ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558  (อ่าน 98301 ครั้ง)

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
13. นายเป็นใคร?



“นายเป็นใคร  ทำไมถึงมาทำงานกับพ่อ”   พีทถามขณะพวกเขาเดินทางไปยังสถานที่ตั้งของผับดังด้วยออดี้คันเดิมที่พลิ้วผ่านรถคันอื่นด้วยความเร็วสูง

“หืม นึกไงถึงถามล่ะ” คนขับที่ทำหน้านิ่ง ๆ มาตั้งแต่เย็นลดความเร็วลงเล็กน้อย  หันมาถามคนที่นั่งเคียงกันมาในรถ

นายหมีกำลังครุ่นคิดอยู่เหมือนกัน  เรื่องท่าทีที่เปลี่ยนไปของคุณชายของเขา วันก่อนยังดื้อกับเขาทุกเรื่องอยู่เลย  วันนี้กลับทำตามที่เขาบอกทุกเรื่องจนเขาแปลกใจ แล้วเมื่อตอนเย็นอีก  ภาพพีทที่มองมา  สายตาคู่นั้นเหมือนรู้ความจริงบางอย่าง  ความจริงที่เขายังไม่ได้บอก ไม่กล้าบอก จากนั้นพีทก็เฉยไป  ดวงตาเหม่อลอยเหมือนคนกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ภายใน

“ก็ไม่มีอะไร  แค่อยากรู้  นายต้องเก่งมากเลยนะพ่อถึงได้ไว้ใจขนาดนี้” 

พีทยังคงถามต่อ ท่าทางเหมือนคนกำลังมีเรื่องในใจ ใบหน้าเรียวนั้นมองตรงไปยังถนนข้างหน้า ชั่วแวบหนึ่งดวงตาของหนุ่มน้อยหันมามองคนขับ  ใบหน้าด้านข้างที่เขาเห็นนั้นราวรูปปั้น  จมูกโด่งชัดเป็นสันตรงยาวจากหว่างคิ้วเข้มที่พาดเหนือดวงตาชั้นเดียว   ริมฝีปากบางนั้นเม้มเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง  ลังเล?  สับสน? 

“เอ่อ ผมก็มาสมัครงานกับบริษัทพ่อคุณที่อังกฤษไง ท่านคงเห็นประวัติผมแล้วเลยชวนมาทำงานที่นี่” 

“แล้วประวัตินายเป็นยังไงล่ะ  พ่อถึงได้สนใจ”  พีทยังคงถามต่อ

“ผมเรียนจบธุรกิจระหว่างประเทศ  เคยทำงานกับเครือโรงแรมฮิลตันที่นิวยอร์กอยู่พักหนึ่ง  เบื่อก็เลยลาออกมาสมัครกับโรงแรมพ่อคุณ  ก็เรียนรู้งานได้เกือบปี  พ่อคุณเลยให้มาช่วยดูแลคุณ  ผมก็เลยมา”

คำตอบนั้นเป็นการบอกเล่าชีวประวัติคร่าว ๆ ไม่ลงรายละเอียดอะไร 

“แล้วครอบครัวล่ะ  พ่อแม่  พี่น้องเป็นใครอยู่ที่ไหน” 

พีทถามอีก  ไม่รู้เพราะอะไรเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับการรอคอยคำตอบ

“เอ่อ ผม คือ พ่อผมเสียแล้วตั้งแต่ผมเด็ก ๆ เหลือแม่คนเดียว  ตอนนี้แม่อยู่อังกฤษ”  เสียงคนขับตอบมาแผ่วเบาเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ

พีทหันกลับไปมองคนข้างตัวใหม่อีกครั้ง   

‘คล้ายพี่ฮั่นเลย...'

“แล้วไงต่อล่ะ”  เขาถามอีก  ดวงตาจ้องตรงไปที่ใบหน้าด้านข้างของคนที่ขับรถอย่างตั้งใจเกินความจำเป็นเพราะนายหมีไม่หันกลับมามองที่เขาเลย  ดวงตานั้นจ้องตรงไปที่ถนนอย่างแน่วแน่

“หมดแล้ว  ผมตอบได้เท่านี้  เรื่องอื่นผมขอเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัว” 

“ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะ ทีเรื่องชั้นนายยังรู้ทุกเรื่อง  ขนาดพี่โดม เกรซ  นายก็รู้จักพวกเขาแล้วทำไมชั้นจะรู้เรื่องนายบ้างไม่ได้” ไม่ยุติธรรมเลย นายหมีรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา  แต่เขาไม่เคยรู้เรื่องอะไรนายนี่เลยสักอย่าง  ชื่อจริงเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

“ผมต้องรู้เรื่องคุณเพราะมันเป็นงาน  แต่เรื่องของผม เอ่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

“ไม่มีอะไรก็เล่ามาสิ   ทำไมต้องเป็นความลับด้วย....”

“ผมขอโทษ  ถ้าคุณอยากรู้อะไร  คุณถามพ่อคุณเองก็แล้วกัน  แต่ผมตอบได้เท่านี้จริง ๆ”   น้ำเสียงตอบกลับอ่อนโยนราวกับว่าคนตอบก็ลำบากใจที่ให้คำตอบได้เพียงเท่านี้

“เท่านี้เองเหรอ”  พีทย้ำ   

“แค่นี้แหละ  คุณมีอะไรรึเปล่า”  ท้ายคำถามนายหมีหันมาถามพลางมองมา

“ไม่มีอะไรแล้ว” พีทหันหน้ามองออกไปยังวิวภายนอก

เขาเงียบไปเพราะความคิดกำลังหมุนเปลี่ยนไปมา ทั้งสับสนปนเปจากข้อมูลที่ได้รับ  มีบางอย่างที่มีเชื่อมกันอยู่  ถ้านายหมีไม่ใช่คนที่เขาคิดก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไป  แต่ถ้าใช่ล่ะ...เขารู้สึกเจ็บหนึบ ๆ ตรงอกด้านซ้าย 

‘อะไรกันความรู้สึกคล้ายความผิดหวังแบบนี้’ 

นายหมีไม่ยอมบอกอะไรเขาสักอย่าง  ทำไมต้องปิดบัง  เขาอยากจะโกรธที่นายหมีไม่ยอมตอบคำถาม แต่ความสับสนที่เกิดขึ้นมีมากกว่า เขาเหมือนคนกำลังจมอยู่ในธารน้ำวนแห่งความไม่เข้าใจ  จมดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ 

ความคิดเขาต้องหยุดชะงักลงเพราะรถจอดสนิท นายหมีปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออกแล้วรออยู่  พีทเปิดประตูลงไปด้วยหัวใจที่เริ่มเหนื่อยล้า  ไม่เข้าใจเรื่องอะไรสักอย่างเดียว  ใบหน้าเขายามนี้จึงดูไม่สดใสเหมือนเคย  เขาเดินเข้าร้านไป   ไม่สนใจใคร
นายหมีมองตามหลังหนุ่มน้อย ในใจก็เริ่มคิดกังวลถึงเรื่องที่คุยกันในรถเมื่อครู่




ตั้งแต่วันนั้นพีทก็ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาในสิ่งที่เขาสงสัย  เขาพยายามโทรหาพ่อ  แต่พ่อมักจะทำงานยุ่งเสมอเวลาเขาโทรไปจนเขาอ่อนใจ ไม่อยากโทรไปรบกวนพ่ออีก  เมื่อไม่ได้คำตอบจากพ่อ พีทจึงไปที่บ้านใหญ่เพื่อหาหลักฐาน เขาตรงไปที่ห้องนอนของพี่ฮั่นซึ่งอยู่ตรงข้ามห้องนอนเขาในบ้านใหญ่  ห้องที่เขาไม่เคยย่างกรายเข้าไปอีกเลยตั้งแต่เจ้าของห้องทิ้งไป เขาอยากจะเข้าไปดูรูปพี่ฮั่นที่ถ่ายก่อนที่จะไปอังกฤษเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง  และคาดหวังว่าบางทีอาจจะมีรูปพี่ฮั่นตอนที่อยู่อังกฤษเก็บไว้บ้าง

พีทหยุดยืนตรงหน้าห้องอยู่นาน  เกิดอาการลังเล  เขากลัวว่าถ้าไม่ใช่พี่ฮั่นก็คงเป็นแค่คนหน้าคล้าย  แต่ถ้าเป็นพี่ฮั่นจริง ๆ เขาจะทำยังไง?

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจะเปิดเข้าไปดู เขายื่นมือไปจับลูกบิดหมุนแต่กลับเปิดออกไม่ได้ เขาเขย่าลูกบิดอย่างขัดใจเพราะห้องล็อกอยู่

“ลุงฉี ลุงฉีครับ”  พีทเดินตามหาจนพบลุงฉีกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัวชั้นล่างของบ้านใหญ่

“ลุงฉี  เอ่อ  มีกุญแจห้อง  เอ่อ  ห้องตรงข้ามห้องนอนของผมรึเปล่า”  รู้สึกแปลกที่ไม่กล้าเอ่ยชื่อนั้นออกมา

ลุงฉีคิดไปพักหนึ่งจึงตอบเขา

“กุญแจห้องนั้นไม่ได้อยู่ที่ลุงแล้วครับ  น่าจะอยู่ที่คุณโรส” 

แววตาสงสัยของลุงฉีมองมาทำให้พีททำตัวไม่ถูก ลุงฉีจะต้องสงสัยอยู่แล้วเพราะเขาไม่เคยสนใจจะเข้าไปดูอะไรในห้องนั้นตั้งแต่เจ้าของห้องทิ้งไป

“ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรครับ”  พีทขอบคุณลุงฉีแล้วเดินออกมา

‘โธ่  ถ้าอยู่ที่คุณโรสแล้วตอนนี้อยู่ไหนละนี่  คุณโรสก็ไม่อยู่เสียด้วย’   พีทคิดอย่างเสียดาย   เขาเดินกลับไปที่บ้านหลังเล็กริมสระอย่างหมดหวัง


ท่าทีที่แปลกไปของพีททำให้นายหมีต้องจับตามองเงียบ ๆ   ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาพีทเปลี่ยนไป  ไม่ดื้อดึงเหมือนเก่า  กลับเงียบขรึม  ไม่ร่าเริง  บางครั้งบางคราวนายหมีก็จับได้ว่าพีทมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่แปลกไป พีทไม่ได้มองเขาด้วยแววตาไม่ชอบใจหรือต่อต้านเหมือนเดิม แต่กลับมีแววตาเศร้า  บางครั้งพีทก็มองเขาตรง ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยคำถามทำให้เขาต้องคอยหลบตาอยู่เสมอ  เขาคิดว่าเขาดูออกว่าพีทคิดมากเรื่องอะไร  แต่เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้  กลัวเหลือเกินว่าถ้าพีทรู้ความจริงเขาอาจจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้   




“อ้าว พีท มาแล้วเหรอ” เพื่อนร่วมวงหันมาทักทายหนุ่มน้อยนักร้องนำของวงที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพักหลังเวที  แต่พีทเพียงแค่ยิ้มกลับไป 

“เฮ้ยพีท  เมื่อกี้คุณเกรซเขาถามหานายแน่ะ”  เสียงพี่ร็อกกี้ร้องบอก 

มีเสียงล้อเลียน  เป่าปากกันเกรียวกราวหลังคำบอกเล่านั้น  พีทส่ายหน้าอย่างระอา ทุกคนในวงชอบแซวเขากับเกรซว่าแอบคบกันอยู่  พีทอธิบายว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนกันจนอ่อนใจ ดูเหมือนว่าคำพูดเขาเป็นเพียงลมพัดแล้วผ่านไปไม่มีใครเชื่อสักคน  แต่ต่อหน้าเกรซพวกพี่เขาก็ไม่กล้ากันหรอก   พีทมองไปที่วงอย่างเหวี่ยง ๆ

‘คนยิ่งกลุ้มอยู่’

“พี่ร๊อกกี้วันนี้ฝากลิสต์รายชื่อเพลงให้พีทด้วยนะครับ เดี๋ยวขอไปหาเกรซหน่อย”

นั่นไง  ไม่ทันขาดคำคนแก่ทั้งวงก็ส่งเสียงวี้ดวิ้วกันเซ็งแซ่  พีทเกาหัวทำหน้ายุ่งแล้วเดินออกไป เขาตามหาเกรซไม่เจอจึงลองโทรหา  เสียงดนตรีแทรกเข้ามาในโทรศัพท์  เกรซตะโกนมาตามสาย 

“พีท เราอยู่ที่โต๊ะวีไอพีแวะมาหน่อย” เสียงเกรซกลืนหายไปกับเสียงเพลงแดนซ์ที่เปิดกระหน่ำ

พีทวางสายแล้วออกเดินไปยังโต๊ะวีไอพี พบเกรซนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มสาว ๆ  แปลกหน้า  เขาตรงเข้าไปทักทาย  เกรซจึงแนะนำเขาให้เพื่อนของเธอรู้จัก 

“พวกนี้เป็นเพื่อนที่คณะน่ะ เขาอยากมาฟังนายร้องเพลง”

เกรซว่าก่อนหันไปแซวเพื่อนตัวเองที่พากันจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวพีทยิ้มกว้างให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร ทำเอากลุ่มเพื่อนของเกรซอายม้วนกันไปหลายคน  บางคนกรี๊ดเบา ๆ ในลำคอ   เขาทำหน้าเหวอจนเกรซรีบแซว

“นายไม่รู้ตัวรึไงว่าเวลานายยิ้มส่งสายตาแบบนี้มันหวานซะจนทำเอาสาว ๆ แทบละลาย นี่พวกเธออย่าเขินมากเพื่อนชั้นไม่ใช่ดารา”  ท้ายประโยคเกรซหันไปแซวเพื่อนตัวเอง เพื่อน ๆ ส่งค้อนกลับมาให้กันใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะของเธอและชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่ม 

หนุ่มหล่อที่อยู่ท่ามกลางสาวสวยกลุ่มใหญ่ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คน ใครที่นั่งตรงนั้นก็เด่นอยู่แล้วเพราะเป็นที่วีไอพี  แต่นี่มีนักร้องสุดหล่อประจำร้านแวดล้อมไปด้วยสาวสวยแต่งตัวเปรี้ยว ยิ่งทำให้ทั้งกลุ่มตกเป็นเป้าสนใจ

ไม่เว้นใครบางคนที่เฝ้ามองอยู่นานแล้ว



Yeah baby make me crazy girl
Don't move don't move girl Don't move don't move closer girl yeah
อย่าเขยิบมาใกล้ ช่วยขยับไปไกลไกล ขอได้ไหมหัวใจผมวายวอดกันพอดี
My heart beats coz you make it crazy
หยุดเดี๋ยวนี้นะก่อนที่หัวใจผมมันจะวาย



เสียงเพลงสุดท้ายจบลงพร้อมกับท่าเต้นสุดเร้าใจจากนักร้องหนุ่มร่างสูง  เวลายิ้มดวงตาส่องประกายวิบวับดึงดูดสายตา   เรียกเสียงกรี๊ดกระหึ่มราวกับอยู่ในคอนเสิร์ตก็ไม่ปาน  พีทหอบเล็กน้อยเพราะร้องและเต้นติดต่อกันหลายเพลง   เกรซและกลุ่มเพื่อนสาวส่งเสียงกรี๊ดให้นักร้องฮิปฮอปมาดคุณชายกันอย่างสนุกสนาน  หลังวงเล่นแล้วยังมีดีเจเปิดแผ่นต่อ  กลุ่มสาว ๆ จึงออกสเต็ปแดนซ์กันอย่างไม่มีใครยอมใคร  พีทออกมาจากห้องพักหลังเวทีแล้วจึงเข้าไปร่วมวงด้วย 

“เกรซไหวป่าวเนี่ย ดูสิ ทำไมกินเยอะขนาดนี้  เดี๋ยวเธอจะกลับบ้านไหวเหรอ  เราจะกลับแล้วนะ  ให้เราไปส่งไหม”  ก่อนกลับพีทหันไปถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

“หือ พีท เราม่ายเป็นไร  เรายังไหว เดี๋ยวกลับกับแจน” เสียงเกรซอ้อแอ้ดูเหมือนจะเมาแล้วแต่ยังยืนยันว่ายังไหว

“แน่นะ”  พีทย้ำ

“เฮ้ย นาย เรายังไหว”

แม่คุณหนูทำท่ามือ ‘โย่ว’ ใส่พีทให้ดูว่าเธอยังโอเค    เขาจึงหันไปเอ่ยลาเพื่อนของเกรซแต่แทนที่สาว ๆ จะหันมาลาเขา   สายตาทุกคู่กลับมองผ่านเขาทางด้านหลังเหมือนตกตะลึงอะไรบางอย่าง  เสียงกรี๊ดดังขึ้นเมื่อหนุ่มหล่ออีกคนโผล่มายืนเคียงข้างเด็กฮิปมาดคุณชาย

“เราต้องกลับแล้ว  เดี๋ยวนี้เลย!” 

เสียงคุ้นหูกระซิบอยู่ใกล้มาก  มือแข็งแรงสอดเข้ามาจับแขนเขาไว้   

“ฮึ๊ย  อะไรของนาย”  พีทหันไปมองคนที่พรวดพราดเข้ามาตาขุ่น 

‘อะไรเนี่ย  ทำไมนายนี่เสียมารยาทแบบนี้’   

“มีคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนหน้าร้านสักพักแล้ว มาเยอะด้วย เราต้องรีบแล้ว” คราวนี้น้ำเสียงนั้นร้อนรนมากขึ้น  มือที่จับอยู่บีบเล็กน้อยเหมือนเตือนให้รู้ถึงอันตราย

เท่านี้พีทก็เข้าใจ  เขารีบหันไปลาเกรซกับเพื่อน ก่อนที่นายหมีจะลากเขาออกไปทันที  แต่พวกเขากลับเคลื่อนตัวไปได้ไม่เร็วนักเพราะคนในผับหนาแน่นเนื่องจากคืนนี้เป็นคืนวันเสาร์  นายหมีเดินนำไปอยู่ข้างหน้ามือที่จับแขนเขาแน่นกระชับ  พีทอยากจะบอกหลายครั้งว่าเขาเดินเองได้  แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจ  ก่อนออกจากร้านนายหมีแวะเข้าไปคุยอะไรบางอย่างกับแคน  ลากเขาไปด้วย 

“แคนฝากดูแล....ด้วย  แล้วก็ระวังตัวด้วย” นายหมีพยักพเยิดไปทางโต๊ะวีไอพี  คุยสองสามประโยคแล้วก็ลากเขาออกมานอกร้าน  เขาแทบจะถูกยัดเข้าไปในรถ  นายหมีรีบขับออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว

“นายแน่ใจเหรอว่าเป็นพวกมัน  อาจจะเป็นแขกในร้านก็ได้”  พีทหันไปถาม

ไม่ทันขาดคำ เสียงรถแต่งท่อก็ดังกระหึ่มอยู่ข้างหลัง  เขาใจหายวาบรีบหันไปมองทันที 

‘เฮ้ย!  คราวนี้มากันเป็นฝูง  เต็มถนนไปหมด’
  เขาอ้าปากค้าง 

“พีท! นั่งดี ๆ แล้วคาดเข็มขัดด้วย” 

น้ำเสียงเฉียบขาดทำให้พีทต้องเชื่อฟังทันที  เหมือนเตือนว่า 

คราวนี้ของจริง!!!



-----------------------------------------
ลงมาหลายตอนแล้วไม่รู้มีใครอ่านอยู่รึเปล่า  ตอนแรกก็ไม่มั่นใจว่าในเล้าเป็ดจะชอบอ่านแนวนี้กันไหม  เพราะออกแนวคุณชาย  ดูเว่อร์ ๆ   คงไม่ใช่แนวของหนุ่ม ๆ น่าจะเหมาะกับสาววายมากกว่า  ตอนแรกกะจะขึ้นหัวกระทู้ว่าเหมาะสำหรับสาววายด้วยซ้ำ  แต่เรื่องนี้มีบทบู๊นะคะ  ตอนหน้านี่แหละ

ชอบไม่ชอบยังไงติชมได้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ


 :mew1:


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
อ่านคะ อ่าน สนุกดี อยากรู้

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
สนุกค่ะ รออ่านอยู่นะ

ยัยหมูตัวกลม

  • บุคคลทั่วไป
ชอบๆๆๆ  รออ่านอยู่น้า :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
14. ถูกตามล่า


“เอี๊ยด เอี๊ยด บรื๊นนน” 

เสียงเครื่องยนต์ผ่านท่อไอเสียที่แต่งให้ดังกว่าปกติกว่าสิบคันเร่งความเร็วเพื่อจะตามออดี้ R8 ที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง  ขณะนี้ตีหนึ่งกว่าแล้ว ไม่มีรถคันอื่นบนถนนเลยจึงเป็นโอกาสให้กลุ่มรถที่ตามมากระจายตัวเต็มถนนไปหมด รถที่แต่งเครื่องอย่างดีของพวกมันพยายามเร่งความเร็วขึ้นมาประกบออดี้ที่วิ่งอยู่ด้านหน้า

ทันใดนั้นออดี้คันงาม จำต้องหักหลบเมื่อเจอรถบรรทุกเลี้ยวตัดหน้าไปในระยะกระชั้นชิด  เสียงห้ามล้อดังไปทั้งถนนทำให้ซูเปอร์คาร์เสียจังหวะ เปิดโอกาสให้รถพวกมันขับตีคู่ขึ้นมาทางซ้ายด้านที่พีทนั่งอยู่ พวกมันหักขวาเข้ามากะทันหันกะจะชน  ออดี้เร่งเครื่องเสียงกระหึ่มหนีได้อย่างฉิวเฉียด  ส่งผลให้รถคันนั้นไถลไปชนกับแนวคอนกรีตที่กั้นข้างถนนอีกด้านหนึ่งแทน   เกิดเสียงดังโครมครามตามมาทันที 

พีทหันไปมองเห็นรถอีกสองสามคันที่ตามมาชนเข้ากับรถคันแรกเสียงดังสนั่น   เขาลอบกลืนน้ำลาย

‘นี่มันยังกะในหนังเลย’ 

แต่เขาต้องตาโตอีกครั้งเมื่อพวกมันที่เหลือกำลังไล่ตามมา   ภาพรถอีกหลายคันที่ใกล้เข้ามาทุกขณะทำให้เขาหันไปเร่งนายหมี

“เร็วเข้า  มันมาทางซ้ายแล้ว”  พีทร้องบอก 
 
ซูเปอร์คาร์หักซ้ายทันทีเพื่อกันไม่ให้พวกมันขึ้นมาประกบได้ เสียงล้อบดกับถนนดังแสบแก้วหูเมื่อรถคันหน้าพยายามกันไม่ให้รถคันหลังแซง โดยการขับส่ายซ้ายขวาไปมา ในขณะที่รถอีกสองคันที่ตามมาพยายามแย่งชิงโอกาสเพื่อขับขึ้นแซง รถสามคันขับบี้กันมาด้วยความเร็วสูงบนถนนใหญ่  มีอีกหลายคันตามหลัง  ป้ายเรืองแสงขนาดใหญ่ข้างถนนผ่านสายตาพีทไปอย่างรวดเร็ว เขาแทบตะโกน

“ข้างหน้าเป็นสามแยก  เลี้ยวซ้ายเข้าโซน A  ขวาไปสนามบิน!!!” 

เหลือระยะทางอีกไม่ถึงร้อยเมตรออดี้ยังไม่ลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว  พีทหันไปมองนายหมีที่ยังเหยียบคันเร่งด้วยความหวั่นใจ   
 
“เบรก  เบรก!!!”   เขาตะโกน   

รถที่ขับขนาบซ้ายขวาสองคันผลุบหายไปจากสายตาเพราะต้องลดความเร็วเมื่อถึงทางแยกข้างหน้า   แต่ออดี้ยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง  ฉับพลันนั้นนายหมีเหยียบเบรกแล้วหักพวงมาลัยอย่างแรง  ออดี้หมุนดริฟท์เข้าโค้ง  ล้อหลังหมุนไถลกับพื้นถนนด้วยองศาที่กว้างกว่าล้อหน้า เสียงล้อไถลไปบนพื้นถนนดังบาดแก้วหู  เกิดควันสีขาวท้ายรถจากการเหยียบคันเร่งพร้อมกับการเหยียบเบรคเพื่อเข้าโค้งโดยที่ความเร็วลดลงเพียงเล็กน้อย 
 
นายหมีตัดสินใจเลี้ยวซ้ายไปทางโซน A ซึ่งเป็นย่านตึกแถวเสื่อมโทรม  เพราะทางไปสนามบินตั้งรั้วกั้นติดป้าย ‘ถนนชำรุด’

พีทคลายมือที่กำสายเข็มขัดนิรภัยจนเหงื่อซึมเมื่อรถผ่านโค้งนั้นมาแล้ว  หัวใจสูบฉีดแรงเพราะความตื่นเต้น  เขาหันไปมองข้างหลัง  พวกมันยังตามมาไม่ห่างและกำลังเร่งความเร็วตามมา

“จะทำไงต่อ  มันไม่ยอมปล่อยเราแน่”

“ล้วงไปใต้เบาะสิ”  นายหมีสั่ง

พีทสอดมือไปใต้เบาะ  ควานหาเพียงครู่ก็พบวัตถุแข็ง ๆ  เขาเบิกตากว้างเมื่อดึงปืนซิก  ซาวเออร์  (SIG-Sauer P226R)  ขนาด 9  มม. ขึ้นมา

“ใช้เป็นรึเปล่า”  นายหมีละสายตาจากถนนหันมาถาม  แววตาซีเรียส

“เป็น  แต่ไม่ชอบยิง”  เขาเคยเรียนยิงปืนมาบ้างไม่จริงจังนัก 

“ปลดเซฟซะ เตรียมตัวไว้” นายหมีสั่งเขาเร็ว ๆ  ตัวเองก็ดึงเบเร็ตต้า (Beretta 92FS Inox)  ขนาด 9 มม.  ออกมาถือเหมือนกัน

“ปัง ๆๆ” 

“เฮ้ย!!” 

พีทตกใจแทบเสียสติเมื่อได้ยินเสียงปืนดัง  พวกมันเปลี่ยนจากการขับรถตามประกบมายิงขู่แทน  เพราะออดี้เริ่มทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อย ๆ

“ไม่ต้องห่วงคันนี้กันกระสุน” ร่างสูงใหญ่บอกพลางเลื่อนกระจกด้านคนขับลง   เขาใช้มือซ้ายประคองพวงมาลัยไว้ขณะที่ยื่นมือขวาหันออกไปด้านหลังยิงโต้กลับบ้าง

“ปัง ๆๆ” 

เพียงลั่นไกสองสามครั้งรถที่ตามมาก็ถูกกระสุน  ทำให้เครื่องยนต์ระเบิดพลิกคว่ำทันที  เสียงเครื่องยนต์ระเบิดดังกึกก้องบนถนนสายเปลี่ยวนั้น

แต่ไม่สามารถหยุดพวกมันได้!  รถหลายคันที่ตามมาขับหลบรถคันหน้าที่พลิกคว่ำกลับเร่งความเร็วตามมาแล้วยิงสวนกลับมาหลายนัด

นายหมีหันกลับมาเร่งเครื่องหนีทันที  เมื่อรถคันหลังเริ่มกระหน่ำยิงใส่พวกเขาบ้าง   เสียงปืนดังข้างหลังอีกหลายนัด นายหมีขับรถฉวัดไปทางซ้ายบ้าง ทางขวาบ้าง เพื่อหลบกระสุนทำให้ความเร็วของรถลดลง  เสียงลูกปืนยังกระทบตัวรถเป็นระยะ

รถวิ่งไปได้เพียงครู่เดียวก็เกิดเสียงดังผิดปกติที่ท้ายรถ   พร้อมกันนั้นออดี้ก็เอียงวูบไปด้านหนึ่ง 

“รถเป็นอะไร”  พีทหันหน้าไปถามคนขับ  รู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ ทันที

“ยางแบน  คงถูกยิง”  เสียงนั้นแสดงความกังวลเป็นครั้งแรก   

ล้อที่ยางแบนบดกับถนนทำให้รถสั่น  ต้องลดความเร็วลงเพราะรถเริ่มส่ายไปมา  พีทหันไปมองคนข้างกาย  แววตาตื่น  เริ่มเกิดความกลัวขึ้นมา

นายหมีจึงตัดสินใจเลี้ยวไปยังหมู่บ้านจัดสรรที่สร้างเสร็จไปได้เพียงครึ่งโครงการแล้วต้องปล่อยร้างเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ  ทางเข้าหมู่บ้านมืดสนิท  นายหมีปิดไฟหน้าลงเพื่อไม่ให้รถที่ตามมาสังเกตเห็นได้ง่าย   

ในที่สุดพวกเขาต้องจอดรถ  พีทละล้าละลังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป  เสียงนายหมีสั่งต่อไปว่า

“ลงจากรถเร็วเข้า  เราต้องหาที่ซ่อน  ถ่วงเวลาไว้ก่อน” 

ร่างสูงใหญ่ในเสื้อแจ็กเก็ตสีดำก้าวลงจากรถ  เขาอ้อมมาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารแล้วคว้าตัวพีทออกมาอย่างรวดเร็ว  ลากเขาวิ่งเข้าไปในซอยลัดข้าง ๆ ทันที   พอดีกับที่พวกมันตามมาถึง  พวกเขาได้ยินเสียงรถแต่งอีกหลายคันตามเข้ามาในซอย  นายหมีเร่งฝีเท้าขึ้นอีกพาเขาลัดเลาะไปตามบ้านร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จท่ามกลางความมืดสนิท   

ตอนนี้พวกมันคงเห็นออดี้จอดทิ้งไว้แล้ว  พีทประเมินสถานการณ์ในใจ  พลันก็ถูกดึงเข้าไปหลบที่บ้านหลังหนึ่ง  นายหมีดันเขาเข้าไปจนลึกสุดของบ้าน  ส่วนตัวเองกลับขยับไปริมผนังเพื่อฟังความเคลื่อนไหว 

พวกเขายืนอยู่เงียบ ๆ มีเพียงเสียงลมหายใจหอบเบา  ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้พีทรู้สึกหวั่นใจ  กลัวไปต่าง ๆ นานา  กลัวว่าพวกมันจะโผล่มาจากมุมใดมุมหนึ่ง  หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ  เขาเอามือกดหน้าอกไว้ 

‘อย่าเต้นแรงนักสิ  เดี๋ยวพวกมันได้ยิน’

“ปัง ๆๆ” 

เสียงปืนดังรัวท่ามกลางความเงียบสงัดทำให้พีทสะดุ้งสุดตัว  เขาหันไปสบตากับนายหมีทันที   คนตรงหน้ายกนิ้วจรดริมฝีปากเป็นเชิงให้เงียบ 

รอ....

