:: CHAPTER 13 :: [พรต] “พรต เล่าให้พี่ฟังหน่อย”
ผมเงยหน้ามองคนที่กำลังทรุดตัวลงนั่งข้างๆ หลังจากที่ผมคุยกับพ่อเสร็จและกำลังนั่งพยายามสงบสติอารมณ์อยู่
พี่พฤต...พี่ชายผู้แสนดี เพียบพร้อมไปด้วยประวัติสวยหรู ความภาคภูมิใจของครัว ทุกอย่างเท่าที่คนๆ นี้ทำจะทำให้คนอื่นภาคภูมิใจที่ได้เกี่ยวข้องกับเขา
พี่ชายของผมจะเป็นคนนั่งปลอบเสมอหลังจากโดนพ่อหรือแม่ดุ เพราะความ ‘แสนดี’ นี่ไง ที่ทำให้ผมทั้งรักทั้งหมั่นไส้เขาไปในตัว เกลียดที่เป็นคนเพอร์เฟ็คเพียบพร้อมและเป็นที่รักของคนทั่วไป แต่ยังรู้สึกมีบุญคุณอยู่ในฐานะที่เขาเป็นคนๆ เดียวในโลกที่จะมานั่งข้างๆ ผมและพูดคุยกันอย่างจริงจัง
ไม่ว่ามีปัญหาอะไรพี่พฤตก็จะมา
“พี่เห็นพ่อโกรธมากเลยนะ”
ผมเหลือบไปมองพี่พฤต ยังไงพ่อสมควรโกรธอยู่แล้วล่ะ เขารับไม่ได้หรอกว่าลูกตัวเองทำให้น้องเป็นลม แล้วยังประโยคสุดท้าอีกล่ะ นั่นคงพอที่จะทำให้พ่อแทบเป็นบ้าไปเลย
“รับน้องมันก็มีปัญหาแบบนี้แหละ เพื่อนพี่ก็...”
“พี่พฤตหยุด!”
“หยุดอะไรพรต ทำไมพูดแบบนี้”
สิ่งหนึงที่ผมเกลียดมากที่สุดคือ คำปลอบโยนเหมือนเข้าอกเข้าใจกันของคนที่เรียกได้ว่าเป็นสาเหตุของทุกเรื่อง ถ้าพี่พฤตดีน้อยกว่านี้สักครึ่ง ถ้าไม่เก่งสักเรื่อง ทำไม่ได้สักเรื่อง ผมคงไม่โดนนำมาเปรียบเทียบและด่าทออย่างน่าสมเพชแบบนี้หรอก
แล้วยังมีหน้ามาปลอบผมอีก
ผมคงจะเกลียดตัวเองพอๆ กับที่เกลียดคำปลอบโยนเหล่านั้น เพราะเป็นผมเองนี่แหละที่ยอมให้ตัวเองเล่าความทุกข์ให้พี่ชายฟังตั้งแต่เด็ก ยอมให้พี่ชายเข้ามาช่วยทำการบ้านทำโปรเจกต์เพื่อให้มีผลงานที่ดีพอที่พ่อจะไม่ด่า ตั้งแต่เด็กผมก็เคยชินกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจนเพิ่งจะมารู้สึกเอาตอนนี้ว่ามันควรจบได้แล้วล่ะ
การต่อต้านในใจของผมแรงขึ้นเรื่อยๆ และนั่นทำให้ตัวผมเริ่มสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมพยายามจับตัวเองไว้ให้มันหยุดอย่างที่ทำมาตลอด แต่แล้วก็มีมือหนึ่งจับลงที่ไหล่ของผมเหมือนพยายามช่วย ผมปัดออกทันที
“ออกไป”
“...”
