Chapter 11 : “พอใจมั้ย...ที่รัก” [ครึ่งแรก]
เลียมกลับไปแล้ว
เขามาทั้งที่ผมไม่ได้เชิญ และเขาก็กลับไปทั้งที่ผมไม่ได้ไล่ แต่ทั้งสองอย่างล้วนตรงใจผมดีโดยไม่ต้องเอ่ยออกมา
ผมยืนตรงริมระเบียง เวลาไม่สบายใจ เมื่อได้สัมผัสลมเย็นๆ ตอนกลางคืนจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นทุกครั้ง ผมถึงเคยเป็นหวัดเกือบตายเพราะดันออกไปเดินเล่นตอนกลางคืน มานึกๆ ดูแล้วความทรงจำตลอดหนึ่งปีมานี้ก็มีแต่เลียม
ทำไมถึงไม่เชื่อเขากันนะ
ก่อนเจอคาร์เรย์ ผมพยายามจะเชื่อเลียม เพราะในใจแสนว่างเปล่านี้ช่างโหยหาความรักมากมายเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย ผมก็เป็นฝ่ายถอยหลังออกมา เพราะแม้อยากจะเชื่อแค่ไหน อดีตที่ยังย้ำเตือนในใจผมมาตลอดก็ทำให้ผมเชื่อไม่ลง
ขนาดรักมาแทบตายถึงสองปียังหักหลังผมได้
แล้วกับแค่คำพูดพรรคนั้น...ผมจะเชื่อได้ยังไง
‘ผมตายเพื่อคุณได้’
แต่ผมเชื่อคำพูดนี้ได้มั้ยนะ
ผมหรี่ตา กอดตัวเองท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ความร้อนข้างกายจากการเผากระดาษกลับไม่ทำให้ผมอุ่นขึ้นสักนิด เลียมกลับไป...โดยทิ้งหลักฐานในการจับกุมคาร์เรย์ให้ผม และทั้งหมดนั่นล้วนอยู่ในถังขยะขนาดเล็ก ถูกเปลวไฟทำลายทีละน้อย
ดูเหมือนเจ้าถังขยะอันนี้จะเกิดมาเพื่อให้ผมเผากระดาษเล่นซะแล้ว
ผมเผลอคลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตอนที่คาร์เรย์หยิบเจ้าสิ่งนี้มาให้และช่วยผมจุดไฟ เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่กลับทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เจ็บปวดแทบตาย แต่เมื่อถูกโอบกอด ก็ได้แต่กลายเป็นเด็กตัวน้อยที่ซึมซับความรักนั้นอย่างเต็มใจ
‘ความรักที่บิดเบี้ยว’
ผมหลุดหัวเราะออกมา หากแต่เสียงนั้นกลับฟังขื่นขมเหลือเกิน อ่า...นี่ผมเป็นคนบ้าไปแล้วสินะ หากไม่ได้เลียมพูดเตือนสติ ผมก็คงไม่รู้ตัวว่าตัวเองกลายเป็นพวกวิปลาสแบบนี้ไปแล้ว
แต่จะทำอย่างไรได้...ในเมื่อผมเลือกจะเป็นแบบนี้เอง!
“คาร์เรย์...” ผมซบหน้าลงกับระเบียง นึกถึงคนรักที่คิดถึงจับใจ อยากให้อีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ อยู่เคียงข้างกัน...โอบกอดเอาไว้ และเอ่ยคำรัก
“คาร์เรย์...”
ผมไม่โทรหาเขา
ทั้งที่อยากได้ยินเสียง แต่ก็ไม่โทรไป ตอนนี้อารมณ์ของผมไม่ปกติ หากได้ยินคาร์เรย์ต้องรู้แน่ และผมเองก็คงไม่อาจห้ามใจ กลัวเหลือเกินว่าเมื่อได้ยินเสียงกระซิบหวาน ความรู้สึกในใจที่ยากอธิบายในตอนนี้จะล้นทะลักออกมา กลายเป็นคำคร่ำครวญ กรีดร้องขอให้เขากลับอยู่ข้างกายสักที
เอาแต่ใจ!