‘พวกมันคงยิงออดี้จนพรุนแล้วมั้ง ถ้าเขายังอยู่ในรถก็คงเป็นเขานี่แหละที่จะพรุน’ 

พีทใจเต้นรัวแทบทะลุออกมานอกอก  เขายอมรับว่าเขากลัว   ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้  คิดพลางกำมือที่ถือปืนแน่นขึ้น  เขาคงต้องพึ่งเจ้านี่ซะแล้ว 
 
นายหมีขยับถอยเข้ามาจนถึงที่ที่เขายืนอยู่  ทำท่าทางเหมือนบอกให้เขาขยับเข้าไปอีก ได้ยินเสียงพวกมันตะโกนโหวกเหวกอยู่ไม่ไกลนัก  จับใจความได้ว่าพวกมันแยกกันค้นหา

“ไม่มีที่ไปแล้ว”  พีทถอยเข้าไปจนไหล่ชนกำแพงอีกด้าน  เสียงเขาสั่น   

ร่างสูงใหญ่ที่ยืนแนบติดกับเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอย่างรวดเร็ว โทรเร่งคนปลายสายให้รีบตามมา  เขาบอกตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้ให้ปลายสายเข้าใจจากนั้นจึงหันมามองเขา   นายหมียกมือตบไหล่เขาแล้วบีบเป็นเชิงปลอบ

“ไม่ต้องกลัวนะ นายต้องปลอดภัย”

ดวงตาคู่นั้นสบตาเขาเพื่อยืนยันคำพูดแล้วหันกลับไปมองด้านนอก เพราะอะไรไม่รู้ คำพูดนั้นสร้างความอุ่นใจให้กับคนที่กำลังหวาดกลัวอย่างมาก จิตใจที่ถูกเกาะกุมด้วยความกลัวกลับผ่อนคลายลงอย่างประหลาด หัวใจเขากลับมาเต้นด้วยจังหวะปกติอีกครั้ง   

อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว




พวกมันคงเดินตามหากันไปทั่วหมู่บ้านร้าง ประเมินจากเสียงอึกทึกครึกโครมจากการพังประตู   ทุบหน้าต่างกระจก  ราวสิบนาทีผ่านไปเสียงอึกทึกเหล่านั้นค่อยเบาลง   

“แกร็ง”  เสียงเหมือนใครสะดุดเศษเหล็กดังแว่วเข้ามา

นายหมีแทบกระโดดออกไปริมผนัง พีทขยับตัวเพื่อเตรียมพร้อม มือกำปืนกระบอกนั้นแน่นขึ้น  เกิดความเงียบแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นภายใต้ความมืดพีทเห็นเงาลาง ๆ ของปลายกระบอกปืนโผล่เข้ามา   ฉับพลันนั้นนายหมีคว้าข้อมือคนแปลกหน้าบิดแล้วดึงเข้าหาตัว  กระแทกเข่าใส่ท้องพวกมัน  มีเสียงร้องโอ๊ยอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้วก็เงียบไปเพราะถูกสันมือใหญ่สับลงที่ท้ายทอยอย่างเหมาะเหม็ง  ร่างในชุดดำล้มลง

“เก็บปืนมันไว้  เร็ว!”   นายหมีสั่งเขา  ส่วนตัวเองก็ก้มลงจัดการมัดมือร่างในชุดดำไพล่หลังด้วยเข็มขัดของมันเอง 

“เฮ้ย  หยุด!”  พวกมันอีกคนโผล่เข้ามาพร้อมใช้ปืนจ่อไหล่พีทที่ยืนหันหลังให้   

พีทใจหายวาบ 

ร่างสูงใหญ่ของนายหมีขยับออกจากร่างที่เขาเพิ่งมัดมือเสร็จอย่างเชื่องช้า เขายกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้

“มึง ถอยไป” ชายชุดดำที่มาใหม่ออกคำสั่งให้นายหมีถอยไป  นายหมีกลับหันไปสบตาพีทที่มองอยู่ก่อนด้วยดวงตาหวั่น  แล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ 

“ดวิชากิ*”

“มึงพูดอะไร  กูบอกให้มึงถอยไปไง  อยากให้ไอ้นี่ตายเหรอ!”  เสียงนั้นตะคอกซ้ำ 

ช่วงเวลาที่มันหันไปตะคอกนายหมี พีทจึงได้จังหวะหมุนตัวกลับ ตวัดส้นเท้าเตะไปยังปลายคางร่างชุดดำนั้นทันที

“โครม”

ร่างสันทัดในชุดดำล้มลงกระแทกเศษวัสดุก่อสร้างบนพื้น เสียงดังโครมคราม  เขาตรงเข้าไปเตะปืนกระเด็นออกจากมือ  นายหมีตามมาเตะลำตัวซ้ำอีกหลายครั้ง  ร่างนั้นส่งเสียงอึกอักอยู่ครู่จึงแน่นิ่งไป

“ไปเร็ว!” นายหมีหันมาลากแขนเขาวิ่งออกจากบ้านหลังนั้น  ทั้งคู่ลัดเลาะไปตามบ้านร้างติด ๆ กัน   

“ปัง ๆๆ”

เสียงปืนดังขึ้นใกล้มาก  กระตุ้นให้พวกเขาวิ่งต่อไปไม่ยอมหยุด  เสียงปืนดังรัวขึ้นอีกหลายนัดจับทิศทางไม่ได้ 

พีทก้มตัวหลบพร้อมกับถูกฉุดให้นอนคว่ำลำตัวราบกับพื้น  ศีรษะเขาถูกกดไว้ด้วยมือหนา  นายหมีใช้ลำตัวบังเขาไว้  เสียงเท้ากระทบพื้นหลายคู่ดังสะท้อนบนพื้นดิน  เสียงโหวกเหวกของพวกมันสั่งให้แยกกันตามหา 

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ  เขารู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเต้นของคนที่เอาตัวบังเขาอยู่ด้านบน   

“ทางนี้” นายหมีลุกขึ้นลากเขาวิ่งสั้น ๆ ไปหลบที่ซากกำแพงบ้านที่อยู่ทางซ้ายมือ 

พีททิ้งตัวพิงกำแพงอย่างเหนื่อยหอบ รู้สึกเสียดหน้าอกอย่างแรง  เขาไม่ได้วิ่งเต็มกำลังขนาดนี้มานาน  ร่างสูงใหญ่ก้าวไปยืนหลบริมกำแพงหันหน้าออกไปด้านนอก  มือข้างหนึ่งกำปืนกระชับในมือเตรียมพร้อม   มืออีกข้างกดรับโทรศัพท์ที่สั่นอยู่นานแล้ว

“โอเคเข้ามาท้ายหมู่บ้าน เจอกันที่ถนนเมน” 

นายหมีวางสายพอดีกับเสียงเท้าของคนสองสามคนวิ่งตามมา พวกมันเห็นแสงสว่างจากโทรศัพท์จึงกระหน่ำยิงมาทางที่พวกเขาหลบอยู่ กระสุนปืนโดนกำแพงที่พวกเขาหลบอยู่จนก้อนอิฐแตกกระจาย  พีทยกมือขึ้นปิดศีรษะตนเองเมื่อเศษหินตกลงมาใส่พวกเขา

“ก้มไว้”  นายหมีหันมาคว้าไหล่เขาไว้  มือใหญ่กดศีรษะเขาแนบอกเพื่อกันเศษอิฐที่ตกลงมาประปรายจากกระสุนปืนที่ระดมยิงมาทางพวกเขา จากนั้นจึงยิงสวนออกไปบ้าง  เสียงปืนที่โต้กลับทำให้พวกมันหยุดชะงักเพียงครู่แล้วสาดกระสุนกลับมาอีกชุดใหญ่  นายหมีหันกลับมาเปลี่ยนแมกกาซีนชุดใหม่แล้วยิงกลับไปอีกหลายนัด   

“โอ๊ย”  เสียงพวกมันร้องแทรกเสียงปืนที่ยังคงยิงสู้กัน  พวกมันชะงักไปชั่วครู่  เป็นโอกาสให้พวกเขาหนี

“ไป!!” 

เมื่อนายหมีหันมาสั่ง พีทออกวิ่ง นายหมีหันกลับไปยิงซ้ำอีกครั้งแล้วออกวิ่งตามมา

ร่างสูงสองร่างวิ่งทะลุออกจากซากบ้านร้าง เสียงพวกมันตะโกนบอกพรรคพวกให้วิ่งตามทำให้พวกเขาเร่งฝีเท้า ข้างหน้าเป็นพื้นที่กว้างคล้ายกับสวนสาธารณะ  นายหมีลากเขาเลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ซอยหนึ่ง  เสียงพวกมันตะโกนโหวกเหวกสั่งกันเองให้ตามพวกเขาให้ทัน   เสียงปืนยิงไล่หลังมาอีกหลายนัด

สุดทางแล้วมีทางแยกขวาออกสู่ถนนกว้าง  พวกเขาวิ่งออกไปเต็มกำลัง 

ฉับพลันก็พบกับแสงไฟหน้ารถสาดตรงมา




*หมายเหตุ: ในกีฬาเทควันโด ดวิชากิ (Dwi Chaki) คือท่าหมุนตัวเตะกลับหลังโดยใช้ส้นเท้า (Back kick)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2014 00:49:26 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
15. ทำความเข้าใจ (1)



รถหลายคันจอดกึกลงทันควัน  พีทถูกแสงไฟสาดเข้าตาจนตาพร่า  เสียงการเคลื่อนไหวหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน  คนจำนวนหนึ่งลงจากรถวิ่งสวนเขาเข้าไปยังซอยที่พวกเขาวิ่งออกมา  นายหมีลากแขนเขาไปยังรถคันใหญ่คันหนึ่ง ดันเขาให้ขึ้นไปบนรถแล้วสั่ง
 
“คุณปลอดภัยแล้ว อยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมมา”

จากนั้นจึงหันไปสั่งบอดี้การ์ดในชุดแจ็กเกตดำสองสามคนให้คอยเฝ้าเขา ขณะเดียวกันก็เรียกหาแมกกาซีนชุดใหม่มาเปลี่ยน

“แล้วนายจะไปไหน”   จู่ ๆ พีทก็เกิดกลัวที่นายหมีจะทิ้งเขาไว้ที่นี่

“เอาคืน”

น้ำเสียงเหี้ยมนั้นทำให้พีทถึงกับอึ้งไป  แสงไฟจากหน้ารถที่ส่องมาทำให้เห็นแววตาเอาจริงประกอบคำพูดนั้นทำให้เขาแอบกลืนน้ำลาย

นายหมีเดินลับไปแล้ว  ทิ้งการ์ดสองคนให้ยืนเฝ้าที่ประตูรถทั้งสองด้าน  อีกคนนั่งประจำที่คนขับ  พีทหลับตาพิงศีรษะกับเบาะนุ่ม  เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก  ผ่อนลมหายใจลงช้า ๆ มีเสียงปืนแว่วมาอีกหลายนัด หนุ่มน้อยไม่สนใจความเคลื่อนไหวภายนอกอีก  ปล่อยให้ใครจัดการกันไปตามหน้าที่

เวลาผ่านไปไม่นาน เสียงเปิดประตูอีกด้านทำให้เขาลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว  บอดี้การ์ดของเขากลับมาขึ้นรถ  ร่างสูงใหญ่ถอดแจ็กเกตสีดำออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแนบติดกับลำตัวเห็นกล้ามเนื้อชัดเจน  เหงื่อไหลเป็นทางจากใบหน้าลงไปตามลำคอหายเข้าไปในเสื้อ  พีทไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง  เขาเหนื่อยจนไม่อยากจะพูดอะไร ถ้านายหมีกลับมาแล้วทุกอย่างก็คงเรียบร้อย 

ไม่นานขบวนรถจึงเคลื่อนออกจากหมู่บ้านร้างเพื่อกลับเข้าสู่เขตเมือง

“รถนายล่ะ” 

“ไว้ให้คนมาเอาไป ไม่เสียหายอะไรมาก  แค่รอยบุ๋มทั่วคัน  เคาะสักหน่อยก็โอเค” ร่างกำยำในเสื้อกล้ามสีขาวตอบเรื่อย ๆ

พีทหลับตาลงอีกเพราะทั้งเหนื่อยและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงนายหมีพูดคุยกับคนข้างหน้าไม่ดังนัก สลับกับโทรศัพท์สั่งงานอะไรบางอย่างที่พีทจับใจความไม่ได้ 

เขาครึ่งหลับครึ่งตื่นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่มือที่ปล่อยทิ้งข้างตัว  พีทลืมตาขึ้นมาครึ่งหนึ่ง  มองเห็นคนข้างกายเอื้อมมือมาแกะมือเขาที่ยังคงกำปืนซาวเออร์ไว้ในมือแน่น  สัมผัสจากนิ้วอุ่นทำให้เขาปล่อยให้นายหมีคลายนิ้วเขาที่จับปืนจนเกร็ง  ในรถมืดพอสมควร  พีทหันมองศีรษะที่ก้มอยู่  ผมปรกใบหน้า  เขามองไล่ไปตามคิ้วเข้ม  เปลือกตาที่หลุบมองต่ำ  สันจมูกโด่งยาว  ริมฝีปากบาง  สันคางที่เป็นเหลี่ยมนิด ๆ  ลำคอ  จนกระทั่งไหล่กว้าง  สิ่งที่เขาคิดหลายวันกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง   

‘พี่ฮั่นใช่ไหม?’  เขาอยากจะเอ่ยถามเหลือเกิน
 
นายหมีหยิบปืนไปเก็บไว้ที่ช่องเก็บของข้างประตู 

“เป็นไงบ้าง  หายตกใจรึยัง” 

เสียงอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ  มือใหญ่นั้นบีบนวดนิ้วที่เกร็งของเขาไปด้วย  ใบหน้าในความมืดนั้นเงยขึ้นมามองเขา  พีทเพียงแต่พยักหน้า รู้สึกร้อนวูบวาบไปตามนิ้วมือที่ถูกบีบนวด  เขาค่อย ๆ ดึงมือออก หันหน้าไปอีกทางเพราะความคิดฟุ้งซ่านที่แวบเข้ามาทำให้เขาไม่กล้าสบตาคนที่นั่งอยู่ข้างเขา  นายหมีไม่ว่าอะไรอีก   ทั้งสองคนนั่งเงียบไปจนกระทั่งรถเคลื่อนเข้าสู่บ้าน
ใหญ่และหยุดลงที่ทางเดินเข้าสู่บ้านริมน้ำ   
 
พีทพาร่างอันอ่อนเพลียลงจากรถ  เวลานี้เกือบตีสี่แล้ว อากาศเย็นรอบกายทำให้เขารู้สึกหนาวขึ้นมา  นายหมีสั่งงานการ์ดสองสามคำแล้วรีบเดินตามมาสอดมือใหญ่กำแขนเขาไว้   พีทชะงักแต่ไม่ทันทำอะไร   คนตัวใหญ่ก็ดึงเขาเดินไป

‘เอาไว้คราวหน้าค่อยสะสางทีเดียว ตอนนี้ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน’   เขาคิดอย่างเหนื่อยล้า 

นายหมีลากเขาขึ้นไปจนถึงหน้าห้องนอน เปิดประตูแล้วเอ่ยเสียงอ่อน 

“นายโอเคนะ”

“อาบน้ำอุ่น ๆ แล้วค่อยนอน” 

คนอ่อนวัยกว่าพยักหน้าอย่างขอไปทีแล้วเข้าห้องนอนตนเอง 

หลังอาบน้ำอุ่นจัด  หนุ่มน้อยล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที  ไม่รับรู้ว่ามีใครเปิดประตูเข้ามา  ร่างสูงใหญ่ที่ยังอยู่ในชุดเดิมก้าวเข้ามาในห้อง ในมือมีแก้วนมที่อุ่นกำลังดี  เขาชะงักที่เห็นพีทหลับไปแล้วจึงวางแก้วนมไว้ที่โต๊ะทำงาน  เดินอย่างแผ่วเบากลับไปที่เตียง   มือใหญ่คลี่ผ้าห่มคลุมให้อย่างนุ่มนวล  เขาก้มลง

“ฝันดีนะ  น้องพีท”




“โฮ่ง ๆ”  เสียงเห่าของเจ้าแรมโบ้ปลุกหนุ่มน้อยให้ตื่นในที่สุด

พีทลืมตามองไปทั่วห้องนอนตัวเอง  เมื่อรู้สึกตื่นเต็มที่  เรื่องราวที่เขาเพิ่งผจญมาเมื่อคืนก็ไหลกลับเข้ามาในความทรงจำ

พ่อจะว่ายังไงนะ  ถ้ารู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับเขาบ้าง  เขาเริ่มรู้แล้วว่าสถานการณ์มันเลวร้ายขนาดไหน ทำไมพ่อถึงไม่อยากให้เขาไปร้องเพลงที่ร้านของเกรซอีก  ก็เพราะที่นั่นเป็นแหล่งเสื่อมโทรมที่ห่างไกลจากการสอดส่องของเจ้าหน้าที่  ใครจะทำอะไรก็ได้  แม้แต่ไล่ฆ่ากันกลางถนนเหมือนที่เขาโดนมาแล้ว   

และ....เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงส่งนายนั่นมา 

นายหมีเก่งอย่างที่พ่อบอก  มีฝีมือการต่อสู้ขั้นสูง  คล่องแคล่ว  ตัดสินใจรวดเร็วเฉียบขาดไม่แพ้บอดี้การ์ดมืออาชีพแต่บุคลิกท่าทางดีเกินกว่าจะเป็นแค่บอดี้การ์ด  เรื่องนี้คนใกล้ตัวเขาต่างก็สังเกตเห็น  ทั้งฉลาด  เจ้าเล่ห์ 

ที่สำคัญคือ พ่อไว้วางใจมากถึงขนาดปล่อยให้เขาอยู่ภายใต้การดูแลของนายนั่น  ปกติคนที่พ่อไว้ใจต้องเป็นคนที่ทำงานด้วยกันมานาน  รู้จิตรู้ใจกันเป็นอย่างดี  หรือไม่ก็ต้องเป็นคนในครอบครัว 

คำว่า ‘คนในครอบครัว’ ทำให้เขาสะดุด    เศษความคิดที่กระจัดกระจายในสมองเหมือนกลับมาเข้าที่เข้าทางเสียที 
 
‘จริงสินะ  ถ้าพ่อจะไว้ใจใคร มีอีกแค่คนเดียวที่เหลืออยู่  โอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว’    พีทถอนหายใจ   เขาค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง

‘ต้องเป็นพี่ฮั่นแน่ ๆ’ 

พีทคิดไปถึงเหตุการณ์คับขันทั้งหลายที่เขาเผชิญหลายครั้งหลายครา  นายหมีจะเรียกเขาด้วยชื่อเล่นเหมือนคนที่เผลอเรียกด้วยความเคยชิน แล้วก็ชอบแทนตัวเองว่า ‘พี่’ คราวก่อนตอนที่เขาไม่สบายนายหมีก็แทนตัวเองว่าพี่  แล้วพ่อก็เรียกนายนั่นเหมือนว่าเป็นพี่ของเขา   แต่ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาสงสัยแล้วทำไมต้องแกล้งเป็นคนอื่น?

หลายวันก่อน เขาตกใจเมื่อคิดว่านายหมีที่มาคอยดูแลความปลอดภัยอาจจะเป็นพี่ฮั่น  ความรู้สึกต่อมาคือโกรธที่ถูกหลอกและไม่เข้าใจ เขาเฝ้าครุ่นคิดถึงเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำทุกคนรวมหัวกันหลอกเขา  ทั้งโกรธทั้งเสียใจ แต่ความโกรธเบาบางลงเพราะเหตุการณ์เมื่อคืน  เขาต้องเผชิญกับอันตรายขนาดนั้น   พ่อคงไม่ไว้ใจใครอีกแล้วนอกจากพี่ฮั่น   แล้วสิ่งที่นายนั่นทำก็เพื่อปกป้องเขา

ถ้าพ่อบอกตั้งแต่แรกว่าเป็นพี่ฮั่น  เขาจะรู้สึกยังไงนะ โกรธ?  เกลียด? หรือดีใจ?  คราวนี้เขากลับไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองว่าเขาคิดอย่างไร  เขาอยากจะถามเหลือเกินว่าทำไมไม่กลับมา  เขารอให้พี่ฮั่นกลับมาตั้งหลายปีแล้วจะได้เลิกโกรธสักที  แต่พี่ฮั่นก็ไม่กลับ  พอกลับมาก็ปิดบังตัวเองไว้  เมื่อเขาถามก็ไม่ตอบความจริง

ทำไม?  ทำไม?  ทำไม?

แล้วจะทำยังไงถ้าสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องจริง หรือถ้าเขาคิดฟุ้งซ่านไปเองเขาจะทำยังไงต่อไป

‘เฮ้อ’ 

ไม่เข้าใจเหตุผลอะไรเลยสักอย่าง  ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจตัวเองเลย  สับสนกับความรู้สึกของตนและไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองสรุป 

พีทหันไปมองเจ้าแรมโบ้ที่นั่งเอาหัวพาดไว้ที่เตียง ดวงตาสีน้ำตาลของมันมองหน้าเขาอยู่นานแล้ว  เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปลูบหัวสุนัขอย่างรักใคร่

‘แกเข้าใจชั้นไหม แรมโบ้’

พีทลูบหัวแรมโบ้พลางปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปนาน 

เอาล่ะ เรื่องที่เขาสงสัยเขาจะพับเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน  ใครอยากเป็นอะไรก็ปล่อยให้เขาเป็น  อยากเป็นบอดี้การ์ดหรือลูกจ้างของพ่อก็ตามใจ  วันหนึ่งเขาคงได้รู้  นั่นสินะ เขาจะคิดมากไปทำไมในเมื่อนายหมีบอกเขาว่าเป็นบอดี้การ์ด  เขาก็จะเชื่อตามนั้นก็แล้วกัน   ดูสิว่าจะเป็นคนอื่นไปได้นานแค่ไหน อีกอย่างเขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าถ้าเป็นพี่ฮั่นจริง ๆ  เขาจะทำยังไง 
 
ตอนนี้นายนั่นชื่อ ‘ฮัท’ เป็นผู้ดูแลที่พ่อส่งมาเพื่อดูแลความปลอดภัยให้เขาและสอนงานธุรกิจของพ่อ  เขามีหน้าที่ต้องเชื่อฟังหมอนั่น  พีทตัดสินใจได้ในที่สุด 

เมื่อคิดได้แล้วหนุ่มน้อยจึงคลายความกังวลที่สะสมมานาน รู้สึกผ่อนคลายจิตใจที่หนักอึ้งมาหลายวัน   เขายิ้มอย่างพอใจ

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น   พีทมองหน้าจอแล้วกดรับ

“ไง  แม่สาวฮิปขี้เมา  โทรมาแต่เช้าเชียวนะ”  พีทส่งเสียงสดใสไปตามสาย

“เช้าที่ไหนพีท  นี่มันเที่ยงแล้ว”  น้ำเสียงไม่สู้ดีนักของเกรซตอบกลับมา

พีทหันไปมองนาฬิกาที่ผนังแล้วทำตาโต เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะนอนตื่นสายขนาดนี้ 

“แล้วเธอมีอะไรรึเปล่า ทำไมเสียงเป็นแบบนี้ล่ะ” เขาละสายตาจากนาฬิกา  กลับไปถาม

“ฮื่อ  นิดหน่อยน่ะพีท  เรามีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ  เราไม่รู้จะคุยกับใคร”  เสียงอู้อี้ตอบมา

พวกเขาคุยต่ออีกเล็กน้อย  พีทจึงนัดเจอเกรซที่ร้านเค้กชื่อดังที่โรงแรมของพ่อเขาเอง   หลังวางสายเขาจึงรีบเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง 




เสียงเดินลงบันไดของหนุ่มน้อยทำให้คนที่กำลังคุยโทรศัพท์เสียงเครียดชะงัก  รีบวางสายจากคู่สนทนาทันที  นายหมีลุกจากโต๊ะอาหารที่แปรสภาพเป็นโต๊ะทำงานชั่วคราว โน้ตบุ๊กและแฟ้มเอกสารวางเรียงราย   

“จะไปไหน”  นายหมีเอ่ยถามคนที่เตรียมตัวพร้อมออกจากบ้าน 

“ไปหาเพื่อนที่โรงแรม” 

พีทตอบโดยไม่มองหน้า ขณะก้มลงใส่รองเท้าผ้าใบสีส้มแสบตา  เขาหมายถึงโรงแรมหกดาวของพ่อที่เขาวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็กซึ่งห่างจากบ้านเพียงสองบล๊อกถนน  ตอบแล้วก็เดินออกจากบ้านไม่สนใจใคร  เขาตั้งใจว่าจะเดินไปที่โรงแรมเพราะยังมีเวลาเหลือก่อนถึงเวลานัดกับเกรซ   อีกอย่างโรงแรมก็ใกล้แค่นี้   

“ไปทำไม นายไม่ควรออกไปไหน  เวลานี้มันอันตราย เพิ่งโดนตามล่ามาหยก ๆ”   นายนั่นเตือนเขาเสียงเรียบ  นายหมีเดินตามเขาออกมาด้วย

“เรื่องส่วนตัว  ถ้านายกลัวมากก็หดหัวอยู่ในบ้านสิ  ชั้นไม่อยู่เฉย ๆ หรอกนะ  น่าเบื่อจะตาย”  พีทว่าไปด้วยเดินไปด้วย

“ทำไมเมื่อคืนไม่เห็นปากเก่งแบบนี้ล่ะ  ผมเห็นคุณปากซีดปากสั่น  กลัวพวกมัน”  นายนั่นตอกกลับเขาและยังเดินตามมา

พีทชะงัก  ‘หนอย  หมียักษ์!’   

เมื่อคืนที่ถูกไล่ยิง  เขาเพิ่งคิดว่านายนี่ก็ ‘พอใช้’ แต่ไอ้ที่คิดมาทั้งหมดถือว่าเขาคิดผิดแล้วกัน  นายนี่ไม่เก่งแต่เรื่องบู๊อย่างเดียว  ยังปากเก่ง  กวนประสาทเป็นเลิศอีกด้วย 

“ใช่  นายจะว่ายังงั้นก็ได้  แล้วมันหน้าที่ใครล่ะที่ควรจะดูแลความปลอดภัยของชั้นให้ดีกว่านี้น่ะ  นี่นายดันขับรถเข้าไปแถวบ้านร้างนั่นให้พวกมันมาตามล่าเอาได้  ถ้าชั้นเป็นอะไรขึ้นมา  นายไม่ได้มายืนเบ่งอยู่ตรงนี้หรอก  พ่อชั้นเอานายตายแน่” 

“ก็มันเป็นเพราะใครล่ะที่เป็นคุณชายอยู่ดี ๆ ไม่ชอบ  ไปเป็นนักร้องให้สาว ๆ กรี๊ดตามผับ   แล้วผับในโรงแรมพ่อตัวเองมีก็ไม่ร้อง  ต้องแอบไปร้องที่โซน B แทนน  ทั้งไกลทั้งอันตราย  แบบนี้เอาตัวเข้าไปเสี่ยงเองตะหาก  นี่ดีเท่าไรแล้วที่ผมพาคุณหนีมาได้  ยังไม่สำนึกบุญคุณ” 

ร่างใหญ่โตนั่นโต้กลับชนิดที่ไม่กลัวเกรงบารมีพ่อเขาสักนิด  พูดจาทวงบุญคุณหน้าตาเฉย

“ชั้นจะทำอะไร ร้องเพลงที่ไหนแล้วมันหนักหัวนายรึไงไม่ทราบ ขนาดพ่อชั้นยังห้ามไม่ได้  นายก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง  แล้วบุญคุณอะไร  นายต้องทำหน้าที่ของนายตะหาก  อย่ามาทวง”

“ใช่ ผมทำตามหน้าที่ คุณก็อย่าบ่นสิเวลาผมทำตามหน้าที่น่ะ” นายหมีว่าพลางยิ้มเย้ย

‘อ้าว เอ๊ะ หมายความว่าไง นี่เขาเผลอพูดอะไรไปเนี่ย  โธ่เอ้ย พีท’   

พีทหัวเสีย  “นายอย่าพลาดก็แล้วกัน  ชั้นไม่เอานายไว้แน่”  พีทขู่แล้วรีบเดินหนี

นายหมีหยุดยืนหัวเราะให้กับคำขู่ของพีท  คุณชายของเขาขู่มากี่ครั้งแล้วนะ ไม่มีทางที่เขาจะพลาดท่าให้คุณชายหรอก 

‘นายกับพี่มันกระดูกคนละเบอร์’

คนตัวใหญ่ส่ายหน้า  แววตาที่มองไปที่ด้านหลังของพีทแฝงไปด้วยความเอ็นดูเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง   

แววตาที่พีทไม่มีโอกาสเห็น




ร่างสูงโปร่งของคุณชายจอมขู่เดินลิ่วตรงไปที่ประตูบ้าน  ลุงหวังที่เฝ้าอยู่เปิดประตูเล็กข้างรั้วให้แต่โดยดี  พีทแปลกใจที่คราวนี้ลุงหวังยอมให้เขาออกจากบ้านได้  แต่แล้วความคิดก็เปลี่ยนไปเมื่อมองเห็นสายตาลุงหวังที่มองไปข้างหลังเขา  พีทหันไปมองบ้างก็พบนายหมีที่เดินตามมายักคิ้วให้  เขาหันหน้ากลับพลางบ่นอยู่ในใจคนเดียว 

‘ตามยังกะหมาตามเจ้าของงั้นแหละ’ 

แต่เขาก็ว่าอะไรไม่ได้เพราะเพิ่งเถียงกันไปหมาด ๆ เรื่องทำตามหน้าที่

พีทเดินไปตามทางเท้า  ซ้ายมือคือรั้วบ้านของเขาเองที่ยาวจนจรดถนนบล็อกถัดไป  นายหมีเร่งฝีเท้ามาเดินเคียงข้างเขาอีกด้าน    เขาเหลือบตามองคนที่สูงไล่เลี่ยกับเขาเดินล้วงกระเป๋าท่าทางสบายใจ 
 
‘หมอนี่สบายใจได้ทุกเรื่องรึไงนะ’

ตั้งแต่มาอยู่ที่บ้าน พีทไม่ค่อยเห็นนายนี่เดือดร้อนกับเรื่องอะไรรอบตัว ขนาดโดนเขาหาเรื่องทุกวันยังยิ้มรับ

“เมื่อคืน  นายทำยังไงกับพวกนั้นล่ะ” 

“หืม  นึกไงถึงถาม”  นายหมีเลิกคิ้วหันมามองเขา

“ก็อยากรู้ นายอย่าบอกนะว่าพวกนั้นโดนเอ่อ...หมดน่ะ” พีทเว้นคำนั้นไว้  ไม่กล้าคิดเลยว่านายหมีจะกล้าทำเรื่องน่ากลัวเช่นการฆ่าคน

ร่างสูงที่เดินเคียงข้างยิ้มเล็กน้อย  ‘ขนาดคำว่าฆ่ายังไม่กล้าพูดเลย  เด็กน้อยเอ๋ย’   

“ไม่มีใครตายหรอกน่า ผมก็แค่ต้องการข้อมูลจากพวกมัน ผมไม่ฆ่าใครหรอก  แค่เจ็บตัวนิดหน่อย”  เจ้าตัวไม่อยากบอกว่า พวกนั้นเจ็บแทบปางตายต่างหาก  เพราะเขาต้องการข้อมูลการจ้างวานทั้งหมดเพื่อเป็นหลักฐานเวลาเอาคืน   
 
“พวกเดิมเหรอ”  พีทถามย้ำ

“อืม”

“แล้วนายรู้รึเปล่าว่าทำไมต้องเล่นแรงขนาดนี้ด้วย พ่อยังไม่ทันลงสมัครเลยด้วยซ้ำ แค่โปรโมทยังไม่เคย ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ ฝ่ายโน้นกลัวอะไรนักหนา”

เขาสงสัยมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสถามพ่อเลย  ไหน ๆ พ่อก็ไว้ใจนายหมีขนาดนี้แล้ว  คงรู้อะไรดีอยู่บ้างหรอก

“คุณคงลืมไปว่าพ่อคุณมีอิทธิพลมากขนาดไหนทางด้านธุรกิจ และธุรกิจก็เป็นส่วนหนึ่งของการเมือง   ตระกูลคุณเล่นการเมืองมานานตั้งแต่มีประชาธิปไตยในประเทศนี้ด้วยซ้ำ  พ่อคุณถูกชักชวนให้เล่นการเมืองมานานแล้ว  ท่านปฏิเสธมาหลายสมัย  คราวนี้พร้อมจะเล่นการเมือง   พ่อคุณกลับตัดสินใจจะลงสมัครกับพรรคเล็ก ๆ  ที่มีอุดมการณ์  ไม่ยอมลงกับพรรคเดิมที่เคยเป็นสมาชิกมาตอนรุ่นคุณปู่  พวกพรรคการเมืองเดิมคงแค้นน่าดู  เพราะนอกจากจะขาดเงินอุดหนุนพรรคแล้ว  พ่อคุณยังเป็นตัวเก็งที่มาแรงมาก” 

“อย่างที่บอกว่ามีคนอยากให้พ่อคุณลงสมัครมาหลายสมัย และมีโอกาสที่จะชนะสูงมาก  ถ้าพ่อคุณได้รับเลือก   พวกพรรคการเมืองเดิมอาจเสียผลประโยชน์มหาศาล  ผมคงไม่ต้องสาธยายนะว่าผลประโยชน์ทางการเมืองน่ะ  มันมีอะไรบ้าง  มากมายขนาดไหน  พวกนั้นทำอะไรไม่ได้เลยหันมาใช้วิธีนี้แทน”

พีทฟังอย่างอึ้ง ๆ เขารู้ว่าพ่อเขาเก่ง  เป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่างและตระกูลเขาเล่นการเมืองมานาน  แต่ไม่เคยรู้รายละเอียดขนาดนี้  นี่ละมั้งพ่อถึงเป็นห่วงเขา นึกแล้วก็เคืองชะมัด นายนี่ช่างรู้ดีไปทุกอย่าง ส่วนเขาสิ พ่อไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังเลย  ขนาดเขามีอันตรายขนาดนี้พ่อยังบอกเขาแค่บางส่วน  นายนี่ซะอีกที่....

