::: CHAP10 100% :::
ผมลุกขึ้นแล้วดึงข้อมือพี่พรตออกจากร้านไป ค่อนข้างโล่งใจหน่อยที่อีกฝ่ายเหมือนจะเดินตามมาโดยดีแบบไม่เล่นตัวอะไร ผมเลยลากมาถึงซอกทางเดินเข้าห้องน้ำ มองซ้ายมองขวาเพื่อเช็คว่าจะไม่เป็นเป้าสายตาของใคร คนน้อยดีและเป็นจุดที่ผู้ชายสองคนมาเซลฟี่กันแล้วไม่แปลก
ว่าแล้วผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วส่งให้คนข้างๆ แต่พอหันไปหาแล้วกลับเห็นว่าสายตาเขาไม่ได้จับจ้องมาที่มือถือผม แต่กลับก้มหน้ามองอะไรไม่รู้พร้อมรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ ผมจึงไล่สายตามองตามเข้าและพบว่า
...ผมยังจับข้อมือเขาอยู่
“เอ่อ...”
พอรู้ตัวผมเลยรีบปล่อยข้อมือเขาออกเหมือนจับของร้อน แต่แล้วกลับโดนมือที่ใหญ่กว่าข้างนั้นคว้าไว้ทันทีพร้อมแรงจับที่แรงมากจนผมไม่คิดจะดึงออก
มันให้รู้สึกแปลกๆ
ถึงมือของเขาค่อนข้างหยาบตามธรรมชาติของมือผู้ชาย แต่มันกลับมีบางอย่างที่รู้สึกว่าจับเพลิน เหมือนพอดีกับมือของผมมากจนรุ้สึกอยากจับต่อไปเรื่อยๆ ให้ตายเหอะ...ผมไม่เคยจับมือใครแล้วติดลมแบบนี้เลย
“เซลฟี่ใช่ป่ะ”
ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรไปเรื่อยจนถึงขั้นยืนเหม่อไม่รู้สึกตัว เสียงของคนข้างๆ ก็ช่วยเรียกสติผมกลับมาที่สถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
“เฮ้ย ทำไมพี่พรตรู้อ่ะ”
“ก็ใบพลูส่งไลน์มา”
พี่พรตตอบหน้าตาเฉยขณะที่ผมแอบขมวดคิ้วให้กับความยุ่งยากของน้องสาวตัวเอง ก่อนจะใช้มือข้างที่ถือโทรศัพท์อยู่กดเปิดกล้องแล้วยื่นออกไป คงต้องรีบทำอย่างรวดเร็วเฉียบขาดเพื่อจะได้ไม่ผิดสังเกต เพราะแม่งโคตรน่าอาย ผมกดเซลฟี่รัวๆ เผื่อไว้หลายรูปและกำลังจะเก็บมือถือลง
“เฮ้ยๆๆ แค่นี้เรียกเซลฟี่เหรอ”
“เออไง”
ไอ้พี่พรตเองก็เรื่องมากใช่เล่น เซลฟี่คือถ่ายหน้าตัวเองที่ติดหน้าพี่พรตเฉยๆ ไม่ใช่เหรอวะ
“เอามานี่ กูถ่ายเอง”
พูดจบพี่พรตก็เขยิบเข้ามายืนใกล้ผม ย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วจู่ๆ ก็ยื่นหน้าเข้ามาชิดจนแก้มของเราชนกันหน่อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเอาขนนกเส้นละเอียดมาวางไว้ข้างผิวหน้า และผิวสัมผัสนั้นทำเอาผมต้องเป็นฝ่ายยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่
ผิวของพี่พรตเนียนกว่าคิดไว้มาก และความร้อนที่แตะกันอย่างแผ่วเบาชั่วขณะหนึ่งก็ทำให้ผมแยกไม่ออกว่ามันมาจากใบหน้าของผมเองหรือของเขา
“พราน”
“อะไร”
เสียงของพี่พรตทำให้ผมเรียกสติคืนได้อีกครั้ง ช่วงนี้ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ มีความรู้สึกแปลกใหม่อยู่หลากหลายแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน และไม่รู้จะจัดมันเข้าหมวดความรู้สึกที่ดีหรือไม่ดี
“เดี๋ยวกูส่งให้พลูเอง”
อ้าว...ผมหันมามองโทรศัพท์ของตัวเองที่ยังถือไว้ในมือ...เมื่อกี้พี่พรตลงทุนขนาดใช้กล้องมือถือของตัวเองเลยเหรอวะ และพี่พรตก็ไม่ปล่อยให้ผมอ้ำอึ้งอยู่นานนัก เขาออกแรงดึงมือที่จับไว้เพื่อให้ผมเเดินกลับไปที่ร้านอาหารพร้อมกัน แต่ทันทีที่เข้าใกล้ร้านอาหารนั้นเขาก็ปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปยังที่นั่งข้างๆ มิว
