Chapter 16 : “ผมทำไม่ได้!”คาร์เรย์อยู่กับผมทั้งอาทิตย์ จนกระทั่งถึงวันขึ้นปีใหม่
ก่อนหน้านี้ผมเคยคิด เคยยอมทิ้งนิสัยเกลียดความวุ่นวายของตัวเองเพื่อพาคาร์เรย์ไปเคาท์ดาวน์กันในชุมชน แต่เมื่อเวลานี้มาถึง สายโซ่เส้นหนึ่งกลับเป็นคำตอบของทุกอย่าง ผมนั่งเคาท์ดาวน์บนเตียง นอนพิงอกคาร์เรย์ที่ซ้อนตัวอยู่ด้านหลัง โอบกอดเอวพลางทิ้งศีรษะซบบ่าผมอย่างเงียบงัน
“สิบ...”
พวกเราหันหน้าออกไปทางกระจกใสเชื่อมต่อไปยังระเบียง อากาศข้างนอกหนาวจนพร่ามัว แต่กระนั้นก็เห็นแสงสีครื้นเครงจากในหมู่บ้านซึ่งฉลองงานรื่นเริง
“เก้า”
ผมยังคงนับด้วยเสียงแผ่วเบา
“แปด”
ปกติในคืนที่ควรน่าดีใจนี้ ผมมักนอนเปิดทีวีอยู่ในห้องพักซ่อมซ่อ อย่างน้อยเสียงเพลงที่ขับกล่อมอย่างครึกครื้นของสำนักข่าวต่างๆ ก็ช่วยให้ผมไม่เงียบเหงาจนเกินไป
“เจ็ด”
บางปีแม้จะนอนกอดตัวเองอย่างเหน็บหนาว เพราะฮีทเตอร์ที่ห้องทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ แต่ทุกครั้งที่ได้นับเลขถอยหลังไปพร้อมๆ กับทุกคนผ่านหน้าจอ แม้จะต่างที่ ต่างประเทศ ต่างหน้าตา ถึงกระนั้นผมก็จะอมยิ้มออกมานิดๆ เมื่อรู้ว่าอย่างน้อยเราก็มีกิจกรรมร่วมกัน
ผมยังเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
“หก”
คาร์เรย์กอดผมแน่น เขายังไม่เงยหน้า ราวกับว่าแค่หลับไป
“ห้า”
เสียงหอบสะท้านดังเฮือกหนึ่งในความมืด ก่อนจะมานั่งกอดกันเช่นตอนนี้ผมให้เขาปิดไฟจนหมด เพื่อที่จะได้รอชมดอกไม้ไฟจากนอกหน้าต่างชัดๆ
“สี่”
ผมพิงน้ำหนักบนตัวคนรัก ทั้งที่หน้าตาอิ่มเอิบขึ้น ไม่ผอมโซซูบซีด แต่การนอนนิ่งเพียงอย่างเดียวติดต่อกันเกือบสองสัปดาห์ทำให้ผมรู้สึกหมดเรี่ยวแรง แต่นั่นคงเป็นจุดประสงค์ของคาร์เรย์ที่ทำให้ผมหมดสิ้นหนทางที่จะหนีมากกว่า
ทั้งที่ผมไม่เคยคิดหนีไปจากเขา
“สาม”
นึกแล้วก็อดคิดถึงเลียมไม่ได้ หากตอนนั้นผมไม่ยอมให้พาตัวไป เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนะ คาร์เรย์คงไม่โกรธถึงขั้นฆ่าพ่อของอีกฝ่าย คงไม่ตามมาแล้วจุดไฟเพื่อวัดใจผมแบบนั้น จะว่าไป...จนป่านนี้เลียมออกจากพยาบาลรึยังนะ
หลังฟื้นขึ้นมาคาร์เรย์บอกแค่ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส เพราะเอาตัวปกป้องผมไว้ เป็นตายไม่ต่างกัน
อย่างน้อยการที่เขาไม่ฆ่าเลียมในทันทีก็ทำให้ผมซึ้งใจมากแล้ว
“สอง”
ผมสะดุ้งเมื่อแรงกอดแน่นขึ้น จากประคองตรงเอวกลับกลายเป็นรัดแน่นที่ช่องท้องและหน้าอก ทว่าคาร์เรย์ยังซุกหน้านิ่ง ส่งเสียงครางเบาๆ ที่ผมต้องเอียงหูฟังอย่างตั้งใจ
“หนึ่ง...”