“ผมอยากอยู่คนเดียว”
พี่พฤตชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะระบายลมหายใจยาวๆ เขาไม่ได้เดินออกไปไหนแต่กลับนั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้นแทน
คำว่า ‘อยากอยู่คนเดียว’ เป็นคำที่ผมอยากจะพูดกับพี่พฤตที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยกล้าพอที่จะปัดความช่วยเหลือของพี่ให้พ้นตัวแต่แล้วผมกับ...ไปลงกับอีกคนก่อน
คิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาหาผมเหมือนคลื่นลูกใหญ่ ผมควรจะยั้งสติให้ทันก่อนพูดอะไร แต่ดูเหมือนนาทีนั้นผมไม่ค่อยรับรู้อะไรเท่าไหร่ ถ้าหากว่าพรานไม่เข้ามาจับไหล่เหมือนที่พี่พฤตชอบทำ ผมคงไม่พูดไปแบบนั้นและพรานคงไม่วิ่งออกไปแบบนั้น
ผมจะไม่โทษว่าการจับไหล่เพื่อปลอบมันเป็นปมในใจที่มีกับการปลอบโยนของี่ชายซึ่งเป็นตัวเปรียบเทียบอันสมบูรณ์แบบของผม จะไม่บอกว่าพรานมาอยู่ผิดที่ผิดเวลา ผมไม่มีข้ออ้างอื่นนอกเสียจากยอมรับว่าตัวเองพูดไปโดยไม่มีสติจริงๆ เลยทำให้ไประเบิดอารมณ์ใส่คนที่ผมควรจะดีด้วยที่สุด
มันเป็นพฤติกรรมมนุษย์ที่ผมนึกรังเกียจที่สุด เมื่อเรารู้สึกสบายใจและไว้วางใครมากๆ เมื่อเราเห็นว่าเขาสำคัญ เราก็มักจะพูดจากับเขาไม่ดีเท่าเดิม ทำตัวไม่ดีกับเขา เปิดเผยด้านที่ไม่ดีของตัวเองให้เขา เหมือนกับที่หลายคนมักจะเถียงคนใกล้ตัวด้วยถ้อยคำรุนแรง ในขณะที่พูดจาอย่างดีกับคนที่เพิ่งรู้จักไม่นาน ความจริงแล้วคนที่เป็นห่วงเราที่สุดไม่ใช่หรือ ที่สมควรได้รับการปฏิบัติที่ดีกลับคืนไป
ผมรู้ว่ามันหมายถึงการเปิดใจ การเปิดเผยพฤติกรรมที่ฝังลึกในจิตใจที่ดูดีให้ใครสักคนรับรู้ แต่ในการเปิดใจนั้น ทำไมถึงต้องมีการทำร้ายจิตใจของคนอื่นด้วย มันเหมือนกับการที่เราต้องใช้ดาบอันคมกริบกรีดลงไปเพื่อเปิดทางให้ตนเองก้าวเข้าไปอยู่ในใจของอีกคนหรือเปล่า แน่นอนว่าเขาคงจะเจ็บบ้าง แต่เมื่อเข้าไปแล้วเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่จิตใจของเขา
การที่คำพูดของผมทำร้ายพราน ผมจะถือว่ามันเป็นการเปิดทางเข้า และตอนนี้นี้ผมก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ตัวเองจะกรีดจิตใจของตัวเองให้พรานเข้ามาเช่นเดียวกัน
“เฮ้ย ใจเย็นดิ”
“พรตบอกว่าอยากอยู่คนเดียว”
“เมื่อกี้คุยกับพ่อแม่น้องปีหนึ่งให้แล้ว”
“...”
“พี่กับแม่แทบจะไหว้เขาเลยล่ะ”
พี่พฤตพูดแบบนี้คงคิดว่าผมจะรู้สึกผิด แต่ผมกลับไม่คิดว่ามันเป็นบุญคุณอะไรแม้แต่นิดเดียว
“...”
“สุดท้ายเขาโอเคว่าจะไม่ฟ้อง แต่บอกว่าให้ไปขอโทษ”
ผมควรจะยอมขอโทษใช่ไหม อย่างน้อยก็ให้เรื่องมันจบๆ ไปโดยไม่เป็นเรื่องใหญ่ ถึงในใจจะคิดว่า ถ้าไม่เป็นพ่อแม่หรือพี่ชายตัวผมเองนั้นจะได้รับการลดหย่อนอะไรแบบนี้หรือเปล่า พวกฐานะหรือเส้นสายในสังคมช่างน่าเบื่อ
“โอเค พรตจะทำ”
...อย่างน้อยก็เพื่อรุ่นละกันวะ
พอตกลงกันได้แล้วผมเลยตั้งใจจะปลีกตัวไปบอกข่าวให้เพื่อนรู้กันก่อนว่าผมจะเคลียร์เอง แต่พอกำลังจะเดินไปเท่านั้นแหละ พี่พฤตก็คว้าแขนผมเอาไว้ก่อน
“แล้วที่พูดกับพ่อหมายความว่าอะไร”
“พี่พฤตได้ยินเหรอ”
พี่พฤตพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเหมือนรู้ทัน ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ยืนคุยกับพ่อ ทั้งเรื่องปัญหารับน้อง เรื่องครอบครัว เรื่องพราน...