ทิ้งให้ผมก้มลงมองมือขวาของตัวเองด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย กลุ่มพี่พรตก็มายืนรวมตัวกันอยู่นอกร้าน พี่กันต์กับเพื่ออีกหลายคนซึ่งผมยังทำความรู้จักไม่หมดจะกลับบีทีเอสพร้อมกัน และมีบางคนรวมถึงพี่พรตที่อยู่ต่อ ส่วนผมนั้นต้องลงไปซื้อของในซุปเปอร์ให้แม่ก่อนเพราะแม่เกิดอยากกินคุกกี้ขึ้นมา ผมที่อยู่นอกบ้านพอดีเลยต้องรับหน้าที่ซื้อของส่งส่วยไปโดยปริยาย
“พรต พวกูกลับก่อนนะ อย่าชวนน้องมิวเที่ยวเพลินล่ะ”
“ไม่หรอกๆ เดี๋ยวมิวกลับแล้วเหมือนกัน”
คำปฏิแสธของมิวทำเอาผมเลิกคิ้ว นึกมาตลอดว่าพี่พรตคงตั้งใจไปเที่ยวกับแฟนเลยพามากินข้าวด้วย แบบนี้แสดงว่ามิวเลิกเรียนเสร็จต้องเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อกินข้าวมื้อเดียวเนี่ยนะ อะไรจะเป็นคู่รักลงทุนขนาดนั้น เหมือนยอมเดินทางไกลเพื่อได้เจอสักชั่วโมงก็ยังดี
“วันนี้กูมีธุระต่อน่ะ ไปละ”
พี่พรตอธิบายเหมือนไม่คิดอะไรมากก่อนจะโบกมือให้เพื่อนทั้งกลุ่มแล้วเดินแยกออกจากกลุ่มไป วันนี้รู้สึกว่าพี่พรตดูลนลานตั้งแต่ช่วงสิบห้านาทีที่แล้ว ขนาดมิวที่ปกติจะห่วงกันมากกลับโบกมือลาอย่างง่ายๆ โดยไมพูดอะไรยืดยาว
“น้องพรานล่ะ”
“เดี๋ยวจะลงไปซื้อของให้แม่ครับ พี่ๆ กลับไปก่อนได้เลย”
“โอเค งั้นกลับดีๆ ละกัน”
ได้ยินแบบนี้กลุ่มพี่ก็พยักหน้ารับรู้ แล้วทยอยกันเดินออกไปพร้อมมิว
เมื่อทุกคนกลับไปแล้วผมก็เดินเลี้ยวไปห้องน้ำ คนที่มีระบบขับถ่ายดีอย่างผม กินข้าวเย็นไปเยอะขนาดนี้แถมยังเดินต่อทันที จะให้เก็บไปปล่อยที่บ้านก็คิดว่าคงไม่ทัน ปกติแล้วผมจะพยายามอั้นไว้เพราะคนอื่นจะได้ไมต้องรอ แต่ยังไงวันนี้คนอื่นก็กลับไปแล้วขอใช้โอกาสสักหน่อยละกัน
ผมใช้เวลาสิบนาทีก่อนจะกลับออกมาจากประตูห้องน้ำและกำลังจะเดินไปทางบันไดเลื่อนเพื่อลงไปซื้อของที่ซุปเปอร์ แต่แล้วผมก็ต้องชะงักฝีเท้าลงเมื่อได้เห็นคนที่ไม่คิดว่าจะยังอยู่
...พี่พรต ที่ผมต้องหยุดไม่ใช่เพราะตัวเขาหรอกครับ แต่ประเด็นคือ...พี่พรตกำลังอยู่กับใคร
ผมมองหน้าตายิ้มแย้มที่กำลังพูดคุยปนเสียงหัวเราะของพี่พรตกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจทันทีว่าจะไม่เดินเข้าไปทักโดยเด็ดขาด ผมถอยออกไปอีกสองสามก้าวให้รู้สึกปลอดภัยจากการมองเห็นมากขึ้นทั้งที่ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นคนทั้งคู่ก็ไม่มีทีท่าจะสังเกตหรือใส่ใจอะไรกับสิ่งทีเกิดขึ้นรอบตัวเลย พี่พรตยังยิ้มและคุยเหมือนเดิม คราวนี้ผมเริ่มสังเกตเห็นว่าในมือข้างหนึ่งของเขากำลังถือถุงกระดาษแบรนด์เนมใบใหญ่อยู่
จู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เอื้อมมือไปควงแขนพี่พรตเล่นทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่เฉยๆ และแกว่งไปมาเหมือนกำลังอ้อนอะไรอยู่ ผมกวาดสายตาสำรวจผู้หญิงคนนี้ทันที เธอไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาแต่ใส่เดรสเข้ารูปสีเรียบยาวเหนือเข่า กระเป๋าที่สะพายอยู่นั้นดูออกได้ทันทีว่าเป็นแบรนด์เนม การแต่งตัวถือว่าอยูในระดับที่เรียกว่าดูดีมาก เมื่อรวมกับใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ลิปสติกสีสดและกริยาแฝงด้วยจริตของผู้หญิงแล้ว ถือว่าเธอ ‘เปรี้ยว’ ไม่เบา
ระหว่างที่กำลังสังเกตท่าทีอยู่นั้น จู่ๆ พี่พรตก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นจากกระเป๋าก่อนจะทำท่าเหมือนขออนุญาตจากผู้หญิงคนนั้น แล้วหมุนตัวเดินตรงมาทางผม!