“คุณไม่ต้องน้อยใจไปหรอกว่าทำไมคุณถึงไม่เคยรู้เรื่องอะไรพวกนี้”

คำพูดนั้นทำให้เขาหยุดเดิน  หันไปมองคนที่เดินข้างเขา นายหมีพูดขึ้นมาเหมือนกำลังอ่านใจเขาได้งั้นแหละ

“เพราะพ่อคุณรักคุณมากต่างหาก  ท่านเลยไม่อยากให้คุณกังวลใจกับเรื่องอะไรก็ตาม”  นายหมีหยุดเดินบ้าง  เขาหันมายิ้มให้คนที่กำลังจะน้อยใจพ่อตัวเอง

พีทมองสบตาคนพูดตรง ๆ   คนคนนี้ ‘อ่าน’ เขาออกขนาดนี้เลยหรือ  ขนาดพี่โดมที่พีทสนิทมาตั้งนานยังไม่รู้ใจเขาเท่านายนี่เลย
 
เกิดความเงียบระหว่างสองหนุ่ม   ทันใดนั้นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งซึ่งขับมาจากถนนฟากตรงข้ามด้วยความเร็ว  ตีโค้งกลับรถข้ามเลนเข้ามาใกล้บริเวณที่พวกเขายืนอยู่  นายหมีได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์จึงหันไปมอง  คนขี่ใส่แจ็กเกตดำสวมหมวกกันน็อกสีดำพุ่งตรงเข้ามา

“พีท  ระวัง!” 

แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรเลย  คนตัวใหญ่พุ่งเข้าหาพีททันที  แรงปะทะทำให้ทั้งคู่เสียหลักเซไปชนกำแพงด้านหลัง  เขาโถมกอดพีทไว้ทั้งตัว โดยใช้ตัวเองเป็นที่กำบัง  กดศีรษะพีทไว้แน่น   เกร็งตัวรับอันตรายอะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น












ไม่มีอะไรเกิดขึ้น   มีแต่ความเงียบ


“บ้าเอ๊ย”  เสียงสบถของนายหมี  เขาหันไปมองมอเตอร์ไซค์คันนั้นที่ขี่ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลางถอนหายใจ

‘ตกใจหมด  นึกว่าพวกมันส่งมือปืนมาเก็บถึงหน้าบ้านซะอีก’

สายตาเขาจับจ้องไปยังมอเตอร์ไซค์คันนั้น   ก่อนจะพยักหน้าให้การ์ดชุดดำที่เห็นเหตุการณ์เช่นกันให้ตามประกบมอเตอร์ไซค์คันนั้นทันที จากนั้นจึงหันหน้ากลับมามองคนในอ้อมแขน 

“บอกแล้วใช่ไหมว่ามันอันตราย  ออกมานอกบ้านแบบนี้น่ะ”  ดุคนที่เขายังกอดไว้แน่น  สายตาคมจ้องตรงไปที่หน้าพีทที่ยังดูตกใจอยู่ไม่น้อย  ใบหน้าคนทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจากระดับความสูงที่ใกล้เคียงกัน

“ปะ ปล่อยได้แล้ว”  พีทที่เหมือนจะหายตกใจแล้วยกมือขึ้นดันตัวเขาออก 

“นายนั่นแหละที่คิดมากไปเอง นั่นก็แค่แมสเซนเจอร์ ไม่ใช่มือปืนสักหน่อย บ้ารึเปล่า”  พีทโวยวาย  เขารู้สึกแปลก  เหมือนหน้าจะร้อน ๆ  ยังไงไม่รู้   ก็นายนั่นโถมเข้ามาไม่ทันตั้งตัว

“ถ้าเกิดเป็นมือปืนจริง คุณไม่ได้มายืนอวดเก่งแบบนี้หรอก” แขนที่กอดรัดอยู่ค่อยคลายออก  นายหมีถอยหลังทีละนิด

“ชั้นไม่ตายหรอก นายนั่นแหละที่จะตายก่อน”

คุณชายว่าให้เสียงดัง กลบเกลื่อนความรู้สึกประหลาดของตัวเองแล้วก็เดินหนีไป  ทิ้งให้นายหมียืนส่ายหน้าให้กับเด็กโข่งขี้โมโหที่เดินลิ่วไปแล้ว 
 
“ไม่เป็นไร  ตายก่อนก็ได้แต่พีทต้องปลอดภัย”  คนร่างสูงพึมพำพูดกับตัวเองแล้วรีบสาวเท้าเดินตามไป ‘ประกบ’ เด็กขี้โมโหที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว



ใช้เวลาอีกครู่เดียวทั้งสองคนก็เดินมาถึงโรงแรม   บริเวณด้านหน้าโรงแรมตกแต่งด้วยสวนสวยที่ได้รับการออกแบบอย่างดี   ตัวอาคารสูงสามสิบกว่าชั้นออกแบบไว้อย่างมีเอกลักษณ์  ได้รับรางวัลการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมจากหลายสถาบัน  แม้ว่าจะสร้างมานานแต่ยังคงดูร่วมสมัย บริเวณโถงทางเข้าด้านหน้าตกแต่งสวยงามด้วยดอกไม้นานาชนิด   

พนักงานต้อนรับสองคนโค้งให้สองหนุ่มเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปด้านใน 

ผู้จัดการที่ยืนหน้าฟร้อนท์สังเกตเห็นชายหนุ่มสองคนที่เดินเข้ามาแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง  เขารีบพุ่งตัวออกมาจากเคาน์เตอร์  แต่เดินมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้นก็ชะงัก  หยุดฝีเท้าลงทันควันเมื่อได้รับสายตาดุเป็นเชิงห้ามจากคนที่เดินตามหลังคุณชาย

พีทสังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของผู้จัดการที่เขาคุ้นเคยตั้งแต่เด็กก็หันกลับไปมองคนที่เดินตามมา  นายหมีเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่าเขามีอะไร พีทจึงหันกลับมาตามเดิม 

‘เอาเหอะ  เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน’   

เขาส่งยิ้มเป็นเชิงทักทายให้ผู้จัดการที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แล้วเดินต่อไป โรงแรมนี้ตั้งมาก่อนเขาจะเกิดด้วยซ้ำ  เขาวิ่งเล่นที่นี่ตั้งแต่เด็กจนแทบจะหลับตาเดินได้แล้ว  หนุ่มน้อยเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยตรงไปยังร้านเค้กชื่อดัง   

เกรซมารออยู่แล้วที่โต๊ะมุมหนึ่งที่เป็นส่วนตัว

“ไง  มานานแล้วเหรอ  โทษนะที่ให้รอ” พีทที่นั่งลงเรียบร้อยเอ่ยทัก   สังเกตเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของเกรซทันที 

“เรามาก่อนเวลาน่ะ  ไม่เป็นไรหรอก” 

เกรซวันนี้มาในมาดคุณหนูเต็มที่ ใบหน้าตกแต่งเล็กน้อย เธอสวมชุดกระโปรงแขนกุดลายดอกไม้ดูอ่อนหวาน ตุ้มหูโลหะ กำไลและแหวนแปลก ๆ หายไป  กลับมีสร้อยเพชรเม็ดเล็กเข้าชุดแทน 

“มีอะไรให้เราช่วยได้บ้าง”  พีทเอ่ยถาม   เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้เกรซไม่สบายใจ

“เรื่องเดิมแหละพีท พ่อกับแม่หาคนให้เราอีกแล้ว แต่คราวนี้พ่อเอาจริง เราต้องหมั้นเดือนหน้า”  ใบหน้าคมสวยนั้นเศร้าไปเมื่อเล่าเรื่องให้เขาฟัง

หลังจากที่เล่าเรื่องราวให้เขาฟังอยู่ครู่ใหญ่เกรซก็กลับไปเหม่อลอยอย่างคนที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง   พีทที่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรจึงหาเรื่องชวนคุย

“เกรซ  เมื่อคืนตอนเราออกไปแล้ว  มีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม ที่ร้านเป็นไงบ้าง”

“ก็วุ่นวายนิดหน่อยแต่ไม่มีใครเป็นอะไร”

ตอบแล้วเกรซก็กลับไปเหม่ออีกเหมือนจมอยู่กับความคิดบางอย่าง พีทมองหน้าเพื่อนแล้วก็ครุ่นคิด  เกรซดูแปลกไป  เหมือนมีเรื่องอื่นรบกวนจิตใจด้วย  แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าเกรซยังไม่เล่าก็แสดงว่าเพื่อนยังไม่พร้อม   

“วันก่อนเกรซให้ใครมาร้องเพลงแทนเรานะ”  พีทหาเรื่องคุยต่อ

“เอ่อ  อ๋อ  เขาชื่อ ชิน  มาขอออดิชั่น  พี่ร็อกกี้ก็เลยลองให้ขึ้นโชว์เลย เขาทำได้ดีนะ เต้นเก่งพอ ๆ กับพีทเลย”

“เหรอ  แล้วเธอว่าไงล่ะ  รับเขามาร้องประจำเลยมั้ย ช่วงนี้เราก็ไม่ค่อยสะดวก  โดนล่าหนักเลย”

พีทหมายถึงเรื่องที่เขาต้องลางานหลายครั้งเพราะถูกคู่แข่งทางการเมืองของพ่อลอบทำร้าย 

“อืม เราก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน  บางทีอาจจะให้ชินร้องแทนวันที่พีทไม่มาดีไหม  ลูกค้ายังแฮปปี้กับนายอยู่นะ”




นายหมีที่เลี่ยงไปนั่งโต๊ะห่างออกมาเฝ้ามองภาพหนุ่มสาวสองคนที่นั่งคุยกัน 

‘เข้าใจหาที่นัดสาวนะ’  

แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องผ่านกระจกเข้ามาทำให้ร้านสว่างไสว   ร้านเค้กนี้ตกแต่งสไตล์อังกฤษคล้ายบ้านของพีท   บรรยากาศคงจะดีกว่านี้ถ้าใบหน้าของสองหนุ่มสาวจะยิ้มแย้ม  หยอกล้อกัน  แต่ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังปรึกษากันใบหน้าเครียด  เขาคิดว่าเขารู้ว่าคุณหนูเกรซมาปรึกษาเรื่องใดกับพีท  แต่ที่เขาไม่รู้คือระหว่างสองคนนี้  พวกเขาคิดอย่างไรต่อกัน
 
กาแฟถูกเสิร์ฟพร้อมกับที่โทรศัพท์ของเขาสั่น   นายหมียิ้มเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ 

“ไง  นายนี่จมูกไวชะมัด”  เขาทักทายปลายสาย





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2014 01:13:22 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
15. ทำความเข้าใจ (2)



หลังจากแยกกับพีทแล้ว   เกรซสั่งให้คนขับรถมุ่งตรงไปห้างสรรพสินค้าใหญ่  เธอไม่อยากกลับบ้าน ใบหน้าสวยคมนั้นหมองเศร้าตลอดเวลา
 
ตั้งแต่เกิดมาเธอได้รับการเอาอกเอาใจจากผู้คนรอบข้างเสมอ เนื่องจากเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว  ไม่เคยได้รับความผิดหวัง  ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอต้องการสิ่งใดแล้วไม่เคยได้  มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้  พ่อกับแม่เป็นห่วงลูกสาวคนเดียวของท่านมาก  หวังจะฝากฝังเธอกับผู้ชายดี ๆ ที่มีชาติตระกูลทัดเทียมกันเพื่อให้ช่วยดูแลลูกสาวคนเดียวและกิจการของพวกเขา  เกรซเคยให้เหตุผลกับพ่อแม่ว่าถึงเธอเป็นผู้หญิง  เธอก็สามารถดูแลกิจการของครอบครัวได้แต่ไม่มีใครสนใจ

‘คงเพราะเป็นผู้หญิงสินะ’ 

คิดแล้วน้ำตาก็ไหล  เกรซปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่สนใจจะเช็ดออก เดี๋ยวมันก็ไหลอีก 

‘ช่วงนี้มันเกิดอะไรกับชีวิตเธอกันนะ’

สาวน้อยหันไปมองตึกสูงข้างถนน  ปล่อยความคิดให้ล่องลอย  จู่ ๆหน้าใครบางคนก็ลอยเข้ามาในความคิด 

‘บ้าที่สุด!’

มือบางทุบเบาะข้างตัวเสียงดังเหมือนต้องการระบายความโกรธ เมื่อนึกถึงหน้านายนั่น  ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคราวก่อนในห้องเก็บของหลังร้าน นายนั่นยังกลับมาเสิร์ฟที่ร้านอยู่ทุกวัน  ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เกรซกลับเป็นฝ่ายที่ไม่กล้าไปไล่นายแคนอีก  เธอไม่กล้ามองหน้านายนั่นด้วยซ้ำ  จึงต้องปล่อยให้นายแคนยังเดินไปเดินมาอยู่ในร้านโดยที่เธอแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเขาอีกต่อไป

เมื่อคืนหลังจากพีทถูกลากกลับบ้านกะทันหัน ผู้คนในร้านก็แตกตื่นเพราะมีคนเห็นชายแปลกหน้าหลายคนถือปืนเดินเข้ามาในร้าน  จากนั้นความโกลาหลวุ่นวายก็ตามมาเมื่อใครต่อใครวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง  โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดจากการที่แขกหลายร้อยวิ่งหนีออกจากร้านพร้อมกัน

เกรซที่กำลังมึน  ไม่รู้เรื่องอะไรแน่ชัด ถูกฉุดแขนไปทางหลังร้านโดยไม่ทันตั้งตัว  เมื่อออกมาเจอสายลมเย็นนอกร้านจึงรู้ว่าคนที่ดึงเธอมาคือคนที่เธอไม่อยากเจอที่สุด

“นาย  ปล่อยนะ” เกรซสะบัดมืออย่างแรงแต่แคนกำมือรอบแขนเธอไว้แน่นหนา

“ปัง ๆ ๆ” 

“กรี๊ด”

เสียงปืนดังก้องสะท้อนทำให้เธอตกใจ  ยกมือขึ้นปิดหู  คนที่ยืนใกล้คว้าเธอเข้าไปในอ้อมแขนทันที นายแคนพาเธอไปหลบที่มุมอับมุมหนึ่ง เสียงปืนตามมาแผ่ว ๆ อีกหลายนัดพร้อมทั้งเสียงรถแต่งหลายคันขับเร่งเครื่องออกไปจากบริเวณร้าน 

“พวกมันไปแล้ว  ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” 

เสียงกระซิบใกล้หู  เกรซที่กำลังตกใจเสียงปืนจึงเพิ่งรู้ตัว  เงยหน้าขึ้นมาพอดี   ใบหน้าทั้งคู่แทบชนกัน   ด้วยความตกใจเธอจึงผลักนายแคนออกด้วยกำลังทั้งหมด   พอดีกับการ์ดที่ประจำอยู่หน้าร้านวิ่งตามมาเจอ

“คุณหนู  ปลอดภัยไหมครับ  กลับกันเถอะครับ  ตอนนี้ที่นี่ไม่ปลอดภัย”   

เกรซเดินออกไปทันที  ไม่เหลียวกลับมามองนายนั่นอีก



------------------------------------------

สวัสดีค่า  มาช้าไปหลายวันก็เลยลงสองตอน
พรุ่งนี้เจอกันค่ะ





ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 o13


สนุกๆๆๆๆ ติดตามต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
16. ไม่ใช่พี่ชาย


“พี่โดมไปกินบุฟเฟต์กันป่ะ”

พีทหันไปถามพี่โดมที่กำลังเก็บของ พวกเขาซ้อมดนตรีกันเสร็จแล้ว  สมาชิกส่วนใหญ่เก็บของกันเรียบร้อยแล้วแต่ยังแวะคุยกับ ‘พี่ชายพีท’ กันอย่างสนุกสนาน   โดยเฉพาะหนุ่มน่ารักตัวเล็กอย่างริทที่มักเข้าไปคุยกับนายนั่นบ่อยครั้ง   ทำให้แทนต้องตามไป ‘เก็บเด็ก’  ของตัวเองเสมอ   ส่วนนายนั่นน่ะเหรอ... 

‘ชิ  ทำตัวสมกับตำแหน่งนางงามมิตรภาพมาก’ 


พีทประชดอยู่ในใจพลางทำปากยื่นเหมือนเด็กถูกขัดใจ หันหน้าหนีจากภาพนั้น  ไม่รู้ตัวเลยว่าหน้าตาท่าทางของตัวเองอยู่ในสายตา ‘พี่ชายพีท’ ตลอดเวลา  ทำให้คนที่เฝ้ามองแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว

“คุณชายคร้าบ  นี่มันสิ้นเดือนนะคร้าบ เห็นใจคนตัวเล็ก ๆ อย่างกระผมบ้าง ช่วงนี้กรอบหมดแล้ว”  หนุ่มร่างอวบแต่เสียงทรงพลังตอบ   

“พี่จะกรอบได้ไง  ตัวพี่หนาขนาดนี้” พีทแหย่  ทำหน้าทำตาล้อเลียนพี่โดม

“บ๊ะ ไอ้นี่  เดี๋ยวฟ้องพี่ฮัท”  โดมหาพวกทันที 

“งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยง  เอาไหมโดม” นายหมีที่เพิ่งเสร็จภารกิจนางงามเดินมายื่นข้อเสนอ   พาดแขนที่ไหล่หนาของโดม

“ว้าว ๆๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ขัดศรัทธาละกันนะคร้าบ  ผมไม่ชอบขัดใจใคร” 

พีทเหล่มองพี่โดมที่รีบตกลงรับข้อเสนอ  นี่ก็อีกคน  เรื่องกินไม่เคยพลาด

“อะไรอ่ะ หมีสามตัวจะไปกินบุฟเฟ่ต์เหรอ ไปด้วยนะ”  เสียงริทร้องขึ้นมาหลังได้ยินพวกเขาตกลงกัน

“ไปด้วยนะพี่ฮัท  ผมไปด้วยน๊า”  ริทหันมาอ้อนพี่หมี

“ไอ้ริท ถ้าอยากกินไปกินกับพี่ก็ได้!” 

สิ้นประโยคนั้นแทนหันไปคว้าคอคนตัวเล็กไว้แล้วลากออกจากห้องซ้อมทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ริทได้เถียงอะไร เสียงริทโวยวายไปตามทางทำให้เขายิ้มขำ  แต่เมื่อบังเอิญหันไปสบตากับนายหมีที่มองมาพอดี  เขาก็หุบยิ้ม 

พวกเขาถูกเพื่อนในวงเรียกกันเล่น ๆ ว่าหมีสามตัว  เพราะความที่ตัวใหญ่  กินเก่ง  บ่นเก่งและมักไปไหนด้วยกันเสมอ  เป็นฉายาที่พีทไม่เต็มใจรับสักเท่าไร  ก็เขาไม่ได้อยากให้นายนี่มาตามเขานี่นะ

ตอนนี้หมีสามตัวนั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง บนโต๊ะเกลื่อนไปด้วยจานอาหารที่ว่างเปล่าซ้อนกันสูง

“ทำไมพีทไม่เรียกชื่อพี่ฮัทล่ะ เห็นเรียกแต่นายนี่ นายนั่นตลอด ไม่น่ารักเลย” โดมเอ่ยถามขึ้นมากลางโต๊ะอย่างสงสัยมานาน

“นั่นสิ   บอกให้เรียกพี่ฮัทก็ไม่ยอมเรียก”  หมีตาตี่รีบสนับสนุนหมีร่างอวบทันที

“มีพี่โดมคนเดียวก็พอแล้ว ไม่อยากได้พี่เพิ่มหรอก” หมีจอมเหวี่ยงตอบ  ใบหน้านิ่งแต่แฝงความหมายในคำตอบ  เขาก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อไปจึงไม่สังเกตเห็นดวงตาที่วูบไหวไปกับคำตอบนั้น  ชั่วขณะเดียวนายหมีก็กลับมายิ้ม

“มีเพิ่มอีกก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อบอุ่นดีนะ” น้ำเสียงยังคงร่าเริง  นายหมีหันไปหัวเราะกับโดมจนตาปิด 

“นั่นสิพีท  ทำไมล่ะ”  โดมยังคงถามต่อ 

“ก็เพราะนายไม่ใช่พี่ชั้นน่ะสิ  เรื่องง่าย ๆ” คำตอบนั้นเล่นเอาคนฟังสะอึกไปทีเดียว   

โดมส่ายหน้ากลมของตัวเองอย่างระอา  นี่ถ้าพีทเป็นน้องเขา  คงต้องตีสั่งสอนกันบ้าง

“แล้วทำไมพีทเรียกพี่ว่าพี่ล่ะ  ก็เรียกพี่ฮัทด้วยสิ”  โดมยังใจเย็น

“.....”   พีทกลับคีบซูชิเข้าปาก  ความเงียบคือคำตอบ 

“เด็กดื้อ”  นายหมีพึมพำ  ดวงตานั้นเหลือบมองพีทเพียงแวบเดียวแล้วหันไปทางอื่น 

เด็กดื้อเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่แคร์  แค่เขาเลิกโวยวายเชื่อฟังตามคำสั่งนายหมีนี่ก็ดีเท่าไรแล้ว  พีทเป็นคนฉลาด  เขารู้ว่าเขาควรทำสิ่งใด  การดื้อไม่เชื่อฟังของเขาอาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย พ่อก็ตามใจเขามากแล้วที่ยังอนุญาตให้เขาไปร้องเพลงได้เหมือนเดิม  เขาก็ต้องทำตามที่พ่อขอร้องคือเชื่อฟังนายหมี ไม่ดื้อ ไม่ซน  เพราะเขาก็ไม่อยากให้พ่อและคุณโรสเสียใจ  แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องญาติดีกับนายหมีนี่นา  มันคนละเรื่อง!
 
“พี่โดมจะฝึกงานที่ไหน  ฝึกที่โรงแรมพ่อผมไหม  จะได้ไปด้วยกัน” 

พีทเปลี่ยนเรื่อง สองหนุ่มเปลี่ยนมาปรึกษากันเรื่องการฝึกงานในเทอมสุดท้าย  ทิ้งให้อีกคนนั่งกินข้าวไปคนเดียว  แววตาร่าเริงอยู่เป็นนิจของนายหมีฉายแววเศร้ายามที่สองคนนั้นไม่เห็น  ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจเขาเสียใจยิ่งกว่าท่าทีภายนอกมากนัก

-----------------------------------


เฟอร์รารี่ F430 ขับออกจากห้างสรรพสินค้าที่สองหนุ่มมากินบุฟเฟ่ต์   ซูเปอร์คาร์คันใหม่ของนายหมีทะยานไปข้างหน้ามุ่งสู่สถานบันเทิงโซน B ที่แสนอันตราย  น่าแปลกที่พีทยังคงไปร้องเพลงที่ร้านเดิมอยู่ทุกวัน  แม้จะเกิดเรื่องร้ายแรงเมื่อหลายวันก่อนและนายหมีก็ไม่ได้ห้ามเขาเสียด้วย  แต่พีทสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น

อย่างแรกคือมีคนคอยเฝ้าหน้าร้านของเกรซเพิ่มมากขึ้น ความจริงพวกเขาทำตัวตามปกติเหมือนนักเที่ยวทั่วไปถ้าไม่มีใครสังเกตก็คงไม่รู้  แต่พีทจำใบหน้าพวกเขาบางคนได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่นายหมีเรียกให้ไปช่วยพวกเขาที่หมู่บ้านร้าง

อย่างที่สองคือ เกิดข่าวการวางระเบิดรถติดตามของที่ปรึกษาพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามหลังวันที่เขาถูกตามล่าสองวัน รถหลายคันพลิกคว่ำบาดเจ็บกันไปหลายคน  รวมไปถึงข่าวตำรวจสืบคดีแก็งค์แต่งรถซิ่งที่ขับชนราวกั้นถนน  พบว่าหนึ่งในผู้บาดเจ็บเป็นมือปืนรับจ้างหนีการติดตามหลายคดี  งานนี้เป็นข่าวครึกโครมอยู่หลายวันเพราะมือปืนที่บาดเจ็บให้การพาดพิงไปยังผู้ว่าจ้างที่เป็นนักการเมืองฝ่ายนั้นหลายคน  นักข่าวให้ความสนใจเป็นอย่างมากจึงต้องมีการสืบสาวกันอีกยาว  ข่าวนี้ทำให้นายหมีถึงกับยิ้มออกเมื่อได้ยิน 

“ฝีมือนายเหรอ”  พีทหันไปถามคนที่นั่งฟังข่าวอย่างตั้งใจ 

นายหมีเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบคำถาม เขาคิดว่านี่คงเป็นการเอาคืนจากฝ่ายของเขาบ้างเพราะเขาไม่ถูกติดตามเลยตั้งแต่นั้น

และอย่างที่สามคือ  นายหมีหันมาบังคับให้เขาซ้อมยูโดบ่อยขึ้น 

“พวกมันคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่  คุณต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ  อย่าประมาท”  นายหมีเตือนเขาขณะที่พวกเขาอยู่ในห้องออกกำลังกาย

พีทซ้อมยูโดกับนายหมีมาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่เคยเอาชนะนายนั่นได้สักที  ไม่ว่าจะงัดท่าไม้ตายอะไรมา  ดูเหมือนว่านายนั่นจะรู้ทันเขาตลอด  เขาโดนทุ่มทุกครั้งจนเหนื่อยใจเพราะทำอย่างไรก็ไม่ชนะ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรบ้างไหมที่เขาจะชนะนายหมีได้ ไม่รู้เมื่อไรเขาจะได้ออกคำสั่งนายหมีบ้าง

คนที่ทำหน้าที่ขับรถแอบชำเลืองมาที่หนุ่มน้อยที่นั่งหลับตาฟังเพลงไปเงียบ ๆ เขายิ้มเศร้าให้ตัวเองเพียงลำพัง 

พีทไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติฝ่ายเดียว  เขาเองก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของพีทด้วย  ตอนนี้พีทไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเขาเหมือนตอนแรก  กลับเชื่อฟังที่เขาบอก ไม่ดื้อ  ไม่เอาแต่ใจ  แต่สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคือพีทไม่เคยยอมรับเขา  ในสายตาของพีท  เขาคงเป็นเพียงแค่คนที่พ่อส่งมาดูแล  เป็นแค่คนนอก  โดมเสียอีกที่พีทสนิทใจด้วย 

‘เฮ้อ  ทำไมเขารู้สึก...อิจฉาโดม’


---------------------------------------



คืนวันนี้พีทเตรียมตัวร้องเพลงตามปกติ   พี่ร็อกกี้ก็เอ่ยถามเขา

“พีท  คุณเกรซหายไปไหน  ไม่มาดูร้านหลายวันแล้ว”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ” ความจริงพีทพอจะรู้สาเหตุอยู่บ้าง แต่คงจะบอกพี่ร็อกกี้ไม่ได้หรอกว่าเกรซกำลังเสียใจที่ถูกบังคับให้หมั้นกับใครไม่รู้ที่พ่อแม่หาให้

“อ้าว  คนรักกันก็ต้องรู้สิ”  เสียงคนอื่นแทรกเข้ามาทันที

‘นี่แสดงว่าคงหูผึ่งรอฟังกันอยู่ล่ะสิ’
  พีทเหนื่อยหน่ายกับข้อหาว่าเขากับเกรซ ‘เป็นแฟนกัน’ จะแย่แล้ว

“เฮ้อ”  เขาถอนหายใจเป็นคำตอบ

“เออ พีท พี่ว่าจะถามหลายทีแล้ว  พีทมากับใครเหรอ  คนหล่อ ๆ น่ะ เห็นไปกลับด้วยกันทุกวันเลย  ขับรถหรูซะด้วย”   หลังคำถามนั้นมีหลายเสียงพึมพำอยากรู้คำตอบ

“ใช่ ๆ ขับรถระดับนั้นคงรวยน่าดู  เพื่อนนายเหรอพีท”

