Chapter 17 : “คุณจะไม่ทิ้งผมไปใช่มั้ย”
ทุกอย่างกำลังพังจริงๆหลังได้ยินคำนั้น ผมทำอะไรไม่ถูก พยายามห้ามปรามเลียม แต่อีกฝ่ายก็ปีนกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง สายโซ่รั้งผมเอาไว้ ฉุดรั้งราวย้ำเตือนว่าผมไม่มีวันออกไปจากโคลมตมนี้
ผมได้แต่นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งคาร์เรย์กลับมา
“ที่รัก เป็นอะไรไป”
เลียมพูดถูก คาร์เรย์ไม่รู้เรื่องที่เขาแอบเข้ามาสักนิด
“ร้องไห้ทำไมครับ หือ” เสียงหวานอย่างปลอบประโลมนั้นทำให้ผมยิ่งร้องไห้หนัก ผมกอดเขา ซุกกับอกของเขา หวังให้ไออุ่นของความรักอันบิดเบี้ยวนี้ช่วยบรรเทาความร้าวรานในใจ คาร์เรย์ตกใจเล็กน้อย แต่ก็กอดผมตอบ พลางลูบศีรษะอย่างอ่อนโยนเหลือเกิน
ผมควรจะทำยังไง
ผมอยากเตือนคาร์เรย์ อยากบอกว่าเขาพลาดแล้ว เลียมมีหลักฐานบางอย่างในมือ แต่ไม่รู้ว่าคาร์เรย์จะเชื่อผมมั้ย ขนาดคำที่เขาต้องการฟังจากผมที่สุด เขายังไม่แม้แต่จะให้ผมเอ่ยออกมาด้วยซ้ำ!
ทุกอย่างมันพังทั้งหมด...และหากพูดออกไป เขาต้องรู้ว่าเลียมมาหา ถึงตอนนั้นเขายังจะละเว้นเลียมอีกหรือ ถ้าเขาไปฆ่าแม่ของเลียมอีกล่ะ...ไอ้เด็กเวรนั่นต้องแทบเป็นบ้า คลุ้มคลั่งกว่าเดิม กัดไม่ปล่อยแน่แท้
มันพังไปหมด...แต่ถ้าไม่พูด คาร์เรย์ก็จะถูกไล่ต้อน ผมรู้ว่าเขาไม่มีทางปล่อยผมหรอก แต่ถ้าตอนนั้นเมื่อกฎหมายตามเจอ เขาจะขัดขืนได้ยังไง เลียมที่เตรียมการณ์ดีขนาดนี้จะยอมให้ผิดพลาดอีกครั้งงั้นเหรอ
พัง...“ที่รัก?”
อ่า...ผมควรจะทำยังไงดี
ผมสะอื้นไห้ ในอกอัดอั้นเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเอง
ทำไมทุกอย่างเป็นแบบนี้กันนะ ทุกครั้งที่คิดว่าพอแล้ว ทำใจได้แล้ว ยอมรับได้แล้ว เป็นต้องมีบางสิ่งทำให้พลิกกลับ! ตัวผมไม่เคยสมหวังสักครั้งเลยหรือไง ทำไมต้องเป็นแบบนี้ตลอด!!
“เรา...หนีไปกันดีมั้ย”
ผมไม่โทษคาร์เรย์ ฉะนั้นผมจึงไม่โทษเลียม
“หนีไปที่ที่ไม่มีใครตามเจอ หนีไปกันแค่สองคน...”
“ที่รัก” คาร์เรย์ดึงตัวผมออก มองด้วยสายตาไม่เข้าใจ “คุณจะให้ผมทิ้งบริษัทงั้นเหรอ คุณรู้ดีที่สุดนี่ว่าผมพยายามแค่ไหนเพื่อมาจุดนี้ ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่ออยู่กับคุณ เพื่อสร้างฐานะให้คุณยอมรับ!”
