป็นโมฆะไปสิครับ จริงไหม!"
มีนาเถียงกลับ ซึ่งก็ทำให้รวีชะงักนิ่ง ส่วนเมฆากลืนน้ำลายลงคอ เพราะถึงเพื่อนจะยังดูนิ่งเฉย และยังมีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับบนใบหน้าหล่อเหลานั่น แต่คนที่สนิทกันก็พอจะมองออกว่า รอยยิ้มเช่นนั้นมันบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังไม่สบอารมณ์อยู่มากทีเดียว
"เอ่อ...ซัน น้องเขาก็พูดไปตามเรื่องจริงนี่นา..."
เมฆาบอกกับเพื่อนของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็หันมายิ้มเย็นยะเยือกส่งให้ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง
"พี่เข้าใจเรื่องนั้นดีครับ...แต่พี่ก็อยากให้น้องมีนช่วยเข้าใจความรู้สึกของพี่ด้วย...พี่มั่นคงและจริงจังต่อคำสัญญาระหว่างพี่กับน้องฟ้ามาตลอดแล้วจู่ ๆ น้องมีนจะมาบอกว่าให้พี่ยกเลิกและทิ้งทุกอย่างที่พี่คาดหวังและฝันเอาไว้ เพียงเพราะพี่ชายของน้องลืมพี่แล้ว ...น้องมีนว่ามันจะดูใจร้ายกับพี่ไปไหมครับ"
มีนาชะงักพลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เพราะแม้อีกฝ่ายจะยิ้มแย้มและพูดจาคล้ายจะชวนให้น่าสงสาร แต่มันก็ช่างแสนจะกดดันกันเสียจนเหมือนว่าเขากำลังจะถูกอีกฝ่ายเล่นงานเอาเสียอย่างนั้น
"น้องฟ้าครับ...น้องฟ้าอยากให้พี่ยกเลิกสัญญาระหว่างเราและจากไปจริง ๆ หรือครับ...น้องฟ้ารังเกียจพี่มากขนาดนั้นเลยหรือครับ"
รวีหันมาสบตากับเวหาแทน พลางออดอ้อนด้วยน้ำเสียงและแววตาน่าสงสารผิดเป็นคนละคนก่อนหน้านั้น จนมีนาที่มองอยู่ถึงกับต้องกะพริบตาปริบ ๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนท่าทางได้ไวขนาดนี้
"คือ...ผมก็ไม่ได้ถึงกับรังเกียจ...แต่ว่า..."
"ถ้าน้องฟ้าไม่รังเกียจพี่ น้องฟ้าจะให้โอกาสกับพี่อีกสักครั้งได้ไหมครับ"
รวีรีบแทรกขัดขึ้นมา ทำเอาเวหาชะงัก ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินผ่านร่างเล็กของน้องชาย ตรงเข้ามาเผชิญหน้ากับตน
"นะครับ...ให้โอกาสกับพี่ ให้พี่จีบน้องฟ้าอีกครั้งและถ้าน้องฟ้ายังยืนกรานรับรักพี่ไม่ได้อีก...พี่ก็จะขอไปจากชีวิตของน้องฟ้าเอง...นะครับ"
เวหาจ้องมองคนที่อ้อนวอนขอร้องตนอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยความลำบากใจและนึกสงสารอีกฝ่าย เขาจึงตัดสินใจตอบในบางสิ่งที่ทำให้คนฟังแต่ละคนนิ่งอึ้ง ตกตะลึงกันไปคนละแบบ
"ก็ได้ครับ...แต่ถ้าผมยังคงรู้สึกกับคุณแบบนั้นไม่ได้คุณก็ต้องตัดใจจากผมในแง่นั้นให้ได้นะครับ"
"พี่ฟ้า! ไปรับปากเขาแบบนั้นได้ไง!"
มีนาโวยวายขึ้นแต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อรวีหันหลังกลับมายิ้มเย็นแล้วจับบ่าอีกฝ่ายบีบเบา ๆ
"น้องมีนครับ...ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่เป็นคนรักษาสัญญา และพูดคำไหนคำนั้นเสมอ ถ้าพี่ชายของน้องมีนไม่สนพี่จริง ๆ พี่ก็จะตัดใจให้ได้ครับ"
บอกจบเจ้าตัวก็ปล่อยบ่าอีกฝ่าย แล้วหันมายิ้มหวานให้กับเวหาที่มองอยู่อย่างวิตก แต่พอเด็กหนุ่มได้ยินคำพูดและเห็นรอยยิ้มของรวี ก็ทำให้เขาเผลอยิ้มน้อย ๆ ตอบอย่างโล่งอก ทำเอารวีนั้นยิ่งยิ้มกว้างด้วยความดีใจยกใหญ่ ส่วนมีนานั้นพูดอะไรไม่ออก เพราะสายตาที่รวีใช้กับเขาเมื่อครู่ มันแสนจะประกาศออกมาให้เห็นชัดเจนว่า ขืนเขาเข้ามาขวางคงได้เจอดีบางอย่างเป็นแน่
"อืม...ยังไงวันนี้พี่คงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับจะไปจัดเตรียมอะไรบางอย่างสักหน่อย ไว้ถ้าเรียบร้อยแล้ว พี่จะกลับมาหาน้องฟ้าอีกครั้งนะครับ"
จู่ๆ รวีก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้จากนั้นจึงขอตัวกลับ ทำเอาเมฆาหันขวับมามองเพื่อนอย่างประหลาดใจ ส่วนมีนาและเวหานั้นค่อนข้างโล่งอกที่ชายหนุ่มกลับไปได้เช่นนี้
"ไปนะครับ แล้วเจอกัน"
รวีบอกพร้อมส่งยิ้มหวานให้กับเวหา ก่อนจะหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับมีนา แล้วเดินจากไป ส่วนเมฆานั้นเอ่ยลาเด็กหนุ่มทั้งคู่เช่นกัน แล้วจ้ำพรวดตามเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะไม่คิดอยู่รอหากเขาตามไปไม่ทัน
หลังจากชายหนุ่มทั้งสองกลับขึ้นรถคันหรูขับจากไปแล้ว มีนาก็หันขวับมาเล่นงานพี่ชายของตนทันที
"ทำไมพี่ไปเปิดโอกาสให้เขาง่าย ๆ แบบนั้น หมอนั่นมองตาก็รู้แล้วว่าเป็นพวกไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แน่ พี่อยากจะกลายเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกันนักหรือไง พี่ฟ้า!"
เวหามองน้องชายที่ต่อว่าเขาตาปริบ ๆ แล้วจึงแย้งกลับไปบ้าง
"ก็พี่สงสารเขานี่นา เขาอุตส่าห์รักษาสัญญามาตลอดแบบนั้นแท้ ๆ"
มีนาจ้องมองพี่ชายที่แสนจะใจดีอ่อนโยนของตน แล้วถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่
"พี่ฟ้าก็อย่างนี้เสมอล่ะ ใจดี ใจอ่อน ขี้สงสาร...แต่งานนี้อย่ามัวแต่ไปสงสารหมอนั่นมากเกินไปนักล่ะ เดี๋ยวก็เสียท่าได้เป็นเจ้าสาวชาวบ้านเขาให้หรอก!"
เวหาฟังแล้วก็นึกขำ ก่อนจะแสร้งทำเป็นพึมพำกับตนเอง
"เจ้าสาวหรือ...ก็ดีไม่ใช่หรือ เป็นเจ้าสาวน่ะ"
"พี่ฟ้า!"
มีนาโพล่งเสียงดัง ทำให้คนที่แกล้งพูดเล่น ต้องรีบง้อน้องชายยกใหญ่
"พี่ล้อเล่นน่า ...มีนอย่าคิดมากสิ พี่ก็ยังไม่อยากไปเป็นเจ้าสาวใครเขาในตอนนี้หรอก อ๊ะ! ว่าแต่วันนี้มีขนมอะไรกินมั่งน่ะ พี่ได้กลิ่นใบเตยหอมจากครัวตอนลงมาจากห้องด้วยนี่"
มีนาขมวดคิ้วนิด ๆ เมื่อคนที่กำลังง้อเขา จู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นคุยเรื่องของกินแทนเสียงอย่างนั้น
"มีนทำสังขยาใบเตยไว้ให้น่ะ ถ้าพี่จะกินเลย เดี๋ยวจะไปอุ่นขนมปังให้นะ"
พอได้ยินดังนั้น คนตัวสูงกว่าก็กอดน้องชายของตนอย่างประจบทันที
"รักมีนที่สุดเลย"
"เหอะ...จะรักตอนที่เรามีขนมให้แค่นั้นละสิ"
"ไม่หรอกน่า มีนเป็นน้องชายที่พี่รักมากที่สุดเลยล่ะ"
มีนาอมยิ้มกับตนเอง นอกจากเขาและครอบครัวแล้ว คงไม่มีใครที่จะมีโอกาสได้เห็นเวหาในด้านน่ารัก ๆ แบบนี้เป็นแน่ เพราะด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาล่ำแมนเช่นนี้ คงไม่มีใครที่จะคิดว่า เวหานั้นเป็นคนที่แสนจะโปรดปรานขนมหวานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมไทยหรือต่างประเทศก็ตาม
"ฮึ! ถ้าคนอื่นเอาขนมมาล่อบ้าง หวังว่าคงไม่ไปพูดกับเขาแบบเดียวที่พูดกับมีนหรอกนะ"
เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นพูดประชด ทำให้เวหาหัวเราะเบา ๆ แล้วขยี้ศีรษะน้องชายอย่างเอ็นดู
"ไม่หรอกน่า คงไม่มีใครเขาเอาขนมมาล่อพี่กันหรอก...อีกอย่างพี่ก็ใช่ว่าจะเที่ยวรับของกินคนอื่นเขาพร่ำเพรื่อสักหน่อย"
มีนาถอนหายใจเบา ๆ กับคำพูดของอีกฝ่าย แต่ก็อดไว้วางใจไม่ได้อยู่ดี เพราะดูจากนิสัยของรวีที่เพิ่งได้เจอกันแล้ว ก็ออกจะเข้าข่ายพวกช่างตื๊ออยู่ไม่น้อยและหากอีกฝ่ายจับจุดอ่อนของพี่ชายเขาได้ก็จะยิ่งอันตรายต่อสวัสดิภาพความเป็นโสดของพี่เขาเป็นยิ่งนัก
อีกด้านหนึ่งภายในรถยนต์คันหรูที่กำลังแล่นกลับกรุงเทพฯ เมฆานั้นเหลือบมองเพื่อนสนิทที่ฮัมเพลงระหว่างขับรถด้วยสายตาประหลาดใจปนสงสัยที่เห็นอีกฝ่ายนั้นยอมล่าถอยออกมาง่ายไปสักหน่อยผิดจากอุปนิสัยที่เจ้าตัวเป็น
"ฉันนึกว่านายจะตื๊อขออยู่จีบน้องเขานานกว่านี้เสียอีก"
เมฆาเอ่ยปากถามออกมาในที่สุด ซึ่งก็ทำให้คนฟังหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พร้อมกับตอบคำถามโดยที่ยังคงมองเส้นทางเบื้องหน้าอยู่ตามเดิม
"ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวน้องฟ้าก็เปลี่ยนใจพอดี ยิ่งน้องชายของเขาคอยกันท่าแบบนั้น ถ้าฉันตื๊อเข้าไปตอนนี้ ยิ่งจะภาพลักษณ์ติดลบเข้าไปใหญ่...เพราะฉะนั้นฉันต้องถอยออกมาตั้งหลัก แล้วศึกษาข้อมูลของอีกฝ่ายให้ทะลุปรุโปร่งก่อน ถึงจะเริ่มต้นแผนการจีบน้องฟ้าอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง"
เมฆามองเพื่อนสนิทตาปริบ ๆ เขานึกสงสารพี่น้องคู่นั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะดูแล้วเพื่อนสนิทของเขา คงไม่มีวันปล่อยให้เวหาต้องหลุดมือของเจ้าตัวไปได้เป็นแน่
"แต่น้องฟ้าของนายเขาก็น่ารักดีนะ ทีแรกฉันเห็นหุ่นออกจะเท่ล่ำแบบนักกีฬาแบบนั้น ก็นึกว่านายจะโดนน้องเขาต่อยปากแตกตั้งแต่ไปสารภาพรักทีแรกเสียแล้ว...ที่ไหนได้กลับกลายเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย แถมยังใจดียอมให้โอกาสนายอีก...เฮ้ย!"
คนกำลังพูดตะโกนเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ รถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่ก็เบรกกะทันหัน เคราะห์ดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ จึงไม่ทำเอาหัวเขาเกือบทิ่มจิ้มกระจกอย่างที่ควรเป็น
"อะไรของนายวะซัน! ง่า...ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะเพื่อน..."
เมฆาที่หันมาเตรียมตวาดเพื่อนด้วยความโมโหถึงกับชะงัก เมื่อเห็นสายตาคมกริบและใบหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายที่จ้องมองตนมาเขม็ง
"น้องฟ้าเป็นของฉัน...หวังว่าคงจะจำได้นะเมฆ"
"หา...ก็รู้อยู่แล้วไง...หือ...อย่าบอกนะว่านายคิดว่าฉันจะจีบน้องเขาเหมือนกันเฮ้ย! ฉันถือคติว่า ต่อให้ถูกใจยังไง ก็ไม่คิดแย่งของรักของเพื่อน นายก็รู้นี่นา!"
เมฆารีบแย้ง ทำให้รวีทำปากสบถอุบอิบ ก่อนจะเอ่ยเสียงห้วน พร้อมกับกระชากรถขับออกไปอีกครั้ง
"งั้นก็แล้วไป เห็นพูดชมน้องฟ้าของฉันก็นึกว่านายจะหลงเสน่ห์ของเขาด้วย...จำไว้นะเมฆ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทยังไง ถ้าเกิดล้ำเส้นมายุ่งกับของรักของฉัน ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ!"
"เหอะ ๆ รู้แล้วน่า ไม่ยุ่งด้วยหรอก...คนอะไรขี้หึงเกินเหตุ ชมก็ไม่ได้ นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นแฟนกันแท้ ๆ นะนั่น"
เมฆาบ่นพึมพำ เรียกเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้จากคนขับให้ดังขึ้น
"เหอะ! ถ้าเป็นกับคนอื่นฉันก็ไม่ใส่ใจนักหรอก...แต่สำหรับน้องฟ้าแล้วมันต่างออกไป...ครั้งแรกที่ฉันพบเขา ฉันก็คิดเลยว่า เด็กคนนี้ล่ะ คือคู่แท้ของฉัน เป็นคนที่ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตน่ะ"
เมื่อเอ่ยถึงคนที่ตนตกหลุมรัก ใบหน้าของรวีก็มีรอยยิ้มเคลิ้มฝันให้ได้เห็น ทำให้เมฆาต้องลอบถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยตามมา
"ก็หวังว่าน้องเขาจะรับรู้ได้ถึงความรักร้อนแรงตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมาของนายล่ะนะ"
"ต้องรับรู้ได้อยู่แล้ว! เพราะน้องฟ้าที่ฉันหลงรัก เขาแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เด็กเลยนี่นะ เคยน่ารักยังไงก็ยังน่ารักอย่างนั้นมาตลอด"
เมฆาชะงักแล้วหันไปมองคนพูดตาปริบ ๆ ซึ่งสังเกตจากสีหน้าและแววตาแล้ว ดูเหมือนว่ารวีนั้นจะไม่ได้พูดประชดอะไรแต่อย่างใด
"อืม...แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยสินะ"
แม้จะพอยอมรับว่า พอเวลายิ้มเวหานั้นแลดูน่ารักมากอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังห่างไกลกับตอนเป็นเด็กตุ้ยนุ้ยวัยสามขวบในรูปอยู่มาก จะว่าไปมีนาที่เป็นน้องชายยังคล้ายกับอีกฝ่ายตอนเด็กเสียกว่าด้วยซ้ำ
"ทำเสียงแบบนั้นหมายความว่าไง...เหอะ! จริงอยู่ถึงรูปร่างน้องฟ้าเขาจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ความน่ารักของเขาไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ไม่เชื่อก็ดูสิ"
รวีที่ฟังน้ำเสียงของเพื่อนแล้วก็พอจะคาดเดาความคิดอีกฝ่ายออก จัดแจงล้วงกระเป๋าเงินในกางเกงส่งให้เพื่อนสนิท ซึ่งเมฆาก็รับมาอย่างงุนงงแต่พอเปิดออกดูเขาก็ได้เห็นภาพของเวหาที่ดูเหมือนกับจะเป็นรูปแอบถ่ายเมื่อเร็ว ๆ นี้ในรูปนั้นเด็กหนุ่มกำลังแย้มยิ้มให้กับมีนาที่อยู่ข้าง ๆ เป็นรอยยิ้มที่น่ารักสะดุดตาเหมือนตอนที่เขาได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มครั้งแรกไม่มีผิด
"น่ารักใช่ไหม...ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่น่ารัก ความหัวอ่อนไร้เดียงสา... น้องฟ้าของฉันก็ยังคงเป็นเหมือนกับภาพความทรงจำเมื่อก่อนของฉันไม่เปลี่ยนแปลง...เพราะฉะนั้นฉันเชื่อว่า เขากับฉันต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน!"
รวีเอ่ยอย่างเชื่อมั่น ทำให้เมฆาลอบถอนหายใจก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกเอาใจช่วยเพื่อนของตนอยู่บ้างเช่นกัน
"เออ! จริงสิเมฆ แล้วนายจะอยู่เมืองไทยอีกนานไหม จะกลับอเมริกาเลยหรือเปล่าล่ะ ถ้ากลับเลยฉันจะได้ขับรถไปส่งที่สนามบินให้"
คำถามถัดมาทำให้คนกำลังอมยิ้มสะดุ้งโหยง ก่อนจะย้อนตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด
"อะไรกันวะ! พอเจอว่าที่เจ้าสาวก็จะไล่เพื่อนกลับเลยหรือไง!"
รวียักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบหน้าตาเฉย
"ฉันกลัวนายเสียการเสียงานต่างหาก"
"งั้นไม่ต้องกลัวฉันเสียการเสียงานอะไรนั่นหรอก ฉันเคลียร์งานและขอลาพักร้อนกับพ่อฉันมาเที่ยวพร้อมนายเรียบร้อย อย่างน้อยก็อยู่เกาะติดนายได้อีกเป็นเดือนนั่นล่ะ!"
เมฆาตอบกึ่งประชด ทำเอารวีบ่นอุบอิบเบา ๆ หากแต่สักพักเจ้าตัวก็ยื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับเพื่อนของเขา
"ถ้านายจะคอยเกาะติดฉันตลอดอย่างที่ว่า นายก็ต้องช่วยฉันกันท่าน้องมีนออกไปเวลาที่ฉันจีบน้องฟ้า โอเคไหม!"
เมฆาเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะนิ่งคิดถึงใบหน้าหวาน ๆ และรอยยิ้มร่าเริงของมีนา จากนั้นชายหนุ่มก็หลุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะพยักหน้าตอบรับตามมา
"ก็ได้...ฉันจะคอยจัดการเรื่องน้องมีนเอง ปล่อยเป็นหน้าที่ของฉันได้เลย"
รวีเหลือบมองสีหน้าของเพื่อนสนิท ก่อนจะหันกลับไปมองเส้นทางถนนเบื้องหน้า แล้วจึงมีรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์แทบจะไม่แตกต่างกับอีกฝ่ายนัก
"ดี! แบบนี้ก็ค่อยอยู่กันได้ยืดหน่อยแล้วอย่าได้เข้ามาเฉียดหรือใกล้ชิดพูดคุยกับน้องฟ้าของฉันเกินจำเป็นด้วยล่ะ"
รวีกำชับตามมาทำให้คนฟังถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง
"เหอะ! เพื่อนเวร เห็นแฟนดีกว่าเพื่อนนี่หว่า"
เมฆาสบถกับตนเอง แต่ก็ทำให้คนข้าง ๆ ที่ได้ยินนั้นหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม
"ก็แหงล่ะ! เพื่อนน่ะหาตอนไหนก็หาได้ แต่คนที่เราถูกใจมันหาไม่ได้บ่อย ๆ นี่นา"
"เขามีแต่สลับกันไม่ใช่หรือ"
เมฆาแย้ง แต่รวีนั้นยักไหล่นิด ๆ
"สำหรับฉันถือคติแบบนี้ล่ะนะ"
คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
"เออ...ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มาถูกใจคบนายเป็นเพื่อนล่ะนะ"
"เอาน่า...ในบรรดาเพื่อนฉันที่คบมา นายก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนั่นล่ะ"
รวีบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งขำซึ่งก็ทำให้คนฟังต้องยักไหล่นิด ๆ อย่างเอือมระอา ก่อนที่คนขับจะหันมาสนใจกับการขับรถต่อไปอย่างไม่เร่งรีบอะไรนักส่วนคนนั่งข้าง ๆ ก็นั่งมองวิวไปเงียบ ๆ เช่นเดียวกัน
:L1:
-
5555 สมเป็นเพื่อนกันจริงๆ ฟ้ากะมีนระวังตัวน้าาา
ทำตัวน่ารักทั้งคู่เลยหุหุ
-
น้องฟ้าน่ารักมาก ยอมให้พี่เค้าจีบ
ส่วนน้องมีน ไม่ต้องมาขวางทางรักของพี่ชายเลยนะ เพราะเดี๋ยวจะโดนพี่เมฆามาจัดการ :hao6:
-
สองเสือจะกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆมั๊ยน๊าาา
ต้องคอยดู ฮ่าๆๆ
-
:man1:
อยากเห็นวิธีจีบจังเลย รอ ๆ ๆ นะ
-
จะจีบกันแบบไหนนะ ลุ้นๆ
-
น่ารักดีจัง
-
น้องมีนหวงพี่ซะด้วย
น้องฟ้าก็เหมือนจะตามใจน้องอีก
เอาใจช่วยพี่ซันล่ะกัน
-
เมฆากับมีนาน่าสนนะ :katai2-1:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
นีองฟ้านี่ช่างสุภาพเรียบร้อยจริงๆ น้องมีนเองก้อห่่วงพี่ชายสุดๆ
-
เอิ่ม น้องฟ้าน่าจะต้องตกหลุมรวีเป็นแน่แท้
-
น่าจะฮา
-
เอ่อ รวีเป็นคนแปลกอ่ะ 55 ตลกดี
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า
-
น่าสนใจมากเรื่องนี้ ติดตามๆ
-
บทที่ 4
พอกลับมาถึงที่พักรวีก็เรียกนักสืบให้ไปตามสืบเกี่ยวกับเวหาและครอบครัวรวมไปถึงคนรอบตัวของเด็กหนุ่มเพิ่มเติมและระหว่างนั้นชายหนุ่มก็ใช้เวลานั่งคิดแผนการที่จะสานสัมพันธ์ของเขากับอีกฝ่ายไปพลาง ๆ อย่างไม่รีบร้อนนักจนกระทั่งข้อมูลทั้งหมดถูกนำมาส่งให้รวีในอีกสองวันถัดมา
"เจ้าสาวของฉัน...เติบโตมาเป็นเด็กดี ไร้ประวัติเสื่อมเสียอย่างที่คาดคิดไว้จริง ๆ"
รวีพึมพำอย่างมีความสุข สีหน้าระบายยิ้มนั้นทำให้เมฆาที่มองอยู่ แค่นหัวเราะนิด ๆ
"เหอะ ๆ ยินดีด้วยนะเพื่อน"
เมฆาบอกประชด เพราะเขาแน่ใจว่า ต่อให้เวหาจะเติบโตมาเป็นเด็กเกเรหรือแบบไหนก็ตาม รวีก็คงจะมีข้อแก้ตัวมารองรับให้สุดที่รักของเจ้าตัวได้มากมายอยู่แล้ว
"แล้วทีนี้นายจะทำยังไงต่อไปล่ะ"
เมฆาถามต่อ เพราะเพื่อนสนิทยังคงชื่นชมกับข้อมูลของเวหาโดยไม่คิดสนใจเขาสักนิด
"หือ...ทำยังไงต่อน่ะหรือ"
รวีเงยหน้าจากแผ่นเอกสารมามองเพื่อน แล้วจึงนิ่งคิดสักพัก
"จากข้อมูลที่ได้รับมา น้องฟ้าเป็นเด็กที่รักครอบครัวมาก ดังนั้นฉันก็คงจะเข้าตามตรอกออกตามประตูตรง ๆ นั่นล่ะ อีกอย่างฉันกับคุณแม่ของน้องฟ้า เมื่อก่อนก็รู้จักสนิทสนมกันดี ท่านเองก็คงจะจำฉันได้อยู่บ้างและที่สำคัญฉันกับท่านก็เคยมีสัญญาระหว่างพวกเราบางอย่างอยู่ด้วยเหมือนกัน หึ ๆ"
ใบหน้าแย้มยิ้มติดเจ้าเล่ห์ และเสียงหัวเราะเบา ๆ นั่น ทำให้เมฆาเลิกคิ้วมองคนพูดอย่างประหลาดใจ
"สัญญา? ไม่แค่กับน้องฟ้าแต่นายยังไปสัญญากับแม่ของเขาด้วยหรือนั่น...อย่าบอกนะว่านอกจากเด็กแล้วยังชอบคนแก่กว่าอีก"
รวีขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะโพล่งใส่เพื่อนที่เข้าใจผิดตนอย่างหงุดหงิด
"บ้ารึ! สัญญาที่ว่านั่นมันเกี่ยวข้องกับน้องฟ้าต่างหาก ไอ้นายนี่ก็ช่างคิดได้... ฉันว่าคนโรคจิตน่ะ ไม่ใช่ฉันคนเดียวแล้วล่ะ!"
เมฆาชะงักกึก ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
"แล้วนายจะดำเนินแผนการที่ว่าตอนไหนล่ะ"
รวีเหลือบมองเพื่อนอย่างยังคงไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปตามตรง
"อีกสามวันที่จะถึงนี่ ฉันจะเข้าไปทักทายครอบครัวน้องฟ้าอย่างเป็นทางการ"
"เอ๋? แล้วทำไมถึงต้องสามวันล่ะ"
เมฆาถามต่อ ซึ่งคนฟังก็ยักไหล่นิด ๆ
"ก็เผื่อเวลาเตรียมการในเรื่องอื่น ๆ ไว้ยังไงล่ะ"
"เรื่องอะไรบอกได้ไหม"
รวีมองเพื่อนที่มีทีท่าอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ เจ้าตัวจึงยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะตอบแหย่กลับไปอย่างอารมณ์ดีขึ้นมากว่าเมื่อครู่
"เอาไว้นายไปเซอร์ไพรส์พร้อมคนอื่นแทนแล้วกัน"
"โห! ขี้งกว่ะ ใช่ซิ! เรามันแค่เพื่อน ไม่ใช่ว่าที่เจ้าสาวเด็กอย่างน้องฟ้าเค้านี่!"
เมฆาแสร้งทำเป็นค้อนขวับ แล้วจีบปากจีบคอพูด เสียจนคนมองสะดุ้ง
"พอ ๆ อย่ามาทำสะบัดสะบิ้งให้ชวนคลื่นไส้เลยว่ะเมฆ เห็นแล้วขนลุก!"
"แหม! กับฉันทำเป็นขนลุก ทีน้องฟ้าของนายก็หุ่นพอ ๆ กันกับฉันไม่ใช่หรือไง"
เมฆาแย้งขำ ๆ แต่ทำเอาคนฟังขมวดคิ้วยุ่ง
"ถึงไซส์จะใกล้เคียง แต่ออร่าความน่ารักน่าทะนุถนอมของน้องฟ้าเขากินนายขาดกระจุยว่ะ สำหรับฉัน มองยังไงน้องฟ้าก็ยังดูบอบบางน่ารักกว่านายหลายร้อยเท่าอยู่ดีล่ะนะ"
รวีบอกด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน ทำให้เมฆาที่ได้ยินเบ้หน้าใส่
"ไอ้คนหลงแฟน...ไม่สิ น้องเขาจะยอมเป็นแฟนให้หรือเปล่าก็ไม่รู้"
ท้ายประโยคเมฆาบ่นอุบอิบกับตัวเองเบา ๆ แต่คนหูดีที่อยู่ใกล้ก็ยังคงได้ยินอยู่ดี
"ต้องยอมอยู่แล้วสิวะ! ไม่สิ...ถึงจะไม่ยอม แต่ฉันมีวิธีที่จะทำให้น้องฟ้าเขายอมรับฉัน อย่างละมุนละม่อมเตรียมไว้รอมากมายอยู่แล้วล่ะ"
รวีบอกพร้อมกับเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ และนั่นจึงทำให้คนที่มองมาเสียวสันหลังวาบ นึกสงสารเป้าหมายของเพื่อนสนิทขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม้เขาจะมั่นใจว่ารวีนั้นจะไม่ใช้วิธีการรุนแรงกับเวหาก็ตาม ทว่าเด็กหนุ่มก็คงไม่แคล้วจะต้องเจอลูกตื๊อที่แสนจะน่ารำคาญจากเพื่อนของเขาอย่างแน่นอน
นับจากวันที่รวีและเมฆามาสร้างความวุ่นวายที่บ้านพักของเขา มาวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่ทั้งคู่หายตัวไป มีนานั้นแม้จะรู้สึกโล่งอก แต่ก็ยังคงกังวลไม่หาย เพราะเท่าที่ได้เห็นสายตาของรวี เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะต้องไม่ยอมแพ้ในเรื่องพี่ชายของเขาง่าย ๆ แน่
"หือ...รถรับขนย้าย? เข้ามาในซอยบ้านเราทำไมกันหว่า"
มีนาที่ตอนนี้ออกมากวาดใบไม้หน้าบ้าน เหลียวมองตามรถหกล้อที่ติดป้ายรับขนย้ายซึ่งแล่นผ่านบ้านเขาไปอย่างสนอกสนใจ เพราะมันแล่นขับไปจอดยังบ้านเรือนไทยหลังงามหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านเขาไปสองสามหลัง และบ้านที่ว่าก็เป็นบ้านของเศรษฐีประจำหมู่บ้านแห่งนี้
"ป้าพรครับ...ลุงจุกเขาจะย้ายบ้านหรือครับ"
มีนาถามหญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงข้ามบ้านเขา เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างสนิทกับภรรยาของเศรษฐีจุกผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่นเอง
"ใช่แล้วล่ะหนูมีน เห็นว่ามีคนกรุงเทพฯมาขอซื้อต่อ จะเอามาทำเป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัวน่ะ ตาจุกแกเห็นว่าอีกฝ่ายให้ราคางาม ก็เลยขายซะ เพราะยังไงที่ของแกแถวนี้ก็มีอีกมาก จะปลูกบ้านอีกหลังสองหลังก็ยังสบายน่ะ"
พอได้ยินหญิงวัยกลางคนบอกเช่นนี้ มีนาก็ถึงกับชะงัก พลันอดนึกถึงเจ้าของรถยนต์คันหรูที่มาจีบพี่ชายของเขาเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาไม่ได้
"เอ่อ...ป้าพร พอจะรู้ไหมครับ ว่าคนมาขอซื้อเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงแล้วอายุประมาณเท่าไหร่"
หญิงวัยกลางคนมองเด็กหนุ่มที่ตั้งคำถามอย่างประหลาดใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงบอกออกไปตามที่ตนได้รู้มาอยู่ดี
"เห็นแม่รินเขาบอกป้าว่า มีผู้หญิงอายุประมาณ 30 - 40 ปี มาติดต่อน่ะ บอกว่ามาซื้อให้หลานชาย หลานเขาอยู่ต่างประเทศกับพ่อแม่เขา แต่เจ้าตัวบอกว่าชอบประเทศไทยมากกว่า อยากได้บ้านพักในไทยตามต่างจังหวัดบ้าง น้าของเขาก็เลยมาหาซื้อบ้านให้แถวนี้น่ะ"
มีนาพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังคงครุ่นคิดว่าคนที่มาซื้ออาจจะเกี่ยวข้องกับรวีอยู่ก็ได้ ทว่าระหว่างกำลังคิดเพลิน ๆ อยู่นั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
"มีน! มาช่วยแม่ยกของหน่อยสิ!"
"อ๊ะ! ครับ ๆ แป๊บนะครับ!"
มีนาตะโกนตอบแล้วหันมาเอ่ยลาหญิงวัยกลางคนเบื้องหน้าเขา
"จ้า ๆ ไปเถอะ วันนี้พี่ฟ้าเขาไม่อยู่บ้านล่ะสิ"
ป้าพรบอกอย่างรู้ดี ซึ่งมีนาก็ยิ้มรับ เพราะปกติงานใช้กำลังภายในบ้านมักจะเป็นหน้าที่ของเวหาเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมีนานั้นถอดความสามารถด้านการครัวมาจากมารดา แถมยังถนัดงานใช้ฝีมือและงานบ้านทุกประเภท จนชาวบ้านแถวนี้ที่มีลูกชายยังโสด ต่างก็นึกเสียดายที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย หาไม่แล้วก็คงจะมีคนไปขอให้มาเป็นลูกสะใภ้กันจนหัวกระไดบ้านไม่แห้งไปแล้ว
เช้าวันถัดมาบริเวณในสวนผลไม้แห่งหนึ่ง เวหานั้นกำลังช่วยณรงค์พ่อเลี้ยงของเขาขุดดินปลูกต้นไม้อยู่อย่างขยันขันแข็ง ซึ่งแม้ว่าพ่อของเขาคนนี้จะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ผู้ให้กำเนิด แต่อีกฝ่ายก็เลี้ยงดูเวหามาตั้งแต่เล็กและรักเด็กหนุ่มเหมือนกับลูกแท้ ๆ ของตน เช่นเดียวกับที่เวหาให้ความรักและความเคารพต่อณรงค์เหมือนพ่อแท้ ๆ ของเขาเช่นกัน
"พ่อครับ หลุมตรงนี้ขุดเรียบร้อยแล้วล่ะครับ"
เวหาบอกกับพ่อของเขา ซึ่งชายวัยกลางคนก็หันมามองแล้วยิ้มให้อย่างพอใจ
"ขอบใจมากนะฟ้า ที่เหลือเดี๋ยวพ่อจัดการเอง ฟ้าไปนั่งพักก่อนเถอะ"
"งั้นฟ้าไปนั่งเล่นแถวนี้นะครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยพ่อก็เรียกฟ้าได้เลยนะครับ"
บิดาของชายหนุ่มยิ้มรับ ส่วนเวหาก็เดินลัดเลาะไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลอง อันเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจประจำตัวของเขา
"แดดค่อนข้างแรงจังเลยแฮะวันนี้..."
เวหาพึมพำ พลางจ้องมองน้ำคลองใสแจ๋วตรงหน้าอย่างสนใจปนลังเล เพราะณรงค์เคยเตือนเขาไว้ว่า หลังทำงานเสร็จเหนื่อย ๆ อย่าเพิ่งลงไปว่ายน้ำเล่น...หากแต่เพราะวันนี้อากาศร้อน และความที่ว่ายน้ำในคลองนี้เล่นมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เวหาอดใจไว้ไม่ไหวสักพักเจ้าตัวจึงถอดเสื้อออกเผยให้เห็นแผ่นอกสีแทนที่มีกล้ามเนื้อน้อย ๆ สมวัย ก่อนจะกระโจนลงน้ำแล้วดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตคนที่กำลังลงมาสำรวจศาลาริมน้ำของบ้านพักเรือนไทยฝั่งตรงข้าม และตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังจ้องมองคนที่ว่ายน้ำอยู่อย่างตกตะลึงไม่วางตาพอดี
"เฮ้!ซัน บริเวณรอบ ๆ บ้านนี่ดูดีกว่าที่คิดไว้อีกว่ะ หือ มีศาลาริมน้ำด้วยหรือเนี่ย!"
เมฆาที่เดินตามเพื่อนมาอุทานอย่างพึงพอใจ แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนจับจ้องมองบางสิ่งอยู่ไม่วางตา และเมื่อเขามองตามไปบ้าง จึงทำให้เห็นว่าเพื่อนกำลังมองสิ่งใดอยู่นั่นเอง
"นั่นน้องฟ้าไม่ใช่รึ!?"
เสียงของเมฆาไม่ค่อยเบานัก และก็ทำให้คนที่กำลังเล่นน้ำอยู่รู้สึกตัวขึ้นมา
"เอ่อ...พวกคุณ"
เวหานิ่งอึ้งเพราะไม่คิดว่าหนึ่งในคนที่มาจีบเขาและหายหน้าไปเกือบอาทิตย์ จะกลับมาเจอกันในสถานการณ์และสถานที่เช่นนี้
"ง่า...น้องฟ้า สวัสดีครับ ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะครับ"
รวีหันไปเขม่นใส่เพื่อน ก่อนจะหันมายิ้มหวานทักทายคนที่อยู่ในคลอง ซึ่งเวหาเองก็ยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมทักตอบกลับไป
"สวัสดีครับ...เอ่อ ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสเจอกันในที่แบบนี้เลยนะครับ"
เวหามองพวกรวี แล้วเหลือบมองเรือนไทยด้านหลังทั้งคู่ และดูเหมือนรวีนั้นจะพอคาดเดาสายตานั้นออก จึงรีบเอ่ยดักตอบขึ้นทันที
"คือพวกพี่มาดูบ้านพักตากอากาศหลังใหม่ที่ซื้อต่อมาจากเจ้าของคนเก่าน่ะครับ"
เวหาชะงักก่อนจะมองคนพูดอย่างตกใจ
"ถ้าอย่างนั้นคนที่มาซื้อบ้านต่อจากลุงจุก ก็คือพวกคุณหรือครับ!"
รวีพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มหวานแต่นั่นก็ทำเอาเวหาถึงกับยิ้มไม่ออก เขาไม่อยากคิดเลยว่า อีกฝ่ายจะกล้าลงทุนเงินเป็นหลักสิบล้าน เพื่อให้ได้มีโอกาสมาอยู่ใกล้กับเขาเช่นนี้
"เท่านี้พวกเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้วนะครับน้องฟ้า ไว้เดี๋ยวกลางวันนี้พี่จะเข้าไปไหว้ทักทายแม่กับพ่อของน้องฟ้าด้วยนะครับ"
เวหานิ่งอึ้ง นึกไม่ออกว่าจะห้ามหรือยิ้มรับดีหากแต่จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เมื่อรู้สึกว่าขาของตนกำลังเป็นตะคริว เขาพยายามตั้งสติใช้มือพยุงให้ลอยตัวเอาไว้ ส่วนทางด้านรวีพอเห็นอาการผิดปกติของเด็กหนุ่มเจ้าตัวก็พลันชะงักก่อนจะตะโกนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน
"น้องฟ้า! เป็นอะไรไปครับ!"
"...รู้สึกจะเป็นตะคริวครับ ...แต่...น่าจะพอไหว..."
ยังไม่ทันพูดจบเจ้าตัวก็ผลุบหายลงไปในน้ำ ทำเอารวีเบิกตากว้างแล้วรีบกระโจนลงไปช่วยเด็กหนุ่มทันที
"เฮ้ย! ซัน!"
เมฆาตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ผลุบหายลงไปใต้ผืนน้ำด้วยความตกใจ ทว่าสักพักรวีก็ลอยตัวขึ้นมา ในอ้อมแขนมีร่างของเด็กหนุ่มที่จมลงไปใต้น้ำติดมาด้วย และเพราะเสียงเอะอะโวยวายที่เกิดขึ้น จึงทำให้ณรงค์ พ่อเลี้ยงของเวหาวิ่งตามมาเมื่อเห็นรวีกำลังลากลูกชายของเขาขึ้นมาจากคลอง เจ้าตัวก็รีบวิ่งลงไปช่วยประคองเด็กหนุ่มขึ้นมาด้วยกันอย่างรวดเร็ว
"แค่ก ๆ ๆ"
เวหานั้นไม่ได้หมดสติแต่อย่างใด เขาสำลักน้ำอยู่สักพัก แล้วจึงนอนหงายอย่างหมดแรงอยู่บนผืนดินริมฝั่งน้ำแถวนั้น
"เกิดอะไรขึ้นกันน่ะฟ้า!แล้วคุณ..."
ณรงค์ถามลูกชายแล้วมองไปยังชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็น ทางด้านรวีที่รู้จากข้อมูลดีว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อเลี้ยงของเวหา จึงยิ้มน้อย ๆ แล้วยกมือไหว้อีกฝ่าย ซึ่งณรงค์ก็รีบยกมือรับไหว้ทันที
"ผมชื่อรวีครับ เรียกว่าซันก็ได้ ...ผมมาซื้อบ้านเรือนไทยฝั่งนั้นไว้เป็นบ้านตากอากาศตอนผมกลับเมืองไทย แล้วก็ได้เจอน้องฟ้าเล่นน้ำอยู่ คุยกันไปคุยกันมา น้องเขาเกิดเป็นตะคริว ผมก็เลยโดดลงมาช่วยนี่ล่ะครับ"
พอได้ยินดังนั้น ณรงค์ก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจ เพราะถ้าเกิดรวีไม่อยู่แถวนี้ ลูกชายของเขาอาจจะจมน้ำตายไปแล้วก็ได้
"ฟ้า! พ่อบอกหลายหนแล้วใช่ไหมว่า เวลาทำงานมาเหนื่อย ๆ ไม่ให้ลงเล่นน้ำเลย กล้ามเนื้อมันจะล้า อาจจะเป็นตะคริวได้ ...แล้วเห็นไหมล่ะ ผลของการไม่เชื่อที่พ่อเตือนมันทำให้เกิดอะไรขึ้น!"
เวหาหน้าสลด เขายันกายลุกขึ้นนั่งก่อนจะยกมือไหว้ขอโทษบิดา ซึ่งอีกฝ่ายก็ถอนหายใจ แล้วตบบ่าลูกชายเบา ๆ อย่างให้อภัยเพราะเห็นว่าเจ้าตัวเจอเรื่องชวนให้ตกใจมามากเกินพอแล้ว
"ขอบคุณ คุณรวีเขาด้วยสิลูก เขาช่วยชีวิตลูกไว้นะ"
ณรงค์พูดต่อ ซึ่งรวีก็เตรียมจะแย้งห้าม หากแต่เวหานั้นหันมาทางชายหนุ่มแล้วพนมมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายตามที่บิดาของตนบอก
"ขอบคุณจริง ๆ นะครับคุณรวี ที่ช่วยชีวิตผมไว้"
"เรียกพี่ซันดีกว่านะครับน้องฟ้า ยังไงเราก็เพื่อนเก่าแก่กันไม่ใช่หรือครับ"
รวีบอกอย่างไม่ถือสา ซึ่งก็ทำให้ณรงค์ที่ฟังอยู่แปลกใจทางด้านรวีพอเห็นสีหน้าเช่นนั้นเขาจึงรีบอธิบายตามมา
"จริง ๆ แล้วผมเคยเป็นเพื่อนบ้านกับน้องฟ้าแล้วก็น้าวารีเมื่อสมัยน้องฟ้ายังเด็ก ๆ น่ะครับ แต่ผมต้องย้ายไปต่างประเทศเสียก่อน กลับมาเมืองไทยอีกครั้งก็พบว่าน้าวารีกับน้องฟ้าย้ายบ้านไปแล้ว...แต่บังเอิญดันได้กลายมาเป็นเพื่อนบ้านกันอีกครั้งแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาพรหมลิขิตแท้ ๆ เลยนะครับ"
ณรงค์พอได้ยินก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นรู้จักภรรยาของเขา รวมถึงช่วยชีวิตลูกชายของเขาไว้ ก็ทำให้ชายวัยกลางคนไม่รู้สึกติดใจอะไรมากนัก
"อ๊ะ! ถ้ายังไงพาน้องฟ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา...แล้วไว้ตอนกลางวันผมจะแวะไปทักทายน้าวารีที่บ้านอีกครั้ง และอาจจะไปขอฝากท้องกินข้าวกลางวันที่นั่นด้วย...หวังว่าคุณน้าณรงค์คงไม่รังเกียจใช่ไหมครับ"
"หือ...ไม่เลย ผมไม่รังเกียจอะไรหรอก ดีเสียอีกจะได้เลี้ยงตอบแทนคุณที่ช่วยฟ้าเอาไว้ด้วย"
รวียิ้มแย้มส่งให้พร้อมกับยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนจะกระโดดน้ำว่ายข้ามไปอีกฝั่ง แทนที่จะเดินอ้อมไปขึ้นสะพานซึ่งอยู่ไกลกว่าแทน
ณรงค์มองตามชายหนุ่มที่ขึ้นศาลาริมน้ำแล้วหันมาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้ตน ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินกลับไปทางหน้าบ้านพร้อมกับเพื่อนที่มาด้วยกัน ชายวัยกลางคนจึงได้หันมาทางลูกชายของตนอีกครั้ง
"เพิ่งรู้ว่าฟ้ามีเพื่อนเป็นลูกครึ่งนะเนี่ย...แถมยังอายุมากกว่าเยอะด้วยเลยสินะ แล้วไปสนิทกันได้ยังไงล่ะ ตอนนั้นฟ้าก็น่าจะเพิ่งสามหรือสี่ขวบเองไม่ใช่หรือ"
ณรงค์ถามบุตรชาย ซึ่งเวหาก็ยิ้มเจื่อน ๆ ไม่กล้าบอกต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงออกไปให้บิดารู้ ทว่าพอพวกเขาทั้งสองเริ่มลุกเดินเพื่อจะตรงกลับบ้านพัก ณรงค์ก็พลันชะงักแล้วหันกลับไปมองยังศาลาริมน้ำที่ไร้ผู้คนเบื้องหลัง แล้วจึงหันกลับมามองบุตรชายของเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"พ่อว่าพ่อยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยนะ แล้วเขารู้จักชื่อพ่อได้ไง ฟ้าบอกพี่เขาไปหรือลูก"
เวหาสั่นศีรษะเบา ๆ และพอคิดตามที่บิดาบอก ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน
"เอาเถอะ...ไว้ตอนกลางวันก็เจอกันอีก ไว้ค่อยถามตอนนั้นก็ได้"
ณรงค์ตัดบทอย่างไม่อยากคิดมากนัก จากนั้นพวกเขาพ่อลูกก็พากันตรงกลับบ้าน ซึ่งพอเห็นสภาพลูกชาย วารีก็โวยวายยกใหญ่แล้วรีบไล่ให้เวหาไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่คิดจะรอฟังเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด
:L1:
-
แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม :ruready :ruready
-
โอ้ววว ลงทุนซื้อบ้านใกล้กันเลย แหม่ๆๆ
น้องฟ้าจะจีบติดง่ายไหมคะนี่ ง่ายเกินไปไม่สนุกน้าาาาา :hao3:
-
พี่ซันนี่ เจ้าบุญทุ่มจริงๆ ถึงน้องฟ้าจะเริ่มไหวตัว แต่คงไม่รอดแล้วอ่ะ
-
:katai5: :katai5:
งานนี้น้องฟ้าหนียังไงก็ไม่พ้นแน่ ๆ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
ยกให้พี่ซันเป็นเจ้าพ่อบุญทุ่มค่ะ ทุ่มเทสุดยอดจริงๆ
เหมาะแล้วที่จะมาเป็นสามีของน้องฟ้าในอนาคตอันใกล้นี้ อิอิ
-
พ่อบุญทุ่มจริงๆ
-
ทั้งทุ่มเทและทุ่มทุนขนาดนี้คงไม่รอดแน่ :hao6:
-
มะ ไม่น่ารอดนะน้องฟ้า
-
เสี่ยซันลงทุนมากค่ะ งานนี้น้องฟ้าจะไปไหนรอด
-
วางแผนมาเป็นยังดี 555+
ทำการบ้านมาดีมากๆ อิอิ
-
แหมลงทุนสร้างแลนมาร์คซะใกล้บ้านน้องฟ้าเลยนะ ทุ่มสุดๆ
-
พ่อบุญทุ่มนะเนี่ย พี่ซัน คึคึ
ยอมมาอยู่ใกล้ๆบ้านน้องฟ้าเลยทีเดียว
-
เจ้าแผนการจริงๆ เชียว
-
:m3: :m3: :m3: ซันเนี่ยทุ่มทุนสร้างจริงๆ
น้งฟ้าก็รีบๆใจอ่อนรับพี่ซันเค้าหน่อย :oni3:
-
ตอนนี้ถึงกับสงสารน้องฟ้าเลย
-
:katai2-1: :mew1:
-
บทที่ 5
เมฆายืนมองเพื่อนที่เดินออกมาจากห้องอาบน้ำบนบ้าน ทั้งตัวของรวีมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันรอบเอวไว้อยู่ เจ้าตัวนั้นกำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีชนิดชวนให้คนมองหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
"ดีใจล่ะสิ ได้มีโอกาสเก็บแต้มโดยไม่คาดฝันแบบนี้น่ะ"
รวีหันมามองเพื่อนก่อนจะยักไหล่นิด ๆ พลางหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางที่วางเอาไว้กับพื้นบ้านแถวนั้นมาสวมใส่ เนื่องจากเจ้าของเก่าได้ขนเฟอร์นิเจอร์หลักย้ายไปหมด จึงเหลือแต่เพียงบ้านโล่ง ๆ ซึ่งทั้งคู่เองนั้นก็เตรียมจะสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์มาลงเพิ่มภายในวันนี้อยู่แล้ว
"ฉันเองก็ดีใจที่จะได้กลายเป็นผู้มีพระคุณในสายตาของน้องฟ้าและคนในครอบครัวเขา...แต่เอาจริง ๆ แล้ว ฉันก็ไม่อยากให้น้องฟ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงอันตรายแบบนี้บ่อย ๆ นักหรอก"
เมฆารับฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ถ้าหากพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วเวหาก็อาจจะมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็เป็นได้
"คราวหน้าน้องเขาก็คงไม่ประมาทอีกแล้วล่ะ เจอแบบนั้นเข้าไปก็คงขวัญเสียอยู่บ้างหรอก"
"อืม...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะรับอาสาไปปลอบขวัญน้องฟ้าเอง...นี่ใกล้เที่ยงหรือยังน่ะ ถ้าพวกเราไปเร็วก่อนหน้านัดนิดหน่อยจะดูน่าเกลียดไปไหมวะเมฆ"
รวีหันไปถามเพื่อน ซึ่งเมฆาก็ยกนาฬิกาข้อมือมาดูเวลาก่อนจะเบ้หน้าใส่
"เพิ่งสิบโมงเองนา อย่างน้อยก็ไปสักราว ๆ ห้าโมงดีกว่า จะได้ดูไม่จงใจเกินไป ทางโน้นเขาจะได้ไม่อึดอัดนักด้วย"
"โห! ให้รออีกตั้งชั่วโมงเลยนี่นะ!"
คนเอาแต่ใจเริ่มโวยวายด้วยความหงุดหงิด ทำเอาเมฆาต้องรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาเพื่อเบรกอารมณ์ขุ่นมัวของอีกฝ่ายเสียก่อน
"งั้นระหว่างว่าง ๆ นี่ เราก็สำรวจแต่ละห้องไปสิ ว่าจะซื้ออะไรเข้ามาเพิ่มดี...ที่แน่ ๆ พวกเตียง โต๊ะ เก้าอี้ ก็ต้องซื้อใหม่หมดยกเซ็ตนี่ล่ะนะ"
พอได้ยินดังนั้นรวีก็เริ่มหันมาให้ความสนใจกับเรื่องที่เพื่อนสนิทเสนอ เพราะจะว่าไปแล้วถ้าไม่นับแผนการที่จะหาเรื่องอยู่ใกล้ชิดกับเวหา บรรยากาศโดยรวมของบ้านหลังนี้ก็ค่อนข้างน่าอยู่ถูกใจเขาพอสมควรเลยทีเดียว
"ก็ได้...งั้นฉันจองห้องวิวศาลาน้ำห้องนี้แล้วกัน เผื่อตื่นเช้ามา จะได้เห็นน้องฟ้ามายืนโบกมือทักทายให้ที่ริมคลองฝั่งโน้นก็ได้"
รวีบอกพร้อมรอยยิ้ม ส่วนเมฆาที่อยู่ด้วยกันอยากจะแย้งกลับไปว่า หากเห็นแบบนั้นแสดงว่ารวีก็คงยังหลับฝันไม่ตื่นอยู่หรอก แต่ขืนเขาหลุดปากพูดแบบที่ใจคิดออกไปจริง ๆ รับรองรวีคงบ่นอุบและโมโหใส่เขาอีกเป็นแน่
อีกด้านหนึ่งหลังจากเวหาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดผมเรียบร้อย เขาจึงมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มารดาและน้องชายฟัง ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มโดนมารดาตำหนิร่ายยาวใส่ไปตามระเบียบ ทว่าพอดุลูกชายเสร็จ วารีก็หวนคิดถึงเด็กลูกครึ่งข้างบ้าน ที่สามีเล่าให้ฟังว่า อีกฝ่ายนั้นอ้างว่ารู้จักเธอและเวหามาก่อน
"ถ้าเป็นผู้ชายผมสีน้ำตาลออกแดง ๆ หน่อย แล้วก็ตาสีเขียวสวย ๆ หน้าตาดีมาก ๆ นั่นก็คงใช่หนูซันเขานั่นล่ะค่ะ...เด็กคนนี้น่ารักนะคะ ช่างพูดช่างคุย รู้จักกาลเทศะ แถมยังมาคอยเล่นเป็นเพื่อนกับฟ้าเขาทุกวัน ตาฟ้าของเราก็ติดหนูซันเขาน่าดูเชียวล่ะ ตอนที่หนูซันย้ายไปต่างประเทศในช่วงแรก ๆ ตาฟ้าร้องไห้หาพี่เขาทุกวันเลยล่ะนะคะ"
พอได้ยินมารดาเล่าเช่นนี้เวหาก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าในตอนเด็กตัวเองจะสนิทสนมกับรวีเป็นพิเศษขนาดนั้น
"สนิทกันขนาดนั้นเลยหรือครับ แต่พี่ฟ้าไม่เห็นจะจำเขาได้สักนิดนี่ครับ"
มีนาขัดมารดาขึ้นบ้างเมื่อได้เห็นสีหน้าของพี่ชายยามนี้ และนั่นก็ทำให้เวหาชะงักก่อนจะเหลือบไปมองน้องชายตาปริบ ๆ
"แหม! ก็นั่นมันตอนพี่ชายของลูกแค่สามขวบเองนะ ถ้าฟ้าจำได้ดีไม่ลืมสิ ถึงน่าแปลก ขนาดแม่เองก็ยังลืม ๆ เลือน ๆ ไปบ้างแล้ว จำได้ก็แค่ว่า สองคนนี้สนิทกันมากก็เท่านั้นล่ะ"
วารีบอกพร้อมยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งก็ทำให้มีนาแอบลอบถอนหายใจ เพราะพอจะคาดเดานิสัยของพี่ชายตนได้อยู่บ้าง ลองแบบนี้เวหาก็คงจะต้องรู้สึกผิดที่จดจำเรื่องสมัยเด็กไม่ได้ และอาจรู้สึกสงสารรวีที่ยังมั่นคงกับเจ้าตัวมานานถึงขนาดนั้น ยิ่งรวีเพิ่งจะทำคะแนนเรื่องช่วยชีวิตเวหาเอาไว้เมื่อครู่ที่ผ่านมาแบบนี้ด้วยแล้ว มีหวังงานนี้พี่ชายของเขาคงใจอ่อนยอมลดการ์ดปล่อยให้อีกฝ่ายมาอ้อนทำคะแนนขอความรักเพิ่มได้อีกเป็นแน่
พอถึงเวลาห้าโมงเช้า เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น ทางด้านเวหาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องรับแขกกับบิดานั้นชะงักเล็กน้อย และเพราะมีนากำลังเข้าครัวทำกับข้าวกับมารดาของเขาอยู่ เด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายที่ต้องไปต้อนรับแขกที่มาเร็วก่อนกำหนดเข้ามาในบ้านแทน
"สวัสดีครับคุณรวี คุณเมฆา"
เวหาพนมมือไหว้ทั้งคู่ เล่นเอาเมฆายกมือรับไหว้แทบไม่ทัน ส่วนรวีขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วรีบบอกกลับไป
"ไม่เอาสิครับ...บอกแล้วว่าให้เรียกพี่ซันยังไงล่ะครับ"
เวหายิ้มเจื่อน แล้วจึงตัดสินใจเรียกตามที่อีกฝ่ายต้องการ
"ครับ...พี่ซัน"
รวียิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ และพอประตูรั้วเปิด ชายหนุ่มก็เข้ามาพร้อมกับกระเช้าขนมหวานหลากชนิดใบโต และหนึ่งในนั้นก็เป็นช็อกโกแลตยี่ห้อราคาแพงที่เวหานึกอยากกินแต่ไม่กล้าซื้อรวมอยู่ด้วย
"ของเยี่ยมทักทายสำหรับเพื่อนบ้านใหม่น่ะครับ...น้องฟ้าไม่รังเกียจของหวานใช่ไหมครับ"
รวีที่สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายออก ถามพร้อมยิ้มน้อย ๆ ซึ่งเวหาก็กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะยิ้มเขิน ๆ ส่งให้
"ครับ...ไม่รังเกียจครับ เอ่อ...จริง ๆ ก็ค่อนข้างชอบมากด้วยซ้ำ"
รวีใจเต้นตึกตัก มีความสุขที่ได้เห็นใบหน้ายิ้มเขินของเด็กหนุ่มที่ตนหลงรัก ส่วนเมฆานั้นแอบอึ้งปนทึ่ง ที่เห็นอีกฝ่ายยังคงชอบขนมหวานเหมือนตอนเด็ก แม้จะโตมาหุ่นล่ำมาดแมนขนาดนี้แล้วก็ตาม
"ดีจัง...พี่นึกว่าจะเตรียมมาเก้อเสียแล้ว"
ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นโล่งอก จนเพื่อนสนิทที่มองอยู่อดหมั่นไส้นิด ๆ ไม่ได้ เพราะรู้ดีว่ารวีนั้นมีข้อมูลส่วนตัวของเวหาอยู่แล้ว และข้อมูลนั่นก็รวมไปถึงเรื่องของกินที่ชอบและเกลียดอยู่ด้วยเรียบร้อย
"เอ่อ...ขอบคุณนะครับอ๊ะ! เข้าไปในบ้านดีกว่าครับ"
เวหารีบชวนทั้งสองคนเข้าบ้าน เพราะขืนอยู่คุยกันแบบนี้ต่อไป มีหวังเขาคงต้องเผลอใจอ่อนเห็นใจอีกฝ่าย อย่างที่น้องชายของเขากลัวล่วงหน้าเข้าให้เป็นแน่
"สวัสดีครับ คุณน้าวารี คุณน้าณรงค์....คุณน้าวารีจำผมได้ไหมครับ ผมซัน ยังไงล่ะครับ"
รวีไหว้ทักทายทันทีที่เห็นบิดามารดาของเวหาซึ่งวารีที่วางมือจากอาหารกลางวันมารอดูหน้าแขกของเธอ ก็ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากของอีกฝ่าย
"สวัสดีจ้ะ...แหม! ตาซันหรือนี่ โตขึ้นมากเลยนะ แถมยังหล่อขึ้นกว่าตอนเด็กอีกจมเลยนะจ๊ะ"
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ...เอ่อ...มีอะไรหรือครับคุณน้าณรงค์ ทำไมจ้องผมแบบนั้นล่ะครับ"
รวีหันไปมองชายวัยกลางคนที่จ้องมองตนเขม็งอย่างแปลกใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะตอบออกไปตามตรง
"อืม...คือผมสงสัยมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ริมคลองนั่นแล้ว...คุณรู้จักชื่อผมได้ยังไง ผมยังไม่เคยแนะนำตัวกับคุณมาก่อนเลยนี่ ...แถมฟ้าก็ยังบอกว่าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคุณอีกต่างหาก"
รวีชะงักกึกเช่นเดียวกับเมฆา ทางด้านเมฆานั้นทำปากบ่นอุบอิบใส่เพื่อนที่ดันเผลอตัวแสดงออกมากเกินไป ส่วนรวีนิ่งคิดประมวลผลชั่วครู่แล้วจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสไร้พิรุธให้จับผิด
"อ๋อ...ตอนผมมาดูที่แถวนี้แรก ๆ ผมก็ชวนคุณภรรยาเจ้าของบ้านที่ผมซื้อเขาคุยโน่นนี่เรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับคนแถวนี้น่ะครับ ไหน ๆ ก็จะมาอยู่แล้ว ผมก็เลยอยากรู้จักเพื่อนบ้านแถวนี้ เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้ขอความช่วยเหลือได้...คุณภรรยาเจ้าของบ้านเขาก็ใจดีนะครับบอกให้ฟังชี้ให้ดูว่าหลังไหนใครเป็นใคร ...ตอนที่ผมได้ยินว่าบ้านหลังนี้เจ้าของบ้านชื่อณรงค์ มีภรรยาชื่อวารี มีลูกชายสองคน คนโตชื่อเวหา คนเล็กชื่อมีนา ผมเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันนะครับ ว่าจะเป็นคนเคยรู้จักกันแบบนี้...ตอนที่รู้ว่าคนที่ชื่อเวหาเป็นคนเดียวกับน้องฟ้า ผมงี้ตกใจแทบแย่แน่ะครับ"
พอได้ยินที่รวีบอก ทั้งวารีและณรงค์ก็พากันพยักหน้าหงึกหงักรับรู้อย่างเลิกสงสัย เพราะภรรยาของเศรษฐีจุก เจ้าของบ้านเดิมที่พวกรวีซื้อมานั้น เป็นคนพูดเก่ง แถมยังชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน เจ้าหล่อนนั้นรู้จักแทบทุกเรื่องในครอบครัวคนอื่น ๆ ละแวกนี้ เสียยิ่งกว่ารู้เรื่องราวของครอบครัวตัวเองเสียอีก
ส่วนทางด้านมีนาที่แอบโผล่หน้าจากครัวมาแอบมองชายหนุ่มนั้นยังคงขมวดคิ้วยุ่งจ้องมองรวีอย่างไม่ไว้วางใจนัก ทำเอาเมฆาที่หันไปเห็นอดขำไม่ได้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าเพื่อนนั้นช่างลื่นไหลและหัวไวพอที่จะหยิบข้อมูลของเพื่อนบ้าน มาสร้างเรื่องโกหกบิดามารดาของเวหาได้เช่นนี้
"ขนมเยอะเชียว...นี่แสดงว่าซันยังจำได้สินะจ๊ะ ว่าฟ้าเขาชอบขนมมากขนาดไหน"
วารีเอ่ยทักเมื่อเห็นเวหาวางตะกร้าขนมไว้บนโต๊ะรับแขก ซึ่งพอได้ยินดังนั้นรวีก็อมยิ้มน้อย ๆ ส่วนเวหาหน้าแดงนิด ๆ ด้วยความเขินในเรื่องที่ตนยังคงชอบกินขนมหวานเหมือนสมัยตอนเด็ก ๆ อยู่
"เด็กคนนี้นี่นะ ตอนเด็ก ๆ กินแต่ขนมอย่างอื่นไม่ค่อยสนใจ เลยกลายเป็นเด็กอ้วนเสียจนหมอต้องสั่งงด แต่เจ้าตัวไม่ยอม เลยลงท้ายว่าจะขยันออกกำลังกาย และกินอาหารอย่างอื่นด้วยให้ครบห้าหมู่ แต่ขอให้ได้กินขนมหวานที่เจ้าตัวชอบเหมือนเดิม ...น้าเห็นเขาพยายามขนาดนี้ก็เลยปล่อยให้กินต่อ แต่ก็ต้องคอยควบคุมอยู่ตลอดไม่ให้กินมากเกินไปนั่นล่ะจ้ะ"
วารีเล่าอดีตของบุตรชายให้อีกฝ่ายฟัง ซึ่งก็ทำให้รวีสนอกสนใจเป็นยิ่งนัก ส่วนเมฆานั้นพึมพำเบา ๆ อย่างเข้าใจได้สักทีว่า ทำไมคนชอบกินของหวานอย่างเวหา ถึงได้เติบโตมาหุ่นดีแบบนักกีฬาเช่นนี้
"อยากเห็นน้องฟ้าตอนตุ้ยนุ้ยจัง คงต้องน่ารักมากเลยนะครับ"
รวีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจริงใจชนิดที่ทำให้เพื่อนสนิทต้องกลืนน้ำลายลงคอ ส่วนมีนาที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นคิดอย่างไรกับพี่ของตน ก็ถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่คิดว่ารวีจะคลั่งไคล้ในตัวของพี่ชายเขาถึงขนาดนี้
"จะดูรูปในอัลบั้มไหมล่ะจ๊ะ เพราะกว่ากับข้าวจะเสร็จก็อีกสักพักเลยน่ะจ้ะ"
วารีเสนอความคิด ซึ่งรวีก็รีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ ทำเอามีนากับเวหาที่อ้าปากจะห้ามต้องหยุดชะงัก ส่วนณรงค์นั้นลอบมองบุตรชายของเขาอย่างรู้สึกสงสัยต่อท่าทีแปลก ๆ ของเจ้าตัวที่แสดงออกให้ได้เห็นในบางครั้ง
"ฟ้าไปหยิบอัลบั้มให้พี่เขาสิจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นน้าขอตัวก่อนนะซัน จะไปทำกับข้าวต่อน่ะ"
"ครับ...ขอโทษทีนะครับที่มารบกวนก่อนหน้าเวลานัดแบบนี้"
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คนกันเองทั้งนั้น"
วารีบอกพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในครัว ทำให้มีนาต้องตามไปเป็นลูกมือมารดาต่ออย่างจำใจ ส่วนเวหาก็ลุกไปค้นอัลบั้มสมัยเด็กมาให้รวีตามคำสั่งของมารดา เหลือแต่เพียงณรงค์ที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องรับแขกต่อ เห็นดังนั้นรวีจึงชวนอีกฝ่ายคุยไปพลาง ๆ ก่อน
"ผมได้ยินมาว่าคุณน้าณรงค์เคยได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นประจำจังหวัดด้วย ...แสดงว่าคุณน้าต้องเอาใจใส่ผลผลิตของตัวเองมากเลยสินะครับ"
ณรงค์แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นชายหนุ่มรู้เรื่องของเขา แต่พอคิดว่าภรรยาของเศรษฐีจุกคงจะเป็นคนเล่าให้ฟัง เจ้าตัวก็เลยไม่ใส่ใจอะไรนัก
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกคุณ ผมก็ดูแลเพาะปลูกไปตามที่มีคนเขาแนะนำนั่นล่ะ อะไรที่ว่าดีเราก็เอามาทดลอง ถ้าได้ผลก็ทำต่อไป ไม่ได้ผลก็ปรับปรุงแก้ไขเอา จนกระทั่งมันดีขึ้นเองล่ะนะ"
"ผมเองก็คิดเอาไว้เหมือนกันว่า จะมาลงทุนธุรกิจในไทย นี่ก็เล็ง ๆ เอาไว้เกี่ยวกับพวกพืชผักผลไม้แปรรูปเพื่อส่งออกอะไรพวกนี้ ...ผมไม่อยากเน้นพวกผลไม้หรือผักสดอะไรพวกนั้นหรอกนะครับ แต่ผมอยากลงทุนเกี่ยวกับพวกผลผลิตต่าง ๆ ในยามที่มันล้นตลาดจนราคาตกต่ำเสียจนน่าใจหายนั่นมากกว่า แทนที่บรรดาเกษตรกรจะยอมขายขาดทุนให้พ่อค้าคนกลางในราคาไม่กี่บาท สู้ให้พวกเขาเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยการขายตรงกับโรงงานแปรรูปที่รับซื้อโดยตรงจะดีกว่า...ส่วนจะแปรรูปเป็นอะไรบ้าง ผมก็คิดไว้หลายอย่างอยู่...ยังไงว่าง ๆ ผมจะมาขอคำแนะนำจากคุณน้าบ้างนะครับ"
ณรงค์นั่งรับฟังความคิดของอีกฝ่ายอย่างสนใจ ในฐานะที่เขาเป็นเกษตรกรคนหนึ่ง ย่อมเข้าใจถึงปัญหาที่ชายหนุ่มบอกมาเป็นอย่างดี เพราะนิสัยเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ มักจะแห่กันเพาะปลูกพืชผลที่มีราคาดีตาม ๆ กัน โดยไม่ได้คำนึงถึงว่ามันจะมีผลิตผลล้นตลาด จนฉุดให้ราคาตกต่ำในอนาคตแต่อย่างใด ยิ่งถ้าใครปลูกพืชผักหรือผลไม้ชนิดเดียวทั้งหมด หากผลผลิตนั้นเกิดล้นตลาดจนราคาตก ก็แทบจะเรียกได้ว่าถึงขั้นขาดทุนสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว
เวหาชะงักฝีเท้าอย่างประหลาดใจที่เห็นณรงค์กับรวีและเมฆานั้นพูดคุยกันด้วยท่าทางถูกคอ เพราะณรงค์เป็นพวกไม่ค่อยชอบสนทนาเรื่องเรื่อยเปื่อยอื่น ๆ สักเท่าใดนัก จะมีก็แต่เรื่องการเกษตรนี่ล่ะที่เจ้าตัวพอจะโปรดปรานอยู่บ้าง
"อัลบั้มมาแล้วครับ"
"อ๊ะ...น้องฟ้า มาแล้วหรือครับ"
รวีหันไปยิ้มกว้างให้กับเด็กหนุ่ม ซึ่งเวหาก็ชะงักแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ ส่วนณรงค์หันไปมองบุตรชายอย่างแปลกใจอีกครั้ง แต่เขาก็ตัดสินใจปล่อยให้ทั้งคู่พูดคุยรำลึกความหลัง แล้วเลี่ยงไปช่วยภรรยาในครัวแทน ทำเอามีนาสะดุ้งโหยง แล้วเริ่มลังเลว่าจะบอกบิดากับมารดาเรื่องที่รวีนั้นจงใจมาจีบพี่ชายดีหรือไม่กันแน่
"ขอโทษนะครับคุณน้า...เอ่อ...ผมเห็นว่ายังพอจะมีเวลา เลยอยากให้น้องมีนาช่วยพาไปชมสวนผลไม้ของที่บ้านหน่อยน่ะครับ"
เมฆาที่โผล่หน้ามาในครัว ทำเอามีนาที่เตรียมจะบอกเรื่องรวีกับบิดาและมารดาของตนชะงักนิ่ง แต่พอเด็กหนุ่มจะบอกปฏิเสธ ณรงค์ก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
"ได้สิครับ ...มีนพาพี่เขาไปดูสวนของเราสิลูก"
"ใช่จ้ะ ไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้แม่จัดการเอง ...เหลือแค่ตั้งเตาเคี่ยวแกงให้น้ำงวดลงอีกหน่อยก็เสร็จแล้วล่ะ"
วารีเสริมตามมาทำเอามีนานิ่งอึ้งแต่ยังไม่ทันได้ประท้วงอะไร เมฆาก็รีบจูงมือเด็กหนุ่มไปด้วยกันกับตนทันที
"เรารีบไปกันเถอะครับน้องมีน จะได้กลับมาทันข้าวกลางวันพอดียังไงล่ะครับ"
เมฆาบอกพร้อมยิ้มหวาน ทำให้คนมองชะงักและขณะกำลังอึ้ง ๆ ก็ถูกจูงมือเดินไปด้วยกันเรียบร้อย ทางด้านเมฆานั้นขยิบตาให้กับรวีตอนเดินผ่านอีกฝ่าย ซึ่งรวีก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มรับนิด ๆ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับคนตรงหน้าตนอีกครั้งหนึ่ง
:L1:
มาถึงตรงนี้หลายคนก็คงจะรู้แล้วสินะคะว่าทำไมน้องฟ้าเขาถึงหุ่นดี แต่ถึงจะล่ำแต่น้องฟ้าก็ยังน่ารัก อ่อนหวาน แล้วยังโดนล่อด้วยขนมได้เหมือนเดิมนะเอ้อ! 555
-
โชคชะตาพรหมลิขิตบ้าบออะไรของแกฮะ อีตาพี่ซัน :beat: :beat:
นี่มันอำนาจเงินของแกล้วนๆเลยนะเฮ้ย!
ขอโทษที่รุนแรงนะคะพอดีหมั่นไส้มาจากตอนที่แล้ว :z6:
แหมม่ น้องฟ้า
หุ่นล่ำมาดแมนแบบนี้ เสียดายที่นิสัยน่ารักไปหน่อย(?)
น่าจะเพิ่มเลเวลความโหดขึ้นมาซัก 2-3 ระดับนะคะ
พี่ซันจะได้หงอยๆบ้าง
นิยายน่ารักมากเลยค่ะ อ่านเพลิน อ่านไปยิ้มไป
พี่ซันก็น่ารักพอๆกับน่าหมั่นไส้นั่นแหละค่ะ
น้องฟ้าก็น่ารักมากๆ คือเข้าใจอารมณ์ผู้ชายหล่อแต่ยิ้มแล้วน่ารักนะคะ
โอ๊ย คิดแล้วก็.... :-[ :-[
ไว้มาต่ออีกนะคะ
-
:mew1:
-
รุกหนักเลยนะสองหนุ่ม 5555
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
น้องฟ้ามีที่มาของความล่ำที่น่ารักจริงๆ
-
แหม พี่ซันนี่เลื้อยได้ใจจริง ๆ เอาไปเลยเต็มสิบ
-
คุณแม่เตรียมตัวเรียกสินสอดได้เลยค่ะ
มีแววว่าลูกๆกำลังจะได้ออกเรือนในเร็วๆนี้ อิอิ
-
ตามมาจากกิจกรรมค่ะ :katai5:
ยังคงแอบหมั่นไส้พี่ซันอยู่นิดๆ ถถถ
-
สู้ๆ
-
น้องฟ้าก็ยังคงจำพี่ซันไม่ได้อยู่ดี อิอิ
-
ตอนใหม่มาแล้วค่ะ ใครที่หมั่นไส้พี่ซัน ....เชิญตามสบายเลยค่ะ ! 555 พอดีเน้นเขียนคาแรกเตอร์ออกมาให้ช่างตื๊อ + หน้าด้านหน้าทน ชวนให้หมั่นไส้อยู่แล้วค่ะ หุ ๆ ......เรื่องนี้เน้นเวอร์ ๆ เป็นหลักค่ะ อาจจะลงเอยกันง่ายนิด ก็ถือว่าอ่านคลายเครียดนะคะ ^^
บทที่ 6
มีนาถูกเมฆาจูงมือเดินผ่านประตูหลังบ้านออกไปทางถนนด้านหลัง ชายหนุ่มมองเห็นสะพานข้ามคลองอยู่เบื้องหน้าก็อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินตรงไป ก่อนจะชะงักเมื่อคนตัวเล็กพยายามดึงมือของตนออก แถมยังขืนตัวไม่ยอมเดินไปต่อด้วยกัน
"อ้าว...มีอะไรหรือครับน้องมีนา หรือว่าไม่อยากพาพี่เดินเที่ยว"
มีนามองคนพูดแล้วแยกเขี้ยวใส่อย่างไม่สบอารมณ์นัก
"ฮึ! ก็รู้ตัวนี่...อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ว่าคุณดึงผมออกมาเพราะอยากให้เพื่อนคุณทำคะแนนกับพี่ชายของผมน่ะ! คอยดูเถอะ ผมจะบอกเรื่องนี้กับพ่อและแม่ พวกคุณจะได้เข้าใกล้พี่ฟ้าไม่ได้อีก!"
เมฆาถอนหายใจแผ่วเบา เพราะเขาคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้ได้ จึงตัดสินใจดึงตัวมีนาออกมานี่ล่ะ
"พี่รู้นะครับ ว่าน้องมีนาไม่อยากให้เจ้าซันมันจีบน้องฟ้า...แต่พี่ขอเตือนน้องมีนาไว้ก่อนเลยว่า อย่าได้ใช้วิธีหักดิบ ไล่เจ้าซันให้ไม่เหลือทางเลือกแบบนั้น...เพราะมันจะไม่เป็นผลดีทั้งกับตัวน้องมีนาและครอบครัวของน้องเลยนะ"
มีนาขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอเขาจะย้อนถามกลับไป เด็กหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อเมฆาปล่อยมือออกจากข้อมือเขา แถมยังมีสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมลงจนเขาชะงัก
"พี่เป็นเพื่อนกับซันมานานหลายปี ก็สนิทกันพอสมควร...ซันมันเป็นคนใจร้อนเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ แถมไม่เลือกวิธีการอีกต่างหาก นี่เพราะมันรักน้องฟ้ามาก และรู้ว่าน้องฟ้าเป็นคนรักครอบครัว มันก็เลยใช้วิธีแบบละมุนละม่อมอย่างที่เป็นอยู่...แต่ถ้าน้องมีนาเร่งตัดช่องทางในการจีบน้องฟ้าของมันลงแต่เนิ่น ๆ แบบนั้น พี่ว่ามันคงเปลี่ยนไปใช้วิธีรุนแรงที่พี่เชื่อว่าน้องมีนาคงไม่อยากให้เกิดขึ้นแน่ ...พี่ไม่ได้อยากขู่นะครับ แต่น้องมีนาอย่าคิดริเล่นกับไฟดีกว่า เพื่อตัวน้องมีนาและครอบครัวของน้องมีนาเองด้วย"
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบรับฟังอย่างหวาดระแวง แม้จะดูเหลือเชื่อแต่สีหน้าและแววตาของเมฆาก็ดูจริงจังจนไม่เหมือนคนโกหกแต่อย่างใด
"เชอะ! เพื่อนของคุณจะทำอะไรได้ จะฉุดพี่ผมงั้นรึ!"
มีนาแกล้งทำเป็นประชดลองเชิง ซึ่งก็ดูเหมือนเมฆาจะอ่านสีหน้านั้นออก เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ แล้วเปรยตอบตามมา
"ถ้าแค่ฉุดไปเฉย ๆ ก็ดีน่ะสิครับ...พี่กลัวจะ...อืม...แต่คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ถึงหมอนั่นจะเด็ดขาด แต่ก็ไม่น่าจะโหดเหี้ยมขนาดนั้น เฮ้อ! แต่ก็ไม่แน่ พี่เองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับด้านมืดของเจ้าซันมันสักเท่าไหร่ด้วย...ยังไงหมอนั่นก็สืบสายเลือดมาจากมาเฟียตัวจริงเสียจริงนี่นา"
มีนาเผลอกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อรู้ว่ารวีนั้นเป็นถึงลูกชายของมาเฟียเช่นนี้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงทำใจกล้า ปากดีย้อนกลับไป
"มาเฟียนี่นะ ...ตลกตายล่ะ"
"หึ ๆ น้องมีนาไม่อยากเชื่อก็ได้นะครับ พี่ไม่บังคับอะไร ก็แค่อยากจะเตือนด้วยความหวังดี อ้อ! แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ หมอนั่นเป็นคนที่รักษาสัญญาเป็นอย่างดี ลองถ้าถึงที่สุดแล้ว พี่ชายของน้องมีนาไม่สนใจเขา...ซันเขาก็พร้อมจะรักษาสัญญาและยอมจากไปเองนั่นล่ะครับ"
มีนานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเมฆาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ตน
"มะ...มีอะไร...จู่ ๆ จะยื่นหน้าเข้ามาทำไมกัน!"
มีนารีบถามอย่างตกใจพร้อมกับถอยหลังไปสองสามก้าว เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นยื่นหน้าเข้ามาเสียใกล้จนชวนให้หวาดเสียวเลยทีเดียว
"ก็เห็นน้องมีนาเงียบไปเลยแปลกใจน่ะครับ เอาล่ะครับ...เราจะไปเดินชมสวนกันได้หรือยังครับ"
เมฆาถามต่อพร้อมยิ้มหวานติดเจ้าเล่ห์ ชวนให้คนมองนึกหมั่นไส้ จึงประชดตอบกลับไปเสียงห้วน
"ฮึ! ไปก็ได้!"
"ถ้าอย่างนั้นขอเชิญเจ้าถิ่นนำไปได้เลยครับ"
เมฆาแสร้งทำเป็นโค้งน้อย ๆ ให้อย่างนอบน้อม เรียกความหงุดหงิดให้กับมีนาเพิ่มขึ้น เจ้าตัวจึงเดินกระแทกเท้าหนัก ๆ นำหน้าไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก ส่วนเมฆานั้นเดินอมยิ้มตามไป ชายหนุ่มชักรู้สึกสนุกขึ้นมานิด ๆ ที่ได้แกล้งให้ใบหน้าหวานนั้นบึ้งตึงขึ้นมาได้เช่นนี้
อีกด้านหนึ่งรวีที่อยู่ในห้องรับแขกกำลังเปิดอัลบั้มสมัยเด็กของเวหามานั่งดู แล้วพอได้เห็นเด็กหนุ่มในวัยสิบขวบ เจ้าตัวก็ตาเบิกกว้าง เพราะร่างเล็กกลมป้อมนั้นน่าจะหนักได้ถึงเกือบหกสิบกิโลได้ทีเดียว
"โห...น่ารักจังเลยนะครับ...แต่ทำไมรูปน้องฟ้าตอนนี้ถึงไม่ค่อยมีตอนยิ้มเลยล่ะครับ"
รวีซึ่งสังเกตดูรูปถ่ายของอีกฝ่ายในแต่ละรูป ไม่ว่าจะเป็นรูปเดี่ยวหรือรูปคู่กับคนอื่น ไม่มีรูปไหนที่อีกฝ่ายจะยิ้มให้เห็นนัก
"เอ่อ...พอดีตอนนั้นผมไม่ค่อยชอบถ่ายรูปน่ะครับ"
รวีขมวดคิ้วนิด ๆ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นเพราะอะไร เจ้าตัวก็ถอนหายใจแผ่วเบาตามมา
"น่าเสียดายนะครับ เพราะสำหรับพี่แล้ว น้องฟ้าน่ารักที่สุดตอนยิ้มนี่ล่ะครับ...ไม่ว่ารูปร่างภายนอกจะเป็นแบบไหน แต่รอยยิ้มของน้องฟ้าก็ยังดูน่ารักเสมอไม่เคยเปลี่ยนอยู่ดี"
รวีบอกจบก็ยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ แล้วหันไปสนใจรูปถ่ายของอีกฝ่ายต่อ โดยไม่ทันได้สังเกตคนที่กำลังชะงักและมีสีหน้าผิดแปลกไปชั่ววูบหนึ่งทางด้านเวหาจึงพยายามทำตัวให้เป็นปกติอีกครั้ง แม้เมื่อครู่จะเผลอหลุดใจเต้นไปบ้างก็ตาม
"อา...หมดเสียแล้ว น่าเสียดายจัง ถ้ามีมากกว่านี้ก็ดีสินะ"
รวีพึมพำแล้วเงยหน้ายิ้มหวานกับอีกฝ่าย
"ไว้เราไปถ่ายกันเองหลาย ๆ รูป จะได้เอามาเพิ่มรวมในอัลบั้มนี่ดีไหมครับ"
"เอ่อ...ถ้าแค่ถ่ายรูป ก็คงไม่เป็นไรหรอกครับ"
เวหาบอกอึกอักอย่างลำบากใจ เมื่อเห็นดังนั้นรวีจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา
"น้องฟ้าไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ครับ ถ้าไม่ชอบหรือไม่พอใจ จะปฏิเสธพี่มาตรง ๆ ก็ได้ครับ ไม่ต้องเกรงใจอะไรพี่นักหรอกนะ"
"ตะ...แต่ คุณอายุมากกว่า แล้วก็เคยสนิทกันมาก...เอ่อ...ถึงผมจะจำไม่ได้ก็เถอะครับ"
เวหาแย้งเสียงค่อย ซึ่งพอได้ยินดังนั้นคนฟังก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
"แต่พี่อยากให้น้องฟ้าเป็นกันเอง และคุ้นเคยกับพี่เหมือนตอนเด็ก ๆ มากกว่า...ตอนเด็ก ๆ น้องฟ้าน่ารักและซื่อตรงกับตัวเองมาก ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ... ไหน ๆ น้องฟ้าก็อุตส่าห์ให้โอกาสรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างเราแล้วทั้งที พี่ก็ขอโลภมากอีกนิด...พี่อยากขอให้น้องฟ้าทำตัวตามสบายกว่านี้ ...จะได้ไหมครับ"
เวหานิ่งอึ้งและเงียบไปสักพัก ก่อนจะมีรอยยิ้มน้อย ๆ ตามมา พร้อมกับอาการพยักหน้าตอบรับ
"ครับ...ไว้ผมจะลองดู"
รวียิ้มตอบอย่างพึงพอใจ พวกเขานั่งคุยกันสักพักใหญ่ วารีก็เรียกเวหาให้มาช่วยยกกับข้าวขึ้นโต๊ะ ซึ่งรวีก็รีบอาสาไปช่วย และเมื่ออาหารเตรียมขึ้นโต๊ะเรียบร้อยพร้อมทาน พวกมีนาและเมฆาก็ตามมาสมทบพอดี
"ว้าว! กับข้าวน่าทานจังเลยครับ อาหารไทยนี่ล่ะดีที่สุด กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ!"
เมฆาอุทานขึ้นเมื่อได้เห็นอาหารบนโต๊ะ ซึ่งก็ทำให้วารียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามมา
"ดีใจนะจ๊ะที่ชอบ อ้อ! แกงพะแนงหมูถ้วยนี้ มีนเขาปรุงเองเลยนะ ซันกับเมฆลองชิมดูสิจ๊ะ ว่าจะถูกปากไหม"
วารีเชื้อเชิญแขกทั้งสองให้ลองตักชิมหลังจากที่พวกเขานั่งร่วมโต๊ะกันเรียบร้อย ซึ่งทั้งคู่ก็ต่างตักชิมกันคนละคำ และหลังจากกินเสร็จ เมฆาก็หันไปทางวารีทันที
"คุณน้าคิดสินสอดเท่าไหร่สำหรับลูกชายคนเล็กครับ...ผมจะได้บอกผู้ใหญ่ทางฝั่งผมให้เตรียมไว้ให้เรียบร้อย"
ทั้งโต๊ะเงียบกริบไปชั่วขณะ ก่อนที่วารีจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่วนณรงค์นั้นอมยิ้มน้อย ๆ ทางด้านเวหาพอเห็นบิดามารดาหัวเราะเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมรวี หากแต่เวหานั้นเป็นการถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่วนรวีถอนหายใจด้วยความเอือมระอาแทน ทั้งหมดแทบไม่มีใครถือสาเอาความเรื่องที่เมฆาพูด ยกเว้นมีนาที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงด้วยความโมโหที่ถูกล้อเลียนเอาเช่นนี้
"แหม! ตาเมฆ ทำสีหน้าจริงจังเสียจนน้านึกว่าจะมาขอตามีนไป จริง ๆ เสียอีก...รายนี้ยังให้ไม่ได้หรอกจ้ะ ต้องให้เรียนจบก่อน ถึงตอนนั้นถ้ายังไม่เปลี่ยนใจค่อยมาตกลงกันใหม่ก็แล้วกันนะจ๊ะ"
"แม่ครับ!!"
มีนาโพล่งใส่มารดาที่ทำเป็นพูดเล่นอย่างโมโหปนอาย ส่วนณรงค์นั้นสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา ต่อความร่าเริงของภรรยา ที่มักจะหาเรื่องชอบแกล้งแหย่ลูกรักของเจ้าหล่อนเล่นเช่นนี้เสมอ
"พอได้ยินน้าวารีพูดแบบนี้ ทำให้ผมอดนึกถึงสัญญาของพวกเราเมื่อก่อนไม่ได้เลยนะครับ...ไม่ทราบว่าน้าวารีจะลืมไปหรือยัง..."
จู่ ๆ รวีก็เอ่ยขัดการสนทนาของทุกคนขึ้น ทำเอาทั้งโต๊ะเงียบกริบอีกครั้ง ทางด้านวารีครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วจึงย้อนถามกลับไปอย่างสงสัย
"เอ...สัญญาอะไรหรือจ๊ะ...ซันบอกน้าได้ไหม เผื่อน้าจะพอจำได้บ้าง"
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจำไม่ได้จริง รวีก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา
"ถ้าน้าวารีจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ...จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรมากนัก...อ๊ะ! ทานข้าวกันดีกว่าครับ เดี๋ยวแกงเย็นหมด"
ชายหนุ่มตัดบทแล้วตักอาหารกินต่อ และนั่นจึงทำให้ทั้งโต๊ะหันมาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าอีกครั้ง แม้จะยังคงสงสัยในสิ่งที่รวีพูดทิ้งไว้ก่อนหน้านั้นอยู่ก็ตาม
หลังจากมื้ออาหารที่แสนอร่อยผ่านพ้นกันอย่างอิ่มหนำสำราญถ้วนหน้าไปแล้ว พวกวารีกับเมฆาก็อาสาช่วยเก็บล้างจานเพื่อขอบคุณที่เลี้ยงอาหาร หากแต่วารีก็บอกปฏิเสธไป เพราะทั้งคู่นั้นเป็นแขกของบ้าน มีนาจึงอาสาไปช่วยมารดาเก็บล้างแทน ส่วนเวหาก็รับหน้าที่เป็นเพื่อนคุยของทั้งคู่ เพราะณรงค์นั้นขอตัวไปดูแลสวนผลไม้ต่อนั่นเอง
"แม่ไปสัญญาอะไรไว้กับผู้ชายคนนั้นหรือครับ"
มีนาถามมารดาระหว่างช่วยเก็บล้างจานด้วยความสงสัยที่ยังคงไม่จางหาย ซึ่งพอได้ยินดังนั้นวารีก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา
"แม่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน เอ...แต่พี่ซันเขาพูดขึ้นมาตอนแม่กำลังแซวเรื่องลูกกับพี่เมฆเขาอยู่สินะ..."
มีนานิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์อีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องที่มารดาแหย่ตน แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร วารีก็พลันชะงัก พลางนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะพึมพำบางอย่างตามมา
"หรือว่าจะเป็นเรื่องนั้น...บ้าน่า...เด็กคนนี้ยังคิดแบบเดิมอยู่อีกหรือ..."
พูดแค่นั้นหญิงสาวก็ทิ้งจานที่กำลังล้างอยู่ไว้ในอ่างน้ำ แล้วก้าวเดิน ฉับ ๆ ออกไปยังห้องรับแขก ทำให้มีนาที่กำลังช่วยมารดาล้างจาน ต้องรีบปิดน้ำจากก๊อกน้ำ พลางเดินตามไปอย่างงุนงง
"อ้าว...คุณน้ามีอะไรหรือครับ"
รวีที่หันมาเห็นอีกฝ่ายเดินมาเอ่ยทัก ซึ่งก็ทำให้เวหาและเมฆามองตามมาเป็นตาเดียว
"มีอะไรหรือครับแม่ ทำไมทำหน้าเครียดจัง"
เวหาถามมารดาอย่างประหลาดใจ ซึ่งวารีก็ยืนตั้งสติเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่าย อันเป็นเวลาเดียวกับที่มีนาตามมารดามาทันพอดี
"เอ่อ...สิ่งที่น้าจะถามต่อไปนี่ ถ้าน้าพูดอะไรผิดไป ซันก็ทักท้วงได้เลยนะ..."
รวีขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้และรอในสิ่งที่หญิงสาวจะบอก
"คือ...ที่ซันบอกว่าน้ากับซันเคยสัญญาอะไรบางอย่างเอาไว้...นั่นใช่สัญญาที่น้าเคยบอกว่าจะยกตาฟ้าให้เป็นเจ้าสาวของซัน...ถ้าซันบรรลุนิติภาวะแล้ว และยังชอบตาฟ้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน...ใช่หรือเปล่าจ๊ะ"
พอขาดคำของวารี มีนา เวหา หรือแม้กระทั่งเมฆาเองก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน ยกเว้นรวีที่ชะงักไปชั่วครู่ หากแต่สักพักก็มีรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏที่ริมฝีปากได้รูปนั่น
"แหม! ผมก็นึกว่าคุณน้าจะจำไม่ได้แล้วเสียอีก ดีจริง ๆ นะครับ ที่คุณน้าไม่ใช่ผู้ใหญ่ประเภทที่พูดหลอกให้ความหวังเด็กไปวัน ๆ แบบนั้น"
วารีกลืนน้ำลายในลำคอต่อคำพูดที่แสนจะแทงใจดำนั่น สิ่งที่เธอภาวนาให้เธอจำผิด กลับเป็นความจริงที่เคยเกิดขึ้นทุกประการ ทั้งนี้ที่เคยให้สัญญาไป ก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะหลงรักลูกชายของตนได้อย่างจริงจังมาเนิ่นนานเช่นนี้นั่นเอง
"นี่แสดงว่าซันยังชอบฟ้าเขาอยู่อีกหรือจ๊ะ"
วารีลองหยั่งเชิงถามต่อ ซึ่งรวีก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร เพราะยังไงเขาก็ต้องการบอกให้บิดาและมารดาของเวหารับรู้ไว้ในที่สุดอยู่แล้ว
"ใช่ครับ...แล้วผมก็ขออนุญาตน้องฟ้าเขาแล้วด้วย น้องเขายอมให้โอกาสผมจีบเขา ผมก็เลยตัดสินใจเลือกจีบแบบเข้าตามตรอก ออกตามประตูแบบนี้ล่ะครับ"
วารีหันไปมองลูกชายคนโตของเธอด้วยสายตาตกตะลึง ทำเอาเวหาต้องรีบหลบตาทันควัน
"หึ ๆ คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมเข้าใจดี ถึงน้องฟ้าเขาจะยอมให้โอกาสผมจีบเขาก็ตาม แต่ก็เพราะความสงสารนั่นล่ะครับ อีกอย่างก็ใช่ว่าเขาจะยอมรับรักผมง่าย ๆ หรอกนะครับ และท้ายที่สุดก็ต้องขึ้นอยู่กับความรู้สึกของน้องฟ้าด้วย... ถ้าน้องฟ้ายอมรับรักผมไม่ได้จริง ๆ ผมก็จะตัดใจเองครับ"
วารีหันมามองชายหนุ่มลูกครึ่งนิ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา
"น้าดีใจนะที่ซันคิดถึงความรู้สึกของฟ้าด้วย น้าเองสมัยก่อนก็พูดจาไม่รู้จักคิดไปหน่อย ไม่นึกเลยว่าซันจะจริงจังกับฟ้ามาจนถึงป่านนี้ เอาเถอะ ลองซันรักของซันมานานตั้งหลายปี แถมน้าก็เคยรับปากไว้ด้วย ดังนั้นน้าก็จะไม่ขวางเรื่องนี้ก็แล้วกัน ...ขออย่างเดียวอย่าฝืนใจบังคับน้องก็พอ สัญญากับน้าได้ไหมจ๊ะ"
วารีบอกพลางจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังกว่าเดิม ซึ่งรวีเองก็ยิ้มตอบรับพร้อมกับพยักหน้าแล้วจ้องอีกฝ่ายตอบอย่างไม่คิดหลบตา
"ได้ครับ...ผมให้สัญญา ผมจะไม่ทำอะไรที่เป็นการบังคับฝืนใจน้องฟ้าเด็ดขาด"
วารีถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าหล่อนยังคงล้างจานค้างอยู่ จึงรีบขอตัวกลับไปทำงานต่อ ส่วนมีนานั้นลังเลระหว่างจะอยู่ขัดขวางไม่ให้รวีจีบพี่ชายหรือช่วยงานมารดาดี เห็นดังนั้นเมฆาจึงอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจูงมือร่างเล็กให้เข้าไปในครัวด้วยกันแทน โดยแลกกับการจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่ตนรู้ของเพื่อนสนิทให้ฟัง จึงทำให้สองแม่ลูกยอมให้ชายหนุ่มอยู่ช่วยงานในครัวด้วยกันแต่โดยดี
อีกด้านหนึ่ง เวหาที่อยู่กันตามลำพังกับรวี รู้สึกวางตัวลำบากขึ้นมากกว่าเดิม เนื่องจากเขาไม่คิดว่ามารดาจะเคยตกปากสัญญากับอีกฝ่ายเช่นเดียวกับตนสมัยเด็ก แถมตอนนี้มารดายังเปิดไฟเขียวยอมให้รวีจีบเขาตามสบายโดยไม่คิดขัดขวางอีกต่างหาก
"น้องฟ้าครับ พี่บอกแล้วไงครับว่าน้องฟ้าไม่ต้องกังวล ไม่ต้องลำบากใจ น้องฟ้าก็ทำตัวแบบเดิม ๆ นี่ล่ะครับ พี่เองก็ใช่ว่าจะเร่งรัดฟังคำตอบจากน้องฟ้าเสียตอนนี้เมื่อไหร่ ระยะนี้ก็ให้น้องฟ้าถือเสียว่าเราคบกันแบบพี่ ๆ น้อง ๆ ไปก่อนก็ได้นะครับ"
เวหาเงยหน้าสบตาคนที่หลงรักตนด้วยสายตาประหลาดใจนิด ๆ และนั่นทำให้คนมองอมยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู
"ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ พี่พูดจริง ๆ ...พี่รอมาแล้วสิบห้าปี รออีกนิดหน่อยทำไมจะไม่ได้ แค่น้องฟ้าไม่รังเกียจพี่ เท่านี้พี่ก็ดีใจมากแล้วล่ะครับ"
เวหาสะดุ้งนิด ๆ ที่อีกฝ่ายคาดเดาความคิดของเขาได้ แถมท่าทางอ่อนโยนและรอยยิ้มใจดีนั่น ก็ทำให้เขาเริ่มคิดว่า หากอีกฝ่ายไม่ได้หลงรักเขา เด็กหนุ่มก็คงพร้อมที่จะยินดีต้อนรับรวีเป็นเสมือนพี่ชายของตนคนหนึ่งได้โดยไม่ยากนัก
"พี่ซัน... ขอบคุณนะครับ ที่เข้าใจผม"
รวีชะงักกึก เมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นของตนพร้อมมีรอยยิ้มเอียงอาย นิด ๆ ให้ได้เห็น เขาอยากจะจับมือของเด็กหนุ่มขึ้นจูบหรือแม้แต่ดึงร่างนั้นมากอด แต่ขืนทำแบบนั้นตอนนี้ มีหวังคงโดนเวหาเหินห่างกว่าเดิมเป็นแน่
"เอ่อ...อืม...ถ้าอย่างนั้นวันนี้พี่ขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะครับ ว่าจะไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์มาเข้าบ้านด้วยน่ะครับ"
เวหาพยักหน้ารับรู้แล้วยิ้มให้อีก ซึ่งก็ทำให้คนมองใจเต้นแรงมากขึ้นและเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ จึงจำต้องหาเรื่องเลี่ยงให้พ้นคนตรงหน้าให้เร็วที่สุด ก่อนจะเผลอลืมตัวทำอะไรแปลก ๆ ออกไปจนได้
"งั้นเดี๋ยวพี่ไปลาคุณน้าวารีก่อนแล้วกันนะครับ"
บอกจบรวีก็จ้ำพรวดเข้าไปในครัว ซึ่งเขาก็ได้เห็นสองแม่ลูกกำลังนั่งฟังเพื่อนของเขา นินทาเรื่องเขาสมัยเรียนอย่างสนุกสนานกันอยู่เลยทีเดียว
"อะแฮ่ม! เมฆ! กลับกันได้แล้ว เดี๋ยวต้องไปซื้อของต่ออีก...เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับคุณน้า ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ด้วยนะครับ อาหารอร่อยทุกอย่างเลยครับ"
"เอ๋...จะกลับแล้วหรือจ๊ะ น้านึกว่าซันจะอยู่คุยกับฟ้าเขาอีกนาน ๆ สักหน่อย"
วารีถามอย่างแปลกใจ แต่นั่นก็ทำให้เวหาที่เดินตามมาและมีนาหันไปมองมารดาของตนตาปริบ ๆ เลยทีเดียว
"อยากอยู่คุยนานกว่านี้เหมือนกันล่ะครับ แต่พอดีต้องไปเลือกซื้อของอีกนาน...ยังไงผมฝากลาคุณน้าณรงค์ด้วยนะครับ ไว้ว่าง ๆ ผมจะแวะมาเยี่ยมอีก"
รวียกมือไหว้อำลาหญิงสาว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกมือรับไหว้ จากนั้นรวีก็หันไปทางมีนาและเวหาบ้าง
"พี่ไปแล้วนะครับ น้องฟ้า น้องมีน"
สองพี่น้องยกมือไหว้อีกฝ่ายที่อายุมากกว่าตามมารยาท ซึ่งก็ทำให้เมฆาที่ลอบมองอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของคนน้องที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ยกมือไหว้แบบขอไปทีหรือไหว้ประชดเพื่อนเขาให้เห็นแต่อย่างใด ประกอบกับที่ได้พูดคุยกันระหว่างเดินเล่นที่สวนก่อนหน้านั้น ก็ทำให้เมฆายิ่งมั่นใจว่ามีนานั้นเป็นเด็กดีคบหาง่ายคนหนึ่ง
"เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่ประตูนะครับ"
เวหาอาสาตามไปส่งชายหนุ่มทั้งคู่ ซึ่งก็ทำให้มีนาตาเบิกกว้างใส่พี่ชาย แล้วจึงรีบโพล่งตามมา
"ถ้าอย่างนั้นผมก็ไปด้วยคน!"
เวหามองน้องชายแล้วลอบถอนหายใจ เขาเชื่อเลยว่าหลังจากที่รวีกับเมฆากลับไปแล้ว เขาคงได้โดนมีนาบ่นใส่อีกมากมายตามมาหลังจากนี้เป็นแน่
หลังออกจากบ้านของเวหามาแล้ว เมฆาก็สังเกตเห็นเพื่อนของตนลอบหายใจอย่างโล่งอก ทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัยเป็นยิ่งนัก
"อะไรของนาย ได้มีโอกาสอยู่กันตามลำพังแท้ ๆ แถมแม่เขาก็เปิดไฟเขียวขนาดนี้ แต่ไหงถึงรีบชิ่งนักล่ะ"
เมฆาถามเพื่อนออกไปตามตรง ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะทำหน้ายุ่งใส่เพื่อนสนิท
"ก็ขืนไม่รีบชิ่ง ก็มีหวังได้เผลอปล้ำน้องเขาเข้าให้สิวะ! เด็กอะไรไม่รู้ น่ารักน่ากอดชะมัด ยิ่งเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวยิ้มให้แบบนั้น ทำเอาฉันแทบคุมตัวเองไม่อยู่เลยว่ะ!"
เมฆานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจตามมาเช่นเดียวกัน
"เฮ้อ...นายนี่มันเข้าขั้นยากจะเยียวยาแล้วว่ะซันเอ๋ย...โรคจิตของแท้เลยนะนายน่ะ"
"เขาเรียกว่าคลั่งรักโว้ย ไม่ใช่โรคจิต!"
รวีเถียงกลับ แต่นั่นทำให้คนฟังนิ่วหน้า แยกไม่ค่อยออกว่าระหว่างโรคจิตหรือคลั่งรัก แบบไหนมันจะฟังดูดีกว่ากัน
"เออ ๆ คลั่งรักก็คลั่งรัก...ไปซื้อของกันเถอะว่ะ เดี๋ยวคืนนี้จะได้นอนที่บ้านใหม่กันเลย ไม่ต้องพึ่งโรงแรม"
เมฆาตัดบทอย่างเอือมระอา ซึ่งก็ทำให้คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยักไหล่ แล้วเดินตรงไปที่รถยนต์ส่วนตัวอย่างเห็นดีด้วย เพราะทั้งเขาและเมฆาเป็นพวกช่างเลือก และคงต้องใช้เวลาเลือกสรรซื้อหาเฟอร์นิเจอร์ให้ถูกใจพวกตน อีกสักพักใหญ่ ๆ กันเลยทีเดียว
.... TBC ....
-
น้องฟ้าตกทีนั่งลำบากซะแล้ว :katai3:
-
สนุกอ่าๆๆๆๆ ชอบคู่น้องมีน 5555
-
o13
-
* เกือบจะลงตอนซ้ำเสียแล้วสิคะ ดันลืมแก้ชื่อหัวตอน ^^"
บทที่ 7
หลังจากที่พวกรวีและเมฆากลับไปได้สักพัก ณ บริเวณศาลาพักผ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ คนที่นั่งอยู่ในนั้นกำลังนั่งนิ่งเงียบกริบ เมื่อเห็นน้องชายของตนซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามทำหน้าบึ้งใส่
"พี่ฟ้า! รู้ไหมว่าทำไมมีนถึงโมโหน่ะ!"
มีนาเริ่มต้นพูดขึ้นก่อน ซึ่งคนฟังก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบกลับไปเสียงอ่อย
"พี่รู้...แต่พี่ซันเขาก็น่าสงสารไม่ใช่หรือ อีกอย่างเขาก็ให้เกียรติพี่ดี ยอมให้พี่เป็นคนตัดสินใจเองด้วยนะ"
มีนาตาเบิกกว้าง แล้วรีบโพล่งย้อนกลับไปอย่างหงุดหงิด
"พี่ฟ้า! อย่าบอกนะว่าแค่นี้ก็ใจอ่อนแล้ว! ให้ตายเถอะ! ทำไมพี่ถึงเป็นคนแบบนี้นะ!"
"มีนล่ะก็...พี่ยังไม่ได้ใจอ่อนสักหน่อย แค่อยากจะบอกว่าพี่ซันเขาก็เป็นคนดีน่าคบหาเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นเอง"
เวหาแย้งกลับ แต่เท่าที่ฟังดู มีนาก็พอจะคาดเดาความรู้สึกของพี่ชายได้บ้างแล้วว่า คงจะเริ่มใจอ่อนต่อรวีเข้าบ้างให้แล้ว
"บ้าจริง! ช่วงนี้ไม่น่าปิดเทอมเลย ไม่อย่างนั้นหมอนั่นก็คงมาหาพี่ทุกวันแบบนี้ไม่ได้หรอก!"
มีนาบ่นพาลไปถึงเรื่องเรียนทำให้คนมองถอนหายใจเบา ๆ
"มีนล่ะก็ ถึงเขาจะตื๊อยังไง แต่ถ้าพี่ไม่ตกลง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมล่ะ"
"มันจะมีปัญหา ก็เพราะมีนกลัวพี่ตอบตกลงนี่ล่ะ!"
มีนาประชดใส่ ก่อนจะเอ่ยต่อ
"พี่ฟ้ารู้ไหมว่าพี่ซันของพี่น่ะ พ่อของเขาเป็นมาเฟียนะ พี่อยากไปเป็นสะใภ้มาเฟียหรือไง!"
เวหาขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วจึงย้อนถามกลับไป
"มาเฟีย? แล้วมีนรู้ได้ไงว่าพ่อของพี่ซันเขาเป็นมาเฟียน่ะ"
มีนาชะงัก ก่อนจะบอกออกไปตามตรง
"ก็หมอนั่น...เอ่อ..พี่เมฆนั่นเล่าให้ผมฟังยังไงล่ะ!"
เวหาขมวดคิ้วยุ่งมากขึ้นไปอีก
"แล้วพี่เมฆเขาจะเล่าเรื่องนี้ให้มีนฟังทำไมกัน เรื่องนั้นมันจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์เพื่อนของเขาดูไม่ดียิ่งขึ้นไปอีกไม่ใช่หรือ"
มีนาสะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงบอกออกไปตามตรง
"ก็ผมคิดจะเอาเรื่องที่หมอนั่นจีบพี่ฟ้าไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง อีตาพี่เมฆนั่นก็เลยขู่ผมไง"
เวหารับฟังแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยพึมพำตามมา
"แต่ที่พี่เห็น พี่ซันเขาก็ไม่มีท่าทีข่มขู่อะไรพี่เลยนะ มีนคิดมากไปเองมากกว่า หรือไม่บางทีพี่เมฆเขาก็อยากแกล้งหลอกมีน ให้มีนกลัวไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ก็ได้ แต่มาถึงตอนนี้บอกไม่บอกก็ไม่ต่างกันแล้วนี่นะ"
"เชอะ! ก็ใช่น่ะสิ แม่นะแม่ ดันเห็นดีเห็นงามอนุญาตให้ผู้ชายมาจีบลูกชายของตัวเองซะงั้น! นี่เดี๋ยวก็คงพูดกล่อมให้พ่อยอมรับอีกคนแน่ พ่อยิ่งยอมฟังแม่ทุกเรื่องอยู่ด้วย"
มีนาบ่นอุบ ซึ่งก็ทำให้เวหาสั่นศีรษะไปมาเบา ๆ
"ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง หรือว่ามีนอยากให้พ่อแม่ทะเลาะกัน"
มีนาเม้มปากน้อย ๆ ทำหน้ายุ่ง แล้วบ่นใส่
"ฮึ! ถ้าพี่ฟ้าว่าดีก็คงดีนั่นล่ะ! มันเรื่องของพี่ฟ้านี่ ไม่ใช่เรื่องของมีนสักหน่อย!"
เวหาถอนหายใจอีกครั้ง แล้วจึงลูบศีรษะของน้องชายอย่างเอ็นดู
"ไม่เอาน่า อย่างอนสิ พี่รู้หรอกน่าว่ามีนห่วงพี่ แต่พี่ไม่อยากให้มีนต้องมาคอยเครียดเรื่องพี่แบบนี้ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะมีน คนเราถ้าเป็นเนื้อคู่กัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคยังไงก็ย่อมได้อยู่เคียงคู่ กลับกันถ้าไม่ใช่ ต่อให้มีคนอุ้มสมช่วยเหลือเปิดทางให้คู่กันขนาดไหน มันก็ไม่มีทางจะคู่กันไปได้หรอกนะ"
มีนารับฟังคำพูดของพี่ชายก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมาอย่างนึกปลง
"ก็คงถูกของพี่ฟ้านั่นล่ะ เอาเหอะ! มีนไม่อยากจะคิดมากเรื่องนี้เท่าไหร่แล้ว ขึ้นอยู่กับพี่ฟ้าแล้วกัน อืม...มีพี่เขยเป็นมาเฟียก็คงเข้าท่าดีล่ะมั้ง อ๊ะ! ไม่สิ มีนไม่อยากให้พี่ฟ้าแต่งออกนอกบ้านไปแบบนั้น เอาเป็นว่าถ้าพี่ฟ้ายอมรับเขาเป็นแฟนเมื่อไหร่ ก็บอกให้หมอนั่นแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ฝั่งเราแทนดีกว่า หุ่นอย่างพี่ฟ้ากดหมอนั่นได้สบาย ๆ อยู่แล้ว ฮ่า ๆ"
มีนาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแทน แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดนั้น กลับทำให้คนฟังหน้าแดง แล้วจึงตวาดใส่น้องชายลั่นเพื่อแก้เขิน
"เดี๋ยวเถอะมีน! พูดอะไรของเราเนี่ย! พี่ยังไม่ได้ไปตกปากรับคำกับพี่ซันเขาสักหน่อย! ฮึ! คอยดูนะ การบ้านปิดเทอมของมีน พี่จะปล่อยให้มีนทำเองทั้งหมดให้เข็ด!"
"เอ๋! อะไรกัน! เรื่องการบ้านของมีนมาเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย! ไม่นะพี่ฟ้า ถ้าพี่ฟ้าไม่ช่วยสอนเลขล่ะก็ มีนคงทำเองไม่รอดแน่อะ!"
มีนาโวยวายตอบ แต่เวหานั้นงอนที่ถูกน้องชายล้อเลียนเข้าให้แล้ว ทำให้มีนาต้องตามง้อยกใหญ่ และลงท้ายเด็กหนุ่มก็ต้องสัญญาว่า จะทำขนมหวานที่เวหานั้นชอบให้กิน ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายเริ่มมีรอยยิ้มและยอมยกโทษให้น้องชายในที่สุด
หลังจากใช้เวลาพักใหญ่ ๆ เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกใจได้แล้ว รวีก็สั่งให้ทางร้านมาจัดส่งให้ด่วน ซึ่งก็ไม่เสียแรงที่ชายหนุ่มเลือกซื้อจากร้านราคาแพง ที่คนแถวนั้นไม่กล้าเฉียดเข้าไป สินค้าทุกชิ้นจึงมีจัดพร้อมส่งไม่ให้ลูกค้าต้องเสียอารมณ์รออย่างที่ควรจะเป็น
"ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยเป็นธุระให้"
รวีบอกกับคนส่งของจากทางร้านพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบพร้อมยกมือไหว้ก้มหัวปลก ๆ ขอบคุณ ยามเมื่อแบงค์พันจากมือของอีกฝ่ายยื่นส่งให้กับพวกตนคนละใบเช่นนี้
"ทิปหนักจังเลยน้า รู้งี้ฉันไปลงทุนช่วยเขาขนของอีกคนก็ดีเนาะ"
เมฆาเอ่ยแซวเพื่อน หลังจากที่คนส่งของจากทางร้านเฟอร์นิเจอร์กลับไปหมดแล้ว
"หึ! ก็เขาอดทนต่อความจู้จี้ของฉันกับนายได้เป็นอย่างดี ก็ต้องทิปให้สักหน่อยสิ"
เมฆารับฟังเพื่อนบอกแล้วก็หัวเราะในลำคอตามมา เพราะก็จริงอย่างที่รวีบอก พวกเขาต้องใช้เวลาถึงเกือบสองชั่วโมง ในการขนย้ายของและจัดของให้เข้าที่เข้าทางแบบนี้
"แต่ก็ค่อนข้างถูกใจฉันมากอยู่นะ อืม...แล้วข้าวเย็นพวกเราเอาไงดี ไปขอบ้านน้องฟ้ากินอีกดีไหม"
ท้ายประโยครวีนั้นหันไปถามเพื่อนสนิท ซึ่งเมฆาก็ถอนหายใจตามมา
"เฮ้อ! อย่าเลยน่าซัน...เราเพิ่งจะไปกันเมื่อตอนกลางวันเองนะ ฉันว่าน้องฟ้าเขาคงยังไม่ลืมหน้านายหรอก"
รวีหันไปมองเพื่อนของตนตาปริบ ๆ ก่อนจะทำเสียงในลำคอเบา ๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก
"ฮึ! คนรักกันก็อยากเห็นหน้ากันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทั้งนั้นล่ะ คนไม่เคยมีความรักอย่างนายไม่รู้หรอกน่า!"
เมฆาเหลือบมองเพื่อนอย่างเอือมระอา แต่ก็ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงอีกฝ่าย จึงได้เปลี่ยนเรื่องสนทนาแทน
"แล้วเรื่องของกินจะเอายังไง ถ้าจะไปเบียดเบียนบ้านน้องฟ้าทุกมื้อแบบนั้น ฉันว่ามันก็น่าเกลียดนา อืม...แต่ฉันกับนายก็ไร้ฝีมือทำกับข้าวทั้งคู่ เอ...หรือว่าจะจ้างแม่บ้านมาชั่วคราวดี"
เมฆาถามเพื่อนของตน ซึ่งรวีก็ขมวดคิ้วยุ่ง ทว่ายังไม่ทันตอบอะไร เสียงกดกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ทำให้สองหนุ่มชะโงกหน้าออกไปดูผ่านหน้าต่างห้อง และพอเห็นว่าเป็นใคร รวีก็แทบจะรีบวิ่งลงจากเรือนมาหาคนด้านล่างทันที
"น้องฟ้า! มีอะไรหรือครับ ถึงมาหาพี่แบบนี้!"
รวีถามด้วยใบหน้าตื่นเต้นยินดี เสียจนคนมองตอบรู้สึกเขินนิด ๆ ส่วนคนที่มาเป็นเพื่อนเหลือบมองอย่างนึกหมั่นไส้ ก่อนจะกระแอมเบา ๆ ขัด
"อะแฮ่ม! มากันสองคนแต่ทักคนเดียวแบบนี้นี่จงใจหรือเปล่าครับ!"
