: CHAPER 16 : “โอม ขึ้นเลคเชอร์กัน”
ผมสะกิดเรียกไอ้โอมที่นั่งกินข้าวอยู่เมื่อเห็นว่ามันใกล้เวลาเข้าเรียนคาบเช้า ปกติแล้วเป็นคาบที่มีคนเรียนจริงๆ ไม่ถึงครึ่งห้องแต่เพราะอาจารย์เช็คชื่อทุกครั้งเลยมีความจำเป็นต้องเข้าไปตรงเวลาทุกครั้ง
“อ้าว มึงไม่รอพี่พรตเหรอ”
ไอ้โอมย้อนถามกลับมา
“ทำไมต้องรออ่ะ”
“ก็ปกติวันจันทร์เห็นเจอกันตลอด”
มันก็จริงที่ปกติแล้วพี่พรตกับผมจะได้เจอกันก่อนเข้าเรียนในเช้าวันจันทร์เพราะตารางเรียนของปีหนึ่งกับปีสามมีคาบเช้าที่ตรงกัน แต่วันนี้พี่พรตก็ยังไม่มาและผมคงไม่รอ ...เอาจริงๆ คือ หลังจากเจอมิวเมื่อวาน ถึงเขาจะเหมือนยอมปล่อยพี่พรตแล้วแต่ผมแอบรู้สึกผิดไม่ได้เมื่อได้รู้ว่ามีผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งชอบพี่พรตมากและผมเหมือนเป็นสาเหตุทางอ้อมที่ทำให้เขาเลิกกัน
“มึงมีปัญหาอะไรกันป่ะวะ”
ไอ้โอมคงเห็นผมดูกังวล แต่จริงๆ มันเป็นเรื่องในความคิดของผมเท่านั้นแหละ พี่พรตไม่เกี่ยวอะไรหรอก
“เปล่าๆ กูแค่อยากได้เวลาปรับความรู้สึกสักวัน”
โอมพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรต่ออีกก่อนจะยกจานไปเก็บแล้วเดินขึ้นห้องเรียนไปพร้อมกัน แต่ระหว่างที่มันเดินขึ้นบันไดมันก็หันกลับมาทางผมแล้วทำหน้าเหมือนกำลังชั่งใจว่าควรพูดหรือไม่พูดดี
“มึงระวังพี่พรตคิดมากนะเว้ย”
“อือ ขอวันเดียวแหละ พอดีกูรู้สึกผิดนิดหน่อย”
“กับแฟนเก่าน่ะเหรอ”
ไม่รู้ว่าไอ้โอมแม่งเดาถูกได้ยังไง แต่เอาเหอะ ผมไม่ว่าอะไรหรอกถ้ามันจะรู้เรื่องนี้ไปด้วย ผมพยักหน้าตอบไปโดยไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรให้มันฟัง แต่ไอ้โอมคงมีประสบการณ์อะไรแบบนี้มากกว่าผมมันเลยดูไม่ค่อยแปลกใจ
“แล้ววันนี้มึงอยู่รับน้องป่ะ”
“อยู่ดิ”
“อืม ดีละ เห็นพี่ย้ำนักย้ำหนาว่าอยากใหอยู่วันนี้”
พอได้ยินไอ้โอมพูดมาแบบนี้ทำเอาผมอดลุ้นไม่ได้ว่าพี่จะให้ทำอะไร อย่างน้อยการรับน้องวันนี้ก็ดึงผมออกจากความคิดเรื่องพี่พรตได้สักนิดก็ยังดี จะว่าไปแล้วช่วงนี้เห็นเพื่อนคณะอื่นลงรูปถ่ายกับสายรหัสบ้างแล้วแต่ไม่เห็นคณะเราจะมีการเฉลยสายรหัสอะไรกันสักที
“เออมึง พอจะรู้เรื่องสายรหัสบ้างมั้ยวะ”
“ไม่ว่ะ แต่เดี๋ยวก็คงมีแหละ”
“ดีๆๆ กูแอบลุ้นอยู่”
ไอ้โอมมองผมด้วยสายตาจับผิดก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เสียใจด้วยมึง เค้าแบ่งตามภาคว่ะ มึงจะไม่ได้สายพี่พรต”
...เฮ้ยเดี๋ยว ทำไมมันคิดว่าผอยากได้สายรหัสไอ้พี่พรตวะ แค่นี้ผมว่ามันก็เจอกันบ่อยแล้วนะ ถ้าได้เป็นสายรหัสนี่คงเบื่อกันชิบหาย
“กูไม่ได้อยากอยู่สายนั้นหรอก”
“ครับๆๆ คุณน้องนาย”
บางทีผมก็รู้สึกเกลียดมันว่ะ เดี๋ยวนี้พอรู้เรื่องผมกับพี่พรตแล้วมันก็ชอบล้ออะไรอย่างนี้มากขึ้น คือไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ทำบ่อยๆ กูก็เขินเหมือนกันโว้ย
“ขอให้มึงได้สายพี่จักร”
“ฮะ พี่จักรทำไมวะ”
