- 3 -“จะกลับเลยหรือคุณนิล ใช้ให้เด็กเรียกแท็กซี่ส่งน้องเขาก็ได้นี่ครับ วังมณีรมย์ไม่มีใครไม่รู้จักสักหน่อย คงไม่พาไปหลงที่ไหนหรอกมั้ง
หน้าตาเป็นอาวุธออกปานนั้น ผมว่าไม่น่าเป็นห่วงมั้งครับ พวกเราจะได้สนุกต่อ”
คุณเอกที่ยืนอยู่ด้วย ต้องการจะรั้งคุณนิลให้อยู่ โดยแนะส่งสนิมขึ้นแท็กซี่กลับวังแทน
สนิมยืนจ้องคุณนิลรอฟังคำตอบ ว่าอีกฝ่ายจะเอาไง ถ้าเห็นด้วยกับวิธีของคุณเอก
สนิมสาบานในใจต่อไปจะไม่ข้องแวะพูดคุยทักทายกับคุณนิลให้เปลืองน้ำลายอีกเด็ดขาด
หากกลับแท็กซี่สนิมได้ขอตั้งแต่แรกกลับไม่ยอม ไม่งั้นคงไม่ต้องมานั่งแกร่วให้คนแถวนี้หยามหรอก
“ไม่ได้สิครับคุณเอก ผมต้องพาน้องเขากลับด้วยตัวเอง ไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ
วันนี้ต้องขอตัว ฝากบอกพวกข้างในด้วยผมไม่เข้าไปแล้ว ต้องรีบทำเวลาใกล้ขีดเส้นตายล่ะ
ขอตัวครับไว้คุยกันวันหลัง..ไปนะครับ” พูดจบไม่รอให้คุณเอกทักท้วงอีก
หันมาพยักหน้าส่งสัญญาณให้สนิมตามออกไปทันที ร่างสูงก้าวอาดๆ ดูรีบร้อนจนผิดสังเกต
สนิมยิ้มลาคุณเอกตามมารยาท แต่สีหน้าอีกฝ่ายดูขัดใจเห็นได้ชัด ที่ไม่สามารถรั้งคุณนิลได้
ทำไมสนิมจะดูไม่ออกคุณเอกคิดยังไงกับคุณนิล สายตาท่าทางแบบนี้ต่อให้เก็บมิดชิด
บรรดาเกย์ก็ดูกันออกล่ะ ถึงสนิมจะเป็นเกย์ยังเวอร์จิ้นก็เถอะ
ก็ไม่โง่เพราะพัทยาเกย์ใช้มารยามีอยู่เกลื่อนเมือง เห็นมานักต่อนักแล้วล่ะ
“ทีหลังไปไหนกับฉัน อย่าหายหัวแบบนี้อีก..เข้าใจไหม” พอขึ้นรถเคลื่อนออกถนน
วิ่งด้วยความเร็วสนิมคิดว่าอีกฝ่ายขับเร็วกว่าขามาเสียอีก คุณนิลก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาทันที
“คงไม่มีแล้วครับ” สนิมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ใส่น้ำหนัก
“หมายความว่าไง ไม่มีอะไร” คุณนิลหันมาถาม สายตาดูข้องใจ
“ไม่มีก็คือไม่มีไงครับ ผมจะไม่ไปไหนกับคุณนิลอีกแล้ว
ซึ่งแปลว่าคุณนิลไม่ต้องมากังวลว่าผมจะหายหัวยังไงครับ”