ผมหลุดยิ้ม บางทีที่เขานั่งนิ่งอาจเพราะระงับความตื่นเต้นอยู่ก็เป็นได้
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนจะก้าวผ่านปีนี้ไปด้วยกัน
พลันเสียงดอกไม้ไฟดังสนั่น แทรกผ่านหน้าต่างพร้อมแสงหลากสีชำแรกผ่านความมืดก่อนแตกกระจายทั่วผืนฟ้า
“สุขสันต์วันปีใหม่นะคาร์เรย์”
“สุขสันต์วันปีใหม่ครับ เจย์เดน” คาร์เรย์เงยหน้าขึ้นในที่สุด ใบหน้าเปื้อนยิ้มน่ารัก ไร้ซึ่งความคลุ้มคลั่งโดยสิ้นเชิงราวแก้วใสกระจ่าง “ผมดีใจจังที่คุณยังอยู่ตรงนี้”
คาร์เรย์ประทับริมฝีปากแผ่วเบา เต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจอันแสนบริสุทธิ์ แต่นั่นกลับทำให้ผมเพิ่งเข้าใจ
เขาไม่ได้ตื่นเต้น แต่ที่กอดผมและนั่งนิ่งมาตลอดนั้น
เพราะกลัวว่าเมื่อข้ามพ้นปีนี้ไป...ผมจะไม่อยู่ข้างกายเขาต่างหาก
ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ก็เหมือนเอื้อมมือไขว้คว้าในความมืด
มีเพียงความว่างเปล่าทิ้งตัวระหว่างเรา
ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ราวสวนทางกับครั้งแรกที่เขาพยายามควานหาความรักของผม ตอนนั้น แม้ผมจะตอบรับ แต่ก็ไม่ได้รักเขาเต็มหัวใจ แต่ในตอนนี้ ทั้งที่ผมยอมทุกอย่างขนาดนี้ ยอมกระทั่งให้เขาทำตามใจชอบ ยอมให้จับขัง ยอมที่จะไม่มีอนาคต ยอมที่จะมีเพียงเขาคนเดียว...
แต่กลับไม่อาจส่งความรู้สึกนี้ไปถึงได้เลย!
เคยมีคนกล่าวว่า...คนบางคนนั้นมัวแต่ปิดกั้น กว่าจะรู้ตัวว่าสิ่งไหนสำคัญ ก็สายเกินไปเสียแล้ว
ผมกำลังเป็นเช่นนั้น
แต่ที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่า คือคาร์เรย์ไม่ได้ไปจากผม ทั้งที่อยู่ห่างเพียงแค่นี้ ทั้งที่ยังได้รับความเอาใจใส่จากอีกฝ่ายทุกวันแท้ๆ แต่กลับได้แต่อึดอัดอยู่แบบนี้ ไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับ
ไม่มีทางเลย...
“คุณอยากได้ของขวัญอะไรมั้ย” คาร์เรย์เดินออกจากห้องน้ำ สวมชุดสูทเป็นทางการและหวีผมเรียบร้อยดูสมตำแหน่งประธาน เพราะแม้จะเป็นวันปีใหม่ แต่เขากลับต้องเดินทางไปทักทายผู้บริหารคนอื่นๆ เพื่อสานสัมพันธ์อันดี
“อยากกินไก่งวง” ผมพึมพำ ขณะช่วยผูกเนคไทค์เมื่อคาร์เรย์เดินถือเข้ามาเหมือนทุกวัน แต่ที่แตกต่าง คือวันนี้เขาดูมีความสุขกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
มันทำให้ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย บางที...เขาอาจยอมรับผมบ้างแล้ว
“ได้สิครับ” คาร์เรย์ว่าพลางหอมศีรษะผมแรงๆ เมื่อคืนหลังนอนดูดอกไม้ไฟด้วยกัน ผมกับเขาก็เผลอหลับทั้งคู่ หากไม่ได้นาฬิกาปลุกร้องเตือน คาดว่ากว่าจะตื่นจริงๆ คงสายโด่
“ตอนเที่ยงกินขนมปังไปก่อนนะครับ แล้วตอนเย็นผมจะซื้อไก่งวงกลับมา”
“จะมีร้านเปิดเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจ ปีใหม่นี้ร้านรวงส่วนใหญ่ต่างก็หยุดฉลองกันทั้งนั้น