เพราะผมเป็นคนบอกกับเขาเอง
บอกกับเขาเมื่อเจ็ดปีก่อน และนั่นทำให้อีกฝ่ายมุ่งมั่นขนาดนี้
เพราะ...ผม
“พอแล้ว...” ผมมองท่าทางเกือบจะคลุ้มคลั่งของคาร์เรย์ด้วยความรู้สึกปวดหนึบไปทั้งใจ “ฉันพอแล้ว...ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”
“หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงคนรักเข้มขึ้น บางทีคงคิดว่าผมเองก็ไม่ต้องการเขา
“ฉันมีนายก็พอแล้ว...” ผมพูดออกมาจากใจ “หนีไปกันเถอะ ไปให้ห่างจากที่นี่ ไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา...”
“ที่รัก คุณเป็นอะไร” คาร์เรย์บีบไหล่ผมแน่นจนเจ็บ “ทำไมจู่ๆ ถึงพูดแบบนี้ คุณพยายามจะหนีผมไปอีกใช่มั้ย จะให้ผมปล่อยคุณ แล้วคุณจะฉวยโอกาสนั้นหนีไปใช่มั้ย!”
น้ำตาที่เกือบจะเหือดแห้งกลับไหลออกมาอีกครั้ง
ผมยกมือปิดตา ส่ายศีรษะน้อยๆ ก่อนจะผละจากคาร์เรย์ไปทิ้งตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงบนเตียง...กลับไปสู่ที่ของผมราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
หูแว่วเสียงปาข้าวของอย่างเกรี้ยวกราด คาร์เรย์ไม่รู้จะเอาอารมณ์ไปลงที่ไหนจึงได้ทำแบบนี้ เขาสบถอีกสองสามคำ ก่อนจะปิดประตูดังปังและเดินกระทืบเท้าออกไปเพื่อสงบสติ
อ่า ทำไมมันถึงได้กลับตาลปัตรขนาดนี้นะ
ผมซุกหน้ากับหมอน ร้องไห้จนเจ็บคอไปหมด ชั่วขณะหนึ่ง คำพูดของเลียมปรากฏขึ้นมา
‘ให้มันพังไปทั้งแบบนี้นั่นแหละ!!’
นั่นสินะ...ในเมื่อไม่ว่าผมจะพยายามแค่ไหน ทุกอย่างก็ผิดเพี้ยนไปหมด ถ้าอย่างนั้น...
ก็ปล่อยให้มันพังไปเถอะ!!เลียมไม่มาหาผมอีกเลย
คงเพราะเขาตั้งใจแน่วแน่แล้ว แต่มันกลับทำให้ผมกลัว...กลัวจนนอนไม่หลับ กังวลว่าเขากำลังตามหาหลักฐานได้ถึงไหน เขาจะจับคาร์เรย์จริงๆ หรือ เพียงแค่นึก...ผมก็กลัวไปทั้งใจ โทษของคาร์เรย์หนักหนานัก หากเชื่อมโยงไปยังคดีก่อนๆ คนรักของผมคงไม่พ้นโทษประหาร
คาร์เรย...จะตายงั้นเหรอ
ผมหนาววาบไปทั้งตัว ซุกเข้าไปกอดคนรักซึ่งนอนตะแคงเคียงข้างกัน แม้จะทะเลาะกันหนักขนาดไหน แต่คาร์เรย์ไม่เคยทิ้งผมให้นอนคนเดียว เขายังคงโอบประคอง ตะกองกอดด้วยความรัก แม้ว่าบางทีผมจะถูกความบ้าคลั่งนั้นทำร้ายจนเจ็บไปทั้งกายก็ตาม
“ที่รัก?” คาร์เรย์ซึ่งหลับสนิทรู้สึกตัว ตลอดทั้งเย็นเขาไม่ยอมพูดกับผม อาจเพราะยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ผมรู้...รู้ดีว่าทุกครั้งที่เขาเผลอให้ความคลุ้มคลั่งครอบงำ หลังจากนั้นคนที่เสียใจที่สุดก็คือคาร์เรย์
เพราะเขารักผมมากเหลือเกิน...
“คาร์เรย์”
“ครับ?” อาจเพราะความง่วงงุน คนรักจึงขานตอบอย่างใสซื่อน่าเอ็นดูราวลืมเลือนเรื่องเมื่อเย็นเสียสนิท มันทำให้ผมชั่งใจ...ว่าควรจะถามออกไปดีหรือไม่นะ
แต่ช่างเถอะ
มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมยังต้องกลัวมันพังไปกว่าเดิมอีกหรือไง
“เมื่อเจ็ดปีก่อน...นายพูดกับฉันว่าถ้าหากเจอกันแล้วฉันปฏิเสธ นายจะทำอะไรเหรอ”
มันค้างคาในใจผมมานานเหลือเกิน แต่ที่ไม่กล้าถามมาตลอด เพราะกลัวว่าเขาเข้าใจผิดคิดว่าผมจะปฏิเสธ
ผมไม่เคยพูดคำนั้นออกมา...แม้จะเจ็บปวดใจแค่ไหน ถูกเขาทำร้ายเพียงใด ผมก็ไม่เคยพูดคำนั้นออกมา
แต่ในเมื่อวันนี้มันก็แย่พอแล้ว ผมก็ขอบ้าให้ถึงที่สุดเถอะ
เพราะคำตอบที่พยายามนึกมาตลอดนั้น มีแต่คำว่า...
“ผมไม่ฆ่าคุณหรอก” คาร์เรย์เอ่ยเสียงเบา ความง่วงงุนเลือนหาย แต่น่าแปลก เพราะเขาไม่ยักโมโหอย่างที่คิด “ผมบอกแล้วว่า
จะไม่ให้คุณตาย...ที่รัก”
ดวงตายามทอดมองเคียงกันนั้นช่างวาบหวามจนน่าใจหาย
อยากเก็บช่วงเวลาแบบนี้ไว้เหลือเกิน
“ทำไมล่ะ...”
ผมเคยคิด คิดมาตลอดว่าหากถึงวันที่ผมไปจากคาร์เรย์จริงๆ เขาต้องฆ่าผม...ฆ่าด้วยความรักอย่างที่เขาเคยทำกับครอบครัวแน่ๆ แต่ว่า...มานึกดูดีๆ คาร์เรย์ไม่มีท่าทีจะฆ่าผมเลย ตอนที่ให้เลือกระหว่างเขากับเลียม ก็เป็นตัวผมเองที่เสือกตัวเองเข้าไปในกองไฟ ทั้งที่เปลี่ยนไปเพราะเหตุการณ์นั้นแท้ๆ แต่คาร์เรย์ก็พาผมกลับมาที่บ้านหลังนี้...กักขังผมไว้ไม่มีทีท่าจะฆ่าทิ้งเสียให้ตาย
“เพราะคุณไม่ให้ผมตาย” คาร์เรย์ขยับยิ้ม ดวงตาทอดหวาน ราวกำลังนึกถึงอดีต “ผมจำคุณได้ทุกอย่าง จำตอนที่คุณอุ้มผมขึ้น ช่วยใช้แขนบังไฟจากทางขวา...”
อีกฝ่ายแตะปลายนิ้วบนต้นแขนผมแผ่วเบา
“จำได้ดี...คุณบอกผม ร้องบอกด้วยเสียงหวาดหวั่น บอกอย่างแน่วแน่ราวคำสัญญา...ร้องบอกว่า...”
“...ฉันจะไม่ให้นายตาย” ผมครางในลำคอ ความทรงจำเมื่อเจ็ดปีก่อนหวนคืน ที่แท้คาร์เรย์ก็จดจำผมไว้ตั้งแต่แรกพบ นึกดูแล้วผมให้คำมั่นกับเขามากมายแค่ไหนกันนะ “แล้วทำไมตอนฟื้นนายถึงไม่ยอมคุยกับฉันล่ะ”
“เพราะผมนึกว่าคุณแค่ทำตามหน้าที่” คาร์เรย์ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้ผมนอนตะแคงหนุนแขนเขาอย่างสะดวกสบายขึ้น “ผมคิดว่าคุณคงแค่มาดูแล้วก็กลับไป ไม่มีพันธะอะไร แต่พอนานวันเข้า...ผมก็รู้ว่าคุณมาเพราะเป็นห่วงผมจริงๆ”
คาร์เรย์ไล้ปลายนิ้วบนริมฝีปากผมอย่างอ่อนโยน
“ผมจึงเชื่อ...เชื่อทุกคำพูดของคุณ”
แต่ผมกลับไม่เคยจดจำคำเหล่านั้น
“มันเป็นความทรงจำที่มีค่า ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีผมก็ได้แต่คิดถึงคุณ รู้ตัวอีกครั้งก็รักมากเหลือเกิน”
แต่ผมกลับไม่เคยบอกรักเขาสักครั้ง
แถมยังเหยียบย่ำจิตใจ จนเขาไม่อาจยอมรับความรักผมได้อีก!
“ที่รัก...” คาร์เรย์เรียกผมเสียงอ่อนหวาน “ผมยังเชื่อ...คำพูดของคุณได้อยู่มั้ย”
เสี้ยวนาทีนั้น น้ำตาที่แห้งเหือดไปนานพลันปลื้มปริ่มอีกครั้ง ทั้งที่คิดว่าไม่มีทางเสียแล้ว แต่สุดท้ายคาร์เรย์กลับมอบโอกาสให้ผม
“ได้...ได้สิ” ผมพูดแทบไม่เป็นคำ เสียงปลอบโยนของคาร์เรย์กระซิบใกล้ เขาจูบซับน้ำตาให้ผม ไล้จากโหนกแก้มมาที่หางตา ก่อนจะกดจูบหนักๆ บนหน้าผากด้วยความรักไม่แปรเปลี่ยน
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะสะสางงาน แล้วจะเอาสถานที่สวยๆ มาให้คุณเลือก จากนั้นสักสองสามวัน เราจะหนีไปด้วยกัน”
“อืม...”
ผมดีใจจนแทบขานตอบไม่ไหว เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคาร์เรย์ที่ไม่ได้ยินมานานเหลือเกิน
“เรามาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งนะครับ”
“อืม...”
ผมพยักหน้าถี่รัว นึกในใจว่าอย่างน้อยทุกอย่างก็ยังไม่ใจร้ายกับผมจนเกินไป
อาจเพราะการพูดถึงอดีต ทำให้คาร์เรย์นึกไปถึงความรู้สึกที่เขามีต่อผมในครั้งแรก ความรักยามนั้นช่างเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น หลงใหล ไร้ซึ่งความคลาดแคลง ช่วยชำระล้างจิตใจที่เกือบจะถึงขีดสุดของผมและเขาให้กลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง
คืนนั้น...ผมกับคาร์เรย์คุยกันตลอดทั้งคืน
เราพูดถึงอดีต พูดถึงเรื่องราวยามที่เราสองห่างเหินกัน คาร์เรย์รู้เรื่องของผมหมดแล้ว ฉะนั้นจึงเป็นตัวเขาที่เล่าเจือแจ้ว บอกว่าตอนเพิ่งย้ายแรกๆ นั้นคิดถึงผมมากแค่ไหน ต้องปรับตัวกับแม่บุญธรรมและเพื่อนบ้านแค่ไหน ต้องขยันขนาดไหน ต้องพยายามถึงเพียงไรเพื่อมาถึงจุดนี้
“ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลย...”
คาร์เรย์ยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดูนัก
“ไม่ได้หรอก ถ้าผมไม่มาเจอคุณในช่วงที่มั่นใจว่าเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมที่สุด เกิดคุณปฏิเสธขึ้นมาก็แย่น่ะสิ”
คำถามนี้ทำให้ผมนึกหวนได้ว่ายังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ
“แล้วถ้าฉันปฏิเสธ นายจะทำยังไง...”
คาร์เรย์เพียงยิ้มจางให้ผมเท่านั้น
“ลืมมันเถอะครับ เพราะอีกเดี๋ยว เราจะมีกันสองคนตลอดไป”
“พ่อกับแม่ของผมเป็นคนเข้มงวดมาก”
วันต่อมา หลังกลับมาจากทำงานคาร์เรย์ก็ยอมเปิดปากถึงอดีตก่อนจะเจอผมเป็นครั้งแรก
“เขามักเปรียบเทียบผมกับพี่สาวเสมอ เพราะว่าผมตรงกันข้ามกับเธอทุกอย่าง เธอเรียนเก่ง แต่ผมกลับสอบตก เธอเก่งกีฬา แต่ผมกลับอ่อนแอ เธอเล่นดนตรี แต่ผมกลับอ่านโน้ตไม่เป็นซะด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่เธอเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ผมก็ถูกบังคับให้ทำตามจนไม่มีอะไรดีสักอย่าง ขณะที่เธอประสบความสำเร็จทุกอย่าง”
คาร์เรย์นอนบนตักผมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง
“ผมไม่มีความสุขเลย น้อยใจถึงขนาดเคยถามว่าพวกเขารักผม หรือรักตัวผมที่ต้องเป็นแบบพี่สาวกันแน่ แน่นอนว่าพวกเขาบอกรักผม พี่สาวเองก็เข้ามาโอบประคอง ร้องบอกว่าผมคงเครียดเกินไป แต่ผมรู้ดีว่าในใจพวกเขานึกดูถูกผม พ่อกับแม่เองก็ผิดหวัง ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายที่ห่างกับลูกสาวแค่หนึ่งปีถึงได้ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย”
ผมนั่งฟังเงียบๆ พลางลูบศีรษะเขาอย่างปลอบโยน
“ผมเองก็ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจจนโกรธตัวเองว่าทำไมถึงได้เกิดมาแบบนี้ แต่พอคิดได้...คำตอบที่ออกมาก็เพราะพ่อกับแม่ของผมไม่ใช่หรือ พ่อกับแม่ทำให้ผมเกิดมา บางที ถ้าผมเกิดก่อนพี่สาว ทุกอย่างอาจกลับตาลปัตรก็ได้ ถ้าอย่างนั้น...คนที่ผิดก็คือพวกเขา ไม่ใช่ผม”
คาร์เรย์ยังคงเล่าด้วยเสียงราบเรียบ ราวกับว่าแม้ในตอนนี้เขาก็ยังคงคิดเช่นนั้น
“ผมจึงหาซื้อยานอนหลับจากอินเตอร์เน็ต ใช้บัตรเครดิตของแม่ อ้างว่าจะซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่สาว ใช่...วันนั้นเป็นวันเกิดของพี่ วันที่ควรจะเป็นวันเกิดของผมต่างหาก ผมวางยานอนหลับลงในเค้ก จากนั้นไม่นานพวกเขาก็หลับคาโต๊ะ ผมลอบยิ้ม เดินไปที่ห้องครัว เลือกสรรว่าควรจะทำอย่างไรดีเพื่อให้เขาไปสบายที่สุด เพราะในเมื่อพวกเขาไม่รักผม ทั้งที่เป็นคนให้กำเนิดโดยที่ผมไม่มีสิทธิ์เลือก...งั้นผมจะเป็นฝ่ายเลือกความตายให้พวกเขาเอง”
คาร์เรย์ลอบยิ้มเมื่อนึกถึง หากแต่ในสายตาผมกลับเห็นความโศกเศร้าแฝงในนั้น
“ผมเลือกมีดที่แม่เคยใช้แล่บ่อยๆ ในงานเทศกาล จากนั้นก็เริ่มจากการปาดคอพี่สาว แม่ และพ่อ...เลือดสีแดงเลอะตัวผมเต็มไปหมด ตอนนั้นผมหัวเราะ...หัวเราะเพราะนับจากนี้จะไม่มีคนเปรียบเทียบผมอีกต่อไป จะไม่มีคนที่ผมรักคนไหนมองผมด้วยสายตาไม่ต้องการอีก”
คาร์เรย์เงียบไปอึดในหนึ่ง ดวงตาวูบไหว หากแต่ผมคล้ายกับได้ยินเสียงในใจของเขา
รักผมสิ! ทำไมถึงโหดร้ายขนาดนี้ ไม่เห็นหรือ...ผมพยายามขนาดนี้ ผมทำเพื่อคุณขนาดนี้...ทำไมถึงไม่รักผม!!
ราวเสียงกรีดร้องในใจของคาร์เรย์ชำแรกผ่านดวงตาที่จ้องผมอย่างนิ่งงัน ผมจึงหลั่งน้ำตาเงียบๆ...ร้องไห้แทนคนรักที่ไม่อาจหลั่งออกมา เพราะตัวผมเองก็ถูกคนที่รักมากทอดทิ้งอย่างไร้ค่าเช่นเดียวกัน
“หลังจากนั้นผมก็คิดได้...” คาร์เรย์เล่าต่อด้วยเสียงสั่นเครือ “ถ้าเป็นแบบนี้ ผมคงถูกจับแน่ ฉะนั้น...ผมจึงเดินไปเปิดแก๊สในครัว รอจนกระทั่งกลิ่นเหม็นโชยมาถึงใกล้ทางออก จึงจุดไฟแชคของพ่อ จากนั้น...”
จากนั้นก็ระเบิด ตัวของเขากระเด็นไปกลับเข้าไปด้านในและถูกไฟลุกลาม ตอนนั้นผมกำลังเข้าเวรกะดึกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จึงเข้าไปช่วยได้ทันท่วงที แต่ถึงอย่างนั้น แขนขวาและแผ่นหลังของเขาก็ถูกไฟลามจนเป็นรอยแผลฉกรรจ์ ส่วนตัวผมที่อุ้มเขาพาดไหล่ซ้าย ก็ใช้ร่างกายซีกขวาบุกตะลุยออกมา กว่าจะพ้นมาได้ก็เล่นเอาสำลักควันและได้แผลเกียรติยศ
“จากนั้นผมก็ได้พบคุณ”
คาร์เรย์เอื้อมมือช่วยเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา
“คุณจะไม่ทิ้งผมไปใช่มั้ย...คุณยังต้องการผมใช่มั้ย เจย์เดน”
“ใช่ ฉันจะอยู่กับนาย ฉันต้องการนาย” ผมแนบหน้ากับฝ่ามือกร้านของเขาอย่างเต็มใจ ความถูกต้องคืออะไร ความผิดคืออะไร ทั้งผมและเขาต่างรู้ดี พวกเราต่างเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มนุษย์กลับมีสัญชาตญานในการปกป้องตัวเองสูงเหลือเกิน
พ่อปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด จึงฆ่าตัวตาย
เพื่อนรักพ่อปกป้องตัวเองจากความผิด จึงขู่ผมทั้งที่เป็นผู้ผดุงความยุติธรรม
ตำรวจผู้ใหญ่นั้นปกป้องตัวเองจากความผิดบาป จึงโยนโทษให้ผมรับเสียแทน
เพื่อนรุ่นพี่ปกป้องตัวเองจากการโดนลูกหลง จึงได้แต่เอาอกเอาใจเจ้านาย
เบรดปกป้องตัวเองจากความรักที่หมดสิ้น จึงเลือกที่จะให้ผมเป็นของเขาตลอดกาล
แม้กระทั่งเลียมเอง...ก็ปกป้องตัวเองจากความรู้สึกผิดกับรักแรก จึงเลือกที่จะทำทุกทางเพื่อให้ผมเป็นอิสระ
แล้วตัวผมล่ะ
ผมเองก็ปกป้องตัวเองจนปิดใจกับทุกสิ่ง แต่มันไม่จำเป็นอีกต่อไป
“ลืมอดีตทั้งหมดเถอะ จากนี้ไป ทั้งฉันและนาย...จะไม่ต้องเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว”
------------------------
“...ฉันจะไม่ให้นายตาย” เป็นคีย์เวิร์ดของเรื่องนี้ ที่ทำให้เรื่องราวทุกอย่างบังเกิดขึ้น และเป็นชื่อตอนในบทแรกของเรื่องนี้ค่ะ
ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ตอนหน้า...เป็นตอนสุดท้าย คิดว่าหลายๆ คนคงเดาตอนจบได้ไม่มากก็น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็มาร่วมติดตามไปถึงตอนสุดท้ายกันเถอะนะคะ ^ ^