“เปล๊า ก็เห็นพี่เขาเป็นเพื่อนพี่พรตไง”
ผมหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ถ้ามันคิดจะแซวผมกับพี่พรต ผมก็ขอชงอะไรกลับไปบ้างละกัน เอาให้มันสับสนเล่นสักนาทีสองนาที อย่างน้อยกเป็นความสุขของเพื่อน
“เออๆๆ เอาที่มึงสบายใจเลย”
หลังเลิกจากวิชาสตูดิโอตอนบ่าย ผมกับเพื่อนก็จัดแจงเปลี่ยนชุดแล้วลงมากินข้าวเย็นกันเพื่ออยู่กิจกรรมรับน้องของวันนี้ต่อ เมื่อลงมาถึงโรงอาหารแล้วผมแอบรู้สึกดีที่ไม่เห็นพี่ปีสามอยู่ในบริเวณนี้เท่าไหร่ คิดว่าพี่ๆ คงยุ่งกับการเตรียมกิจกรรมเยอะพอสมควร และอีกอย่างผมจะได้ไม่ต้องเจอพี่พรตด้วยแหละ ยังรู้สึกไม่ค่อยพร้อมยังไงไม่รู้ ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้ววางจานข้าวลงบนโต๊ะข้างๆ โอม
“เฮ้ยมึง ไปฉี่แปบ ฝากข้าวด้วย”
“เออ รีบหน่อยนะมึงพี่นัดรวมห้าครึ่ง”
ผมก้มดูนาฬิกาข้อมือแล้วเห็นว่ามันห้าโมงสิบกว่าแล้ว...โอ้โห ทำไมมันจะเหนื่อยทั้งวันเลยวะ ตั้งแต่ตรวจแบบส่งแบบจนมาถึงรับน้อง แต่ก็นั่นแหละ มันก็สนุกและคุ้มที่จะเหนื่อยแบบนี้แหละ
ผมเดินเร็วๆ ไปถึงห้องน้ำแล้วตรงไปล้างมือเพื่อเอาพวกเศษกาวเศษกระดาษจากการตัดโมออกไป แต่แล้วเมื่อผมเงยหน้ามองกระจก คนที่กำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำทำเอาผมตกใจจนเกือบหลุดสบถอะไรออกมา
...เชี่ย พี่พรตจะมาปวดฉี่อะไรตอนนี้วะ
“เฮ้ย ไอ้พรต”
ผมนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างที่ดลใจให้มีคนเข้ามาทักพี่พรตในตอนนี้ เลยทำให้หพี่พรตที่กำลังเดินเข้ามาหันไปหาต้นตอของเสียงทันทีก่อนจะสังเกตเห็นผม ผมเลยใช้โอกาสนี้รีบปิดก็อกน้ำแล้วเข้าไปหลบในห้องน้ำทันที
ไม่กี่อึดใจต่อมาผมก็ได้ยินเสียงพูดคุยของพี่พรตและเพื่อนคนนั้นค่อยๆ ดังขึ้นเหมือนเขากำลังเข้ามาในห้องน้ำกันทั้งคู่
“โห ละงี้ก็ชิลแล้วดิ”
“ก็ไม่หรอกพี่ ยังต้องพัฒนาแบบต่อ”
“แล้วช่วงนี้ชีวิตเป็นไงบ้าง”
“ผมก็เรื่อยๆ ปกติดี”
“แน่ใจนะ กูได้ยินไอ้พฤตมันบอกว่ามึงเพิ่งมีแฟนใหม่”
...เชี่ย ผมถึงกับกัดปากโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำถามนี้ ผมพอจะเดาได้ว่าคนที่พี่พรตกำลังคุยด้วยอาจเป็นรุ่นพี่พฤตที่จบไปสักสองสามปีได้ แล้วเรื่องของผมมันไปไกลขนาดนี้แล้วเหรอวะ
“อย่าเรียกว่าแฟนเลยพี่ จีบยังไม่ติดเลย”
คำพูดติดตลกของพี่พรตทำเอาผมอดยิ้มตามไม่ได้ ทำไมผมรู้สึกว่าคำปฏิเสธนี้มันน่ารักดี บางทีพี่พรตที่ดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ กลับดูให้เกียรติผมมากกว่าที่คิด ผมยังไม่ตกลงเขาก็บอกตามตรงว่าจีบไม่ติดไม่ใช่
“แล้วคนนี้เป็นไง”
“อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจดี เป็นตัวของตัวเอง...พูดอย่างนี้ก็ได้มั้ง”
