CHAPTER 12 ...พี่พรตรำคาญผมหรือเปล่า
ความสงสัยที่ยังวนเวียนอยู่ในความคิดเป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้เจอหน้าพี่พรตมาสามวันเต็มๆ ความจริงเป็นผมเองนี่แหละที่พยายามเลี่ยงการพบเจอกับคนๆ นี้ เพราะระยะหลังที่พี่พรตทำตัวแปลกออกไปเรื่อยๆ นั้น ผมรู้สึกเหมือนเราไม่รู้จักกัน
อาจมีบางมุมของพี่พรตที่ผมไม่รู้จัก แต่สายตาของเขาที่โรงพยาบาลนั้นดูราวกับว่าผม ‘ไม่เคย’ รู้จักกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม มันเป็นสายตาของคนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ดูปิดกั้นและระแวงอย่างมากจนผมถึงกับต้องปล่อยมือออก
เหมือนเขากำลังบอกให้ผม ‘ไปให้พ้น’ อย่างไรอย่างนั้น
“เฮ้ยพราน งานถึงไหนแล้ววะ”
เสียงของโอมและมือที่โบกไปมาด้านหน้าช่วยเรียกผมที่นั่งเหม่อคิดนู่นนิดนี่อยู่กลับมา ก่อนจะหันไปตอบ
“เหลือเพลทหนึ่งแผ่นกับโม”
“เหยด โหดสัด”
สีหน้าเว่อร์เกินจริงของโอมพอจะทำให้ผมยิ้มออกมาได้บ้าง จริงๆ ผมไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอก ช่วงนี้ออกจะไม่ค่อยมีสติด้วยซ้ำ อาจดีอย่างหนึ่งที่เป็นคนคิดแบบเร็ว งานไม่ถึงกับเอแต่การคิดแบบเร็วทำให้งานไม่เร่งจนเกินไปนัก
“ไม่หรอก”
“แล้วแบบลงตัวหมดแล้วเหรอวะ”
“อือ กูตัดจบ”
“โห่ไอ้พราน กูไม่น่าถามมึงเลย”
ผมหัวเราะเบาๆ กับเสียงโอดครวญของโอม แต่ถึงแบบยังไม่เสร็จงานมันก็คงไม่เดือดหรอกครับ เพราะวันนี้ปีหนึ่งเลิกเที่ยง แล้วงานส่งพรุ่งนี้ ยังไงก็มีเวลาอีกทั้งบ่ายบวกกับทั้งคืนอีก
“แล้วทำไมมึงดูเครียดๆ วะ”
...ผมดูเครียดงั้นเหรอ?
“ไม่มีไรหรอก”
ผมตอบส่งๆ แล้วจัดแจงเดินเอาจานข้าวที่กินเสร็จสักพักแล้วไปวางเก็บไว้ ก่อนจะกลับมาเอากระเป๋าบนโต๊ะ และเพราะงานผมไม่ค่อยเดือดมากเลยมีที่ๆ อยากไปก่อนกลับบ้านทำงาน
“โอม มึงอยากไปเยี่ยมเพื่อนกับกูป่ะ”
ไอ้โอมหันมาทำหน้าประหลาดใจนิดหน่ย ก่อนจะร้อง’อ้อ’เบาๆ เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่น่าเสียดายที่มันกลับส่ายหน้าให้ผม
“ไม่ไหวว่ะ กูเดือดมาก แบบก็ยังไม่มี”
“โอเค งั้นไปละ”
แต่เหมือนไอ้โอมจะไมยอมให้ผมไปง่ายๆ มันรั้งสายกระเป๋าของผมเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาผมเหมือนพยายามจะอ่านความคิดให้ออก
“มึง...เครียดเรื่องเมื่อวานใช่มั้ยวะ”
ผมหลุบสายตาลงแล้วยอมรับอย่างจนใจ
“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”
“มีคนบอกกูว่าพี่พรตเป็นคนคิดที่จะให้คนข้างๆ ยืนต่อในห้องเชียร์...” โอมพูดได้แค่นั้นก็รีบละล่ำละลักพูดต่อทันที “เชี่ยเดี๋ยว...ไอ้พราน...เพื่อนที่หัวแตกคือคนยืนข้างกูป่ะวะ”
“เฮ้ยไม่ใช่ เป็นผู้หญิงที่ยืนข้างกู พอดีคนที่ถัดจากกูไปสองคนมันไม่มา”
“แล้วเป็นไรมากป่ะวะ”
“เห็นเค้าว่าไม่มีไร หัวแตกเฉยๆ”
ไอ้โอมพยักหน้าให้ผมเหมือนโล่งใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่ของผมไว้แน่น
“เยี่ยมเผื่อกูด้วย”
“โอเค งั้นกูไปละ”
