::: #สถาปนิกหล่อบอกต่อด้วย ::: ตอนพิเศษ 2 ::: P.26 ::: 08/04/17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ::: #สถาปนิกหล่อบอกต่อด้วย ::: ตอนพิเศษ 2 ::: P.26 ::: 08/04/17  (อ่าน 265046 ครั้ง)

ออฟไลน์ Peung002

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 870
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
แอบสงสัยเหมือนหลายๆคน
พี่พรตแม่มเป็นโรคหลายบุคลิกปะเนี่ย
สงสารน้องนายพรานนนนน  :hao5:

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
พรตเป็นไบโพล่าหรือเปล่า?

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นสถาปิกซวยโคตรบอกต่อด้วย

ออฟไลน์ toou

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-3
พี่พรตเป็นไรมากป่ะเนี๊ยะ
พรานถอยออกมาเหอะลูกกกกกกกกก

ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 967
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
อะไรยังไง มาแบบนี้ไม่เคลียนะ
รอตอนต่อไปจ้าาา

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ไม่ถึงไหนสักที

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ทำไมพี่พรตทำงี้

รออยู่ค่าา

ออฟไลน์ My_Rain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เบื่ออิพี่พรตมากค่ะ. โดดเตะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เออเลิกยุ่งกะคนแบบนี้เถอะพราน อะไรก็ไม่รู้ มั่ว งง ไม่เสถียร

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
เอื่ม คือไรหรอ งงแล้วนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ช่วงประชุมเชียร์หรือรับน้อง ยังไงอุบัติเหตุมันเกิดได้ตลอดอยู่แล้วนิ การที่โทษคนๆเดียวแบบนี้มันไม่ถูกนะ ก็ตอนเขาเสนอคุณตอบรับเห็นดีกับเขาทำไมล่ะ แต่พอเกิดเรื่องปุ๊บก็โยนความผิดให้คนคิดคนเดียว แบบนี้เรียกเพื่อนได้หรอ?  :hao4:

ออฟไลน์ Tsumsome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ถ้าเราเป็นพรานนะ เราคงพูดได้ว่า กูเอ๋อยังไม่หายเลยสาส

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
รอติดตาม

ออฟไลน์ SoN

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2965
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-15

ออฟไลน์ niji-fa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
งงกับพี่พรตอะ อยากรู้เรื่องราวด้านพี่พรตบ้าง
ว่าพี่คิดยังไงกันแน่  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ kukkikkooka

  • insomnia~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 287
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-3
อ้าวพี่พรตตต อะไรเนี่ยยย สงสารน้องพรานนนน

ออฟไลน์ Rabity

  • #slytherinforlife
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 523
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-8
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ รู้สึกว่าพี่พรตแกนีี่บุคลิกเอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ (ไม่ได้หมายถึงคนเขียนเขียนไม่ดีน้าาา หมายถึงพี่แกจิตรึเปล่าวะ>>ไม่ได้ดีขึ้นเลย) เอาเป็นว่ารออ่านต่อไปดีกว่าเนอะ
ปล.รอตอนต่อไปค่าาา

ออฟไลน์ powl-the-2nd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
CHAPTER 12

 



            ...พี่พรตรำคาญผมหรือเปล่า



            ความสงสัยที่ยังวนเวียนอยู่ในความคิดเป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้เจอหน้าพี่พรตมาสามวันเต็มๆ ความจริงเป็นผมเองนี่แหละที่พยายามเลี่ยงการพบเจอกับคนๆ นี้ เพราะระยะหลังที่พี่พรตทำตัวแปลกออกไปเรื่อยๆ นั้น ผมรู้สึกเหมือนเราไม่รู้จักกัน

            อาจมีบางมุมของพี่พรตที่ผมไม่รู้จัก แต่สายตาของเขาที่โรงพยาบาลนั้นดูราวกับว่าผม ‘ไม่เคย’ รู้จักกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม มันเป็นสายตาของคนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ดูปิดกั้นและระแวงอย่างมากจนผมถึงกับต้องปล่อยมือออก

            เหมือนเขากำลังบอกให้ผม ‘ไปให้พ้น’ อย่างไรอย่างนั้น

            “เฮ้ยพราน งานถึงไหนแล้ววะ”