“ต้องมีสิ” คาร์เรย์คลี่ยิ้มจาง หากแต่ดวงตาประกายวาววูบหนึ่ง “ผมหาให้คุณได้ทุกอย่าง ที่รัก”
ผมเงยหน้ารับจูบจากอีกฝ่าย ก่อนจะโบกมือลาด้วยรอยยิ้มขื่นเมื่อคาร์เรย์เดินออกไป เสียงปิดประตูดังแผ่ว ทิ้งตัวผมให้อยู่ในความเงียบเช่นทุกวัน ต่างก็แต่วันนี้คาร์เรย์มีตารางเดินสายยันเย็น ผมจึงต้องกินข้าวเที่ยงคนเดียวด้วยขนมปังหนึ่งก้อนและนมกล่องหนึ่ง
ผมทิ้งตัวพิงกับหัวเตียง ไม่อยากขยับตัวเพราะเสียงของสายโซ่นั้นทำให้รู้สึกไม่ดีเอาซะเลย จริงอยู่ว่าผมลืมเบรดได้แล้ว...ลืมสิ้นกระทั่งความรู้สึกเพราะภาพของอีกฝ่ายยามตายช่างติดตาเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่มีใครชมชอบเวลาถูกคนรักกักขังแบบนี้หรอก
ผมเหม่อมองระเบียง อยากออกไปสูดอากาศยามเช้า อยากยืนและหลับตานิ่งรับลมหนาวเช่นนั้น อย่างน้อยคงช่วยบรรเทาความอ่อนล้าในใจของผมได้
แต่ไม่มีทางหรอก
ผมหลับตาเชื่องช้า ปล่อยให้ความนึกคิดล่องลอยไปไกล
ผมไม่มีวันได้ออกจากกล่องสี่เหลียมห้องนี้ได้อีกแล้ว
ตุบ!
เพราะรอบกายมีเพียงความเงียบ เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมผมจึงรู้สึกตัวทันที
ฟึ่บ ฟึ่บ
เสียงนั้นมาจากระเบียง ผมผุดลุก เดินลงจากเตียง หากแต่ความยาวของสายโซ่ทำให้ผมขยับออกมาได้แค่สองก้าวเท่านั้น แม้จะชะเง้อมองยังไงก็ไม่เห็นต้นเสียงสักที ทว่ารั้วระเบียงนั้นกลับลั่นเอี๊ยดอาดราวกำลังรองรับน้ำหนักบางอย่าง แถมตรงมุมขวายังมีเชือกผูกหินติดอยู่ระหว่างช่องว่าง บ่งบอกว่านี่คงเป็นเสียงแรกที่ดังจนผมสะดุ้ง
มีคนกำลังปีนขึ้นมา...
ทันใดนั้น กลุ่มผมสีทองซึ่งครอบด้วยหมวกไหมพรมพลันโผล่พรวดตรงขอบระเบียง ผมสะดุ้งเฮือก เพราะร่างนั้นสวมแว่นตาดำอันโตและผ้าปิดปากจนไม่เห็นหน้า แถมยังสวมเสื้อโค้ททับหลายชั้นราวกับว่าหนาวนักหนา แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าเขากำลังปีนข้ามระเบียงเข้ามา!!
ผมพยายามมองหาอาวุธ แต่คาร์เรย์เก็บพวกของมีคมห่างจากตัวผมไปตั้งนานแล้ว ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อร่างนั้นเดินมาเคาะประตูกระจกเสียงเบา ถอดแว่นตาและรั้งผ้าปิดปากลงจนเห็นชัดว่าเป็นใคร
“เลียม!?”
เป็นไอ้เด็กเวรจริงๆ แม้ว่าจะซูบซีด เหมือนกับผมเมื่อก่อนแถมยังตัดผมสั้นติดหนังหัว แต่คนที่ยืนยิ้มตรงหน้าคือเลียม!!
ผมเดินถอยหลัง แม้จะอยากบอกขอโทษ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่อาจสู้หน้า เขาเจ็บเพราะผมมามากพอแล้ว ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนความหวังก็ไม่มีทางเป็นจริง รั้งแต่จะให้ทุกอย่างพังลงไปกว่าเดิมมากกว่า
ผมสะท้อนในอก รีบเดินกลับไปที่เตียง ก่อนจะเอาผ้าห่มคลุมตัว บ่งบอกชัดว่าไม่ต้องการเจอเขา
เสียงเคาะหายไปแล้ว บางทีเขาคงจะยอมกลับไป
แต่ว่า...ผมคงลืมว่าเลียมเคยพังหน้าต่างเข้ามา!