ผมเชื่อว่าทุกคนในรุ่นตอนนี้คงจะรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนไม่น้อย เพราะทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพูดคุยถึงประเด็นนี้กันทั้งวัน มีหลายความคิดเห็นที่กล่าวโทษรุ่นพี่ว่าไม่คิดให้รอบคอบ และมีอีกหลายคนที่ทั้งเป็นห่วงเพื่อนทั้งห่วงพี่ไปพร้อมๆ กัน เหมือนทุกคนพยายามลุ้นว่ารุ่นพี่จะไม่ถูกเอาเรื่องเพราะมันก็เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ
การที่รุ่นพี่จัดกิจกรรมทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อรุ่นน้องงั้นหรือ เจตนาที่ต้องการจะทำให้น้องเกิดการเรียนรู้เหมือนที่ตนเองเคยได้รับมันเป็นการแสดงออกของพี่น้องซึ่งไม่ควรโดนต่อว่าอะไร จริงอยู่ที่ความรอบคอบนั้นสำคัญแต่มันก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ เกิดขึ้นได้กับทุกคนทั้งน้องทั้งพี่หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ก็ตาม ไม่มีเหตุผลอะไรจะไม่ให้อภัยเมื่อกิจกรรมเหล่านี้คือสิ่งที่รุ่นพี่คิดว่าดีที่สุดสำหรับน้อง ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดนั้นอาจไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็ได้
เมื่อถึงโรงพยาบาลผมก็รีบเดินเข้าไปหาพยาบาลตรงเคาน์เตอร์เพื่อถามเลขห้องของเพื่อน แต่ในเมื่อจำชื่อใครไม่ได้เลยได้แต่พูดชื่อคณะกับมหาวิทยาลัยไป โชคดีหน่อยที่ตอนนั้นผมเห็นพี่ปีสามคนหนึ่งเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี เลยรีบบอกขอบคุณพยาบาลคนนั้นแล้วเดินออกมาหารุ่นพี่ทันที
“พี่ หวัดดีครับ”
“อ้าว น้องไอ้พรต มาเยี่ยมเพื่อนป่ะ”
“ใช่ครับ พี่พอรู้มั้ยว่าอยู่ห้องไหน”
พอได้เบอร์ห้องเรียบร้อยแล้วผมก็ไม่รีรอที่จะเดินไปกดลิฟท์ ก่อนจะเดินไล่เลขห้องผู้ป่วยไปเรื่อยๆ ตลอดทางเดินของชั้นนั้นด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วผมก็ต้องชะงักฝีเท้าหลีกทางให้ชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินสวนมา เหมือนทั้งผมทั้งเขาต่างไม่ได้ดูทางและรีบทั้งคู่จนทำให้เกือบชนกัน
“เอ่อ...ขอโทษครับ”
ฝ่ายชายพยักหน้าให้ผมอย่างไม่ถือสาและเดินต่อไปอย่างเดิม แต่กลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายหันกลับไปมองแผ่นหลังของคนที่เพียงเห็นหน้าผมก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด รู้สึกเหมือนผมเคยเจอพวกเขามาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ ออกไปแล้วเดินไปหาห้องของเพื่อนต่อและในที่สุดเมื่อเจอห้องที่ต้องการแล้วผมก็แนบหูฟังเสียงให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นก่อนผลักประตูเข้าไปช้าๆ
เพื่อนของผมผงกหัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออก ผมเห็นสายตาที่กลับมาเหมือนปกติโดยไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวดบนสีหน้าแล้วถึงกับลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกโล่งใจไปเยอะเมื่อเห็นว่าหลักฐานหนึ่งเดียวที่มีคือผ้าก็อซสีขาวแผ่นหนึ่งบนหน้าผาก
“หายเจ็บยัง”
ผมเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง เธอจึงกดปิดทีวีที่ดูอยู่ ลุกขึ้นเปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิคุยกับผม
“หายแล้วล่ะ”
ผมยิ้มรับอย่างดีใจ แต่แล้วก็นึกเรื่องสำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งขึ้นมาได้...จนถึงวินาทีนี้ จะเสียมารยาทป่ะวะถ้าผมจะถามว่า
“เธอชื่อไรนะ”
“ห้ะ? อ้อ...เราชื่อน้ำ”
ผมท่องชื่อเธอไว้ในใจ ถึงจะน่าอายนิดหน่อยเพราะเหมือนเธอจะรู้จักผมมาก่อนแล้ว แต่อย่างน้อยก็เป็นถือว่าได้รู้จักเพื่อนอีกคนล่ะวะ ยืนข้างหันในห้องเชียร์มาหลายทีแล้วจะไม่รู้เลยมันก็ยังไงอยู่
“นี่จะออกจากโรงบาลวันไหนอ่ะ”
“วันนี้แล้วแหละ นี่รอพ่อแม่มารับอยู่”
ทำไมพอได้ฟังคำตอบแล้วผมกลับนึกไปถึงชายหญิงคู่หนึ่งที่เพิ่งเดินสวนกับผมเมื่อกี้ และเป็นช่วงเดียวกับที่ความรู้สึกและสัญชาตญาณบางอย่างบอกกับผมว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกัน
“พ่อแม่ได้ขึ้นมาบ้างป่ะ”
น้ำนิ่งคิดไปแปปนึงแล้วค่อยเอ่ยตอบ
“ไม่ได้ขึ้นนะ แต่เมื่อกี้มีคนสองคนเข้ามาถามน้ำเหมือนกัน ดูเครียดมากแล้วถามหาพ่อกับแม่”
“แล้วตอนนี้สองคนนั้นไปไหน”
“เราบอกไปว่าอยู่ชั้นสองอ่ะ ตอนนั้นแม่เพิ่งจอดรถเสร็จ”
อยู่ๆ ผมรู้สึกร้อนใจขึ้นมา แน่นอนว่าสองคนนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่จะมีเหตุผลอะไรที่เร่งด่วนขนาดต้องเข้ามาถึงห้องพักคนป่วยและออกไปอย่างรีบร้อนจนเกือบชนกับผมตรงทางเดิน จะมีเหตุผลอะไรที่พ่อแม่ยังไม่มารับทั้งที่ลูกหายดีเรียบร้อยแล้ว
“แล้วรู้ป่ะว่าสองคนนั้นเป็นใคร”
ผมนั่งลุ้นด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นระหว่างรอคนตรงหน้าเรียบเรียงเหตุการณ์ออกมาเป็นคำพูดที่ทำให้ผมแทบทรุด
“เออ...ใช่ เหมือนจะเป็นพ่อแม่พี่พรต”
[พรต] “ถ้ามันไม่ใช่แค่หัวแตกล่ะ จะรับผิดชอบยังไง!!”
ผมยืนนิ่งก้มหน้าฟังไปเรื่อยๆ พยายามหักห้ามตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกไป
“ไอ้พวกนี้ก็คิดได้แค่นี้แหละ”
ผมเผลอกำมือแน่นเป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่โดนใส่ไม่ยั้งอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ ผมหันไปสบตากับเพื่อนอีกหลายคนที่เหมือนพร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อไม่ต่างกันเท่าไหร่
“ฉันถามหน่อย คนที่คิดอะไรไม่เป็นอย่างแกสอบเข้ามาได้ยังไงวะ!”
ผมถึงกับกำหนดลมหายเข้า-หายใจออก กับตัวเองทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ พยายามห้ามตัวเองด้วยความสามารถทั้งหมดเท่าที่มี ถ้าผมหลุดปากออกไปแม้คำเดียวมันจะไม่จบแค่นี้ และอาจทำให้เพื่อนทั้งรุ่นเดือดร้อนไปตามๆ กัน
“ใครเป็นคนกักตัวเด็ก”
สายตาเกรี้ยวกราดเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อตวัดมองผมและเพื่อนทุกคนที่ยืนอยู่ ในขณะที่พวกเราสบตากันไปมาเหมือนพยายามปรึกษาหารือผ่านสายตา ไม่มีใครอยากยอมรับหรืออยากให้เพื่อนยอมรับ โอเค...ผมรู้ตัวว่าเป็นคนเริ่มคิด และในเมื่อเพื่อนทุกคนเห็นดีเห็นงามกัน ส่วนนึงใจผมก็คิดว่าน่าจะมันเป็นเรื่องที่รุ่นของเราควรรับผิด’ร่วมกัน’
“จะไม่มีใครรับผิดชอบเลยเหรอ!!!”
ผมหันไปมองเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาของทุกคนกลับจับจ้องมาที่ผม และผมจะไม่ปฏิเสธเลยว่าตัวเองนั้นผิดหวังขนาดไหน...แบบนี้อีกแล้วเหรอ ผมอีกแล้วเหรอ
ความคิดที่แล่นขึ้นมาในหัวทำให้ผมตัวสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ในเวลานี้ถึงผมจะอยากอยู่คนเดียวแค่ไหนก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมเม้มปากแน่นแล้วพยายามเรียกความมั่นใจเพื่อให้เสียงที่พูดออกไปไม่สั่นจนน่ากลัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยออกไปอย่างหนักแน่นทั้งที่ทั้งร่างกายแทบทรงตัวไม่อยู่
“ผมเองครับ”
ผมไม่กล้าหันไปมองว่าสีหน้าของเพื่อนทุกคนเป็นแบบไหน อาจไม่เห็นด้วยที่ผมออกรับคนเดียว หรืออาจเห็นว่าถูกต้อง แต่ผมขอปกป้องความสึกตัวเองไว้ก่อนโดยไม่หันไป เพราะมันคงจะเสียความรู้สึกไม่น้อยหากได้เห็นสายตา ‘มึงสมควรรับผิดคนเดียว’ จากกลุ่มเพื่อนที่ผ่านอะไรกันมาหลายอย่าง จากกลุ่มเพื่อนที่ผมเชื่อมั่นมาตลอดว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน
ผมบังคับสายตาของตัวเองให้จับจ้องไปแค่ใบหน้าคาดโทษที่มุ่งมายังผมโดยตรง พยายามอย่างหนักในการเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่ห่วงลูก ของเพื่อนที่ห่วงตัวเอง
“เรียกพ่อแม่มาคุยกับฉัน”
...ไม่! ไม่ ไม่เอา ผมได้ยินเสียงของตัวเองตะโกนตอบอย่างแทบไม่ต้องคิดอยู่ในใจ
“คุยกับผมก็ได้ครับ”
ขออะไรก็ได้ที่จะจบลงกับตัวผมคนเดียว อย่าได้เข้าไปในความรับรู้ของครอบครัวผมอีกเลย
“ไม่ ฉันจะคุยเรื่องยื่นฟ้อง”
ผมขมวดคิ้วพลางหาหนทางให้ตัวเองทันที คำตอบนี้ถือเป็นคำตอบที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่จะจินตนาการถึง ยื่นฟ้องงั้นหรือ มีวิธีไหนที่สามารถยื่นฟ้องได้โดยไม่มีพ่อแม่บ้างรึเปล่า ผมคิดพลางใช้มือข้างหนึ่งจับอีกข้างไว้เพื่อเป็นการเรียกสติก่อนที่ตัวผมเองจะเป็นบ้าไปเสียก่อน
ผมไม่เคยโชคดีเลยล่ะ
...และนั่นไง
ผมยกริมผีปากเผยรอยยิ้มอย่างสิ้นหวังทันทีที่เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังมุ่งตรงเข้ามาหาพร้อมกับชายหนุ่มผู้แสนจะโดดเด่นอีกคนที่เดินตามมาติดๆ
“เกิดอะไรขึ้นพรต แล้วนี่...”