ผมเผลอยิ้มกับตัวเองเป็นครั้งที่สอง รู้สึกเขินนิดๆ ที่พี่พรตพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ไอ้พี่พรตนี่ก็กล้าพูดนะว่าเป็นตัวของตัวเอง...แต่ผมเนี่ยแหละที่จะไม่เป็นตัวของตัวเอง ผู้ชายคนนี้มันยังไงไม่รู้ว่ะ ชอบทำให้ผมเขินกับตัวเองอยู่เรื่อย
“เออ พี่ ผมต้องไปเตรียมรับน้องแล้ว”
“โอเค งั้นไว้เจอกัน”
ผมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสีงผีเท้าของพี่พรตเดินออกไปจากห้องน้ำ ผมดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง...ชิบหาย นี่ห้าโมงยี่สิบห้าแล้ว ผมเลยรีบทำเป็นกดชักโครกแล้วเดินออกมาล้างมือ แต่แล้วผมก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ที่พี่พรตคุยด้วยเมื่อกี้ยังยือยู่
ผมก้มหนาก้มตาล้างมือเงียบๆ ถึงจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังมองมา ก่อนจะรีบเดินกลับออกไปด้านนอกทันที ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาเหมือนเดิม เมื่อกี้แม่งทั้งตื่นเต้นทั้งเขิน พูดไปก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ปกติผมจะไม่ใช่คนที่มีอารมณ์หลากหลายขนาดนี้เท่าไหร่
“ไอ้พราน มึงตกส้วมตายหรือยังไงวะ”
“พอดีเจออะไรนิดหน่อย”
พอผมเดินไปถึงโต๊ะ โอมก็รีบผลักจานพร้อมส่งช้อนส้อมมาให้ทันที ผมรีบรับไว้แล้วนั่งกินทันที
“รีบกินมึง อีกห้านาที”
“น้องเข้าได้เลยครับ”
เสียงของพี่ที่เป็นหัวหน้ากิจกรรมดังขึ้นพร้อมกับพี่ๆ เริ่มเข้ามายืนในลาน เพื่อนๆ จึงเริ่มทยอยมานั่งตรงกลางพร้อมเสียงพูดคุยที่ค่อยๆ ดังขึ้นๆ ผมกับโอมเดินเข้าไปร่วมกับเพื่อน บรรยกาศตรงนี้ครึกครื้นและสนุกแม้จะเป็นการนั่งรวมตัวกันธรรมดาก็ตาม ผมกวาดสายตามองทุกอย่างรอบตัวยิ้มๆ จะนับว่ามันเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของการรับน้องก็ว่าได้ ที่เมื่อถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนและรุ่นพี่ เมื่อวางความจริงและความเครียดไว้ที่อื่น ‘จะทำเชี่ยอะไรก็สนุก’
น่าเสียดายที่มันเป็นสิทธิ์พิเศษสำหรับปีหนึ่งเท่านั้น
เหลือเวลาอีกเท่าไหร่นะ...สองสัปดาห์?
“น้องครับ เข้าแถวแบ่งภาคเรียงตามรหัสเลย”
พี่นำกิจกรรมที่ปกติจะร่าเริงและเล่นมุกตลอดเวลา ตอนนี้กลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทำเอาทุกคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานรอกิจกรรมชักจะรู้สึกไม่ชอบมาพากลจนหยุดคุยกันไปโดยปริยาย ก่อนจะเข้าแถวเรียงเหมือนตอนจะขึ้นห้องเชียร์ตามคำสั่งเมื่อครู่
เมื่อเข้าแถวเรียบร้อยแล้ว พี่แต่ละคนก็เข้ามายืนประจำตรงหัวแถวของทุกแถว และพี่คนอื่นๆ ก็เริ่มเดินตรวจเครื่องแบบทีละคน
“น้องผูกเนกไทค์ให้เรียบร้อยด้วยค่ะ”
“ติดกระดุมแขนเสื้อด้วยครับ”
ผมกวาดสายตาสำรวจชุดนักศึกษาของตัวเองทันทีเมื่อเพื่อนด้านข้างโดนให้จัดเนกไทค์ใหม่ รู้สึกกดดันขึ้นมาทันทีเหมือนครั้งแรกที่ได้ขึ้นห้องเชียร์ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นก็ไม่ได้มีโอกาสขึ้นอีกเลย
...แล้ววันนี้ ทำไม?