“เอ่อ...”  พีทอึกอักตอบไม่ถูกเพราะไม่คิดมาก่อนว่าคนในวงจะสนใจเรื่องเขา

“หรือว่าเป็นแฟน  ที่พีทบอกว่าเป็นเพื่อนกับเกรซเพราะว่าคบอยู่กับนายหน้าหล่อนั่นรึเปล่า  รับส่งกันทุกวันขนาดนี้  ผิดปกตินะ”   สิ้นคำถามนั้นมีเสียงโห่ตามด้วยเสียงเป่าปากเปี้ยวป๊าวกันยกใหญ่ 

“หา  ว่าไงนะ!”  เหมือนมีใครสาดน้ำใส่เขาโครมใหญ่

“เฮ้ยพวกพี่คิดอะไรกันอยู่เนี่ย จะบ้าเหรอ นายนั่นไม่ใช่แฟนผมนะ นายนั่นแค่..แค่...”  พีทโวยวายเสียงดัง  เขาเว้นวรรคเพราะสมองกำลังคิดหาข้ออ้างเหมาะ ๆ 

“เป็นญาติน่ะ” เขาตอบในที่สุด

‘เอาแบบนี้ไปก่อน คงดีกว่าเป็น..เอ่อ..แฟนละกัน’

“แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ  แค่หยอกเล่นแค่นี้เอง  เป็นแฟนกับคุณเกรซก็บอกมาเหอะน่า”   พี่ร็อกกี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาแซวเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย 
 
เสียงหยอกล้อกันในห้องนักดนตรียังคงดำเนินต่อไป  แต่คนที่ยืนฟังอยู่นอกห้องกลับรู้สึกปวดร้าวอยู่ลำพัง  ร่างสูงโปร่งนั้นหมุนตัวเดินออกไปเพื่อทำงานต่อ




แก้วเครื่องดื่มถูกวางลงที่โต๊ะประจำที่นายหมีจับจองทุกคืน ใบหน้าคมนั้นมองพนักงานเสิร์ฟหน้าตาบูดสนิทแล้วจึงเอ่ยทักทาย

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะแคน  เดี๋ยวแขกสาว ๆ ก็หายหมด” คนที่นั่งอยู่พูดพลางมองไปรอบร้าน  สาวสวยหลายคนมองมาทางนี้แล้วส่งยิ้มให้  เขาเพียงแต่ส่งยิ้มกลับไปแต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้
   
“ช่างเหอะพี่  ผมไม่สนสาว ๆ พวกนั้นหรอก”  แคนตอบกลับ

“หรือว่าคิดถึงใครอยู่ ไม่เห็นหน้าหลายวันแล้วนี่” ประโยคแซวนั้นทำให้คนหน้าบูดยิ่งทำหน้าหงิกกว่าเดิม

“ถึงผมจะคิดถึงเขา  เขาก็คงไม่คิดถึงผมหรอก  คงเป็น ‘น้องพี่’ มากกว่าที่เขาจะคิดถึงน่ะ” 

“ไม่มีอะไรหรอกน่า  อย่าคิดมากเลย  เขาอาจจะเป็นเพื่อนกันจริง ๆ  ถ้าเขารักกัน  ทำไมตอนแรกถึงไม่ยอมหมั้นกันล่ะ”  นายหมีตั้งข้อสังเกต

“เท่าที่พี่รู้  เขาสองคนไม่ได้นัดดูตัวกัน  ครอบครัวแต่ละฝ่ายแค่แนะนำให้รู้จักกันไว้  เผื่อว่าถูกใจแล้วอาจจะลงเอยกันก็ได้  แต่ตอนนั้นพวกเขาแค่คบกันเป็นเพื่อน  ตอนผู้ใหญ่ลองถามว่าหมั้นกันไหม  เห็นสองคนนั้นวางแผนล่มงานหมั้นกันซะดิบดี”   

ถ้าพีทมาได้ยินเรื่องที่เขารู้ลึกขนาดนี้คงซักไม่เลิก   เด็กนั่นยิ่งฉลาด ๆ อยู่ด้วย  เรื่องจับผิดล่ะเก่งนัก  เขาพลาดไม่ได้เลย   นายหมียิ้มมุมปากเมื่อมองไปที่ ‘เด็กฉลาด’ ที่กำลังร้องเพลงบนเวที

“เริ่มต้นไม่ได้คิดแต่ตอนนี้อาจจะคิดก็ได้นี่ครับ  เห็นสนิทสนมกัน ขับรถไปส่งมั่ง  เป็นห่วงเป็นใยกันตลอด  มีปัญหาก็ปรึกษากัน  อีกอย่างผมไม่เห็นน้องพี่มีเพื่อนผู้หญิงสักคน  ขนาดผู้หญิงกรี๊ดกันทั้งร้านก็ไม่เห็นจะสนใจใคร”   แคนตั้งข้อสงสัย

คราวนี้คนแก่กว่าเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด แคนพูดถูก พีทไม่มีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทนอกจากเกรซ ไม่ว่าจะเพื่อนที่มหาวิทยาลัยหรือเพื่อนกลุ่มไหน  เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนคบกันในสถานะใด  เจ้าตัวก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย  เขาเคยมั่นใจว่าเขารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับคุณชายของเขา  แต่เรื่องหัวใจเขากลับไม่รู้อะไรเลย

“นายก็ทำให้เขาคิดถึงนายบ้างสิ”

“โธ่  เขาเกลียดหน้าผมจะแย่” 

“ก็นายไปทำอะไรให้เขาเกลียดล่ะ นายยังไม่ได้บอกเขาไม่ใช่เหรอว่านายเป็นใคร  แล้วเขาจะเกลียดนายได้ไง” 

“ก็...ก็  มันก็มีบ้าง”  แคนตอบไม่เต็มปากนัก  ความจริงแล้วก็เยอะอยู่ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาแกล้งทำให้แขกสาว ๆ  มีเรื่องทะเลาะกันกลางผับเป็นประจำอ่ะนะ

--------------------------------------



“ทำไมนายดูสนิทกับแคนล่ะ วันที่เราโดนตามเก็บก็เห็นแวะคุย เป็นบอดี้การ์ดแฝงมารึเปล่า”   พีทถามขึ้นมาขณะที่พวกเขาเดินทางกลับบ้าน

‘นั่นไง  เด็กฉลาด  เอาแล้วไหมล่ะ’   นายหมีสะดุ้งอยู่ในใจ 

“ไม่ใช่หรอก  แคนเขาแค่คุยถูกคอ  เลยเรียกมาคุยด้วย”  แก้ตัวไปก่อนแล้วกัน

พีทเอียงหน้าไปมองนายหมีที่กำลังขับรถอยู่  พิจารณาใบหน้านั้นอยู่ครู่จึงละสายตาไปมองถนนต่อ

“เหรอ  นึกว่านายเป็นพวก  เอ่อ  แบบว่า...ซะอีก”

“เอี๊ยดดดดดดดดด”

เสียงห้ามล้อดังสนั่นถนน  คนในรถไม่ทันระวังตัวจึงพุ่งไปข้างหน้าตามแรง  แต่คนขับก็ยกแขนซ้ายขึ้นมากันตัวพีทไม่ให้พุ่งไปกระแทกกระจกข้างหน้าได้ทันทีทั้งที่เข็มขัดนิรภัยก็ทำงานได้ดีสมราคาจึงไม่มีใครหัวกระแทก เฟอร์รารี่หักจอดข้างทางทันที

“นายทำบ้าอะไรเนี่ย!!”  พีทตกใจ  หันไปโวยวาย

“เอ่อ โทษที”  คนขับดึงแขนที่พาดขวางกั้นไว้กลับไปจับพวงมาลัย  นายหมีดูจะตกใจอยู่ไม่น้อย  แต่น่าจะเป็นเพราะคำถามของพีทมากกว่า

“ก็คุณมาถามอะไรผมแบบนั้นล่ะ  ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย  คิดอะไรบ้า ๆ ตกใจหมด”  นายหมีตั้งตัวได้แล้วกับคำถามประหลาดนั้น  หันกลับไปตอบอย่างขุ่นเคือง  คิ้วขมวด

“แต่หน้านายก็ให้อยู่นะ  ดูแบดบอย หนุ่ม ๆ คงชอบกันอยู่หรอก ดูพี่ริทสิ  เห็นชอบมาเจ๊าะแจ๊ะคุยอยู่ทุกวัน”  พีทยังพูดต่อไป

‘เด็กนี่  เผลอไม่ได้เลยนะ’  นายหมีคิดขณะที่หักพวงมาลัยกลับสู่ถนนใหม่อีกครั้ง 

“ผมจะไปรู้เหรอ  หน้าผมก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด แล้วริทมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”

“พี่ริทเขาเป็นเด็กพี่แทนไม่รู้รึไง  แฟนน่ะแฟน  เข้าใจรึเปล่า  ระวังไว้เหอะ  สนิทมาก ๆ คุยมาก ๆ  สักวันพี่แทนโมโหขึ้นมานายจะลำบาก”

“หือ??  ลำบาก  ผมรู้แล้วเรื่องนั้น  ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ก็คุยกันปกติ”

“ก็แล้วไปสิ  นายจะร้อนตัวทำไม”  พีทได้โอกาสเหน็บไปที

คราวนี้นายหมีเป็นฝ่ายเหลือบมองพีทบ้าง เขาสงสัยขึ้นมาตงิด ๆ คืนนี้พีทแปลกไปกว่าทุกครั้ง ปกติไม่เห็นสงสัยอะไรเขา วันนี้กลับมาถามคำถามที่ทำเอาเขาไปไม่ถูกเลยทีเดียว

“ว่าแต่เด็กเสิร์ฟคนนั้นหน้าตาคุ้น ๆ นะ  ยังกะลูกอาปีเตอร์ที่ไปเรียนที่อังกฤษเลย  ว่ามั้ย” พีทเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติเรียบเรื่อยเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งใด  แต่ประโยคบอกเล่าธรรมดานั้นกลับทำให้นายหมีเสียวสันหลังวาบทีเดียว   

“เหรอ  ผมไม่รู้จักลูกคุณปีเตอร์หรอก”   

‘งานนี้ตัวใครตัวมันละกันนะแคน  เขาขอเอาตัวรอดก่อน’

“แน่นะ”  สายตาเหมือนรู้ทันฉายอยู่ในดวงตานั้น 

“แน่สิ”   นายหมียังทำใจดีสู้  ‘เสือน้อย’
 
“ไม่รู้จักก็แล้วไป คงจะหน้าคล้ายกัน นอกจากฝาแฝดแล้วในโลกนี้จะมีคนหน้าเหมือนกันสองคนได้ยังไง  ถูกไหม”

“เอ่อ”     

‘..ตึก ตึก...ตอบไงดีล่ะเนี่ย’

คำถามเหมือนรู้ทันนั้นทำเขาเกิดหวั่นใจว่าพีทอาจจะรู้อะไร  เขายังไม่อยากให้พีทรู้ความจริง  ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าคนที่นั่งข้างเขารู้ความจริงจะเกิดอะไรขึ้น
 
ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่พีทไม่เคยแสดงออกว่าหายโกรธ ไม่เคยแสดงออกว่าคิดถึง   ในทางตรงข้าม  พีทแสดงอาการต่อต้านทันทีเวลาพูดเรื่อง ‘พี่ชาย’ ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าบอกเพราะกลัว  เขากลัวว่าพีทจะไม่ต้องการเขาแล้ว  เขายังอยากอยู่แบบนี้ไปอีกสักพัก  ให้เขาได้มั่นใจเสียก่อน 

รถเคลื่อนเข้าสู่ตัวบ้านพอดี  เขาถือโอกาสไม่ตอบ  ส่วนพีทก็ไม่ต่อความอะไร  หนุ่มน้อยลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้านไปเหมือนไม่เคยพูดประโยคที่แฝงความนัยนั้นเลย  ทิ้งให้คนถูกถามเฝ้าใคร่ครวญถึงความหมายของคำถามนั้น

---------------------------------



คืนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงดาว  ร่างของคนที่นอนเหยียดยาวบนเก้าอี้นอนริมสระสั่นสะท้านเพราะน้ำค้างลงยามนี้  เกือบตีสามแล้วแต่พีทยังนอนไม่หลับ  เรื่องราวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมายังค้างคาในหัว  เขาไม่อาจสลัดเรื่องในร้านอาหารเมื่อเย็นออกได้  ใจส่วนหนึ่งที่เชื่อว่าคนตรงหน้าเขาคือ ‘พี่ฮั่น’ ทำให้เขาไม่อยากออกฤทธิ์อะไรมาก  แต่พอคิดว่าพี่ฮั่นร่วมมือกับพ่อและคุณโรสหลอกเขา  มันก็อดที่จะโกรธไม่ได้

‘ทำไมถึงไม่ยอมพูดความจริง เห็นเขาเป็นเด็กอมมือรึไง ถึงได้โกหกกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า’
 

ความคิดนี้ทำให้เขาเจ็บปวด  คราวก่อนเขาคิดง่าย ๆ ว่าจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เรื่อยไป  แต่เย็นนี้พี่โดมถามคำถามที่สะกิดใจเขา  เรื่องทำไมเขาไม่เรียกนายนั่นว่า ‘พี่ฮัท’   

จะเรียกได้ยังไงในเมื่อไม่ใช่.....     

ทั้งที่หลอกคนอื่นว่าเป็นบอดี้การ์ดที่พ่อส่งมา  แต่กลับอยากเป็นพี่ชายของเขาอีกคน   เขาไม่เข้าใจความคิดนายหมีจริง ๆ

‘ให้ตายสิ  นายต้องการอะไรกันแน่!’



“นอนไม่หลับเหรอ” 

“โอ๊ย  ทำไมนายต้องโผล่มาเงียบ ๆ ล่ะ  ตกใจหมด”  พีทสะดุ้งที่นายหมีโผล่เข้ามายืนข้างเก้าอี้นอนเงียบเชียบ   เขาลุกขึ้นนั่งพลางโวยวาย

“นายมาทำไม  ชั้นอยากอยู่เงียบ ๆ แค่นายมายึดห้องนอนในบ้านนี้  ชั้นก็เสียความเป็นส่วนตัวมากพอแล้ว  อย่ามารบกวนได้มั้ย” เขากำลังเคืองอยู่พอดี  ตัวต้นเหตุก็โผล่มา

“ผมเอานมมาให้  กินตอนอุ่น ๆ จะได้หลับสบาย” ในมือใหญ่มีแก้วนมอยู่  นายหมีวางแก้วไว้บนโต๊ะเล็กข้างเก้าอี้ที่พีทนอนอยู่  น้ำเสียงสลดไปเพราะโดนต่อว่า ใบหน้าด้านข้างที่พีทเห็นดูเจ็บปวดกับคำต่อว่าของเขาเอง   

พีทชะงักไปเล็กน้อยเพราะคิดไม่ถึง  ใบหน้าที่เศร้าไปของนายหมีทำให้เขานึกเสียใจที่พูดจารุนแรงโดยไม่รู้ตัว

“คิดเรื่องอะไร  บอกกันมั่งสิ”  เพียงครู่เดียว  นายหมีก็เปลี่ยนท่าที  ไม่พูดเปล่ายังเดินไปลากเก้าอี้มานั่งข้างเขาอีกด้วย
 
‘นี่ฟังกันมั่งมั้ยว่า  อย่ารบกวน’

“เรื่องคุณหนูเกรซเหรอ”  คนมาใหม่เดา

ใบหน้าเคืองของพีท  เหลือบมามองนายหมีชั่วครู่ 

“ไม่ใช่เรื่องของนาย”  คำพูดรุนแรง  แต่น้ำเสียงนั้นอ่อนลงกว่าปกติอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่ทันรู้สึก

“ก็เห็นคนกลุ้มใจนึกว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะแฟนจะต้องไปหมั้นกับคนอื่น”

พีทเงยหน้ามองท้องฟ้าดำมืดอย่างเบื่อหน่าย 

‘อีกแล้วเหรอ เขากับเกรซดูเหมือนแฟนกันมากขนาดนั้นเชียว ไม่ว่าใครต่อใครก็พากันคิดว่าเขาทั้งคู่รักกัน  แล้วนายนี่รู้ได้ไงว่าเกรซจะต้องหมั้น เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้เล่านี่นา’

“นายรู้ได้ไงว่าเกรซกำลังจะหมั้น”

“ผมรู้แล้วกัน  ผมต้องรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณนี่  มันเป็นงาน”     

“ว่าไงล่ะ  คุณกลุ้มเรื่องคุณเกรซจริง ๆ รึเปล่า”  นายหมีถามย้ำอีก

“เราเป็นแค่เพื่อนกัน  เราสนิทกันเพราะชอบอะไรเหมือน ๆ กัน” 

“แล้วชอบอะไรล่ะ”  น้ำเสียงที่ถามสนอกสนใจ

“ก็ชอบดนตรี  ชอบเพลงสไตล์เดียวกัน  แล้วเราก็ยังอยู่ในสถานะเดียวกัน เป็นคุณหนู รวยล้นฟ้า ต้องสืบทอดกิจการ แต่ไม่เคยมีใครเข้าใจอย่างแท้จริงว่าพวกเราต้องการอะไร  อยากทำอะไร  นายเข้าใจไหม  คนสองคนที่มีปัญหาเหมือนกัน  ต่างก็รับฟังปัญหาของกันและกัน  เราคบกันแบบนี้แหละ” 

อะไรไม่รู้ทำให้เขายอมเล่าให้นายหมีฟัง  อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่ถามไถ่เหมือนเป็นห่วงเป็นใย   หรืออาจจะเพราะเขาก็เบื่อแล้วกับการถูกเข้าใจผิดเรื่องเขากับเกรซ

“คิดว่าเข้าใจนะ”  ใบหน้าที่เห็นในแสงสลัว  ดูหมองลงไป   

‘มีคนที่พร้อมจะเข้าใจอยู่อีกคน คนที่นั่งอยู่ข้างนายตอนนี้ไง’  นายหมีครุ่นคิดเพียงลำพัง

“แต่ว่าความเข้าอกเข้าใจกันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความรักก็ได้นะ”

“อะไรของนาย อยากให้ชั้นกับเกรซเป็นแฟนกันรึไง” หนุ่มน้อยไม่เข้าใจ  นายหมีดูสนใจอยากจะรู้จริงจังเรื่องเขากับเกรซตั้งแต่วันแรกที่มาเลยทีเดียว

“ก็ไม่แน่  วันหนึ่งเราสองคนอาจจะรักกันขึ้นมาก็ได้ อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็มีอะไรหลายอย่างที่เข้ากันได้  แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกัน” พีทคิดเช่นนั้น   ตอนนี้เขารู้สึกแค่เพื่อนและเขาก็รู้ว่าเกรซก็คิดเหมือนกับเขา   แต่อนาคตเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจรู้ได้ 

เกิดความเงียบระหว่างพวกเขาทั้งคู่   แม้จะไม่มีใครพูดอะไรอีก  แต่ในความเงียบนั้นคนสองคนที่นั่งข้างกันบนชานไม้หน้าบ้านกลับกำลังทำความเข้าใจอีกฝ่ายอยู่ในใจ 

พีทเพิ่งสังเกตว่าคนคนนี้ดูแลและใส่ใจเขามากกว่าที่คิด แม้กระทั่งเวลานี้  ทั้งที่เขาอยากนั่งคิดอะไรเพียงลำพัง  นายหมีก็ยังดึงดันจะนั่งเป็นเพื่อน และกลับทำให้เขารู้สึกอุ่นใจที่มีใครสักคนมานั่งฟังความคิดของเขา และนี่เป็นครั้งแรกที่พีทเอ่ยปากเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครสักคนฟัง

นายหมีก็เพิ่งได้รู้ว่าพีทคิดอย่างไรกับเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวของตน  พวกเขาคบกันอย่างเพื่อนที่ดีต่อกันอย่างที่เขาคิดไว้ตั้งแต่แรก  พีทไม่ได้รักเกรซ

สายลมเย็นพัดมากระทบร่างที่นั่งเคียงกันอยู่ริมสระน้ำหน้าบ้าน พวกเขาต่างก็จมอยู่ในความคิดของตนเอง  เวลาผ่านไปครู่ใหญ่นายหมีจึงตัดสินใจกลับไปนอน  เขาลุกขึ้น

“อย่าลืมกินนมนะเดี๋ยวมันจะเย็นซะหมด แล้วก็รีบเข้านอนได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย”  สั่งเสร็จแล้วขายาว ๆ  ในกางเกงนอนสีซีดก็เดินกลับไป

ลับร่างของนายหมีแล้ว  พีทหันไปมองแก้วนมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แต่ดวงตาเหม่อลอยเมื่อความทรงจำวัยเด็กย้อนกลับมา




“เอ้า พีท กินนมซะจะได้โตไว ๆ”  เด็กชายร่างอวบยื่นแก้วนมสีขาวส่งมาให้  ใบหน้ากลมนั้นส่งยิ้มจนตาปิด

“ไม่เอา ไม่กิน”  เด็กน้อยวัยหกขวบส่ายหน้าไปมาแสดงความตั้งใจแน่วแน่ 

“ไม่กินก็ไม่โตนะ แล้วเมื่อไรจะสูงเท่าพี่ล่ะ” คนเป็นพี่ยังพยายามกล่อมน้องน้อย

“พี่กินให้ดูก่อนนะ”  ว่าแล้วคนสูงกว่าก็ยกแก้วนมขึ้นดื่มเพียงเล็กน้อย 

“อืมม  อร่อย”  คนเป็นพี่ส่งรอยยิ้มยืนยันคำพูด

“จริงเหรอ”  น้องชายตัวกลมถาม แววตาเริ่มลังเล  ‘นมอร่อยเหรอ?’

“จริงสิ  พี่ไม่โกหกหรอก   อร่อยจริง ๆ นะ  กินแล้วจะได้ตัวโตเท่ากัน  แล้วพี่จะสอนให้เล่นบาส พีทอยากเล่นเป็นไม่ใช่เหรอ แต่พีทต้องสูงให้เท่าพี่ก่อนนะ คนตัวเล็กเล่นไม่ได้หรอก” 

“กิน ๆๆ  พีทจะกินนม  พีทจะสูงให้เท่าพี่ฮั่นเลย  รอพีทก่อนนะ”  คราวนี้คนตัวเล็กไม่รอช้า รับแก้วนมที่พี่ส่งให้  ยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วเพราะอยากสูงเท่าพี่

“อร่อยจังเลย” 




“ตอนนี้เราสูงเท่ากันแล้วนะ” 

พีทเอ่ยเสียงเบาถึงคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้   มือเรียวเอื้อมหยิบแก้วนมที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นดื่มช้า ๆ จนหมด  นมอุ่นกำลังดี  ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากลำคอลงไปถึงท้องและทั่วร่างกายที่เย็นเพราะตากน้ำค้าง   

อุ่นไปถึงหัวใจที่เหน็บหนาวของเขาทีเดียว

----------------------------






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2014 21:18:16 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
16. ไม่ใช่พี่ชาย (2)



“ฮัดชิ้ว!”

พีทจามตั้งแต่ตื่นนอน  เที่ยงพอดีตอนที่เขาออกมาจากห้องนอน  กลิ่นอาหารลอยมากระทบจมูกทันทีที่ลงบันไดมาถึงชั้นล่าง  เขาเดินไปที่ห้องครัวที่ทาสีขาว  ผนังด้านหนึ่งของห้องครัวเป็นหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่เปิดออกเพื่อรับลมและระบายกลิ่น
 
ร่างสูงใหญ่ของนายหมีหันหลังให้เขา ขณะก้มหน้าปรุงอาหารอยู่หน้าเตาอย่างคล่องแคล่ว  พีทหยุดยืนมองอยู่นานจนกระทั่งนายหมีหันกลับมาเพื่อวางอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว  หน้าใสนั้นมันเล็กน้อยเพราะอยู่หน้าเตา  เหงื่อซึมตามขมับไหลหายไปในเสื้อยืดที่สวมอยู่   ภาพนายหมีใส่ชุดกันเปื้อนกลับดูน่ารักขัดกับหน้าตาของตัวเอง

“อ้าว  ตื่นแล้วเหรอ  กำลังคิดว่าจะไปเรียกพอดี  มานั่งสิ  กินข้าวกัน”  นายหมีหันมาเห็นพีทเข้าพอดีจึงเรียกไปกินข้าว

“สปาเกตตีคาโบนาร่าซูเปอร์เบคอนของโปรดนายไง” พ่อครัวยิ้มอวดอาหารจานเด็ดของตนเอง

พีทชะงักเท้าที่กำลังก้าว  เขาหยุดนิ่ง  ใบหน้าเรียวฉงนน้อย ๆ ของเขาทำให้นายหมีชะงักไปเหมือนกัน   

“เอ่อ..คือ..คือลุงฉีบอกว่านายชอบกินไง”  คนที่กำลังถือจานอาหารอึกอึกเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“เมื่อคืนกลับไปนอนกี่โมงอ่ะ เป็นหวัดรึเปล่า นอนตากน้ำค้างตั้งนาน” เขาวางจานลงที่โต๊ะ หลบสายตาที่จ้องตรงมาอย่างแน่วแน่ของพีท

พีทเงียบไปแล้ว  บรรยากาศที่กำลังสดใสเปลี่ยนไปจนน่าอึดอัด หนุ่มน้อยไม่พูดอะไรอีกหลังจากเดินมาที่โต๊ะ  ทำเพียงแค่ก้มหน้ากินสปาเกตตีไปเงียบ ๆ   ปล่อยให้นายหมีนั่งเขี่ยจานอาหารของตนพลางแอบมองพีทอย่างหวั่นใจ 

‘บางทีเขาก็ลืมตัวไปบ้าง  ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะคิดยังไง  ต้องสงสัยอะไรเขาแน่’   คิดแล้วก็อยากเขกหัวตัวเอง ตอนทำไม่ได้คิดอะไรเลย  เขาแค่อยากทำสิ่งที่ชอบให้ก็เท่านั้น  จนลืมคิดถึงสถานะปัจจุบันระหว่างเขากับคนที่นั่งตรงข้ามนี้ไป

“อ้าว ลุงฉี สวัสดีครับ”  นายหมีเงยหน้าจากจานอาหารเห็นลุงฉีกำลังเดินเข้ามาในห้องครัว  ใบหน้าชายสูงวัยยิ้มให้คุณชายทั้งคู่

“สวัสดีครับลุงฉี”  คนที่นั่งตรงข้ามเขาหันกลับไปทักพ่อบ้านอาวุโสบ้าง

“สวัสดีครับคุณชาย  เมื่อเช้าคุณท่านโทรมาให้คุณชายไปงานวันเกิดคุณปีเตอร์แทนท่านเย็นนี้ครับ”

“อ้าว  พ่อโทรมาเหรอ  แล้วทำไมไม่เรียกผมล่ะครับ”   หนุ่มน้อยแปลกใจเพราะปกติพ่อมักจะโทรมาสั่งเขาด้วยตัวเองเสมอ

“คุณท่านบอกว่าโทรแล้วแต่คุณชายไม่รับสายก็เลยโทรไปที่บ้านใหญ่”  ลุงฉีตอบ

“อ๋อ  จริงด้วย  สงสัยนอนเพลินเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์”

“เดี๋ยวผมจะให้เด็กเอาชุดสูทของคุณชายมาส่งนะครับ” ลุงฉีบอกแล้วกำลังเดินกลับ  แต่คงนึกอะไรออกจึงหันมาใหม่

“อ้อ  คุณท่านยังบอกว่าเสร็จงานประชุมที่ยุโรปแล้ว  จะกลับอาทิตย์หน้าครับ” 

“จริงเหรอครับ  ขอบคุณครับลุงฉี” พีทตาโตทีเดียวที่ได้รับข่าวดี  หนุ่มน้อยเปลี่ยนเป็นยิ้มสดใสเพราะดีใจที่พ่อกับคุณโรสจะกลับบ้าน   อารมณ์จึงแจ่มใสขึ้น
 
ลุงฉีเดินกลับออกไปแล้ว  นายหมีที่แอบมองเด็กหนุ่มตรงหน้าเห็นใบหน้ายิ้มแย้มแล้วจึงค่อยโล่งใจ  จึงลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม

“อร่อยมั้ย”  ถามไปแล้วแทบจะกลั้นใจรอคำตอบ

“ก็...ใช้ได้”  หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมาตอบ  พลางย่นจมูกทำปากยื่นใส่อย่างน่ารัก

จู่ ๆ หัวใจเหมือนสะดุดไปหนึ่งจังหวะเพียงแค่เห็นภาพนั้น 

‘อะไรกันความรู้สึกแบบนี้’


เขาดีใจที่พีทไม่โกรธ  ความรู้สึกเป็นสุขไหลอาบไปทั่วร่าง  คนตัวใหญ่ยิ้มกว้าง  หยิบส้อมมาม้วนเส้นสปาเกตตีส่งเข้าปากตัวเองบ้าง 

‘อาหารมื้อนี้วิเศษที่สุดเลย’




หลังอาหารกลางวันสิ้นสุดลง  พีทคว้ากีตาร์โปร่งตัวเก่าไปนั่งเล่นหน้าบ้าน  เขารู้สึกปลอดโปร่งใจจนอยากจะแต่งเพลง  นิ้วเรียวไล่โน้ตไปเรื่อยตามแต่ใจจะสั่ง  หยุดจดโน้ตบนสมุดและเริ่มเล่นใหม่  ลมพัดเย็นทำให้เขาปล่อยความคิดให้ไหลไปกับสายลม  ใบหน้าใครบางคนเมื่อตอนกลางวันโผล่มาในห้วงความคิด  ตอนที่เขาชมเรื่องสปาเกตตี   

‘ยิ้มหน้าบานเชียวนะ’ 

“หึ”  เขาทำเสียงประชดไปกับลมฟ้าอากาศถึงคนในความคิด   

สปาเกตตีคาโบนาร่าซูเปอร์เบคอนเป็นของโปรดเขาตอนประถม ชื่อนี้เขาเป็นคนตั้งเองด้วย  พีทสั่งให้แม่ครัวทำสปาเกตตีใส่เบคอนเยอะ ๆ ทุกมื้อ   จนพี่ฮั่นเบื่อเพราะถูกบังคับให้กินด้วยกัน   ถึงกับประกาศว่าจะไม่กินสปาเกตตีอีกตลอดชีวิต     

‘คงจะเผลอสินะ’ 


พีทไม่รู้จะโกรธหรือดีใจ  ความรู้สึกอันไหนมีมากกว่ากันเขาตอบไม่ได้  ใจหนึ่งก็โกรธที่ยังถูกหลอกอยู่   

แต่อีกใจลึก ๆ ก็เหมือนมีดอกไม้ดอกเล็ก ๆ กำลังเบ่งบานอยู่ภายใน  เขาคลี่ยิ้มทีละน้อย  ดวงตาเป็นประกาย  แอบดีใจที่ยังมีคนจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนเป็นเด็ก  อาหารโปรดของเขาคืออะไร