รวีชะงักก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็กแล้วยิ้มให้
"อ้อ! ขอโทษทีครับน้องมีน พอดีพี่ดีใจที่ได้เห็นน้องฟ้า เสียจนลืมมองรอบข้างเลยล่ะครับ"
คำพูดที่แสนจะจริงใจทำให้มีนาทำเสียงพึมพำบ่นอุบอิบ ส่วนเวหารู้สึกอายเพิ่มขึ้นจนใบหน้าเริ่มมีสีเรื่อขึ้นมาน้อย ๆ
"เหอะ ๆ อย่ามัวยืนจีบกันหน้าบ้านอยู่เลย เดี๋ยวก็ได้กลายเป็นเป้าสายตาชาวบ้านหรอกครับพวกคุณ"
เมฆาแกล้งกระเซ้า ทำให้เวหากับมีนาชะงัก จากนั้นมีนาก็รีบจูงมือพี่ชายเข้ามาในเขตบ้านเพื่อป้องกันข่าวลือแปลก ๆ จากเพื่อนบ้านละแวกนี้ทันที
"พวกพี่เพิ่งลงเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เสร็จน่ะ พวกน้องฟ้ากับน้องมีนอยากเดินชมบ้านด้วยกันไหมครับ"
รวีถามเด็กหนุ่มทั้งสอง ทางด้านมีนานั้นแม้จะอยากชมรอบบ้านหลังนี้ที่เขาคุ้นเคยมานาน แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้ามาก็จริง ทว่าเขาก็ไม่อยากให้เวหาอยู่ใกล้รวีมากไปกว่านี้นัก เพราะแม้เวหาจะเคยบอกเขาว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดก็ตาม แต่ถ้าเขาป้องกันเอาไว้บ้าง บางทีไอ้ที่ควรจะเกิดก็อาจจะไม่เกิดจริงก็เป็นได้
"ไม่ล่ะครับ พวกเราแค่มาเพราะแม่สั่งให้มาก็แค่นั้น"
พอได้ยินดังนั้น ก็ทำให้รวีกับเมฆามองมีนาอย่างประหลาดใจ
"คุณน้าวารีสั่งมา?"
"ครับ...แม่เห็นพวกคุณเพิ่งย้ายมาอยู่วันนี้ อาจจะลำบากเรื่องอาหารการกินในวันแรก ๆ เลยมาชวนคุณไปกินข้าวเย็นด้วยกันน่ะครับ"
เวหาเป็นฝ่ายอธิบายให้ทั้งคู่ฟัง ซึ่งพอได้รับฟังก็ทำให้รวีกับเมฆารู้สึกซาบซึ้งในความมีน้ำใจของหญิงสาวยิ่งนัก
"ขอบคุณนะครับ แต่จะไม่เป็นการรบกวนทางบ้านน้องฟ้ามากไปหรือครับ"
รวีบอกด้วยสีหน้าเกรงใจ ทำเอาเมฆาจ้องมองเพื่อนตาปริบ ๆ เพราะอีกฝ่ายเพิ่งจะบอกเขาก่อนหน้านั้นให้ไปขอข้าวบ้านเวหากินอยู่หยก ๆ
"ไม่หรอกครับ แม่บอกว่าพวกคุณ...เอ่อ...พวกพี่ซันกินง่ายกว่าที่คิด ดังนั้นก็เลี้ยงได้สบาย ๆ อยู่แล้ว"
รวียิ้มกว้างตอบรับ เพราะอีกฝ่ายนั้นยอมเรียกเขาว่าพี่อย่างที่เขาอยากได้ยินอีกครั้งหนึ่ง
"ใช่! ทอดไข่เจียวแจกโปะข้าวคนละฟอง แค่นั้นก็น่าจะพออิ่มแล้วล่ะ!"
มีนาเอ่ยประชดขัดขึ้น ทำให้เวหาลอบถอนหายใจเบา ๆ
"ไข่เจียวหรือ ก็ดีนะครับ ถ้าเป็นไข่ที่น้องมีนทอดคงอร่อยน่าดู"
เมฆาแทรกขัดขึ้นบ้าง ทำให้คนตัวเล็กหันขวับมามองแล้วจ้องตาดุถลึงใส่ แต่ก็แลดูน่ารักเสียจนชายหนุ่มนึกขำ
"ถ้าอย่างนั้นมื้อนี้ก็คงต้องขอรบกวนน้องฟ้าอีกมื้อนะครับ...อ้อ ขอฝากท้องอีกมื้อนะครับน้องมีน"
รวีหันไปบอกมีนาท้ายประโยค ซึ่งอีกฝ่ายก็ค้อนนิด ๆ ให้อย่างนึกหมั่นไส้ แต่ก็จำต้องพาชายหนุ่มทั้งสองไปร่วมอาหารมื้อเย็นตามคำสั่งของมารดาอยู่ดี
มื้อเย็นวันนี้เป็นกับข้าวง่าย ๆ แต่ถูกใจคนกินอย่างรวีและเมฆาที่ไม่ค่อยได้กินอาหารไทยบ่อยนัก ไข่เจียวที่มาจากไข่ไก่เลี้ยงของบ้าน น้ำพริก ผักลวกจิ้มจากพืชผักสวนครัวที่ปลูกริมรั้วและในสวน ปลานิลทอดจากในบ่อปลาที่ณรงค์ขุดไว้ รวมแล้วก็แทบจะไม่ต้องไปซื้อหาอะไรมาเพิ่มเติมในมื้อนั้นมากนัก
"ดีจังเลยนะครับ แบบนี้ก็ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกมากเลยทีเดียว"
เมฆาบอกกับวารีอย่างชื่นชม หลังจากได้รู้ที่มาที่ไปของวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารมื้อนี้
"ใช่จ้ะ ยิ่งถ้าเราไม่ฟุ้งเฟ้ออะไรมากนัก แค่นี้ก็กินอยู่ได้อย่างพอเพียงแล้ว"
"ผมเข้าใจครับ เมื่อกลางวันได้แวะไปดูสวนผลไม้ของคุณน้า เห็นน้องมีนบอกว่าทำแบบเกษตรผสมผสาน มีทั้งปลูกพืชผัก ขุดบ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่...ผมเห็นเข้ายังชอบใจเลยครับ"
เมฆาเอ่ยตอบอย่างร่าเริง ส่วนรวีนั้นหันไปสนทนากับณรงค์บ้าง
"คุณน้าไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูกสินะครับ"
"ครับ ผมทำปุ๋ยน้ำชีวภาพใช้เอง ลดต้นทุนไปได้เยอะ แล้วก็ได้ผลค่อนข้างดีด้วยล่ะครับ"
ณรงค์บอกพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร พวกเขากินกันไปและพูดคุยกันเรื่องเพาะปลูกรวมถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป ซึ่งก็ไม่พ้นการใช้ชีวิตอยู่ละแวกนี้ และเมื่อกินเสร็จอิ่มหนำสำราญกันแล้ว วารีก็เสนอให้ทั้งสองหนุ่มมากินข้าวที่บ้านของหล่อนได้ทุกวันในระหว่างที่อยู่อาศัยที่นี่
"ก็ซันกับเมฆบอกว่าไม่ทานมื้อเช้าไม่ใช่หรือจ๊ะ เพราะฉะนั้นมื้อกลางวันกับเย็นก็มาทานด้วยกันสิ คนเยอะครึกครื้นดีออก"
วารีชวนอย่างจริงใจซึ่งณรงค์เองก็ยิ้มพร้อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เวหาเองก็ยิ้มน้อย ๆ ให้อย่างไม่นึกรังเกียจ ยกเว้นแค่มีนาที่มีใบหน้าไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าใดนัก
"ผมดีใจนะครับที่คุณน้าไม่รังเกียจพวกเราสองคน แต่พวกเราสองคนก็ไม่อยากรบกวนหรือเป็นภาระกับพวกคุณน้าให้มากนัก แค่นี้ก็โดนน้องมีนมองเขม่นเข้าให้แย่แล้วล่ะนะครับ"
รวีที่หันไปเห็นใบหน้าของคนตัวเล็กเข้าพอดีแสร้งบอกด้วยสีหน้าที่ทำเป็นฝืนยิ้มลำบากใจ และนั่นก็ทำให้มีนาสะดุ้งโหยง และยิ่งต้องหลุดยิ้มเจื่อนเมื่อบิดาและมารดาหันมามองตำหนิตน
"ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย! อย่ามองกันแบบนี้สิครับพ่อ! แม่!"
"หึ ๆ เจ้าซันมันล้อเล่นน่ะครับ น้องมีนออกจะใจดีไปชวนพวกเรามากินข้าวเย็นถึงที่บ้านแบบนั้น แถมยังบอกว่าจะทอดไข่ให้กินเป็นพิเศษอีก เพราะฉะนั้นพวกคุณน้าอย่าดุน้องเขาเลยนะครับ"
เมฆารีบแก้ตัวแทนเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ทำให้รวีหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วเอ่ยเสริมขึ้น
"ก็ประมาณนั้นล่ะครับ ผมแค่อยากจะแหย่น้องมีนเขาสักหน่อยเอง พี่ขอโทษด้วยนะครับน้องมีน"
มีนาทำเสียงฮึในลำคอ พร้อมกับค้อนขวับให้นิด ๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนที่จะเหลือบไปมองเมฆาเล็กน้อย แต่พอเห็นอีกฝ่ายหันมาสบตาพร้อมกับยิ้มหวานให้ตน เด็กหนุ่มก็ต้องรีบหันขวับไปมองทางอื่นแล้วพร่ำบอกตัวเองที่จู่ ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างประหลาดให้สงบจิตใจลงได้สักที
จากนั้นสักพัก ทั้งหมดก็ตกลงกันได้ โดยที่ตอนแรกรวีกับเมฆานั้นจะขอมีส่วนในการช่วยเรื่องค่ากับข้าวในแต่ละมื้อ ซึ่งวารีและณรงค์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อเสนอโดยเด็ดขาด แต่ชายหนุ่มทั้งคู่ก็ไม่อยากจะเอาเปรียบ ลงท้าย มีนาก็เลยเสนอให้พวกรวีและเมฆาซื้อพวกข้าวสารกับเครื่องปรุงรสเข้าบ้านแทน แล้วที่เหลือก็ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายอะไรอีก ซึ่งแม้วารีกับณรงค์จะไม่ค่อยชอบใจกับข้อเสนอนี้นัก แต่เมื่อพวกรวีกับเมฆา รวมถึงลูกชายทั้งสองของเธอเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์ ผู้ใหญ่ทั้งสองจึงจำใจยอมรับข้อเสนอครั้งนี้ไปโดยปริยาย
"ถ้าอย่างนั้นตอนสามโมงเช้า พี่จะมารับน้องฟ้ากับน้องมีนไปที่ห้างนะครับ จะได้ไปช่วยกันซื้อของเข้าบ้านยังไงล่ะครับ"
"ซื้อของแค่นี้ซื้อตามร้านของชำทั่วไปก็ได้ ไม่เห็นต้องไปซื้อที่ห้างเลยนี่ครับ!"
มีนาที่พอจะรู้ทันว่ารวีนั้นต้องการอยู่ใกล้ชิดพี่ชายของตนรีบขัดขึ้น ทว่ารวีนั้นกลับหันมายิ้มน้อย ๆ ให้ ด้วยสีหน้าที่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาไม่รู้เท่าทันแทน
"ก็เพราะว่าที่บ้านพี่ยังขาดของใช้อยู่หลายอย่างน่ะครับ เลยจะไปเลือกซื้อที่โน่นทีเดียวเลย เอ่อ...แต่ถ้าน้องมีนรำคาญไม่อยากมาด้วยก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ให้น้องฟ้านำทางให้เองก็ได้...น้องฟ้าล่ะครับ สะดวกไหม"
มีนาอ้าปากค้างที่เห็นรวีนั้นพูดให้เขาดูแย่ในสายตาของพ่อแม่ได้อีกครั้ง แถมยังคิดจะกันเขาออกไปแล้วอยู่กับพี่ชายของเขาตามลำพังอีก
"โอเคครับ! สามโมงเช้าสินะครับ ถ้าอย่างนั้นมีนกับพี่ฟ้าจะได้เตรียมตัวรอเอาไว้!"
เมฆาเหลือบมองร่างเล็กที่โพล่งแย้งก่อนที่พี่ชายของเจ้าตัวจะตอบตกลงอย่างนึกขำ แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง
"ตกลงครับ ไว้สามโมงเจอกัน พวกคุณน้าจะฝากซื้ออะไรเพิ่มเติมก็คิดเอาไว้นะครับ เดี๋ยวพวกผมจะได้ขนมาให้ทีเดียวเลย"
"ของพวกน้าน่ะหรือ ไม่มีอะไรต้องซื้อหรอกจ้ะ แล้วพ่อล่ะจ๊ะจะฝากอะไรให้หนุ่ม ๆ ซื้อบ้างไหม"
"ของพ่อก็ไม่มีอะไรเหมือนกันนั่นล่ะแม่ ส่วนพวกคุณก็ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากนอกจากของกินที่คุยกันหรอกนะ มันจะสิ้นเปลืองเสียเปล่า ๆ"
ณรงค์เอ่ยดักไว้ก่อน ทำให้เมฆาและรวีสะดุ้งนิด ๆ พวกเขายิ้มเจื่อนส่งให้ ก่อนจะขอตัวลากลับบ้านพักเพราะก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ซึ่งคราวนี้ทั้งครอบครัวของเวหาต่างก็เดินออกมาส่งแขกทั้งคู่พร้อมกัน สร้างความประทับใจให้กับรวีและเมฆาเป็นยิ่งนัก
"พรุ่งนี้ถ้าพวกพี่เขาซื้ออะไรฟุ่มเฟือยเกินไป พวกลูก ๆ ต้องช่วยกันห้ามพี่เขานะ...เรื่องอาหารการกิน แค่เพิ่มมาสักคนสองคน มันไม่เป็นภาระอะไรให้บ้านเรานักหรอก มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่พี่เขาช่วยชีวิตลูกเอาไว้น่ะ เข้าใจไหมฟ้า"
ณรงค์บอกกับเวหาหลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสองกลับไปแล้ว ซึ่งเวหาก็พยักหน้าน้อย ๆ พร้อมยิ้มรับ ส่วนมีนาทำเสียงพึมพำในลำคออย่างหมั่นไส้เมื่อคิดถึงหน้ารวีขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดนึกขอบคุณชายหนุ่มไม่ได้อยู่ดี ในเรื่องที่เจ้าตัวช่วยเหลือพี่ชายของเขาเอาไว้ไม่ให้จมน้ำในครั้งก่อน
"เอาล่ะ หนุ่ม ๆ แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้ว ส่วนลูกสองคนก็อย่านอนดึกมากนัก ถึงตอนนี้จะปิดเทอมก็เถอะ แต่ถ้านอนดึกตลอด เดี๋ยวมันจะเคยชินเอา เข้าใจนะ!"
วารีกำชับตามมาทำเอาเวหาและมีนาขานรับคำเสียงอ่อย เพราะพวกเขานั้นก็ถือโอกาสช่วงปิดเทอมเข้านอนเสียดึก โดยอ่านหนังสือบ้าง เล่นเกมบ้าง ไปตามวัยของตน ซึ่งถ้าเป็นช่วงเปิดเทอมพวกเขาก็แทบจะทำเช่นนี้ไม่ได้ เพราะจะโดนวารีบ่นเอายกใหญ่นั่นเอง
ก่อนเวลาสามโมงเช้าเล็กน้อย พวกรวีกับเมฆาก็ขับรถยนต์คันหรูมาจอดรอที่หน้าบ้านของเวหา เด็กหนุ่มจึงรีบออกมาพร้อมน้องชาย โดยมีวารีเดินตามมาส่ง
"ไม่ต้องซื้ออะไรให้สิ้นเปลืองนักนะจ๊ะ ซัน เมฆ"
วารีเอ่ยดักคอ ซึ่งก็ทำให้สองหนุ่มส่งยิ้มเจื่อน จากนั้นรวีจึงเดินมาเปิดประตูหน้าข้างคนขับให้เวหาขึ้นนั่ง ทำเอามีนามองตาปริบ ๆ แต่พอจะค้าน เมฆาก็มาจับบ่าของตนแล้วพาเดินไปขึ้นรถด้านหลังด้วยกัน
"นั่งด้านหลังดีกว่านะครับน้องมีน เบาะกว้างนั่งสบายกว่าเยอะเลยล่ะครับ"
มีนาหันขวับมาจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาดุ ๆ แต่เมฆาก็ยังอมยิ้มตอบ แถมดันตัวร่างเล็กเข้าไปในรถอย่างง่ายดายอีกต่างหาก
"ไปล่ะครับ แล้วจะรีบกลับมาก่อนข้าวกลางวันนะครับ"
รวีหันไปบอกหญิงสาวซึ่งวารีก็ยิ้มรับ จากนั้นสองหนุ่มก็ขึ้นรถและขับออกไป โดยมีวารีไล่มองตามไปจนสุดสายตา เจ้าหล่อนถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยพึมพำตามมา
"หวังว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรกันหรอกนะ เฮ้อ! ที่เหลือก็ต้องเล่าให้พ่อเค้ารู้สักทีนั่นล่ะ ขืนมารู้ทีหลังคงงอนแย่เลย!"
วารีบ่นกับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจใช้เวลาที่เหลือนี้ไปคุยกับสามี เรื่องของรวีแทน ซึ่งเธอเชื่อว่าสามีของเธอนั้นเป็นคนมีเหตุผลพอจะรับฟังในเรื่องที่เธอจะเล่าได้เป็นอย่างดีแน่
ระหว่างขับรถรวีก็เอาแต่เหลือบมองคนนั่งข้าง จนมีนาต้องคอยกระแอมเตือนเป็นระยะ เนื่องจากเห็นพี่ชายของตนหลุดอาการเขินนิด ๆ ให้ได้เห็นนั่นเองแต่พอเห็นรวีทำเป็นไม่สนใจเขา แถมเวหาก็ยังทำสีหน้าปรามเขาอย่างเกรงใจชายหนุ่มอีก มีนาจึงทำเสียงฮึในลำคอเบา ๆ ทว่านั่งรถไปสักพักเจ้าตัวก็นึกอะไรได้ แล้วแสร้งทำเป็นชวนพี่ชายคุยแทน
"เฮ้อ! ปิดเทอมยาว ๆ แบบนี้ก็น่าเบื่อนะ นี่ถ้าเป็นเปิดเทอมก็คงสนุกพิลึก อ๊ะ! จริงสิพี่ฟ้า พี่ต้นเพื่อนสนิทม๊ากมากของพี่ โทรมาหาบ้างป่ะ ชวนเขามานอนค้างบ้านเราบ้างดีไหม พี่เขาคุยสนุกดีออก มีนชอบ!"
"หือ...ต้นน่ะหรือ ก็มีโทรมาบ้างนะ...ถ้ามีนอยากให้ต้นมาค้างจริง ๆ เดี๋ยวคืนนี้พี่จะโทรไปถามดูให้แล้วกัน"
มีนายิ้มกว้างรับ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อมองกระจกหน้ารถแล้วสะท้อนให้เห็นคนขับที่กำลังมีสีหน้าบึ้งตึงดูน่ากลัว ทางด้านเมฆาพอหันมาเห็นสีหน้าของมีนาที่ลืมตัวเผลอกลัวไปชั่วขณะนั้น ชายหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะแสร้งโพล่งขัดขึ้นมา
"คนชื่อต้นนี่เพื่อนน้องฟ้าหรือครับ สนิทกันมากไหมครับเนี่ย"
"หือ...ต้นน่ะหรือครับ เราเรียนมัธยมปลายห้องเดียวกันมาสามปี ก็เลยสนิทกันพอสมควรน่ะครับ"
เวหาบอกไปตามตรงอย่างไม่คิดสะกิดใจแต่อย่างใด ทว่ารวีนั้นกลับเงียบไปแถมยังเหยียบคันเร่งไวขึ้นอย่างลืมตัวอีกต่างหาก
"อะแฮ่ม! แล้วสนิทกันมาก จนถึงกับทำให้คนที่นั่งข้าง ๆ น้องฟ้าหึงได้เลยไหมล่ะครับ ...ถ้าใช่ พี่คงต้องขอร้องน้องฟ้า ว่าอย่าเพิ่งเรียกเขามาค้างด้วยช่วงนี้เลย เดี๋ยวเพื่อนพี่จะนั่งเศร้าเสียเปล่า ๆ"
รวีสะดุ้งนิด ๆ เช่นเดียวกับเวหา ทางด้านเวหาหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินปนตกใจ แล้วรีบโพล่งบอกกับรวีที่หันมามองตน
"ปะ...เปล่านะครับ...ต้นเป็นแค่เพื่อนเฉย ๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น อีกอย่างต้นเขาก็มีแฟนแล้วด้วยครับ!"
ทางด้านมีนาแม้จะไม่สบอารมณ์ที่พี่ชายแก้ตัวให้รวีฟังแบบนั้นก็ตาม แต่ตอนนี้เขาคงต้องให้ความสำคัญกับชายหนุ่มมากกว่า เนื่องจากรวีเอาแต่มองพี่ชายของเขานิ่งอึ้งแบบนั้น ทั้งที่ตัวเองกำลังขับรถอยู่แท้ ๆ
"ไอ้พี่ซันโว้ย! ดูทางข้างหน้าสิวะ! จะชนแล้วนะนั่น!"
เสียงตะโกนของมีนาทำให้รวีสะดุ้ง ก่อนจะหันขวับไปมองทางแล้วรีบหักโค้งหลบก่อนที่รถของตนจะชนกับทางกั้นตรงหัวโค้งแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากคนที่นั่งมาด้วยแต่ละคนทันที
"เกือบไปแล้ว...ขอบคุณน้องมีนนะครับที่ช่วยเตือน"
เมฆาหันมายิ้มหวานให้กับคนนั่งข้างตน แต่คนตัวเล็กนั้นกลับแยกเขี้ยวใส่อย่างหงุดหงิด เพราะว่าหากเมื่อครู่นี้เมฆาไม่แกล้งพูดแหย่พี่ชายของตนและเพื่อนของเจ้าตัว พวกเขาก็คงไม่ต้องเจอเรื่องราวชวนหวาดเสียวแบบเมื่อครู่นี้หรอก
.... TBC ....
-
คุณแม่เซนส์ดีจริงๆ
แล้วคุณพ่อจะรับได้ไหมค้านี่ ถึงคุณวารีจะบอกว่าคุณพ่อมีเหตุผลก็เถอะ ...แต่ก็นะ
เฮ้ออออ
-
ทางโล่งเลยซิเนี่ย
-
น้องมีนจ๊ะ เลิกขวางทางรักพี่ชายได้สักที
เดี๋ยวก็ยุให้พี่เมฆาลากไปปล้ำซะหร๊อกกก หึหึ
น้องฟ้าก็ใจอ่อนลงเรื่อยๆ อีกไม่นานคงรักพี่ซันเต็มหัวใจ
-
งานนี้รวีทางสะดวกเห็นๆ
-
:-[ พี่น้องคู่นี้มุ้งมิ้งกันจัง น้องมีนน่ารักเนอะ พี่เมฆรุกเลยๆ
-
ให้ไปเลยยยยย 3 คำ "น่ารั๊กกก....อ่ะ"
อ่านแล้วมันกรุบกริบ ๆ กิ๊วก๊าว ดีค่ะ
ปูลู ว่าแล้วก็ขอจองตั๋วล่วงหน้า สำหรับเรื่องของอีกคู่ด้วยคนค่ะ
-
น้องฟ้าหนูเขินง่ายไปมั้ยลูก ไม่ระวังตัวอีกต่างหาก
เป็นแบบนี้กลัวพี่ซันจะบรรลุเป้าหมายง่ายไป
เพราะมีนก็ไม่น่าจะเอาอยู่ พี่ซันดูร้ายเกิน
-
คุณพ่อณรงค์ทราบแล้วจะว่าไวบ้างอ่าเนี่ย
:pig4: :pig4: :pig4:
-
เหมือนจะทางสะดวกนะแบบนี้
-
2คู่ชู้ชื่น
-
รู้สึกมีนจะเด่นกว่าแล้วนะ อิอิอิอิ
-
น้องมีน จะหวง ขอหวงแบบน่ารักๆนะลูก
ด่านคุณแม่นี่ผ่านแล้ว คุณพ่อจะว่าไงหว่า?
แต่ด่านน้องฟ้านี่แหละสำคัญสุด
-
น้องฟ้าจะได้เป็นสะใภ้มาเฟีย :-[
-
บทที่ 8
ณ ห้างแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ซึ่งนับว่าไม่ใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับห้างในตัวเมืองหลวง ทว่าก็มีข้าวของมากมายเพียงพอต่อความต้องการของคนพื้นที่ซึ่งแวะเวียนมาซื้อหาสินค้าภายในนี้
"เอาข้าวยี่ห้อนี้เป็นไงครับน้องฟ้า พี่ถามเพื่อนมาแล้ว เห็นว่ายี่ห้อนี้หุงอร่อยและได้มาตรฐานส่งออกต่างประเทศด้วยนะครับ"
เวหามองยี่ห้อข้าวที่รวีชี้ให้เขาดู ก่อนจะนิ่วหน้า แล้วตอบกลับไป
"เรื่องนี้คงต้องถามมีนดูครับ เพราะเขามาซื้อของเข้าบ้านกับแม่อยู่บ่อย ๆ ...เอ่อ ส่วนผมไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่"
รวีอมยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู เมื่อเห็นอาการอึกอักขัดเขินของเด็กหนุ่ม จากนั้นจึงหันไปทางมีนาที่กำลังเดินดูยี่ห้อข้าวสารอื่น ๆ อยู่กับเมฆา
"น้องมีนครับ เอายี่ห้อนี้ไหมครับ"
มีนาหันไปมองก่อนจะชะงัก แล้วเงยหน้าดูราคาข้าวสารที่ห้อยบอกไว้ด้านบน
"...แพงชะมัด ไม่เอาหรอกครับ ถึงจะดูน่าอร่อยแต่แพงขนาดนี้ ซื้อยี่ห้ออื่นคุ้มกว่า"
มีนาบอกปฏิเสธทำเอารวีขมวดคิ้วยุ่ง หากแต่ชั่วครู่เจ้าตัวก็ยิ้มหวานแล้วบอกต่อ
"แต่พี่ชอบกินยี่ห้อนี้นี่ครับ...กินยี่ห้ออื่นก็อร่อยสู้ไม่ได้...นะครับ ยังไงพี่ก็จ่ายเงินเองอยู่แล้ว ระหว่างที่อยู่ที่นี่ พี่ขอกินยี่ห้อที่ตัวเองชอบนะครับ"
มีนาชะงักแล้วหน้ามุ่ยใส่ ส่วนเมฆาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เมื่อเห็นเพื่อนหาเรื่องลื่นไหลทำตามใจตัวเองไปได้อีกครั้ง
"ถ้างั้นก็ตามใจคุณแล้วกัน แล้วอย่าลืมบอกแม่อย่างที่บอกกับผมด้วยล่ะ ว่าผมห้ามแล้วแต่คุณอยากกินยี่ห้อนี้เอง!"
รวียิ้มรับอย่างพึงพอใจ ส่วนเวหาลอบถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นเมฆาก็เดินมาคุยกับเพื่อนของตน ก่อนจะช่วยกันขนถุงข้าวลงรถเข็น จนพวกเวหาและมีนาตาค้าง
"เดี๋ยว! นั่นพวกคุณจะซื้อกี่ถุงกันน่ะ!"
มีนาโพล่งใส่ด้วยความตกใจ เพราะพวกเมฆากับรวีกำลังขนถุงข้าวถุงที่แปดลงรถเข็นและยังมีทีท่าว่าจะหยิบต่ออีก
"หือ...ก็เราว่าจะอยู่พักร้อนสักสองอาทิตย์ ก็เลยคิดว่าจะซื้อข้าวไปสักยี่สิบถุงน่ะครับน้องมีน เอ...แค่นี้มันจะพอแน่นะเมฆ"
ท้ายประโยครวีหันไปถามเพื่อนสนิท ซึ่งเมฆาก็มีสีหน้าไม่แน่ใจ ทำเอามีนาเม้มปาก แล้วตรงเข้าไปดึงรถเข็นออกมาจากชายหนุ่มทั้งสองอย่างหงุดหงิด
"อยู่แค่สองอาทิตย์แต่ซื้อยังกับจะกินเป็นปี! เอาแค่สี่ห้าถุงก็พอแล้ว ถ้าพวกคุณตะกละกินจนมันหมดได้ ค่อยมาซื้อใหม่ทีหลัง!"
สองหนุ่มมองคนตัวเล็กตาปริบ ๆ ก่อนจะหันมาสบตากัน แล้วถอนหายใจเบา ๆ ทว่าก็ยังคงหันไปต่อรอง จนสุดท้ายก็ได้ข้าวมาสิบถุง
"ผมว่าเราไปเอารถเข็นมาเพิ่มดีกว่านะครับ..."
เวหาที่เห็นข้าวสารเต็มรถเข็นหันไปบอกรวี ซึ่งรวีเองก็เห็นดีด้วย
"งั้นนายกับน้องมีนไปจ่ายค่าข้าวสาร แล้วเอาข้าวไปเก็บในรถก่อน เดี๋ยวพวกฉันจะซื้อพวกเครื่องปรุงตามไปทีหลังนะ..."
"ไม่ต้องเลย! เดี๋ยวก็ได้ซื้อโน่นนี่มาจนล้นรถอีกหรอกครับ!"
มีนารีบแย้ง แล้วจึงตัดสินให้รวีกับเมฆาเอาข้าวสารไปจ่ายเงินและเก็บในรถก่อน ส่วนพวกตนจะซื้อพวกเครื่องปรุงเอง
"อืม...งั้นเอาไปว่าให้เจ้าเมฆมันเอาข้าวไปเก็บ แล้วพี่ก็เดินซื้อของกับพวกน้องมีนกับน้องฟ้าดีกว่าครับ ซื้อเสร็จจะได้จ่ายเงิน แล้วตามไปสมทบกันที่รถเลย สะดวกกว่านะครับ"
เมฆามองเพื่อนที่ไล่ให้ตนไปที่รถแทนตาปริบ ๆ ก่อนจะเปรยขึ้นมาบ้างอย่างเบื่อหน่าย
"เดี๋ยวฉันก็เข็นข้าวสารตามพวกนายไปนี่ล่ะ หรือไม่ก็วางไว้ก่อน ไม่มีใครเขามาหยิบไปหรอกน่า แล้วพอจ่ายเงินก็ค่อยไปพร้อมกัน มันไม่เสียเวลามากไปนักหรอก"
รวีทำเสียงหงุดหงิดในลำคอเบา ๆ แต่ก็ยอมทำตามที่เพื่อนสนิทบอก ส่วนเวหานั้นเห็นด้วยกับที่เมฆาพูด และมีนารีบตัดบทด้วยความเบื่อหน่าย
"เอางั้นก็ได้ครับ! รีบ ๆ ไปซื้อเหอะ เดี๋ยวผมจะได้กลับไปช่วยแม่ทำมื้อกลางวันต่อ!"
พอได้ยินคนตัวเล็กบอกแบบนั้น เวหาก็รีบเดินไปเอารถเข็นคันใหม่มา โดยมีรวีคอยเดินตามติดไปไม่ห่าง ส่วนมีนาพอจะเดินตาม ก็ถูกเมฆาจับข้อมือเอาไว้เสียก่อน
"อยู่เฝ้าข้าวสารเป็นเพื่อนพี่เถอะ เดี๋ยวจะมีคนมาแอบหยิบไปนะครับ"
มีนาขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด
"รู้แล้วน่า! ปล่อยมือได้แล้ว!"
"ครับ ๆ ปล่อยก็ปล่อย..."
เมฆาทำเป็นพูดทว่ากลับดึงมืออีกฝ่ายมาจูบหลังมือเบา ๆ แล้วค่อยปล่อยออก ทำเอาคนถูกจูบมือชะงัก หน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองรอบด้าน ซึ่งโชคดีว่าตรงโซนนี้ไม่มีผู้คนอยู่นอกจากเขาสองคน
"คุณ!"
"อ๊ะ ๆ อย่าโวยวายสิครับน้องมีน พี่ยิ่งเป็นพวกบ้าจี้อยู่ เกิดตกใจเสียงโวยวายของน้องมีนขึ้นมา แล้วจะได้เผลอจับน้องมีนมากอดมาจูบเอาเข้าก็ได้...อยากให้เป็นแบบนั้นหรือครับ"
มีนาสะดุ้งโหยงใบหน้าแดงวาบด้วยความฉุนสุดขีด เจ้าตัวด่าพึมพำใส่อีกฝ่ายว่าโรคจิต หากแต่เมฆากลับหัวเราะในลำคอแล้วโค้งน้อย ๆ ยิ้มรับ
"ขอบคุณครับสำหรับคำชม"
"คนเค้าด่าต่างหากไม่ได้ชม!"
มีนาแย้งกลับไปไม่ดังนัก เพราะกลัวอีกฝ่ายจะแกล้งทำอย่างที่พูดเมื่อก่อนหน้ากับตนเข้าให้เหมือนกัน
"หึ ๆ อย่าซีเรียสครับ พี่เห็นน้องมีนเครียด ๆ เลยหาเรื่องมาแกล้งแหย่ให้อารมณ์ดีขึ้นต่างหาก เอ้า! พวกเจ้าซันกับน้องฟ้ามาแล้วล่ะครับ ยิ้มหน่อยสิครับ เดี๋ยวคุณพี่ชายจะกังวลเข้าให้นะครับ"
เมฆาบอกพร้อมเอานิ้วชี้แตะที่มุมปากของตัวเองแล้วยิ้มกว้างโชว์ ทำให้คนมองที่กำลังหงุดหงิดปนโมโหถึงกับชะงัก แล้วสุดท้ายจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมาอย่างนึกปลง
"คุณนี่นะ...นอกจากโรคจิตแล้วยังบ้า ๆ บอ ๆ อีกต่างหาก เสียดายหน้าตาเป็นบ้า!"
เมฆาหัวเราะให้กับคำบ่นของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะไปด้วยดีกับคนที่เดินมาด้วยกัน
"แทบไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะได้มีโอกาสเห็นเจ้าซันเอาใจคนอื่นแบบนี้ เคยเห็นแต่มันวางมาดเชิดหยิ่งมีสาวเดินตามตื๊อต้อย ๆ นี่ถ้าเอาเรื่องไปบอกพวกสาว ๆ ที่เคยถูกหมอนี่หักอก มีหวังคงได้คำสาปแช่งและสมน้ำหน้าตามมาเพียบแหงม!"
คำบ่นพึมพำของชายหนุ่ม ทำให้มีนาที่ยืนอยู่ด้วยต้องหันไปมองรวีอีกครั้ง เด็กหนุ่มเม้มปากน้อย ๆ และคิดว่าเมฆานั้นไม่ได้พูดอะไรเกินจริงนัก ไม่ว่าจะด้วยหน้าตา รูปร่าง รวมไปถึงฐานะการเงิน ไม่แปลกเลยที่รวีจะเสน่ห์แรงจนมีแต่คนอยากได้เป็นแฟนเช่นนั้น
"ถ้าพี่ฟ้าเป็นผู้หญิงเสียหน่อย ไอ้เรื่องความโรคจิตชอบเด็กนั่น ก็คงพอจะมองข้ามได้บ้างอยู่หรอกนะ"
เมฆาเกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำเรียกถึงเพื่อนจากปากร่างเล็กข้างกายตน
"พี่ว่าลองคิดในแง่ดี การที่จะหาคนที่รักมั่นคงกับเรามาหลายปีไม่เปลี่ยน แม้ขนาดที่ว่ากลับมาเจอกันอีกครั้งในสภาพที่อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่ทำให้ความรู้สึกรักนั้นเปลี่ยนไปได้...คนแบบนี้หาได้ยากอยู่นะครับ"
มีนาขมวดคิ้วพลางนิ่งคิดตาม แล้วจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เพราะความมั่นคงรักเดียวใจเดียวของรวี ก็คงมีส่วนที่ทำให้มารดาของเขายอมเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มจีบเวหาได้เช่นนี้ด้วยนั่นเอง
"มาแล้ว ๆ ไปเลือกซื้อของกันต่อเถอะครับ!"
รวีที่เดินมาถึงบอกพร้อมกับยิ้มแย้มอารมณ์ดีอย่างเต็มที่ เนื่องจากตนได้มีโอกาสอยู่ข้าง ๆ เวหาตลอดเวลาเช่นนี้ เห็นดังนั้นมีนาจึงลอบถอนหายใจ แล้วจึงเปรยโพล่งขัดขึ้นมา
"พี่ซันไม่ต้องไปหรอก! เดี๋ยวก็หยิบโน่นซื้อนี้ตามใจชอบอีก!"
พอได้ยินดังนั้นรวีก็ชะงักนิ่งอึ้ง ส่วนเวหาเตรียมจะแย้งด้วยความเกรงใจชายหนุ่ม แต่มีนาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
"พี่ซันกับพี่ฟ้าอยู่เฝ้าข้าวสารกันแถวนี้ล่ะ เดี๋ยวผมกับพี่เมฆจะไปซื้อพวกเครื่องปรุงเอง!"
ทั้งสามหนุ่มเงียบกริบ ก่อนที่รวีจะเบิกตากว้างมองคนตัวเล็กอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
"มองทำไม! ที่เลือกแบบนี้เพราะเห็นว่าพวกพี่แต่ละคนไม่มีใครชำนาญเรื่องในครัวหรอกนะ ขืนให้ไปช่วยกันเลือกก็ยิ่งมากคนมากความ ก็เลยไปเลือกเองแบบนี้นั่นล่ะ!"
มีนารีบแก้ตัว ทำเอาเมฆาที่มองอยู่อมยิ้ม แล้วจึงแสร้งทำเป็นพูดหยอกขึ้นบ้าง
"อ้าว...แล้วทำไมต้องให้พี่ไปช่วยด้วยล่ะ น้องมีนก็ไปเลือกเองคนเดียวสิครับ"
ขาดคำของชายหนุ่ม ไม่เพียงแต่มีนาจะทำตาถลึงมองมา แม้แต่รวีก็ส่งสายตาเย็นชาสุดโหดจ้องมอง เสียจนเมฆาต้องกลืนน้ำลาย
"ง่า...ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง อ้าว! เดี๋ยวสิครับน้องมีน อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวพี่ไปช่วยเข็นให้นะครับ!"
เมฆารีบจ้ำพรวดวิ่งตามคนตัวเล็กที่เข็นรถเข็นว่าง ๆ ออกไปด้วยความงอน ทิ้งให้รวีกับเวหาอยู่เฝ้ารถเข็นใส่ข้าวสารกันอยู่สองคน
"พี่เมฆนี่เค้าเป็นคนตลกดีนะครับ"
เวหายกเรื่องของคนที่เดินจากไปมาคุย ทำให้คนฟังชะงักแล้วจึงย้อนถามกลับไปด้วยสีหน้าขรึมลง
"น้องฟ้าชอบคนคุยตลกหรือครับ แล้วแบบพี่คงน่าเบื่อใช่ไหมครับ"
เวหาจ้องมองคนพูดพลางหลุบตาหลบ ก่อนจะพึมพำตอบไปเสียงแผ่ว
"ผมเองก็ไม่ได้ชอบคนแบบไหนเป็นพิเศษหรอกครับ...ขอแค่จริงใจให้กัน ไม่โกหกกัน แค่นี้ก็คบหากันได้สบาย ๆ แล้วครับ"
คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง พอมองใบหน้าผิวสีคล้ำแดดของอีกฝ่ายก็เห็นว่ามันค่อนข้างแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด ทำให้คนมองยิ่งใจเต้นแรง และนึกอยากจะดึงร่างข้างกายมากอดเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าชายหนุ่มก็ต้องทนข่มใจท่องให้ตนใจเย็นลง เพราะนี่เป็นที่สาธารณะโล่งแจ้ง แถมเวหาเองก็ยังไม่ได้ยอมตกปากรับรักเขาเลยสักนิด
"พี่ซัน..."
เวหาเงยหน้ามองอีกฝ่ายเพราะเห็นว่ารวีเงียบไปนาน แต่แล้วเขาก็ได้เห็นร่างสูงมองเมินไปทางอื่น ท่าทางหลุกหลิก เอามือปิดปากทำเหมือนพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ตลอด
"พี่ซันครับ เป็นอะไรไปหรือครับ"
เวหาถามต่อ ซึ่งก็ทำให้รวีสะดุ้งโหยง แล้วจึงรีบหันมา ก่อนจะหน้าแดงให้เห็นนิด ๆ ทำเอาคนมองนิ่งอึ้ง
"เอ่อ...คือพี่..."
รวีพยายามจะคิดหาเรื่องแก้ตัว ทว่าพอนึกได้ที่เวหาพูดว่าไม่ชอบคนโกหก เขาเลยตัดสินใจพูดออกไปตามตรง
"คือพี่...พี่ดีใจที่น้องฟ้าดูไม่มีท่าทางรังเกียจ พี่ก็เลยรู้สึกอยากกอดน้องฟ้านะครับ...แต่ก็กลัวน้องฟ้าโกรธ เลยพยายามหักห้ามใจตัวเองอยู่นี่ล่ะครับ"
รวีบอกแล้วก็นึกขอบคุณที่เมฆาตามมีนาไปเสียได้ เพราะหากเมฆาอยู่ที่นี่ด้วย เขาคงไม่กล้าบอกความในใจให้คนที่เขาหลงรักได้รับรู้ง่าย ๆ เช่นนี้แน่
ทางด้านเวหาพอได้ยินคำพูดนั้นของชายหนุ่ม เขาก็ถึงกับตกตะลึง ก่อนจะหน้าแดงหนักขึ้นกว่าเดิม พลางก้มหน้าก้มตาหลบด้วยความเขิน เนื่องจากไม่คิดว่ารวีนั้นจะกล้าพูดความรู้สึกออกมาตรง ๆ เช่นนี้ แถมยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอาย ที่คนทั่วไปไม่น่าจะพูดออกมาได้ง่าย ๆ เสียด้วย
ทว่าระหว่างที่บรรยากาศของอีกคู่หนึ่งกำลังเป็นสีชมพูอมม่วงอย่างเป็นใจ หากแต่คู่ที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อเครื่องปรุงเข้าครัว ก็กำลังมีบรรยากาศชวนให้อึดอัดแทน เนื่องจากคนตัวเล็กนั้นยังคงไม่หายงอนที่โดนแกล้งแหย่เมื่อก่อนหน้านั้น
"น้องมีนครับ...พี่ขอโทษนะ พี่รู้ว่าน้องยอมเปิดโอกาสให้เจ้าซันกับน้องฟ้ามัน ...พี่ดีใจน่ะ ก็เลยแค่แกล้งแหย่เท่านั้นเองครับ"
มีนาหยุดเข็นรถ แล้วหันขวับมามองคนที่เดินตามง้อตนอย่างหงุดหงิด
"ก็รู้ทั้งรู้ ยังมาทำให้โมโหอีก! พี่เป็นพวกโรคจิตไม่พอ ยังเป็นมาโซ ชอบให้คนโมโหด่าใส่ อีกด้วยหรือไง!"
เมฆาชะงัก แล้วหลุดหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว โดยมีคนตัวเล็กยืนหน้ามุ่ยมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"ฮะ ๆ พี่เพิ่งจะได้รู้จักตัวเองก็วันนี้ล่ะ น้องมีนนี่สุดยอดไปเลย คุยด้วยไม่เท่าไหร่ ก็มองออกว่าพี่เป็นคนยังไงได้เลยนะเนี่ย!"
"ไม่ต้องมาขำเลย คนโรคจิต หน้าด้าน!"
มีนาแย้งกลับไปด้วยความโมโหที่เพิ่มพูนมากขึ้น
"แต่ก็หล่อแล้วก็เร้าใจนะครับ"
มีนาอยากจะตวาดใส่คนตรงหน้าที่เถียงย้อนกลับมาหน้าตาเฉย แต่ก็กลัวจะเป็นจุดสนใจ เขาจึงหันไปมองเครื่องปรุงบนชั้นวางแล้วหยิบมันมาอย่างละขวดแทบจะไล่เรียงกันไปใส่รถเข็นเป็นการประชด ทว่าแทนที่เมฆาจะห้าม เจ้าตัวกลับช่วยหยิบช่วยจัดของในรถเข็นให้เป็นระเบียบเสียแทน และพออารมณ์หงุดหงิดเริ่มคลายลง มีนาก็ได้สติแล้วมองของในรถเข็นอย่างตกตะลึง
"น้องมีนนี่ช็อปปิ้งเก่งใช่เล่นเลยนะครับ ไว้คราวหน้าเรามากันอีกนะครับ"
เมฆาแสร้งทำเป็นเอ่ยชมด้วยสีหน้าไร้เดียงสา แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่มีอารมณ์จะใส่ใจ เจ้าตัวจ้องของในรถเข็นแล้วพึมพำตามมาอย่างร้อนรน
"บ้าจริง! ขืนขนกลับไปหมดนี่ ได้โดนแม่บ่นกรอกหูยาวเป็นวันแน่ โอ๊ย! นี่ฉันต้องเอาไปเก็บอีกสินะ อะไรของมันกันนะวันนี้ ซวยจริง ๆ!"
"หึ ๆ ไม่ต้องตกใจแบบนั้นครับ พี่จัดเรียงชนิดไว้แล้ว เดี๋ยวเราก็เอาคืนตามชนิดของมัน ช่วยกันแป๊บเดียวก็เสร็จครับ"
เสียงของเมฆาที่ดังขึ้นทำให้ร่างเล็กชะงัก แล้วจึงหันไปมองซึ่งก็เห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มแย้มอ่อนโยนส่งให้ ไม่ได้ทำหน้าตาล้อเลียนหรือแกล้งแหย่เขาอย่างก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
"เอ้า! ไปกันเถอะครับ ถ้าน้องมีนกลับไปไม่ทันทำมื้อกลางวัน พี่คงเสียดายแย่เลย"
เมฆาพูดตัดบททำให้คนนิ่งอึ้งชะงัก แล้วพยักหน้าหงึกหงักตามมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มที่เข็นรถและช่วยหยิบของขึ้นคืนชั้นวางไปอย่างเงียบ ๆ โดยที่เมฆาเองนั้นแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และช่วยเก็บของที่หยิบซ้ำมาคืนชั้นวางไปอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกัน
...
...
-
...
..
หลังจากที่ยืนโต้เถียงกันเรื่องจำนวนเครื่องปรุงแต่ละชนิดว่าจะเป็นอย่างละ 2 หรือ 3 ขวด ก็เสียเวลาไปพักใหญ่ ๆ จนรวีกับเวหาต้องตามมาสมทบ
"แค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับ รีบกลับกันเถอะครับ เดี๋ยวจะกลับไม่ทันมื้อกลางวันเอา"
เวหาบอกกับเมฆา ซึ่งรวีก็รีบยืนยันเห็นดีด้วยกับคำพูดของเด็กหนุ่มทันที ทำเอาเมฆาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นทุกคนจึงเข็นรถไปที่แคชเชียร์ ทว่าพอจะใกล้ถึง มีนาก็ชะงักแล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้
"อ๊ะ! มีนลืมซื้อน้ำตาลอะพี่ฟ้า มีนวิ่งไปเอาก่อนนะ รอแป๊บนึง!"
มีนาบอกแล้วก็วิ่งไป ทำให้เวหาถอนหายใจเบา ๆ ทว่าสักพักเจ้าตัวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
"อ๊ะ...ผมก็ลืมเหมือนกัน ว่าจะซื้อน้ำหวานให้แม่ชงใส่ตู้เย็นไว้กินกลางคืนสักหน่อย เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมมานะครับ"
ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะพูดจบดี รวีก็รีบเสนอตัวขึ้นมาทันที
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนนะครับ!"
"เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่หยิบน้ำหวานขวดเดียวเอง"
เวหาบอกอย่างเกรงใจ อีกอย่างเวลาที่อยู่ใกล้ ๆ กับรวี ก็ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ แถมวางตัวไม่ถูกอีกต่างหาก
"งั้นผมไปนะครับ เดี๋ยวจะรีบกลับ"
เวหาตัดบทแล้วรีบจ้ำพรวดไป แต่ก็ยังชะงักแล้วหันมายิ้มให้คนที่มองตาม ทำให้รวีที่กำลังรู้สึกแย่เล็กน้อยที่ถูกปฏิเสธ ถึงกับตกตะลึง
"โอ้! ดูเหมือนสถานการณ์จะดำเนินไปได้ด้วยดีนะเพื่อน"
รวีไม่ได้ใส่ใจคำแซวของเพื่อนสนิทแต่อย่างใด เนื่องจากตอนนี้ชายหนุ่มกำลังยิ้มกว้างอย่างยินดีมองตามไล่หลังเวหาไปอยู่นั่นเอง
อีกด้านหนึ่ง มีนากำลังเลือกถุงน้ำตาลทรายในกระบะใหญ่ที่ห้างจัดวางไว้ และเมื่อเลือกได้แล้วเจ้าตัวก็เตรียมจะเดินกลับไปสมทบกับคนอื่น ทว่าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเด็กวัยรุ่นสองคนแถวนั้นเดินเข้ามาแล้วขวางทางเอาไว้
"ไง! น้องคนสวย มาซื้อของคนเดียวหรือจ๊ะ ให้พวกพี่ช่วยเดินช็อปปิ้งเป็นเพื่อนเอาไหม"
มีนามองคนพูดที่น่าจะอายุมากกว่าตนอยู่สามสี่ปี แล้วเบ้หน้าใส่
"ไม่ต้อง ฉันเดินคนเดียวได้ ขอทางด้วย!"
วัยรุ่นทั้งสองยักไหล่นิด ๆ แต่ก็ยังคงคอยขวางหน้าขวางหลังไม่ให้อีกฝ่ายไปไหนได้อยู่ดี
"ดุจังน้า น้องคนสวย แต่ก็ดี พวกพี่ชอบคนปากจัด เพราะเวลาจับจูบมันแซบดี!"
หนึ่งในนั้นเอ่ยแซวแล้วอีกคนก็หัวเราะรับเป็นลูกคู่ มีนาพยายามมองหาคนช่วย แต่แผนกนั้นแทบไม่มีคนอยู่ ทว่าสักพักเด็กหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างอย่างยินดี เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนกำลังเดินตรงเข้ามา
"พี่ฟ้า!"
เวหาหันไปมองตามต้นเสียงแล้วก็หรี่ตามอง ก่อนจะเดินตรงไปหาคนกลุ่มนั้น
"ขอโทษนะครับ มีธุระอะไรกับน้องของผมหรือครับ"
เวหาเดินตรงไปแล้วดึงมือมีนาให้มาอยู่ข้างตน ซึ่งก็สร้างความไม่สบอารมณ์กับวัยรุ่นทั้งสองที่ยืนอยู่ยิ่งนัก
"แหม ๆ พวกผมกำลังคุยกับน้องคนสวยคนนี้สนุก ๆ อยู่เลยนะครับ คุณพี่ชายช่วยถอยไปห่าง ๆ ได้ไหมครับ ถ้าคุณพี่ไม่อยากเจ็บตัวอะนะ!"
หนึ่งในนั้นขู่ แต่เวหายังคงจ้องอีกฝ่ายนิ่งอย่างไม่เกรงกลัว วัยรุ่นทั้งสองทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างหงุดหงิด แล้วเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ดึงคอเสื้อของเวหาเข้ามาใกล้ ๆ
"กูละเกลียดไอ้พวกหน้าหล่อ ๆ ทำตัวนิ่ง ๆ เป็นพระเอกแบบมึงจังเลยว่ะ...สงสัยคงจะต้องอัดให้หายหมั่นไส้ซักหน่อยล่ะมั้ง!"
"พี่ฟ้า! ปล่อยพี่ฟ้านะ! ใครก็ได้ครับ ช่วยด้วย! ยาม! ตำรวจ!"
เสียงมีนาตะโกนโวยวายด้วยความตกใจ ทำให้คนแถวนั้นต่างทยอยเดินมาดู และเสียงของเด็กหนุ่มก็ยังคงดังแว่วไปถึงชายหนุ่มที่ยืนรออีกสองคนด้วย
"หนอย! ไอ้นี่! หยุดโวยวายสักทีสิวะ!"
วัยรุ่นอีกคนที่อยู่ใกล้มีนาเตรียมเงื้อมือขึ้นจะตบคนตัวเล็กที่กำลังยืนตะโกนเรียกให้คนอื่นช่วย ทว่าเวหาที่อยู่ใกล้นั้นไวกว่า เด็กหนุ่มผลักเจ้าคนที่จับคอเสื้อตนไปแรง ๆ ทำให้ฝ่ายที่ไม่ระวังตัวหงายหลังล้มไปนั่งก้นจ้ำเบ้า ส่วนอีกคนก็ถูกเวหานั้นจับข้อมือที่กำลังเงื้อตบน้องตนเอาไว้ทัน ก่อนเจ้าของมือจะร้องโอ้ยลั่น เพราะแรงบีบจากมือของเด็กหนุ่ม
"พี่ฟ้า!"
มีนาเข้าไปเกาะพี่ชายแน่น หลังจากที่เวหาสะบัดมือที่จับข้อมืออีกฝ่ายทิ้งไปแรง ๆ วัยรุ่นทั้งสองกัดฟันกรอด และก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปรุมเล่นงานเอาคืนคนที่ยืนอยู่ ร่างสูงร่างหนึ่งก็เดินหน้าบึ้งถมึงทึงมาขวางเอาไว้เสียก่อน
"อะไรของไอ้ฝรั่งนี่วะ หลบไปโว้ย! คนจะมีเรื่องกัน!"
"มีเรื่องรึ...ขอโทษทีนะไอ้หนู แต่ฉันไม่อนุญาตให้มี...แต่ถ้ายังอยากจะมี ก็เข้ามาได้เลย!"
รวียิ้มกวน ๆ แต่นัยน์ตาคมกริบนั้นวาววับ ชนิดที่ทำให้คนมองหนาวเยือกอย่างลืมตัว
"พี่ฟ้า...เอาไงดีล่ะ ถ้ามีเรื่องกันในห้างแบบนี้ พ่อกับแม่รู้เข้าคงโดนดุแน่เลย"
มีนาพึมพำถามพี่ชาย ซึ่งเวหาก็เห็นด้วย เพราะเขาเองก็แค่จะป้องกันตัวเองและน้องชายเท่านั้น และเขาก็ไม่อยากให้เรื่องราวลามปามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตอีกด้วย
"พี่ซันครับ...อย่าให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ"
เวหาเดินมาดึงแขนเสื้อของชายหนุ่ม ทำให้รวีชะงัก จากนั้นเจ้าตัวก็มองวัยรุ่นตรงหน้าทั้งสอง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ถ้าน้องฟ้าว่าแบบนั้น ก็เอาแบบนั้นก็ได้ครับ"
รวีหันมายิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ทำให้เวหายิ้มตอบ ทว่าวัยรุ่นทั้งสองที่โดนเมิน ยามนี้กำลังรู้สึกเดือดดาล และหนึ่งในนั้นก็คว้าขวดแก้วของผลิตภัณฑ์ที่กำลังลดราคาอยู่แถวนั้น เตรียมจะตรงเข้าไปฟาดรวีที่หันหลังให้อยู่ เรียกเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนเตือนจากคนที่ได้เห็นกันถ้วนหน้า ทว่า...
"นายเป็นคนลงมือก่อนสินะ...เพราะอย่างนั้นฉันก็คงต้องป้องกันตัวเอง...ถูกไหม"
รวีที่หันขวับมาแล้วจับข้อมือข้างที่กำลังฟาดขวดใส่เขาไว้ได้ทัน บอกพลางแย้มยิ้มเย็นชาชวนขนลุกให้อีกฝ่าย จากนั้นเขาก็บิดแขนข้างที่จับอยู่ ส่วนอีกมือก็ดึงเอาขวดในมือนั้นมาถือเอง และพอปล่อยมือออก แขนของวัยรุ่นคนนั้นก็ห้อยตกอยู่ข้างลำตัว พร้อมกับเสียงโวยวายด้วยความตกใจปนเจ็บปวด
"อ๊าก! แขนชั้น แขนชั้นหลุดแล้ว!"
"ที่ถูกก็คือไหล่ต่างหากที่หลุด เอ้า! เมฆมาพอดี แจ้งตำรวจให้ด้วยสิ อยากขึ้นโรงพักเมืองไทยมาตั้งนานแล้ว เคยเข้าออกแต่โรงพักเมืองนอก อยากรู้ว่าที่นี่จะต่างกันขนาดไหน!"
รวีบอกกับเมฆาที่มาพร้อมยามของห้าง ทางด้านเมฆาพอได้ยินและเห็นสภาพของวัยรุ่นทั้งสอง ที่คนหนึ่งไหล่หลุด ส่วนอีกคนก็ยืนตัวสั่นด้วยความกลัว เจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"เอ้า! เอาไงเด็ก ๆ จะเลิกแล้วต่อกัน หรือจะตามกันไปโรงพักดีเอ่ย แต่บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าไปถึงที่นั่น ฉันจะไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่าเฉย ๆ แน่ ...อย่างน้อยก็ต้องขอหักซี่โครง หรือเลาะกระดูกพวกแกออกมาเล่นสักชิ้นสองชิ้นล่ะนะ"
ท้ายประโยครวีกระซิบข้างหูเด็กวัยรุ่นที่ไหล่หลุด ทำเอาเด็กคนนั้นตาเบิกกว้าง พร้อมกับละล่ำละลักบอก
"ผะ...ผมขอโทษครับ ผมกลัวแล้วครับ ปล่อยผมไปเถอะครับพี่!"
เพื่อนวัยรุ่นอีกคนพอเห็นดังนั้นก็มองซ้ายมองขวา แล้วรีบวิ่งหนีแหวกฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เจ้าคนที่ไหล่หลุดมองตามไปด้วยความตกใจ
"อ้าว! เพื่อนหนีเสียแล้ว...คราวหน้าก็เลือกเพื่อนดี ๆ หน่อยแล้วกัน เอ้า! กัดฟันซะ เดี๋ยวจะต่อไหล่ให้!"
รวีบอกกับเด็กวัยรุ่นคนนั้น อีกฝ่ายรีบหลับตากัดฟัน ซึ่งแม้จะเจ็บแปลบชั่วครู่ แต่แขนของเขาก็เริ่มขยับได้ตามเดิมอีกครั้ง
"จำไว้...เป็นเด็ก ก็ทำตัวให้สมเด็ก อย่าข้ามรุ่นหาเรื่องกับผู้ใหญ่ เพราะคราวหน้าอาจจะไม่ใช่แค่ไหล่หลุดแบบนี้หรอกนะ"
รวียิ้มขู่เตือน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกหงัก แล้วรีบวิ่งหนีไปจากฝูงชนที่ยืนดูอยู่ จากนั้นเสียงเปาะแปะปรบมือก็ดังขึ้นจากคนเหล่านั้น รวียิ้มน้อย ๆ แล้วโค้งให้ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับเวหา ซึ่งเด็กหนุ่มก็ยังคงใจหายใจคว่ำกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ไม่หาย เพราะหากเมื่อครู่นี้รวีโต้ตอบไม่ทัน มีหวังชายหนุ่มคงหัวแตกได้เลือดเข้าให้แล้ว
"เดี๋ยวฉันไปเคลียร์กับทางห้างก่อนนะ พวกนายไปจ่ายค่าของก่อนเลยแล้วกัน"
เมฆาบอกกับเพื่อนของตน พร้อมส่งสายตาอย่างแฝงความนัยให้กัน จากนั้นรวีจึงชักชวนเวหากับมีนาให้ไปที่ช่องจ่ายเงินพร้อมกับเขาแทน
"ไปกันเถอะครับน้องมีน น้องฟ้า อ๊ะ! ว่าแต่น้องฟ้าได้น้ำหวานหรือยังครับ"
"ยังครับ...แต่ไม่อยากกินแล้วล่ะครับ...ผมว่ารีบกลับบ้านกันดีกว่า"
เวหาบอกกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำให้รวีถอนหายใจ แล้วจึงหันไปทางมีนาแทน
"แล้วน้องมีนล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง ได้น้ำตาลหรือยังครับ"
มีนาชะงัก แล้วมองถุงน้ำตาลในมือ เขาคิดว่ารวีก็คงจะเห็นอยู่ แต่พยายามชวนคุยให้เขาหายตกใจ คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรมากกว่าเดิม
"เอาล่ะครับ ถ้างั้นก็ไปจ่ายเงินกันดีกว่า...อ้อ เดี๋ยวนะครับ"
รวีซึ่งบังเอิญหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยกมือถือขึ้นถ่ายรูปเขา ทำให้เจ้าตัวเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งอึ้งเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินมาหาตน
"คุณผู้หญิงครับ ผมไม่ห้ามหรอกครับถ้าคุณอยากจะถ่ายภาพผมเก็บไว้ แต่ผมไม่อยากให้ภาพของผมหลุดเผยแพร่ในที่สาธารณะเลยนะครับ...คนอื่น ๆ ก็ด้วยนะครับ ถ้ามีใครก่อนหน้านั้นได้ถ่ายภาพหรือถ่ายคลิปเอาไว้ หากคุณจะดูเองผมก็คงไม่ว่าอะไร แต่รบกวนอย่าอัพขึ้นสื่อบนเน็ตเลย...เพราะผมคงจะสืบหาต้นตอการปล่อยภาพหรือคลิปได้ไม่ยากนักหรอกนะครับ เอาจริง ๆ ผมก็ไม่อยากจ้างทนายฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลให้เสียเวลาพักผ่อนในไทยนัก...พวกคุณเองก็คงเหมือนกันใช่ไหมครับ"
รวียิ้มหวานเยียบเย็นให้กับกลุ่มคนแถวนั้น ซึ่งแต่ละคนก็ยิ้มเจื่อน แล้วพากันพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ ก่อนจะแยกย้ายไปคนละทาง ส่วนสาวเจ้าก็รีบลบภาพแล้วโชว์ให้อีกฝ่ายได้เห็น ซึ่งรวีก็ยิ้มหวานฉ่ำพร้อมโค้งศีรษะนิด ๆ ขอบคุณเจ้าหล่อน ทำเอาเจ้าตัวยืนเคลิ้มเสียจนเพื่อนที่มาด้วยต้องเขย่าเรียกสติอยู่สักพักเลยทีเดียว
ทางด้านเวหากับมีนา ยืนนิ่งอึ้งมองรวีจัดการสถานการณ์ภายในห้างกันอยู่เงียบ ๆ และพอรวีกลับมา ทั้งสองคนก็สะดุ้งจนชายหนุ่มชะงักแล้วถามกลับด้วยสีหน้าที่ขรึมลง
"กลัวพี่หรือครับ"
เวหามองใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้
"ไม่หรอกครับ แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้น...ไม่คิดว่าพี่ซันจะ...เอ่อ...จะดูเท่แบบนี้"
รวีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่กับคำพูดของเด็กหนุ่มและพอตั้งสติได้ เจ้าตัวก็รีบย้อนถามกลับไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น
"น้องฟ้าชมพี่ว่าเท่หรือครับ! พี่ไม่ได้ฟังผิดใช่ไหมครับ!"
เวหาหน้าแดงนิด ๆ แล้วพยักหน้าค่อย ๆ ทำเอารวีลืมตัวรวบร่างของเด็กหนุ่มมากอดแน่น ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงมีนากระแอมรัวตามมา
"อะแฮ่ม ๆๆๆ จะทำอะไรช่วยเกรงใจแล้วก็รักษาหน้าพี่ชายผมหน่อยเหอะ คุณพี่ซัน!"
รวียิ้มเจื่อน แล้วปล่อยร่างของเด็กหนุ่มออกจากอ้อมกอดอย่างนึกเสียดาย ส่วนเวหานั้นพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น จนมีนาต้องจูงมือพี่ชายเดินไปจ่ายเงิน พร้อมกับหันมาบอกคนที่ยืนอึ้งมองอยู่
"เอ้า! ยืนอยู่ทำไมล่ะครับ รีบ ๆ ตามมาสิครับ จะได้ไปจ่ายเงินแล้วก็กลับกันสักที!"
รวีสะดุ้งก่อนจะพยักหน้าแล้วยิ้มกว้างรับอย่างอารมณ์ดี เพราะดูเหมือนว่านอกจากเวหาที่เริ่มยอมรับในตัวเขา แม้แต่ก้างขวางคออย่างมีนา ก็ดูเหมือนจะเริ่มทำดีกับเขาด้วยบ้าง คิด ๆ ดูแล้ว ก็น่าจะขอบคุณวัยรุ่นสองคนที่มีเรื่องกันเมื่อครู่อยู่ไม่น้อยทีเดียว
หลังจากจ่ายเงินเสร็จและขนของมาเก็บที่รถได้สักพัก เมฆาก็เดินยิ้ม ตามมาที่รถ ก่อนจะยัดเทปวิดีโอม้วนหนึ่งใส่มือของรวีแล้วกระซิบบอก
"ทีแรกจะให้เขาลบทิ้งอย่างเดียวแล้ว แต่แจ็คพอตได้เห็นภาพนายตอนกอดน้องฟ้าพอดี ก็เลยให้เขาบันทึกเก็บเอาไว้แล้วขอม้วนเทปเขามา นายจะได้เอาไว้เป็นที่ระลึกยังไงล่ะ"
รวีตาเบิกกว้างรับเทปมาถืออย่างตื่นเต้น ก่อนจะดึงร่างเพื่อนสนิทมากอดแล้วผลักออกอย่างไม่ใส่ใจ พลางพุ่งความสำคัญมาที่เทปในมือแทน ทำเอาเด็กหนุ่มทั้งสองที่หันมาเห็น ถึงกับทำตาปริบ ๆ อย่างแปลกใจ
"เอ้า! งั้นเราเปลี่ยนคนขับขากลับดีกว่า เพราะขืนให้เจ้าซันขับกลับตอนนี้ พี่ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ว่าเราจะกลับถึงบ้านได้โดยสวัสดิภาพล่ะนะ!"
เมฆาที่หันไปสังเกตเห็นสายตาของเด็กหนุ่มทั้งสอง รีบเปลี่ยนเรื่องคุย ทำให้รวีหันขวับมามองเพื่อน แต่พอเห็นเมฆาขยิบตาแล้วบุ้ยใบ้ไปที่เวหา เจ้าตัวก็ร้องอ๋อเบา ๆ แล้วยิ้มรับ ก่อนจะหันไปทางคนที่ยืนอยู่
"น้องฟ้าครับ นั่งเบาะหลังกันนะครับ ส่วนน้องมีนจะมาเบียดกันที่เบาะหลังก็ได้นะครับ แต่พี่ว่านั่งหน้าสบายกว่า จริงไหมครับ"
มีนามองคนที่พูดตัดสินใจให้เองเสร็จสรรพ แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินมานั่งด้านหน้าข้างคนขับแต่โดยดี
"ครับ ๆ เอาไงก็ได้ แต่รีบกลับบ้านกันสักทีเถอะครับ!"
มีนาเปรยประชดอย่างหมั่นไส้ ทำให้คนซึ่งกำลังนั่งประจำที่คนขับอมยิ้ม ก่อนจะโน้มตัวไปช่วยดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาให้ร่างเล็กที่กำลังดึงออกมาอย่างลำบากเนื่องจากความไม่คุ้น ทำเอามีนาถึงกับสะดุ้งโหยงหน้าแดงระเรื่อ เพราะเมฆานั้นชะโงกหน้าเข้ามาใกล้กับตนอย่างน่าหวาดเสียว
"เรียบร้อยแล้วครับน้องมีน"
เมฆาบอกคนตัวเล็ก ซึ่งมีนาก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วก้มหน้านิ่งเงียบ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเห็นว่าใบหูขาว ๆ นั้น แดงระเรื่อให้ตนได้เห็น ทำให้เมฆาเผลอหลุดหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างนึกเอ็นดู
ส่วนทางด้านคนนั่งเบาะหลังเองนั้น ต่างก็ไม่มีใครสนใจคนนั่งด้านหน้าเท่าใดนัก เพราะรวีเองก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าเวหาตรง ๆ ด้วยแววตาหวานซึ้งไม่วางตา ส่วนเวหาเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ทำให้เด็กหนุ่มจำต้องก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้าเงยหน้ามองคนนั่งข้าง ๆ ด้วยความเขิน และเป็นเช่นนั้นไปจนเกือบตลอดทางกลับบ้านเลยทีเดียว
... TBC ....
-
แหม.. ต้องให้น้องมีนรีบไปเอาน้ำตาลมาเพิ่มแล้วละ
ที่เอามานั้น ตอนนี้คงจืดสนิทไปแล้ว :impress3:
-
:mew1: :katai2-1:
-
พี่ซันเท่ห์มากกกกก
-
ขอบคุณค่ะ
-
พี่ซันเนี่ยแอบโหดนะเนี่ยระวังน้องกลัวน้า
อย่าเพิ่งแสดงตัวตนมากนักเดี๋ยวน้องเตลิด :z1:
-
เส้นทางรักของรวีกำลังไปได้สวยเลยนะเนี่ย
เป็นกำลังใจให้คนแต่งจ๊ะ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:katai2-1: คืบหน้าแล้ว สองคู่เลยนะ
-
*มาต่อแล้วค่ะ เกือบลืมแปะ แหะ ๆ :o8: *
บทที่ 9
พอกลับมาถึงบ้าน เมฆาและรวีต่างเสนอให้ปิดเรื่องวัยรุ่นที่มาหาเรื่องในวันนี้ เพื่อไม่ให้วารีและณรงค์ไม่สบายใจ โดยที่เวหากับมีนาเองนั้นก็เห็นดีด้วย
"กลับมาแล้วหรือจ๊ะ ไหนดูซิ ว่าซื้ออะไรกันมาบ้าง..."
วารีที่ออกมาต้อนรับยืนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เมื่อได้เห็นจำนวนข้าวของที่ทั้งสี่คนซื้อมา เจ้าหล่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเหลือบไปมองลูกชายทั้งสองด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย ทำเอาเวหากับมีนาหน้าสลดจนสองหนุ่มต้องรีบช่วยแก้ตัว
"น้องมีนกับน้องฟ้าช่วยกันบอกแล้วล่ะครับ แต่พวกผมกลัวว่าถ้าซื้อน้อยจะไม่พอ ก็เลยซื้อมาตุนไว้ จะได้ไม่ต้องไปซื้อหลาย ๆ รอบยังไงล่ะครับ"
วารีฟังที่รวีบอกแล้วหันไปทางลูกชายของเธอ ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นการยืนยันคำพูดนั้น ทำให้หญิงสาวต้องถอนหายใจอีกครั้ง
"เฮ้อ! เอาเถอะ น้าก็คิดไว้บ้างแล้วว่าคงจะออกมาราว ๆ นี้ เอ้า! ช่วยกันขนของเข้าบ้านกันเถอะจ้ะ เดี๋ยวสักพักข้าวกลางวันก็เสร็จแล้วล่ะ"
วารีสรุปตัดบท ทำให้หนุ่ม ๆ ต่างลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงช่วยกันขนของเข้าที่พักกันอย่างขยันขันแข็ง จนหญิงสาวที่มองอยู่อดยิ้มไม่ได้
หลังจากนั่งพักคุยกันรออาหารกลางวันอยู่ครู่ใหญ่ ณรงค์ก็กลับมาจากสวน ซึ่งรวีกับเมฆาก็ไหว้ทักทายอีกฝ่ายตามมารยาท ณรงค์นั้นยกมือรับไหว้ หากแต่มีสีหน้าที่ขรึมกว่าปกติจนคนอื่น ๆ ประหลาดใจ ยกเว้นก็แต่วารีที่พอจะรู้ดีอยู่แล้วว่า เป็นเพราะเหตุใดสามีของเธอจึงมีท่าทางผิดปกติให้เห็นเช่นนี้
"คุณรวี พอจะมีเวลาพูดคุยกับผมตามลำพังสักครู่ไหมครับ"
ณรงค์หันไปทางรวีแล้วเอ่ยขึ้น ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะบังเอิญเหลือบไปเห็นวารีถอนหายใจเบา ๆ เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ในยามนี้ขึ้นมาได้
"ได้ครับคุณน้า"
รวีพยักหน้าพร้อมตอบรับด้วยท่าทางจริงจังไม่แพ้กัน จากนั้นพวกเขาจึงเดินกันไปทางหลังบ้าน ทำให้เวหาที่มองตามไปนึกแปลกใจในท่าทางของบิดา และนึกสงสัยว่าทั้งคู่จะสนทนากันเรื่องใด
"แม่บอกเรื่องที่พี่ซันเขามาตามจีบลูกให้พ่อรู้ไปแล้วล่ะ"
เสียงมารดาที่ขัดขึ้นเบา ๆ ทำเอาเวหา มีนา รวมไปถึงเมฆาที่ยืนมองตามไล่หลังของชายสองคนนั้นไปสะดุ้งโหยง แล้วต่างหันกลับมามองคนพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง
"ยังไงสักวันก็ต้องรู้อยู่ดีใช่ไหมล่ะ อีกอย่างดูจากท่าทางของตาซันก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรด้วย แม่เลยชิงบอกพ่อเขาก่อน ขืนปล่อยให้รู้เองทีหลังมีหวังโกรธแย่"
เมฆามองหญิงสาวตรงหน้าเขาพลางกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปบ้าง
"แล้วคุณน้าณรงค์ว่ายังไงครับ โกรธที่เจ้าซันมาจีบน้องฟ้าหรือเปล่าครับ"
เวหาที่ถูกเอ่ยถึงชะงักเล็กน้อย เจ้าตัวมองไปยังทิศที่คนทั้งคู่เดินหายไป ก่อนจะหันกลับมารอฟังคำตอบของมารดาอย่างเป็นกังวล
"ก็ไม่โกรธอะไรหรอกจ้ะ แต่ก็ขรึม ๆ ไป...บางทีพ่อเค้าอาจจะทำใจลำบากนิดหน่อย เพราะถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่พ่อเค้าก็รักหนูเหมือนลูกในไส้คนหนึ่งเลยนะจ๊ะฟ้า"
เวหาเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ด้วยความตื้นตัน ส่วนเมฆาถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเปรยขึ้นบ้าง
"ถ้าไม่มีเรื่องราวอะไรใหญ่โตก็ดีนะครับ...ผมเข้าใจว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่คงจะทำใจยากในเรื่องนี้ ขนาดพ่อแม่ของเจ้าซันยังช็อกและไม่ยอมรับเรื่องนี้เลย ไม่สิ...จะว่าไปที่ฟังมาก็แค่ฝ่ายพ่อนั่นล่ะครับ...เจ้าซันเล่าให้ฟังว่าทะเลาะกับพ่อมาตั้งหลายปี จนแทบจะตัดพ่อตัดลูกกันด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเจ้าซันก็ทำให้พ่อเขายอมรับเรื่องความรักที่เขามีต่อน้องฟ้าได้ และยอมปล่อยให้มาเมืองไทยนี่ล่ะครับ"
คำบอกเล่าของเมฆาทำให้วารีและสองพี่น้องถึงกับตกตะลึงและนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ โดยเฉพาะเวหา เขาไม่คิดว่านอกจากเรื่องความรู้สึกที่มั่นคงต่อเขามาตลอดแล้ว รวียังถึงกับต้องทะเลาะกับบิดาเพื่อเขาอีกด้วย
"ผม...ไม่เข้าใจเลย...ทำไมเขาถึงได้มั่นคงกับผมถึงขนาดนี้ล่ะครับ"
"เรื่องนี้น้องฟ้าคงต้องไปถามกับเจ้าซันมันเองแล้วล่ะครับ ว่าเพราะอะไร"
เมฆาตอบคำถามนั้นพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ส่วนทางด้านมีนาเองก็จ้องมองพี่ชายนิ่ง เขามั่นใจว่าเวหาเริ่มใจอ่อนและสงสารรวีเพิ่มมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นเขากลับไม่กล้าแย้งอะไรออกไป เพราะตัวเขาเองพอได้ยินเช่นนี้ ก็เริ่มชักจะใจอ่อนต่อความรักที่รวีมีให้กับพี่ชายของเขาบ้างแล้วเหมือนกัน
ส่วนทางด้านเวหานั้น เด็กหนุ่มกำลังนิ่งเงียบครุ่นคิดถึงวันแรกที่ตนได้พบกับรวี แม้เขาจะจำอีกฝ่ายไม่ได้สักนิด ทว่าเวลาที่สายตาอ่อนโยนแน่วแน่จริงใจคู่นั้นจ้องมองมายังเขาทีไร เวหาก็อดรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาทุกที
เด็กหนุ่มไม่คิดหรอก ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความรัก เพราะว่ามันยังคงเร็วเกินไปสำหรับเขา หากแต่เวหาก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่า เขานั้นรู้สึกดีทุกครั้งเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของรวีที่มีให้กับเขา และรู้สึกพึงพอใจที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เห็นว่าเขานั้นสำคัญมากกับตนเองเพียงใด
...มันอาจจะยังไม่ถูกเรียกว่ารัก แต่เขาก็เริ่มจะคิดว่า มันคงจะดีไม่น้อย หากเขาได้อยู่เคียงข้างกับรวีตลอดไปเรื่อย ๆ เช่นนี้...
อีกด้านหนึ่ง ณรงค์กับรวีกำลังยืนอยู่ด้านหลังบ้าน ชายหนุ่มสูงวัยมองเหม่อสายตาไปยังลำคลองเบื้องหน้า ก่อนจะเปรยขึ้นหลังจากเงียบมาสักครู่
"คุณรวี ...คุณน่ะชอบเวหาลูกชายของผมใช่ไหม"
รวีแม้จะพอคาดเดาได้ แต่ก็ยังคงสะดุ้งนิด ๆ ทว่าพออีกฝ่ายหันมาสบตาเขา ชายหนุ่มก็มีสายตาจริงจังพร้อมเอ่ยตอบกลับ
"ครับ! ผมชอบน้องฟ้า...ชอบมานานแล้วตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน"
พอได้เห็นแววตาแน่วแน่ของอีกฝ่าย ณรงค์ก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตามมาแผ่วเบา
"แต่ตอนนั้นฟ้าก็เพิ่งแค่สามขวบนะ..."
"ครับ...แค่สามขวบ แต่ผมก็ชอบเขา"
ณรงค์มีสีหน้าอึ้ง ๆ ปนลำบากใจที่จะพูดต่อ ทำให้รวีนึกขำแล้วจึงเป็นฝ่ายพูดเสียเอง
"ผมเข้าใจนะครับ ว่ามันอาจจะดูไม่ปกตินัก แต่ความรู้สึกของผมตอนนั้นเป็นของจริง และมันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน ...ไม่สิ...อาจจะเปลี่ยนไปตรงที่ว่า ผมตอนนี้เริ่มชอบเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอกันนั่นล่ะครับ"
ณรงค์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะมองอย่างไรก็ไม่เห็นว่ารวีนั้นมีวี่แววโกหกหลอกลวงหรือล้อเล่นแต่อย่างใด
"แล้วถ้าฟ้าไม่รู้สึกแบบเดียวกับคุณล่ะ คุณจะทำอย่างไร จะออกจากชีวิตของเขาไปจริง ๆ อย่างที่เคยบอกแน่น่ะหรือ"
คำถามถัดมา ทำให้รวีชะงัก เขายิ้มกับตัวเองน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบออกไปตามตรงโดยไม่คิดปิดบัง
"บอกตามตรงนะครับ ผมไม่คิดว่าจะตื๊อแค่ครั้งสองครั้งแล้วยอมแพ้หรอกครับ ...ผมตั้งใจจะตื๊อจีบไปเรื่อย ๆ จนกว่าน้องฟ้าจะเห็นใจและยอมรับรักผมจนได้ ...แต่คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะไม่มีวันทำร้ายหรือบีบบังคับใจน้องฟ้าเด็ดขาด และถ้าเกิดสุดท้ายแล้ว น้องฟ้าก็ให้ผมได้แค่พี่ชาย ผมก็จะตัดใจและยอมรับผลที่เกิดขึ้น และจะไปจากชีวิตของน้องฟ้าอย่างที่เคยสัญญาเอาไว้จริง ๆ"
ณรงค์นิ่งพิจารณาชายผู้อ่อนวัยกว่าตนอยู่สักพัก แล้วจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
"เฮ้อ...เอาเถอะ เรื่องของความรัก ยังไงมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าคุณสัญญาว่าจะให้เกียรติลูกชายผมและไม่บังคับจิตใจเขา ผมก็คงไม่คิดจะไปขัดขวางอะไรเรื่องความรักของคุณหรอกนะ"
รวีชะงัก ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความยินดี ที่อีกฝ่ายนั้นยอมรับเรื่องความรักของเขาง่ายดายกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านั้นเสียอีก
"ขอบคุณครับคุณน้า...ขอบคุณจริง ๆ ครับ"
ณรงค์มองชายผู้อ่อนวัยกว่าตนที่โค้งศีรษะให้เขา แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะแสร้งถามหยอกออกไป
"แล้วก่อนหน้านั้น ที่เห็นว่าสนใจเรื่องลงทุนเกี่ยวกับการเกษตรนั่น พูดเพื่อเอาใจผม หรือคิดจะทำจริง ๆ ล่ะ"
รวีชะงักแล้วจึงเงยหน้ามองคนพูด ก่อนจะยิ้มแย้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้ายิ้มกระเซ้าของอีกฝ่าย
"เรื่องนั้นผมพูดจริงนะครับ ...ผมคิดว่าจะมาทำธุรกิจลงทุนในไทยนี่ล่ะครับ ผมไม่ชอบงานของพ่อผมเท่าไหร่ นอกจากเรื่องน้องฟ้าแล้ว ที่ผมตื๊อมาไทยให้ได้ ก็เพราะอยากจะพิสูจน์ฝีมือตัวเองให้พ่อผมได้เห็นว่า ไม่ต้องพึ่งพาอิทธิพลของเขา ผมก็ทำมาหากินเหมือนชาวบ้านได้เช่นกัน"
ณรงค์นิ่วหน้าเล็กน้อย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนั้น
"คุณไม่ค่อยจะถูกกับพ่อของคุณนักหรอกหรือ"
รวียิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไปตามตรง
"ก็มีกระทบกระทั่งกันบ้างล่ะนะครับ...แม่เคยบอกว่าผมกับพ่อนิสัยคล้ายกัน ก็เลยทะเลาะกันง่าย ...แต่จริง ๆ แล้วผมว่าตัวผมนิสัยดีกว่าพ่อนิดหน่อยล่ะนะครับ"
ท้ายประโยครวีบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้คนมองถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องของบิดาตนให้อีกฝ่ายได้ฟังต่อ
"เรื่องของเรื่องก็คือ พ่อไม่เห็นด้วยที่ผมชอบผู้ชายด้วยกัน และพ่อก็อยากให้ผมรับช่วงงานที่เขาทำอยู่ต่อ...แต่ผมก็ปฏิเสธเขาทั้งสองเรื่องนั่นล่ะครับ ...สำหรับเรื่องงานที่ผมจะเลือกทำเองพ่อก็พอยอมรับได้ แต่เรื่องน้องฟ้านี่ผมต้องใช้ความพยายามทั้งตื๊อทั้งใช้เล่ห์กลอยู่หลายปี กว่าพ่อจะยอมรับได้ล่ะนะครับ ก็ลำบากอยู่เหมือนกัน ...แต่ก็คุ้มค่านะครับ เพราะน้องฟ้าที่ผมชอบ เติบโตขึ้นมาอย่างที่ผมคาดฝันไว้...เขายังคงโตมาเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดี และรักครอบครัวมากอีกด้วย... คนแบบนี้ล่ะครับ ที่ผมอยากให้มาอยู่เคียงข้างและเป็นคู่ชีวิตกันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายจากกันไป"
ณรงค์มองชายหนุ่มที่พูดถึงลูกชายของเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยน แล้วจึงลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นตามมา
"ผมดีใจนะที่ได้ยินว่าคุณยอมทำทุกอย่างเพื่อฟ้าแบบนั้น...ถึงฟ้าจะไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของผม แต่ผมก็รักเขาเหมือนเขาเป็นสายเลือดของผมคนหนึ่ง...ถ้าเกิดอนาคตข้างหน้าพวกคุณใจตรงกันแล้ว ผมก็คงวางใจฝากลูกชายของผมไว้กับคุณได้ใช่ไหม"
รวีนิ่งเงียบไปพัก แล้วจึงโค้งศีรษะให้คนตรงหน้าอย่างสุภาพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับอีกฝ่ายนิ่ง
"ถ้าเวลานั้นมาถึง ผมขอสัญญากับคุณน้าว่า ผมจะดูแลน้องฟ้าให้เป็นอย่างดี และจะใช้ทั้งชีวิตนี้ปกป้องเขาให้เขามีรอยยิ้มได้ตลอดไปครับ"
"อืม...ผมเชื่อว่าคุณจะรักษาสัญญา"
ณรงค์รับคำก่อนจะนิ่งเงียบไปอีกสักพัก แล้วเอ่ยถามบางสิ่งที่ทำให้รวีสะดุ้ง
"แล้วเพื่อนคุณล่ะ...คงไม่ได้คิดมาจีบมีนาอีกคนใช่ไหม"
รวียิ้มเจื่อนไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธออกไป เพราะเท่าที่สังเกตดูเขาก็เห็นว่าเพื่อนของเขาเริ่มจะสนใจมีนาเข้าบ้างให้แล้ว
"เอ่อ...เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจนักครับ"
ชายหนุ่มเลี่ยงตอบ ทำให้คนสูงวัยกว่าขมวดคิ้วนิด ๆ
"ถ้าแค่หยอกล้อเล่น ๆ ผมก็ไม่ว่าอะไร ...แต่ถ้าไม่จริงจังก็อย่ามาให้ความหวังกัน มีนายังเด็กบางครั้งก็แยกแยะไม่ออกระหว่างจริงจังกับล้อเล่น ผมไม่อยากให้ลูกชายผมกลายเป็นของเล่นใคร คุณเข้าใจนะ"
รวีเม้มปากน้อย ๆ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ
"ครับ...ผมจะพูดคุยกับเมฆเรื่องนี้เอง ถ้าเขาไม่คิดจริงจังกับน้องมีน ผมจะเตือนไม่ให้เขาเข้าใกล้น้องมีนมากเกินไปอย่างที่เป็นอยู่....แต่ถ้าเขาเกิดจริงจัง ผมเองก็อยากให้คุณน้าให้โอกาสกับเพื่อนของผมเหมือนที่ให้กับผมบ้าง... เมฆเขาอาจจะดูเหมือนเพลย์บอยทำตัวล่องลอยไปสักหน่อย แต่เขาก็เป็นคนดีและน่าคบหาคนหนึ่ง บางทีถ้าเขาเจอคนที่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไป เขาก็คงพร้อมจะทำทุกอย่างให้คนที่เขารักมีความสุข...ผมเชื่อเช่นนั้นครับ"
ณรงค์รับฟังแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ตามมาค่อย ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้รวียิ้มออก
"ขอบคุณคุณน้ามากเลยครับ...ผมอยากให้พ่อจอมเอาแต่ใจของผม ได้มาเจอคุณน้าสักครั้งจังเลย เผื่อกลับไปจะได้นิสัยดีขึ้นกว่านี้บ้าง"
รวีบอกพร้อมยิ้มแย้มจริงใจเสียจนคนฟังไม่กล้าพูดอะไรแย้งออกไป นอกจากยิ้มเจื่อนตอบรับเท่านั้น พวกเขาคุยกันถึงเรื่องเวหาอยู่อีกสักพัก ทั้งคู่จึงพากันเดินตรงกลับเข้าบ้าน แล้วก็ได้พบว่าสมาชิกคนอื่นกำลังนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก และจ้องมองมายังพวกเขาทันทีด้วยสายตากังวลแกมสงสัย
"ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า...พ่อก็แค่อยากคุยกับคุณรวีเขา ตามประสาว่าที่พ่อตาในอนาคตก็เท่านั้นเอง"
ณรงค์แกล้งหยอก ทำเอาเวหาหน้าแดงวาบ ส่วนมีนาสะดุ้งโหยง
"แม้แต่พ่อก็ยอมรับหรือครับ!"
"พ่อน่ะก็แล้วแต่พี่ของลูกต่างหาก...แต่ดูจากท่าทางของพี่ชายลูกที่เห็น บางทีที่พ่อพูดออกไป ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องจริงตามมาในไม่ช้านี้ก็ได้มั้ง"
ณรงค์เปรยยิ้ม ๆ ซึ่งก็ทำให้เวหาก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้าพูดอะไร มีนามองพ่อทีพี่ชายที แล้วจึงโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด
"ลูกชายทั้งคน ทำไมยกกันให้ง่ายแบบนี้! แล้วนี่ถ้ามีผู้ชายมาขอมีนบ้าง หวังว่าพ่อแม่คงจะไม่ยกให้ง่าย ๆ แบบพี่ฟ้าอีกคนนะนั่น!"
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังประสานขึ้นหลังจากมีนาพูดจบ จากนั้นวารีจึงเอ่ยขึ้นมาก่อนอย่างอารมณ์ดี
"ถ้ามีนโอเค แม่กับพ่อก็คงไม่คิดขัดล่ะนะ แม่ถือหลักว่า เรื่องความรักก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน พ่อกับแม่ทำได้ก็เพียงมองดูอยู่ห่าง ๆ และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ก็เท่านั้น ส่วนเรื่องการตัดสินใจก็เป็นหน้าที่ของลูก ที่จะเป็นคนตัดสินใจเลือก พ่อแม่ไม่เข้าไปก้าวก่ายหรอกจ้ะ"
มีนานิ่งอึ้ง แล้วจึงแสร้งทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่พอคนอื่นเผลอเขาก็แอบชำเลืองมองเมฆาที่กำลังนั่งคุยแสดงความยินดีกับรวีแทน ก่อนจะรีบตวัดสายตากลับเมื่อคนที่ถูกมองเหมือนจะรู้สึกตัว ทางด้านเมฆานั้นอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นคนตัวเล็กกำลังแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่นแต่ใบหน้ากับใบหูขาวเนียนนั่นดูแดงระเรื่อนิด ๆ พอจะให้จับผิดได้อยู่ดี
"เอาล่ะจ้ะ ในเมื่อเคลียร์กันเรียบร้อย ก็ไปยกกับข้าวมาตั้งโต๊ะดีกว่าอ้อ! ซัน ถ้าเกิดฟ้ายอมตกลงคบด้วยจริง ๆ ล่ะก็ น้าขออะไรจากเธอสักอย่างจะได้ไหมจ๊ะ"
วารีหันไปถามรวีที่มีสีหน้าประหลาดใจแกมสงสัย เช่นเดียวกับคนอื่นในห้อง ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงพยักหน้ารับรู้ตอบกลับไป
"ได้ครับ คุณน้าอยากขออะไรหรือครับ"
วารียิ้มหวาน แล้วจึงบอกในสิ่งที่ทำให้หนุ่ม ๆ ในห้องพากันนิ่งเงียบไปตาม ๆ กัน
"ถ้าซันอยากได้น้องไปเป็นเจ้าสาว น้าก็อยากขอให้ฟ้าเขาเรียนให้จบ ป.ตรีเสียก่อน แล้วระหว่างนั้นก็อยากให้ซันหักห้ามใจ ไม่ชิงสุกก่อนห่ามกับน้องเขา ซันจะให้สัญญากับน้าเรื่องนี้ได้ไหมล่ะจ๊ะ"
"คุณแม่! ขออะไรออกไปน่ะครับ!"
มีนาโพล่งออกไปด้วยความอายแทนพี่ชาย ทว่าวารีนั้นกลับหันมามองลูกชายคนเล็กของเธอแล้วย้อนกลับหน้าตาเฉย
"อ้าว! ก็ขอเรื่องปกติตามประสาคนเป็นแม่น่ะสิจ๊ะ หรือมีนอยากให้พี่ของมีนเสียตัวก่อนแต่ง"
หนุ่ม ๆ แต่ละคนทำหน้ากันแทบไม่ถูก ทางด้านณรงค์ทำเป็นเปรยบอกพึมพำขอตัวไปเตรียมยกกับข้าวมาขึ้นโต๊ะในครัวแทน ส่วนเมฆาแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่น และเวหานั้นยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่ตามเดิม หากแต่ที่จริงแล้วนั้นเด็กหนุ่มกำลังรู้สึกอับอายจนแทบไม่อยากนั่งอยู่แถวนี้ด้วยซ้ำ
"เอ้า! ว่าไงจ๊ะตาซัน ให้สัญญากับน้าเรื่องนี้ได้ไหม"
รวีกลืนน้ำลายลงคอ พอหันไปมองเวหาที่นั่งก้มหน้าก้มตาแต่ใบหูแดงก่ำนั่น ก็ทำให้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันมาตอบหญิงสาวอย่างไม่เต็มเสียงนัก
"ได้ครับ...ผมจะพยายามรักษาสัญญา เอ่อ...แต่ถ้าเกิดเผลอตัวกอดไปบ้าง จูบไปบ้าง จะเป็นอะไรไหมครับ"
มีนาหันขวับไปมองคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่ารวีจะกล้าพูดออกมาแบบนี้ ส่วนเวหาเริ่มทนไม่ไหว เจ้าตัวลุกพรวด แล้วบอกมารดาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
"ผมว่าผมไปช่วยพ่อยกกับข้าวด้วยดีกว่า ขอตัวนะครับ!"
บอกจบเจ้าตัวก็วิ่งพรวดพราดหายไปในครัวอย่างรวดเร็ว ทำให้แต่ละคนมองไปตาปริบ ๆ จากนั้นวารีจึงหันมาทางรวีอีกครั้งก่อนจะสนทนากันต่อถึงเรื่องเมื่อครู่
"อืม...สำหรับคำตอบของซันเมื่อสักครู่ ถ้าพวกเธอเป็นคู่รักกันแล้ว เรื่องสัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกันบ้าง ก็คงจะเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ...แต่ที่น้าต้องยื่นข้อเสนอเช่นนี้ให้กับซัน ก็เพราะน้าอยากจะพิสูจน์ดูว่า ซันจะรักฟ้ามากพอที่จะหักห้ามใจตัวเองในเรื่องนี้ได้ไหม ...ถึงฟ้าจะไม่ใช่ลูกสาว แต่ในเมื่อซันอยากขอเขาไปเป็นเจ้าสาว ซันก็ควรจะทำตามประเพณีที่ดีงามของไทย จริงไหมล่ะจ๊ะ... แต่ถ้าเรื่องแค่นี้ซันยังทำไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ไปอยู่ด้วยกัน น้าก็ชักจะไม่มั่นใจเสียแล้วล่ะว่าซันจะดูแลลูกชายของน้าได้เป็นอย่างดีไหมล่ะนะ"
เมฆาเหลือบมองว่าที่แม่ยายของเพื่อนสนิทแล้วกลืนน้ำลายลงคอ เพราะที่ผ่านมาเห็นว่าวารียอมไฟเขียวเรื่องจีบลูกชายง่าย ๆ แต่เอาจริง ๆ แล้วก็ใช่ว่าหญิงสาวจะยอมให้เพื่อนของเขาคบหากับลูกของเธอได้ง่ายดายอย่างที่พวกเขาเคยคาดคิดไว้ก่อนหน้านั้น
"ครับ...ผมจะพยายามอดทนอดกลั้น ไม่ชิงสุกก่อนห่ามก่อนที่น้องฟ้าจะเรียนจบให้ได้ครับ"
รวีรับคำกลับไปอย่างนึกปลง เพราะแค่รู้ว่าเวหาเองก็ดูไม่รังเกียจและเริ่มแสดงว่าเจ้าตัวก็มีใจกับเขาให้ได้เห็น แค่นี้เขาก็แทบจะโผเข้าไปกอดเด็กหนุ่มเข้าให้แล้ว แต่ขืนเขาลืมตัวทำเกินเลยไปกับเวหาอย่างที่ต้องการ มีหวังวารีหรือแม้แต่เวหาเองก็อาจจะผิดหวังในตัวเขาก็เป็นได้ ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้รวีพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้กลับมาหาคนที่เขารัก ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ความต้องการทางร่างกายเพียงชั่ววูบ มาทำให้ความรักของเขาต้องพังทลายลงได้เป็นแน่
ทางด้านวารีพอเธอสังเกตเห็นแววตาที่ดูหนักแน่นจริงจังขึ้นของรวี เธอก็ยิ้มออกมานิด ๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นเธอจึงชักชวนหนุ่ม ๆ ให้ไปร่วมโต๊ะอาหาร ซึ่งป่านนี้น่าจะถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วโดยทั้งสามคนก็ต่างพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ แล้วเดินตามหญิงสาวไปอย่างเงียบเชียบเรียบร้อย จนวารีที่เหลือบมองดูถึงกับอมยิ้มอย่างนึกขำแกมเอ็นดูเลยทีเดียว
หลังจากพวกรวีกลับไปบ้านพักของพวกเจ้าตัวแล้ว มีนาก็ลงมือถามบิดากับมารดาของตนอย่างสงสัย ว่าเหตุใดจึงยอมรับเรื่องที่รวีมาตามจีบเวหาได้ง่ายนัก ซึ่งณรงค์ก็หันไปมองภรรยาแล้วยิ้มน้อย ๆ โดยวารีเองก็ยิ้มตอบ ก่อนจะหันมาชวนลูกชายทั้งสองไปยังห้องรับแขก เพื่อนั่งฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้
"ลูกรู้ไหมว่า ก่อนที่แม่จะแต่งงานกับพ่อเจตรินของลูกน่ะ แม่กับพ่อณรงค์คนนี้เคยคบกันมาก่อน"
วารีหันไปถามเวหา ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งแล้วหันมามองบิดาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เช่นเดียวกับมีนาที่มองทั้งคู่สลับไปมาอย่างตกใจเช่นกัน
"ไม่แปลกหรอกที่พวกลูกไม่รู้เรื่องนี้ เพราะแม่ไม่คิดจะเล่าให้ฟัง จนกว่าจะถึงวันที่พวกลูกเติบโต และมีความรักเช่นกันน่ะจ้ะ"
วารีอมยิ้มเมื่อเห็นลูกชายทั้งสองทำหน้าตาประหลาดใจปนสงสัย เห็นดังนั้นเธอจึงเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตให้บุตรชายฟังต่อ
"แม่กับพ่อณรงค์เคยคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน พอเราเรียนจบ พ่อณรงค์เค้าก็ไปสู่ขอแม่กับคุณตาแล้วก็คุณยาย แต่ตอนนั้นพ่อณรงค์เค้าฐานะการเงินไม่ค่อยดีนัก คุณตากับคุณยายก็เลยรังเกียจและไม่ยอมยกแม่ให้ แถมยังบังคับจับแม่ให้ไปแต่งงานกับลูกชายเพื่อนของพวกเขาอีก ทำให้พ่อณรงค์ต้องยอมตัดใจและไปจากชีวิตของแม่ในที่สุด..."
ณรงค์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมาเมื่อเห็นวารีดูมีสีหน้าเศร้านิด ๆ ยามเมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต
"ก็เพราะพ่อเจตรินของฟ้าเขาเป็นคนดี แล้วก็มีฐานะการงานมั่นคง...ที่สำคัญพ่อเพิ่งจะได้รู้ตอนที่พ่อแอบไปพบเขาเพื่อจะคุยตกลงเรื่องแม่ของลูก คุณเจตรินเขาบอกพ่อว่าที่จริงเขาน่ะแอบชอบแม่ของลูกมานานแล้ว แต่แม่ของลูกคิดกับเขาแค่พี่ชายคนหนึ่ง จึงทำให้เขาไม่กล้าเผยตัว จนกระทั่งถูกพ่อแม่บังคับให้จับแต่งงานเช่นนี้ ...เขาขอโทษพ่อและบอกพ่อว่าจะพยายามพูดเรื่องนี้ให้พ่อแม่ของตนเข้าใจ และยกเลิกการแต่งงานให้ได้ เพราะเขาไม่อยากให้วารีเสียใจ....พอพ่อเห็นดังนั้น พ่อจึงได้ตัดสินใจออกไปจากชีวิตแม่ของลูก โดยเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้วารีได้อ่าน ...ในเนื้อความนั้น พ่อเขียนต่อว่าตัวเองว่าเป็นคนไร้ค่า ไม่คู่ควรกับแม่ของลูก....พ่อรู้ดีว่าแม่ของลูกไม่ชอบคนที่ท้อแท้ง่าย มองโลกในแง่ร้าย ไม่สู้คน ...พ่อจึงทำเป็นว่าพ่อกำลังกลายเป็นคนเช่นนั้น ...แล้วก็ได้ผล แม่ของลูกโกรธพ่อและเสียใจมาก สุดท้ายเขาจึงตอบตกลงและยอมแต่งงานกับคุณเจตรินแทนในที่สุด"
มีนากับเวหานิ่งอึ้งรับฟังในสิ่งที่พวกตนไม่เคยรู้มาก่อน โดยเฉพาะเวหานั้นเขากำพร้าบิดาตั้งแต่เกิดเพราะอุบัติเหตุ ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสถึงความอบอุ่นหรือมีความทรงจำเกี่ยวกับบิดาแท้ ๆ ของตนมาก่อน
"พี่เจตรินเป็นคนดีมาก...แต่น่าเสียดายที่อายุสั้น เขาตายก่อนที่ฟ้าจะคลอดเพราะอุบัติเหตุ แถมคุณพ่อของพี่เจตริน ก็มาหัวใจวายตายตามลูกชายไปอีก แถมเรื่องสมบัติของฝ่ายพ่อลูกก็มาถูกพวกญาติพี่น้องที่เหลือโกงไป ตอนนั้นแม่ไม่มีกระจิตกระใจจะไปสู้รบปรบมือกับพวกญาติของพ่อลูกสักนิด แม่ได้แต่เคว้งคว้างไม่รู้จะทำยังไง แม่ร้องไห้ทุกวัน ข้าวปลาก็แทบไม่ได้กิน จนคุณตาและคุณยายของลูกก็เครียดตาม และสุดท้ายพอพ่อณรงค์รู้ข่าว เขาก็รีบกลับมาหาแม่ มาช่วยดูแล ปลอบโยนให้แม่คลายเศร้า...ตอนแรกแม่ก็โมโหและไม่ต้องการให้เขาเข้าใกล้ แต่พ่อณรงค์เขาเตือนสติแม่เรื่องลูก ทำให้แม่กลับมาคิดได้ และกลับมาดูแลตัวเองอีกครั้ง ส่วนคุณตาคุณยายเห็นว่าพ่อณรงค์ทำเพื่อแม่ ก็เลยไม่ต่อต้านหรือขับไล่รังเกียจเขาอีก..."
เวหาหันกลับไปมองคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาต่างสายเลือด แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะลุกไปนั่งคุกเข่าข้างอีกฝ่าย พลางไหว้ที่ตักขอบคุณที่ณรงค์มีส่วนทำให้เขาเกิดมาดูโลกใบนี้อย่างปลอดภัยได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ณรงค์ลูบศีรษะเด็กหนุ่มอย่างตื้นตัน ส่วนวารียิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ และมีนาก็มีรอยยิ้มยินดีและปลื้มปีติที่ได้รู้ว่าณรงค์ซึ่งเป็นบิดาแท้ ๆ ของตนเป็นคนดีถึงเพียงนี้
"จากนั้นพ่อก็ใช้เวลาเกือบห้าปี เทียวไปเทียวมาเยี่ยมเยียนฟ้ากับแม่ และสร้างเนื้อสร้างตัวจนพอมีพอกิน ก่อนจะมาขอแม่ของลูกแต่งงาน ซึ่งคราวนี้คุณตาคุณยายของพวกลูกต่างก็ยอมรับให้พ่อเป็นลูกเขยของพวกท่านได้สักทีล่ะนะ"
ณรงค์เล่าเสริมเรื่องราวของภรรยา พร้อมกับขยิบตาให้ในท้ายประโยค ซึ่งก็ทำให้ลูกชายทั้งสองอมยิ้มน้อย ๆ ส่วนวารีหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงบอกกับลูกชายที่รักทั้งสองคนของเธอต่อ
"ก็เพราะว่าพ่อและแม่เคยมีความรักที่ไม่สมหวังเพราะถูกกีดกันจากผู้ให้กำเนิด ดังนั้นพ่อกับแม่จึงตัดสินใจแล้วว่า หากวันใดพวกเรามีลูก และลูก ของเรามีความรัก ...เราจะขอแค่คอยดูแลพวกเขาอยู่ห่าง ๆ และให้คำแนะนำในฐานะคนในครอบครัว ให้เขาได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางความรักของเขาเอง ...ไม่ว่าจะออกมาสุขหรือทุกข์ พวกเราในฐานะพ่อและแม่ ก็จะคอยอยู่เคียงข้างลูก ๆ ของเราเสมอ... ทีนี้ลูกเข้าใจหรือยังล่ะจ๊ะ ว่าทำไมพ่อและแม่ถึงไม่คิดจะเข้าไปขัดขวางในเรื่องนี้"
มีนากับเวหานิ่งอึ้งไปสักพักใหญ่ จากนั้นสองพี่น้องจึงตรงเข้าไปสวมกอดมารดาและบิดาสลับกันอย่างตื้นตัน ทั้งคู่ต่างให้สัญญาว่า จะพยายามใช้สติไตร่ตรองอย่างมีเหตุผลในเรื่องของความรักในอนาคตข้างหน้านี้ และจะไม่ประพฤติเสื่อมเสียอะไรให้พ่อแม่ต้องผิดหวังในตัวพวกเขาอย่างเด็ดขาด ซึ่งก็ทำให้วารีและณรงค์นั้นมีรอยยิ้มอย่างชื่นชมและพึงพอใจในบุตรทั้งสองของพวกเขาเป็นยิ่งนัก
... TBC ...
-
เป็นครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักกันมาก
ส่วนพี่ซันก็อดใจไว้ก่อนนะ อย่าเผลอปล้ำน้องฟ้าทำเมียเข้าล่ะ
เดี๋ยวอดแต่งงาน อิอิ น้องมีนก็เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวให้พี่เมฆาเหมือนกันนะจ๊ะ
-
:L1: อบุอุ่นจังค่ะ สงสัยว่าลูกสองคนคงได้ออกเรือนพร้อมกัน
:pig4:
-
ปลื้มคุณพ่อคุณแม่
-
น่ารัก อบอุ่น :กอด1:
-
ความรักมั่นคง
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4:
-
ครอบครัวนี้น่ารักจริงๆ ><
เชียร์น้อง ฟ้ากับพี่ซัน และ พี่เมฆกับน้องมีน
ฟินเวอร์ :hao7: :hao7: :hao7:
-
ครอบครัวนี้น่ารักมากจริงๆ
:กอด1:
-
ว้าวววว ครอบครัวนี้ได้ใจไปเลย เต็มร้อย
:3123: :3123: :3123:
-
เอาล่ะ เตรียมรายชื่อแขกไว้เนิ่นๆ จะได้ไม่ฉุกละหุก พร้อมร่อนการ์ดได้เลยเมื่อเรียนจบ เอ หรือไม่ต้องจบก็ก :mew2:
-
ครอบครัวน่ารัก
ทางสะดวก พี่ซันลุยยย
-
2 ผ่านละค่าาาา
พี่ซันสู้ต่อไป
-
บทที่ 10
รวีกับเมฆาแวะเวียนมาเป็นแขกขาประจำของบ้านได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว และเพราะความหล่อโดดเด่นชวนสะดุดตาเพื่อนบ้านรอบข้างของทั้งสองหนุ่ม ในระยะสองสามวันแรกนั้นจึงทำให้เกิดข่าวลือแปลก ๆ ขึ้นมา ทว่ารวีก็ใช้ความไหลลื่นในการสนทนา ทำให้เพื่อนบ้านแต่ละรายเข้าใจไปว่า ชายหนุ่มนั้นแวะเวียนมาที่นี่เพราะความเป็นญาติห่าง ๆ กับวารี และสนอกสนใจที่จะทำธุรกิจทางด้านเกษตรร่วมกับณรงค์อีกด้วย
"น้องฟ้าครับ วันพรุ่งนี้พวกเราไปเที่ยวทะเลกันไหมครับ...ไปเที่ยวพักผ่อนค้างสักคืนสองคืนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลของพี่กันนะครับ"
หลังมื้ออาหารเย็นภายในซุ้มนั่งนอกบ้าน รวีก็จัดแจงพูดอ้อนเด็กหนุ่มตรงหน้าตนด้วยรอยยิ้มหวาน ทำเอาเวหาชะงักไปเล็กน้อย เพราะเมื่อสองสามวันก่อน เขาเพิ่งเปรยบ่นลอย ๆ กับครอบครัวระหว่างทานข้าวกลางวันว่าอากาศร้อนแบบนี้น่าจะไปเที่ยวทะเลกัน มาวันนี้รวีก็กลับมาชวนเขาไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศของเจ้าตัวเข้าเสียแล้ว
"ชวนพี่ฟ้าคนเดียวหรือครับ แล้วคนอื่น ๆ ในบ้านล่ะ ไม่คิดจะชวนกันเลยหรือไง"
มีนาที่นั่งอยู่ด้วยกันขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะแสร้งเปรยขัดขึ้นมาทำเอารวีหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับคนพูด ก่อนจะเอ่ยตอบ
"พี่ก็ต้องชวนน้องมีน แล้วก็พวกคุณน้าไปด้วยอยู่แล้วครับ เพราะบ้านพักตากอากาศหลังนี้ค่อนข้างใหญ่โต อยู่กันได้หลายคนสบาย ๆ อยู่แล้วล่ะครับ"
มีนาฟังแล้วก็ทำปากมุบมิบบ่น ส่วนเวหาขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะถามย้อนกลับไปคล้ายกับสงสัยอะไรบางอย่าง
"บ้านพักที่ว่านั่น มีมานานแล้ว หรือเพิ่งติดต่อซื้อขายมากันไม่กี่วันนี้ล่ะครับ..."
รวีสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบทำเป็นยิ้มแย้มแล้วพูดกลบเกลื่อนตามมา
"แหม! ก็ต้องมีมานานแล้วสิครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ มีคนดูแลทำความสะอาดเป็นประจำ ไม่สกปรกแน่!"
เวหาหรี่ตามองแล้วนิ่งเงียบคล้ายกำลังจ้องจับผิดโดยไม่พูดอะไรต่อ ทำเอารวีชะงักและสุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา
"คือบ้านน่ะสร้างมาเกือบสิบปีแล้ว แต่พี่เพิ่งติดต่อซื้อไปเมื่อสองวันก่อน...ก็เห็นน้องฟ้าบ่นว่าอยากไปเที่ยวทะเล พี่ก็เลยคิดว่า ถ้ามีบ้านพักริมทะเลไว้เป็นของตัวเองสักหลัง ก็คงจะดีไม่น้อย ...ก็เลยติดต่อซื้อไปแล้วมาชวนน้องฟ้าไปเที่ยวด้วยกันนี่ล่ะครับ"
พอรวียอมบอกเล่าความจริง เด็กหนุ่มที่นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ก็เริ่มยิ้มออก ทำให้รวีโล่งอกแล้วยิ้มตาม ส่วนเมฆามองเพื่อนด้วยความตะลึง เพราะไม่คิดว่าเพื่อนของเขาจะกลายเป็นลูกแมวเชื่อง ๆ ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเวหาเช่นนี้
"ผมอยากไปเที่ยวทะเลก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่ซันต้องมาสิ้นเปลืองไปมากมายเพราะผมแบบนี้เลย"
เวหาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ฟังรวีบอกเหตุผลที่แท้จริง แต่พอรวีได้ยินดังนั้นก็รีบแย้งกลับมาทันที
"พี่ไม่เคยคิดว่าตัวเองสิ้นเปลืองเลยนะครับน้องฟ้า! สำหรับน้องฟ้าแล้ว อะไรก็ได้ ขอแค่น้องฟ้ามีความสุข พี่ก็พร้อมยินดีจะทำทุกอย่าง"
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะค่อย ๆ คล้ายเอือมระอา ส่วนเมฆาที่เห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งคู่กำลังเริ่มลงตัวเขาจึงตัดสินใจจับมือของมีนาแล้วส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มเงียบและเดินตามตนมา ทำเอาคนถูกวิสาสะจับมือขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่ม เจ้าตัวก็ค้อนขวับเข้าให้ แล้วยอมเดินตามไปอีกทางแต่โดยดี
ทางด้านเวหานั้นหลังจากนิ่งเงียบมาครู่ใหญ่ เขาก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้กับชายตรงหน้าตน
"พี่ซันครับ...ถ้าผมจะรักใครสักคน ผมจะไม่รักเขาที่ทรัพย์สินเงินทองหรือรูปลักษณ์ภายนอกหรอกนะครับ แต่ผมจะรักเขาเพราะเขานั้นมีความรัก ความจริงใจ และมั่นคงซื่อสัตย์ต่อผม ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม"
รวีมองเด็กหนุ่มเบื้องหน้าตนอย่างตื้นตัน ในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้น ล้วนเจอแต่คนเข้าหาเพราะหน้าตา ฐานะ และอำนาจที่มี หากแต่เวหากำลังแสดงให้เขาได้เห็นว่า ของพวกนั้นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ หากแต่เป็นความจริงใจและความรักต่างหาก ที่สำคัญกับเจ้าตัวมากกว่า
"พี่ดีใจจังเลยนะครับน้องฟ้า ที่ได้มีโอกาสเจอน้องฟ้า ได้รักน้องฟ้า ต่อให้พี่จะต้องผิดหวัง แต่พี่ก็ยังดีใจ ที่ในชีวิตนี้ของพี่ มีโอกาสได้รักคนดี ๆ อย่างน้องฟ้าแบบนี้"
เวหายิ้มเขิน ๆ ให้คนตรงหน้าเขา แล้วอุบอิบพึมพำตอบแผ่วเบา
"บางทีพี่ซันอาจจะไม่ต้องผิดหวังก็ได้นะครับ..."
รวีชะงักนิ่งงันไปชั่วครู่กับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเบิกตากว้างตามมาด้วยความตกตะลึงเป็นที่สุด
"น้องฟ้า! ที่พูดมานั่นหมายความว่ายังไงครับ! หรือว่า....!"
รวีมีสีหน้าตื่นตกใจปนคาดหวัง ทำให้คนที่เผลอหลุดปากพูดความในใจออกไปหน้าแดงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะตอบกลับออกไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างติดขัดผิดเคย
"กะ...ก็ ยังไม่แน่ใจนักหรอกครับ... เอ่อ...แต่ตอนนี้ ดูท่าทางมันจะเอนมาทางสมหวัง...มากกว่าผิดหวังอยู่มากน่ะครับ"
รวียิ้มกว้างด้วยความยินดีเป็นที่สุด เขาเผลอดึงร่างคนตรงหน้ามากอดหมับ ทำเอาเวหาสะดุ้งโหยง ทว่าสักพักคนกอดก็คืนสตินึกขึ้นได้ เจ้าตัวรีบปล่อยร่างในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ แล้วรีบขอโทษด้วยใบหน้าที่แสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด จนเวหานึกขำ
"กอดแค่นี้ผมไม่โกรธอะไรหรอกครับ...แต่อย่าเผลอกอดต่อหน้าคนอื่นแล้วกันนะครับ"
รวีตาเบิกกว้างพลางพยักหน้าหงึกหงักยิ้มรับอย่างมีความสุข เสียจนคนที่มองอยู่อดยิ้มตามไปไม่ได้
อีกด้านหนึ่งนั้น มีนากับเมฆาที่กำลังแอบมองอยู่ห่าง ๆ คนหนึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มพึงพอใจ ส่วนอีกคนมีสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมาอย่างนึกปลง ทำเอาเมฆาที่อยู่ด้วย ต้องเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกาย ก่อนจะหวนนึกถึงคำพูดของเพื่อนสนิทที่เคยได้คุยกันเป็นการส่วนตัวก่อนหน้านั้นเมื่ออาทิตย์ก่อน
"น้าณรงค์เขาฝากมาบอกนายว่า ถ้าไม่คิดจริงจังอะไร ก็อย่าทำเหมือนไปจีบให้ความหวังลูกชายเขา...แล้วฉันก็รับปากมาแล้วว่าจะพูดเตือนให้ ก็เลยมาบอกกับนายแบบนี้นี่ล่ะ!"