            เสียงของโอมและมือที่โบกไปมาด้านหน้าช่วยเรียกผมที่นั่งเหม่อคิดนู่นนิดนี่อยู่กลับมา ก่อนจะหันไปตอบ

            “เหลือเพลทหนึ่งแผ่นกับโม”

            “เหยด โหดสัด”

            สีหน้าเว่อร์เกินจริงของโอมพอจะทำให้ผมยิ้มออกมาได้บ้าง จริงๆ ผมไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอก ช่วงนี้ออกจะไม่ค่อยมีสติด้วยซ้ำ อาจดีอย่างหนึ่งที่เป็นคนคิดแบบเร็ว งานไม่ถึงกับเอแต่การคิดแบบเร็วทำให้งานไม่เร่งจนเกินไปนัก

            “ไม่หรอก”

            “แล้วแบบลงตัวหมดแล้วเหรอวะ”

            “อือ กูตัดจบ”

            “โห่ไอ้พราน กูไม่น่าถามมึงเลย”

            ผมหัวเราะเบาๆ กับเสียงโอดครวญของโอม แต่ถึงแบบยังไม่เสร็จงานมันก็คงไม่เดือดหรอกครับ เพราะวันนี้ปีหนึ่งเลิกเที่ยง แล้วงานส่งพรุ่งนี้ ยังไงก็มีเวลาอีกทั้งบ่ายบวกกับทั้งคืนอีก

            “แล้วทำไมมึงดูเครียดๆ วะ”

            ...ผมดูเครียดงั้นเหรอ?

            “ไม่มีไรหรอก”

            ผมตอบส่งๆ แล้วจัดแจงเดินเอาจานข้าวที่กินเสร็จสักพักแล้วไปวางเก็บไว้ ก่อนจะกลับมาเอากระเป๋าบนโต๊ะ และเพราะงานผมไม่ค่อยเดือดมากเลยมีที่ๆ อยากไปก่อนกลับบ้านทำงาน

            “โอม มึงอยากไปเยี่ยมเพื่อนกับกูป่ะ”

            ไอ้โอมหันมาทำหน้าประหลาดใจนิดหน่ย ก่อนจะร้อง’อ้อ’เบาๆ เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่น่าเสียดายที่มันกลับส่ายหน้าให้ผม

            “ไม่ไหวว่ะ กูเดือดมาก แบบก็ยังไม่มี”

            “โอเค งั้นไปละ”

            แต่เหมือนไอ้โอมจะไมยอมให้ผมไปง่ายๆ มันรั้งสายกระเป๋าของผมเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาผมเหมือนพยายามจะอ่านความคิดให้ออก

            “มึง...เครียดเรื่องเมื่อวานใช่มั้ยวะ”

            ผมหลุบสายตาลงแล้วยอมรับอย่างจนใจ

            “มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”

            “มีคนบอกกูว่าพี่พรตเป็นคนคิดที่จะให้คนข้างๆ ยืนต่อในห้องเชียร์...” โอมพูดได้แค่นั้นก็รีบละล่ำละลักพูดต่อทันที “เชี่ยเดี๋ยว...ไอ้พราน...เพื่อนที่หัวแตกคือคนยืนข้างกูป่ะวะ”

            “เฮ้ยไม่ใช่ เป็นผู้หญิงที่ยืนข้างกู พอดีคนที่ถัดจากกูไปสองคนมันไม่มา”

            “แล้วเป็นไรมากป่ะวะ”

            “เห็นเค้าว่าไม่มีไร หัวแตกเฉยๆ”

            ไอ้โอมพยักหน้าให้ผมเหมือนโล่งใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่ของผมไว้แน่น

            “เยี่ยมเผื่อกูด้วย”

            “โอเค งั้นกูไปละ”

            ผมเชื่อว่าทุกคนในรุ่นตอนนี้คงจะรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนไม่น้อย เพราะทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพูดคุยถึงประเด็นนี้กันทั้งวัน มีหลายความคิดเห็นที่กล่าวโทษรุ่นพี่ว่าไม่คิดให้รอบคอบ และมีอีกหลายคนที่ทั้งเป็นห่วงเพื่อนทั้งห่วงพี่ไปพร้อมๆ กัน เหมือนทุกคนพยายามลุ้นว่ารุ่นพี่จะไม่ถูกเอาเรื่องเพราะมันก็เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ

            การที่รุ่นพี่จัดกิจกรรมทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อรุ่นน้องงั้นหรือ เจตนาที่ต้องการจะทำให้น้องเกิดการเรียนรู้เหมือนที่ตนเองเคยได้รับมันเป็นการแสดงออกของพี่น้องซึ่งไม่ควรโดนต่อว่าอะไร จริงอยู่ที่ความรอบคอบนั้นสำคัญแต่มันก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ เกิดขึ้นได้กับทุกคนทั้งน้องทั้งพี่หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ก็ตาม ไม่มีเหตุผลอะไรจะไม่ให้อภัยเมื่อกิจกรรมเหล่านี้คือสิ่งที่รุ่นพี่คิดว่าดีที่สุดสำหรับน้อง ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดนั้นอาจไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็ได้

 

 

            เมื่อถึงโรงพยาบาลผมก็รีบเดินเข้าไปหาพยาบาลตรงเคาน์เตอร์เพื่อถามเลขห้องของเพื่อน แต่ในเมื่อจำชื่อใครไม่ได้เลยได้แต่พูดชื่อคณะกับมหาวิทยาลัยไป โชคดีหน่อยที่ตอนนั้นผมเห็นพี่ปีสามคนหนึ่งเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี เลยรีบบอกขอบคุณพยาบาลคนนั้นแล้วเดินออกมาหารุ่นพี่ทันที

            “พี่ หวัดดีครับ”

            “อ้าว น้องไอ้พรต มาเยี่ยมเพื่อนป่ะ”

            “ใช่ครับ พี่พอรู้มั้ยว่าอยู่ห้องไหน”

            พอได้เบอร์ห้องเรียบร้อยแล้วผมก็ไม่รีรอที่จะเดินไปกดลิฟท์ ก่อนจะเดินไล่เลขห้องผู้ป่วยไปเรื่อยๆ ตลอดทางเดินของชั้นนั้นด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วผมก็ต้องชะงักฝีเท้าหลีกทางให้ชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินสวนมา เหมือนทั้งผมทั้งเขาต่างไม่ได้ดูทางและรีบทั้งคู่จนทำให้เกือบชนกัน

            “เอ่อ...ขอโทษครับ”

            ฝ่ายชายพยักหน้าให้ผมอย่างไม่ถือสาและเดินต่อไปอย่างเดิม แต่กลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายหันกลับไปมองแผ่นหลังของคนที่เพียงเห็นหน้าผมก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด รู้สึกเหมือนผมเคยเจอพวกเขามาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

            ผมสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ ออกไปแล้วเดินไปหาห้องของเพื่อนต่อและในที่สุดเมื่อเจอห้องที่ต้องการแล้วผมก็แนบหูฟังเสียงให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นก่อนผลักประตูเข้าไปช้าๆ

            เพื่อนของผมผงกหัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออก ผมเห็นสายตาที่กลับมาเหมือนปกติโดยไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวดบนสีหน้าแล้วถึงกับลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกโล่งใจไปเยอะเมื่อเห็นว่าหลักฐานหนึ่งเดียวที่มีคือผ้าก็อซสีขาวแผ่นหนึ่งบนหน้าผาก

            “หายเจ็บยัง”

            ผมเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง เธอจึงกดปิดทีวีที่ดูอยู่ ลุกขึ้นเปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิคุยกับผม

            “หายแล้วล่ะ”

            ผมยิ้มรับอย่างดีใจ แต่แล้วก็นึกเรื่องสำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งขึ้นมาได้...จนถึงวินาทีนี้ จะเสียมารยาทป่ะวะถ้าผมจะถามว่า

            “เธอชื่อไรนะ”

            “ห้ะ? อ้อ...เราชื่อน้ำ”

            ผมท่องชื่อเธอไว้ในใจ ถึงจะน่าอายนิดหน่อยเพราะเหมือนเธอจะรู้จักผมมาก่อนแล้ว แต่อย่างน้อยก็เป็นถือว่าได้รู้จักเพื่อนอีกคนล่ะวะ ยืนข้างหันในห้องเชียร์มาหลายทีแล้วจะไม่รู้เลยมันก็ยังไงอยู่