แกร่ก!
ผมเงยหน้าพรวด รู้สึกถึงลมหนาวจากภายนอกพัดโชย บ่งบอกว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาสำเร็จ โชคยังดีที่ครั้งนี้ไอ้เด็กเวรไม่เอาก้อนหินทุบกระจกแตก เพียงแค่แงะกุญแจอย่างเชี่ยวชาญจนเกินไป
“กลับไป!”
ผมตะโกนลั่นเมื่ออีกฝ่ายปิดประตูให้อย่างสุภาพจนน่าหมั่นไส้
“กลับไปเลยนะ!!”
เลียมยังลอยหน้าลอยตา เขาถอดเสื้อโค้ทหลายชั้นพาดกับเก้าอี้ เผยให้เห็นรูปร่างผอมโซและใบหน้าซูบตอบเหมือนคนอมโรค และนั่นทำให้ผมใจแข็งไล่เขาไม่ลง
เพราะเมื่อมองดีๆ ช่วงลำคอเป็นต้นมาเขามีผ้าพันแผลพันทั้งตัว!
“ดีจังที่คุณยังสบายดี”
ไอ้เด็กเวรมันทำราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของมันเอง
“ผมนึกว่าเขาจะทำร้ายคุณซะแล้ว...”
มันเดินเข้ามาปัดปอยผมทัดหูอย่างอ่อนโยน แย้มยิ้มกว้างให้ผมอย่างไม่ติดใจอะไร ทั้งที่ตัวมันเกือบตาย อีกทั้งพ่อมันเองก็ตายเพราะผมไปแล้ว!
“เลิกยุ่งกับฉันเถอะเลียม แค่นี้ยังสูญเสียไม่พออีกรึไง”
ผมแทบจะวอนขอ ไอ้เด็กเวรเพียงยิ้มนิ่งๆ ทว่าดวงตาไม่ยิ้มแม้แต่น้อย
“เพราะสูญเสียมากเกินไป ผมเลยไม่อยากเสียคุณไปอีกคน”เลียมทิ้งตัวนั่งบนเตียง มองโซ่ซึ่งล่ามข้อเท้าผมด้วยความเกลียดชังวูบหนึ่ง ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมเป็นเชิงไม่เป็นไร
“เจย์เดน ผมตื่นขึ้นมาแล้วเจ็บไปทั้งตัว ไฟไหม้แผ่นหลังของผมที่คู้ตัวปกป้องคุณเอาไว้ ไหม้จนหมอบอกว่าหนังละลายออกมา กลายเป็นรอยแผลเป็นชั่วชีวิต แต่นั่นยังไม่เจ็บเท่ารู้ว่าพ่อตาย...ตายเพราะความดื้อรั้นของผมเอง เจย์เดน ผมกับพ่อไม่สนิทกันนัก แต่ผมรักพ่อ และพ่อก็รักผม คุณเข้าใจความสูญเสียนี้ใช่มั้ย”
ไม่...ผมไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
เพราะพ่อไม่ได้ตายเพื่อผม อย่าว่าแต่รักผมเลย เขายังทิ้งผมไปด้วยซ้ำ!
ทว่าเลียมเพียงคลี่ยิ้มจาง เขาไม่ได้ร้องไห้ น้ำเสียงเองก็ไม่สั่นเครือ ดูเข้มแข็งจนน่าประหลาดใจ
“ผมเสียใจมาก แต่ที่เสียใจที่สุดเพราะไม่รู้จะอธิบายกับแม่ยังไง ความจริงมันจุกที่อก อยากบอกว่าพ่อตายเพราะผม เป็นเพราะผมสะเพร่า คิดอะไรตื้นๆ เอง แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวจะถูกเกลียด จนถึงตอนนี้ผมยังไม่กล้าสู้หน้าแม่ด้วยซ้ำ แต่เพราะแบบนี้ ผมถึงมีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม...”