“ฮัดชิ้ว!”  เขาจามอีกแล้ว



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2014 21:19:24 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ยิ่งอ่านยิ่งสนุกนะเรื่องนี้
พี่ฮั่นแกล้งหลุดเปล่า เรื่องสปาเก็ตตี้

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
17. งานเลี้ยง



นายหมีหายตัวไปตลอดบ่ายอีกครั้ง  พีทจึงไปออกกำลังกายที่บ้านใหญ่และกลับเข้าบ้านมาเมื่อเกือบสี่โมง  เขาอาบน้ำแล้วเตรียมตัวเพื่อไปงานเลี้ยงวันเกิดคุณปีเตอร์ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและคู่ค้าคนสำคัญของพ่อ  งานเลี้ยงวันนี้คงมีนักการเมืองและนักธุรกิจทั้งวงการไปร่วมอวยพร  เพราะคุณปีเตอร์เป็นเจ้าของธุรกิจผู้กุมอำนาจธุรกิจด้านอาหารและการเกษตรครอบคลุมทั่วเอเชียและกำลังขยายไปยังแถบอเมริกาและยุโรป  นอกจากนี้ยังร่วมทุนด้านการโรงแรมกับพ่ออีกด้วย 

พีทเคยออกงานประเภทนี้กับพ่อมาบ้าง เขาจึงไม่รู้สึกลำบากอะไรที่คราวนี้ต้องฉายเดี่ยวเป็นตัวแทนพ่อและคุณโรส   ร่างสูงโปร่งที่เข้าสู่วัยหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปกเสื้อขลิบด้วยผ้าสีเข้ม  ไม่ผูกเนคไทแต่สวมทับด้วยเสื้อกั๊กติดกระดุมเข้ากับสูทอาร์มานี่สีดำทั้งชุดทับด้านนอก  ปัดผมไปด้านข้างให้เรียบร้อย  ดูเปลี่ยนจากหนุ่มน้อยสุดฮิปมาเป็นคุณชายเต็มตัว  แต่ยังคงสวมต่างหูประดับเพชรเม็ดเล็กที่ใส่ประจำไว้

เขาเดินมาตามทางเดินมุ่งสู่ลานจอดรถหน้าบ้านริมสระ  แผ่นหลังของร่างที่เริ่มคุ้นตายืนหันหลังรออยู่ที่รถ  ขายาวของคุณชายก้าวช้าลงเมื่อใช้เวลาสังเกตคนที่ยืนรออยู่ 

เมื่อก้าวเข้าไปใกล้  พีทเพิ่งสังเกตว่าคนคนนี้มีแผ่นหลังที่ตรงและกว้างเพียงไร   เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก  เขาจำได้แค่เพียงมืออบอุ่นที่คอยจับจูงเสมอเวลาไปไหนด้วยกัน  ตอนนี้มือคู่นั้นจะยังอบอุ่นเหมือนเดิมรึเปล่านะ

ขณะเดียวกัน  เสียงฝีเท้าจากบ้านริมสระทำให้เจ้าของร่างสูงกำยำที่สวมสูทสีเข้มเปลี่ยนท่าจากที่ยืนมือไพล่หลังหันกลับมา  เด็กฮิปของเขาอยู่ในชุดสูทสีดำเหมือนกัน  ดูแปลกตาไปจากที่เคยเป็น  ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ใบหน้าที่มักจะยิ้มเสมอเวลาอารมณ์ดีเวลานี้ดูนิ่งขรึม  แต่กลับส่งเสริมให้พีทดูสง่า ผมที่เซตให้ปัดไปด้านข้างเปิดหน้าผาก  ดูหล่อเหลา  เขายิ้มกว้างให้ภาพนั้น
 
เมื่อพีทเดินมาถึง  ใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยทัก

“แต่งตัวแบบนี้แล้วดูเป็นผู้ใหญ่นะ” รอยยิ้มและน้ำเสียงแฝงความชื่นชมไม่ปิดบัง   

พีทก้าวมายืนตรงหน้า  ใบหน้าเรียวนั้นดูเขินนิด ๆ ที่ได้รับคำชม   หากเจ้าตัวกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อตอบนายหมี

“ก็คนมันหล่อ  ใส่อะไรก็ต้องดูดีสิ”   ว่าพลางยักคิ้วให้   

‘นายก็ดูดีเหมือนกันแหละ’  พีทคิดในใจ   

นายหมีกลับมาใส่สูทเต็มยศเหมือนครั้งแรกที่เจอกันอย่างเป็นทางการ  ผูกเนคไทสีเข้มเหมือนสูทที่สวมใส่  ผมดำถูกเซตเสยไปด้านหลัง ไม่ปล่อยให้ปรกหน้าผากเหมือนทุกวัน  คิ้วเข้ม  ดวงตาคม  แววตานิ่งสงบในตอนแรกที่หันกลับมาทางเขา ทำให้พีทต้องยอมรับในใจว่า
 
นายหมีช่าง...‘น่าเกรงขาม’   
   
‘นี่คงเป็นตัวจริงของนายสินะ  ที่มาทำเป็นบอดี้การ์ดนั่นก็แค่เล่นสนุกล่ะสิ’    

นายหมีส่ายหน้าเล็กน้อยกับคุณชายของเขา  ก่อนจะเดินไปเปิดประตูเฟอร์รารี่คันงาม  รอจนพีทเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้วจึงปิดประตูให้ ส่วนตัวเองก็กลับเข้ามานั่งประจำที่คนขับ  บรรยากาศในรถดูเปลี่ยนไปจากวันก่อน ดูเหมือนกำแพงระหว่างเขากับคุณชายได้ถูกทำลายลงทีละน้อยเมื่อเขาสังเกตว่าพีทไม่ได้มีท่าทีไม่ชอบใจอีกต่อไป  กลับผ่อนคลายและยิ้มให้เขาบ่อยขึ้น

‘เพราะสปาเกตตีนั่นรึเปล่านะ  ถ้ารู้แบบนี้ทำให้กินตั้งนานแล้ว’ 


คนที่นั่งขับรถยิ้มมุมปาก  เมื่อคุณชายของเขากำลังวุ่นวายเปิดแผ่นซีดีหาเพลงที่ต้องการ  เสียงหนุ่มน้อยร้องคลอไปกับเพลงนุ่ม ๆ ทำให้เขารู้สึกอิ่มใจ ไม่รู้ตัวเลยว่าขับรถช้าลง




เฟอร์รารี่จอดลงที่หน้าโรงแรม  พนักงานที่ประจำอยู่ด้านหน้ารีบเดินมาเปิดประตูพร้อมกับโค้งให้อย่างนอบน้อม  นายหมีปล่อยให้พนักงานรับรถนำไปจอด  ตัวเขาก้าวเดินตามร่างสูงโปร่งของพีทเข้าไปภายใน  เขามองไปที่แผ่นหลังคุณชายที่เอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ  ดูเปลี่ยนไปจากภาพเด็กวัยรุ่นที่ใส่กางเกงยีนส์เสื้อยืดยืนร้องเพลงอยู่บนเวที  เป็นชายหนุ่มเต็มตัว ดูสมาร์ท สมกับที่เป็นลูกชายคุณคริส   คิดแล้วนายหมีก็ยิ้มออกมาขณะขายาวก้าวตามติด

พนักงานโรงแรมต่างพากันโค้งให้เมื่อสองหนุ่มเดินผ่าน  ทำให้พีทขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะพนักงานโรงแรมสาขาใหม่ไม่น่าจะรู้จักเขา เพราะปกติเขาเป็นคนเก็บตัว  พนักงานส่วนใหญ่รู้จักแต่ท่านประธานโรงแรมเท่านั้น 

แล้วโค้งให้ใคร?

พีทตวัดสายตาไปด้านหลังรวดเร็วพอที่จะเห็นนายหมีที่เดินตามมาพยักหน้าเล็กน้อยให้กับพนักงานเหล่านั้น  คนที่เดินตามหลังหันมาเห็นสายตาของเขาจึงชะงักไปเพียงนิดเดียว  นิดเดียวเท่านั้น  จากนั้นใบหน้าคมก็กลับมาปกติเหมือนเดิม 

“มีอะไรรึเปล่า”

คนที่เดินตามหลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถามหนุ่มน้อยที่อยู่ดี ๆ ก็หันกลับมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างรู้ทันของคุณชายทำให้เขาแอบสะดุ้งในใจแต่ยังวางหน้าเฉย  ดวงตาที่มองมานั้นฉายชัดว่ารู้  รู้บางสิ่งบางอย่างแต่พีทไม่พูดอะไร  ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำสนิทหันกลับ  เดินตรงเข้าไปในลิฟต์แก้วที่เปิดรออยู่เพื่อพาพวกเขาไปยังชั้นที่จัดงาน

คนมีความลับแทบจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เลยทีเดียว  แรกสุดเขาตั้งใจจะโดดงานนี้แล้วส่งคนอื่นมาแทน  แต่หลังจากที่เช็ครายชื่อแขกทั้งหมดที่จะมาร่วมงานแล้วพบว่ามีรายชื่อนักการเมือง ‘ตัวการ’ ฝ่ายตรงข้ามมาร่วมงานด้วย  ทำให้ไม่อาจปล่อยให้พีทมากับคนอื่นได้  ด้วยความเป็นห่วงจึงทำให้เขาต้องมาเอง  แม้ว่าจะทำให้เขาต้องหลบหน้าหลบตาใครไปบ้าง
 
พีทเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติหลายอย่างแต่ไม่อยากพูด บอดี้การ์ดของพ่อนี่ใหญ่มากขนาดพนักงานโรงแรมทุกคนโค้งให้  ตั้งแต่ลงมาจากรถพวกเขาได้รับการบริการอย่างดียิ่งกว่าแขกวีไอพี  นายนี่คงตำแหน่งใหญ่น่าดู 

‘เอาเหอะ วันนี้เขาอารมณ์ดีมาทั้งวัน  เขาจะทำไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน’ 





งานเลี้ยงวันเกิดคุณปีเตอร์จัดในโรงแรมสาขาใหม่ที่ตระกูลหยางเป็นเจ้าของ   ห้องจัดเลี้ยงหรูหราตกแต่งด้วยดอกไม้และไม้พุ่มจำนวนมากราวกับจำลองสวนดอกไม้มาไว้ในงานขณะนี้แน่นขนัดไปด้วยแขกเหรื่อแต่งกายสวยงามเดินไปมาเพื่อทักทายหรือจับกลุ่มพูดคุยกัน   ผู้คนในแวดวงธุรกิจรวมไปถึงนักการเมืองต่างพร้อมใจมาร่วมงานนี้  รวมไปถึงนักข่าวหลายสำนักที่มาทำข่าวอย่างคึกคักจนห้องจัดเลี้ยงที่จุคนได้หลายร้อยคนแน่นไปถนัดตา

พีทเข้าไปทักทายคุณปีเตอร์และภรรยาที่ยืนต้อนรับแขกอยู่บริเวณหน้าห้องจัดเลี้ยงพร้อมกับอวยพรสั้น ๆ 

“พีท สบายดีไหม” 

คำถามของคุณปีเตอร์นั้นฟังผิวเผินก็อาจเหมือนไม่มีอะไร  แต่พีทที่สบตากับเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจของพ่อมานาน  เข้าใจความหมายที่แฝงมาเป็นอย่างดี

“สบายดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ” หนุ่มน้อยตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ชายสูงวัยกว่าอย่างขอบคุณ   
 
คุณปีเตอร์ก็คล้ายกับพ่อของเขา ที่เป็นผู้กุมอำนาจทางธุรกิจและถูกชักชวนเข้าสู่วงการการเมืองมาหลายครั้งหลายคราแต่ยังใจแข็งปฏิเสธไม่เล่นการเมือง  คนสูงวัยกว่าจึงเข้าใจสถานการณ์ขณะนี้ได้ดี   

เขาคุยกับคุณปีเตอร์เล็กน้อยจึงขอตัวเพื่อให้คุณปีเตอร์รับแขกอื่นต่อไป  คุณชายหันกลับมาก็มองไม่เห็นบอดี้การ์ดของเขาแล้ว  ร่างสูงเดินเข้าไปภายในงานจึงพบว่าคนที่เขามองหาอยู่เข้ามายืนหลบมุมรอแล้วในห้องจัดเลี้ยง

“กลัวเจอคนรู้จักรึไง”  คุณชายเหน็บทันที   

นายหมีกลับทำเฉยกลบเกลื่อนเหมือนไม่ได้ยินคำเหน็บแนมนั้น   เขาผายมือเป็นเชิงให้คุณชายเดินนำเข้าไปในงาน

งานเลี้ยงจัดแบบค๊อกเทล  มีการจัดอาหารบริการหลายจุดทั่วงาน  พนักงานเสิร์ฟที่ได้รับการอบรมอย่างดีถือถาดเงินที่บรรจุอาหารว่างชิ้นเล็กพอดีคำ  และเครื่องดื่มหลายประเภทบรรจุในแก้วมีก้านทรงสูงเดินบริการแก่แขกที่จับกลุ่มคุยกัน
 
พีทรับแก้วแชมเปญมาจากพนักงานที่ค้อมตัวส่งให้  เขายกขึ้นจิบเล็กน้อย  ความแรงของเครื่องดื่มทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบตั้งแต่คอลงไปทีเดียว   

“คุณไม่น่ารีบดื่มของพวกนี้นะ ท้องยังว่างอยู่ เดี๋ยวก็เมา” นายหมีห้ามไม่ทัน  เอ่ยเตือนเสียงเบา

“เล็กน้อยน่า  แชมเปญแค่แก้วเดียว” 

“เอ้า ทานนี่สิ”  มือใหญ่ยื่นจานกระเบื้องใบเล็กที่บรรจุคานาเป้หน้าต่าง ๆ  กับมินิแซนวิชดูน่ากินส่งให้  แล้วคว้าแก้วแชมเปญออกจากมือพีทวางกลับคืนไปที่ถาดของพนักงานที่ผ่านมาพอดี 

หนุ่มน้อยรับจานอาหารว่างมา  ก็พอดีมีมือบางสอดเข้ามาจับแขนเขาจากด้านหลัง  เขาหันไปก็ต้องตาโต

“อ้าว  เกรซ  คิดแล้วเชียวว่าต้องเจอที่นี่”  เขาทักเพื่อนสาวคนสวย 

“วันนี้แต่งตัวซะสวยเลยนะ  มากับที่บ้านรึเปล่า”

“หวัดดีพีท  สวัสดีค่ะ”  ท้ายประโยคสาวน้อยหันไปทัก ‘ผู้ดูแล’ ของพีท

แม้ว่าร่างสมส่วนของเกรซจะสวมใส่เสื้อผ้าสวยงาม แต่ใบหน้าสวยนั้นกลับดูเศร้าหมอง  ไม่สดใสเลยสักนิด  พีทจึงถามด้วยความเป็นห่วง

“เธอโอเคไหม  ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“เกือบไม่ไหวแล้วพีท  นายจำได้ใช่ไหมว่าคนที่พ่อแม่จะให้เราหมั้นด้วยเป็นลูกชายคุณปีเตอร์เจ้าของวันเกิดวันนี้”  เกรซพูดเสียงสั่นเครือ  ดวงตากลมมีหยาดน้ำใสคลอ  แต่เธอก็รีบเงยหน้าไม่ให้น้ำตาไหลออกมา  แล้วรีบยิ้มกลบเกลื่อน

“เราจำได้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ  เข้มแข็งไว้” พีทให้กำลังใจเพื่อน  เขาวางมือบนผมนุ่มสลวยของเกรซ  โยกเบา ๆ อย่างปลอบใจ  ไม่รู้เลยว่าท่าทีนั้นอยู่ในสายตาของใครบ้าง

“แล้วเจอกันรึยัง”  พีทอยากรู้เหมือนกันว่าจะใช่คนเดียวกับที่เขาคิดรึเปล่า  เขาเคยเจอลูกชายคุณปีเตอร์แค่ครั้งเดียวในงานวันเกิดคุณปีเตอร์เมื่อหลายปีก่อน  ก่อนที่ลูกชายคุณปีเตอร์จะไปเรียนต่อที่อังกฤษ 

“ยังไม่เจอ  เรา..เรา..ไม่อยากเจอใครเลยพีท”  น้ำเสียงของเกรซแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ช่างเถอะเราไม่อยากคิดมากอะไรอีกแล้ว  เมื่อกี้เห็นนาย  เราดีใจแทบแย่  มาได้จังหวะพอดีเรามีเรื่องรบกวนนายหน่อย”  เกรซที่พยายามทำตัวร่าเริงหันมาถาม

“เอ้า  มีเรื่องอะไร  ว่ามา”  หนุ่มน้อยตอบพลางส่งยิ้มอบอุ่นให้

“เราต้องขึ้นไปร้องเพลงเป็นของขวัญวันเกิดน่ะ  พีทช่วยเล่นเปียโนให้หน่อยสิ  ถ้านายขึ้นไปเป็นเพื่อนเราคงอุ่นใจขึ้นเยอะ”  เกรซเขย่าแขนพีทน้อย ๆ ใบหน้าอ้อนวอน

“โธ่  แค่นี้เอง  เรื่องเล็ก”  พีทยิ้มให้อีกครั้ง

ทั้งสองคนคุยกันเรื่องเพลงที่จะใช้กันสักครู่   พีทจึงหันมาทาง ‘ผู้ดูแล’ ของเขา 
 
“ผมจะไปทางโน้นกับเกรซ  ต้องไปเล่นเปียโนให้เจ้าหญิงแสนสวยหน่อย  เดี๋ยวมานะ”  เขาว่าพลางยื่นจานอาหารว่างที่ยังไม่ได้แตะนั้นกลับคืนไปที่นายหมี 
 
“เดี๋ยว”  ร่างสูงที่ยืนฟังอยู่รีบเอ่ยแต่ไม่ทันแล้ว  พีทกับเกรซเดินเคียงกันไปที่ด้านข้างเวทีแล้ว

“เฮ้อ”  คนตัวใหญ่ที่ยืนมองทั้งสองคนถอนหายใจเพียงลำพัง  ก็ดีเหมือนกันเขาจะได้ ‘หลบ’ ง่ายขึ้น   ตั้งแต่เข้ามาในงานเขาต้องคอยสังเกตผู้คนในงานเพราะกลัวใครต่อใครเข้ามาทัก  ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยอยากมางานนี้เท่าไรแถมมากับเด็กฉลาด  กลัวจะหลุดให้พีทจับได้   

“ดูท่าทางเขาเหมาะกันดีนะพี่ ไม่รู้ทำไมถึงยอมหมั้นกับผม” 

ร่างสูงโปร่งของใครอีกคนก้าวมายืนข้างนายหมีอย่างเงียบเชียบ  คนมาใหม่สวมสูทเช่นกัน  ใบหน้าคมเข้มจับตามองไปที่ร่างบางที่เดินเคียงข้างพีทไป  ทั้งคู่ยืนมองคนสองคนที่เตรียมตัวแสดงอยู่ด้านข้างเวทีไม่ไกลเท่าไรนัก แต่เพราะผู้คนที่เดินขวักไขว่ทำให้พอจะบดบังพวกเขาไปได้บ้าง

นายหมีกลั้นยิ้มกับคำพูดประชดประชันนั้น  เขารู้อยู่ตลอดว่าคนพูดไม่เคยชอบใจเวลาเห็น ‘สองคนนั้น’  อยู่ด้วยกัน

“หึงรึไง”  นายหมีแกล้งถาม 

“เปล๊า  อย่างผมนะเหรอจะหึง  ผมไม่ได้อยากหมั้นด้วยซะหน่อย  แค่เพราะพ่อผมกับพ่อเขาเป็นเพื่อนรักกันก็เลยอยากให้ลูกดองกันแค่เนี่ย  เหตุผลอะไรไม่เข้าท่าสักนิด”   คนไม่อยากหมั้นปฏิเสธเสียงสูงเชียว

“พี่ถามพีทมาแล้ว  พีทบอกว่าเขากับคุณหนูเกรซเป็นเพื่อนกัน” 

“จริงเหรอพี่”  เสียงนั้นถามกลับอย่างกระตือรือร้นเป็นพิเศษ 

นายหมีหรี่ตาชั้นเดียวของตนมองคนข้าง ๆ

“ไหนว่าไม่หึง  ไม่อยากหมั้นไง  แล้วดีใจทำไมที่สองคนนั้นเป็นแค่เพื่อนกัน”

“เอ่อ”  เห็นสายตาจับผิดของเพื่อนรุ่นพี่แล้ว  คนข้าง ๆ ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน  พอดีกับที่เสียงประกาศบนเวทีเรียกความสนใจของคนทั้งงาน

พิธีกรของงานได้เชิญเจ้าภาพ นั่นคือคุณปีเตอร์และภรรยาขึ้นมาบนเวที  ตามด้วยแขกผู้ใหญ่หลายท่านให้ขึ้นมาอวยพรเจ้าภาพของงาน หลังจากแขกกล่าวอวยพรแล้วพิธีกรจึงได้เชิญชมการแสดงพิเศษ 

เสียงเปียโนพลิ้วกังวานดังแทรกเสียงพูดคุยของบรรดาแขกเหรื่อ เรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมองเป็นจุดเดียว  ชายหนุ่มที่กำลังบรรเลงเพลงนั้นส่งยิ้มให้กับผู้ชม  นิ้วที่พรมลงบนเปียโนก่อให้เกิดเสียงอันไพเราะ แผ่วหวาน  ข้างเปียโนหลังใหญ่ปรากฏร่างสมส่วนของสาวสวยในชุดราตรียาวสีขาว  และเมื่อเธอเริ่มต้นร้องเพลง  ผู้คนในห้องโถงใหญ่นั้นก็แทบลืมหายใจ   คนสองคนที่ยืนมองอยู่ต่างจ้องมองไปที่เวทีอย่างลืมตัว 

เสียงปรบมือแสดงความชื่นชมให้กับนักร้องสาวสวยและนักเปียโนกิตติมศักดิ์ดังกึกก้องในห้องจัดเลี้ยงนั้นยาวนาน  ทั้งคู่ควงกันออกมาโค้งรับเสียงปรบมือทำให้คนที่จับตามองว่าที่คู่หมั้นสาวตลอดเวลาแทบทนไม่ได้  เขากัดฟันพูดกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนปรบมืออยู่ใกล้

“ไม่เหมือนคนเป็นเพื่อนกันเลยนะพี่ ดูยังไงก็คู่รัก”

คนช่างประชดเอ่ยด้วยน้ำเสียงขัดเคือง ‘นั่นว่าที่คู่หมั้นของผมนะ’

“ใจเย็นๆ น่า แคน” 

นายหมียิ้มปลอบใจให้คนที่อุตส่าห์ปลอมบัตรประชาชน  เอกสารสารพัด ลงทุนไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟในผับดังเพราะอยากเห็นหน้าว่าที่คู่หมั้น ก่อนจะตัดสินใจว่าจะยอมหมั้นหรือจะ ‘หนี’

พิธีกรกำลังเชิญแขกดื่มอวยพรให้เจ้าภาพ  นายหมีมองไปที่คุณชายของเขาบนเวทีที่ยกแก้วแชมเปญขึ้นดื่ม  คิ้วหนาขมวดกึกอย่างไม่ชอบใจนักที่เห็นพีทดื่ม ก็เด็กนั่นยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็น   

ฝ่ายว่าที่คู่หมั้นหนุ่มก็หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าคมเข้มนั้นขมวดมุ่นเมื่อเห็นคนทั้งคู่ชนแก้วกันบนเวที  เขากำมือแน่นเพื่อคุมอารมณ์ จับตามองจนกระทั่งสองคนบนเวทีเดินลงมา 

“ไว้ค่อยคุยกันนะพี่ ผมต้องไปแล้ว” 

แคนพยักพเยิดไปยังคนทั้งคู่ที่กำลังเดินตรงมาที่พวกเขายืนอยู่แล้วรีบหลบฉากไปทันควัน  ปล่อยให้นายหมียืนรอทั้งคู่อยู่เพียงลำพัง

พีทและเกรซเดินกลับมาหานายหมีที่ยืนรออยู่ หนุ่มน้อยยิ้มพลางพูดอะไรบางอย่างกับคนข้างตัว  ทั้งคู่คุยหยอกล้อกันระหว่างทางที่เดินมา ใบหน้าเกรซดูสดใสขึ้น  คนที่ยืนมองอยู่เห็นภาพนั้นกลับรู้สึกแปลก  เขาอธิบายไม่ถูก  ก่อนที่จะหาเหตุผลอะไรได้พีทก็เดินเข้ามาถึงพอดี

“เพลงเพราะมากครับ”  นายหมีกล่าวชมสาวน้อยข้างกายพีท

“ขอบคุณมากค่ะ”  เกรซตอบแล้วยิ้มให้ 

“คราวหน้าถ้าคุณชายเขาไม่สบาย  คุณเกรซก็ขึ้นร้องแทนได้สิครับ   เสียงเพราะขนาดนี้  รับรองว่าคุณชายพีทตกกระป๋องแน่” 

‘นายหมีชมคุณหนู แล้วมาแขวะอะไรเขาล่ะเนี่ย’ 

พีทเลิกคิ้วหนาของตัวเอง หนุ่มน้อยทำหน้ายุ่งไม่จริงจังนัก

“วงพี่ร็อกกี้เล่นแต่เพลงผู้ชาย   แล้วเรนจ์เสียงของเกรซแบบนี้ถ้าจะร้องให้เข้ากับวงต้องลดคีย์ลง  ต้องซ้อมเพื่อปรับคีย์กันก่อนด้วย   อยู่ ๆ จะให้ร้องเลยได้ที่ไหน  มันจะไปคนละทาง  เข้าใจป่ะ” 

คุณชายพีทเป็นคนตอบคำถามเสียเองไม่รู้เพราะหมั่นไส้นายหมีรึเปล่า  เกรซพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับพีท  เธอคุยอยู่ครู่แล้วขอตัวกลับไปหาคุณพ่อที่ยืนคุยกับเจ้าภาพอยู่อีกด้านของห้องจัดเลี้ยง  ทันทีที่คุณหนูเกรซหันหลังให้ พีทก็ถูกลากออกจากงานทันที

“นี่นายทำอะไร จะลากชั้นไปไหนเล่า”  พีทโวยวายเสียงเบา มือนายหมีจับเหนือศอกเขากระชับแน่น  ดึงเขาแทรกตัวผ่านบรรดาแขกเหรื่อในงาน

‘ทำไมนายนี่ชอบลากเขาซะจริง’

“กลับบ้านไง” นายหมีหันมาตอบ  แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่อยากอยู่ในงานนี้อีกต่อไป  หงุดหงิดพิกล

พีทไม่มีโอกาสจะโต้เถียงอะไร  เมื่อหมียักษ์ลากเขาไปจนถึงลิฟต์แก้วที่เคลื่อนมาถึงพอดี  ทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์  นายหมีหันกลับมากดชั้นที่ต้องการ 

ขณะที่ลิฟต์ฝั่งที่เขาอยู่ค่อยๆ ปิดลง  พอดีกับที่ลิฟต์ฝั่งตรงข้ามเปิดออก  คนที่ยืนอยู่ในลิฟต์ด้านตรงข้ามทำให้เขาตกตะลึงไปชั่วขณะ

ความโกรธเกลียดพุ่งขึ้น  เขากำหมัด  ฟันขบกันแน่น  เขาไม่เคยลืมใบหน้าของคนชั่วร้าย   

คนที่ออกคำสั่งให้ลักพาตัวเขาเมื่อสิบปีก่อน!!!

----------------------------------------------

จำได้ไหมเอ่ยว่าใครเป็นคนลักพาตัวเมื่อสิบปีก่อน  ^^
ขอบคุณที่ทักทายกันค่ะ  คุณ insomniac คุณ cavalli





ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :3123:

เป็นกำลังใจ ไห้ สู้ๆ จ้า ^^

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
18. ทะเลาะ



พีทงงเล็กน้อยที่ถูกลากออกจากงานเลี้ยงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบงานประเภทนี้อยู่แล้วก็ตาม  แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์  ท่าทีนายหมีที่ผิดปกติไปจากเมื่อครู่ทำให้เขางงกว่าเดิม 

“นายเป็นอะไร  มีเรื่องอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นล่ะ” เขาอดไม่ได้จึงถาม 

“เปล่า ไม่มีอะไร”  คนที่ยืนกำหมัดแน่นกัดฟันตอบกลับมา  ใบหน้าที่พีทเห็นเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

‘แล้วยังจะมาบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอ  ไม่บอกความจริงเขาอีกแล้วสินะ’

“นายรู้ไหมว่าทำไมนายไม่เคยได้การยอมรับจากชั้น  ก็เพราะนายไม่เคยมีความจริงใจให้ชั้นไงล่ะ”

พีทเริ่มหงุดหงิดอีกแล้วกับการถูกปิดบังความจริง  ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโรงแรมเขาเห็น ‘อะไร’ ตั้งหลายอย่าง   แต่นายหมีกลับปกปิดทุกอย่างไม่ให้เขารู้

คนที่ทำหน้าเครียดชะงักไปกับคำพูดนั้น  เขาไม่จริงใจเหรอ?  พีทไม่รู้หรอกว่าทำไม  มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พีทไม่เคยรู้

แรงโกรธเกลียดเมื่อครู่ทำให้เขาแทบคุมอารมณ์ไม่ได้เมื่อถูกพีทต่อว่า  ต้องพยายามข่มอารมณ์จนสุดความสามารถก่อนจะตอบ

“อย่าเพิ่งถามเลย  กลับบ้านก่อนเถอะ”

“ทำไมล่ะ พูดเรื่องความจริงใจนี่ต้องหงุดหงิดเลยเหรอ  นายมีอะไรต้องปิดบังรึไง!” 