            “นี่จะออกจากโรงบาลวันไหนอ่ะ”

            “วันนี้แล้วแหละ นี่รอพ่อแม่มารับอยู่”

            ทำไมพอได้ฟังคำตอบแล้วผมกลับนึกไปถึงชายหญิงคู่หนึ่งที่เพิ่งเดินสวนกับผมเมื่อกี้ และเป็นช่วงเดียวกับที่ความรู้สึกและสัญชาตญาณบางอย่างบอกกับผมว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกัน

            “พ่อแม่ได้ขึ้นมาบ้างป่ะ”

            น้ำนิ่งคิดไปแปปนึงแล้วค่อยเอ่ยตอบ

            “ไม่ได้ขึ้นนะ แต่เมื่อกี้มีคนสองคนเข้ามาถามน้ำเหมือนกัน ดูเครียดมากแล้วถามหาพ่อกับแม่”

            “แล้วตอนนี้สองคนนั้นไปไหน”

            “เราบอกไปว่าอยู่ชั้นสองอ่ะ ตอนนั้นแม่เพิ่งจอดรถเสร็จ”

            อยู่ๆ ผมรู้สึกร้อนใจขึ้นมา แน่นอนว่าสองคนนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่จะมีเหตุผลอะไรที่เร่งด่วนขนาดต้องเข้ามาถึงห้องพักคนป่วยและออกไปอย่างรีบร้อนจนเกือบชนกับผมตรงทางเดิน จะมีเหตุผลอะไรที่พ่อแม่ยังไม่มารับทั้งที่ลูกหายดีเรียบร้อยแล้ว

            “แล้วรู้ป่ะว่าสองคนนั้นเป็นใคร”

            ผมนั่งลุ้นด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นระหว่างรอคนตรงหน้าเรียบเรียงเหตุการณ์ออกมาเป็นคำพูดที่ทำให้ผมแทบทรุด



            “เออ...ใช่ เหมือนจะเป็นพ่อแม่พี่พรต”   

 



 



[พรต]

 



            “ถ้ามันไม่ใช่แค่หัวแตกล่ะ จะรับผิดชอบยังไง!!”

            ผมยืนนิ่งก้มหน้าฟังไปเรื่อยๆ พยายามหักห้ามตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกไป

            “ไอ้พวกนี้ก็คิดได้แค่นี้แหละ”

            ผมเผลอกำมือแน่นเป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่โดนใส่ไม่ยั้งอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ ผมหันไปสบตากับเพื่อนอีกหลายคนที่เหมือนพร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อไม่ต่างกันเท่าไหร่

            “ฉันถามหน่อย คนที่คิดอะไรไม่เป็นอย่างแกสอบเข้ามาได้ยังไงวะ!”

            ผมถึงกับกำหนดลมหายเข้า-หายใจออก กับตัวเองทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ พยายามห้ามตัวเองด้วยความสามารถทั้งหมดเท่าที่มี ถ้าผมหลุดปากออกไปแม้คำเดียวมันจะไม่จบแค่นี้ และอาจทำให้เพื่อนทั้งรุ่นเดือดร้อนไปตามๆ กัน

            “ใครเป็นคนกักตัวเด็ก”

            สายตาเกรี้ยวกราดเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อตวัดมองผมและเพื่อนทุกคนที่ยืนอยู่ ในขณะที่พวกเราสบตากันไปมาเหมือนพยายามปรึกษาหารือผ่านสายตา ไม่มีใครอยากยอมรับหรืออยากให้เพื่อนยอมรับ โอเค...ผมรู้ตัวว่าเป็นคนเริ่มคิด และในเมื่อเพื่อนทุกคนเห็นดีเห็นงามกัน ส่วนนึงใจผมก็คิดว่าน่าจะมันเป็นเรื่องที่รุ่นของเราควรรับผิด’ร่วมกัน’

            “จะไม่มีใครรับผิดชอบเลยเหรอ!!!”

            ผมหันไปมองเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาของทุกคนกลับจับจ้องมาที่ผม และผมจะไม่ปฏิเสธเลยว่าตัวเองนั้นผิดหวังขนาดไหน...แบบนี้อีกแล้วเหรอ ผมอีกแล้วเหรอ

            ความคิดที่แล่นขึ้นมาในหัวทำให้ผมตัวสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ในเวลานี้ถึงผมจะอยากอยู่คนเดียวแค่ไหนก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมเม้มปากแน่นแล้วพยายามเรียกความมั่นใจเพื่อให้เสียงที่พูดออกไปไม่สั่นจนน่ากลัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยออกไปอย่างหนักแน่นทั้งที่ทั้งร่างกายแทบทรงตัวไม่อยู่

            “ผมเองครับ”

            ผมไม่กล้าหันไปมองว่าสีหน้าของเพื่อนทุกคนเป็นแบบไหน อาจไม่เห็นด้วยที่ผมออกรับคนเดียว หรืออาจเห็นว่าถูกต้อง แต่ผมขอปกป้องความสึกตัวเองไว้ก่อนโดยไม่หันไป เพราะมันคงจะเสียความรู้สึกไม่น้อยหากได้เห็นสายตา ‘มึงสมควรรับผิดคนเดียว’ จากกลุ่มเพื่อนที่ผ่านอะไรกันมาหลายอย่าง จากกลุ่มเพื่อนที่ผมเชื่อมั่นมาตลอดว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน       

            ผมบังคับสายตาของตัวเองให้จับจ้องไปแค่ใบหน้าคาดโทษที่มุ่งมายังผมโดยตรง พยายามอย่างหนักในการเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่ห่วงลูก ของเพื่อนที่ห่วงตัวเอง

            “เรียกพ่อแม่มาคุยกับฉัน”

            ...ไม่! ไม่ ไม่เอา

            ผมได้ยินเสียงของตัวเองตะโกนตอบอย่างแทบไม่ต้องคิดอยู่ในใจ

            “คุยกับผมก็ได้ครับ”

            ขออะไรก็ได้ที่จะจบลงกับตัวผมคนเดียว อย่าได้เข้าไปในความรับรู้ของครอบครัวผมอีกเลย

            “ไม่ ฉันจะคุยเรื่องยื่นฟ้อง”

            ผมขมวดคิ้วพลางหาหนทางให้ตัวเองทันที คำตอบนี้ถือเป็นคำตอบที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่จะจินตนาการถึง ยื่นฟ้องงั้นหรือ มีวิธีไหนที่สามารถยื่นฟ้องได้โดยไม่มีพ่อแม่บ้างรึเปล่า ผมคิดพลางใช้มือข้างหนึ่งจับอีกข้างไว้เพื่อเป็นการเรียกสติก่อนที่ตัวผมเองจะเป็นบ้าไปเสียก่อน

            ผมไม่เคยโชคดีเลยล่ะ

            ...และนั่นไง

            ผมยกริมผีปากเผยรอยยิ้มอย่างสิ้นหวังทันทีที่เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังมุ่งตรงเข้ามาหาพร้อมกับชายหนุ่มผู้แสนจะโดดเด่นอีกคนที่เดินตามมาติดๆ

            “เกิดอะไรขึ้นพรต แล้วนี่...”

            แม่ของผมเป็นคนเปิดฉากขึ้นมาก่อน จากเดิมที่เข้ามาถามผมคนเดียวและเหมือนชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนรอบตัว จนสุดท้ายก็หันไปมองพ่อแม่ของน้องปีหนึ่งเหมือนต้องการคำอธิบายเพิ่ม โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าตกใจของคู่กรณีเลยแม้แต่น้อย

            “อ้ะ...คุณสุวัตร คุณพิมพ์ผกา มาทำอะไรที่นี่ครับ”

            ผมไม่แปลกใจเลยที่ทั้งพ่อและแม่ของน้องเอ่ยทักทายเหมือนรู้จักกัน และพ่อแม่ของผมก็รับไหว้พลางทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อีกแล้วงั้นสิ คงอับอายเหลือเกินที่จะรับว่าเกี่ยวข้องกับผม

            “คุณพฤตก็มาด้วย สวัสดีครับ”

