Chapter 13 : “ผมมารับคุณแล้ว”
“ผมไปทำงานแล้วนะครับ”
ผมลืมตาอย่างเชื่องช้า รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว
“แล้วจะรีบกลับมา ที่รัก”
คาร์เรย์จูบหน้าผากผม ก่อนจะเดินไปพร้อมเสียงปิดประตูแผ่วเบา
ผมนอนนิ่งเช่นนั้น รู้สึกแปลกใจที่ตัวเองยังมีรู้สึกหนาว...ผมนึกว่าตัวเองจะตายด้านไปแล้วซะอีก หากเหตุการณ์ในอดีตทำให้ผมปิดตายตัวใจตัวเอง เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้หัวใจผมตายไปจริงๆ
ผมลองขยับตัว ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อเจ็บร้าวไปทั้งกาย เมื่อคืน...คาร์เรย์อ่อนโยนกับผมเหลือเกิน เหมือนคืนแรกที่เคยร่วมรักกัน มันช่างอ่อนหวาน...จนแทบละลาย แต่เมื่อผมไม่ตอบสนอง เขาก็เริ่มรุนแรง เริ่มกราดเกรี้ยว จนกลายเป็นความบ้าคลั่งยิ่งกว่าที่เคยทำต่อหน้าเบรดซะอีก
ผมจำไม่ได้แล้วว่าสลบไปตอนไหน แต่ความรู้สึกก่อนหมดสติไม่ต่างกับร่างกายถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เลือดออกจนแสบไปหมด แม้ว่าคาร์เรย์จะช่วยอุ้มผมขึ้นมานอนบนเตียง แล้วยังทำความสะอาดให้อย่างดี แต่รอยช้ำตามตัวและรอยกัดที่ช่วยไหล่ เอว และต้นขายังไม่เลือนหาย
ผมลูบต้นคอตัวเอง แม้จะไม่ได้ส่องกระจก แต่ความเจ็บเมื่อสัมผัสและรอยฟันซึ่งนูนขึ้นมานั้นทำให้พอนึกสภาพตัวเองออก
มันคงไม่แย่ไปกว่านี้หรอก
น่าแปลก ที่ผมยังหลุดยิ้มออกมาได้อีก แม้ว่ามันจะเป็นยิ้มเย้ยหยันก็ตาม
ผมพยายามพาตัวเองลงจากเตียง เพราะไม่ได้สวมอะไรเลย จึงรู้สึกหนาว ต้องใช้ผ้าห่มพันตัวชั่วคร่าว แต่ที่ทรมานมาก คือกว่าจะกระเสือกกระสนไปถึงห้องอาบน้ำได้ก็เล่นเอาผมขาสั่นจนเกือบล้มหลายรอบ
หมดแรง...
ผมทิ้งตัวนั่งในอ่างอาบน้ำ ปล่อยให้น้ำอุ่นร้อนหลั่งรินจนเต็ม ส่วนตัวเองกึ่งนอนหลับตาพิงขอบอ่าง รู้สึกแย่จนอยากจะปล่อยให้ตัวเองไถลลงไปทั้งอย่างนี้ หากคาร์เรย์มาเห็นจะทำยังไงนะ นึกแล้วก็น่าคิดจริงๆ เขาต้องโกรธมากแน่ๆ แต่ไม่ว่าโมโหแทบตายยังไง ผมก็คงไม่ลืมตามองเขาได้อีก
โง่งม...
ผมสะบัดความคิดนั้นทิ้ง ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ฆ่าตัวตายแบบโง่ๆ เด็ดขาด
แต่มันช่างทรมานเหลือเกิน...
ผมสะท้อนในอก รู้สึกร้อนที่หัวตา แต่กลับไม่มีน้ำใสไหลออกมา เพราะเมื่อคืนผมร้องจนปวดหัว ปวดคอไปหมด บางทีคงจะมีไข้ขึ้นด้วยล่ะมั้งเนี่ย
ผมนอนแช่อ่างจนพอใจ พอใส่เสื้อผ้าก็เริ่มรู้สึกว่าความเจ็บปวดจากการร่วมรักเริ่มบรรเทาลงไปบ้าง จึงเดินแปรงฟันที่อ้างล้างหน้าได้อย่างไม่ทุลักทุเลเกินไป
อืม...ทำยังไงต่อดีล่ะ
ตัวผมในตอนนี้ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ มันไร้ความรู้สึก และไร้หัวใจ แต่เมื่อเดินลงมาเห็นชามข้าวต้มปิดฝาอย่างดีและยาแก้อักเสบบนโต๊ะก็ทำให้รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
คาร์เรย์ยังคงรักผมเหมือนเคย
อ่า...ทำไมมันเจ็บแบบนี้นะ
ผมนั่งกินข้าวต้มเงียบๆ ก่อนจะกินยาตามลงไป แต่พอเอาชามไปเก็บในห้องครัว ผมก็สะดุดเข้ากับโทรศัพท์คุ้นตาที่ถูกทิ้งในถังขยะ
โทรศัพท์ของผมเอง...