พี่พฤตยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนตกใจที่ห้ามไว้ไม่อยู่ของผม ตอนนั้นนอกจากพ่อแล้วผมไม่คิดว่าจะมีใครมาได้ยินอีก ตอนนี้ก็เอาแล้วไง คนอย่างพี่พฤตไม่ยอมปล่อยให้ผมมีความลับอะไรหรอก
“มีคนที่ชอบแล้วเหรอ”
“...”
“พี่จะพลาดได้ไงล่ะ เรื่องใหญ่ของน้องชายเชียวนะ”
“อือ” ผมพยักหน้ารับ
“เฮ้ยย พี่ไม่เคยได้ยินพรตพูดว่าชอบใครเลยนะ”
สีหน้าตื่นเต้นจนเกินเหตุของพี่พฤตทำเอาผมยิ้มออกเป็นครั้งแรกของวัน ยังไงพี่พฤตคนนี้ก็เป็นพี่ชายของผม ยังไงคนที่เป็นต้นเหตุของการเปรียบเทียบทั้งหมดก็ยังเป็นพี่ที่ดูตื่นเต้นกับเรื่องของผมราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
ความใส่ใจนั้นทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อย
“เออดิ เป็นคนแรกที่พรตอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ”
“เค้าเป็นคนยังไง”
ถ้าจะให้ตอบว่าพรานเป็นคนยังไงงั้นเหรอ...
“ใจดี แกล้งสนุกมาก ก็ไม่ใช่คนกว้างขวางเท่าไหร่แต่ทำกิจกรรม”
“โห หน้าตาเคลิ้มเชียว เพิ่งชอบเค้าเหรอ”
“ก็รู้จักกันสักพักแล้ว แต่วันนี้มีเรื่องนิดหน่อย เลยเพิ่งมาคิด”
พี่พฤตหรี่ตาลงเหมือนพยายามจะจับผิดอะไรบางอย่างในคำพูดของผม แต่สุดท้ายกลับเอ่ยปากถามอีกคำถามขึ้นมาแทน
“บอกชื่อได้ป่ะ”
มีความลังเลบางอย่างเกิดขึ้นเหมือนผมไม่อยากให้ใครได้รู้ แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของพี่ชายแล้ว ผมเลยตัดสินใจปัดความคิดนั้นก่อนและพูดออกมา
“เขาชื่อนายพราน เป็นน้องปีหนึ่ง”
แต่แล้วสายตาของผมก็เผลอไปสบตากับ ‘เจ้าของชื่อ’ ที่จู่ๆ ก็เดินเลี้ยวเข้ามาในทางเดินนี้เหมือนรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเขาก็ชะงักฝีเท้าทันทีเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง และเมื่อสายตาของเราสบกันแล้ว เขาก็ถอยหลังสองสามก้าวแล้ววิ่งออกไปทันที
...เดี๋ยวก่อน!!! “พรต!”
ในวินาทีนั้นผมก็ออกวิ่งตามเขาไปทันทีโดยไม่สนใจว่าจะยืนคุยกับพี่พฤต หรือจะมีเรื่องอะไรที่ยังพูดไม่จบ ต้องเป็นตอนนี้เท่านั้นที่ผมจะสามารถแก้ไขอะไรได้ก่อนพรานจะโกรธผมไปมากกว่านี้ ก่อนที่พรานจะเก็บคำพูดนั้นไปนั่งคิดมากคนเดียวแบบที่ชอบทำอยู่บ่อยๆ ผมยอมรับเลยว่าผมไม่เคยต้องการที่จะคุยกับพรานมากเท่าครั้งนี้
ผมวิ่งไปจนสุดทางเดินและหักเลี้ยวไปทางขวาตามที่เห็นพรานวิ่งไป และเมื่อเลี้ยวไปผมก็เห็นแผ่นหลังไวๆ วิ่งเลี้ยวไปอีกทางพอดี ผมหอบหายใจออกมาก่อนจะเร่งฝีเท้าตามไปอีกที แต่เหมือนพรานเองก็จะไม่หยุดด้วยเช่นกันแม้จะรู้ว่าผมวิ่งตามมาเพราะเสียงฝีเท้าที่ของเขายังคงดังต่อเนื่องตามทางเดิน
ผมยังคงเร่งความเร็วของตัวเองเรื่อยๆ แม้จะหอบเหนื่อยมากกว่าเดิม ผมเริ่มเข้าใกล้พรานมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงในระยะที่แขนผมสามารถเอื้อมไปถึงตัวของเขาได้ ผมจึงใช้สองมือรวบตัวของพรานไว้จากด้านหลังทันที
“พรานหนีทำไม”
คำถามของผมไม่ได้รับคำตอบอยู่สักพักหนึ่ง และเมื่อเสียงหายใจแรงๆ จากความเหน็ดเหนื่อยเบาลงบ้างแล้ว พรานก็เริ่มขยับตัวให้หลุดออกจากแขนของผมซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ยอม พรานจึงหยุดและตอบลับมาอย่างช้าๆ
“แล้วพี่พรตตามมาทำไม”
คำพูดนี้ทำเอาผมเป็นฝ่ายนิ่งไปเสียเอง คำตอบน่ะมีแน่นอนอยู่แล้ว แต่เหมือนอารมณ์ของพรานตอนนี้มันน่ากลัวยังไงไม่รู้ เพราะผมไม่เคยเจอพรานถามย้อนหรือมีน้ำเสียงจริงจังแบบนี้มาก่อน ผมเลยตัดสินใจคลายแรงที่กอดพรานไว้ แล้วหันตัวเขากลับมาเผชิญหน้าแทน
และเขาไม่ยอมมองหน้าผม
โอเค เขาอาจเกลียดผมไปแล้ว แต่อย่างน้อยผมอยากไถ่โทษเรื่องที่เคยปฏิเสธความหวังดีของเขา ไม่อยากให้มีเรื่องค้างคาใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“นายพราน”
“...”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
[พราน] ผมนั่งลงข้างๆ พี่พรตทั้งที่ความจริงยังอดเสียใจอยู่ไม่ได้ที่เขาออกปากไล่ผมคราวก่อน ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมการพยายามจะทำให้ใครสักคนรู้สึกดีมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วมาวันนี้หลังจากที่ผมรู้ว่าเดินสวนกับพ่อแม่พี่พรต มันคล้ายกับเป็นลางสังหรณ์น่ะครับว่าเหมือนมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น เลยรีบวิ่งลงมาข้างล่างและเดินหาอยู่นานามาก จนผมได้ไปเห็นพี่พรตกำลังพูดชื่อของผมอยู่กับใครอีกคนที่ไม่ใช่พ่อแม่
ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมที่วิ่งหนีมาก่อนเป็นฝ่ายต้องการคำอธิบายเสียเอง
ทั้งเรื่องพี่พรตเอง เรื่องรับน้อง เรื่องมิว และเรื่องของผม
“มีเรื่องอะไรอยากถามมั้ย”
ผมหันไปมองพี่พรตอย่างอึ้งๆ เหมือนเขาจะรู้ตัวดีว่าก่อความสงสัยให้ผมไม่น้อย ผมเลยพยายามเรียบเรียงความคิดไว้เป็นข้อๆ เพื่อไม่ให้คำถามตีกันมั่วเกินไป
“คนเมื่อกี้เป็นใคร”
“พี่พฤต เป็นพี่ชายกูเอง”
“ผมหมายถึง มีอะไรพิเศษกว่านั้นมั้ย”
ผมเห็นพี่พรตนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะให้คำตอบเหมือนจะระบายทุกอย่างออกมาด้วยความอัดอั้น
“พี่พฤตห่างจากกูห้าปี จบด้วยเกรดสามจุดเก้า เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของปีนั้นแล้ว งานไม่เคยต่ำกว่าบีบวก เข้าทำงานกับบริษัทของพ่อแม่ ตอนนี้เป็นคนระดับบริหาร อ้อ...เป็นคนหล่อมีเสน่ห์ เลยได้ถ่ายละครตั้งแต่สมัยเรียน ตอนนี้ยังรับงานเดินแบบกับงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่เพราะไม่ค่อยว่างแล้ว รู้จักคนกว้างขวาง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ทำอะไรก็ราบรื่นไม่มีปัญหา”
“..”