            นอกจากจะเอ่ยทักทายพ่อกับแม่แล้ว เขายังหันไปทักพี่ชายผู้แสนดีของผม ซึ่งพี่พฤตก็ทำเพียงยกมือไหว้ ส่วนผมนั้นก็ได้แต่หมั่นไส้กับท่าทางนอบนอบจนเกินเหตุของทั้งคู่ คนอื่นก็เป็นซะอย่างนี้ ถ้าดูจริงๆ แล้วพี่ผมก็เพิ่งจบมาได้สองปี ถึงเขาจะจบด้วยเกียรตินิยมอะไรก็ช่าง แต่มันดูโคตรเฟคที่คนอายุมากกว่าเป็นสิบๆ ปีต้องมาทำกิริยานอบน้อมกับเด็กเพิ่งจบ 

            “เอ่อ...คุณพฤตมีธุระอะไรที่นี่หรือครับ”

            ผมถึงกับภาวนาอย่างหนักให้ตัวเองหายไปจากตรงนี้ในวินาทีก่อนที่พี่ชายผมจะตอบคำถามนั้น ซึ่งผมก็ได้แต่คิดแหละครับ เพราะพี่ผมตอบแทบจะทันที

            “ผมมาหาน้องชายครับ”

            “อ้าว คุณพรตเป็นอะไรครับ”

            พี่พฤตทำหน้าสงสัยนิดหน่อยก่อนจะชี้มาที่ผม เล่นเอาผมแทบจะกลั้นใจตายอยู่ตรงนั้น

            “พรตก็อยู่นี่ไง”

            ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของรุ่นน้องคนนั้นอาการหนักที่สุด เพราะทั้งคู่หน้าซีดเหมือนเห็นผี นี่เป็นเหตุการณ์ที่ผมคงจะหัวเราะไปแล้วถ้าไม่ติดว่าจะเหลือบไปเห็นพ่อกับแม่ที่จ้องตรงมาเสียก่อน...เอาอีกแล้ว สีหน้าแบบนี้อีกแล้ว

            “ค...คนนี้คือพรตเหรอ”

            “ใช่ครับ ทำไมเหรอ”

            พี่ชายของผมยังมีท่าทีเหมือนไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างอยู่

            “พฤต”

            “พรตมาคุยกับพ่อหน่อย”

            เสียงแม่ปรามพี่ชายดังขึ้นพร้อมเสียงเรียบนิ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนโดนมีดเย็นๆ จ่ออยู่กลางหลัง ทำให้ผมจำใจต้องเลี่ยงออกจากวงท่ามกลางสายตาของพ่อแม่คู่นั้น ก่อนจะเดินตามหลังพ่อตัวเองไปยังทางเดินอีกอันที่อยู่ไกลพอจะไม่ให้คนอื่นได้ยิน

           


 


            “เล่ามา!”

            พ่อของผมตวาดใส่เบาๆ เหมือนพยายามคุมเสียงไม่ให้ดังจนเกินไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความน่ากลัวของพ่อลดน้อยลงไปกว่าครั้งก่อนๆ

            “น้องเป็นลมในห้องเชียร์ครับ”

            “แล้วแกเกี่ยวอะไร”

            ผมควรจะชินกับคำถามนี้ได้แล้ว ผมไม่กล้าคาดหวังหรอกว่าพ่อจะถามคำถามเช่น ‘น้องเป็นอะไร’ หรือ ‘ทำไมเป็นลม’ หรอก พ่อต้องการแค่รู้เท่านั้นแหละว่าฝ่ายเราเกี่ยวข้องยังไงและมันทำให้ครอบครัวของเขาเสียหายไปมากเท่าไหร่

            “ผมเป็นคนคิดกิจกรรม”

            “ฉันบอกแล้ว! ฉันบอกแล้วใช่มั้ย กิจกรรมพวกนี้จะเข้าไปยุ่งทำไม”

            “พี่พฤตยังเป็นเฮดรับน้องเลย”

            “ก็นั่นพฤต ไม่สร้างปัญหาเหมือนแก!”