เมฆาจำได้ว่าหลังจากฟังถ้อยคำตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมของเพื่อนสนิท ก็ทำให้เขานิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว เนื่องจากเขานั้นถูกใจมีนามากก็จริง แต่ก็ยังไม่มากถึงกับขนาดจะปักใจและยอมหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มเพียงแค่คนเดียว ...แต่จะให้ตัดใจจากเด็กคนนี้ไปเลย เขาก็เกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจทำตัวสนิทสนมไปแบบเดิม แต่พยายามพูดหยอกล้อเล่นในแง่นั้นกับเด็กหนุ่มให้น้อยลงแทน
"นี่! เมื่อไหร่จะปล่อยมือผมเสียทีนี่! จับมานานแล้วนะ!"
เสียงของมีนาที่ดังขึ้นเรียกสติชายหนุ่มให้กลับคืนมา เมฆาชะงักเล็กน้อย แล้วจึงรีบปล่อยมือก่อนจะเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ทำให้คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้วยกันต้องนิ่วหน้าอย่างนึกแปลกใจกับท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย แถมอาการขยับตัวหนีถอยทิ้งระยะห่างของเมฆาที่ตามมา ก็ทำให้มีนาชักเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเข้าให้แล้ว
หลังจากที่รวีกับเวหาช่วยพูดกล่อมเรื่องไปเที่ยวค้างคืนริมทะเล ก็ทำให้วารีและณรงค์ยอมตอบตกลงรับคำอนุญาต ทว่าทั้งสองคนนั้นขอเลือกอยู่เฝ้าบ้านแทน และปล่อยให้ลูก ๆ ไปสนุกกันเองตามประสา ทำเอามีนากับเวหาชักรู้สึกไม่อยากไปเที่ยวขึ้นมาเสียแล้ว ร้อนถึงรวีกับเมฆาต้องช่วยกันพูดโน้มน้าวผู้ใหญ่ทั้งสองกันยกใหญ่
"นะครับ...ไปค้างแค่ไม่กี่วันเอง ส่วนเรื่องสวนก็จ้างคนดูแลก็ได้นี่ครับ หรือถ้าคุณน้ากลัวคนที่จ้างจะดูแลให้แบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เดี๋ยวผมสั่งให้คนของผมมาช่วยแบบครั้งก่อนนั่นก็ได้ รับรองเลยครับว่าสวนของคุณน้าและบ้านหลังนี้จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่องแน่นอน!"
ณรงค์รับฟังแล้วมองหน้าวารี ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ก็เพราะกลัวคนจะแตกตื่นเอาแบบครั้งก่อนนั่นล่ะ น้าถึงไม่อยากทิ้งบ้านไปน่ะ"
ณรงค์ที่เริ่มหันมาพูดคุยกับพวกรวีอย่างเป็นกันเองบอกกับชายหนุ่มตามตรง ทำเอารวีและเมฆาชะงักกึก ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มเจื่อนตามมา เนื่องจากเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ณรงค์หกล้มขาแพลง ทำให้ไปทำงานลำบาก ส่วนรวีเองก็ไม่อยากให้เวหาต้องรับผิดชอบงานแทนพ่อหนักจนเกินไป เลยจัดแจงออกคำสั่งให้บรรดาบอดี้การ์ดของเขาที่คอยดูแลติดตามเขาอยู่ห่าง ๆ ไม่ให้เห็นตัวเป็นที่สะดุดตาก่อนหน้านั้น ให้เปิดเผยตัวและออกมาช่วยงานสวนของณรงค์ ซึ่งก็ทำให้คนอื่นในละแวกนั้น พากันแตกตื่นตกใจที่ได้เห็นคนใส่สูทชุดดำ สวมแว่นตาดำ ท่าทางโหด ๆ เหมือนพวกตัวร้ายในหนัง ราวสามสี่คน มาลงมือช่วยกันทำสวนทำไร่ให้ได้เห็นเช่นนี้
"ไม่เป็นไรหรอกฟ้า...มีน...พ่อกับแม่ก็อายุมากแล้ว นั่งรถนาน ๆ ก็เมื่อย แถมพ่อยังเมารถอีก ไปถึงก็คงเที่ยวได้ไม่สนุกนัก สู้ให้เด็ก ๆ ไปเที่ยวกันตามประสาน่าจะดีกว่า แล้วอีกอย่างพ่อกับแม่ก็ไว้ใจว่า พวกพี่ ๆ เขาจะดูแลลูกของพ่อทั้งสองได้เป็นอย่างดีแน่ ...จริงไหม"
ณรงค์บอกกับบุตรชายแล้วหันมาทางชายหนุ่มอีกสองคน ก่อนจะส่งสายตาแฝงความนัยบางอย่างที่ทำให้คนมองทั้งคู่ชะงัก ทว่าสักพักทั้งคู่ก็พยักหน้ารับรู้ แล้วตอบกลับไปด้วยสายตาหนักแน่นจริงจังแทบจะพร้อมกัน
"ครับ! คุณน้า!"
ณรงค์กับวารียิ้มแย้มตอบรับ จากนั้นณรงค์จึงหันมาทางลูก ๆ ของพวกตนบ้าง
"ส่วนพวกลูกก็อย่าไปก่อความเดือดร้อนอะไรให้พวกพี่เขานักนะ ...อ้อ! แล้วถ้าพวกพี่เขาเกิดใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือยให้พวกลูกจนเกินไป ก็ช่วยกันปราม ๆ ห้าม ๆ เขาด้วยล่ะ"
เวหากับมีนามองหน้ากัน แล้วเหลือบไปมองชายหนุ่มทั้งสองที่ต่างสะดุ้งนิด ๆ เมื่อถูกพาดพิง ท่าทางยิ้มเจื่อนของพวกรวีที่ได้เห็นทำเอาสองพี่น้องหลุดขำนิด ๆ อย่างลืมตัว แล้วจึงหันกลับไปตอบบิดาด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมกัน
"ได้เลยครับพ่อ!"
วารีจ้องมองครอบครัวของเธอที่ครึกครื้นขึ้นมามาก หลังจากที่มีพวกรวีและเมฆาเข้ามาในชีวิต หญิงสาวแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุข สำหรับเรื่องบุตรชายคนโต เธอคงไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก เพราะรวีนั้นแสดงออกให้เห็นว่ารักและหลงใหลในตัวของเวหาเสียเหลือเกิน มิหนำซ้ำหลัง ๆ มานี้ยังดูเชื่อฟังลูกชายของเธอเสียจนน่าสงสารอีกด้วย
ทว่าแม้จะไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของเวหาแล้ว แต่มีนานั้นกลับดูน่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะเธอสังเกตได้ว่าเมฆานั้นแม้จะพูดคุยสนิทสนมกับมีนาเป็นอย่างดี แต่ก็วางตัวในลักษณะแบบพี่น้องและดูจะไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าความเอ็นดู หากแต่ลูกชายคนเล็กของเธอนี่สิ ชักเริ่มมีท่าทางผิดแผกแปลกไปยามที่ได้อยู่ใกล้ชิดเมฆาเข้าให้เสียแล้ว
หากว่ามีนานั้นตกหลุมรักเมฆาเข้าให้จริง และตัวเมฆาเองก็มีใจและคิดจริงจังกับมีนาแบบรวีที่มีต่อเวหาบ้าง เธอก็คงยินดีและไม่คิดขัดขวางในความรักของทั้งคู่ แต่ถ้าไม่ใช่ แม้จะต้องเห็นลูกเสียใจก็ตาม ทว่าเห็นทีเธอคงต้องเป็นคนลงมือบอกให้มีนาเป็นฝ่ายตัดใจจากชายหนุ่มเสียก่อนที่เจ้าตัวจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้เสียแล้วล่ะนะ
หัวค่ำคืนนั้น วารีลงมือช่วยสองพี่น้องเก็บเสื้อผ้าเตรียมไปเที่ยว พอหญิงสาวสังเกตเห็นลูกชายคนเล็กของเธอทำเป็นบ่นในเรื่องนี้แต่กลับมีท่าทางกระตือรือร้นผิดเคย ก็ทำให้เธอต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วแสร้งเปรยขึ้นคล้ายบ่นกับตัวเอง
"...บางทีการที่เราเลิกแกล้งโกหกตัวเองและหันมามองความรู้สึกของตัวเองอย่างจริงจังสักที มันก็อาจจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่จะตามมาในอนาคตก็เป็นได้นะลูก"
มีนาชะงักและหยุดมือที่กำลังจัดเก็บเสื้อผ้าลง ส่วนเวหานั้นมองมาที่มารดาอย่างแปลกใจ
"หมายความว่ายังไงหรือครับแม่"
วารียิ้มน้อย ๆ แล้วจึงทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่น
"ก็ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แม่ก็แค่นึกอะไรได้ก็เลยพูดเรื่อยเปื่อย อ๊ะ! จริงสิฟ้าเอาครีมกันแดดไปหรือยังจ๊ะ แดดทะเลแรงกว่าบ้านเราเยอะนะ เดี๋ยวผิวลอกแสบเอาแย่"
"ฟ้าเตรียมไว้แล้วล่ะครับ ขืนดำมากไปกว่านี้ เดี๋ยวพอเปิดเทอม เพื่อนฟ้ามันจะจำกันไม่ได้พอดี"
เวหาพูดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ ส่วนมีนาแสร้งทำเป็นยิ้มตามพี่ชาย แต่ก็ยังคงเหลือบมองมารดาที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่เขา เด็กหนุ่มเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นผสมโรงชวนพี่ชายคุยเรื่องอื่นต่อ และเมื่อมารดาออกจากห้องไปแล้ว เขาก็ยังคงหวนคิดถึงถ้อยคำที่มารดาพูดเปรยขึ้นโดยไม่ระบุตัวใครนั่นอีกครั้ง
'มีนรู้ว่าแม่ตั้งใจจะเตือนมีนทางอ้อม...แต่แม่อย่าห่วงเลยนะครับ...มีนยังไม่รู้สึกอะไรกับเขาถึงขั้นนั้นหรอก....ยังไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นสักนิด...ไม่รู้สึกเลยจริง ๆ ...'
มีนาลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วพยายามข่มตาหลับ เขาได้ยินเสียงเวหาขยับกายปิดไฟตรงหัวนอนของเจ้าตัว จากนั้นสักพักใหญ่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของพี่ชายก็ดังขึ้น ทว่ามีนานั้นกลับยังคงนอนไม่หลับ เจ้าตัวลืมตามองเพดานไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบตีสอง เปลือกตาของเด็กหนุ่มก็เริ่มหนักลงและผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียในที่สุด
พอถึงเวลานัดในตอนเช้าเวหาก็ต้องแปลกใจที่เห็นมีนาซึ่งมักตื่นเช้าอยู่เสมอ กลับมีท่าทางสะลึมสะลืองัวเงีย เหมือนคนอดนอน ทั้งที่เมื่อคืนเขาก็เห็นว่าน้องชายเข้านอนก่อนเขาแท้ ๆ ส่วนทางด้านวารีและณรงค์หลังจากฝากฝังลูกชายกับพวกรวีเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ก็ขอตัวตรงไปที่สวนผลไม้ด้วยกัน เพราะวันนี้วารีนั้นตั้งใจจะตามไปเป็นลูกมือช่วยสามี แทนลูกชายคนโตที่มักจะคอยไปช่วยอยู่ทุกวันนั่นเอง
"น้องมีนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับสินะครับ ตาเป็นหมีแพนด้าเชียว"
เมฆาเอ่ยกระเซ้าเมื่อได้เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่ม หากแต่เขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นมีนาชะงักแล้วทำเป็นเมินมองไปอีกทาง ไม่โวยวายต่อล้อต่อเถียงเหมือนที่เคยเป็น
"มีนไม่สบายหรือเปล่า...ถ้าไปไม่ไหวเราเลื่อนเวลาไปช้ากว่านี้สักหน่อยก็ได้นะ...ได้ไหมครับพี่ซัน"
เวหาหันไปถามชายหนุ่มเพราะความเป็นห่วงน้อง ซึ่งรวีก็รีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับโดยไม่มีการเกี่ยงงอน
"ได้เลยครับ! ยังไงทะเลก็ไม่หนีเราไปอยู่แล้ว ...น้องมีนอยากให้พวกพี่พาไปหาหมอก่อนไหมครับ"
มีนามองรวีและพี่ชายของเขาก่อนจะฝืนยิ้มน้อย ๆ ให้
"มีนไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ แค่ง่วงนิดหน่อย...เมื่อคืนก็คงตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวเลยทำให้นอนไม่หลับ เหมือนที่พี่เมฆบอกมานั่นล่ะครับ"
คนฟังทั้งคู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่วนเมฆานั้นรู้สึกติดใจกับท่าทางของเด็กหนุ่มอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไรขัดออกไป
"ถ้าอย่างนั้นน้องมีนก็นอนหลับไปบนรถก็ได้นะครับ เดี๋ยวถ้าถึงแล้วพี่จะปลุกเอง"
เมฆาบอกกับเด็กหนุ่ม ซึ่งมีนาก็ฝืนยิ้มรับ และพอขึ้นไปนั่งตรงหลังรถ เจ้าตัวก็หลับตาลงไม่ได้พูดคุยอะไรกับใคร หากแต่พอรถแล่นไปสักพัก เด็กหนุ่มก็ผล็อยหลับไปจริง ๆ เสียงกรนเบา ๆ อย่างคนหลับสนิททำให้คนที่นั่งข้าง ๆ อมยิ้มอย่างเอ็นดู ส่วนเวหาพอเห็นน้องชายหลับสบายเขาก็สบายใจตาม และเริ่มหันไปคุยกับรวีพลางมองโน่นนี่ข้างทางตามที่คนขับแนะนำอย่างสนอกสนใจ และยิ่งพอรวีเอาขนมหวานที่แอบไปซื้อมายื่นส่งให้ เวหาก็ยิ้มหวานตอบรับด้วยความยินดีเสียจนทำให้คนขับแทบจะลืมมองทางข้างหน้า จนเมฆาต้องคอยกระแอมเตือนถี่อยู่บ่อยครั้ง เพราะพอเผลอ ๆ คนขับก็เหลือบชำเลืองมองคนนั่งข้าง ๆ อยู่เรื่อยจนน่าเป็นห่วง
ขับรถมาได้เกือบสองชั่วโมงพวกรวีก็ตัดสินใจจอดรถพักในปั๊มใหญ่ เพื่อเข้าห้องน้ำและยืดเส้นยืดสาย รวมถึงซื้อของกินของใช้ที่ขาดเหลือติดรถไปต่อด้วย
"อืม...ถึงแล้วหรือครับ"
มีนาที่ถูกปลุกขึ้นถามพี่ชายของตน ซึ่งเวหาก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกว่ารถแวะจอดพักชั่วครู่ จากนั้นเด็กหนุ่มก็สอบถามอาการของน้องชาย ซึ่งมีนาก็ยิ้มแล้วตอบไปตามตรง
"ดีขึ้นมากเลยครับ คงเพราะนอนไม่พอจริง ๆ นั่นล่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นน้องมีนไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นดีไหมครับ เดี๋ยวพี่จะไปซื้อเครื่องดื่มเย็น ๆ มาให้ อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ"
เมฆาถามคนข้างกายอย่างเอาใจ ทำเอามีนาสะดุ้งและขยับห่างอย่างลืมตัว แต่พอเห็นสีหน้าแปลกใจของอีกฝ่ายก็ทำให้เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติ แล้วแสร้งยิ้มน้อย ๆ พร้อมตอบกลับไป
"ผมขอพวกโคล่าเย็น ๆ ซ่า ๆ ก็ได้ครับ ...ขอบคุณนะครับพี่เมฆ"
เมฆายิ้มรับพร้อมพยักหน้า แม้จะยิ่งสงสัยต่อพฤติกรรมที่แปลกไปของเด็กหนุ่มยิ่งขึ้นไปอีก
จากนั้นเวหากับมีนาก็แยกย้ายไปล้างหน้าล้างตาและทำธุระส่วนตัว ส่วนพวกรวีกับเมฆาก็แยกไปซื้อเครื่องดื่ม ขนมของขบเคี้ยวเพิ่มเติม เมฆามองเพื่อนสนิทจ้องช็อกโกแลตแล้วต้องรีบปรามเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะเหมามาหมดชั้น
"ขืนกินหมด น้องฟ้าคงได้อิ่มก่อนกินข้าวกลางวันกันแน่ ...มันคงไม่ดีใช่ไหมล่ะ ถ้าพวกเรากินข้าวกัน แล้วต้องให้น้องเขานั่งมองเพราะกินขนมจนอิ่มเกินไปน่ะ"
รวีนิ่วหน้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา
"ช่วยไม่ได้นี่นะ แต่หน้าน้องฟ้าตอนได้รับขนมแล้วก็ตอนกินขนมน่ะน่ารักมากเลยนะ เหมือนตอนเด็กไม่มีผิด"
เมฆามองหน้าเพื่อนตอนกำลังเคลิ้มฝันถึงอดีตด้วยสีหน้าค่อนข้างขยาด เพราะนึกยังไงรวีในวัยสิบสองที่ตกหลุมรักกับเวหาตอนสามขวบ มันก็ดูไม่ค่อยจะปกตินักอยู่ดีนั่นเอง
และเมื่อทั้งหมดมารวมกันที่รถ เมฆาก็เสนอตัวเป็นคนขับรถแทนเพื่อนสนิทที่สมาธิไม่ค่อยจะอยู่กับร่องกับรอยนัก ทำให้เวหากับมีนานั้นจำต้องย้ายที่สลับกัน โดยมีนาตอนนี้มานั่งเป็นเพื่อนข้างคนขับแทนที่พี่ชาย ซึ่งเด็กหนุ่มก็กลับมาพูดคุยกับเขาสนิทตามเดิม ทำให้เมฆาบอกตัวเองว่า บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเอง เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายนั้นดูค่อนข้างผิดปกติไปเมื่อตอนเช้านี้
ส่วนทางด้านมีนาค่อนข้างโล่งอกเล็กน้อย ที่เขาสามารถพูดคุยกับเมฆาได้เหมือนก่อนหน้านั้น เนื่องจากระหว่างไปเข้าห้องน้ำ เด็กหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่า หากเขายังคงทำตัวผิดปกติต่อหน้าเมฆาออกไปมากกว่านี้ ก็เท่ากับเขายอมรับว่าเขาแอบมีใจให้กับเมฆาจริง ๆ ซึ่งนั่นทำให้ มีนาทนไม่ได้ ที่จะกลายเป็นว่าตัวเขาเองอาจจะเป็นฝ่ายตกหลุมรักข้างเดียวเช่นนี้
'เราไม่ได้คิดอะไรกับผู้ชายคนนี้สักหน่อย....ไม่ได้คิดสักนิด...ใช่แล้ว! เพราะอย่างนั้นก็ทำตัวตามปกติไปเหมือนเดิมสิ มีนา!'
เด็กหนุ่มเฝ้าบอกตัวเอง แล้วทำเป็นค้อนใส่เมื่ออีกฝ่ายพูดแหย่ตน ซึ่งนั่นก็สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนขับรถได้เป็นอย่างดี และนั่นจึงทำให้คนที่แอบลอบชำเลืองมองยามที่อีกฝ่ายเผลอ ต้องหลุดยิ้มเศร้า ๆ ออกมา แต่แล้วเพียงครู่เดียวก็กลับเป็นปกติ และหันไปหาเรื่องแซวสลับขัดคอคู่หวานด้านเบาะหลังแทน จนกระทั่งถึงที่พักส่วนตัวของรวีในที่สุด
.... TBC .....
ใครจะรอดราม่า คาดว่าอาจจะรอเก้อค่ะ เพราะคนแต่งไม่ค่อยชอบอะไรบีบคั้นเท่าไหร่ มาแป๊บ ๆ ก็ผ่านไปละ เน้นสุขสันต์หรรษามากกว่า หุ ๆ :impress2:
-
มารออ่านค่า ชอบเรื่องที่อ่านแล้วสบายใจอย่างนี้มากเลยค่า ไม่ชอบดราม่า :katai2-1:
-
เรื่องนี้อ่านแล้วสุข
-
:mew1:
-
o13 no drama
-
ไม่ชอบมาม่าเท่าไหร่ มันให้รู้สึกหนึบ ๆ ยังไงพิกล
ขอบคุณคนเขียนมากเลยน๊ะจ๊ะ
-
อยากให้พี่เมฆาแสดงให้ชัดเจนกว่านี้ ว่ารักน้องมีนเหมือนกัน
น้องมีนจะได้ไม่ต้องคิดไปเองฝ่ายเดียว
คู่พี่ก็มีความสุขไปแล้ว ลุ้นคู่น้องนี่ละ
-
เอ๊ะ คู่เมฆมีนนี่ยังไงแน่
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
-
:L2: :mew1:
-
โธ่น้องมีน เฮ้ออออ
ขอบคุณที่ไม่มีดราม่า กรุบกริบพอได้ มาเต็มๆนี่บอกเลยไม่ถูกกัน 5555555
-
สงสารน้องมีนาจังครับ
-
เรื่องนี้น่ารักมุ้งมิ้งมากเลยอะ น้องฟ้าเปิดตัวมานึกว่ารวีจะโดนตั๊นหน้าให้รักคุดเข้าให้ซะแล้ว ที่ไหนได้เป็นเด็กดีแถมยังกตัญญูด้วย :-[ สมกับที่พระเอกของเราปักใจรักมานับสิบกว่าปี
-
แบบน่ารักอบอุ่นแบบนี้ก็ดีแล้วค่ะ
ไม่ต้องมีดราม่าเลยก็ยิ่งดี :-[
-
บทที่ 11
"ว้าว! บ้านหลังเบ้อเริ่มเลย สุดยอด!"
มีนาโพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างลืมตัว ทำให้เวหาและอีกสองหนุ่มต้องอมยิ้มน้อย ๆ มองตามคนที่กำลังมองซ้ายมองขวาไปทั่วอย่างเอ็นดู
"พี่ซัน! ผมขอไปดูรอบ ๆ บ้านได้ไหมครับ!"
"ได้สิ ตามสบายเลยนะครับน้องมีน"
รวีบอกพร้อมรอยยิ้ม ส่วนเวหาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเหลือบไปมองกระเป๋าเสื้อผ้าของน้องชายที่เจ้าตัวควรจะนำไปเก็บเข้าห้องก่อน ทว่าเจ้าของกระเป๋าตอนนี้กลับวิ่งเล่นไปสำรวจรอบบ้านเสียแล้ว
"เดี๋ยวพี่ช่วยถือนะครับ"
รวีหันมาบอกคนใกล้ตัว ซึ่งเวหาก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ พร้อมกับพึมพำขอบคุณแผ่วเบา ทางด้านเมฆาพอเห็นดังนั้นเจ้าตัวก็คว้ากระเป๋าของตัวเองออกมาแล้วเดินแยกตัวไป ปล่อยให้ว่าที่คู่รักใช้เวลาส่วนตัวกันตามลำพังแทน
ทางด้านมีนาพอสำรวจรอบบริเวณบ้านจนเป็นที่พอใจแล้ว เด็กหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าต้องเอากระเป๋าไปเก็บเข้าห้อง แต่พอไปที่รถก็ไม่เห็นมีใคร เขาจึงเข้าใจว่าทุกคนเข้าไปอยู่ในบ้านพักหมดแล้ว
"พี่ฟ้า...อยู่ห้องนี้หรือเปล่า"
มีนาเดินเข้าไปในห้องที่เปิดประตูแง้มเอาไว้ ข้างในมีกระเป๋าเดินทางเปิดอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นของเมฆาหรือรวี แต่เจ้าของกระเป๋าดูท่าทางว่าจะไม่อยู่ในห้อง มีนาเดินเข้าไปหมายจะชะโงกหน้าดูในห้องน้ำว่ามีคนอยู่ไหม แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเมฆานั้นเดินสวนออกมา จนทำให้พวกเขาเกือบชนกัน
"อ้าว! น้องมีน มีอะไรหรือครับ"
เมฆายิ้มน้อย ๆ ให้ ทำเอาคนที่กำลังตกใจชะงัก แล้วฝืนยิ้มตอบ
"ผมกำลังหาห้องที่พี่ฟ้าอยู่น่ะครับ...งั้นผมขอตัวก่อนนะ"
"เดี๋ยวสิครับ...น้องมีนดูแปลก ๆ ไปอีกแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่าครับหรือว่ายังเกลียดหน้าพี่อยู่"
เมฆาดึงมือของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วถามด้วยความสงสัย ทว่าคำถามของชายหนุ่มนั้นทำให้มีนาชะงัก ก่อนจะหันกลับไปมอง
"ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ...มาถึงตอนนี้ผมเองก็พอจะรู้แล้วว่าถึงทั้งคู่จะดูไม่ค่อยปกตินัก แต่พวกพี่สองคนก็น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง"
คำปฏิเสธพร้อมถ้อยคำอธิบายที่ทำให้คนฟังขมวดคิ้วนิด ๆ แต่ก็ยังคงย้อนถามกลับไป
"แล้วทำไมน้องมีนถึงทำตัวเหมือนจะพยายามเหินห่างจากพี่จังล่ะครับ"
มีนาชะงักแล้วเงียบไปชั่วครู่ แต่พอเมฆาย้ำถามอีกครั้งโดยไม่ยอมปล่อยมือ ก็ทำให้เด็กหนุ่มหลุดโพล่งออกไปในที่สุด
"คนที่เหินห่างไปก่อนน่ะ นั่นพี่เมฆเองไม่ใช่รึ! แล้วผมเองจะทำแบบเดียวกันบ้างมันผิดด้วยหรือไง!"
เมฆานิ่งอึ้งแล้วจ้องมองคนที่เถียงกลับมาอย่างลืมตัวนั่นด้วยสายตาวิเคราะห์พิจารณา ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างไม่แน่ใจนัก
"หรือว่าน้องมีนจะ...ชอบพี่หรือครับ"
มีนาชะงักกึก หน้าแดงก่ำ ปากสั่นตัวสั่น ตกใจที่ถูกอีกฝ่ายรู้ถึงความในใจของตน
"น้องมีน..."
เมฆาที่เห็นอาการเช่นนั้นเรียกชื่อเด็กหนุ่มอย่างตกใจ ส่วนมีนาที่เริ่มจะสติแตกพอเห็นชายหนุ่มขยับเข้ามาหาใกล้ขึ้น เจ้าตัวจึงหลุดโพล่งออกไปลั่นด้วยความลืมตัว
"หยุดนะ! ถ้าไม่คิดจะชอบกัน ก็ไม่ต้องมาทำเป็นใจดีด้วยหรอก!"
เมฆานิ่งอึ้งกับถ้อยคำนั้น เจ้าตัวเผลอผ่อนแรงที่จับข้อมือของอีกฝ่ายไว้ ทำให้มีนาสะบัดมือออก แล้ววิ่งหนีไปจากห้อง ชายหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าที่ห่างไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นวิ่งออกจากบ้านพักไปแล้ว เมฆายืนเงียบไปอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงตัดสินใจออกจากห้องวิ่งตามมีนาไปเช่นกัน
อีกด้านหนึ่งทางด้านเวหา พอเขาได้ยินเสียงน้องชายของตัวเองตะโกนดังแว่ว ๆ เจ้าตัวก็รีบลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องออกไปดู และทันได้เห็น มีนาวิ่งร้องไห้ผ่านหน้าตัวเองไป ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตกใจยิ่งนัก แต่พอเขากำลังจะวิ่งตามไป รวีที่เปิดประตูห้องออกมาหลังจากนั้นก็หันมามองเขาแล้วบอกขึ้นทันที
"พี่ไปด้วยคนนะครับ!"
"ครับ...รีบตามไปกันเถอะครับ ผมเป็นห่วงน้อง!"
เวหารีบรับคำ แล้ววิ่งตามออกไป หากแต่พอไปถึงหาดส่วนตัวหน้าบ้านพักที่ไร้ผู้คน เขาก็ได้เห็นมีนายืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าทะเล เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะตะโกนออกไปสุดเสียง
"ไอ้พี่เมฆบ้า! ถ้าไม่ชอบกันแต่แรก จะมาทำให้คนเขาเข้าใจผิดทำไมกันวะ! งี่เง่าที่สุด!"
เวหานิ่งอึ้งไม่แพ้รวี ทว่าพอตั้งสติได้ รวีก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงทำเป็นตะโกนเป็นเพื่อนขึ้นบ้าง
"ไอ้เมฆ ไอ้เพื่อนงี่เง่า! อุตส่าห์มีคนน่ารักมาชอบแท้ ๆ ยังทำเล่นตัวอีก น้องเขาหมดรักเมื่อไหร่ จะสมน้ำหน้าให้ดู!"
เวหามองคนข้างกายตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วนมีนาหันมามองรวีอย่างอึ้ง ๆ ในทีแรก ก่อนที่จะมีรอยยิ้มตามมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มให้เขา
"ใช่แล้ว! ถ้าเลิกชอบเมื่อไหร่ ต่อให้เปลี่ยนใจมาจีบอีก ก็จะไม่สนอีกแล้วล่ะ!"
มีนาตะโกนต่อ แล้วหัวเราะออกมา น้ำตาที่ไหลเมื่อครู่นั้นก็เหือดแห้งไปตั้งแต่ตอนไหนเขาก็ไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่าตอนนี้กำลังโล่งอกและสบายใจ ที่ได้เปิดเผยความในใจออกมาเช่นนี้
"อย่าคิดมากเลยนะครับน้องมีน คนน่ารักอย่างน้องมีน พี่แน่ใจว่าจะมีคนมารอคิวจีบอีกเยอะแน่ ปล่อยให้เพื่อนโง่ ๆ ของพี่มันโง่ต่อไปดีกว่า หมอนั่นมันโสดเสียเคยตัว แถมยังมัวแต่กลัวที่จะมีพันธะ ก็เลยทำให้ชวดคนดี ๆ ไปหลายคนแล้วล่ะนะ"
รวีเดินมาปลอบเด็กหนุ่ม ส่วนเวหาก็โอบบ่าน้องชายมาปลอบโยนโดยไร้คำพูด แต่นั่นกลับทำให้มีนารู้สึกสบายใจมากขึ้น ทว่ามีนาก็ต้องชะงักเมื่อเขาหันไปเห็นเมฆากำลังเดินตรงมาหาตน
"น้องฟ้า...ซัน ...ขอเวลาส่วนตัวให้ฉันพูดคุยกับน้องมีนตามลำพังจะได้ไหม"
คนที่เดินมาถึงหันไปบอกเพื่อนสนิทและเวหา ซึ่งเวหานั้นก็มีท่าทางลังเลเล็กน้อย หากแต่รวีนั้นจับไหล่เด็กหนุ่มบีบนิด ๆ แล้วพยักหน้าให้เวหาวางใจ จากนั้นรวีจึงหันไปทางมีนาแล้วเอ่ยขึ้น
"ถ้าเจ้าเมฆมันทำอะไรล่วงเกินน้องมีนล่ะก็ อย่าลืมตะโกนเรียกให้พี่ช่วยดัง ๆ เลยนะครับ เดี๋ยวพี่จะมาต่อยมันให้เอง"
เมฆาชะงัก พลางหันไปมองเพื่อนสนิทตาปริบ ๆ ส่วนมีนาหลุดหัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับเมฆาด้วยใจที่ชื้นขึ้น ทำให้เวหาที่เดินห่างออกไปพร้อมรวีรู้สึกโล่งอกนิด ๆ ที่เห็นท่าทางน้องชายกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
มีนาจ้องมองคนที่ยืนนิ่งตรงหน้าตนอย่างเริ่มอึดอัด เพราะเมฆานั้นนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรมาได้สักพักแล้ว
"นี่! พี่เมฆ มีอะไรก็พูดมาสิ ยืนเงียบแบบนี้ผมอึดอัดนะ!"
มีนาโพล่งออกมาอย่างอดรนทนไม่อยู่ในที่สุด ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วยุ่งอย่างหงุดหงิดมากขึ้น
"ขำอะไร!"
"พี่ขำที่เห็นน้องมีน คิดอะไรก็ออกมาทางสีหน้าหมด แถมยังพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้รู้อีกต่างหาก"
มีนาค้อนขวับเข้าให้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเงียบกันต่ออีกสักพัก และสุดท้ายเด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
"พี่เมฆ...เมื่อครู่ผมขอโทษนะ...พี่ไม่ผิดหรอก ผมเองต่างหากที่ดันใจง่าย คิดเองเออเองเข้าข้างตัวเองแบบนี้ แล้วก็ดันมาโทษว่าเป็นความผิดพี่อีก"
เมฆานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจึงถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่
"ไม่ใช่ความผิดน้องมีนหรอกครับ...พี่ยอมรับนะ ว่าตอนแรกพี่ก็คิดจะจีบน้องมีนอยู่เหมือนกัน...แต่พอได้ยินที่น้าณรงค์ฝากเจ้าซันมาบอกพี่ว่าถ้าไม่คิดจริงจังก็อย่ามาสร้างความหวังให้ลูกชายเขา...พี่ก็เลยตัดสินใจถอยห่างออกมา"
มีนาเงียบกริบ เขารู้สึกตกใจที่บิดามองออกในเรื่องนี้ และรู้สึกผิดหวังที่เมฆานั้นคิดจีบเขาเล่น ๆ ไม่ได้จริงจังอย่างที่เขาเคยคาดหวังเอาไว้
"...พี่ขอโทษนะน้องมีน พี่ชอบน้องมีนมากก็จริง แต่เรื่องที่จะตกลงปลงใจกับใครสักคน สำหรับพี่มันเป็นเรื่องใหญ่... เพราะพี่ตั้งใจแล้วว่า หลังจากนี้ ถ้าพี่จะลงเอยกับใครสักคน พี่ก็จะซื่อสัตย์ต่อเขาคนเดียว และไม่เหลียวมองใครอีก... น้องมีนเป็นคนดี น่ารัก แต่ระยะเวลาที่เรารู้จักกัน มันยังสั้นเกินไปกว่าที่พี่จะยืนยันกับหัวใจตัวเองได้ว่า น้องมีนเป็นคนที่ใช่แล้วสำหรับพี่"
มีนานิ่งเงียบรับฟัง เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่งเงียบไปนาน จนเมฆารู้สึกใจเสีย แต่พอจะเอ่ยปลอบ อีกฝ่ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเงยหน้าขึ้น พร้อมกับแย้มยิ้มกว้างส่งให้ จนเมฆาแปลกใจ
"ได้ยินอย่างนี้ค่อยโล่งอกหน่อย เอาเหอะ! ถ้าเป็นแบบนี้มีนก็เข้าใจแล้วไม่โกรธอะไรพี่หรอก ก็พี่เมฆไม่ได้รักมั่นปักใจมานานแบบพี่ซันนี่นะ...ถ้ามาเจอกันไม่กี่วัน แล้วหลงมีนหัวปักหัวปำแบบนั้น มีนก็คงคิดว่าพี่เมฆผิดปกติอะไรเข้าให้ไปแล้วล่ะ!"
เมฆาฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารเพื่อนสนิทที่ถูกอ้างถึงดี แต่พอเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
"ได้คุยกันตรง ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนอะ! งั้นเอาเป็นว่าหลังจากนี้ มีนก็จะถือว่าพี่เมฆเป็นพี่ชายคนหนึ่งแล้วกัน เราจะได้สบายใจกันทั้งคู่ยังไงล่ะ!"
คนฟังชะงักกึก แม้ว่าจะออกมาเป็นอย่างที่เขาต้องการ แต่พอได้ฟังมีนาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแบบนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดในหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด
"น้องมีนพูดเหมือนจะเลิกชอบพี่แล้วเลยนะครับ"
มีนาขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไปอย่างงุนงง
"ก็พี่เมฆต้องการแบบนั้นไม่ใช่หรือไง"
เมฆาชะงัก แล้วมีสีหน้าครุ่นคิดหนัก ส่วนมีนาก็ได้แต่เอียงคอมอง สักพักชายหนุ่มก็ถอนหายใจตามมา แล้วบอกออกไปตามตรง
"พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน ใจหนึ่งก็ยังอยากโสด แต่อีกใจพอคิดว่าน้องมีนไม่ชอบพี่แล้ว มันก็รู้สึกหงุดหงิดพิลึก"
มีนานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจึงมีสีหน้าแดงระเรื่อนิด ๆ ให้เห็น
"...แบบนี้มันเห็นแก่ตัวชัด ๆ"
เด็กหนุ่มพึมพำบ่น ทว่าสีหน้าที่แสดงให้เห็นว่าดีใจนั้นก็ทำให้คนมองอมยิ้ม
"ครับ...พี่เห็นแก่ตัว...แต่ถ้าน้องมีนไม่ว่าอะไร ช่วยอย่าเพิ่งคบใครตอนนี้ แล้วรอจนกว่าพี่จะรู้ใจตัวเองแน่ ๆ จะได้ไหมล่ะครับ"
มีนาก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้าสบตาของชายหนุ่ม แต่ก็ยังคงตอบอุบอิบ กลับไป
"ถ้าพี่เมฆยังไม่คิดคบกับคนอื่น...ผมก็จะยังไม่คบใครเหมือนกัน"
เมฆาเผลอหลุดยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ชายหนุ่มจับมือของอีกฝ่ายขึ้นจูบเบา ๆ แต่ก็ทำให้เจ้าของมือหน้าแดงวาบ แล้วเผลอผลักอีกฝ่ายไปเต็มแรงด้วยความตกใจปนอาย ส่งผลให้คนไม่ทันได้ตั้งตัว ต้องหงายหลังล้มลงก้นจ้ำเบ้าไปบนทราย ซึ่งพอเห็นดังนั้น มีนาก็หน้าแดงก่ำแล้วรีบวิ่งหนีกลับเข้าบ้านพักไป โดยไม่แม้แต่จะคิดหยุดทักทายเวหากับรวีที่ยืนแอบดูอยู่แถวนั้นแม้แต่น้อย
..
..
-
..
..
ทางด้านเวหานั้น ถึงกับมองตามไล่หลังน้องชายของตนไปอย่างมึนงง แถมถ้าสังเกตจากปฏิกิริยาที่ทั้งคู่คุยกัน ดูเหมือนว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งสองคนนั้นจะค่อนข้างไปในทางดีมากกว่าร้าย
"เรื่องความรักมันก็แบบนี้ล่ะครับน้องฟ้า...บางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรรองรับ...บางทีเจอกันพูดคุยกันไม่กี่คำ แต่ดันตกหลุมรักไปแล้วก็ยังมี"
รวีที่สังเกตเห็นสีหน้าของคนข้างกายเอ่ยขึ้น ทำให้เวหาหันมามองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจที่เจ้าตัวนั้นคาดเดาความคิดของเขาได้ ทว่าพอได้เห็นรอยยิ้มหวานของรวี ก็ทำเอาเวหาถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ตามมา
"นั่นสินะครับ...ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะไม่สนใจ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็เผลอรักไปแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว"
เวหาพึมพำพร้อมยิ้มตอบ ทว่าคำพูดของเด็กหนุ่มกลับทำให้คนฟังชะงักแล้วจ้องมองกลับด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างคาดหวัง
"หรือว่า...น้องฟ้าจะหมายถึงเรื่องของน้องฟ้ากับพี่..."
เวหาหน้าแดงระเรื่อ เพราะคนตรงหน้าเล่นถามเขาแบบไม่คิดจะอ้อมค้อมเลยสักนิด
"ก็แล้วแต่พี่ซันจะคิดแล้วกันครับ..."
เด็กหนุ่มตัดบท แล้วหันหลังกลับเดินเข้าบ้านพัก ทำให้คนที่ยืนนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึงเริ่มได้สติ เจ้าตัวรีบจ้ำฝีเท้าเดินตามไปอ้อนถามให้เด็กหนุ่มยอมตอบออกมาตรง ๆ จนเมฆาที่เดินตามมาถึงกับต้องถอนหายใจอย่างเอือมระอาต่อพฤติกรรมช่างตื๊อของเพื่อนสนิท ทว่าพอเขาหันไปเห็นคนตัวเล็กกำลังยืนรออยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มก็หลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ ส่วนมีนาพอเห็นว่าเมฆาเดินตามมาด้วย เด็กหนุ่มก็หน้าแดงนิด ๆ แล้วรีบเดินกลับหายเข้าไปในบ้านพักทันที
เวหาเข้ามาหลบหน้ารวีในห้องส่วนตัวเพียงลำพัง เนื่องจากมีนานั้นไม่กล้าสู้หน้าพี่ชาย เพราะเกรงว่าจะถูกซักถามเรื่องเมฆา ทำให้เด็กหนุ่มขอตัวไปพักอีกห้องที่อยู่ไม่ห่างกันนัก
"น้องฟ้าครับ...ให้พี่เข้าไปในห้องได้ไหมครับ"
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของรวี ทำให้เวหาสะดุ้งโหยง ทีแรกเด็กหนุ่มจะไม่ยอมลุกไปเปิดประตูเพราะรู้สึกเขิน แต่พอได้ยินเสียงของคนข้างนอกที่ฟังแล้วซึมเศร้าลง เขาก็เริ่มใจอ่อน
"น้องฟ้าครับ...โกรธอะไรพี่หรือครับ...พี่ขอโทษนะครับ ถ้าพี่เผลอทำอะไรให้น้องฟ้าโกรธพี่ไป...ยกโทษให้พี่นะครับ"
เวหาถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ชายหนุ่ม
"ไม่ได้โกรธอะไรหรอกครับ...เอ่อ...ก็แค่อายเท่านั้นเอง"
เด็กหนุ่มตัดสินใจบอกไปตามตรงพร้อมกับใบหน้าเขินอายที่ทำให้คนมองกลืนน้ำลายลงคอ ยิ่งมองผ่านเข้าไปเห็นเตียง ก็ทำให้รวีต้องจับบ่าของเด็กหนุ่มดันเข้าไปในห้อง ส่วนตัวเองก็ปิดประตูห้องโดยไม่ได้เข้ามาด้วย ทำเอาเวหามองบานประตูที่ถูกปิดลงอย่างงุนงง
"น้องฟ้าครับ...รบกวนน้องฟ้าอยู่ในนั้นสักพักนะครับ ไว้พี่ตั้งสติควบคุมตัวเองได้ค่อยออกมา เพราะขืนได้จ้องหน้าน้องฟ้านานกว่านี้ พี่คงควบคุมตัวเองไม่ได้แน่...พี่ไม่อยากผิดสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ของน้องฟ้าหรอกนะครับ"
คำเฉลยที่ได้ยินจากอีกด้านของประตู ทำให้คนที่ยืนอยู่ในห้องหน้าร้อนวาบ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกชื่นชมที่เห็นรวียอมอดทนและรักษาสัญญาเพื่อเขาเช่นนี้
"ขอบคุณนะครับ พี่ซัน...ผม...เอ่อ ฟ้าดีใจที่พี่ยอมอดทนรักษาสัญญาเพื่อฟ้าแบบนี้"
รวีแทบอยากจะยกเลิกสัญญาตรงเข้าไปกอดจูบคนในห้อง เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นกับเขา ชายหนุ่มพยายามสงบสติระงับอารมณ์แล้วบอกออกไป
"น้องฟ้าครับ...พี่ขอตัวก่อนนะครับ ขืนอยู่ตรงนี้นานอีกนิดคงอดทนไม่ไหวแน่"
เวหาหน้าแดงพร้อมกับรับคำ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไป และเสียงประตูห้องปิดลง เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะเขาก็ไม่แน่ใจตัวเองว่า หากได้ยินรวีอ้อนขอความรักให้เขาฟังนานกว่านี้อีกนิด บางทีเขาอาจจะเป็นฝ่ายใจอ่อนยอมให้ชายหนุ่มเข้ามาหาในห้องเองก็เป็นได้
จากนั้นพักใหญ่ ๆ รวีก็มาเคาะประตูห้อง แต่คราวนี้ชายหนุ่มพาเมฆามาด้วย เพื่อที่จะได้ให้เพื่อนสนิทคอยปราม เผื่อเวลาเขาลืมตัว
"ไปกินข้าวกลางวันกันนะครับ"
รวีเอ่ยชักชวนซึ่งเวหาก็ตอบตกลง เพราะตอนนี้ก็ล่วงเวลาเที่ยงเข้าไปแล้ว และเขาก็เริ่มหิวแล้วด้วยเช่นกัน
"เดี๋ยวฟ้าไปตามมีนก่อนนะครับ"
เวหาบอกกับรวี ซึ่งรวีก็ยิ้มหวานรับ ทำให้เด็กหนุ่มนึกเขินนิด ๆ ทว่าเมฆาที่อยู่ด้วยถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย ต่อพัฒนาการในด้านความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ค่อนข้างก้าวกระโดดไปไวกว่าที่เขาคิด
และเมื่อทุกคนออกมาพร้อมกันที่รถ เมฆาก็รับอาสาเป็นคนขับตามเคย เนื่องจากชายหนุ่มไม่ค่อยมั่นใจกับอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยของเพื่อนสนิท ที่แม้แต่เวลาเดินมาที่รถ รวีก็ยังคอยแต่ส่งสายตาหวานไปให้เด็กหนุ่มสุดที่รักของเจ้าตัวอยู่เป็นระยะเลยทีเดียว
เมื่อมาถึงร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่งย่านนั้น รวีก็เริ่มเอาอกเอาใจคนนั่งตรงข้ามอย่างออกนอกหน้า โดยการสั่งอาหารจากเมนูเรียงลงมาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของเวหาด้วยกันทั้งสิ้น
"เอ่อ...พี่ซันครับ พอแค่นี้ก่อนดีกว่าไหมครับ แค่นี้ก็จะกินกันไม่หมดแล้ว"
เวหารีบขัดขึ้นเมื่อเห็นรวีพึมพำว่าจะสั่งเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง ส่วนมีนามองชายหนุ่มแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย แต่พอหันมาสบตาอีกคนที่นั่งตรงข้ามกับตน เด็กหนุ่มก็ต้องชะงักแล้วหน้าแดงนิด ๆ พร้อมกับรีบหลบสายตาอย่างลืมตัว
"หรือครับ...งั้นก็ได้ครับ ถ้ากินไม่อิ่มค่อยสั่งเพิ่มแล้วกันเนอะ!"
คนพูดบอกพร้อมยิ้มหวานให้ ทำเอาเวหารู้สึกเขินที่เห็นอีกฝ่ายยังคงแสดงออกต่อตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะอยู่กันลำพังหรือท่ามกลางผู้คนมากมายในร้านแบบนี้
"เฮ้ย! เจ! คนนั่งเต็มเลย ไปร้านอื่นดีไหมวะ"
เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นแว่ว ๆ ทำให้เวหาหันขวับไปมองยังทิศทางของต้นเสียง และเมื่อเห็นว่าเป็นใครเวหาก็ตาเบิกกว้างแล้วโบกมือตะโกนเรียกเด็กหนุ่มหน้าตาคมเข้มผิวคล้ำที่กำลังยืนลังเลอยู่ข้าง ๆ คนผิวขาวหน้าตี๋อีกคน ด้วยน้ำเสียงยินดี
"ต้น! เจ! ทางนี้ ๆ"
คนถูกเรียกชื่อสะดุ้งโหยง แล้วพอเห็นว่าใครเป็นคนเรียก ทั้งคู่ก็รีบเดินตรงเข้ามาหาอย่างดีใจระคนแปลกใจ
"ฟ้า! ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่เลยนะ เอ๋? แล้วนี่..."
เวทิต กับ เจตต์ มองคนร่วมโต๊ะอีกสองคนอย่างประหลาดใจ เพราะพวกเขารู้จักมีนาและพ่อแม่ของเวหาดี หากแต่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เพื่อนสนิทนั้นจะมีญาติพี่น้องหน้าตาดีแถมยังดูเหมือนเป็นชาวต่างชาติอย่างนี้ด้วย
"เอ่อ...นี่พี่ซัน กับพี่เมฆ...เป็น...เอิ่ม..."
เวหาไม่รู้จะอธิบายยังไง เห็นดังนั้นรวีจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองแทน
"สวัสดีครับ พี่ชื่อซัน เคยเป็นเพื่อนบ้านของน้องฟ้าสมัยน้องฟ้ายังเด็ก และตอนนี้ก็เป็นเพื่อนบ้านปัจจุบันกับน้องฟ้าด้วยครับ"
พอได้ยินดังนั้นทั้งสองคนก็ยกมือขึ้นไหว้ทั้งรวีและเมฆาตามมารยาท เนื่องจากทั้งคู่นั้นอายุมากกว่าพวกตน ซึ่งรวีกับเมฆาก็ยกมือรับไหว้ ก่อนจะเชื้อเชิญให้ทั้งคู่ร่วมโต๊ะด้วยกัน
"เอ่อ...จะดีหรือครับ"
เวทิตบอกอย่างเกรงใจ ส่วนเวหานั้นเหลือบมองคนนั่งตรงข้ามด้วยแววตาลังเล แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกเมื่อเห็นรวียิ้มหวานให้
"ไม่ต้องเกรงใจกันหรอกครับ คนรู้จักของน้องฟ้าก็เหมือนคนรู้จักของพี่นั่นล่ะ"
รวีบอกกับทั้งสองคน ซึ่งก็ทำให้ทั้งคู่หันไปสบตากัน แล้วตัดสินใจร่วมโต๊ะกับทั้งสี่ในที่สุด
"แล้วเป็นไงมาไงถึงได้มาโผล่ที่นี่กับเจสองคนได้ล่ะต้น"
เวหาชวนคุยระหว่างรออาหาร ซึ่งพอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็ถอนหายใจแล้วเหลือบมองเวทิตด้วยสายตาเอือมระอา
"ก็เพราะหมอนี่มันเลิกกับแฟนแล้วเกิดเซ็งอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ก็เลยโทรมาบังคับฉันให้ไปเที่ยวด้วยกันตั้งแต่เช้า พอฉันโบ้ยให้โทรไปชวนนายแทน หมอนี่ก็บอกว่าโทรไปแล้วแต่นายไม่อยู่บ้านออกไปเที่ยวทะเล หมอนี่ก็เลยชวนฉันมาทะเลเหมือนกัน ...ทะเลเมืองไทยมีตั้งหลายที่ แม่นายก็ไม่ได้บอกว่าไปทะเลไหน แต่มันดันพาฉันมาเจอนายได้นี่สงสัยจะเป็นพรหมลิขิตเนอะ"
เจตต์แกล้งแหย่เพื่อน ส่วนเวหานั้นแม้จะตกใจกับเนื้อความตอนแรก แต่พอได้ยินท้ายประโยคเขาก็เผลอหลุดยิ้ม เพราะรู้ดีว่าเพื่อนพูดเล่น หากแต่บางคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกันชักไม่สบอารมณ์มากขึ้นทุกขณะ
"พี่ต้นเลิกกับแฟนแล้วหรือครับ...เห็นพี่ฟ้าบอกว่าคนที่คบนี่ คบกันมาตั้งแต่ตอน ม.ปลายไม่ใช่หรือครับ"
มีนาถามอย่างแปลกใจ ซึ่งเวทิตก็หันมามองคนพูด แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ
"ใช่...ก็คบกันมาได้เกือบสองปีแล้วล่ะ แต่หลัง ๆ นี่ไม่ไหว ทั้งเหวี่ยงทั้งวีน ทั้งไร้เหตุผล ขี้หึงก็เท่านั้น ...หึงได้กระทั่งเพื่อนของพี่ ขนาดอธิบายให้ฟัง ก็ไม่ยอมเชื่อ แถมมีการมาแอบเปิดมือถือพี่เช็คเบอร์เช็คเมล์อีก...ไอ้รักน่ะก็รักอยู่นะ แต่คนเราลองมันไม่มีความเชื่อใจไม่ให้เกียรติกันเหลืออยู่แบบนี้ ขืนคบกันต่อ ก็คงจะจบลงด้วยการเกลียดกันแทนมากกว่า สู้เลิกเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไอ้เจ้าความรู้สึกดี ๆ มันก็ยังคงจะเหลือให้คิดถึงกันอยู่บ้างล่ะนะ"
แทบทั้งโต๊ะเงียบกริบเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม ทางด้านเมฆาเหลือบไปมองเพื่อนที่ทีแรกกำลังมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยความหึง แต่พอได้ยินที่เวทิตพูด อีกฝ่ายก็มีสีหน้าเจื่อน ๆ แทนอย่างน่าขำ
"ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าไม่พอใจ แต่มันร้ายแรงถึงกับต้องเลิกกันเลยหรือ...ลองบอกเขาหรือยังล่ะ ว่านายไม่พอใจที่เขาทำแบบนั้นกับนาย ถ้าเขาพร้อมจะปรับตัว นายก็ควรจะให้โอกาสเขา แต่ถ้าไม่ยอมปรับ หรือยังทำแบบเดิม ๆ อยู่ อันนี้ก็แล้วแต่นาย เพราะถือว่านายกับเขาคงจะไปกันได้ไม่รอดจริง ๆ"
เวหาเสนอความเห็นบ้าง ซึ่งก็ทำให้เวทิตชะงัก แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"จริง ๆ เมื่อวานนี้เราทะเลาะกัน เรื่องที่เขามาไล่ลบเบอร์เพื่อนผู้หญิงในเครื่องฉัน ก็พวกเบอร์ไอ้แคท ไอ้พิม ไอ้นิด กลุ่มสาวแสบในห้องเรานั่นล่ะ พวกนั้นไปเที่ยวกันแล้วเจอหนังสือที่ฉันเคยบ่นว่าอยากได้ ก็เลยโทรมาถามว่ายังอยากได้อยู่ไหมจะซื้อให้ แล้วนายก็รู้ว่าพวกนั้นมันชอบเรียกฉันป๋าคะป๋าขาแบบล้อเล่นอะไรของพวกมันตลอด แล้วแฟนฉันก็ดันบังเอิญได้ยินเข้าเพราะฉันเผลอไปเปิดลำโพงคุย ทีนี้แม่คุณก็วีนใหญ่ ขนาดฉันบอกแล้วว่านั่นมันเพื่อนในห้องเธอก็ยังไม่ยอมเชื่อ แถมโวยวายหาว่าฉันนอกใจ พอฉันรำคาญมาก ๆ เข้า ฉันก็เลยโพล่งไปว่าถ้ายังระแวงไร้สาระแบบนี้ก็เลิกกันเถอะแล้วก็แยกมาเลย ...เขาโทรมาฉันก็ไม่รับ วันนี้ก็ปิดเครื่องแล้วชวนไอ้เจมันมาเที่ยวแก้เซ็งแบบนี้ล่ะ"
เวหาพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงแนะนำให้เพื่อนสนิทลองโทรไปคุยกับแฟนสาวอีกครั้ง เพราะบางทีอีกฝ่ายอาจจะเริ่มคิดได้ แล้วอยากจะปรับความเข้าใจกันก็เป็นได้
"ก็ได้...จะลองคุยดู เอ่อ...ขอตัวสักครู่นะครับ"
เวทิตรับคำเพื่อน ก่อนจะหันไปบอกขอตัวกับรวีและเมฆา จากนั้นจึงเดินเลี่ยงออกไปห่าง ๆ เพื่อโทรติดต่อแฟนสาว สีหน้าเด็กหนุ่มดูเคร่งเครียดในทีแรก ก่อนจะถอนหายใจให้เห็นเฮือกใหญ่ แล้วจึงพูดอะไรต่ออยู่อีกสักพัก จากนั้นจึงวางสายแล้วกลับมาสมทบกับคนอื่น ๆ
"เป็นไงวะ ตกลงเลิกกันแล้วสินะ"
เจตต์ถามออกไปเป็นคนแรก ซึ่งก็ทำให้คนถูกถามต้องแยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะกระแทกเสียงตอบ
"แช่งจริงนะมึง!"
"แล้วตกลงเป็นไง ปรับความเข้าใจกันได้หรือยัง"
เวหาถามตามมา ซึ่งเวทิตก็หันมามองเพื่อนสนิท ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วตอบคำถามของอีกฝ่าย
"แฟนฉันเขาร้องไห้ขอโทษ บอกว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก...ฉันก็เลยบอกเขาว่า ให้เราลองห่างกันสักสองสามวันโดยไม่ต้องติดต่อกันอีกหลังจากนี้ เพื่อที่จะให้เขาได้ทบทวนตัวเองบ้าง เพราะตอนนี้เขาก็แค่เสียใจกลัวจะถูกทิ้ง ต่อให้ฉันบอกอะไรก็คงยอมรับปากส่ง ๆ ไปทุกอย่าง ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์เดิม ๆ ย้อนกลับมาอีก มันจะทำให้ฉันพลอยผิดหวังในตัวเขามากขึ้น และหลังจากนี้อีกสามวัน ฉันถึงจะโทรไปหาเขาอีก ถ้าเขาตกลงยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อฉัน เราก็จะยังคงคบกันต่อ ถ้าไม่ได้ก็คงต้องจบกันไปเลยนั่นล่ะ"
เวหานิ่งเงียบรับฟังการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของเพื่อน ส่วนคนอื่น ๆ นั้นฟังแล้วต่างก็คิดว่าเวทิตนั้นเลือกทางที่ดีสำหรับความรักของเจ้าตัวแล้ว และสักพักพออาหารมาเสิร์ฟ ทั้งหมดก็หันมาสนใจเรื่องอาหารการกินและคุยเรื่องสนุก ๆ ระหว่างทานกันแทน
เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว รวีจึงตัดสินใจพาสองหนุ่มไปส่งที่พัก แต่ก็ได้รับฟังว่า ทั้งคู่นั้นเพิ่งมาถึงและตั้งใจสะพายกระเป๋าแบกเป้กันไปหาที่พักริมหาดเอาข้างหน้าสักที่นั่นเอง
"ตกลงว่าพวกน้องยังไม่ได้จองบ้านพักกันสินะ ถ้ายังไงจะมาพักที่เดียวกันไหมล่ะครับ"
รวีเอ่ยชักชวนเจตต์กับเวทิตอย่างเป็นมิตร ทำเอามีนาและเวหาลอบมองชายหนุ่มอย่างนึกแปลกใจ เพราะก่อนหน้านั้นแค่มีนาแกล้งแหย่ว่าเวหามีเพื่อนสนิทมาก รวียังออกอาการหึงหวงให้เห็นชัดเจนอยู่เลยด้วยซ้ำ
"จะดีหรือครับพี่ แค่ที่พี่เลี้ยงอาหารกลางวันเมื่อครู่นี้ พวกผมก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงกันแล้ว"
เวทิตเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ ส่วนเมฆารีบเปรยขัดบอกกับเด็กหนุ่มแทนเพื่อนสนิทไปอย่างอารมณ์ดี
"ไม่ต้องห่วงเลยครับน้องต้น บ้านหลังใหญ่ห้องเยอะแยะ อีกอย่างมีคนมาเพิ่มเยอะ ๆ ก็สนุกดีออก เนอะซัน!"
รวีหันไปฉีกยิ้มแยกเขี้ยวให้เพื่อน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดแหย่ตน เนื่องจากเมฆานั้นย่อมรู้ดีว่า ใจจริงแล้ว เขานั้นไม่อยากให้เพื่อนของเวหาได้อยู่ใกล้ชิดเด็กหนุ่ม แต่ก็ไม่อยากถูกเวหามองตนเป็นคนใจแคบเห็นแก่ตัว และกลัวว่าเวหาจะเก็บเอาเรื่องแฟนของเวทิตมาเปรียบเทียบกับเขา รวีจึงจำต้องแสดงตัวเป็นคนใจกว้างไม่หึงหวงพร่ำเพรื่ออย่างที่ควรจะเป็นเช่นนี้
"ถ้าอย่างนั้นผมกับเพื่อนก็ต้องขอบคุณมากเลยครับ"
เวทิตบอกขอบคุณอย่างจริงใจเช่นเดียวกับเจตต์ที่พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับเพื่อน และจากนั้นสักพักพวกเขาก็ทยอยกันขึ้นไปนั่งเบียดกันบนรถยนต์คันหรู ใช้เวลาไม่นานนัก รถก็แล่นเลี้ยวเข้ามาในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งและเข้ามาจอดภายในบ้านพักซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนหย่อมกว้าง ซึ่งความใหญ่โตและสวยงามของมันก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่เพิ่งมาถึงยิ่งนัก
"โห! บ้านใหญ่มากเลย ติดหาดด้วยอ่ะ อ๊ะ! มีสระว่ายน้ำในบ้านด้วยว่ะต้น หรูชิบ!"
"เข้าบ้านเอาของไปเก็บก่อนสิ หรือพวกนายจะไปนอนห้องเดียวกับฉันก็ได้นะ"
เวหาบอกกับเพื่อนทั้งสอง ทว่าก็ทำเอารวีสะดุ้งโหยงพร้อมกับรีบตะโกนห้ามออกไปอย่างลืมตัว
"ไม่ได้นะครับน้องฟ้า!"
เวหาชะงักกึก เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคน ส่วนมีนาหันไปลอบถอนหายใจ และเมฆากลั้นหัวเราะอย่างนึกขำ
"อ่า...เอ่อ...อ้อ! คือพี่กำลังจะบอกว่า ห้องว่างเหลืออีกเยอะ ไม่จำเป็นต้องไปนอนเบียดกันก็ได้ครับ"
พวกเวทิตร้องอ๋อตามมา แล้วก็ยิ้มให้ในความมีน้ำใจของชายหนุ่ม ส่วนเวหานั้นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด ซึ่งรวีก็แสร้งทำเป็นมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้แทน
"งั้นเดี๋ยวมีนพาพวกพี่ไปเก็บของที่ห้องก่อนแล้วกัน จะได้บอกให้รู้ด้วยว่าห้องไหนมีคนจองแล้ว"
มีนาแทรกขัดการสนทนาขึ้น แล้วกวักมือเรียกเด็กหนุ่มทั้งสองให้ตามตนไป ส่วนเวหานั้นไม่ได้ตามไปด้วย เห็นดังนั้นเมฆาจึงหาเรื่องปลีกตัวหนีไปบ้าง ทำเอารวีต้องอุบอิบบ่นใส่เพื่อนที่ไม่ยอมช่วยเหลือกันเลยสักนิด
"พี่ซันหึงเพื่อนของฟ้าหรือครับ"
รวีสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำถามของเด็กหนุ่ม ทว่าพอหันไปเห็นสายตาคาดคั้นคู่นั้น เขาก็ต้องทอดถอนหายใจแล้วยอมสารภาพตามมา
"พี่ไม่ได้หึงอะไรนั่นหรอกครับ ถ้าหึงจริงก็คงไม่ให้มาค้างด้วยแต่แรก แต่ถึงจะพยายามไม่หึงแต่ก็ยังหวงนี่ครับ...มันต่างกันนะครับหึงกับหวงเนี่ย"
เวหาชะงักเล็กน้อย ทว่าสักพักเจ้าตัวก็ต้องหลุดยิ้มอย่างเอือมระอาตามมาเมื่อเห็นสีหน้าเศร้า ๆ กับแววตาอ้อน ๆ ของคนตัวใหญ่ตรงหน้าตน
"เอาเถอะครับ...หวงฟังแล้วก็ยังดีกว่าหึง เพราะถ้าหึง ก็แสดงว่าไม่เชื่อใจกัน จริงไหมครับ"
"พี่เชื่อใจน้องฟ้าเสมอนะครับ!"
รวีรีบยืนยันตัวเองทำให้เวหาถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอด้วยความขำปนเอ็นดู
"ครับ...ฟ้าเชื่อพี่"
บอกจบเวหาก็มองซ้ายมองขวาแล้วแสร้งกระแอมนิด ๆ ก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มรวีตอนที่อีกฝ่ายเผลอ จากนั้นจึงรีบจ้ำพรวดหนีเข้าบ้านพัก โดยทิ้งคนที่กำลังยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกตะลึงเอาไว้ที่สวนหน้าบ้านเพียงลำพังนั่นเอง
... TBC ...
-
ฟินแทนรวี :heaven คืนนี้พี่รวีจะนอนหลับมั้ย :laugh:
พี่เมฆนี่หล่อขึ้นมาเลยอะ น้องมีนาก็น่ารักมีเหตุผล ดีมากที่รู้ว่ายังไม่แน่ใจก็ยังไม่เดินหน้าต่อ ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า
-
สมหวังแล้วนะซัน
-
:o8: ความอดทนของพี่ซันกำลังถูกทดสอบ ฮ่าๆๆ
-
:hao7:
ว้าว ... พี่ซันช็อกไป 3 วิ
-
อ่านแล้วอมยิ้มแก้มตุ่ยจจริง ๆ เรื่องนี้ ขอบคุณค่ะ
-
:mew1:
-
55555 โดนเวหารุกเข้าให้รวีถึงกับเงิบ
:pig4: :pig4: :pig4:
-
ซันหัวใจวายแล้วมั้งนะ :heaven
-
โอ๊ยยย นับวันพี่ซันชักจะทำตัวน่ารักไปนะ
น่ารักแซงหน้าน้องฟ้า น้องมีนกันเลยทีเดียว
แต่อยากบอกว่าคนเขียนขยันมากจริงๆ :katai2-1:
-
น้องมีนน่ารักเชียว
-
จูบเลยค่าาพี่ซันนนนนนนน
ถ้าน้องฟ้าจะทอดสะพานขนาดนี้ :impress2:
-
น้องฟ้าน่ารักไปไหมคะ ถ้าพี่เป็นพี่ซันจะไม่ทน555555555
-
น้องฟ้าคะ แอบหอมแก้มพี่ซันแบบนี้ เดี๋ยวฟ้องคุณแม่นะคะ ข้อหาไม่รักนวลสงวนตัว 5555
ส่วนพี่เมฆก็อย่าคิดนานละกัน เดี๋ยวน้องมีนคนน่ารัก จะอดทนรอไม่ไหว
-
ชื่นชมในความรักอันหนักแน่นของพี่ซันมากๆ อยากเจออย่างนี้บ้างจังเลยมีบ้างมั๊ย :mew1: :mew4:
-
:o8:
:pig4:
-
บทที่ 12
เวทิตและเจตต์ ตัดสินใจเลือกพักในห้องเดียวกัน เนื่องจากเวทิตให้เหตุผลว่าเวลาไปค้างที่อื่นตนไม่กล้านอนคนเดียว เพราะกลัวว่าหากลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วดันมีคนแปลกหน้าโผล่มานอนเป็นเพื่อนโดยไม่ได้ขออนุญาต เขาคงจะช็อกตายคาเตียงเป็นแน่
"ยังกลัวผีไม่เปลี่ยนเลยนะต้น นึกว่าพอขึ้นมหาลัยแล้วจะเลิกกลัวเสียอีก"
"ไอ้การเลื่อนชั้นเรียนมันไปเกี่ยวอะไรกับกลัวหรือเลิกกลัวผีวะ! ไม่รู้ล่ะ ถึงจะดูหรูหราไฮโซขนาดไหน แต่ถ้าให้นอนห้องกว้าง ๆ คนเดียวก็ไม่ไหวเหมือนกัน!"
เวทิตยืนกรานหนักแน่นโดยไม่สนใจว่าเพื่อนสนิทหรือใครจะแหย่แซวตนในเรื่องนี้
"ทนเบียดไปสักคืนแล้วกันนะเจ หมอนี่นอนไม่ค่อยดิ้นนักหรอก"
เวหาหันไปบอกเพื่อนอีกคน ทว่าคำพูดของเด็กหนุ่มนั้น ทำให้คนที่กำลังเดินมาตามอีกฝ่ายถึงกับชะงัก ก่อนจะพยายามข่มจิตข่มใจบอกตัวเองไม่ให้ออกอาการหึงหวงหรืออิจฉาจนออกนอกหน้าให้ใครได้เห็น
"ไม่มีปัญหาหรอกฟ้า เตียงออกจะใหญ่ขนาดนี้ อีกอย่างต้นมันจะนอนดิ้นอะไรก็ปล่อยมัน ขออย่างเดียวอย่าละเมอดิ้นมากอดกันก็พอ ถ้าทำแบบนั้นเมื่อไหร่ รับรองฉันถีบมันตกเตียงแน่!"
เวทิตหันไปมองเพื่อนร่วมชั้นของตนตาปริบ ๆ ส่วนมีนาและเวหาหัวเราะเบา ๆ กับคำพูดนั้น สักพักมีนาก็บังเอิญหันไปเห็นประตูห้องแง้มและขาของใครบางคนโผล่พ้นประตูออกมา เห็นดังนั้นเจ้าตัวจึงสะกิดให้พี่ชายดู ซึ่งเวหาเองก็จำสีของกางเกงขายาวตัวนั้นได้เป็นอย่างดี
"...ขอตัวแป๊บนะ"
เด็กหนุ่มหันไปบอกเพื่อนทั้งสอง แล้วจึงเดินไปที่ประตู ก่อนจะเปิดออกให้ได้เห็นสีหน้าตกใจของคนที่ยืนแอบฟังอยู่แถวนั้น
"ง่า...เอ่อ...พี่จะมาชวนน้องฟ้ากับเพื่อน ๆ ไปกินขนมด้านล่างกันน่ะครับ...แต่ถ้าน้องฟ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร"
รวีรีบบอกแล้วมีสีหน้าสลดนิด ๆ ตามมา ทำให้คนมองลอบถอนหายใจแล้วจึงอมยิ้มน้อย ๆพร้อมกับพยักหน้ารับคำ
"ไปสิครับ...พวกนายลงไปนั่งคุยกันต่อด้านล่างกันเถอะ"
เวหารับคำชายหนุ่มแล้วจึงหันไปชวนเพื่อนกับน้องชายของตน ซึ่งทั้งสามคนก็พยักหน้ารับรู้ แล้วจึงทยอยเดินตามกันไปที่ห้องรับแขกของบ้าน ซึ่งที่นั่นก็มีเมฆานั่งจิบไวน์สบายอารมณ์รออยู่แล้ว
"ไงเด็ก ๆ สนใจไอ้นี่ไหม"
เมฆายกแก้วถามแต่ละคนที่เพิ่งลงมา หากแต่กลับถูกรวีแยกเขี้ยวใส่
"อย่าเอาของมึนเมามามอมเด็กอายุไม่ถึง 20! เดี๋ยวน้าวารีรู้เข้า ฉันก็โดนด่าเปิงพอดี!"
เมฆาหัวเราะเบา ๆ แล้วโบกไม้โบกมือขอโทษ ทว่าคนที่เตรียมจะอ้าปากรับคำแต่ละรายถึงกับต้องหลุดยิ้มเจื่อน และจำใจต้องเปลี่ยนไปกินน้ำอัดลมกับน้ำผลไม้ ที่รวีแช่เย็นเอาไว้ก่อนหน้านั้นแทน
"อ๊ะ! นั่นเค้กนี่! พี่ซันแวะซื้อมาตอนไหนหรือครับ ทำไมฟ้าถึงไม่เห็นเลย!"
เวหาที่หันไปเห็นกล่องขนมที่เพิ่งถูกเปิด อุทานอย่างแปลกใจระคนดีใจ ซึ่งรวีก็ยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วตอบกลับไปตามตรง
"พี่ฝากคนดูแลบ้านซื้อน่ะครับ เห็นว่าเป็นร้านอร่อยแถวนี้ พอดีเขาเพิ่งเอามาส่งพี่เมื่อครู่ พี่ก็เลยขึ้นไปเรียกน้องฟ้ากับเพื่อน ๆ ลงมากินกันยังไงล่ะครับ อยากจะรู้เหมือนกันว่าอร่อยจริงสมกับราคาคุยไหม"
เวหายิ้มแย้มรับอย่างนึกเขินนิด ๆ ที่อีกฝ่ายเตรียมเซอร์ไพรส์ให้เขา ส่วนเพื่อนอีกสองคนพากันขมวดคิ้วหรี่ตามองทั้งคู่อย่างนึกแปลกใจต่อบรรยากาศหวาน ๆ อมม่วงที่เกิดขึ้น
"อร่อยจังครับ... อร่อยจริง ๆ นะครับเนี่ย!"
เวหาที่กัดเข้าไปคำแรกเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อย ท่าทางที่กินอย่างมีความสุข ทำให้รวีเผลอหลุดยิ้มอ่อนโยนออกมาจนทำให้เจตต์และเวทิตชักเริ่มเอะใจบางอย่าง หากแต่ความอร่อยของขนมเค้กที่ได้กินก็ทำให้ทั้งคู่ละความสนใจจากรวีชั่วคราว และหันมาเคี้ยวกินอย่างถูกอกถูกใจเช่นเดียวกัน
"อ้าว! แล้วพี่เมฆกับพี่ซันไม่กินหรือครับ อร่อยนะครับ"
เวหาถามสองคนที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ได้กินเช่นเดียวกับคนอื่น
"พี่ไม่ค่อยถนัดของหวานเท่าไหร่น่ะครับ และยิ่งช็อกโกแลตเนี่ย ขอบายเลย"
เมฆาบอกยิ้ม ๆ ส่วนรวีจ้องมองคนน่ารักของเขาด้วยสายตาเปี่ยมรักและเอ็นดู ก่อนจะบอกออกไปตามตรง
"ส่วนของพี่ให้น้องฟ้ากินแทนดีกว่าครับ...พี่ชอบเวลาเห็นน้องฟ้ากินขนม ดูน่ารักและมีความสุข เห็นทีไรก็อดยิ้มตามไม่ได้สักที"
เวหาชะงักกึกหน้าแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ ส่วนมีนาฟังที่อีกฝ่ายพูดจบเขาก็มีทีท่าสำลักขนมเค้กตรงหน้า เมฆาจึงรีบยื่นน้ำเปล่าส่งให้เด็กหนุ่มทันที
"ไอ้พี่ซัน! เกรงใจกันบ้าง เพื่อนพี่ฟ้านั่งหัวโด่อยู่ตั้งสองคน! เดี๋ยวพี่ชายผมก็โดนเข้าใจผิดพอดี!"
มีนารีบแก้ตัวแทนพี่ชาย ทว่าเจตต์กับเวทิต กลับหันไปมองคนพูด แล้วเผลอหลุดปากถามออกไป
"อ้าว! ไม่ใช่ว่าพี่ซันกับฟ้ากำลังคบกันอยู่หรอกเหรอ?"
"นั่นสิ...อ๊ะ หรือว่าไม่ใช่"
เจตต์เอ่ยขึ้นบ้าง แล้วทำหน้าตื่น ๆ เพราะเกรงว่าเพื่อนกับคนรู้จักของเพื่อนจะไม่พอใจพวกตนเข้า
"เฮ้ย! แล้วพวกพี่รู้ได้ไงอะ!"
มีนาโพล่งขึ้นอย่างตกใจที่ความลับแตก ส่วนเวหานิ่งอึ้งเล็กน้อย และอีกสองหนุ่มก็ทำเป็นนั่งเงียบ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้แทนเสียอย่างนั้น
"ตอนเจอทีแรกก็ไม่รู้หรอก แต่แอบนึก ๆ ว่า สนิทกันดีจังอะไรพวกนี้อยู่เหมือนกัน ...แต่พอหลังจากมาถึงที่นี่แล้ว เวลาสังเกตเห็นสายตาพี่ซันมองฟ้าแต่ละที ก็มักจะแสดงออกให้เห็นแบบไม่คิดปิดบังเลยว่าพี่เขากำลังรู้สึกยังไงน่ะ"
เวทิตบอกกับน้องชายของเพื่อน ซึ่งเจตต์เองพอเห็นเพื่อนพูดแบบนั้นเขาก็รีบเสริมตามมา
"ใช่! เวลาพี่ซันมองฟ้าทีงี้ยังกับจะกลืนกิน...แถมถ้าไม่คิดไปเอง ยังเหมือนพี่เขาจะตั้งใจแสดงออกให้พวกฉันรู้ตัวด้วยซ้ำ...ใช่หรือเปล่าครับ"
เจตต์หันไปถามรวี ซึ่งอีกฝ่ายก็สะดุ้งโหยงแล้วทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน หากแต่เวหาที่หันมาเห็นเข้าพอดี ถึงกับขมวดคิ้วยุ่งตามมา
"จริงหรือครับพี่ซัน..."
รวีฉีกยิ้มหวานให้กับเด็กหนุ่ม หากแต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงและหลุดเป็นยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นเวหาไม่ยิ้มตอบด้วย
"ก็... แหม! ก็พี่ไม่รู้นี่ครับว่าน้องฟ้าอยากปิดบังเรื่องของเรากับเพื่อน ๆ ของน้องฟ้า...อีกอย่างพี่เห็นว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกับน้องฟ้า พี่ก็เลยอยากจะแสดงความจริงใจให้พวกเขาเห็นว่า พี่รักเพื่อนของพวกเขาจริง ๆ ก็เท่านั้นเอง"
ถ้อยคำแก้ตัวออดอ้อนทั้งน้ำเสียงและสีหน้า ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิด โมโหต่อไม่ลง เจ้าตัวถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงหันไปมองเพื่อนสนิททั้งสอง
"เอิ่ม...มันก็ประมาณนั้น คือเรื่องมันเกิดขึ้นไวมาก ๆ ก็เลยยังไม่ได้เล่าให้ฟัง...และก็ไม่แน่ใจว่าพวกนายจะคิดยังไงหากรู้เรื่องนี้ด้วย..."
คำพูดอ้ำอึ้งของเวหา ทำให้เจตต์กับเวทิตต่างสบตา แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ไล่เลี่ยกันตามมา
"เฮ้อ! นายนี่นะ พวกฉันเป็นเพื่อนสนิทนาย ถ้านายมีแฟนทั้งที พวกฉันก็ต้องดีใจด้วยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว...ส่วนแฟนที่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของนาย ถ้านายรับได้ พวกฉันที่เป็นเพื่อนก็รับได้เหมือนกัน!"
เจตต์บอกแล้วยิ้มกว้างให้ ซึ่งเวทิตก็พยักหน้ายืนยันกับคำพูดของเพื่อน แล้วจึงเอ่ยขึ้นบ้าง
"ถ้าเป็นคนที่นายเลือกแล้ว เพื่อนอย่างฉันก็พร้อมจะยอมรับและยินดีด้วยเสมอ...อีกอย่างเท่าที่เห็น ฉันก็ว่านายเลือกได้ไม่ผิดอะไรนี่...พี่ซันเขาก็ดูรักนายดีไม่ใช่หรือ"
เวหาหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน ส่วนรวียิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่ายออกไป
"แน่นอนครับ! พี่รักน้องฟ้ามาก รักจริงหวังแต่งด้วย...ทั้งสองคนไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่ไม่ทำให้เพื่อนของน้องต้องเสียใจแน่!"
ทั้งเจตต์และเวทิตพอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเขินแทนเพื่อนนิด ๆ เพราะอีกฝ่ายนั้นเล่นพูดตรงไปตรงมา ด้วยสีหน้าและแววตาที่หนักแน่นจริงจังเต็มที่
"ฮะ ๆ น่าอิจฉาฟ้าเนอะต้น จริงสิ! ถ้าเกิดนายไปไม่รอดกับแฟนนาย ลองเปลี่ยนไปหาป๋ามาเลี้ยงบ้างดีมะ งานนี้อาจจะอยู่กันยืดก็ได้... โอ๊ย! ตบหัวเพื่อนทำไมวะ!!"
เจตต์ที่กำลังแกล้งพูดแหย่เพื่อนของตนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศความหวานที่มันลอยฟุ้งเต็มห้อง ต้องหลุดอุทานเสียงดังตามมา เมื่อคนที่นั่งข้าง ๆ ตบหัวเขาเสียแรงจนเกือบทิ่ม
"สมแล้ว! ขยันแช่งให้เพื่อนโสดจริงนะมึง!"
เวทิตบ่นอุบอิบ เขาไม่กล้าพูดต่อเรื่องที่เพื่อนเชียร์ให้ตนได้แฟนหนุ่มแทนแฟนสาว เพราะกลัวจะไปกระทบเวหาและรวีเข้าให้ ทั้งนี้แม้เด็กหนุ่มจะไม่นึกรังเกียจและยอมรับในสิ่งที่เพื่อนเลือก แต่ถ้าให้เขาที่คบผู้หญิงมาตลอดหันไปคบผู้ชายแทน เขาก็คงรู้สึกแปลก ๆ และทำใจลำบากอยู่เหมือนกัน
"ฉันดีใจนะที่พวกนายยังยอมเป็นเพื่อนกับฉันเหมือนเดิม แล้วก็ขอโทษที่ดันไปเผลอคิดดูถูก ว่าหากพวกนายรู้เรื่องนี้จะรังเกียจฉันเข้าให้"
ทั้งเจตต์และเวทิตพอได้ยินเวหาพูดเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ยิ้มกว้างให้เพื่อน ก่อนจะหันไปชวนอีกคนคุยอย่างอยากรู้อยากเห็นแทน
"แล้วเป็นไงมาไงพี่ซันถึงได้มาจีบฟ้าเข้าให้ล่ะครับ แล้วอย่างนี้พ่อกับแม่ฟ้าเขารู้เรื่องนี้ดีหรือเปล่า!"
"นั่นสิ ๆ เห็นบอกว่าเพิ่งกลับมาเมืองไทย แล้วมาเป็นเพื่อนบ้านกับฟ้าอีกครั้งโดยบังเอิญสินะครับ...ตกลงที่ว่าบังเอิญนั่นบังเอิญจริงหรือจงใจกันแน่ครับเอ่ย!"
เวหานั้นรู้สึกอายและพยายามจะบอกให้เพื่อนหยุดพูด ทว่าพ่อตัวดีของเขาพอเห็นมีคนอยากรู้เรื่องราวความรักของตน ก็ลงมือสาธยายเล่าเรื่องราวโดยไม่คิดปิดบัง ลงท้ายคนที่ขอฟังเรื่องกับเป็นฝ่ายเขินแทนเองเสียอีก ที่ได้รับรู้ว่าชายหนุ่มนั้นรักมั่นคงในตัวเพื่อนของพวกเขาขนาดไหน
"โห! พี่ซัน! สุดยอดพระเอกละครน้ำเน่าเลยอะ! ฟ้าน่าอิจฉาว่ะ มีคนมาหลงรักตั้งแต่เด็กจนโตแบบนี้ ...ผู้ชายอย่างพี่ซันยังหาได้อีกไหม! ถ้าได้ผมยอมเป็นเกย์เลยนะเนี่ย!"
เจตต์โพล่งขึ้นหลังจากฟังเรื่องเล่าของชายหนุ่มกับเพื่อนสนิทจบ ซึ่งก็ทำให้เวทิตที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ศอกที่เอวของคนพูดเข้าให้แรง ๆ อย่างหมั่นไส้ ทำเอาเจตต์สูดปากเบา ๆ แล้วบ่นอุบอิบใส่เพื่อน ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำของตนยกขึ้นดื่ม อันเป็นเวลาเดียวกับที่รวีตอบกลับมา
"อืม...ก็พอมีอยู่นะครับ อาจจะไม่ตรงสเป็คน้องเจครบถ้วนนัก แต่เรื่องรักเดียวใจเดียวนี่ไม่เป็นสองรองใคร...ถ้าน้องเจสนใจจริง ๆ พี่จะแนะนำให้ไหมล่ะครับ รายนี้เขาเป็นลูกครึ่งอิตาลีอเมริกา สเป็คของเขาก็เป็นแบบคนตัวเล็ก ผิวขาว หน้าตี๋ แบบน้องเจนี่ล่ะครับ ถ้ายังไงพี่ติดต่อให้เลยไหมล่ะครับ?"
เจตต์แทบจะพ่นน้ำที่ดื่มออกมาเมื่อได้ยิน เจ้าตัวยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้อีกฝ่าย ส่วนเมฆาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงขัดเพื่อนสนิทขึ้นมาเสียก่อน
"รายนั้นรักเดียวใจเดียวก็จริงอยู่ แต่เรื่องควบคุมอารมณ์หึงหวงนี่ไม่ไหวว่ะ! ถ้าเกิดได้คบกันจริง ๆ แล้วน้องเจเผลอไปเหล่คนโน้นคนนี้เข้าให้แบบไม่ตั้งใจ มีหวังโดนญาตินายโมโหเป่าทิ้งแบบแฟนคนเก่าของเจ้าตัวแน่ แล้วถ้าเพื่อนหายไปทั้งคนโดยไม่ล่ำลา น้องฟ้าก็ต้องสงสัยจริงไหม แล้วนายจะแก้ตัวกับน้องฟ้ายังไง บอกเขาว่าโดนญาตินายเก็บไปเรียบร้อยแล้วอย่างนั้นหรือไง"
รวีฟังแล้วก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจแล้วยักไหล่ จากนั้นจึงหันมายิ้มหวานให้กับคนที่กำลังนั่งนิ่งอึ้งมือถือแก้วน้ำค้างอยู่อย่างนั้นไม่ยอมวางด้วยความตกตะลึง
"งั้นรายนี้ก็ผ่านไป...ถ้ายังไงเดี๋ยวพี่จะลองหาผู้ชายดี ๆ แบบพี่มาให้น้องเจเลือกแทนแล้วกันนะครับ"
"ง่า! ไม่เป็นไรครับพี่ ...พอดีผมตั้งใจว่าจะเรียนให้จบสักปริญญาโทเอ๊ย! ไม่สิ ให้จบดอกเตอร์เลยดีกว่า แล้วค่อยคิดเรื่องแฟนอีกรอบน่ะครับ"
เจตต์รีบบอกหลังจากตั้งสติได้ ส่วนเวทิตหันมาพึมพำถามเพื่อนสนิทที่นั่งข้าง ๆ ตน
"พี่ซันกับพี่เมฆ เขาอำเรา หรือเขาจริงจังวะนั่น"
เวหายิ้มเจื่อนให้เพื่อน แล้วพึมพำตอบกลับ
"ไม่รู้สิ...แต่เห็นพี่เมฆเคยบอกมีนว่าพ่อพี่ซันเขาเป็นมาเฟียน่ะ ไม่รู้อำหรือพูดจริง ฉันเองก็ยังไม่เคยถามสักที"
เวทิตชะงักกึก ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ ตอบ พลางจ้องมองเพื่อนอีกคนอย่างไม่รู้ว่าจะสมน้ำหน้าหรือสงสาร ที่มันดันเผลอปากดี จนเกือบจะได้แฟนเป็นญาติมาเฟียโหดเข้าให้แล้ว
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกสักพัก ทั้งเจตต์และเวทิตก็ได้ตกปากรับคำรวีเอาไว้ว่า จะคอยช่วยเหลือดูแลไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามวุ่นวายกับเวหาระหว่างเรียนอยู่เด็ดขาด ทำเอาคนที่ถูกกล่าวถึงต้องมองเพื่อนของตนที มองว่าที่คนรักที แล้วถอนหายใจยาวออกมาอย่างเอือมระอาแทน
"เย็นนี้เราจะกินบาร์บีคิวซีฟู้ดกัน ยังไงพี่ก็ฝากพ่อครัวของเราช่วยเรื่องนี้ด้วยนะครับ"
รวีเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอาหารเย็น พลางหันไปยิ้มให้กับมีนา ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเป็นพยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ แต่ใจจริงแล้วเจ้าตัวนั้นชอบกินอาหารทะเลมาก เพียงแต่มันราคาแพงจนกินแทบไม่ลงนั่นเอง
"เอ่อ...แล้วไม่เห็นพี่ซันจะซื้อพวกวัตถุดิบเตรียมไว้เลย หรือจะออกไปซื้อตอนบ่าย ๆ ยังไงก็ต้องเตรียมไว้ก่อนนะครับ ไม่งั้นพอถึงเวลามันจะฉุกละหุก"
มีนาที่เห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อแถมเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่น รีบเอ่ยแย้งขึ้น ทำให้รวีชะงักกึก ส่วนเมฆาเห็นดังนั้นก็อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้นแทนเพื่อนของตน
"พวกพี่สั่งให้แม่บ้านไปหามาให้ล่วงหน้าแล้วล่ะ รับรองสดแน่ เพราะได้มาจากชาวประมงโดยตรง เดี๋ยวสักบ่ายสามเห็นว่าจะเอามาส่งน่ะครับ"
มีนาพอได้ฟังก็ถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก ก่อนจะหน้าแดงนิด ๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มล้อเลียนของเมฆาเข้าให้
"ไม่ใช่มีนอยากกินหรอกนะ! แต่ที่ต้องพูดเพราะกลัวจะลืมกัน แล้วสุดท้ายมีนจะต้องมาเหนื่อยเตรียมของแบบกระชั้นชิดต่างหากเพราะแต่ละคนที่นี่ดูแล้วน่าจะทำอาหารกันไม่เป็นสักคนเลยไม่ใช่หรือไง!"
คนที่โดนหางเลขพาดพิงเข้าให้แต่ละคนพากันกระแอมเบา ๆ แล้วยิ้มแห้งให้เห็นกันถ้วนหน้า ทำเอามีนาที่ไม่ได้ตั้งใจจะว่ากระทบจริงจังชะงัก สีหน้าเจื่อนลงแล้วพึมพำขอโทษทุกคนจนคนมองพากันนึกสงสาร
"น่า ๆ พวกพี่ไม่โกรธน้องมีนหรอก ก็น้องมีนพูดจริงนี่ครับ อ๊ะ! จริงสิ! ต้นกับฟ้ามันชมให้พี่ฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าน้องมีนน่ะทำกับข้าวเก่ง นี่โชคดีของพี่ชะมัดที่จะได้มากินฝีมือน้องมีนเองแบบนี้เนอะ!"
เจตต์บอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะชวนคุยเรื่อยเปื่อยตามมาอีกสักพักทำให้มีนายิ้มออก และรู้สึกเริ่มชอบใจเพื่อนของพี่ชายคนนี้เข้าให้บ้างแล้ว แต่นั่นกลับทำให้ใครบางคนที่มองอยู่ห่าง ๆ ชักเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
"แสดงว่าช่วงนี้เราก็ว่างกันอยู่สินะครับ งั้นพวกผมขอตัวไปเล่นน้ำทะเลก่อนได้ไหมครับ"
เวทิตหันไปขออนุญาตเจ้าของบ้านพัก ซึ่งรวีก็ยิ้มแล้วพยักหน้ารับรู้ หากแต่เจตต์นั้นกลับโพล่งขัดขึ้นมาแทน
"หา! บ่าย ๆ แบบนี้นี่นะ! เดี๋ยวก็ตัวดำพอดี"
"ก็ทากันแดดสิวะกลัวทำไม!"
เวทิตสวนกลับ แต่เจตต์นั้นทำเป็นแกล้งค้อนขวับแล้วจีบปากพูดอย่างน่าหมั่นไส้ในสายตาของอีกฝ่าย
"ตัวดำอย่างพวกนายอยู่แล้วก็พูดได้สิ เกิดฉันตัวดำกลับบ้านไป เดี๋ยวป๊ากับม๊าจำไม่ได้ ไม่ให้เข้าบ้านจะทำยังไง"
"หมั่นไส้ว่ะ! งั้นก็อยู่เฝ้าบ้านไป ฟ้าเราไปเล่นน้ำกันเหอะ!"
เวทิตหันไปชวนเพื่อนสนิทโดยไม่คิดจะใส่ใจเพื่อนอีกคน ทำให้เจตต์ต้องรีบมาง้อ ส่วนเวหานั้นสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา เพราะเพื่อนสองคนนี้มักจะมีเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อความบันเทิงกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้นพอถูกชวนเขาเองก็ชักจะสนใจขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
"เอาสิ! งั้นเดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนะ"
"ถ้าน้องฟ้าไป พี่ก็ขอไปด้วยคนนะครับ!"
รวีโพล่งแทรกขัดทำเอาหลายคนชะงัก หากแต่เวทิตนั้นกลับยิ้มรับพร้อมพยักหน้าอย่างยินดี
"ดีเลยครับพี่ซัน คนเยอะสนุกดี อ๊ะ! ผมเอาลูกบอลชายหาดมาด้วย แบ่งทีมกันเล่นบอลดีไหมครับ"
อีกสามหนุ่มพยักหน้าตอบรับ ส่วนมีนานั้นขอสละสิทธิ์เนื่องจากสู้แสงแดดไม่ค่อยจะไหว
"มีนขอบายนะครับ เดี๋ยวเหนื่อยเกินแล้วจะหมดแรงทำกับข้าว"
"งั้นพี่อยู่เป็นเพื่อนน้องมีนที่บ้านพักเองครับ ซันนายก็ฝากดูน้อง ๆ ด้วยนะ"
"ได้เลยไม่ต้องห่วง! น้องฟ้าเรามาจับคู่ทีมเดียวกันนะครับ"
รวีรับปากเพื่อนแล้วจึงหันมายิ้มหวานชวนคนข้างกายตน พอเจตต์และเวทิตได้ยินดังนั้นก็หันมาสบตากัน แล้วจึงยิ้มล้อเลียนเพื่อนสนิท ที่ตอนนี้กำลังทำเป็นก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาใคร ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ ตรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องอย่างเร่งรีบ คนอื่น ๆ พอเห็นดังนั้นก็ต่างแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทากันแดดบ้าง จากนั้นสักพักจึงลงมารวมตัวกันที่หน้าบ้านอีกที เพื่อตรงไปยังทะเลกว้างเบื้องหน้าต่อไป
... TBC ...
**อีกสองตอนก็จะจบแล้วค่ะ พอดีเป็นนิยายขนาดสั้น พอจบก็จะลงตอนพิเศษแถมให้อ่านตอนนึง พอหมดนี่ก็จะปั่นเรื่องภาคต่อของนายเจ เพื่อนของน้องฟ้า กับคุณลูกพี่ลูกน้องของพี่ซันต่อบ้างแล้วค่ะ คู่นั้นคงลงเอยยากกันนิด เพราะน้องเจเขากลัวความโหดของคุณญาติขึ้นสมอง 555 (แต่จริง ๆ คุณญาติพี่ซันน่ารักนะ แค่ดุเงียบ ๆ เท่านั้นเอง) **
-
:mew1: :pig4:
-
เดี๋ยวพี่หาคนดีๆ แบบพี่ให้ ... ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยพี่ซัน 555
-
เอร้ยยยยยยย เจจะคู่กับญาติของซันจริงๆ หรอคะ รออ่านค่ะ :hao7:
-
รอๆทั้งเรื่องนี้และเรื่องใหม่จร้า :กอด1:
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
-
o13 น้องเจ เป็นรายต่อไป แอร๊ยยยย
-
หวานๆกันไป
-
จะจบแล้วหรออออ
:pig4: :pig4: :pig4:
-
อยากเห็นซีนแต่งงานของพี่ซันกับน้องฟ้า ไม่รู้จะมีให้เห็นมั้ย :mew3:
-
มาติดตามความน่าฮักของน้องฟ้า :mew1:
เห็นพี่ซันพูดถึงญาติก็อยากอ่าน ปรากฏว่าจะเป็นเรื่องถัดไป ฮุฮุ ดีใจจัง รอติดตามจ้า
-
โอ๊ยยยย อยากได้แบบพี่ซันเหมือนกันนะ
แต่ญาติพี่ก็คงมีคนจองแล้วช่ะ
งั้นรอต่อไป
:mew3:
รอติดตามเรื่องของเจกับญาติจอมโหดของพี่ซัน คริคริ
-
จบเร็วจัง
รอติดตามนะคะ :กอด1:
-
บทที่ 13
หลังจากที่แต่ละคนลงไปเล่นน้ำทะเลกันหมดแล้ว บ้านทั้งบ้านจึงเหลือเพียงแค่มีนากับเมฆาตามลำพัง มีนานั้นจึงตัดสินใจเลี่ยงออกมานั่งเล่นที่ศาลาหน้าบ้านริมสระว่ายน้ำ นั่งจ้องมองพวกพี่ชายและคนอื่นเล่นน้ำทะเลแทน ทั้งนี้เพราะเขารู้สึกเขิน หากจะต้องอยู่กันสองต่อสองกับเมฆานั่นเอง
"หนีพี่มาอยู่ที่นี่เอง พี่เดินตามหาเสียแทบแย่"
เมฆาเดินตามมานั่งตรงข้ามกับอีกฝ่ายพร้อมยิ้มน้อย ๆ ให้ ทว่าคนฟังนั้นมัวแต่รู้สึกเขินที่คนซึ่งตนหนีหน้าเดินมาตาม จึงไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มของชายหนุ่มว่ามันดูผิดแผกแปลกไปจากทุกครั้งที่เคยได้เห็น
"ไม่ได้หนีสักหน่อย! มีนก็แค่อยากมาพักผ่อนนอกบ้านบ้างเท่านั้นเอง!"
"งั้นหรือ... ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่ว พี่ก็คิดว่ามีนจะเปลี่ยนใจจากพี่ ไปหาคนอื่นแทนเสียแล้วล่ะนะ"
มีนาชะงัก แล้วย้อนถามกลับไปอย่างแปลกใจ เพราะสีหน้ายิ้ม ๆ ของเมฆาตอนนี้มันดูเหยียด ๆ หยัน ๆ เขาชอบกล
"พี่เมฆหมายความว่าไง"
เมฆาจ้องมองเด็กหนุ่ม แล้วเหลือบมองไปยังใครบางคนที่กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่ด้วยสายตาที่ค่อนข้างเย็นชา
"ก็หมายความตามที่เห็น...เพื่อนของน้องฟ้าเขาก็น่ารักดีนี่ แถมยังใจดีด้วย เป็นแบบที่น้องมีนชอบเลยไม่ใช่หรือครับ"
มีนานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนพรวดแล้วยื่นมือไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยความโมโหอย่างลืมตัว
"อย่ามาดูถูกกันให้มากนักนะพี่เมฆ! มีนอาจจะดูเหมือนคนใจง่ายในสายตาพี่ก็จริง แต่มีนไม่เคยทำตัวง่าย ๆ รักเร็วเปลี่ยนใจเร็วอย่างที่พี่พูดมาสักหน่อย! พี่เองต่างหากที่ไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับมีน แต่พอเห็นมีนดีกับใคร กลับดันมาทำตัวหวงก้างแบบนี้ ใครกันแน่ที่น่าชวนโมโหกว่ากันน่ะ!"
บอกจบเจ้าตัวก็ปล่อยคอเสื้อของชายหนุ่ม ก่อนจะเดินกระแทกเท้ากลับเข้าไปในบ้าน แต่ก็ยังไม่วายหันมาตวาดลั่นใส่คนที่ทำให้ตนโมโหอีกครั้งหนึ่ง
"ไอ้คนงี่เง่า! เห็นแก่ตัว! มีนไม่น่าไปเผลอตกหลุมรักคนงี่เง่าอย่างพี่เข้าให้เลย บ้าที่สุด!"
เมฆานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาเห็นอีกฝ่ายน้ำตาคลอก่อนจะวิ่งหนีไป ชายหนุ่มสบถกับตัวเองอย่างหงุดหงิด มาถึงตอนนี้ก็ทำให้เขาพอจะตอบตัวเองได้แล้วว่า เจ้าความรู้สึกที่มันกำลังก่อตัวขึ้นอยู่ขณะนี้ มันคือความหึงหวงที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน ไม่ว่าเขาจะคบกับใครคนไหนก็ตาม
"เฮ้อ! งี่เง่าจริง ๆ ด้วยสินะเรา ...สมแล้วกับที่โดนเด็กมันด่าให้"
เมฆาพึมพำ ก่อนจะตัดสินใจเดินตามคนที่วิ่งหนีเข้าบ้านพักไป ด้วยแววตาที่ฉายแววมุ่งมั่นในบางสิ่ง ผิดจากทุกครั้ง
อีกด้านหนึ่งหลังจากที่วิ่งหนีเมฆาเข้ามาหลบในห้องพัก มีนาก็เอาหน้าซุกหมอนร้องไห้โฮอย่างเจ็บใจ เมื่อโดนคนที่ตนตกหลุมรักพูดจาดูถูกเข้าให้แบบนี้
"ไอ้พี่เมฆงี่เง่า...ตัวเองก็ยังบอกไม่ได้เต็มปาก ว่าชอบเราจริงหรือเปล่า ...ฮึก...ยังจะมาว่าชาวบ้านเค้าใจง่ายอีก...ฮึก...ทำตัวเป็นหมาหวงก้างไปได้!"
คนที่แอบย่องมาดูอยู่หน้าห้องแถมยังถูกเรียกว่าเป็นหมาถึงกับสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วลงมือเคาะประตูห้องที่เปิดแง้มทิ้งไว้เพราะลืมปิดเบา ๆ ทำเอาคนที่กำลังนอนร้องไห้อยู่บนเตียงชะงักกึก รีบหันขวับมามองก่อนจะตวาดใส่เสียงแข็ง
"ตามมาทำไม! ไปให้พ้นหน้าเลยนะ!"
"ไม่ได้หรอกครับ เพราะพี่ตั้งใจจะมาขอโทษน้องมีนนี่ครับ ขืนไปจริงน้องมีนก็ไม่ให้อภัยพี่น่ะสิ"
เมฆาบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ แบบขี้เล่นตามปกติทำเอาคนมองชะงักแล้วยันกายขึ้นมานั่งกอดหมอนพร้อมตวาดใส่เสียงห้วน
"ฮึ! ถ้าจะมาขอโทษ สู้ไม่ทำให้โกรธแต่แรกจะง่ายกว่าไหม! ทีเมื่อครู่พูดจาดูถูกเค้า ทีนี้จะมาขอโทษ มีนไม่ใช่ถังขยะรองรับอารมณ์แปรปรวนของพี่เมฆนะ!"
เมฆาลอบถอนหายใจกับถ้อยคำต่อว่ารุนแรงกลับมา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้นึกโกรธอะไรอีกฝ่าย เนื่องจากครั้งนี้เป็นเพราะเขานั่นล่ะที่เป็นคนก่อเรื่อง ดังนั้นต่อให้มีนาจะต่อว่าเขารุนแรงกว่านี้เขาก็ไม่มีสิทธิ์โกรธอะไรทั้งนั้น
"ครับ...พี่รู้แล้ว พี่ผิดเองที่พี่พูดไม่ดีกับน้องมีนออกไป แต่ก็เพราะพี่หึงที่เห็นน้องมีนยิ้มหวานให้น้องเจก่อนหน้านั้น ทั้งที่พี่ก็น่าจะรู้ดีว่ารอยยิ้มที่น้องมีนมีให้คนอื่นมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่เพราะความหึงหวง มันเลยทำให้พี่ทำตัวแย่ ๆ จนเผลอทำให้น้องมีนเสียใจ ...น้องมีนอภัยให้พี่ด้วยนะครับ"
มีนานิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ใบหน้าที่ชุ่มรอยน้ำตานั้นบัดนี้แดงระเรื่อ เมื่อได้ยินคำขอโทษที่ปนมากับคำสารภาพของอีกฝ่าย
"กะ...ก็ไหนพี่เมฆเคยบอกว่า...ยังไม่รู้ใจตัวเองว่าคิดยังไงกับมีนยังไงล่ะ..."
มีนาถามออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก น้ำตาที่เคยไหลตอนนี้มันกลับแห้งเหือดไปเสียดื้อ ๆ อย่างนั้น
"ก่อนหน้านั้นยังไม่รู้ แต่มาตอนนี้พี่รู้แล้วล่ะว่า น้องมีนสำคัญกับพี่มากขนาดไหน..."
เมฆาบอกพร้อมยิ้มมุมปากนิด ๆ อย่างนึกขำแกมเอ็นดู เมื่อคนที่เขาจงใจมาง้อ กลับเขินจนหน้าแดงก่ำ แถมตอนนี้ก็ยังเอาหน้าไปซุกกับหมอนใบใหญ่ที่ตนกอดอยู่ ไม่กล้าโผล่หน้าออกมาสบตากับเขาโดยตรง
"น้องมีนครับ...พี่ว่าตอนนี้พี่เจอคนที่พี่อยากอยู่เคียงข้าง และพร้อมจะซื่อสัตย์ต่อเขาไปเพียงคนเดียวตลอดชีวิตแล้วล่ะนะครับ"
มีนารู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนไฟลุกไหม้ไปทั้งตัว เขาไม่กล้าเงยหน้าจากหมอนเพื่อสบตากับชายหนุ่ม เพราะขนาดแค่ได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกเขินเสียจนแทบจะละลายไปเสียเดี๋ยวนั้นแล้ว
เมฆาอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของเด็กหนุ่ม เขาเดินมานั่งตรงหน้าของคนที่ยังคงซุกหลบใบหน้ากับหมอน ก่อนจะตัดสินใจสารภาพรักออกมา
"น้องมีนครับ...พี่ชอบน้องมีนนะ...เป็นแฟนพี่ได้ไหมครับ"
มีนาสะดุ้งโหยง ก่อนจะนิ่งเงียบตัวแข็งไปสักพักจนเมฆานึกแปลกใจ ทว่าพอจะเอื้อมมือไปแตะตัว อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นพรวด พร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มเขม็งด้วยใบหน้าแดงก่ำ
"พี่เมฆพูดจริงใช่ไหม! พูดแล้วอย่ามากลับคำ หรือบอกว่าล้อเล่นทีหลังนะ! ไม่งั้นมีนจะโกรธพี่ไปตลอดชีวิตเลย คอยดู!"
เมฆานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะตามมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทำเอาคนหน้าแดงสับสน แล้วรีบโพล่งถามตามมาทันที
"พี่เมฆหัวเราะทำไม! ล้อเล่นจริง ๆ สินะ! คนบ้า! บ้าที่สุดเลย!"
เมฆาพยายามกลั้นหัวเราะ แล้วรีบดึงมือของคนที่เข้าใจผิดและจะลุกหนีไปเสียก่อน ทว่าเพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัว จึงทำให้คนถูกดึงเสียหลักเซล้มลงมาในอ้อมแขนของคนดึง ทำเอามีนาใจเต้นแรง ตัวร้อนวูบวาบ ส่วนเมฆาพอเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงปล่อยเลยตามเลย แล้วกอดร่างเล็กในอ้อมกอดแน่นด้วยความเอ็นดูแทน
"มีนครับ...พี่ไม่ได้พูดเล่นนะครับ พี่พูดจริง...พี่ชอบมีนจริง ๆ ...มีนเป็นแฟนพี่นะครับ"
มีนารู้สึกว่าหัวใจตัวเองแทบจะหลุดออกมาจากอก มันเต้นแรงเสียจนเขาแน่ใจว่าเมฆาก็คงจะได้ยินมันด้วยเช่นกัน
"...ถ้าชอบแล้วเมื่อครู่พี่เมฆหัวเราะเยาะมีนทำไมกันล่ะ"
"หึ ๆ พี่ไม่ได้หัวเราะเยาะมีนสักหน่อย ที่พี่หัวเราะก็ด้วยความเอ็นดูต่างหาก ...ก็น้องมีนเล่นดีใจแบบน่ารักเสียขนาดนั้น พี่ก็อดขำด้วยความเอ็นดูไม่ได้สิครับ"
คำตอบของชายหนุ่มทำให้มีนาที่หวนคิดตาม หน้าแดงวาบขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าตัวซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่ายด้วยความอับอาย ทำให้เมฆาอมยิ้ม ก่อนจะย้ำถามเพื่อต้องการฟังคำตอบจากคนในอ้อมกอดของตนอีกครั้ง
"แล้วตกลงว่าน้องมีนจะยอมเป็นแฟนพี่ หรือไม่ยอมล่ะครับ"
ยังคงไม่มีคำตอบในทันที หากแต่อ้อมแขนเล็ก ๆ นั่นกอดรัดร่างของตนแน่นขึ้น ซึ่งก็ทำให้เมฆาอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมา
"ถ้ายังไม่รีบตอบ พี่จะถือว่าน้องมีนตกลงรับรักและยอมรับพี่เป็นแฟนเรียบร้อยแล้วนะครับ ...เอ้า! นับถึงสามนะครับ หนึ่ง...สอง...สา..."
"ตกลงครับ! มีนตกลงเป็นแฟนกับพี่เมฆ!"
มีนารีบดันตัวออกพร้อมโพล่งขัดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะนับถึงสาม โดยที่เมฆาเองก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่เพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะกล้าพูดออกมาเช่นนี้
"ก็มีนอยากเป็นฝ่ายบอกด้วยตัวเองเหมือนกันนี่ครับ..."
มีนาบอกตามมาอย่างเขิน ๆ และนั่นก็ทำให้คนมองอดใจไม่ไหว ก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มเนียนใสนั่นฟอดใหญ่อย่างลืมตัว
"น้องมีนของพี่น่ารักจริง ๆ เลยน้า... ดีนะครับที่พี่รู้ใจตัวเองแต่เนิ่น ๆ ขืนรู้นานกว่านี้ เกิดน้องมีนเปลี่ยนใจไปมองคนอื่น พี่คงเศร้าแน่"
มีนามองตอบอย่างเอียงอาย แล้วจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้มของอีกฝ่ายอย่างประจบบ้าง
"มีนเป็นคนชอบอะไรง่าย ๆ ก็จริง แต่ตัดใจยากนะ... เพราะงั้นมีนไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ แน่ ...พี่เมฆนั่นล่ะ ถ้านอกใจเมื่อไหร่ล่ะก็ มีนจะบอกให้พี่ฟ้าฝากบอกพี่ซัน ให้เล่นงานพี่เมฆให้หนักแน่ คอยดู!"
เมฆายิ้มเจื่อนกับคำขู่ ที่ดูไม่ค่อยเหมือนจะเป็นการล้อเล่นจากอีกฝ่าย และเขาเองนั้นเชื่อมั่นว่า หากเวหาเป็นคนขอร้อง ต่อให้เป็นเรื่องเหลวไหลหรือ ไร้สาระเพียงใด รวีก็คงพร้อมจะยอมทำตามทุกอย่าง ต่อให้เรื่องนั้นมันจะเกี่ยวกับสวัสดิภาพความปลอดภัยของเพื่อนสนิทอย่างเขาก็ตามทีล่ะนะ
"ครับ ๆ ยังไงพี่ก็ไม่กล้านอกใจแน่ แต่แหม! แฟนพี่คนนี้นี่นะ เห็นน่ารักขนาดนี้ แต่ดุใช่เล่นนะเนี่ย"
มีนาค้อนให้นิด ๆ อย่างหมั่นไส้ จากนั้นเมฆาจึงชวนเด็กหนุ่มออกจากห้องไปนั่งคุยเล่นที่ห้องรับแขกด้านล่างแทน เพราะเขาเกรงว่าขืนอยู่ในห้องนอนกันสองต่อสอง คุยกันไปอ้อนกันมานานกว่านี้อีกนิด เขาคงจะได้ตบะแตกเผลอลืมตัวจับอีกฝ่ายปล้ำเข้าให้ก็ได้ ซึ่งหลังจากนี้แล้ว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าวารีเองหากรู้เรื่องนี้ ก็คงจะต้องยื่นเงื่อนไขเดียวกับที่เพื่อนสนิทโดนกับเขาเข้าด้วยอีกคนเป็นแน่ ดังนั้นเขาก็ควรจะหัดฝึกความอดทนของตนเองให้ชินไว้เสียก่อนแบบนี้แต่เนิ่น ๆ บ้างนั่นล่ะนะ!
ทางด้านรวีนั้นหลังจากออกไปเล่นน้ำกับพวกเวหาได้สักครู่ใหญ่ชายหนุ่มจึงขอตัวมานั่งพักที่ริมหาด เพราะรู้สึกไม่ค่อยชินกับอากาศร้อนของเมืองไทยนัก แต่พอรวีนั่งหลบใต้ร่มกันแดดริมหาดอยู่ได้สักพัก เวหาก็วิ่งขึ้นมาจากทะเลและเดินผ่านอีกฝ่ายไป ทว่าพอชายหนุ่มขยับจะลุกตามก็กลับถูกเวหาสั่งให้รอที่นี่ก่อน ทำให้รวีถึงกับหน้าสลด ทว่าพอเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้งพร้อมน้ำเย็นและผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเฉียบก็ทำให้คนที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่ถึงกับนิ่งอึ้งอย่างตกตะลึงระคนยินดี
"ขอโทษนะครับ ฟ้าเองก็ลืมไปว่า พี่ซันน่ะอยู่เมืองนอกมานาน คงจะไม่ค่อยชินอากาศเมืองไทยนัก"
เวหาบอกด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ทว่ากลับทำให้คนที่จ้องมองอยู่สะดุ้งแล้วรีบบอกตามมา
"น้องฟ้าอย่าโทษตัวเองเลยนะครับ! ไม่ใช่ความผิดของน้องฟ้าสักหน่อย! มันเป็นเพราะพี่อยากอยู่ใกล้น้องฟ้าตลอดไม่อยากห่างไปไหนต่างหาก ...แต่บางทีพี่ก็ลืมลิมิตตัวเองไปบ้าง เลยต้องมานั่งหมดสภาพไม่น่าดูแบบนี้ล่ะนะครับ"
รวียิ้มเจื่อน ๆ แต่กลับทำให้เด็กหนุ่มชะงักแล้วจึงมีรอยยิ้มตามมา จากนั้นเจ้าตัวจึงส่งแก้วน้ำเย็นยื่นให้กับรวี ซึ่งรวีก็รับมาดื่มพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องนิ่งอึ้ง เมื่อเวหานำผ้าเย็นที่ติดตัวมาด้วยช่วยซับหน้าของตนเบา ๆ
"ทุกสิ่งที่พี่ซันทำไปทั้งหมดก็เพื่อฟ้าไม่ใช่หรือครับ เพราะฉะนั้นสำหรับฟ้าแล้ว ไม่ว่าพี่ซันจะเป็นยังไง พี่ซันก็เท่สำหรับฟ้าเสมอนะครับ"
รวีตกตะลึงพูดอะไรแทบไม่ออก ส่วนทางด้านเวหานั้นหน้าแดงระเรื่อ เจ้าตัวเหลือบไปมองที่ทะเล ก็เห็นว่าเพื่อนทั้งสองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังแสร้งหันไปมองทางอื่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงแอบหันมามองในบางครั้ง จนคนที่กำลังจ้องอยู่ต้องสั่นศีรษะอย่างระอา
"ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปเล่นน้ำต่อนะครับ"
เวหาบอกแล้วลุกขึ้นยืน หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อรวีนั้นรีบจับมือของตนรั้งเอาไว้ก่อน
"มีอะไรหรือครับพี่ซัน"
รวีนิ่งอึ้งต่อการกระทำของตัวเอง ชายหนุ่มมีทีท่าลังเลและคิดหนักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจโพล่งออกไปอย่างลืมตัวในที่สุด
"เป็นแฟนกับพี่นะครับน้องฟ้า!"
เวหานิ่งอึ้งหน้าแดงระเรื่อ โชคดีที่พวกเวทิตกับเจตต์นั้นเล่นน้ำอยู่ห่างไปไกล จึงทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ยินในสิ่งที่รวีพูดออกมา
"เอ่อ...แล้วถ้าฟ้าบอกว่ายังไม่พร้อมล่ะครับ"
เวหาตอบกลับไปเสียงแผ่ว แต่นั่นกลับทำให้คนฟังหัวใจกระตุกวูบ ทว่าไม่นานเจ้าตัวก็มีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้ได้เห็น
"ไม่เป็นไรครับ ยังไม่พร้อมตอนนี้พี่ก็จะรอจนกว่าน้องฟ้าจะพร้อม"
เวหาอมยิ้ม แล้วจึงแสร้งถามต่อ
"แล้วถ้าฟ้าเกิดยังไม่พร้อมต่อไปเรื่อย ๆ พี่ซันก็จะยังคงรอฟ้าต่อไปเรื่อย ๆ อีกหรือครับ"
รวีชะงักกึก เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้าตน
"ถ้าเป็นการรอที่ยังคงมีความหวัง พี่ก็พร้อมจะรอครับ...ไม่ว่าจะใช้เวลากี่เดือนกี่ปีก็ตาม"
เวหาฟังแล้วก็ถึงกับนิ่งอึ้ง เจ้าตัวก้มหน้านิ่งเงียบไปชั่วครู่จนรวีใจเสีย เพราะคิดว่าเด็กหนุ่มอาจจะไม่พอใจที่เขาตื๊อเกินไปก็เป็นได้
"น้องฟ้า...พี่ขอโทษนะครับ...น้องฟ้าโกรธพี่หรือครับ"
"ใครว่าล่ะครับ"
เวหาเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มหวาน ก่อนจะใช้มืออีกข้างเอื้อมไปจับมือข้างที่เกาะกุมข้อมือเขาอยู่แผ่วเบา
"ฟ้าให้พี่ซันรอมาตั้งหลายปีแล้ว...ฟ้าไม่ใจร้ายให้พี่ต้องรอต่อไปอีกหรอกนะครับ"
รวีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เจ้าตัวทวนคำไปมา แล้วจึงโพล่งขึ้นอย่างตกใจ
"แสดงว่าน้องฟ้ายอมตอบรับเป็นแฟนพี่แล้วหรือครับ!"
เวหาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าพร้อมยิ้มอย่างเขินอายนิด ๆ
"ครับ...ผมยินดีเป็นแฟนกับพี่ซันครับ"
รวีเบิกตากว้างพร้อมกับดึงร่างตรงหน้ามาหาตน จนเวหาเสียหลักล้มลงไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย หากแต่รวีนั้นไม่สนใจเขากอดรัดร่างนั้นแน่นอย่างยินดีเป็นที่สุด ทำเอาเวหารู้สึกอายจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนพวกเจตต์กับเวทิตที่หันมาเห็นเข้าก็พากันนิ่งอึ้ง แล้วจึงตัดสินใจกึ่งเดินกึ่งแหวกว่ายกลับเข้ามาฝั่ง และแม้ว่าจะมีคนมายืนจ้องอยู่ไม่ห่างนัก หากแต่ชายหนุ่มก็ยังคงกอดร่างในอ้อมกอดพร้อมกระซิบคำรักรวมถึงหอมแก้มคนในอ้อมกอดจนฉ่ำปอด เสียจนเจตต์ต้องสะกิดเวทิตแล้วพากันกลับเข้าบ้านพักไปก่อน แต่ก็ยังไม่วายขยิบตาให้เพื่อนสนิท ที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงและเริ่มดิ้นขลุกขลักเพราะความเขินอายเต็มที่
"พี่ซัน...ปล่อยฟ้าก่อนครับ"
"ครับ ๆ ปล่อยแน่ แต่ขอกอดอีกนิดนะครับ"
รวีบอกแล้วหอมแก้มซ้ายขวาของคนในอ้อมกอดอีกครั้ง
"พี่ซัน...ฟ้าอายนะครับ ที่โล่งแจ้งขนาดนี้"
เวหาประท้วงต่อ แต่ดูเหมือนว่าคนกอดจะไม่สนใจ แถมยังยิ้มให้แทนอีกต่างหาก
"ไม่เป็นไรครับ ถ้าน้องฟ้าอายก็ซุกหน้ากับอกพี่ก็ได้"
เวหาหน้าแดงก่ำ ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป รวีก็มีข้ออ้างมาแย้งได้ทุกที ทว่าสักพักเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงตะโกนโวยวายที่คุ้นเคยดังลั่นขึ้น
"นี่พี่ซัน! ปล่อยพี่ชายมีนเดี๋ยวนี้นะ!"
รวีเงยหน้ามองน้องชายคนรัก แล้วยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี
"แต่พี่ชายน้องมีน ตอนนี้เป็นแฟนพี่แล้วนะครับ"
มีนาชะงัก แล้วหันขวับไปมองพี่ชายพร้อมเอ่ยถามอย่างคาดคั้น
"จริงหรือพี่ฟ้า!"
เวหาหน้าแดงวาบ ยิ่งเห็นเมฆาเดินตามน้องชายมาแล้วยิ้มล้อเลียนให้ตนเขาก็ยิ่งอายใหญ่ มองไปด้านหลังก็เห็นเจตต์กับเวทิตโบกมือแล้วฉีกยิ้มกว้างชูสองนิ้วให้ เวหาก็แทบอยากจะมุดทรายหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น
"แหม ๆ ไอ้เราก็คิดว่า คู่ของเราจะมาแรงแซงโค้งคู่เดียวเสียอีกเนอะน้องมีน ไม่คิดเลยว่าเจ้าซันก็ไม่ยอมแพ้ ชิงสารภาพรักกับน้องฟ้าเข้าให้เหมือนกัน"
เมฆาเปรยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทว่าคำพูดของชายหนุ่มนั้นทำให้มีนาหันขวับมาถลึงตาจ้องดุ ๆ ด้วยความอาย ส่วนรวีกับเวหาพากันนิ่งอึ้ง พอ ๆ กับเจตต์และเวทิตที่อยู่ด้วยแถวนั้น
"พี่เมฆ! บอกเขาไปทำไมกันเล่า! มีนอายนะ!"
เมฆามองคนขี้อายของตนแล้วอมยิ้มอย่างนึกขำแกมเอ็นดู เพราะอีกฝ่ายนั้นไม่ได้แก้ตัวปฏิเสธ แต่กลับทำเป็นดุใส่เขาแทน ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อน่ารักนั้น
"ก็คิดบ้างหรอกว่าคู่นี้ก็แปลก ๆ เหมือนกัน ...มิน่าล่ะตอนที่ฉันจะไปเล่นน้ำ พอเดินผ่านพี่เมฆ ยังนึก ๆ อยู่ว่าทำไมถึงเสียวสันหลังวาบ ๆ คล้ายจะโดนเขม่น ฮ่า ๆ ที่แท้ก็งี้นี่เอง!"
เจตต์ที่หัวไวประมวลสถานการณ์รอบด้านได้อย่างรวดเร็วเปรยขึ้นแล้วหัวเราะตามมา ทำเอามีนาสะดุ้งโหยงแล้วหน้าแดงก่ำ เด็กหนุ่มพยายามจะแก้ตัวด้วยความอาย แต่พูดไม่ออก เห็นดังนั้นเวทิตเลยตบหลังเพื่อนไปหนึ่งฉาด โทษฐานที่ทำให้น้องชายของเพื่อนสนิทต้องอับอายเช่นนี้
"ขอโทษน้องมีนด้วยแล้วกันที่หมอนี่พูดไม่ค่อยคิด ว่าแต่แทนที่จะมา สวีทหวานกันท่ามกลางแสงแดดช่วงบ่ายแบบนี้ ผมว่าเข้าไปพักในห้อง แล้วเปิดแอร์เย็น ๆ คุยกันแทนไม่ดีกว่าหรือครับ"
เวทิตที่กลัวเพื่อนจะเป็นลมแดดเอาเข้าเสียก่อนเสนอความเห็น ทำให้เวหารีบพยักหน้าหงึกหงักเห็นดีด้วย ซึ่งรวีก็ทำเสียงในลำคออย่างนึกเสียดาย ก่อนจะยิ้มหวานตามมาหลังจากนั้น
"โอเคครับ งั้นไปกอดกันในบ้านต่อก็ได้"
"คุยกันต่างหากครับ ไม่ใช่กอด!"
เวหารีบแย้ง แล้วผลักคนที่คลายอ้อมกอดออกให้ตน อย่างนึกหมั่นไส้ ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปโดยที่รวีไม่ทันตั้งตัว
"เดี๋ยวครับน้องฟ้า! รอพี่ก่อน! พี่ไปด้วย!"
รวีรีบวิ่งตามเด็กหนุ่มไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้แต่ละคนที่เหลือพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่พอเจตต์หันมาสบตากับมีนา คนตัวเล็กก็หน้าแดงวาบแล้วรีบหลบไปยืนด้านหลังเมฆาด้วยความอาย ทำให้เจตต์นึกขำและคิดจะแกล้งแหย่ให้อีกฝ่ายอายเพิ่มขึ้น
"เฮ้อ! ขนาดน้องมีนก็ยังมีแฟนแล้วแบบนี้ ก็กลายเป็นว่าหนุ่มโสดซิง ในกลุ่มก็เหลือแต่พี่คนเดียวแล้วสิครับ เหงาจัง...อุตส่าห์คิดว่าน้องมีนยังว่างเหมือนกัน เลยจะจีบเสียหน่อยเชียว!"
เวทิตมองเพื่อนสนิทที่ชอบปากหาเรื่องอย่างเอือมระอา ส่วนเมฆานั้นกระแอมเบา ๆ แล้วจึงแสร้งเปรยขึ้นบ้าง
"พี่จะบอกให้ซันมันติดต่อญาติของมันให้น้องเจเสียวันสองวันนี้เลยดีไหมครับ เผื่อน้องเจจะได้ไม่เหงา และจะได้ไม่มีเวลาว่างมาเที่ยวแซวแฟนชาวบ้านเขาแบบนี้"
เมฆาบอกแล้วยิ้มเยียบเย็นเสียจนเจตต์สะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบสั่นศีรษะไปมายกใหญ่
"โอ๊ย! ไม่เอาเด็ดขาดครับ! ผมยังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร!"
เมฆาชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะเสียงดังอย่างลืมตัว แล้วจึงตบบ่าอีกฝ่ายพร้อมยิ้มน้อย ๆ ให้
"พี่ล้อเล่นน่ะ อีกอย่างญาติเจ้าซันมันก็ไม่ได้โหดขนาดนั้นหรอก ไอ้ที่บอกว่าเป่าทิ้งนั่นเขาก็แค่คิดจะยิงขู่ แต่บังเอิญมือมันดันเผลอไปเหนี่ยวไก ก็เลยกลายเป็นลือกันไปว่าหมอนั่นเป็นพวกหึงโหดก็แค่นั้นเองล่ะ"
เจตต์ยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อได้รับฟัง เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นพูดเรื่องจริงหรืออำเขาเล่นกันแน่ แต่เท่าที่รู้เขาปฏิเสธไว้ก่อนเห็นจะดีเป็นที่สุด
"ง่า...ผมว่าตอนนี้ผมเป็นโสดไปก่อนจะดีกว่า เพราะฟังที่พี่เมฆเล่ามันยิ่งทำให้ผมหายเหงาเข้าไปใหญ่เลยครับ"
เมฆาอมยิ้มมองคนพูด ที่ตอนนี้กำลังรีบดึงเพื่อนกลับเข้าบ้านพักไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเหลือบมามองคนข้างกายที่ขยับมาจับมือเขา พร้อมบ่นอุบอิบด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
"เข้าบ้านกันเถอะพี่เมฆ...ขืนช้ากว่านี้เพื่อนพี่ก็ปล้ำพี่ชายผมเข้าให้พอดี!"
เมฆาเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะทำท่าเป็นนึกอะไรบางอย่าง
"นั่นสิ...ขนาดน้องฟ้ายังไม่ตอบรับรัก เจ้าซันยังคลั่งไคล้เสียขนาดนั้น นี่ยอมตอบตกลงเป็นแฟนกันเรียบร้อย เจ้าซันมีหวังของขึ้น จนเผลอลืมตัวผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับน้าวารีเข้าให้แน่..."
ยังไม่ทันพูดจบดี มีนาก็ตาเบิกกว้างแล้วรีบดึงมือชายหนุ่มลากเข้าไปในบ้านพักอย่างรวดเร็ว ทำเอาเมฆาถึงกับอมยิ้มอย่างเอ็นดู ที่ถึงแม้มีนาจะเป็นห่วงสวัสดิภาพของพี่ชายสักเพียงใดก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ยังคงไม่ลืมเขา และจูงมือพาไปด้วยกันแบบนี้อยู่ดีนั่นเอง
..... TBC ...
พรุ่งนี้จะลงตอนจบ(14) และตอนพิเศษให้ช่วงเย็นๆ ค่ำ ๆ นะคะ ^^ (วันนี้ก็เกือบลืมโพส พอดีงานเข้ากว่าจะเสร็จก็ช่วงเย็นละ)
สำหรับเรื่องนี้หลายคนอาจจะคิดว่าดำเนินเรื่องเร็ว รักกันง่ายไปนิด ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ พอดีปัดตั้งใจจะเขียนสั้น ๆ ง่าย ๆ ไร้ปมซ่อนเงื่อน อยู่แล้ว ก็เลยรวบรัดอย่างที่เห็น...แต่ถึงยังไงก็ตั้งใจเขียนให้คนอ่านได้มีรอยยิ้มกันบ้าง และรู้สึกดีใจมากๆ เวลาอ่านคอมเมนต์แล้วนักอ่านแต่ละท่านบอกว่าเรื่องนี้ชวนให้ยิ้มได้ ...ในฐานะคนเขียนก็รู้สึกปลื้มใจมาก และดีใจที่มีคนชอบสไตล์การแต่งเรื่อยเปื่อยเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ^^ และหวังว่าภาคต่อไปของน้องเจกับคุณญาติของพี่ซัน ก็จะสามารถสร้างรอยยิ้มให้กับนักอ่านที่รออยู่ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
-
:กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:
-
หวานกันน่าดูนะ ทั้ง 2 คู่เลย
-
มีความสุขจริงๆ ค่ะ เทียวมารีเฟรชเพจ สอดส่องบ่อยๆ ว่าคนเขียนมาอัพแล้วรึยัง อิอิ
รอตอนต่อไป และรอเรื่องใหม่นะคะ :pig4:
-
หวานกันไปอีกคู่
-
:-[ ตอนนี้ทะเลหวานไปเลยทีเดียว จะจบแล้วหรอ อ้ากกก สั้นจัง รอคู่น้องเจด้วยคนค่ะ
-
น้ำตาลหกตามชายหาดหมดแล้วนะนั่น
-
น้องฟ้าน่ารัก อ่ะ
ชอบพี่ซันน อั้ยย๊ะ
-
ไม่อยากให้จบบบบบบบบบบบบบบบบบบ :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
ไม่เอาน๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา
เอาน้องฟ้า น้องมีน มาต่อเรื่อยๆๆๆๆ ไม่เอาไม่จบบบบบบบบบบบบบบบบบบ :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
กรี๊ดดดดด เป็นแฟนกันแล้วๆๆ
ทั้งพี่ทั้งน้องเลย :mew3:
ตอนนี้รู้สึกน้องมีนน่ารักมากอ่ะ
ตอนนี้อ่านแล้วยิ้มกว้าง ^____^
เพื่อเจแซวเค้ามากๆ ระวังถึงทีตัวเองบ้างนะจ๊ะ คริคริ
-
หวานๆ กลางทะเลกันเลยทีเดียว อิอิ
-
ซันนี่น่าหมั่นไส้จริงๆให้ดิ้นตาย
-
เรื่องน่ารัก เบาๆดีฮะ ชอบ
-
บทที่ 14
หลังกลับมาจากทะเล วารีกับณรงค์ก็ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกชายพวกเขา ดังนั้นทั้งคู่จึงเรียกลูก ๆ มาคุยกันเป็นการส่วนตัว และก็ได้รับฟังคำตอบอย่างที่พอจะคาดเดาเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นบ้างแล้ว
"แม่ก็คิดอยู่ว่าถ้าลองได้ไปค้างกันแบบนี้ความสัมพันธ์ก็คงมีคืบหน้าบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้ล่ะนะ โดยเฉพาะลูกนะมีน...ทีแรกแม่ก็คิดว่าตาเมฆเขาจะไม่สนใจจริงจังลูกเสียอีก แต่นี่เห็นกระซิบบอกแม่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะมีเรื่องสำคัญมาคุยกับพ่อแล้วก็แม่ ถ้าให้เดาก็คงจะมาคุยเรื่องลูกนี่เองล่ะสิ"
วารีเปรยกึ่งบ่น ทำเอามีนาที่ได้ยินหน้าแดงระเรื่อ หญิงสาวมองลูกชายคนเล็กอย่างนึกระอาแกมเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยถามตามมา
"แน่ใจแล้วหรือมีนสำหรับเรื่องนี้"
มีนาชะงักกึก เขาเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเงยหน้าจ้องสบตามารดานิ่ง แล้วพูดออกไปตามความรู้สึกของตน
"แน่ใจครับ...และถึงแม้อนาคตข้างหน้ามันอาจจะไม่สวยงามอย่างที่มีนคิดหวังเอาไว้ แต่มีนก็จะไม่เสียใจ...เพราะนี่เป็นทางเลือกที่มีนได้เลือกด้วยตัวเองครับแม่"
วารียิ้มเช่นเดียวกับณรงค์ที่มองอยู่เงียบ ๆ หญิงสาวดึงลูกชายคนเล็กมากอดแนบอก แล้วลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
"ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ มีนก็ยังมีแม่ มีพ่อ แล้วก็มีพี่ฟ้า ที่รักและพร้อมให้กำลังใจมีนอยู่เสมอนะลูก"
"ครับแม่..."
มีนาพึมพำอย่างตื้นตัน ส่วนณรงค์นั้นยิ้มมองบุตรชายของเขา ก่อนจะเอ่ยบางอย่างที่ทำให้คนฟังพากันสะดุ้ง
"แต่ถ้ามีนต้องทุกข์เพราะเขา พ่อก็คงไม่ปล่อยให้พี่เมฆของลูกลอยนวลไปง่าย ๆ หรอกนะ"
"แล้วพ่อจะทำอะไรเขาล่ะจ๊ะ"
วารีถามอย่างแปลกใจ เพราะปกติไม่เคยเห็นสามีขู่อาฆาตคนอื่นเช่นนี้มาก่อน
"พ่อไม่ทำด้วยตัวเองหรอก แต่จะวานลูกเขยคนโตจัดการให้แทนต่างหากล่ะ!"
ขาดคำของณรงค์ก็เรียกเสียงหัวเราะดังขึ้นจากทั้งวารีและมีนา ยกเว้นเวหาที่หน้าแดงนิด ๆ เพราะบิดานั้นพูดแซวไปถึงรวีที่ตอนนี้ได้คบหากับเขาเป็นแฟนกันเรียบร้อย
และพอเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง เมฆาก็หอบเอากระเช้าผลไม้ใบโตพร้อมกับแต่งตัวด้วยชุดสูทเต็มยศ เข้ามาขอพบวารีและณรงค์ โดยมีรวีตามมาด้วยเช่นเคย และเมื่อเข้ามานั่งรวมกันอยู่ในห้องรับแขกอย่างพร้อมเพรียงแล้ว เมฆาจึงเอ่ยปากขอคบหากับมีนาอย่างเป็นทางการทันทีเล่นเอาผู้สูงวัยทั้งสองถึงกับนิ่งอึ้งในท่าทีที่ดูจริงจังผิดเคยของชายหนุ่ม
"ที่จริงผมอยากหมั้นไว้ก่อนเพื่อแสดงให้คุณน้าเห็นว่าผมจริงใจกับน้องมีนจริง ๆ ผมคุยกับน้องตั้งแต่ตอนที่อยู่ทะเลแล้ว แต่น้องมีนเขาห้ามผมเอาไว้ เขาบอกว่ามันเป็นทางการเกินไป แต่ผมก็ยังอยากจะให้พวกคุณน้ารับรู้ว่า ถ้าคุณน้าทั้งสองอยากให้หมั้นกันไว้ก่อนที่น้องมีนจะเรียนจบ ผมก็พร้อมเสมอครับ"
วารีนั้นพอได้ยินก็ถอนหายใจเบา ๆ จากที่เคยคิดจะแกล้งพูดข่มแฟนของลูกชายคนเล็กก็เลยพูดไม่ออก เพราะอีกฝ่ายดันจริงจังกว่าที่เธอและสามีเคยคิดไว้เสียอีก
"ถ้าเมฆรักลูกน้าจริง เมฆก็ไม่ต้องใช้หลักประกันอะไรมากมายนักหรอก แค่เมฆกล้ายืนยันว่าความรักของเมฆที่มีต่อมีนเป็นของจริง แค่นี้พวกน้าก็สบายใจแล้วล่ะจ้ะ"
เมฆานิ่งอึ้งก่อนจะพนมมือไหว้วารี แล้วจึงหันไปไหว้ณรงค์ที่ส่งยิ้มจริงใจให้กับเขา ชายหนุ่มไม่นึกแปลกใจแล้วว่าเหตุใดรวีถึงได้เอ่ยชื่นชมบิดามารดาของคนรักให้ตนฟังว่า ทั้งคู่เป็นคนมีเหตุผลและเข้าใจในเรื่องความรักของลูก ๆ ได้เป็นอย่างดี
"อย่างนี้ก็เท่ากับว่าบ้านเรามีลูกชายมาเพิ่มอีกสองคนแล้วสินะจ๊ะพ่อ"
วารีหันไปยิ้มให้กับณรงค์ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้านิด ๆ ก่อนจะแสร้งเปรยขึ้นเบา ๆ
"อา...จริงสิ ดูเหมือนพ่อจะลืมบอกไปนะว่า ลูกเขยบ้านนี้ต้องแต่งเข้า เพราะพ่อไม่คิดจะให้ลูกชายทั้งคู่แต่งออกหรอกนะ"
วารีพอได้ยินที่สามีพูด เธอก็ถึงกับชะงัก ก่อนจะหลุดหัวเราะตามมาอย่างชอบใจ
"จริงด้วยสินะ เอ้า! ว่าไงหนุ่ม ๆ คิดจะเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะจ๊ะ"
เมฆากับรวี หันไปสบตากันชั่วครู่ จากนั้นทั้งสองคนจึงหันมายิ้มแล้วพูดแทบจะพร้อมกัน
"พวกเราตกลงครับ!"
คำตอบของสองหนุ่มทำเอามีนาและเวหารู้สึกเขินขึ้นมาทันที ส่วนผู้สูงวัยทั้งสองพากันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพราะไม่คิดว่าสองหนุ่มจะตอบตกลงโดยแทบไม่เสียเวลาคิดขนาดนี้
"ผมน่ะยังไงก็ไม่คิดจะไปสืบทอดกิจการต่อจากพ่ออยู่แล้ว และทางนั้นเขาก็จัดหาผู้สืบทอดคนใหม่เตรียมไว้แทนแล้วล่ะครับ ผมขออยู่ใกล้ ๆ น้องฟ้าแบบนี้ไปตลอดดีกว่า อีกอย่างถ้าไม่อยู่ที่นี่ เรื่องธุรกิจที่เราคุยกันไว้ก็ลำบากแย่สิครับคุณพ่อ"
รวีอธิบายให้ฟังพร้อมกับเปลี่ยนสรรพนามเรียกณรงค์โดยที่ไม่ได้ขอก่อนล่วงหน้า ทำเอาคนฟังลอบถอนหายใจนิด ๆ อย่างเอือมระอา แต่ก็ยังคงยิ้มรับในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาอยู่ดี
"ส่วนผมก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วแค่พ่อกับแม่รู้ว่าผมจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แล้วจะหยุดทำตัวเจ้าชู้ หันมาตั้งใจทำมาหากินเหมือนชาวบ้านเขาสักที แค่นั้นพวกท่านก็แทบจะบินกลับมาเมืองไทยเพื่อขอดูตัวว่าที่ลูกสะใภ้กันแล้วล่ะครับ...นี่ขนาดผมบอกว่าแฟนเป็นผู้ชายก็ยังโดนสวนกลับว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย แค่ขอให้ผมทำตัวเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้ก็พอแล้ว...คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะตามมาพบที่นี่ล่ะครับ"
คำบอกเล่าของเมฆาทำให้แต่ละคนยกเว้นรวี ถึงกับนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกทำตัวเสเพลเช่นนั้นมาก่อน
"พี่เมฆเคยทำตัวเกเรขนาดนั้นเลยหรือครับ"
มีนาถามแล้วทำหน้ามุ่ยใส่ ทำเอาเมฆาอมยิ้มแล้วบอกไปตามตรง
"จริงครับ แต่ตอนนี้หยุดแล้วล่ะ เป็นเพราะมาเจอน้องมีนคนเดียวเลยนะครับ"
คนฟังหน้าแดงวาบ แล้วทำเป็นเมินมองไปทางอื่น ซึ่งก็เรียกสีหน้าเอ็นดูจากคนอื่น ๆ ในห้องที่ได้เห็นกันถ้วนหน้า
"คงเพราะผมเป็นลูกคนกลางด้วยน่ะครับ พ่อกับแม่เลยเลี้ยงแบบไม่เข้มงวดนัก...ตัวผมเองก็ใช้ชีวิตแบบผลาญเงินผลาญทองพ่อแม่ เที่ยวเตร่รักสนุกไปเรื่อย ๆ แต่พอได้มาคบเป็นเพื่อนกับซัน ก็เลยได้มันคอยช่วยเตือนสติอะไรหลาย ๆ อย่าง แถมตอนนี้ก็มีคนสำคัญอย่างน้องมีนมาเพิ่มในชีวิต ต่อไปนี้ผมก็คงต้องตั้งใจทำงานสร้างความมั่นคงในอนาคตอย่างจริงจังสักทีล่ะนะครับ"
ชายหนุ่มบอกจบแล้วหันมายิ้มให้กับคนรักซึ่งมีนาเองก็ยิ้มตอบอย่างปลาบปลื้มใจ ส่วนเวหาพอได้ยินที่เมฆาเล่ามาก็ทำให้เขาหันไปเหลือบมองรวีที่ก็บังเอิญหันมาสบตากับเขาด้วยเช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ก็ต่างมีรอยยิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด หากแต่นั่นกลับดูเหมือนจะทำให้ความผูกพันของพวกเขามีมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
และหลังจากการได้พูดคุยกันอีกพักใหญ่ วารีจึงถือโอกาสชวนทั้งสองหนุ่มให้ไปทานข้าวเช้าด้วยกัน ซึ่งแม้ว่าพวกรวีกับเมฆานั้นจะเป็นพวกไม่ทานมื้อเช้าก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีใครคิดปฏิเสธ แถมยังยินดีและเต็มใจเป็นที่สุด เนื่องจากต่างรู้ฝีมือของวารีกันเป็นอย่างดีว่า อร่อยเสียจนต่อให้อิ่มมาจากข้างนอกก็ยังคงสามารถทานได้ต่ออยู่ดีนั่นเอง
และเมื่อมื้อเช้าผ่านพ้นไปเรียบร้อยเวหากับมีนานั้นจึงได้ขออนุญาตบิดาและมารดามาเที่ยวเล่นที่บ้านของรวีกับเมฆาต่อ โดยทั้งสองคู่นั้น ต่างแยกย้ายกันไปเดินเล่นพูดคุยเป็นคู่ ๆ ไป สำหรับเวหาและรวีได้เดินแยกมานั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำ เด็กหนุ่มหวนคิดถึงตอนที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตของตนเอาไว้ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมา
"มีอะไรหรือครับน้องฟ้า ดูอารมณ์ดีจัง"
รวีที่สังเกตเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มเอ่ยถาม ทางด้านเวหาอมยิ้มนิด ๆ แล้วจึงบอกกับอีกฝ่ายออกไปตามตรง
"ฟ้าคิดถึงตอนที่ฟ้าจมน้ำน่ะครับ ตอนนั้นที่ฟ้าคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่...วินาทีนั้นฟ้าก็มองผ่านน้ำขึ้นไปแล้วเห็นพี่ซันว่ายลงมาช่วย...น่าแปลกที่ตาของฟ้าตอนนั้นมองอะไรมัวไปหมด แต่กลับเห็นหน้าพี่ซันชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน...มาถึงตอนนี้ฟ้าคิดว่า มันคงเป็นความประทับใจที่ฟ้ามีกับพี่โดยไม่รู้ตัวก็ได้"
รวีเบิกตากว้างแล้วเตรียมจะรวบร่างตรงหน้ามากอดอย่างยินดี ทว่าเขาก็ต้องชะงัก แล้วมีสีหน้าอดกลั้นอะไรอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"เราไปนั่งคุยกันในบ้านดีกว่าไหมครับ...นะครับ"
น้ำเสียงทุ้มนั้นอ้อนวอนเช่นเดียวกับแววตา ทำให้คนฟังนึกขำปนเขิน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไร แต่การที่รวียอมอดทนไม่ทำประเจิดประเจ้อในที่โล่งแจ้งจนอาจจะมีเพื่อนบ้านมาเห็นเข้าเช่นนี้ ก็ทำให้เวหารู้สึกเห็นใจและขอบคุณชายหนุ่มเป็นยิ่งนัก
"ไปสิครับ...พี่ซันนำไปแล้วกัน"
รวีพยักหน้าหงึกหงัก พลางยิ้มกว้างอย่างดีใจ แล้วรีบจูงมืออีกฝ่ายไปด้วยสีหน้ายินดีเหมือนเด็ก ๆ จนเวหาที่ได้เห็นอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ เด็กหนุ่มเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างว่าง่าย จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนของรวี
"รับรองว่าพี่จะไม่ทำอะไรที่เป็นการผิดสัญญากับคุณแม่ของน้องฟ้าแน่นอนครับ...เชื่อพี่เถอะนะ"
รวีหยุดเดินแล้วหันมาบอกกับคนที่เขาจูงมือ ซึ่งเวหาก็พยักหน้าตอบรับค่อย ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างเชื่อมั่นในตัวของอีกฝ่าย
"ครับ...ฟ้าเชื่อพี่"
รวียิ้มกว้างแล้วรวบร่างของเด็กหนุ่มมากอดอย่างรักใคร่ เขาหอมแก้มทั้งสองข้างของเวหาก่อนจะเลื่อนมาจูบที่ริมฝีปากได้รูปนั้นอย่างดูดดื่ม จนคนถูกจูบแทบจะยืนไม่อยู่ และพอรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มก็ถูกพาไปที่เตียงและนั่งลงไปบนนั้นด้วยกัน
"ก่อนหน้านั้นพี่เคยจูบน้องฟ้ามาแล้วตอนน้องฟ้าสามขวบ...น้องฟ้าคงจำไม่ได้สินะครับ"
คำเฉลยของคนที่จูบเขาเมื่อสักครู่ ทำเอาเวหาถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อนัก
"ตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือครับ..."
รวียิ้มรับ แล้วก้มหน้าลงไปจะจูบเด็กหนุ่มอีกรอบ แต่ก็ถูกเวหายกมือห้ามเอาไว้ก่อน
"พอแล้วครับ...จูบอะไรบ่อย ๆ แค่นี้ก็จะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว"
"จูบบ่อย ๆ จะได้ชินยังไงล่ะครับ"
ชายหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่คนฟังกลับชะงักแล้วหวนคิดถึงจูบที่ดูเชี่ยวชาญของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจถามออกไปตามตรง พร้อมกับรอฟังว่าอีกฝ่ายจะแก้ตัวกับเขาว่าอย่างไรบ้าง
"พี่ซันคงจูบมาบ่อย ๆ เสียจนชำนาญแล้วสินะครับ"
รวีชะงักกึกเจ้าตัวเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ
"พี่จะไม่โกหกน้องฟ้าหรอกนะครับ...ก่อนหน้านี้พี่ก็เคยมีสัมพันธ์กับคนอื่นบ้าง แต่ว่าคนที่อยู่ในใจของพี่นั้นมีเพียงน้องฟ้าแค่คนเดียวเสมอมานะครับ"
เวหาจ้องมองคนตรงหน้านิ่งสักพัก ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนตามมา
"ครับ ฟ้าเชื่อ...ดีใจนะครับที่บอกกันตรง ๆ แบบนี้"
"เพราะน้องฟ้าเคยบอกว่าไม่ชอบคนโกหกยังไงล่ะครับ...ถ้าเป็นสิ่งที่น้องฟ้าชอบและต้องการ พี่ก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อน้องฟ้าเสมอนั่นล่ะครับ"
รวีบอกไปตามตรงพร้อมรอยยิ้มหวานอีกครั้ง ทำเอาเวหาพูดอะไรไม่ออก เจ้าตัวหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะแสร้งเป็นมองไปทางอื่นเพื่อแก้เขิน ทว่ากลับชะงักเมื่อเห็นกล่องช็อกโกแลตแท่งที่ถูกแกะแล้ววางอยู่บนโต๊ะหนังสือในห้องนั้น
"อ๊ะ...พี่ซันชอบกินช็อกโกแลตด้วยหรือครับ"
รวีสะดุ้ง แล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้อีกฝ่ายก่อนจะสารภาพความจริงตามมา
"พี่ลองเอามากินดู เผื่อเวลาคุยเรื่องขนมกับน้องฟ้าจะได้อินมากขึ้นยังไงล่ะครับ แต่เอาจริง ๆ ยี่ห้อนี้มันค่อนข้างหวานไปหน่อย พี่เลยกินไม่หมด เหลือทิ้งไว้ตั้งแต่วันก่อนไปทะเลแล้วล่ะครับ"
เวหาฟังแล้วก็รู้สึกทั้งขำทั้งเห็นใจอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเดินไปหยิบช็อกโกแลตแท่งที่เริ่มจะละลายนั้นแกะเปลือกออก แล้วจึงใช้นิ้วปาดที่เนื้อช็อกโกแลต ก่อนจะนำมาทาที่ริมฝีปากของตนบาง ๆ
"ลองชิมอีกครั้งดูไหมครับ...บางทีคราวนี้อาจจะหวานน้อยกว่าเดิมก็ได้นะครับ"
รวีเบิกตากว้างแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเดินตรงมาหาเด็กหนุ่มคนรัก พร้อมกับโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากเปื้อนช็อกโกแลตนั้นอย่างดูดดื่ม
"หวาน...เป็นช็อกโกแลตที่หวาน แต่อร่อยที่สุดเท่าที่พี่เคยได้กินมาเลยล่ะครับ"
รวีพึมพำคลอเคลียที่ริมฝีปากของเวหาหลังจากที่ได้ลิ้มรสช็อกโกแลตบนริมฝีปากนั้นอย่างหนำใจมารอบหนึ่งแล้ว
"ขอพี่กินอีกสักคำจะได้ไหมครับ"
รวีอ้อนต่อ ซึ่งก็ทำให้เวหาหน้าแดงระเรื่อ แล้วทำเป็นบุ้ยใบ้ไปที่ช็อกโกแลตบนโต๊ะแทน
"คำนี้พี่กินเองแล้วกันครับ ...ฟ้าไม่ป้อนแล้ว"
รวีลอบยิ้ม แล้วจึงแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้าต่อ
"แต่กินเองกับน้องฟ้าป้อน มันอร่อยไม่เหมือนกันนี่ครับ...นะครับ ขออีกคำนะครับ"
เวหาหน้าแดงมากยิ่งขึ้น เจ้าตัวอุบอิบบ่นเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมา
"อีกแค่คำเดียวนะครับ"
รวีพยักหน้าหงึกหงัก ทำให้เวหาต้องทำแบบเดิมอีกครั้ง และการ 'ป้อน' ครั้งนี้ ก็ยังคงร้อนแรงและถูกใจคนกินอยู่ไม่เปลี่ยน
"พี่ซัน...พอได้แล้วครับ"
เวหาประท้วงคนที่ยังคงคลอเคลียตนเองไม่เลิกรา หนำซ้ำยังเริ่มมือซนจับโน่นจับนี่ไปทั่วตัวเขาอีกต่างหาก
"พี่ว่าพี่ชักจะติดใจช็อกโกแลตหวาน ๆ เข้าให้แล้วเหมือนกันนะครับเนี่ย เพราะน้องฟ้าแท้ ๆ เลย คราวหน้าป้อนให้พี่กินแบบนี้อีกนะครับ"
รวีอ้อนพร้อมกับหอมแก้มคนในอ้อมกอดของตนฟอดใหญ่ ทำเอาเวหาชักจะเริ่มหมั่นไส้คนที่ชอบทำหน้ามึนเอาเปรียบเขาคนนี้ขึ้นมานิด ๆ เข้าให้แล้ว
"ไว้คราวหน้าฟ้าจะอมบอระเพ็ดแทนช็อกโกแลต แล้วมาป้อนให้พี่ซันกินแล้วกันครับ"
เวหาประชดใส่ ทำเอาคนฟังสะดุ้ง ก่อนจะส่งยิ้มออดอ้อนชวนให้คนมองใจอ่อนตามมา
"อย่าเลยนะครับ...ถ้าเป็นน้องฟ้าป้อนให้พี่ไม่กลัวขมหรอก แต่พี่กลัวน้องฟ้าจะขมลิ้นเสียเองมากกว่าน่ะสิครับ"
"คนเจ้าเล่ห์..."
เวหาพึมพำพร้อมยิ้มให้อย่างเอือมระอา ซึ่งรวีก็รีบหอมแก้มเด็กหนุ่มซ้ายขวาอย่างประจบ แล้วจึงชวนเวหาเดินไปยังที่ตั้งตู้เย็นของบ้าน ซึ่งในนั้นมีเค้กชิ้นเล็ก ๆ หน้าตาสวยงาม แพคอย่างดีแช่ไว้อยู่หลายชิ้น
"พี่แอบแวะไปซื้อมาเมื่อเย็นนี้ พอไปถึงร้านใกล้จะปิดพอดี เกือบซื้อไม่ทันแน่ะครับ...นี่ตั้งใจจะเอาไปให้ตอนกลางวันนะครับเนี่ย แต่ไหน ๆ น้องฟ้าก็มาเที่ยวที่บ้านพี่แล้ว จะไปนั่งกินด้วยกันก่อนก็ได้นะครับ"
บอกจบเจ้าตัวก็แย้มยิ้มติดเจ้าเล่ห์อย่างลืมตัว ทำเอาเวหาขมวดคิ้วอย่างนึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
"หวังว่าเค้กพวกนี้ ฟ้าคงไม่ต้อง 'ป้อน' เผื่อพี่ซันด้วยสินะครับ"
รวีสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนอาการหลุดของตนตามมาทันทีด้วยรอยยิ้มออดอ้อน
"แหม...พี่ตั้งใจซื้อมาเพื่อน้องฟ้าโดยเฉพาะนะครับ...ส่วนน้องฟ้าจะ 'ป้อน' เค้กให้พี่กินด้วยไหม อันนี้ก็แล้วแต่ความกรุณาของน้องฟ้าแล้วกันนะครับ... แต่ถ้าน้องฟ้าไม่ 'ป้อน' พี่ยอมอดกินก็ได้ครับ"
เวหาเผลอค้อนให้นิด ๆ อย่างนึกหมั่นไส้ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายนั้นเน้นบางคำเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มได้แต่โทษตัวเองในใจว่าเขาไม่น่าจะเผลอป้อนช็อกโกแลตให้อีกฝ่ายกินแบบก่อนหน้านั้นเลย เห็นทีหลังจากนี้พอกินขนมหวานอะไรก็ตาม รวีก็คงจะขอมีส่วนร่วมช่วยเขา 'กิน' แทบทุกครั้งเป็นแน่
"ฟ้าจะ 'ป้อน' เค้กให้พี่ซันกินด้วยก็ได้นะครับ..."
รวีทำตาโตด้วยความยินดี ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
"แต่ถ้าฟ้าป้อนให้พี่ซันกินหนึ่งครั้ง พี่ซันก็ไม่ต้องมาให้ฟ้าเห็นหน้าสักหนึ่งวันเต็ม ๆ ตกลงไหมล่ะครับ"
เวหาลอบยิ้มแล้วทำเป็นตีหน้าตาเฉย ทำเอารวีถอนหายใจ แล้วทำหน้าสลดอย่างชวนให้น่าสงสาร
"ก็ได้ครับ...พี่ไม่กินด้วยก็ได้ น้องฟ้ากินเถอะครับ ยังไงพี่ก็ตั้งใจซื้อมาให้น้องฟ้ากินอยู่ดี"
เวหามองคนรักของตนแล้วจึงสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา เขามั่นใจว่าท่าทางออดอ้อนน่าสงสารนั้นอีกฝ่ายคงจงใจทำเสียครึ่งหนึ่ง ถึงกระนั้นแม้จะรู้ทั้งรู้ แต่เขาก็ชอบที่จะเห็นเวลารวียิ้มให้อยู่ดี เพราะรอยยิ้มของชายหนุ่มนั้น ช่างเป็นรอยยิ้มแจ่มใสที่เหมือนดังแสงตะวันเจิดจ้า ทำให้คนมองมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็น
"น้องฟ้า...น้องฟ้าจะเอาเค้กไปไหนน่ะครับ"
รวีถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเวหาหยิบเค้กช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งออกมาจากตู้เย็น ก่อนจะเดินเลี้ยวไปหยิบช้อนในครัว แล้วทำท่าจะเดินไปที่อื่นต่อจากนั้น
"ก็ฟ้ากลัวว่าขืน 'ป้อน' เค้กให้พี่ซันกินด้วยกันแถวนี้ มีนกับพี่เมฆจะผ่านมาเห็นเข้าพอดีน่ะสิครับ ฟ้าก็เลยว่าจะยกเค้กกลับเข้าห้องของพี่ซันแทน...แต่ถ้าพี่ซันไม่อยากกินก็ไม่ต้องตามมาก็ได้นะครับ ฟ้ากินคนเดียวก็ได้"
เวหาบอกแล้วยิ้มให้ แต่แล้วเจ้าตัวก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันมามองคนที่กำลังนิ่งอึ้งด้วยสีหน้าตกตะลึงแล้วจึงเอ่ยต่อเบา ๆ
"ส่วนเรื่องทำโทษ...ฟ้ายกให้ก่อนก็ได้ครับ"
พอบอกจบ เจ้าตัวก็รีบเดินหน้าแดงไปยังห้องพักของรวีทันที ส่วนรวีนั้นหลังจากนิ่งอึ้งตั้งสติได้ชั่วครู่ ชายหนุ่มก็กำมือแน่นแล้วพึมพำกับตัวเองด้วยความยินดีเป็นที่สุด จากนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้าตามคนรักกลับเข้าห้องของตนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกลัวว่าเวหาจะกินเค้กหมดคนเดียวและไม่เหลือเผื่อ 'ป้อน' ให้เขากินบ้างนั่นเอง
...END...
เอาตอนจบไปอ่านกันก่อนนะคะ เดี๋ยวตอนพิเศษจะมาดึก ๆ ^^"
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้มาจนจบค่ะ :L2:
:pig4:
สำหรับคู่น้องเจกำลังอยู่ในช่วงทดลองแต่งค่ะ ว่าจะลากไปรอดหรือไม่รอด แหะ ๆ ^^"
ถ้าเห็นแววรอด ปั่นได้เกินครึ่งจะรีบมาโพสให้อ่านทันที เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอนานและได้อ่านต่อเนื่องเหมือนเรื่องนี้นะคะ
-
รวีหวานได้แบบน่าถีบมากกกกก โดนหนูฟ้าเอาคืนบ้างแล้วนะนี่ คึคึ :hao3:
-
โอ๊ว น้ำตาลทั้งนั้นเลย
-
ตามอ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ บอกได้เลยเค้กกับชอกโกแลตยังหวานสู้ไม่ได้ :-[
รอตอนพิเศษค่ะ :pig4:
-
อ๋อยยยย น้องฟ้า ไหงน่ารักขนาดนี้
แค่นี้พี่ซันเค้าก็คลั่งจะแย่แล้วลูกกกก
:mew3:
รอตอนพิเศษจ้าา
-
แหมคู่หลักจะหวานเกินช้อคโกแลตแล้วจ้า ขอบคุณที่มาลงต่อเนื่องตลอดค่ะ :L1:
-
อยากอ่านตอนพิเศษที่ทั้งสามครอบครัว พ่อแม่ของเมฆและพ่อแม่ของซัน
มาเมืองไทยและอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันจังเลยอ่ะครับ ขอซักตอนเถอะ พลีสสส!!!
-
:impress2: :mew1: :pig4:
-
Thank a lot
-
:pig4: :pig4: :pig4: :3123:
-
:-[ เค้กก้อนนี้หวานมากเป็นพิเศษแน่เลย
-
โอ้ย หวานยิ่งกว่าน้ำตาลรวมกันซะอีก
และก็น่าอิจฉามากๆ พี่ซันก็หอมแก้มน้องจนช้ำไปหมดแล้ว
ถ้าคุณแม่ไม่สั่งห้ามไว้ก่อน มีหวังน้องฟ้าเสียตัวก่อนแต่งเป็นแน่ คริๆ
-
โอ๊ะ ๆ ๆ โอ๊ยยยย !!! มดกัด หว๊านนนน หวานอ่ะ ป้าเบาหวานจะขึ้นแล้ว 5555+
-
สวัสดีค่ะ เอาตอนพิเศษที่แต่งไว้มาให้อ่านค่ะ ทีแรกว่าจะเขียนสไตล์รวมญาติ แต่แต่งไปแต่งมาก็ดูมันไม่รวมกันสักเท่าไหร่ ...แต่หลังจากนี้ อาจจะมีตอนพิเศษของสองคู่นี้ และของครอบครัว มาให้ได้อ่านเพิ่มเติมอีกก็ได้นะคะ / //
ส่วนคู่น้องเจ คงต้องรอสักพักนะคะ เดือนนี้ต้องเคลียร์กรงรักฯ ให้รอดก่อน (ฉบับรีเมกอะไรไม่รู้ยิ่งแต่งยิ่งยาว--" สงสัยจะได้หนาเป็นสองสามเท่าจากฉบับเดิมแหงม...)
ps.เริ่มนิสัยเสีย หมักดองไห(นิยาย) อีกแล้ว ก่อนปีนี้ต้องเคลียร์ให้หมดให้ได้!!
:hao5:
ตอนพิเศษแถมท้ายเรื่อง..
สามวันหลังจากที่เมฆามาขอคบหากับมีนาเป็นคนรักอย่างเป็นทางการ บิดาและมารดาของชายหนุ่มก็บินจากอเมริกามาที่เมืองไทย มารดาของเมฆานั้นเป็นสาวไทยที่มีรูปร่างบอบบางและมีหน้าตาสะสวยแม้จะอายุมากก็ตาม ส่วนบิดาก็เป็นชาวอเมริกาผมสีทองตัวสูงใหญ่หุ่นบึกบึนไม่แพ้นักกีฬาจำพวกอเมริกันฟุตบอลทั่วไปเลยทีเดียว
"ขอบใจหนูมีนมากเลยนะจ๊ะ ที่ทำให้ลูกชายจอมเสเพลของน้า เริ่มคิดเป็นผู้เป็นคนขึ้นมากับเขาได้"
มารตี มารดาของเมฆากล่าวขอบอกขอบใจเด็กหนุ่มยกใหญ่ หญิงสาวดูจะถูกใจมากเมื่อรู้ว่ามีนานั้นแม้จะเป็นผู้ชาย แต่นิสัยกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือน หนำซ้ำยังมีฝีมือทางด้านทำอาหารเป็นอย่างดีอีกด้วย ที่สำคัญใบหน้าหวานแสนน่ารักนั่น ก็สะดุดสายตาเธอทันทีเมื่อแรกเห็น และนั่นจึงทำให้ทั้งเธอและ โจนาธานผู้เป็นสามีไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดลูกชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอย ของสาว ๆ จึงสามารถยอมรับอีกฝ่ายที่เป็นผู้ชาย ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเช่นนี้
"มากไปครับแม่...เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ของน้องมีน เขาเกิดเปลี่ยนใจไม่ให้ผมคบกับน้องมีนพอดี"
เมฆาเปรยขัดขึ้นอย่างเอือมระอา ที่มารดาย้ำนักย้ำหนาถึงเรื่องอดีตที่ไม่ค่อยน่าจดจำของเขา
"อ๊ะ! ไม่ได้สิจ๊ะ การที่คนเราจะตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายเป็นครอบครัวเดียวกัน มันก็ต้องรู้ทั้งเรื่องดีและเรื่องเสียของทั้งสองฝ่าย ถ้าลองรับได้แต่ด้านดี แต่รับด้านเสียซึ่งกันและกันไม่ได้ ยังไงก็คงอยู่กันไม่ยืดหรอก จริงไหมคะคุณวารี"
มารตีหันไปยิ้มให้กับวารี ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้าค่อย ๆ พร้อมยิ้มตอบ
"เห็นไหมล่ะเจ้าลูกตัวแสบ ...อีกอย่างยิ่งได้เห็นหนูมีนาแม่ก็ยิ่งเอ็นดู เด็กดี ๆ แบบนี้ ไม่น่ายกให้ลูกไปเลย เสียของชะมัด อืม...หนูมีนาจ๊ะ สนใจลูกชายคนโตของป้าไหม อ๊ะ! หรือจะยกให้ตาน้ำดีคะคุณ อายุก็ใกล้เคียงกันดีด้วย"
มารตีหันไปคุยกับสามีซึ่งพูดและฟังภาษาไทยรู้เรื่องเป็นอย่างดี ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นบุตรชายคนรองทำหน้ามุ่ยใส่ต่อคำพูดล้อเล่นกึ่งจริงจังของภรรยาตน
"ทำเป็นพูดเล่นไปได้คุณ ทั้งลมกับน้ำ เรื่องสเป็คก็ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับเมฆอยู่ไม่น้อยทีเดียว เกิดลูกติดใจหนูมีนขึ้นมาเหมือนกัน มีหวังพี่น้องได้เกิดศึกชิงนายกันแน่!"
โจนาธานตอบกลับไปอย่างขำ ๆ ทำให้ครอบครัวของมีนาพากันคิดตรงกันว่า โจนาธานคงต้องเชี่ยวชาญเรื่องภาษาไทยอยู่ไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงกับใช้คำเปรียบเปรยได้เช่นนี้ แถมสำเนียงที่พูดแม้จะแปร่งไปบ้าง แต่ก็ออกคำสะกดได้อย่างถูกต้องชัดเจนทีเดียว
"วายุ ลูกชายคนโตของดิฉัน กับธารา ลูกชายคนเล็ก ยังโสดกันทั้งคู่ค่ะ ดิฉันเองก็อยากได้สะใภ้จริง ๆ กับเขาเหมือนกันล่ะนะคะ แต่ผู้หญิงสมัยนี้หาความเป็นแม่บ้านแม่เรือนยากเสียเหลือเกิน แถมบางคนยังชอบทำตัวไม่รู้จักกาลเทศะ เห็นผู้ใหญ่เป็นหัวหลักหัวตอ...ขืนรับเข้ามาเป็นสะใภ้ มีหวังเราเองจะต้องเป็นฝ่ายคอยบริการให้พวกเจ้าหล่อนเสียแทน ...แต่ถ้าได้แบบน้องมีนมาเป็นสะใภ้ ต่อให้เป็นผู้ชายดิฉันก็ไม่เกี่ยงหรอกนะคะ..."
มารตีบอกกับณรงค์และวารีพร้อมยิ้มหวาน แถมยังทำเป็นเหลือบมองเวหาด้วยสายตามุ่งมั่นประหลาดเข้าให้อีกคน ทำเอารวีที่อยู่ด้วยที่นั่นและนั่งใกล้เวหาถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะเผลอโอบไหล่อีกฝ่ายมากอดหมับอย่างหวงแหน
"ไม่ได้นะครับคุณป้า! คนนี้ของผมนะครับ!"
มารตีอมยิ้มน้อย ๆ เพราะพอจะรู้เรื่องรวีกับเวหาจากลูกชายมาบ้างแล้ว สำหรับเธอนั้นถึงแม้ว่าเวหาจะไม่รูปร่างอรชนอ้อนแอ้นหรือมีหน้าตาน่ารักอย่างมีนา แต่ด้วยความมีมารยาทและความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเด็กหนุ่มมี ก็ทำให้เธอเองรู้สึกถูกใจเวหาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
"แหม! ป้าเองก็ลืมไปว่าหนูฟ้าน่ะซันจองไว้แล้ว"
มารตีหัวเราะคิกคักเบา ๆ แล้วจึงหันมาสนทนากับพวกวารีและณรงค์ต่อ ส่วนเวหานั้นหยิกที่แขนคนรักเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้รวีนั้นปล่อยตนสักที ทำเอาชายหนุ่มต้องยิ้มเจื่อน ๆ แล้วยอมปล่อยคนรักเสียก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายงอนใส่เขานั่นเอง
"เห็นตาเมฆบอกว่าทางพวกคุณไม่ต้องการให้หมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการ แต่ดิฉันกับสามีได้คุยปรึกษากันแล้วว่า อย่างน้อยดิฉันก็อยากจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ภายในครอบครัว เพื่อเป็นการรับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคต...ไม่ทราบว่าทางพวกคุณจะขัดข้องไหมคะ"
วารีกับณรงค์มองสบตากัน แล้ววารีจึงเป็นคนเปรยตอบให้แทนอย่างลังเล
"ถ้าเป็นงานเลี้ยงภายในครอบครัวกันเอง ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ...เพียงแต่จะจัดกันที่ไหนหรือคะ ถ้าต้องเดินทางไกลบ้าน ทางฉันกับสามีเกรงว่าจะไม่สะดวก"
มารตีชะงักเล็กน้อย แล้วจึงหันไปปรึกษากับสามีของเธออยู่สักพัก จากนั้นจึงหันมายิ้มให้กับวารีและณรงค์ก่อนจะเอ่ยตามมา
"ถ้าทางคุณวารีกับคุณณรงค์ไม่ว่าอะไร ดิฉันจะให้ลูกชายทั้งสองบินตามมาที่นี่ แล้วเราจะได้จัดงานเลี้ยงฉลองรับขวัญหนูมีนมาเป็นว่าที่สะใภ้ของตระกูลดิฉันกันที่นี่เสียเลย ...คุณวารีสะดวกไหมคะ"
วารีกับณรงค์พอได้ยินเช่นนั้นทั้งคู่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นวารีจึงพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับรับอาสาเป็นคนทำอาหารสำหรับงานเลี้ยงที่จะมาถึงด้วยตนเอง ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากทั้งมารตีและโจนาธานยิ่งนัก เพราะทั้งคู่ได้รับการยืนยันจากบุตรชายว่า หญิงสาวมีฝีมือในการทำอาหารไทยอยู่ในขั้นแนวหน้าเลยทีเดียว
หลังจากการสนทนาและนัดแนะการจัดงานเลี้ยงล่วงหน้าสิ้นสุดลง มารตีกับโจนาธานจึงขอตัวกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมต่อ เนื่องจากทั้งคู่ไม่อยากรบกวนความเป็นส่วนตัวของลูกชายและเพื่อนสนิทของลูกชายเท่าใดนัก แม้ว่าชายหนุ่มทั้งสองจะยินดีให้ทั้งคู่นั้นพักอาศัยอยู่ด้วยกันก็ตามที เมื่อเป็นเช่นนั้นเมฆาและมีนาจึงตัดสินใจขับรถตามไปส่งทั้งคู่ถึงโรงแรมแทน
"...น้องฟ้าครับ คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่พาพ่อกับแม่ของตัวเอง มารับรู้การคบหากับน้องฟ้าอย่างเป็นทางการเหมือนที่เมฆทำไม่ได้..."
รวีบอกกับคนทั้งสามที่เหลือ หลังจากที่มารตีกับโจนาธานกลับไปแล้วด้วยสีหน้าที่เศร้าซึมและรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
"พี่ซันล่ะก็ คิดมากไปได้ เรื่องแค่นี้ผมไม่ถือหรอกครับ... ใช่ไหมครับพ่อ แม่"
เวหารีบบอกเมื่อเห็นใบหน้าเศร้า ๆ ของคนรัก ทางด้านณรงค์กับวารี ที่พอจะรู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องครอบครัวของชายหนุ่มมาจากเมฆาอยู่บ้าง ต่างสบตากันอย่างพอจะเข้าใจความรู้สึกของรวี จากนั้นณรงค์จึงเป็นฝ่ายพูดกับคนรักของลูกชายตนบ้าง
"แค่สิ่งที่ซันทำเพื่อฟ้าทุกวันนี้ มันก็มากมายและยืนยันได้ว่าซันรักน้องจริง ๆ แล้วล่ะ ...ส่วนคุณพ่อคุณแม่ของซัน พ่อเองเชื่อนะว่า พวกท่านจะเข้าใจและรับรู้ได้เองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อแม่แล้วนั้น ก็คือความสุขของลูกนั่นเองล่ะนะ"
รวีรับฟังคำของณรงค์ด้วยความซาบซึ้ง หลังจากคบกับเวหาแล้ว ทั้งณรงค์และวารีก็ให้ความสนิทสนมกับเขาราวดังเป็นลูกชายของบ้านนี้อีกคน และรวีเองก็นับถือทั้งคู่ราวดังบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเช่นกัน
"แม่เองก็คิดเหมือนพ่อนั่นล่ะ เพราะฉะนั้นซันก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ขืนซันทำหน้าเศร้า ๆ แบบนั้น ฟ้าเองก็คงเป็นกังวลจนทำอะไรไม่ถูกพอดี"
ขาดคำของมารดา ก็ทำให้เวหาสะดุ้งแล้วทำเป็นเมินมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตากับคนรักที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้ายินดีขึ้นมาแทนเสียแล้ว
"หึ ๆ งั้นพ่อไปดูสวนดีกว่า...แม่ล่ะ อีกนานกว่าจะถึงเวลากลางวันไม่ใช่หรือ ไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนพ่อดีไหม"
"ดีเหมือนกันจ้ะ แม่เองก็ชักอยากมีเวลาหวาน ๆ สวีทกับพ่อตามลำพังบ้างเหมือนกัน"
วารีรับคำสามีแล้วหันมายิ้มแหย่บุตรชายที่ตอนนี้รู้สึกเขินและพยายามหลบตา และเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองเดินจากไปได้สักพัก รวีก็หันมาจับมือของเวหาขึ้นจูบเบา ๆ แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม
"น้องฟ้าเป็นห่วงพี่จริง ๆ หรือครับ"
"...ก็ห่วงสิครับ คนรักทั้งคนนี่นา"
เวหาตอบเขิน ๆ ทำให้คนฟังยิ่งยิ้มกว้างแล้วรวบร่างของคนนั่งใกล้มากอดและหอมแก้มซ้ายขวาอย่างยินดีเป็นที่สุด
"พี่ดีใจจังเลยนะครับ ที่ได้รักน้องฟ้า แล้วก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่แสนอบอุ่นอย่างครอบครัวของน้องฟ้า...บางทีพี่ยังเคยเผลอคิดเลยนะครับว่า นี่คงเป็นผลตอบแทนความพยายามที่พี่ทำมาตลอดสิบห้าปีนี้ ก็ได้"
เวหามองคนรักของตนแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู เพราะยามที่คนรักอยู่กับเขาอีกฝ่ายมักจะแสดงออกในตัวตนที่ ทั้งร่าเริง เศร้าซึม น้อยอกน้อยใจ แตกต่างจากรวีที่เมฆาเคยเล่าผ่านมีนามาให้ฟังว่า เจ้าตัวแทบจะไม่ค่อยมีรอยยิ้มให้ได้เห็นสักเท่าใดนัก ยิ่งหากอยู่ที่บ้านหรือเป็นเรื่องงานที่เกี่ยวกับครอบครัวด้วยแล้ว รวีก็ยิ่งทำตัวเย็นชานิ่งเฉย ผิดจากยามที่อยู่กับเพื่อนฝูงที่สนิทลิบลับ
"มันก็อาจจะมีส่วนก็ได้นะครับ...เพราะแค่รู้ว่าพี่ซันยังคงรู้สึกกับฟ้าแบบเดิมทั้งที่เราไม่เคยได้เจอกันมาตลอดสิบห้าปีเลย ตอนนั้นฟ้าก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหวเข้าให้แล้ว ...ยิ่งเห็นที่พี่ไม่โกรธเรื่องที่ฟ้าลืมพี่ แถมพี่ยังแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่พี่มีต่อฟ้าอีก... ต่อให้ไม่รู้สึกอะไรเลย เจอเข้าแบบนี้ก็อดทำใจแข็งต่อไม่ลงหรอกนะครับ"
เวหาบอกพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนให้ ซึ่งรวีก็ยิ้มตอบรับ จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยหยอกล้อกันอยู่อีกพักใหญ่ ๆ พวกมีนาและเมฆาก็ตามมาสมทบ และวารีก็กลับมาเตรียมมื้อกลางวัน มีนาจึงขอตัวไปช่วยมารดาเตรียมกับข้าว โดยมีเมฆาเป็นลูกมือต่ออีกทอด ทางด้านเวหาและรวีจึงขอตัวไปช่วยทางด้านณรงค์ดูแลต้นไม้แทน และพอถึงเวลา ทั้งหมดก็มารวมตัวกันกินมื้อกลางวันกันอย่างมีความสุขและอิ่มอร่อยดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา
เช้าวันรุ่งขึ้น เวหาก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อชายในชุดสูทดำสวมแว่นตาดำ ดูมีอายุแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม เจ้าตัวแสดงความประสงค์ว่ามาเพื่อขอพบเด็กหนุ่มโดยตรง พร้อมกับแนะนำตัวว่าเขานั้นเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดที่ทำการอารักขารวีอยู่ที่นี่ และแม้อีกฝ่ายจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็สามารถพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วพอตัว อีกทั้งยังรู้ข้อมูลทุกอย่างของทุกคนในบ้านนี้จนพวกณรงค์และวารีค่อนข้างจะเชื่อว่าอีกฝ่ายนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับรวีจริงอย่างที่บอก จึงยอมให้ชายหนุ่มเข้ามานั่งคุยในบ้านของพวกตน
"ทางเราได้ข่าวมาว่า ศัตรูของบอสคิดจะมาลอบเล่นงานคนรักของบอส...พวกเรากำลังสืบกันว่า ทำไมเรื่องคนรักของบอสถึงได้รั่วออกไปถึงหูศัตรูได้ แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ บอสเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณเวหามาก ดังนั้นจึงสั่งให้ผมมาพาคุณเวหาไปหลบที่เซฟเฮาส์ ส่วนตัวบอสเองก็ว่าจะสืบหาต้นตอที่เกิดขึ้น ว่าจะเป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในพวกเดียวกันจริง ๆ หรือไม่ จากนั้นบอสก็จะตามไปสมทบกับคุณในไม่ช้านี้"
"จะพาพี่ฟ้าไปคนเดียวหรือครับ ผมไปเป็นเพื่อนพี่ฟ้าด้วยได้ไหม!"
มีนาโพล่งขัดขึ้น ก่อนจะชะงักเมื่อใบหน้าใต้แว่นตาดำหันขวับมาทางตน
"ผมเองก็รู้ดีว่าคุณห่วงพี่ชาย หากแต่เป้าหมายครั้งนี้คือคุณเวหา อีกอย่างหากมีผู้ต้องทำการอารักขาเพียงคนเดียว ทางทีมบอดี้การ์ดจะทำงานกันได้ง่ายกว่า หวังว่าคุณจะเข้าใจนะครับ"
มีนาชะงักแล้วมีสีหน้ากังวลหวั่นวิตก ส่วนณรงค์กับวารีนั้นขมวดคิ้วนั่งเงียบครุ่นคิดหนัก ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้
"แล้วถ้าผมไปอยู่ที่โน่น แล้วทางนี้ล่ะครับ พ่อแม่กับน้องชายผมจะเป็นยังไง"
ชายสูทดำหันมาทางเวหา แล้วจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบเฉยดุจเคย
"สำหรับทางนี้คุณไม่ต้องห่วง เราได้จัดทีมบอดี้การ์ดมือดีนับสิบเอาไว้คุ้มครองแล้ว ...ที่สำคัญเป้าหมายครั้งนี้คือคุณ การที่คุณแยกตัวออกไป ทางนี้จะกลายเป็นปลอดภัยเสียมากกว่า"
"ฉันอยากคุยกับตาซันเรื่องนี้ก่อนจะส่งฟ้าไป จะได้ไหมคะ"
วารีถามขึ้นบ้าง ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อย ทว่าเจ้าตัวก็เอ่ยขึ้นตามมาด้วยใบหน้าที่แทบไม่เปลี่ยน
"ผมก็อยากทำตามประสงค์ของคุณผู้หญิง...แต่บอสกำลังจัดการปัญหาใหญ่อยู่ จนไม่อาจจะมาพบได้...เอาอย่างนี้ไหมครับ เดี๋ยวผมจะให้คุณผู้หญิงโทรติดต่อกับบอสแทนแล้วกัน"
"อย่างนั้นก็ได้ค่ะ"
วารีรับคำเช่นเดียวกับณรงค์ที่พยักหน้า จากนั้นบอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ก็หยิบมือถือมาโทรออก เขารอสายสักพัก แล้วจึงพูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษทันทีที่ปลายสายกดรับ
"บอสหรือครับ นี่ผมเอง...ผมอยู่บ้านคุณเวหา เตรียมจะพาเขาไปที่เซฟเฮาส์ แต่คุณแม่ของคุณเวหาอยากคุยกับบอสก่อนน่ะครับ... ครับ ๆ เดี๋ยวจะบอกให้"
บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่หันไปทางวารี แล้วยื่นมือถือให้อีกฝ่าย
"คงคุยได้ไม่นานนะครับ บอสกำลังยุ่งอยู่"
วารีพยักหน้าและเมื่อได้รับมือถือ เธอก็ได้ยินเสียงจากรวีดังมาจากปลายสาย แต่จากคลื่นสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้น ทำให้ได้ยินไม่ค่อยชัดนัก ซ้ำยังมีเสียงดังจากรอบด้านเหมือนกับว่าชายหนุ่มนั้นกำลังอยู่ในสถานที่ซึ่งมีคลื่นลมแรงรบกวนการสนทนาเป็นอันมากอีกด้วย
"สวัสดีครับ! ขอโทษนะครับ...พอดีผมอยู่ข้างนอก คงได้ยินไม่ชัดนัก!"
"ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่ซันจะให้ฟ้าไปอยู่เซฟเฮาส์อะไรนั่นคนเดียวจริง ๆ หรือจ๊ะ ...ซันว่ามันจะปลอดภัยแน่หรือจ๊ะ"
"ปลอดภัยแน่นอนครับ! แล้วผมจะตามไปสมทบทางนั้นอีกที...อ๊ะ! ขอโทษนะครับ คงต้องตัดสายก่อนนะครับ พอดีมีเรื่องยุ่ง ๆ เข้ามา! ขอตัวนะครับ!"
เสียงจากปลายสายหายไปพร้อมสัญญาณที่ถูกตัดทำให้วารีหันไปสบตากับสามี แล้วณรงค์จึงพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันไปทางบอดี้การ์ดในชุดดำตรงหน้า
"ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านายคุณเขาคิดอะไรกันแน่ ถึงจะแยกฟ้าออกไปคุ้มกันคนเดียว... แต่ตาซันที่ผมรู้จักนั้น เขารักลูกชายผมมาก มากจนทำให้ผมยอมรับในการตัดสินใจของเขา..."
ชายในชุดดำนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ ตามมา
"ผมขอให้สัญญากับทางคุณว่า ผมจะดูแลและปกป้องคุ้มครองคุณเวหาเป็นอย่างดีในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ครับ"
ณรงค์พยักหน้าตอบรับ ส่วนวารีถอนหายใจเบา ๆ หญิงสาวดึงลูกชายคนโตมากอดอย่างเป็นห่วง เช่นเดียวกับมีนาที่มีสีหน้ากังวลไม่อยากให้พี่ชายเดินทางไปคนเดียว ทว่าเมื่อบอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่เร่งมาว่าใกล้เวลาเดินทางแล้ว ก็ทำให้เวหาจำต้องตามอีกฝ่ายไปอย่างจำยอม ส่วนครอบครัวของเด็กหนุ่มก็พากันมาส่งอีกฝ่ายขึ้นรถจนกระทั่งรถยนต์ขับไปลับตา แต่พอทั้งหมดกลับเข้ามาในบ้าน ก็มีเสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้น มีนารีบวิ่งไปรับ แล้วก็ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินเสียงปลายสายทักทาย
"ไง! น้องมีน ...อรุณสวัสดิ์ครับ คิดถึงจังเลย เช้านี้มาเที่ยวเล่นบ้านพี่ไหมครับ"
มีนาชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ร่าเริงตามปกติของคนรัก เจ้าตัวหน้าซีดเผือด พลางหันไปมองหน้าบิดาและมารดา ก่อนจะย้อนถามปลายสายกลับไปด้วยความหวาดหวั่น
"พี่เมฆยังอยู่บ้านหรือครับ...ไม่ได้ไปเป็นเพื่อนพี่ซันหรอกหรือ"
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะย้อนกลับมาด้วยน้ำเสียงงุนงง
"ไปเป็นเพื่อนเจ้าซัน...ไปไหนหรือครับ? ซันมันก็นั่งหัวโด่อยู่ในห้องรับแขกแถวนี้นี่ล่ะครับ...นี่มันรอต่อคิวพี่โทรชวนน้องฟ้ามาเที่ยวบ้านเหมือนกันนะครับเนี่ย"
มีนาแทบจะทรุดลงไปนั่งอย่างหมดแรง ส่วนณรงค์และวารีที่ได้ยินปลายสายสนทนาแว่ว ๆ ถึงกับนิ่งอึ้ง และเป็นณรงค์ที่รีบแย่งหูโทรศัพท์ของลูกชายคุยกับปลายสายอย่างร้อนรน
"เมฆ! นี่พ่อเองนะ! ซันอยู่แถวนั้นหรือเปล่า เรียกมาคุยกับพ่อด่วนเดี๋ยวนี้เลย!"
"เอ๋! คุณพ่อหรือครับ... อ๊ะ! ครับ ได้ครับเดี๋ยวตามซันมาพูดให้ เฮ้ย! ซัน!"
เสียงโครมครามคล้ายคนรีบร้อนจนชนโน่นนี่ดังแว่วมา จากนั้นสักพักปลายสายก็เปลี่ยนเป็นรวีแทน
"มีอะไรหรือครับคุณพ่อ เห็นเมฆบอกว่าคุณพ่อจะคุยกับผมด่วน"
ณรงค์พยายามรวบรวมสติแล้วถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่บังคับไม่ให้สั่นเครือเต็มที่
"ซัน...พ่อถามซันหน่อยนะ...เมื่อครู่ซันได้ส่งบอดี้การ์ดให้มารับฟ้าไปไหนหรือเปล่า..."
รวีชะงักกึกก่อนจะทวนคำที่อีกฝ่ายพูดมา
"บอดี้การ์ด...ไม่นี่ครับ ผมไม่ได้ส่งใครไปเลย...หรือว่ามีคนแอบอ้าง...คุณพ่อครับ! แล้วตอนนี้น้องฟ้าอยู่ไหนครับ! ยังอยู่ที่บ้านนั่นหรือเปล่า!"
รวีที่พอจะคาดเดาความผิดปกติจากน้ำเสียงและถ้อยคำของอีกฝ่ายรีบถามกลับไปอย่างร้อนรนและตื่นตระหนก ณรงค์พยามตั้งสติสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้อีกฝ่ายฟังทั้งที่มือซึ่งจับโทรศัพท์ยามนี้กำลังสั่นเทาหนัก ส่วนวารีกับมีนานั้นกอดกันแน่นด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดไม่แพ้กัน
"มีผู้ชายอ้างว่าเป็นบอดี้การ์ดของซันมาบอกว่าซันให้พาฟ้าไปหลบที่เซฟเฮาส์ เพราะมีศัตรูทางการค้าคิดร้ายกับฟ้า ทีแรกพวกพ่อก็ยังลังเลไม่กล้าส่งฟ้าไปตามลำพัง ผู้ชายคนนั้นก็เลยต่อโทรศัพท์ให้คุยกับซัน...ถึงจะคุยกันจับใจความไม่ได้ เพราะทางนั้นดูเร่งรีบร้อนรนและตัดสายไป...แต่เสียงของปลายสายก็เหมือนกับซันมาก จนพวกพ่อกับแม่ยอมเชื่อ และส่งฟ้าขึ้นรถไปกับเขา...เมื่อครู่นี้เอง"
ขาดคำของณรงค์ รวีก็เซไปด้านหลังเล็กน้อย หน้าซีดเผือด เจ้าตัวกำโทรศัพท์แน่น ตั้งสติอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
"ไม่ต้องห่วงนะครับคุณพ่อ...ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม ผมก็จะไม่มีวันให้มันทำร้ายน้องฟ้าได้เป็นแน่...เดี๋ยวผมจะสั่งให้คนตามหารถคันนั้นเดี๋ยวนี้...คุณพ่อพอจะจำลักษณะรถและเลขทะเบียนได้ไหมครับ"
ณรงค์ฟังแล้วก็รีบบอกไปทันที เนื่องจากด้วยความกังวลก่อนหน้านั้น จึงทำให้เขาสังเกตรถที่บุตรชายนั่งไปได้อย่างแม่นยำ
"ดีแล้วครับ ถ้าเพิ่งออกไปก็คงตามได้ทันไม่ยากนัก ...คุณพ่อกับคุณแม่แล้วก็น้องมีน รออยู่ที่บ้านนะครับ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง...น้องฟ้าจะต้องปลอดภัยแน่นอนครับ ผมให้สัญญา!"
รวีรับคำอย่างหนักแน่น ปลายสายเงียบไปแต่ยังไม่ตัดสาย สักพักเมฆาก็กลับมาสนทนากับอีกฝ่ายต่อ
"เดี๋ยวผมจะไปหาที่บ้านนะครับ ซันมันให้ผมไปคอยอยู่ที่นั่น เผื่อพวกที่หลอกน้องฟ้าไป จะกลับมาหลอกล่อทางนั้นอีก ผมจะได้ช่วยดูให้เพราะผมเองก็รู้จักบอดี้การ์ดของซันที่นี่ทั้งหมดดี ...ส่วนเรื่องน้องฟ้าคุณพ่อไม่ต้องห่วงนะครับ ซันมันต้องพาน้องฟ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน!"
ณรงค์รับคำแผ่วเบา และพอปลายสายตัดไป เขาก็หันมาทางภรรยาและลูกชาย ก่อนจะกอดทั้งคู่ที่กำลังเสียขวัญอย่างปลอบโยน
"ไม่ต้องห่วงนะ ซันรับปากแล้ว เขาจะพาฟ้ากลับมา...ขนาดสัญญาเมื่อสิบห้าปีก่อนที่ให้กับฟ้าเขาก็ยังรักษาได้...เพราะฉะนั้นครั้งนี้ พ่อก็เชื่อว่าเขาจะต้องทำอย่างที่สัญญาเอาไว้ได้แน่นอน"
วารีกับมีนาพยักหน้ารับคำ แม้จะเป็นกังวลเพียงใด แต่ทั้งคู่ก็พยายามคิดในแง่ดีอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการปลอบใจทั้งตัวเองและคนในครอบครัวด้วยกันยามนี้นั่นเอง
...
....
-
..
...
เวหานั่งอยู่ข้าง ๆ บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ที่เบาะหลัง ส่วนตำแหน่งคนขับมีชายในชุดดำเช่นกันขับรถไปเงียบ ๆ จนสักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้คนด้านหลังต้องมองเบอร์มือถือพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะกดรับสายตามปกติ
"บอสครับ ทางคุณรวีรู้ตัวแล้วครับ แถมยังโมโหมาก และกำลังสั่งรวบรวมคนตามท่านไปติด ๆ แล้วครับ!"
"หือ...รู้ตัวไวกว่าที่คิดอีกนะ โอเค...ไม่ต้องรายงานมาแล้ว เดี๋ยวฉันจัดการทางนี้เอง...หึ ๆ รับรองน่า ไม่ทำให้เขาต้องมีอันตรายแน่ เขาเป็นคนรักคนสำคัญของซันนี่นะ"
เสียงที่สนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ แต่เวหาก็ยังแปลได้อยู่ดี เจ้าตัวหน้าซีดเมื่อใจความที่ได้รับฟังนั้น มันช่างดูแตกต่างจากสิ่งที่คนข้างกายบอกมาก่อนหน้านั้น
"ทำไมเขาถึงเรียกคุณว่าบอสล่ะครับ...แล้วที่พี่ซันกำลังสั่งคนตามมาหมายความว่ายังไงครับ...คงไม่ใช่ตามมาด้วยกันเฉย ๆ เหมือนที่คุณเคยบอกไว้ใช่ไหมครับ"
คำถามที่ได้ยินทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบเป็นภาษาอังกฤษ
"อืม...ฉันก็ลืมไปว่าความรู้ระดับเธอก็คงน่าจะฟังภาษาอังกฤษออกบ้าง...แต่การที่หัวไวแล้วคาดเดาสถานการณ์ได้ใกล้เคียง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอยู่ดีล่ะนะ"
คนพูดนั้นมีรอยยิ้ม ทว่าเวหานั้นไม่ได้ยิ้มตอบ เขาขยับตัวออกห่างแล้วพยายามจะเปิดประตูรถ ซึ่งก็ไม่เป็นผลเพราะมันเป็นล็อกอัตโนมัตินั่นเอง
"ถ้าฉันไม่อนุญาต ยังไงเธอก็หนีไปเองไม่ได้หรอก"
ชายวัยกลางคนเปลี่ยนภาษาที่พูดเป็นภาษาไทย พร้อมกับถอดแว่นตาออกเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเขียว ซึ่งนั่นก็ทำให้เวหาชะงักเล็กน้อย เพราะไม่ว่าจะสีตาและโครงหน้าของอีกฝ่าย ก็ดูช่างแสนจะคุ้นชินตาคล้ายกับใครบางคนที่เขารู้จักอย่างน่าประหลาด
"หรือว่า...คุณจะเป็น พ่อของพี่ซัน"
คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ ตามมา
"ถูกต้อง...อืม...เธอนี่นะ นอกจากหัวไวแล้วก็ยังช่างสังเกตดีมาก...แต่ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะซันมันก็ถอดแบบตอนฉันหนุ่ม ๆ มาไม่ค่อยจะผิดเพี้ยนนักล่ะนะ"
"แสดงว่าคุณเองก็ยังคงไม่เห็นด้วยเรื่องที่พี่ซันกับผมคบกันใช่ไหมครับ"
เวหาถามต่อ เมื่อทราบว่าเป็นบิดาของคนรัก เขาก็ใจชื้นขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าจะพอรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงมาเฟียก็ตาม
"แน่นอน...และฉันก็เชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหน ที่จะยิ้มอย่างยินดีที่เห็นลูกชายตนเองไปคบผู้ชายด้วยกันหรอกนะ อ้อ! คงยกเว้นพ่อแม่ของเธอที่เต็มใจยกเธอให้ลูกชายฉัน ...แต่ฉันก็เข้าใจดีอยู่หรอก เพราะทรัพย์สินเงินทองที่ลูกฉันมี มันก็ค่อนข้างมากอยู่ไม่น้อย"
บิดาของรวีเอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มเหยียดซึ่งก็ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ แล้วกำหมัดแน่นอย่างพยายามข่มอารมณ์โกรธที่พุ่งพล่านขึ้น
"ผมและพ่อแม่ยอมรับพี่ซัน เพราะพี่ซันแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่มีต่อผม...ไม่ใช่เพราะหวังทรัพย์สมบัติอะไรอย่างที่คุณพูดมานั่นสักนิด!"
"หึ! แล้วถ้าเกิดฉันตัดหางปล่อยวัดเจ้าซัน ไม่ให้มรดกมันสักแดง แถมยังยึดเงินทองที่มันมีติดตัวกลับคืนแทนค่าตัดขาดไม่ให้ฉันเข้าไปยุ่งเรื่องของมันกับเธอล่ะ เธอยังจะยินดีรับผู้ชายที่เหลือแต่ตัวอย่างลูกชายฉันอีกหรือเปล่า...หือ?"
คนพูดบอกพร้อมยกยิ้มหยัน แล้วมองดูรวีที่ก้มหน้านิ่งเงียบไปด้วยสีหน้ายิ้มเยาะคล้ายคนเป็นต่อ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อคนฟังเงยหน้าขึ้นมาจ้องเขา พร้อมตอบกลับไปด้วยแววตาและน้ำเสียงที่หนักแน่น
"แน่นอนครับ ต่อให้พี่ซันจะเหลือแต่ตัว ไม่มีสมบัติติดร่างกายแม้แต่เศษเงินสักเหรียญ...ถ้าเขายังคงรักและมั่นคงต่อผมเช่นเดิม ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...อีกอย่างต่อให้ไม่มีเงินมรดกตกทอดอะไรก็ตามนั่น ขอแค่ยังมีสองมือสองเท้ามีหนึ่งสมองที่พร้อมจะสู้ต่อไม่ยอมแพ้ ยังไงคนเราก็ไม่อดตายหรอกครับ!"
บิดาของรวีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ แล้วพิงกายไปกับเบาะนั่งด้วยท่าทางเหนื่อยอกเหนื่อยใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเปรยขึ้นคล้ายพูดกับตัวเอง
"ตอนฉันยื่นข้อเสนอเดียวกันนี้เพื่อให้เจ้าซันมันตัดใจจากเรื่องของเธอที่อเมริกานั่น...รู้ไหมว่าเจ้าลูกชายตัวดีของฉันมันทำยังไง"
เวหาชะงักที่เห็นอีกฝ่ายพูดคล้ายชวนคุยด้วย แถมท้ายประโยคยังหันกลับมามองเขาอีก เด็กหนุ่มสั่นศีรษะค่อย ๆ ซึ่งก็ทำให้คนพูดยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยต่อ
"ไอ้เจ้าลูกบ้านั่นมันตอบตกลงโดยไม่ลังเล มันคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่ติดตัวมันตอนนั้น ยกเว้นเสื้อผ้า ที่บอกว่าขอใส่ติดตัวไว้ก่อนกันอนาจาร เดี๋ยวหาเงินเองแล้วได้เสื้อผ้าใหม่จะถอดสูทที่มันใส่มาคืนให้อีกที...ตอนนั้นฉันโมโหจนพูดแทบไม่ออก เลยไม่คิดสนใจมันอีก...หลังจากนั้นมันก็หายหัวไปจากบ้านสามวัน พอวันที่สี่ก็มีชุดสูทแพคใส่กล่องส่งไปรษณีย์มาคืนที่บ้าน ฉันเลยให้ลูกน้องไปสืบดูว่ามันทำอะไรอยู่... หึ! ก็เลยได้พบว่าเจ้าลูกบ้านั่น มันกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นเด็กเสิร์ฟในบาร์เสียอย่างนั้นแถมยังได้ทิปจากทั้งสาวทั้งหนุ่มที่คิดจะหิ้วมันกลับบ้านเสียมากอีกด้วย...ไอ้ฉันพอเห็นแบบนั้น ก็เลยต้องยอมแพ้ เพราะเจ้าซันมันทำให้ฉันเห็นว่า มันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินของพ่ออย่างฉัน มันก็ยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้อยู่ดี... ป่านนี้มันคงสบายใจสินะที่พ้นจากพ่อที่มันเกลียดนักเกลียดหนาอย่างฉันมาได้... แถมตอนนี้ก็ยังสมหวังกับเธอแล้วอีกด้วย"
เวหานิ่งเงียบรับฟัง เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นแลดูเหงา ๆ เวลาที่พูดถึงลูกชาย ซึ่งก็ทำให้เขาหวนคิดถึงรวีขึ้นมาบ้าง...ชายหนุ่มนั้นแม้จะชอบพูดบ่นเรื่องบิดาของเจ้าตัวเวลาที่เขาถามถึง แต่บางครั้งรวีก็มักจะเผลอมีแววตาเหงา ๆ ให้เขาได้เห็นเมื่อยามพูดถึงบิดาตนเองเช่นกัน
"พี่ซันไม่ได้เกลียดอะไรคุณอย่างที่คุณคิดหรอกครับ...อีกอย่างไม่มีลูกคนไหนเกลียดพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตัวเองได้ลงคอหรอกครับ...อาจจะมีกระทบกระทั่งผิดใจกันบ้าง แต่สำหรับคนเป็นลูกแล้ว ไม่ว่าใครก็ทดแทนพ่อแม่ของตนเองไม่ได้หรอกนะครับ"
"เขาบอกเธออย่างนั้น หรือเธอคิดเอาเองล่ะ"
อีกฝ่ายย้อนถามเสียงเรียบ ซึ่งก็ทำให้เวหาอมยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบไปตามตรง
"ไม่ได้คิดเอาเองหรอกครับ แค่ตอบจากการที่ผมสังเกตดูเวลาที่คุยเรื่องครอบครัวกับพี่ซันน่ะครับ... คนที่เกลียดกันน่ะ เขาจะแทบไม่อยากพูดถึงเรื่องของอีกฝ่ายหรอกครับ แต่พี่ซันกลับชอบพูดถึงคุณให้ผมฟังอยู่บ่อย ๆ ซึ่งมันอาจจะเป็นการบ่นเสียส่วนใหญ่ก็จริง แต่ผมฟังแล้วมันเหมือนคนที่น้อยใจที่พ่อตัวเองไม่เข้าใจและเห็นด้วยในสิ่งที่ตนทำ มากกว่าที่จะเป็นการเกลียดนะครับ"
ชายวัยกลางคนนิ่งอึ้งหลังจากที่ได้ฟังเวหาพูดจบ เขาเงียบไปพักใหญ่จนเวหารู้สึกกังวล ก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายนั้นหัวเราะขึ้นเบา ๆ ในลำคอ
"...ฉันว่าเจ้าซันมันฉลาดเลือก และคงมีสังหรณ์ดีล่วงหน้า ถึงได้คาดเดาได้ว่า เด็กสามขวบไร้เดียงสาเมื่อสิบห้าปีก่อน จะเติบโตมาเป็นเด็กนิสัยดีแบบเธอได้ล่ะนะ... เฮ้อ! เอาเถอะ ถ้าเป็นเด็กอย่างเธอ ฉันก็คงเบาใจปล่อยลูกชายฉันอยู่กับเธอได้หรอก ส่วนฉันหลังมอบตำแหน่งให้คนที่ฉันเลือกแล้ว ก็คงจะเกษียณออกจากองค์กร และไปหาที่สงบอยู่อาศัยกับภรรยาของฉันตามลำพังประสาคนแก่ ที่ไม่มีลูกหลานเหลียวแลล่ะนะ"
"เอ๋!? แล้วทำไมไม่มาอยู่ด้วยกันล่ะครับ...อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ครึกครื้นดีออก ที่บ้านหลังปัจจุบันที่พี่ซันอยู่ก็หลังใหญ่โต มีห้องก็ตั้งหลายห้อง คุณกับคุณแม่ของพี่ซัน ก็น่าจะมาอยู่ได้สบาย ๆ อยู่แล้ว"
เวหาสวนขึ้นทันควัน ทำให้ชายวัยกลางคนต้องจ้องมองเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าตนนั้นลักพาตัวอีกฝ่ายมา ริมฝีปากได้รูปมีรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดูเป็นครั้งแรก แล้วจึงเอ่ยตอบกลับไป
"เธอคิดว่าซันจะยินดีให้ฉันไปอยู่กับเขาอย่างเต็มใจ หลังจากที่ฉันลักพาตัวเธอออกมาด้วยกันอย่างนี้หรือ"
เวหาชะงัก แล้วจึงนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปด้วยสีหน้าสงสัยแกมกังวล
"แล้วการที่คุณลักพาตัวผมมาด้วยกันนี่ เพราะอะไรล่ะครับ"
คนฟังยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงบอกจุดประสงค์ของตนออกไปตามตรง
"นอกจากเรื่องที่ฉันอยากจะพิสูจน์ดูว่าเธอจริงจังกับลูกชายของฉันหรือไม่...เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ ฉันต้องการให้เธอได้รับรู้ว่า หากเธอยังคิดจะอยู่เคียงข้างซันมันแบบนี้ต่อไป เธอก็คงต้องพบกับเรื่องร้าย ๆ จากศัตรูในอนาคตของเจ้าซันอีกเรื่อย ๆ"
"ศัตรูในอนาคตหรือครับ"
เวหาย้อนถามกลับไปอย่างแปลกใจ ซึ่งคนฟังก็พยักหน้านิด ๆ
"ใช่แล้ว...ฉันอยากให้เธอได้รับรู้ด้วยตัวเองว่า หากคิดจะใช้ชีวิตร่วมอยู่กับซันเช่นนี้ต่อไป บางทีตัวเธอและครอบครัว ก็อาจจะต้องพบกับเรื่องเสี่ยง ๆ แบบนี้เข้าได้ในสักวัน จริงอยู่ที่ซันวางมือไม่ยอมสืบทอดตำแหน่งองค์กรต่อจากฉัน แต่คนที่อยากให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับตระกูลของทางฝั่งฉัน แทนที่จะยกให้ทางฝั่งของทายาทคนต่อไป ก็คิดจะดึงซันให้กลับมารับตำแหน่งแทน ส่วนพวกทางฝั่งทายาทที่ฉันเตรียมไว้ ก็คิดจะกำจัดซันให้สิ้นซาก เพื่อที่จะได้ไม่มีการผิดพลาดในอนาคต ....ตัวฉันและคนที่ฉันเลือกเองก็พยายามจะเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่จะมีการสละตำแหน่งอยู่หรอกนะ... แต่ก็นั่นล่ะ กว่าเรื่องราวภายในของพวกเราจะเรียบร้อย จนเธอกับครอบครัวจะไม่ต้องมาเสี่ยงกับลูกชายของฉันอีก ก็คงจะเป็นราวช่วงสี่ห้าปีหลังจากนี้ ...ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคนที่ฉันเลือกให้มาสืบทอดต่อด้วยล่ะนะ"
เวหาเงียบกริบ เรื่องหลังที่ได้ฟังแลดูหนักหนากว่าเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการพิสูจน์ความรักของเขากับรวีเสียอีก เนื่องจากมันไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้นที่เกี่ยวข้อง หากแต่ครอบครัวของเขาก็อาจจะต้องถูกลากเข้ามาพัวพันอีกด้วย
"เรื่องนี้ผมคงตัดสินใจเองไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว...ผมก็คงต้องฟังความเห็นของทุกคนในครอบครัวด้วย"
เวหาเอ่ยขึ้นในที่สุดซึ่งก็ทำให้คนฟังถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังนึก ชื่นชมที่เด็กหนุ่มไม่มีสีหน้า หรือน้ำเสียงหวาดกลัวอย่างที่เขาเคยคาดคิดไว้
"...แต่ผมเชื่อนะครับว่า ทุกคนในครอบครัวของผมก็คงให้โอกาสพี่ซันเหมือนเดิม เรื่องความกลัวความกังวลมีเอาไว้บ้างมันก็นับเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้เรารู้จักป้องกันและไม่ประมาท ...แต่ถ้าเราเอาแต่ปล่อยให้ความกลัวครอบงำจิตใจจนเกินไป...บางทีพอรู้สึกตัวอีกที ก็อาจจะทำให้เราเผลอปล่อยผ่านสิ่งดี ๆ ที่เรารอคอยมาตลอดชีวิต ให้หลุดมือออกไปก็เป็นได้"
เวหาหันไปสบตากับคนที่นั่งข้างเขา แล้วยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างจริงใจก่อนจะพูดต่อ
"ผมไม่อยากเป็นคนที่เอาแต่กลัวต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ผมอยากสู้และเผชิญหน้าไปพร้อมกับคนที่ผมรักมากกว่าครับ"
ชายวัยกลางคนอึ้งเงียบไปชั่วครู่กับคำพูดนั้น ก่อนที่จะมีรอยยิ้มอ่อนโยนตามมาในที่สุด
"อืม...บางทีการที่ลูกชายของฉัน เลือกที่จะทิ้งทุกอย่างที่ฉันสร้างมาเพื่อเขา แล้วมาอยู่กับคนจิตใจดีอย่างเธอ มันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจถูกต้องแล้วก็เป็นได้ล่ะนะ"
เวหาชะงักก่อนหน้าหน้าแดงนิด ๆ เมื่อนึกถึงคนรักที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อตนแบบนี้
"หึ ๆ มิน่าล่ะ เรไรเมียฉันถึงได้บอกว่าเธอตอนสามขวบเป็นเด็กน่ารักมาก...ที่จริงฉันว่าเวลาเธอยิ้มนี่ก็น่ารักดีนะ เหมือนเมียฉันเลย รายนั้นน่ารักตอนยิ้มเป็นที่สุดนั่นล่ะ...น่ากลัวเจ้าซันจะติดใจรอยยิ้มของเธอตั้งแต่เธอยังเด็กแน่ล่ะนะ...หึ ๆ เหมือนพ่อมันไม่มีผิด!"
เวหารู้สึกเขินที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น สักพักคนที่นั่งข้างเขาก็สั่งให้คนขับเลี้ยวกลับรถและพาเวหาไปส่งที่บ้านแทน ก่อนที่จะยื่นโทรศัพท์ส่งให้
"เอ้า! โทรไปบอกทางบ้านเธอสิ ป่านนี้คงห่วงกันแย่แล้ว"
"ขอบคุณนะครับ คุณ...เอ่อ คุณพ่อของพี่ซัน"
เวหาเลือกใช้คำเรียกอีกฝ่ายอย่างลำบาก เนื่องจากเด็กหนุ่มคิดว่าตนนั้นไม่สนิทสนมพอที่จะเรียกอีกฝ่ายอย่างกันเองนัก ซึ่งก็ทำให้คนฟังอมยิ้ม
"อืม...ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวกับเธออย่างเป็นทางการเลยสินะ...ฉันชื่ออังเดร แต่เธอจะเรียกฉันว่าพ่อแทนก็ได้นะ และจริง ๆ มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นด้วยไม่ใช่หรือ"
"เอ่อ...ครับ"
เวหารับคำเขิน ๆ ซึ่งก็ทำให้คนข้างกายยิ้มน้อย ๆ และมองดูเด็กหนุ่มโทรคุยกับคนที่บ้านพลางบอกเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นย่อ ๆ ก่อนจะย้ำว่าตัวเองปลอดภัยดีอีกครั้งแล้วจึงวางสายไป
"ฉันคงต้องไปขอโทษพ่อกับแม่เธออย่างหนักทีเดียว ที่ทำให้พวกเขาตกใจขนาดนี้ อ้อ...แล้วก็ต้องขอโทษเธอที่พูดจาดูถูกพ่อกับแม่ของเธอเมื่อก่อนหน้านั้นด้วย ที่จริงฉันก็รู้มาจากลูกน้องของลูกชายฉันแล้วล่ะว่า ทั้งคู่เป็นคนดี ขยันทำมาหากิน ไม่เห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองของคนอื่น...แถมเอาจริง ๆ ลูกชายฉันเองต่างหาก ที่เป็นฝ่ายไปรบกวนฝากท้องกับทางบ้านเธอแทบทุกวันด้วยซ้ำนี่นะ"
เวหายิ้มน้อย ๆ ให้ เขารู้สึกว่าบิดาของคนรักนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด พอพวกเขาเข้าใจกันดี เจ้าตัวก็คุยง่ายเหมือนเวลาเขาคุยกับรวีด้วยซ้ำไป
เมื่อมาถึงบ้านรวีที่ได้รับการแจ้งข่าว และกลับมารอที่บ้านของคนรัก ก็แทบจะวิ่งพรวดไปดึงตัวของเวหาทันทีที่อีกฝ่ายลงจากรถด้วยซ้ำ
"น้องฟ้า! เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ โดนทำร้ายอะไรไหม!"
ครอบครัวของเวหามองรวีตาปริบ ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะชายหนุ่มเล่นเข้าถึงตัวเวหาเสียก่อนที่พวกเขาจะขยับเดินไปเสียอีก
"หึ! ฉันไม่ใช่พ่อสามีใจร้าย ที่จะรังแกลูกสะใภ้ตัวเองหรอกนะ...จริงไหมหนูฟ้า"
คนที่ก้าวลงจากรถตามมาพูดขึ้นดัง ๆ แล้วจึงหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับเวหา สร้างความตกตะลึงให้กับรวี เมฆา รวมถึงเหล่าบอดี้การ์ดที่รู้จักในตัวของบิดานายจ้างเป็นอย่างดี
"คุณพ่อไม่ได้ทำอะไรฟ้าหรอกครับพี่ซัน ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดกันนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง"
เวหารีบแก้ต่างแทนให้บิดาคนรัก ทำเอารวีขมวดคิ้วยุ่ง ทว่าชายวัยกลางคนนั้นไม่คิดใส่ใจในตัวลูกชาย เขาเดินตรงไปหาณรงค์และวารี ก่อนจะยืนโค้งศีรษะให้อีกฝ่ายแล้วเงยหน้าจ้องมองทั้งคู่
"ผมต้องขอโทษพวกคุณจริง ๆ ที่วางแผนแกล้งโกหกและลักพาตัวลูกชายของคุณไปแบบนั้น ...ผมยินดีและไม่คิดจะโต้ตอบ หากคุณต้องการจะลงมือกับผมหลังจากนี้"
คนพูดบอกแล้วก็ยืนนิ่งทำให้ณรงค์กับวารีต่างหันมาสบตา แล้วทั้งคู่จึงถอนหายใจออกมาไล่เลี่ยกัน
"อย่าให้ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยครับ แค่คุณรู้สึกผิดจากใจจริงก็พอแล้ว อีกอย่างลูกชายผมก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรด้วย แล้วซันเองก็คงไม่สบายใจ ถ้าผมทำร้ายพ่อของเขาต่อหน้าเจ้าตัวแบบนั้น"
รวีสะดุ้ง เขาแสร้งทำเป็นเมินมองไปทางอื่นเมื่อบิดาหันกลับมาทางตน เพราะเมื่อครู่นี้หากณรงค์หรือวารีลงมือกับบิดาของเขาจริง ๆ เขาก็คงจะไม่มีสิทธิห้ามปราม แต่นั่นก็คงทำให้เขารู้สึกแย่กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นนั่นอยู่มากทีเดียว
"ขอบคุณที่อภัยให้ผม...ไว้หลังจากนี้ผมจะแวะมาขอขมาพวกคุณทั้งบ้านอีกครั้ง อ้อ...บางทีผมและภรรยาอาจจะถือโอกาสมาร่วมงานฉลองรับสะใภ้ของครอบครัวโจนาธานด้วยก็ได้ หวังว่าคุณคงจะไม่รังเกียจนะครับ"
ท้ายประโยคนั้นทำให้เมฆาสะดุ้ง ส่วนรวีหันขวับมาจ้องบิดาเขม็ง
"พ่อรู้เรื่องนี้ได้ไง! ...น้องฟ้าบอกพ่อพี่หรือครับ"
อังเดรเหลือบมองลูกชายที่ขึ้นเสียงถามตัวเองเสียงห้วน แต่พอหันไปพูดกับแฟน กลับทำเสียงอ่อนเสียงหวานจนน่าหมั่นไส้
"ฟ้าไม่ได้บอกนะครับ เอ่อ...แล้วคุณพ่อรู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ"
เวหาหันมาถามคนที่ยืนเงียบอยู่ ซึ่งอังเดรก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกไปตามตรง
"ก็ได้ยินจากปากเจ้าตัวน่ะสิ หรือจริง ๆ ก็คือ ทั้งฉันทั้งเมียฉัน มาที่เมืองไทยพร้อมกับพ่อแม่ของเมฆเขานั่นล่ะ แต่ฉันปล่อยให้ทางนั้นมาเคลียร์เรื่องลูกชายของตัวเองก่อน ส่วนฉันก็ครุ่นคิดหนักว่าจะลงมือพูดคุยอธิบายสถานการณ์ความจำเป็นของเจ้าซันกับครอบครัวเธอดี ๆ หรือแสดงให้เห็นเลยดี ...แล้วก็เลยกลายมาเป็นแบบนี้นั่นล่ะ อ้อ! เจ้าซัน แม่แกบ่นถึงแกให้ฉันฟังตลอด ยิ่งมาเมืองไทยนี่ก็ยิ่งบ่นใหญ่ ถ้าไม่อยากเป็นลูกเนรคุณให้แม่ตัวเองร้องไห้ล่ะก็ ว่าง ๆ ก็แวะไปเยี่ยมแม่เขาบ้าง...ถึงกับฉันแกจะไม่อยากเจอหน้ากันนักก็เถอะ!"
ท้ายประโยคเจ้าตัวยังไม่วายประชดประชัน เรียกเสียงถอนหายใจจากคนที่ได้ฟังอยู่แต่ละคน และเพราะเป็นเสียงถอนหายใจที่ดังในเวลาใกล้กัน แม้มันจะเบาแสนเบาทว่าพอเป็นจากหลายคน มันก็ทำให้สองพ่อลูกสะดุ้งได้เลยทีเดียว
"เอาเถอะ! เดี๋ยวผมแวะไปหาแม่พร้อมกับพ่อตอนนี้เลยก็ได้ และอีกอย่างผมเองก็มีอะไรอยากคุยแบบเปิดอกตามประสาพ่อลูกกับพ่อด้วยอีกเยอะเลยล่ะนะครับ"
รวีเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นสายตาของคนรักที่จับจ้องมองมายังตนอย่างร้องขอ ซึ่งอังเดรพอได้ยินดังนั้นเจ้าตัวก็เงียบไป ก่อนจะแสร้งทำเป็นยักไหล่ด้วยความไม่ใส่ใจแทน
"ก็แล้วแต่แกแล้วกัน ...ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ...พ่อไปละนะหนูฟ้า"
หนุ่มใหญ่หันไปเอ่ยลาพวกณรงค์แล้วหันมายิ้มให้กับเวหา ซึ่งเด็กหนุ่มก็ยิ้มตอบ ทำให้อังเดรอารมณ์ดีจนลูกชายที่เดินไปขึ้นรถด้วยกันชักไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาเสียแล้ว
"พ่อ...นี่พ่อคงไม่ลืมสินะ ว่าพ่อมีแม่แล้ว และน้องฟ้าก็เป็นแฟนผมด้วย!"
"หือ...แน่นอน พ่อรักแม่แกที่สุดอยู่แล้ว...แต่มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ถ้าหากพ่อสามีกับลูกสะใภ้จะไปกันได้ด้วยดีและรักใคร่กลมเกลียวกันน่ะ"
อังเดรแย้งกลับไปอย่างนึกขำ เพราะไม่คิดว่าลูกชายของตนนั้นจะเป็นคนขี้หึงถึงขนาดนี้
"ก่อนหน้านั้นเห็นกีดกันแทบตาย! ทำไมมาเปลี่ยนง่ายดายแบบนี้ล่ะครับ!"
รวีแย้งกลับไปอย่างเริ่มหงุดหงิด และคำพูดของชายหนุ่มที่กำลังเดินไปขึ้นรถพร้อมบิดา ก็แว่วมาถึงคนที่อยู่ในบ้านจนต้องโผล่หน้าออกมามองอย่างสงสัย
"ก็ก่อนหน้านั้น ฉันไม่รู้ว่าแฟนแกน่ารักแบบนี้นี่...ยิ่งเวลายิ้มงี้น่ารักเหมือนแม่แกตอนสาว ๆ เลยทีเดียว แบบนี้สเป็คฉันเลยล่ะ!"
อังเดรแย้งกลับไปกึ่งแกล้งกึ่งจริงจัง ทำให้คนเป็นลูกชายนึกอยากจะกลับไปบอกให้ณรงค์ช่วยมาต่อยพ่อของตนสักหมัดสองหมัดขึ้นมาตงิด ๆ
"อ้าว...หนูฟ้า ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะแวะมาหาอีกนะ...เห็นว่าชอบขนมมากใช่ไหม ไว้พ่อจะซื้อมาฝากแล้วกัน"
อังเดรที่หันมาเห็นเวหาโผล่หน้าออกมาดูพวกตนเอ่ยทัก ซึ่งเวหาก็ยิ้มกว้างตามมาก่อนจะชะงักแล้วเปลี่ยนกลับเป็นยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อเห็นคนรักทำหน้าบึ้งไม่สบอารมณ์หนักยิ่งขึ้นไปอีก
"พ่อ! รีบไปกันได้แล้ว! เร็วสิครับ!"
รวีรีบตะโกนบอกให้บิดาขึ้นรถ ก่อนที่คนรักของเขาจะโดนอีกฝ่ายล่อลวงมากไปกว่านี้ จะว่าไปแล้วเขาก็ดีใจหรอกนะที่อังเดรยอมรับในตัวเวหาได้สักที แต่ยอมรับแล้วเล่นมาหลงเสน่ห์คนรักของเขาด้วยแบบนี้ เห็นทีต่อไปเขาคงจะต้องกันท่าให้ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้กันตามลำพังเสียแล้วล่ะนะ!
...END...
ยังมีตอนพิเศษต่อจากนี้อีกนิด เป็นตอนสั้น ๆ เขียนเพื่อแนะนำตัวคุณญาติของพี่ซัน ไว้จะเอามาแปะให้อ่านกันนะคะ
อยากจะบอกว่าหลังจากนี้ อีตาคุณพี่ซัน มัน เจ้าบุญทุ่มเพิ่มมากขึ้นเสียจนเวอร์จัดเลยค่ะ 555 ขนาดน้องมีนยังเซ็งทีเดียว
สุดท้ายนี้ปัดก็ต้องขอขอบคุณนักอ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้อีกครั้งนะคะ
ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ :pig4:
-
คุณพ่อนี่เอง น้องฟ้าน่ารักใช่ปะล่ะะะ
-
ลงตัวซะที จะมีบ้างไหมน้า ที่ทางครอบครัว
หน้าชื่นตาบาน รับได้กับเรื่องแบบนี้ทั้งสองฝั่ง
อิจฉาาาาาาาาาาาาาาาาา อะ
:katai1: :katai1: :katai1:
-
เหมือนเด็กเลย
-
พอบอกอยากจะอ่านตอนครอบครัวของฝั่งเขยมาเยี่ยมเยียนสะใภ้ปุ๊บก็ได้อ่านปั๊บเลย
รักคนแต่งมากๆๆๆๆๆๆ :mew1: มารออ่านวันงานฉลองรับสะใภ้ว่าจะสุขสันต์ขนาดไหน
เป็นกำลังใจให้คนแต่งคราฟสู้ๆ
ปล.เรื่องนี้คงเป็นอีกเรื่องที่เราประทับใจมากๆ อ่านแล้วมีแต่รอยยิ้มและความสุขนะครับ
เอาไปแนะนำในห้องแนะนำนิยายน่าอ่านให้เรียบร้อยแล้วนะคราฟ o13 o13
-
ขอบคุณครับสำหรับเรื่องน่ารักๆ ที่ไม่ต้องมีดราม่าก็สนุกได้
ขอบคุณคนแต่งแสนขยันที่มาต่อให้อย่างไม่ขาดตอน
-
ฮ่าๆ คุณพ่อชอบน้องฟ้าซะขนาดนั้นเชียว
-
แอบตกใจว่าใครมาลักพาตัวน้องฟ้าไป
ที่ไหนได้พ่อพี่ซัน
พ่อพี่ซันก็มีมุมน่ารักๆนะ
พี่ซันหึงแม้กระทั่งพ่อตัวเอง 5555
-
เพิ่งได้มาอ่านหลังจากจบแล้ว
ชอบซันมาก จริงใจ มั่นคง แม้จะเจ้าเล่ห์นิดๆ ก็ไว้เพื่อหลอกล่อน้องฟ้านะเออ
น้องฟ้า ชอบนายเอกแบบนี้มากเลย มีเหตุผล หล่อ น่ารัก นิสัยดี จิตใจดี แอบมุ้งมิ้งชอบของหวานด้วย
คุณพ่อคุณแม่น่ารักทุกคนเลย :pig4: นักเขียน
-
o13 :katai2-1: o13 :L1:
-
ตอนของเจกับลูกพี่ลูกน้องของพี่ซันนี่จะต่อในนี้หรือเปิดเรื่องใหม่คะ
-
ตอนของเจกับลูกพี่ลูกน้องของพี่ซันนี่จะต่อในนี้หรือเปิดเรื่องใหม่คะ
เป็นเปิดเรื่องใหม่ค่ะ แต่ตอนพิเศษสั้น ๆ ที่เปิดตัวพระเอก จะต่อในนี้ค่ะ บ่าย ๆ เย็น ๆ จะมาแปะให้อ่านนะคะ ^^
-
:mew1: :pig4:
-
ทีแรกก็ตกใจอยู่นะ ที่น้องฟ้าโดนลักพาตัว
แต่พอรู้ว่าเป็นพ่อสามีที่วางแผนการ ล่อลูกแกะออกจากคอกเท่านั้นแหละ
ก็โล่งใจไปเลย แถมคุณพ่อนี่ก็ยังหลงเสน่ห์ความน่ารักของน้องฟ้าเข้าให้อีก
แค่นี้พี่ซันก็ไม่รู้จะหวงยังไงดีแล้ว คุณพ่ออย่าสร้างภาระให้พี่ซันสิคะ อิอิ
-
:pig4:ชื่นมื่นค่ะ
-
อยากอ่านตอนพิเศษที่สมาชิกครอบครัวทั้งหมดมาเจอกันแล้วอ่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า
-
อยากเจอรักแท้อย่างนี้บ้างจัง. รอตอนพิเศษอีกนะครัล
-
ตอนพิเศษ / 2
เวหากับรวี คบกันมาได้เกือบปีแล้ว โดยรวีนั้นตัดปัญหาจุกจิกกวนใจที่อาจจะเกิดขึ้นจากองค์กรของบิดา โดยการกลับอเมริกาและแสดงตัวปฏิเสธรับมอบอำนาจทุกตำแหน่งต่อหน้าผู้นำแต่ละขั้วอำนาจในองค์กร จนสุดท้ายพวกที่คิดจะพาตัวรวีกลับมาสืบทอดตำแหน่ง รวมไปถึงพวกที่ต่อต้าน จึงได้เลิกที่จะคอยตามมาจองล้างจองผลาญชายหนุ่มอย่างที่ควรจะเป็นในที่สุด
และปัจจุบัน รวีก็กำลังเริ่มต้นใช้ชีวิตในฐานะนักธุรกิจซึ่งทำการค้าเกี่ยวกับสินค้าเกษตรแปรรูปอย่างที่เคยตั้งเป้าหมายเอาไว้ โดยมีณรงค์ผู้เป็นว่าที่พ่อตาคอยให้คำแนะนำอย่างเต็มใจ
"น้องฟ้าครับ...พรุ่งนี้พี่คงจะไปรับน้องฟ้าที่มหาลัยเลทไปสักหน่อย น้องฟ้าคอยพี่สักประมาณครึ่งชั่วโมงได้ไหมครับ"
รวีเอ่ยกับคนซึ่งกำลังเดินให้อาหารปลาสวยงามในบ่อกว้างใกล้น้ำตกจำลอง ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยการที่ชายหนุ่มลงทุนซื้อบ้านทั้งสองหลังที่ปลูกขวางระหว่างบ้านพักของเขากับเวหา โดยวารีและณรงค์เองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะอังเดรและเรไรบิดาและมารดาของรวีเองต่างก็เห็นดีเห็นงาม แถมยังยุให้ลูกชายรื้อบ้านเก่าบนที่ดินเดิม และต่อเติมบ้านหลังใหม่เตรียมไว้ให้พวกตนมาอยู่ในอนาคตอีกด้วย ซึ่งในตอนนี้ บ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงจำนวนสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ ก็ได้ถูกปลูกสร้างเสร็จเรียบร้อย ท่ามกลางอาณาบริเวณกว้างของที่ดินซึ่งถูกดัดแปลงเป็นสวนหย่อมกึ่งป่า รวีสั่งซื้อต้นไม้ใหญ่น้อยมาลง และขุดบ่อทำน้ำตกจำลองเพื่อเลี้ยงปลาสวยงาม จนดูเสมือนว่าสถานที่แห่งนี้นั้นได้กลายเป็นรีสอร์ตขนาดย่อมไปแทนเลยด้วยซ้ำ
"ฟ้าคอยได้อยู่แล้วครับ แต่ฟ้าว่าถ้าพี่ซันมีธุระ พี่ซันก็ไม่ต้องมารับฟ้าหรอกครับ ฟ้ากลับเองได้"
เวหาฟังคำคนรักแล้วหันมาบอกพร้อมรอยยิ้ม แต่นั่นกลับทำให้คนที่อยู่ใกล้ขมวดคิ้วยุ่งทันที
"ไม่เอาหรอกครับ พี่อยากจะไปรับน้องฟ้านี่ครับ...จริง ๆ พี่ก็ไม่อยากไปเลทด้วยซ้ำ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะโดนพ่อสั่งให้ไปรับที่สนามบินให้ได้ พี่ก็จะปล่อยให้คนอื่นไปรับแทนแล้วล่ะ!"
"คุณพ่อจะมาเมืองไทยหรือครับ แล้วคุณแม่ล่ะครับ มาด้วยกันหรือเปล่า!"
เวหาถามคนรักอย่างตื่นเต้น เพราะครั้งล่าสุดที่ได้เจอบิดาและมารดาของคนรัก ก็ผ่านมาแล้วเกือบสามเดือนเลยทีเดียว
"ไม่ใช่พ่อกับแม่พี่จะมาหรอกครับ...ญาติของพี่จะมาต่างหาก เห็นว่าเจ้าตัวอยากจะมาพักผ่อนที่นี่สักเดือน พ่อก็เลยฝากให้พี่ช่วยดูแลเขาให้หน่อย ทั้งที่หมอนั่นก็ดูแลตัวเองได้สบาย ๆ อยู่แล้วแท้ ๆ"
เวหารับฟังอย่างสนใจ เพราะลองถ้าบิดาของรวีฝากฝังให้ลูกชายดูแล แสดงว่าอีกฝ่ายนั้นคงต้องเป็นญาติคนสำคัญของชายหนุ่มเป็นแน่
"เป็นญาติของพี่ซันหรือครับ อยากเจอจัง แล้วเขาจะพักแถวนี้หรือเปล่าครับ"
รวีพอได้เห็นคนรักแสดงออกถึงความสนใจญาติของตน เจ้าความหึงหวงก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกเช่นเคย
"ทำไมน้องฟ้าถึงอยากเจอเขาล่ะครับหมอนั่นไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ"
"ก็เขาเป็นญาติคนสำคัญของพี่ซันไม่ใช่หรือครับ...ฟ้าก็อยากทำความรู้จักเอาไว้บ้างเอ่อ...จริง ๆ ก็คือ ฟ้าอยากรู้เรื่องของพี่ซันเพิ่มให้มากขึ้นอีกสักเรื่องก็ยังดีน่ะครับ"
คำตอบและท่าทางเขินอายนิด ๆ ของเวหา ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังหึงหวงถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วจึงหลุดถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา
"ยอมแพ้น้องฟ้าเลยครับ ถ้าอย่างนั้นพี่จะพาเขามาทำความรู้จักกับน้องฟ้าก็ได้...แต่น้องฟ้าห้ามสนใจเขาจนเกินไปนะครับ"
ท้ายประโยครวีทำเสียงอ้อน ทำให้คนที่รู้นิสัยของอีกฝ่ายดีอมยิ้ม แล้วจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้มคนรักหนึ่งฟอดแทนคำยืนยัน
"รับรองครับ ว่าฟ้าจะไม่สนใจใครเกินพี่ซันเด็ดขาด...ทีนี้วางใจได้หรือยังครับ"
รวียิ้มแก้มแทบปริ แล้วจึงหอมแก้มของคนรักคืนบ้าง โดยไม่คิดใส่ใจสายตาของใคร เนื่องจากฝั่งตรงกันข้าม ก็เป็นบ้านพักของเหล่าบอดี้การ์ดที่เขาซื้อมาจากเจ้าของที่ดินเดิมแถวนั้น จนตอนนี้ถ้าไม่นับรวมบ้านของเวหา อาจจะกล่าวได้ว่าภายในซอยนี้ ทั้งบ้านฝั่งซ้ายและขวา ได้กลายเป็นที่ดินทั้งของรวีและเมฆา ที่มากว้านซื้อเอาไว้ไปจนหมดแล้วด้วยซ้ำ
"อะแฮ่ม! คุณพี่ซันครับ! จะทำอะไรก็เกรงสายตาชาวบ้านเขาบ้าง ถึงซอยนี้ทั้งซอยมันแทบจะกลายเป็นดงมาเฟียไปหมดแล้วก็เถอะ!"
มีนาที่ออกมาเห็นทั้งสองคนสวีทหวานกระแอมขัดอย่างนึกหมั่นไส้ในตัวคนรักของพี่ชาย ซึ่งก็ทำให้เมฆาที่เดินตามมานึกขำต่อคำพูดที่เด็กหนุ่มใช้ค่อนขอดเพื่อนสนิทของตน
"มาฟงมาเฟียอะไรกันครับน้องมีน...แถวนี้มีแต่นักธุรกิจหน้าซื่อมือสะอาดทั้งนั้นนั่นล่ะครับ"
มีนาหันมาค้อนขวับให้คนพูด เพราะพวกเมฆาไม่รู้หรอกว่าในตลาดเขาลือว่าอะไรกันบ้าง เวลาเขาและมารดาไปซื้อของทีไร ก็มักจะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ว่า พวกรวีกับเมฆา เป็นมาเฟียต่างชาติมากว้านซื้อที่ดินแล้วค้าของผิดกฎหมายในซอยนั้นกันหรือเปล่า จนเขาต้องคอยแก้ตัวให้แทนอยู่เสมอว่า พวกที่ใส่สูทใส่แว่นดำท่าทางน่ากลัวที่อาศัยอยู่ในซอยนั้น เป็นเหล่าบอดี้การ์ดของพวกรวีและเมฆา ส่วนสองคนนั่นก็เป็นนักธุรกิจทุนหนาที่ตั้งใจมาลงทุนเกี่ยวกับพืชผลการเกษตรในไทย ไม่ใช่มาเฟียต่างชาติค้าของเถื่อนอย่างที่ทุกคนเข้าใจกันเลยสักนิด
"อ๊ะ! จริงสิ นายไปรับหมอนั่นแทนฉันก็ได้นี่เมฆ!"