“พี่ไลน์น้องเลยครับ”
เมื่อแถวแรกเดินนำไปที่บันไดขึ้นห้องเชียร์ เพื่อนที่รหัสติดกันก็แอบสบตากับผมด้วยความสงสัยซึ่งผมเองก็ไม่มีคำตอบอะไรให้กับเรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่มีใครตอบได้เลยว่า ทำไมจู่ๆ พี่ก็พาเข้าห้องเชียร์ทั้งที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์เป็นเรื่องเป็นราวเมื่อหลายวันที่แล้ว จะบอกว่าพี่ไม่เข็ดก็ไม่ใช่เพราะห้องเชียร์ที่มีทุกวันก็ถึงกับหยุดไปอาทิตย์นึงเต็มๆ
ไม่นานเกินรอ แถวของผมก็ถูกนำตามขึ้นไป ผมพยายามไม่หันมองซ้ายขวาเมื่อเห็นพี่ยืนคุมกันเป็นแถว แต่ความสงสัยของผมมีอยู่ไม่น้อยเลยเผลอแอบมองบ้างตามประสา
“มองทำเชี่ยอะไรวะ!”
...ชิบหาย
ผมถึงกับสะดุ้งแล้วรีบก้มหน้ามองทางทันที ไม่รู้ว่าพี่ว้ากอยู่ตรงไหนเพราะผมไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยสักครั้ง แต่เหมือนกับว่าจะตะโกนลงมาจากด้านบนซึ่งจะเงยหน้าขึ้นไปมองก็ยิ่งไม่ได้
ในที่สุดผมก็เดินมาถึงบริเวณหน้าห้องเชียร์ที่มีบรรยากาศมืดๆ และกดดันเช่นเคย เพียงแต่วันนี้นอกจากเสียงตวาดห้ามเมื่อครู่ก็ไม่ได้ยินเสียงเร่งให้เดินเร็วๆ ดังเดิม ทำเอาผมแอบรู้สึกไม่ชอบมาพากลยังไงไม่รู้ มันเหมือนไม่คุ้ยเคยเอาเสียเลย และเมื่อก้าวเข้าไปในห้องเชียร์ ผมก็ถึงกับเผลอเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
ห้องเชียร์วันนี้...สว่าง
แสงสว่างจากไฟนีออนเป็นเหมือนตัวประหลาดสำหรับห้องเชียร์แห่งนี้ ทุกคนที่เข้ามาใหม่ล้วนมองซ้ายขวาอย่างตกใจ แต่เมื่อโดนเสียงตวาดดังสนั่นของพี่ว้ากก็รีบก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองเสียยกใหญ่ บางทีผมก็เผลอลืมไปว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ว้าก ไม่ว่าจะเจอเรื่องแปลกประหลาดแค่ไหนก็จงทำตัวเหมือนปกติ
“พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ!!! กูบอกให้มองตรง!!!!”
ทุกคนเหมือนจะสะดุ้งพร้อมกันเมื่ออยู่ๆ พี่ว้ากก็ระเบิดเสียงขึ้นมาเหมือนอารมณ์เสียมากๆ รูปการณ์แบบนี้เรียกว่าไม่ค่อยดีแล้วล่ะครับ
“วันสุดท้ายแล้ว พวกมึงทำให้กูไม่ได้เหรอวะ!!!”