            คำพูดนั้นดังสะท้อนอยู่ในภวังค์ของผม ...เหมือนเป็นคนที่คอยสร้างจุดด่างพร้อยให้ครอบครัวอย่างไรอย่างนั้น ประวัติของผมไม่มีทางดีเท่าพี่ เท่าพ่อ หรือแม่ ได้หรอก

            “แต่ผมไม่ได้ผลักน้อง”

            “แกจะทำหรือไม่ทำอะไรมันก็เกิดปัญหาทั้งนั้นแหละ”

            “...”

            “ฉันกล้าพูดนะว่าพฤตเป็นเฮดที่ดี แต่แกไม่ใช่”

            ผมถึงกับสะอึก พี่พฤตถือว่าเป็นเฮดรับน้องที่ดีเพียงเพราะไม่มีใครมาหกล้มหัวแตกในห้องเชียร์งั้นหรือ อย่างนี้ถ้าจะให้เฮดรับน้องทุกปีเป็น ‘เฮด’ที่ดี ก็เลิกกิจกรรมห้องเชียร์ไปเลยดีกว่ารึเปล่า แค่ให้น้องนั่งร้องเพลงเหมือนนกแก้วขุนทองใช่ไหมถึงจะเป็นการรับน้องที่ดี

            การเรียนรู้ มิตรภาพ และประสบการณ์ มักจะได้มาด้วยความยากลำบาก เหมือนดอกไม้จะเบ่งบานได้หลังผ่านพายุฝน  ถึงผมจะไม่ใช่เฮดรับน้องหลักในปีนี้ แต่ผมไม่มีทาง ไม่มีวันจะจัดกิจกรรมเพียงเพื่อจะปกป้องชื่อเสียงของตัวเองโดยที่น้องไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับไปอย่างแน่นอน

            การรับน้องคงไม่ต่างอะไรจากการใช้ชีวิตในคณะมากเท่าไหร่ เราอยากให้น้องเข้าใจ อยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองเข้าใจ เพราะการทำงานที่หนักหนาสาหัสนั้นเป็นครูที่ดีที่สุดของเราเสมอ สิ่งที่ได้เรียนรู้ที่จากการปฏิบัติผสมกับความยากลำบากเป็นอะไรที่เราจะได้ติดตัวไปโดยไม่ต้องพยายามหมั่นท่องจำ มันเหมือนหลอมรวมเข้าไปฝังอยู่ในมุมมองความคิดที่จะใช้ไปตลอดชีวิต และถ้าเป็นไปได้...ทำให้โลกของคนๆ หนึ่งเปิดกว้างขึ้นสักนิดก็ยังดี

            “กี่รอบแล้วที่ฉันต้องมาคอยตามเช็ด”

            “พ่อก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ปล่อยผมไปแบบนี้สิ”

            ความจริงผมไม่จำเป็นต้องดีให้ได้เท่ากับพ่อก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีบริษัท ไม่ต้องเป็นสถาปนิกโด่งดังมีชื่อเสียงกันทั้งตระกูล ไม่ต้องมีผลการเรียนสวยหรูเหมือนพี่

            “แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอพรต! คิดถึงครอบครัวเราบ้างมั้ย”

            ครอบครัวงั้นเหรอ...ของผมคงเป็นครอบครัวที่มีรูปอยู่แต่ในหนังสือประวัติหรือโล่เกียรติคุณเสียมากกว่า และผมก็เบื่อเต็มทนแล้วที่ต้องมาปั้นแต่งตัวเองให้ดีพอจะได้อยู่ในนิตยสารสักเล่ม หรือให้สามารถยืนถ่ายรูปคู่กับพี่ชายได้โดยที่พ่อไม่มองว่าผมด้อยกว่า เพราะผมไม่ปฏิเสธเลยว่าความสามารถของผมด้อยกว่าพี่ และไม่เห็นว่าจะต้องพยายามให้มันไปเท่ากับใคร


            ถึงเวลาประกาศจุดยืนแล้ว


            ผมก้มลงมองมือสั่นระริกของตนเองที่ต้องคอยจับกันแน่น แล้วก็หวนไปคิดถึงมือของอีกคนที่เคยจับไหล่ผมไว้ให้หยุดสั่น และไม่เคยมีใครทำได้ผลเหมือนเขา ผมเรียกสติของตนเองกลับมาและเงยหน้าสบตากับพ่อพร้อมรอยยิ้มที่เย็นชืด


            นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าหากมีใครสักคนมายืนอยู่ข้างๆ


 

            “พ่อรู้มั้ย ผมมีเรื่องที่แย่กว่านี้อีก”

            “...”