จู่ ๆ รวีก็โพล่งขัดขึ้นมาเหมือนนึกได้ ทำเอาเมฆาหันมาทำหน้างุนงงใส่เพื่อน เพราะไม่ทันได้รู้ต้นสายปลายเหตุที่อีกฝ่ายบอกมาก่อน
"หมอนั่นก็ เอริค ญาติฉันไงเขาจะมาถึงเมืองไทยตอนบ่าย ๆ แล้วทีนี้พ่อสั่งให้ฉันไปรับ แต่ถ้าฉันไปรอหมอนั่น ก็ต้องไปรับน้องฟ้าที่มหาลัยเลทไปด้วย เพราะงั้นนายก็ไปรับเขาแทนฉันนะ!"
รวีอธิบายพร้อมกับรวบรัดตัดบทเอาเองเสร็จสรรพ ทำเอาเมฆาสะดุ้งโหยง พร้อมกับปฏิเสธตามมาทันควัน
"ไม่มีทาง!เย็นพรุ่งนี้ฉันมีนัดเดทกับน้องมีน เพราะงั้นคงไปรับหมอนั่นแทนนายไม่ได้หรอก!"
"ก็แค่เดท เลื่อนไปก่อนก็ได้นี่!"
คนเอาแต่ใจเถียงกลับ ทำเอาเมฆาจ้องมองเพื่อนตาปริบ ๆ เพราะอีกฝ่ายก็คิดจะหนีภาระไปรับคนรักไม่แตกต่างอะไรจากตนเลยสักนิด
"...ถ้าต้องรบกวนคนอื่นขนาดนั้น ฟ้าว่าฟ้ากลับเองดีกว่าครับ"
เวหาแสร้งเปรยขัด ทำเอารวีสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบหันกลับไปอ้อนเด็กหนุ่มทันที
"ไม่เอานะครับน้องฟ้า...ขอให้พี่ไปรับน้องฟ้าเหมือนเดิมนะครับ...เอ้า! พี่ยอมไปรับหมอนั่นด้วยตัวเองก็ได้!"
เวหาอมยิ้มแล้วหันไปขยิบตากับเมฆาที่ก็ยิ้มเจื่อนตอบ เพราะดูเหมือนเพื่อนสนิทของเขานั้นจะอยู่ในโอวาทของแฟนเด็กชนิดหือไม่ขึ้นเสียแล้ว
"จริง ๆ ก็แค่เดทเอง เลื่อนไปวันอื่นก็ได้ วันหยุดมีนก็อยู่กับพี่เมฆเป็นประจำอยู่แล้วล่ะนะ"
มีนาเปรยขึ้นบ้าง ทำเอาคนข้างกายเขาสะดุ้งโหยง จากนั้นเมฆาจึงรีบพาร่างเล็กปลีกตัวไปทางอื่นเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเริ่มหันกลับมามองทางตนอีกครั้ง
"เดี๋ยว! จะพามีนไปไหนน่ะพี่เมฆ!"
มีนาร้องปรามเพราะคนตัวโตจูงแขนเขาเดินหลบไปอีกทางลิ่ว ๆ โดยไม่คิดจะหยุดเดิน ซึ่งพอได้ยินเสียงคนรักเมฆาก็ชะงักก่อนจะหยุดฝีเท้า แล้วจึงหันมายิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้
"ขอโทษทีครับน้องมีน แต่ขืนพี่ไม่รีบพาน้องมีนหลบมา มีหวังเจ้าซันมันหาเรื่องให้พี่ไปรับญาติมันแทนแน่"
"ก็นั่นล่ะ มีนถึงว่าเลื่อนเดทไปแค่วันเดียวไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร มีนไม่อยากให้พี่ฟ้านั่งรถกลับเอง ทางมันไกล แล้ววันพรุ่งนี้พี่ฟ้าก็เลิกเย็นด้วย ขืนนั่งรถสองแถวมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็กลับบ้านมืด ๆ ค่ำ ๆ กันพอดี"
มีนาให้เหตุผล แต่คนฟังนั้นถอนหายใจ แล้วตอบกลับมาเสียงอ่อย
"พี่รู้ดีครับ ...แต่พี่ไม่อยากไปรับหมอนั่นด้วยตัวเองนี่ เกิดเขาบอกว่าอยากเจอน้องมีน พี่ก็คงปฏิเสธลำบาก...แล้วถ้าน้องมีนเจอเขาเข้า แล้วเกิดชอบใจขึ้นมา พี่คงหึงแย่"
มีนารับฟังแล้วก็ถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตีแขนคนพูดดังเผียะ แล้วตอบออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึงนิด ๆ
"พี่เมฆนี่นะ! คบกันมาก็เกือบปีแล้ว ยังเห็นมีนเป็นคนรักง่าย เปลี่ยนง่าย อยู่อีกหรือไง!"
"พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงแบบนั้น พี่ก็แค่หึงกับหวง...พี่รู้ว่ามีนไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ แน่ ...แต่พี่ไม่ชอบที่จะเห็นมีนยิ้มกับผู้ชายคนอื่นนอกจากพี่ ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้คิดอะไรในแง่นั้นก็ตาม แต่พี่ก็ไม่ชอบอยู่ดี"
มีนาชะงักก่อนจะเบือนหน้ามองไปทางอื่นอย่างนึกเขินอาย ที่อีกฝ่ายแสดงถึงความรักหลงเขาขนาดนั้นให้เห็น
"พี่เมฆอะขี้หวง แถมไร้เหตุผลเป็นบ้า..."
ร่างเล็กบ่นพึมพำ ทว่าใบหูที่แดงก่ำนั้นทำให้คนเฝ้ามองอยู่อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแสร้งทำเป็นออดอ้อนด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร
"ก็เพราะพี่ไม่เคยมีคนสำคัญจริง ๆ กับเขานี่ครับ...พอได้มาเจอเข้า ก็เลยอดหึงอดหวงไม่ได้สักที"
มีนาหน้าแดงหนักขึ้น เจ้าตัวบ่นอุบอิบกับตัวเองเบา ๆ ส่วนเมฆาก็ลุ้นดูว่าคนรักจะทำอะไรต่อไป ทว่าชายหนุ่มก็ต้องนิ่งอึ้ง เมื่อคนตัวเล็กหันมามองตนด้วยใบหน้าแดงก่ำ พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงอึกอักอย่างเขินอาย
"แต่ถึงมีนจะบ่นว่าพี่ขี้หึงไร้เหตุผล...มีนก็ชอบนะที่พี่เห็นมีนสำคัญเสมอแบบนั้นน่ะ"
"...น้องมีนของพี่น่ารักแบบนี้นี่นะ พี่ถึงอยากเก็บน้องมีนไว้มองคนเดียว ไม่อยากเผื่อแผ่ให้ใครได้เห็นเลย...เพราะงั้นรีบเรียนจบไว ๆ นะครับ จะได้มาเป็นเจ้าสาวของพี่ไง พี่จะได้สบายใจกับเขาสักที"
เมฆาดึงร่างเล็กมากอดพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ทำเอาคนที่เขินอยู่แล้วยิ่งเขินหนัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงพึมพำตอบรับไปแผ่วเบาอยู่ดี
อีกด้านหนึ่ง เวหานั้นก็กำลังแสร้งเดินมองโน่นนี่เรื่อยเปื่อย อย่างไม่คิดใส่ใจคนที่เดินตามตนมาต้อย ๆ ด้านหลัง ทว่าเป็นแบบนั้นได้สักพักเด็กหนุ่มก็อดใจอ่อนนึกสงสารคนที่ทำเป็นเงียบเพราะสำนึกผิดเข้าให้จนได้
"พี่ซัน...นี่ก็ค่ำแล้ว พี่ยังไม่กลับบ้านอีกหรือครับ"
รวีชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปเสียงอ่อย
"พี่ยังไม่อยากกลับเลยครับ แต่ถ้าน้องฟ้าไม่อยากให้พี่อยู่ พี่กลับก็ได้"
"หรือครับ...งั้นฟ้าเดินไปส่งให้ที่บ้านแล้วกัน"
เวหาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทั้งที่จริงก็รู้สึกสงสารแกมเอ็นดูคนใกล้ตัวเข้าให้จะแย่อยู่แล้ว
"น้องฟ้าโกรธพี่จริง ๆ หรือครับ"
คำถามของคนที่เดินตามมา ทำให้เวหาหยุดฝีเท้าแล้วจึงหันมาสบตากับอีกฝ่าย
"ใครโกรธกันครับ ถ้าโกรธล่ะก็จะไม่เดินมาด้วยแบบนี้หรอกครับ"
คำตอบพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้น้อย ๆ ทำให้คนมองใจชื้น แต่ก็อดแปลกใจที่อีกฝ่ายอยากรีบส่งเขากลับบ้านทั้งที่ยังไม่ดึกนัก
"แต่น้องฟ้า..."
"ฟ้าก็แค่เป็นห่วงพี่ซัน เพราะพรุ่งนี้พี่ก็ต้องตื่นไปส่งฟ้าแต่เช้า พอส่งเสร็จก็ต้องตรงดิ่งไปที่บริษัท แถมบ่ายยังต้องออกไปรับญาติที่สนามบินอีก ...พี่ต้องขับรถตลอดแบบนั้น ถ้าไม่พักให้มาก ฟ้ากลัวพี่จะเพลียเอา..."
เวหาบอกแล้วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ คนที่ฟังอยู่ก็รั้งร่างเขาเข้าไปกอดทั้งที่เขายังพูดไม่จบดีด้วยซ้ำ
"น้องฟ้า...พี่รักน้องฟ้ามากที่สุดเลยรู้ไหมครับ"
"รู้ครับ...ก็เล่นบอกให้ฟังทุกวัน ไม่รู้ก็แย่แล้ว"
เวหายิ้มอาย ๆ ตอบ แล้วจึงปล่อยให้รวีหอมแก้มของตนทั้งสองข้างอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะยันกายออกจากอ้อมกอดนั้นค่อย ๆ
"แล้วพรุ่งนี้ถ้าเป็นไปได้ ให้คนของพี่ซันขับรถพาพี่ไปสนามบินน่าจะดีกว่านะครับ ...จริงอยู่ที่ฟ้ารู้ว่าพี่ชอบขับรถเอง แต่ฟ้ากลัวพี่เพลีย อย่างน้อยฟ้าก็อยากให้พี่พักให้เต็มที่ช่วงนั้น จะได้มีแรงขับรถมารับฟ้าตอนเย็นยังไงล่ะครับ"
รวียิ้มปลื้มต่อความเป็นห่วงของคนรัก จากนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย
"ก็ได้ครับ พี่จะทำตามนั้น"
เวหายิ้มตอบ แล้วจึงเดินคล้องแขนชายหนุ่มไปส่งที่บ้านพัก ทำให้รวีนึกอยากจะรั้งคนข้างกายให้ค้างคืนกับตนด้วยสักคืน แต่ขืนทำแบบนั้น เขาคงได้เผลอตัวทำมากกว่านอนหลับเฉย ๆ อย่างที่ควรจะเป็นแน่นอน
..
...
...
-
...
..
เช้าวันถัดมา หลังจากรวีไปส่งคนรักที่มหาวิทยาลัยและกลับมาทำงานที่บริษัทของตนได้สักพัก เขาก็ได้รับการติดต่อจากบิดาซึ่งโทรมาเน้นย้ำอีกครั้งว่า อย่าลืมไปรับญาติคนนี้ให้ด้วย
"รู้แล้วล่ะครับ! ไม่ต้องโทรมาย้ำแบบนี้ก็ได้ ผมรับปากไปแล้วไม่เบี้ยวหรอกน่า!"
ทางปลายสายพอได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดเช่นนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยตามมา
"ฉันรู้ว่าแกไม่อยากให้เอริคเจอกับหนูฟ้าเขาใช่ไหมล่ะ...ไอ้ลูกขี้หวง! ญาติแกเขาไม่ใช่พวกชอบแย่งของรักคนอื่นหรอก...ถ้าเจ้าตัวไม่ถูกใจเข้าให้ก่อนนั่นล่ะนะ"
รวีเบ้หน้าใส่มือถือก่อนจะเอ่ยตอบ
"ก็เพราะกลัวหมอนั่นถูกใจน้องฟ้าเข้าให้นั่นล่ะครับ! บอกไว้ก่อนนะ ถึงหมอนั่นจะเป็นหลานรักของพ่อก็ตาม แต่ขืนลองมายุ่มย่ามกับน้องฟ้าล่ะก็ ผมไม่ไว้หน้าแน่ ๆ"
พอรวีพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะราวกับไม่ทุกข์ร้อนต่อคำขู่ของตนดังขึ้น สักพักปลายสายก็เอ่ยขึ้นตามมาอีก
"แกไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกน่าซัน...เพราะตอนนี้เอริคเขากำลังอยู่ในช่วงตกหลุมรักครั้งใหม่ ...แกก็รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของแกคนนี้ เวลาเขารักใครชอบใครเข้า ถ้ายังไม่ผิดหวังหรือเลิกคบหากับคนปัจจุบัน ต่อให้มีคนใหม่มายั่วยวนยังไง เขาก็ไม่มีทางหวั่นไหวอยู่แล้ว"
รวีเลิกคิ้วกับเรื่องที่ได้ยิน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยกินเส้นกับบิดาเท่าใดนัก แต่กับญาติพี่น้องของอังเดรนั้น รวีก็ให้ความสนิทสนมดี โดยเฉพาะเอริคที่อายุไล่เลี่ยกัน เมื่อสมัยอยู่อเมริกา รวีเองก็มักชอบชวนอีกฝ่ายไปเข้ากลุ่มดื่มกับเพื่อนสนิทของตนอย่างเมฆาอยู่บ่อยครั้งด้วยซ้ำไป
"หมอนั่นกำลังตกหลุมรักอย่างนั้นหรือครับกับใคร? หวังว่าคงจะไม่ถูกพวกนักแสดง ดารา นางแบบนายแบบ อะไรพวกนั้นหลอกเอาเข้าอีกนะ!"
"ญาติแกไม่โง่ขนาดให้โดนหลอกซ้ำสองแบบนั้นหรอกน่า...อีกอย่างหลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว คงไม่มีพวกหิวเงินหน้าไหนที่อเมริกานี่ กล้ามาหลอกญาติของแกอย่างเหมือนคราวไอ้นายแบบคนนั้นอีกแล้วล่ะ!"
น้ำเสียงเข้มกึ่งห้วนที่ตอบกลับมาทำเอารวีลอบกลืนน้ำลายลงคอนิด ๆ เพราะครั้งที่เอริคจับได้ว่านายแบบหนุ่มคนรักที่คบกันมาแอบลักลอบเอาเงินที่ตนให้ไปปรนเปรอชู้รักนายแบบอีกคน ทำให้เอริคนั้นโกรธมาก ทว่าแม้จะพลั้งมือยิงอีกฝ่ายไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นสาหัสและชายหนุ่มก็เลิกที่จะสนใจทั้งคู่อีกต่อไป
ทว่าญาติพี่น้องที่รู้เรื่องราวนั้นต่างยอมไม่ได้ที่ชายหนุ่มถูกลูบคมเข้าให้เช่นนี้ นายแบบหนุ่มกับชู้รักของเจ้าตัว จึงถูกญาติพี่น้องของเอริคลงมือกระทำการบางอย่าง ที่ทำให้พวกนั้นไม่สามารถกลับมาทำงานในวงการบันเทิงได้อีกเลยตลอดชีวิต
"เฮ้อ! ถ้าได้แบบนั้นก็ดี ...หมอนั่นมันชอบทำตัวนิ่งเฉย จนคนรอบข้างก็เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ...แต่เท่าที่ผมรู้ ครั้งนั้นหมอนั่นก็เจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ผมเองก็ไม่อยากให้คนจริงจังอย่างหมอนั่น ต้องพบกับความผิดหวังอีก"
อังเดรรับฟังคำพูดของลูกชาย แล้วแย้มยิ้มนิด ๆ แม้ว่ารวีจะบ่นเรื่องที่เอริคมาเมืองไทย และไม่อยากให้อีกฝ่ายเจอะเจอคนรักของตนเพียงใด แต่ลึก ๆ แล้ว ลูกชายของเขาก็ยังคงเป็นห่วงญาติผู้นี้อยู่ไม่น้อยนั่นเอง
"คราวนี้เท่าที่ฉันรู้ คนที่เขาตกหลุมรักค่อนข้างจะแตกต่างจากคนก่อนหน้านั้นที่คบมา เห็นว่าพบเจออีกฝ่ายโดยบังเอิญ ได้พูดคุยกันชั่วครู่ แล้วเขาก็จากไป ...เหมือนกับเป็นซินเดอเรลล่า อะไรราว ๆ นั้นล่ะนะ"
"ซินเดอเรลล่า?"
รวีทวนคำพลางขมวดคิ้วยุ่งสักพัก จากนั้นเสียงหัวเราะจากบิดาจึงดังขึ้นตามมาอีกครั้ง
"ใช่!เอริคเขาลงทุนตามหาตัวซินเดอเรลล่าของเขา จนกระทั่งเจอแล้วว่าเธอคนนั้นอยู่ที่ไหน เพราะอย่างนั้นฉันถึงให้แกไปคอยรับเขาที่สนามบินยังไงล่ะ พอจะเข้าใจบ้างหรือยังเจ้าลูกชาย!"
รวีนิ่งอึ้งพลางทบทวนสิ่งที่บิดาพูดมาชั่วครู่ ก่อนจะย้อนกลับไปอย่างตกใจ
"หรือว่าซินเดอเรลล่าของหมอนั่นอยู่ในประเทศไทยนี่!"
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นแทนคำตอบ ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่งอีกครั้งแล้วจึงถามกลับไปต่อ
"หวังว่าซินเดอเรลล่าคนนั้น คงจะไม่เกี่ยวข้องกับผมแล้วก็น้องฟ้านะพ่อ!"
"ถ้าเกี่ยวแล้วจะมีปัญหาอะไร ขอแค่คนนั้นไม่ใช่หนูฟ้า แกก็ไม่น่าจะต้องวิตกไม่ใช่หรือไง"
คำพูดที่ย้อนสวนมา ทำให้คนฟังขมวดคิ้วอีกรอบ แต่สักพักก็คลายลงแล้วถอนหายใจตามมา
"ก็ถูกอย่างพ่อพูด ขอแค่ไม่ใช่น้องฟ้า หมอนั่นจะชอบใครก็เรื่องของเขาแล้วกัน"
อังเดรหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะฝากฝังให้รวีดูแลหลานชายคนโปรด ซึ่งชายหนุ่มก็รับคำส่ง ๆ ก่อนวางสาย แต่เขาก็อดนึกสงสัยและลุ้นตามไม่ได้ว่า ญาติของตนนั้นไปตกหลุมรักใครคนไหนในประเทศไทยแห่งนี้ จนถึงขั้นเพ้อว่าอีกฝ่ายเป็นซินเดอเรลล่าขึ้นมาได้กันแน่
ชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาหารวีนั้น เป็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ ไว้ผมรองทรงสีทองสลวย หน้าตาคมเข้มหล่อเหลารูปร่างดีราวกับหลุดออกมาจากแคตตาล็อกนายแบบ ทว่าเพราะความเคร่งขรึมที่ชวนให้คนรอบข้างขยาดก็ทำให้มีแต่คนเฝ้ามองและซุบซิบอยู่ห่าง ๆ และต่างพากันหันขวับหลบเมื่อยามสายตาคมกริบนั้นตวัดมาทางพวกตน
"ยินดีต้อนรับสู่เมืองไทยนะ เอริค"
รวียื่นมือให้อีกฝ่ายสัมผัส ซึ่งชายหนุ่มตรงหน้าก็ยื่นมือของตนมาสัมผัสมือของญาติผู้น้องเช่นเดียวกัน
"ขอบคุณที่มารอรับนะซัน ...ขอโทษด้วยที่รบกวนเวลาทำงานของนาย"
เอริคบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน ซึ่งรวีก็ยิ้มรับ เพราะชินเสียแล้วกับบุคลิกของญาติผู้พี่ของตน
"พ่อเล่าเรื่องนายให้ฟังแล้ว ได้ข่าวว่ามาที่เมืองไทยเพื่อตามหาซินเดอเรลล่าของนายอย่างนั้นสินะ"
ทั้งสองคนเดินคุยกันไปพลางระหว่างตรงไปทางออก ซึ่งชายหนุ่มผู้เงียบขรึมก็พยักหน้าค่อย ๆ แล้วเอ่ยตอบไปตามตรง
"ก็ตามนั้น..."
"เล่าให้ฟังบ้างได้ไหม เรื่องรักแรกพบอะไรนั่นน่ะ"
รวีถามอย่างสนใจ ซึ่งเอริคก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบ
"ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก ก็แค่ฉันเจอเขาตอนที่เขามาท่องเที่ยวที่ LA แล้วก็เลยถูกชะตา แล้วก็พอจะคาดเดาได้จากภาษาพูดที่เจ้าตัวหลุดปากออกมาว่าเป็นคนไทย เลยตามมาที่นี่นั่นล่ะ"
รวีขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายบอก
"แค่นั้น?"
"อืม...แค่นั้น"
เอริคตอบสั้น ๆ ทำเอารวีกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจตามมาแผ่วเบา
"เฮ้อ...เอาเถอะ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกมาแล้วกัน เผื่อจะช่วยเหลือให้ได้บ้าง"
รวีบอกกับญาติของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็หลุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับจากนั้นทั้งคู่ต่างก็พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบ จนกระทั่งเดินมาถึงรถยนต์ที่มีคนของเขาจอดรอรับอยู่
"แล้วเอาไง จะให้ฉันไปส่งที่ไหน นายมีที่พักหรือยังล่ะ"
รวีถามอีกฝ่ายในขณะที่กำลังขึ้นรถออกจากสนามบินด้วยกัน
"ไปที่มหาวิทยาลัยของคนรักนายเลยก็ได้จะได้ไม่เสียเวลา เพราะที่พักฉันก็อยู่แถว ๆ นั้น"
รวีขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนถามกลับไป
"หวังว่าคงจะไม่มีเป้าหมายที่น้องฟ้าหรอกนะ"
"...เห็นฉันเป็นคนชอบแย่งของรักคนอื่นอย่างนั้นหรือไง"
อีกฝ่ายย้อนพร้อมยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ทำให้รวีรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เพราะนั่นเป็นรอยยิ้มกึ่งแหย่ที่มันช่างคล้ายกับบิดาของเขายามที่ต้องการจะกลั่นแกล้งเขาให้หัวหมุนยิ่งนัก
"เอริค...บางครั้งนายมันก็กวนโมโหเหมือนเจ้าพ่อบ้าของฉันไม่มีผิด!"
คนฟังหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงเอ่ยขอโทษออกไปอย่างว่าง่าย
"ขอโทษทีแล้วกัน พอดีฉันได้ยินจากลุงว่านายหวงคนรักคนนี้มาก ก็เลยอยากลองพิสูจน์ดู อืม...ทีแรกก็นึกว่าลุงแค่พูดเล่นเสียอีกนะนั่น"
"ของรักของหวงก็ต้องหวงเป็นธรรมดา นายเองก็เคยมีความรักมาก่อน ก็น่าจะรู้นะ!"
รวีเอ่ยประชดใส่ แต่นั่นกลับทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงมีสีหน้าขรึมลงระหว่างหวนคิดถึงความหลัง
"นั่นสิ...แต่ทั้ง ๆ ที่ให้ความสำคัญและหวงแหนขนาดนั้น เขาก็ยังทรยศหักหลังต่อความรักของฉันจนได้"
รวีนิ่งอึ้ง เจ้าตัวเหลือบมองคนนั่งข้าง ก่อนจะกระแอมเบา ๆ แล้วแสร้งเปรยขึ้นกับตัวเองตามมา
"เรื่องในอดีตที่ผ่านมาก็อย่าไปใส่ใจมันนักเลย อีกอย่างก็ใช่ว่าคนเรามันจะเหมือนกันทุกคนเสียเมื่อไหร่ ...ถ้าคราวนี้นายคิดว่าคนที่นายเลือกคือคนที่ใช่ นายก็พยายามทุ่มเทให้ความรักของนายกับเขา จนเขามีแต่นายเพียงคนเดียวในหัวใจ และไม่คิดเหลียวมองใครอีกต่อไปเลยสิ!"
เอริคหันไปมองญาติผู้น้องที่นั่งข้างกายตน แล้วจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมถ้อยคำขอบคุณต่ออีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงออกไปในที่สุด
"ความจริงแล้ว คนที่ฉันตามหา เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับคนรักของนายน่ะ"
รวีหันขวับไปมองคนพูดอย่างตกตะลึง ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างรวดเร็ว
"ใคร! รู้จักชื่อเขาไหม ปีเดียวกับน้องฟ้าหรือเปล่า"
"...แล้วนายคิดว่าทำไมฉันถึงต้องให้นายมารับ และขอตามนายไปที่มหาวิทยาลัยนั่นด้วยกันล่ะ"
คำตอบของเอริคทำให้รวีนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่
"อย่าบอกนะว่าคนนั้นเกี่ยวข้องกับน้องฟ้าน่ะ..."
เอริคยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ เขาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ลายสก็อตสีน้ำตาลออกมาจากเสื้อสูท พลางจ้องมองผ้าผืนนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยตามมาค่อย ๆ
"เด็กคนนั้น...คนที่ฉันเจอที่ LA นั่น เขาเรียนคณะเดียวกัน ภาควิชาเดียวกัน และห้องเดียวกันกับคนรักของนายยังไงล่ะ ซัน"
เวหานั่งรอคนรักมารับอยู่ที่ซุ้มพักผ่อนหน้าตึกอาคารคณะ ซึ่งเจตต์กับเวทิตก็มานั่งเป็นเพื่อนคุยกับอีกฝ่าย เพราะเวทิตนั้นบ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ส่วนเจตต์นั้นก็เช่าบ้านพักอยู่ร่วมกับญาติซึ่งเรียนอยู่คนละคณะ จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกลับบ้านแต่อย่างใด
"เห...แสดงว่าวันนี้ญาติของพี่ซันก็มาที่ไทยนี่สินะ...ว่าแต่จะใช่ญาติที่เคยเล่าว่าจะให้จับคู่กับฉันหรือเปล่าวะ...บรึ๋ย! แค่คิดก็หวาดเสียวละ คนอะไรโหดชะมัด แฟนนอกใจก็ถึงกะยิงทิ้งเลยทีเดียว!"
เจตต์บอกแล้วทำท่ากอดอกขวัญเสีย จนเวทิตที่มองอยู่อดนึกหมั่นไส้ไม่ได้ เลยแกล้งใช้เท้าเตะขาอีกฝ่ายไปเบา ๆ จนคนถูกเตะหันมาทำหน้าหงิกใส่
"จู่ ๆ มาเตะกันทำไมวะต้น!"
"ก็หมั่นไส้อะ ก็เลยเตะ"
คนพูดทำเบะปากยักไหล่ ซึ่งก็เรียกเสียงอุบอิบบ่นจากคนนั่งข้าง ๆ ขึ้นมาทันที
"นิสัยแบบนี้ไงล่ะถึงได้เป็นโสด ชริ!"
เวทิตฟังแล้วก็สั่นศีรษะอย่างเอือมระอา ไม่ได้ใส่ใจหรือโมโหในสิ่งที่เพื่อนสนิทว่าตนแต่อย่างใด อีกอย่างเขายอมรับว่าตั้งแต่เลิกกับแฟนเก่าแล้ว เขารู้สึกมีอิสระและสบายใจขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จนเด็กหนุ่มคิดไว้ว่าถ้าจะหาแฟนอีกครั้งก็คงจะเป็นตอนเรียนจบไปแล้วน่าจะดีกว่า
"แต่ฉันก็เห็นแฟนนายเขาแอบมองนายอยู่บ่อย ๆ นะ คงอยากจะให้นายกลับมาคืนดีกันอีกครั้งล่ะมั้ง"
เวหาพูดขึ้นบ้าง ทำให้เวทิตหันมามองเพื่อนสนิทอีกคนของตน แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ไม่เอาแล้วล่ะ...เคยให้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่แค่ไม่กี่เดือนก็เป็นแบบเดิม ๆ ถ้าแค่หึงหวงแล้วฟังกันบ้างเหมือนพี่ซันของนาย ฉันจะไม่ว่าเลย... แต่นี่หึงหวงแล้วอาละวาดใส่ อธิบายก็ไม่ฟัง แถมยังพาลไปถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องคนอื่น ฉันทนรับไม่ได้ว่ะ!"
เวหายิ้มเจื่อนเมื่อได้ฟังดังนั้น ส่วนเจตต์มีสีหน้าเซ็งเล็กน้อย เพราะเมื่อเดือนก่อน แฟนสาวของเวทิตนั้นมาแผลงฤทธิ์ถึงที่ห้องเรียนของพวกเขา และยังตรงเข้าไปอาละวาดใส่และกล่าวหาหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสาวคนสนิทของพวกเขาว่าคิดแย่งแฟนตน ทั้งที่จริง ๆ แล้วเพื่อนสาวคนนั้นเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทและอยู่ชมรมเดียวกับเวทิตเท่านั้น ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เวทิตหมดความอดทน เนื่องจากเขาได้พยายามอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับฟังท่าเดียว เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจประกาศเลิกกับเจ้าหล่อนต่อหน้าเพื่อนฝูงมากมายในห้องนั้นนั่นเอง
"จะว่าไปเอ๋เขาก็รู้สึกผิดที่เหมือนเขามีส่วนให้ฉันกับก้อยเลิกกัน และพยายามช่วยให้ฉันกลับไปคืนดีกับก้อย แต่ฉันบอกเขาไปเองว่า ต่อให้ไม่มีเรื่องของเขา ยังไงเราก็คงต้องเลิกกันอยู่ดีในสักวัน ...เพราะฉันทนอยู่กับคนที่ไม่เชื่อใจและไม่ยอมฟังเหตุผลของกันและกันไม่ได้หรอก"
"นึกถึงก่อนหน้านั้น เรื่องยัยเอ๋ก็เป็นข่าวลือไปอาทิตย์กว่าเหมือนกันนะ แต่โชคดีที่แฟนมันหนักแน่นพอ และพร้อมจะเลาะฟันใครก็ได้ที่นินทาแฟนตัวเองล่ะนะ...แหม! ก็ดันมีกัปตันชมรมมวยสากลเป็นแฟนแบบนี้ ใครล่ะจะกล้าหือ...จริงไหม!"
เจตต์เสริมตามมา ซึ่งเวทิตก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหวนคิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาเมื่อราวเดือนก่อน
"ตอนนั้นฉันล่ะเสียวสันหลังวาบ ที่พี่อิฐแกมาดักรอฉันแล้วถามเสียงห้วนว่าตกลงข่าวลือนั่นจริงไหม ฉันงี้นึกว่าจะถูกชกไปละ"
"ฉันสิเสียวกลัวจะโดนลูกหลงมากกว่า ดันซวยกลับพร้อมนายพอดี!"
เจตต์แย้งขัดขึ้นมาอย่างนึกเซ็ง ซึ่งก็ทำให้เวหาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
"ฉันได้ยินพวกสาว ๆ คุยกันว่าเอ๋เขาขอให้แฟนเขาไปยืนยันกับแฟนเก่านาย ว่าคบกันมานานแล้ว และไม่ได้คิดนอกใจมาคบนาย ขอให้เลิกกังวลและเข้าใจผิดสักทีด้วย...นายรู้เรื่องนี้แล้วสินะ"
เวทิตพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะตอบออกไปอย่างเบื่อหน่าย
"ใช่...ก็เพราะงั้นล่ะ ก้อยเขาถึงได้โทรมาตามตื๊อฉันอีกตามเคย แต่ฉันปฏิเสธไปแล้วล่ะ แถมยังบอกเขาไปด้วยอีกว่า ไม่อยากให้เกิดเรื่องบ้า ๆ นี่ เป็นครั้งที่สามอีก"
เจตต์กับเวหาฟังแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เพราะพอจะรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดพูดคำไหนคำนั้น แต่ไม่คิดว่าแม้แต่เรื่องความรักก็ไม่เว้นเช่นเดียวกัน
"จะว่าไปผู้หญิงนี่ก็ปัญหามากชะมัด ฉันว่านายไปรักผู้ชายด้วยกันจะดีกว่าไหมวะต้น!"
เจตต์โพล่งขึ้นพร้อมยิ้มยิงฟันกวนประสาทใส่เพื่อน ซึ่งก็ทำให้เจ้าตัวถูกมะเหงกจากเพื่อนสนิทเขกเข้าให้ที่กลางศีรษะหลังจากนั้น
"นายนี่ก็รู้ทั้งรู้ว่าต้นมันของขึ้นง่าย ก็ยังขยันแหย่ให้เจ็บตัว...เป็นมาโซหรือไงนะเจ"
เวหาบ่นอย่างเอือมระอา ทำเอาคนที่เตรียมจะโวยวายนิ่วหน้า ส่วนเวทิตหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แทน จากนั้นทั้งสามก็นั่งคุยเรื่อยเปื่อยกันต่อ เพราะเวทิตกับเจตต์ตั้งใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่ารวีจะมารับเวหานั่นเอง
"...ช่วงหยุดยาวคราวหน้า ฉันว่าจะแวะไปค้างบ้านนายนะฟ้า ขอป๊ากับม๊าไว้แล้วด้วย ขี้เกียจโดนลากพาไปLA อีกแล้วอะ คราวก่อนกลับมาเซ็งแทบตาย ไม่รู้พวกคุณนายเขาเกิดคึกอะไรกัน เล่นช็อปกระจายไม่เกรงใจใคร...ช็อปมันได้ทุกที่ ขนาดปั๊มน้ำมัน พี่แกยังแวะช็อปเลยคิดดู!"
เจตต์บ่นโอดครวญถึงพี่สาวทั้งสองและมารดาที่เป็นใหญ่ในบ้านโดยพี่สาวคนโตของเขานั้นแต่งงานอยู่กินกับสามีชาวต่างชาติที่ LA จึงมักชอบชวนมารดา บิดา ตัวเขา และพี่สาวคนรองไปเที่ยวที่นั่นในช่วงวันหยุดยาวของไทยอยู่เสมอ
"จะว่าไปคราวนี้นายไม่เห็นอยากจะเล่าให้ฟังเลยนี่ ว่าที่ไป LA รอบนี้มาเป็นไงบ้าง ปกติเห็นไม่ถามก็เล่าเองตลอดนี่นะ"
เวหาย้อนถามกลับ ซึ่งก็ทำให้คนฟังชะงักแล้วนิ่วหน้าน้อย ๆ ก่อนจะถอนหายใจตามมา
"ก็พวกสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่อยากไปงวดนี้ก็ไม่ได้ไป เพราะพวกคุณนายเขาโฟกัสไปที่ช็อปปิ้งอย่างเดียวเลย แถมตอนจะกลับยังไปเจอคนแปลก ๆ อีก ก็เลยไม่รู้จะเล่าอะไรให้ฟัง เพราะมีแต่เรื่องไม่อยากจะจำทั้งนั้นน่ะ"
เวทิตกับเวหาจ้องมองคนพูดตาปริบ ๆ แล้วเป็นเวทิตที่ย้อนถามกลับไปอย่างสงสัย
"คนแปลก ๆ แปลกแบบไหนกัน"
เจตต์ขมวดคิ้วยุ่ง แล้วมีท่าทางลังเลว่าจะเล่าดีไหม แต่พอเห็นสายตากึ่งบังคับ และสายตาสนอกสนใจของเพื่อนทั้งสอง ก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ทั้งคู่ได้รับฟัง
"ก็วันสุดท้ายก่อนจะกลับพวกเจ๊กับแม่ฉัน เขาก็เข้าไปเลือกซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมอะไรสักอย่างกันอยู่ในร้านเป็นนานสองนาน ฉันเบื่อก็เลยออกมานั่งรอที่สวนสาธารณะแถวนั้นคนเดียวเพราะป๊ากับพี่เขยฉันเขาอาสาเฝ้าบ้าน...แล้วระหว่างรอฉันก็เห็นรถขายไอติมจอดข้างทาง ฉันก็เลยไปซื้อมากินรอฆ่าเวลา แต่พอเดิน ๆ ก็ดันเกิดสะดุดแผ่นปูกระเบื้องที่มันไม่เสมอกันล้ม...แล้วเจ้าไอติมที่ฉันซื้อมาก็เลยไปหล่นแหมะเอาที่รองเท้าของผู้ชายคนหนึ่งเข้า"
เจตต์นิ่งเงียบไปชั่วครู่ และมีสีหน้าสยดสยองเมื่อหวนคิดถึงชายที่เขาพบที่ LA คนนั้น
"หมอนั่นสวมสูท ใส่แว่นดำมองโครงหน้าผ่าน ๆ ก็น่าจะหน้าตาดีหรอก แต่ออร่าความโหดมันแผ่ออกมาเหมือนกับพวกมาเฟียในหนังยังไงยังงั้น แถมยังจ้องมาที่ฉันเขม็ง ถึงจะมองแววตาไม่เห็นก็เหอะ แต่ดูเขาจะไม่พอใจแน่ ฉันก็เลยรีบรน ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดรองเท้าให้เขาแต่พอขัดเสร็จหมอนั่นก็ดันมาจับข้อมือฉันหมับ ฉันงี้สะดุ้งสุดตัวจนมือไม้อ่อนไปหมด แต่หมอนั่นก็ยังจ้องฉันนิ่งเหมือนไม่พอใจฉันกลัวก็เลยบอกขอโทษแต่ก็ลืมตัวพูดเป็นภาษาไทยออกไปล่ะนะ หมอนั่นก็เลยชะงักแล้วเผลอปล่อยมือ ฉันก็เลยฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไปหลบในร้านที่ม๊ากับพวกเจ๊กำลังช็อปอยู่ แล้วแอบดูผ่านกระจกร้าน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นว่าเขาจะตามมาแต่กลับยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินหายไปที่ไหนแทนก็ไม่รู้....แต่ที่แน่ ๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดของฉัน นอกจากจะต้องกลายเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดรองเท้าแล้ว ยังหล่นหายไปไม่ได้คืนอีก น่ากลัวคงตกตอนฉันเผลอวิ่งหนีมาก็ได้...พอย้อนกลับไปดูก็ไม่เจอ สงสัยใครเก็บไปแล้วก็ไม่รู้"
เวทิตนิ่วหน้ารับฟังในท้ายประโยค แล้วจึงย้อนเพื่อนสนิทกลับไป
"ใครจะเก็บไป ผ้าเลอะไอติมแบบนั้น...นายลองไปดูในถังขยะหรือเปล่าล่ะ อาจจะมีคนเอาไปทิ้งที่นั่นให้ก็ได้"
เจตต์หันมามองเพื่อนแล้วจึงย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ
"ขนาดถ้วยโคนไอติมยังตกอยู่ที่เดิมเลย ...ฉันเองก็ตั้งใจจะไปค้นถังขยะดูหรอกนะ แต่พอม๊ารู้ว่าฉันจะไปทำอะไรก็เลยโดนด่าเปิง แล้วลากกลับโรงแรม ฉันก็เลยไม่ได้เช็คให้แน่ใจว่ามันอยู่ในนั้นจริงหรือเปล่าน่ะ"
เวหามองเพื่อนตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยถามราคาผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดของเจ้าตัวออกไปอย่างเกรงใจ
"ตกลงผ้าผืนนั้นราคาเท่าไหร่น่ะ แพงมากสินะ"
"ผืนละ 59 ซื้อจากตลาดนัดแถวนี้น่ะ"
คนที่ไปซื้อด้วยกันเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแทน ทำเอาเจตต์หันมาทำเป็นค้อนขวับใส่เพื่อนสนิทที่ขัดคอมาเช่นนี้
"แค่ 59 แล้วไง ถึงราคาจะไม่แพงมาก แต่คุณค่าทางจิตใจมันสูงกว่านั้นเยอะ!"
"เหอะ! ก็แค่คนขายเป็นแม่ค้าหุ่นเซ็กซี่ ที่หว่านล้อมให้ซื้อแล้วบอกว่าลายสก็อตนี่เหมาะกับน้องชายมากเลยนะคะ อะไรนั่นน่ะหรือ ...จะบอกให้นะ วันก่อนฉันเห็นเขามาขายที่ตลาด แต่คราวนี้มีผู้ชายที่ดูคล้ายสามีมานั่งคุมด้วย นายเลิกอ้างเอาผ้าเช็ดหน้าที่ซื้อใช้ ไปคุยกับเจ้าหล่อนฟรี ๆ โดยไม่ช่วยอุดหนุนอะไรนั่นได้แล้วล่ะ!"
เวหามองเพื่อนสนิททั้งสองตาปริบ ๆ แม้เขากับเวทิตจะเคยสนิทกันมากเมื่อสมัยเรียนมัธยมปลายก็จริง แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัย ด้วยความใกล้ชิดและพูดคุยรู้ใจแถมยังเข้าขากันได้ดี ก็ทำให้เวหารู้สึกว่าทั้งเจตต์และเวทิตนั้นดูสนิทสนมกันมาก เสียยิ่งกว่าเขาที่คบกับเวทิตมานานกว่าเสียอีก
"พวกนายนี่สนิทกันจังเลยน้า น่าอิจฉาจัง"
"หา! ฉันกับหมอนี่อะนะ! น่าจะเหมือนคู่กัดกันเสียมากกว่าอะ!"
เจตต์รีบแย้งกลับไปทันที ส่วนเวทิตเมื่อได้ยินดังนั้นจึงทำเป็นเปรยตอบพร้อมกับทำท่าเซ็ง เสียจนคนมองหมั่นไส้
"ใช่! อยู่กับหมอนี่แล้วมีแต่เรื่องชวนปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน"
"เหอะ! ใช่ซิ! แล้วทีหลังมีอะไร อย่ามาเรียกนายเจคนนี้ให้ไปเป็นเพื่อนแก้เหงาแล้วกัน ...พอหายเหงาก็ทิ้งเค้า พอเหงาก็กลับมาหากัน เชอะ!"
คนพูดแสร้งทำเป็นจีบปากจีบคอดัดเสียงแถมค้อนขวับให้ เสียจนเวหาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ส่วนเวทิตพอเห็นดังนั้นก็อดขำไม่ได้เช่นกัน เจ้าตัวจึงเกิดนึกสนุกเล่นตามน้ำไปด้วยเสียเลย
"โถ! หนูเจ ป๋าขอโทษ อย่างอนเลยนะ! เอ้า! ป๋าหอมแก้มให้ก็ได้!"
"อ๊าย! ไม่เอานะคะป๋า เจอาย! คนมองใหญ่แล้ว!เอ๋...?!"
คนทำเป็นสะบัดสะบิ้งเมื่อเพื่อนสนิทแกล้งทำเป็นจะหอมแก้ม ถึงกับชะงัก พลางเบิกตาค้างนิ่ง และนั่นจึงทำให้เวทิตมองตามสายตาเพื่อนไป รวมถึงเวหาที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ
"อ้าว! พี่ซัน ...มากับใครน่ะ หือ...หรือว่าญาติที่ว่านั่น..."
"เอ๋! คนนั้นน่ะ ญาติพี่ซันหรอกหรือ!"
เจตต์ถามเพื่อนของตนอย่างตกใจ ทำให้เวทิตขมวดคิ้วยุ่ง เขามองหนุ่มชาวต่างชาติที่ยืนอยู่ข้างกับรวีอีกครั้ง ก่อนจะหันมามองเพื่อนสนิทที่กำลังมีสีหน้าซีดเผือดข้างกายตน
"เป็นอะไรไปวะเจ ทำหน้ายังกับเห็นผี"
เจตต์เหลือบมามองคนตั้งคำถาม แล้วหันกลับไปมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้หยิบแว่นตาดำจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวม ซึ่งก็ยิ่งตอกย้ำให้เด็กหนุ่มมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า ตนนั้นจำคนไม่ผิดแน่
"ยิ่งกว่าผีอีกว่ะต้นฉันล่ะภาวนาให้สิ่งที่ฉันคิดแผลง ๆ อยู่ในหัวตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องจริงกับเขาล่ะนะ"
เจตต์พึมพำกับตัวเองพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ตอบ เพราะจู่ ๆ เรื่องที่รวีเคยพูดกับเขาเมื่อตอนช่วงราวปีก่อนที่พบกันเป็นครั้งแรก มันดันย้อนกลับมาแจ่มชัดในสมองเสียตอนนี้อย่างน่าประหลาด และเขาคิดว่า คงไม่มีคนไหนจะโกรธแค้นกับเรื่องถูกทำไอศกรีมหกใส่เท้า จนถึงกับต้องข้ามน้ำข้ามทะเล มาโผล่ตรงหน้าเขาเพื่อแก้แค้นแบบนี้แน่
...ก็ได้แต่ภาวนาว่า เรื่องหลงตัวเองที่เขากำลังคิดอยู่ตอนนี้ จะเป็นเรื่องไม่จริงเข้าให้ล่ะนะ ถึงตอนนั้นเขาจะยิ้มรับอย่างร่าเริง โดยไม่นึกอายเลยสักนิด ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจผิดไปเองนั่นล่ะ ...
เจตต์คิดในใจ ขณะที่ทำเป็นยิ้มเจื่อนสู้ใส่คนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับรวี และเริ่มแนะนำตัวเองว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอีกฝ่ายให้พวกตนได้รับรู้หลังจากนั้น...
... END ...
(Talk By...ปัด)
จบแล้วนะคะ อาจจะเป็นการจบที่ดูเหมือนตัดจบก็จริง แต่เป็นการจบเพื่อเริ่มเนื้อเรื่องของคู่ใหม่ ซึ่งก็คือ คู่ของเอริค และนายเจ นั่นเองค่ะ ซึ่งปัดจะเขียนเรื่องของคู่นี้เป็นเรื่องหลักต่างหาก ดังนั้นจึงอยากจะสร้างเรื่องเพื่อเกริ่นนำการพบกันของทั้งคู่ให้ผู้อ่านได้ทราบ โดยผ่านตอนพิเศษเช่นนี้ซึ่งปัดก็หวังว่าคงจะไม่ค้างคาใจกันเท่าใดนักนะคะ ยังไงก็รอติดตามคู่ใหม่ในเรื่องใหม่ แต่เป็นซีรียส์ตัวละครชุดเดียวกันด้วยนะคะ....ขอบคุณที่อ่านกันจนจบเล่มค่ะ
ps. แต่สำหรับคนที่ชอบพี่ซัน อาจจะมีตอนพิเศษของฝั่งนี้งอกมาเพิ่มอีกเรื่อย ๆ ก็ได้ ใครจะรู้เนอะ!
-
:mew1: :pig4:
-
พรหมลิขิตเล่นงานน้องเจเข้าให้แล้วล่ะ
งานนี้มีหวังได้สามีเป็นตัวเป็นตนแน่ๆ
เป็นการพบกันที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
ลงทุนมากเลยนะ เอาผ้าเช็ดหน้าผืนที่ชอบเช็ดรอยเปื้อนไอติมบนรองเท้าให้เอริค
รออ่านคู่นี้ในเรื่องต่อไปค่าา
-
ขอบคุณครับ สำหรับเรื่องราวน่ารักๆ
รออ่านคู่ใหม่ ด้วยคน
-
:mew1: สองคู่พี่น้องหวานได้ตลอดจริงๆ
น้องเจ เป็นซินเดอเรลล่า จะรอเรื่องใหม่นะคะ
:pig4:
-
:pig4: อีกครั้งค่ะ สำหรับนิยาย น่ารัก ๆ เรื่องนี้
ปูเสื่อ :katai3: รอ น้องเจ
-
เขาไม่ได้ตามมาเพราะแค้น เขามาตามเนื้อคู่ตะหาก :impress2:
บ้านนี้ท่าทางจะช่างตื๊อปักใจแล้วไม่ปล่อยทุกคน เตรียมตัวไว้เถอะเจตต์
-
สองคู่ไม่พอต้องเผื่อแผ่ไปถึงญาติด้วยซัน
-
ชอบเรื่องน่ารัก ราบรื่น ไม่เครียดมาก
เพราะในชีวิตคนส่วนใหญต้องมีเรื่องเครียดอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้าง
จึงชอบอ่านเรื่องที่ให้ความรู้สึกหวานๆ น่ารักๆ ไม่ดราม่าค่ะ
ขอบคุณมากๆที่แต่งเรื่องแนวนี้ให้อ่าน
:L2: :L2:
-
ขอชื่อเรื่องใหม่ลงให้ด้วยคะ ของคุณพี่มาเฟียเอริคกับพี่เจ ท่าทางพี่เจจะใส่ตีนหมาโกยแน่
-
:pig4:
รอเอริคกับน้องเจนะคะ อิอิ
-
:pig4:
อ่านรวดเดียวจนจบเลย และไม่ผิดหวังจริงๆ
เพราะอมยิ้มตลอดเรื่องค่ะ :katai2-1:
เรื่องคงความน่ารักใสๆ อ่านเรื่อยๆ เป็นเอกลักษณ์
ไม่ผิดหวังที่คลิ๊กเข้ามาอ่าน o13
ชอบซันฟ้า เมฆมีนมากเลย ตอนพิเศษที่อาจจะมี
ขอบทร้อนแรงสักนิดค่ะ ลุ้นให้ซัน เมฆสมหวังเสียหน่อย :impress2:
จะได้ครบรส 555 เป็นในเล่มก็ได้ค่ะ เตรียมหยอดกระปุกรอ
รอคู่ใหม่เอริคเจนะคะ :hao6:
เป็นกำลังใจและสนับสนุนคุณปัดเสมอค่ะ
:L2: :กอด1:
-
มารอคู่ใหม่จ้าาาาาาา
จะติดตามตลอดนะ
:3123: :3123: :3123:
-
ว๊ายๆๆๆ เจนายเสร็จแน่ ฮิ้ววว
-
พี่ซันยังน่ารักเหมือนเดิม
รอๆเอริคกะเจด้วยจร้าา
-
แต่ละคู่นี่ก็ช่างน่ารักกันเสียจริง
จะผิดไหมคะคนเขียนอยากจะอ่าน NC ไม่ได้หื่นน้าาาา
-
แบบนี้เค้าเรียกพรหมลิขิตชัดๆ
พอได้อ่านแล้วยิ่งอยากอ่านต่อ
:mew3:
-
อ่านแล้วหมอนเปียก กัด กรี๊ด จนเพลีย กันไปข้าง น่ารักทุกคู่เลยอะ
><// ขอตอนแถมอีกนิดได้ไหมอ่ะๆๆๆๆ
-
พี่ซันนี่มั่นคงดีจังเลยเนอะ แต่น้องฟ้าน่ารักแบบนี้ก็สมควรหลงอยู่หรอก
คู่เมฆมีนนี่มาไวนะคะ แต่ก๊าวมาก ยิ่งฉากที่มีนงอนไปตะโกนริมหาดแล้วพี่เมฆมาง้อเนี่ย
รอติดตามเอริคเจค่ะ ท่าจะโหดมันฮา
-
ขอบคุณคุณปัดค่ะ แต่งเรื่องสนุกๆให้ได้อ่านเสมอ
รอคู่เอริค-เจนะคะ
-
ยังอยากอ่านตอนพิเศษของพี่ซันเยอะๆเลยค่ะ
พี่ซันน่าร้าก น้องฟ้าโชคดีที่สุดเลยยยย :-[
-
:mew1:
-
ชอบเรื่องนี้ อยากเห็นตอนหนูเมฆหึงบ้างงงงงงงงงงง
ปล.อยากเห็นหนูเมฆเวอร์ชั่นทำงานแล้วด้วย อิอิ
-
งือออออ น้องต้องต้องโดนอีริคหมายหัวแน่ๆอ่ะ เจนสัมผัสได้
-
รอออออออออ
-
ชอบคู่เมฆมีน มากกกกกกกกกกกกกกกกก
ขอตอนพิเศษเมฆมีนบ้างสิคะ >.< ขอแบบเต็มตอนเลย มาแค่นี้ใจมันคิดถึงงงงงง
-
คู่ใหม่น่าลุ้นๆ :hao6:
-
อยากอ่านพี่ซันน :ling1:
-
o16
-
พี่ซันน้องฟ้า พี่เมฆน้องมีน สนุกมาก
เรื่องใหม่ก็น่าอ่าน
-
สิ้นสุดการรอคอย 15 ปี
น่ารักทุกคนเลย เข้าอกเข้าใจ กันดีจริงๆ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆ นะคับ
:pig4:
-
ขอบคุณครับ นิยายสนุกมากเลย
รอคู่เอริคกับเจอยู่
-
:mew1: คู่ใหม่ หน้าสนใจ จริงๆ ขอบคุณมากค่ะ อ่านแล้วสนุกค่ะ
-
สนุกจังเลยค่ะ
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ :pig4:
-
ว๊าว ความรักฟุ้งฟิ้ง กระดิ้งแมวจริงๆ ชอบจุง
-
เป็นเรื่องที่น่ารักมากๆค่ะ อ่านจนจบได้ สุดยอดเลย ปกติจะไม่ค่อยอ่านแนวนี้ ชอบดราม่ามากกว่า เรื่องนี้สดใส ทำเอาเรายิ้มเบาๆ แต่คาใจนะ ใครกดใคร?? อิอิ :mew3:
-
ชอบๆๆๆ คู่สุดท้ายนี่ยังไง มีต่อมั้ยค้าาา
-
ขออนุญาตใช้พื้นที่ประชาสัมพันธ์หน่อยค่ะ
นิยายเรื่อง ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว นี้แต่งขึ้น จากการร่วมกิจกรรม "สร้างงานให้เป็นเล่ม" ที่ปัดและเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งเข้าร่วมกิจกรรมกัน
จากนั้นปัดจึงนำนิยายที่แต่งจบแล้ว มาลงให้อ่านในบอร์ดไทยบอยเลิฟ ในช่วงที่ผ่านมา หลังกิจกรรมจบ
หลังจากที่ทำต้นฉบับไว้แจกเป็นรางวัลคนร่วมกิจกรรมเรื่องนี้เสร็จ ปัดก็เลยตั้งใจไว้ว่า
จะเอาต้นฉบับที่จัดหน้าไว้แล้ว ทำเป็นอีบุค แจกให้โหลดอ่าน "ฟรี" ค่ะ
โดยเนื้อหาก็จะเหมือนกับในบอร์ด แต่จะอ่านง่ายกว่า ถือเสียว่า เอาไว้อ่านรอภาคน้องเจแต่งแล้วกันนะคะ
ใครสนใจแวะไปโหลดอ่านกันได้เลยค่ะ ^^
:pig2:
คลิกไปโหลดกันได้ที่นี่ค่ะ
(http://www.harempat.com/picpat/thumbs/viu1413371521v.jpg) (https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=17533)
ถ้ากระทู้นี้ ผิดกฏกติกาเล้าก็แจ้งได้นะคะ จะรีบลบทันทีค่ะ
:mew2:
-
^
^
^ :pig4:
-
รอภาคน้องเจอยู่นะคะคุณปัด
-
รอภาคน้องเจอยู่นะคะคุณปัด
รอปัดเคลียร์ทำเล่มทำมือ กรงรักพันธนาการใจ (รีเมก) ก่อนนะคะ ^^"
คิวว่างจะรีบกลับมาปั่นค่ะ
-
อยากอ่านของเจกับเอริคเร็วๆจัง
ดูน่าจะสนุก อยากอ่านๆๆๆ
รีบมาต่อเร็วๆนะคะ
-
สนุกมากครับ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ :mew1: :mew1: :mew1:
-
น้องฟ้าน่ารักกกจังเลยค่า พี่ซันก็รักษาสัญญาได้เยี่ยมที่สุด
น้องมีกับนายเมฆนี่เร็วทันใจมาก
บ้านน้องฟ้าน่ารักที่สุด รักลูกมาก น่ารัก >●<
-
ขอบคุณมากค่ะคุณปัด
โหลดมารออ่านเรียบร้อย ^^
-
น่ารักดี รักจริงหวังแต่งกันน่าดูเลยนะเนี่ย แอบเสียดายนิดหน่อยที่เรื่องมันสั้นไป น่าจะยาวกว่านี้อ่ะ
ตอนที่ตัดจบเมฆกับมีนสารภาพรักกันแอบเซ็งไปแวบนึงเลย เพราะเรื่องปูมายาวกว่านี้ได้อีกอ่ะ
ส่วนซันกับฟ้า คู่นี้ไม่ค่อยรู้สึกไม่ดีอะไรนะ เพราะซันรักของเขามานานแล้วจริงๆ
ไงก็ขอบคุณสำหรับ e-book เรื่องนี้ที่แจกฟรีนะคะ ^^
-
ขอบคุณค่ะ น่ารักมาก ยิ้มได้ทั้งเรื่องเลย
ชอบพี่ซันอ่ะ ป๋ามาก ป๋าที่สุด
รอเอริคกะน้องเจนะค๊าาา ^^
-
น่ารักมากเลยคะ
จุ๊บๆ คนเขียน :mew1:
-
เป็นรักที่ทรหดและอดทน ใจมุ่งมั่นมากๆๆๆ :hao5:
-
ความรักเดียวใจเดียวและมั่นคงยาวนาน ช่วยพระเอกเรื่องนี้ได้มากๆ เลยแฮะ o13
ขอบคุณคนเขียนมากๆ ค่ะ :L2: :pig4:
-
เรื่องนี้น่ารักทุกคู่เลยค่ะ :-[
-
อ่านสนุกเอาเพลินดีครับ ไม่เครียดด้วย ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆนะครับ
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผ่อนคลาย เพราะไม่มีดราม่าเลยละ
-
จะบอกว่า
เข้ามารอคู่หลัก น้องเจจ้า
-
จบแล้วหรอ จบอย่างไงอ่ะ งง ???
-
น่ารักมากๆเลยค่ะ พี่ซันน้องฟ้า :pig4: :L2:
-
น่ารักมากๆๆๆ :mew1:
ขอบคุณที่นำนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านค่ะ :pig4: :pig4: :pig4:
-
สนุกดีน่ารักด้วยยย
-
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกก
อ๊ายยยยยยยยยย
จะมีบ้างไหมเนี๊ยผู้ชายอย่างพี่ซันในโลกนี้
รออ่านคู่เจต่อค๊าาาา
-
สนุกมากๆ น่ารักกกกกกกสุดๆ ชอบคู่พี่ซันกับน้องฟ้า ❤️
อ่านแล้วยิ้มปวดแก้มเลย :-[ คลายเครียดดีค่ะ
ขอบคุณนะคะ
ติดตามเรื่องน้องเจกับเอริค (>_<) เป็นคู่ที่น่าสนใจม๊ากมาก
จะมีตอนพิเศษคู่น้องฟ้ากับพี่ซันอีกไหมน้า แอบลุ้น
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
-
เราอยากรู้ว่าน้องฟ้าจะหุ่นมาดแมนแบบนี้ตลอดไปหรือเปล่า
ลึกๆแล้ว พี่ซันแกอยากได้แบบร่างบางบ้างไหม
:a11:
ต่อไปก็เมฆที่ต้องอดทนสินะกว่ามีนจะเรียนจบ โฮะๆ
ไม่เป็นไรนะพี่เมฆ ถือว่าที่ผ่านมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะแล้ว
แต่เรากลัวจะเป็นเจ้าน้องมีนน่ะสิที่อดใจไม่ไหว 5 55
:a3:
ซินเดอเรลล่าผ้าเช็ดหน้าตก อยากรู้จริงๆ ว่าตามหาได้อย่างไร?
สามารถมากพ่อมาเฟีย
:a1:
-
สวัสดีค่ะ นักอ่านชาวเล้าทุกท่าน ^^
หลังจากที่ทิ้งตอนพิเศษห้อยคู่ต่อทิ้งท้ายไว้นานหลายเดือน ช่วงนี้ก็แวะมาต่อให้แล้วค่ะ
(ถ้าใครลืมก็ย้อนไปอ่านภาคแรกได้นะคะ ตามลิงค์นี้เลยค่ะ)
สารบัญนิยาย ภาคแรก (พี่ซัน - น้องฟ้า)
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2782333#msg2782333)
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2782340#msg2782340)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2783306#msg2783306)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2784318#msg2784318)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2785305#msg2785305)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2786442#msg2786442)
บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2787461#msg2787461)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2788196#msg2788196)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2789427#msg2789427)
บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2790434#msg2790434)
บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2791344#msg2791344)
บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2792000#msg2792000)
บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2792977#msg2792977)
บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2793839#msg2793839)
บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2794501#msg2794501)
ตอนพิเศษ/1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2794800#msg2794800)
ตอนพิเศษ/2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.msg2795578#msg2795578)
สำหรับภาคต่อนี้ คู่หลักจะเป็นนายเอริค กับ น้องเจ แต่พวกน้องฟ้า พี่ซัน น้องมีน พี่เมฆ ก็ยังวนเวียนมาแจมอยู่ตามเดิมค่ะ
และเหมือนเดิมค่ะ สำหรับใครชอบอะไร ซับซ้อน ซ่อนเงือน มีปม อ่านแล้วต้องตามลุ้น เรื่องนี้ "ไม่มีให้" ค่ะ
แต่ถ้าชอบอ่านนิยาย เรื่อย ๆ ยิ้มได้เป็นพัก ๆ ไร้อุปสรรค ไร้ดราม่า (ก็มีบ้างแต่น้อยนิด) ก็เชิญอ่านเรื่องนี้ได้เลยค่ะ
-
ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว
ภาค เอริค – เจ
/1
เด็กหนุ่มรูปร่างโปร่งเพรียว ผู้มีสีผิวขาวและตาเรียวเล็กสมกับเชื้อชาติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ในตอนนี้เจ้าตัวกำลังเบิกตาชั้นเดียวให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อได้เห็นว่ามีใครคนหนึ่ง กำลังยืนอยู่หน้ารั้วบ้านเช่าของตน
"คะ...คุณเอริค...มาได้ไงวะเนี่ย!"
เจตต์หันซ้ายหันขวาคล้ายจะหาทางหนีทีไล่ ทว่าคนตัวสูงที่ตีหน้าขรึมซึ่งยืนอยู่หน้ารั้ว กลับหันมาเห็นเข้าให้เสียก่อน
"อรุณสวัสดิ์...เจ"
คนถูกทักสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันมาสบตาอีกฝ่าย พลางฉีกยิ้มแหย ๆ ส่งให้
"ง่า...สวัสดีครับคุณเอริค มีธุระแถวนี้หรือครับ"
เจตต์แสร้งถามออกไปทั้งที่รู้อยู่เต็มอกดีว่าอีกฝ่ายมาหาเขาเพราะอะไร
"อืม...ก็ตั้งใจมาพบเธอนี่ล่ะ"
ชายหนุ่มผมทองบอกตามตรง ทำเอาคนฟังฉีกยิ้มเจื่อน แล้วก็นิ่งเงียบไปเพื่อหาข้ออ้างหลบ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ทันเลยเอ่ยดักเอาไว้เสียก่อน
"ฉันตั้งใจจะมารับเธอไปส่งที่มหาวิทยาลัย"
"เอ่อ...แต่มหาลัยใกล้แค่นี้เองนะครับ"
เด็กหนุ่มแย้งกลับไปเสียงอ่อย ๆ ใจจริงอยากจะปฏิเสธออกไปตามตรง แต่ก็ติดที่อีกฝ่ายนั้นเป็นญาติของแฟนเพื่อน แถมยังอายุมากกว่าเขาอีกหลายปีด้วยซ้ำ
"เธอกินข้าวเช้าหรือยังล่ะ"
คำถามถัดมาจากเอริคหลังจากที่ถูกแย้งเรื่องที่เขาจะมารับอีกฝ่ายไปส่งที่มหาวิทยาลัยของเจ้าตัว ทำให้คนฟังชะงักแล้วเผลอหลุดปากบอกไปตามตรง
"เอ๋...ยังครับ"
"ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินข้าวเช้าด้วยกัน แล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง"
เอริคบอกเสียงเรียบและใช้นัยน์ตาสีเขียวคมกริบจับจ้องมาแกมบังคับ ทำให้อีกฝ่ายฉีกยิ้มเจื่อน แล้วพยายามหาข้อแก้ตัวปฏิเสธเต็มที่
"แต่ว่า...คือ..."
"รังเกียจที่จะกินข้าวด้วยกันกับฉันอย่างนั้นหรือ"
น้ำเสียงที่ถามตามมาเริ่มเข้มขึ้น จนคนฟังสะดุ้งโหยง แล้วรีบสั่นศีรษะไปมา
"ปะ...เปล่านะครับ!"
เอริคหรี่ตามองคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยตัดบทห้วน ๆ
"งั้นก็มาด้วยกัน"
"ง่า...ครับ"
เจตต์จำต้องรับคำอย่างจำยอม พลางคิดในใจว่า อีกฝ่ายนั้นช่างสมกับเป็นญาติของรวีเสียเหลือเกิน ในเรื่องความเอาแต่ใจนั้นช่างเหมือนกันไม่มีผิด แม้ว่าจะแสดงออกกันคนละแบบก็ตามที...
...ถ้าจะย้อนความกันไปว่าเขากับหนุ่มฝรั่งผมทองสุดหล่อมาดเข้มคนนี้มารู้จักกันได้อย่างไร ก็คงต้องบอกว่า พวกเขานั้นรู้จักกันในแบบบังเอิญสุด ๆ ชนิดที่เขานั้นไม่อยากจะให้เกิดขึ้นเลยสักนิด
เรื่องราวในครั้งนั้นก็คงต้องเริ่มต้นจากการที่เขาตามครอบครัวไปเที่ยว LA และระหว่างที่รอพี่สาวและมารดาช็อปปิ้งอยู่ เขาที่เซ็ง ๆ ก็เดินไปซื้อไอติมกิน และก็ด้วยความบังเอิญหรือซุ่มซ่ามก็สุดจะรู้ได้ เขาดันสะดุดพื้นแล้วล้มหน้าทิ่มจนไอติมในมือหก และหากว่ามันหกลงไปแหมะบนถนนก็คงไม่มีปัญหา แต่มันดันกระเด็นไปเลอะบนรองเท้าหนังมันปลาบราคาแพง ของคนหน้าขรึมสวมแว่นดำ ท่าทางเหมือนพวกมาเฟีย ที่นั่งพักอยู่แถวนั้นเอาเข้าพอดี
และตัวเขาก็ไม่คิดเลยว่า เรื่องที่เขาตื่นตระหนกจนเผลอคว้าผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดมาเช็ดถูรองเท้าให้อีกฝ่ายจนสะอาดนั่น มันจะกลายเป็นชนวนแห่งความประทับใจของคุณพี่มาดเข้มผู้นั้น ให้บินมาตามหาเขาถึงที่ประเทศไทย ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังเป็นญาติของแฟนเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งแฟนของเพื่อนที่ว่านั่นก็เป็นถึงลูกชายของมาเฟียอเมริกา ถึงบิดาของเจ้าตัวจะประกาศวางมือทิ้งทุกอย่าง แล้วเตรียมตามลูกชายมาอยู่ด้วยกันที่ไทยในอีกไม่ช้านี้ก็เถอะ...
เจตต์เผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาคนที่เดินนำหน้าได้ยินแล้วเหลือบมามองเด็กหนุ่มที่เดินตามมาด้วยกัน...
เอริคยังจำวันแรกที่เขาตามลูกพี่ลูกน้องของตนมาที่เมืองไทย และได้เห็นสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดหวั่นสุด ๆ ของคนที่เขาตั้งใจติดตามหาจนพบ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาเข้าใจดีเลยว่า ความรักครั้งนี้ คงจะไม่ได้ง่ายดายเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา
แต่ถึงอาจจะต้องเสียเวลาในการตามตื๊อตามจีบกันไปสักหน่อย แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังพึงพอใจในเรื่องที่ว่า รูปร่างหน้าตาและฐานะการเงินของเขา ไม่ได้มีส่วนที่จะทำให้เจตต์นั้นเกิดความสนใจได้ อีกอย่างเอริคนั้นไม่ต้องการคนที่จะรับรักเขาเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกและทรัพย์สินที่เขามี เหมือนกับอดีตคนรักคนอื่น ๆ ที่ผ่านมาอีกแล้วด้วย
"ตกลงจะกินอะไร...กาแฟ แซนวิช หรือ ร้านข้าวต้มข้างทาง"
คำถามและข้อเสนอที่ทำให้คนซึ่งกำลังจะอ้าปากบอกชะงักค้าง ก่อนจะฉีกยิ้มเจื่อนส่งให้อีกฝ่าย
"คุณเอริคกินร้านข้างทางได้หรือครับ"
"แล้วทำไมจะกินไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นอาหารเหมือนกัน"
เจตต์กลืนน้ำลายลงคอ แม้อีกฝ่ายจะสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงผ้าเพื่อให้เข้ากับอากาศในเมืองไทยก็ตาม แต่มองเนื้อผ้าปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของแบรนด์เนมชั้นนำ ชนิดที่หากจะต้องให้อีกฝ่ายไปนั่งกินในร้านประจำของเขา ก็ดูออกจะสงสารเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายใส่อยู่ไม่น้อย
"ถึงอากาศตอนเช้าที่นี่จะไม่ร้อนมากเหมือนตอนกลางวันตอนบ่าย แต่กินข้าวต้มร้อน ๆ แต่เช้า คุณจะโอเคหรือครับ"
เจตต์ถามด้วยความเป็นห่วงแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนหน้าขรึมมีรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้เขา
"ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ถ้าอะไรฉันกินไม่ได้ แล้วฉันจะบอกเอง"
คนฟังส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ และสุดท้ายเขาก็ต้องพาชายหนุ่มไปยังร้านข้าวต้มเช้า ที่มีทั้งข้าวต้ม โจ๊ก รวมไปถึงพวกต้มเลือดหมู เจ้าประจำ ที่พอป้าเจ้าของร้านเห็นมีฝรั่งรูปหล่อเข้าร้าน แกก็รีบกุลีกุจอมาต้อนรับอย่างตื่นเต้น และยังแถมพิเศษอย่างที่ไม่เคยจะมีให้เขามาก่อนด้วยอีกต่างหาก...
"นายเปิดโอกาสให้คุณเอริคเขามากเกินไป ถ้าไม่อยากให้มาคอยตื๊อคอยจีบ ก็ปฏิเสธไปตรง ๆ เลยสิ"
เวทิตบอกอย่างเอือมระอา เมื่อเพื่อนสนิทมาบ่นโอดครวญให้เขาและเวหาฟังว่าถูกตามตื๊ออย่างหนักตั้งแต่เช้า แถมหลังกินอาหารเสร็จเอริคก็กึ่งชวนกึ่งบังคับให้เขาขึ้นรถคันหรูของเจ้าตัว มาส่งถึงที่หน้าคณะทั้งที่จริง ๆ เขาเดินมาแค่สิบนาทีกว่าก็ถึงแล้วแท้ ๆ
"ก็ฉันเกรงใจอะ อีกอย่างเขาก็เป็นญาติพี่ซันด้วย"
เจตต์รีบแก้ตัว ทว่าเวหาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
"พี่ซันเขาบอกฉันว่า เรื่องของความรักเป็นเรื่องส่วนตัว พี่เขาไม่ก้าวก่ายหรอก ถ้านายไม่อยากรับรักเขาก็ปฏิเสธไปอย่างที่ต้นบอกก็ได้"
คนฟังชะงักแล้วมีสีหน้าคิดหนัก จนเวหาเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไป
"หรือว่านายชอบคุณเอริคเขาเข้าแล้ว"
คำถามนั้นทำเอาคิดอะไรเพลิน ๆ สะดุ้งโหยงแล้วรีบสั่นศีรษะไปมายกใหญ่
"ไม่มีทาง! และต่อให้ฉันชอบผู้ชายด้วยกันจริง ๆ ฉันก็มีสเป็คของฉัน แล้วที่สำคัญฉันไม่มีวันเป็นฝ่ายรับเด็ดขาด!"
เวทิตขมวดคิ้วยุ่ง ส่วนเวหาหน้าแดงนิด ๆ เมื่อหวนคิดถึงเรื่องของตนกับคนรักบ้าง
"ไม่อยากรับก็ขอคุณเอริคเขาดี ๆ สิ เผื่อบางทีเขาอาจจะชอบรับแทนรุกก็ได้"
เวทิตบอกหน้าตาเฉย ส่วนเวหาก็ยิ่งหน้าแดงหนักขึ้น เพราะแม้จะมีแฟนแล้วแถมแฟนยังเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่เขากับรวีก็ไม่เคยทำอะไรที่มากกว่าจูบและเล้าโลมทางกายเล็ก ๆ น้อย ๆ มาก่อนด้วยซ้ำ
"ไม่มีทาง! ที่สำคัญหุ่นแบบนั้น หน้าเข้มแบบนั้น ขืนเป็นรับเข้า...บรึ๋ย! แค่คิดก็สยองแล้ว"
"เอ่อ...ฉันว่าก่อนจะไปถึงขั้นเลือกสถานภาพรุกรับ...ตกลงว่านายพร้อมโอเคเป็นแฟนกับคุณเอริคเขาแล้วแน่หรือเจ"
เวหาแย้งขึ้นมาค่อย ๆ ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะคุยเจาะลึกกันไปมากกว่านี้
"ไม่แน่นอน!"
เจตต์รีบหันมาบอกกับเพื่อนอีกคน จากนั้นเจ้าตัวก็นิ่งเงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเขาหรอกนะ...เท่าที่ได้คุยกันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี่ ก็ทำให้พอจะมองออกว่าเขาก็เป็นคนนิสัยโอเคคบง่าย ...อาจจะดูทำตัวขรึม ๆ ดุ ๆ หน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นบ้าอำนาจ... แต่ถ้าจะให้คบกันถึงขั้นเป็นคนรัก คงลำบากใจ ...อ้อ! ไม่ใช่ฉันแอนตี้เรื่องความรักระหว่างเพศเดียวกันหรอกนะ แต่..."
เจตต์ลังเลว่าจะพูดดีไหม เจ้าตัวมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าปลอดคนอื่น นอกจากพวกเขาที่นั่งอยู่แถวนั้น เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกไป
"ฉันไม่รังเกียจคุณเอริคเขาก็จริง... แต่ฉันกลัวว่ะ! ขืนไปรับรักแล้วลองคบหาพี่แกเป็นแฟน แล้วเกิดฉันไปเหล่มองคนอื่นเข้า มีหวังได้เป็นไข้โป้งตายก่อนวัยอันควรแหงม... พวกนายก็รู้นิสัยฉันดีไม่ใช่หรือว่า ชอบเหล่อะไรสวย ๆ งาม ๆ แถมยังปากพูดไปก่อนใจคิด ...ฉันกลัวคุณเอริคจะเข้าใจผิด แล้วจับฉันถ่วงน้ำโบกปูนเป็นอาหารปลาเข้าให้สักวันน่ะ"
เวหานั้นถอนหายใจเบา ๆ กับความขี้กลัวของเพื่อนสนิท ส่วนเวทิตก็สั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอาแทน
"ถ้าเขาชอบนายจริง เขาก็คงไม่โหดกับนายด้วยเรื่องผิดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหรอก ...อีกอย่างพี่เมฆกับพี่ซันก็เคยบอกย้ำให้ฟังแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องปืนนั่นมันเป็นอุบัติเหตุปืนลั่น แล้วอีกอย่างคนรักเก่าของคุณเอริคตอนนี้เขาก็ไม่ได้โดนยิงตายไม่ใช่หรือไง"
เจตต์หันไปฟังเวทิตพูดบ่น แล้วนึกหวนถึงเรื่องที่รวีบอกกับเขาเมื่อครั้งก่อนหน้านั้น
'แฟนเก่าของหมอนั่นตอนอุบัติเหตุปืนลั่นนั่นก็เจ็บถาก ๆ ที่แขนนิดหน่อยเองครับ ...อ้อ แต่หลังจากเอริคเลิกสนใจเขาแล้ว แฟนเก่าของเขาก็โดนทางครอบครัวหมอนั่นยำหนักใช่ย่อย ขนาดพ่อของพี่ยังไปร่วมแจมด้วยเลย...พวกนี้นี่นะรักญาติพี่น้องเกินเหตุ จนคนอื่นพากันเข้าใจหมอนั่นผิดหมด'
คำพูดของรวียิ่งตอกย้ำให้เจตต์มั่นใจว่า ตนนั้นควรถอยห่างจากเอริคจะดีที่สุด เพราะต่อให้เกิดเรื่องเลิกรากันไป แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้ลงมือเอง แต่เขาคงไม่แคล้วจะต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวที่แสนจะรักศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายก็เป็นได้
"เออ! ไม่ตายเพราะคุณเอริค แค่เกือบปางตายเพราะโดนครอบครัวเขารุมเล่นงานไงล่ะ โอ๊ย! ต่อให้อะไรก็เหอะ ยังไงฉันก็ทำใจยอมรับรักพี่แกได้ยากอยู่ว่ะ... ถ้ามาแบบตัวเล็ก ๆ น่ารัก ยิ้มง่าย เป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างน้องมีน ไอ้เราจะไม่ว่าสักคำ"
"เหอะ ๆ แค่เรื่องโดนตื๊อยังไม่พอ ยังจะปากเปราะหาเรื่องให้พี่เมฆเขามาเขม่นอีกหรือไง"
เวทิตเอ่ยประชดอย่างหมั่นไส้ ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้เวหา
"ฟ้าอย่าไปฟ้องพี่เมฆนะ ...ฉันยังไม่อยากโดนดักกระทืบหน้าบ้านน่ะ"
เวหาฟังแล้วก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะด้วยความระอาเช่นเดียวกับเพื่อนอีกคน
"นายนี่นะ...ตกลงลำบากใจจริงหรือเปล่าเนี่ย เห็นพูดเล่นอยู่ได้"
"ฉันก็คิดเหมือนฟ้าว่ะ ตกลงนายลำบากใจเรื่องที่ถูกตามจีบจริงหรือเปล่าวะเจ ...หรือนายจะเป็นประเภทเล่นตัวเพื่อเพิ่มความน่าสนใจกัน"
เจตต์ชูนิ้วกลางใส่เพื่อนของเขาก่อนจะสบถตามมา
"เล่นตัวบ้านเอ็งสิวะ! นี่เพื่อนกลุ้มจริง ๆ นะเนี่ย!"
"เออ ๆ เชื่อว่ะว่ากลุ้ม"
เวทิตบอกอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอเห็นเพื่อนทำหน้ามุ่ยอย่างนึกงอน เขาก็กลับมาถามอีกฝ่ายอย่างจริงจังมากขึ้น
"แล้วเย็นนี้เอาไง คุณเอริคเขาคงมาดักรอรับนายเหมือนวันที่ผ่านมาแน่ ...ถ้าอยากปฏิเสธก็ต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแล้วนะ ขืนยอมกลับพร้อมเขาอีก ก็ยิ่งเท่ากับสร้างความหวังให้เขามากขึ้นนั่นล่ะ"
เจตต์จ้องมองหน้าเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ตามมา
"เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน คราวนี้ล่ะจะปฏิเสธซึ่ง ๆ หน้าให้ได้เลย!"
หลังเวลาเลิกเรียน เจตต์ที่มักจะคอยหาเรื่องหลบหน้าเอริคในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่วันนี้เจ้าตัวกลับเป็นฝ่ายเดินไปเผชิญหน้าชายหนุ่มด้วยตัวเอง ทำให้คนที่ยืนกอดอกพิงรถรออยู่จ้องมองอย่างนึกแปลกใจ
"แปลกนะ ที่วันนี้เธอยอมมาพบฉันโดยไม่หนีได้น่ะ"
เอริคถามพร้อมกับจ้องหน้า ซึ่งก็ทำให้เด็กหนุ่มชะงัก ใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อย่างนึกหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่ายไปตามตรง
"คุณเอริคครับ! ผมคงเป็นคนรักให้คุณไม่ได้หรอกครับ! ขอโทษด้วยนะครับ!"
เจตต์บอกออกไปแล้วก็สะดุ้งโหยงเผลอถอยหลังหนีไปสองสามก้าวอย่างลืมตัว เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่ขรึมลงจนน่ากลัว
"เหตุผลล่ะ...ถ้ายอมรับไม่ได้ก็คงจะมีเหตุผลให้รับฟังกันบ้างสินะ"
"เอ่อ...ก็..."
เจตต์อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าบอกสิ่งที่คิดออกไปตามตรง ทำให้คนฟังสรุปตัดบทเอาเองดื้อ ๆ
"ถ้าไม่มีเหตุผลดี ๆ ล่ะก็ ...ฉันก็คงตัดใจไม่ได้หรอก"
"หา! แบบนั้นผมก็ลำบากสิครับ!"
"ลำบาก? ตรงไหนล่ะ"
"ก็คุณเล่นมาตื๊อเช้าเย็นแบบนี้...ผมก็ถูกคนอื่นมองว่าผมเป็นคู่ขาของคุณเข้าให้ แล้วสาว ๆ ที่ผมเล็งไว้แต่ละคนก็ถอยหนีห่างหมด...ง่า..."
"เธอชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างนั้นสินะ"
"ก็ประมาณนั้นล่ะครับ อ๊ะ...แต่ก็ไม่ได้รังเกียจคนที่รักชอบเพศเดียวกันนะครับ"
เจตต์รีบบอกตามมา ทำให้คนหน้าบึ้งชะงักแล้วเริ่มคลายสีหน้าเคร่งขรึมลง พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้น
"เธอนี่เป็นเด็กที่แย่จริง ๆ จะปฏิเสธคนทั้งที ก็อย่ามาทำใจดีให้ความหวังกับคนที่ตัวเองจะปฏิเสธสิ"
"ง่า...ผม..."
เจตต์อ้าปากพะงาบ ๆ พูดต่อไม่ออก พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของชายหนุ่มก็ทำเอาเขาใจร้ายปฏิเสธเสียงแข็งไม่ลงเสียอย่างนั้น
"เอาเถอะ...ถ้าเธอยังไม่มีใคร ฉันก็ขอตามตื๊อต่อแล้วกัน อีกอย่างเธอก็ไม่เคยคบกับผู้ชายด้วยกันมาก่อนใช่ไหม ไม่แน่ว่า จริง ๆ แล้ว เธออาจจะชอบทางด้านนี้มากกว่าก็ได้ ...จริงไหม"
คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ ที่แผนการปฏิเสธของเขาพังไม่เป็นท่า แถมถ้ามองไม่ผิด ดูเหมือนคนตรงหน้านั้นจะยิ่งสนใจเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ
“ง่า...ครับ”
เจตต์รับคำอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่แค่คำพูดนั้น หากแต่นัยน์ตาคมกริบกึ่งบังคับที่จ้องมา ก็ทำให้เขาไม่กล้าที่จะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรออกไป จำได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปขึ้นรถด้วยความกลัว จนเวหาและเวทิตที่แอบมองอยู่ห่าง ๆ ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ไล่เลี่ยกัน
“สภาพอย่างนี้คงไม่รอดแน่ว่ะเพื่อนเรา สงสัยจะได้แฟนเป็นผู้ชายเข้าให้อีกคนเสียแล้ว”
เวทิตพึมพำ ทำเอาคนที่อยู่ข้าง ๆ สะดุ้ง จนคนพูดรู้สึกตัว
“ง่า...ฉันไม่ได้หมายความในทางที่ไม่ดีนะฟ้า”
“อือ...รู้น่า ไม่ได้โกรธอะไรหรอก ...และจริง ๆ เท่าที่ฟังจากพี่ซันเล่า และได้เห็นมา คุณเอริคเขาก็เป็นคนจริงใจและเสมอต้นเสมอปลายดีออก ...ถ้าเจคิดจะคบเขาจริง ฉันว่าเขาก็คงดูแลและไม่ทำให้เจต้องเสียใจแน่”
เวทิตเหลือบมองคนข้างกาย แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา เพราะยังไงเอริคก็เป็นญาติกับรวี และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่า คนตระกูลนี้ นิสัยรักแรงนี่คงจะเป็นเหมือนกัน ถ้าหากเจตต์ตกลงปลงใจคบกับเอริค มีหวังเพื่อนของเขาคงได้ทั้งแฟนทั้งสโตกเกอร์ คอยตามประกบติดไม่ห่างเช่นเดียวกับเวหาเจออยู่เป็นแน่
... TBC …
ช่วงนี้ร้างราไปนาน หากพบเจอคำผิดหลุด ๆ ออกมาก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ สายตาชักแย่ค่ะ อ่านตรวจทานรอบสองรอบ บางทียังหลุดมาได้ บางทีเขียนผิดแบบไม่น่าอภัยก็มี เจอก็แจ้งกันได้ค่ะ ^^
ป.ล. สำหรับเรื่องนี้มาตอนละสั้น ๆ นะคะ ไม่ได้ยาว แต่ก็ไม่ค้างคานักค่ะ พยายามให้จบฉากในแต่ละตอน ๆ ไป
-
ในที่สุด็สมหวัง รอภาคเจมานาน
-
ดีใจจังในที่สุดก็ได้อ่านภาคต่อแล้ว
น้องเจเด็กน้อยจังเลย. ค่อยๆเรียนรู้ไปนะอย่าเพิ่งปิดกั้นตัวเอง
คุณเอริคสู้ๆ. :mew1:
คนแต่งสู้ๆค่ะ
-
มาต้อนรับน้องเจค่า :pig2: :mc4:
เจจ๋าอย่าคิดมากได้ทั้งแฟนทั้งสโตกเกอร์อ่ะเก๋กู้ดจะตาย
เวทิตอ่ะไม่รู้อะไรซะแล้ว 2 in 1 เลยนะ!! คุ้มมมมมมม
ว่าแต่คู่น้องฟ้ากับพี่ซัน...
เขาลูบคลำกันยังไงบ้างหว่า ไม่เข้าใจ เอิ๊ก :hao7:
เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่า
-
ไม่รอแน่งานนี้ น้องเจ ออกจะเป็นที่หมายปองของ เอริค ซะขนาดนี้
-
:L2:
บทที่
/2
นับจากวันที่เอริคมาเมืองไทยเพื่อคอยตามตื๊อเด็กหนุ่มที่เจ้าตัวหมายปอง เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเกือบอาทิตย์ ทว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งสองคนก็ยังคงไม่คืบหน้าไปจากวันแรก ๆ สักเท่าใดนัก...
ช่วงพักกลางวันของวันหนึ่ง เวหากำลังจ้องมองเพื่อนสนิทที่ยืนโวยวายกับโทรศัพท์อย่างประหลาดใจ และเมื่อเจตต์นั้นเดินกลับมารวมกลุ่มกับเขาและเวทิตอีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงเอ่ยถามเพื่อนออกไปตามตรง
“มีอะไรเหรอเจ ทะเลาะกับพี่สาวหรือไง”
การที่เวหาถามออกไปเช่นนั้น เพราะก่อนหน้าที่เจตต์จะเดินเลี่ยงไปโทรศัพท์คุยเป็นการส่วนตัว อีกฝ่ายได้บอกเขาว่า สายที่โทรเข้านั้นมาจากพี่สาวนั่นเอง
“ก็เจ๊จอยอะดิ! เล่นโทรมาบอกว่าวันหยุดยาวงวดนี้ฉันไม่ต้องกลับมาบ้านหรอก ให้ไปสิงอยู่ตามบ้านเพื่อนใครก็ได้แทน ถึงกลับมาบ้านก็ไม่มีใครอยู่ เพราะทั้งเจ๊ ป๊าแล้วก็ม๊า เค้าจะไปทัวร์ยุโรปกันยันปีใหม่โน่นเลย แถมยังกำหนดวันเดินทางยังเป็นช่วงก่อนมหาลัยจะปิดอีกต่างหาก!”
“โห! เที่ยวยุโรปเป็นเดือน ไปรวยกันมาจากไหนวะพ่อแม่นาย ขายที่ได้เหรอ”
เวทิตเอ่ยแซวเพื่อนสนิท ซึ่งคำพูดนั้นก็ทำให้เจตต์แสร้งค้อนใส่
“บ้าสิ! ที่ดินทำกินน่ะป๊าฉันไม่ขายหรอก เพราะเขากลัวจะไม่เหลืออะไรให้ฉันผลาญตอนแก่!”
เจตต์ประชด ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวที่ได้ยินจากการสนทนาให้เพื่อนทั้งคู่ฟังต่อ
“จริง ๆ ก็คือ เจ๊จอยแกเลิกกับแฟนที่คบอยู่น่ะ แล้วเกิดอาการเบื่อเมืองไทยขึ้นมากะทันหัน ป๊ากับม๊าก็กลัวเจ๊แกจะเป็นโรคซึมเศร้า ก็เลยชวนกันไปเที่ยวต่างประเทศ เจ๊เขาก็ตอบตกลง แล้วเอาข้าวของทุกอย่างที่แฟนเก่าซื้อให้ไปขายทิ้งให้หมด พวกนายก็รู้ไม่ใช่หรือว่าแฟนเก่าเจ๊แกน่ะเป็นไฮโซ ให้ของขวัญแต่ละชิ้นเหยียบหมื่นเหยียบแสนตลอด เจ๊แกก็เลยสบายไป ได้ตัดใจลืม แถมได้เงินเที่ยวอีกด้วย”
“จะตัดใจได้ง่าย ๆ จริงหรือ เห็นพี่จอยเคยบอกว่ารายนี้รักจริงหวังแต่งไม่ใช่หรือไง”
เวทิตขัดขึ้นอย่างพอจะรู้จักพี่สาวของอีกฝ่ายดี เนื่องจากเมื่อตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ ๆ เขานั้นเคยไปนอนค้างที่บ้านของเจตต์อยู่บ่อย ๆ จนเมื่อเจตต์ย้ายมาอยู่บ้านเช่าใกล้มหาวิทยาลัยในตอนปีสองเพราะเรียนหนักขึ้น เขาก็เริ่มเหินห่างกับครอบครัวของเพื่อนสนิทไปบ้าง
“ช่วยไม่ได้...ก็มันดันไปนอกใจเจ๊เขาเองนี่หว่า พี่สาวฉันน่ะนิสัยเสียอย่างอื่นทนได้หมด ขออย่างเดียวอย่าเจ้าชู้ แต่ไอ้คุณแฟนเจ๊มันก็ดันละเมิดคำเตือนเจ๊เข้าให้จนได้ แถมยังโดนจับได้แบบคาหนังคาเขาตอนกำลังกอดจูบลูบคลำแบบต่อหน้าต่อตาด้วยแล้ว มันก็จบเกมล่ะนะ... อีกอย่างที่เจ๊เขาจะรีบเดินทาง ก็เพราะหมอนั่นเล่นมาตามตื๊อไม่ยอมเลิก เห็นบอกว่ารักจริงหวังแต่งแค่เจ๊คนเดียว ส่วนผู้หญิงคนอื่นก็แค่เล่น ๆ เหอะ! เจ๊ก็เลยไม่อยากอยู่เมืองไทยให้รำคาญใจมากไปกว่านี้ไงล่ะ ...ฉันก็เลยซวยโดนปล่อยเกาะให้อยู่คนเดียวเป็นเดือนเลย แย่ชะมัด!”
เจตต์บ่นอุบยาว เพราะถึงแม้จะเบื่อเวลาไปท่องเที่ยวกับครอบครัวอยู่บ่อย ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ เขาก็ไม่ค่อยชอบเวลาที่จะต้องอยู่คนเดียวแบบนี้นัก
“งั้นมาค้างที่บ้านฉันไหมล่ะเจ คนเยอะครึกครื้นดี จะได้ไม่เหงาไง”
เวหาเอ่ยชวนเพื่อน ซึ่งเจตต์ก็ชะงักเล็กน้อย เจ้าตัวหวนคิดถึงฝีมือทำอาหารแสนอร่อยของมีนาและมารดาของเวหา แล้วก็รีบตอบตกลงทันที
“โอเค! กำลังคิดอยู่เลยว่าจะฝากปากฝากท้องที่ไหนดี! ขอบใจมากเลยนะฟ้า!”
“จริง ๆ ถึงไม่ต้องไปค้างกับฟ้า อยู่ที่นี่ก็มีคนคอยมาเทียวรับส่งเลี้ยงข้าวนายอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”
เวทิตเอ่ยแซว ซึ่งนั่นก็ทำให้คนฟังสะดุ้ง แล้วหันขวับมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนของตนทันที
“ก็นั่นล่ะที่เป็นอีกเหตุผลที่ฉันไม่อยากค้างที่นี่ เกิดคุณเอริคเขาหน้ามืดปล้ำฉันเข้า ฉันจะร้องให้ใครช่วยได้กันล่ะ!”
เวทิตถอนหายใจยาวกับคำพูดกลุ้มใจที่ดูเหมือนทีเล่นทีจริงของเพื่อนสนิท ส่วนเวหาก็อมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตบบ่าอีกฝ่าย
“เอาน่า ๆ คุณเอริคเขาคงไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะถ้าเขาจะทำ เขาก็คงหาโอกาสทำไปตั้งนานแล้ว นายเองก็เคยให้เขาเข้าบ้านอยู่หลายครั้งไม่ใช่หรือไง”
“ง่า...นั่นให้เข้ามากินน้ำนั่งพัก ขอบคุณที่เขาอุตส่าห์มาส่งต่างหาก”
เจตต์รีบแก้ตัว ซึ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายจากเวทิตได้อีกครั้ง
“นายนี่นะ ปากก็บอกว่ากลัวเขาอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่อยากเป็นแฟนด้วย แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่กล้าตัดขาด แถมยังทำตัวให้ความหวังเขาตลอด...เชื่อเหอะว่ะเจ นายน่ะไม่แคล้วเสร็จคุณเอริคเข้าให้สักวันแน่ล่ะ!”
เจตต์สะดุ้งโหยงพลางโพล่งกลับเสียงลั่น
“เฮ้ย! ไหงแช่งเพื่อนแบบนั้นวะ!”
“ไม่ได้แช่ง แค่พูดความจริงต่างหาก”
เวทิตแย้งกลับ ทำเอาเวหาต้องเข้ามาห้ามเพื่อนทั้งสองก่อนที่จะโต้เถียงกันใหญ่โตไปยิ่งกว่านี้
“เอาน่า ทั้งสองคนเลิกเถียงกันเถอะ...ว่าแต่นายล่ะต้น จะไปค้างที่บ้านฉันด้วยอีกคนไหม”
“อืม...อาจจะได้แค่อาทิตย์เดียวนะ เพราะขืนอยู่นานกว่านั้น คงโดนแม่บ่นแย่”
เวทิตบอกไปตามตรง ซึ่งเวหาก็ไม่ถือสา เพราะเขาเข้าใจมารดาของเพื่อนสนิทดีว่า คงอยากใช้เวลาส่วนตัวกับลูกชายกันตามประสาครอบครัวในช่วงวันหยุดบ้างนั่นเอง
“ก็เอาตามสะดวกแล้วกัน...จะนอนที่บ้านฉันหรือยืมบ้านพักของพี่ซันนอนก็ได้นะ”
ทั้งเวทิตและเจตต์พอได้ยินก็พากันพยักหน้าหงึกหงัก เพราะต่างก็เคยได้เห็นรูปบ้านพักหลังใหม่สไตล์รีสอร์ทของรวีกันมาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นสถานที่จริง ๆ กับตาตัวเองเลยสักที
“โอเค! งั้นฉันจะบอกพี่ซันกับที่บ้านไว้ล่วงหน้า ว่าพวกนายจะมาค้างด้วยตอนช่วงวันหยุด...คงสนุกครึกครื้นกันน่าดูเลยนะ”
เวหาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง ซึ่งเพื่อนของเขาก็ยิ้มตอบ แล้วต่างช่วยกันคิดวางแผนการใช้เวลาในวันหยุดกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาเข้าเรียนวิชาถัดไป
ตกเย็นภายในวันเดียวกัน ร่างสูงซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอยู่ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะดังขึ้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นจึงเอื้อมมือหยิบขึ้นมาดูเบอร์คนโทรเข้ามาแล้วกดรับ
“โทรมาทำไมหรือซัน”
“หือ...ญาติจะโทรหากันนี่ต้องมีธุระด้วยหรือไง”
ปลายสายเอ่ยแซว ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อลูกพี่ลูกน้องถอนหายใจให้ได้ยิน
“ถอนหายใจเป็นตาแก่ไปได้...จีบเด็กไม่ติดเลยท้อหรือไง”
เอริคชะงักต่อคำกระเซ้าถัดมา ก่อนจะแย้งกลับไปเสียงเข้ม
“ฉันไม่เคยท้ออะไรง่าย ๆ นายก็น่าจะรู้ดี!”
“ฮ่า ๆ ขอโทษที อย่าโมโหสิ จะโทรมาบอกข่าวดีให้รู้นะเนี่ย”
รวีแย้งกลับมาอย่างอารมณ์ดี ทำให้คนที่กำลังคุยด้วยต้องขมวดคิ้วน้อย ๆ
“ข่าวดีอะไร?”
“ก็น้องเจสุดที่รักของนาย เขาจะมาค้างที่บ้านน้องฟ้าของฉันในช่วงวันหยุดที่จะถึง เพราะครอบครัวของเขาไม่มีใครอยู่บ้านเลย ไอ้ฉันพอรู้ข่าว ก็เลยจะมาชวนนายมาพักที่บ้านเรือนไทยของฉัน จะได้มีโอกาสจีบน้องเจของนายง่ายขึ้นยังไงล่ะ…ฉันใจดีใช่ไหม”
รวีอธิบายพร้อมถามกลับ ซึ่งเอริคก็มีสีหน้ายินดีแล้วเอ่ยตอบกลับไปสั้น ๆ
“ขอบใจนายมากเลยนะซัน”
“อือ! ไม่เป็นอะไร ถ้าช่วยให้นายกับน้องเจคบกันได้เร็วเมื่อไหร่ ฉันก็จะได้สบายใจมากขึ้นเท่านั้น จะได้ตัดคู่แข่งที่อาจจะมาสนน้องฟ้าของฉันออกไปด้วย!”
รวีตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทว่าคำพูดที่ออกมาจากใจนั้นก็ทำให้คนฟังต้องสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างระอา
“นายนี่ก็ยังขี้หึงไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“ก็คงไม่มากไม่น้อยกว่านายนักหรอก เห็นว่าขนาดอีกฝ่ายยังไม่ยอมรับรัก ก็ยังคอยกันท่าชาวบ้านไม่ให้เข้าใกล้อยู่เรื่อย ๆ ไม่ใช่หรือไง...อ๊ะ แค่นี้นะเอริค ไว้คุยกันวันหลังแล้วกัน!”
รวีเอ่ยบอกก่อนจะรีบขอตัวตัดสายไป ซึ่งเอริคก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขาเองก็ได้ยินเสียงของเวหาดังเข้ามาแว่ว ๆ ให้ได้ยินเช่นกัน
“เมื่อไหร่นะ ฉันจะได้มีโอกาสหึงหวงเธออย่างเต็มที่แบบนี้บ้าง...เจ”
เอริคพึมพำถึงเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ที่นับวันก็เริ่มเข้ามาอยู่ในใจของเขามากขึ้น แม้ว่าเจ้าตัวจะยังคงแสดงออกว่าไม่พร้อมจะรับรักเขาเลยก็ตาม
ในที่สุด เช้าวันหยุดวันแรกก็เวียนมาถึง เจตต์กับเวธิตได้มารวมตัวกันที่บ้านของเวหา โดยพ่อแม่ของเวหาต่างก็ยินดีต้อนรับเพื่อนทั้งสองของลูกชายอย่างเต็มที่ ส่วนรวีนั้นชักชวนให้ทั้งคู่ค้างที่บ้านพักหลังใหม่ของตน ที่สร้างเอาไว้สำหรับบิดามารดาที่คิดจะมาตั้งรกรากถิ่นฐานที่นี่ หลังกลับมาจากการท่องเที่ยวรอบโลกตามที่ทั้งคู่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
“ว้าว! บ้านสวยชะมัด เอ่อ...จะดีหรือครับพี่ซัน ที่ให้พวกผมค้างที่นี่น่ะ”
เจตต์หันมาถามรวีอย่างเกรงใจ ซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มให้พร้อมตอบกลับมาอย่างจริงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะถ้าพวกน้องเจกับน้องต้นค้างห้องเดียวกับน้องฟ้า พี่คงไม่สบายใจสักเท่าไหร่ สู้จับแยกให้ค้างคนละที่จะดีกว่า”
เจตต์กับเวทิตยิ้มแห้งให้กับคนพูด ส่วนเวหานั้นหน้าแดงวาบ และมีนาที่ตามมาด้วยกันถึงกับถอนหายใจอย่างเอือมระอา
“พี่ซันจะหึงหวงอะไรนักหนา ก็รู้ ๆ อยู่ว่าเขาเป็นเพื่อนกันแท้ ๆ เอาไว้พี่ซันมองพี่เมฆแล้วเกิดคิดอะไรเลยเถิดได้เมื่อไหร่ ค่อยมาหึงหวงพวกเพื่อนพี่ฟ้าเขาเถอะ... อ๊ะ! หรือว่าพี่ซันจะเคยคิดอะไรแบบนั้นกับพี่เมฆด้วย...”
มีนาที่ขัดขึ้นมาชะงัก แล้วหันไปมองคนรักของตนกับคนรักของพี่ชายด้วยสายตาหวาดระแวงนิด ๆ จนชายหนุ่มทั้งคู่สะดุ้งโหยงไปตาม ๆ กัน
“น้องมีนอย่ามองพี่อย่างนั้นสิครับ! ต่อให้โลกนี้ผู้ชายเหลือซันมันคนเดียว พี่ก็ไม่มีวันคิดกับมันแบบนั้นแน่!”
เมฆารีบแย้งกลับไป ส่วนรวียังรู้สึกขนลุกเมื่อดันเผลอคิดตามในสิ่งที่เด็กหนุ่มบอก
“นั่นสิครับ...อีกอย่างพี่ก็มั่นคงกับน้องฟ้าเท่านั้น ต่อให้เมฆมันมาลงทุนยั่วยวนยังไงพี่ก็ไม่สนใจมันหรอกครับ”
รวีตอบกลับไปบ้าง แต่นั่นทำให้เพื่อนสนิทต้องหันไปมองตาปริบ ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เพราะความขี้หวงมั่วซั่วของนายนั่นล่ะซัน เลยทำให้น้องมีนกังวลอะไรแปลก ๆ เข้าให้”
เมฆาบ่นอุบ ทำให้รวีไม่กล้าเถียง เจ้าตัวบ่นอุบอิบลำพังจนเวหาที่มองอยู่นึกขำแกมระอา
“เอาเถอะครับ อย่าเถียงกันเลย...ต้น เจ เอาของเข้าไปเก็บในบ้านก่อนดีกว่านะ”
พอเวหาพูดเช่นนั้น ทุกคนจึงหันมามองเด็กหนุ่มก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ทว่าพอรวีเปิดประตูบ้านพักเข้าไป เจตต์ที่เดินตามชายหนุ่มเข้าไปเป็นคนแรก ก็ต้องชะงักเผลอทำกระเป๋าใส่เสื้อผ้าตกเฉียดเท้าตัวเองหวุดหวิด เมื่อได้เห็นคนคุ้นเคยบางคนกำลังนั่งอ่านหนังสือรออยู่ในห้องรับแขก
“คุณ...เอ...ริค”
“สวัสดีเจ มาช้ากว่าที่คิดนะ รู้อย่างนี้ฉันไปรับมาพร้อมกันด้วยก็คงดี”
เอริคทักทายพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ทำเอาเจตต์ต้องหันขวับไปมองรวีด้วยสายตาตั้งคำถาม
“พอดีพี่เห็นว่าน้องเจจะมาค้าง ก็เลยชวนหมอนี่มาค้างด้วยไง...แหม! ยิ่งคนเยอะยิ่งครึกครื้นดีออก จริงไหมล่ะครับ”
เจตต์แค่นยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันมามองคนตรงหน้าอย่างหวาดหวั่นจนคนถูกจ้องต้องถอนหายใจค่อย ๆ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า เธอก็นอนพักที่บ้านนี้กับเพื่อนของเธอ ส่วนฉันก็นอนที่เรือนไทยของซัน ...รับรองว่า ถ้าเธอไม่ยินยอมเอง ฉันก็ไม่มาปล้ำเธอถึงห้องหรอก”
เอริคบอกตรง ๆ เสียจนคนฟังพากันกลืนน้ำลายลงคอไปตาม ๆ กัน เจตต์นั้นหัวเราะแห้ง ๆ ให้ แล้วยกกระเป๋าเสื้อผ้าของตนไปยังห้องนอนในบ้าน แต่ก็ยังคงหันมาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้กับเอริคเมื่อเดินผ่านเจ้าตัวอยู่ดี
“ดูแล้วก็พอมีหวังนี่นา...ให้ฉันช่วยวางแผนให้เอาไหม เอริค”
รวีที่มองดูอยู่เข้ามาถามลูกพี่ลูกน้องของตนเบา ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็มีสีหน้าเรียบเฉยขณะตอบกลับ
“ไม่ต้อง ฉันจะพยายามเอาชนะหัวใจของเขาเอง”
“โอ้! งั้นก็แล้วแต่นาย...แต่ถ้าต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”
รวีตอบกลับพลางยักไหล่ ก่อนจะหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับเวทิตที่เดินผ่านพวกเขาไป เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนตอบ เพราะดันได้ยินที่ทั้งคู่สนทนากันอย่างชัดเจนทีเดียว
เวทิตนั้นเลือกพักคนละห้องกับเจตต์ เนื่องจากเมฆากระซิบแนะนำก่อนจะเข้ามาว่า อย่าคิดเสี่ยงกับความหึงหวงของคนตระกูลนี้จะดีที่สุด ซึ่งเวทิตเองแม้จะไม่เคยคิดอะไรกับเพื่อนของตนมาก่อน แต่เพื่อความปลอดภัยและตัดรำคาญของตัวเองและเพื่อน เขาจึงยินยอมทำตามที่ชายหนุ่มแนะนำเป็นอย่างดี
“ต้น เก็บของเสร็จหรือยัง ออกไปกันเหอะ!”
เสียงเจตต์ดังมาจากนอกห้องทำให้เวทิตที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ชะงัก ก่อนจะลุกเดินไปเปิดประตู
“เสร็จแล้ว พอดีนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ไปหน่อย”
“ฉันก็อยากจะคิดอะไรเพลิน ๆ แบบนายเหมือนกัน แต่ฉันสังหรณ์ว่า ขืนหมกตัวในห้องนานกว่านี้ จะมีคนมาตามถึงหน้าห้องแน่เลยว่ะ”
เจตต์บอกกับเพื่อนของตนด้วยสีหน้ากังวล ทำให้คนมองลอบถอนหายใจ
“เอาน่า คุณเอริคเขาบอกแล้วไงว่าจะไม่มาปล้ำนาย ถ้านายไม่ยอมเอง”
เวทิตพยายามปลอบเพื่อน ซึ่งคำปลอบของเด็กหนุ่มก็ทำให้คนฟังคิ้วขมวดยุ่ง แต่สักพักก็ต้องคลายบึ้งตึงลง เพราะเพื่อนสนิทนั้นออกตัวเดินไปก่อน
“เฮ้ย! รอด้วยสิต้น!”
เจตต์วิ่งตามเพื่อนออกไป ก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเอริคนั้นยังคงนั่งรอเขาอยู่ที่ห้องรับแขก
“มาแล้วหรือ...ว่าจะไปตามอยู่พอดี”
เจตต์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขานั้นสังหรณ์ถูก ส่วนทางด้านเอริคนั้นลุกขึ้นเดินมาใกล้คนที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่กล้าไปไหน
“เห็นซันบอกว่า ทางคุณแม่ของฟ้าทำขนมไทยไว้เลี้ยงพวกเรา พวกนั้นเขาไปช่วยกันเตรียมของ ฉันก็เลยรออยู่บอกพวกเธอให้ตามไปสมทบด้วยน่ะ”
พอเอริคบอกอย่างนั้น เวทิตก็เลยรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปช่วยเพื่อนอีกแรงด้วยความเกรงใจ ส่วนเจตต์นั้นก็อยากจะรีบไปแต่ก็ติดร่างสูงที่ยืนขวางเอาไว้เสียก่อน
“เอ่อ..คุณเอริค”
“เดินไปพร้อมกันแค่นี้ คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะยิ้มเจื่อนแล้วพยักหน้าให้อย่างจำยอม เพราะคนขอไม่ได้แสดงท่าทีข่มขู่เขา แต่ขออย่างสุภาพจนเด็กหนุ่มปฏิเสธไม่ลง
‘โอย แย่ว่ะ เล่นทำตัวตื๊อแบบสุภาพแบบนี้ ขืนปฏิเสธไปเราก็ดูใจร้ายแย่สิวะ...’
ทางด้านเอริคนั้น จากที่ได้สังเกตศึกษานิสัยใจคอของเจตต์อยู่เป็นเดือน รวมถึงจ้างให้นักสืบ สืบค้นประวัติของเด็กหนุ่มให้เขา ชายหนุ่มจึงสรุปได้ว่า คนที่เขาตกหลุมรักนอกจากจะเป็นคนมีจิตใจดีแล้ว ก็ยังมีนิสัยขี้สงสารเห็นใจคนง่าย โดยเฉพาะคนที่ทำดีกับตัวเอง แม้ว่าจะไม่ต้องการ แต่เด็กหนุ่มก็มักจะยอมรับความหวังดีของอีกฝ่ายอยู่เสมอ ซึ่งแม้จะไม่ยุติธรรมกับเจตต์ไปสักหน่อย แต่เขาก็จะใช้จุดอ่อนนี้ของเด็กหนุ่มทำให้เขาใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมาให้ได้
... TBC ...
จะทยอยโพสนะคะ และจะพยายามปั่นไม่ให้ต้องทิ้งช่วงห่างกันนักค่ะ
ถึงแต่ละตอนจะสั้น แต่จะพยายามชดเชยโดยการไม่โพสห่างนักค่ะ (ถ้าไม่ติดขัดอะไร)
ป.ล. ส่วนสารบัญของภาคใหม่ ก็จะไปลงในหน้าแรก ช่องเดียวกับสารบัญของภาคแรกนะคะ จะได้ไม่สับสนเวลาหา ^^
-
:mew1:
เอาล่ะสิ. พี่เอริคนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ. จีบแบบมีชั้นเชิงนะ
ขอบคุณค่ะ
-
:mc4: กิ๊ซซซ เพิ่งเห็น ภาคต่อมาแล้ว :pig4: :heaven
-
:mc4: กรีสสสสส ภาคต่อ
-
ตอนที่ 3
วารีถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อหนุ่ม ๆ พากันมารุมแออัดที่ครัวของเธอ แม้จะเอ็นดูและชื่นชมในความมีน้ำใจของแต่ละราย ทว่าพอมารวมตัวกันเยอะเข้าแบบนี้ จากที่เคยหยิบจับอะไรได้คล่องก็กลับกลายเป็นวุ่นวายไปเสียแทน
“เฮ้อ...แม่ว่าพวกลูก ๆ แต่ละคนไปรอข้างนอกดีกว่า ถ้าจะเหลือลูกมือไว้ล่ะก็ ขอมีนคนเดียวก็พอแล้วจ้ะ”
วารีบอกกับทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็ยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรู้ตัวดีว่าดันเผลอมาสร้างความวุ่นวายให้กับหญิงสาวเข้าให้แล้ว
“เอ่อ...ถ้ายังไงผมขออยู่เป็นลูกมือของน้องมีนอีกทีจะได้ไหมครับคุณแม่”
เมฆายังคงต่อรอง เพราะไม่อยากแยกห่างจากคนรักของตน ทำเอามีนาหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย ส่วนวารีก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“ก็แล้วแต่เมฆเถอะจ้ะ เพราะขืนไม่ให้อยู่ เดี๋ยวก็มาผลุบ ๆ โผล่ ๆ ให้แม่ได้เห็นอยู่ดีล่ะนะ”
เมฆายิ้มเจื่อน ส่วนคนอื่นก็ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง เพราะต่างมั่นใจและเชื่อว่าเมฆาจะทำตามที่วารีพูดเช่นนั้นจริงแน่แท้
“อ้อ...ส่วนคนอื่นก็ไปพักผ่อนให้สบายเถอะนะ พอขนมเสร็จแม่จะให้มีนไปเรียกเองจ้ะ”
วารีหันมายิ้มหวานแกมบังคับเมื่อเห็นมีบางคนเตรียมจะอาสาอยู่ช่วยต่อ ซึ่งแต่ละคนพอได้ยินก็พากันยิ้มแห้งตอบรับ เพราะวารียังคงยืนยันตามความเห็นเดิมก่อนหน้านั้น
“ถ้าคุณแม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรล่ะก็ เรียกพวกเราได้ตลอดเลยนะครับ”
เวทิตบอกก่อนจะเดินจากไปอย่างเกรงใจ ซึ่งเจตต์เองก็รีบพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกับเพื่อนสนิททันที
“จ้า ๆ ถ้ามีเรื่องให้ต้องใช้แรงงานล่ะก็ แม่จะนึกถึงต้นกับเจก่อนเป็นคนแรกเลยจ้ะ”
วารีบอกอย่างเอ็นดู ซึ่งก็ทำให้เพื่อนของลูกชายเธอทั้งสองยิ้มออกได้ จากนั้นเมื่อทั้งหมดออกไปจากครัวแล้ว เธอกับลูกชายคนเล็กก็ลงมือทำขนมกันต่ออย่างราบรื่น โดยที่เมฆาที่อาสาอยู่ช่วยนั้น เอาเข้าจริง ๆ แล้วก็แทบจะไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย ทั้งนี้เพราะมืออาชีพทางด้านการครัวทั้งสองคน เหมางานไปทำกันอย่างคล่องแคล่วแล้วนั่นเอง
ทางด้านคนอื่นเมื่อออกมาจากบ้านพักแล้ว เวทิตก็ถามถึงบิดาของเวหา ซึ่งพอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไปดูแลต้นไม้ตามปกติ เด็กหนุ่มก็รีบอาสาตัวไปช่วยอย่างกระตือรือร้น ทำให้เวหาอมยิ้มแล้วสั่นศีรษะไปมา ก่อนบอกเพื่อนสนิท
“ถึงไปก็แทบไม่มีอะไรจะทำ ...เพราะพ่อเขามีผู้ช่วยส่วนตัวอยู่แล้ว”
เวทิตกับเจตต์ขมวดคิ้วยุ่งอย่างประหลาดใจ ซึ่งเวหาก็อธิบายให้เพื่อนทั้งสองฟัง
“ก็พี่ซันน่ะสิ กลัวพ่อจะเหนื่อยก็เลยหาคนงานให้มาช่วยทำ ทั้ง ๆ ที่พ่อก็บอกไว้แล้วว่ามันสิ้นเปลือง...”