“และพ่อแม่ภูมิใจมาก”
ยอมรับว่าประวัติของพี่พฤตทำเอาผมอึ้งและชื่นชมอยู่เหมือนกัน แต่การที่พี่พรตต่อประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลงเหมือนเจ็บปวด ผมเลยไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดอะไร
“ถามต่อสิ”
เมื่อพี่พรตพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมก็คงจะถามต่อ ถึงมันจะเป็นอะไรที่อาจฟังดูละลาบละล้วงและเป็นส่วนตัวไปหน่อย แต่ผมรู้สึกค้างใจตั้งแต่ตอนขึ้นไปเยี่ยมน้ำแล้ว
“คือผมรู้สึกคุ้นหน้าพ่อแม่พี่พรตมาก เลยกำลังคิดว่าอาจเคยเจอที่ไหนมาก่อน”
“อ้อ ต้องเคยเห็นอยู่แล้วล่ะ”
มาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มไม่เข้าใจ หรือว่ามีตอนไหนที่เราเคยเจอกันแล้วผมจำไม่ได้หรือเปล่า
“เด็กถาปัดส่วนใหญ่รู้จักพ่อกับแม่ เอ่อ...จริงๆ แล้วอาจทั้งครอบครัวรวมถึงกูด้วย คือพ่อกับแม่กูเป็นคนก่อตั้งบริษัท L Arch”
...เชี่ย
ทำไมผมไม่รู้มาก่อนเลยวะ บริษัทนี้ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทสถาปนิกที่ได้รับการยอมรับมากมายกว้างขวางและได้ร่วมทำงานกับชาวต่างชาติอยู่หลายโปรเจกต์ ผมยังเคยไปดูนิทรรศการของบริษัทนี้อยู่ครั้งหนึ่ง เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมผมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาพ่อแม่ของพี่พรตเหลือเกิน
ผมหันไปมองพี่พรตอีกรอบ ไม่น่าเชื่อว่าคนขี้แกล้งที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่เป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทที่มีชื่อเสียง เพราะที่ผ่านมาเขาทำตัวธรรมดาและกวนตีนมาก
“พราน กูยังเป็นคนเดิมอยู่นะ”
ได้ยินแบบนี้ผมถึงกับยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าลูกชายเจ้าของบริษัทชื่อดังจะกลัวการมีชื่อเสียงของตัวเองเหลือเกิน
“ก็ไม่ได้บอกว่าเปลี่ยน แค่ตกใจเฉยๆ”
“โอเค แล้วไป”
เขาเหมือนผ่อนคลายอย่างมากเมื่อรู้ว่าผมไม่ได้เห็นเขากลายเป็นคนอื่น และผมก็รู้สึกเหมือนได้รู้จักเขามากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็นั่นแหละ ยังเหลืออีกประเด็นนึงที่ค้างคาใจมานานกว่านั้น และคงเป็นคำถามที่คงจะละเอียดอ่อนในความรู้สึกของพี่พรตพอควร
“พีพรต”
“หืมม?”
“พี่คบกับมิวจริงๆ เหรอ”
ผมแทบกลั้นหายใจระหว่างรอคำตอบ พี่พรตเงียบไปนานมาก จนผมรู้สึกอึดอัดเหมือนอยากหายไปจากตอนนี้และแอบคิดว่าไม่น่าถามคำถามนี้เลย แต่ไม่นานหลังจากนั้น พี่พรตกลับถอนหายใจเบาๆ และหันตัวกลับมานั่งมองผมตรงๆ
“เอ่อ...พี่พรตไม่ต้องเล่าก็ได้”
“ไม่เป็นไร กูกะจะเล่าอยู่แล้วล่ะ”
“...”
“คือ อย่างที่บอกแหละว่าพ่อแม่กับพี่กูประวัติดีกันทั้งครอบครัว เหมือนมีคนรู้จักเยอะ พ่อแม่เลยเลี้ยงมากับการสร้างชื่อเสียง อธิบายไงดีวะ...เหมือนจะต้องการให้เป็นคนเพอร์เฟ็คเป็นหน้าเป็นตาในสังคม เช่นแบบ เรียนดี ทำกิจกรรมได้ดี อะไรแบบนี้”
“...”