ไม่สิ...ช่างอ่อนแอ
ทำไมถึงเป็นคนอ่อนแอขนาดนี้นะเจย์เดน เวอแกน
ผมหลับตา เฝ้ารอจนเปลวเพลิงข้างกายมอดดับ ค่อยพาตัวเองไปนอนบนเตียงที่เหลือเพียงคนเดียว ไม่มีคาร์เรย์ ไม่มีเลียม มีเพียงแต่ผม...แค่ตัวผมที่นอนอย่างเดี่ยวดายตรงนี้
เหงาแทบขาดใจ
“คาร์เรย์...”
ผมกระซิบชื่อคนรัก พร่ำเอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวคำนั้นช่วยให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นจากบนโต๊ะข้างเตียง แต่ผมเอาผ้าห่มคลุมโปงไม่สนใจ
ถ้าได้ยินเสียงต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ
ไม่...ผมไม่อยากอ่อนแอถึงขนาดนั้น
“เข้มแข็งหน่อยสิ เจย์เดน”
สุดท้ายแล้ว ชื่อที่ผลชะงักที่สุด...ก็คือชื่อของผมเอง
“อ้าว ยังไม่ตายอีกเหรอ”ผมฝันอีกครั้ง
ภาพในความทรงจำพร่าเลือนเหลือเกิน คงเป็นเพราะร่างกายขาดน้ำเป็นเวลานาน ความรู้สึกกระหายในลำคอจึงทำให้ผมได้แต่ครางต่ำๆ พยายามขยับตัว แต่ก็โรยแรงนัก พยายามจะเงยหน้ามองผู้ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ก็เห็นเพียงกลุ่มก้อนของภาพสีที่ถูกจับมารวมกัน ที่พอจะแจ่มชัด เห็นจะมีเพียงน้ำเสียงนั้นที่ผมยังได้ยินชัดเจน
วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้วนะ...คนเราขาดน้ำได้มากที่สุดสามวัน ถ้าอย่างนั้น วันนี้ก็คงเป็นวันที่สาม
เพราะผมรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจริงๆ
ทั้งที่ตาปรือปรอย แต่ชีพจรในร่างกายกลับเต้นเร็วจนปวดหัว ผมได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเองด้วยซ้ำ อุณหภูมิของร่างกายพุ่งสูง ริมฝีปากแห้งผาก อีกทั้งยังคลื่นไส้จนอยากอาเจียน แต่ตลอดสามวันที่ผ่านมานี้ผมอาเจียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ตอนนี้มีเพียงรสขมปร่าในลำคอ ต่อให้อาเจียนออกมาก็มีเพียงน้ำย่อยในกระเพาะเท่านั้น
ทรมาน...
ทั้งจิตใจและร่างกาย มันแย่...แย่ทุกอย่าง ทำไมถึงเป็นผมที่เจอกับเรื่องแบบนี้กันนะ
ผมหลับตาลง รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างช้าลงกว่าปกติ ขนาดความคิดเองยังแทบรวบรวมไม่ได้ สิ่งเดียวที่เฝ้าคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีเพียงความเสียใจ...
เวลาสองปีที่ยอมเปิดใจ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเลวร้าย
ผมอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา
คนที่เฝ้าบอกรัก คนที่เพียรทะนุถนอมมาตลอด ในวันนี้ กลับถามผมว่าเมื่อไหร่จะตายเสียที
นั่นสินะ...เมื่อไหร่จะตายๆ ไปสักที
ชีวิตที่มีแต่ความสิ้นหวังนี้ ไม่รู้ว่าจะลืมตาเพื่ออะไรอีก
แต่ใครจะคิดว่าเมื่อผมหลับตาลงในครั้งนี้...
พอตื่นมาอีกครั้ง กลับได้รับการช่วยเหลือเสียแล้ว!
ผมตื่นขึ้นมากลางดึก
ไม่ได้สะดุ้ง แต่เป็นการลืมตาตื่นขึ้นมาเฉยๆ ผมนอนนิ่ง เฝ้ามองเพดานพลางคิดทบทวนถึงเรื่องราวในอดีต นึกแล้วก็อดสังเวชตัวเองไม่ได้
ทำไมทุกอย่างถึงได้ตรงกันข้ามไปหมดนะ
ผมรักพ่อ แต่พ่อทิ้งผม
เพื่อนรักพ่อที่เคยเชื่อใจ ท้ายที่สุดกลับขู่ฆ่าผมแทบตาย
หัวหน้าที่เคารพ กลับส่งตัวผมไปขังคุก
เพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจ ก็เป็นหนึ่งในคนที่ส่งตัวผมไปเจอความเลวร้าย
ขนาดคนที่ไม่สนิท กลับทำได้เพียงบอกผมว่าให้ยอมรับเสียเถอะ
คนที่รักกันมากมาย สุดท้ายก็ฆ่าผมทั้งเป็น
แต่ที่ร้ายกาจที่สุด...คือเมื่อผมอยากตาย
กลับไม่มีใครยอมให้ผมตาย!
ผมลุกขึ้นจากเตียง ตัดสินใจว่าจะเดินลงไปหาน้ำเย็นดื่มสักหน่อย บางทีที่สุดของฝันร้ายในอดีต คงเป็นการที่ผมลืมตาตื่นอีกครั้งแล้วพบว่า ‘ยังไม่ตาย’ ล่ะมั้ง
ทั้งที่เตรียมใจขนาดนั้นแท้ๆ
ทั้งที่ ‘ต้องการ’ ขนาดนั้นแท้ๆ!
คนที่ช่วยเหลือผมคือหัวหน้าของเบรด เขาเปรียบดั่งพ่อบุญธรรมของอีกฝ่าย เพราะเป็นคนชักชวนเบรดให้เข้าทำงาน อีกทั้งยังช่วยส่งเสียด้านการเรียนแต่เด็กอีกด้วย ใช่...เบรดเป็นเด็กกำพร้า และนี่เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ผมยอมเปิดใจให้เขา เพราะเราต่างเป็นคนที่ถูกผู้ปกครองทิ้งเหมือนกัน
ดูเหมือนพ่อของเบรดจะรู้ถึงนิสัยของลูกชาย พอเห็นผมหายตัวไปหลายวัน จึงพยายามตามหาจนพบ ก่อนจะเรียกหมอมาช่วยตรวจดูอาการ รอจนผมมีสติ แล้วจึงสารภาพทุกอย่าง
‘เบรดเป็นคนขี้เบื่อ’
ทุกการกระทำถูกอธิบายง่ายๆ ด้วยประโยคนี้
‘เขาชอบความท้าทาย ตลอดเวลาที่ผ่านมา นิสัยข้อนี้ทำให้เขาสะสางคดีได้มากมาย จนกลายเป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่นับถือ และพวกผู้ใหญ่ล้วนให้ความเอ็นดู แต่คาดไม่ถึง ว่าเขาจะนึกถูกใจเธอ ตอนแรกฉันคิดว่าเธอคงช่วยให้เบรดผู้ใจร้อนกลายเป็นคนนิ่งสงบขึ้นมาได้ เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา...เขาเทียวจีบเธอจนแทบกลายเป็นคนละคน’
และความพิเศษตรงนั้นก็ทำให้ผมใจอ่อน
‘แต่ไม่น่าเชื่อ...เมื่อพอได้คบกับเธอเข้าจริงๆ เขากลับบ่นกับฉัน...กับคนอื่นๆ ว่ามันช่างน่าเบื่อ เขากลับเป็นคนเดิมอีกครั้ง เจย์เดน’
เพราะเขาไม่เคยรักผม
หรือไม่...ความรักที่ผมมีให้เขามันน่าเบื่อเกินกว่าจะยอมรับเมื่อได้มา!
‘ฉันผิดเองที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ฉันเตือนเบรด...ตอนที่เขาบอกจะเลิกกับเธอ เตือนว่าในเมื่อเธอทำให้เขาเคยเป็นไปได้ขนาดนั้น ย่อมแสดงว่าเขารักเธอมากจริงๆ หลังจากนั้น...เธอก็หายตัวไป’
เบรดจับตัวผมเอาไว้...
เขารักผม ไม่สิ เขาพร่ำบอกว่า ‘เคย’ รักผม คำเตือนนั้นทำให้เขาฉุกคิดว่าหากปล่อยผมในตอนนี้ไป การกระทำที่เขาทุ่มเททุกอย่างตลอดสองปีจะสูญเปล่า เขายึดติดกับผม ไม่อยากให้ผมเป็นของคนอื่น จึงเลือกที่จะขังผมเอาไว้ ให้ผมตาย...ตายในฐานะที่ยังเป็นของของเขา
‘แต่ก่อนตายช่วยให้ฉันสนุกสักหน่อยเถอะ เจย์เดน’
ผมไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขารู้สึกอย่างไร
แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น...ทำให้ผมปิดใจตัวเองโดยสิ้นเชิง
เป็นครั้งแรกที่ผมขอร้องว่าได้โปรดย้ายผมไปที่อื่น แลกกับจะไม่ปริปากบอกใครว่าเบรดเคยทำร้ายผมมากมายแค่ไหน เพราะนิสัยข้อนั้นของเขายังมีประโยชน์กับทางกรมตำรวจ คนมีความสามารถขนาดนี้จะให้โดนจับเพราะแค่ขังแฟนตัวเองไว้ไม่ได้
‘แค่’
...หึ ผมมันก็แค่นั้นสินะ
หลังจากนั้นผมก็ย้ายไปอีกสองสามที่ ก่อนจะมาเจอกับเลียม ตอนเจอไอ้เด็กเวร ผมก็สามารถปรับตัวเองให้กลายเป็นคนน่ารังเกียจได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งที่ทำสำเร็จมาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้ผลกับมัน...
นึกแล้วผมก็หลุดยิ้มขื่นออกมา ผมเลือกจะเก็บความทรงจำนั้นไว้ในส่วนลึกที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะโดนขอร้อง แต่เพราะผมรู้สึกอับยศกับตัวเอง มันน่าสมเพช! ที่เคยหลงรักคนแบบนั้น มันช่างน่าขยะแขยง! ที่เคยมีอะไรกับคนแบบนั้น และมันน่าโมโหเหลือเกิน! ที่คนคนนั้นทำให้ผมนึกอยากตาย...
เจย์เดน เวอแกนคนนี้ไม่เคยจนตรอกถึงขนาดนั้น!
ไม่ว่าจะโดนหักหลัง โดนเหยียดหยาม โดนต่อว่ามากมายแค่ไหน ผมก็เพียงแค่หนีไปให้ไกลที่สุด แต่ไม่เคยคิดจะจบชีวิตตัวเอง แค่นึก ผมก็รู้สึกแย่จนอยากอาเจียนออกมา กับคนแบบนั้น...กับคนที่เคยรักแบบนั้น!!
“...ที่รัก?”
พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นในความมืด ทำเอาผมชะงักตรงบันไดอย่างตกใจ ก่อนความรู้สึกนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความยินดี เมื่อร่างนั้นเปิดสวิตซ์ไฟ เผยให้เห็นใบหน้าที่คิดถึงมานาน
“คาร์...เรย์”
คนรักพยักหน้ารับยิ้มๆ พลางยื่นมือมาด้านหน้า แค่เห็น...ผมก็เดินเข้าไปใกล้ จับมือนั้นเอาไว้ บีบเบาๆ เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ใช่ความฝัน ก่อนจะร้องอุทานเมื่อถูกดึงเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว
“คิดถึงจัง” คาร์เรย์กระซิบข้างหูผมอย่างอ่อนหวาน
“ไหนบอกกลับพรุ่งนี้ไง” ผมพูดอู้อี้ เพราะยังถูกกอดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก แต่ก็สำลักความสุขจนแทบทะลักล้นออกมา
“ผมรีบสะสางธุระน่ะครับ” คาร์เรย์ผละออก เลื่อนมือมาประคองกอดเอวผมไว้ ก่อนจะโน้มหน้าประทับจูบยาวนาน มันช่างอ่อนโยน เปี่ยมด้วยความรู้สึก ทำให้ผมหลับตาพลางเผยอปากน้อยๆ อย่างเคลิบเคลิ้ม
ลิ้นร้อนกวาดทั่วโพรงปากอย่างน่ารัก ไร้ซึ่งความดุดัน เร้าร้อน แต่กลับเนิบช้า กว่าจะยอมผละออกมา ผมก็หอบหายกระชั้นเพราะต้องปรับลมหายใจแทบตาย
“คิดถึงคุณจะขาดใจอยู่แล้ว”
คาร์เรย์ยังคงคลอเคลียไม่ห่าง ขบริมฝีปากผมซ้ำๆ อย่างรักใคร่ ที่เขากล้าทำอะไรขนาดนี้คงรู้ว่าเลียมกลับไปแล้ว
“นายทำอะไรอยู่น่ะ” หลังโดนทั้งกอด ทั้งจูบ ผมที่ใจเต้นแรงระรัวก็หันไปถามคนรักที่ถอดเสื้อโค้ตกันลมอยู่นานแล้ว กระเป๋าเดินทางเองก็ถูกวางไว้อย่างดิบดี แม้จะมีท่าทางเหนื่อยอ่อน แต่คาร์เรย์ดูเหมือนเพิ่งใช้แรงและเข้าไปในที่ๆ มีอุณหภูมิสูงกว่าภายนอก เพราะศีรษะของเขาชื้นเหงื่อน้อยๆ
“ผมทำเซอร์ไพรส์คุณ”
คาร์เรย์เปลี่ยนเป็นกอดผมจากด้านหลัง ก่อนจะกดจูบหนักๆ ที่หลังคอ
“ลองเดินไปข้างหน้าสิครับ”
ผมเดินตามคาร์เรย์ซึ่งคอยกระซิบบอกทาง อันที่จริงบ้านนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็สุดห้องแล้ว แต่ที่ทำให้ผมประหลาดใจ...คือข้างเตาผิงนั้นมีประตูกลที่สามารถลงไปห้องใต้ดิน!
บันไดทอดต่ำนั้นมืดสลัว แต่เมื่อคาร์เรย์เอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟ ทุกอย่างก็แจ่มชัดชวนให้สังหรณ์ใจบางอย่าง
“เดินลงไปสิครับ”
หากยังกอดกันคงได้กลิ้งลงไปทั้งคู่ คาร์เรย์จึงปล่อยให้ผมเดินลงไปก่อน โดยยังจูงมือจากทางด้านหลัง เพราะขั้นบันไดค่อนข้างถี่ ผมจึงต้องมองระยะเท้าตัวเองให้ดี เมื่อเดินลงมาจนสุด ก็พบว่าห้องใต้ดินนั้นว่างโล่ง มีเพียงเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งครอบถุงดำเอาไว้หันหน้ามาทางผมพอดิบพอดี
ใคร?
ผมสงสัยเมื่อเห็นสองเท้าโผล่พ้นขอบถุงซึ่งครอบได้ถึงแค่ช่วงหัวเข่า รู้ตัวอีกทีคาร์เรย์ก็กอดผมจากข้างหลังอีกครั้ง แถมยังดันน้อยๆ เป็นเชิงให้เดินเข้าไปใกล้
“ลองเปิดสิครับ คุณต้องดีใจแน่ๆ”
วูบหนึ่งผมสังหรณ์ว่าเป็นเลียม...
มันทำให้ผมลังเล ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรหากเป็นไอ้เด็กเวรที่ถูกจับมาแบบนี้
“ที่รัก...” คาร์เรย์กดจูบข้างใบหู กระซิบหวานเหลือเกิน ผมจึงเอื้อมมือไปเปิด คิดในใจว่าเป็นไงเป็นกันสิน่า
แต่ว่า...
ผมเบิกตากว้าง เผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่เพราะถูกคาร์เรย์กอดโดยตลอด จึงได้แต่ชนกับแผ่นอกอีกฝ่าย
“นาย...”
“อื้อ!”
ร่างซึ่งถูกเชือกรัดติดกับเก้าอี้ตลอดทั้งตัวร้องออกมา แต่เพราะถูกผ้ายัดปากไว้ จึงได้แต่ส่งเสียงไม่ได้ศัพท์ ผมไม่คิดเลยว่าจะได้พบคนคนนี้อีกครั้ง อย่างน้อย...ก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอในสถานการณ์แบบนี้!
“ผมมันแย่จริงๆ ที่พลาดไป” คาร์เรย์กระซิบกับผมอย่างรู้สึกผิด “ทั้งที่บอกว่าจะช่วยจัดการทุกอย่าง แต่กลับปล่อยคนสุดท้ายที่ทำร้ายคุณมากที่สุดเอาไว้ ไม่ต้องห่วงนะที่รัก...วันนี้ผมจะชดเชยให้เอง”
คาร์เรย์ปล่อยผ่านเพราะนี่เป็นที่แรกซึ่งผมขอย้ายเอง ทุกคนต่างลือว่าเป็นเพราะผมขอเลิกกับกับเบรด คาร์เรย์คงไม่คิดว่าคนเคยเป็นแฟนกันจะทำให้ผมเก็บไปฝันร้ายได้ขนาดนั้น
“นายรู้ได้ยังไง” ผมถามคาร์เรย์เสียงแหบพร่า ในใจอื้ออึงจนแทบไม่รู้สึกอะไร
“เพราะคุณละเมอออกมา” คนรักจูบขมับผมอย่างปลอบโยน “ไม่ต้องห่วง ผมจะทำให้ฝันร้ายของคุณจบสิ้นในวันนี้...ที่รัก”
พลันอีกฝ่ายหยิบบางสิ่งออกจากข้างเอว มือหนึ่งยังกอดผมเอาไว้ ขณะที่อีกมืนถือสิ่งนั้นจ่อเล็งไปยังร่างที่พยายามดิ้นรนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
มันคือปืน
“ลาก่อน...เบรด”
เพราะเป็นห้องใต้ดิน จึงช่วยเก็บเสียงได้ดี คาร์เรย์คงคำนวณเรื่องนี้แต่แรกจึงกล้าหยิบปืนออกมา
แต่ที่เขาคาดไม่ถึง
คงเป็นผมที่ปัดมือเขา จนกระสุนเฉียดผ่านข้างศีรษะของเบรดจนอีกฝ่ายร้องลั่น
วูบหนึ่ง ผมรู้สึก...สะใจ
คนที่กล้าทำกับผมเพราะแค่คำว่า ‘น่าเบื่อ’ จนถึงตอนนี้ยังจะรู้สึกแบบนั้นมั้ยนะ
“ฉันทำเอง”
ผมแย่งปืนจากคาร์เรย์มาถือไว้เองเมื่อคนรักคลายอ้อมกอดด้วยความตกใจ ใบหน้าของคาร์เรย์เผยความร้าวราน วูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินผมยืนยัน
“กับคนแบบนี้...ฉันฆ่าเอง”
ทั้งที่พยายามเก็บไว้ให้ลึกที่สุด
ทั้งที่พยายามไม่นึกถึงแล้วแท้ๆ...
------------------------
ขอครึ่งหนึ่งก่อนค่ะ อาทิตย์นี้เหนื่อยมาก จะรีบมาต่อครึ่งหลังไวๆ นะคะ ขอบิ้วอารมณ์ก่อน
ปล.หลายคนเดาถูกเลยว่าคาร์เรย์ไปจับตัวเบรดมา ทำเพื่อเจย์เดนจริงๆ เลยนะพ่อหนุ่มฆาตกรนี่!!
ปลล.ครึ่งหลัง NC ค่ะ //เพราะแบบนี้ล่ะถึงต้องไปบิ้ว กระซิกๆ
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มากค่ะ แม้เราจะไม่มีเวลาตอบ แต่ก็อ่านทุกคอมเม้นท์นะคะ!!