เวหาเว้นวรรค แล้วเหลือบไปมองคนรักที่ยืนยิ้มข้าง ๆ ตน อย่างเอือมระอา ก่อนจะหันมาเล่าต่อ
“...แต่พี่ซันก็ยังตื๊อต่อ แถมคนที่พามาแนะนำให้ทำงาน ก็ยังเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับการเกษตร และเจ้าตัวก็อยากทำงานมีเงินเก็บ เพื่อหาซื้อที่ดินทำไร่นาสวนผสมแบบพอเพียงเป็นของตัวเองสัก 1 – 2 ไร่ ในอนาคต พ่อก็เลยใจอ่อนตกลงรับให้ทำงาน...แต่เขาก็ขยันขันแข็งดี แถมยังช่างจดช่างจำ พ่อก็เลยชอบใจ ถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างเต็มที่เลยล่ะ”
เวหาเล่าถึงตรงนี้ เจ้าตัวก็กวักมือชวนเพื่อนและคนอื่นให้ไปนั่งตรงซุ้มใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านแทน ระหว่างเดินไปนั้นเด็กหนุ่มก็เล่าให้เพื่อนของตนฟังต่อไปเรื่อย ๆ
“ส่วนเรื่องเงินเดือน ทีแรกพี่ซันจะให้ผู้ช่วยพ่อรับเงินเดือนจากเขา แต่พ่อไม่ยอม ตกลงกันไปมา สุดท้ายพี่ซันก็ต้องยอมให้พ่อเป็นคนจ่ายเงินเดือนแทน ...แต่พี่ซันก็ถือโอกาสแอบซื้อเครื่องมือโน่นนี่มาเพิ่มให้เรื่อย ๆ อยู่ดี ถ้าพ่อจับได้ทีก็หยุดไปทีล่ะนะ”
เวหาเล่าแล้วก็หันไปค้อนให้คนรักนิด ๆ ซึ่งรวีก็ยิ้มเจื่อนตอบ แล้วรีบแก้ตัวตามมา
“โธ่! น้องฟ้าล่ะก็ พี่เองก็อยากให้คุณพ่อได้พักสบาย ๆ นี่ครับ ส่วนเรื่องเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ พี่ก็ซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ได้แพงมากอะไรสักหน่อย”
“ครับ...ไม่แพงมาก ...แต่ของบางอย่างมันก็ยังใช้งานได้อยู่นะครับ ไม่เห็นจำเป็นต้องซื้อของใหม่มาให้สิ้นเปลืองเลย”
เวหาบ่นอุบ ซึ่งก็ทำให้รวีหุบปากเลิกโต้แย้ง เพราะรู้ดีว่าคนรักและครอบครัวคนรักไม่ค่อยชอบให้เขาใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อพวกตนเอง แม้ว่าเขาจะเต็มใจและไม่รู้สึกลำบากในการใช้จ่ายนั้นเลยก็ตาม
“....พี่ขอโทษนะครับ คราวหน้าคราวหลังพี่จะถามความสมัครใจของน้องฟ้าและพวกคุณพ่อ คุณแม่ กับน้องมีน ก่อนนะครับ...น้องฟ้าอย่าโกรธพี่นะครับ”
พอเห็นรวีเปลี่ยนมาอ้อนตนแทน ก็ทำให้เวหาหน้าแดงระเรื่อ แล้วพยักหน้าพร้อมอุบอิบตอบ
“ฟ้าก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่ซันหรอกครับ...แค่ไม่อยากให้พี่ซันสิ้นเปลืองก็เท่านั้นเอง”
คนอื่นที่มองอยู่ต่างอมยิ้มน้อย ๆ มีเพียงแต่เจตต์ที่แกล้งโพล่งแซวทั้งคู่
“แหม ๆ หวานกันจังเลยนะครับ ช่วยเกรงใจคนไม่มีแฟนหน่อยเหอะครับ”
“ถ้าอยากมีแฟน ฉันช่วยเธอได้เสมอนะเจ”
เสียงทุ้มที่แทรกมาจากคนหน้าขรึม ทำเอาคนพูดแซวสะดุ้งโหยง แล้วจึงหันหน้ามาหาคนพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อน
“ง่า...ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมยังอยากโสดต่ออยู่อีกสักหน่อย”
เจตต์ตอบเสียงอ่อย ซึ่งเอริคก็พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ด้วยใบหน้าเฉยชาดุจเดิม
“อย่างนั้นหรือ...ถ้าอยากมีเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน ฉันจะได้เสนอตัวเข้าสมัครเป็นแฟนเธอคนแรกยังไงล่ะ”
แทบทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ มีเพียงรวีที่อมยิ้มอย่างถูกใจกับความช่างตื๊อของญาติตน ส่วนเวทิตกับเวหาที่มองอยู่ต่างก็ลอบถอนหายใจอย่างระอา เพราะเพื่อนสนิทของพวกเขานั้น ทั้งที่รู้ดีว่ามีคนจ้องจะจับตัวเองเป็นแฟนอยู่แท้ ๆ แต่ก็ยังปากไวหาเรื่องเข้าตัวอยู่เสมออย่างน่าปวดหัวแทน
“ถ้าจะนั่งคุยกันที่นี่ เดี๋ยวฉันขอตัวไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะซัน”
เอริคบอกกับรวีที่นั่งลงบนเก้าอี้ในซุ้มพร้อมกับคนอื่น ๆ ซึ่งรวีก็พยักหน้าตอบรับ จากนั้นเอริคก็เดินห่างออกไป ทว่าเท่าที่พวกเวหาสังเกตก็เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นยามที่คุยโทรศัพท์กับปลายสายดูมีสีหน้าขรึมยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“หมอนั่นเห็นแบบนั้นแต่ธุรกิจรัดตัวน่าดูเลยนะ ...แต่คนอย่างหมอนั่นถึงกับยอมทิ้งงานทิ้งการเพื่อมาเมืองไทย... น้องเจก็ลองคิดดูแล้วกันนะครับว่า น้องเจมีค่ากับเขาขนาดไหน”
รวีบอกกับเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ทำเอาคนฟังสะดุ้งแล้วกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะยิ้มเจื่อนส่งให้ แล้วจึงเผลอแอบมองคนหน้าเคร่งขรึมที่อยู่ห่างออกไปอย่างลืมตัว
“...หรือครับ สำเร็จเรียบร้อยแล้วสินะครับ...ขอบคุณมากครับพี่อีธาน”
เอริคบอกกับปลายสายซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเขา ที่ยามนี้ช่วยรับฝากดูงานบริษัทให้ชั่วคราว
“ไม่เป็นไร...อีกอย่างที่เจรจาได้สำเร็จราบรื่น ก็เพราะได้คุณเลขาคนเก่งของนายเขาช่วยเตรียมข้อมูลทางฝ่ายนั้นให้ต่างหาก ส่วนฉันก็มีหน้าที่ไปเจรจาตามเขาสั่งก็เท่านั้นเอง....หึ ๆ"
ท้ายประโยคเจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เนื่องจากชายหนุ่มผมดำ ลูกครึ่งจีนอเมริกา ผู้มีใบหน้าคมคาย และรูปร่างเพรียวบาง ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลขาของน้องชายตนนั้น กำลังส่งสายตาแกมหมั่นไส้นิด ๆ ที่เขาเอาเจ้าตัวไปนินทากับน้องชายต่อหน้าต่อตาอีกฝ่ายนั่นเอง
“อ้อ...เกือบลืมไป แล้วตกลงเรื่องซินเดอเรลล่าของนายน่ะ เป็นยังไงบ้าง กำลังหวานชื่นกันอยู่สินะ”
อีธานถามต่อ ทำเอาคนที่กำลังจะคิดวางสายชะงัก ก่อนจะตอบออกไปตามตรง
“ยังเลยครับพี่ ...เขายังไม่มีทีท่าจะยอมรับผมเป็นแฟนด้วยซ้ำ”
เอริคบอกแล้วเหลือบไปมองคนที่ตนหลงรัก ก่อนจะชะงักอีกครั้งเมื่อสบกับสายตาของคนที่ลอบมองตนอยู่ก่อนหน้านั้นพอดี
“หือ! อะไรกัน! หน้าตาอย่างนายนี่ยังมีใครกล้าปฏิเสธอีกอย่างนั้นหรือ เด็กนั่นตาถั่วหรือเปล่า!”
ปลายสายโวยวายมาอย่างไม่สบอารมณ์ ที่มีคนปฏิเสธน้องชายคนเล็กสุดที่รักของบ้านเช่นนี้
“เอริค! เฮ้...นี่นายยังอยู่ในสายไหมน่ะ!”
เอริคชะงัก เพราะดันเผลอจ้องสบตากับเจตต์นานไปหน่อย ส่วนเด็กหนุ่มนั้นยามนี้หันขวับกลับไป แล้วนั่งเงียบใจเต้นระทึกด้วยความตกใจระคนสับสนในตัวเอง ที่เมื่อครู่เขาดันไม่ยอมหลบตาตอนเอริคหันมา แถมดันเผลอจ้องตาตอบอีกฝ่ายตั้งนานสองนานอีกต่างหาก
“...ผมฟังอยู่ครับพี่”
เอริคตอบปลายสายแผ่วเบา ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม พลางเอ่ยต่อก่อนที่ปลายสายจะโวยวายยิ่งกว่านี้
“เรื่องของผมพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ...ผมไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว พี่ก็รู้ดีไม่ใช่หรือ”
อีธานที่ฟังอยู่ชะงัก ก่อนจะยิ้มกับโทรศัพท์น้อย ๆ
“ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะสมกับเป็นน้องชายพี่ ... ขออวยพรให้โชคดีล่วงหน้าล่ะน้องรัก”
เอริคยิ้มตอบพร้อมกล่าวขอบคุณเบา ๆ ก่อนจะตัดสาย แล้วเดินเข้ามาร่วมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ตามเดิม
“ไง เอริค ...มีอะไรดี ๆ หรือเปล่า ถึงได้ดูอารมณ์ดีผิดเคยเชียว”
รวีที่รู้จักสนิทสนมกับอีกฝ่ายมานานเอ่ยทัก ทำเอาอีกสามคนที่เหลือต้องมองทั้งคู่สลับกันตาปริบ ๆ เพราะเอริคก็ยังคงหน้านิ่งเฉยชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเท่าไรนัก
“ก็ไม่มีอะไรมาก...ก็แค่ลูกค้าที่ฝากให้พี่อีธานช่วยดูแล ตกลงทำสัญญาเรียบร้อยแล้วก็เท่านั้นล่ะ”
เอริคตอบเสียงเรียบแต่กลับใช้สายตาปรายมามองหนึ่งในนั้นที่กลืนน้ำลายลงคอ และพยายามหลบสายตาอีกฝ่ายอย่างเต็มที่
“โอ...ข่าวดีสินะ ว่าแล้วเชียวถึงได้ดูอารมณ์ดีผิดเคย...หึ”
รวีเปรยพร้อมกับยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ มองสายตาของญาติตนก็พอจะรู้แล้วว่าเอริคนั้นอารมณ์ดีเรื่องอะไรกัน เพราะตั้งแต่เมื่อครู่เขาเห็นเจตต์นั้นเลิ่นลั่กผิดปกติ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัญญาณอันดี เพราะถ้าเด็กหนุ่มไม่คิดอะไรกับญาติของเขาเลย ก็คงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ให้ได้เห็นเป็นแน่
“...ง่า คือเดี๋ยวผมต้องขอตัวแป๊บนะครับ ...คือ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ไว้ในห้อง ..เกิดทางบ้านโทรมาแล้วไม่รับจะเป็นห่วงเอา”
เจตต์รีบลุกพรวดแล้วอ้างเหตุผลกับทุกคน ทว่ายังไม่ทันจะเดินห่างจากซุ้มไปไม่กี่ก้าวดี เอริคก็ลุกแล้วก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปเป็นเพื่อน”
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง เนื่องจากที่อ้างไปก็เพราะไม่อยากนั่งใกล้อีกฝ่ายให้รู้สึกแปลก ๆ ยิ่งกว่าเดิม แต่นี่เอริคดันอาสาเดินตามมาด้วย เขาคงไม่แคล้วต้องหลุดแสดงท่าทางชวนให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดยิ่งขึ้นแน่
“ต้น...”
เจตต์หันไปมองเพื่อนสนิทแล้วเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอน จนเวทิตอดใจอ่อนไม่ได้
“เฮ้อ...งั้นผมก็ขอไปด้วยคนแล้วกันนะครับ พอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบโทรศัพท์มาติดตัวไว้เหมือนกัน”
เอริคเหลือบมองเด็กหนุ่มอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ส่วนเจตต์พอเห็นเพื่อนไม่ทิ้งตนเขาก็ขยับมาเกาะแขนเวทิตหวังเอาเป็นที่พึ่ง จนอีกฝ่ายต้องมองตาปริบ ๆ ยิ่งได้เห็นสายตาคมกริบจ้องมาที่พวกเขา เด็กหนุ่มก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“งั้นก็ไปหยิบมือถือกันเถอะครับ จะได้กลับมารวมกลุ่มรอกินขนมฝีมือของคุณแม่กันต่อ”
“อื้อ ๆ ไปเลยไป”
เจตต์รับคำ เพราะรู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรที่จับจ้องมานั่นเหมือนกัน
“ก็ดีเหมือนกัน...”
เอริครับคำเสียงเรียบ จากนั้นทั้งสามก็เดินตรงไปที่บ้านพัก ซึ่งเอริคก็เลือกที่จะรอหน้าบ้านไม่ตามเข้าไป สร้างความโล่งอกให้กับเจตต์ยิ่งนัก
“ไม่ต้องมาทำสีหน้าโล่งอกโล่งใจแบบนั้นเลย...นั่งอยู่ด้วยกันก็ดีอยู่แล้ว คิดยังไงถึงสร้างสถานการณ์ให้เขาตามมาสองต่อสองแบบนั้นกันเล่า”
เวทิตบ่นเพื่อนเบา ๆ หลังจากที่เดินเข้ามาในบ้านพักด้วยกันสองคน
“บ้ารึ! ใครอยากสร้างสถานการณ์ให้เขาตามมากัน!”
เจตต์แย้งอย่างไม่ดังนัก ซึ่งเวทิตก็ถอนหายใจ แล้วเอ่ยตอบ
“ก็แบบที่นายทำอยู่นั่นล่ะ นี่ถ้านายปิ๊งเขาอยู่ก่อน ฉันคงเผลอคิดว่านายตั้งใจชวนเขาไปจู๋จี๋กันสองต่อสองแล้วด้วยซ้ำ”
เจตต์เบิกตากว้าง แล้วรีบอธิบายแก้ตัวตามมา
“ไม่ใช่นะ! ฉันก็แค่รู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่ใกล้เขา เลยหาเรื่องปลีกตัวหนีมาต่างหาก!”
พอโพล่งออกไปเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงแล้วรีบตะครุบปิดปากตัวเอง ที่ดันเผลอเล่าความในใจให้เพื่อนฟังจนหมด
“รู้สึกแปลก ๆ นี่นะ....อย่าบอกนะเจ ว่านายเริ่มชอบคุณเอริคเข้าให้แล้วน่ะ”
เวทิตทวนคำอย่างนึกอึ้ง แต่ก็ไม่ค่อยถึงกับแปลกใจมากนัก เพราะลองเจอคนหน้าตาดีมาดสุภาพบุรุษแบบนั้นคอยตามตื๊อตามรับส่งอยู่ทุกวัน ถ้าไม่ใจแข็งนัก ก็คงอดหวั่นไหวเข้าให้ไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ใช่สักหน่อย! ฉันแค่บอกว่ารู้สึกแปลก ๆ เท่านั้นเอง!”
เจตต์รีบแย้งเสียงดังอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งแล้วเผลอเหลือบไปมองทางเข้าบ้าน แต่พอไม่เห็นว่าเอริคจะเดินตามเข้ามา เขาก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะดึงมือเพื่อนให้เข้าไปคุยในห้องของตนแทน
“ฉันเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่ใกล้เขาในตอนนี้ใช่ไหมล่ะ...เพราะงั้นก่อนที่มันจะพัฒนาเป็นอย่างอื่นที่แย่ไปกว่านี้ ...ฉันว่าฉันหาทางเลี่ยงให้อยู่ไกลเขามากที่สุดก็คงจะดี ...บอกตรง ๆ ว่ะต้น ฉันยังไม่อยากเปลี่ยนสายไปชอบไม้ป่าเดียวกัน...ไม่ใช่ฉันรังเกียจหรอกนะ แต่ฉันยังไม่กล้าพออ่ะ ...ก็ชอบสาวมาทั้งชีวิต จู่ ๆ จะให้เปลี่ยนมันก็ทำใจลำบาก”
เจตต์บ่นอุบอิบ หากแต่เวทิตนั้นก็เข้าใจในความรู้สึกของเพื่อนสนิทดี เพราะถ้าเป็นเขาก็คงกลุ้มใจอยู่เหมือนกัน
“เอาเถอะ ...เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของนาย ฉันก็จะยกให้เป็นการตัดสินใจของนายโดยไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวล่ะนะ แต่ถ้ามีอะไรต้องการปรึกษา ก็มาคุยกับฉันได้ตลอดเวลา ถึงแม้จะช่วยแนะนำอะไรไม่ได้ แต่ก็เป็นที่รับฟังได้นะ ...กับฟ้าก็เหมือนกัน ฉันคิดว่าเขาก็คงเต็มใจและเคารพในการตัดสินใจของนายเหมือนกับฉันนั่นล่ะ”
เจตต์มองเพื่อนอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมา เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบา ๆ
“เจอมือถือหรือยังเจ...จะให้ฉันไปช่วยหาให้ไหม”
เสียงของเอริคดังขึ้นจากนอกห้อง ทำให้เวทิตหันไปมองแล้วถอนหายใจ
“ฉันว่านายรีบหยิบมือถือของนายแล้วไปรวมตัวกับพวกเราดีกว่านะเจ ...ต่อให้นายจะรู้สึกแปลก ๆ ยังไง แต่ก็ดีกว่าให้อยู่กับเขาสองต่อสองจริงไหมล่ะ”
เจตต์ยิ้มเจื่อมพร้อมกับพยักหน้ารับ ส่วนเวทิตนั้นเดินออกจากห้องไปก่อน เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าขรึม ๆ ของชายหนุ่มที่มองมา ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงยิ้มตอบ ก่อนจะบอกกับคนที่ยืนอยู่เบา ๆ
“เพื่อนของผมมันเป็นพวกขี้กลัวและชอบตีโพยตีพายจินตนาการไปเองก่อนเสมอ ถ้าคุณไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของคุณติดลบในความคิดของเขานัก ผมว่าเรื่องตามหึงหวงนี่ ช่วยลด ๆ ลงหน่อยจะดีไม่น้อยนะครับ เอาไว้ถ้าหมอนั่นรับรักคุณจริงเมื่อไหร่ล่ะก็ จะตามหึงตามหวงก็ยังไม่สาย…จริงไหมครับ”
เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่ใบหน้าขรึมนั้นจะผ่อนคลายและมีรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาแทน
“ขอบใจที่ช่วยเตือน...และแนะนำ”
“ขอเป็นช่วยเตือนเฉย ๆ จะดีกว่าครับ ...ขืนแนะนำด้วย เดี๋ยวหมอนั่นมันจะหาว่าผมขายเพื่อนพอดี”
เวทิตบอกอย่างนึกขำแล้วขอตัวเลี่ยงไปเข้าห้องตัวเอง เมื่อเหลือบเห็นว่าเจตต์นั้นกำลังเดินตรงมาที่ประตูอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“อ้าว...จะไปไหนน่ะต้น”
เด็กหนุ่มรีบถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทผลุบเข้าห้องไปเมื่อเขาออกมา
“เขาก็จะไปหยิบมือถือบ้างน่ะสิ...พวกเธอมาบ้านพักเพื่อที่จะเอามือถือไม่ใช่หรือไง”
เอริคตอบคำถามนั้นแทน ทำให้เจตต์สะดุ้งแล้วหันมาฝืนยิ้มเจื่อนให้กับคนพูด ก่อนจะรีบหลบสายตาก้มมองลงพื้น แล้วยืนกำมือยุกยิกทำอะไรไม่ถูก จนคนมองเริ่มสงสาร
“ฉันไปรอข้างนอกก่อนนะ ...ถ้าเพื่อนเธอได้มือถือแล้วก็ตามไปแล้วกัน”
บอกจบเอริคก็เดินตรงไปยังประตูทางออก ทำเอาเจตต์ที่เงยหน้าทันเห็นแค่แผ่นหลังอีกฝ่ายเดินจากไปเท่านั้น
“อ้าว...คุณเอริคล่ะ ไม่ได้ยืนรอด้วยกันหรอกหรือ”
เวทิตที่ออกมาจากห้องพร้อมมือถือเอ่ยถาม ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสนิท
“ง่า...เห็นบอกว่าจะไปยืนรอข้างนอกก่อนน่ะ”
“อืม...งั้นหรือ ก็ดีนะ ยังเว้นช่องว่างให้กันบ้าง นึกว่าจะเป็นพวกเอาแต่คอยตื๊อไม่เลิกจนน่ารำคาญเสียอีก”
เวทิตบอกยิ้ม ๆ แล้วชวนเพื่อนให้ออกไปพร้อมกับตน ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งนิด ๆ เพราะดันเผลอคิดอะไรเพลิน ๆ เกี่ยวกับคนที่รออยู่ข้างนอกนั่นเข้าให้อีกแล้ว
... TBC ...
ทยอยลงให้อ่านวันละตอนในช่วงนี้ไปก่อน แต่พอถึงช่วงสงกรานต์ข้าพเจ้าจะอู้นะคะ แหะ ๆ
-
:pig4:
-
แวะมาโพส ซะเกือบหมดวัน ขอโทษทีค่า แหะ ๆ (แบบว่าลืม)
...................................................................................
ตอนที่ 4
เจตต์เดินออกมาก็เห็นว่าเอริคยืนกอดอกพิงผนังบ้านอยู่ ชายหนุ่มหันมามองแล้วยกยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ ทำเอาคนที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นชะงัก เผลอยืนนิ่งก้าวขาไม่ออก จนเวทิตที่เดินนำไปก่อนต้องหันมามองอย่างแปลกใจเมื่อไม่เห็นเพื่อนเดินตามมา
“เป็นไรวะเจ ยืนนิ่งเชียว”
“เอ๋? ฉันน่ะหรือ...ง่า...ไม่มีอะไร”
เจตต์ชะงักก่อนจะรีบแก้ตัว พลางเดินก้มหน้างุด ๆ ตามเวทิตไป ซึ่งปฏิกิริยาที่ได้เห็นก็ทำเอาชายหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ แล้วจึงเดินตามไล่หลังทั้งคู่ไปติด ๆ
หลังจากกินแกงบวชฟักทองฝีมือวารีกันเรียบร้อย พวกหนุ่ม ๆ ก็อาสาช่วยกันเก็บล้างจาน แล้วปลีกตัวออกมานั่งเล่นรับลม พูดคุยกันที่ศาลาริมน้ำบ้านเรือนไทยของรวี ซึ่งพอเจตต์เห็นน้ำคลองใสสะอาด เจ้าตัวก็สะกิดเพื่อนสนิทยิก ๆ ทันที
“ต้น...ว่ายน้ำเล่นกันมะ...ฟ้า ในน้ำไม่มีปลิงใช่หรือเปล่า”
แม้จะอยากเล่นน้ำมากเพียงไหน แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี เพราะเด็กหนุ่มนั้นไม่ค่อยจะถูกโรคกับเจ้าตัวลื่น ๆ หยุ่น ๆ นั่นสักเท่าไรนัก
“ไม่มีหรอก นายอยากเล่นน้ำหรือไงเจ”
เวหาตอบยิ้ม ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกหงักตามมา
“อื้อ! น้ำใสน่าเล่นขนาดนี้ แถมอากาศก็ยังเป็นใจ แดดร่มลมตก ...แหม! นี่ถ้ามีแพยางใหญ่ ๆ จะเอามานอนอาบแดดอาบลม ล่องไปตามคลองให้สบายใจเลย...”
“แล้วไม่กลัวไอ้เข้มันคาบไปกินหรือไง”
เสียงเวทิตที่แทรกขัดขึ้นทำเอาคนกำลังเพ้อสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันขวับไปทางเพื่อนอีกคนทันที
“เฮ้ย! ที่นี่มีจระเข้ด้วยหรือฟ้า!”
“ฮะ ๆ ไม่มีหรอก หรือถึงจะมีแต่ฉันก็ยังไม่เคยเจอสักทีล่ะนะ”
เวหาตอบทีเล่นทีจริง ทำเอาคนอยากเล่นน้ำหน้าซีด จนเวทิตที่เริ่มต้นแหย่นึกสงสารเพื่อน เลยคิดจะแก้ตัว ทว่า...
“ถ้าเธออยากเล่นน้ำจริง ๆ เดี๋ยวฉันคอยเป็นบอดี้การ์ดดูแลให้เอง...เพราะงั้นเล่นให้สบายเถอะ”
เอริคพูดขัดขึ้นด้วยสีหน้าขรึมน้อย ๆ ตามแบบฉบับของเจ้าตัว ทว่าน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มทุ้มอ่อนโยนนั่น ทำเอาบางคนรู้สึกเขินแทนเจตต์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ง่า...ขอบคุณครับ”
เจตต์พูดอะไรไม่ถูก ตอนนี้ความรู้สึกอยากเล่นน้ำมันหายไปกว่าครึ่ง ไม่ใช่ว่าเพราะกลัวจระเข้หรืออะไรในนั้น หากแต่เป็นเพราะถ้าต้องลงไปเล่นตอนนี้ เขาคงจะถูกแววตาคมกริบนั่นจับจ้องหลังจากนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นแน่
“อืม...จะว่าไปก็น่าสนุกดีนะ ฟ้ากับพวกพี่ซันจะเล่นน้ำด้วยกันเลยไหมล่ะครับ”
เวทิตพูดโพล่งขึ้นเพราะอ่านบรรยากาศความอึดอัดของเพื่อนออกเป็นอย่างดี ซึ่งก็ทำให้เจตต์นั้นลอบถอนหายใจ และมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ดีเหมือนกัน ...แล้วพี่ซันล่ะครับ”
รวียิ้มน้อย ๆ ส่งให้อีกฝ่าย ก่อนจะปฏิเสธออกไป
“พี่ขอนั่งดูน้องฟ้าเล่นอยู่บนนี้ดีกว่าครับ...เกิดฉุกละหุกยังไงจะได้ช่วยเหลือทัน”
เวหาชะงัก แล้วหน้าแดงนิด ๆ เพราะดันหวนคิดถึงตอนที่รวีมาช่วยเขาที่กำลังจะจมน้ำเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาได้
ส่วนทางด้านรวีพอเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของคนรัก เขาก็ชักไม่อยากให้เวหาเล่นน้ำ แต่อยากพาไปนั่งคุยหวาน ๆ กันตามลำพังเสียมากกว่าขึ้นมาแล้ว
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสามก็ขอตัวลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยที่มีนานั้นไม่ได้ตามลงไปเล่นด้วย แต่เจ้าตัวชวนเมฆาไปยกน้ำหวานกับขนมมาเตรียมไว้ให้ทั้งคนที่เล่นน้ำและไม่ได้เล่นน้ำแทนนั่นเอง
“ไม่เสียแรงที่เป็นญาติกัน...เรื่องที่เขาจะยอมรับรักนายน่ะ มันก็คงอีกไม่นานนักล่ะสินะ”
รวีเอ่ยแซวญาติของตน เมื่อเห็นสายตาอ่อนโยนของเอริคเอาแต่จับจ้องมองร่างของเจตต์แทบจะไม่วางตาเลยทีเดียว
“ฉันก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้น...ปฏิกิริยาโต้ตอบในช่วงหลังของเด็กนั่น มันทำให้ฉันรู้สึกคาดหวัง...ว่าเขาจะเริ่มคิดอะไรกับฉันในแง่นั้นเข้าบ้างให้แล้วก็ได้”
เอริคพึมพำตอบโดยไม่คิดละสายตาจากเด็กหนุ่ม ซึ่งรวีก็อมยิ้มก่อนจะหันไปมองคนรักของตนเช่นกัน
“ฉันเข้าใจ...ตอนที่น้องฟ้าแสดงให้เห็นว่าไม่ได้รังเกียจฉัน และเริ่มยอมรับฉัน...ตอนนั้นฉันดีใจแทบตายแน่ะ จนถึงวันนี้ฉันยังจำความรู้สึกในวันที่เขาบอกรักฉันครั้งแรกได้อยู่เลย มันมีความสุขจริง ๆ ...แล้วฉันก็ภาวนาให้นายได้รู้สึกถึงความสุขแบบนั้นเหมือนกันในสักวันนะ เอริค”
รวีบอกแล้วหันมองคนข้าง ๆ ที่ก็ละสายตามายิ้มน้อย ๆ ให้กับเขา
“ขอบคุณ...ฉันก็หวังว่าวันนั้นจะเข้ามาในชีวิตของฉันบ้างล่ะนะ”
รวียิ้มตอบ จากนั้นก็ต่างจ้องมองคนที่ตนพึงใจเล่นน้ำดำผุดดำว่าย จนพอพวกมีนากลับมาพร้อมขนมและน้ำหวาน รวีก็ตะโกนเรียกให้ทั้งสามที่ดูท่าทางจะเริ่มเหนื่อยให้ขึ้นมาพักข้างบนศาลาก่อน
“เฮ้อ! สนุกชะมัด!”
เด็กหนุ่มหน้าตี๋เปรยขึ้น ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเมื่อน้องชายเพื่อนยื่นน้ำหวานส่งมาให้เขา
“ขอบคุณครับน้องมีน แหม! ดื่มน้ำหวาน ๆ ที่คนน่ารักชงให้ มันยิ่งหวานขึ้นหลายเท่าเลยน้า”
มีนายิ้มรับอย่างไม่ถือสากับคำแซวนั้น หากแต่เมฆากลับกระแอมเบา ๆ แล้วส่งสายตาคมกริบมายังคนพูดทำเอาเจตต์ที่ได้เห็นสะดุ้งโหยง แต่พอแสร้งเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เด็กหนุ่มก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นเอริคกำลังจ้องเขาเขม็งด้วยแววตาวาววับอย่างน่ากลัว
“ง่า...”
เจตต์พูดอะไรไม่ออก และพอเขาเบือนสายตาหนีไปอีกทาง เขาก็เห็นเพื่อนสนิททำปากอุบอิบบ่นเขาจับความได้คล้าย ๆ กับคำว่าปากหาเรื่อง หรืออะไรสักอย่างที่ความหมายใกล้เคียงกัน
“อ้าว...เจ แขนนายเลือดไหลแน่ะ”
เวหาที่หันไปเห็นแขนของเพื่อนที่มีเลือดไหลซึมยาวเข้าพอดีเอ่ยทักอย่างตกใจ ซึ่งเจตต์พอได้ยินดังนั้นเจ้าตัวก็สะดุ้งโหยง แล้วยกแขนตัวเองขึ้นดูทั้งสองข้าง ปรากฏว่าที่แขนซ้ายของเขามีรอยขีดข่วนยาวราวสิบเซนติเมตร และมีเลือดไหลซึมออกมาไม่มากนัก
“เห...มาได้ไงเนี่ย...อูย แสบแผลอ่ะ!”
คนที่ก่อนหน้านั้นยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอเห็นแผลก็ออกอาการเจ็บหนักเสียจนเวทิตที่มองอยู่หมั่นไส้
“แผลโดนข่วนเล็กนิดเดียวอย่าสำออยนักเลยน่ะ แค่นั้นเลียก็หายมั้งน่ะ!”
“เชอะ! เลียก็หาย งั้นนายก็มาเลียแผลให้ฉันสิวะ!”
เจตต์เถียงกลับ ก่อนจะเดินเซไปนั่ง เพราะเจ้าตัวเป็นโรคแพ้เลือด จะมากหรือน้อยเห็นแล้วก็พาลจะเป็นลมขึ้นมาให้ได้
“เหอะ...จะให้ฉันเลียนี่นะ...”
พูดได้แค่นั้นเวทิตก็อ้าปากค้าง เมื่อคนตัวสูงลุกจากที่นั่งมาคุกเข่าต่อหน้าเจตต์ที่นั่งอยู่ ก่อนจะจับแขนข้างซ้ายของอีกฝ่ายมาเลียแผลให้ นัยน์ตาคมกริบจับจ้องประสานกับเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ซึ่งหลังจากคลายตกตะลึงแล้ว เจตต์ก็หน้าแดงวาบตามมา แล้วรีบดึงแขนกลับ ก่อนจะโพล่งขึ้นดังลั่น
“ผะ...ผม ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาว ๆ ยังไงไม่รู้!”
บอกแล้วเจ้าตัวก็ลุกจากที่นั่งแล้ววิ่งจ้ำอ้าวไปที่บ้านพัก ทิ้งให้แต่ละคนที่ยังอึ้งไม่หายจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น อึ้งซ้ำเข้าไปอีก ทว่าเอริคนั้นกลับลุกขึ้นยืนแล้วหันไปถามทางเวหาแทน
“บ้านที่เจพัก มีกล่องปฐมพยาบาลไหม”
เวหาพอได้ยินดังนั้นก็ชะงัก แล้วรีบบอกตามมา
“มะ..มีครับ อยู่ในตู้กระจกของห้องครัวน่ะครับ”
เอริคพยักหน้าแล้วเตรียมจะเดินไปทางเดียวกับที่เจตต์เดินไป ทำเอาเวทิตที่รู้สึกตัวรีบตะโกนถาม
“คุณเอริคจะไปไหนหรือครับนั่น!”
“...ก็จะไปปฐมพยาบาลให้เพื่อนของเธอไงล่ะ...น้ำลายน่ะไม่ช่วยฆ่าเชื้อโรคหรอกนะ”
เอริคตอบเสียงเรียบแล้วจึงเดินจากไป ทิ้งให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะหันมาพึมพำกับเพื่อนอีกคน
“รู้อย่างนั้นแล้วเขาจะยังเลียแผลให้เจมันเตลิดทำไมวะนั่น”
“ไม่รู้สิ...”
เวหาตอบกลับอย่างมึนงง หากแต่รวีนั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกกับทั้งคู่
“พี่ว่าพี่เดาได้นะครับ”
“อะไรหรือครับพี่ซัน”
เวหาหันมาถามคนรัก ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มแล้วอธิบายให้ฟัง
“ก็เพราะหมอนั่นหึงที่น้องเจ จะให้น้องต้นเลียแผลเขายังไงล่ะครับ ก็เลยทำตัดหน้าเสียเลย”
ทั้งเวทิตกับเวหารับฟังตาปริบ ๆ แล้วจึงพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา ทว่ามีนากลับหลุดคำพูดในอีกแบบที่ทำเอาคนอื่นโดยเฉพาะเมฆาสะดุ้งโหยง
“แต่มีนว่า คุณเอริคดูเท่ดีอ่ะ ถ้าเป็นมีนถูกทำแบบเมื่อครู่นี้คงเขินแย่...อ๊ะ”
เด็กหนุ่มอุทานเบา ๆ เมื่อมือใหญ่ของคนรักจับหมับที่บ่าทั้งสองข้าง พลางพลิกกายหมุนให้ร่างบางหันมาเผชิญหน้ากับตน
“น้องมีนอยากถูกเลียบ้างหรือครับ...พี่ช่วยได้นะครับ จะให้เลียตรงไหน พี่ทำให้ได้ทั้งนั้น”
รอยยิ้มกับตาวาววับของอีกฝ่ายทำให้มีนาชะงัก เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นโมโหหึงกับคำพูดเขาให้อีกแล้ว
“พี่เมฆบ้า...มีนหมายความว่า ที่คุณเอริคทำลงไปน่ะ มันทำให้เขาดูเท่ต่างหาก...ไม่ได้หมายถึงว่ามีนไปหลงเสน่ห์เขาสักหน่อย...มีนมีคนเท่ที่สุดของมีนอยู่ตรงหน้าทั้งคนแล้ว มีนไม่ไปหลงชอบใครคนอื่นอีกหรอกน่า”
คำพูดของคนรักตัวน้อย ทำเอาความโมโหหึงที่มีพัดปลิวหายไปจนหมดสิ้น เมฆาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรวบร่างนั้นมากอดอย่างไม่เกรงสายตาคนอื่นที่อยู่ด้วย
“ทีหลังน้องมีนอย่าเที่ยวไปชมใคร จนทำให้พี่เข้าใจผิดแบบนี้อีกนะครับ...”
“อื้ม...อ๊ะ! พี่เมฆ ปล่อยได้แล้ว คนอื่นก็อยู่เห็นไหม!”
มีนาที่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยรีบโวยวายด้วยใบหน้าแดงก่ำ เห็นดังนั้น รวีจึงถือโอกาสชวนเวหาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง ซึ่งเวหาก็เหลือบมามองเพื่อนสนิทอย่างเกรงใจ ทำเอาเวทิตสะดุ้งโหยง แล้วรีบโบกไม้โบกมือพร้อมบอกตามมา
“ไม่เป็นไร ๆ ฉันก็ว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เหมือนกัน”
“จะดีหรือครับน้องต้น ถ้าเข้าไปตอนนี้ก็ไปขัดจังหวะน้องเจเข้าให้สิครับ”
รวีขัดขึ้นทำเอาเวทิตสะดุ้งโหยงพลางส่งยิ้มเจื่อนแล้วก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องอยู่สภาพนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือครับ”
รวีมองคนพูดแล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ...เอางี้สิครับ น้องต้นยืมเสื้อผ้าของพี่ใส่ก่อนก็ได้ ส่วนเสื้อผ้าที่เปียกก็ใส่เครื่องซักอบให้เรียบร้อยไปเลย”
“งั้นฟ้าก็ยืมเสื้อพี่ซันใส่บ้างได้ไหมล่ะครับ...จะได้ไม่ต้องเดินไปเปลี่ยนถึงบ้าน”
เวหาเอ่ยขึ้นบ้างเพราะเห็นว่าสะดวกดี แต่นั่นกับทำให้คนฟังชะงัก แล้วเผลอคิดจินตนาการบางอย่างตามมา
“เอ่อ...ก็ดีนะครับ..แต่พี่กลัวจะคุมตัวเองลำบาก แหะ ๆ”
เวหาขมวดคิ้วอย่างงุนงง ทว่าพอลองคิดตามเขาก็หน้าแดงวาบ ส่วนเวทิตนั้นหัวเราะเจื่อน ๆ แล้วบอกกับทั้งคู่
“ผมว่านะ ผมยอมไปขัดจังหวะคุณเอริคดีกว่า ...อีกอย่างขืนปล่อยให้เจอยู่กับเขาตามลำพัง ผมกลัวหมอนั่นจะสติแตกแล้วหนีกลับบ้านไปก่อนน่ะสิครับ”
คำพูดของเวทิตทำให้เวหาที่รู้จักเจตต์ดีพอ ๆ กันชะงักน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย
“นั่นสินะ...หมอนั่นบทจะสติแตกก็ทำอะไรบ้า ๆ อย่างที่เราแทบจะคาดไม่ถึงได้เหมือนกันล่ะนะ”
“อื้อ... เพราะงั้นเชิญนายกับพี่ซันตามสบายเลยนะ ฉันคงไม่เข้าไปขัดหรอก”
เวทิตยิ้มนิด ๆ ทำเอาคนฟังหน้าแดงวาบ
“บ้ารึ! พวกฉันไม่ได้จะไปทำอะไรกันสักหน่อย”
“ง่า...จะไม่ทำอะไรเลยจริง ๆ หรือครับน้องฟ้า”
รวีแทรกขัดมาทำให้คนฟังหน้าแดงวาบ ยิ่งได้เห็นเมฆามองมายิ้ม ๆ และมีนาจ้องมองตนเองอย่างเขิน ๆ ส่วนเวทิตก็ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับเขา ทำเอาเวหายิ่งหน้าแดงก่ำแล้วตัดสินใจวิ่งหนีกลับบ้าน ทำเอารวีสะดุ้งโหยง
“เดี๋ยวครับน้องฟ้า! รอพี่ด้วยสิครับ!”
ชายหนุ่มรีบวิ่งตามคนรักไปติด ๆ เรียกเสียงถอนหายใจจากอีกสามคนไล่เลี่ยกัน
“งั้นผมกลับไปเปลี่ยนชุดกับดูเจก่อนดีกว่าครับ...ตามสบายเลยนะน้องมีน”
ท้ายประโยคเวทิตแกล้งกะพริบตาส่งให้กับมีนา ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าแดงวาบ ส่วนเมฆาหัวเราะเบา ๆ แต่ยังคงโอบบ่าคนรักมาแนบชิดตนมากขึ้น
“พวกพี่ ๆ นี่นะ...รักกันหวานชื่นขนาดนี้ ยังจะขี้หวงกันอีก ไม่เข้าใจเลยแฮะ”
เด็กหนุ่มบ่น แล้วโบกมือให้มีนาค่อย ๆ ก่อนจะเดินกลับบ้านพักไปอย่างไม่รีบร้อนนัก ส่วนเมฆานั้นถอนหายใจเบา ๆ ก็เข้าใจดีว่าทั้งเจตต์และเวทิต แต่ละคนไม่มีใครคิดเกินเลยกับมีนาแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหึงหวงทุกครั้งที่มีคนอื่นพูดคุยกับมีนาอย่างสนิทสนม
“พี่เมฆ...พี่ยังหึงผมกับพวกพี่เจและพี่ต้นอีกไหมครับ”
มีนากระตุกแขนเสื้อคนรักแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าแกมกังวลนิด ๆ ซึ่งก็ทำให้เมฆายิ้มน้อย ๆ พร้อมตอบกลับ
“ตอนนี้ก็ไม่แล้วล่ะครับ ...เพราะรู้แล้วนี่นาว่าน้องมีนน่ะ รักแค่พี่คนเดียวเท่านั้น”
“พี่เมฆบ้า! พูดอะไรก็ไม่รู้...”
มีนาตีแขนคนรักเผียะ หน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน แล้วจึงคล้องแขนของอีกฝ่ายก่อนจะพูดพึมพำแผ่วเบา
“มีนรักพี่เมฆคนเดียวนะ...จำเอาไว้ให้ดี ๆ ด้วยล่ะ”
เมฆายิ้มกว้างแล้วก้มลงจูบเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งป้อนขนมให้กัน และนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่วิ่งหนีมาจากทุกคนด้วยความตกใจแล้ว เจตต์ก็วิ่งเข้าไปในบ้านพักตรงเข้าไปในห้องตัวเอง ใจเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งเห็นรอยแผลที่ยังคงมีเลือดซึมอยู่เล็กน้อยนั่น เขาก็ยิ่งหน้าแดงก่ำหนักเข้ากว่าเดิม แต่พอรู้สึกตัวเด็กหนุ่มก็ต้องอุทานเบา ๆ เพราะพื้นห้องที่เป็นปาเก้ไม้สักขัดมันสวยอย่างดี กำลังเปียกนองน้ำจากเสื้อผ้าของเขา
“หวา...ลืมไปเลย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า”
บอกกับตัวเองแล้วเด็กหนุ่มก็รีบหยิบผ้าขนหนูเขาไปในห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้า อาบน้ำราดตัวอีกครั้ง แล้วเอาผ้าเปียกใส่ตะกร้าในห้อง ก่อนจะพันผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ ทว่าเขาก็ต้องชะงักฝีเท้ากึก เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนกำลังนั่งรออยู่บนเตียงของตน
“คะ...คุณเอริค...”
เอริคเองก็ชะงักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มในสภาพนั้น เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ พลางลุกขึ้นยืน แล้วบอกขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วค่อยตามไปที่ห้องรับแขก เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้”
เจตต์สะดุ้งแล้วเตรียมจะบอกปฏิเสธ หากแต่อีกฝ่ายก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ถ้าไม่เอาแบบนั้น ฉันก็จะอยู่รอทำแผลให้เธอในห้องนี้แทน...เลือกเอาแล้วกัน”
“งะ...งั้น ผมเลือกแบบแรกดีกว่าครับ”
เจตต์รีบบอก เพราะคนที่ยืนและเตรียมจะเดินออกไป เดินกลับมาที่เตียงของตนและนั่งลงอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปรอข้างนอก...แล้วรีบตามมาเร็ว ๆ ล่ะ”
เอริคบอกกึ่งบังคับ ทำให้เจตต์กลืนน้ำลายลงคอ แต่ก็ยังรู้สึกโล่งอกที่ชายหนุ่มยอมเดินออกจากห้องของตนไปอย่างง่าย ๆ เด็กหนุ่มรีบตามไปล็อกประตูห้อง และเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงว่าขืนช้ากว่านี้ อีกฝ่ายอาจจะตามมาเคาะประตูห้องของตนอีกครั้ง และบางทีอาจจะถึงขั้นพังเข้ามาถ้าเขาไม่ยอมเปิดให้ก็เป็นได้
....TBC .....
-
:laugh: :laugh: :laugh:
-
โธ่ น้องเจ อย่ากลัว เอริค ไปเลยเค้าแค่เป็นห่วงเฉยๆ
-
:mew3: กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหวมากกว่ามั้งน้องเจ
-
โอ๊ยยยย อ่านอย่างจุใจ ขอบคุณคนแต่งค่า กดบวกกดเป็ด ><
หนูเจตต์ไม่รอดมือเอริคแหงๆ จีบกันขนาดนี้ เขินอ่า เฮียแกไม่แคร์สายตาใครเลยจริงๆ
คู่น้องฟ้า น้องมีนน่ารัก หวานกันเสมอต้นเสมอปลาย
อ่านไปอ่านมาชักสงสารต้นง่ะ เดียวดายอยู่ลำพัง :laugh:
-
ตอนที่ 5
ทางด้านเอริคหลังออกมาจากห้องของเด็กหนุ่ม เขาก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะดันเผลอใจเต้นเข้าให้กับร่างเปลือยท่อนบนของเจตต์ โชคดีที่เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้ามากนัก เลยทำให้ไม่หลุดอาการอะไรออกไป ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงจะกลัวและตีตนออกห่างเขายิ่งกว่าเดิมเป็นแน่
“อ้าว...คุณเอริค แล้วเจล่ะครับ”
เวทิตที่เดินเข้ามาในบ้านเอ่ยถามถึงเพื่อนของเขา ซึ่งเอริคก็หันไปมองเด็กหนุ่มแล้วตอบคำถามตามตรง
“เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ...มีอะไรหรือเปล่า”
ท้ายประโยคน้ำเสียงนั้นดูขรึมลงจนคนฟังจับสังเกตได้ เวทิตเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยักไหล่ตามมา
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เห็นคุณบอกว่าจะตามมาทำแผลให้เจมัน ก็เลยแปลกใจที่เจไม่อยู่”
เอริคชะงักก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงความหึงหวงออกไปให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ ทั้งที่เขาพยายามบอกตัวเองแล้วว่าเวทิตนั้นคิดกับเจตต์แค่เพื่อน และก็ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่คิดขัดขวางอะไรเขาเสียด้วย
“...ฉันก็ตั้งใจจะทำแผลให้เขานั่นล่ะ แต่รอให้เขาแต่งตัวให้เสร็จก่อนแล้วถึงจะทำ”
น้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนลงทำให้เวทิตยิ้มออกอย่างพึงพอใจ ที่อีกฝ่ายก็ยังพอระงับอารมณ์และรู้จักแยกแยะได้อยู่บ้าง
“งั้นผมไปล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างดีกว่า...อ้อ! ฝากเรื่องแผลของเจด้วยล่ะครับ”
เอริคพยักหน้าตอบรับ ซึ่งเวทิตก็เดินกลับเข้าห้องไปอันเป็นเวลาเดียวกับที่เจตต์นั้นเปิดประตูห้องออกมา เขามองไปยังห้องเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากคนที่รออยู่
“ตามมาสิ ฉันจะได้ทำแผลให้”
เจตต์หันมายิ้มแห้งให้คนหน้าขรึม แล้วเดินก้มหน้าก้มตาตามมาที่ห้องรับแขก ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย เห็นดังนั้นเอริคจึงถอนหายใจแผ่วเบา แล้วขยับลุกมานั่งข้างเด็กหนุ่มซึ่งก็สะดุ้งโหยงทันทีที่ร่างสูงนั่งลงเคียงข้าง
“เอ่อ...ทำไมคุณเอริคต้องมานั่งใกล้กันแบบนี้ด้วยล่ะครับ”
เจตต์ถามกลับไปด้วยสีหน้าที่พยายามทำเป็นไร้เดียงสา ทั้งที่ตอนนี้ก็กลัวจนหน้าซีด เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะหน้ามืดมาปล้ำเขานั่นเอง
ทางด้านเอริคจ้องมองสีหน้าคนถาม ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ก็ถ้าให้นั่งห่างแบบนั้นจะทำแผลให้ได้ยังไงล่ะ”
“อ๊ะ...จริงด้วยสินะ”
เจตต์ชะงักก่อนจะพึมพำตามมา เพราะมัวแต่กลัวจนลืมไปว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำแผลให้เขา
“แสบหรือไง”
เอริคถามขณะกำลังเอาน้ำเกลือเช็ดแผล เพราะเห็นว่าเจตต์นั้นสะดุ้งแล้วหลับตาปี๋ไม่ยอมลืมตามองทั้งเขาทั้งแผล
“มะ..ไม่หรอกครับ...แต่ผมกลัวเลือด ไม่อยากมองแผล”
คนฟังชะงักนิด ๆ ก่อนจะหลุดแย้มยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างลืมตัว
“เลือดหยุดไหลไปแล้วล่ะ อีกอย่างแผลก็ไม่ลึกมากด้วย สงสัยคงจะแค่ไปเฉี่ยวโดนเศษกิ่งไม้ในน้ำอะไรพวกนั้นมากกว่า”
น้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนโยนลง ทำให้เจตต์ลืมตามามองคนพูด ก่อนจะนิ่งอึ้งเมื่อทันได้เห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งประดับบนสีหน้าคมเข้มของอีกฝ่าย แล้วจึงตามมาด้วยอาการใจเต้นผิดจังหวะ หน้าร้อนวูบวาบ อย่างที่ตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร
อาการก้มหน้างุด ๆ หลบตาอีกครั้งของเด็กหนุ่ม ทำให้เอริคขมวดคิ้ว แล้วจึงลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“ฉันทายาให้เรียบร้อยแล้วล่ะ ไม่นานแผลก็คงแห้ง”
ชายหนุ่มบอกพึมพำ เขาปล่อยมือที่จับแขนอีกฝ่ายออกอย่างนึกเสียดาย แต่เขาก็ไม่อยากจะรุกเร็วไปกว่านี้ เพราะเกรงว่าเจตต์นั้นจะเปลี่ยนท่าทีเป็นกลัวและออกห่างแทน แค่ตอนนี้เด็กหนุ่มมีท่าทางตอบรับเขาบ้างในบางครั้ง ก็ทำให้เอริครู้สึกยินดีมากแล้ว
“อะ...เอ่อ ขอบคุณมากครับ”
เจตต์ตอบเสียงแผ่ว จริงแล้วเขาก็อยากรีบลุกออกไป แต่ดูเหมือนว่าร่างกายมันไม่ยอมทำตามสมองสั่ง จึงได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น จนเวทิตที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดินออกมาสมทบ
“อ้าว...นั่นยังทำแผลกันไม่เสร็จอีกหรือครับ”
เด็กหนุ่มเอ่ยทัก แม้จะเห็นอยู่บ้างว่าเอริคนั้นไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งมองเพื่อนของเขา ส่วนเพื่อนของเขาก็นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน
“อ๊ะ! ต้น! มาแล้วหรือ!”
เจตต์ลุกขึ้นพรวดแล้วก้าวฉับไปหาเพื่อนสนิททันที สร้างความไม่สบอารมณ์ให้คนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนเวทิตนั้นแค่นยิ้มกับตัวเองที่เพื่อนดันหาเรื่องมาให้เขา แต่เด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจดีว่าเจตต์เองคงกำลังสับสนอยู่ไม่น้อย จึงรีบตรงมาหาที่พึ่งอย่างเขาเช่นนี้
“อืม...จริงสิเจ ฉันว่าเราไปเดินเล่นนอกบ้านกันดีกว่านะ...ไปด้วยกันไหมครับคุณเอริค”
เอริคเลิกคิ้วนิด ๆ มองคนชวน หากแต่พอเห็นเจตต์ที่รีบหลบหน้าเขา ชายหนุ่มจึงตอบออกไปเสียงเรียบ
“ไม่เป็นไร พวกเธอไปกันเองเถอะ...ฉันไปด้วยก็คงมีคนลำบากใจเปล่า ๆ”
คำตอบของเอริคทำให้เจตต์ชะงัก แต่พอมองไปก็เห็นอีกฝ่ายเมินหลบตาเขาบ้าง ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวล่ะครับ เอ้า! มาสิเจ มัวแต่มองตามคุณเอริคเขาตาละห้อยอยู่ได้!”
เวทิตแสร้งโพล่งขึ้นเสียงดังเมื่อเห็นอาการของเพื่อน ทำให้คนที่เมินมองไปทางอื่นชะงัก ส่วนเจตต์นั้นหน้าแดงวาบ พลางหันขวับมาถลึงตาดุใส่เพื่อนที่พูดเกินจริงเช่นนั้น
“มะ..ไม่มีอะไรหรอกครับ ต้นมันก็ปากเปราะแบบนี้ล่ะครับ แหะ ๆ จะรีบใช่ไหม งั้นก็ไปได้แล้ว เร็ว ๆ เข้า!”
เจตต์รีบหันมาแก้ตัวกับชายหนุ่มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แล้วจึงหันไปดุพร้อมดึงเพื่อนที่ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ตนให้เดินตามออกนอกบ้านพักไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกนิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนความคิด แล้วเดินตามพวกเด็กหนุ่มที่ออกไปก่อนหน้านั้นอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาแทน
เจตต์ลอบถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อเหลือบเห็นเอริคนั้นเดินตามมาด้วย
“จะว่าไป คุณเอริคเขาก็นิสัยค่อนข้างใช้ได้นะ ถ้าเขาเป็นผู้หญิงแทนผู้ชายล่ะก็ เป็นฉันก็โอเคว่ะ”
เวทิตเปรยบอกกับเพื่อนสนิทเบา ๆ ซึ่งเจตต์ก็ถอนหายใจอีกครั้งแล้วเปรยตอบ
“ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็คงไม่ลำบากใจอย่างทุกวันนี้หรอก”
“แสดงว่านายก็เริ่มคิดอะไร ๆ แบบนั้นกับคุณเอริคเขาบ้างแล้วสินะ”
คำถามของเพื่อนทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง ใบหน้าแดงระเรื่อ แล้วรีบแก้ตัวเสียงสั่น
“บะ..บ้าหรือวะ! ใครจะคิดอะไรแบบนั้นกัน!”
เวทิตมองเพื่อนปฏิเสธเสียงสั่น แล้วก็หันมาลอบถอนหายใจกับตัวเองแผ่วเบา เพราะจากปฏิกิริยาตอบรับของเพื่อน มันก็ทำให้เขามั่นใจว่า เจตต์นั้นเริ่มหวั่นไหวกับเอริคเข้าให้แล้ว
“แบบนี้เห็นทีคงไม่รอดแล้วล่ะวะ”
เวทิตเผลอบ่นกับตัวเอง ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง จะถามก็กลัวเข้าตัวเลยทำเป็นหูทวนลมไม่ใส่ใจอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดเหลือบมองคนที่เดินตามอยู่ห่าง ๆ เป็นระยะไม่ได้ จนเอริคที่รู้สึกตัวว่าถูกแอบมองต้องลอบยิ้มกับตัวเอง ทว่าเขายังคงไม่แสดงท่าทางอะไรออกไปมากกว่าเงียบขรึม จนกระทั่งพวกรวีตามมาสมทบ ทั้งหมดจึงย้ายกันไปนั่งพักที่ซุ้มในบ้านของเวหากันแทน
ตกเย็นในวันนั้นหลังจากกินอาหารเย็นกันอิ่มหมีพลีมันแล้ว เวหากับมีนาก็มารวมพลกันที่บ้านหลังเล็กที่พวกเวทิตพักอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าพวกหนุ่ม ๆ ก็ต้องตามคนรักของพวกตนมา ห้องรับแขกที่ค่อนข้างกว้างสำหรับคนสองสามคนก็เลยดูคับแคบไปสักหน่อย
“สงสัยต้องขยายบ้านพักแล้วแบบนี้”
รวีพึมพำก่อนจะสะดุ้งเมื่อมือของเวหาตีเผียะที่แขนของเขาเบา ๆ และพอหันไปมองก็เห็นคนรักอายุน้อยกว่ากำลังใช้สายตาดุ ๆ จับจ้องตนอยู่
“ง่า...พี่ก็แค่เปรย ๆ เอาไว้เท่านั้นเองครับ ยังไม่คิดจะทำเพิ่มเติมตอนนี้หรอก”
รวีรีบบอก ซึ่งก็ทำให้คนฟังทำเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้ เพราะรู้นิสัยของคนรักตนดีว่าฟุ่มเฟือยเพียงใด
“จะว่าไปบ้านหลังนี้ก็สวยมาก แถมด้านนอกก็ตกแต่งเสียสวยเชียว นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นบ้านพัก ถ่ายรูปไปให้เพื่อนดู ก็ต้องคิดว่าเป็นรีสอร์ทกันทั้งนั้นนะครับ”
เวทิตชมขึ้นมาบ้าง ซึ่งก็ทำให้รวียิ้มตอบ เพราะทั้งนี้เขาก็ตั้งใจจะตกแต่งบริเวณรอบ ๆ ให้ดูเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของตัวเองและครอบครัวคนรักอยู่แล้ว
“โดยเฉพาะน้ำตกจำลองนั่นสวยมากเลยครับ เสียดาย ถ้าเป็นน้ำตกจริงก็คงดี แหะ ๆ”
เจตต์บอกตามมา ทำให้สายตาของบางคนหันไปมอง แล้วเอ่ยถาม
“เธอชอบน้ำตกหรอกหรือ”
เจตต์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของเอริคไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“เอ่อ...ก็ชอบอยู่ครับ”
“หมอนี่ชอบน้ำตกพอ ๆ กับทะเลน่ะครับ แต่ถ้าจะให้เลือก ก็ชอบน้ำตกมากกว่า เห็นบอกว่าเพราะอากาศดี เย็นสบาย ไม่เหนียวตัวเท่ากับทะเล”
เวทิตเสริมให้ต่อ ทำเอาเจตต์หันมามองเพื่อนตาดุ ๆ หากแต่เวทิตนั้นกลับไม่สนใจ แถมยังหยิบคุ้กกี้ช็อกโกแลตที่มีนาทำเองมากินแทนหน้าตาเฉย
“เอ...จะว่าไปใกล้ ๆ นี้ก็มีน้ำตกอยู่ไม่ใช่หรือ เพราะว่าอยู่ลึก เข้าลำบาก และแถวนี้ก็ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว ก็เลยคนไม่เยอะมากด้วย”
มีนาบอกขึ้นมาอย่างนึกได้ ซึ่งก็ทำให้แต่ละคนหันมามองอย่างสนใจ
“จริงด้วยสิ ตอนเด็ก ๆ เราก็เคยไปเที่ยวแถวนั้นกับพ่อแม่กันนี่นะ ถึงจะเดินไปยากสักหน่อย แต่ก็ไม่ลำบากมากนัก ที่สำคัญแอ่งน้ำที่นั่นใสมาก ถึงจะไม่ใหญ่หรือมีหลายชั้นเหมือนกับน้ำตกอื่น ๆ ก็เถอะ”
เวหาเสริมตามอย่างนึกขึ้นได้ ซึ่งก็ทำให้หลายคนสนใจ และตัดสินใจเพิ่มโปรแกรมท่องเที่ยวน้ำตกเอาไว้ในวันหยุดยาวครั้งนี้ด้วย
และเมื่อนั่งพูดคุยกันจนเกือบจะถึงเวลาสามทุ่ม ทางด้านเอริคก็เอ่ยตัดบทให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน เพราะรวีนั้นเกิดตัดสินใจดึงเวลาท่องเที่ยวน้ำตกมาเป็นวันพรุ่งนี้ ตามประสาคนใจร้อนเสียแล้ว
“เฮ้...เจ...”
เวทิตหันมาบอกเพื่อนสนิทที่เดินตามตนมา แล้วพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายไปคุยกับเอริคที่เหลือเป็นรายสุดท้ายยังไม่กลับไปไหน เจตต์นั้นชะงัก แต่ก็ยังคงเดินกลับไปคุยกับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่
“เอ่อ...คุณเอริคจะอยู่ต่อหรือครับ”
“เธอคงอยากให้ฉันรีบกลับไปเร็ว ๆ สินะ”
เอริคย้อนถามเสียงเรียบ ทำเอาเจตต์สะดุ้งแล้วรีบแก้ตัวกลับไป
“อ๊ะ! เปล่านะครับ!”
ทั้งคู่เงียบไปสักพัก เจตต์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนอย่างตะกุกตะกัก
“เอ่อ...ถ้าคุณเอริคจะอยู่ต่อ...ผมก็กะว่าจะมานั่งคุยเป็นเพื่อนน่ะครับ...ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น”
แม้ว่าคำพูดนั้นจะติดขัด หากแต่แววตาก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจไม่ได้หลุกหลิกแต่อย่างใด ทำให้คนฟังเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้เห็น
“ขอบใจ...ถ้าอย่างนั้นช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุยกับฉันอีกสักพักจะได้ไหม”
“อ๊ะ...ดะ...ได้ครับ”
เด็กหนุ่มรีบตอบรับ แล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย ก่อนจะก้มหน้างุดไม่รู้จะทำยังไงดี ทางด้านเอริคก็ไม่ได้คิดจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นสนทนาก่อน เขาเพียงแต่นั่งจ้องคนที่ตนสนใจตรงหน้าเงียบ ๆ เท่านั้น
‘เฮ้อ...ก็ไม่ใช่อยากจะส่งเสริมให้เพื่อนเป็นเกย์หรอก...แต่นายคงจะไม่รู้ตัวเองเลยสินะเจ ว่าเวลาอยู่กับคุณเอริคเขาน่ะ นายแสดงออกยังไงบ้าง...ลองเป็นถึงขนาดนี้แล้ว แทนที่จะช่วยห้าม สู้ช่วยส่งเสริมแทนดีกว่าล่ะนะ ...แหม! เรานี่ช่างเป็นเพื่อนที่แสนดีจริง ๆ แฮะ’
เวทิตคิดในใจ ก่อนจะเดินฮัมเพลงเข้าไปในห้องพักอย่างอารมณ์ดี เสียงปิดประตูห้องทำให้คนที่กำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ สะดุ้ง แล้วเหลือบไปมองทางเข้าห้องพักของเพื่อนด้วยสายตาอึ้ง ๆ
“...คงอยากไปนอนบ้างแล้วสินะ”
เอริคตีความสีหน้าแบบนั้นของเด็กหนุ่ม ซึ่งเจตต์ก็หันมายิ้มเจื่อน ๆ แล้วมีท่าทางกังวลจนคนมองต้องถอนหายใจเบา ๆ
“ไปนอนเถอะ ฉันกลับล่ะ”
บอกจบเอริคก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมเดินออกจากบ้านพักไป ทำเอาเจตต์ที่นั่งอยู่ตกใจและรีบลุกขึ้นตามไปติด ๆ
“อ๊ะ! เดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับ!”
“ไม่เป็นไร...”
เอริคหยุดเดินหันมาบอก ทำให้คนที่ก้าวตามมาติด ๆ ชนเข้าให้กับร่างสูงเต็มแรง เด็กหนุ่มตกใจรีบถอยหลังหนีแต่ก็ลนลานจนเกือบจะล้มทำให้อีกฝ่ายต้องรีบรั้งร่างตรงหน้ามาไว้ในอ้อมกอดเสียก่อน
“ใจเย็น ๆ เดี๋ยวก็ล้มลงไปหรอก”
น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เจตต์หน้าแดงวาบ ใจเต้นแรง ยืนแข็งค้างนิ่งให้อีกฝ่ายกอดเอาไว้เช่นนั้นสักพัก จนเอริคต้องเป็นฝ่ายตัดใจผลักร่างของเด็กหนุ่มออกห่าง เพราะเกรงว่าตนจะห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่ไหวนั่นเอง
“ฉันไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกันนะ...ราตรีสวัสดิ์”
ชายหนุ่มโน้มใบหน้าไปกระซิบบอกพร้อมกับหอมแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบา ทำให้คนที่นิ่งอึ้งอยู่แล้วยิ่งอึ้งหนัก แม้กระทั่งว่าเอริคเดินจากไปพร้อมกับปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยแล้ว เจตต์ก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ตรงนั้นไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว
…TBC…
สำหรับคู่นี้ ก็เริ่มหวานขึ้นเรื่อย ๆ เอาจริง ๆ หนูเจ เค้าก็เริ่มชอบแล้วล่ะ แต่ก็ไม่กล้ายอมรับใจตัวเอง ส่วนนายต้น ที่มีคนบอกสงสาร น่าจะให้มีคู่กับเขาบ้าง กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ได้สาว หรือได้หนุ่มดี แหะ ๆ ^^"
-
:o8: ยืนตัวแข็งเลยน้อ จะนอนหลับไหมน้องเจ
คุณเอริคมาถูกทางแล้วจ้ะ
-
:pig4: :pig4:
-
:o8 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
-
เจ น่ารัก >< เชียร์ๆๆๆ ต้นโสดคนเดียวไม่ได้นะ ต้องมีคู่สิๆๆๆ
:katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
-
ต้นจะมีคู่แล้ววววววว ปริ่มค่ะ น้ำตาจะไหล
คนแต่งเมตตานายแล้วต้น 555555555 :laugh3:
ต้น: .... เอ่อ จะดีเหรอ วาบๆ ด้านหลังอย่างบอกไม่ถูก
อิชั้น: แหม เด็กดีๆ มันต้องมีครั้งแรกเป็นธรรมดา 55555
ต้น: ... ครั้งแรกอะไรรึครับ?
อิชั้น: ก็ ครั้งแรกจาก first boyfriend ไงจ๊ะ อิอิ (ชั้ดเจนมากอิชั้น :hao7: )
ก็นะ เป็นเพื่อนที่แสนดีแบบนี้จะเดียวดายไม่ด๊ายยยย ขอบคุณคนแต่งค่ะ (อ่าวเฮ้ย! นี่แกมัดมือชกสินะ!)
หนูเจน่ารักขึ้นทุกวัน คุณเอริครุกเข้าค่า
รุกอีกๆๆ ชอบอ่ะ เค้าหอมแก้มกันแล้ววววว :-[ บรรยากาศตอนนี้มุ้งมิ้งมากมาย
ตอนไปน้ำตก จะมีอะไรเกิดขึ้นเปล่าเอ่ย อยากเห็นน้องเจในชุดวาบหวิวอีก :m3:
อรั๊ยยยยย รออ่านตอนต่อไปค่ะ :L2:
-
*ช่วงสงกรานต์ สำหรับปัดเป็นเทศกาล ทำความสะอาด จัดบ้าน รวมญาติ สังสรรค์ ฯลฯ เลยไม่ค่อยสะดวกมาหน้าคอม แต่ถ้านึกได้ก็จะมาโพสให้อ่านเป็นระยะ แบบนี้นะคะ*
บทที่ 6
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนต่างพากันมารวมตัวที่หน้าบ้านของเวหาเพื่อขึ้นรถตู้ที่รวีจัดการให้ ทางด้านเจตต์นั้นนั่งสัปหงกไปตลอดทางจนหลายคนแอบสงสัย แต่ต้นเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มเป็นเช่นนั้นกลับอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพอจะคาดเดาได้ว่า ที่อีกฝ่ายนั้นนอนไม่พอเกิดมาจากสาเหตุใดกันแน่
น้ำตกที่ทุกคนมาเที่ยว อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเวหานัก ทางเข้าน้ำตกต้องเดินเท้าเข้าไปอีกเป็นกิโล ทว่าพอมาถึงตัวน้ำตกทุกคนก็เลิกบ่นและแทบจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“สวยมาก...น้ำใสน่าเล่นชะมัด”
เจตต์เปรยขึ้นมาอย่างเพ้อ ๆ นัยน์ตาเป็นประกายแวววาวจนคนอื่นนึกขำแกมเอ็นดู
“ทางเข้าลำบากอย่างนี้นี่เอง คนถึงไม่เยอะและยังคงความเป็นธรรมชาติได้อยู่แบบนี้”
รวีพึมพำขึ้น ซึ่งเวหาที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ครับ...แต่ก็ต้องระวังอย่าเดินเที่ยวเข้าไปลึกมาก เพราะอาจจะหลงป่าเข้าให้ได้ ตอนสมัยยังเด็กผมกับมีนเดินเล่นซนจนเกือบหลง โชคดีที่พ่อตามไปเจอ แต่โดนดุและโดนห้ามเที่ยวอยู่หลายเดือนจนเข็ดเลยล่ะครับ”
เวหาเล่าให้ฟังแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้รวีที่ได้ยินแอบสะดุ้ง นี่ถ้าเขาอยู่ด้วยตอนนั้นแล้วเวหาเกิดหายไป เขาก็คงร้อนใจและเป็นห่วงอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
“ก็ไม่แปลกหลอกที่จะหลงทาง ก็ฟ้าน่ะเป็นจอมหลงทิศมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอ ๆ กับเจมันเลย เวลาไปไหนไม่คุ้นที่ ขืนให้สองคนนี่นำทางมีหวังหลงกับหลงอย่างเดียวล่ะนะ”
เวทิตเสริมขึ้นมา ทำเอาสองคนที่ถูกเพื่อนสนิทแฉ ต่างประท้วงขึ้นแทบพร้อมกัน
“จอมหลงทิศอะไรกันวะ! ฉันก็แค่เป็นพวกจำสับสนนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็ไม่ได้พานายหลงบ่อยสักหน่อย!”
เจตต์โวยขึ้นมาก่อน ซึ่งเวหาก็รีบเอ่ยเสริมตามมาทันที
“ส่วนฉันเท่าที่เคยพานายหลงก็แค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่หรือไงต้น แล้วนั่นมันก็นานมาแล้ว จะว่าฉันเป็นจอมหลงทิศนี่ มันไม่ค่อยจะยุติธรรมเท่าไรเลยนะ”
เวทิตมองเจตต์และเวหาสลับกัน ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะเจตต์นั้นตอนที่เคยนัดไปเที่ยวห้างดังในกรุงเทพฯ กับเขาเมื่อปีที่แล้ว อีกฝ่ายที่โม้กับเขาเสียดิบดีว่าเคยมาเที่ยวกับครอบครัวที่นี่หลายครั้ง ก็พาเขาหลงไปคนละทิศ จนสุดท้ายต้องไปสอบถามคนแถวนั้น และทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายพาเขามาผิดทางนั่นเอง
ส่วนทางด้านเวหานั้นก็ใช่ย่อย แม้เด็กหนุ่มจะบอกกับเขาว่าเคยพาเขาหลงเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ครั้งเดียวของเวหาก็ทำให้เวทิตเข็ดขยาด เพราะเด็กหนุ่มในตอนนั้นนำพวกเขาซึ่งไปเข้าค่ายลูกเสือตอนมัธยมปลาย ทำกิจกรรมเดินทางไกล จนเดินหลงไปคนละเส้นทางหลายกิโล เดือดร้อนพวกอาจารย์ต้องเป็นฝ่ายออกตามหาเลยทีเดียว
“โอเค ๆ ฉันผิดเอง...พวกนายแค่เคยสับสนทิศนิดหน่อยเมื่อนานมาแล้วก็เท่านั้น... พอใจหรือยังล่ะ”
เวทิตที่โดนเพื่อนรุมยักไหล่พร้อมบอกอย่างเอือมระอา ซึ่งก็ทำให้เวหากับเจตต์หันมายิ้มให้กันแล้วตบบ่าเพื่อนคนละข้าง
“ก็พอไหววะ!”
เจตต์บอกกึ่งขำ เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรเรื่องที่เพื่อนสนิทว่า เนื่องจากไม่ใช่แค่เวทิตเท่านั้นที่พูดแบบนี้ กระทั่งครอบครัวของเขาเองก็ยังบ่นอยู่บ่อย ๆ เรื่องที่เขาเป็นพวกจำทางไม่เก่งและชอบหลงทิศอยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องแกล้งโวยวายบ่นใส่เพื่อนเอาไว้ก่อน เพราะไม่อยากจะเสียฟอร์มต่อพวกรวีนั่นเอง
ส่วนทางด้านเวหานั้นผิดกัน เจ้าตัวยังคงคิดว่าความผิดพลาดสมัยมัธยมปลายเป็นเพราะเขาจำทางผิดไปเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าตนเป็นจอมหลงทางหลงทิศอย่างที่เพื่อนพูดมาแต่อย่างใด ซึ่งหากเด็กหนุ่มจะลองทบทวนดูสักนิด ก็จะพบว่าเวลาที่ครอบครัวหรือเพื่อนฝูงไปท่องเที่ยวแล้วเกิดไม่แน่ใจทิศทางขึ้นมา ยามใดที่เขาเสนอว่าน่าจะไปเส้นทางนี้ อีกฝ่ายก็มักจะเลือกเส้นทางตรงข้ามแทนเสมอ แต่เขาก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจเพราะมัวแต่อยากให้ถึงเป้าหมายไว ๆ เสียมากกว่า
ทางด้านเอริคนั้นยืนฟังข้อมูลที่ได้รับรู้จากเวทิตอย่างเงียบ ๆ แม้จะให้นักสืบคอยสืบเรื่องราวเกี่ยวกับเจตต์มาบ้างแล้ว หากแต่เรื่องอุปนิสัยอื่น ๆ ของเด็กหนุ่มนั้น ถ้าไม่รู้จากเพื่อนสนิท ครอบครัว ก็คงจะต้องคอยสังเกตจากเจ้าตัวได้แค่อย่างเดียว และเอริคเองก็ต้องการทราบทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่เขาพึงใจเสียด้วย
“ถ้าอย่างนั้นมีนจะปูเสื่อกับจัดกล่องข้าวไว้รอนะ พวกพี่ ๆ จะไปเล่นน้ำตกก็ไปเล่นกันก่อนได้เลย มีนเฝ้าของให้เอง”
“อ้าว อย่างนี้น้องมีนก็ไม่ได้เล่นน้ำน่ะสิครับ”
เจตต์ท้วงขึ้นมา ซึ่งมีนาก็ยิ้มหวานให้แล้วเอ่ยตอบ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ จริง ๆ มีนก็ไม่ชอบเล่นน้ำเท่าไหร่ แต่ชอบนั่งชมบรรยากาศริมน้ำมากกว่า”
คนฟังพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันมาสบตากับเอริคเข้าโดยบังเอิญ เจตต์นั้นสะดุ้งโหยง แล้วยิ้มเจื่อนให้อีกฝ่ายอย่างเคยชิน
“ง่า...แล้วคุณเอริคจะเล่นน้ำด้วยกันไหมครับ”
เอริคนิ่งเงียบคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปฏิเสธออกไป
“ไม่ล่ะ...ฉันว่าฉันนั่งเฝ้าเธอเล่นเฉย ๆ แทนดีกว่า”
เด็กหนุ่มยิ่งยิ้มแห้งเข้าไปใหญ่ เจ้าตัวรับคำเบา ๆ แล้วเดินก้มหน้าก้มตาไปรวมกลุ่มกับเพื่อนอีกสองคนแทน ทางด้านรวีที่มองอยู่จึงเดินมาสมทบกับลูกพี่ลูกน้องของเขาและเอ่ยปากถามอย่างแปลกใจ
“อ้าว...ฉันก็นึกว่านายจะฉวยโอกาสพัฒนาสัมพันธ์กับเขามากกว่านี้ ถ้าไปเล่นน้ำด้วยกัน ยังแกล้งจับแกล้งกอดแกล้งแต๊ะอั๋งได้ตั้งเยอะนา”
เอริคหรี่ตามองญาติของเขา ก่อนจะถอนหายใจเอามาเฮือกใหญ่
“ขอบใจสำหรับคำแนะนำ ...แต่ไว้เขายอมรับฉันโดยไม่กลัวไม่หนี ให้ได้ก่อน ฉันถึงจะค่อยพิจารณาความคิดของนายก็แล้วกัน”
เอริคตอบตัดบททำให้รวียักไหล่ แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อลูกพี่ลูกน้องของเขาเปรยขึ้นตามมา
“แต่ฉันไม่เข้าใจ ว่าเด็กนั่นจะกลัวอะไรฉันนักหนา ...ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ฉันก็ไม่ได้ตวาดหรือดุเขาเลยสักนิดแท้ ๆ”
“ง่า...แหม ก็บุคลิกของนายมันน่าเกรงขามนี่นา ถ้าคนไม่เคยรู้จักตัวตนของนายมาก่อนจะกลัวนายบ้างมันก็ไม่แปลกหรอก”
รวีรีบแก้ตัว ทั้งนี้เพราะเขาและคนอื่น ๆ ยังไม่เคยมีใครบอกเอริคเลยว่า ที่เจตต์นั้นกลัวแสนกลัวอีกฝ่ายขนาดนั้น ก็เพราะเรื่องที่เขาเผลอเล่าเกี่ยวกับคดีแฟนเก่าของอีกฝ่ายนั่นเอง
ทางด้านเอริคพอได้ยินคำแก้ตัวของลูกพี่ลูกน้อง ก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วยุ่งนิด ๆ เนื่องจากพอจะมองออกว่าอีกฝ่ายมีอะไรปิดบังเขาอยู่ และน่าจะเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย
“พี่ซันครับ! ลงเล่นน้ำด้วยกันไหมครับ!”
เสียงของเวหาที่เรียกตนทำให้รวีหันขวับไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้าง แล้วรีบจ้ำพรวดไปหาคนรักทันที
“น้องฟ้าครับ! ถอดเสื้อทำไมกันครับ!”
เวหาค่อนข้างตกใจนิด ๆ ที่อีกฝ่ายพุ่งพรวดเข้ามาโวยวายใส่เขา แต่ก็ยังคงตอบไปตามตรง
“อ้าว ก็ถอดเสื้อเล่นน้ำน่ะสิครับ”
รวีถอนหายใจแล้วดึงแขนอีกฝ่ายไปห่าง ๆ ก่อนจะออดอ้อนเบา ๆ ชนิดที่ทำให้คนฟังหน้าแดง โดยเจตต์กับเวทิตที่ยังไม่ทันได้ถอดเสื้อก็มองตามเพื่อนไปและพอจะรู้ว่าเหตุใดรวีถึงต้องโวยวายเรื่องเมื่อครู่นี้
“ก็รู้ว่าพี่ซันแกหวงฟ้ามาก แต่ไม่คิดว่าจะหวงขนาดนี้เลยว่ะ”
เจตต์พึมพำ ซึ่งก็ทำให้เวทิตเหลือบมามองคนพูดแล้วหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่กำลังจ้องมายังพวกเขาเขม็ง
“ฉันว่าไม่ใช่แค่พี่ซันที่หวงฟ้าหรอก...สงสัยพวกเราคงต้องลงเล่นน้ำทั้งชุดกันแล้วล่ะนะ”
เจตต์หันมามองเพื่อนอย่างแปลกใจ แต่พอเหลือบไปมองเอริคที่จ้องเขาอยู่ เด็กหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ว่าทำไมเพื่อนถึงพูดแบบนั้น ใบหน้าขาวเริ่มมีสีระเรื่อที่ชวนให้เวทิตนึกขำ
“หึ ๆ แต่ก็น่าให้นายลองถอดเสื้อเล่นน้ำดูนะ ฉันอยากเห็นปฏิกิริยาคุณเอริคเขาเหมือนกันว่ะ ว่าจะหวงนายแบบไหน”
“อะ...ไอ้บ้า หวงเหิงอะไรกัน ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย!”
เจตต์แก้ตัวเสียงสั่น หน้าแดงก่ำด้วยความเขิน ก่อนจะเดินเลี่ยงเพื่อนที่กำลังกลั้นหัวเราะไปเล่นน้ำก่อนคนแรกด้วยความหงุดหงิดที่ถูกล้อเลียนเอาเช่นนี้
“อ้าว ๆ อย่างอนสิวะ เฮ้! รอด้วยเจ ฉันเล่นด้วยคน”
เวทิตรีบบอกเพราะเห็นเพื่อนเดินดุ่ม ๆ ไปก่อน ส่วนเวหาหลังจากสวมเสื้อเรียบร้อยอย่างจำใจ เจ้าตัวก็เดินตามเพื่อนทั้งสองไปติด ๆ โดยรวีนั้นเลือกที่จะไปนั่งเฝ้าเวหาเล่นน้ำ ใกล้ ๆ กับที่เอริคนั่งมองเจตต์อยู่ก่อนหน้านั้น ส่วนเมฆากับมีนาก็นั่งพูดคุยหยอกล้อกันอีกทางอย่างเพลิดเพลินแทน
แอ่งน้ำใสกว้างเย็นฉ่ำสบาย ช่วนให้คนที่กำลังหงุดหงิดผ่อนคลายลงไปได้มาก พอเพื่อนทั้งสองตามลงมาสมทบ เจตต์ก็กลับมาอารมณ์ดีและดำผุดดำว่ายเล่นน้ำกับเพื่อนสนิทได้อย่างร่าเริงทันที
“เหวอ! น้ำลึกใช่ย่อยนะเนี่ย พื้นด้านใต้เนี่ย”
เจตต์ที่ว่ายเข้าไปใกล้ชั้นน้ำตกเอ่ยปาก เพราะพื้นที่เขาเหยียบลาดลงไปจนน้ำเล่นระดับตื้น ๆ แค่หน้าอกลึกไปจนเกือบมิดศีรษะเลยทีเดียว
“เฮ้! ระวัง ๆ หน่อยนะเจ แถวนั้นน้ำมันลึกมาก”
เวหาตะโกนเตือนเพื่อนสนิท ซึ่งคำเตือนนั้นก็ทำให้เอริคขมวดคิ้วยุ่ง แล้วยิ่งจ้องมองเจตต์อย่างไม่วางตามากขึ้นไปอีก
“น้ำลึกด้วยหรือ อันตราย ๆ น้ำเย็นจัดเสียด้วยสิ ...น้องฟ้าเล่นริม ๆ ฝั่งดีกว่าครับ ระวังเป็นตะคริวด้วยนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องรีบบอกนะครับ!”
รวีที่ได้ยินคำเตือนเช่นกันรีบวักน้ำวัดความเย็นดู แล้วตะโกนบอกคนรักอย่างเป็นห่วง ทำให้เวหาหันมายิ้มตอบเขิน ๆ แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับรู้ส่งให้คนเตือนสบายใจอยู่ดี
“น้ำเย็นสบาย แต่ถ้าคนว่ายน้ำไม่แข็งก็น่ากลัวเหมือนกันนะ”
เวทิตบ่นกับเพื่อน ซึ่งทั้งสองก็เห็นด้วยและเริ่มระมัดระวังในการเล่นน้ำมากขึ้น พวกเขาเล่นอยู่เป็นชั่วโมง รวีก็เห็นว่าน่าจะพักได้แล้ว จึงชวนทั้งสามให้ขึ้นจากน้ำเสียก่อน
“ทุกคนขึ้นมาพักก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวค่อยลงไปเล่นใหม่ก็ได้”
เด็กหนุ่มทั้งสามหันไปมองคนชวนแล้วก็ขานรับคำ ทางด้านเวทิตนั้นปีนขึ้นฝั่งอย่างคล่องแคล่ว ส่วนเวหา ทางรวีก็คอยรอบริการช่วยดึงอีกฝ่ายจากน้ำอยู่แล้ว และคนสุดท้ายที่ว่ายมาหลังสุดก็กำลังชะงักเมื่อเห็นเอริคยืนรอเขาอยู่
“จะไม่ขึ้นหรือไง”
คำถามดังขึ้นจากเอริคเมื่อเห็นว่าเจตต์นั้นไม่ยอมว่ายมาหาตนสักที
“เอ่อ...ขึ้นสิครับ”
เจตต์บอกเสียงอ่อยแล้วว่ายไปที่ฝั่งห่างจากที่เอริคอยู่ ทว่าพอเด็กหนุ่มจะยันตัวขึ้น คนที่ยืนอยู่ก็เดินตามมาแล้วยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย
“ง่า...เอ่อ...”
เจตต์พูดอะไรไม่ออก แต่พอเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจแล้วทำท่าจะถอนมือไป เขาก็ตกใจแล้วรีบเอื้อมจับมืออีกฝ่ายหมับทันที
“อ๊ะ..เอ่อ...คือ ถ้าไม่ลำบากนัก ช่วยดึงผมขึ้นไปได้ไหมครับ”
เจตต์ก้มหน้าบอกไม่กล้าสบตากับชายหนุ่ม จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของคนที่ชอบทำหน้าขรึมเบื้องหน้าเขา
“ได้สิ...”
เอริคบอกเสียงแผ่ว เขาดึงรั้งร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมา ใบหน้าของเจตต์เฉียดริมฝีปากของเอริคไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มหน้าแดงวาบ รีบปล่อยมือจนทำให้เสียหลักพลัดตกลงไปในน้ำดังตูมใหญ่ ทางด้านเอริคชะงักด้วยความตกใจไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นคนที่หล่นไปในน้ำโผล่พรวดขึ้นมาไอค่อกแค่ก แต่พอสบตาเขาเจ้าตัวก็อายหน้าแดงแล้วรีบดำน้ำหลบ ก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพลางสำลักน้ำเข้าอีกยกใหญ่
“เห...ไม่ได้เห็นหมอนั่นหัวเราะแบบนี้มานานแล้วนะ น้องเจนี่เจ๋งจริง ๆ แฮะ ทำให้เสือยิ้มยากอย่างหมอนั่นออกอาการขนาดนี้ได้”
รวีที่มองอยู่ห่าง ๆ พึมพำขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า คำพูดนั้นทำให้เวหาที่อยู่ใกล้จ้องมองเพื่อนของเขาที่ตอนนี้ถูกดึงขึ้นมาบนฝั่งเรียบร้อย ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตามมา
“ถ้าเจเกิดชอบคุณเอริคขึ้นมาจริง ๆ ก็คงดีนะครับ”
รวีหันมามองคนรักของเขาแล้วยิ้มตอบ จากนั้นพวกเอริคก็ตามมาสมทบ ทั้งหมดล้อมวงกันกินอาหารกลางวันที่มีนากับวารีทำมาให้อย่างเอร็ดอร่อย และหลังจากอิ่มแล้วเจตต์ก็ชวนพวกเวหาไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารแถวนี้แทน
“ฟ้าบอกว่าน้ำตกมีหลายชั้นใช่ไหม งั้นเราเพิ่งกินอิ่ม ๆ แบบนี้ เราไปเดินสำรวจดูกันดีกว่า ถ้าชั้นไหนสวยน่าเล่นก็ย้ายไปเล่นชั้นนั้นกันแทนไงล่ะ!”
ทั้งเวหากับเวทิตพอได้ยินก็ต่างพยักหน้าเห็นดีด้วย ทว่ารวีที่ฟังอยู่ก็รีบแทรกขัดขึ้นทันที
“งั้นขอพี่ไปด้วยคนนะครับ น้องฟ้า”
เวหาชะงักก่อนจะส่งยิ้มให้พร้อมพยักหน้าตอบรับ ส่วนเวทิตกับเจตต์นั้นลอบถอนหายใจไล่เลี่ยกัน เพราะคนรักของเพื่อนสนิทนั้น ยังคงตามติดเป็นเงาตามตัวเพื่อนของพวกเขาไม่ห่างดังเดิม
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอไปด้วยคนแล้วกัน”
เอริคขัดขึ้นบ้าง ทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เชิญตามสบายเลยครับ แล้วน้องมีนกับพี่เมฆจะมาเดินเล่นด้วยกันไหมล่ะครับ”
เวทิตพูดตอบแทนเพื่อนของเขา แถมยังหันไปชวนมีนากับเมฆาด้วย
“ตามสบายเลยครับ เดี๋ยวพี่กับน้องมีนอยู่เฝ้าของแถวนี้เอง”
มีนาหน้าแดงนิด ๆ เพราะคนพูดนั้นบีบมือเขาเบา ๆ เพื่อเป็นการไม่ให้ปฏิเสธ เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบเวทิตซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปมองเจตต์ที่ทำหน้ายุ่งปนหน้าแดงอย่างน่าขำ ส่วนเอริคนั้นก็ยังคงนิ่งขรึมตามปกติเช่นเคย
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยกโขยงไปเดินเล่นกันเลยดีกว่าครับ”
เวทิตบอกซึ่งก็ทำให้คนฟังแต่ละคนทำตาปริบ ๆ แต่ก็ยังคงพากันเดินรวมกลุ่มไปด้วยกัน และเมื่อบางเส้นทางที่ค่อนข้างแคบเดินยาก พวกเขาก็จับแยกคู่กันเดิน โดยเวหาก็เดินไปกับรวีตามคาด ส่วนเจตต์ที่ตั้งใจจะเดินกับเพื่อนสนิทก็ถูกใครคนหนึ่งขวางเอาไว้แล้วยื่นมือส่งให้เขา
“พื้นแถวนี้ค่อนข้างลื่น ช่วยกันจูงไปน่าจะดีกว่านะ”
เจตต์นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก พอเหลือบไปมองเวทิตก็เห็นอีกฝ่ายทำเป็นมองนกชมไม้อย่างไม่ใส่ใจตนแทน
“...ฝากไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวเอาคืนทีหลังแน่ ไอ้เพื่อนเวร!”
เจตต์พึมพำบ่นว่าเวทิต แล้วจึงตัดสินใจส่งมือให้เอริคอย่างจำใจ เพราะอีกฝ่ายนั้นไม่มีท่าทางว่าจะถอยหรือยอมรามือไปเลยสักนิด
... TBC ...
-
เจคงเริ่มชอบแล้วล่ะ. แต่อย่าชอบแค่แบบพี่น้องนะ. พี่เอริคคงจะเสียใจแย่
ชอบบรรยากาศจัง. อยากไปส่องเอ้ยอยากไปเล่นน้ำตกบ้าง
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะคุณปัด :L1:
-
:pig4: :L2:
-
คือจะขำเจ สงสารเอริค หรือตลกทั้งคู่ดี น่ารักอะ 5555 ถ้ารักกันแล้ว เจจะเป็ฯไงหว่าาาาาาาาา :hao4: :hao4:
-
สวัสดีปีใหม่ไทยนักอ่านทุกท่านค่ะ ^^ :L2: ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะคะ :pig4:
ตอนที่ 7
เจตต์ยอมให้เอริคเดินจูงมือเขาไปเงียบ ๆ ทว่าหัวใจของเขากลับเต้นแรง แถมยังหน้าร้อนวูบวาบไปเป็นระยะอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่าอาการเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเผลอใจให้กับอีกฝ่าย แต่ลึก ๆ แล้วเจตต์นั้นก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่า เขาเริ่มที่จะมีเรื่องของเอริคเข้ามารบกวนในหัวใจอยู่แทบจะตลอดเวลา
“อ๊ะ...”
คนที่กำลังเหม่อเผลอเดินสะดุดก้อนหิน ยังดีที่คนจูงมือคอยระวังและรับไว้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะล้ม
“เดินระวังหน่อยสิ อย่าใจลอยนัก”
เอริคเตือนอีกฝ่ายด้วยใบหน้าขรึม ๆ ทำให้เจตต์ยิ้มเจื่อนตอบพร้อมกับพึมพำขอโทษ เด็กหนุ่มเหลือบมองทางคู่ของเวหากับรวี แล้วลอบถอนหายใจ
แม้ว่าเอริคจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับรวี แต่การแสดงออกและนิสัยใจคอนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถึงเอริคจะแสดงออกว่าชอบเขา แต่ก็ไม่เคยพูดจาเอาอกเอาใจอ่อนหวานใส่เหมือนกับที่รวีเป็น เจตต์คิดว่าบางทีหากเอริคใจดีกว่านี้สักนิด เขาคงจะใจอ่อนกับชายหนุ่มได้ไม่ยากนักหรอก
“เจ...นี่ ได้ยินฉันพูดไหม”
ใบหน้าที่ชะโงกเข้ามาใกล้ ๆ ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สะดุ้งเฮือก แล้วรีบถอยหลังหนีอย่างตกใจ ทว่าเขาก็ต้องลื่นจนเกือบลงไปนั่งจ้ำเบ้าเพราะพื้นซึ่งเต็มไปด้วยหินที่มีตะไคร่ปกคลุมบริเวณนั้น
“เธอนี่นะ...ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลาเดินอย่าเหม่อลอยนัก”
เอริคดุแล้วนิ่วหน้านิด ๆ เพราะเขานั้นคว้าอีกฝ่ายได้ทันก็จริง แต่ตัวเขาก็ลื่นจนเข่ากระแทกพื้นหินไปค่อนข้างแรง และเมื่อลุกขึ้นก็ต้องพบว่ากางเกงผ้าขายาวของตัวเองนั้นถลอก และแผลก็มีเลือดไหลผสมกับตะไคร่น้ำเปรอะไปหมด
“คะ...คุณเอริค ...เข่าคุณ”
เจตต์บอกด้วยใบหน้าซีดเผือดคล้ายจะเป็นลม แม้จะแพ้เลือด แต่เพราะอีกฝ่ายต้องเจ็บเพราะเขา เด็กหนุ่มจึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก จนเอริคที่มองอยู่นึกสงสาร
“ฉันไม่เจ็บมากหรอก... เธออย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
คำพูดปลอบอ่อนโยนของอีกฝ่ายทำให้เจตต์นึกอยากร้องไห้ แม้ว่าเอริคจะไม่เคยพูดหวานกับเขา แต่ทุกคำพูดที่ชายหนุ่มแสดงออกก็ล้วนแต่แสดงถึงความรักและหวังดีกับเขาทั้งนั้น
“เฮ้ย! เป็นอะไรมากหรือเปล่าน่ะเอริค!”
รวีย้อนกลับมาสมทบแล้วมองแผลของญาติตนอย่างเป็นห่วง
“นายจะโวยวายทำไมกันซัน ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
เอริคดุอีกฝ่ายเบา ๆ เพราะยิ่งรวีโวยวาย เจตต์ก็ยิ่งมีสีหน้ารู้สึกผิดและหวั่นวิตกให้เขาได้เห็นมากขึ้น
“ไม่โวยได้ไง เกิดนายเป็นอะไรไป ครอบครัวนายกับพ่อของฉันก็ตามมาอาละวาดฉันเข้าพอดี!”
รวีบอกตามมาอย่างใจเย็นขึ้น แถมยังนึกขำเมื่อเห็นเอริคห่วงใยเจตต์เสียมากกว่าแผลของตนเองเสียอีก
“ง่า...ผมว่า พาคุณเอริคไปล้างแผลก่อนดีไหมครับ ...แผลไม่ใหญ่ก็จริง แต่ถ้าเชื้อโรคเข้าไปก็ลำบากนะครับ”
เสียงของเวทิตที่มองอยู่แย้งขึ้น ทำให้แต่ละคนเห็นด้วย ทางเจตต์รีบอาสาตัวประคองชายหนุ่ม ทว่าด้วยความที่เอริคตัวสูงและหนากว่า จึงทำให้รวีอาสาเปลี่ยนตัว เพราะเกรงว่าทั้งคู่จะกลิ้งไปตามทางลาดลงเสียก่อน
เนื่องจากพวกเขามาเพื่อเล่นน้ำตก จึงไม่มีใครเตรียมอุปกรณ์ทำแผลมาสักคน หลังจากใช้น้ำสะอาดล้างแผลแล้ว เจตต์จึงรีบชวนให้เอริคกลับไปทำแผลที่โรงพยาบาลแถวนี้
“แผลแค่นี้ต้องไปโรงพยาบาลเลยเชียวหรือครับน้องเจ”
รวีเป็นคนแย้งแทนญาติ ซึ่งเอริคก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับรวี หากแต่เจตต์นั้นเม้มปากน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบ
“ถ้าไม่ไปโรงพยาบาล ก็ต้องไปทำแผลใส่ยา...นะครับ คุณเอริค”
สายตาอ้อนวอนและมือที่ยื่นมาจับแขนตน ทำให้คนมองนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย จนรวีกับเมฆาที่รู้จักเอริคดีถึงกับประหลาดใจไปตาม ๆ กัน
ตลอดเวลาที่นั่งรถตู้ไป จากที่ปกติเจตต์จะเลี่ยงนั่งคนละเบาะกับเอริค คราวนี้เด็กหนุ่มเลือกนั่งข้างกัน แถมยังเหลือบมองแผลของอีกฝ่ายเป็นระยะด้วยใบหน้าซีดเผือด จนเอริคต้องจับมือของเด็กหนุ่มมาบีบเบา ๆ แล้วยิ้มให้
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร...ฉันเคยมีแผลใหญ่กว่านี้ตั้งหลายเท่า ยังรอดมาได้เลย”
พอได้ยินเอริคบอกอย่างนั้น เจตต์ก็มองอีกฝ่ายอย่างสงสัย จนลืมใส่ใจเรื่องที่เอริคยังคงจับมือเขาอยู่
“แผลที่ว่านั่น ใช่แผลตอนโดนกระจกบาดหลังนั่นหรือเปล่า...”
รวีขัดขึ้นมา ทำให้เอริคเหลือบไปมองแล้วตอบรับสั้น ๆ
“ใช่...แผลนั่นล่ะ”
“แล้วทำยังไงถึงได้โดนกระจกบาดหลังได้ล่ะครับ”
เจตต์ถามแทรกขัดขึ้นมาอย่างสงสัย ทางด้านรวีชะงักแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนเอริคก็เงียบขรึมไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเริ่มต้นเล่าให้เด็กหนุ่มฟัง
“เกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อย ...พอดีฉันกับเอล...แฟนเก่าฉันน่ะ... พวกเราไปเลือกนาฬิกาข้อมือด้วยกัน แล้วร้านนั้นตั้งอยู่ที่ริมถนน รถยนต์ข้างนอกเกิดเสียหลักพุ่งชนมาหน้าร้านที่เป็นกระจกใสทั้งบาน เศษกระจกปลิวมาทางพวกฉัน ...ฉันก็เลยมีแผลที่หลังน่ะ”
ท้ายประโยคเอริคชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ ทว่าแม้จะไม่ได้เล่ารายละเอียดในตอนนั้น แต่เจตต์ก็พอจะคาดเดาได้ว่าแผลที่หลังของเอริคเกิดขึ้นเพราะเหตุใด...ขนาดเขาที่อีกฝ่ายแค่ชื่นชอบ ชายหนุ่มยังดูแลและห่วงใยเขาขนาดนี้ แล้วกับแฟนเก่าที่เอริครักมาก คนใจดีอย่างเอริคคงจะต้องสละแผ่นหลังของตนปกป้องคนรักเก่าของเจ้าตัวไว้แน่
เจตต์รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกอิจฉาคนรักเก่าของชายหนุ่ม ที่เคยได้รับความรักมากมายจากคนตรงหน้าขนาดนี้ และนึกสงสารชายหนุ่มที่แม้จะมอบใจให้ แต่กลับได้รับการทรยศตอบแทน
“เจ...มีอะไรหรือเปล่า”
สีหน้าซีด ๆ ของเด็กหนุ่มและอาการเงียบงันใจลอยนั้น ทำให้เอริคเอ่ยทัก เจตต์สะดุ้งนิด ๆ แล้วหันมาฝืนยิ้มให้กับอีกฝ่าย
“อ๊ะ..เอ่อ...ไม่เป็นอะไรครับ เอิ่ม...แบบว่า... ผมก็แค่ปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้น”
คำแก้ตัวของอีกฝ่ายทำให้เอริคขมวดคิ้ว เพราะพวกเขารีบร้อนกลับขึ้นรถ เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มจึงยังไม่แห้งดี แถมยังขึ้นมานั่งบนรถตู้ที่เปิดแอร์เย็นเฉียบอีกต่างหาก
“เคน ช่วยเบาแอร์ให้หน่อย”
เอริคบอกคนขับซึ่งเป็นลูกน้องของรวี แล้วหันมาถามทางเด็กหนุ่มต่อ
“เอาชุดมาเผื่อหรือเปล่า”
“ง่า...ก็ติดมาเผื่อไว้เหมือนกันครับ”
เจตต์รีบบอก และพอได้ยินดังนั้นรวีเองก็นึกขึ้นได้ จึงรีบหันมาสอบถามเวหาเรื่องเสื้อผ้า จนเวหาต้องยิ้มเจื่อนเพราะเขาตั้งใจถอดเสื้อเล่นตั้งแต่แรก จึงไม่ได้เอาเสื้อมาเผื่อ พอรู้ดังนั้นรวีจึงถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองให้คนรักสวมใส่แทนทันที ส่วนตัวเขาก็เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวใส่ติดกายเท่านั้น
“เอ้า! เจ เสื้อเปลี่ยน ...เห็นไหมล่ะ ว่าติดมาก็ไม่เสียหายน่ะ”
ทางด้านเวทิตเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของเจตต์ส่งให้เจ้าตัว ส่วนเขาที่พกชุดสำรองมาด้วยเช่นกัน ก็ถอดเสื้อผ้าเปียกเปลี่ยนชุดใหม่อย่างสบาย ๆ ทว่าเจตต์นั้นยังคงไม่กล้าเปลี่ยนตามเพื่อน เพราะเอริคเล่นจ้องเขาไม่วางตา แม้จะรู้ว่าถูกจ้องเพราะเป็นห่วงก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็อดที่จะเขินไม่ได้อยู่ดี
“ทำไมไม่รีบเปลี่ยนเสื้อ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
เอริคบอกเสียงดุ ทำเอาคนถูกดุสะดุ้งโหยง แล้วก้มหน้างุด ๆ หลบตา ทว่ายังไม่ทันที่เอริคจะพูดต่อ เสียงของรวีก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“แหม ๆ คุณเอริคครับ... ก็นายเล่นจ้องเอา ๆ เสียขนาดนั้น เขาก็ไม่กล้าถอดเสื้อต่อหน้านายน่ะสิ!”
พอได้ยินที่รวีพูดเอริคก็รู้สึกตัว ยิ่งได้เห็นใบหูที่แดงระเรื่อของเด็กหนุ่มเขาก็รู้สึกที่จะยินดีขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้
“อย่างนั้นเองหรือ...ถ้างั้นฉันไม่ดูเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้ จัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียสิ”
บอกแล้วชายหนุ่มก็เบือนหน้าหันมองกระจก ทำให้เจตต์ที่เงยหน้าขึ้นมาโล่งอก แล้วจึงรีบถอดเสื้อตัวเปียกออก และเปลี่ยนเสื้อแห้งตัวใหม่ใส่แทน โดยไม่ทันสังเกตว่าภาพของตนจะสะท้อนบนเงากระจกให้คนที่หันหน้าหนีได้เห็น
ทางด้านเอริคเขาหลับตาลงช้า ๆ เพราะขืนแอบมองนานกว่านั้นมีหวังคงจะได้ควบคุมตัวเองไม่อยู่เข้าให้ก็เป็นได้ และพอหลังจากลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นเด็กหนุ่มนั่งหน้าแดงระเรื่อสวมเสื้อตัวใหม่ใส่เรียบร้อย
“หายปวดหัวหรือยัง...หรือจะเปลี่ยนไปโรงพยาบาลแทนดี จะได้ให้หมอตรวจดูสักหน่อย”
เจตต์สะดุ้งโหยง เตรียมจะเอ่ยปากปฏิเสธเต็มที่ ทว่าพอเหลือบไปเห็นแผลที่เข่าของเอริค เขาก็ชะงักแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ตามมา
“ก็ได้ครับ...ถ้าอย่างนั้นคุณเอริคก็ต้องแวะไปทำแผลด้วยกันนะครับ”
เอริคขมวดคิ้วนิด ๆ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วส่งยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้คนข้างกาย
“ตกลง”
“เอาเป็นว่าเปลี่ยนแผนนะ เคน! ขับตรงไปที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้ ๆ นี่เลยแล้วกัน”
คำพูดของรวีที่แทรกขึ้น นอกจากเอริค เมฆา และคนของรวีแล้ว คนอื่นต่างก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะต่างรู้ดีว่าค่ารักษาของโรงพยาบาลเอกชนแถวนี้นั้นมันแพงขนาดไหน แต่ทั้งหมดก็ได้แต่นั่งไปเงียบ ๆ เพราะแม้ต่อให้คัดค้านอะไรออกไป รวีก็มักจะอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา มาแย้งพวกเขาอยู่ดี
เมื่อถึงโรงพยาบาล เอริคก็แยกไปทำแผล ส่วนเจตต์ก็ไปให้พยาบาลวัดไข้ซึ่งก็เป็นปกติ ประกอบกับที่เด็กหนุ่มรีบแก้ตัวว่าปวดหัวเพราะรู้สึกเครียด ๆ ในตอนนั้น ไม่ใช่เกิดจากพิษไข้ เด็กหนุ่มจึงรอดจากการโดนกินยามาได้อย่างหวุดหวิด
“อ๊ะ! คุณเอริคออกมาแล้ว”
เวทิตที่นั่งรอเป็นเพื่อนกับเจตต์พูดขึ้น เมื่อหันไปเห็นเอริคเดินออกมาจากห้องทำแผลพร้อมกับรวี ทางด้านเจตต์เฝ้ารอจนอีกฝ่ายเดินมาถึง จึงอ้อมแอ้มถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“แผลเป็นยังไงบ้างครับ ...ต้องฉีดยาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่หรอก แค่ทำแผลเฉย ๆ อีกอย่างฉันเพิ่งฉีดบาดทะยักไปไม่กี่ปีนี้เอง ยังไม่ต้องฉีดซ้ำหรอก”
เอริคบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งเจตต์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมาเมื่อถูกชายหนุ่มถามถึงอาการของตนบ้าง
“ง่า...ผมไม่เป็นไรครับ ไม่มีไข้ หมอก็เลยไม่ได้จัดยาอะไรให้”
“แต่เธอบ่นปวดหัวก่อนหน้านั้นไม่ใช่หรือไง”
เอริคยังคงแย้งต่อ ซึ่งก็ทำให้เจตต์ยิ้มเจื่อน
“ง่า...ตอนนั้นปวดนิด ๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะครับ จริง ๆ นะครับ!”
เด็กหนุ่มรีบย้ำ แล้วก็มีสีหน้ากึ่งกลัวกึ่งหวาดวิตกให้เห็น เนื่องจากเขาเกรงว่าเอริคจะไม่พอใจเรื่องที่เขาแกล้งพูดหลอกเรื่องปวดหัวออกไปก่อนหน้านั้น
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายก็ให้รีบบอกรู้ไหม”
เอริคไม่ได้โกรธ หากแต่กลับบอกกำชับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนทำให้เจตต์รู้สึกผิด เขาพยักหน้าตอบรับแล้วอาสาเดินประคองชายหนุ่มไปที่รถ ทีแรกบุรุษพยาบาลเตรียมจะเอารถเข็นมาให้ แต่เอริคนั้นปฏิเสธ แล้วปล่อยให้เจตต์ประคองตนไปแทน ทำให้เด็กหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ ทว่าเพราะบาดแผลครั้งนี้ของเอริคมีสาเหตุจากเขา จึงทำให้เจตต์ยอมประคองอีกฝ่ายไปต่อเงียบ ๆ จนกระทั่งถึงตอนขึ้นรถ
“ไปนั่งด้วยกัน”
คนเจ็บพูดถ้อยคำเอาแต่ใจด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทำเอาเจตต์ชะงัก เขายิ้มแห้งให้อีกฝ่ายก่อนจะหันหาผู้ช่วยชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันเมินจนน่าโมโห
“กะ...ก็ได้ครับ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ และก็ยังทำให้คนอื่นยืนออขึ้นรถไม่ได้ สุดท้ายเจตต์จึงจำต้องทำตามคำพูดนั้น เขากับเอริคนั่งเบาะหลังสุด และเมื่อทุกคนขึ้นรถพร้อมกันหมด รถตู้ก็เคลื่อนที่ตรงกลับบ้านพัก เพราะดูเหมือนทุกคนจะไม่อยากกลับไปเล่นน้ำต่อแล้ว
เมื่อมาถึงบ้าน วารีที่แปลกใจว่าเหตุใดเด็ก ๆ ถึงกลับมาไวนักจึงออกมาดู พอเห็นขาของเอริคเธอก็อุทานด้วยความตกใจแล้วรีบสอบถามยกใหญ่ ทว่าพอรู้ว่าบาดแผลไม่หนักมากหญิงสาวจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกตามมา
“ค่อยยังชั่ว ทีหลังก็ระวังตัวกันหน่อยนะจ๊ะ”
หญิงสาวบอกกับทุกคน ส่วนทางด้านเจตต์นั้นพอได้ฟังที่เอริคเล่าเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เพราะเอริคบอกกับวารีว่าลื่นล้มเอง โดยไม่ยอมบอกว่าสาเหตุการล้มที่แท้จริงนั้นเกิดจากตน
“เอ่อ...คุณเอริคครับ...จะไปพักที่เรือนไทย หรือไปนั่งพักที่บ้านเล็กครับ ...เอ่อ..ผมจะได้เดินไปส่ง”
เจตต์ถามขึ้นเสียงแผ่ว ทำให้เอริคขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วถอนหายใจตามมา
“ไปที่พักของเธอก็ได้...แต่เลิกทำหน้าแบบนั้นสักที”
เอริคใช้นิ้วจิ้มหน้าผากที่ขมวดย่นนิด ๆ ของอีกฝ่าย ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง
“ฉันเต็มใจปกป้องเธอ ...และฉันก็ดีใจที่เธอไม่บาดเจ็บอะไร เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าแบบนี้ เข้าใจนะ”
คำพูดอ่อนโยนและจริงใจของอีกฝ่ายทำเอาเจตต์ถึงกับหน้าร้อนวาบ เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย เสียจนเวทิตที่มอบอยู่นึกทึ่ง จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันไปสะกิดเวหาและส่งสายตาในเชิงรู้กันกับอีกฝ่าย ทางด้านเวหายิ้มรับ ทว่าเขาก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงกระแอมถี่ ๆ จากคนข้างกาย
“อะแฮ่ม ๆ”
“อะไรติดคอเหรอพี่ซัน ...หรือโรคเก่ากำเริบ”
เสียงเนือย ๆ ของมีนาดังแทรกขึ้นอย่างเอือมระอา เพราะทันได้เห็นภาพทั้งหมด และเขามั่นใจว่า ที่รวีกระแอมขัดก็เพราะเริ่มที่จะหึงหวงใส่พี่ชายเขาให้อีกแล้ว
“ง่า...พี่แค่คันคอนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เท่านั้นล่ะครับน้องมีน ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
รวีแก้ตัวพร้อมแสร้งยิ้มกว้าง เนื่องจากทางเวหากำลังใช้สายตาจ้องจับผิดมาที่เขา และเพราะรู้ว่าคนรักไม่ชอบที่เขาหึงหวงพร่ำเพรื่อโดยเฉพาะกับเพื่อนฝูง จึงทำให้รวีเลี่ยงจะพูดความจริงอย่างเต็มที่
“เฮ้อ! งั้นผมขอตัวเดินไปล่วงหน้าแล้วกันนะครับ ใครจะหวานใส่กัน ใครจะแก้ตัวกัน ก็เชิญตามสบาย!”
เวทิตตัดบทแล้วเดินฮัมเพลงนำไปก่อน ทำให้เจตต์ที่กำลังยืนเขินเอริคถึงกับสะดุ้งโหยง เด็กหนุ่มจากหน้าแดงก็กลายเป็นแดงก่ำ แล้วจึงรีบเอ่ยปากขอตัวทันที
“งะ...งั้นผมเอาของไปเก็บก่อนนะครับ!”
พอวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าแล้วหันมามองชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่กับที่
“เอ่อ...เดินเองไหวไหมครับ...จะให้ผมไปช่วยพยุงไหม”
เอริคที่ยืนอึ้ง ๆ ก่อนหน้านั้น แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกไปตามตรง
“ฉันไม่เป็นไรมาก เธอไปเก็บของก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวเจอกันที่ห้องรับแขกนะ”
เจตต์ยิ้มตอบด้วยความเขิน เขาพยักหน้ารับรู้ แล้ววิ่งแซงหน้าเวทิต กลับเข้าบ้านพักไปอย่างรวดเร็ว จนคนอื่นที่มองอยู่นึกขำ
“นึกว่าจะอ้อนให้เขาประคองไปต่อเสียอีกนะนั่น”
รวีเอ่ยแซวญาติของตน ซึ่งทางด้านเอริคก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบตามตรง
“จริง ๆ ก็อยากทำแบบนั้น...แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขารู้สึกผิดไปมากกว่านี้ แผลนี่ก็แค่แผลเล็ก ๆ ไม่ได้เจ็บอะไรมากสักหน่อย”
“คุณเอริคนี่เท่จังนะครับ ถ้าเจรู้ว่าคุณคิดกับเขาแบบนี้ เขาคงจะรู้สึกดีกับคุณเพิ่มมากขึ้นแน่ ๆ”
เวหาบอกพร้อมรอยยิ้ม ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้อีกคนชะงัก หน้าบึ้งตึงขึ้น แล้วจึงเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มก่อนจะโอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังแน่น
“อ๊ะ...มีอะไรหรือครับพี่ซัน”
“ไม่มีครับ...แค่อยากกอดน้องฟ้าก็เท่านั้น”
ชายหนุ่มยังคงพูดเสียงเรียบ สุภาพ ทว่าใบหน้าบึ้ง ๆ ติดงอนที่ไม่ค่อยจะได้เห็น ทำให้เวหาชะงัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา
“พี่ซันนี่นะ...ช่วยปล่อยก่อนได้ไหมครับ กอดแบบนี้ฟ้ายืนไม่ถนัด”
รวีเม้มปากน้อย ๆ แต่ก็ยอมปล่อยคนรักโดยดี พอเป็นอิสระเวหาก็ชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเอียงอายนิด ๆ
“ฟ้าจะเอาเสื้อผ้าไปเก็บ ...เอ่อ...พี่ซันไปเป็นเพื่อนฟ้าได้ไหมครับ”
รวีที่กำลังนิ่งอึ้งพอได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ ก่อนจะยิ้มกว้างตามมา
“ได้เลยครับ... งั้นพวกฉันขอตัวก่อนนะ เชิญทุกคนตามสบาย!”
รวีหันกลับมาบอกกับคนอื่น ๆ อย่างร่าเริง พร้อมกับจูงมือเวหากลับเข้าบ้านของเด็กหนุ่มไป และนั่นจึงเรียกเสียงถอนหายใจจากคนที่เหลืออยู่แทบไล่เลี่ยกัน
“หมอนั่นนี่ขี้หึงได้ตลอด...น้องฟ้าก็ใจเย็นน่าดู เจอแบบนี้ประจำยังไม่เบื่ออีก”
“ไม่แปลกหรอก พี่เมฆก็ขี้หึงบ่อย ๆ มีนเองก็ยังไม่เบื่อเลยนี่ครับ”
มีนาพูดแทรกขัดคนรักขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เมฆาสะดุ้งโหยงก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้อีกฝ่าย
“แหม...น้องมีนล่ะก็ ถึงพี่จะขี้หึง แต่ก็ไม่งี่เง่าเท่าเจ้าซันมันนะครับ”
“ครับ ๆ รู้แล้ว ..แต่ถึงพี่เมฆจะเป็นยังไงมีนก็ยังชอบมาก ๆ อยู่ดีนั่นล่ะ”
ท้ายประโยคของเด็กหนุ่มเสียงนั้นแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน หากแต่ก็ยังคงจับใจความบางคำได้ โดยเฉพาะคำว่า…ชอบ
“เอ๋? เมื่อครู่น้องมีนว่าอะไรนะครับ!”
“ไม่ได้ยินก็ช่างเหอะ! ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมขอตัวเอาของไปเก็บก่อนนะครับคุณเอริค!”
บอกจบมีนาก็วิ่งกลับเข้าบ้านไปทันที ทำเอาเมฆาสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันไปบอกกับเอริค ก่อนจะวิ่งตามมีนาไปติด ๆ
“งั้นฉันขอตัวสักครู่นะเอริค ...น้องมีนครับ! รอพี่ด้วยครับ!”
ทางด้านเอริคมองตามคู่รักทั้งสองคู่ไป แล้วถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา ก่อนจะหันกลับมามองยังทิศที่ตั้งของบ้านพักชั้นเดียวเบื้องหน้า ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มน้อย ๆ จากนั้นเขาจึงเริ่มเดินไปยังเป้าหมายเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนอันใดนัก
... TBC ....
ลงอีกตอนก็จะทันกับต้นฉบับที่ปั่นอยู่แล้วนะคะ แหะ ๆ แต่จะพยายามไม่ดองนะ เพราะยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาว (แต่ก็อยากเขียนตอนหลังจากคบแล้วยืดต่ออีกสักนิดเหมือนกัน)
-
:z13:
-
อ้าวน้องมีน. หนูยังกระดึ้บๆอยู่เลยเหรอเนี่ย
ช้าระวังน้องเจจะแซงหน้าไปหวานก่อนนะ. พี่เมฆก็สู้ๆนะ
พี่เอริคเจ็บตัวนิดหน่อยแต่โอเคเลยใช่ไหมล่ะ.