พีทสวนกลับไม่ยอมแพ้  แววตานั้นเหมือนท้าทายอยู่ในที ใบหน้าเรียวตอนนี้แดงก่ำ  คงเป็นเพราะเครื่องดื่มดีกรีแรงที่ดื่มเข้าไปเมื่อครู่ทำให้อารมณ์ตอนนี้รุนแรงขึ้นกว่าปกติ  เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง   

“พีท! เมารึไง ค่อยคุยกันวันหลัง!”   นายหมีเสียงกร้าวแทบตะคอก  กำหมัดแน่นเพราะแทบจะควบคุมตัวเองไว้ไม่ไหวแล้ว  พีทไม่ได้เห็น ‘ใคร’ เหมือนที่เขาเห็นก่อนที่ลิฟต์จะปิด

ตอนนี้ลิฟต์พาพวกเขามาถึงล็อบบี้ชั้นล่างแล้ว  เขาก้าวออกจากลิฟต์ก่อนมุ่งหน้าไปยังทางออก ใบหน้าเขาตอนนี้น่ากลัวทีเดียว

พีทยังคงยืนอยู่ในลิฟต์  ชะงักอยู่กับคำพูดประโยคสุดท้าย  ความไม่เข้าใจปรากฏบนใบหน้า  ทั้งงุนงงกับท่าทีแปลกไปและเสียใจกับเรื่องเดิมอีกครั้งแล้วครั้งเล่า  ก่อนที่ลิฟต์จะปิดลงอีกครั้งพีทก็รู้สึกตัว  เขาก้าวออกจากลิฟต์บ้างแต่ไม่ได้ตรงไปทางออกที่นายหมียืนหันหลังรออยู่  กลับเดินตรงไปยังที่จอดรถของโรงแรมอีกด้านหนึ่ง   พนักงานโค้งให้พร้อมกับเปิดประตูลีมูซีน  เขาก้าวขึ้นไปนั่งแล้วสั่งคนขับให้เคลื่อนรถออก

ร่างสูงที่ยืนรออยู่หน้าล็อบบี้หันกลับมาอีกทีก็เห็นพีทขึ้นลีมูซีนของโรงแรมออกไปแล้ว 

“บ้าที่สุด  ไปไหนของเขา” 

กว่าพนักงานจะเอาเฟอร์รารี่มาเทียบเขาก็แทบจะเข้าไปกระชากพนักงานออกจากรถเพื่อขับตามลีมูซีนของโรงแรมไป  แต่การจราจรที่คับคั่งจากบรรดาแขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมอวยพรวันเกิดนักธุรกิจดังระดับประเทศ ทำให้เขาไม่สามารถขับตามลีมูซีนได้ทัน  คนในรถเริ่มกระวนกระวายใจ   

‘พีทเป็นอะไร  ทำไมถึงทำอย่างนี้’

เขาคว้าโทรศัพท์กดโทรหาคนที่ขึ้นรถหนีไปแต่คนปลายทางไม่ยอมรับ

โทรศัพท์  ชายหนุ่มกระแทกฝ่ามือเข้ากับพวงมาลัยอย่างขัดใจ  หงุดหงิด   

“โธ่โว้ย!”

เขาพยายามข่มอารมณ์  เขารู้ตัวว่าอารมณ์ไม่ปกติตั้งแต่เห็นไอ้คนใจร้ายนั่น  ไม่ได้ตั้งใจจะว่าน้องเลย  อารมณ์โมโหชั่ววูบทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่  แล้วจู่ ๆ พีทก็หนีไปขึ้นรถโรงแรมโดยไม่บอกกล่าวอะไร  ความเป็นห่วงกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายพีทเริ่มคืบคลานเข้าเกาะกุมจิตใจ เริ่มกังวลไปสารพัดเพราะเมื่ออยู่ในงานเขาเห็นพรรคฝ่ายตรงข้ามมาร่วมงานเลี้ยงด้วย ถ้าพวกมันเห็นพีทอาจจะทำอะไรขึ้นมาก็ได้

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหยุดความคิดของเขา  มือใหญ่ที่กำพวงมาลัยแน่นเปลี่ยนไปคว้ามือถือมากดรับ  จึงได้รู้ว่าการ์ดบางส่วนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตามลีมูซีนของโรงแรมไปได้ทัน  คนของเขาแจ้งว่ารถกำลังมุ่งหน้าออกสู่ถนนใหญ่

เขาวางสายแล้วคิดอะไรได้  จึงโทรกลับไปที่โรงแรมสั่งอะไรหลายประโยคไปที่ปลายสาย  รอเพียงไม่นานปลายสายก็โทรกลับมาแจ้งให้ทราบว่าลีมูซีนของโรงแรมกำลังไปส่งคุณชายที่บ้าน

“เฮ้อ”  ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า   ก่อนจะหักรถออกทางแยกเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านทันที




เฟอร์รารี่วิ่งด้วยความเร็วมาจอดลงที่หน้าประตูบ้าน  เสียงแตรรถดังกังวานเร่งให้ยามมาเปิดประตู  จอดรถแล้วชายหนุ่มก็แทบกระโดดลงจากรถ  เสียงประตูรถปิดดังสนั่น  ขายาวก้าวเข้าบ้านรวดเร็วตามแรงอารมณ์

เสียงเคาะประตูหน้าห้องพีทดังรัวเร็ว  เจ้าของห้องที่เพิ่งถอดสูทตัวนอกออกชะงักนิ่ง  รู้ทันทีว่าใครที่มาเคาะหน้าห้อง  ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเปิดดีหรือไม่  พีทถอนหายใจ  ความรู้สึกหน่วง ๆ แบบนี้มันคืออะไรกันแน่  มันอึดอัดสับสน  ไม่รู้จะทำยังไง  จะปล่อยมันไว้เขาก็ไม่สบายใจ  เขาไม่ชอบใจเลย

“พีท  ออกมาคุยกันหน่อย” นายหมีเรียกเสียงเข้มแบบที่ไม่เคยใช้กับเขามาก่อน   

“ชั้นไม่มีอะไรจะคุย ไว้คุยกันวันหลัง”  คนในห้องตัดสินใจตอบด้วยคำพูดที่คนได้ยินแทบสะอึกเพราะตัวเขาเพิ่งจะใช้ประโยคนี้ตอบพีทตอนที่อยู่ในลิฟต์ของโรงแรม

“ผมขอโทษที่หงุดหงิดใส่คุณ  แต่ออกมาคุยกันก่อนได้ไหม” น้ำเสียงคนนอกห้องอ่อนลง   

“ชั้นไม่อยากคุย ได้ยินมั้ย เลิกรบกวนชั้นซะที!”  คราวนี้คนในห้องตะโกนออกมาสุดเสียง 

‘อย่ามายุ่งได้ไหม  เขาต้องการอยู่คนเดียว’ 


“ถ้าคุณโกรธผม  คุณจะชกผมจะทำอะไรผมก็ได้  แต่ผมไม่อยากให้คุณทำแบบนี้อีก  รู้ไหมว่ามันอันตรายแค่ไหนที่กลับบ้านมาคนเดียว  พวกมันจ้องจะเล่นงานคุณอยู่นะ  รู้ตัวบ้างรึเปล่า  อย่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงสิ”

“ชั้นจะเป็นจะตายยังไงมันก็เรื่องของชั้น  นายจะมาห่วงทำไม  นายเป็นแค่คนที่พ่อจ้างมาดูแลชั้นไม่ใช่เหรอ  อย่ามายุ่ง!”  พีทตะโกนกลับไป   

คนที่ยืนอยู่นอกห้องแทบหมดแรงจากคำพูดเหล่านั้น   ทำไมเขาจะไม่ห่วงล่ะ  ถ้าไม่ห่วงคงไม่ยอมทำตัวเป็นคนอื่นนานขนาดนี้หรอก  พีทคงไม่เข้าใจว่าเขาอยากจะบอกขนาดไหนว่าเขาเป็นใคร  เขาอยากเป็นคนที่ดูแลน้องในฐานะ ‘พี่ชาย’  ไม่ใช่บอดี้การ์ดบ้าบออะไรที่เขาและลุงคริสสร้างขึ้นมา   

แต่เพราะท่าทีของพีทเองทำให้ทุกคนกังวลใจ  พีทไม่เคยแสดงท่าทีว่าหายโกรธเขาเลย  ไม่พูดถึง  หากใครพูดถึงเขาก็เดินหนี  ไม่ยอมรับรู้    ทุกคนเป็นห่วงว่าถ้าเขากลับมา  พีทอาจจะยังคงโกรธอยู่และไม่ยอมรับเขาเป็นพี่ชายเหมือนเดิม  ลุงคริสคงไม่อาจวางใจใครให้ดูแลลูกชายคนเดียวของท่าน  นอกจากเขา   

“พีท....” 

“อย่ามาเรียกชั้นแบบนั้น  นายไม่มีสิทธิ์!!” 

พีทตะโกนออกมาอีก  เสียงนั้นสั่นพร่า  พีทก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน  ความโกรธ ไม่เข้าใจ เสียใจ เขาก็ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันปนกันไปหมด รู้เพียงแต่ว่า...ทรมาน 

‘ถ้านายอยากกลับไปเรียกเหมือนเดิมก็บอกมาสิว่านายคือพี่ฮั่น จะมาหลอกว่าเป็นคนอื่นทำไม’  พีทในตอนนี้ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น  ร่างนั้นสั่นน้อย ๆ

คำพูดที่ตะโกนออกจากคนในห้องเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ฟาดลงมากลางใจที่หนักอึ้งของคนที่ยืนอยู่ด้านนอก 

‘พอกันที!’ 

ความทรมานใจที่ต้องปิดบังตัวเอง  ความอึดอัด  สิ่งที่เขาอดทนมานานหลายปี  คนที่อยู่ที่นี่จะไปรู้อะไรว่าเขาต้องเผชิญอะไรมาบ้างตลอดสิบปีที่ผ่านมา
 
เสียงกระแทกประตูเพียงครั้งเดียว  ประตูบานไม้เก่าแก่ก็เปิดออกอย่างง่ายดาย   นายหมียืนอยู่ที่ประตู ใบหน้ากราดเกรี้ยวแบบที่พีทไม่เคยเห็นมาก่อน  เขาตรงเข้ามาคว้าแขนพีทให้ลุกขึ้นมาคุยกัน

“ทำไมจะเรียกไม่ได้   ‘พี่’ จะเรียก  จะทำไม”

“ปล่อย!!  นายไม่ใช่พี่ชั้น  สำหรับชั้นนายเป็นคนอื่น!!!”

พีทสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างแรง น้ำตากลบอย่างรวดเร็ว  เขาใช้หลังมือปาดทิ้งไม่ให้มันไหลออกมา

“เมื่อไรจะเลิกดื้อซะที  หา...คนอย่างนายจะเข้าใจอะไร” อีกฝ่ายตะคอกกลับบ้าง 

คนที่น้ำตากลบตาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนคนนี้ตะคอกใส่

“คนอย่างชั้นมันเป็นยังไง  จะให้เข้าใจอะไรล่ะ  นายก็บอกมาสิว่ามันเพราะอะไรมันอะไรกันนักกันหนาถึงต้องมาทำตัวเป็นคนอื่นแบบนี้ จะหลอกกันไปถึงเมื่อไร  สนุกมากนักรึไง!”   พีทตะคอกกลับไปด้วยความโกรธปานกัน

สายตาตัดพ้อที่มองตรงมา ทำให้อีกฝ่ายชาวาบไปทั้งร่าง

‘พีทรู้?  รู้ว่าเขาเป็นใคร  ตั้งแต่เมื่อไรกัน’

“พีท  รู้ตั้งแต่เมื่อไร”  เขาถามน้ำเสียงอ่อนล้า 

“รู้อะไรล่ะ รู้ว่านายเป็นใครน่ะเหรอ  นายจะเป็นใครมันก็เรื่องของนาย ชั้นไม่สนอีกแล้ว  คนอย่างนายไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป”  พีทตะโกนออกไปจนสุดเสียง   มือทั้งสองข้างออกแรงผลักอกคนตรงหน้าด้วยความโกรธ

‘ไม่มีความหมายทั้งที่เขาทำทุกอย่างเพื่อทุกคนน่ะเหรอ’


คนถูกผลักเซไปด้านหลัง 

‘ไม่มีความหมาย...’


ประโยคนี้ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก  ความน้อยใจ  เสียใจมากมายจากไหนไม่รู้ไหลเข้าท่วมร่างเขาอย่างรวดเร็ว  แล้วแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เขาโกรธจนหูอื้อตาลาย  มือใหญ่คว้าปกเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พีทสวมอยู่กระชากอย่างแรง 

“ใช่ พี่มันไม่มีความหมายอะไรเลย ทั้งที่พี่ต้องไปอยู่อังกฤษ อยากจะกลับมาก็กลับไม่ได้ทั้งที่อยากจะมาใจจะขาด  แต่สำหรับพีทพี่ไม่มีความหมายเลย” 

“แล้วทำไมไม่กลับมาล่ะ โทรศัพท์สักครั้งก็ไม่เคย  นายหายหัวไปไหนมาตั้งสิบปี!”  ใบหน้าเรียวนั้นแดงก่ำ  พีทก็โกรธไม่แพ้กัน  เขาพยายามจะแกะมือที่จับปกเสื้อเขาออก  แต่มือนั้นราวกับคีมเหล็กแกะยังไงก็แกะไม่ออก

“ก็เพราะไอ้ฟงไง  คุณปู่น้อยของนายไงล่ะ  ไอ้คนอำมหิตนั่น”  คลื่นความโกรธถาโถมเข้ามาอีกเมื่อต้องกัดฟันพูดชื่อคนที่เขาเกลียดที่สุดออกมา

“หยุดนะ!  นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าคุณปู่ฟงแบบนี้” 

“ทำไมจะว่าไม่ได้  ก็เพราะไอ้ฟงนั่นแหละที่ทำให้พี่กลับมาไม่ได้  มันขู่จะฆ่าแม่  รู้ไว้ซะ!”  เขาตะโกนออกไปสุดเสียง  ด้วยแรงอารมณ์เขาเขย่าพีทจนตัวโยน  พีทปลิวไปมาตามแรงกระชากนั้น 

“ก็เพราะมันไง  พี่ถึงไม่เคยได้กลับมาที่นี่ตั้งแต่ไปอังกฤษ  มันส่งคนไปขู่ว่าถ้าพี่กลับมาหรือติดต่อใครในครอบครัวมันจะลักพาตัวแม่!!  นายเข้าใจไหม!!!  มันใช้วิธีเดียวกับที่พี่เคยเจอ  ลักพาตัวแล้วอาจจะฆ่าทิ้งก็ได้  พี่ต้องทำตาม”  คำพูดที่พร่างพรูออกมาแฝงด้วยความเจ็บปวดที่ไม่มีใครรู้ 

‘พีทเคยรู้ไหม เคยเข้าใจอะไรบ้างรึเปล่า’ 


เรื่องพวกนี้เขาไม่เคยบอกคุณคริสกับแม่เลย  เพราะกลัวว่าไอ้ฟงจะทำตามที่มันขู่   ตอนนั้นเขายังเด็ก  ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้จึงต้องยอมทำตาม

เขาทนไม่ได้แล้ว  ยิ่งพูดความอัดอั้นตันใจทั้งหมดที่เก็บมานานหลายปีราวกับถึงจุดระเบิด  ทุกสิ่งทุกอย่างไหลออกมาราวกับน้ำทะลักออกจากเขื่อน 

“พีทไม่ได้เสียใจคนเดียว  พี่ก็เสียใจด้วยเหมือนกันที่ต้องทิ้งแม่  ทิ้งพีทและชีวิตที่แสนสุขไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่พี่ไม่ต้องการ  แต่พี่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ทุกคนสบายใจ  คนที่อยู่สุขสบายที่นี่ไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวด  มันว้าเหว่ยังไงบ้าง  พีทยังอยู่ที่นี่กับพ่อในขณะที่พี่ต้องอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่รู้จักกับไอ้พวกนักเลงนั่น!!” 

เขาทนเก็บทุกสิ่งทุกอย่างมานานหลายปี  ตอนนี้เขาจะไม่ทนอีกต่อไป  เขาจะไม่เก็บอะไรไว้อีกแล้ว เขาไม่อยากหลอกใครอีกต่อไปแล้ว ถ้าพีทจะโกรธอีกเขาจะเป็นฝ่ายไปเอง  เขาผลักร่างตรงหน้าออกราวกับรังเกียจ  พีทเซถอยไปชนกับตู้เสื้อผ้าด้านหลังเสียงดังแต่เขาไม่สนใจ  ร่างสูงใหญ่ยังคงระบายความในใจออกมาไม่ยอมหยุด  หัวใจที่อ่อนล้าเจ็บจนชาไปหมด

“พีทไม่รู้หรอกว่าพี่ต้องเผชิญกับเรื่องอะไรบ้าง  เด็กอายุ 14 ที่ไปอยู่อังกฤษคนเดียว  ถูกนักเลงตามขู่ว่าจะทำร้ายแม่   มันทรมานขนาดไหน   กว่าลุงคริสจะรู้เรื่อง  กว่าพี่จะเป็นอิสระ”

“อะไรนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”  พีทตกตะลึงกับสิ่งที่เขารับรู้เป็นครั้งแรก  นี่มันเรื่องบ้าอะไร....เขางงไปหมดแล้ว

“ใช่!  พี่มันคนใจร้าย  คนไม่รักษาสัญญา  แล้วพีทเคยคิดบ้างไหมว่าพีทไม่ได้เจ็บปวดคนเดียว  พี่ก็ไม่ต่างจากพีทเลย  พี่ไม่เคยโกรธพีทที่ไม่เข้าใจพี่  แต่พีทกลับไม่เคยให้อภัยพี่เลย   ที่ต้องมาแกล้งเป็นคนอื่นก็เพราะไอ้ความเจ้าคิดเจ้าแค้นโกรธไม่เลิกของพีทนั่นแหละ ถ้าพี่เดินเข้ามาบอกว่าพี่กลับมาแล้วพีทจะให้อภัยพี่รึเปล่า  พีทจะยอมรับพี่รึเปล่า  ลองถามตัวเองดูแล้วกัน”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่  พีทกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก  เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้   ไม่เหมือนที่เขาคิดไว้สักนิด

“พะ  พี่  พี่ฮั่น”  พีทเรียกชื่อออกมาในที่สุด 

แต่ ‘ฮั่น’ ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว  เขาไม่ฟังอะไรอีกต่อไป
 
“พี่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว  พีทจะคิดยังไงก็แล้วแต่พีทก็แล้วกัน  พอที!!” 

ร่างสูงเดินรวดเร็วออกจากห้องไป    ความรู้สึกรุนแรงยังพลุ่งพล่านผลักดันให้เขาออกไป   เขาทนไม่ได้แล้ว   เขาไม่ได้คิดไม่ได้วางแผนว่าจะไปที่ไหน   รู้แค่ว่าต้องไปให้ไกลจากที่นี่ให้มากที่สุด  ที่ที่เขาอยากกลับมาตลอดเวลา แต่คนที่นี่ไม่เคยต้องการเขาเลย

ความรู้สึกผิดหวัง  ความเสียใจท่วมท้น  แทบหายใจไม่ออก 

‘บ้าที่สุด’  เขายกมือขยุ้มตรงอกซ้ายไว้  ‘ทำไมมันเจ็บแบบนี้’

ความโกรธเพียงตัวเดียวที่ผลักเขาออกจากบ้าน เขาเดินมาถึงเฟอร์รารี่ที่ยังจอดทิ้งไว้ที่เดิม  ก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที 
 
พีทวิ่งออกจากบ้านทันเห็นแค่ท้ายรถสปอร์ตที่เลี้ยวออกจากบ้านไปแล้ว  เขาทำอะไรไม่ถูก  มึนงง  สับสนไปหมด 

นี่เขาทำอะไรลงไป



...พี่ฮั่น...








ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
หวาา ทะเลาะกันซะแล้ว พี่ฮั่นใจเย็นๆนะพีทเค้าไม่รู้เรื่องนี่นาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
19. กลุ้มใจ



เกรซที่ยังอยู่ในงานสังเกตเห็นพีทถูกลากออกจากงานเช่นนั้นก็ยิ้ม  เธอรู้สึกแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นพีทเป็นแบบนี้  ปกติคุณชายคนนี้เคยยอมใครที่ไหน  พีทเป็นตัวของตัวเองมากจนไม่เคยยอมตามใจใคร  เห็นมีแต่พี่ฮัทนี่แหละที่ทำให้พีทต้องยอมทำตามทุกอย่าง

คุณหนูคนสวยจมอยู่กับความคิดตัวเองจนกระทั่งคุณเจมส์เข้ามาสะกิด

“ขึ้นไปกันเถอะลูก”  คุณเจมส์กล่าวพร้อมกับใช้มือรุนหลังลูกสาวตนเองให้ก้าวไปข้างหน้า  เกรซงุนงงที่ถูกดึงให้ขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง 

‘อะไรกัน’

เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลิน  เธอจึงไม่รู้ตัวเลยว่าคุณปีเตอร์และภรรยาได้ขึ้นไปยืนบนเวทีอีกครั้ง ก่อนจะประกาศการหมั้นหมายระหว่างลูกชายของตนกับลูกสาวคนเดียวของคุณเจมส์  เพื่อนรัก

“อะไรนะคะพ่อ ไหนว่าลูกต้องหมั้นเดือนหน้าไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมถึงประกาศกลางงานแบบนี้ละคะ ลูกตั้งตัวไม่ทัน”  เกรซยังขืนตัวไว้ไม่ยอมขึ้นเวที  เธอฉุดแขนผู้เป็นพ่อไว้พลางพยายามอ้อนวอน

“รอก่อนไม่ได้หรือคะพ่อ  ลูกขอร้อง”  ใบหน้าสวยนั้นเริ่มมีน้ำตาคลอ

คุณเจมส์เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแล้วก็อดสงสารไม่ได้  แต่เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาเลือกให้ลูกสาวเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว  จึงต้องข่มใจไว้ 

“อย่าดื้อเลยลูกรัก  ไม่ว่าวันนี้หรือเดือนหน้า  ลูกก็ต้องหมั้นอยู่ดี”  คุณเจมส์ตอบพลางจับมือลูกสาวไว้   มืออบอุ่นของผู้เป็นพ่อยื่นมาเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน 

“ลูกสาวแสนสวยของพ่อ  พ่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกแล้ว  เชื่อใจพ่อเถอะ” 

เกรซจำใจต้องเดินตามหลังผู้เป็นบิดาขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง เธอต้องทำตามที่พ่อขอร้องเพราะสายตาของคนนับร้อยภายในงานต่างกำลังจ้องมองมาที่เธอผู้เดียว

เมื่อก้าวขึ้นไปบนเวที  น้ำตาที่กลบตาทำให้เกรซมองเห็นไม่ชัดเจน  เธอกล้ำกลืนน้ำตาร้อน ๆ ของตนเองลงไป  พยายามเรียกความเข้มแข็งของตน   ลูกชายคุณปีเตอร์ที่ยืนอยู่บนเวทีดูคุ้นตาเธออย่างประหลาด  เมื่อเดินเข้าไปใกล้  คนที่ยืนมองตรงมาสบตาเธออย่างแน่วแน่ทำให้เธอตกใจแทบสิ้นสติ 

‘นายแคน!!?’   เกรซรู้สึกชาวาบไปทั้งร่างเมื่อมองเห็นเขายืนอยู่ข้างคุณปีเตอร์
 
‘นี่มันอะไรกัน นายแคนยืนอยู่ตรงนั้น เป็นลูกชายคุณปีเตอร์และเป็นคู่หมั้นของเธอ??’

เกรซมึนงงไปหมดแล้ว   ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย  ดวงตากลมโตว่างเปล่าไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป  เธอเพียงแต่ทำตามที่ผู้ใหญ่สั่ง ไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  ไม่รับรู้ว่าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพูดอะไร  ไม่รับรู้ว่าใครต่อใครกำลังปรบมือแสดงความยินดี   เกรซไม่เห็นใครทั้งนั้น

จนกระทั่งความรู้สึกเย็น ๆ จากแหวนที่สอดเข้ามาที่นิ้วนางข้างซ้าย พร้อมกับแสงแฟลชวูบวาบจากนักข่าวหลายสิบคนเบื้องล่างเวทีทำให้เกรซสะดุ้งอย่างเพิ่งรู้สึกตัว  เงยหน้าขึ้นสบตากับสายตาคมของคนตรงหน้าที่มองมาจับอยู่ก่อนแล้ว

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหนู” แคนกล่าวเป็นครั้งแรกกับ ‘คู่หมั้น’ ของเขา

---------------------------------------



“พี่อยู่ไหน อยู่ที่บ้านรึเปล่า”

แคนกรอกเสียงไปตามโทรศัพท์น้ำเสียงไม่ร่าเริงเหมือนเคย  เขาโทรหาพี่ฮั่นเพราะมีเรื่องไม่สบายใจ  เสียงอู้อี้ของพี่ฮั่นตอบกลับมาทำให้เขาแปลกใจนิด ๆ เมื่อได้รับคำตอบเขาก็วางสายแล้วเดินออกจากงานเลี้ยงที่ยังดำเนินไปไม่เลิกรา 

ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มก็มาถึงผับหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง  เขาเดินผ่านเก้าอี้หนานุ่มตรงไปยังที่ประจำของพวกเขาในผับ  จนกระทั่งพบร่างสูงใหญ่นั่งดื่มอยู่คนเดียวในมุมมืด

“พี่นึกยังไงมานั่งกินเหล้าคนเดียวที่นี่  ทุกทีผมชวนไม่เคยมา จะกลับบ้านท่าเดียว  เป็นอะไรรึเปล่าพี่ฮั่น”  แคนถามพลางทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ 

พนักงานปราดมารินเครื่องดื่มสีอำพันวางให้ตรงหน้าอย่างรู้หน้าที่ แคนยกดื่มทีเดียวหมดแก้ว  เสียงแก้วเปล่าที่วางกระทบบนโต๊ะทำให้ฮั่นเหลือบตาขึ้นมองหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้า

“แล้วนายล่ะมีเรื่องอะไรรึเปล่าถึงยกซดขนาดนี้  มีเรื่องกับคุณหนูรึไง” 

การคาดเดาส่ง ๆ ของเขาทำให้แคนสะอึกไปทีเดียว

“ก็  ก็  ไม่เชิงหรอกพี่  ไม่ได้มีเรื่องกัน...”

“แค่หมั้นกัน เท่านั้นแหละ”

“อะไรนะ!! ไหนบอกเดือนหน้าไง  แล้วหมั้นตอนไหน  อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้” ฮั่นตกใจไม่น้อยกับข่าวที่ได้รับ  ใบหน้าแคนตอนนี้บึ้งตึงทีเดียวทำให้พอจะเดาอะไรได้บ้าง

“เอ้า ชนกันหน่อย”  แคนยกแก้วที่พนักงานเติมเหล้าให้ใหม่ขึ้นชนกับแก้วในมือของพี่ฮั่น ไม่มีแก่ใจจะตอบคำถาม 

ทำไมเขาไม่มีความสุขเลยทั้งที่เขาเพิ่งมีคู่หมั้นสาวสวยมาหมาด ๆ เพราะความโกรธทีเดียวที่เห็นพีทกับเกรซบนเวที  เห็นสองคนนั้นสนิทสนมกัน  จนทำให้ว่าที่คู่หมั้นอย่างเขาแทบทนไม่ได้เมื่อคิดว่าผู้ชายที่ยืนเคียงข้างเกรซควรจะเป็นเขา 

ตั้งแต่เขาแอบไปเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้าน  ภาพทั้งสองคนที่สนิทสนมกัน  หยอกล้อกันเสมอทำให้เขาอยากแกล้งคุณหนู  ทำให้เขาอยากอยู่กวนใจคุณหนูไปนาน ๆ  แต่หลายครั้งก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้  เขาไม่เคยชอบใจเลยเมื่อเห็นทั้งคู่สนิทกัน   พนักงานทุกคนในร้านก็คิดตรงกันกับเขาว่าสองคนนั้นรักกัน  เพียงแต่สถานะของเจ้าของร้านกับนักร้องนำทำให้ทั้งคู่ไม่ยอมรับออกมาตรง ๆ

ความรู้สึกที่คิดว่าเขาเป็นเจ้าของทำให้เขาแทบจะทนเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันไม่ไหว  อารมณ์อะไรไม่รู้ที่ทำให้เดินไปบอกพ่อให้ประกาศหมั้นทันที พ่องงไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำร้องขอนั้น  แต่พ่อก็ไม่ขัดอะไรเมื่อประกาศกลางงานเลี้ยงว่าลูกสาวคุณเจมส์เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเขา 

แต่เขาคงทำผิดไปเมื่อเห็นเกรซที่ขึ้นมาบนเวที  ใบหน้าคมสวยนั้นดูตกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าเขาเป็นใคร  เธอปฏิบัติตามที่ผู้ใหญ่บอก  แต่เขาเห็นว่าสายตาของเธอนั้นว่างเปล่าเหมือนไม่รับรู้อะไรแล้ว  มีเพียงตอนที่เขาสวมแหวนให้เท่านั้นที่เธอรู้สึกตัว  เงยหน้าขึ้นสบตาเขา  แววตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความไม่เข้าใจ

แคนเหลือบไปมองที่นิ้วก้อยข้างขวาของตัวเอง  ยังเห็นรอยขาวรอบนิ้วที่เกิดจากแหวนที่เขาใส่ติดนิ้วถูกถอดออก  แหวนทองคำขาวประดับเพชรเม็ดเล็กตามลักษณะของแหวนผู้ชาย  ที่ตอนนี้ไปอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าของดวงตาคมที่มีน้ำตาคลอคู่นั้น   ไม่น่าเชื่อว่าจะสวมลงไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอพอดิบพอดี!