หากแต่ประโยคถัดมาทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปโดยสินเชิง ไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นหลังจากคำว่า ‘วันสุดท้าย’ และผมเชื่อว่าความเงียบนี้ไม่ได้มาจากคำสั่งแต่มาจากอาการตกใจและใจหายของทุกคน
เมื่อทุกคนเข้ามายืนเรียงแถวกับเรียบร้อยแล้ว ประตูห้องเชียร์ก็ถูกปิดลงและเสียงอันคุ้นเคยของพี่ว้ากก็ดังขึ้นสลับกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกเลยที่ผมจับได้ว่าเสียงพี่ว้ากนั้นมีทั้งหมดสี่คน
“พวกคุณอาจสงสัย ว่าวันนี้ผมเรียกมาทำอะไร”
ผมข่มใจอย่างที่สุดไม่ให้เงยหน้าไปมองว่าพี่ว้ากหน้าตาเป็นยังไง เพียงแต่เห็นแวบๆ ว่าเขายืนหลบมุมอยู่ใต้เงาของประตู
“พวกผมขอรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด...”
“...ด้วยการประกาศปิดห้องเชียร์”
ทั้งห้องเงียกริบเหมือนไม่มีใครกล้าสงสัยอะไรอีกเลย ห้องที่มีแสงไฟสว่างชัดกลับให้ความรู้สึกเหมือนห้องที่มืดสนิท
ห้องเชียร์ของรุ่นผมคงจะจบแค่ตรงนี้จริงๆ
“และผมต้องขอบคุณพวกคุณ....”
เสียงพี่ว้ากพูดถึงแค่นี้ เสียงของพี่ปีสามทั้งรุ่นก็ดังขึ้นพร้อมกันเป็นเพลงประจำคณะ ผมรู้สึกเหมือนทั้งตัวชาวาบ เป็นความรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มอย่างทะนุถนอม ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ไล่สายตามองรุ่นพี่ที่ยืนรายล้อมรอบทั้งห้องไปทีละคนๆ เห็นหยาดเหงื่อทุกหยด เห็นความตั้งใจของทุกคนที่พยายามร้องอย่างสุดเสียง และในวินาทีนั้นริมฝีปากของผมก็เริ่มขยับตาม เสียงของนักศึกษาสองรุ่นดังผสานกันอย่างพร้อมเพรียง เป็นบทเพลงที่ร้อยเรียงคำขอบคุณของคนกว่าสี่ร้อยชีวิตไว้ด้วยกัน
การร้องเพลงบูมคณะครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ผมจะจดจำไปตลอด เป็นฉากจบที่งดงามที่สุดเท่าที่กิจกรรมห้องเชียร์จะให้พวกเราได้
ในที่สุดเมื่อเพลงจบลง ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นเดิม แต่ความเงียบในครั้งนี้ปะปนไปด้วยความตื้นตันและเสียงสะอื้นเบาๆ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องยืนนิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเสียงของพี่ว้ากจะดังขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะ ผมจะขอถามเป็นครั้งสุดท้าย....”
“พวกคุณ... ยินดีรับผมเป็นรุ่นพี่รึปล่า!!”
“สอถอศูนย์หนึ่ง!”
“รับครับ!!”
“สอถอศูนย์สอง!”
“รับครับ!!!”
“สอถอศูนย์สาม!”
“รับค่ะ!!!”
“สอถอศูนย์สี่!!”
“รับครับ!”
“สอถอศูนย์ห้า...”
หลายคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อพี่ว้ากตะโกนสุดเสียงขานรหัสของทุกคนไปทีละคนๆ โดยไม่สนใจว่าเสียงจะเริ่มแหบไปตั้งแต่สิบคนแรก เมื่อเสียงใกล้หมดจนตะเบ็งออกมาไม่ได้ พี่ว้ากอีกคนก็รับช่วงขานต่อไปเรื่อยๆ จนเสียงหมดเช่นกัน
“สอนอสามสิบสี่!!!”
เสียงของรุ่นพี่ที่แหบจนต้องเค้นออกมาอย่างยากลำบากนั้นขานรหัสผมสุดเสียง
“รับครับ!!!!”