“แล้วพอดีพี่พฤตก็ทำได้อย่างที่พ่อแม่ชอบ พวกเพื่อนพ่อเพื่อนแม่ คนอื่นๆ ก็ชื่นชมพฤตไปด้วย อารมณ์เหมือนลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่ลูกคนที่สองอย่างกูทำไม่ได้ไงเลยโดนเปรียบเทียบตั้งแต่เด็ก อะไรก็ไม่ดีเท่าพี่พฤต จริงๆ กูเป็นคนระดับปกติทั่วไปเลยอาจไม่ดีพอสำหรับความคาดหวังของพ่อแม่มั้ง ก็มีพี่พฤตแหละที่เข้ามาปลอบมาช่วยทำงานให้เกรดมันออกมาดีพอสำหรับมาตรฐานพ่อแม่”
“...”
“แต่มึงเข้าใจป่ะ กูอึดอัดที่ต้นเหตุของการเปรียบเทียบแม่งเป็นคนมาปลอบกู เป็นพี่ที่ดีชิบหายจนทำให้กูรู้สึกผิด ทั้งรักทั้งเกลียดว่างั้น”
ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองรึเปล่าแต่เหมือนพี่พรตจะเริ่มตัวสั่นขึ้นมาอีกรอบ บางทีอาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเครียดมากๆ ผมเหลือบไปมองมือของพี่พรตที่สั่นนิดๆ อย่างคุมไม่อยู่ คราวนี้ถ้าจะทำอะไรให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง ผมคงไม่จับที่ไหล่เด็ดขาด
ผมค่อยๆ เลื่อนมือไปจับมือของพี่พรตเอาไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้ว่าเขาจะไล่ผมเหมือนที่เคยทำรึเปล่าหรือจะมองผมด้วยสายตาแบบไหน แต่ทันทีที่มือสัมผัสกัน พี่พรตก็เป็นฝ่ายรวบมือของผมไปจับไว้แน่นราวกับว่ามือของผมเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่เขามี
“พี่พรต...”
“กูคบกับมิวตั้งแต่ม.ห้า เป็นคนขอคบเอง ไม่มีใครมาบังคับหรอก”
“...”
“โอเค อาจว่ากูเลวก็ได้ ปีนั้นพี่พฤตทำงานได้ดีมากทำให้กูโดนเปรียบเทียบมากกว่าเดิม ส่วนพี่พฤตที่ทำได้ดีไปซะทุกด้านกลับเริ่มมีข้อเสียเรื่องผู้หญิง เหมือนเขาเปลี่ยนแฟนบ่อยมากในปีนั้น”
“...”
“ตอนนั้นกูเลยเริ่มสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาใหม่ จะเป็นยังไงก็ช่างแต่พ่อกับคนภายนอกต้องมองกูว่าเป็นคนรักเดียวใจเดียวบูชาความรัก ต้องมีแฟนดี ซึ่งเป็นอย่างเดียวที่พอจะดีกว่าพี่พฤตได้”
พี่พรตบีบมือผมแน่นขึ้นอีก
“พอดีมิวเป็นลูกเพื่อนแม่ที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน คือกูเคยเห็นมิวมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นผู้หญิงที่อยู่ด้วยง่ายและกูคิดว่าคงจะอยู่กับเค้าหลายๆ ปีได้ คิดว่าอีกหน่อยคงชอบกันไปเอง แต่กูคิดผิดเพราะเวลามีผู้หญิงคนอื่นเข้ามากูไม่ได้รู้สึกมีภาระติดพันอะไร กูยังรู้สึกว่าอยากรู้จักอยากลองคบ อยากลองดูว่าคนไหนจะหยุดกูได้ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้มีสามแต่กูยังไม่รู้สึกว่าใครโอเค”
คำสารภาพอย่างตรงไปตรงมาของพี่พรตทำเอาผมคิดว่าถ้ามิวมาฟังอยู่ตรงนี้คงเจ็บเจียนตายไปเลยมั้ง คนที่คบกันนานขนาดนี้อยู่ๆ มาพูดเหมือนไม่เคยมีเยื่อใยอะไรมันก็คงเกินไปหน่อย
“มิวรู้เรื่องนี้มั้ย”
“มิวรู้ ทุกคนที่กูคบรู้หมด เราคุยกันแล้ว ตกลงว่าถ้ามิวมีใครที่ชอบจริงๆ ขึ้นมาก็เลิกกันได้ทุกเมื่อ เหมือนพ่อแม่มิวก็ชอบให้มีแฟนโปรไฟล์ดีๆ เหมือนกัน กูชนะพี่พฤตในเรื่องนี้ส่วนมิวไม่โดนพ่แม่ด่าเรื่องแฟน เท่านี้ก็วินวินแล้ว”
“...”