ผมหยิบมันขึ้นมา แม้จะเลอะเศษอาหารบ้างแต่รุ่นนี้ถึกทนทาน เอาไปเช็ดๆ สักหน่อยแล้วกดเปิดอีกครั้งก็ใช้ได้แล้ว
แต่ที่คาดไม่ถึง คือเมื่อกดเปิด ก็มีคนโทรเข้ามาทันที
...เลียม(( คุณเป็นยังไงบ้าง! ))
ไอ้เด็กเวรตะโกนลั่นจนผมที่ลังเลใจก่อนกดรับรู้สึกอยากวางสายซะเดี๋ยวนี้ คนยิ่งปวดหัวอยู่อยู่แท้ๆ
(( วันนี้ไอ้บ้านั่นส่งข้อความมาบอกว่าคุณจะไม่มีวันมาเจอผมอีก หมายความว่ายังไงเจย์เดน คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย! ))
ผมชั่งใจอยู่นานว่าสภาพแบบนี้ยังนับว่าไม่เป็นอะไรรึเปล่านะ
“ไม่...เป็นอะไร”
(( ไม่เป็นอะไรกับผีน่ะสิ! ))
ผมยกโทรศัพท์ออกจากหูแทบไม่ทัน
(( เสียงคุณแหบเหมือนร้องตะโกนมาทั้งคืน แล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรได้ยังไง! เจย์เดน เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คุณบอกหมอนั่นแล้วใช่มั้ย เพราะแบบนี้ใช่มั้ยมันถึงมาส่งจดหมายลาออกแทนคุณ ผมไม่ยอมรับหรอกนะ ถ้าจะลาออกก็เดินมาบอกกันดีๆ สิ! อย่ามาทำเหมือนหายไปแบบนี้!! ))
เลียม...เลียม...ผมประมาทไปจริงๆ ที่ไม่ยักรู้ว่าเขาพลังเสียงดีแบบนี้
“ช่างเถอะ” ผมตัดบท ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เขาเข้าใจ “ช่างมันเถอะ...”
เพราะผมทำอะไรไม่ได้แล้ว...ทุกการกระทำของคาร์เรย์ บ่งบอกกลายๆ แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้ผมหนีไปไหน แต่ถึงเขาไม่บังคับ ผมก็ไม่หนีไปไหนหรอก
ผมหมดแรงที่จะหนีแล้ว...
(( ช่างได้ยังไงล่ะ!! ))
ไอ้เด็กเวรยังไม่เลิกโวยวาย
(( ผมอยู่หน้าบ้านคุณแล้ว เจย์เดน ถ้าวันนี้ไม่เห็นหน้าคุณ ผมไม่กลับไปแน่! ))
ไม่นึกว่ามันจะดื้อด้านขนาดนี้
ผมได้ยินเสียงเคาะประตูดังลั่น เห็นแล้วก็ถอดถอนใจอย่างบอกไม่ถูก ผมกดตัดสาย เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง คิดว่าถ้าเลียมกล้าอยู่จนคาร์เรย์กลับมาได้จริงก็ลองดู
แต่ก็แอบกังวลไม่น้อย...
หวังว่าไอ้เด็กเวรคงไม่เอาจริงหรอกนะ เพราะทั้งผมและคาร์เรย์ตอนนี้อยู่ในอารมณ์ผิดปกติทั้งคู่ ต่างกันที่ตัวผมนั้นหากสะกิดก็อาจแตกสลายทันที ผิดกับคาร์เรย์ที่ถ้าแตะต้องตัวเขา หรือของรักของเขา...ก็พร้อมลงมือทันที!