แม่ของผมเป็นคนเปิดฉากขึ้นมาก่อน จากเดิมที่เข้ามาถามผมคนเดียวและเหมือนชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนรอบตัว จนสุดท้ายก็หันไปมองพ่อแม่ของน้องปีหนึ่งเหมือนต้องการคำอธิบายเพิ่ม โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าตกใจของคู่กรณีเลยแม้แต่น้อย
“อ้ะ...คุณสุวัตร คุณพิมพ์ผกา มาทำอะไรที่นี่ครับ”
ผมไม่แปลกใจเลยที่ทั้งพ่อและแม่ของน้องเอ่ยทักทายเหมือนรู้จักกัน และพ่อแม่ของผมก็รับไหว้พลางทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อีกแล้วงั้นสิ คงอับอายเหลือเกินที่จะรับว่าเกี่ยวข้องกับผม
“คุณพฤตก็มาด้วย สวัสดีครับ”
นอกจากจะเอ่ยทักทายพ่อกับแม่แล้ว เขายังหันไปทักพี่ชายผู้แสนดีของผม ซึ่งพี่พฤตก็ทำเพียงยกมือไหว้ ส่วนผมนั้นก็ได้แต่หมั่นไส้กับท่าทางนอบนอบจนเกินเหตุของทั้งคู่ คนอื่นก็เป็นซะอย่างนี้ ถ้าดูจริงๆ แล้วพี่ผมก็เพิ่งจบมาได้สองปี ถึงเขาจะจบด้วยเกียรตินิยมอะไรก็ช่าง แต่มันดูโคตรเฟคที่คนอายุมากกว่าเป็นสิบๆ ปีต้องมาทำกิริยานอบน้อมกับเด็กเพิ่งจบ
“เอ่อ...คุณพฤตมีธุระอะไรที่นี่หรือครับ”
ผมถึงกับภาวนาอย่างหนักให้ตัวเองหายไปจากตรงนี้ในวินาทีก่อนที่พี่ชายผมจะตอบคำถามนั้น ซึ่งผมก็ได้แต่คิดแหละครับ เพราะพี่ผมตอบแทบจะทันที
“ผมมาหาน้องชายครับ”
“อ้าว คุณพรตเป็นอะไรครับ”
พี่พฤตทำหน้าสงสัยนิดหน่อยก่อนจะชี้มาที่ผม เล่นเอาผมแทบจะกลั้นใจตายอยู่ตรงนั้น
“พรตก็อยู่นี่ไง”
ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของรุ่นน้องคนนั้นอาการหนักที่สุด เพราะทั้งคู่หน้าซีดเหมือนเห็นผี นี่เป็นเหตุการณ์ที่ผมคงจะหัวเราะไปแล้วถ้าไม่ติดว่าจะเหลือบไปเห็นพ่อกับแม่ที่จ้องตรงมาเสียก่อน...เอาอีกแล้ว สีหน้าแบบนี้อีกแล้ว
“ค...คนนี้คือพรตเหรอ”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอ”
พี่ชายของผมยังมีท่าทีเหมือนไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างอยู่
“พฤต”
“พรตมาคุยกับพ่อหน่อย”
เสียงแม่ปรามพี่ชายดังขึ้นพร้อมเสียงเรียบนิ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนโดนมีดเย็นๆ จ่ออยู่กลางหลัง ทำให้ผมจำใจต้องเลี่ยงออกจากวงท่ามกลางสายตาของพ่อแม่คู่นั้น ก่อนจะเดินตามหลังพ่อตัวเองไปยังทางเดินอีกอันที่อยู่ไกลพอจะไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“เล่ามา!”
พ่อของผมตวาดใส่เบาๆ เหมือนพยายามคุมเสียงไม่ให้ดังจนเกินไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความน่ากลัวของพ่อลดน้อยลงไปกว่าครั้งก่อนๆ
“น้องเป็นลมในห้องเชียร์ครับ”
“แล้วแกเกี่ยวอะไร”
ผมควรจะชินกับคำถามนี้ได้แล้ว ผมไม่กล้าคาดหวังหรอกว่าพ่อจะถามคำถามเช่น ‘น้องเป็นอะไร’ หรือ ‘ทำไมเป็นลม’ หรอก พ่อต้องการแค่รู้เท่านั้นแหละว่าฝ่ายเราเกี่ยวข้องยังไงและมันทำให้ครอบครัวของเขาเสียหายไปมากเท่าไหร่
“ผมเป็นคนคิดกิจกรรม”
“ฉันบอกแล้ว! ฉันบอกแล้วใช่มั้ย กิจกรรมพวกนี้จะเข้าไปยุ่งทำไม”
“พี่พฤตยังเป็นเฮดรับน้องเลย”
“ก็นั่นพฤต ไม่สร้างปัญหาเหมือนแก!”
คำพูดนั้นดังสะท้อนอยู่ในภวังค์ของผม ...เหมือนเป็นคนที่คอยสร้างจุดด่างพร้อยให้ครอบครัวอย่างไรอย่างนั้น ประวัติของผมไม่มีทางดีเท่าพี่ เท่าพ่อ หรือแม่ ได้หรอก
“แต่ผมไม่ได้ผลักน้อง”
“แกจะทำหรือไม่ทำอะไรมันก็เกิดปัญหาทั้งนั้นแหละ”
“...”