“มึงไม่ต้องเข้าใจก็ได้นะ ไม่ค่อยมีใครเข้าใจกูหรอก”
“เฮ้ย ก็กำลังพยายามเข้าใจอยู่เนี่ย”
ผมชักจะหงุดหงิดขึ้นมา ก็นั่งอยู่ตรงนี้จับมือยู่ตรงนี้เลย จะบอกว่าไม่มีใครเข้าใจก็จะเกินไปหน่อยมั้งไอ้พี่พรต
“นายพราน”
“อะไร”
อยู่ๆ พี่พรตก็เผยอรอยยิ้มนิดๆ เหมือนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตามปกติของเขา แล้วจ้องลึกลงมาเหมือนจะอ่านความคิดผมให้ได้ ซึ่งนั่นทำให้ผมเขยิบถอยหลังและพยายามแกะมือออก แต่มือของพี่พรตกลับจับแน่นขึ้นกว่าเดิม
“เมื่อกี้คุยกับพี่พฤตว่ากูรู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับมึง”
“...”
“และกูก็ไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังเยอะขนาดนี้”
“...”
“คือ...ลองคบกับกูได้ป่ะ”
ผมไม่ได้งี่เง่าขนาดจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ โอเค...การที่ผู้ชายมาขอคบนั้นเขาคงคิดมาดีระดับนึง ผมก็รู้สึกว่าอยู่กับพี่พรตแล้วสนุกเหมือนกัน แต่ในเมื่อความชอบของพี่พรตมันปนอยู่กับความรู้สึกเหมือนผมเป็นที่พึ่ง พอถามว่าผมไว้ใจเขาแค่ไหน ผมเลยยังไม่กล้าบอกว่าไว้ใจร้อยเปอร์เซ็นต์
“ช่วงนี้เหมือนมิวก็ห่างกูไปเหมือนกัน มิวเพิ่งเข้ามหาลัย รู้สึกว่าจะมีคนมาชอบเยอะขึ้นเรื่อยๆ คงถึงเวลาจะปล่อยเขาไปแล้ว ส่วนคนอื่นๆ กูจะไปบอกเลิก”
“พี่พรต คือ...”
“ส่วนเรื่องที่กูอยากให้คนอื่นมองว่ารักเดียวใจเดียว มันไม่สำคัญแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นดิ ผมยังไม่ว่าอะไร”
จากน้ำเสียงร้อนรนและสีหน้ากระวนกระวายใจ ดูเหมือนพี่พรตจะกลัวการปฏิเสธของผมมาก
“แล้วคำตอบล่ะ”
“พี่พรต...ผมยังไม่ตอบตอนนี้ได้มั้ย”
พี่พรตนิ่งไปพักใหญ่ นิ่งเหมือนตอนที่ผมถามเรื่องมิวไม่มีผิด คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ทำเอาผมชักกังวลขึ้นมาแล้วว่าจะทำให้เขาเครียดมากกว่าเดิมรึเปล่า แต่แล้วผมก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา
“โอเค ยังไม่ต้องตอบก็ได้”
“...”
“แต่กูจะทำให้มึงเปลี่ยนใจเอง”
-----------------------------------------------------------------------------------------
เอาแล้วว พระเอกเรา

ตอนนี้เป็นตอนที่เขียนเหนื่อยตอนนึงเลยค่ะ5555 จริงๆ เขียนเมื่อวานแต่หมดแรงก่อนเลยเพิ่มาอัพวันนี้
ขอบคุณคนอ่านค่าา