:3123:
-
แบบนี้ก็มีหวังแล้วสินะ เอริค
-
ตอนที่ 8
พอเวทิตกลับเข้ามาบ้านพัก เจตต์ที่เร่งฝีเท้าเข้าบ้านไปก่อนก็มายืนสงบอกสงบใจอยู่หน้าประตูห้องของตนเอง ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเวทิตที่เดินมาใกล้เคาะผนังบ้านเบา ๆ เรียกสติ
“ไงเพื่อน ใจลอยไปถึงใครกันล่ะนั่น ใช่คุณเอริคหรือเปล่า”
เจตต์หน้าร้อนวาบกับคำพูดแทงใจดำนั้น เขารีบสั่นศีรษะปฏิเสธไปมา ก่อนจะชะงัก แล้วค่อย ๆ ก้มหน้าลง พลางบอกกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ใช่จริง ๆ ด้วยนั่นล่ะ...สงสัยฉันคงจะชอบเขาเข้าให้แล้วจริง ๆ ว่ะต้น...ทำยังไงดีวะ”
เวทิตถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยังคงยิ้มให้เพื่อนของเขา ที่ในที่สุดก็ยอมรับและไม่คิดจะโกหกหัวใจของตัวเองต่อไป
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลยนี่ ชอบก็คือชอบ นายก็แค่ตอบรับรักเขาไป จะได้มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย”
“แต่มันเกิดขึ้นไวมากเลยนะ ฉันกับเขาเจอหน้ากันได้ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ...แล้วถ้าเกิดมันไม่ใช่ความรักล่ะ...ถ้าเป็นแบบนั้น คุณเอริคก็น่าสงสารไม่ใช่หรือ”
เจตต์แย้งออกมาอย่างสับสน ทำให้เวทิตอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ
“เรื่องรักเรื่องชอบ มันไม่ขึ้นกับระยะเวลาสักหน่อย...ไม่อย่างนั้นคุณเอริคเขาคงไม่ตกหลุมรักแรกพบกับนาย จนต้องบินข้ามน้ำข้ามประเทศมาคอยตื๊อจีบแบบนี้หรอกนะ จริงไหม... แล้วอีกอย่าง การที่นายห่วงใยความรู้สึกของเขาแบบนี้ มันก็ตอบทุกอย่างที่นายไม่มั่นใจได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
เจตต์ชะงัก เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับค่อย ๆ แต่แล้วประโยคถัดมา เด็กหนุ่มก็เอ่ยปากถามเวทิต ในสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายนิ่งอึ้ง
“เอ่อ...และถ้าฉันเกิดรับรักเขาแล้ว แต่ดันเผลอไปปากเสียชมใครเข้าให้...คุณเอริคเขาจะยิงฉันทิ้งไหมวะ”
เวทิตเงียบกริบไปชั่วครู่ แล้วจึงถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเปรยตอบอย่างเอือมระอา
“งั้นเวลาที่คุณเอริคเขาพกปืนมาด้วย นายก็อย่าไปอยู่กับเขาสองต่อสองก็แล้วกัน”
เจตต์ขมวดคิ้วยุ่ง ทว่ายังไม่ทันจะพูดแย้งกลับ เวทิตก็ยักไหล่แล้วเตรียมกลับเข้าห้องพักของตน อันเป็นเวลาเดียวกับที่เอริคเปิดประตูบ้านพักเข้ามาพอดี
“ความจริงนี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะสารภาพความในใจต่อกันนะ...ฉันเองก็จะได้โล่งอก ไม่ต้องมีคนมาคอยจับผิดคอยหึงให้น่ารำคาญเล่นด้วยนั่นล่ะ”
เวทิตกระซิบบอกเพื่อน ทำให้เจตต์หันมองคนพูดตาปริบ ๆ ทว่าเขาก็ต้องถอนหายใจแล้วเดินย้อนกลับไปที่ห้องรับแขก ในขณะที่เวทิตนั้นเลือกที่จะกลับเข้าไปนั่งพักผ่อนในห้องแทน
“คุยอะไรกัน ถึงต้องกระซิบกันใกล้ขนาดนั้น...เป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้ใช่ไหม”
เมื่อเจตต์เดินมาถึง เอริคก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่นัยน์ตานั้นเป็นประกายวาววับ ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงแล้วส่งยิ้มเจื่อนให้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะยืนก้มหน้าก้มตาหาคำแก้ตัวออกไป
“เฮ้อ...ช่างเถอะ นั่งลงสิ”
เอริคถอนหายใจ เลิกคิดคาดคั้นคำตอบ เพราะในยามนี้ความสัมพันธ์ที่เจตต์มอบให้ สำหรับเขาก็ถือว่าก้าวหน้ามากแล้ว
“คะ...ครับ”
เจตต์รีบรับคำเสียงสั่น เขาเลือกที่นั่งฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย ก้มหน้านั่งเงียบ กำมือแน่น เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปนานจนเอริคเริ่มขัดใจ จึงคิดจะเอ่ยปากชวนสนทนาก่อน ทว่า...
“คุณเอริคครับ...เอ่อ...คือว่าผม...”
เจตต์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขัดแผ่วเบา ก่อนจะเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย แม้จะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หากแต่นัยน์ตาเรียวเล็กนั้นก็ยังคงฉายแววจริงจังสะกดให้เอริคจ้องตอบได้อยู่ดี
“ผมน่ะ...คือเริ่มคิดกับ...เอ่อ...”
พอเอาเข้าจริง ๆ เจตต์ก็นึกคำพูดที่จะพูดขึ้นมาไม่ออกเสียดื้อ ๆ ยิ่งเอริคสบตาตอบเขานิ่งแบบนี้ เขาก็หน้าร้อนวูบวาบ หัวสมองก็เริ่มโล่งว่างเปล่าขึ้นมาทันที
ทางด้านเอริคเขานิ่งเงียบจ้องตอบเด็กหนุ่มก็จริง ทว่าในใจกลับเต้นระทึกด้วยความหวังอันน้อยนิด หากไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เขาก็พอจะมองออกว่าเจตต์นั้นแปลกไป เด็กหนุ่มกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา และมันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาเฝ้ารออยู่แล้วก็เป็นได้ และเพราะเช่นนั้นชายหนุ่มจึงไม่พูดไม่ซักไม่เร่งร้อนอันใดออกไป เขาได้แต่นิ่งเงียบและรอรับฟังอย่างใจเย็นเป็นที่สุดตั้งแต่เคยเป็นมา
“ผะ...ผมน่ะ...คือ....ชะ..”
“เฮ้! เป็นไงทั้งสองคน หวานใส่กันถึงไหนแล้วเอ่ย!”
เสียงเปิดประตูพรวดเข้ามา พร้อมกับคำทักทายอันแสนจะร่าเริงของรวี ทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง หน้าแดงก่ำ ความคิดจะสารภาพรักปลิวหายไปจากสมอง เขาลุกพรวดขึ้นยืนแล้วโค้งให้กับคนตรงหน้า ก่อนจะวิ่งกลับเข้าห้องแล้วล็อกประตูห้องทันที ทำเอาเอริคถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนจะหันขวับไปมองรวีอย่างขุ่นเคืองจนคนถูกมองสะดุ้งโหยง
“เฮ้ย! ไหงจ้องฉันอย่างนั้นล่ะ ...เอ๋? หรือว่าฉันมาขัดจังหวะอะไรพวกนายหรือเปล่า”
รวีถามอย่างสงสัย ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายตอบกลับ ทางด้านเวหาที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มก็โผล่หน้ามามองเอริค
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมเจถึงวิ่งหนีเข้าห้องไปแบบนั้น”
เพราะทันได้เห็นเพื่อนวิ่งกลับเข้าห้องแวบ ๆ จึงทำให้เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย เอริคมองคนถามแล้วถอนหายใจอีกรอบ
“เฮ้อ...ไม่มีอะไรมากหรอก...ก็แค่กว่าฉันจะได้ฟังสิ่งที่เขาคิดจะพูดอีกครั้ง ก็คงอีกนานเป็นแน่”
พอได้ยินเช่นนั้น รวีก็พอจะสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ชายหนุ่มส่งยิ้มเจื่อนแล้วพึมพำขอโทษลูกพี่ลูกน้องของตน ซึ่งเอริคก็ยักไหล่ เพราะแม้จะรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็รู้ดีว่ารวีนั้นไม่ได้ตั้งใจนั่นเอง
“ง่า...งั้นพวกฉันถอยไปก่อนดีไหม เผื่อน้องเจจะออกมาอีกรอบ”
รวีเสนอความเห็น ซึ่งเอริคก็สั่นศีรษะปฏิเสธค่อย ๆ
“ไม่ต้องหรอก ฉันเชื่อว่าเขาคงจะไม่ออกมาข้างนอกอีกนานเลยล่ะ ...ยังไงฉันกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ไว้เจอกันตอนกินข้าวเย็นเลยแล้วกัน”
เอริคบอกกับรวีแล้วลุกเตรียมเดินกลับห้องพัก ทว่าพอชายหนุ่มเดินไปสองสามก้าว เขาก็หยุดเดิน เจ้าตัวหันมามองที่ห้องของเจตต์ ก่อนจะตัดสินใจเดินย้อนกลับมาหยุดยืนหน้าประตูห้องของเด็กหนุ่ม เคาะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเปิดออกมา
“ฉันไม่รู้ว่าเมื่อครู่ เธอกำลังจะบอกอะไรฉัน...แต่ถ้าเธอจะกรุณาพูดให้ฟังอีกครั้ง ฉันก็คงดีใจมากเลยล่ะ...แล้วฉันจะรอฟังนะ”
พูดจบแล้ว เอริคก็เดินออกจากบ้านพักไป ส่วนเจตต์ที่อยู่ในห้องนั้นได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ และหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาจึงตัดสินใจว่า จะลองหาโอกาสสารภาพให้ชายหนุ่มได้รับรู้ความในใจของตนอีกครั้งหนึ่งหลังจากนี้
มื้อเย็นของวันผ่านไป โดยที่เจตต์นั้นพูดน้อยลงแถมยังก้มหน้าก้มตาเสียจนวารีสังเกตเห็น ยังดีที่เธอก็พอจะรู้เรื่องราวของหนุ่ม ๆ ผ่านลูกชายคนเล็กมาบ้าง จึงทำให้พอจะคาดเดาบางอย่างและเลือกที่จะไม่ถามไถ่ออกไปแทน
“ค่ำนี้อากาศดีจังเลยนะ...พวกเรามาแยกย้ายกันไปเดินเล่นกันดีไหม!”
หลังจากกินมื้อเย็นเรียบร้อยและต่างทยอยกันกลับที่พัก รวีก็คิดจะแก้ตัวเรื่องที่เผลอไปขัดจังหวะญาติของเขาเมื่อตอนช่วงกลางวัน ชายหนุ่มจึงแสร้งเปรยขึ้นและขยิบตาไปมองยังคนอื่น ๆ ให้ช่วยรับมุกของตนด้วย
“แยกกันก็ดีอยู่หรอกครับ แล้วผมล่ะครับ จะไปกับใครดี”
เวทิตพูดตอบขึ้นพร้อมรอยยิ้มขำ เนื่องจากทันเห็นเจตต์สะดุ้งโหยงหลังจากที่ได้ยินรวีพูดเมื่อครู่
“ง่า...จริงด้วยสินะครับ ถ้าอย่างนั้นน้องต้นก็มาเดินเล่นกับพวกพี่ก็ได้ครับ”
คนอื่นที่เหลือต่างหันมามองรวีอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ส่วนเวหานั้นอมยิ้มน้อย ๆ เพราะมั่นใจว่าการที่รวีลงทุนแบบนี้ เพราะอยากแก้ตัวกับเอริคเรื่องเมื่อกลางวันนั่นเอง
“หึ ๆ ก็ได้ครับ ...ถ้าอย่างนั้นไม่เกรงใจแล้วนะครับพี่ซัน ...ฟ้า! ไปนั่งเล่นริมศาลากันเถอะ!”
บอกแล้วเวทิตก็ควงแขนเพื่อนสนิทเดินนำลิ่วไป ทำให้รวีเบิกตากว้าง แล้วรีบจ้ำพรวดพราดตามทั้งคู่ไปทันที แต่กระนั้นก็ยังไม่วายหันมาขยิบตาให้กับเอริคอยู่ดี จนคนมองต้องสั่นศีรษะไปมาอย่างระอา ทว่าก็ยังคงมีรอยยิ้มตอบกลับไป
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเดินเล่นริมคลองกันดีกว่านะครับพี่เมฆ!”
มีนาที่รู้สถานการณ์ดีหันมาชักชวนคนรัก ซึ่งเมฆาก็เต็มใจจะแยกตัวไปกันสองคนอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดปฏิเสธคำชวนนั้นแต่อย่างใด
ใช้เวลาไม่นาน ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป เหลือแต่เพียงเอริคกับเจตต์ที่ยืนอยู่กันเพียงลำพังเท่านั้น
“ถ้าเธอลำบากใจ ฉันแยกไปก็ได้นะ”
เอริคเอ่ยขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบกันทั้งคู่อยู่สักพัก ทว่าพอได้ยินดังนั้น เจตต์ก็สะดุ้งโหยง แล้วรีบโพล่งออกไปอย่างลืมตัว
“อ๊ะ อย่าไปนะครับ!”
“ทำไมล่ะ”
เอริคซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้เด็กหนุ่มชะงัก แล้วอ้ำอึ้งบอก
“เอ่อ...ผม...ผมไม่รู้จะเริ่มต้นพูด..ยังไงดี”
คนฟังถอนหายใจแผ่วเบา เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะตอบกลับไป
“เธออยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ ฉันจะรอฟัง ไม่ว่าเธอจะใช้เวลาพูดมันออกมานานแค่ไหนก็ตาม”
เจตต์ชะงัก ก่อนจะก้มหน้านิ่งคล้ายกำลังตัดสินใจบางอย่าง เจ้าตัวเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาสั่นระริกน้อย ๆ แก้มขาวเนียนทั้งสองข้างเป็นสีแดงเรื่อชวนมอง จนเอริคต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะกลัวจะเผลอลืมตัวห้ามใจไม่อยู่ จับอีกฝ่ายกอดเข้าให้
“ผม...เอ่อ...ผมรู้สึกว่าตัวเองจะเริ่มชอบ...คะ”
R...R...R…R
เสียงเรียกเข้ามือถือของเอริคดังขัดขึ้นก่อนที่เจตต์จะพูดจบ เอริคกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด เขาพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ ทว่าเจตต์ไม่เป็นเช่นนั้น อีกฝ่ายหยุดพูดไปดื้อ ๆ เพราะความเกรงใจ ทำให้เขาต้องยอมรับโทรศัพท์ในที่สุด
“สวัสดีครับ เอริคพูด”
น้ำเสียงห้วนที่ไม่ค่อยจะได้ยินเวลาสนทนากับตน ทำให้ปลายสายขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนถาม
“ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นล่ะ มีปัญหาอะไรหรือ เอริค”
เอริคที่รู้สึกตัวว่าเผลอแสดงอารมณ์หงุดหงิดใส่พี่ชายคนโต ก็ต้องลอบถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกไป
“ขอโทษครับ ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แล้วพี่อีธานโทรมาทำไมหรือครับ”
อีธานขมวดคิ้วยุ่ง ลองน้องชายเขามีน้ำเสียงหงุดหงิดและพูดจาชวนตัดบทเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องกำลังขัดจังหวะสำคัญอะไรบางอย่างของเจ้าตัวเป็นแน่
“เฮ้! หรือว่าพี่โทรมาขัดจังหวะเลิฟซีนของนาย แสดงว่าจีบเด็กนั่นติดแล้วล่ะสิ!”
เสียงที่แว่วให้ได้ยินนั้น แม้เป็นภาษาอังกฤษแต่ก็ไม่ใช่ศัพท์ยากอะไร และสำหรับเจตต์ที่คุ้นเคยกับการที่มีพี่เขยเป็นชาวต่างชาติ ก็ทำให้เขาพอจะฟังออกได้ไม่ยาก เด็กหนุ่มหน้าแดงวาบแล้วทำท่าจะเดินหนี จนเอริคต้องรีบจับข้อมือรั้งเอาไว้
สายตาชายหนุ่มจับจ้องที่ร่างของอีกฝ่ายไม่วางตา แม้จะยังคงพูดคุยตอบพี่ชายกลับไปตามปกติ
“ผมยังเป็นฝ่ายตกหลุมรักเขาข้างเดียวอยู่เลยครับพี่...แต่ผมก็ยังคงหวังอยู่นะครับ...หวังให้เขาใจตรงกันกับผมสักวันหนึ่ง ...เมื่อถึงวันนั้นผมคงจะมีความสุขมากเลยทีเดียว”
แม้จะพูดเป็นภาษาอังกฤษ หากแต่ถ้อยคำที่เน้นย้ำอย่างช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำที่เอริคจงใจพูด ก็ทำให้เจตต์หน้าแดงก่ำ ใจเต้นแรง รับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายจงใจจะสื่อย้ำให้ตนเป็นอย่างดี
ทางด้านอีธานนั้นชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของน้องชาย และด้วยความสนิทคุ้นเคยในตัวผู้เป็นน้อง เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่า คนที่ทำให้น้องชายของเขาตกหลุมรักชนิดถอนตัวไม่ขึ้นนั้น คงจะอยู่ไม่ห่างอีกฝ่ายเป็นแน่
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ภาวนาให้นายสมหวังเร็ว ๆ แล้วกันนะน้องรัก งั้นพี่คุยแค่นี้ล่ะ ...ขอโทษแล้วกันที่โทรมาขัดจังหวะน่ะ”
ปลายสายบอกอย่างอารมณ์ดีแล้ววางสายไป ทางด้านเอริคที่จับข้อมือของเด็กหนุ่ม เปลี่ยนมาเป็นเกาะกุมมือทั้งสองของอีกฝ่าย พลางยกขึ้นจุมพิตแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน
“เจ...ฉันรักเธอนะ ความรู้สึกของฉัน มันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง และมีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวันที่ฉันได้รู้จักเธอ ...ต่อให้เธอจะยังไม่มีใจให้กับฉัน แต่ฉันก็จะรอ...รอจนกว่าเธอจะพบใครสักคนที่สำคัญกับเธอจริง และเขาก็รักเธอมากไม่แพ้ฉัน... ถ้าวันนั้นมาถึง ฉันจึงจะยอมจากเธอไป และจะไม่ทำให้เธอต้องลำบากใจแน่…ฉันสัญญา”
คำพูดที่จริงใจและแววตาที่ฉายแววหนักแน่นดังเช่นคำพูด ทำให้เจตต์เงียบกริบ เด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นวาบที่แก้มของตนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาจ้องตาตอบอีกฝ่ายเนิ่นนานอยู่สักพัก ก่อนจะเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้คนตรงหน้า
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวผมจะดีพอกับความรักของคุณไหม...แต่ผมก็จะพยายามนะครับ ...จะพยายามทำตัวให้เหมาะสมและคู่ควรกับความรักของคุณ เท่าที่ผมจะสามารถทำได้...”
เอริคนิ่งอึ้ง มือที่กุมมือของเด็กหนุ่มสั่นระริกจนเจตต์รู้สึก เด็กหนุ่มบีบมือตอบกลับแล้วจึงพูดต่อพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่แดงก่ำ
“ผมชอบคุณครับ...คุณเอริค ...อาจจะไม่ชอบมากเท่าที่คุณชอบผม ...แต่ผมก็ชอบคุณเข้าให้แล้วล่ะครับ”
เอริคเม้มปากน้อย ๆ เขาปล่อยมือและรวบร่างตรงหน้ามาไว้ในอ้อมกอดแน่นจนเจตต์ตกใจ หากแต่สักพักเด็กหนุ่มก็หลับตาซุกใบหน้าลงบนอกกว้างอย่างเป็นสุข พวกเขากอดกันอยู่เช่นนั้นสักพัก จนกระทั่งเอริคหลุดถอนหายใจแผ่วเบาและคลายอ้อมกอดนั้น ก่อนจะก้มลงมองเด็กหนุ่มที่สบตาตอบเขาและมีแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ จากนั้นเอริคจึงเฉลยให้อีกฝ่ายได้รับฟัง
“ขืนไม่ปล่อย ฉันคงควบคุมตัวเองไม่ได้ และอาจจะจับเธอกดลงบนสนามหญ้าตอนนี้เลย...เป็นแบบนั้นจะดีหรือ”
คนฟังหน้าแดงวาบรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ จนคนมองอมยิ้มน้อย ๆ
“ก็นั่นล่ะ...ตอนนี้ฉันเองก็กำลังอดกลั้นอะไรหลาย ๆ อย่าง... เอาไว้ฉันควบคุมตัวเองได้ดีกว่านี้ ฉันจะกลับมากอดเธออีกครั้งแล้วกัน”
เจตต์หน้าแดงก่ำ บอกไม่ถูกว่าควรจะตอบรับหรือปฏิเสธดี ปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มทำให้เอริคอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้ามาหอมแก้มเนียนแดงนั้นฟอดใหญ่ แล้วจึงจับไหล่ของเด็กหนุ่มดันกลับเข้าบ้านพัก โดยที่ตัวเขาไม่ได้ตามเข้าไปด้วย
“ฉันไม่อยากให้ใครก็ตามได้เห็นใบหน้าน่ารักของเธอในตอนนี้...เพราะฉะนั้น รีบเข้าห้องนอนให้เรียบร้อย แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเพิ่งออกมาเจอใคร...เข้าใจนะ”
เจตต์ยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ แม้จะยังมึนงงต่อปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายมีให้ตนอยู่บ้างก็ตาม
“เอ่อ...ราตรีสวัสดิ์ครับ คุณเอริค”
เด็กหนุ่มบอกไล่หลังคนที่กำลังเดินกลับที่พักไป ทำให้ร่างสูงชะงักแล้วหันกลับมายิ้มน้อย ๆ ให้
“ราตรีสวัสดิ์ เจ ...ฝันดีนะ”
เจตต์หน้าร้อนวูบวาบต่อความอ่อนโยนของอีกฝ่าย เขาพยักหน้ารับหงึกหงักและรีบปิดประตูบ้านพัก ตรงกลับเข้าไปที่ห้องนอนของตน นั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มนั้น
“เฮ้อ! ไม่น่าเชื่อเลยนะเรา...ชอบผู้หญิงอยู่ดี ๆ แท้ ๆ แต่ดันมีแฟนเป็นผู้ชายซะงั้น!”
เจตต์บ่นอุบ ก่อนจะเงียบไป แล้วจึงหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน รู้แต่เพียงว่ายามนี้ ในอกมันอัดแน่นไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั่นเอง
... TBC ...
ทันสต็อกที่ปั่นไว้แล้วค่ะ ช่วงนี้ก็อาจจะช้าบ้างอะไรบ้างแต่ก็จะไม่ทิ้งกันจ้า เพราะเรื่องนี้ไม่ยาวนัก ^^"
-
:katai2-1: เป็นฉากสารภาพรักที่น่ารักมาก. เจ้นท์มากมาย
-
กว่าจะได้บอกรัก...คนขัดจังหวะเยอะมากกกกกก :m20:
น่ารักมากค่ะคู่นี้ อิอิ ชักอยากอ่านต่อไวๆแล้วสิ :katai1:
:pig4: :pig4:
-
ตอนที่ 9
พอกลับมาถึงบ้านพัก เวทิตก็เหลือบมองรองเท้าแตะของเพื่อนที่ถอดวางไว้ตรงทางเข้า ทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นกลับมาแล้ว
“เจ! หลับหรือยังน่ะ”
เด็กหนุ่มเคาะประตูห้องพร้อมเรียก ทว่าในห้องก็ยังคงเงียบ เวทิตจึงเลิกคิดเคาะ และเตรียมจะกลับเข้าห้องนอนพักเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายก็เปิดประตูห้องออกมาเสียก่อน
“มีอะไรหรือต้น”
“ก็...อืม...แค่อยากรู้ว่า นายกับคุณเอริคลงเอยกันหรือยังน่ะ”
เวทิตแสร้งกระเซ้า และเขาก็ต้องซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้าเมื่อเห็นเพื่อนหน้าแดงวาบ
“อ้อ...พอจะเข้าใจแล้ว อืม ๆ อย่างนี้ก็ต้องเลี้ยงฉลองสละโสดสินะ”
เวทิตเปรยต่อ ทำให้คนหน้าแดงยิ่งหน้าแดงหนัก เจตต์เตรียมจะหนีกลับเข้าห้อง ทำให้เวทิตต้องรีบขอโทษแล้วตามไปชวนคุยกันอยู่อีกครู่ใหญ่ ๆ จนเจตต์นั้นเริ่มปรับอารมณ์ได้เป็นปกติ
“สรุปแล้วตอนนี้พวกนายก็คบหากันอย่างเป็นทางการสินะ...เฮ้อ น่าอิจฉาคนมีความรักจังเลยนะ”
เวทิตแสร้งทำเป็นถอนหายใจ แต่ใบหน้าส่งยิ้มแหย่ จนคนมองต้องขมวดคิ้วยุ่ง
“ทำหน้าแบบนั้น ตกลงอิจฉาจริงหรือเปล่าเนี่ย”
“ฮะ ๆ เปล่าหรอกน่า อย่าลืมสิ ฉันตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังพักใจ ยังไม่อยากจะคบใครให้ปวดหัวหรอก อ้อ! แต่นายไม่ต้องห่วงหรอกนะเจ ช่วงแรก ๆ ข้าวใหม่ปลามัน ส่วนใหญ่จะหวานกันตลอด ไม่ค่อยมีอะไรมาให้รำคาญนักหรอกนะ”
เจตต์ฟังเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักพูด แล้วยิ้มเจื่อน ก่อนจะหวนคิดถึงเรื่องคู่ของตนบ้าง
“แล้วคู่ของฉัน ปัญหามันจะเกิดเมื่อไหร่กันนะ...แล้วมันจะลงเอยแบบคู่ของนายไหมวะ ต้น”
เวทิตฟังแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ แล้วจึงตอบคำถามนั้นตามมา
“อย่าคิดมากสิ... ใช่ว่าคู่ของนายจะลงเอยเหมือนฉันเสียเมื่อไหร่ และที่สำคัญนายก็เคยเห็นข้อผิดพลาดของคู่ฉันแล้ว ฉันว่าคนอย่างนายคงจะคิดได้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และไม่เลือกเดินซ้ำรอยแบบพวกฉันอีกล่ะนะ”
เจตต์พยักหน้าหงึกหงักตอบรับ แล้วยิ้มให้เพื่อน พร้อมพึมพำขอบคุณแผ่วเบา จากนั้นเมื่อดูเวลาจากนาฬิกาบนผนัง เวทิตจึงขอตัวกลับห้องเพื่อไปพักผ่อน ส่วนเจ้าของห้องก็เดินไปส่งเพื่อนที่หน้าประตู และกลับมาทิ้งกายลงบนเตียง เงยหน้ามองเพดาน ก่อนจะพึมพำพร้อมมีรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้า
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดล่ะนะ กังวลไปก็เปล่าประโยชน์”
เจตต์บอกกับตัวเอง พลางหลับตาลงช้า ๆ และหลับสนิทในเวลาไม่นาน เนื่องจากเกิดการผ่อนคลาย หลังจากที่ต้องพบกับความเครียดสะสมมาหลายวันก่อนหน้านั้น
เสียงธรรมชาติยามเช้าที่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน ทำให้คนที่กำลังหลับสบายปรือตาขึ้น เจ้าตัวบิดกายอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะสะดุ้งเฮือก หัวใจแทบหยุดเต้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคยของใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่ตน
“คะ...คุณ เอริค เข้ามาได้ยังไงครับเนี่ย!”
เอริคที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องนั้นและเฝ้ามองเด็กหนุ่มนอนเงียบ ๆ โดยไม่คิดปลุก พอได้ยินคำถาม ชายหนุ่มจึงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วตอบกลับไป
“ก็เธอเล่นไม่ยอมปิดประตูนอน ฉันเห็นเข้าก็เลยแวะมาดู...นี่ดีนะเจ ที่แถวนี้มีคนของซันคอยดูแลรอบ ๆ ถ้าเป็นที่บ้านพักแถวมหาวิทยาลัยของเธอ หรือเป็นที่อื่นเข้า การประมาทแบบนี้มันจะนำอันตรายมาสู่ตัวเธอรู้ไหม”
เอริคบ่นยาวใส่ ทำให้คนที่เพิ่งตื่นยิ้มเจื่อน เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักพร้อมก้มหน้าอย่างสำนึกผิด จึงทำให้คนบ่นถอนหายใจอีกครั้ง
“เฮ้อ...เอาเถอะ ทีหลังก็อย่าลืมแล้วกัน”
บอกแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาคนที่นอนอยู่ เขานั่งลงบนเตียงแล้วเท้าแขนกักร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับชะโงกใบหน้าเข้ามา ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยงแล้วรีบถามอีกฝ่ายเสียงสั่น
“จะ...จะทำอะไรน่ะครับ...”
เอริคขมวดคิ้วจ้องมองคนบนเตียง ก่อนจะย้อนถามกลับไป
“ก็จะจูบอรุณสวัสดิ์ยังไงล่ะ หรือเธอจะลืมไปว่า ตอนนี้พวกเราเป็นคนรักกันเรียบร้อยแล้ว”
คนฟังชะงักก่อนจะหน้าแดงระเรื่อตามมาด้วยความเขิน แล้วจึงพูดตะกุกตะกักตอบออกไป
“กะ...ก็ไม่ลืมหรอกครับ...ตะ...แต่ว่า... อ๊ะ! คือผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลยนะครับ!”
คนที่กำลังเขินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ทำเอาอีกฝ่ายนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้
“ฉันไม่ถือหรอก”
“ตะ...แต่...!”
เจตต์ค้านเสียงสั่น ก่อนจะเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก เมื่ออีกฝ่ายชะโงกหน้ามาหอมแก้มของเขาแผ่วเบา
“ถ้าอย่างนั้นหอมแค่แก้มก่อน คงไม่เป็นไรใช่ไหม...อรุณสวัสดิ์นะ เจ”
เด็กหนุ่มหน้าร้อนวูบวาบ เขาอุบอิบพูดทักทายตอบ ใจเต้นแรง คิดอะไรไม่ออก จนเอริคนึกสงสารแกมเอ็นดู เขาผละออกไป ลุกขึ้นยืน แล้วบอกอีกฝ่าย
“ฉันจะให้เวลาเธอทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยภายใน 20 นาที แล้วถ้าเธอยังไม่เสร็จ ...ฉันจะเข้ามาช่วยด้วย เข้าใจนะ”
เจตต์สะดุ้งโหยงแล้วรีบพยักหน้าตอบรับ และเมื่อเอริคเดินไปที่ประตูห้อง เด็กหนุ่มก็รีบลนลานลงจากเตียง ทางด้านเอริคเหลือบมามองเล็กน้อย เขาอมยิ้มแล้วสั่นศีรษะเบา ๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องครัว ชงกาแฟมาดื่มรอที่ห้องรับแขกอย่างอารมณ์ดี
เวทิตเดินออกมาจากห้องส่วนตัว เพื่อที่จะหากาแฟดื่ม แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเอริคกำลังนั่งดื่มกาแฟรอใครบางคน อยู่ที่ห้องรับแขก
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณเอริค...มิน่าล่ะ ผมถึงได้ยินเสียงเจมันราดน้ำอาบโครม ๆ ทั้งที่ปกติกว่าจะอาบได้ที ก็อ้อยอิ่งอยู่นั่นล่ะ”
เวทิตบอกอย่างนึกขำ หากแต่คนฟังนั้นวางแก้วกาแฟลงอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อรุณสวัสดิ์ต้น ...เมื่อคืนนี้เธอเข้านอน โดยไม่ได้ล็อกบ้านพักใช่ไหม”
เวทิตชะงักแล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้
“ง่า...พอดีผมเห็นว่าแถวนี้ก็มีแต่คนกันเองทั้งนั้น ...และก็ไม่น่าจะมีขโมย ผมก็เลยไม่ได้ล็อกน่ะครับ”
“พวกเธอนี่นะ ประมาทกันทั้งคู่เลย...ต่อให้เป็นสถานที่คุ้นเคยยังไง แต่เรื่องพวกนี้มันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ”
เอริคเอ่ยเตือน ซึ่งเวทิตก็พยักหน้ารับรู้พร้อมกับให้สัญญาว่าจะไม่ประมาทอีก ทำให้เอริคเลิกคิดที่ซักไซ้เอาผิด เพราะที่เตือนไปก็แค่ไม่อยากให้ทั้งเวทิตและเจตต์นั้นติดนิสัยชอบประมาทนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปชงกาแฟดื่มก่อนนะครับ”
เวทิตบอกกับคนตรงหน้า ซึ่งเอริคก็พยักหน้าตอบรับ และเมื่อชงกาแฟเสร็จ เด็กหนุ่มก็เข้ามาสมทบกับอีกฝ่ายตามเดิม แถมยังลอบจ้องเป็นระยะเสียจนคนถูกแอบมองขมวดคิ้ว
“มีอะไร”
“อ๊ะ...ขอโทษครับ พอดีกำลังคิดว่า พอคบกับเจมันแล้ว คุณจะเปลี่ยนมาคอยตามติดเจมันเหมือนที่พี่ซันทำกับฟ้าหรือเปล่าน่ะครับ”
เวทิตบอกออกไปตามตรง ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อย
“ใครบอกเธอเรื่องนี้...เจบอกหรือ”
“ก็ใช่ล่ะครับ ยังไงพวกผมก็เพื่อนสนิทกัน ...คนรักน่ะคบกันยังเลิกรากันได้ แต่เพื่อนรักน่ะ ทำยังไงก็ตัดไม่ขาดหรอกครับ”
เวทิตบอกพร้อมยิ้มแหย่นิด ๆ ซึ่งเอริคก็มีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาให้เห็นทันที ทำให้คนแหย่แสร้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจ้องตอบพร้อมรอยยิ้มที่เปลี่ยนมาเป็นเอือมระอาแทน จนเอริครู้สึกตัว
“เธอนี่นะ...ระวังเถอะ ชอบแหย่แบบนี้ ถ้าไปเจอพวกอารมณ์ร้อนเข้า เดี๋ยวก็เดือดร้อนกันพอดี”
เวทิตหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รู้สึกพอใจที่อีกฝ่ายรู้ทันแถมปรับอารมณ์เป็นปกติได้อีก
“ขอบคุณที่เตือนครับ แต่คุณก็เหมือนกันล่ะครับ ...อุตส่าห์มัดใจเพื่อนผมได้ขนาดนี้แล้วแท้ ๆ เรื่องขี้หึงขี้หวงอะไรพวกนั้นก็เพลา ๆ หน่อยเถอะครับ แค่นี้เจมันก็กลัวคุณจนหัวหดแล้วล่ะ”
เอริคชะงักกับท้ายประโยคที่ได้ยิน ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะตั้งคำถาม
“ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนสนิทกับเขา ...บอกฉันได้ไหม ว่าทำไมเจถึงได้กลัวฉันขนาดนั้น ...เพราะเท่าที่ฉันจำได้ ฉันยังไม่ได้ทำพฤติกรรมอะไรจนถึงขนาดทำให้เขากลัวจนฝังใจเลยสักครั้งนะ”
เวทิตเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตอบคำถามนั้นของชายหนุ่มไปตามตรง
“คุณไม่เคยทำกับเจมันก็จริง ...ง่า...แต่เรื่องแฟนเก่าของคุณ มันก็ทำให้หมอนั่นกลัวคุณกับครอบครัวของคุณอยู่ไม่น้อยนะครับ...ถึงผมจะค่อนข้างมั่นใจว่า เจมันจะไม่นอกใจคุณในอนาคตข้างหน้านี้ แต่เรื่องที่มันชอบเหล่มองคนน่ารักแล้วปากเปราะชมไปทั่ว ยังไงนิสัยนี้ก็คงแก้ยากล่ะนะ... แล้วมันก็กลัวคุณโกรธจนเผลอลืมตัวเล่นงานมันเข้าให้เหมือนอย่างแฟนเก่าคุณโดนด้วยนั่นล่ะ”
เอริคนิ่งอึ้ง ไม่คิดเลยว่าเรื่องของเขากับแฟนเก่าที่เลิกราไปแล้ว จะถูกเจตต์ล่วงรู้ ชายหนุ่มไม่แปลกใจแล้วว่า เพราะเหตุใดเจตต์จึงมักมีท่าทางหวาดกลัวเขา เวลาเขาเข้าใกล้เช่นนั้นเสมอ
“ให้ตายเถอะ...ถ้าฉันเดาไม่ผิด ซันเป็นคนเล่าให้พวกเธอฟังใช่ไหม”
เอริคถามเวทิตต่อ ซึ่งเด็กหนุ่มก็พยักหน้าตอบอย่างไม่คิดปิดบัง
“ใช่ครับ พี่ซันเคยเล่าให้ฟังเมื่อปีที่แล้ว”
คราวนี้เอริคถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง เพราะไม่คิดว่าเรื่องของเขาจะเคยถูกนำมาเล่าเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่เคยรู้จักเจตต์มาก่อนด้วยซ้ำ
“ก็ตอนนั้นเจมันก็ปากเปราะพูดว่าอยากมีแฟนแสนดีเหมือนพี่ซัน พี่ซันก็เลยแนะนำญาติของเขาให้แทน ...แล้วพวกผมก็เลยได้รู้ประวัติคร่าว ๆ ของคุณมาจากพี่ซันยังไงล่ะครับ”
เรื่องราวที่ได้ยิน ยังไม่สะดุดหูเท่ากับประโยคที่ว่า “แฟนแสนดีเหมือนพี่ซัน” และนั่นก็ทำให้เอริคนิ่งเงียบไป เลิกคิดซักไซ้อะไรอีก จนเวทิตนึกแปลกใจ และพยายามทบทวนคำพูดของตัวเองว่าเผลอหลุดปากพูดผิดหูอีกฝ่ายไปบ้างหรือเปล่า ทว่ายังไม่ทันนึกออก เพื่อนของเขาก็ออกมาจากห้องพักเสียก่อน
“อ้าว...ต้น...ออกมานานแล้วเหรอ”
“อือ มานั่งคุยเป็นเพื่อนคุณเอริคเขา รอนายไปพลาง ๆ ยังไงล่ะ”
เวทิตตอบ ทำให้คนฟังหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน จากนั้นจึงเดินไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามชายหนุ่ม ทางด้านเวทิตเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วถามอีกฝ่าย
“เอากาแฟไหม”
“เอา! ใส่น้ำตาล 3 ช้อน แล้วก็ครีมเทียมเยอะ ๆ นะ”
เจตต์รีบบอก ทำให้อีกฝ่ายสั่นศีรษะไปมาแล้วรับคำอย่างเอือมระอา เพราะเพื่อนสนิทก็ยังคงสั่งแบบไม่มีนึกเกรงใจเหมือนทุกครั้งนั่นเอง
พอสั่งกาแฟเสร็จ เจตต์ก็หันมามองคนที่นั่งตรงกันข้าม ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสีหน้าขรึม ๆ ของอีกฝ่าย
“คุณเอริค...เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”
คนฟังชะงักแล้วจึงฝืนยิ้มพร้อมย้อนถามกลับไป
“ไม่มีนี่...มีอะไรหรือ”
“คือ...ผมเห็นคุณทำหน้าเครียด ๆ ก็เลย...เอ่อ...ก็เลยคิดว่า คุณอาจจะมีปัญหาให้คิด...และถ้าผมช่วยได้ ผมก็ยินดีจะช่วยนะครับ”
เจตต์บอกตะกุกตะกักด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เพราะยังรู้สึกไม่ชินกับตำแหน่งคนรักของคนตรงหน้าตนนัก
“เจ...ถ้าฉันใจดีกว่านี้ เอาอกเอาใจเธอมากกว่านี้ เธอจะชอบฉันมากขึ้นไหม”
คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังชะงัก เขาสบตาอีกฝ่ายนิ่งอยู่สักพักจนเอริคต้องเป็นฝ่ายเรียก
“ว่ายังไงล่ะเจ...คำตอบน่ะ”
แววตาคนถามดูเศร้าลง ทำให้เจตต์รู้สึกตัว ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับตอบคำถามนั้น
“ผมชอบคุณที่เป็นตัวคุณมากกว่า...ต่อให้คุณจะทำตัวขรึมและดูเหมือนจะเย็นชา แต่ผมก็รู้ดีว่า จริง ๆ แล้วคุณน่ะ อ่อนโยนขนาดไหน... จริงอยู่ ไม่ว่าใครก็ชอบคนทำดีด้วย แต่ถ้าต้องฝืนตัวเองเพื่อให้คนอื่นชอบ...แบบนั้นก็อย่าทำเลยครับ นอกจากตัวคุณจะไม่มีความสุขแล้ว ...ผมเองก็จะไม่มีความสุขและรู้สึกผิดไปด้วยนะครับ”
เอริคนิ่งเงียบ เขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เขารักอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นเบา ๆ จากบุคคลที่สาม
“อะแฮ่ม...ขอโทษนะครับ แต่พอดีผมกลัวกาแฟจะเย็นเสียก่อน ขี้เกียจชงใหม่น่ะครับ แหะ ๆ”
ทางด้านเจตต์ที่ลืมไปว่าเพื่อนสนิทก็อยู่ด้วย ถึงกับหน้าร้อนวูบวาบ แต่ก็พยายามควบคุมสติไม่ให้เตลิดด้วยความอาย เพราะถึงอย่างไรเวทิตก็รู้อยู่แล้วว่าเขากับเอริคนั้นคบหากันเรียบร้อย
“เอ้า! นี่ กาแฟของนาย”
เวทิตวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนจะเหลือบไปมองอีกคนพร้อมกับยกยิ้มน้อย ๆ ให้
“ขอโทษนะครับที่ก่อนหน้านั้นผมเผลอพูดอะไรให้คุณเป็นกังวลไป ...แต่ผมก็เกริ่นแล้วนะว่าตอนนั้นหมอนั่นมันพูดคะนองปากไปโดยไม่คิด... ไม่เหมือนกับวันนี้ ที่เขาตั้งใจพูดและกลั่นกรองคำพูดนั้นออกมาจากใจจริงของเขา เพื่อให้คนสำคัญที่สุดของเขาได้รับฟังยังไงล่ะครับ”
พอบอกจบเวทิตก็ขอตัวออกไปเดินเล่นรับอากาศยามเช้า ทิ้งให้เอริคต้องนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่บนโซฟา พลางสั่นศีรษะไปมา
“รับมือยากจริง ๆ เลยนะ เพื่อนของเธอคนนี้น่ะ”
ทางด้านเจตต์นั้นยามนี้กำลังงุนงงในสิ่งที่เพื่อนสนิทกับคนรักสนทนากัน สีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจเต็มที่ ทำให้เอริคต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“ไม่มีอะไรมากหรอก...เพียงแต่ฉันรู้สึกโชคดี ที่เขาไม่ใช่คู่แข่งฉันก็เท่านั้นล่ะนะ”
พอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็หน้าร้อนวาบ แล้วรีบแก้เขินโดยการยกกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนจะสะดุ้งเฮือกแลบลิ้นเบ้หน้า เพราะความร้อนของกาแฟในแก้วนั้น
“ไอ้เพื่อนบ้า! ไหนบอกว่ากาแฟจะกลายเป็นกาแฟเย็นแล้วยังไงล่ะ นี่ยังร้อนอยู่เลย!”
เจตต์บ่นอุบอย่างลืมตัว ก่อนจะชะงักแล้วเงยหน้ามองสบตาชายหนุ่ม ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้
“แหะ ๆ ขอโทษครับ...ลืมตัวไปหน่อย”
เอริคสั่นศีรษะแล้วส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร...ฉันชอบเธอที่เป็นตัวของเธอเอง ก็เหมือนกับที่เธอชอบฉันที่เป็นฉันยังไงล่ะ”
เจตต์หน้าแดงวาบ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับหงึกหงักถี่ ๆ จากนั้นก็ยิ้มทั้งหน้าแดงระเรื่อส่งให้ ทำเอาเอริคนิ่งอึ้ง แล้วเริ่มหมดความอดทนในที่สุด
“คะ...คุณเอริค”
เจตต์พึมพำด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นและโน้มใบหน้าคมเข้มชะโงกเข้ามาใกล้ใบหน้าของตน
“เจ...ที่รัก...ฉันรักเธอมากนะ”
คำสารภาพอ่อนหวานของชายหนุ่มทำให้คนฟังใจเต้นแรง และเมื่อยามที่ริมฝีปากนุ่มนั้นสัมผัสที่ริมฝีปากของตนแผ่วเบา สมองของเขาก็เริ่มว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก จนกระทั่งชายหนุ่มผละริมฝีปากออกไป
“หวานกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก”
“วะ...หวาน...ระ...หรือ..ครับ”
คนฟังพูดเสียงตะกุกตะกัก หากแต่คนมองกลับไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้ามปฏิกิริยาโต้ตอบที่เด็กหนุ่มมี นั้นกลับดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของเขาเสียเหลือเกิน
“เจ...ไปนั่งคุยในห้องกันแทนไหม”
คำถามของเอริคทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง ดูจากสายตาคมกริบวาววับที่มันสื่อความในใจโดยไม่ปิดบังนั่น ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที
“ง่า...ผมว่าเราคุยกันแถวนี้ก็ดีแล้วนี่ครับ”
ถึงแม้เขาจะตกลงคบหาเป็นแฟนกับอีกฝ่าย แต่เจตต์ก็ยังคงไม่พร้อมจะเสียตัวให้กับผู้ชายด้วยกันในตอนนี้อยู่ดี อย่างน้อยก็คงต้องขอเวลาให้เขาทำใจอีกสักพักใหญ่ ๆ นั่นล่ะ
ทางด้านเอริคก็พอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง เขาลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้
“ถ้าอย่างนั้นมานั่งใกล้ ๆ แทนแล้วกัน...นะ”
ท้ายประโยคคล้ายจะฟังดูเหมือนอ้อน ทว่าเมื่อคนพูดด้วยนัยน์ตาคมกริบมันก็กลายเป็นขอกึ่งบังคับไปแทน
“...ครับ”
เจตต์รับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วขยับมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกับอีกฝ่าย ทว่าพอเขาตั้งท่าจะนั่งห่างออกไป ก็ถูกคนตัวโตรวบบ่าให้เข้ามาใกล้อย่างจงใจเสียอย่างนั้น
“คุณเอริค...”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่...เราเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่หรือ”
เจตต์ยิ้มเจื่อนส่งให้ แต่ก็ไม่กล้าขัดอะไรออกไป ไม่ใช่กลัวว่าชายหนุ่มจะโมโห แต่เขากลัวว่าเอริคจะเสียใจหรือน้อยใจมากกว่า เพราะเท่าที่เขาสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่ผ่านมา คนที่ดูเหมือนเย็นชาคนนี้ จะเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับคนที่เจ้าตัวใส่ใจ
“ครับ...เอ่อ...คือผมก็แค่...เขินนิดหน่อย”
เจตต์บอกตามตรง ทำให้เอริคยิ้มออก จากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยกันเรื่อย ๆ โดยคนเริ่มต้นบทสนทนาในตอนแรกนั้นจะเป็นเอริคเสียส่วนใหญ่ ทว่าพอผ่านไปเจตต์เริ่มหายประหม่า เด็กหนุ่มก็มีเรื่องมาเป็นฝ่ายชวนคุยแทน และเอริคก็กลายเป็นคนรับฟังเสียส่วนมากในตอนหลัง
ภาพคู่รักที่นั่งใกล้ชิดพูดคุยกันสนิทสนม ทำให้เวทิตที่เปิดประตูเข้ามาเบา ๆ ต้องชะงัก ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ แล้วปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ในโลกส่วนตัวต่อไปโดยไม่คิดขัดขวาง
“เฮ้อ...ชักจะอิจฉาขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้วสิเรา”
เด็กหนุ่มพึมพำ แต่ก็ยังคงรู้สึกดีที่เห็นเพื่อนรักมีความสุข เขาเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจอกับเวหาที่ออกมาเดินเล่นเช่นกัน
“ไง! ต้น ออกมาเดินเล่นแต่เช้าเชียวนะ”
เวหาทักทายเพื่อนสนิท ซึ่งอีกฝ่ายก็ยักไหล่แล้วยกยิ้มให้
“ไม่ออกมาได้ยังไงล่ะ ก็ในบ้านเขากำลังสวีทกัน ขืนอยู่ด้วยก็ได้เป็นหัวหลักหัวตอพอดี”
เวหาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แล้วจึงย้อนถามกลับมา
“สวีท...หรือว่าเจตกลงเป็นแฟนกับคุณเอริคเขาแล้วหรือ”
“ใช่...แถมตอนนี้ยังหวานใส่กันเสียจนอยากแกล้งเลยล่ะ”
เวทิตบอกแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จนคนมองอมยิ้ม
“ไม่เอาน่า อย่าไปแกล้งเขาเลย สงสารคุณเอริคเขาออก”
“แหม...ก็ตอนนี้ฉันเป็นโสดอยู่คนเดียวก็เหมือนโดนทอดทิ้งนี่นา”
“อืม...งั้นให้พี่ซันแนะนำญาติให้สักคนไหมล่ะ เห็นว่าญาติผู้หญิงที่ยังโสดอยู่ก็มีนะ”
“ง่ะ…ไม่เอาล่ะ ขืนข้องเกี่ยวกับคนตระกูลนี้ มีหวังได้โดนตามประกบตลอดเวลาแน่ ...ฉันยิ่งไม่ชอบให้ใครมาคอยตามจุ้นจ้านเสียด้วยสิ”
คำตอบของเวทิตทำให้เวหาส่งยิ้มเจื่อนให้กับอีกฝ่าย เพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ว่า คนรักนั้นก็ประพฤติตัวไม่ต่างกับที่เพื่อนสนิทบอกมา ทว่าเพราะเคยชินเสียแล้ว จึงทำให้เวหาไม่ค่อยนึกรำคาญหรือเบื่อหน่ายเท่าใดนัก
“แต่การที่มีคนคอยรักคอยเป็นห่วงเราอยู่ตลอดเวลา บางทีมันก็มีความสุขนะ”
เวทิตมองเพื่อนสนิท แล้วถอนหายใจเบา ๆ เพราะจะว่าไป เขาก็ค่อนข้างพูดถึงเรื่องนี้ในทางลบมากไปหน่อย คงเพราะเคยมีประสบการณ์ความรักแย่ ๆ จึงทำให้เขาไม่ค่อยชอบการที่อีกฝ่ายคอยตามติดเป็นเงาตามตัวเช่นนั้น
“อืม...ฉันเข้าใจ ถ้าแฟนเก่าฉันจะยอมรับฟังและเชื่อใจฉันบ้าง เหมือนกับพี่ซันของนาย ฉันก็คงไม่ต่อต้านเรื่องการสโตกเกอร์ระหว่างคู่รักแบบนี้นักหรอกนะ”
เวหารับฟังตาปริบ ๆ กับถ้อยคำที่เวทิตใช้เรียกพฤติกรรมของรวีที่เป็นอยู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วตบบ่าเพื่อนตามมาเบา ๆ
“เอาเถอะ ...เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใคร ไม่แน่บางทีบทจะมาเดี๋ยวมันก็มาเองล่ะ จริงไหม”
“นั่นสินะ...แต่ถ้าไม่มีมาจริง ๆ เดี๋ยวก็อยู่คอยแหย่ คอยป่วน พวกนายสองคนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็สนุกดีล่ะนะ”
เวทิตบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้เวหาสั่นศีรษะไปมา เพราะมั่นใจว่าเพื่อนสนิทคงจะทำอย่างที่พูดจริงแน่ แล้วเขาก็คงต้องคอยง้อคอยปลอบคนขี้หึงของเขาไม่ให้หึงหวง ด้วยการเปลืองเนื้อเปลืองตัวประจำ จนพักหลัง ๆ เวหาชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า รวีนั้นหึงหวงเขาจริง หรือแกล้งงอนให้เขาง้อกันแน่
...TBC...
กำลังหวานเจี๊ยบ ๆ ได้ที่ ตัดจบเลยดีไหมน้อ หุ ๆ
:impress2:
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
น่ารักกกกกกกกกกกก
น่าจะจับคู่เวทิตกับอีธานนะ
คงดีมากๆจริงๆ
อย่างที่เขาว่าเกลียดอะไรมักได้อย่างนั้นไงละ
ฮุๆๆๆๆ
-
ญาติพี่ซันยังมีเหลืออีกมั้ยคะ :-[
-
โอ้หวานทุกคู่เลยครับ น่าอิจฉาจัง ...... สนุกน่ารักอ่านแล้วยิ้มได้อารมณ์ดี
ขอบคุณครับ
-
พอได้คบกันแล้ว ก็ออกลายเลยนะ เอริค
555
-
ใจเย็นๆนะเอริค. เดี๋ยวเด็กตื่นหมด
ค่อยๆตอดไปจ้า
-
อร๊ายยย ไม่ๆๆๆๆ อย่าเพิ่งตัดจบนะค๊าาา
กำลังอ่านเพลิน เจอคนแต่งบอกแบบนี้อิชั้นนี่สะดุ้งเลยค่า
ไม่นะ ไม่ยอม :ling1: อยากอ่านอีกยาวๆ
เจน่ารักอ่ะ นับวันยิ่งน่าร้าก ยิ่งเผยใจตัวเองแล้วยิ่งน่ารักน่ากอดเข้าไปใหญ่
แก้มแดงเรื่อยๆ ใครจะอดใจไหว :impress2:
แอบลุ้นว่าใครจะมากำหราบชายต้น พ่อคนรับมือยากคนนี้หนอ?
จะใช่คนในตระกูลนี้อีกรึเปล่า :laugh:
-
สวัสดีค่ะ มาต่อแล้วค่ะ ตอนแรกว่าจะตัดจบ แล้วไปจัดในตอนพิเศษแทน แต่มันยังปั่นไม่จุใจ ประกอบกับคิดพล็อตเสริมได้ เลยมาปั่นให้อ่านกันต่อนี่ล่ะค่ะ หวังว่าคงจะถูกใจกันนะคะ
ป.ล. นายต้นเริ่มฮอตในหมู่นักอ่าน เห็นมีแต่คนอยากจับให้เป็นเคะกันถ้วนหน้า 555
ตอนที่ 10
เรื่องที่เอริคกับเจตต์คบหากัน ก็ได้ล่วงรู้ถึงทุกคนทั้งที่ยังไม่พ้นช่วงเช้าดี เพราะเอริคนั้นไม่คิดจะปิดบังแถมยังแสดงท่าทางเป็นเจ้าของเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่ จนเจตต์รู้สึกเขินแทบไม่กล้าสบตากับคนอื่น ๆ เลยทีเดียว
“เอ...แบบนี้ผมย้ายไปนอนที่เรือนไทยแทนดีกว่าไหมครับ คุณเอริคจะได้ย้ายมานอนห้องข้าง ๆ เจมันแทน”
เวทิตเอ่ยแซวชายหนุ่มที่นั่งชิดกับเพื่อนของเขา ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งพักกินขนมหวานฝีมือของมีนา ที่ห้องรับแขกของบ้านพักหลังเล็กกัน และทันทีที่เวทิตพูดจบเจตต์ก็หันขวับมามองเพื่อนแล้วจ้องเขม็งด้วยแววตาเอาเรื่องทันที
“ตอนนี้ยังก่อนดีกว่า...ขืนย้ายมาอยู่ใกล้กันกว่านี้ เดี๋ยวจะควบคุมตัวเองไม่ไหว”
เอริคพูดตอบหน้าตาเฉย ทำให้คนแกล้งแซวชะงัก ก่อนจะพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดฤทธิ์เมื่อได้เห็นใบหน้าเหวอ ๆ แดงก่ำ ของเพื่อนสนิทของตน
“ต้น! นายนี่มัน...”
“ฮะ ๆ อย่าโกรธฉันสิ ฉันก็แค่อยากทำหน้าที่เพื่อนที่ดี ช่วยประสานสัมพันธ์ให้นายกับคุณเอริคเขาต่างหาก”
คนที่พยายามควบคุมอารมณ์ขันตัวเองตอบออกไปอย่างร่าเริง ก่อนจะพยักหน้าขอโทษเอริคเบา ๆ แล้วเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย
“ถึงยังไงผมก็อยู่ที่นี่ต่ออีกแค่ 4-5 วัน ก็ต้องกลับอยู่แล้ว แต่เจยังต้องอยู่อีกตั้งหลายวัน ถ้าผมกลับบ้าน หมอนี่ก็นอนคนเดียวอยู่ดี ถึงตอนนั้นยังไงก็ต้องจัดห้องกันใหม่ จริงไหมล่ะครับ”
คำพูดของเวทิต ทำให้หลายคนชะงักแล้วพยักหน้ารับรู้ตามมาอย่างเข้าใจ ยกเว้นเจตต์ที่ยังคงเขินอยู่ไม่หาย
“ไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย บ้านก็อยู่ใกล้ ๆ กันแค่นี้เอง!”
“แล้วนอนคนเดียวไม่กลัวผีหลอกเหรอ...”
เวทิตแกล้งแหย่ แต่อีกฝ่ายกลับแค่นยิ้ม แล้วโต้กลับทันที
“ฉันไม่ใช่นายนี่จะได้กลัวผี เหอะ! คราวก่อนตอนมาค้างที่บ้านเช่าฉัน พอได้ยินเสียงลมพัดแรง ๆ โครมครามด้านนอกหน่อย ก็กลัวจนกอดฉันเสียแทบจะหายใจไม่ออก!”
เวทิตชะงัก ก่อนจะทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกประจานจุดอ่อนของตนเช่นนี้ ทว่าเอริคที่รับฟังอยู่เงียบ ๆ นั้นขยับมาโอบบ่าของเจตต์หมับ แถมยังลืมตัวออกแรงบีบจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง
“ง่า...คุณเอริค”
เจตต์หันไปสบตาอีกฝ่ายอย่างงุนงงพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ เพราะคนอารมณ์ดีก่อนหน้านั้น ตอนนี้กลับมีสีหน้าขรึมขึ้นมาอีกแล้ว
“คุณเอริคครับ ไม่ต้องหึงไปหรอกครับ เรื่องต้นกลัวผีมาก ๆ น่ะ เป็นเรื่องจริงนะครับ ถ้าลองตกใจกลัวแล้วตรงหน้าต่อไม่ใช่เจ แต่เป็นคุณ หมอนี่ก็กอดทั้งนั้นล่ะครับ”
เวหาที่เฝ้าดูอยู่รีบพูดแก้ตัวให้เพื่อนเพราะเกรงว่าเอริคจะโมโหหึงจนทำให้เจตต์กลัวเสียก่อน แต่คำพูดนั้นก็ทำให้รวีที่นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างอารมณ์ดีถึงกับชะงัก พลางขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะย้อนถามคนรักบ้าง
“แล้วน้องฟ้ารู้ได้ยังไงครับ... อยู่ในเหตุการณ์หรือเป็นผู้ถูกกระทำล่ะครับ”
เวหาเหลือบมามองคนถาม เขาลอบถอนหายใจแผ่วเบาอย่างระอา แล้วจึงอธิบายออกไปตามตรง
“ผมแค่อยู่ในเหตุการณ์ครับ ตอนนั้นพวกเราไปเข้าค่ายลูกเสือตอน ม.4 ต้นเขาตกใจเสียงนกแสกร้องในตอนกลางคืน ก็เลยโวยวายวิ่งออกมานอกเต็นท์ แล้วกอดอาจารย์ที่ปรึกษาที่เข้ามาดูจนล้มไปกับพื้นทั้งคู่ ทำเอาต้องโดนลงโทษให้นั่งคุกเข่านอกเต็นท์ทั้งคืน น่าสงสารมากเลยล่ะครับ”
“ง่า...ฟ้า เลิกเล่าเรื่องฉันได้แล้วล่ะ ...รู้สึกยิ่งเล่า ภาพพจน์ฉันมันยิ่งแย่ลง ๆ ยังไงไม่รู้สิ”
เวทิตแย้งเสียงอ่อย แต่นั่นก็ทำให้หนุ่ม ๆ แต่ละคนหายหึง และกลับมานึกขำแกมสงสารเด็กหนุ่มแทน
“เอ๊ะ! แล้วทำไมคราวนี้ พี่ต้นถึงได้แยกนอนคนเดียวได้ล่ะครับ ไม่กลัวผีแล้วหรือครับ”
มีนาที่นั่งฟังเพลิน ๆ แทรกขึ้นมาบ้าง และนั่นก็ทำให้หลายคนสงสัย ยกเว้นเจตต์ที่รู้เหตุผลนั้นดี เพราะได้รับคำตอบจากเพื่อนสนิทมาตั้งแต่วันแรกที่เลือกห้องนอนแล้ว
“ง่า...ข้อแรก นั่นก็เพราะพี่มั่นใจว่า น่าจะมีใครบางคนตามเจมันมาค้างที่นี่ด้วยแน่ และถ้าพี่ยังกล้านอนห้องเดียวกับเจ บางทีพี่อาจจะหลับไม่เป็นสุขตลอดที่พักที่นี่ก็ได้ยังไงล่ะครับ”
เวทิตบอกกับมีนา ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกหงักรับรู้ ทว่าเอริคนั้นสะดุ้งนิด ๆ แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้ จนเวทิตและคนอื่นนึกทึ่ง
“ส่วนข้อสอง...เพราะบ้านหลังนี้สร้างขึ้นใหม่ ทำให้ไม่น่ามีเรื่องอะไรให้ชวนสยองขวัญแน่...แต่ถึงจะมีพี่ก็เตรียมพร้อมของพี่ไว้แล้ว”
พอเวทิตพูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้วยุ่ง เจตต์จึงบอกให้ทุกคนตามไปดูที่ห้องของเพื่อนสนิท โดยที่เจ้าของห้องก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยอมให้ทุกคนเดินไปดูโดยไม่ขัดขวาง
พระประธานประจำบ้าน ขนาดองค์เกือบ 10 นิ้ว ที่ตั้งตระหง่านไว้บนหัวเตียงนอน ทำให้แต่ละคนที่ได้เห็นถึงกับพูดอะไรไม่ออก และเริ่มเชื่อแล้วว่าเวทิตนั้นกลัวผีจริง ๆ ไม่ใช่แกล้งเล่น
“มิน่า...เห็นว่าจะมาอยู่แค่ 1อาทิตย์แต่ลากกระเป๋ามาตั้ง 2 ใบ”
เวหาพึมพำ ซึ่งเวทิตก็ยิ้มเจื่อนแล้วพูดขึ้นบ้าง
“ก็นะ...จะให้ใส่พระรวมกับเสื้อผ้าได้ยังไงเล่า แต่กว่าจะเอาออกมาจากบ้านได้ ก็โดนแม่บ่นตั้งหลายรอบ บอกว่าแค่พระเครื่องห้อยคอก็พอ แต่พระเครื่องของแม่แพงจะตาย ขืนฉันไปทำหล่นหายที่ไหน มีหวังโดนตีหัวแตก ก็เลยไม่กล้าสวมมาน่ะ”
ทางด้านเจตต์ที่ฟังอยู่สั่นศีรษะอย่างเอือมระอา จะว่าไปเพื่อนสนิทของเขาทั้งนิสัยใจคอ ทั้งรูปร่างหน้าตา ก็ดูดีไปหมดเสียทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องกลัวผีนี่ล่ะ ที่ทำให้เวทิตไม่เพอเฟกต์อย่างที่ควรจะเป็น
“เอาล่ะครับ ดูเรื่องขายหน้าของผมกันมากพอแล้ว ผมว่าพวกเรากลับไปนั่งคุยกันต่อดีกว่าครับ!”
เวทิตที่รู้สึกว่าตัวเองจะถูกมองด้วยแววตาเปลี่ยนไปจากคนอื่น ๆ เอ่ยตัดบทขึ้น ทำให้แต่ละคนต่างอมยิ้มไปตาม ๆ กัน และทยอยเดินกลับมานั่งรวมตัวที่ห้องรับแขกของบ้านอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับช่วงบ่ายวันนี้ พวกหนุ่ม ๆ มีโปรแกรมออกท่องเที่ยวกันอีกรอบ เพราะรวีเห็นว่าเวทิตนั้นจะอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วัน ชายหนุ่มจึงเสนอให้ทุกคนไปท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อเวทิตจะได้มีความทรงจำที่ดีกลับไปในวันหยุดครั้งนี้นั่นเอง
และการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ก็คือการพักค้างแรมในป่า และแม้จะเป็นป่าใหญ่ที่มีรีสอร์ทสะดวกสบายรองรับ หากแต่พื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นป่าทึบน่าท้าทายสำหรับพวกที่รักอิสระในการผจญภัยอยู่มากทีเดียว
“อ้าว...ทีแรกพวกผมก็คิดว่าจะไปตั้งเต็นท์นอนกลางป่ากันเสียอีกนะครับ”
เวหาบอกอย่างนึกเสียดาย เมื่อรถตู้พาพวกเขามาจอดที่หน้าบ้านพักหรูขนาดใหญ่ เนื่องจากทีแรกที่เด็กหนุ่มได้ยินรวีเสนอว่าน่าจะไปค้างแรมกันในป่า เขาก็คิดไปถึงการกางเต็นท์ใกล้ลำธารในป่าลึกเข้าให้แล้ว
“แบบนั้นมันลำบากนี่ครับ แล้วก็อาจจะมีอันตรายก็ได้ ที่นี่ทั้งป่าไม้และสัตว์ป่าก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มากเสียด้วย ถ้าเราเข้าไปก็จะเป็นการรบกวนพวกมันเสียเปล่า ๆ”
รวีให้เหตุผล ซึ่งเวหาพอได้ฟังก็พยักหน้ารับแล้วยิ้มตอบอย่างเข้าใจ ทำให้รวีแอบโล่งอก เพราะเขานั้นยังจำได้ดีในเรื่องที่คนรักเป็นพวกชอบหลงทิศ เกิดเวหาไปหลงป่าเข้าให้แล้วเขาตามไม่พบ เขาคงจะบ้าตายเป็นแน่
“แต่ไม่ต้องห่วงนะครับน้องฟ้า ถึงเราจะพักกันที่นี่ แต่ตอนกลางวันเราจะเดินชมป่าแล้วก็ไปเล่นน้ำตกใกล้ ๆ แถวนี้กันด้วย”
เวหาและเพื่อนอีกสองคน พอได้ยินก็รู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะเจตต์นั้นถึงกับเบิกตาเรียวเล็กของตนเสียกว้างด้วยความยินดี จนเอริคที่อยู่ข้าง ๆ นึกขำแกมเอ็นดู แต่ก็ยังไม่วายเตือนคนรักไม่ให้ประมาทเหมือนเมื่อคราวก่อนอีก
“คราวนี้ต้องเดินระวังกว่าเดิมนะ เผื่อฉันรับไม่ทันเดี๋ยวจะเป็นแผลเอา”
“ง่า...ครับ”
เจตต์รับคำเสียงอ่อย ทำให้เอริคต้องลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นการปลอบ และนั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มมีรอยยิ้มเขิน ๆ ให้ได้เห็นอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นเราแยกย้ายกันไปเก็บของกันดีกว่าครับ ไว้ตอนมื้อเย็นค่อยมาสรุปกันอีกทีว่าพรุ่งนี้จะจัดโปรแกรมเที่ยวยังไงกันบ้าง”
รวีบอกกับทุกคน เพราะเวลานี้ก็เป็นเวลาจวนเย็นมากแล้ว ทว่าพอรวีบอกจบ พวกหนุ่ม ๆ ก็ยืนมองกันตาปริบ ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะจัดห้องพักกันยังไง เพราะแม้บ้านพักจะหลังใหญ่ก็จริง แต่ก็คงไม่มีห้องพอให้นอนเดี่ยวกันแต่ละคนแน่
“เฮ้! ซัน ตกลงเอาไง...เรื่องนอนน่ะ”
เมฆาที่เผอิญหันไปเห็นสายตาของเด็ก ๆ และอ่านพอออก จึงหันมาถามเพื่อนสนิท ซึ่งรวีก็นิ่งคิดก่อนจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ไม่เห็นยาก มี 3 ห้องนอน พวกเราก็แยกกันไป 3 คู่ ห้องนอนไหนที่ใหญ่สุดก็พ่วงน้องต้นไปคน แค่นี้ก็จบละ”
พวกเด็กหนุ่มแต่ละคนพอได้ยินดังนั้นก็ทำตาปริบ ๆ โดยเฉพาะเวทิตที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากฟังจบ
“ผมว่าผมนอนห้องรับแขกดีกว่าครับ ยังไงอากาศตอนกลางคืนบนภูเขาก็เย็นสบายอยู่แล้ว ถึงไม่มีแอร์ก็นอนได้”
พอได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้น เวหาก็นึกสนุกแล้วเสริมตามขึ้นมาบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็มานอนกับนายด้วยดีกว่า ที่นี่น่าจะมีพวกฟูกเสริมไว้ให้ด้วย เราก็ใช้ปูนอนด้วยกันก็นอนได้ละ... แล้วนายล่ะเจ ว่ายังไง”
เวหาหันไปถามเจตต์ ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก ทำเอาคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกายเม้มปากนิด ๆ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมจะนอนรวมกันที่ห้องรับแขก ส่วนพวกพี่สามคน ก็แบ่งกันไปคนละห้องตามสบายเลยครับ ไม่ต้องห่วง”
มีนาสรุปตัดบทก่อนที่คนที่เหลือจะรวมตัวกันประท้วง ทำให้รวีขมวดคิ้วยุ่งนิด ๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มแย้ม แล้วเอ่ยตามมา
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอมานอนรวมด้วยคนนะครับ”
“ไม่ได้ครับ อึดอัด แค่พวกผมก็เต็มแล้ว”
คนที่ตอบคือเวหา ทำให้คนฟังสะดุ้งโหยงแล้วทำสีหน้าละห้อยน่าสงสารเสียจนเวหาเกือบจะหลงกล ทว่าก็ต้องทำใจแข็งไว้ก่อน เพราะเขาตั้งใจจะแก้เผ็ดเรื่องที่อีกฝ่ายวางแผนแบ่งห้องนอนแบบคู่รัก โดยไม่คิดจะบอกเขาล่วงหน้า
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะนอนห้องชั้นล่าง”
เอริคที่เหลือบไปเห็นห้องนอนด้านล่างรีบบอก แล้วเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของตนพร้อมกับแย่งกระเป๋าของเจตต์ไปถือ พลางหันมาบอกเด็กหนุ่มก่อนที่อีกฝ่ายจะตั้งคำถาม
“เอากระเป๋ามาเก็บที่ห้องฉัน มันจะได้ไม่รกและไม่กินพื้นที่ห้องรับแขก ...ส่วนพวกเธอถ้าจะนอนที่ห้องรับแขกกันจริง ก็เอากระเป๋ามารวมกันในห้องฉันก็ได้”
คำตอบของเอริคทำให้คนฟังแต่ละคนยิ้มออก ยกเว้นเมฆากับรวี ที่ถูกแย่งตำแหน่งห้องนอนที่ดีที่สุดในบ้านไปเสียแล้ว เพราะห้องนอนอีกสองห้องนั้นจะต้องขึ้นไปนอนบนชั้นสองของบ้านพักนั่นเอง
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่าพี่เมฆ...อืม...เอาไว้ถ้ามีนอยากนอนเตียงนุ่ม ๆ เมื่อไหร่ มีนจะขึ้นไปเคาะประตูขอนอนกับพี่เมฆด้วยคนแล้วกันนะ”
มีนาที่สังเกตเห็นหน้าบึ้งตึงของคนรัก เดินไปกระซิบปลอบ ทำให้เมฆาชะงัก ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาได้ ชายหนุ่มกระซิบกลับ ซึ่งก็ทำให้มีนาที่ได้ยินนิ่งอึ้งเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมตกลง ตัดสินใจเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ไว้ในห้องพักของคนรักตามคำขอร้องของอีกฝ่าย
ทางด้านเวหาพอเห็นน้องชายเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าตามเมฆาขึ้นไปบนชั้นสองก็แอบอึ้งเล็กน้อย ทว่ามีนาก็รีบหันมาบอกด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนที่พี่ชายจะเข้าใจตนผิดไปมากกว่านี้
“มีนก็แค่จะเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่ห้องพี่เมฆเท่านั้นเอง...ขืนเอาไปเก็บรวมที่ห้องคุณเอริคทั้งหมด ก็รบกวนคุณเอริคเขาน่ะสิครับ”
พอได้ยินดังนั้นเวหาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะถ้าลองมีนาเลือกค้างห้องเดียวกับเมฆา มีหวังเขาคงจะถูกรวีตื๊อแล้วอ้างเปรียบเทียบเข้าให้แน่
“ถ้าอย่างนั้นน้องฟ้าก็เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องพี่ดีกว่านะครับ เห็นพนักงานเขาบอกว่าห้องพักที่นี่มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง ...เวลานอน น้องฟ้าก็ไปนอนรวมกับเพื่อน แต่เวลาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำธุระส่วนตัว น้องฟ้าก็มาใช้ห้องพี่ยังไงล่ะครับ”
รวีอ้อนเต็มที่จนเวหาต้องลอบถอนหายใจ และเลิกคิดแกล้งทำใจแข็งต่อ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”
รวีเบิกตากว้างอย่างยินดี จากนั้นก็รีบกุลีกุจอช่วยเด็กหนุ่มหิ้วกระเป๋าขึ้นไปเก็บ แถมยังชักชวนให้เวหาไปดูห้องพักของตนด้วยอีกต่างหาก ทำให้ชั้นล่างในห้องรับแขกเหลือเพียงสองคน คือ เจตต์ และเวทิต ส่วนเอริคนั้นยกกระเป๋าเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มไปเก็บในห้องเรียบร้อยเพื่อกันอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ
“เอาไง...นายก็จะเอากระเป๋าไปเก็บในห้องด้วยใช่ไหม”
เจตต์ถามเพื่อน เพราะแม้จะไม่ค้างห้องเดียวกัน แต่การที่อยู่ด้วยกันลำพังในห้องส่วนตัวกับเอริคก็อดที่จะทำเขาเขินขึ้นมาไม่ได้
“ไม่ล่ะ ...กระเป๋าฉันแค่ใบเดียว เอาไปซุกไว้ตามริมห้องก็ได้ อีกอย่างข้างนอกนี่ก็มีห้องน้ำ ฉันก็ไม่ต้องไปแย่งเข้าห้องน้ำกับพวกนายสองคนก็ได้ เพียงแต่ว่า...”
เวทิตหยุดเว้นวรรค สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“ถ้าเกิดนายเปลี่ยนใจจะนอนห้องเดียวกับคุณเอริค ฉันขอติดไปนอนในห้องด้วยคนนะ ถ้าพวกนายจะทำอะไรกันบนเตียงก็ทำไป รับรองว่าฉันจะไม่รบกวนและทำตัวเงียบ ๆ นอนบนพื้นมุมห้องอย่างสงบเสงี่ยมที่สุดเลยล่ะ สาบานได้!”
เจตต์นิ่งอึ้งก่อนจะหน้าแดงวาบตามมา แล้วจึงโวยวายใส่เพื่อนด้วยเสียงที่ไม่กล้าดังนัก
“อะ...ไอ้บ้า...ใครจะทำกันเล่า...ไอ้เพื่อนลามก!”
“อ้าว! ฉันก็แค่พูดเผื่อไว้ก่อน ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็ไม่นอนคนเดียวแน่ พระก็ไม่ได้พกมาด้วย”
เวทิตรับคำอย่างไม่นึกสนใจ แถมยังพึมพำด้วยความเป็นกังวลตามมาเสียจนคนมองหมั่นไส้
“ทีแรกดันเสนอตัวขอนอนห้องรับแขกคนเดียวได้หน้าตาเฉย ทีนี้ดันจะมาทำเป็นกลัว!”
เจตต์บ่นอุบ ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะแย้งกลับไป
“ก็ทีแรกฉันมั่นใจว่า ถ้าพูดแบบนั้นออกไป ไม่ฟ้าก็นายจะต้องเสียสละมานอนเป็นเพื่อนกับฉันด้วยน่ะสิ เรื่องอะไรจะยอมทำตัวกลัวผีเสียหน้าต่อพวกพี่ซันให้เพิ่มไปกว่านี้วะ!”
“แล้วตอนนี้ล่ะ...”
เจตต์ถามด้วยสีหน้าที่เอือมระอา ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดต่อ
“แหะ ๆ ก็พวกนายเล่นทำตัวเหมือนจะแยกกันไปนอนคู่ใครคู่มันนี่หว่า ฉันก็เลยเก๊กต่อไม่ไหวน่ะสิ”
เวทิตสารภาพออกมาตามตรง ทำให้เจตต์ทั้งฉุนทั้งสงสารเพื่อนสนิท แล้วจึงรับปากว่า หากต้องย้ายเข้าไปนอนในห้องจริง ยังไงเขาก็จะพ่วงเวทิตเข้าไปด้วยกันแน่นอน
หลังจากพูดคุยตกลงกับเวทิตเรียบร้อย เจตต์ก็เดินตรงไปเคาะประตูห้องเอริคเบา ๆ
“คุณเอริคครับ...เอ่อ...ผมเข้าไปได้ไหมครับ”
“...เชิญ”
ข้างในเงียบไปสักพัก ก่อนที่คำตอบรับสั้น ๆ จะดังขึ้น ทำให้เด็กหนุ่มใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ และพอเปิดประตูเข้าไปเขาก็ต้องหลุดอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเอริคซึ่งลุกขึ้นมายืนรออยู่หน้าประตูดึงแขนเขา พลางรวบร่างที่เสียหลักเข้าไปกอดแน่น และก่อนจะถูกกอดจนหายใจไม่ออก เจตต์ก็รีบดันอีกฝ่ายให้ห่างกายแล้วถามขึ้นเสียก่อน
“คะ...คุณเอริค...อะไรกันครับเนี่ย”
“ก็เธอปล่อยให้ฉันรอนานเสียจนฉันคิดว่า เธอจะโกรธที่ฉันมัดมือชกเรื่องกระเป๋าเสื้อผ้านั่นน่ะสิ”
เอริคสารภาพตามตรง ทำให้เจตต์ชะงัก ก่อนจะหลุดยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่าย
“ผมไม่โกรธคุณเรื่องนั้นหรอกครับ...เอ่อ...และจริง ๆ แล้ว ถึงจะจัดห้องให้คู่กัน ผมก็ไม่ว่าอะไร...จะมีก็แต่...เอ่อ...รู้สึกเขินมากกว่า ก็เท่านั้น”
เพราะค่อนข้างเข้าใจดีว่า คนที่เขารัก เป็นคนตรงไปตรงมา จริงใจ และอ่อนไหวในเรื่องความรักเป็นพิเศษ จึงทำให้เจตต์ยอมข่มความอายและบอกความในใจออกไป เพื่อไม่ให้เอริคต้องเข้าใจผิด และอยากให้อีกฝ่ายเชื่อใจและมั่นใจในความรักที่เขามีตอบด้วยนั่นเอง
“เจ...ที่รัก...ฉันรักเธอนะ”
เอริครับรู้ถึงความจริงใจที่มีให้ตนผ่านคำพูด สีหน้า และแววตาของเด็กหนุ่ม เขาไม่รู้จะตอบแทนยังไงให้สมกับความรู้สึกนั้น จึงทำได้เพียงบอกรักออกไป หากแต่เจตต์ก็ยังคงยิ้มเขินตอบรับเขา และกอดตอบเขาหลวม ๆ ซึ่งก็สร้างความสุขใจให้กับเอริคยิ่งนัก
พวกเขายืนกอดกันอยู่เช่นนั้นพักใหญ่ จนกระทั่งเสียงเคาะประตูของใครบางคนดังขึ้น จึงทำให้ทั้งคู่ผละจากกัน และพอหันมามองต้นเสียง ก็เห็นเวทิตเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้
“ง่า...พอดี ผมเห็นต่างคนต่างแยกเข้าห้องกันไปเสียนาน เลยรู้สึกโหวง ๆ เอ๊ย! รู้สึกเหงานิดหน่อยน่ะครับ ...อีกอย่างมันก็เย็นมากแล้ว แถมบนเขานี่ก็มืดเร็วเสียด้วยสิ แหะ ๆ”
เจตต์มองเพื่อนสนิทของตนก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายมาขัดจังหวะเพราะอะไร ทางด้านเอริคนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองคนรักพร้อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเราไปตามทุกคนไปกินข้าวเย็นดีกว่า ขืนปล่อยแบบนี้ กว่าจะได้กินก็คงจะค่ำแน่”
เจตต์หน้าแดงวาบ ส่วนเวทิตหัวเราะแห้ง ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยู่คนเดียวท่ามกลางห้องรับแขกกว้างขวางวังเวงแบบนั้น เขาก็คงไม่คิดจะเสียมารยาทมาขัดจังหวะคู่รักแต่ละคู่เป็นแน่ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างต้องทนกลัวอยู่คนเดียวล่ะก็ เขายอมถูกเบื่อหน้าจากพวกคนรักของเพื่อนเสียจะดีกว่าล่ะนะ
... TBC ...
-
:o8: ขอบคุณค่ะ
-
:กอด1: :mc4: ชอบตอนนี้อ่ะน่ารักดี
-
อ่านทันแล้ววว
เป็นเรื่องที่สนุกมากค่ะ ไม่มีดราม่า ชอบมากกกกกก o13
อยากอ่านต่ออีกมากๆเลยค่ะ
-
:jul3: :jul3: :jul3: :jul3: :jul3: สงสารต้นนะ..อย่างนี้ต้องหาคู่ให้ต้นแล้วล่ะนะ.. :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:
-
น่ารักกกกกกกกกกกกกกก :-[ :-[
เมื่อไหร่คู่ของเวทิตจะออกมาน๊า :hao6: :hao6:
จะได้ไม่ต้องไปค่อยขัดคู่อื่นเค้า หุๆๆๆ :hao7: :hao7:
-
แอร้ยยยยยยยยย น่ารัก
เมื่อไหร่ต้นจะมีแฟนคร้า มีหนุ่มล่ำๆให้ต้นซูกตอนกลัวผีมั้ย อิอิ :hao3:
-
คุณเอริค กรี๊ดดดดดดดดดด แบบ... เจที่รัก
เจที่รัก ง่ะ เขิน ม้วนตัวๆ :-[
ตาต้นเอ้ย นายมีจุดอ่อนแล้ว ไม่รอดแน่ๆ กร๊าก
น่าแกล้งมากอ่ะ :laugh:
ขอบคุณคนแต่งค่ะ LOVE LOVE :L2:
-
:pig4: :pig4:
-
ตอนที่ 11
ค่ำวันนั้นหลังจากที่ทานอาหารมื้อเย็นกันเรียบร้อย แต่ละคนก็มารวมตัวกันที่ห้องรับแขก ทางด้านเจตต์ที่กินมื้อเย็นจนอิ่มก็เริ่มหาวออกมา ทำให้เอริคที่มองอยู่อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยถามอีกฝ่าย
“ง่วงแล้วหรือ...จะไปนอนที่ห้องฉันก่อนก็ได้นะ”
เจตต์สะดุ้งก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ แล้วสั่นศีรษะไปมา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมแค่อิ่มนิดหน่อย ถ้าง่วงจริง ๆ เดี๋ยวผมฟังไปหลับไปแถวนี้ก็ได้ครับ แหะ ๆ”
เอริคถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ขยับไปนั่งใกล้แล้วโน้มศีรษะของเด็กหนุ่มให้มาซบพิงกับไหล่ของตน
“ถ้าอย่างนั้นก็หลับพิงไหล่ฉันไปแล้วกัน หรือถ้าไม่ถนัดก็จะนอนตักแทนก็ได้นะ”
ชายหนุ่มบอกอย่างอ่อนโยน ทำให้เจตต์หน้าแดงวาบด้วยความเขิน ส่วนคนอื่นที่อยู่ด้วยต่างพากันทำเป็นเมินไม่ใส่ใจความหวานของทั้งคู่ แล้วสนทนากันต่อไป ซึ่งก็ทำให้เจตต์รู้สึกโล่งอก เพราะถ้าเขาโดนล้อตอนนี้ เขาก็คงทำตัวไม่ถูกเป็นแน่
“อืม...จะว่าไปตอนนี้กลุ่มของพวกเรา คนที่โสดก็เหลือแต่น้องต้นคนเดียวแล้วสินะครับ”
รวีเปลี่ยนเรื่องสนทนาจากกำหนดการท่องเที่ยววันรุ่งขึ้น เป็นเรื่องของความรักแทน ทำเอาเวทิตถึงกับชะงัก ก่อนจะยิ้มตอบกลับไป
“ง่า...ก็คงงั้นครับ แต่ผมเองก็โอเคนะ ยังไม่เหงาอะไรเท่าไหร่”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากรวีทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ เพราะแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคนรักนั้นไม่เคยคิดกับเวทิตเกินเพื่อน หากแต่เพราะความสนิทสนมที่ทั้งคู่มีต่อกัน ก็ทำให้รวีเกิดอาการหึงหวงและเกรงว่ามิตรภาพมันจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักเข้าให้สักวัน แต่หากเวทิตมีคนรักเป็นของตัวเอง เขาก็คงจะพอลดความกังวลลงไปได้บ้าง
“เอ่อ...แล้วสเป็คที่น้องต้นชอบล่ะครับ เป็นแบบไหน”
คำถามถัดมาทำให้เวทิตขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะนึกเอะใจบางอย่าง เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ ก่อนจะตอบคำถามนั้น
“จะว่าไปแล้วผมก็ไม่มีรสนิยมตายตัวหรอกครับ ถ้านิสัยเข้ากันพอได้ ก็คบกันได้แล้ว อืม...จริง ๆ ถ้าให้เลือกล่ะก็ นิสัยแบบฟ้านี่ล่ะครับถูกใจที่สุด ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ถ้านิสัยเหมือนหมอนี่ผมว่าผมยอมรับได้สบาย ๆ เลยล่ะ”
รวีสะดุ้งโหยงแล้วจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ทำเอาเวหาที่มองอยู่ต้องถอนหายใจแผ่วเบา มองเพื่อนก็พอจะรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มแกล้งตอบหาเรื่องแหย่ให้คนรักของเขาเกิดความหึงหวงเข้าอีกจนได้
“ต้น...”
เวทิตหันมายิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ ให้เพื่อนสนิท ก่อนจะยักไหล่นิด ๆ แล้วหันไปทางรวีอีกครั้ง
“ผมล้อเล่นน่า! พี่ซันนี่ล่ะก็หึงหวงพร่ำเพรื่อเสียจริงเลย”
“ล้อเล่น...จริง ๆ หรือครับ”
รวียังไม่หายระแวง ทำเอาเวหาที่มองอยู่ลอบถอนหายใจ แล้วเรียกชื่อคนรักเบา ๆ
“พี่ซันครับ”
เวหาเรียกชื่ออีกฝ่าย พลางจ้องแบบดุ ๆ ไม่จริงจังนัก แต่นั่นก็ทำให้รวีที่กำลังเขม่นใส่เวทิตสะดุ้งโหยง แล้วหันมายิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้
“แหม...ก็น้องต้นเขาล้อเล่นเสียเหมือนจริง พี่ก็เลยระแวงนี่ครับ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยครับ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าฟ้ากับต้นเป็นแค่เพื่อนกัน ทำไมถึงไม่เชื่อใจกันบ้างเลย... นายก็เหมือนกันนะต้น ถ้าไม่เลิกแหย่ให้พี่ซันหึงอีก ฉันจะให้มีนกับเจไปนอนที่อื่นแล้วทิ้งให้นายนอนห้องรับแขกคนเดียวด้วย!”
เวทิตที่กำลังยิ้ม ๆ สะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบโวยวายตามมาอย่างลืมตัว
“เหวอ! ไม่เอานะฟ้า! ฉันไม่นอนคนเดียวเด็ดขาด!”
พอโวยวายออกไป เจ้าตัวก็ชะงัก ก่อนจะกระแอมเบา ๆ เรียกฟอร์มกลับมาแล้วพูดต่อ
“ง่า...เอาเป็นว่าฉันขอโทษที่แกล้งแหย่เรื่องนายแล้วกัน ...แต่ฉันก็แค่ขำพี่ซันนี่นา ตัวเองก็ทั้งหล่อทั้งรวย จะมาหึงหวงอะไรกับคนอย่างฉัน เฮ้อ...ไม่เข้าใจจริง ๆ เลยน้า”
ท้ายประโยคเจ้าตัวทำเป็นสั่นศีรษะไปมาแถมยังปรายสายตาไปยักคิ้วให้กับเจตต์ที่นั่งอยู่อีกที่ สร้างความหมั่นไส้ให้กับทั้งเวหาและเจตต์ที่มองอยู่ และเริ่มคิดตรงกันว่าควรจะหาคู่ให้กับเวทิตบ้างได้แล้ว เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องโดนล้อเลียนหรือแกล้งแหย่เอาฝ่ายเดียวแบบนี้
“แล้วตอนน้องต้นมีแฟน น้องต้นไม่เคยหึงหวงแฟนบ้างเลยหรือครับ”
รวีที่รู้สึกเสียหน้านิด ๆ เอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ ทำให้เวหาต้องหันไปมองคนรัก แล้วแอบลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา
“หืม...ไม่นี่ครับ เพราะผมเชื่อใจเขา แถมเอาจริง ๆ แล้ว ผมกลับต้องคอยรำคาญเพราะเรื่องหึงหวงไม่เป็นเรื่องอยู่เสมอจากเขานี่ล่ะครับ”
เวทิตบอกอย่างเบื่อหน่ายเมื่อนึกถึงอดีตคนรัก ทำให้รวีชะงักก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงคอ เลิกถามต่อ เพราะเหมือนมันจะเข้าตัวเองแทนเสียแล้ว ทว่าอาการของรวีที่เกิดขึ้นนั้นก็เผอิญอยู่ในสายตาของเวทิตพอดี เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยกับอีกฝ่าย
“พี่ซันไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกครับ พี่ซันน่ะถึงจะแสดงท่าทางหึงหวงฟ้าให้ผมเห็นเสมอ แต่พี่ซันก็ยังยอมรับฟังทุกถ้อยคำที่ฟ้าพูด และก็ยังไม่ทำตัวดื้อรั้นหัวชนฝาไม่ยอมฟังอะไรเลยเหมือนกับแฟนเก่าของผมเป็น ...ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ผมน่ะอิจฉาฟ้ามากเลยนะ ที่ได้แฟนแบบพี่ซันน่ะ”
คำพูดจากใจจริงของเวทิตทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ แล้วจึงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของแต่ละคน โดยเฉพาะรวีที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรตามมา ทว่าเวทิตกลับดักคอไว้ก่อนคล้ายรู้ทัน
“ง่า...ถ้าพี่ซันจะแนะนำญาติพี่น้องคนใดคนหนึ่งให้ล่ะก็ ผมขอไว้ดีกว่าครับ...ถึงจะอิจฉาฟ้าก็จริง แต่ผมคงรับมือกับญาติพี่ลำบากแน่ ผมยังความอดทนสูงไม่พอเท่าเพื่อน ๆ ของผมน่ะครับ”
เวทิตบอกแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ทำเอาเมฆาหันไปกลั้นหัวเราะ มีนาลอบถอนหายใจ เจตต์กับเวหาฝืนยิ้มรับ ส่วนรวีกับเอริคนั้นมีสีหน้าพิลึก แต่ทั้งสองก็ไม่กล้าจะย้อนถามให้เด็กหนุ่มอธิบายให้กระจ่าง เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะหลุดคำพูดที่ฟังแล้วแสนจะแสลงหูมากไปกว่านั้นนั่นเอง
หลังจากนัดแนะโปรแกรมท่องเที่ยวกันเป็นที่เรียบร้อย พวกหนุ่ม ๆ ก็ถูกไล่ให้ไปนอนในห้องพักโดยที่ต่างก็ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ทว่าเพราะคนรักของแต่ละคนยอมตามไปส่งให้ถึงหน้าห้อง จึงทำให้บรรดาชายหนุ่มยอมกลับเข้าห้องพักไปโดยไม่มีปัญหาตามมา
“ไง ต้น...อ้าว! เจยังไม่กลับอีกเหรอ”
เวหาที่ลงจากชั้นสองมาพร้อมมีนาเอ่ยทัก ซึ่งเวทิตก็ชี้นิ้วโป้งไปที่ห้องของเอริค แล้วยักไหล่นิด ๆ
“เห็นยืนคุยกันอยู่ดี ๆ ก็โดนดึงเข้าห้องไป ยังไม่รู้เลยว่าจะออกมาตอนไหน... นี่ถ้าพวกนายยังไม่ลงมาอีก ฉันจะลองด้านหน้าเสี่ยงไปเคาะประตูเรียกแล้วล่ะ บ้านในป่าในเขานี่เวลาค่ำมันวังเวงพิกล”
เวหากับมีนาหัวเราะเบา ๆ เพราะเวทิตนั้นแสดงออกให้เห็นอย่างไม่คิดจะรักษาฟอร์มต่อหน้าพวกเขา ว่ากลัวผีมากเพียงใด ทว่าพอคุยกันอีกสักพัก เจตต์ก็เปิดประตูห้องแล้วเดินหน้าแดงออกมา ส่วนเอริคก็ยิ้มน้อย ๆ ทักทายพวกเขาก่อนจะปิดประตูห้องนอนของตน
“ไงเพื่อน นึกว่าคืนนี้จะเปลี่ยนใจค้างห้องโน้นเสียแล้ว”
เวทิตทักทายทันทีที่เจตต์เดินมาถึง ทางด้านเจตต์บ่นอุบอิบใส่เพื่อนสนิท แล้วทรุดกายลงนั่งบนเบาะนอนที่ปูเอาไว้เรียบร้อย
“เกือบจะไม่ได้ออกมาเหมือนกัน...คนอะไรไม่รู้ทั้งอ้อนทั้งตื๊อเก่งเป็นบ้า...นี่ถ้าไม่คบกันก็คงไม่รู้หรอก...”
เจตต์เงียบไปแล้วหน้าแดงวาบ เพราะคนทำตัวเคร่งขรึมเย็นชาอย่างเอริค เวลาหวานใส่เขาก็ช่างแสนจะน่ารัก และยังชวนให้เขาใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เห...คุณเอริคอ้อนใส่นี่นะ อยากเห็นชะมัดเลยว่ะ!”
เวทิตพูดขึ้นด้วยสีหน้าสนอกสนใจจนเจตต์สะดุ้ง แล้วจึงมองเพื่อนด้วยสายตาจ้องเขม็งอย่างลืมตัว ทำเอาเวทิตนิ่งอึ้ง ก่อนจะหลุดหัวเราะลั่นอย่างห้ามไม่อยู่
“ฮ่า ๆ ๆ ให้ตายเถอะเจ! นี่นายหึงฉันเหรอ! โอ๊ย...ไม่อยากเชื่อเลยว่ะเพื่อน ว่านายจะขี้หึงกับเขาเหมือนกัน!”
“หุบปากไปเลยไอ้เพื่อนบ้า! เลิกหัวเราะได้แล้ว!”
เจตต์ที่อายจนหน้าแดงก่ำ คว้าหมอนมาตีใส่เวทิตแรง ๆ ด้วยความเขินปนฉุน ซึ่งเวทิตก็หลบแล้วหยิบหมอนตัวเองมาสู้ ทะเลาะกันไป ๆ มา ๆ ก็พลาดไปโดนพวกเวหากับมีนาที่นั่งดูอยู่ จนสุดท้ายก็กลายเป็นสงครามหมอนในห้องรับแขก โดยมีหนุ่ม ๆ ออกจากห้องมาแอบดูบ้าง ยืนดูตรง ๆ บ้าง อย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งสงครามจบลง พวกเด็ก ๆ ก็ล้มตัวนอนพักอย่างอ่อนเพลีย ส่วนบรรดาผู้ใหญ่ก็แยกย้ายกันกลับเข้าไปนอนตามเดิม
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นนอนกันอย่างสดชื่น แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำตามห้องของคนรักตน ยกเว้นเวทิตที่ยึดห้องน้ำของห้องรับแขกใช้คนเดียวอย่างสบายใจไม่มีใครคิดแย่ง
“ถ้าอย่างนั้นตามกำหนดเดิมของเรา ก็คือเดินลุยป่าไปในช่วงเช้า แล้วไปกินข้าวกลางวันกันที่น้ำตก เราจะเล่นน้ำและออกเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณนั้น ในเวลาที่เหมาะสมไม่ช้าไม่เร็วเกินไปนัก เพราะหากช้าเกินไปจะกลับค่ำเอา ถึงเราจะมีคนนำทางที่ชำนาญก็ตาม แต่พวกเราไม่ได้ชำนาญด้วย เพราะอย่างนั้นกลับตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินมันน่าจะดีกว่า
รวีสรุปโปรแกรมการท่องเที่ยวของวันนี้ให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้งหลังจากที่ต่างทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย ทางด้านเจตต์นั้นใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่แทบตลอดเวลา สาเหตุแรกก็เพราะเขาจะได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่ซึ่งตนชอบ และสาเหตุของการอารมณ์ดีอีกอย่างก็คือ เขาเพิ่งจะได้รับของสำคัญจากเอริคมาเมื่อเช้าหนึ่งชิ้น
...ย้อนไปเมื่อตอนเช้าหลังจากที่เจตต์นั้นอาบน้ำแต่งตัวออกมาเสร็จ เอริคที่นั่งรอคอยอยู่บนเตียงจู่ ๆ ก็เรียกเขาเข้ามา ก่อนจะถอดสร้อยไม้กางเขนที่ห้อยคออยู่ มันเป็นสร้อยไม้กางเขนสีเงินเรียบ ๆ ไม่ได้สลักหรือประดับด้วยอัญมณีมีค่าอันใด แถมยังดูเหมือนจะผ่านเวลาการใช้งานมานานแล้วด้วย
“ของเก่าน่ะ...ชอบไหม ฉันให้”
เอริคถามเรียบ ๆ ทำให้เจตต์ที่กำลังจ้องมองไม้กางเขนอยู่สะดุ้ง ก่อนจะนิ่วหน้าแล้วย้อนถามกลับไป
“เอ่อ...จะดีหรือครับ”
เอริคที่ได้ยินคำถามนั้นชะงักเล็กน้อย ใบหน้าขรึมลง ก่อนจะยิ้มเศร้า ๆ อย่างน่าประหลาด
“ถ้าไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไรหรอก...จริงสิ...แล้วอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมล่ะ อย่างแหวน นาฬิกา หรือพวกสร้อยเพชรอะไรแบบนั้น”
ท้ายประโยคชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้ากลับมายิ้มน้อย ๆ ทว่าเจตต์ก็พอมองออกว่าเอริคนั้นฝืนยิ้ม และที่สำคัญเขายังคาใจสีหน้าเมื่อครู่ของอีกฝ่ายอยู่ไม่หาย ซึ่งเขามั่นใจว่ามันน่าจะเกี่ยวกับสร้อยไม้กางเขนที่เจ้าตัวตั้งใจให้เขานั่นแน่
“เอ่อ...ที่ผมถามคุณก่อนหน้านั้น ไม่ใช่ว่าเพราะไม่อยากได้สร้อยของคุณหรอกนะครับ...”
เอริคจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะหลุดถามออกมา
“แล้วทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”
“ก็...” เจตต์ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วตัดสินใจพูดออกมาตามที่ใจคิด
“ก็คุณบอกว่ามันเป็นของเก่า และคุณยังใส่ติดตัวอยู่ตลอดแบบนั้น แสดงว่าต้องเป็นของสำคัญมาก...แล้วของสำคัญแบบนั้น คุณจะยกให้คนอย่างผม...เอ่อ คือมันทำให้ผมเกรงใจและกลัวว่าจะรักษามันได้ไม่ดีเท่ากับคุณน่ะสิครับ”
เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เขาเอื้อมมือไปดึงแขนของเจตต์ให้เข้ามาใกล้ตัวก่อนจะกอดร่างของเด็กหนุ่มแน่นจนเจตต์ตกใจ ทว่าสักพักเอริคก็คลายอ้อมกอดออก แล้วยกร่างโปร่งของอีกฝ่ายให้มานั่งตักของตนอย่างไม่ลำบากอะไรนัก
“สร้อยนี้ฉันได้จากยายของฉัน ตอนฉันไปเยี่ยมท่าน ตอนนั้นท่านอายุมากแล้ว ท่านถอดมันให้ฉัน แล้วบอกว่าสร้อยนี้ท่านเคยให้คุณตาตอนไปรบและคุณตาก็กลับมาอย่างปลอดภัย...ตอนนี้คุณตาเสียไปแล้วด้วยโรคชรา ท่านก็เลยยกมันให้ฉันเก็บไว้แทน”
พอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็เบิกตากว้าง เขามองเอริคที่สวมสร้อยใส่คอของเขาอย่างลำบากใจ ทว่าเอริคนั้นกลับส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขาแทน แล้วจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องในอดีตให้เขาฟังต่อ
“จริง ๆ ฉันเคยคิดจะยกสร้อยเส้นนี้ให้กับแฟนเก่าของฉัน แต่เขาไม่ต้องการ...ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เล่าความสำคัญของมันให้เขาฟัง เพราะเขาปฏิเสธเสียก่อน ...เขาบอกว่ามันเก่า อยากได้เส้นใหม่มากกว่า...และพอเธอทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ ฉันก็เลยกลัวว่าเธอจะแอบคิดเหมือนเขายังไงล่ะ”
เจตต์นิ่งอึ้ง มองสร้อยกางเขนที่คอของตน ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงยกแขนกอดโอบรอบคอของชายหนุ่มหลวม ๆ พร้อมกับพึมพำบอก
“ผมจะเก็บมันไว้อย่างดีที่สุดเลยครับ...ขอบคุณมากนะครับ คุณเอริค”
เอริคแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างยินดี เขากอดร่างบนตักพร้อมกับกระซิบถ้อยคำตอบกลับไป
“ฉันก็ขอบคุณมากนะเจ...ฉันดีใจ ที่ครั้งนี้ ฉันเลือกรักคนไม่ผิดอีกแล้ว”
เจตต์ยิ้มรับ เขาค่อย ๆ คลายอ้อมแขนที่โอบกอดรอบลำคอนั้นออก ทว่าเอริคเองกลับยังไม่ยอมคลายอ้อมกอดของตน และยังกอดร่างของเด็กหนุ่มอยู่อีกสักพักจนเจตต์ต้องอ้อนขอ
“ปล่อยเถอะครับ...เดี๋ยวเกิดออกไปช้า พวกนั้นจะสงสัยเอา”
“ใครจะสงสัยอะไรได้...คู่รักอยู่ด้วยกันตามลำพัง ก็ต้องใช้เวลาตามประสาคู่รักเป็นธรรมดาน่ะสิ”
เอริคตอบหน้าตาเฉย แถมยังเริ่มลูบไล้ไปทั่วตัวคนรัก แล้วหอมไปทั่วเท่าที่เขาจะหอมได้
“คะ...คุณเอริคครับ”
“หือ...ทำไมหรือ”
เอริคแกล้งถามคนที่ร้องขอตน ทำเอาเจตต์ต้องเผลอทำหน้ามุ่ยอย่างนึกหมั่นไส้
“หึ ๆ โกรธหรือ...”
ใบหน้าคมเข้มถามพร้อมรอยยิ้มกระเซ้า ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกเขินขึ้นมาแทน
“มะ...ไม่ได้โกรธหรอกครับ...แต่ว่า...”
“หรือว่าจะเขิน หือ...”
คำถามกระซิบพร้อมกับริมฝีปากที่งับใบหูของตนเล่น ทำเอาเจตต์สะดุ้งเฮือก หน้าแดงก่ำ เสียจนคนมองเริ่มชักจะทนไม่ไหวขึ้นมาจริง ๆ
“ให้ตายเถอะ...เธอนี่มันน่ารักจริง ๆ เลยนะเจ ...เอาล่ะ คราวนี้จะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้”
เอริคบอกแล้วก้มลงหอมแก้มของเด็กหนุ่มคนรักฟอดใหญ่ จากนั้นจึงอุ้มเจตต์ลงจากตัก แล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องพร้อม ๆ กัน...
ภาพใบหน้าเขิน ๆ และมือที่เผลอกุมตำแหน่งสร้อยไม้กางเขนที่สวมอยู่ ทำให้เอริคที่หันไปเห็นต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ทำให้รวีที่เหลือบไปเห็นปฏิกิริยาของลูกพี่ลูกน้อง ต้องแอบเดินมากระซิบถามอย่างสงสัย
“อารมณ์ดีเชียว มีอะไรดี ๆ อย่างนั้นหรือไง”
“ฉันแน่ใจตัวเองแล้วล่ะซัน ...ว่าฉันคิดไม่ผิด ที่เลือกรักเด็กคนนี้”
รวีเลิกคิ้วก่อนจะอมยิ้มนิด ๆ แล้วตอบกลับ
“มันแน่อยู่แล้ว ก็เขาเป็นเพื่อนกับน้องฟ้าของฉัน ก็ต้องเป็นคนดีเหมือนกันอยู่แล้วล่ะ”
เอริคหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่สำหรับรวีแล้ว เวหาก็ยังเป็นที่หนึ่งสำหรับเจ้าตัวเสมอในทุกด้าน
“...หลังจากนี้ ถ้าครอบครัวของเขากลับมาจากต่างประเทศ ฉันคิดว่าจะลองเข้าไปคุยและขอลูกชายของพวกเขาอย่างเป็นทางการสักที”
เอริคเอ่ยตามมาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น ซึ่งพอได้ฟังรวีก็ยักไหล่ แล้วตบบ่าญาติของตนเบา ๆ
“ดีแล้วล่ะ เราต้องแสดงความจริงใจให้ครอบครัวของเขาเห็น อ้อ! แล้วถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกฉันได้เสมอเลยนะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”
“หึ...จะได้กำจัดคนที่อาจจะเป็นคู่แข่งตัวเองในอนาคตไปด้วยใช่ไหมล่ะ”
เอริคย้อนเข้าให้ ทำเอารวีชะงัก พลางบ่นอุบอิบตามมา
“ก็ใช่น่ะสิ! พักหลัง ๆ นี่น้องฟ้าชอบชมนายให้ฉันฟังตลอด...ฉันก็ชักไม่สบอารมณ์เหมือนกันนะ แต่ถ้านายเป็นฝั่งเป็นฝากับน้องเจไปเรียบร้อย ฉันก็จะได้สบายใจได้มากกว่าเก่ายังไงล่ะ!”
รวีพูดออกมาตรง ๆ โดยไม่คิดปิดบัง ทำให้เอริคสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา เพราะถึงเขาจะหึงหวงคนที่ตนรักสักเพียงใด แต่ก็ยังคงไม่เท่ากับที่รวีเป็นอยู่นั่นเอง
“ซัน! มาทางนี้หน่อย เจ้าหน้าที่เขาถามว่าเราอยากเที่ยวถ้ำด้วยไหม แถวนั้นมีถ้ำสวย ๆ อยู่ด้วย ถ้าเราอยากเที่ยวถ้ำ เขาจะจัดโปรแกรมเดินทางให้เราใหม่น่ะ”
เสียงของเมฆาที่แว่วขัดขึ้น ทำให้รวีชะงัก ก่อนจะรีบเดินตามไปสมทบ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คน ที่ต่างพากันตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าพวกตนอาจจะได้ไปท่องเที่ยวสำรวจถ้ำเข้าให้อีกด้วย
… TBC …
อีกตอนสองตอนก็น่าจะจบสำหรับคู่นี้ค่ะ ...กำลัง ๆ คิดคู่ของน้องต้นอยู่เหมือนกัน
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างไหม ถ้ามีก็อาจจะออกในรูปแบบตอนพิเศษมากกว่าตอนยาวค่ะ ^^"
-
:mew1: เอาใจช่วยคนเขียนค่ะ
น้องเจน่ารักจัง คุณเอริคอดทนอีกนิดนะ ไว้ไปขอกับพ่อแม่เขาก่อน
คู่น้องต้น หุหุ รอค่ะ น่าสนุก อยากเห็นน้องมีคู่ :กอด1: :กอด1:
-
มารูปแบบไหนก็จะติดตามไม่ห่างค่ะ
จะตอนพิเศษ ใส่ไข่ เพิ่มลูกชิ้น อะไรก็จัดมาาาาาา พร้อมตาม! อิอิ
พี่ซันจัดการเลยค่า พ่อสื่อนัมเบอร์วัน
พี่แกรุ่งเรื่องกำจัดคู่แข่ง (ที่พี่แกคิดไปเอง) ด้วยการหาคู่ให้คู่แข่งจริงๆ :laugh:
เทพกว่าพี่มีอีกม้ายยยยยยย :laugh:
ดีใจที่เอริคสมหวังอ่ะ คิดแล้วสมน้ำหน้าแฟนเก่าเอริคมากมาย
ขอบคุณที่นอกใจเอริคให้เอริคมารักกับเจตต์ได้
คู่นี้เขาเหมาะสมกันทีซู้ดดดดด
เจตต์คู่ควรกับการถูกรักมาก น้องน่ารัก :-[
คุณเอริคก็สมควรได้เจอคนที่ดีๆ แบบน้อง
:hao5: ซึ้งอ่ะพูดเลย ฉากที่มอบสร้อยให้
ว่าแต่น้องต้น วาจาเชือดเฉือนมากบทนี้ พี่ซันถึงกับเงิบ :laugh:
เจอพี่แกกับพ้องเพื่อนหาคู่ให้ละจะหนาว แซวเขานัก 555
-
น่ารักกกกกกกกกกกกกกก
ชอบๆๆๆ
มาต่ออีกเร็วๆน๊า
-
สวีทหวานกันเป็นคู่เลย แบบนี้ น้องต้น ไม่อิจฉาแย่หรอ
555
-
สวัสดีค่ะ ^^ กลับมาแปะต่อแล้วนะคะ พอดีท้องเสียไปสองวัน เลยต้องพักผ่อนยาว น้ำหนักลดไปตั้ง 2 โลแน่ะ ...ตอนนี้กลับมาแข็งแรงหิวโหย(?) เหมือนเดิมแล้วค่ะ ^^ เลยเอาตอน 12 มาแปะให้อ่านกันนี่ล่ะค่ะ
ตอนที่ 12
ทางเดินที่ค่อนข้างลื่นทำให้แต่ละคนพากันเดินด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทว่าธรรมชาติและความร่มเย็นของผืนป่า ก็ทำให้พวกเขารู้สึกสดชื่นและไม่รู้สึกลำบากในการเดินทางครั้งนี้เกินไปนัก ใช้เวลากว่าชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงน้ำตกขนาดกลางแห่งหนึ่ง แม้จะมีเพียงสามชั้น แต่แอ่งน้ำก็กว้าง แถมน้ำยังใส น่าเล่นเป็นอย่างมาก
“น้ำตกที่ฟ้าพาไปเที่ยวก็ว่าสวยแล้วนะ แต่ที่นี่ก็สวยไม่แพ้กันเลยล่ะ”
เจตต์เอ่ยชมหลังจากที่พวกเขามาถึงจุดหมายแรกของการเดินทางในวันนี้
“น้ำตกตรงจุดนี้ เดินเข้าลำบากสักหน่อยน่ะครับ พวกที่มากันแบบครอบครัวก็เลยไม่ค่อยสนใจ มีแต่พวกวัยรุ่นกับพวกที่ตั้งใจมาเดินป่า ถึงจะมาเที่ยวกัน”
เจ้าหน้าที่ซึ่งนำทางทุกคนมายังที่นี่อธิบายให้ฟัง ซึ่งพวกหนุ่ม ๆ ก็พยักหน้ารับรู้ และต่างพากันหาที่เหมาะ ๆ เพื่อวางของและเล่นน้ำตามกำหนดการที่ตั้งใจไว้
“งวดนี้มีนเตรียมมาพร้อม ไม่ว่าจะเป็นกล่องปฐมพยาบาล ยาสามัญประจำบ้าน พวกพี่บาดเจ็บกันได้ไม่ต้องห่วงเลยนะ!”
มีนาที่รับหน้าที่เฝ้าของตามเดิมบอกกับทุกคนเสียงใส ทำให้แต่ละคนยิ้มเจื่อนบ้าง ทำตาปริบ ๆ บ้าง เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มจึงหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดตามมา
“มีนล้อเล่นน่ะ เล่นน้ำกันให้ระวังแล้วกันนะครับ”
จากนั้นมีนาก็นำขนมและอาหารออกมาวาง และชวนเจ้าหน้าที่ให้มานั่งพักกินขนมด้วยกัน เพราะกว่าพวกพี่ชายของเขาจะเล่นน้ำกันจนหนำใจก็น่าจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงแน่
ทางด้านเอริคนั้นทีแรกชายหนุ่มก็จะไม่ลงเล่นน้ำกับคนอื่น ๆ ทว่าพอเจตต์ลองอ้อนขอร้อง ชายหนุ่มจึงยอมใจอ่อนลงเล่นกับอีกฝ่าย โดยเขาตัดสินใจถอดเสื้อลงเล่น เพราะไม่ได้นำเสื้อมาเปลี่ยนเช่นคนอื่น ทว่ากล้ามอกที่เพิ่งเคยได้เห็นก็ทำให้เจตต์ถึงกับหน้าแดงวาบด้วยความเขิน ทั้งที่มองผู้ชายคนอื่นเปลือยเขายังรู้สึกเฉย ๆ แถมบางทียังแหยง ๆ ด้วยซ้ำไป
“เห...จ้องซิคแพคคุณเอริคเขาใหญ่เชียวนะนาย...ชอบล่ะสิ”
เวทิตเดินมากระซิบแซว ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง แล้วหันมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนอย่างฉุนปนเขิน
“ไอ้บ้า! พูดซะยังกับฉันเป็นพวกโรคจิตไปได้!”
“ฮะ ๆ ไม่ได้ว่านายโรคจิตสักหน่อย ...คนเป็นแฟนกันก็อยากจะดูร่างเปลือยของกันและกัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ เอาเถอะ...ฉันเข้าใจ”
เวทิตพูดพลางพยักหน้าหงึกหงักไปพลาง ทำให้เจตต์ยิ่งฉุนที่ถูกแซวเลยแกล้งผลักอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ริมตลิ่งตกน้ำลงไปโครมใหญ่
“หนอย! ลอบโจมตีรึไงไอ้เพื่อนบ้า!”
เวทิตที่โผล่พรวดมาจากน้ำโวยวาย ทางด้านเจตต์นั้นหัวเราะอย่างสะใจ ก่อนจะร้องอุทานลั่นเมื่อเขาถูกอีกฝ่ายดึงขาและลากตกน้ำโครมกันไปด้วยกัน
“หึ ๆ พอเห็นแบบนี้ แล้วยังเด็กกันจริงเลยนะพวกนั้น”
รวีที่มองอยู่ห่าง ๆ เอ่ยขึ้นอย่างนึกขำ ทว่าเอริคกลับขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะหึงหวง หากแต่เมื่อครู่นั้นถ้าทั้งสองคนเล่นกันแรงไปกว่านี้ ไม่ใครก็ใครคงเกิดอุบัติเหตุเข้าให้ไปแล้ว
“ไม่เอาน่าเอริค เด็กผู้ชายก็แบบนี้ล่ะ เมื่อก่อนทั้งนายและฉันก็เล่นอะไรกันแผลง ๆ กว่านี้ตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง!”