มือที่ถือแก้วเหล้ากำแน่นขึ้นเมื่อนึกถึงแววตาเสียใจของคู่หมั้นตัวเอง

ฮั่นที่นั่งดื่มอยู่สังเกตเห็นอาการนั้นของแคน  แต่เมื่อแคนยังไม่เล่าเขาก็ไม่อยากจะถามอะไร  ลำพังเรื่องของตัวเขาเองก็หนักหนาพออยู่แล้ว 

เพราะอารมณ์โกรธเพียงเท่านั้นที่ทำให้เขาหุนหันออกจากบ้าน  เขาเพียงแต่ทนไม่ได้อีกแล้วที่จะถูกโกรธแบบนี้ต่อไป  สิ่งที่เขาทนมานานหลายปีเทียบไม่ได้เลยกับความเสียใจที่น้องไม่เคยยกโทษให้เขา  มือใหญ่กำแก้วเหล้าแน่นขึ้นก่อนจะยกขึ้นดื่ม  บางทีเหล้าอาจจะช่วยให้เขาลืมความเสียใจได้บ้าง 

---------------------------------



พีทรอพี่ฮั่นกลับมาจนเกือบเช้าก็ไม่เห็นวี่แวว  เขาพยายามกดโทรศัพท์หาแต่กลับไม่มีสัญญาณใด หนุ่มน้อยซุกตัวอยู่ที่ซอกเล็กระหว่างเตียงนอนกับผนังห้อง  ใบหน้าหม่นหมอง  น้ำตาไหลตลอดเวลา  เฝ้าแต่คิดถึงเรื่องราวที่เขาเพิ่งได้ยินจากปากพี่ฮั่น

ไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเลยสักนิด  พี่ฮั่นต้องเจออะไรบ้างเขาไม่เคยรู้เลย ไม่คิดว่าคุณปู่ฟงจะทำถึงขนาดนั้น  เขามีเรื่องต้องคุยกับพี่ฮั่นมากมายเหลือเกิน  เขาอยากขอโทษอยากบอกว่าเสียใจ  อยากจะอ้อนวอนอะไรก็ตามที่ทำให้พี่ฮั่นกลับมาและยกโทษให้เขา 

ร่างที่นั่งกอดเข่าอยู่สั่นสะท้าน  เฝ้ารอเสียงอะไรก็ตามที่จะแสดงว่าพี่ฮั่นกลับมาแล้ว 

แต่พี่ฮั่นไม่กลับ  มีแต่ความเงียบที่ดังสะท้อนออกมา 

คนที่นั่งกอดเข่าค่อย ๆ เผลอหลับไป

----------------------------------



เช้าวันถัดมาเมื่อพีทตื่น  สิ่งแรกที่เขาทำคือตรงไปเปิดประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม  แต่ห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีร่องรอยว่าพี่ฮั่นกลับมานอนเมื่อคืนนี้  พีทแทบหมดแรงทำอะไรต่อไปเมื่อออกมาจากห้องนั้น  เขาเดินลงไปข้างล่าง  ตรงไปที่ห้องนั่งเล่น  ห้องครัว  ไม่พบใครที่เขาอยากเจอมากที่สุด   

การ์ดสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่ชานไม้ริมสระหน้าบ้าน  ใบหน้าของหนึ่งในสองคนนั้นคุ้นตาพีทอยู่บ้าง

“นายชื่ออะไร”  พีทถามการ์ดคนที่เขาคุ้นหน้า

“เคนครับคุณชาย”  ชายร่างสูง  ผมทรงสกินเฮดตอบกลับมา

“ทำไมพวกนายมาอยู่ตรงนี้  พี่ฮั่นล่ะ”  น้ำเสียงถามแสดงความกังวล  อย่าให้เป็นแบบที่เขากลัวเลย

“คุณฮั่นให้พวกเรามาแทนครับ”  น้ำเสียงราบเรียบนั้นตอบอีกครั้ง 

‘อ้อ  การ์ดพวกนี้รู้ตัวจริงของพี่ฮั่นตลอดเลยสินะ มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น’ 

ความน้อยใจพุ่งขึ้นมาอีก  พีทรีบปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป เป็นเพราะเขาเองที่ทำให้ใครต่อใครเข้าใจไปว่าเขายังโกรธพี่ฮั่นอยู่  จนไม่อยากบอกความจริงเขา

“แล้วพี่ฮั่นไปไหน”  เขาถามอีก

“ไม่ทราบครับ  พวกเราได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าคุณชายที่นี่เท่านั้น” การ์ดคนเดิมตอบ

พีททรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดอย่างอ่อนแรง 

‘พี่ฮั่นไปไหน  ทำไมไม่กลับมา’

--------------------------------



รถสีดำคันใหญ่จอดลงที่ช่องจอดประจำ  เคนลงจากรถมาเปิดประตูให้  พีทก้าวขาลงจากรถอย่างเหนื่อยล้า ใบหน้าเรียวนั้นเศร้า  ดวงตาบวมช้ำจากการอดนอนและร้องไห้ทั้งคืน  เขาเดินเร็ว ๆ ไปเข้าห้องเรียนไม่สบตาใคร   

“เฮ้ย พีท ไปทำอะไรมาทำไมตาบวมตุ่ยขนาดนั้น”  พี่โดมทักเขาทันทีที่เห็นหน้า

“นิดหน่อยน่ะ”  คนตาบวมไม่รู้จะตอบยังไง

“มีเรื่องอะไรรึเปล่า บอกพี่ได้นะ”

เสียงพี่โดมเอ่ยกับพีทอย่างอ่อนโยน  แววตาใต้แว่นหนานั้นยืนยันตามคำที่พูด  พีทไม่ตอบอะไร  เขาเอียงตัวพิงศีรษะไว้กับไหล่หนาของพี่โดมเหมือนต้องการกำลังใจ  พี่โดมไม่ว่าอะไรต่อ  ทำเพียงแค่เอื้อมมือมาโอบไหล่เขาไว้  เขย่าเบา ๆ  อย่างปลอบใจ
หลังสิ้นสุดชั่วโมงเรียน  โดมสังเกตเห็นชายแปลกหน้าสองสามคน ยืนบ้าง นั่งบ้างอยู่ใต้อาคารเรียนที่พวกเขาเพิ่งออกมา  เขาหันไปถามพีททันที

“วันนี้พี่ฮัทไม่มาเหรอ” 

พีทไม่ตอบ  ใบหน้าเศร้านั้นสลดลงกว่าเดิม  ซึ่งโดมสังเกตเห็นทันที  เขามองพีทด้วยสายตากังวล 

‘สงสัยทะเลาะกันแหงม ๆ ปกติพี่ฮัทไม่เคยห่างจากพีทเลยสักครั้ง  ท่าทางจะเรื่องใหญ่นะนี่’




พีทยังคงเศร้าอยู่แม้ว่าพวกเขาจะมาซ้อมดนตรีกันตามปกติ ทุกคนในวงต่างก็ถามหาพี่ฮัท  โดยเฉพาะคนตัวเล็กอย่างริท

“พีท พี่ฮัทไปไหนอ่า เราอุตส่าห์รีบมา  เนี่ยวันนี้มีเรื่องเม้าท์ตั้งหลายเรื่อง”  คนตัวเล็กทำหน้ายู่ไปทีเดียวเมื่อเห็นแต่พีทกับพี่โดม

“อยากเม้าท์ก็เม้าท์ให้พี่ฟังก็ได้ไอ้ริท เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่แล้วนะ”

แทนโผล่มาตอนไหนไม่รู้  ใช้แขนเพียงข้างเดียวรวบตัวริทจากด้านหลังแล้วลากถอยหลังออกจากห้องซ้อมไป  เสียงริทดังโวยวายที่โดนลากโดยไม่รู้ตัว  แต่พอลับหายจากประตูไปเสียงโวยวายนั้นกลับเงียบไปดื้อ ๆ ทุกคนในห้องซ้อมส่ายหน้าพลางยิ้มเหมือนเคยชินกับเหตุการณ์แบบนี้   

พีทมองภาพนั้นดวงตาเหม่อลอยไปถึงใครบางคนที่หายไป

-----------------------------------



“เฮ้  โย่ว  Man!  หายไปไหนนานเลย  เจอกันหน่อย”  อึนซอก  เพื่อนลูกครึ่งเกาหลีของพีทส่งเสียงมาตามสาย

“ชวนเกรซมาด้วยนะ พวกเราอยากเจอ”  อึนซอกว่าแล้วก็วางสายไป

พีทหันไปลาพี่โดมอย่างเหงาหงอย  หลังออกจากห้องซ้อมแล้ว เขาเดินกลับไปที่รถพลางกดโทรศัพท์ไปด้วย เสียงเกรซที่ตอบกลับมาเหมือนคนกำลังร้องไห้  แต่เกรซก็ตกลงไปเจอเพื่อนของเขาที่ผับใหม่ที่อึนซอกเป็นคนค้นพบ




เสียงดนตรีแนวเทคโนแดนซ์กระหึ่มในผับขนาดเล็กที่แออัดด้วยนักท่องราตรี   พีทกับเกรซเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่กลางวงเพื่อนไม่ยอมหยุดติดต่อกันหลายเพลงแล้วโดยไม่มีทีท่าจะหยุดพัก

เสียงเพลงช่วยบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวดของเขาไปได้บ้างเมื่อใช้เวลาที่มีไปกับการเคลื่อนไหวร่างกาย  ไม่ต้องคิดอะไรอีก  เขาไม่ได้ถามว่าเกรซเป็นอะไร  เพราะดวงตาที่แดงช้ำนั้นก็บอกอะไรได้ดี  เกรซก็ไม่ถามอะไรเขาเหมือนกัน

พวกเขาแค่เต้นไปตามจังหวะดนตรี  เต้นเพื่อให้ลืมความเสียใจเหล่านั้น  แค่ชั่วคราวก็ยังดี

บางครั้งบางคราวพีทก็ตะโกนร้องเพลงไปกับเสียงเพลงที่ดังกลบเสียงร้องไห้ในใจของเขาเอง



-------------------------------





ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
20. ทะเล



เกือบตีหนึ่งแล้วเมื่อรถสีดำคันเดิมเข้ามาจอดที่ทางเดินเข้าบ้านริมน้ำ บอดี้การ์ดชุดเดิมลงมาเปิดประตูให้คุณชายที่นั่งหลับตาพิงศีรษะกับเบาะโดยไม่รู้ตัวว่ามาถึงบ้านแล้ว   พีทลืมตาอย่างช้า ๆ  ก่อนจะลงจากรถเดินเข้าบ้าน

เขาไม่ได้ไปร้องเพลงที่ร้านอีก  ได้แต่โทรให้พี่ร็อกกี้เรียก ‘ชิน’ มาร้องแทน  เกรซก็เลิกไปที่ร้านเหมือนกัน  ทั้งคู่ทำเหมือนว่าที่ร้านนั้นไม่มีความหมายอะไรกับพวกเขาอีกต่อไป ในเมื่อพวกเขาไม่มีความสุขที่จะร้อง ไม่มีความสุขที่จะเต้นอีกแล้ว  เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแต่ละวันที่ผ่านไปเขาทำอะไรไปบ้าง เหมือนชีวิตยังดำเนินไปแต่ไม่จดจำสิ่งใด รู้สึกได้แต่ความว่างเปล่า




“เฮ้ พวกนายเป็นอะไร ทำตัวเหมือนคนอกหักเลย”  อึนซอกถามเขากับเกรซในคืนถัดมาหลังจากที่พวกเขานัดเจอกัน  แววตาของอึนซอกมองมาด้วยความห่วงใย 

คำถามนั้นทำให้เขากับเกรซหันมามองหน้ากันอยู่ครู่  แต่ความเงียบคือคำตอบ

เขาออกไปตระเวนราตรีกับเพื่อนกลุ่มเต้นและเกรซเป็นคืนที่สามแล้ว  เกรซถึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้เขาฟัง  คืนที่เขาทะเลาะกับพี่ฮั่น 

ครั้งแรกที่เขาเห็นพี่แคนในคราบของพนักงานเสิร์ฟก็รู้สึกคุ้นหน้า  แต่เพราะรู้ว่าพี่แคนเป็นถึงลูกชายเจ้าพ่อของวงการธุรกิจทางการเกษตรและอาหารส่งออก  ไม่น่าจะมายืนอยู่ในผับวัยรุ่นแบบนั้นทำให้เขาเลิกสนใจต่อ  ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็น ‘พี่แคน’ จริง ๆ  และยังเป็นคู่หมั้นของเกรซอีกด้วย   พี่แคนคิดอะไรอยู่นะถึงได้ทำแบบนี้

“เราถูกหลอกเหมือนกันเลย”

ดวงตากลมโตของเกรซมองมาเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น  แววตาสงสัย  ทำให้เขาตัดสินใจเล่าเรื่องพี่ฮั่นให้เพื่อนฟัง  บางทีอาจจะทำให้ความอึดอัดของเขาลดลงได้บ้าง

“พวกเราจะทำยังไงต่อไป”  เขาถามเกรซไปแบบนั้น 

ใบหน้าเศร้าของเกรซตอบกลับมา




เวลาดึกเช่นนี้ บ้านหลังน้อยก็เงียบสงบเหมือนเช่นทุกวัน แต่ทำไมเขากลับรู้สึกถึงความว่างเปล่ามากกว่าตอนที่เขาอยู่คนเดียวซะอีก ก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่เดือนเขายังอยู่ได้   เวลาเหงาก็ออกไปเต้น ไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนในวง แต่ตอนนี้แม้จะออกไปเที่ยวทุกคืน  แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรี มีเพื่อนฝูงล้อมหน้าล้อมหลัง แต่เขากลับเหงา แค่ไม่กี่วันที่พี่ฮั่นหายไป   
 
เหงา.....แทบจะขาดใจ



“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่นายมายืนในบ้านของชั้น แล้วข้าวของพวกนี้ของใคร”

“ก็ผมจะต้องดูแลคุณทั้งเรื่องงานและความปลอดภัย  ผมก็ต้องมาอยู่ที่นี่สิจะได้ทำงานได้สะดวกไง” 

“แต่นี่เป็นที่ส่วนตัวของชั้น ห้ามใครเข้ามาถ้าชั้นไม่อนุญาต ถ้านายอยากอยู่ก็ไปนอนบ้านใหญ่แทนนอย่ามาเสนอหน้าที่นี่!” 



ขายาวก้าวมาหยุดอยู่ที่ห้องนอนฝั่งตรงข้ามห้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว  พีทคิดถึงเรื่องวันแรกที่พี่ฮั่นกลับมาอย่างปวดร้าว  ตอนนั้นเขาไล่พี่ฮั่นที่ตรงนี้ 

เขายืนหน้าห้องอยู่นานจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป

ห้องนั้นมีสภาพเหมือนวันที่พี่ฮั่นจากไป เตียงใหญ่ตั้งอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่มีแฟ้มเอกสารหลายปึกตั้งเรียงไว้

พีทเดินไปนั่งลงที่เตียงใหญ่  รู้สึกหนักหน่วงในใจ ความรู้สึกผิดวนเวียนในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เขาทิ้งตัวไปบนเตียงนุ่ม  นอนคิดเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลาเกือบสองเดือนตั้งแต่พี่ฮั่นกลับเข้ามาในชีวิตเขา คนที่เขาเฝ้ารอคอยให้กลับมาตลอดเวลา 

แต่เป็นเขาเองที่ทำให้พี่ฮั่นจากไปอีก  เพราะเขาทั้งนั้น...

“โธ่โว้ย”

พีทตะโกนออกมาอย่างสุดจะทน  ผุดลุกขึ้นกลับห้องตนเอง  แต่ก่อนออกจากห้องเขาเพิ่งสังเกตเห็นตู้ติดผนังใบหนึ่งดูคุ้นตา  ร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้ตู้ไม้สี่เหลี่ยมที่แขวนอยู่กับผนังห้องใกล้กับประตู   ปกติตู้นี้ติดอยู่ที่ห้องใต้ดินของบ้านใหญ่ที่สร้างไว้เพื่อเก็บรถโบราณหายากหลายรุ่น  เป็นตู้สำหรับเก็บกุญแจรถทุกคันในบ้าน  กุญแจแต่ละดอกจะมีพวงกุญแจทำด้วยไม้เป็นรถจำลองขนาดเล็ก  บอกให้รู้ว่าเป็นกุญแจของรถคันใด   

พีทมองนิ่งไปที่พวงกุญแจรูปบิ๊กไบค์   มอเตอร์ไซค์คันเก่งของเขา

‘อยู่นี่เอง’

ร่างสูงของหนุ่มน้อยเปลี่ยนมาสวมแจ็กเกตหนังสีดำ  สวมถุงมือหนัง เดินออกจากบ้านริมสระตรงไปยังบ้านใหญ่

การ์ดสองคนที่เฝ้าอยู่นอกบ้านตกใจที่คุณชายเดินออกจากบ้านเวลาดึกขนาดนี้ พวกเขาเดินรวดเร็วตามคุณชายไปที่บ้านใหญ่  และหยุดยืนรอที่หน้าประตู  คุณชายเข้าไปเพียงไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มก้องมาจากชั้นใต้ดินของบ้าน  เพียงครู่เดียวบิ๊กไบค์ BMW S1000R ก็ขับปราดออกมาจอดกึกอยู่ตรงหน้าพวกเขา 

คุณชายเปิดหมวกกันน็อกสีดำสนิทออก 

“ตามมาสิ”

พีทอยากจะขี่บิ๊กไบค์ไปคนเดียวเหมือนเคย  แต่คำพูดใครบางคนยังก้องอยู่ 

เขาไม่ควรทำให้ใครเป็นห่วง  แม้ว่าคนคนนั้นอาจจะเลิกห่วงเขาแล้วถึงไม่ยอมกลับมา 

เขาเลื่อนหน้ากากหมวกกันน็อกลงแล้วบิดคันเร่งเสียงดัง การ์ดสองคนรีบวิ่งไปที่รถสีดำคันใหญ่  พร้อมกับสั่งการ์ดคนอื่นที่เฝ้าอยู่ด้านนอกให้เตรียมพร้อม   

พีทออกตัวทันทีที่เห็นการ์ดสามสี่คนขึ้นประจำบนรถแล้ว บิ๊กไบค์วิ่งด้วยความเร็วสูงไปตามถนนโทล์เวย์ออกนอกเมือง   เมื่อพ้นจากเขตเมืองได้ครู่ใหญ่   เส้นทางก็เริ่มชันและคดเคี้ยวตามสภาพภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขา  รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เข้าโค้งซ้ายขวาด้วยความเร็วสูงราวกับนักแข่งในสนาม ผิดแค่ว่านี่เป็นถนนจริง ๆ     
 
ดวงจันทร์ลอยต่ำลงในทิศตะวันตกฉายแสงนวลไปทั้งถนนเมื่อถึงทางลาดลงเขาที่คดโค้ง  เวลาเช่นนี้จึงมีรถบนถนนแค่สามคันที่ขับตามกันมา  การ์ดที่ขับรถคันใหญ่อีกสองคันต้องเหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อทำความเร็วตามบิ๊กไบค์ที่วิ่งฉิวอยู่ข้างหน้าให้ทัน

ใช้เวลาอีกแค่สี่สิบนาทีก็เริ่มเห็นแสงระยิบระยับสะท้อนแสงจากดวงจันทร์ทางซ้ายมือ   ถนนสายยาวที่มีภูเขาสูงต่ำสลับกันไปข้างทางเปลี่ยนเป็นพื้นที่ราบที่มีทุ่งหญ้าขึ้นเรียงราย  ซ้ายมือเขามีแสงสะท้อนจากน้ำทะเลวิบวับ  กลิ่นไอเค็มลอยเข้ากระทบจมูก 

ไม่นานบิ๊กไบค์ก็ชะลอความเร็วลง  แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนส่วนบุคคล

ประตูรั้วเปิดรออยู่แล้ว  ยามที่เฝ้าอยู่โค้งให้เขาอย่างคุ้นเคย  มอเตอร์ไซค์คันโตผ่อนความเร็วลงจนกระทั่งจอดสนิทที่หาดทรายกว้าง  แนวหาดทรายสีขาวละเอียดยาวสุดสายตา

ที่นี่เป็นหาดส่วนตัวของเขาเองจึงเงียบสงบ  พีทเป็นเจ้าของตั้งแต่เกิดเพราะพ่อยกให้เป็นของรับขวัญลูกชายคนแรก ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดในบริเวณนี้ยกเว้นบ้านสีขาวหลังน้อยที่ปลูกซ่อนในดงไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้ขัดสายตา จากตรงนี้จะเห็นอาคารสีขาวไม่สูงนักตั้งอยู่ลิบ ๆ เป็นโรงแรมขนาดเล็กในเครือของตระกูลหยางที่เน้นการพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ  เรียบง่าย  แต่แฝงไปด้วยความหรูหราและการบริการอันเยี่ยมยอด

พีทถอดหมวกกันน็อกและเสื้อแจ็กเกตสีดำออกพาดบิ๊กไบค์  เหลือเพียงเสื้อยืดสีเข้มข้างใน  เดินไปทิ้งตัวลงบนผืนทราย  เอามือหนุนศีรษะมองท้องฟ้าที่ปราศจากดาว  สายลมเย็นโชยอ่อนพัดพาเอากลิ่นไอทะเลมากระทบร่างที่นอนเหยียดยาว  มืออีกข้างสอดเข้าไปในทรายละเอียด  สัมผัสความเนียนนุ่มของเม็ดทราย   

เขามักขี่มอเตอร์ไซค์มานอนดูดาวที่นี่เสมอเวลาที่ไม่สบายใจ  แต่คืนนี้กลับมองไม่เห็นดาวสักดวง  ท้องฟ้ามืดหม่นเหมือนกับใจเขาตอนนี้   

อีกไม่นานพระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว  ความคิดเขาล่องลอยกลับไปยังคืนก่อนที่เขาทะเลาะกับพี่ฮั่น  ความรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดบีบคั้นเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เขารู้ความจริง   แต่ความเสียใจของเขาไม่อาจเปรียบกับความเสียใจของพี่ฮั่นได้เลย 

‘พี่ฮั่น  พีทขอโทษ  ยกโทษให้น้องชายที่งี่เง่าคนนี้ได้ไหม  กลับมาหาพีทได้ไหม’


พีทกำทรายไว้ในมือแน่น  แต่ทรายกลับไหลออกไปตามช่องว่างระหว่างนิ้วมือเขา พี่ฮั่นอยู่ที่ไหน  ทำไมเขาไม่รู้เรื่องอะไรของพี่ฮั่นเลย พี่ฮั่นไปอยู่ที่ไหนเขาก็สุดรู้  มีแต่พี่ฮั่นที่รู้เรื่องเขา  ทำไมเขางี่เง่าขนาดนี้นะ

“พี่ฮั่นนนนนนนน”

พีทผุดลุกขึ้นตะโกนไปในทะเล   เสียงตะโกนของเขาดังแทรกไปกับสายลม  เขาตะโกนชื่อพี่ฮั่นครั้งแล้วครั้งเล่า  เผื่อว่าพี่ฮั่นจะได้ยิน  เผื่อว่าพี่ฮั่นจะยอมยกโทษให้เขาแล้วกลับมา 

หยดน้ำตาไหลออกจากหางตาช้า ๆ  พีททรุดตัวนั่งซบใบหน้ากับหัวเข่าตนเอง  ไหล่เขาสั่นอย่างรุนแรง  เสียงร้องไห้ของเขากลืนไปกับเสียงคลื่นกระทบฝั่ง 

พีทนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานเท่าไรไม่รู้   ร่างที่นั่งชันเข่าข้างหนึ่งเหม่อมองไปยังน้ำทะเลสีครามที่สาดซัดเข้าหาฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่าไม่มีวันสิ้นสุด แสงอาทิตย์อบอุ่นเริ่มทอแสงฉาบไปทั่วหาดทรายเงียบเหงาแห่งนี้   

เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อโทรศัพท์มือถือสั่น  มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู  หัวใจพองโตด้วยความหวังว่าจะเป็นพี่ฮั่นโทรมา  แต่กลับต้องห่อเหี่ยวลงอีกครั้งเมื่อหน้าจอเป็นรูปพ่อกับคุณโรส  เขาตัดสินใจกดรับ

“หวัดดีครับพ่อ  โทรหาพีทแต่เช้าเลย   มีอะไรรึเปล่าครับ”  เขาพยายามทำเสียงให้ร่าเริงแต่ภายในใจกลับไม่สดใสเหมือนน้ำเสียง

“พีท  กลับบ้านเถอะลูก  ไปทะเลคนเดียวมันอันตรายนะ” 

ความห่วงใยของพ่อส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์มาถึงเขาเลยทีเดียว พีทไม่แปลกใจที่พ่อรู้ว่าเขาอยู่ไหน  แต่ที่เขาแปลกใจก็คือ  ตั้งแต่พี่ฮั่นมาอยู่ที่บ้าน พ่อไม่เคยโทรมาเพราะเป็นห่วงเลยสักครั้ง  แต่คราวนี้พ่อโทรมา

“ครับ”  เขาวางสายพลางถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย 

พี่ฮั่นคงเลิกห่วงเขาแล้วสินะ  บอดี้การ์ดพวกนั้นถึงต้องรายงานไปที่พ่อ 
 
อากาศตอนนี้กำลังเย็นสบาย ลมพัดอ่อน แสงแดดยังไม่แรงมาก เขาเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีน้ำเงินสด  อยากนั่งอยู่ตรงนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องคิด  ไม่ต้องทำอะไร  เขาไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตโดดเดี่ยวเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

แต่ในที่สุดพีทตัดสินใจกลับ  ร่างสูงกลับไปสวมแจ็กเกตและหมวกกันน็อกอีกครั้ง  เสียงบิดมอเตอร์ไซค์ดังก้องไปทั้งชายหาด    รถยนต์สองคันที่จอดเฝ้าดูเขาอยู่ห่างออกไปค่อย ๆ เคลื่อนรถขับตามมา
 
ขากลับเข้าเมืองใช้เวลานานกว่าเดิม   พีทไม่สามารถขี่ให้เร็วได้เหมือนเมื่อคืนเพราะตาเขาพร่ามัวจากน้ำตาของเขาเอง

-------------------------------



เกือบถึงบ้านแล้วเมื่อโทรศัพท์มือถือสั่นอีกครั้ง  คราวนี้พี่โดมโทรหาเขา  พีทจอดบิ๊กไบค์ที่ข้างทางเพื่อรับโทรศัพท์

“ว่าไงครับ พี่โดม” 

“พีท  พีทมาหาพี่ที่....หน่อยนะ  เอ่อ  พี่  มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” 

เสียงพี่โดมฟังดูแปลกไปกว่าเดิม  ดูลุกลี้ลุกลนพิกล  ทำให้เขาแปลกใจเพราะปกติพวกเขาเจอกันที่มหาวิทยาลัยทุกวันอยู่แล้ว
 
หลังวางสายพีทขี่บิ๊กไบค์กลับเข้าสู่ใจกลางเมืองและหยุดลงที่ตึกแถวแห่งหนึ่งที่ภายในเป็นห้องซ้อมดนตรีที่เก่าโทรม ซึ่งพวกนักเรียนที่หัดเล่นดนตรีมักมาใช้บริการเนื่องจากราคาค่าห้องไม่แพงนัก 

‘แล้วพี่โดมจะนัดเขามาที่นี่ทำไมเนี่ย’

พีทถอดหมวกกันน็อกออก  ผลักประตูกระจกที่แตกร้าวบางส่วนเข้าไปภายใน ห้องซ้อมดนตรีนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยสักคน

‘แล้วพี่โดมอยู่ที่ไหนกัน’  พีทลองเปิดประตูห้องซ้อมห้องแรกดู

“อ้าวพี่โดม  มาทะ...โอ๊ะ!”

“พีท! พวกนายอย่าทำอะไรพีทนะผมขอร้อง  พีท  พีทตื่นสิ  พีท...”   

เสียงโดมหายไปเพราะถูกใครคนหนึ่งในนั้นเอาผ้ายัดปากเขาไว้   

ร่างของพีทถูกตีที่ท้ายทอยล้มลงตรงประตู  หมวกกันน็อกที่ถือมาด้วยหล่นกระทบพื้นเสียงดัง   

------------------------------




สวัสดีค่า  ขอโทษที่หายไปหลายวัน  พีทถูกตีหัวสลบไปเลย 
แล้วเจอกันค่ะ



ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
21. ตกอยู่ในอันตราย



คนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมกำโทรศัพท์แน่นขึ้นไม่รู้ตัว  เลือดในกายเย็นเฉียบเมื่อได้รับรายงานจากคนของเขาว่าคุณชายหายเข้าไปในตึกแถวแห่งหนึ่งกลางเมือง  การ์ดที่ตามมาเห็นคุณชายหายเข้าไปด้านในนานผิดสังเกตจึงพังประตูเข้าไปภายในแต่ไม่พบใคร   เจอเพียงแค่มือถือและหมวกกันน็อกของพีทตกอยู่ที่พื้นเท่านั้น

เขาสั่งปิดประชุมทันที   คณะกรรมการทั้งหมดในห้องประชุมหันมามองเขาเป็นตาเดียว  ทุกคนงุนงงที่เขาลุกพรวดพราดออกจากห้องประชุมไปโดยไม่ให้คำอธิบายใด  คนที่เพิ่งออกจากห้องประชุมใจร้อนรุ่มกดโทรศัพท์วุ่นวายขณะที่ขายาวก้าวเข้าไปในลิฟต์ 

“ภายในสิบห้านาทีพวกนายต้องหาพีทให้เจอก่อนที่พวกมันจะลงมือทำอะไร  รายงานทุกระยะ  ผมต้องการรู้ทุกเรื่อง!” เขาตะคอกใส่ปลายสาย 

“โธ่โว้ย!”  มือใหญ่ทุบผนังลิฟต์ซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น  ข่าวที่ได้ยินทำเขาแทบทรุด  นึกโกรธตัวเองที่ออกจากบ้าน  ทิ้งพีทอยู่กับการ์ดไม่ได้ความพวกนั้น

“พีท อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ” 

เขากัดฟันแน่นพยายามควบคุมอารมณ์  พิงศีรษะกับผนังลิฟต์  ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งเสียใจ  เขาต้องตั้งสติ  ต้องหาพีทให้เจอก่อนจะเกิดอะไรขึ้น  เมื่อลิฟต์เปิดเขาวิ่งออกจากลิฟต์ตรงไปที่เฟอร์รารี่ที่ติดเครื่องรอ  ขับออกไปอย่างรวดเร็ว   

อีกสิบนาทีถัดมาคนของเขาก็ส่งข่าว   

“สายของเราที่ตามฝ่ายโน้นได้ยินพวกมันคุยกันเรื่องโรงแรมนอกเมืองครับ  สายยังบอกอีกว่ามีการส่งคนไปเตรียมสถานที่ตั้งแต่เมื่อวาน  ผมให้คนของเราล่วงหน้าไปก่อนแล้วชื่อโรงแรม.....”

“แล้วความเคลื่อนไหวพวกฝ่ายตรงข้ามล่ะ”

“ยังไม่มีครับ  คาดว่าพวกมันคงจะรอเวลาก่อนจะติดต่อเรามา” ปลายสายตอบ

“ดี  พวกนายเตรียมตัวให้พร้อมไว้  อีกยี่สิบนาทีเจอกัน” 

ฮั่นวางสายไปด้วยความสงสัยระคนหวั่นใจ  โรงแรมที่ได้รับรายงานมาเป็นโรงแรมจิ้งหรีดที่ไม่ค่อยมีใครไปใช้บริการ  อยู่นอกเมืองไปพอสมควร  พวกมันเอาพีทไปไว้ที่นั่นทำไม???