ผมได้ยินเสียงตัวเองตอบไปอย่างมั่นใจและดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือผมสั่นด้วยความตื้นตั้นที่อธิบายไม่ถูก และเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต
หากห้องเชียร์จะจบลงทันทีหลังจากคำว่า ‘รับครับ’ ของผม ผมก็จะไม่เสียใจอะไรอีกเลย
ช่วงเวลาในห้องเชียร์ผ่านไปในที่สุด ใบหน้าผมและเพื่อนที่ค่อยๆ เดินลงมาจากชั้นบนล้วนมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงครั้งแรกที่ผเดินลงมาจากห้องเชียร์ท่ามกลางเสียงบ่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ของเพื่อนร่วมรุ่น น่าแปลกที่เหตุการณ์ไม่กี่นาทีนั้นทำให้ผมรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคนมากขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าจะสามารถหันไปยิ้มกับเพื่อนที่ยืนข้างๆ ได้เหมือนที่ผมทำกับเพื่อนสนิท
มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับคนเพื่อนน้อยอย่างผม
“พราน มึงจะกลับยัง”
ขณะที่ผมกำลังมองเพื่อนไปเรื่อยโอมก็เดินเข้ามาถาม ผมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“กูยัง”
“มึงอยู่รออะไรวะ งั้นกูกลับก่อนนะ”
ผมพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร จนเมื่อโอมเดินออกไปสักพัก เพื่อนคนอื่นๆ ก็ทยอยกลับกันไปจนเหลืออยู่ไม่กี่คน ผมจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่าผมรอ ‘ใคร’
...ตอนนี้ยังจำเป็นอยู่รึเปล่า
แต่เมื่อผมกำลังตัดสินใจไม่รอ เสียงของรุ่นพี่ปีสามก็ค่อยๆ ดังขึ้น ทำเอาผมหันกลับไปมองทันที จึงได้เห็นกลุ่มของพี่ๆ กำลังเดินลงมาจากชั้นบน รวมถึงกลุ่มของพี่พรต
ผมยกมือไหว้พี่จักรและพี่ในกลุ่มโดยพยายามจะไม่สบสายตากับพี่พรตโดยตรง ด้วยยังรู้สึกไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน ซึ่งดูเหมือนว่าคนอื่นในกลุ่มพรตจะไม่ได้สังเกตเรื่องนี้และเดินเข้ามาหาผมตามปกติ
“เป็นไงบ้างพราน”
คำถามนี้ผมจะตอบยังไงดี
“ก็...ดีครับ”
ผมคิดอะไรที่นอกเหนือจากคำว่า ‘ดี’ ไม่ได้จริงๆ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เก็บไว้เองคนเดียวจะดีกว่า
แต่ประโยคถัดมาของพี่จักรก็ทำให้ผมนิ่งค้างไปทันที
“ฮ่าๆๆ ดีก็ดีแล้วล่ะ ไอ้พรตออกมาจากห้องเชียร์เสียงแหบจนไปใบ้ไปละ”
“...”
“กูบอกให้พอมันก็จะเอาถึงรหัสพรานให้ได้”
“...”
คำพูดของนี้เหมือนแทงลึกเข้าในจิตใจทันที ผมก้าวเข้าไปหาคนตัวสูงกว่า สบตากับเขาด้วยสายตาที่มีความรู้สึกหลากหลายตีกันไปหมด ก่อนจะค่อยๆ โอบรอบตัวเขา และเหมือนเขาจะรับรู้ด้วยการโอบกลับเช่นเดียวกันพร้อมกดใบหน้าลงกับไหล่ของผม
และโดยไม่รู้ตัว ผมได้ยินเสียงของตัวเองพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ขอบคุณครับพี่พรต”
--------------------------------------------------------------------------------------
หายไปนานเป็นชาติเลย ฮื้ออ คิดถึงมากๆๆๆๆๆ จะขอชดเชยด้วยตอนนี้ละกันเนอะ
ฉากในห้องเชียร์เขียนยากเพราะต้องดึงความรู้สึกตอนนั้นมาใช้เยอะ เหมือนเราถ่ายทอดผ่านทางพรานก็ว่าได้
ตอนรับน้องนี่พีคมากๆ มีความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิตเกิดขึ้นสองที และมันอธิบายไม่ได้จริงๆ
เขียนไปก็อินไป การบูมล้อมของพี่ยังติดหูจนถึงทุกวันนี้ ประทับใจมากจริงๆ ค่ะ
ใครว่าปีสองไม่หนัก สำหรับเราก็ยังว่าหนักอยู่ดีค่ะ *หัวเราะทั้งน้ำตา*
วันนี้เป็น'วันแรกและวันเดียว' ในเทอมนี้จริงๆ ที่ได้หยุดโดยไม่มีงานด่วนเพราะมิดเทอมก็เพิ่งผ่านพ้นไป
(แต่ไม่ใช่จะไม่มีงาน วันนี้แต่งนิยาย พรุ่งนี้ใช้กรรมค่ะ ถถถถถ)
สำหรับคนที่ยังรอ ขอบคุณมากๆ นะคะ ซาบซึ้งใจจริงๆ

แล้วเจอกันค่า