เลียมจับมือผม บีบเบาๆ อย่างห่วงหา
“ผมเลือกวิธีการผิดแต่แรก ทุกอย่างถึงพังไม่เป็นท่า แต่ไม่ต้องห่วงนะเจย์เดน ผมเป็นลูกตำรวจ ฉะนั้นผมจะสู้ด้วยกฎหมาย ถึงคาร์เรย์จะจัดการหมดจดอย่างไร ก็ไม่อาจหนีความจริงที่เขาทำได้หรอก”
“เลียม...” ผมแทบกลืนน้ำลายไม่ลง แม้เลียมจะไม่พูดออกมา แต่ผมรู้ว่าเขากำลังจะบอกอะไร
ไอ้เด็กเวรกำลังหาหลักฐานตามจับคาร์เรย์!
“หากการแย่งคุณมาจากเขาคือเรื่องเป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น...”
เลียมมองผมอย่างลึกล้ำ หากแต่ดวงตาที่เคยมอบความรักให้อย่างบริสุทธิ์ใจนั้นกลับดำมืดเหลือเกิน
ผมไม่เห็นไอ้เด็กเวรแสนดีคนนั้นแล้ว
“ผมก็จะทำให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยมือเอง!”
“เลียม!” ผมตะโกนลั่น เรียกสติไอ้เด็กเวรที่คิดไปไกลสุดกู่ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เลียมหอบหายใจโยน มันคงไม่หายดีนัก ใบหน้าแดงก่ำ คาดว่าคงยังมีพิษไข้จากอาการบาดเจ็บ ยิ่งมาออกกำลังกายท่ามกลางอากาศหนาว จึงอาจทำให้ระบบความคิดผิดเพี้ยนไป
ใช่ เพราะแบบนั้นแน่ๆ มันถึงพูดอะไรบ้าๆ แบบนี้
“นายต่างหากที่ควรปล่อยมือจากฉันสักที!” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ตั้งใจว่าวันนี้ต้องสะสางเรื่องราวให้จบ แค่เรื่องของผมกับคาร์เรย์ก็ทรมานทั้งเป็นพออยู่แล้ว ผมไม่อยากให้มันวุ่นวายกว่าเดิมเพราะการกระทำของไอ้เด็กเวรนี่หรอกนะ
ปล่อยผมไปเถอะ
กลับไปสู่ที่ของนาย อย่ามาจมปลักแบบนี้ อย่ากระโจนลงมาด้วยกันแบบนี้!
“ฉันเลือกคาร์เรย์ ไม่ว่าเขาจะทำยังไงฉันก็เลือกเขาอยู่ดี ฉะนั้นคนที่ควรไปคือนายต่างหาก!”
เลียมปล่อยมือผม ผละถอยห่าง กัดปากพลางส่ายศีรษะน้อยๆ เป็นการปฏิเสธ
“ไม่จริงหรอก...” ไอ้เด็กเวรเอ่ยเสียงเครือ “หากคุณเลือกเขา แล้วทำไมถึงถูกขังแบบนี้ล่ะ! ทำไมถึงถูกล่ามโซ่! ไม่ใช่ว่าเพราะคุณพยายามจะหนีออกมาหรือไง!!”
ผมชักอยากจะร้องไห้บ้างเสียแล้ว
“ไม่ใช่...”
“คุณห่วงผมใช่มั้ย คุณกลัวว่าผมจะเป็นอะไรไปอีก ไม่เป็นไรนะเจย์เดน ผมจะระวังตัวกว่าเดิม ที่ปีนขึ้นมาวันนี้ก็เพราะที่ระเบียงไม่มีกล้องวงจรปิด ส่วนคนที่คาร์เรย์ให้ตามคุณก็เป็นคนของผมเอง เพราะคนเก่าทำงานผิดพลาด เขาจึงหาคนจ้างวานใหม่ ผมจึงซื้อตัวไว้แต่แรกแล้วให้มาติดต่อกับเขา ฉะนั้นเรื่องวันนี้จะไม่มีใครรู้ ทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ จะไม่มีการผิดพลาดอีกแล้ว”
“ไม่ใช่...”
“หรือคุณยังกังวลอยู่อีก ไม่เป็นไรนะเจย์เดน ตอนนี้ผมเริ่มรวบรวมหลักฐานได้บ้างแล้ว คงเพราะครั้งนี้เขารีบร้อนหาคุณ จึงประมาททิ้งหลักฐานไว้บางส่วน แม้ตอนนี้ยังต่อไม่ติด แต่ผมจะทำทุกอย่างเพื่อจับกุมเขาให้ได้ คดีใหญ่ขนาดนี้ทางตำรวจให้กำลังคนกับผมมากมาย อีกไม่นานคุณจะได้ออกมาแน่นอน ไม่ต้องถูกขังอยู่อย่างนี้...”
“พอสักทีเถอะเลียม!!”
ผมแทบทนฟังไม่ได้ เลียมกำลังวาดฝัน วาดความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงอย่างที่เขาเคยชวนให้ผมหนีไปด้วยกัน
มันยิ่งตอกย้ำ...ตอกย้ำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม!
“เจย์เดน...” เลียมครางเสียงแผ่ว มองผมที่ร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้น
ผมไม่เคยร้องไห้ นับจากวันที่รู้ความจริงของคาร์เรย์...ก่อนจะถูกเลียมลักพาตัวไป ผมก็ไม่เคยร้องไห้อีก แม้ว่าเวลาที่ผ่านมานี้จะรู้สึกขมขื่นมากแค่ไหน ผมก็ไม่เคยร้องไห้ เพราะลึกๆ ในใจรู้ดีว่าทุกอย่างมันพังด้วยตัวผมเอง เป็นผมเองที่ทำให้ชีวิตทุกคนไม่เหมือนเดิม!
ทั้งที่เก็บไว้แน่นหนาแล้วแท้ๆ แต่เลียมกลับแง้มมันออก
ตอกหน้าผมว่าต่อให้พยายามแค่ไหนผมก็คงได้แต่อยู่แบบนี้จนตาย!
อ่า...คาร์เรย์รักผม ผมเองก็ยอมรับ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่ออยู่ด้วยกันกลับช่างเจ็บปวดเหลือเกิน แต่ผมจะไม่ทำผิดซ้ำอีก แม้จะเจ็บแค่ไหน แต่ผมก็ยังต้องการเขา จะทำร้ายกันมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังต้องการผม
“ฉันตอบรับความรู้สึกนายไม่ได้” ผมเอ่ยออกมาอย่างขมขื่น มองดูเลียมซึ่งเป็นอีกคนที่พยายามเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยได้สิ่งที่ต้องการกลับคืน “กลับไปเถอะเลียม กลับไปสู่ที่ของนาย กลับไปยังอนาคตที่ไม่มีฉัน ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วหาความรักที่ดีกว่านี้เถอะ”
“ผมทำไม่ได้!” คราวนี้เลียมร้องไห้ออกมาจริงๆ ใบหน้าถือดีกลายเป็นความเวทนา เขาคุกเข่าแทบเท้าผม อ้อนวอนผม ขอความรักจากผม
“ผมรู้ว่าผมควรถอนตัว ควรทำไปตั้งนานแล้ว...แต่ผมยังเห็นคุณอยู่แบบนี้ ยังรู้ว่าคุณถูกขังอยู่อย่างนี้...ผมทำไม่ได้จริงๆ เจย์เดน”
เลียมซุกหน้าลงบนฝ่ามือ
“ทำไมคุณถึงไม่มีความสุขให้ผมเห็นล่ะ! ทำไมคุณไม่เลือกคนรักที่ดีกว่านี้! ถ้าแค่นั้นล่ะก็...ถ้าแค่นั้นผมคงตัดใจไปแล้ว...”ไอ้เด็กเวรร้องไห้สะอื้นอย่างไม่อาย และนั่นทำให้ผมหลับตาอย่างปวดร้าวเหลือเกิน
เพราะเลียมพูดถูกทุกอย่าง
แต่จะโทษคาร์เรย์ก็ไม่ได้ เขาเป็นแบบนี้แต่แรก เป็นฆาตกรมาก่อน ผมต่างหากที่ไปช่วยเขาออกมา สัญญากับเขา ให้ความหวังกับเขา ในเมื่อเขากลับมาตามคำที่ให้ไว้ ตัวผมจะปฏิเสธได้ยังไง
ผมจะทิ้งเขาไปได้ยังไง...
“ฉันเลือกไปแล้ว เลียม” ผมลืมตาพลางกล่าวกับอีกฝ่ายที่ยังคุกเข่าแน่นิ่งทั้งเสียงสะอื้น “ปล่อยให้ฉันไปตามทางที่เลือกเถอะ”
“ผม-ทำ-ไม่-ได้!” เลียมตะโกนกร้าว ขอบตาขาวแดงก่ำเพราะการร้องไห้อย่างหนัก เชื่อว่าเขาเองก็ทุกข์ใจไม่ต่างกันก่อนจะตัดสินใจมาพบกับผมในวันนี้
เขาเพียงพยายามหาทางออกให้กับผม
เขาเพียงพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดสำหรับผมเท่านั้น!
“แต่ฉันไม่ต้องการ...” ผมรู้ดีว่าใจร้ายเหลือเกิน แต่ถ้ายังปล่อยไปแบบนี้มันจะแย่กว่าเก่า แค่นี้ผมก็เจ็บจะแย่แล้ว อย่าให้ต้องรู้สึกผิดเพราะดึงคนดีๆ อย่างเลียมเข้ามาในวังวนบิดเบี้ยวนี่เลย
ผมเคยสงสัย...ว่าทำไมคาร์เรย์ถึงยังปล่อยเลียมมานานขนาดนี้
ส่วนหนึ่ง คงเพราะเขานับถือน้ำใจในความรักของเลียม
เหมือนที่ผมนึกขอบคุณเหลือเกิน
แต่ว่า...
“ฉันไม่ต้องการความหวังดีนั้น ฉันไม่ต้องการจะออกไปจากที่นี่ ฉันไม่ต้องการความรักของนาย ฉัน...” ผมกัดริมฝีปาก พยายามเค้นความรู้สึกทั้งที่เจ็บปวดใจไม่แพ้กัน “ฉันไม่ต้องการนาย เลียม!”
ราวสายฟ้าฟาดกระหน่ำ เลียมกระตุกตัว สูดหายใจเฮือก แม้ผมจะเคยปฏิเสธเขามากมายแค่ไหน แต่ไม่เคยพูดเด็ดขาดเท่าวันนี้
ไอ้เด็กเวรเงยหน้า มองผมด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว ใบหน้ายังคลอน้ำตา แต่กระนั้นมันก็พยายามยันตัวลุกขึ้นด้วยท่าทางโซเซ
“ผมรู้...” มันพึมพำ “ผมรู้มานานแล้ว ผมมันก็แค่ส่วนเกิน”
เลียมเดินไปหยิบเสื้อโค้ทมาสวม ทำท่าจะยอมถอนตัวออกไป
เห็นแล้วผมก็ก้มหน้าพลางคลี่ยิ้มออกมา หากแต่เป็นรอยยิ้มอำลาที่สะท้อนในอกเหลือเกิน ผมยอมรับว่ารู้สึกใจหาย อดเศร้าไม่ได้หากไม่เห็นเลียมอีก แต่ถึงอย่างนั้น...
“แต่ผมทนเห็นคุณเป็นแบบนี้ไม่ได้จริงๆ”
ผมเงยหน้ามอง พบว่ามันยืนอยู่ตรงประตูกระจก มองหน้าผมด้วยดวงตากร้าว แม้จะยังมีน้ำใสคลอหน่วย แต่กลับแฝงความดึงดันอย่างที่ผมรู้จักดี
“คุณพังไปแล้ว...คาร์เรย์เองก็พังไปแล้ว...ถ้าอย่างนั้น...ก็ให้ผมพังไปด้วยเถอะ!!”
เลียมหัวเราะออกมา เผยยิ้มกว้างอย่างโล่งใจราวหาคำตอบให้ตัวเองได้สำเร็จ
“ให้มันพังไปทั้งแบบนี้นั่นแหละ!!”-----------------
เคยมีคนบอกว่า ถ้าเกิดเรารักใครจริง ต่อให้ไม่สมหวัง แต่หากเห็นคนรักมีความสุข เราก็จะสามารถปล่อยเขาไปได้
แต่สำหรับเลียม สิ่งที่เขาเห็นจากเจย์เดน กลับไม่มีสิ่งนั้นอยู่เลย
“ทำไมคุณถึงไม่มีความสุขให้ผมเห็นล่ะ! ทำไมคุณไม่เลือกคนรักที่ดีกว่านี้! ถ้าแค่นั้นล่ะก็...ถ้าแค่นั้นผมคงตัดใจไปแล้ว...”นี่คือความรู้สึกของเลียมค่ะ
ไม่ใช่ว่าอยากให้มันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากปล่อยไป แต่ในตอนนี้ สิ่งที่เห็นตอนนี้ ทำให้เขา
"ทำไม่ได้"ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ มาร่วมลุ้นไปยังตอนจบนะคะ เหลืออีกประมาณ 2-3 ตอนแล้ว