พลันผมได้ยินเสียงหน้าต่างแตก ทำเอาตกใจจนต้องเดินลงมาอีกครั้ง ก่อนอ้าปากค้างเมื่อไอ้เด็กเวรมันปีนเข้ามาเหมือนโจร ในมือถือก้อนหินอันเป้งที่ไล่ทุบขอบจนไม่เหลืออะไรมาข่วนหน้าหนาๆ ของมันได้อีก
“ผมมารับคุณแล้ว”
ผมเดินถอยหลัง ชะโงกคอผ่านหน้าต่างแตกร้าวหาใครสักคนที่ควรจะห้ามปรามเลียม
“ถ้าหาคนของไอ้บ้านั่นที่ตามดูคุณอยู่ ผมจัดการจนสลบเหมือดไปแล้ว” เลียมฉีกยิ้มแฉ่ง “ไปจากที่นี่กันเถอะ เจย์เดน คุณจะเล่าให้ผมฟังหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่ผมรู้ว่าปล่อยให้คุณอยู่กับหมอนั่นนานกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
“ไม่...” ผมยังคงปฏิเสธ ไม่อาจเชื่อใจใครได้อีกต่อไป “นายกลับไปเถอะ”
“งั้นผมจะลักพาตัวคุณ!” เลียมพูดทีเล่นทีจริง หยิบเชือกออกจากกระเป๋าเป้ซึ่งสะพายมาด้วยราวคาดการณ์ไว้แล้ว
ไอ้-เด็ก-เวร!!
“อย่าขัดขืน ไม่งั้นถ้าคุณเจ็บล่ะก็ผมจะเจ็บไปด้วยนะ”
ยังมีหน้าพูดจาทุเรศๆ อีก ผมพยายามเดินหนีขึ้นชั้นสอง แต่ก็โดนเลียมคว้าชายเสื้อได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร แน่ล่ะ...ก็ตอนนี้สภาพร่างกายผมโคตรไม่พร้อมสุดๆ เลยนี่หว่า!
“เป็นอะไรรึเปล่า” เลียมพูดเมื่อเห็นผมนิ่วหน้าหลังหงายหลังก้มจ้ำเบ้าไปทับมัน ซ้ำแผลเก่าเล่นเอาสะท้านไปถึงสันหลัง “อ่ะ งั้นผมถือโอกาสลักพาตัวคุณล่ะนะ”
ไม่ว่าเปล่า มันก็เริ่มปฏิบัติการทันที ไอ้เด็กเวรช่วยประคองผมให้อยู่ในท่าสบายที่สุด จับมัดมือ มัดขา ก่อนจะพาดในท่ายกกระสอบทราย แล้วเปิดประตูเดินออกมาแบบเปิดเผยหน้าตาสุดๆ
“คาร์เรย์...”
“ต่อให้ผมปิดหน้า เขาก็รู้อยู่ดีว่าคนที่ลักพาตัวคุณได้มีแต่ผมคนเดียว” เลียมเอ่ยเมื่อรู้ถึงข้อกังวลของผม “ไม่ต้องห่วง เจย์เดน ผมจะพาคุณหนีไปสุดขอบโลก ให้เขาตามไม่เจออย่างแน่นอน!”
ผมยิ้มฝืน รู้ดีว่าไม่มีทาง ต่อให้เป็นสุดขอบโลก คาร์เรย์ก็จะตามผมไป
แต่ว่า...
ผมซบหน้ากับแผ่นหลังของเลียม แม้จะเจ็บปวดจนไม่อาจเชื่อใจใครได้อีก แต่ผมปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกสบายใจเมื่อเห็นหน้าไอ้เด็กเวร
“เจย์เดน?”
ผมไม่ตอบคำ พลางหลับตาลงช้าๆ มันน่าขำ ทั้งที่เกิดเรื่องราวมากมาย ทั้งที่ผมไม่ต่างจากตายทั้งเป็น ทั้งที่เลียมหาเรื่องให้ตัวเองขนาดนี้ แต่ผมก็ยังคงคิด...
คิดอยากให้เมื่อลืมตาอีกครั้ง เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เมื่อคืนวาน...