            “พ่ออาจไม่ได้เจอมิวแล้วนะ”


            “...”


            “เพราะผมเริ่มจะชอบผู้ชายคนนึงแล้ว”






----------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้มาช้าหน่อยเพราะต้องแต่งให้จบตอนค่ะ เพราะถ้าอัพครึ่งอาจทำให้เสียอรรถรสมาก

** มีข่าวมาแจ้งค่ะ!
เราจะมี hashtag อย่างเป็นทางการของเรื่องนี้แล้วนะ
จะด่าพี่พรตนอกรอบก็ใส่แทค  #พรตพราน ได้เลย
แล้วเราจะย่องไปอ่าน 55555

(edit: เราแก้แทคเป็น #พรตพราน แล้วนะ ตอนแรกใช้พรานพรตเพราะมันคล่องปากกว่า แต่กลัวเข้าใจผิดกัน555)


ขอบคุณทุกคนค่ะ  :กอด1:


           
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2015 00:03:53 โดย powl-the-2nd »

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
ไม่รู้สิ ก็ไม้เข้าใจพรตอยู่ดี

แต่สาเหตุน่าจะมาจากครอบครัวนี่ล่ะมั้ง

ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ปัญหาครอบครัวเหรอ ทำให้พี่พรตเป็นแบบนี้
ก็ยังไม่เข้าใจพี่พรตอยู๋ดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ hpimmc

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คบกับมิวเพราะครอบครัวหรือเปล่าเนี่ย?
แล้วที่ไปวุ่นวายกับผู้หญิงคนอื่นเพราะหาเหตุผลจะขอเลิกกับมิว
แล้วอะไรคือเทิดทูนบูชาความรัก หลอกตัวเองอยู่หรอ? หรือยังไง?

หรือที่พูดกับพ่อไปอย่างนั้นก็แค่ข้ออ้าง ลากพรานมาเป็นข้ออ้างทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องอะนะ
ตามบายพี่ จะรอดูปมในใจและเหตุผลที่สมเหตุสมผลนะ

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
เป็นเพื่อนที่ดีจริงนะ โยนความผิดให้เพื่อนทั้งหมด ตัวเองรอด
ครอบครัวพรตนี่คงรักพี่เพราะเก่ง แต่มองน้องเป็นตัวปัญหาเลยใช่ป่ะ

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
งง ว่ะ มิวเกี่ยวไรด้วย
แล้วทำไมต้องทำกันแบบนี้
ครอบครัวเหรอ?
ใจร้ายเกินไปรึเปล่าสำหรับคนเป็นพ่อแม่
 :ruready

ออฟไลน์ kukkikkooka

  • insomnia~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 287
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-3
ปัญหาพี่พรตส่วนนึงคงมาจากครอบครัว

แต่ว่าการคบใครหลายๆคนพร้อมกันนี่คืออะไรยังคงสงสัยอยู่

รอตอนต่อไปจ้าาา

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
หลายเรื่องประดังประเดจังเลยพี่พรต ยังไงก็สู้ ๆ ละกัน

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เพราะรอบครัวเหรอ? o12

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ทำไมคนเป็นพ่อเป็นแม่ถึงไม่เข้าใจลูกตัวเอง ลูกแต่ละคนก็นิสัยไม่เหมือนกันชอบอะไรก็ต่างกัน
จะบังคับให้พรตดีเหมือนพี่เค้าได้ยังไง มันคนละคนกันนะ ทำไมไม่ทำความเข้าใจพรตบ้างล่ะ
ไม่มีใครชอบหรอกนะกับการโดนเปรรียบเทียบกับคนอื่นน่ะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
พรานพรต หรือ พรตพราน เอ๊ะ!!

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
มาเป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เข้าใจพรตที่เป็นแบบนี้แหละ เพราะครอบครัวสินะ
ดูจากที่คุยกับพ่อละ เข้าใจเลย เฮ้อ สงสารอ่า


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด