Chapter 12 : “คุณบังคับให้ผมพูดออกมาเองนะ”
ผมมาทำงานในวันถัดไป
รอยแผลที่คอเลือนหายไปมากจนเป็นขีดสีแดงจางๆ ฉะนั้นเมื่อผมเดินเข้าไปในกรม ตรงไปยังโต๊ะตัวเดิมด้วยใบหน้าเชิดขึ้นอย่างไร้ซึ่งความหวาดหวั่น จึงไม่มีใครกล้าทักทายสักคนเดียว
ยกเว้นคนคนหนึ่งที่พอเห็นผมก็เดินตามมาทันที
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
ไอ้เด็กเวรเอ่ยเสียงเบาแทบเป็นเสียงกระซิบ
“ก็พูดมาสิ”
“ตรงนี้ไม่ได้ เย็นนี้คุณว่างมั้ย ผมต้องการเวลาคุยกับคุณนานๆ”
ไอ้เด็กเวรย้ำชัดพลางมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ผมเพิ่งสังเกตเอาตอนนั้นเองว่าท่าทางเลียมดูแปลกไป หากไม่นับความรวดร้าวในดวงตาที่บ่งบอกว่าเพิ่งอกหัก เขาดูลนลานผิดปกติราวมีเรื่องสำคัญมากจริงๆ
เพราะแบบนั้น...
“เอาสิ”
ผมจึงตอบรับคำชวนด้วยสายตาว่างเปล่า
มันเหมือนมีความรู้สึกบางส่วนหล่นหาย
หรือไม่ก็ด้านชาจนกลายเป็นไม่รู้สึก
ความอึดอัดเมื่ออยู่กับคาร์เรย์ย้อนมาอีกครั้ง เหมือนตอนที่ผมรู้ว่าเขาฆ่าคนในช่วงแรกๆ แม้ความรู้สึกนั้นจะถูกลบเลือนอย่างรวดเร็วด้วยความรักของเขา แต่ในครั้งนี้...มันทวีมากกว่าเดิมจนแทบอาเจียนออกมา
บางทีตะกอนที่เก็บซ่อนไว้คงถึงจุดที่กักไว้ไม่ไหว!
“มีศพส่งมาให้ที่อพาร์ทเมนต์ของผม”
เลียมเอ่ยเมื่อพาผมมาที่ร้านอาหารห่างจากที่ทำงานพอสมควร เป็นร้านอาหารขนาดเล็ก มีที่นั่งน้อย แถมยังคนน้อยอีกต่างหาก ทั้งที่เป็นอย่างนั้นไอ้เด็กเวรก็พาผมไปนั่งข้างในสุดไม่ต่างกับการปลีกวิเวกโดยสิ้นเชิง
“ผมตรวจสอบดูแล้ว...ศพนั้นชื่อ ‘เบรด’ คนที่คุณเคยละเมอออกมา”
ผมหลุบตานิ่ง รู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร เมื่อคืนหลังการร่วมรักเกือบจะบ้าคลั่ง คาร์เรย์ก็พาผมไปส่งที่ห้องนอน กล่อมผมจนหลับ ก่อนจะไปจัดการกับศพ แน่นอนว่าผมไม่ถามเขาว่าทำอย่างไร เพราะในตอนนี้...ผมแทบไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว
แต่ที่คาดไม่ถึงคือคาร์เรย์ส่งศพไปให้เลียม ไอ้เด็กเวรเช่าอพาร์ทเมนต์ใกล้ๆ กับที่ทำงาน ไม่พักกับครอบครัวตัวเองตามประสาวัยรุ่นที่ชอบชีวิตอิสระ เลียมอธิบายเพิ่มเติมอีกว่าตอนที่เปิดกล่องของขวัญซึ่งทั้งหนักและใหญ่นั้นออกมา เขาไม่แปลกใจสักนิดเดียว
แต่เมื่อตรวจสอบสภาพศพดีๆ...
“ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดคงเป็นแผนการของคาร์เรย์ เขาต้องการให้ผมเป็นผู้เกี่ยวข้อง เป็นวิธีปิดปากที่ดีที่สุด”
เลียมยิ้มขื่น แม้จะไม่พูดอะไรออกมา เขาก็รู้ดีว่าเมื่อเห็นน้ำรักของผมบนศพ จะต้องจัดการยังไงไม่ให้มีใครเจอแล้วตรวจสอบมาถึงผม
“ผมถอนตัวจากวังวนนี้ไม่ได้แล้ว เจย์เดน” ไอ้เด็กเวรเอ่ยเสียงเครียด ยอมรับแต่โดยดีจนน่าประหลาด แม้จะเคยทำผิดเพื่อผม แต่เขาก็แค่หลับหูหลับตาข้างหนึ่ง ไม่เคยต้องแปดเปื้อนทั้งสองมือขนาดนี้
“งั้นฉันจะไปเอง”
“หมายความว่ายังไง!?” ไอ้เด็กเวรเงยหน้าพรวด
“ฉันจะลาออก ไปให้ห่างจากนาย ไม่ต้องข้องแวะกันอีก”
“ไม่...ไม่ ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น” เลียมคว้ามือผมเอาไว้ กุมแน่นราวกับกลัวว่าจะหนีหาย “ขอโทษ ผมคง...ตกใจมากไปหน่อย ผมไม่กล้านึกด้วยซ้ำว่าเขาฆ่าเบรดยังไง และคุณในตอนนั้น...อยู่ในสภาพไหน”
ไอ้เด็กเวรกัดปากเมื่อพูดประโยคหลัง บางทีสิ่งที่ทิ่มแทงเขาอยู่คงเป็นความจริงที่ว่าผมปล่อยให้เบรดตาย ไม่ใช่ยืนดูธรรมดา แต่ผมยังรักกับคาร์เรย์มากเสียด้วย
“อย่าเพิ่งทิ้งผมไปกว่านี้ เจย์เดน อย่าใจร้ายกับผมถึงขนาดนั้น”
“ฉันปฏิเสธนายเป็นรอบที่ล้านแล้ว เลียม” ผมถอนหายใจออกมาน้อยๆ “เมื่อไหร่นายจะพอสักที”
“ผมไม่รู้” ไอ้เด็กเวรเผยยิ้มขมขื่นไม่ต่างกัน “แต่ผมรู้ว่าหากไม่เจอคุณอีก...คงทนไม่ได้”
หนึ่งคืนที่ผมเจออะไรมากมายจนแทบกลายเป็นคนเย็นชา ตัวเลียมเองก็ดูจะผ่านหนึ่งคืนมาด้วยความคิดมากมายไม่ต่างกัน
เขาคล้ายจะปลงตก ขบคิดถี่ถ้วนดีแล้ว
“ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อผมหรอก” เลียมดักคออย่างรู้ทัน “แต่ผมเองก็อยากให้คุณรู้ว่าผมยังรักคุณ”
“ทั้งที่ฉันเป็นแบบนี้น่ะเหรอ” ผมเชิดหน้าท้าทาย ทว่าดวงตากลับวูบไหวเมื่อไอ้เด็กเวรจูบบนฝ่ามือผมแผ่วเบา
“ผมรู้ว่าเมื่อคืนคุณไม่มีความสุข” เลียมเอ่ยเสียงกระซิบ “ตอนผมพูดเรื่องนี้ คุณเย็นชาจนแทบไร้ความรู้สึก มันคือการป้องกันตัวอย่างหนึ่งทางจิตใจ คุณอยากต่อต้านคาร์เรย์ แต่เพราะเขารักคุณมากจึงเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็น ท้ายที่สุดเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง คุณจึงเลือกที่จะหนีโดยการทำเป็นไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น”
ไอ้เด็กเวรเอ่ยเสียงเรียบ กลายเป็นผมเองที่อยู่ไม่นิ่งราวแทงใจดำ
“หนี...อย่างที่คุณทำมาตลอด”
เพราะผมอ่อนแอแบบนี้ผมสะท้อนในอก รู้ดีว่าเลียมพูดถูกทุกอย่าง ไอ้เด็กเวรมันช่างสังเกต มันเก่งในการเชื่อมต่อเรื่องราว ยิ่งเกี่ยวข้องกับผม มันยิ่งวิเคราะห์ได้เฉียบขาดกว่าที่ควรจะเป็น
“ฉัน...” ผมเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ!
คาร์เรย์รักผม ทำเพื่อผม และผมเองก็โหยหาแต่เขา ทว่าส่วนลึกในใจกลับขัดแย้ง มันทำให้ผมสับสน ไม่เข้าใจเอาซะเลย มันอัดแน่นในอก ทั้งที่ย้ำเตือนหลายต่อหลายครั้งว่าไม่เป็นไรหรอก...ไม่ต้องกังวลหรอก...ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรคาร์เรย์ก็จะอยู่ข้างผมตลอดไป แต่เมื่อนึกถึงภาพการตายของเบรด...ความตายที่ผมเองก็ปรารถนาให้มันเกิดขึ้น ผมก็ได้แต่แน่นิ่งอยู่เช่นนั้น
ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทบทวนตัวเอง ไม่กล้าตอบคำถามของคนรัก ไม่กล้ากระทั่งสู้หน้าอีกฝ่าย
ความรู้สึกผิดสั่งสมจนแทบกระอักเลือดออกมา
ทำยังไงดี...ผมควรจะทำยังไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้นะ ผมควรจะมีความสุขสิ ควรจะพอใจได้แล้ว!
“รู้มั้ยว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง”
ผมเงยหน้ามองเป็นคำถาม
“...โล่งใจ” เลียมยิ้มออกมาน้อยๆ “ตอนแรกผมนึกว่าคุณคงถลำลึกจนกู่ไม่กลับ หากเป็นแบบนั้นต่อให้ผมพยายามแค่ไหนก็ไร้ค่า แต่นี่...คุณกำลังบอกผมว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้ต้องการแบบนั้น เจย์เดน ถึงคุณจะบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี แต่นั่นเป็นเพราะอดีตที่ทำร้ายจนคุณไม่อาจเป็นคนดีได้อีก”
...ทำร้ายจนไม่อาจเป็นคนดี“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะ” ผมเอ่ยเสียงเบา สมองยังคงว่างเปล่า
“ดีสิ” เลียมบีบมือผมเบาๆ อย่างให้กำลังใจ “ดีแล้ว...เพราะหมายถึงคุณยังเป็นคุณ”
ผมไม่เข้าใจสักนิดเดียว
“เจย์เดน คุณไม่ใช่คนบ้า คุณไม่ได้วิปริตด้วย แต่ที่ต้องการความรักอันบิดเบี้ยว ก็เป็นเพราะคุณปิดหัวใจแน่นหนาเกินไป คุณขังตัวเองจนไม่มีทางเลือก เพราะคุณกลัวเหลือเกินที่จะผิดหวังอีกครั้ง”
“ฉันกลัวจริงๆ...” ผมยอมรับ “จนถึงตอนนี้...ฉันก็ยังกลัวความรักของนาย”
ทั้งกลัว...ทั้งหวาดระแวง ชีวิตของผมมันย่ำแย่เต็มทีแล้ว ผมกลัวเมื่อคนเข้าหา ผมกลัวเมื่อมีคนมอบความรัก กลัว...ทุกสิ่งทุกอย่าง
กลัวว่าสักวันมันจะเป็นแค่การหลอกลวง!
“ไม่เป็นไร” เลียมเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ผมจะพิสูจน์เอง ขอแค่คุณยอมรับผมขึ้นสักหน่อย ยอมเปิดใจให้ผมมากกว่านี้อีกสักนิด...”
“ไม่!” ผมดึงมือออก ในใจขัดแย้งอย่างรุนแรง “ฉันจะไม่เลิกกับคาร์เรย์”
“ทั้งที่คุณรู้สึกแย่แบบนี้น่ะเหรอ!”
“แต่ฉันจำเป็นต้องมีความรักของเขา” ผมเอ่ยออกมา แทบกลายเป็นคำอ้อนวอน ผมจำเป็นต้องมีเขาจริงๆ...หากไม่ใช่คาร์เรย์...ก็ไม่ได้หรอก ตัวผมในตอนนี้อ่อนแอเกินกว่าจะรอให้เลียมพิสูจน์ และอ่อนแอเกินกว่าจะปฏิเสธความรักอันบ้าคลั่งนั้น
ไม่ว่าคาร์เรย์จะเป็นยังไง แต่ความรักของเขาคือสิ่งที่ผมเชื่อมั่นมาตลอด
“โอเค ผมคงเรียบเรียงผิดไปหน่อย” เลียมสูดหายใจเข้าลึกๆ เริ่มตั้งตัวเสียใหม่ “คุณบอกว่าเพราะคาร์เรย์ยอมเป็นฆาตกรเพื่อคุณ ถึงได้ยอมรักความรักของเขาสินะ”
ผมพยักหน้ารับเชื่องช้า
“ถ้าอย่างนั้นลองฟังการวิเคราะห์ของผม แล้วค่อยให้คำตอบอีกที” เลียมหยิบไอแพคเครื่องจิ๋วขึ้นมาราวพร้อมบรรยาย “จากนั้นจะทำยังไงกับมันก็แล้วแต่คุณ”
เป็นครั้งแรกผมรู้สึกว่าไม่อยากรับฟังเอาซะเลย ไอ้เด็กเวรทำหน้ามั่นใจนัก ราวกับว่านี่เป็นไม้ตายสุดท้าย หากหลังจากนี้ผมยังเลือกคาร์เรย์อีก เขาก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายจากไป
“ก่อนจะมาเจอคุณ เขาก็เป็นฆาตกรแล้ว เจย์เดน”“ที่รัก?”
คาร์เรย์เพิ่งกลับมาถึง วันนี้เขาเลิกช้ากว่าปกติ แต่ก็ส่งข้อความบอกผมแต่แรกว่าขอให้รอกินข้าวเย็นด้วยกัน
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
คาร์เรย์เปิดสวิตซ์ไฟ ก่อนจะเดินเข้าหาผมที่นั่งนิ่งบนโซฟาเหมือนคนตาย คนรักเกลี่ยเส้นผมให้อย่างแผ่วเบา ก่อนจะทาบมือตามหน้าผาก ข้างแก้ม และลำคอเพื่อดูว่าผมยังสบายดีอยู่มั้ย
เพราะสีหน้าผมในตอนนี้มันคงแย่มากจริงๆ
“เป็นอะไรไปครับ” คาร์เรย์กอดผมไว้ทั้งตัว พลางโยกน้อยๆ ราวกล่อมเด็ก “อย่าเงียบแบบนี้สิ ผมใจไม่ดีเลย”
“ฉัน...”
ในที่สุดผมก็เปล่งเสียงออกมาสำเร็จ เป็นเสียงที่สั่นพร่า เพราะผมไม่อยากจะพูด แต่ก็จำเป็นต้องพูด
“สักวันนายจะ
ฆ่าฉันรึเปล่า คาร์เรย์”
ผมถามออกมาด้วยจิตใจที่แหลกลาญ
สิ่งที่เลียมเอ่ยกับผม คือการวิเคราะห์อันไร้หลักฐานของเขาเอง ถึงอย่างนั้นข้อสันนิษฐานของไอ้เด็กเวรก็ไม่เคยพลาด แม้ครั้งนี้ผมอยากจะให้มันผิดมากมายแค่ไหนก็ตาม
เจ็ดปีก่อน...ตระกูลของคาร์เรย์ถูกฆ่าตาย คาดว่าเป็นเพราะผลประโยชน์ มีเพียงลูกชายคนเล็กรอดออกมาได้ ทำให้ผมมีความดีความชอบเนื่องจากหาญกล้าฝ่าดงเพลิงเข้าไปช่วย
ไม่สิ ผมควรจะคิดได้แต่แรกแล้วว่าทำไมคาร์เรย์ถึงรอดให้ผมไปเจอได้ ในเมื่อทั้งพ่อของเขา แม่ของเขา และพี่สาวของเขา...ล้วนถูกฆ่าก่อนที่เพลิงจะถูกจุด!
เพราะอะไรล่ะ?
คำตอบนั้นง่ายมาก...
‘ก่อนจะมาเจอคุณ เขาก็เป็นฆาตกรแล้ว เจย์เดน’
คนฆ่าคือคาร์เรย์!!
เลียมรวบรวมข้อมูลของศพ พบว่าพวกเขาล้วนถูกฆ่าบนโต๊ะรับประทานอาหาร ไม่มีวี่แววขัดขืน บ่งบอกว่าฆาตกรย่อมรู้ดีเวลาดี อีกทั้งเพลิงซึ่งถูกจุดนั้นก็มาจากแก๊สรั่วไม่ใช่น้ำมัน คงมีใครสักคนไปเปิดแก๊สในห้องครัว แล้วจะเป็นใครที่รู้ดีที่สุดกันล่ะ ยามนั้นเด็กน้อยคาร์เรย์คงชะล่าใจเกินไป เพราะเขายืนอยู่ใกล้กับทางออก เมื่อลงมือจุดไฟ แทนที่จะเป็นการลามไล่ธรรมดา กลับกลายเป็นระเบิด ทำให้เจ้าตัวพลอยบาดเจ็บถูกไฟลวก หลบหนีออกมาไม่ได้
และผมก็คือคนที่เข้าไปช่วย...
ช่วย
ฆาตกรออกจากกองเพลิงที่เขาจุดเอง!
“ที่รัก...” คาร์เรย์ดันผมออกจากอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา ดวงตาที่มองมานั้นยังเต็มไปด้วยความรัก...ความรักอันบ้าคลั่งที่ผมเชื่อหมดใจว่าเขาไม่มีวันทรยศ
แต่ว่า...
ตอนนี้ผมไม่เหลือความรู้สึกนั้นอีกแล้ว!
ผมย้ำกับเลียม และย้ำกับตัวเองเสมอ คาร์เรย์ทำเพื่อผม เขาบ้าคลั่งเพราะผม แต่เมื่อความเป็นจริงถูกเปิดเผย ผมก็รู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นการ...คิดไปเอง
คาร์เรย์ไม่ได้ทำเพื่อผม
เขาไม่ได้บ้าคลั่งเพราะผม
แต่เขาเป็นเช่นนั้น ‘แต่แรก’
อ่า...เจย์เดน เวอแกน ท้ายที่สุด คนที่คิดว่ารักผมแทบตายคนนั้น ก็เป็นการลวงหลอกไม่ต่างจากคนอื่น ชีวิตที่ไม่เคยได้สมหวังนี้ คงไม่มีวันที่จะได้รับความรักอย่างที่ต้องการอีกแล้ว
มันช่างน่าขำ...น่าขำจนหัวเราะออกมาเป็นน้ำตา!
“ที่รัก...” คาร์เรย์โน้มหน้าคล้ายจะช่วยจูบซับอย่างเคย แต่ผมเบียนหน้าหลบ กัดปากกลั้นเสียงสะอื้น ไม่กล้าสู้หน้าเขา
ทว่าคนรักกลับเชยคางผมให้หันไปเผชิญหน้า แนบริมฝีปากบนเปลือกอย่างอ่อนโยน ทั้งที่ผมไม่พูดอธิบายอะไร แต่เขากลับคลี่ยิ้มเย็นออกมาราวเข้าใจดี
“ที่รัก คุณคิดมากไปแล้ว”
“นายฆ่าพวกเขา”
“ที่รัก...”
“นายฆ่าพวกเขา!” ผมดันอีกฝ่ายออกสุดแรง ก่อนจะถอยห่างออกมากึ่งตะเกียกตะกาย เว้นระยะห่าง...อย่าเข้าใกล้ อย่าแตะต้องตัวผมในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นผมคงขาดใจตาย
“ครับ ผมฆ่าพวกเขา” คาร์เรย์ยอมรับง่ายดาย “ผมฆ่าพวกเขา แล้วจุดไฟด้วยสองมือนี้”
ผมยกมือปิดหู ทั้งที่อยากฟังคำสารภาพ แต่อีกใจก็ไม่อยากรับรู้ ขอให้ผมจมอยู่ในห้วงความรักแสนหวานนานกว่านี้อีกนิดไม่ได้หรือไงนะ ทำไมทุกคนต้องปลุกผมจากความฝัน ทำไมต้องผลักไสให้ผมเผชิญหน้ากับความจริงแบบนี้ด้วย!
อ่า...โกหกออกมาสิ ทำไมถึงไม่โกหกกันล่ะ เพราะเป็นนาย...เพราะเป็นนายมาแต่แรก ผมถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ ผมถึงได้กลับเป็นคนเก่าที่เลิกปั้นหน้าเสแสร้ง เพราะเป็นคาร์เรย์...
ทั้งที่เชื่ออย่างนั้นแท้ๆ“อยากรู้มั้ยครับว่าผมทำยังไง”
คาร์เรย์เดินเข้ามาใกล้ แต่เมื่อเห็นผมถอยหลังชิดผนัง ใบหน้าอาบน้ำตา เขาก็ยืนนิ่งตรงนั้น ก่อนจะยกสองมือขึ้นมากึ่งเหม่อลอย เล่าเรื่องด้วยเสียงและรอยยิ้มมุมปากที่ชวนให้ตัวผมเย็นเยียบไปทั้งใจ
“ผมวางยานอนหลับให้พวกเขา คนที่ทนไม่ไหวก่อนคือพี่สาว เธอฟุบหลับทั้งที่ยังถือช้อน ตามด้วยแม่...และพ่อที่เริ่มเอะใจแต่ก็ไม่อาจฝืนฤทธิ์ยา ผมมองพวกเขานอนหลับแบบนั้น ก่อนจะเดินไปหยิบมีดสำหรับแล่เนื้อที่ห้องครัว”
ผมทรุดตัวลง แม้จะยกมือปิดหู ร้องไห้ออกมาเสียงดังยังไงก็ไม่อาจกลบเสียงเล่าของคาร์เรย์
ทำไมต้องเป็นผมที่รับรู้เรื่องพวกนี้ด้วย ทำไมต้องเป็นผมที่เจอเรื่องแบบนี้!
“ผมรักพวกเขา...จึงไม่อยากให้เขาทรมาน พวกเขาขึ้นสวรรค์ทั้งที่ยังหลับฝันหวานซะด้วยซ้ำ ผมใจดีมั้ยล่ะครับ” คาร์เรย์ยังคงยิ้มเย็น ขยับท่าทางราวกำลังถือมีดอยู่จริงๆ “ผมเริ่มจากพี่สาวก่อน...พี่ที่ห่างกับผมแค่หนึ่งปี เป็นคนน่ารัก ทุกคนต่างชอบเธอทั้งนั้น ความจริงผมอยากลองใช้มีดแทงทะลุ เอาให้ปลายด้านคมโผล่พ้นออกมาอยู่หรอก แต่เพราะตอนนั้นผมยังแรงน้อย จึงได้แต่จับเธอปาดคอ ปล่อยให้เลือดสีสวยหลั่งรินบนโต๊ะอาหารมื้อสุดท้าย...”
อ่า...พอทีเถอะ หยุดเล่าออกมาได้แล้ว!
“ไม่อยากฟังเหรอครับที่รัก” คาร์เรย์หัวเราะออกมาเบาๆ
“คุณบังคับให้ผมพูดออกมาเองนะ”อย่า...พูดเหมือนทุกอย่างมันง่ายขนาดนั้น อย่าพูดเหมือนว่าที่ทำทุกอย่างนั้นมันช่างง่ายดายขนาดนั้น!
อย่าทำเหมือนความรักที่ให้ผมนั้นไม่มีค่า...
อย่าทำแบบนี้อีกเลย...
ราวความรู้สึกที่มีถูกบดขยี้จนแหลกลาญ ผมได้แต่กลั้นใจเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงเบาหวิว
“ทำไม...”
“ทำไมถึงต้องฆ่าน่ะเหรอครับ?” คาร์เรย์เดินมาหยุดด้านหน้าผม นั่งชันเข่าข้างหนึ่ง มองผมด้วยความรักใคร่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “เพราะเขายอมรับตัวผมไม่ได้ไงล่ะ”
มืออุ่นที่โอบกอดทุกค่ำคืนช่วยปาดน้ำตาผมอย่างเชื่องช้า
“แต่คุณยอมรับผมได้ ใช่มั้ย...ที่รัก”
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนเอ่ยเรื่องเขาเป็นฆาตกร แถมยังช่วยปกปิด เขาถึงมีท่าทีดีใจขนาดนั้น
เพราะเขารักผมมาก
ใช่...รักมาก แต่ถ้าลองเปลี่ยนสถานการณ์ล่ะ
ถ้าตอนนั้นผมทักท้วง พยายามจะเปิดเผยเรื่องของเขา คาร์เรย์จะรักผมแบบนี้อีกมั้ย หรือเขาจะฆ่าผมด้วยความรัก อย่างที่เขามอบให้กับครอบครัวของตนเอง!
อ่า...มันเป็นแบบนี้แต่แรก ความรักที่ผมวาดหวัง มันไม่เคยมีอยู่จริงแต่แรกสินะ
แค่นึกถึง ผมก็ปวดไปทั้งใจเหมือนว่ามันกำลังแหลกเป็นเสี่ยงๆ!
ทรมาน...ทรมานเหลือเกิน
ผมเริ่มหอบกระชั้น ราวกับลมหายใจขาดห้วงกะทันหัน รู้สึกเหมือนจะตายยิ่งกว่าตอนถูกเพื่อนรักพ่อขู่ฆ่าซะอีก ขณะเดียวกัน...เรี่ยวแรงก็เหือดหาย ไม่ต่างกับตอนถูกเบรดจับไปขังแม้แต่น้อย หมดสิ้นทุกอย่าง...ราวกับร่างกายถูกสายป่านตัดขาดโดยสิ้นเชิง ผมปล่อยให้คาร์เรย์แกะมือซึ่งปิดหูไว้อย่างอ่อนโยน ไม่อาจขัดขืนได้แม้แต่น้อยเมื่อเขาช่วยจูบซับน้ำตาด้วยความรักแสนหวาน
...ที่ขมขื่นนัก
ทำไม...ถึงเป็นแบบนี้นะ
ผมหลับตาเมื่อเขาเริ่มประทับริมฝีปากพลางขบกัดน้อยๆ อย่างที่ชอบทำ
“ผมรักคุณ”
ลิ้นร้อนลากไล่มาที่ซอกคอ พร้อมกับมืออุ่นซึ่งเริ่มสอดเข้าไปใต้เสื้อของผม
สัมผัสคุ้นเคยและคำกล่าวที่ชอบฟังนักกลับไม่ต่างจากมีดกรีดกลางใจ
“ผมรักคุณ...”
ผมสะอื้น ไม่มีแรงจะขัดขืน ไม่มีแม้แต่เสียงที่จะเปล่งออกมา ได้แต่นั่งนิ่งเช่นนั้นให้เขาทำตามใจชอบ หากแต่ไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย
ผมยังมีชีวิตอยู่...
“ที่รัก...” คาร์เรย์ก้มหน้าจูบผมอีกครั้ง “ผมรักคุณ”
มีชีวิตอยู่...แต่ไม่ต่างจาก
ตายทั้งเป็น!----------------
ถึงจุดหักเหของเรื่องล่ะค่ะ QAQ
แต่งไปสงสารเจย์เดนจับใจมาก คิดว่าคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะเจ้าตัวก็บอกความรู้สึกทั้งหมดผ่านตอนนี้ออกมาแล้ว แต่ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เจย์เดนภูมิใจมากที่สุดตอนเป็นตำรวจ คือการช่วยคาร์เรย์ออกมาจากกองไฟ ฉะนั้นการเฉลยข้อนี้นอกจากจะทำลายความเชื่อใจในความรักของอีกฝ่ายแล้ว ยังทำลายความภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวของเจย์เดนไปด้วย...
พังทลายโดยสมบูรณ์ค่ะ