รวีที่อ่านสีหน้านั้นออกตบบ่าอีกฝ่าย ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นเวหากำลังจ้องที่แผ่นหลังของเอริคนิ่ง
“น้องฟ้าจ้องหมอนี่ทำไมกันครับ หรือว่าจะสนใจหมอนี่มากกว่าพี่”
รวีเริ่มถามอย่างหึงหวงทำให้เวหาถอนหายใจแล้วเขม็งตาดุใส่ จนรวีต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อน แล้วเงียบไม่กล้าถามอะไรอีก เด็กหนุ่มจึงหันไปทางเอริคแล้วเอ่ยถาม
“...นั่นใช่แผลเป็นที่เคยเล่าหรือครับ”
แผลรอยของมีคมกรีดลากยาวแลดูน่ากลัว แต่ก็ดูเด่นสะดุดตาเมื่อประดับอยู่บนแผ่นหลังของอีกฝ่าย เอริคมองคนถาม แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ
“ใช่...แผลใหญ่มากใช่ไหมล่ะ”
เวหาพยักหน้าหงึกหงัก เขาแทบไม่อยากจะจินตนาการถึงตอนได้รับแผลใหม่ ๆ เลยว่า เอริคนั้นจะเจ็บมากเพียงใด แล้วจึงหันไปมองรวี ก่อนจะพึมพำบอกกับคนรักตน
“ถ้ามีอะไรอันตรายเกิดขึ้นกับฟ้า พี่ซันต้องอย่ามัวแต่ปกป้องฟ้า จนลืมดูแลตัวเองนะครับ...เพราะถ้าพี่ซันต้องเป็นอะไรไป ต่อให้ฟ้าปลอดภัย ฟ้าก็ไม่ดีใจหรอกนะครับ”
คำพูดของเวหาทำให้ทั้งรวีกับเอริคนิ่งอึ้ง รวีนั้นยิ้มอ่อนโยนให้คนรักแล้วจึงเอ่ยตามมาแผ่วเบา
“พี่สัญญาครับ พี่จะดูแลทั้งตัวเองและน้องฟ้า จะไม่ยอมให้น้องฟ้าต้องเสียใจเพราะพี่เด็ดขาด”
พอได้ยินดังนั้น เวหาก็ยิ้มตอบคนรักด้วยความยินดี ส่วนทางด้านเอริคเขาเหลือบไปมองทางเจตต์ที่กำลังคุยกับเวทิตอยู่ในน้ำ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา
ก่อนหน้าที่จะมาเจอเจตต์นั้น เอริคได้มอบความรักและปกป้องดูแลอดีตแฟนของเขาราวไข่ในหิน ไม่ยอมให้อีกฝ่ายต้องพบกับความเจ็บปวดหรือลำบากใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มาวันนี้เขากลับเริ่มได้คิดแล้วว่า บางทีการที่เขาเลือกทำแบบนั้น มันอาจจะทำให้อดีตแฟนของเขาอึดอัดและโหยหาอิสระ โดยเลือกที่จะทรยศไปคบกับคนอื่นที่ทำให้เจ้าตัวได้ใช้ชีวิตตามใจอย่างที่อยากเป็นแทนก็ได้
อีกด้านหนึ่งระหว่างที่พวกรวีคุยกันอยู่ เจตต์ที่กำลังเล่นน้ำกับเวทิตแล้วหันมาเห็นด้านหลังของเอริคเข้าให้พอดี เจ้าตัวก็ถึงกับชะงักนิ่ง ทำให้เวทิตแปลกใจแล้วหันไปมองตามเพื่อน ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เมื่อหันกลับมาเห็นสีหน้าเศร้า ๆ ของเพื่อนสนิท
“ไม่เอาน่า...อดีตก็คืออดีต ยังไงเราก็ย้อนไปเปลี่ยนไม่ได้อยู่แล้ว”
“ฉันไม่เข้าใจ...ทั้งที่คุณเอริครักเขากระทั่งยอมเสี่ยงชีวิตปกป้องเขาถึงขนาดนี้ เขายังทรยศคุณเอริคได้”
เจตต์บอกอย่างนึกเจ็บใจอดีตแฟนของคนรัก ทว่าเวทิตก็ตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ
“ถ้ามันไม่เกิดเรื่องพวกนั้น ป่านนี้นายกับเขาก็คงไม่มาเจอกันได้หรอก...คิดเสียว่ามันเป็นเรื่องของพรหมลิขิตก็แล้วกันนะ อีกอย่างถ้านายคิดว่าแฟนเก่าคุณเอริคเขาทำไม่ดี นายก็อย่าไปเจริญรอยตามเขาก็แล้วกัน”
เจตต์เม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงมีรอยยิ้มให้ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ
“อืม! ฉันจะไม่มีวันหักหลังหรือทรยศเขาแบบนั้นแน่ ...ขอบใจมากนะต้น”
ท้ายประโยคเด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณเพื่อนสนิท ที่มักจะคอยช่วยพูดเตือนสติ และปลอบยามเขามีเรื่องทุกข์ใจเสมอ
เสียงคนลงน้ำทำให้เวทิตกับเจตต์ที่กำลังคุยติดพันหันกลับไปมอง แล้วก็เป็นเจตต์ที่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นเอริคลงว่ายน้ำแล้วตรงเข้ามาหาเขา
“อ้าว! คุณเอริค กำลังคุยกับเจอยู่เลยครับว่า คุณไม่ยอมลงน้ำมาสักที สงสัยจะกลัวว่ายน้ำสู้พวกผมไม่ไหว!”
เวทิตแสร้งทักออกไปทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง พลางหันขวับมามองเพื่อนสนิทอย่างนึกฉุน
“หือ...ฉันนี่นะ จะสู้พวกเธอไม่ไหว ลองว่ายแข่งกันสักหน่อยไหมล่ะ”
คนพูดถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ใบหน้านั้นไม่ได้ดูดุหรือขุ่นเคืองอะไร ตรงกันข้ามนัยน์ตาคมเข้มนั้นมีประกายสนุกอย่างที่ยากจะได้เห็นอีกด้วยซ้ำ
“เอ๋! เอางั้นหรือครับ ...งั้นผมเป็นกรรมการเองแล้วกัน เจ! นายลุยเลย ใครแพ้ต้องยอมทำตามที่คนชนะสั่ง 1 อย่างนะครับ!”
เวทิตนั้นตัดบทสรุปเอาเองจนคนอื่น ๆ เงียบกริบ ก่อนที่จะมีรอยยิ้มถูกใจน้อย ๆ ประดับบนใบหน้าของเอริค ส่วนเจตต์นั้นอ้าปากเหวอเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะหาเรื่องมาโยนให้เขาแบบนี้
“พร้อมหรือยังล่ะเจ ...ฉันรออยู่นะ”
เอริคหันไปถามคนรักที่ยังมีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่เช่นนั้น ทางด้านเจตต์พอได้ยินเจ้าตัวก็หันไปยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะถึงจะปฏิเสธตอนนี้ก็คงโดนเวทิตหาเรื่องอื่นแกล้งเข้าให้อีกแน่
“ก็ได้ครับ...”
เอริคอมยิ้ม เขามองดูก็รู้แล้วว่าเจตต์นั้นไม่เต็มใจ แต่เงื่อนไขของเวทิตก็ทำให้เขานึกสนุกขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
“เอาล่ะ! ว่ายจากจุดนี้ไปแตะก้อนหินตรงโน้นนะครับ! ฟ้ากับพี่ซันช่วยดูตรงจุดเส้นชัยให้ด้วยนะครับ!”
เวทิตตะโกนบอกอีกสองคนที่ยืนอยู่บนฝั่ง ทางด้านเวหาและรวีโบกมือและตอบรับเป็นอย่างดี เมื่อเห็นเช่นนั้นเวทิตจึงให้เอริคและเจตต์ประจำที่ให้เรียบร้อย
“ห้ามออมมือกันนะเจ ว่ายให้เต็มที่เลยล่ะ”
เอริคหันไปบอกคนรัก ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งนิด ๆ ทว่าสักพักเด็กหนุ่มก็มีรอยยิ้มให้อีกฝ่าย
“ครับ! ผมจะว่ายให้สุดฝีมือเลย!”
เอริคยิ้มน้อย ๆ ตอบ และหันไปด้านหน้ารอสัญญาณปล่อยตัว ท่าทางเตรียมพร้อมของชายหนุ่มทำให้ แต่ละคนยกเว้นรวีถึงกับต้องขมวดคิ้ว เพราะดูมีรูปแบบและบ่งบอกให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นน่าจะเคยฝึกว่ายน้ำแบบมาตรฐานมาก่อน
“หมอนั่นก็นี่นะ...จะบอกน้องเจก่อนสักนิดก็ไม่ได้ว่า ตัวเองเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาลัย”
คำพูดของรวีทำให้เวหาที่อยู่ข้าง ๆ ตกใจ ก่อนจะหันมามองเพื่อนแล้วลอบถอนหายใจเบา ๆ
“เอาล่ะ! ระวัง ...เตรียมตัว...ไป!”
เสียงของเวทิตให้สัญญาณการแข่งขัน เอริคโผนำไปก่อน เขาว่ายท่าฟรีสไตล์นำไปอย่างไม่รีบเร่งนัก ส่วนเจตต์นั้นรีบจ้วงมือตีขาว่ายตามอย่างรีบร้อน และก็เป็นตามคาดเอริคเป็นฝ่ายถึงฝั่งก่อนเป็นช่วงตัว ทำให้เจตต์ที่เพิ่งมาถึงบ่นปนหอบ
“คุณเอริคเก่งจัง...ไม่รู้ว่าเก่งขนาดนี้นี่ครับ...รู้งี้ไม่แข่งด้วยก็ดีหรอก”
เอริคมองคนที่ทั้งชมทั้งบ่นเขาอย่างนึกขำ เจ้าตัวชะโงกหน้าไปหอมแก้มเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู ทำเอาเจตต์ตัวแข็งทื่ออย่างตกใจ ส่วนคนอื่นพากันยิ้มแห้งแล้วสั่นศีรษะไปมา ยกเว้นก็แต่รวีที่รู้สึกอิจฉาญาติของตน ที่สามารถแสดงความรักได้ตลอดแบบนี้ เพราะถ้าเป็นเขาขืนลองทำบ้าง คงจะโดนเวหางอนเข้าให้เป็นแน่
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่ารางวัลของคนชนะเป็นโมฆะดีไหมล่ะ”
เอริคบอกกับเจตต์ ซึ่งเด็กหนุ่มก็สะดุ้งโหยงเพราะเพิ่งนึกถึงเรื่องของรางวัลก่อนหน้านั้นได้
“ง่า...คือ...”
เจตต์นิ่งคิดหนักอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจตามมา
“ไม่เป็นไรครับ กฎก็ต้องเป็นกฎ ...เพียงแต่...”
เด็กหนุ่มเว้นวรรค แล้วมีสีหน้าแดงระเรื่อให้เห็น
“เอ่อ...แค่อย่าขออะไรที่ทำยากเกินไปก็พอครับ”
เอริคนิ่งอึ้ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจับโยกศีรษะของเด็กหนุ่มไปมาอย่างเอ็นดู ภาพที่เห็นทำให้รวีซึ่งมองอยู่อมยิ้ม และคิดในใจว่า ถ้าพ่อของเขาและครอบครัวของเอริคมาอยู่ที่นี่ด้วย ก็คงจะมีความสุขที่ได้เห็นชายหนุ่มมีรอยยิ้มกลับคืนมาอีกครั้ง
“เอ๋...พี่ซันทำอะไรน่ะครับ”
เวหาหันไปถามเมื่อเห็นคนรักหยิบมือถือมาถ่ายคลิปคนที่ตอนนี้กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ด้านล่าง ซึ่งรวีพอได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มให้กับอีกฝ่าย พร้อมกับตอบออกไปตามตรง
“พี่จะส่งคลิปให้คนทางบ้านหมอนั่นน่ะครับ ...แล้วก็จะแถมคำพูดไปอีกหน่อยว่า ตอนนี้หมอนั่นเหลือแค่เรื่องเข้าหาทางครอบครัวของน้องเจ...ถ้าทำสำเร็จ สองคนนี้ก็คงคบหากันได้อย่างไร้อุปสรรค...ซึ่งพี่เชื่อว่าถ้าทางบ้านหมอนั่นเห็นคลิปนี้เข้า พวกเขาคงจะรู้กันเองว่าจะทำอย่างไรต่อไปน่ะครับ”
รวีบอกโดยเก็บประเด็นสำคัญที่ว่า ถ้าเอริคกับเจตต์คบหากันอย่างเป็นทางการได้เมื่อไหร่ ก็เท่ากับเขากำจัดคู่แข่งไปได้ถึงสองคนเลยทีเดียว
ส่วนทางด้านเวหา พอได้ยินเช่นนั้นเจ้าตัวก็ขมวดคิ้วนิด ๆ เพราะไม่ค่อยแน่ใจว่าทางครอบครัวของเอริคคิดจะทำอะไร แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่า ทางนั้นคงจะไม่ทำให้คนรักและครอบครัวของลูกชายต้องพบกับความลำบากใจเป็นแน่
หลังจากเล่นน้ำกันสักพัก ทั้งหมดก็นั่งแวะทานอาหารที่เตรียมมา และเมื่ออิ่มหนำสำราญดี พวกเขาก็ช่วยกันเก็บเศษอาหารใส่ถุงดำที่เตรียมไว้ แล้วออกเดินทางกันต่อ เพื่อที่จะไปเที่ยวถ้ำซึ่งเดินห่างไปอีกไม่ไกลมากนัก ทว่าเพราะทางเดินในป่าที่ค่อนข้างลำบากก็ทำให้เสียเวลาเดินทางกันเป็นชั่วโมงอยู่ดี
“เฮ้อ...ถึงสักที เหนื่อยชะมัด”
เจตต์บ่นพร้อมหอบ ระหว่างทางเขาก็เหนื่อยจนเผลอเดินเซออกเส้นทางไป ทำเอาโดนกิ่งไม้เกี่ยวขูดขีดตามตัวหลายแห่ง จนเอริคที่เดินตามห่าง ๆ ต้องคอยประกบติดอีกฝ่ายตลอดในช่วงหลัง ด้วยความเป็นห่วง
“เห็นไหมล่ะ เวลาชวนออกกำลังกายก็ไม่ค่อยจะสน”
เวทิตเปรยแหย่เพื่อนสนิท ซึ่งเจตต์ก็ทำปากหมุบหมิบใส่อีกฝ่ายแทน ทั้งนี้เพราะเขาเห็นมีนาที่อายุน้อยและยังตัวเล็กสุดในกลุ่มยังเดินมาได้สบาย ๆ โดยไม่บ่นอะไร จึงทำให้เจตต์ไม่กล้าโวยวายให้เสียหน้าไปกว่านี้
“ไว้กลับไป เดี๋ยวจะพาเข้าฟิสเนตบ่อย ๆ ดีไหม”
เอริคบอกกับเด็กหนุ่มซึ่งเจตต์ก็ชะงัก ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักค่อย ๆ เพราะแม้จะไม่ชอบออกกำลังกายนัก แต่ถ้ามีเอริคออกกำลังกายเป็นเพื่อนก็คงจะดี
“จะพักกันก่อนไหมล่ะครับ ทางเดินเข้าถ้ำช่วงแรกจะค่อนข้างยาว เดินยาก แล้วก็อากาศไม่ถ่ายเทเท่าไหร่ด้วย”
เจ้าหน้าที่นำเที่ยวเสนอความเห็นเพราะเป็นห่วง เนื่องจากดูสภาพของเจตต์แล้ว คงจะเดินกันต่อเลยลำบากแน่
“ง่า...ไม่เป็นไรครับ ผมยังไหวอยู่”
เจตต์ที่ไม่อยากให้เขาเป็นตัวถ่วงการเดินทางรีบบอก เพราะลำพังแค่ต้องชะลอฝีเท้าการเดินเพื่อรอเขาที่รั้งท้าย ก็เสียเวลาการเดินทางมาที่นี่มากแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกเจ พักสักครึ่งชั่วโมงก็คงไม่มีปัญหาอะไร อย่างดีก็แค่กลับช้าไปหน่อยเท่านั้น”
เอริคให้เหตุผลซึ่งแต่ละคนก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย ยกเว้นคนเดียวที่รู้นิสัยคนขี้เกรงใจตรงหน้าเป็นอย่างดี
“พักน่ะดีแล้ว ดีกว่าฝืนเดินแล้วไปหมดแรงข้างในถ้ำ มันจะลำบากคนอื่นเขาด้วยนะ”
เวทิตบอกเสริม ทำให้เจตต์กลืนน้ำลายลงคอ แล้วจึงพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี ทำให้คนอื่นพากันโล่งอกแล้วจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัยกันชั่วคราว
“เข้าใจพูดดีนะต้น กำลังคิดอยู่เลยว่าเจคงจะไม่ยอมฟังง่าย ๆ แน่”
เวหาคุยกับเวทิตที่แยกมานั่งกับตน ส่วนเจตต์นั้นกำลังนั่งคุยกับเอริคห่างออกไป ทางด้านเวทิตพอได้ยินคำพูดของเพื่อนเขาก็หัวเราะเบา ๆ แล้วยักคิ้วส่งให้
“ให้มันรู้เสียบ้าง ว่าใครเป็นใคร ตำแหน่งเพื่อนสนิทของทั้งนายและเจน่ะ ไม่ได้มาเพราะคบกันนานเฉย ๆ นา”
“เออ! รู้แล้วน่า คุณเพื่อนสนิทสุดเลิฟ!”
เวหาบอกตอบอย่างนึกขำ จนลืมไปว่าคนรักขี้หึงนั้นนั่งอยู่ข้าง ๆ ตน และอีกฝ่ายก็เริ่มคิดได้แล้วว่า ศัตรูหัวใจที่ควรจะกำจัดโดยการหาคู่ให้อย่างเร่งด่วนตอนนี้ ไม่ใช่แค่พวกเอริคเสียแล้ว
หลังจากพักมาได้สักระยะ เจตต์ก็รู้สึกดีขึ้น และพอเริ่มเดินทางเข้าถ้ำ เด็กหนุ่มก็คิดว่าดีแล้วที่เลือกพักก่อนหน้านั้น เพราะทางเดินเข้าด้านในแม้จะกว้างพอประมาณและเดินไม่ยากนัก แต่อากาศก็ค่อนข้างเบาบางและร้อนอบอยู่ไม่น้อย
“ไหวไหมเจ...ถ้าไม่ไหว เราออกไปก่อนก็ได้นะ”
เอริคที่เดินรั้งท้ายเด็กหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง ทว่าเจตต์นั้นสั่นศีรษะแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรครับ พอได้พักเมื่อครู่ก็เลยมีแรงเดินได้สบาย ๆ เลยครับ”
“อดทนเดินร้อน ๆ กันไปอีกสักพักนะครับ ด้านในถ้ำจะกว้างกว่านี้ แถมยังมีลมพัดผ่าน อากาศโปร่งสบายด้วยครับ”
เจ้าหน้าที่นำเที่ยวหันมาบอกกับทุกคน ทำให้แต่ละคนที่ได้ยินล้วนยิ้มออก และยังเร่งฝีเท้าเดินกันไวขึ้นอย่างไม่รู้ตัวอีกต่างหาก
ห้องโถงใหญ่ของถ้ำที่เจ้าหน้าที่บอกนั้น นอกจากจะมีอากาศปลอดโปร่ง ลมพัดสบายแล้ว ยังมีหินงอกหินย้อยสวยงามสมบูรณ์มากมาย ทั้งนี้เพราะเจ้าหน้าที่อธิบายว่าทางเดินมายังถ้ำนั้นค่อนข้างลำบาก จึงมีคนเข้ามาเที่ยวที่นี่น้อย หาไม่แล้วก็อาจจะมีพวกมือบอนเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับสถานที่แห่งนี้เข้าก็ได้
“เดี๋ยวถ่ายรูปกันอีกสักพัก ค่อยเดินย้อนออกไปทางหน้าถ้ำนะครับ จริง ๆ ผมอยากพาไปทางออกอีกทาง แต่ทางนั้นมันค่อนข้างสมบุกสมบัน และมีปีนป่ายกันมากสักหน่อย ซึ่งมันจะเหมาะกับพวกที่ค่อนข้างชอบผจญภัยและเตรียมตัวกันมาพร้อมมากกว่าน่ะครับ”
เจตต์พอได้ฟังก็ทำหน้าเจื่อน เขาภาวนาว่าไม่ให้มีใครในกลุ่มคิดอยากจะผจญภัยขึ้นมา ซึ่งก็เป็นที่โชคดีที่บรรดาหนุ่ม ๆ แต่ละคนนั้นก็ล้วนเป็นพวกห่วงใยดูแลคนรักเป็นพิเศษ รายการผจญภัยนอกโปรแกรมที่เวทิตกับเวหาแอบสนใจจึงถูกเมินเฉยไปโดยปริยายนั่นเอง...
... TBC ...
-
:pig4: :L1:
ขอบคุณค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ อากาศแปรปรวนมากๆเลย แถมอาหารเสียง่ายมาก
-
o13 o13 o13 ฮั่นแน่..ซันจะหาคู่ให้ต้นละ.. o13 o13 o13
-
ขอบคุณคับบบบบบบ
อยากอ่านต่อแย้วววววววววววววว
-
ตอนที่ 13
ขากลับออกมาจากถ้ำ มีเรื่องให้ต้องตื่นเต้นตกใจกันเล็กน้อย เมื่อเจตต์ที่เดินรั้งท้ายกับเอริคเกิดร้องโวยวายขึ้นมาเพราะคิดว่ามีใครดึงเสื้อเอาไว้ ทำเอาเวทิตที่กลัวผีอยู่แล้วสะดุ้งโหยงและเผลอหันไปกอดเวหาที่อยู่ใกล้เสียแน่น จนรวีต้องมาจับทั้งคู่แยกจากกันด้วยความหึง ลงท้ายรวีก็เลยกลายเป็นฝ่ายโดนเด็กหนุ่มกอดหมับไม่ยอมปล่อยแทน เพราะเวหานั้นไม่คิดจะช่วยแยกหรือปลอบให้เพื่อนใจเย็นลงแต่อย่างใด เพื่อเป็นการแก้เผ็ดคนรักที่ชอบขี้หึงเสมอนั่นเอง
ส่วนทางด้านเจตต์ จริง ๆ แล้วไม่ได้มีใครมาดึงเสื้ออะไรทั้งสิ้น เพราะเด็กหนุ่มนั้นเหนื่อยจึงยืนพิงผนังถ้ำชั่วครู่ แต่พอจะเดินต่อคอเสื้อของเขาก็ดันไปเกี่ยวติดแง่งหินแถวนั้น เลยกลายเป็นเด็กหนุ่มคิดว่ามีคนมาดึงคอเสื้อเขาเอาไว้นั่นเอง
และกว่าจะแก้ไขการเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น ก็เป็นเวลาชั่วครู่ใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งโชคดีของพวกเขาที่เจ้าหน้าที่นำทางนั้นเป็นคนใจเย็น อารมณ์ดี จึงไม่ได้มีอาการฉุนเฉียวอะไร มิหนำซ้ำยังเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านั้นลูกทัวร์ที่เข้ามาเที่ยวถ้ำ ยังเคยมีคนร้องว่าถูกผีจับขา ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่ถูกรากไม้เกี่ยวเอาเท่านั้นเอง
“วู้! ในที่สุดก็ได้เจอแสงสว่างสักที!”
เจตต์ที่ออกมารั้งท้ายพร้อมเอริค ตะโกนขึ้นอย่างยินดี ทำให้คนอื่น ๆ หันมามองเขาอย่างนึกขำ ยกเว้นเวทิตที่เขม่นใส่เพื่อนสนิท เพราะเจ้าตัวนั้นรู้สึกเสียหน้าหนักที่เผลอไปกอดทั้งเวหาและรวีเข้า จนตั้งใจว่าคราวหน้าถ้าจะมาถ้ำ จะไม่เข้าพร้อมกับเจตต์อีกแล้ว
“เหนื่อยแต่ก็สนุกดีนะครับงานนี้”
เวหาบอกพร้อมยิ้มกว้างส่งให้รวี ซึ่งอีกฝ่ายนั้นยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรู้ดีว่าคนรักนั้นตั้งใจพูดถึงเรื่องราวในถ้ำ ที่เขาดันเผลอหลุดอาการหึงหวงออกไปนั่นเอง
“ถ้าใครยังไม่เหนื่อยมาก เลยตรงนี้ไปไม่ไกลจะมีพวกกล้วยไม้ป่ากำลังบานสวยเลยครับ ถ้าสนใจอยากถ่ายรูปเดี๋ยวผมจะพาไป”
เจ้าหน้าที่นำเที่ยวเสนอความเห็น ทำเอาแต่ละคนหันไปมอง แล้วพากันพยักหน้าหงึกหงักตามมา โดยเฉพาะมีนาที่ชอบพวกดอกไม้และของสวยงามอยู่แล้ว รีบดึงแขนเสื้อเมฆาให้รีบเก็บข้าวของที่วางไว้ จนชายหนุ่มต้องอมยิ้มเลยทีเดียว
ระหว่างการเดินทางไปชมกล้วยไม้ป่าที่อยู่ไม่ห่างจากทางเข้าถ้ำเท่าใดนัก เจตต์ก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเขาเผลอลูบสร้อยที่หน้าอกตามปกติ ทว่ากลับไม่พบมันห้อยอยู่ที่เดิม
‘บ้าน่า! หายไปไหนกัน!’
เจตต์คิดในใจอย่างตื่นตระหนก ทีแรกเขาตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับเอริค ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อดันคิดไปเองว่า ชายหนุ่มอาจจะไม่พอใจที่เขาดันทำของสำคัญตกหายเช่นนี้
‘คิดดี ๆ เข้าสิเจ! ก่อนจะเข้าถ้ำก็ยังอยู่เลยไม่ใช่หรือไง!’
เจตต์คิดในใจอย่างร้อนรน แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ เมื่อหวนถึงเหตุการณ์บางอย่างก่อนหน้านั้น
‘ต้องใช่ตอนนั้นแน่ ๆ ...เอาไงดี...แอบไปเอาเงียบ ๆ ดีไหมหว่า...ถ้ำก็อยู่แค่ตรงนี้เองด้วย’
เด็กหนุ่มนิ่งคิด เขาเดินก้มหน้าไปเงียบ ๆ จนเอริคแปลกใจ ทว่าชายหนุ่มนั้นคิดว่าบางทีเจตต์คงจะเหนื่อยนั่นเอง
“ไหวไหม...ถ้าไม่อยากเดินเราก็นั่งพักกันอยู่แถวนี้รอพวกเขาก็ได้”
เจตต์ชะงัก ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วสั่นหน้าปฏิเสธ เพราะถ้าเขาขอพัก เอริคก็คงเสนอตัวอยู่เป็นเพื่อน และเขาก็คงจะหาเรื่องปลีกตัวกลับไปหาสร้อยได้ยากเป็นแน่
“อืม...งั้นเธอก็เดินช้า ๆ ไม่ต้องรีบร้อนนักตามพวกนั้นไปหรอก เห็นเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าไม่ไกลเท่าไหร่นี่”
เอริคบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ยิ่งทำให้เจตต์รู้สึกผิด และตั้งใจปิดเป็นความลับไม่คิดจะให้เอริครู้เรื่องสร้อยเด็ดขาด
เดินกันไปอีกไม่ถึงห้านาที พวกเขาก็พบเจอดอกกล้วยไม้ป่ามากมายที่เกาะเกี่ยวต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นอาศัยออกดอกบานสวยสะพรั่ง และมีสีสันสดใสแตกต่างกันออกไปตามชนิดพันธุ์ ภาพที่เห็นล้วนสร้างความประทับใจและตื่นตะลึงให้กับคณะเดินป่าในครั้งนี้นัก
“สวยจริง ๆ แม่ผมชอบกล้วยไม้มาก เลี้ยงเอาไว้หลายต้น ...แต่กล้วยไม้ป่าพวกนี้สวยกว่ากล้วยไม้เลี้ยงที่เคยได้เห็นหลายเท่า ...คงเป็นเพราะมันสามารถเติบโตในธรรมชาติ อย่างที่ควรจะเป็นล่ะนะครับ”
เวทิตพึมพำแผ่วเบา เขาอยากเอื้อมมือไปสัมผัสกลีบดอกสดใสตรงหน้า แต่รู้ดีว่ามันมีค่าและบอบบางสักเพียงใด เด็กหนุ่มจึงได้แต่หยิบมือถือมาซูมถ่ายรูปเก็บไว้ดูแทน คนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นจึงพากันแยกย้ายไปถ่ายรูปเก็บคนละมุมอย่างเพลิดเพลิน จนไม่ทันสังเกตว่า หนึ่งในพวกเขาได้หายตัวไปจากบริเวณนั้นเรียบร้อย
เมื่อได้ถ่ายรูปเก็บจนพอใจ แต่ละคนก็หันกลับมาพูดคุยแลกเปลี่ยนรูปภาพที่ตนได้ถ่ายกันให้คนอื่นดู และนั่นจึงทำให้ทุกคนเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
“เจหายไปไหน...”
เอริคถามคนอื่น ๆ อย่างร้อนรน ซึ่งแต่ละคนก็สั่นศีรษะและเริ่มหน้าซีด ทางเจ้าหน้าที่นำเที่ยวรีบบอกให้ทุกคนใจเย็น ๆ และย้อนถามไปก่อนหน้านั้นว่ามีใครได้เห็นเจตต์ครั้งสุดท้ายเมื่อใด
“พอมาถึงที่นี่ตอนแรก เจก็ยังอยู่ด้วยกัน แต่พอเริ่มแยกย้ายกันถ่ายรูป ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”
เวทิตบอกเจ้าหน้าที่นำเที่ยว ซึ่งอีกฝ่ายก็ถอนหายใจแผ่วเบา เพราะเขาเองก็ดันประมาท มัวแต่อธิบายถึงเรื่องชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้ให้กับพวกมีนาที่สนใจฟัง จึงทำให้ไม่ทันได้สังเกตคนรอบตัวเช่นนี้
“ผมว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ ...อา จริงสิ ลองโทรหาน้องเจดูสิครับ ว่าอยู่ไหนกัน”
รวีรีบพูดขึ้นเพื่อให้ทุกคนคลายกังวลและมีสติ ซึ่งพอได้ยินรวีพูด เวทิตก็รีบโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันที ทว่าปลายสายกลับไม่มีสัญญาณตอบรับ ทำให้เด็กหนุ่มต้องนิ่วหน้า แล้วพึมพำไปมาอย่างร้อนใจ
“แปลกจัง ตอนเดินมาก่อนหน้านั้นผมเช็คสัญญาณมือถือ ก็ยังเห็นมีขึ้นอยู่เลย...แล้วหมอนั่นไปอยู่ที่ไหนกัน ...หรือจะไปอยู่ในจุดอับสัญญาณกันแน่”
ทุกคนนิ่งคิด ทางด้านเอริคนั้นแทบอยากจะรื้อป่าหาเด็กหนุ่มเสียเดี๋ยวนั้น เพราะกลัวว่าเจตต์จะพลัดหลงทางไป ทว่าเขาก็ต้องสงบสติอารมณ์ช่วยทุกคนคิด เพื่อที่จะได้ค้นหาเจตต์ให้ได้ไวขึ้น
“อับสัญญาณ...อ๊ะ หรือว่าจะเป็นแถวถ้ำกันครับ?”
เจ้าหน้าที่นำเที่ยวเอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้แต่ละคนเริ่มเห็นด้วย และมีบางคนสงสัยว่าเจตต์จะกลับเข้าไปในถ้ำทำไม
“น้องเจอาจจะมีเหตุผลของเขาก็ได้ แต่ทางที่ดีเราตามไปที่ถ้ำกันดีกว่า”
รวีสรุปตัดบท ทว่าเจ้าหน้าที่นำเที่ยวกลับแย้งขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวครับ ถ้าเกิดเราตามไปที่ถ้ำทั้งหมด แล้วน้องเขาเดินย้อนมารวมตัวกับเราจากทางอื่นแทนล่ะครับ จะกลายเป็นคลาดกันเสียเปล่า ๆ นะครับ”
แต่ละคนต่างชะงัก และเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย
“จริงอย่างที่คุณเจ้าหน้าที่บอก ถ้าอย่างนั้นน้องมีนกับเมฆ น้องฟ้าแล้วก็น้องต้นอยู่รอแถวนี้ ฉัน เอริค แล้วก็คุณเจ้าหน้าที่ จะไปตามหาน้องเจที่ถ้ำเอง”
รวีสรุปและแบ่งกลุ่มให้โดยไม่ต้องรอให้ใครเสนอ จากนั้นเขาก็บอกทุกคนว่า ใครที่เจอเจตต์ก่อนก็ให้โทรหากันได้เลย หรือถ้าโทรไม่ติดก็ให้เคลื่อนพลมารวมกันหน้าปากถ้ำรอไว้อย่าได้แยกย้ายกันไปค้นหาโดยเด็ดขาด
อีกด้านหนึ่งภายในถ้ำ เจตต์ที่รีบเร่งฝีเท้าวิ่งมาหาของ และตั้งใจว่าจะกลับไปรวมตัวให้ทันกับเพื่อน ๆ ในภายหลัง ก็ต้องพบกับอุบัติเหตุสะดุดลื่นล้มจนข้อเท้าพลิก แม้จะโชคดีเจอสร้อยไม้กางเขนหล่นอยู่บริเวณที่เขาถูกแง่งหินเกี่ยวเสื้อก็ตาม แต่แผนที่ตั้งใจไว้ว่าจะรีบกลับออกไปแล้วอ้างว่าเดินหลงถ่ายรูปเพลินก็มีอันต้องล้มเหลว และกลายเป็นว่าต้องรอจนกว่าจะมีคนมาช่วยแทน เพราะนอกจากจะไม่มีสัญญาณมือถือแล้ว ตอนนี้ขนาดจะคลานออกไป เขายังเจ็บจนขยับแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“คุณเอริค...ถ้าผมบอกคุณไปตรง ๆ แต่แรกก็คงดี...ป่านนี้คุณคงจะโมโหผมแย่แล้วสินะ”
เจตต์พึมพำกับตัวเอง นึกอยากจะร้องไห้ที่ดันคิดตื้น ๆ แอบมาคนเดียวเช่นนี้ เด็กหนุ่มมั่นใจว่า ป่านนี้ทุกคนคงจะเป็นห่วงเขาและเริ่มออกตามหาเขากันแล้วก็ได้
“เจ! อยู่ไหน ได้ยินฉันไหม เจ!”
เสียงตะโกนแว่ว ๆ ที่ดังขึ้น ทำให้เจตต์นั้นชะงัก และพยายามเงี่ยหูฟังว่าเขาหูฝาดไปหรือเปล่า
“วู้! น้องเจครับ! อยู่ในนี้หรือเปล่าครับ!”
เสียงคุ้นเคยที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้เจตต์เบิกตากว้าง แล้วรีบตะโกนร้องตอบ
“ผมอยู่ในนี้ครับ! อยู่ทางนี้!”
เสียงตะโกนเงียบไป สักพักเสียงของเอริคก็ดังขึ้นมาบ้าง
“อยู่นิ่ง ๆ แถวนั้นอย่าขยับไปไหนนะเจ! เดี๋ยวพวกฉันเข้าไป!”
เจตต์ชะงักก่อนจะตะโกนตอบรับคำแล้วนั่งรอลุ้นด้วยความระทึก และเมื่อเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาพร้อมแสงไฟฉาย เจตต์ก็รีบโพล่งออกไปด้วยความยินดี
“คุณเอริคครับ! ผมอยู่ทางนี้!”
เอริคชะงักกึก เขาฉายไฟหาต้นเสียง และก็ได้เห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่กับพื้นพิงผนังถ้ำ เอริคเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ นั่งคุกเข่าลงประสานสายตายินดีของอีกฝ่าย แล้วสะบัดฝ่ามือลงบนใบหน้านั้นทันที
“คะ...คุณเอริค”
เจตต์อุทานเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ หน้าของเขาหันไปตามแรงตบของชายหนุ่ม ที่แม้จะลงมือไม่รุนแรงนัก แต่ก็ยังคงเจ็บจนน่าจะขึ้นรอยปื้นแดงในภายหลังอยู่ดี
“เด็กบ้า...เธอทำให้ฉันเกือบจะคลั่งตายแล้วรู้ไหม...ทำไมถึงแยกออกมาตามลำพังแบบนี้...ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตรายมากแค่ไหน”
เอริคบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วโอบกอดร่างของอีกฝ่ายไว้แน่น ทางด้านเจตต์พอได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นห่วง เด็กหนุ่มโอบกอดตอบคนรักแน่นไม่แพ้กัน พร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างลืมตัว
“ขอโทษครับ...คุณเอริค...ผมขอโทษ...ฮึก...”
ทางด้านรวีที่เดินตามมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่นำเที่ยว พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นรวีจึงเสนอให้ทางเจ้าหน้าที่ย้อนออกไปแจ้งพวกที่อยู่ข้างนอกให้มารวมตัวรอกันที่ปากถ้ำ ส่วนเขาจะรอทางนี้เอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็เห็นดีด้วยและแยกไปก่อน ทางรวียืนรออยู่สักพัก จนเอริคได้สติและเริ่มสอบถามว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้แยกมาลำพังเช่นนี้
“กะ...ก็ผมทำสร้อยของคุณตกไว้...ผมก็เลยย้อนมาหาน่ะครับ”
เอริคนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยิน และเริ่มฉุนเฉียวกับการตัดสินใจของเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วทำไมไม่บอกฉัน ไม่บอกกับทุกคน! แยกมาคนเดียวแบบนี้ก็น่าจะรู้ว่ามันจะทำให้ทุกคนเป็นห่วงไม่ใช่หรือไง!”
เจตต์สะดุ้งโหยง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวกับท่าทางโมโหที่เขาไม่เคยเห็นจากอีกฝ่าย ร้อนถึงรวีต้องรีบมาเป็นตัวกลางสอบถามกับเจตต์แทนญาติของตน
“เฮ้...ใจเย็น ๆ น่ะเอริค ...น้องเจครับ...แล้วทำไมน้องเจถึงไม่บอกพวกเราล่ะครับ ถ้าพวกเรารู้จะได้มาช่วยกันหาแต่แรกยังไงล่ะครับ”
เจตต์เม้มปากน้อย ๆ เขาก้มหน้าลงมองพื้น ก่อนจะอุบอิบตอบไม่เต็มเสียงนัก
“กะ...ก็ผมเพิ่งให้สัญญากับคุณเอริคว่าจะดูแลรักษาสร้อยนี่อย่างดี ...แต่ยังไม่ทันข้ามวัน ผมก็มาทำหล่นหาย ...ผมกลัวคุณเอริคจะโกรธ แล้วก็ผิดหวังในตัวผมน่ะสิครับ”
เจตต์บอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ แต่ก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ เนื่องจากไม่อยากให้เอริคหัวเสียมากไปกว่านี้
ทางด้านเอริคที่แยกไปยืนสงบสติอารมณ์ พอได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มบอก ก็ทำให้เขาถึงกับสบถบางอย่างกับตัวเองเบา ๆ ทำให้รวีที่หันไปมองต้องถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มนั้นรู้ดีว่าที่เอริคโมโหเป็นเพราะห่วงเจตต์เป็นอย่างมาก และก็ยังหงุดหงิดตัวเองที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจตต์ต้องตัดสินใจทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ด้วย
“เอาล่ะครับ พี่ว่าเราออกไปหาทุกคนข้างนอกดีกว่า ป่านนี้คงเป็นห่วงแย่แล้ว”
รวียื่นมือส่งให้เจตต์แทนญาติของเขาที่กำลังสงบสติอารมณ์ ทว่าพอเห็นเจตต์พยายามจะยันกายแล้วนิ่วหน้า เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติแล้วฉายไฟไปที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายทันที
“แย่จริง...น้องเจข้อเท้าบวมมากเลยนะครับ หกล้มมาหรือครับ”
คำถามของรวีทำให้เอริคที่ได้ยินถึงกับชะงัก แล้วรีบพรวดพราดเข้ามาดูอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“ให้ตายสิ...เจ็บหนักขนาดนี้ ทำไมไม่รีบบอกกัน”
เอริคดุแบบไม่หนักแน่นนัก เขาสัมผัสที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายแผ่วเบา ทว่านั่นก็ยังทำให้คนเจ็บสะดุ้งแล้วเม้มปากพยายามกลั้นเสียงไม่ให้หลุดร้องออกไป จนคนมองสงสาร
“เดี๋ยวฉันอุ้มเขาไปเอง นายฉายไฟนำทางให้ด้วยแล้วกัน”
เอริคหันไปบอกกับรวี แล้วช้อนร่างของเด็กหนุ่มขึ้นแนบอก ส่วนรวีก็ช่วยถือกระเป๋าของเด็กหนุ่มที่วางอยู่แล้วฉายไฟนำทางไป ระหว่างทางทั้งเอริคกับเจตต์แทบไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงรวีที่นาน ๆ ก็ชวนคนนั้นคนนี้สนทนากันสักทีเพื่อลดความเครียดที่เกิดขึ้น
เมื่อออกมาถึงปากถ้ำ แต่ละคนก็เตรียมจะมารุมซักถามเจตต์ให้หายสงสัย ทว่าพอเห็นใบหน้าขรึม ๆ ของเอริค กับใบหน้าซีด ๆ ของเจตต์แล้ว แต่ละคนก็ระงับท่าทางเอาไว้ แล้วมารุมซักถามรวีแทน ซึ่งพอได้รับคำตอบแต่ละคนก็ลอบถอนหายใจไปตาม ๆ กัน
“เฮ้อ... ผมว่าเราเดินทางกลับไปที่พักกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นค่ำเสียก่อน”
เวทิตตัดบทหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันได้สักพัก ซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วยและเริ่มต้นเดินทางกลับ โดยเจตต์นั้นเปลี่ยนเป็นขี่หลังเอริคไปแทน เนื่องจากสะดวกในการเดินมากกว่าแบบอุ้มข้างหน้านั่นเอง
การท่องเที่ยวภายในวันแรก ถ้าไม่นับเหตุการณ์วุ่นวายในช่วงหลัง ทุกคนก็ล้วนลงความเห็นว่ามันประทับใจและคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย และเพราะอาการบาดเจ็บของเจตต์ จึงทำให้โปรแกรมท่องเที่ยววันที่เหลือของเด็กหนุ่ม ต้องกลายเป็นพักผ่อนอยู่ที่รีสอร์ทกับเอริคตามลำพังแทน เนื่องจากคนอื่นต่างลงมติเห็นพ้องต้องกันตามที่รวีเสนอว่า ทิ้งทั้งสองคนให้ปรับความเข้าใจกันโดยไม่มีมือที่สามเกี่ยวข้องด้วยน่าจะดีที่สุด
“เบื่อหรือไง ...ต้องมานั่งเฝ้าบ้านอยู่กับฉันสองคนน่ะ”
เอริคถามคนที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนเหม่ออยู่บนเตียง แม้อาการข้อเท้าเคล็ดของเด็กหนุ่มจะดีขึ้นแล้ว แต่ทุกคนลงมติว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดน่าจะดีกว่า
“ปะ...เปล่าหรอกครับ”
เจตต์ตอบคำถามตะกุกตะกักแล้วก้มหน้าหลบตา เด็กหนุ่มเริ่มกลับมาแสดงท่าทางเหมือนตอนที่เจอกันใหม่ ๆ จนเอริครู้สึกแย่ เขามั่นใจว่าเรื่องที่เขาดันเผลอแสดงท่าทางโมโหออกไปมากมาย ต้องทำให้เจตต์หวาดกลัวเขาขึ้นมากกว่าเดิมแน่ แถมเมื่อวานพอตอนขากลับแม้จะให้เจตต์ขี่หลังมาตลอดทาง แต่เขากลับไม่ชวนอีกฝ่ายคุยเลยแม้แต่น้อย เพราะยังคงรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่หายนั่นเอง
“กลัวฉันหรือเจ”
คำถามถัดมาทำให้ร่างบนเตียงสะดุ้งโหยง แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะชะงักนิ่งเมื่อสบกับแววตาอมทุกข์คู่นั้นที่จ้องมองมา
“...คุณเอริค”
เอริคขยับมานั่งบนเตียงข้างอีกฝ่าย เขาเอื้อมมือมาลูบใบหน้าที่เป็นรอยปื้นแดงเพราะฝ่ามือของเขาแผ่วเบา คิ้วเรียวขมวดอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ...คงเจ็บมากใช่ไหม”
เจตต์หัวใจกระตุกวูบ รู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ขอบตา ก่อนจะสะอื้นออกมาเบา ๆ
“เจ...ที่รัก อย่าร้องไห้สิ ...ฉันขอโทษนะ ฉันผิดเอง ฉันจะไม่ทำรุนแรงกับเธออีกแล้ว ฉันสัญญา”
เอริคโอบร่างของเด็กหนุ่มมาปลอบ ทว่ายิ่งเอริคอ่อนโยนมากเท่าไร เจตต์ก็ยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก เขาได้แต่ขอโทษและกอดร่างนั้นอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเสียงสะอื้นนั้นเริ่มสงบลง
“เจ...หายโกรธฉันหรือยัง...หืม”
เอริคลูบศีรษะของคนรัก พร้อมกับจูบซับน้ำตาอีกฝ่าย ทางด้านเจตต์เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตอบออกมาเสียงแผ่วเจือสะอื้น
“ผมไม่ได้โกรธคุณ...แต่ผมกลัวคุณจะเกลียดผม...เรื่องที่ผมทำอะไรโง่ ๆ ...จนทำให้คุณโมโห...ทำให้ทุกคนเดือดร้อนไปหมด”
เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะแย้งกลับไป
“เกลียด? ฉันจะเกลียดเธอได้ยังไง ในเมื่อฉันรักเธอมาก เธอก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ”
เจตต์เงยหน้ามาสบตาคนพูดแล้วบอกเสียงสั่นกลับ
“แต่เมื่อวาน...คุณโมโหผมมาก...ขนาดตอนขากลับ...คุณยังไม่ยอมพูดอะไรกับผมเลย...ผะ...ผม ก็เลยคิดว่า...คุณจะเกลียดผม...จะเลิกรักผมแล้ว”
พอได้ฟังคำตอบเอริคก็หลุดถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เขาชะโงกหน้าไปจูบหน้าผากและแก้มของอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน
“เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะเจ...ที่ฉันไม่พูดไม่จาเมื่อวาน เป็นเพราะฉันกำลังโมโหตัวเองอยู่ต่างหาก”
เจตต์จ้องอีกฝ่าย พร้อมกับถามอย่างแปลกใจ
“โมโหตัวเอง... ทำไมล่ะครับ”
เอริคถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับยื่นมือไปลูบไล้แก้มข้างที่เป็นผื่นแดงของเด็กหนุ่มแผ่วเบา
“ก็เพราะฉันโมโหจนเผลอรุนแรงกับเธอ...ทั้งที่เธอทำไปก็เพื่อฉันน่ะสิ”
“มะ...ไม่ใช่ความผิดของคุณเอริคเลยครับ ...ระ...เรื่องนั้น...เป็นเพราะผมแยกออกมา โดยไม่บอกคนอื่นเองต่างหาก...คุณเป็นห่วงผม ก็เลยโกรธ...มันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ครับ”
เจตต์แก้ตัวแทนอีกฝ่าย ซึ่งเอริคก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับหอมแก้มเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“ใช่...เธอผิดที่แยกออกมาโดยไม่บอกใครก็จริง...แต่ถึงฉันจะเป็นห่วงเธอมากขนาดไหน ก็ไม่ควรจะเผลอลงมือไปขนาดนั้น...”
เอริคเงียบไปสักพัก แล้วจึงมองคนตรงหน้าด้วยสายตารักใคร่และหวงแหนอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“รู้ไหมเจ...เมื่อคืนนี้ฉันนอนไม่หลับเอาเสียเลย ...ฉันกลัวว่าเธอจะโกรธ จะเกลียด จะหวาดกลัวฉัน...จะเลิกรักฉัน...และหนีฉันไป”
เจตต์ที่เพิ่งได้รู้ความในใจของอีกฝ่ายและรู้สาเหตุของการเมินเฉยเมื่อวานถึงกับเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก น้ำตาที่เหือดแห้งไปเมื่อครู่ก็เริ่มกลับมารินไหลอีกครั้ง
“ผมไม่มีวันจะเกลียดหรือเลิกรักคุณง่าย ๆ หรอกครับ...ผมรักคุณนะครับ...คุณเอริค...ยิ่งนับวัน ก็ยิ่งรักคุณมากขึ้น...รัก...จนกลัวจะเสียคุณไป เพราะความงี่เง่าของตัวเอง เหมือนเรื่องเมื่อวานนี้”
เอริครั้งร่างของเด็กหนุ่มมากอดแนบอก ความกังวลใจที่เคยมีก่อนหน้าเริ่มสลายหายไปจนหมดสิ้น
“เจ...ที่รัก...ฉันดีใจนะ ที่เรายังรักกันอยู่เหมือนเดิมแบบนี้”
“ผมก็เหมือนกันครับ...คุณเอริค”
เจตต์กระซิบพร้อมโอบกอดตอบคนรัก และแม้เขาจะกำลังร้องไห้ แต่ใบหน้ายามนี้กลับมีรอยยิ้มอย่างเป็นสุขไม่แพ้กัน
… TBC …
เป็นไงคะ ใกล้จบแล้วค่ะ ที่ตั้งใจไว้คือตอนหน้าค่ะ เป็นบทสรุปน้อย ๆ หวาน ๆ ปนวุ่นวายทิ้งท้ายของเรื่องนี้
ส่วนตอนพิเศษ....คาดว่าหลายคนคงอยากจะอ่านเรื่องคู่ของนายต้นเป็นแน่ ก็รอลุ้นกันนะคะ ว่าจะได้อ่านไหม หุ ๆ
-
:-[ น่ารักมากๆเลยเจ
คุณเอริคก็จำเอาวันนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจนะคะ วันหน้าวันหลังอย่าให้น้องเจ็บตัวอีก :mew1:
-
:katai1: :katai1: :katai1: นึกว่าจะแย่ซะแล้ว..ดีนะที่เจไม่เป็นไรมาก..
-
อิคุณเอริค ตบหน้าน้องได้ไง !!! อ่านตอนแรกนี่คิดแบบนี้เลย
ดีนะว่าเฮียแกคิดเองได้ 55555 ไม่งั้นสวย :fire:
แม่ยกน้องเจตต์ :กอด1: ฮา เข้าใจว่าห่วงแต่ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงค่า
เราอนุญาตให้รุนแรงกันได้แค่บนเตียงเท่านั้น แต่คู่นี้คงไม่รุนแรงแต่จะหวานแทนสินะ
อร๊ายยย แค่คิดก็เขิน :-[ (เขายังไม่ได้ทำอะไรกันเลยนังนี่!! #ว่าตัวเอง :laugh:)
บทล่าสุดนี่ฮาน้องต้น น้องซัน กับพี่ฟ้ามาก เรานี่ฮากร๊ากกกๆๆๆ เลยค่ะ
คลิปที่ส่งไปนี่จะเป็นชนวนในเรื่องของตาต้นรึเปล่าน้า
ก็ลุ้นกันต่อไป
ขอบคุณคนแต่งค่า รักษาสุขภาพด้วยนะคะ :กอด1: :L2:
-
:pig4:
-
อ๊ายยยยยยยยยยยยยย
เขินนนนนนนนนนนนน
ชอบๆ
รอตอนต่อไปปปปปปปปปปปปป
-
ต่างคนต่างห่วงล่ะนะ
โล่งใจที่เจไม่เป็นอะไรมาก
ดีที่ได้คุยความในใจกันออกมา :hao5:
-
14 (จบ)
หลังจากกอดกันมาได้สักพัก เจตต์ก็เริ่มรู้สึกเขินขึ้นมาแล้วเริ่มขยับตัวยุกยิกในอ้อมกอดจนเอริครู้สึกตัว พลางอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะจับบ่าอีกฝ่ายดันออก แล้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเมื่อเห็นว่าหน้าตาของเด็กหนุ่มนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาเต็มไปหมด
“ร้องไห้เหมือนเด็กเลยนะเธอน่ะ”
พอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็สะดุ้งแล้วรีบใช้แขนเช็ดน้ำตาทำให้เอริคอมยิ้ม ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาเพื่อตั้งใจจะเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย ทว่าผ้าเช็ดหน้าที่เขาเก็บไว้คู่กันกลับติดมาด้วย ทำให้ชายหนุ่มชะงักมือ เช่นเดียวกับเจตต์ที่จดจำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นได้ดี
“ผ้าเช็ดหน้านั่นมัน...”
เอริคถอนหายใจเบา ๆ เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าของเด็กหนุ่มเข้ากระเป๋า และเตรียมจะใช้ผ้าเช็ดหน้าอีกผืนเช็ดหน้าอีกฝ่าย ทว่าเจตต์ที่หายตะลึงแล้วกลับรีบถามออกไปด้วยความตกใจทันที
“คุณเอริค นี่คุณเก็บผ้าเช็ดหน้าของผมไว้เองหรือครับ!”
เอริคชะงักมือที่เตรียมจะเช็ดหน้าของเด็กหนุ่ม แล้วตอบคำถามของคนที่กำลังจ้องรอคำตอบจากเขาเขม็ง
“ใช่...ก็มันเป็นของแทนตัวเธอเพียงชิ้นเดียวในตอนนั้นนี่นะ”
เจตต์หน้าแดงวาบ ทำให้คนมองอมยิ้มอย่างเอ็นดู เขาบรรจงเช็ดหน้าเช็ดตาของเด็กหนุ่มอยู่สักพัก ก่อนจะพูดต่อ
“ตอนนั้นที่เราเจอกัน ฉันเองก็ตกใจนะ ที่จู่ ๆ เธอหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดรองเท้าให้ฉัน แถมพอฉันกำลังจะบอกเธอว่าไม่เป็นไร เธอก็ดันกลัวจนวิ่งหนีฉันไปอีก...เฮ้อ”
เอริคแสร้งถอนหายใจเบา ๆ แล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคนตรงหน้า ทำเอาเจตต์นั้นยิ่งใจเต้นแรงหน้าแดงหนัก ทั้งเขินทั้งอายจนพูดอะไรไม่ถูก ใบหน้านั้นของเด็กหนุ่มช่างดูน่ารักเสียจนเอริคเองก็เริ่มห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่ไหว
“เจ...ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วสิ ขอฉันสัมผัสตัวเธอจะได้ไหม”
เจตต์หน้าแดงก่ำ ลามไปกระทั่งถึงลำคอ คำพูดนั้นทำเอาเด็กหนุ่มอายจนพูดแทบไม่ออก
“สะ...สัมผัส...หรือครับ...ตะ...แต่”
“ไม่ต้องห่วงนะ... ฉันแค่อยากสัมผัสเธอเฉย ๆ และจะพยายามไม่ล่วงเกินไปมากกว่านี้”
เอริคพึมพำพร้อมกับพลิกกายขยับเป็นขึ้นคร่อมร่างของเด็กหนุ่ม ทำเอาเจตต์สติเตลิดคิดอะไรไม่ออก ได้แต่หลับตาปี๋ยามที่ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาหาตน ก่อนจะเกิดอาการสะดุ้งโหยงทั้งเขาและเอริค เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมาจากด้านนอกบ้านพัก เอริคนั้นยันกายขึ้นนั่งบนเตียงด้วยสีหน้าหงุดหงิด สักพักเสียงฝีเท้าหลายคู่ก็เข้ามาใกล้ ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดเข้ามาโดยคนเปิดไม่คิดจะเคาะขออนุญาตแต่อย่างใด
“กลับมาแล้ว! ...อ้าว ไม่ได้ทำอะไรกันอยู่หรอกหรือเนี่ย...”
รวีบ่นพึมพำอย่างผิดหวัง ทำเอาเวหาที่เดินตามมาตีเผียะเบา ๆ เข้าที่แขนของคนรักด้วยสีหน้าเขิน ๆ
“ฟ้าบอกแล้วใช่ไหมครับ ว่าคุณเอริคเขาไม่ใช่คนหื่นเหมือนที่พี่ซันบอกสักหน่อย”
“เห...แต่พี่ว่าพี่มั่นใจนะครับ ว่าหลังจากง้องอนกันแล้ว หมอนี่ต้องจัดหนักแน่ ...ไม่น่าเดาพลาดเลยแฮะ”
รวีพึมพำก่อนจะเหลือบมองเอริคที่ตอนนี้ทำเป็นตีสีหน้าขรึมเฉยชา ทว่าเจตต์นั้นกลับกลบเกลื่อนอาการได้ไม่เก่งเท่าคนรัก เจ้าตัวยังคงหน้าแดงก่ำไม่หาย จนรวีเอะใจ ก่อนจะทำเสียงฮึมฮัมในลำคอตามมา
“อืม...แบบนี้นี่เอง รู้งี้ย่องมาเบา ๆ ดีกว่า... หึ ๆ”
เอริคเขม่นมองญาติของเขา ก่อนจะถามออกไปเสียงเข้ม
“แล้วนี่ทำไมกลับไว ไหนบอกว่าจะไปเที่ยวไร่แถวนี้ไม่ใช่หรือไง!”
รวียักไหล่พร้อมอมยิ้มวางท่า ทำให้เวหานึกหมั่นไส้ จึงเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแทน ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็ทยอยเข้ามาในห้องแล้วจับจองหาที่ยืนที่นั่งกันตามอัธยาศัย โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องอนุญาต
“พอดีพวกเราสงสารเจที่ต้องเฝ้าบ้านน่ะครับ...แล้วอีกอย่างก็เป็นห่วงด้วยว่า พวกคุณจะคืนดีกันหรือยัง ...เอ่อ...แล้วนี่คืนดีกันแล้วใช่ไหมครับ”
เวหาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงดังเช่นคำพูด ซึ่งก็ทำให้เอริคถอนหายใจแล้วมีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย
“ใช่...ฉันกับเพื่อนเธอคืนดีกันแล้ว...หรือจริง ๆ ก็คือ เราไม่ได้โกรธกันหรอก แค่แต่ละคนต่างกังวลและคิดไปเองว่าอีกฝ่ายจะโกรธตัวเองก็เท่านั้น”
เอริคบอกแล้วหันไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่มคนรักอย่างอ่อนโยน ทำให้เจตต์รู้สึกเขินมากขึ้น จนถึงกับเอาผ้าห่มคลุมโปงปิดหน้าตาเอาไว้ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในห้องกันได้ทั้งหมด และหลังจากที่เสียงหัวเราะเริ่มเบาลง รวีก็เดินไปโอบบ่าของเวหา แล้วบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เห็นไหมครับน้องฟ้า พี่ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วง ยังไงหมอนี่ก็ไม่ปล่อยให้เกิดบรรยากาศอึมครึมระหว่างตัวเองกับน้องเจนานนักหรอกครับ ขืนเป็นแบบนั้นมีหวังน้องเจได้กลัวจนแผ่นแน่บหนีกลับบ้านไปแน่”
เจตต์กับเอริคที่ถูกพาดพิงสะดุ้งเล็กน้อย ทางด้านเอริคนั้นเก๊กหน้าเคร่งขรึมทำเป็นไม่ใส่ใจ ส่วนเจตต์ที่โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มก็หน้าแดงระเรื่อและมุดลงไปหลบในผ้าห่มอีกรอบ คนอื่นก็เริ่มหัวเราะกันอีกครั้ง ทางด้านเวทิตอมยิ้มมองคนอื่นที่อยู่กันเป็นคู่ ๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นถอนหายใจออกมาแรง ๆ แล้วเอ่ยแซวขึ้นบ้าง
“เฮ้อ...ใคร ๆ เขาก็มีคู่หวานจี๋จ๋ากันหมด เหลือผมเหงาอยู่คนเดียว น่าอิจฉาจังเลยน้อ!”
ทางด้านเวหา มีนา และเจตต์ รู้สึกเขินที่ถูกอีกฝ่ายแซว โดยเฉพาะเจตต์นั้นทำปากบ่นหมุบหมิบว่าเพื่อน ทั้งที่ตัวเองก็ยังคลุมโปงอยู่
“แหม ๆ น้องต้นครับ ไม่ต้องอิจฉาไปหรอกครับ ...อีกหน่อยเดี๋ยวน้องต้นก็จะวุ่นวาย เอ๊ย จะมีคนมาคอยดูแลให้หายเหงาเองนั่นล่ะครับ”
รวีพูดขัดขึ้น ทำเอาแต่ละคนหันมามองคนพูดอย่างสงสัย โดยเฉพาะเวทิตนั้นจ้องชายหนุ่มเขม็งอย่างไม่ไว้ใจนัก
“หมายความว่ายังไงครับ พี่ซัน”
ทางด้านรวีนั้นส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบ ก่อนจะอธิบายให้ทั้งเวทิตและคนอื่นได้รับฟัง
“พอดีคลิปที่พี่ถ่ายตอนน้องเจกับเอริคเล่นน้ำกัน ดันมีน้องต้นติดไปด้วย แล้วทางหนึ่งในพี่น้องของหมอนี่ก็เกิดสนใจถามไถ่ถึงน้องต้นมายังไงล่ะครับ...เห็นว่าจะแวะมาดูตัวกันถึงที่เมืองไทยเลยด้วยนะครับเนี่ย!”
คำตอบของรวีทำเอาเวทิตนิ่งอึ้ง และพอตั้งสติได้เจ้าตัวก็รีบย้ำถามไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“นี่พี่ซันพูดจริงหรือครับ!”
“แน่นอนครับ พี่พูดจริงเสมอ”
รวียิ้มหวานรับ ขณะที่คนอื่น ๆ พากันเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออกไปตาม ๆ กัน ยกเว้นเอริคที่มีสีหน้าครุ่นคิดแล้วย้อนถามกลับไปเสียงเรียบ
“ซัน...พี่น้องของฉันที่ว่าน่ะ เป็นพี่คนไหนกันแน่”
รวีหันมายักคิ้วให้อีกฝ่าย ก่อนจะย้อนกลับไป
“นายลองเดาดูเองสิ...แต่ฉันว่าเดาได้ไม่ยากเท่าไรหรอกมั้ง”
เอริคขมวดคิ้วยุ่ง เอาจริง ๆ แล้วนอกจากพี่ชายคนโตของเขา พี่ชายคนรองกับพี่ชายคนที่สามนั้นค่อนข้างจะมีรสนิยมทางเพศปกติ และมีสเป็คตายตัวที่ค่อนข้างห่างไกลกับเวทิตอยู่มาก
“พี่อีธานน่ะหรือ อืม...ไม่น่าจะใช่นะ...”
“แล้วทำไมถึงคิดว่าไม่น่าจะใช่พี่อีธานล่ะ”
รวีย้อนถามพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้เอริคยิ่งสงสัยมากขึ้น แต่ก็ยังคงตอบกลับไปตามที่ตนรับรู้มา
“ก็จริงอยู่ที่พี่อีธานเขาชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิง และไม่จำกัดรูปร่างหน้าตาตายตัว ...เพียงแต่พี่เขาเป็นพวกชอบคนโดยดูจากนิสัย... ยิ่งดื้อรั้นปราบยาก นี่ยิ่งชอบมาก...แต่เขาก็ไม่เคยรู้จักต้นมาก่อน ...จะว่าแค่เห็นภาพแล้วชอบก็ไม่น่าจะใช่”
เอริคพึมพำก่อนจะชะงัก แล้วจ้องมองลูกพี่ลูกน้องของตนด้วยแววตาจับผิด
“หรือว่านายจะ...”
เอริคพูดแล้วเงียบไป ทว่าแววตารู้ทันที่มองมาก็ทำให้รวีหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พลางยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มกวนอารมณ์
“หึ...ฉันก็แค่ช่วยโปรโมทน้องต้นให้พี่ชายนายรู้จักนิดหน่อยแค่นั้นเอง...ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของพรหมลิขิตบันดาลชักพา ...กามเทพผู้แสนดีอย่างฉัน ก็ขอยืนมองอยู่ห่าง ๆ หลังจากนี้ก็พอแล้วล่ะ”
ขาดคำของรวีก็เรียกทั้งสีหน้าตกตะลึง และเสียงถอนหายใจคละเคล้ากันไป ทางด้านเจตต์ที่เลิกเขินแล้วโผล่หน้ามาจากผ้าห่มถึงกับเหลือบมองเพื่อนสนิทอย่างนึกเห็นใจ ส่วนเวทิตนั้นตอนนี้กำลังจ้องมองต้นเหตุที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวเขม็ง
“พี่ซัน...พี่นี่นะ...”
เวหาเรียกคนรักแล้วจ้องมองด้วยสายตาเอือมระอาแกมดุ ทำให้คนถูกมองสะดุ้งโหยง แล้วรีบแก้ตัวเสียงอ่อย
“พี่ก็แค่พูดเล่าเรื่องน้องต้นไปตามความจริงเองนี่ครับ...ใครจะรู้ว่าพี่ชายของหมอนี่เขาจะสนใจขึ้นมาง่าย ๆ ล่ะครับ...อีกอย่างพี่ก็สงสารที่น้องต้นไร้คู่อยู่คนเดียว ก็เลยคิดจะช่วยจับคู่ให้ก็เท่านั้นเอง แล้วพี่อีธานก็ยังนิสัยดีมาก ๆ เลยนะครับ”
“ใช่...นิสัยดี แต่โคตรเจ้าชู้ตัวพ่อเลย”
เมฆาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ทว่ามีนาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นดันได้ยินไปด้วย จึงย้อนถามเสียงใสอย่างสนใจ
“เจ้าชู้? พี่ชายคุณเอริคน่ะหรือครับ!”
เมฆาสะดุ้งโหยงพอ ๆ กับรวี ส่วนเวหา เจตต์ และเวทิต ต่างหันมามองทางเมฆา ก่อนจะหันไปมองรวีและไล่มองไปยังเอริคเป็นคนสุดท้าย ชายหนุ่มหน้าขรึมถอนหายใจ แล้วจึงพยักหน้ายอมรับตามมา
“ใช่...พี่ชายฉันถ้าพูดถึงเรื่องนิสัย เขาเป็นคนดีไว้ใจได้คนหนึ่ง แต่เรื่องเจ้าชู้นี่เป็นข้อเสียใหญ่ของเขา ...เพราะฉะนั้นถ้าดูจากนิสัยของต้นแล้ว ฉันว่ายังไงพี่อีธานก็คงไม่น่าจะผ่านการยอมรับจากต้นได้หรอก เพียงแต่...”
เอริคหยุดพูดแล้วหันไปมองทางเวทิตก่อนจะเอ่ยตามมาอย่างจริงจังกว่าเดิม
“ถ้าเธอไม่อยากให้เขามาวอแวหรือตามตื๊อเธอไม่เลิกล่ะก็...เวลาเขามาจีบ เธอก็อย่าไปปฏิเสธเขาตรง ๆ แบบไร้เยื่อใยนักก็แล้วกัน ...ไม่อย่างนั้นหากเขาเกิดติดใจเธอจริง ๆ ถึงเป็นฉันก็คงช่วยพูดให้ไม่ได้แล้วล่ะนะ”
เวทิตฟังแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก เขาเหลือบไปมองรวีอีกครั้งก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มหวานให้เสียจนน่าหมั่นไส้ แต่พอไล่มองไปทางเพื่อนของเขาบ้าง เวหาก็พึมพำขอโทษอุบอิบ จนเวทิตโมโหรวีไม่ลง ทางด้านมีนากับเมฆานั้นยิ้มเจื่อน ๆ คล้ายจะให้กำลังใจ ส่วนเอริคตอนนี้ก็หันไปให้ความสนใจกับเจตต์แทน โดยที่เด็กหนุ่มหน้าตี๋ก็เอาแต่เขินหน้าแดงไม่เลิก จนเวทิตต้องหลุดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
‘ช่วยไม่ได้แฮะ ...ถ้าเป็นเนื้อคู่กันจริง ต่อให้หนียังไง มันก็หนีไม่พ้น...แต่ถ้าไม่ใช่ ดึงดันยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดีล่ะนะ’
และแล้วเด็กหนุ่มที่ไม่อยากคิดมากก็ยักไหล่กับตัวเองน้อย ๆ พลางเอ่ยขอตัวกับเจ้าของห้องที่ตอนนี้เริ่มออกอาการจ้องตากันหวานซึ้งกับคนบนเตียง ชนิดไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับคนอื่น เห็นดังนั้นพวกรวีเองก็ต่างพยักหน้าส่งสัญญาณให้กัน แล้วทยอยเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะช่วยปิดประตูห้องให้เรียบร้อย พร้อมกับนัดแนะกันออกไปเดินเล่นนอกบ้านพัก ปล่อยให้คนในห้องได้สานสัมพันธ์หวานซึ้งต่อจากก่อนหน้านั้น โดยไม่มีใครที่คิดจะเข้าไปขัดขวางเลยสักคนเดียว...
... END …
จบแล้วจ้าาา สำหรับคู่นี้ มาเรื่อย ๆ แล้วก็จบแบบหวาน ๆ ^^ ตามสไตล์ของเรื่องนี้ตั้งแต่ภาคแรก
สำหรับตอนพิเศษก็รออ่านกันจ้ะ เดี๋ยวลงให้อ่านแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้ไม่ได้แยกออกตั้งเรื่องใหม่ บางคนก็เพิ่งจะเห็นว่ามีภาคต่อ แต่ที่ลงแบบนี้ก็เพราะอยากเก็บให้มันอยู่ในกระทู้เดียว เนื่องจากเป็นนิยายที่ไม่ยาวนักด้วยน่ะค่ะ
แต่ถึงยังไงปัดก็ต้องขอขอบคุณนักอ่านที่ยังตามมาคอมเมนต์ให้ปัดเสมอนะคะ อ่านคอมเมนต์ยาวบ้าง สั้นบ้าง แล้วมีความสุขมากเลยค่ะ ทำให้เกิดกำลังใจในการจะแต่งนิยายต่อไปได้เรื่อย ๆ
ขอบคุณมากเลยค่ะ :pig4:
-
:กอด1: ขอขอบคุณสำหรับนิยายหวานๆน่ารักนะคะ จะกี่คู่ก็น่ารักเสมอ
น้องต้นเตรียมตัวเลยนะ ถ้าคู่กันแล้วล่ะก็หนียังไงก็ไม่พ้น ใช่ไหมน้องเจ
ว่าแต่คุณเอริคจะทำอะไรต่อนะ แหมน้องเจขี้เขินขนาดนี้ค่อยๆตะล่อมไปเน้อ อย่าใจร้อนอีกล่ะ :mew1:
-
เอาแล้วไง ต้นจะทำยังไงล่ะทีนี้ ปฏิเสธตรงๆ ก็ไม่ได้
เค้าลางความวุ่นวายเริ่มมา :laugh:
พี่ซันทำหน้าที่ดีมาก o13
แต่ แต่ แต่...พี่จะเข้ามาขวางทำมายยยย หา ตอบค่ะ!!
ไม่ใช่ว่าอิจฉาคู่ของเอริคกับเจหรอกนะ (ก็ของเฮียแกต้องรอน้องเรียนจบนี่หว่า ฮ่าๆ)
ตอนแรกก็นึกสงสารเฮียนะแต่ รอไปเถอะ กร๊าก
จะว่าไปร้ายกว่าใครต้องยกให้เฮียซันเจ้าค่ะ o18 แต่ร้ายแบบน่ารักนะ
ฉากในห้องหลังจากที่ไม่มีใครขวางแล้วคือ.... อร๊าย จิ้นค่ะจิ้น :-[
เอริคเก็บผ้าเช็ดหน้าน้องไว้ด้วย อารมณ์ซินเดอเรลล่าเลย
คุณเอริคทำดีมากค่า นั่นน่ะผ้าผืนโปรดของน้องนะ
อร๊าย คิดดีๆ เหมือนของหมั้นเลย ผ้าเช็ดหน้ากับสร้อย ว้ายๆ :heaven ฟินสลบ
ขอบคุณคนแต่งมากมาย อ่านเรื่องนี้แล้วมีความสุขมากเลยค่ะ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความรักและผองเพื่อน คือ feel good มากๆ ขอบคุณค่ะ
:pig4: :pig4: :pig4:
รอติดตามตอนพิเศษนะคะ
-
ขอบคุณคนแต่งมากๆเหมือนกันนะค่ะ ที่ให้กำเนิดตัวละครมากมาย o13
ชอบทุกคู่เลยค่ะ แร้วจะรอลุ้นคู่ต้นนะค่ะ :-[
:pig4:
-
พี่ซันขี้หึงเวอร์ งานเข้านายต้นเลย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
-
กรี๊ดดดดดดดดด
ชอบคุณมากๆค่ะ
อยากอ่านคู่ต่อไปแล้ว
งานนี้คงสนุกแน่ๆ
มาต่อไวๆน๊า
-
เรื่องใหม่น่าลุ้นมากอ่ะ
รอติดตามนะคะ
เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆให้ได้อ่านค่ะ :pig4: :pig4: :pig4:
-
**มาต่อแล้วนะคะ ขอบคุณที่รออ่านกันค่ะ **
ตอนพิเศษ
รักวุ่นวายของนายต้น
เวทิตไม่คิดเลยว่าตนจะต้องมาถูกผู้ชายตามตื๊อจีบเช่นนี้ แถมคนจีบเขายังเป็นหนุ่มมาดเพลย์บอย ที่ถูกการันตีโดยคนรู้จักกันว่าเป็นจอมเจ้าชู้ของจริงอีกต่างหาก
เหตุการณ์เริ่มต้นของเคราะห์ร้ายสำหรับเด็กหนุ่มก็ต้องเริ่มมาจากเจ้าคลิปวิดีโอที่คนรักของเพื่อนส่งไปให้ครอบครัวของญาติสนิทเจ้าตัวนั่นล่ะ...
ชายหนุ่มผมทองยาวปรกคอ นัยน์ตาสีเขียว ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มชวนสะดุดตาและมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าอยู่เสมอ ขณะนี้เจ้าตัวกำลังนั่งดูคลิปที่ญาติผู้น้องส่งมาให้ซ้ำอีกครั้ง และเน้นดูเด็กหนุ่มผิวเข้มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ คนรักของน้องชายเป็นพิเศษ
“หือ...ดูอะไรน่ะ อีธาน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”
ชายหนุ่มไว้ผมสั้นเกรียนคล้ายนักกีฬาซึ่งโผล่มาทีหลังเอ่ยทักทาย เจ้าตัวมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับอีกฝ่าย แต่อายุอ่อนกว่ากันแค่สองปี เขาแขวนเสื้อคลุมบนไม้แขวนในห้องนั้น แล้วเดินไปยังโซฟาของห้องนั่งเล่นที่พี่ชายคนโตกำลังเอนกายพักผ่อนอยู่ ก่อนจะชะโงกหน้าไปมองมือถือของชายหนุ่มอย่างสนอกสนใจ
“เห...นี่มันคลิปของเอริคกับแฟนนี่นา หือ...อย่าบอกนะ ว่านายคิดจะแย่งแฟนน้องชายตัวเองน่ะ”
“เหอะ! อย่าหาเรื่องให้เอริคมาตีหัวฉันเลยน่า ...ที่ฉันสนน่ะอีกคนที่อยู่ในคลิปนี่ต่างหาก”
อดัมน้องชายคนรองจ้องมองภาพเด็กหนุ่มชาวไทยผิวสีเข้มที่อยู่ในคลิป เขาเองก็รับรู้ข้อมูลมาพอ ๆ กับอีกฝ่าย เพราะตอนที่รวีส่งคลิปและข้อความมา เขาก็กำลังนั่งดื่มกับพี่ชายคนโตอยู่พอดี
“เอาจริงหรืออีธาน...บางทีซันอาจจะแกล้งพูดให้นายสนใจเด็กนี่ก็ได้นะ นายก็รู้อยู่ว่าหมอนั่นขี้หึงขนาดไหน แถมเท่าที่รู้มาเด็กคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกับคนรักของเขาด้วย หมอนั่นอาจจะหลอกใช้นายไปจีบเด็กนั่นก็ได้นา”
ชายหนุ่มบอกอย่างรู้นิสัยของญาติผู้น้องดี ซึ่งพอได้ฟังดังนั้นอีธานก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยตามมา
“ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร...ไหน ๆ ฉันก็คิดจะไปเยี่ยมเอริคกับคนรักของเขาที่เมืองไทยอยู่แล้ว ...ถึงจะใช่สเป็คหรือไม่ แต่ก็ดีกว่าไปแล้วเสียเที่ยวเปล่าจริงไหมล่ะ”
“ระวังเหอะ ถ้าล้ำเส้นเกินไป จะโดนเอริคโมโหเข้าให้ ก็รู้อยู่ว่านั่นเป็นเพื่อนสนิทแฟนเขา”
อดัมเอ่ยย้อนเตือนอย่างเอือมระอา ซึ่งอีธานก็ยักไหล่นิด ๆ แล้วยิ้มตอบติดเจ้าเล่ห์
“ฉันรู้ดีน่า ว่าจะเล่นด้วยแค่ไหน ...แต่ถ้าเด็กมันยอมเอง อันนี้ก็ช่วยไม่ได้นา”
“อีธาน...นายนี่มันนิสัยแย่จริง ๆ เลยนะ”
อดัมบ่นแล้วถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อ้อ! จริงสิ เจค็อบ ฝากมาบอกว่า อย่ามาเจ๊าะแจ๊ะกับแฟนของเขาให้มากนัก ไม่งั้นเขาอาจจะแกล้งขอหมายจับนายแล้วยัดยาเสพติดเข้าให้สักวันก็ได้”
อีธานพอได้ยินก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกขำ คงเป็นเพราะช่วงนี้เขาต้องคอยดูแลบริษัทให้น้องชาย ทำให้เผลอไปคอยตอดเล็กตอดน้อย ตามประสาคนเจ้าชู้กับเลขาคนเก่งของน้องชายเข้าให้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าตัวนั้นมีแฟนเป็นตำรวจประจำหน่วยปราบปรามยาเสพติดชื่อดังของนิวยอร์ก ที่คอยกวาดล้างพวกค้ายารายน้อยใหญ่มามากมาย แต่ถึงจะเป็นตำรวจที่ค่อนข้างจะตงฉินอยู่ไม่น้อย แต่อีกฝ่ายก็ยังมีเส้นสายกันในหมู่พวกมาเฟีย และเป็นเพื่อนสนิทกับคนในครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี
“หึ ๆ ลองดูสิ จะได้ฟ้องกลับเข้าให้ พวกเราเคยค้ายาเมื่อไหร่ ใครก็รู้ อ้อ...แต่ถ้ายัดอาวุธสงครามมาให้ นี่คงคิดหนักเหมือนกัน...”
อดัมสั่นหน้ากับคำพูดทีเล่นทีจริงของพี่ชาย ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำถามถัดมา
“อืม...จริงสิ แล้วนี่ เอียนไม่ได้มาพร้อมนายหรอกหรือ แมนชั่นผีสิงของหมอนั่น มันทางผ่านของนายนี่นา”
อีธานเอ่ยถามถึงน้องชายคนที่สาม เพราะในทุกวันอาทิตย์พวกเขาทั้งครอบครัวจะนัดกันมากินข้าวกลางวันร่วมกันที่บ้านของบิดาเสมอ และวันนี้พวกเขาก็มีเรื่องต้องปรึกษากัน เกี่ยวกับการช่วยเหลือเรื่องความรักของเอริคน้องชายคนสุดท้องของบ้านด้วย
ทางด้านอดัมขมวดคิ้วนิด ๆ ที่พี่ชายคนโตเรียกที่พักของน้องชายคนที่สามของพวกเขาว่าแมนชั่นผีสิง แต่ก็ยังคงตอบออกไปตามปกติ
“ก็แวะไปรับอยู่หรอก แต่เจ้าตัวขอนอนพักต่ออีกชั่วโมงถึงจะตามมาสมทบ เห็นบอกว่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสี่ ...เพราะห้องข้าง ๆ ตอนประมาณตีสองตีสาม อยู่ดี ๆ คนในห้องก็ร้องกรี๊ด ๆ โวยวาย แล้วก็วิ่งชนกระจกตกระเบียงห้องลงมา ...ดีนะ ด้านล่างเป็นสระว่ายน้ำ ไม่งั้นคงได้ตายสยอง ตกมาจากชั้น 4 เสียด้วยสิ ...ทางตำรวจก็เข้ามาตรวจสอบจนวุ่นวายกันไปหมดทั้งแมนชั่น”
อีธานยักไหล่ แล้วเปรยบ่นอย่างเอือมระอา
“ฉันก็บอกหมอนั่นแล้วให้ย้ายบ้าน คนอื่นอยู่แล้วเจอแต่ผีหลอก มีหมอนั่นล่ะที่ประสาทแข็ง เลยไม่เจอผีกับเขา ...ขนาดฉันเข้าห้องหมอนั่นไปไม่ถึงชั่วโมง ยังหนาว ๆ ร้อน ๆ ขนลุกซู่ตลอด”
“เอิ่ม...มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า ...ก็แค่แมนชั่นเก่าเคยไฟไหม้แล้วมีคนโดนไฟคลอกตายในชั้นที่หมอนั่นอยู่ก็เท่านั้นเอง...แต่เขาก็ปรับปรุงใหม่จนหรูกว่าของเดิมด้วยซ้ำนา”
อดัมแก้ตัวแทนน้องชายคนที่สาม ถึงแม้ว่าเขาเองจะรู้สึกไม่ค่อยชอบบรรยากาศอึมครึมในทุกครั้งที่เข้าไปในห้องอีกฝ่ายก็ตามที
“เหอะ ๆ นายจะคิดแบบนั้นก็ตามใจ ...แต่ถ้าเกิดหมอนั่นมีปัญหาหรือเจออันตรายขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็ ผีก็ผีเถอะ...ฉันจะเล่นงานพวกมันจนไร้ที่อยู่ให้ดู!”
อีธานบอกเสียงเข้มในท้ายประโยค ทำเอาคนฟังลอบถอนหายใจ เพราะรู้ดีว่าอีธานนั้นเป็นพวกรักครอบครัวมาก โดยเฉพาะน้องชายทั้งสองที่อายุห่างกันอยู่หลายปี
“เออ...ฉันว่าพวกผีนั่นคงไม่คิดร้ายอะไรกับเขาหรอก ไม่อย่างนั้นเอียนก็คงอยู่ไม่ทนมากว่าปีแบบนั้น ทั้งที่ข้างห้องย้ายเข้าออกเป็นว่าเล่นหรอกนะ...อ้อ...ว่าแต่ที่นายว่าจะไปไทยนี่มันวันไหนกันล่ะ”
อดัมเปรยบ่น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา ซึ่งพอได้ยินคำถาม อีธานก็ยักไหล่พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ
“ไปพรุ่งนี้... พอวันนี้สรุปเรื่องจัดการครอบครัวของเด็กเจตต์นั่นเสร็จ ฉันก็จะเดินทางไปไทย ตั้งใจจะไปดูว่าที่น้องสะใภ้ของฉันสักหน่อย ...ส่วนพวกนายกับพ่อก็จัดการเรื่องครอบครัวของเขาไป เพราะตอนนี้ได้ข่าวว่าอยู่ที่อเมริกานี่ไม่ใช่หรือ”
อดัมกะพริบตาปริบ ๆ ที่พี่ชายคนโตของเขาตัดสินใจเอาเองเสร็จสรรพโดยไม่คิดจะฟังความเห็นคนอื่น แต่ถึงเขาจะขัดใจยังไง ก็ไม่คิดจะแย้งออกไป เพราะคนอย่างอีธานลองตัดสินใจแล้วก็ยากจะเปลี่ยนได้ ขนาดบิดากับมารดายังต้องเบื่อหน่ายและระอาที่จะค้าน แล้วกับเขาที่เป็นน้องชายคงยากที่ชายหนุ่มจะยอมรับฟังล่ะนะ
หลังจากที่ทุกคนมาพร้อมหน้า การประชุมหารือภายในครอบครัวก็ได้เริ่มต้นขึ้น ทางอีธานและพี่น้องอีกสองคนต่างเห็นพ้องต้องกันในการยกหน้าที่นี้ให้ทางบิดาและมารดา เป็นฝ่ายเข้าไปเจรจาทำความรู้จักมักคุ้นกับครอบครัวของเจตต์ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะพี่เขยของเด็กหนุ่มก็ทำงานในบริษัทที่เป็นคู่ค้าสำคัญกับทางเครือบริษัทของตระกูลเขาอยู่แล้ว
และด้วยความที่เป็นคนใจร้อน ไม่ชอบรออะไรนาน วันถัดมาอีธานก็ออกเดินทางทันที และพอเครื่องบินไปถึงเมืองไทย ชายหนุ่มก็มุ่งตรงไปที่บ้านของรวี โดยไม่คิดจะหยุดพัก หรือบอกกล่าวคนที่เมืองไทยสักคนล่วงหน้าเลยว่าตนกำลังจะมาหา…
..
..
.
-
..
..
เวทิตนิ่งอึ้งหลังจากที่โทรศัพท์ไปบอกมารดาว่าตนจะกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น แต่กลับถูกขอร้องแกมบังคับให้เขาพักอยู่กับเวหาต่ออีกสักสองสามวัน เนื่องจากบิดาของชายหนุ่มนั้นถูกแจกพ็อตรางวัลใหญ่จากการส่งชิงโชคเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่ง และขณะนี้ครอบครัวของเขารวมไปถึงญาติพี่น้องที่พร้อมใจว่างตรงกัน ก็ย้ายสถานที่พักอาศัยไปนอนค้างอ้างแรมฉลองกันที่ริมทะเลเรียบร้อย
“แล้วทำไมแม่ถึงไม่รอต้นกลับไปก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวล่ะ!”
เวทิตโวยวายผ่านโทรศัพท์ ซึ่งปลายสายก็ตอบกลับมาง่าย ๆ
“ทีแรกพวกเราก็คิดว่าจะรอแกกลับมาก่อนหรอก แต่พ่อแกเขาเริ่มลังเลแสดงความงกให้ญาติ ๆ เห็นว่าจะเก็บเงินใส่ธนาคารไว้แทนไปเที่ยวดีไหม อาของแกมันก็เลยจัดการมัดมือชก จองบ้านพัก จ่ายมัดจำ นัดญาติพี่น้องเสร็จสรรพ แล้วตอนนี้พวกแม่ก็อยู่ทะเลกันแล้วด้วย ส่วนพ่อกับญาติพี่น้องแกก็กินเหล้าเมาแอ๋กันตั้งแต่หัววันไปเรียบร้อยแล้วล่ะ!”
เวทิตขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะตอบกลับไป
“งั้นต้นตามไปสมทบทีหลังก็ได้ ยังไงก็อยู่นั่นกันหลายวันไม่ใช่หรือครับ”
“จะตามมา? รู้หรือเปล่าว่าพวกแม่อยู่ไหนกัน”
“อ้าว แล้วไม่ใช่ทะเลใกล้ ๆ แถวพวกชะอำ หัวหิน ระยองอะไรแบบนั้นหรอกหรือครับ”
เวทิตย้อนถาม แล้วก็ต้องแอบอึ้งนิด ๆ เมื่อแม่ของเขาบอกกลับมา
“พวกแม่อยู่ชุมพรกันต่างหาก แล้วก็อยู่นี่แค่วันนี้ พรุ่งนี้ก็จะยกโขยงไปเที่ยวกันต่ออีกแล้ว แม่ก็เลยจะให้แกรอที่บ้านหนูฟ้าเขาก่อนแล้วค่อยกลับไงล่ะ อีกอย่างหนูเจเองก็ยังกลับบ้านไม่ได้เหมือนกันใช่ไหม เพราะงั้นแกก็อยู่เป็นเพื่อนเขาไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
มารดาของเด็กหนุ่มสรุปตัดบทแล้ววางสายไปโดยไม่คิดจะฟังคำคัดค้านของลูกชายเลยสักนิดเดียว
“แม่! เดี๋ยวสิ! อย่าเพิ่งวาง…. โธ่เว้ย!”
เวทิตสบถอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันมามองเพื่อนสนิทที่นั่งมองตนอยู่ และได้ยินบทสนทนานั้นชัดเจนดี
“ขอโทษนะฟ้า สงสัยต้องรบกวนฟ้ากับที่บ้านอีกสักสองสามวันแล้วล่ะ”
“บ้าน่า รบกงรบกวนอะไร อย่าคิดมากเลยน่าต้น!”
เวหารีบบอก ซึ่งคนอื่นที่นั่งเล่นอยู่ในซุ้มของสวนหน้าบ้านเด็กหนุ่มต่างก็ช่วยกันพูดปลอบและชักชวนเวทิตพูดเล่นคุยเรื่องอื่นเพื่อให้อีกฝ่ายหายวิตกและเลิกกังวลเรื่องนี้สักที
“ว่าแต่ฉันอยู่ต่อแบบนี้ นายก็อดนอนบ้านพักเดียวกับคุณเอริคอย่างที่ตั้งใจไว้เลยน่ะสิ โทษทีว่ะเจ เพื่อนลำบากใจจริง ๆ นะเนี่ย”
พอหายกังวลใจแล้ว เวทิตก็แหย่เพื่อนสนิทต่อ ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง หน้าแดงระเรื่อ ยิ่งพอถูกเอริคจ้องเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาแกมยินดี เด็กหนุ่มก็ยิ่งหน้าแดงเข้มมากขึ้นเสียจนคนแซวนึกขำ
“มะ...ไม่ใช่นะครับ...หนอย! เจ้าเพื่อนตัวแสบ!”
เจตต์รีบแก้ตัวเมื่อตั้งสติได้ ก่อนจะเตรียมเหวี่ยงหมัดใส่เพื่อนรักด้วยความเขินปนฉุน ทำให้เวทิตต้องรีบวิ่งหนี ก่อนจะชะงักกึกเมื่อเห็นรถยนต์คันหรูชะลอจอดอยู่หน้าบ้านทรงไทยของรวี และมีชาวต่างชาติสวมแว่นตาดำลงมาจากรถ
“จับได้แล้ว! หือ...ใครน่ะ ญาติพี่ซันหรือไง”
เจตต์ที่วิ่งตามมาทันกอดเพื่อนสนิทหมับก่อนจะแปลกใจที่เวทิตไม่หนีและพอมองตามเขาก็เห็นดังเช่นที่อีกฝ่ายเห็น
“ไม่รู้สิ...ไปตามพี่ซันมาดีกว่า”
เวทิตบอกกับเพื่อนแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อชายคนนั้นหันมาทางเขา เจ้าตัวถอดแว่นดำเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเขียวคู่สวย ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้านิด ๆ ให้
“หน้าคุ้น ๆ ว่ะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนไม่รู้สิ”
เจตต์พึมพำ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อชายคนนั้นหันมามองเขาแล้วส่งยิ้มหวานมีเสน่ห์มาให้บ้าง รอยยิ้มที่เห็นทำให้เจตต์ต้องส่งยิ้มเจื่อนตอบ พอจะคาดเดาได้ไปกว่าครึ่งว่าคนที่มานั้นเกี่ยวข้องอะไรกับคนรักของตน
“นายคิดเหมือนฉันไหมวะเจ ว่าคนนี้น่ะเกี่ยวข้องกับคุณเอริคไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่”
เวทิตกระซิบถามเพื่อนพลางฉีกยิ้มตอบรับแขกผู้มาเยือนที่ตอนนี้กำลังเดินตรงมาหาพวกเขา
“ฉันก็คิดเหมือนกันว่ะ สายเลือดนี่น่ากลัวแท้ ขนาดยิ้มยังคล้ายกันเลย”
เจตต์พึมพำบอก เด็กหนุ่มเองก็ทำเหมือนเพื่อนก็คือ ยิ้มรับสู้เอาไว้ก่อน
“พี่อีธาน! มาได้ยังไงกันครับ แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนล่วงหน้าว่าจะมา ผมจะได้ขับรถไปรับ!”
เอริคที่เดินตามคนรักของตนมา พอเห็นหน้าแขกผู้มาเยือนเจ้าตัวก็ต้องตกใจแล้วเอ่ยทักขึ้น ทำให้อีธานหันไปมองแล้วก้าวเท้าฉับ ๆ ผ่านพวกเวทิตกับเจตต์เดินไปกอดน้องชายคนเล็กของตนอย่างคิดถึง
“ไง! น้องรัก ไม่ได้เจอกันพักใหญ่ ๆ นายดูดีขึ้นเยอะเชียวนา กำลังมีความสุขอยู่ล่ะสิ!”
“ครับ...ผมมีความสุขดี”
เอริคบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเหลือบมามองเด็กหนุ่มคนรัก แล้วพยักหน้าเรียกเจตต์ที่สบตาตนให้เดินมาหา
“พี่อีธานครับ ...นี่เจ คนรักของผมครับ เจ...นี่พี่อีธาน พี่ชายคนโตของฉันเอง”
เจตต์ที่เดินมาหายกมือไหว้ชายหนุ่ม หากแต่อีธานนั้นรั้งร่างของอีกฝ่ายเข้าไปกอด หอมแก้มซ้ายขวา แล้วบอกตามมาด้วยภาษาไทยอย่างร่าเริง
“สวัสดีเจ ฉันอยากเจอเธอมานานแล้วรู้ไหม...หึ ๆ ไม่เอาน่าเอริค อย่าทำหน้าดุแบบนั้นสิ ฉันไม่คิดจะแย่งแฟนนายหรอกน่า!”
อีธานบอกกับน้องชายอย่างนึกขำ ทว่าเอริคกลับหรี่ตามองพี่ชายแล้วดึงคนรักไปโอบกอดไม่ยอมปล่อย เห็นดังนั้นอีธานจึงยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเหลือบมองเวทิตที่ก็สะดุ้งโหยงทันที
“ฉันให้ทางโน้นจัดการเรื่องพูดคุยกับทางครอบครัวของเจให้แล้ว ส่วนฉันก็ขอลาพักร้อนมาอยู่ที่ไทยนี่เป็นเพื่อนนายในช่วงนี้...”
ท้ายประโยคอีธานหันมาจับจ้องที่เวทิตเต็มตา นัยน์ตาสีเขียววาววับ ริมฝีปากก็ยกยิ้มติดเจ้าเล่ห์นิด ๆ จนคนถูกมองต้องกลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นอีธานก็หันกลับมาพูดกับเอริคด้วยภาษาอังกฤษแทน
“อ้อ! ส่วนเรื่องบริษัทของนายไม่ต้องห่วงหรอกนะ อดัมกับเอียนจะผลัดกันมาดูแลให้...แต่พูดก็พูดเถอะ แค่เลขาคนสวยของนายคนเดียว ก็ดูแลในส่วนต่าง ๆ ของบริษัทได้หมดแล้ว ฉันมีหน้าที่อย่างดีก็อ่านตรวจทานแล้วเซ็นเอกสารให้เฉย ๆ ก็เท่านั้นเองล่ะนะ”
จากนั้นไม่นานพวกรวีที่ได้ยินเสียงสนทนาแว่ว ๆ ก็ตามมาสมทบ ทางอีธานนั้นเดินตามญาติของเขาไป และได้แนะนำตัวกับบิดามารดาของเวหาและมีนา ก่อนจะฝากเนื้อฝากตัวขออาศัยด้วยท่าทางที่เป็นมิตร ซึ่งทางวารีและณรงค์ก็รู้สึกนิยมชมชอบในความเป็นกันเองและมีสัมมาคารวะของชายหนุ่ม แม้ว่าเจ้าตัวจะเป็นชาวต่างชาติก็ตาม
“พวกญาติ ๆ ของพี่ซันนี่พูดภาษาไทยได้ทุกคนเลยหรือครับ”
เวหาที่เฝ้ามองอีธานสนทนากับบิดาและมารดาของตัวเองเอ่ยถามคนรัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเอริค หรือแม้แต่อีธานเอง ก็สามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว แม้สำเนียงจะยังคงแปร่งอยู่นิดหน่อย แต่ก็ถือว่าชัดมากสำหรับคนต่างชาติอยู่ดี
“เฉพาะที่สนิทกันจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะพูดได้หมดน่ะครับ”
พอเห็นเวหาทำหน้างุนงงนิด ๆ รวีจึงอธิบายให้คนรักฟังต่อ
“คือพวกพี่ถือคติว่า เราต้องพูดภาษาถิ่นของคนในครอบครัวและญาติพี่น้องที่สนิทกันให้ได้ทั้งหมด อย่างคุณแม่ของพี่เป็นคนไทย ทางครอบครัวของพวกพี่อีธานที่สนิทกับเราเป็นพิเศษ ก็จะเรียนรู้ และเลือกใช้ภาษาไทยเวลาที่มาเยี่ยมบ้านพี่ ส่วนคุณแม่ของพี่เวลาไปเยี่ยมบ้านนั้นก็จะพูดภาษาอังกฤษสนทนาแทน ประมาณนั้นล่ะครับ”
เวหานั่งฟังอย่างนึกทึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับคนรัก
“ครอบครัวกับญาติของพี่ซันนี่น่ารักจังเลยนะครับ อย่างนี้ฟ้าก็คงต้องหัดภาษาอังกฤษให้คล่อง ๆ กว่านี้แล้วล่ะสิครับ”
รวียิ้มตอบ พลางกุมมือเด็กหนุ่มมาจูบเบา ๆ อย่างชื่นใจ เรียกเสียงกระแอมจากมีนาที่นั่งอยู่แถวนั้น เพราะรวีดันเผลอลืมเข้าโลกส่วนตัวที่มีแต่ชายหนุ่มกับพี่ชายของเขาเข้าให้อีกแล้ว
อีกด้านหนึ่งเวทิตที่เลือกนั่งข้างเจตต์และเอริคก็กำลังขมวดคิ้วยุ่งระหว่างแอบลอบจ้องมองอีธานเป็นระยะ ทำให้เจตต์ที่สังเกตเห็นเอ่ยทัก
“ทำหน้ายุ่งแบบนั้นทำไมวะต้น ...หรือเกี่ยวกับคุณอีธาน”
“เออสิ! ฉันล่ะกลัวพี่ชายคุณเอริคจะบ้าจี้มาจีบฉันบ้าง เพราะคลิปและคำโฆษณาบ้า ๆ ของพี่ซันนั่นน่ะสิ!”
เวทิตบอกเสียงที่พยายามกระซิบ หากแต่เอริคก็ยังคงได้ยินอยู่ดี
“เดี๋ยวไว้ฉันถามเขาเอง ...และถ้าเขามาจีบเธอจริง แล้วเธอไม่สน ก็ทำอย่างที่บอกไว้นั่นล่ะ ปฏิเสธไปแบบถนอมน้ำใจเขาหน่อย อย่าเล่นลูกตรงมากนัก”
เอริคเปรยเบา ๆ ทำให้เวทิตสะดุ้งแล้วส่งยิ้มเจื่อนให้อีกฝ่าย ก่อนจะลอบถอนหายใจตามมา อาการของเด็กหนุ่มทำให้เจตต์ที่เห็นเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้าง
“เอ...แต่ผมว่า เชียร์ให้พี่ชายคุณจีบหมอนี่ติดดีกว่าครับ พอเขาเป็นแฟนกันแล้ว จะได้มีแต่คนคุ้นเคยกันเองอยู่ในกลุ่มเดียวกันยังไงล่ะครับ”
เวทิตสะดุ้งโหยงพลางทำปากด่าเพื่อนขมุบขมิบ ส่วนเอริคนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพราะรู้ดีว่าเจตต์นั้นกำลังหาเรื่องล้างแค้นที่เคยโดนอีกฝ่ายแกล้งแหย่แกล้งแซวอยู่เสมอก่อนหน้านั้น
“อืม...ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลดีนะเจ...ว่าไงล่ะต้น สนใจไหม”
เอริคแกล้งทำเป็นเห็นดีด้วยกับคนรัก ทำเอาเวทิตหัวเราะแห้ง ๆ แล้วขยับหนีไปนั่งกับพวกเมฆาและมีนาแทน ทำให้คู่รักทั้งสองหัวเราะเบา ๆ ไล่มองตามไปอย่างถูกใจ
พอสนทนาทักทายกันได้สักพัก รวีก็แนะนำให้อีธานไปพักที่บ้านเรือนไทยของเขา เพราะกว้างขวางมีห้องว่างเหลือ และเอริคเองก็ยังพักอยู่ที่เดียวกันอีกด้วย
“ขอบใจมากนะซัน”
“ไม่เป็นไรครับพี่อีธาน เรื่องแค่นี้เอง”
รวีบอกกับอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็พยายามกันท่าโดยให้อีธานอยู่ห่างจากคนรักของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่ดี เพราะแม้จะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่คิดแย่งคนรักของตน แต่เรื่องคอยตอดเล็กตอดน้อยหยอดคำหวานคนอื่นไปเรื่อยของอีธานนั้น มักจะไม่แยกแยะว่าอีกฝ่ายมีคนรักแล้วหรือไม่นั่นเอง
“ว่าแต่คนรักของนายไปไหนเสียล่ะ เมื่อครู่ยังเห็นนั่งอยู่แถวนี้เลยไม่ใช่หรือไง”
อีธานแกล้งถามอีกฝ่าย ซึ่งรวีก็ชะงักก่อนจะแสร้งยิ้มตอบ
“อ๋อ! น้องฟ้า เขาไม่ค่อยสบายน่ะครับ ผมเลยให้ไปพักผ่อนที่ห้องของเขาก่อน”
“อ้อ...อย่างนั้นหรือ”
อีธานรับคำด้วยสีหน้ารู้ทัน ก่อนจะหันไปมองทางเวทิตด้วยความสนอกสนใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“นั่นสินะ เด็กคนที่นายแนะนำฉันน่ะ”
รวีชะงักก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ เมื่อถูกเวทิตที่กำลังมองมาทางพวกเขาจ้องเขม็ง
“ก็ประมาณนั้นล่ะครับ...”
“หือ...ดูเหมือนนายไม่ค่อยมั่นใจเลยนะซัน วันก่อนยังบอกฉันอยู่เลยว่า เด็กคนนี้ตรงสเป็คฉันแน่น่ะ”
รวีหัวเราะแห้ง ๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะก่อนหน้านั้นเขาก็โดนเวหาดุเรื่องนี้ ขืนเขาเข้าไปยุ่งอีกคงจะโดนคนรักงอนเข้าให้เป็นแน่
“หึ ๆ ไม่ตอบหรือ...ไม่เป็นไร ของแบบนี้เดี๋ยวทดสอบเองก็รู้”
อีธานบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นจึงเดินตรงไปยังที่เวทิตนั่งอยู่ ชายหนุ่มยกยิ้มหว่านเสน่ห์ พร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“สวัสดี...เธอชื่อเวทิตสินะ ฉันชื่ออีธานยินดีที่รู้จัก”
เวทิตยิ้มเจื่อนให้ เขาลอบถอนหายใจ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสกับมืออีกฝ่ายอย่างไม่เกี่ยงงอน
“สวัสดีครับคุณอีธาน เรียกผมว่าต้นก็ได้ครับ”
“โอเค...งั้นฉันก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”
อีธานบอกพร้อมรอยยิ้มเขาบีบมือของอีกฝ่ายแรงขึ้นอีกนิด ก่อนจะปล่อยออก พร้อมกับคำถามตามมาที่ทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง
“เธอสนใจจะรับผู้ชายเป็นแฟนบ้างไหมล่ะต้น”
เวทิตพอได้ยินดังนั้นก็ตั้งสติให้มั่นคง ทีแรกเขาตั้งใจจะปฏิเสธไปตรง ๆ เลยว่าไม่สน แต่พอลองคิดถึงคำเตือนของเอริค เขาจึงส่งยิ้มเจื่อน แล้วอ้อมแอ้มตอบออกไป
“ง่า...พอดีผมเคยคบแต่ผู้หญิงน่ะครับ...ก็เลยไม่ถนัดจะคบผู้ชาย...ง่า แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร...เพียงแต่เอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่สนดีกว่าครับ”
อีธานเลิกคิ้วนิด ๆ ที่อีกฝ่ายเลือกตอบกึ่งรับกึ่งสู้ แทนที่จะตัดบทห้วนอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่พอเขาเหลือบไปเห็นน้องชายของตนที่ลอบถอนหายใจหลังจากเวทิตพูดจบ อีธานก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ทันที
“อ้อ...อย่างนั้นเองหรือ...อืม...แต่ไม่รังเกียจแบบนี้ แสดงว่าจริง ๆ แล้วก็แอบสนอยู่ไม่มากก็น้อยใช่ไหมล่ะ...ว่าไง จะลองคบกันดูไหม ถ้าไม่ใช่จริง ๆ ก็ค่อยแยกย้ายกันไปก็ได้”
อีธานตามตื๊อต่อทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง แล้วเหลือบมองเอริคอย่างขอความช่วยเหลือ ซึ่งอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วยุ่งทว่าพอได้เห็นพี่ชายหันมามองแล้วยักคิ้วให้ เขาก็ทราบทันทีว่าอีธานนั้นคงรู้แล้วว่า เป็นเขาที่เสนอให้เด็กหนุ่มเลือกตอบไปเช่นนั้น
“ว่าไง...ของพวกนี้ไม่ลองไม่รู้...ถ้าได้ลองแล้วอาจจะติดใจก็ได้”
ชายหนุ่มนั้นรุกคืบต่อแถมยังขยับเข้าไปใกล้ จนเวทิตต้องขยับหนีก่อนจะชะงักเมื่อหลังของตนติดกำแพงห้องเข้าให้แล้ว
“ง่า...พี่อีธาน ผมว่าพี่เอาของไปเก็บที่ห้องพักก่อนดีไหมครับ แล้วค่อยคุยกันต่อ”
รวีที่เห็นอีธานรุกเร็วเกินคาดรีบห้าม หากแต่อีธานกลับไม่สนใจ เจ้าตัวขยับเดินเข้าหาแล้วเอามือเชยคางของเด็กหนุ่ม ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไป ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของแต่ละคนที่มองมา และมีบางคนเตรียมจะอ้าปากห้าม ทว่า...
ปึก!
เสียงบางอย่างดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ทรุดกายนั่งลงด้วยความจุก เพราะเวทิตนั้นยกเข่ากระแทกเอาที่ตรงท้องน้อยของอีกฝ่ายด้วยความตกใจปนฉุน
“ผมไม่ผิดนะ! ผมทำไปเพราะป้องกันตัวต่างหาก ใครใช้ให้พี่ชายของพวกคุณหื่นเองเล่า!”
เวทิตโพล่งลั่นใส่รวีกับเอริคที่จ้ำพรวดมาดูคนเจ็บ แล้วรีบวิ่งหนีกลับบ้านพักไป โดยมีเจตต์ที่วิ่งตามเพื่อนไปหลังจากหายตกใจ ส่วนเวหาที่ถูกรวีกึ่งบังคับกึ่งขอร้องให้กลับไปที่ห้อง ก็รีบลงมาดูด้านล่างเพราะได้ยินเสียงตะโกนของเพื่อนแว่ว ๆ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ได้มีนาและเมฆาที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟัง เขาจึงตัดสินใจตามเวทิตไปอีกคน เพราะกลัวเพื่อนจะโมโหจนหนีกลับบ้านไปเสียก่อน
ทางด้านของอีธานพอหายจากอาการจุกแล้ว เจ้าตัวก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอด้วยท่าทางที่ทำให้เอริคนึกเสียวสันหลังวาบแทนเวทิตขึ้นมาทันที
“ฮะ ๆ ถูกใจฉันจริง ๆ ด้วยแฮะ...ยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีกนะ”
“พี่อีธาน พี่เป็นมาโซหรือไงน่ะ ถ้าเด็กนั่นเล่นงานต่ำกว่านี้ พี่มีสิทธิ์เสื่อมสมรรถภาพได้เลยนะ”
รวีสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา ทีแรกเขาคิดว่าอย่างดีอีกฝ่ายก็น่าจะชกหรือตบ แต่เล่นใช้เข่าในตำแหน่งใกล้จุดหวาดเสียวแบบนั้น ก็ทำเอาเขาชักจะหวาด ๆ แทนอีธานในอนาคตเข้าให้แล้ว
“ฉันชอบปราบพวกพยศ ...ยิ่งแรง ๆ แบบนี้ยิ่งดี...ขืนยอมง่ายเกินมันก็น่าเบื่อไป”
อีธานบอกก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืนโดยปัดมือน้องชายที่เตรียมจะช่วยพยุงเขาลุก
“ไม่เป็นไร ...ฉันยืนเองได้”
บอกจบเจ้าตัวก็ยืดตัวขึ้นยืนตรงด้วยท่วงท่าสง่างาม จนทำให้ลืมสภาพก่อนหน้านั้นเสียสนิท
“แล้วเด็กนั่นล่ะ...อย่าบอกนะว่าหนีไปแล้ว”
รวีถอนหายใจเบา ๆ ส่วนทางเอริคก็เปรยบอกอย่างเอือมระอา
“ก็คงหนีกลับห้องของเขานั่นล่ะ คงกลัวไม่ผมก็พี่จะเอาเรื่องเขาล่ะมั้ง ...แต่ผมก็หวังว่าพี่คงจะไม่ไปเอาเรื่องเขาหรอกนะ เพราะกรณีนี้ดูยังไงพี่ก็ผิดเต็ม ๆ อยู่ดี”
อีธานหัวเราะเบา ๆ หลังจากที่ฟังน้องชายคนสุดท้องบ่นจบ เขาเดินไปตบบ่าอีกฝ่ายแล้วบอกตามมาอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ต้องห่วงน่า พี่ไม่ได้คิดเอาเรื่องเขาหรอก...อีกอย่างเมื่อครู่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะจูบจริงสักหน่อย ก็แค่อยากดูปฏิกิริยาจริง ๆ ของเขาแบบที่ไม่ต้องให้ใครมาคอยสอนให้ทำต่างหาก”
เอริคชะงักเล็กน้อย แต่ก็แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่ใส่ใจ เห็นดังนั้นอีธานจึงอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปทางรวีแทน
“งั้นนายพาฉันไปที่ห้องพักสิซัน ฉันจะได้เอาของไปเก็บ...แล้วจะได้ตามไปขอโทษเด็กนั่นสักหน่อย เพราะฉันเองก็ไม่อยากให้เขาหนีหน้าตั้งแต่วันแรกแบบนี้หรอกนะ”
“ง่า...ก็ได้ครับพี่”
รวีรับคำ ชายหนุ่มชักจะเริ่มรู้สึกผิดต่อเวทิตที่แนะนำอีธานให้ เพราะทีแรกเขาไม่คิดว่าอีธานจะจริงจังแบบนี้ อย่างดีอีกฝ่ายก็น่าจะแค่มาหยอกแล้วกันท่าไม่ให้เวทิตได้เข้าใกล้กับคนรักของเขาเกินจำเป็น หากแต่ใครจะรู้ว่าเวทิตจะดันไปจี้จุดให้อีธานสนใจตัวเองมากขนาดนี้ขึ้นมาได้
‘เอาเหอะ! ถ้าคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกันล่ะนะ!’
รวีคิดในใจ เพราะไม่อยากจะคิดมากให้วุ่นวาย ดูอย่างเจตต์กับเอริคที่ตอนแรกเด็กหนุ่มทั้งหนีทั้งกลัว ตอนนี้ก็ยังมารักหวานแหววกันจนนำหน้าคู่เขาไปด้วยซ้ำ ไม่แน่บางทีเวทิตอาจจะทำให้จอมเจ้าชู้อย่างอีธาน กลายเป็นคนรักเดียวใจเดียวในอนาคตข้างหน้านี้ก็เป็นได้
END(?)
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านทั้งภาคหลัก และตอนพิเศษกันจนจบนะคะ
สำหรับคู่นี้ เปิดตัวการพบกัน และตัดจบแบบให้คิดเอาเอง ไปก่อนว่าจะแซบขนาดไหน 555 เพราะจริง ๆ ถ้าแต่งต่อก็คงไม่ได้กลายเป็นตอนพิเศษ แต่จะงอกกลายเป็นภาคใหม่อีกคู่แน่ค่ะ เลยตัดแค่นี้ให้ไปจิ้นเอาเอง เอาไว้ คนแต่งว่างอยากหยิบมาขยายต่อ ก็คงได้อ่านกันยาว ๆ จุใจสำหรับคู่นี้อีกครั้งค่ะ แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวไปปั่นนิยายใหม่ แนวแฟนตาซีก่อนล่ะค่ะ ไว้ค่อยเจอกันใหม่นะคะ ^^
ป.ล. ถ้าสามารถปั่นตอนพิเศษงอกเพิ่ม ก็อาจจะมีรวมเล่ม แต่ถ้าไม่งอก ก็อาจจะทำอีบุคแจกให้เก็บไว้เหมือนภาคแรกค่ะ
-
:pig4: :pig4: :L2: :L2:
-
ว้า อยากอ่านอีกจัง แต่ถ้าคนเขียนยังไม่อยาก(เขียน)ก็ไม่เป็นไรจ๊ะ ยังไงก็รออยู่นะ
รู้สึกสนใจแมนชั่นผีสิงของเอียนซะแล้วสิ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
อ๊ายยยยยยยยยยยยยย มาต่อเถอะค่ะ
แบบนี้มันค้างน๊า
-
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ก็คอยต่อไปอย่างมีความหวังว่าจะเปลี่ยนจาก end เป็น tbc ซักวัน
อิอิ แบบว่าแซ่บมาก น่าติดตาม
เจอเข่าเข้าให้เป็นไงคะอีธาน :laugh: หลงเลย
ต้นเอ้ย นายพลาดดดดดดดแล้ว :hao7:
-
:call: :call: :call: สาธุ..ให้นักเขียนมาแต่งต่อทีเถอะ..อิอิ
-
ต้นเอ๋ย. เข่านี้แหละจุกจี้ดโดนใจพี่อีธานเข้าเต็มๆเลยจ้า. โถ่น้อง. หนีไม่พ้นแล้ว. พยศอีกๆพี่ๆชอบ
ขอบคุณมากมายค่ะ. เอาใจช่วยสำหรับโปรเจคใหม่แนวแฟนตาซีนะคะ
จะรอติดตามเช่นเคยค่ะ. :mew1:
-
คู่ของ เอริคกับน้องเจ หวานจนน้ำตาลขึ้นเต็มเลยนะ
ตอนพิเศษของ น้อวต้น ก็น่ารัก อยากอ่านต่อเพราะอยากรู้ส่า พี่อีธาน จะจีบ น้องต้น แบบไหนกันน้า
ปล. ขอบคุณ นักเขียน มากค่ะ สำหรับเรื่องนี้ แล้วจะรอเรื่องใหม่นะค่ะ
-
ตามอ่านจนจบแล้ว เรื่องน่ารักมากๆทั้งสองภาคเลย ขอบคุณที่นำมาลงให้้อ่านนะค้าา จะรอติดตามคู่ของพี่อีธานต่อนะค้าาาาาาาา
-
ไม่รอดแล้วล่ะต้นเอ๊ย :hao7: :hao7: :hao7:
-
เอริค กับ เจ น่ารักมากเลยครับ ..... อยากอ่านคู่ต้นกับอีธานเขียนต่อก็ดีนะครับ
ขอบคุณครับ
-
เค้าตามมาอ่าน ถึงต้นแล้ว...
ขอต้นต่อเถอะจ๊าาา :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
เค้ารอต้นตั้งนานแล้วววววววววววววววววว :hao4: :hao4: :hao4: :hao4:
-
อีดิท: ฉบับอีบุคฟรีตอนนี้ไม่มีแจกแล้วนะคะ แต่ยังอ่านในเว็บได้ตามปกติค่ะ ไม่ได้ลบอะไร
.
-
มาไวๆนะ คิดถึงแล้ว :katai4: :katai4: :katai4:
-
o13
-
น่ารักอ่ะ
-
อยากอ่าอีกกกกกกก :ling1:
-
มีภาคต่ออีกได้ไหมค่ะ
:a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
:z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
:z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
-
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:อยากอ่านอีกอ่ะคับขอภาคของต้นกับอีธาน
-
แหมมมม ซันรุกเร๊วเร็ว :hao3:
-
อีดิท: ฉบับอีบุคฟรีตอนนี้ไม่มีแจกแล้วนะคะ ... แวะมาลบลิ้งเผื่อใครมาขุดแล้วกดไปไม่เจอ อาจจะงง ๆ ได้ค่ะ
-
เรากลับมาดูก็เพิ่งเห้นว่ามีภาคต่อมาแล้ว อ้ายยยยย ชอบบบบ และขอบคูณมากงือออ :mew1:
-
เพิ่งจะเข้ามาอ่าน..แบบรวดเดียวน่ารักจัง...
-
:L2: :L2: :L2: :L2:
ขอบคุณสำหรับ E-book นะคะ
:impress3:
-
:mew1:
-
ขอบคุณสำหรับ E-book คะ :pig4: :กอด1:
-
o13