...เชี่ย
ผมรีบเหวี่ยงตัวเข้าไปหลบหลังผนังที่เป็นทางเลี้ยวหักมุมก่อนถึงห้องน้ำ และเหมือนพี่พรตจะเดินมาได้ใกล้กับตำแหน่งของผมเหลือเกิน ขนาดที่ว่าผมได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน...นี่ถ้าพี่เขาเดินมาอีกสองก้าวแล้วหันมาทางซ้ายก็คงจะเห็นผมยืนกลั้นหายใจอยู่แน่
“ไม่เอาน่ามิว พี่บอกแล้วไง”
ชื่อ ‘มิว’ ที่ได้ยินนั้นทำให้ผมยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง ถ้าคุยโทรศัพท์กับแฟนตัวเองแต่ต้องหลบขนาดนี้แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่ธรรมดา
“วันนี้พรตติดธุระจริงๆ ไว้วันหลังเนอะ”
“...”
“ก็...ตอนนี้พรตมาหาหมอน่ะ พอดีรู้สึกไม่ค่อยสบาย”
นี่ถ้าไม่ติดว่าผมยังคุมสติตัวเองได้ คงออกไปชี้หน้าด่าพี่พรตแล้วล่ะ ทำไมต้องโกหกมิวถึงขนาดนี้เลยล่ะ
“พรตไม่เป็นไรจริงๆ เลยไม่อยากให้มิวเป็นห่วง”
...และคนที่พูดว่า ‘จริงๆ’ มากกว่าครั้งเดียว มักจะพูดไม่จริง
“ครับๆ คราวหน้านัดใหม่เนอะ”
ผมได้ยินเสียงพี่พรตยัดโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำเอาหัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าคงมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้แน่นอน
เมื่อเสียงฝีเท้าของพี่พรตค่อยๆ ไกลออกไปแล้ว ผมจึงออกมาจากที่ซ่อนโดยอาศัยปะปนกับกลุ่มคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำ ผมค่อยๆ เดินเข้าไปในระยะที่จะสามารถได้ยินบทสนทนาของพี่พรตกับผู้หญิงคนนั้น
“เมื่อกี้คุยกับใครน่ะ”
“อ้อ ไม่มีอะไรหรอกครับ แม่โทรมาเฉยๆ”
คำตอบนี้ทำเอาผมขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“งั้นเราไปช็อปกันต่อเถอะค่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นใช้สองมือจับแขนพี่พรตอย่างออดอ้อนพร้อมกรีดรอยยิ้ม และพี่พรตก็ยังหันไปยิ้มกับเธออย่างอ่อนหวาน
“ได้ครับ”
เมื่อคนทั้งคู่เดินจากไปแล้วผมจึงผ่อนลมหายใจยาวๆ ที่หนึ่ง เอนหลังทิ้งน้ำหนักตัวลงบนผนังอย่างอ่อนแรงก่อนจะหลับตาลงเพื่อตั้งสติเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
พี่พรตที่ผมรู้จักเป็นคนแบบไหน? เป็นพรตปีหนึ่งหรือพี่พรตปีสาม เป็นคนขี้แกล้งกวนตีนหรือคนที่ยอมอดนอนเพื่อช่วยผมทำงาน เป็นคนที่มักจะชวนผมไปไหนมาไหนหรือคนที่ใช้มือถือตัวเองถ่ายเซลฟี่ เป็นคนที่หนักแน่นมั่นคงในความรักหรือคนที่โกหกเป็นกิจวัตร เป็นแฟนที่ดีของมิวหรือคนที่พยายามรักษาความสัมพันธ์ด้วยคำว่า ‘จริงๆ’
พี่พรตเป็นใคร?
ไม่ใช่คนที่บูชาความรักแล้วเหรอ.
------------------------------------------------------------------------------
อยากมีเวลาแต่งให้ครบ 100%เหมือนเดิมบ้างมันจะได้อารมณ์ที่เราต้องการสื่อมากกว่า แต่กลัวคนอ่านรอนานง่ะ
เริ่มรู้สึกเหนื่อยกับกิจกรรมที่ม.ช่วงนี้ มันเยอะเกินกว่าที่คิดมากๆ

อย่าเพิ่งคิดว่าความสัมพันธ์ตัวละครดำเนินช้าเลยนะะ เหมือนความรักของคณะเราจะเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเนียนไปกับกิจวัตรน่ะค่ะ ไม่ได้จีบแบบรุกทีเดียว จะเป็นการค่อยๆ อดนอนด้วยกัน นั่งเผางานด้วยกัน ผ่านทุกข์ผ่านสุข และผ่านเกรด5555 เลยพยายามเขียนให้ออกมาเหมือนที่สุด
ขอบคุณคนอ่านค่ะ
ปล. รู้สึกว่าตัวอักษรมันอัดกันไปหน่อย เดี๋ยวจะ edit แก้ให้นะคะ มีปัญหากับ formatของมันนิดหน่อยค่ะ