“ฉันกล้าพูดนะว่าพฤตเป็นเฮดที่ดี แต่แกไม่ใช่”
ผมถึงกับสะอึก พี่พฤตถือว่าเป็นเฮดรับน้องที่ดีเพียงเพราะไม่มีใครมาหกล้มหัวแตกในห้องเชียร์งั้นหรือ อย่างนี้ถ้าจะให้เฮดรับน้องทุกปีเป็น ‘เฮด’ที่ดี ก็เลิกกิจกรรมห้องเชียร์ไปเลยดีกว่ารึเปล่า แค่ให้น้องนั่งร้องเพลงเหมือนนกแก้วขุนทองใช่ไหมถึงจะเป็นการรับน้องที่ดี
การเรียนรู้ มิตรภาพ และประสบการณ์ มักจะได้มาด้วยความยากลำบาก เหมือนดอกไม้จะเบ่งบานได้หลังผ่านพายุฝน ถึงผมจะไม่ใช่เฮดรับน้องหลักในปีนี้ แต่ผมไม่มีทาง ไม่มีวันจะจัดกิจกรรมเพียงเพื่อจะปกป้องชื่อเสียงของตัวเองโดยที่น้องไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับไปอย่างแน่นอน
การรับน้องคงไม่ต่างอะไรจากการใช้ชีวิตในคณะมากเท่าไหร่ เราอยากให้น้องเข้าใจ อยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองเข้าใจ เพราะการทำงานที่หนักหนาสาหัสนั้นเป็นครูที่ดีที่สุดของเราเสมอ สิ่งที่ได้เรียนรู้ที่จากการปฏิบัติผสมกับความยากลำบากเป็นอะไรที่เราจะได้ติดตัวไปโดยไม่ต้องพยายามหมั่นท่องจำ มันเหมือนหลอมรวมเข้าไปฝังอยู่ในมุมมองความคิดที่จะใช้ไปตลอดชีวิต และถ้าเป็นไปได้...ทำให้โลกของคนๆ หนึ่งเปิดกว้างขึ้นสักนิดก็ยังดี
“กี่รอบแล้วที่ฉันต้องมาคอยตามเช็ด”
“พ่อก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ปล่อยผมไปแบบนี้สิ”
ความจริงผมไม่จำเป็นต้องดีให้ได้เท่ากับพ่อก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีบริษัท ไม่ต้องเป็นสถาปนิกโด่งดังมีชื่อเสียงกันทั้งตระกูล ไม่ต้องมีผลการเรียนสวยหรูเหมือนพี่
“แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอพรต! คิดถึงครอบครัวเราบ้างมั้ย”
ครอบครัวงั้นเหรอ...ของผมคงเป็นครอบครัวที่มีรูปอยู่แต่ในหนังสือประวัติหรือโล่เกียรติคุณเสียมากกว่า และผมก็เบื่อเต็มทนแล้วที่ต้องมาปั้นแต่งตัวเองให้ดีพอจะได้อยู่ในนิตยสารสักเล่ม หรือให้สามารถยืนถ่ายรูปคู่กับพี่ชายได้โดยที่พ่อไม่มองว่าผมด้อยกว่า เพราะผมไม่ปฏิเสธเลยว่าความสามารถของผมด้อยกว่าพี่ และไม่เห็นว่าจะต้องพยายามให้มันไปเท่ากับใคร
ถึงเวลาประกาศจุดยืนแล้ว
ผมก้มลงมองมือสั่นระริกของตนเองที่ต้องคอยจับกันแน่น แล้วก็หวนไปคิดถึงมือของอีกคนที่เคยจับไหล่ผมไว้ให้หยุดสั่น และไม่เคยมีใครทำได้ผลเหมือนเขา ผมเรียกสติของตนเองกลับมาและเงยหน้าสบตากับพ่อพร้อมรอยยิ้มที่เย็นชืด
นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าหากมีใครสักคนมายืนอยู่ข้างๆ
“พ่อรู้มั้ย ผมมีเรื่องที่แย่กว่านี้อีก”
“...”
“พ่ออาจไม่ได้เจอมิวแล้วนะ”
“...”
“เพราะผมเริ่มจะชอบผู้ชายคนนึงแล้ว”
----------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้มาช้าหน่อยเพราะต้องแต่งให้จบตอนค่ะ เพราะถ้าอัพครึ่งอาจทำให้เสียอรรถรสมาก
** มีข่าวมาแจ้งค่ะ!
เราจะมี hashtag อย่างเป็นทางการของเรื่องนี้แล้วนะ
จะด่าพี่พรตนอกรอบก็ใส่แทค
#พรตพราน ได้เลย
แล้วเราจะย่องไปอ่าน 55555
(edit: เราแก้แทคเป็น #พรตพราน แล้วนะ ตอนแรกใช้พรานพรตเพราะมันคล่องปากกว่า แต่กลัวเข้าใจผิดกัน555)
ขอบคุณทุกคนค่ะ