สนิมตอบด้วยสีหน้าซื่อๆ ได้เวลาเอาคืนแล้ว ตอนนี้อยู่ส่วนตัวไม่มีคนนอก
ขอย้อนให้รู้สึกบ้างเถอะ ก่อนหน้าสนิมโดนมาตั้งหลายหมัด..ยังสะกดกลั้นทนฝืนเอาไว้ได้
“เริ่มปากเก่งแบบนี้ก็ตอนอยู่กับฉันสินะ บอกให้เรียกพี่ไม่ยักจำ
พวกเพื่อนฉันเลยพานคิดว่าเป็นเด็กในวัง เข้าใจหรือยังว่าฉันหวังดี
ใครเขาอยากมีน้องแบบเธอกัน เก่งก็แค่เวลาอยู่กับฉันล่ะมั้ง“
“เปล่าเก่งครับ เพราะผมไม่เก่ง ถึงโดนใครต่อใครเหยียบย่ำซ้ำเติมจนหายใจไม่สะดวก
ถึงผมจะหน้าตาดูไม่ฉลาดเท่าไหร่ แต่ก็ไม่โง่ที่จะให้ใครต่อใครเชือดเฉือนทางสายตาและถ้อยคำนี่ครับ
ผมจึงไม่คิดนั่งอยู่ที่โต๊ะ ผมคุยกับคุณนิลเพราะเห็นว่าเรารู้จักกัน ส่วนที่ไม่เรียกพี่ไม่ใช่ผมรั้น
ไม่ยอมฟังคำแนะนำของคุณหรอกนะครับ ผมรู้จักกะลาหัวตัวเองไม่กล้าอาจเอื้อมเอาตัวไปเสมอ
เป็นน้องเป็นนุ่งหม่อมหลวงนิลกาฬต่างหาก เดี๋ยวขี้กลากจะพานขึ้นหัวผมอีก
ส่วนใครจะมองผมเป็นเด็กรับใช้เป็นธุลีดินก็ช่างเขาเถอะ เขามีสิทธิ์คิดมีสิทธิ์มอง
ความจริงผมก็เป็นได้แค่นั้นไม่ใช่หรือครับ” สนิมย้อนด้วยสีหน้าเรียบเฉยก็จริง
แต่แววตากลับสั่นระริกกับทุกประโยคที่พรั่งพรูออกจากปาก ตอกย้ำความต่ำต้อยของตัวเอง
ทำไมจะดูไม่รู้ว่าพวกเขามองตัวเองยังไงหลังคุณนิลแนะนำจบ แต่จะให้นั่งเชิดคอตั้ง
ประหนึ่งไม่สนไม่แคร์สายตาคงทำไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่ที่ทางให้ข้องแวะ
แค่ได้รับโอกาสเข้ามาอยู่ในวังกับเปลว ก็เกินคาดเกินฝันเหลือหลายแล้ว
จะให้อวดเก่งเบ่งบารมีถือดีทั้งที่ไม่มีดีให้ถือ เท่ากับเอาเกลือไปแลกพิมเสน
เอาทั่งไปฝนกับแท่งปูนมีหรือจะชนะ..คงได้รับสายตาชื่นชมจากคนรอบข้างหรอกนะ
เมื่อรู้คำตอบดีอยู่แล้ว จะฝืนอวดเก่งอวดดีไปเพื่ออะไร
“ทำไมเธอถึงชอบดูถูกตัวเองนัก คิดแบบนี้จะไม่ให้คนเขาดูถูกเธอได้ยังไงกัน
ขนาดตัวเธอเองยังไม่เคารพเชื่อมั่นในตัวเอง ใครเขาจะมาเห็นคุณค่าในตัวเธอเล่าห๊ะ!”