เป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้นเลียมพาผมหนีมาไกลจริงๆ
เพราะเมื่อผมลืมตาอีกครั้ง ผมถึงกับนิ่งงันเพราะนึกว่าฝันไป เลียมพาผมมาที่เกาะส่วนตัวแห่งหนึ่ง คาดว่าคงเป็นแถบเอเชียเพราะลมร้อน สมแล้วที่เป็นลูกชายคนโปรดของท่านผู้บัญชาการ ร่ำรวยเกินหน้าเกินตาจนชักหมั่นไส้ตงิดๆ
“ปวดหัวมั้ย”
ผมส่ายหน้าเมื่อไอ้เด็กเวรเดินเข้ามาใกล้ ตอนนี้ผมนอนอยู่ในบังกะโล หันหน้าออกไปทางทะเล ที่แห่งนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ มีเพียงลมจากธรรมชาติซึ่งชวนอุ่นใจเหลือเกิน
ผมหลับตา ซึมซับสายลมโปร่งเบา ก่อนคิ้วขมวดเมื่อไอ้เด็กเวรเดินไปปิดหน้าต่าง
“เดี๋ยวคุณไข้ขึ้นอีก” มันอธิบาย “ตอนพามาถึงที่นี่แรกๆ คุณไข้ขึ้นหนักจนละเมอออกมาอีกแล้ว ผมล่ะเรียกหมอมาแทบไม่ทันแหน่ะ”
ละเมอ...
ผมหลุบตา ไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง แต่เชื่อว่าต้องมีเรื่องคาร์เรย์ไม่มากก็น้อย เพราะความคิดของผมทั้งหมดในตอนนี้ล้วนมีแต่เรื่องของเขา
คาร์เรย์จะทำยังไงนะ เขาจะตามหาผมเจอรึเปล่า ถ้าเจอแล้วจะทำยังไงต่อ ไป จะฆ่าผมเพราะหนีเขาออกมามั้ย
...ฆ่าผมด้วยความรักของเขา
พอนึกได้ผมก็หันไปมองหน้าเลียมด้วยความตื้นตันในอก ไอ้เด็กเวรมันต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าเล่นกับไฟ แต่ถึงอย่างนั้นก็ลักพาตัวผมมา ทิ้งทุกอย่าง ทั้งการงาน ทั้งอนาคต ทั้งหมดก็เพื่อผม...
‘เพื่อผม’ งั้นเหรอ?
หากเมื่อก่อนผมดีใจแค่ไหนเมื่อได้ยินคำนี้ มันยิ่งทำให้ผมขยะแขยงจนแทบอาเจียนออกมา
เลิกคิดไปเองได้แล้วเจย์เดน เวอแกน
แค่นี้ยังทรมานไม่พออีกรึไง!
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ” ผมพูดกับเลียมอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก “คงไม่คิดจะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอกนะ”
“อยากอยู่กับผมสองต่อสองแล้วล่ะสิ” ไอ้เด็กเวรทำหน้ายียวนจนน่าถีบ “ไม่ต้องห่วงหรอกเจย์เดน ผมพอวางแผนคร่าวๆ ไว้แล้ว และผมเองก็บอกพ่อไว้แล้วด้วยว่าจะขอหายตัวไปสักสองสามเดือน เอาให้คุณปรับสภาพจิตใจได้ดีกว่านี้ เราค่อยย้ายไปที่อื่น ไปต่างประเทศดีมั้ย คุณชอบที่ไหนล่ะ? อิตาลี? ฝรั่งเศส? หรือจะเป็นแถบเอเชียดี?”
ผมได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบคำ แต่เลียมไม่ถือสา
“ผมมีเงินทุนมากพอจะตั้งต้นใหม่ จริงสิ คุณรู้มั้ย ผมมีความฝันอยากเปิดร้านอาหารมานานแล้ว แต่เพราะฝีมือแย่สิ้นดี ก็เลยโดนพ่อด่ามาตั้งแต่เด็ก แล้วจับยัดมาเป็นตำรวจเนี่ยล่ะ”
ผมหลุดยิ้มออกมาจางๆ เมื่อนึกว่าฝีมือเลียมมันแย่จริงๆ นั่นแหละ!
“แหน่ะ คุณเองก็ชอบความฝันผมล่ะสิ ถ้างั้นเราไปสักประเทศที่คุณชอบ จากนั้นก็ลองเปิดร้านอาหารเล็กๆ กัน ทั้งคุณทั้งผมห่วยด้านนี้ทั้งคู่ งั้นเราลองจ้างเชฟมาสักคนดีมั้ย ผมจะคอยดูลูกค้า ส่วนคุณก็ทำหน้าไม่รับแขกคอยคิดเงิน รับรองว่าไม่มีใครกล้าโกงแน่นอน”
ผมหลุดหัวเราะออกมาจริงๆ ยิ่งทำให้ไอ้เด็กเวรได้ใจเข้าไปใหญ่
“จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น จะมีลูกค้าผู้หญิงมาติดผม แต่ผมก็ไม่ปันใจให้ใครทั้งนั้น จะคอยดูแลคุณ ไล่คนที่มาเกาะแกะคุณไปให้หมด จนได้ชื่อว่าสามีจอมเฮี้ยบ จริงสิ เอาเป็นชื่อร้านนี้ดีมั้ย รับรองว่าต้องเป็นที่พูดถึงแน่ๆ คุณชอบมั้ย เจย์เดน”
ไอ้เด็กเวรนั่งข้างผม จับมือผม ยิ้มให้ผม ทุกอย่างที่มันพูดล้วนเหมือนภาพฝัน แสนสุขจนผมไม่กล้าวาดตัวเองลงไปอยู่ในอนาคตที่สวยงามแบบนั้นได้
“ขอโทษ...”
ผมได้ตอบรับเบาๆ
“ขอโทษ...เลียม”
ไอ้เด็กเวรยังคงฝืนยิ้ม มันบีบมือผมแน่น หลุบตาต่ำเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงเครือ
“ไม่เป็นไร” มันยกมือผมไปทาบหน้าของมันพลางหลับตา ภาพฝันทั้งหมดพังทลาย “ไม่เป็นไร เจย์เดน”
เลียมกล้ำกลืนที่จะไม่ร้องไห้ คงเพราะมันรู้ว่าผมในตอนนี้อยากจะร้องไห้ยิ่งกว่า มันปลอบโยนผม ลูบศีรษะผม พูดว่าไม่เป็นไรซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวย้ำเตือนกับตัวเอง
ทำไมถึงไม่รักคนคนนี้นะ...
ผมมองเลียมด้วยความรู้สึกท่วมท้นในอก ก่อนจะกลายเป็นความด้านชาเมื่อนึกถึงความเจ็บช้ำในอดีต
ดีแล้ว...ที่ไม่รักคนคนนี้
คนอย่างเจย์เดน เวอแกนคงไม่ควรมีความสุขกับใคร ผมมันเป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งที่เจ็บปวดซ้ำๆ จนปางตายแต่ไม่ยอมตายก็เท่านั้น
จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนนะ
ผมมองบ้านพัก มองทะเล ก่อนจะมองเลียมด้วยความขอบคุณ
คาร์เรย์จะให้ผมอยู่แบบนี้...ได้อีกนานแค่ไหนกัน
คืนที่ห้า หลังจากที่ผมได้สติในเกาะส่วนตัวแห่งนี้
ผมลืมตาในความมืด เห็นเงาของใครคนหนึ่งยืนที่ปลายเตียง
ไม่ใช่เลียม...ผมรู้ดี แม้เขาจะชอบมาดูผมตอนกลางคืนบ่อยๆ แต่ก็ยังให้เกียรติผม แยกห้องนอนเพื่อให้ผมปรับสภาพจิตใจ ฉะนั้นต้องไม่ใช่เขาที่ยืนเงียบๆ แบบนี้แน่
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
ผมสะท้อนในอก เริ่มหอบหายใจแรง ปั่นป่วนในช่องท้อง เอ่ยเรียกร่างนั้นทั้งที่หัวใจยังไม่พร้อมเอาเสียเลย
“...คาร์เรย์”
เสียงนั้นช่างเบาหวิว แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผู้มาเยือนฉีกยิ้ม ผมรู้...แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ในความมืด แต่ผมรู้ว่าเขากำลังยิ้มอย่างดีใจแค่ไหน
“ผมมารับคุณแล้ว...ที่รัก”-----------------
มาสั้นๆ แต่ดีกว่าไม่มานะคะ เพราะตอนหน้าจะจัดยาวๆ เลยต้องตัดฉับ ฉับ ฉับ กันไป
ความจริงดำเนินมาเลยครึ่งเรื่องแล้วค่ะ คงเดากันได้ว่าครึ่งหลังนี้จะฟาดฟันกันขนาดไหน และขอบคุณทุกคอมเม้นมากๆ ทำให้มีกำลังใจมากเลยค่ะ ฮืออ ดีใจที่มีคนชอบและร่วมอินไปกับตัวละคร เอาใจช่วยเจย์เดนกันด้วยนะคะ!