คุณนิลหันมาทำตาดุใส่ แถมอบรมสั่งสอนอีกเป็นกระบุงทีเดียว
เพราะหม่อมหลวงนิลกาฬไม่ใช่คนไม่รู้กำพืดดั้งเดิมตัวเอง ถ้าไม่ได้พระเมตตาจากเสด็จท่าน
ซึ่งเป็นท่านปู่ของคุณชายเพชรมีหรือจะได้ตำแหน่งหม่อมหลวงนำหน้าชื่อของตนกันเล่า
“ก็แล้วมันไม่จริงหรือครับ คนดีที่ไหนจะชอบดูถูกตัวเอง
ก็ผมไม่มีอะไรให้คนเขาสรรเสริญเยินยอเหมือนพวกคุณนี่ครับ
หน้าตาก็ขี้เหร่ไม่ดีเด่ให้ใครเขาพิสมัยรักใคร่นิ ชาติตระกูลก็ไม่ยิ่งใหญ่ให้คนเขามายกย่องนับถือ
การศึกษาฐานะผมมีอะไรเทียบพวกคุณได้ล่ะ คุณเองก็เหมือนกันทำเป็นพูดให้กำลังใจ
ทั้งที่ความจริงสายตาคุณ ก็มองผมไม่ต่างกับพวกเขาหรอก”
สนิมเหลืออดตะโกนคอตั้ง หันไปแหกปากใส่ข้างหูคนที่กล้าดีมาสั่งสอนฉอดๆ
ด้วยอารมณ์ซึ่งสะสมเก็บกดตั้งแต่ที่ผับ แต่กลับกวนตะกอนที่พยายามให้มันตกผลึก ขุ่นขึ้นมาอีกจนได้
“จะแหกปากทำไมเนี่ยะ พูดเบาๆ ก็ได้เป็นบ้าหรือไงห๊ะ แก้วหูทะลุหมดเด็กบ้านี่”
คุณนิลหักพวงมาลัยรถ เปิดไฟเลี้ยวเข้าจอดชิดริมขอบทาง
หลังหูอื้อเพราะสนิมดันตะโกนแหกปากใส่หูไปเต็มๆ
“ใช่สิ..ผมมันเด็กบ้า เด็กไม่มีสกุลรุนชาติ ทำอะไรก็ไม่ดีในสายตาชนชั้นสูงแบบคุณหรอก
ไม่เหมือนคุณเอกนี่พูดจาดูถูกเหยียดสายตาใส่ผม เขายังดูดีในสายตาคุณอีก..อึกฮึก..ฮึกฮือๆ!!”
ในที่สุดความอดกลั้นทั้งหมดก็พังครืนไม่เป็นท่า สนิมร้องไห้ตัวโยนหมดแล้วความเข้มแข็งที่สร้างสมมา
อุตส่าห์จะไม่ร้อง ไม่ยอมให้คนข้างกายเห็นน้ำตา แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ
เพราะแรงกดดันที่ได้รับตั้งแต่เหยียบเข้าวังมณีรมย์ จนถึงเวลานี้หนักสุดก็คือตอนอยู่ในผับ
สายตาคนรอบข้างที่ไม่คุ้นเคย แถมถูกมองหยามเหยียด
ยังต้องมาฟังคำพูดของคุณนิลที่ใส่โดยไม่ได้รับรู้สักนิด ว่าสนิมเจ็บปวดแค่ไหนกับสิ่งที่ได้รับมาก่อนหน้านั้น
“อ้าวเฮ้ย! กรรมจริงร้องซะงั้น เด็กหนอเด็ก” คุณนิลจากที่โมโหอยู่
พอเห็นสนิมร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลเป็นทาง กลายเป็นทำอะไรไม่ถูกไปเช่นกัน
ไม่คิดคนปากดีจะอ่อนไหวเพียงนี้ แต่ด้วยวัยบวกประสบการณ์ทำให้รู้ได้ว่า
อีกฝ่ายคงเก็บกดสะสมความกดดันเอาไว้ พอถึงจุดระเบิดจึงทะลักออกมาแบบนี้
“เอาเถอะ..อยากร้องก็ร้องเสียให้พอ ร้องจนกว่าสบายใจนั่นแหละ
เรื่องที่เธอทุกข์ใจหนักใจให้มันละลายหายไปกับน้ำตาซะ อย่าเก็บมาคิดให้ปวดหัวอีกเชียวล่ะ”
คุณนิลเอามือประสานหนุนท้ายทอย ปรับเอนเบาะลงนอนด้วยทีท่าดูสบายๆ แถมยังปลอบสนิมอีกต่างหาก
“ก็มันอดคิดไม่ได้นี่ ใครอยากจะเอามาคิดเล่า ผมก็อยากอยู่ในจุดที่ไม่ต้องมีใครมาดูถูกดูแคลนเหมือนกัน
ถามใจคุณดูสิทำไมถึงต้องมาแบ่งชั้นวรรณะด้วยเล่า” สนิมเถียงข้างๆ คูๆ
โยนเป็นความผิดของคุณนิลให้เขาหน้าตาเฉย หลังสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มอ่อนโยนลงจนผิดคาด
“ใครบอกฉันแบ่งชั้นวรรณะหืม ถ้าฉันมีนิสัยแบบนั้นเป็นอาจารย์สอนคนเขาได้ยังไงครับ..คุณหนิม
แล้วกระผมไปพูดจาในเชิงดูถูกดูแคลนคุณตอนไหนหรือครับ ไหนลองบอกมาให้กระผมรับรู้รับฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ
ถือซะว่ากระผมนึกถึงการกระทำที่คุณกล่าวหาไม่ออกจริงๆ กระผมไปทำอาการอย่างนั้นใส่คุณตอนไหนกันครับ”
คุณนิลชักสนุก ขำการพาลพาโลของสนิมที่โวยใส่ทั้งที่ยังเปื้อนน้ำตาเลอะเทอะ
ตาแดงก่ำกลับทำให้แพขนตาที่เขรอะไปด้วยหยดน้ำจับตัวหนา ดวงตาโตไม่เคยเด่นกลับวาวงามขึ้นมา
ด้วยอาการบวมแดงเพราะการร้องไห้ จมูกไม่แหลมไม่โด่งแต่ก็ไม่แบนหนาแดงก่ำด้วยเช่นกัน
ใบหน้าซึ่งมีสิวประปรายทำให้ดูไม่น่าสนใจก็พลันขึ้นสี คุณนิลเห็นแล้วนึกถึงเด็กหน้าตกกระแบบชาวฝรั่ง
ชอบร้องไห้กระจองอแง ไม่ต่างกับสนิมในตอนนี้ กลับดูน่ามองไปอีกแบบ
“ก็คุณนิล..ก็คุณนิล” สนิมพูดไม่ออก นึกหาคำพูดที่โดนถามแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามไม่ออกจริงๆ
อาจจะมีโต้เถียงใส่กันแต่ก็ไม่ได้เกิดจากเนื้อหาสาระซึ่งมีสาเหตุมาจากการดูถูกสักครั้ง
เป็นเรื่องบ้าบอไร้สาระที่แกล้งสนิมหัวเสียมากกว่า
“พูดไม่ออก เพราะฉันไม่เคยทำแบบนั้นไง อะไรทำให้เธอคิดว่าฉันเคยดูถูกเธอหืม
ถ้าฉันคิดแบบนั้นจะมาเซ้าซี้ให้เธอเรียกพี่ไปทำไมกันครับ เอาความจริงเลยนะหนิม
ฉันไม่เคยนึกดูถูกรังเกียจชาติกำเนิดอะไรของเธอ ถ้าฉันเผลอทำอะไรไปจนเธอเข้าใจแบบนั้น
ฉันขอโทษด้วย ฉันไม่มีเจตนาให้เธอคิดไปในแง่นั้นจริงๆ”
สนิมพลันอึ้ง หันจ้องหน้าหล่อที่เอียงคอมองตาเบิกค้าง ไม่คิดว่าคุณนิลจะขอโทษ
แถมแววตาก็ไม่มีลักษณะเย้าแหย่ให้เห็นแม้แต่น้อย ฉายไปด้วยความจริงใจ
ก่อนรอยยิ้มละไมจะผุดขึ้น ทำเอาสนิมหน้าร้อนวาบในทันที
ดวงตาค้างเติ่งจ้องตอบหลุบหลบด้วยอาการเขินที่พุ่งขึ้นมา หูขาวแดงแปร๊ดในพริบตา
กิริยาก้มงุดจนคางแทบชิดอกเหมือนคนที่ขาดความมั่นใจของสนิม
กลายเป็นความน่ารักในสายตาคุณนิลเสียเช่นนั้น
มือที่ประสานอยู่ท้ายทอย ตอนนี้ปลายนิ้วแกร่งกำลังเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตา
ซึ่งจ้องมองด้วยความรู้สึกยากบรรยายให้เห็นภาพเช่นกัน สนิมที่ถูกเชยคางไม่มีการขัดขืน
ยินยอมที่จะเผยดวงตากลมโตขึ้นสบกับดวงตาคมเข้ม ในลักษณะจ้องกันค้างอยู่แบบนั้น
กระทั่งใบหน้าหล่อเคลื่อนเข้าใกล้ เอียงมุมทำองศาได้พอดิบพอดี
ริมฝีปากได้รูปก็ประกบลงบนกลีบปากที่ปิดสนิท
ลมหายใจอุ่นร้อนรดพวงแก้มซึ่งเปื้อนคราบน้ำตา ไม่มีการสอดแทรกเรียวลิ้นเข้ารุกล้ำโพรงปาก
แค่ประทับจุมพิตละมุน เพียงแค่นั้นคุณนิลก็ได้รับรู้ถึงความไม่ประสาของคนตรงหน้า
ร่างกายสั่นสะท้านเหมือนลูกนกพลัดหลงแม่ เกิดปฏิกิริยาขึ้นมาทันที
เด็กหนุ่มคนนี้อ่อนต่อโลกในเรื่องนี้นัก ไม่คิดว่าภายนอกที่ดูจัดจ้านกร้านแกร่ง
ที่แท้ยังใสซื่อบริสุทธิ์ไม่ประสากับเรื่องแบบนี้ คุณนิลจึงถอนริมฝีปากออกห่าง...?
สนิมเบลอๆ งงๆ ถือเป็นจูบแรกในชีวิต ไม่เคยคิดว่าจะมีหนุ่มหล่อที่มักทำให้จิตใจหวั่นไหวแปลกๆ
ประทับจูบลงบนกลีบปากเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายไกลโข
สนิมไม่มีอะไรเทียบติดกับคนที่เข้าหาเขาเลยนี่สิ หากนับคุณเอกก็ห่างไกลหลายขุม
แต่เวลานี้ไม่ใช่ฝัน คุณนิลจูบสนิมจริงๆ สนิมเขินจนแทบจะเอาหน้ามุดคางแล้ว
ยิ่งทำท่าแบบนั้นยิ่งสร้างรอยยิ้มให้คุณนิลที่นึกเอ็นดูคนไม่ประสา
แต่ก็ไม่คิดที่จะแกล้งให้สนิมได้อายไปกว่านี้ จึงปรับเบาะกลับสู่สภาพปกติ
แล้วค่อยออกรถเคลื่อนจากตรงนั้น พูดสั้นๆ ให้รู้และเข้าใจตรงกันว่า
“กลับวังนะ” สนิมไม่แม้กระทั่งจะเงยหน้ามองทาง หรือขานตอบให้เสียงดังไปกว่าครางเครืออยู่ในคอ
“อื้ออ!!” แล้วก็มุดหน้าอยู่ท่าเดิม มือประสานบนตักจับยึดกันแน่น
คุณนิลยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกขบขันแกมเอ็นดู ก่อนหน้าทั้งโวยทั้งร้องเสียยกใหญ่
แต่ตอนนี้เอาแต่เขินมุดหน้าหนีอยู่ท่าเดียว เกรงว่ากลับถึงวังคอจะเคล็ดไปเสียก่อน
“หึหึ!!” เสียงหัวเราะเบาๆ ทุ่มต่ำอยู่ในลำคอ พร้อมกับปลายนิ้วซึ่งเคาะบนพวงมาลัย
เหมือนกำลังฮัมเพลง ไม่ได้เร่งร้อนที่จะเพิ่มความเร็วในการขับขี่
ช่างแตกต่างก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง ค่อยคืบคลานไปช้าๆ
มาอัพแล้วค่ะ เจอกันอีกทีวันศุกร์เลยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