---------------------------------------------



“พีท  พีทตื่นสิ  พีทได้ยินไหม  พีท”  เสียงเรียกดังไม่ไกลนัก 

พีทเริ่มรู้สึกตัวทีละน้อย ปวดหัวทันที   ‘โอ๊ย ไอ้พวกนี้มันชอบตีหัวเขาเสียจริง’

ร่างที่นอนตะแคงบนเตียงเริ่มขยับตัวแต่ก็ทำได้จำกัด  เพราะถูกมัดมือไพล่หลังอยู่  ขาก็ถูกมัดด้วย  พีทขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

“พี่โดม เกิดอะไรขึ้น  แล้วนี่เราอยู่ที่ไหนกัน”

พีทถามพลางก้มลงสำรวจสภาพตนเองและรอบห้อง  ที่นี่เป็นเหมือนโรงแรมเก่าโทรม  เตียงที่เขานั่งอยู่ปูด้วยผ้าขาวที่เก่าจนเป็นคราบเหลืองมีกลิ่นอับ วอลเปเปอร์เก่าลอกจากผนังเป็นแผ่น  เฟอร์นิเจอร์ในห้องมีเพียงโต๊ะเครื่องแป้งและเก้าอี้ซึ่งโดมนั่งอยู่
 
“คงเป็นโรงแรมที่ไหนสักแห่งนอกเมือง  ตอนที่พีทสลบไปพวกมันก็เอาเราสองคนขึ้นรถ  พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราอยู่ที่ไหนแต่คงไกลจากเมืองเพราะนั่งอยู่ในรถนานพอดู”

“พีท  พี่ขอโทษที่ต้องโกหก  อย่าโกรธพี่เลยนะ  พวกนั้นมันไปที่บ้านแล้วจับพี่มา  บังคับให้พี่โทรหาพีทไม่งั้นมันจะทำร้ายพ่อกับแม่  พี่เลยต้องโทรเรียกพีทไปที่ตึกแถวนั่น  พี่ขอโทษนะ” 

เสียงโดมเล่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องหลอกพีทให้พวกมันจับมา

“ช่างมันเถอะครับ  ผมต่างหากที่ต้องขอโทษพี่โดม  พวกนั้นมันต้องการตัวผมเลยต้องทำให้พี่โดมเดือดร้อนไปด้วย”

“เราจะทำยังไงดี” โดมถามอย่างเป็นกังวล  เริ่มเครียดกับสิ่งใดก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

“เราต้องหาอะไรมาตัดไอ้สายบ้า ๆ  นี่ออกก่อน” 

พีทลองขยับแขนดู  พวกมันรัดแขนเขาด้วยเข็มขัดรัดสายไฟ  ทำให้ไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่นิดเดียว  เขาพยายามขยับจนเข็มขัดพลาสติกเสียดสีข้อมือเขาจนแสบไปหมด  แต่ในห้องนี้ไม่มีอะไรเลยที่คมพอจะใช้ตัดสายพลาสติกที่รัดข้อมือเขาได้

ก่อนที่พวกเขาจะทำอะไรต่อไปประตูห้องก็เปิดออก  เสียงเหี้ยมของชายร่างใหญ่หยุดการเคลื่อนไหวของเขาทั้งคู่

“รู้สึกตัวแล้วเหรอ คุณชาย”  ใบหน้าหยาบกระด้างนั้นเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม 

“กว่าจะตามจับมึงได้  เล่นเอาพวกกูเหนื่อยไปเท่าไร  ถ้ามึงไม่มีค่าหัวแพงขนาดนี้  กูขอยกเลิกไปนานแล้ว  แม่ง”  ผู้ชายร่างใหญ่เดินมากระชากเขาเขย่าจนพีทหัวสั่นหัวคลอนแล้วก็ผลักลงไปบนเตียงอีกครั้ง

“เฮ้ย  มึงสองคนเอาไอ้คุณชายนี่ไปได้แล้ว”  ชายคนเดิมร้องบอก   พวกมันอีกสองคนเดินเข้ามาหิ้วปีกพีทดึงให้ลุกขึ้นยืน  พีทดิ้นไปมาพยายามขัดขืนแต่ไม่เป็นผล

“พีท  พีท”  พี่โดมร้องเรียกเขาอย่างเป็นห่วง

“หุบปากไอ้อ้วน  ไม่งั้นมึงได้เจอดีแน่”  เสียงเหี้ยมขู่พร้อมกับชักปืนขึ้นจ่อขมับของโดม  ซึ่งเงียบเสียงไปทันที 

“ดิ้นนักนะมึง”  สิ้นเสียงนั้น  ชายร่างใหญ่ก็ต่อยเข้าที่ท้อง  เขาจุกจนตัวงอ  พวกมันลากเขาออกไปจากห้อง  ทิ้งให้โดมนั่งมองด้วยความหวั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น

พีทถูกลากเข้ามาอีกห้องหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับห้องเมื่อครู่  ผิดแต่เพียงว่ามีกล้องวีดีโอสามตัวตั้งอยู่รอบเตียง!

‘มันอะไรกัน!’

พีทมองไปที่กล้องอย่างหวั่นใจ  เขาหันไปมองพวกมัน สายตาที่มองกลับมาทำให้เขาถึงกับขนลุก  พวกมันจะทำอะไรกันแน่

“รออยู่ที่นี่ก่อนนะคุณชาย  เดี๋ยวได้สนุกแน่”  พวกมันหัวเราะในลำคอก่อนจะโยนเขาไปบนเตียงอย่างไม่ปรานีปราศัยนัก  แล้วออกจากห้องไป 

เมื่ออยู่คนเดียวในห้องเก่าอับ  ยิ่งทำให้พีทกลัว  กลัวว่าสิ่งที่เขากำลังกลัวจะเป็นจริง 

เพียงครู่เดียวพวกมันก็กลับเข้ามาอีก  พีทที่กำลังพยายามลุกขึ้นยืนถูกผลักให้ล้มลงบนเตียงอีกครั้ง พวกมันคนหนึ่งตามมากดไหล่เขาไว้ไม่ให้ขยับตัวหนี  ในมือมีขวดน้ำติดมาด้วย  ชายอีกคนที่สวมหมวกไหมพรม  ใบหน้ามีหนวดเครารุงรังเดิมอ้อมเตียงมาอีกด้าน 

“เอ้ย  มึงจับปากมันไว้”  ชายคนที่มีหนวดเคราสั่ง 

พีทได้ยินดังนั้นก็ดิ้นรนหนักขึ้นทันที    ร่างที่ถูกมัดยกเท้าขึ้นถีบคนที่พยายามจับหน้าเขาทำให้มันล้มลงไปจากเตียง  เขาพยายามยันตัวลุกขึ้น  แต่กลับถูกกระชากให้หงายลงไปบนเตียงอีกจากคนที่อยู่อีกฝั่ง  หมัดลุ่น ๆ กระแทกเข้าที่ท้องอย่างไม่ปรานี   ฝ่ามือหยาบหนาฟาดลงมาบนใบหน้าฉาดใหญ่  จากนั้นพวกมันก็จับคางเขาไว้แล้วยัดอะไรบางอย่างเข้ามาในปาก 
 
“เฮ้ย  มึงเอาน้ำมา”  ไอ้คนที่มีหนวดเคราร้องบอกพรรคพวก

ผู้ชายคนที่ถูกพีทถีบล้มไป   ลุกขึ้นคว้าขวดน้ำ   พวกมันพยายามกรอกน้ำใส่ปากเขา  พีทใช้ลิ้นดันเม็ดยานั่นออกมาแล้วพ่นทิ้ง   น้ำเข้าปากและจมูกจนเขาสำลัก

“มึงจะกินยาหรือมึงจะกินตีนกู ไอ้หน้าหล่อ!”

เสียงเหี้ยมนั้นถามอย่างเอาเรื่อง  มือหนานั้นหยิบยาขึ้นมาใหม่ คราวนี้มันบีบจมูกพีทไว้  รอจนกระทั่งเขาทนไม่ไหวต้องอ้าปากหายใจ จังหวะนั้นมันก็ยัดยาเข้ามาอีกครั้ง  พวกมันอีกคนก็กรอกน้ำตาม 
 
พีทดิ้นรน  เขาส่ายหน้าไปมาจนพวกมันรำคาญ  ฝ่ามือหนาฟาดลงมาอีกครั้ง  พีทชาใบหน้าทั้งแถบแต่เขาไม่ยอมแพ้  ยังพยายามดิ้นให้หลุดจากมือของพวกมันที่กดร่างเขาไว้  แม้ว่าจะเจ็บปวดจากการถูกพวกมันซ้อมเพื่อให้เขายอมกินยา

ในที่สุดพวกมันก็ยอมหยุดเมื่อไม่สามารถทำให้พีทกลืนยาลงไปได้

“แม่งเอ๊ย”  คนที่สวมหมวกไหมพรมเดินออกจากห้องไปอย่างหงุดหงิดเต็มกำลัง 

พีทใช้โอกาสนี้หายใจ  เขาไอเพราะสำลักน้ำ แสบจมูกไปหมด 

ไม่นานชายคนเดิมก็กลับเข้ามาอีกพร้อมกับลากพี่โดมเข้ามาด้วย!

“พี่  พี่โดม”   พีทครางอย่างตกใจ

“มึงจะกินยาดี ๆ  หรือจะให้ไอ้อ้วนนี่แดกลูกตะกั่วกูแทน  หา!” 

เสียงกร้าวนั้นพูดพร้อมกับจ่อปืนไปที่ขมับของโดม  พีทตกใจแทบสิ้นสติ  มองไปที่พี่โดมที่หลับตาแน่น  เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งตัว 

‘เขาจะทำยังไงดี’

“พลั่ก”  ไอ้คนใจโหดใช้สันปืนตบไปที่ศีรษะโดมอย่างแรง  ร่างอวบของโดมล้มลงกระแทกพื้น  เขาร้องครางอย่างน่าสงสาร 

“มึงจะกินหรือไม่กิน หา! กูไม่มีเวลารอมึงทั้งวันหรอกนะโว้ย” ไอ้คนเดิมจ่อปืนตรงไปที่พี่โดมที่ยังนอนอยู่ที่พื้น 

“กะ กิน  ฉันยอมกินแล้ว  อย่าทำอะไรพี่โดมนะ”  พีทตะโกน

พวกมันยัดยาใส่ปากเขาอีกครั้ง  บีบจมูกเขาไว้พร้อมทั้งกรอกน้ำตามมา  พีทจำใจต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป  พวกมันเห็นเขากลืนยาลงไปแล้วก็ทิ้งเขาไว้  แล้วลากพี่โดมที่ทรุดอยู่ที่พื้นออกไปด้วย 

“พี่โดม  พี่อดทนไว้ก่อนนะ”  พีทร้องบอกพี่โดมที่ถูกลากออกไป

“มึงไม่ต้องเป็นห่วงไอ้อ้วนนั่นหรอก  มึงห่วงตัวมึงเองจะดีกว่า ไอ้หน้าหล่อ  ฮ่า ๆ”  ไอ้คนใจร้ายหันมาตะคอกใส่เขา  พลางหัวเราะแปลกประหลาดทำให้พีทขนลุก   

‘พวกมันเอายาอะไรให้เขากินกันแน่’
  ความวิตกกังวลค่อย ๆ เกิดขึ้น

“ขอให้มีความสุขนะคุณชาย”  พวกมันพูดส่งท้าย  ทิ้งให้คนฟังกังวลใจมากขึ้นกับประโยคนั้น 

‘มีความสุข?  มีความสุขบ้าอะไรกัน??’


เสียงประตูปิดลง พีททิ้งตัวบนเตียงอย่างอ่อนแรง จุกที่ท้อง ปวดไปทั้งตัวเพราะพยายามขัดขืนพวกมัน  เขาปล่อยให้น้ำตาไหล  ตอนนี้เขาคิดถึงพี่ฮั่นมากเหลือเกิน   เพราะทุกครั้งเวลาเขาตกอยู่ในอันตรายเขามีพี่ฮั่นอยู่ด้วยเสมอ  แต่ตอนนี้...

“พี่อยู่ไหน  ช่วยพีทด้วย”  พีทร้องครางอย่างสิ้นหวัง   

เขานอนนิ่งเอาแรงอยู่ครู่จึงพยายามขยับตัว  สองขาขยับทีละน้อยเพื่อพาตัวเองลงจากเตียง  ตาเหลือบไปมองกล้องวีดีโอที่ตั้งอยู่  คิดอะไรออก

“โครม ๆๆ”

พีทใช้เท้าถีบขาตั้งกล้องพวกนั้นให้ล้มลง  เขาพยายามใช้สองเท้าที่ถูกมัดเตะกล้องให้กระแทกผนัง   เสียงที่ดังโครมครามเรียกให้พวกมันเปิดประตูเข้ามาดู

“บ้าเอ๊ย”

ไอ้คนใจโหดสบถเมื่อเห็นกล้องทั้งหมดตกกระแทกพื้น  มันตรงเข้ามาจับเขาเหวี่ยงไปกระแทกผนังด้านหนึ่ง  พีทที่เท้ายังถูกมัดติดกันปลิวไปตามแรง  ศีรษะกระแทกกับผนังอย่างแรงจนเขามึนงงทรุดลงกับพื้น  พวกมันที่เหลือตรงเข้าไปเก็บกล้องขึ้นมาใหม่แล้วตามมาลากเขาขึ้นไปไว้บนเตียงอีกครั้ง

“ถ้ามึงทำอะไรอีก  ไอ้อ้วนข้างนอกได้แดกลูกตะกั่วกูแน่”  พวกมันขู่แล้วออกจากห้องไป

‘จะทำยังไงต่อไปดี’  พีทคิดอย่างเหนื่อยอ่อน  เขาระบมไปหมดทั้งตัว  เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือ  ได้แต่มองไปรอบห้องจนเห็นผ้าม่านสีซีด  ฝุ่นจับ   

‘หน้าต่าง!’

ใช่แล้ว  ถ้าประเมินจากยอดไม้ที่เห็น  เขาคงอยู่ไม่สูงมากนัก  อย่างมากก็คงแค่ชั้นสาม  ถ้าเขากระโดดลงไปจะเป็นยังไงมั่งนะ เขายอมกระโดดลงไปดีกว่าจะยอมเป็นเหยื่อของพวกมัน 

คิดดังนั้นพีทจึงพยายามรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่เคลื่อนตัวทีละน้อย 

ฉับพลันนั้นก็รู้สึกร้อนขึ้นมา 

‘ทำไมมันร้อนแบบนี้’
  จู่ ๆ เขาก็รู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณลำตัวลามไปทั่วทั้งร่างกาย  หัวใจเต้นเร็วขึ้น
 
‘นี่เราเป็นอะไร? ร้อน ทำไมถึงร้อนอย่างนี้ ต้องเป็นเพราะยานั่นแน่ ๆ  บ้าชะมัด’


พีทพยายามเตือนตัวเองให้ตั้งสติ  แต่ดูเหมือนไม่ช่วยอะไรเลย เหงื่อเริ่มผุดตามร่างกาย  ร้อนวูบวาบทั่วไปหมด 

เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง  พีทรวบรวมสติกลับมา  ลืมตาขึ้นมอง 

ดวงตาเขาพร่าไปชั่วขณะ  เห็นภาพคนแยกเป็นสองคนแล้วรวมร่างกันใหม่แล้วแยกออกไปหลายร่าง  เขาสะบัดศีรษะ  พยายามมองอีก  คนที่เขามองเห็นแปลกไปจากพวกที่เข้ามาก่อนหน้า   

ชายที่เข้ามาใหม่รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผิวพรรณขาวสะอาด  แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจแทบสิ้นสติคือ...

นายนั่นมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันร่างกายท่อนล่างไว้!







ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
คราวนี้พี่พีทมาช่วยแล้วแล้ว กวาดล้างไอพวกนี้ให้สิ้นซากซะทีเถอะ ไม่งั้นมันก็ไม่เลิกซะที ตาต่อตาฟันต่อฟันไปเลย

ออฟไลน์ Spelling_B

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
22. บุกเดี่ยว


เฟอร์รารี่สีแดงสดกำลังวิ่งไปบนถนนด้วยความเร็วสูงสุด  ฮั่นได้รับรายงานถึงสถานที่ตั้งของโรงแรมจากสายของเขาที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว 

ซูเปอร์คาร์ลดความเร็วลงเมื่อเครื่อง GPS แจ้งตำแหน่งให้ทราบว่าใกล้จะถึงจุดหมาย ชายหนุ่มหักรถเข้าจอดในพงหญ้าร้างข้างทาง  เขาถอดสูทและเนคไทโยนทิ้งไว้บนเบาะ  พับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเหนือศอกลวก ๆ    คว้าปืนคู่กายพร้อมแมกกาซีนบรรจุกระสุนลงจากรถ 

เขากวาดสายตาไปรอบบริเวณอย่างรวดเร็ว   คนของเขายังมาไม่ถึง ขายาวออกวิ่งลัดเลาะไปยังโรงแรมที่เห็นห่างออกไปทันที

รอใครไม่ได้แล้ว ใจเขาร้อนเหมือนมีใครมาสุมไฟไว้ภายใน  พีทตกอยู่ในอันตราย   
 
บริเวณรอบโรงแรมมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด  รอบด้านมีแต่ป่าและหญ้าขึ้นแน่นขนัด   

‘ใครเป็นคนคิดมาสร้างโรงแรมไว้แถวนี้?’

ฮั่นวิ่งใกล้ถึงตัวโรงแรมแล้วจึงหยุดเพื่อมองหาสายของเขา 

“คุณฮั่น ๆ” 

เสียงเรียกเบาจากทางขวามือทำให้ฮั่นหันไปเพ่งมอง  เขาเกือบจะไม่สังเกตเห็นถ้าชายคนนั้นไม่ยกมือขึ้นโบกเพราะเจ้าของเสียงซ่อนตัวอยู่กลางพุ่มไม้เตี้ยที่มีใบดกหนา 

ร่างสูงใหญ่ย่องเข้าไปใกล้  บริเวณนั้นเต็มไปด้วยหญ้าขึ้นสูงช่วยบดบังพวกเขาได้ดี

“เป็นไงบ้าง”  เขาถามทันที

“ตอนผมมาถึงไม่เห็นคุณชายแล้วครับ พวกมันคงเอาตัวไว้ข้างในโรงแรมน่าจะอยู่ชั้นสองเพราะผมเห็นพวกมันเดินไปมาหลายคน  รอบบริเวณนี้มีคนของพวกมันสักยี่สิบคนกระจายอยู่ทั่วเลยครับ  มีปืนทุกคน  ผมเห็นรถตู้สีดำมาจอดแล้วมีคนลงมา  ท่าทางแปลกเพราะไม่เหมือนลูกน้องพวกมัน  เพิ่งเข้าไปสักสิบนาทีนี่แหละครับ” 

ฮั่นฟังข้อมูลแล้วก็มองสำรวจบริเวณโดยรอบ โรงแรมตรงหน้าเป็นโรงแรมสองชั้น  หันหน้าไปด้านที่ติดกับถนนซึ่งอยู่ซ้ายมือเขา ตัวอาคารเก่าโทรมเพราะขาดการดูแล  มองจากตรงนี้เขาเห็นประตูด้านข้างโรงแรมใกล้กับลานจอดรถ  เขาตัดสินใจทันที

“นายอยู่รอพวกนั้นก็แล้วกัน  ถ้ามากันพร้อมแล้วก็บุกทันที  ผมจะเข้าไปก่อน  ถ้ามีอะไรก็โทรมา” 

“แต่คุณชายครับ  มันอันตรายนะครับ  คนของมันเต็มไปหมด  คุณเข้าไปคนเดียวจะไม่ปลอดภัย”  นายนั่นเตือน

“พีทก็อยู่ในนั้นคนเดียวเหมือนกัน  น่าเป็นห่วงกว่าซะอีก!”

ว่าแล้วคนใจร้อนก็พุ่งตัวออกจากที่ซ่อนทันที  เขามองเห็นลานจอดรถขนาดเล็กที่มีรถจอดอยู่สองสามคัน   คาดว่าน่าจะเป็นรถของพวกมันทั้งหมด อีกคันเป็นรถตู้สีดำตามที่สายเพิ่งรายงาน   คนของพวกมันเฝ้าอยู่สองคนเดินผ่านไปมา  ร่างสูงใหญ่ลอบเข้าไปโดยอาศัยรถที่จอดอยู่เป็นที่กำบัง  เขาย่อตัวซอยเท้าเร็ว ๆ ไปหลบที่รถคันหนึ่ง  มองซ้ายขวาแล้วก็เคลื่อนเข้าไปใกล้มากขึ้นโดยใช้รถที่จอดอยู่เป็นที่กำบังตัวจนไปหยุดที่หลังรถตู้สีดำที่เขาหมายตาไว้   

เขากระชับปืนในมือ  ยืนนิ่ง  รอจังหวะที่พวกมันหนึ่งในนั้นเดินผ่านจึงลอบเข้าไปทางด้านหลัง  ใช้สันปืนกระแทกที่ท้ายทอยทีเดียวมันก็หมดสติล้มลง จัดการลากมากองไว้หลังรถตู้  จากนั้นจึงลอบเข้าไปด้านหลังของยามอีกคน ยามคนที่สองหมดสติด้วยวิธีการเดียวกัน   

รวดเร็ว  เงียบกริบ

เขาหันซ้ายขวา  เมื่อแน่ใจแล้วจึงลอบเข้าไปที่ประตูด้านข้าง  เปิดประตูอย่างเงียบเชียบแล้วค่อย ๆ แทรกตัวเข้าไปภายใน  แสงแดดจ้าด้านนอกทำให้ภาพภายในอาคารมืดไปชั่วขณะ  ก่อนที่เขาจะปรับสายตาได้ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุเย็น ๆ  ที่ท้ายทอย

“มึงเป็นใคร!”

ไม่ต้องรอให้ถามซ้ำ  ฮั่นแทงศอกซ้ายกระแทกไปด้านหลังอย่างแรงเข้าที่ใบหน้าของคนข้างหลังซึ่งเตี้ยกว่าเขา  แล้วหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว  คว้าเสื้อด้านหน้ากระชากเข้ามา  กระแทกเข่าสวนไป  ร่างนั้นงอตัวลงจึงเป็นโอกาสให้เขาใช้สันปืนกระแทกเข้าท้ายทอยถนัดถนี่  ร่างตรงหน้าทรุดลง  แน่นิ่ง 

“ตึง”  เสียงปืนหล่นกระแทกพื้น   เขาก้มลงไปคว้าปืนมันมาอย่างว่องไว   

“เฮ้ย”  พวกมันอีกสองคนโผล่ออกมาเห็นเพื่อนที่นอนนิ่งบนพื้น 

มันเห็นเขาแล้ว!

“ปัง ๆๆ” 

พวกมันยิงใส่เขาทันที  เสียงปืนสะท้อนก้องในโรงแรม   เขาพุ่งตัวเข้าไปหลบที่ตู้ล้อเข็นของแม่บ้านที่วางทิ้งไว้บนทางเดินเพื่อใช้เป็นที่กำบัง
 
‘บ้าชะมัด!  คราวนี้พวกมันรู้ตัวกันหมดแน่’

“เฮ้ย!!  เกิดอะไรขึ้น!” 

เสียงเท้าหลายคู่วิ่งกรูกันเข้ามาภายในโรงแรมหลังจากที่ได้ยินเสียงปืนดังก้อง  พวกมันตะโกนถามกันวุ่นวายและเรียกพรรคพวกให้ตามมาสมทบ

“มีคนแอบเข้ามา  อยู่ตรงโน้น”  เสียงหนึ่งร้องบอก

“ปัง ๆๆ”

พายุลูกปืนที่กระหน่ำยิงมาทำให้เขาต้องหลบ  กระสุนปืนกระทบสิ่งของบนตู้ล้อเข็นแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ  เศษปูนขาวจากผนังถูกกระสุนเจาะปลิวว่อนไปทั่ว

เขากระชับปืนในมือ  มืออีกข้างจับตู้ล้อเข็นไว้แน่น  หัวสมองคิดหาวิธีการอย่างเร่งด่วน  ขยับไปแอบมองดูตามช่องว่างของล้อรถเข็น

โรงแรมนี้ก็เหมือนโรงแรมทั่วไปที่ตรงกลางจะเป็นโถงต้อนรับที่มีเคาน์เตอร์รับแขกอยู่ด้านใน  ตอนนี้พวกมันรวมอยู่ตรงโถงกลางโรงแรม  ยืนจังก้ายิงใส่เขาอย่างไม่กลัวเกรงเพราะพวกของตนมีมากกว่า  บางส่วนซุ่มอยู่ที่เคาน์เตอร์ เยื้องไปทางขวามือเป็นบันไดขึ้นชั้นสอง 

เขาพยายามกวาดสายตาไปโดยรอบ 

‘โคมไฟ!  ได้การล่ะ’
 

ฮั่นตัดสินใจยิงไปที่โคมไฟแก้วระย้าที่ติดอยู่เหนือหัวของพวกมัน 

เพียงนัดเดียว  โซ่เหล็กเส้นหนาที่คล้องโคมไฟขนาดใหญ่ไว้กับเพดานก็ขาด  โคมแก้วระย้าหลุดร่วงใส่พวกมันที่ซุ่มอยู่ด้านล่าง

พวกมันบางคนถูกโคมไฟกระแทกใส่อย่างจัง  บางคนก็พุ่งตัวหลบได้ทัน  โคมแก้วตกกระทบพื้นแตกกระจายไปทั่ว  พวกมันต่างก็กระเจิดกระเจิงออกจากห้องโถง   

เขาใช้โอกาสที่พวกมันเผลอ   ผลักตู้ล้อเข็นวิ่งออกจากที่ซุ่มตรงเข้าใส่  ยิงปืนที่ยึดมาได้เมื่อครู่กราดไปทั่ว  พวกมันเป็นแค่ลูกน้องปลายแถวที่รักตัวกลัวตายเป็นเหมือนกัน  จึงวิ่งหนีลนลานไปด้านนอกเมื่อเจอเขาสวนกลับ 

เขาได้โอกาสวิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว 

“ปัง ๆๆ” 

“โอ๊ย!”  คนที่เฝ้าทางเดินชั้นบนถลันลงมาจึงโดนยิงทันที  มันล้มกลิ้งตกบันไดไป 

เมื่อก้าวไปถึงชั้นบน  ชายในชุดดำร่างใหญ่คนหนึ่งที่ซ่อนกายอยู่มุมบันไดโผล่เข้ามากะทันหัน  เขาตวัดเท้าเตะไปที่ปลายกระบอกปืนก่อนที่มันจะลั่นไก  ปืนหล่นลงพื้นกระเด็นไปอีกทาง  อีกฝ่ายพุ่งร่างใหญ่โตเข้าใส่เขาทั้งตัว  เท้าขนาดใหญ่ของมันถีบเข้าที่ชายโครงทำให้เขาล้มลงไปบนพื้น  ฮั่นพลิกตัวหลบเท้าของมันที่ตามกระทืบซ้ำได้ทันหวุดหวิด  เหลือบสายตาไปเห็นปืนที่ตกบนพื้นจึงกลิ้งตัวไปคว้าปืนที่ตกอยู่ขึ้นมา  ก่อนจะสวนกลับรวดเร็ว

“ปัง!” 

“อ๊ากกกก” 

ร่างใหญ่โตของคนชุดดำตรงหน้าโอนเอนจะล้มเพราะถูกเขายิงสวนเข้าชายโครง   เขาตรงเข้าไปล็อกคอมันจากด้านหลัง  เอาปืนจ่อที่ขมับ  กดลงไป

“น้องกูอยู่ที่ไหน  หา!” 

เขาตะโกนใส่หูมันพลางกดปลายกระบอกปืนแน่นขึ้น  ใจเขาจะขาดอยู่แล้วเพราะความกลัว  กลัวว่าน้องจะเป็นอันตราย

ยังไม่ทันได้คำตอบอะไร  เสียงฝีเท้าอีกหลายคู่กระทบพื้นทำให้เขาต้องหันไปมอง

“ปัง ๆๆ”

พวกมันสาดกระสุนมาโดยไม่ให้เขาตั้งตัว  เขาหันร่างหนาที่ล็อกตัวไว้ใช้เป็นเกราะให้ตัวเองได้ทัน   พวกมันจึงกระหน่ำยิงใส่ร่างเพื่อนของมันแทน  ร่างนั้นกระตุกรุนแรงเมื่อกระสุนเจาะเข้าตามร่างกายนับไม่ถ้วน  กลิ่นเลือดคละคลุ้งเมื่อเลือดจำนวนมากทะลักออกจากร่างที่เขาล็อกอยู่  พวกมันกระหน่ำยิงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาทำให้เขาต้องถอยหลังพลางลากร่างที่เขาล็อกไว้ไปด้วย   ในที่สุดพวกมันต้องหยุดเมื่อเห็นว่าพรรคพวกตัวเองเป็นฝ่ายรับกระสุนแทน   

จากที่ตั้งรับเมื่อครู่   คราวนี้เป็นตาของเขา!

“ปัง”  คนหน้าสุด

“ปัง”  คนถัดมาล้มลงอีก

“ปัง ๆๆ”  พวกมันร่วงลงพื้นทีละคน 

ฮั่นผลักร่างที่ไร้วิญญาณออก วิ่งไปกระชากพวกมันคนหนึ่งที่ทรุดนั่งที่พื้น  มือกุมท้อง  แขนขวามีเลือดอาบ

“มึงเอาน้องกูไปไว้ไหน บอกมา!”

เขาตะคอกถามเสียงสั่นอย่างข่มอารมณ์ไม่อยู่  จ่อปลายกระบอกปืนที่หน้าผากไอ้คนที่มีหนวดเครารุงรัง 

“ไม่รู้”

แม้จะถูกเขาจ่อปืนอยู่แต่ไอ้คนนี้ยังไม่มีความกลัวสักนิด  กลับมองตอบเขาแววตาท้าทาย

“ปัง”

“อ๊ากกกก” 

เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด   เมื่อเขาเปลี่ยนมากดปลายกระบอกปืนยิงใส่ต้นขามันแทน  ระยะยิงใกล้ขนาดนี้  กระสุนจึงทะลุขาฝังลงพื้น 

“มึงจะบอกรึยัง หา!”   

เขาถามเป็นครั้งสุดท้าย   เลื่อนปลายกระบอกปืนมาจ่อที่ใต้คาง   แววตาไม่เหลือความปรานีอีกต่อไป

“ห้องสะ สุดท้าย”  เสียงตอบกระท่อนกระแท่นเพราะความเจ็บปวด 

ฮั่นออกแรงลากมันขึ้นมา ใช้ปืนจี้หัวไว้  แล้วผลักให้มันเดินลากขานำเขาไปที่ห้องนั้น


-------------------------------------


ขอบคุณที่ติดตามค่ะ   








ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
กว่าจะตามทัน อ่านเป็นวันเลย สนุกดีค่ะ รอตอนต่อไป   :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
23. ยา


“อา..อา...”

พีทนอนร้องครวญคราง  ใบหน้าส่ายไปมาเพราะความรู้สึกรุนแรงระเบิดในกายจนแทบทนไม่ได้  ยานั่นกำลังออกฤทธิ์  มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกบางอย่าง  เป็นความรู้สึกต้องการอย่างรุนแรง  เขาคิดอะไรไม่ออก แล้วก็ร้อน  ร้อนไปหมด  เหงื่อออกท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม  เขาดิ้นพล่านไปมา  ขาที่ถูกมัดถีบไปมาบนเตียงจนผ้าปูเตียงยับย่น   มือที่ถูกมัดไพล่หลังเสียดสีกับสายพลาสติกทำให้บาดเข้าไปในเนื้อลึกขึ้นกว่าเดิม  คราบเลือดเปื้อนบนเตียงกระจายไปทั่วแต่เขาไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด 

เขากำลังทรมาน

คนที่เข้ามาใหม่เดินเข้ามาสำรวจกล้องที่ตั้งไว้อย่างลวก ๆ   กล้องเสียไปหนึ่งตัว  ร่างเกือบเปลือยนั่นจัดตำแหน่งกล้องใหม่อย่างใจเย็น  ปล่อยให้คนที่ถูกมัดดิ้นพล่านต่อไป  ดวงตาที่มองเด็กหนุ่มบนเตียงเต็มไปด้วยความพึงพอใจ 

‘เด็กนี่หน้าตา ผิวพรรณดีทีเดียว ถูกใจเขามาก ท่าทางจะเป็นลูกคนรวย ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง’    คิดพลางยิ้มมากขึ้น
 
อา...เขาชอบจริง ๆ เวลาเห็นคนดิ้นทุรนทุรายเพราะความต้องการอย่างนี้   รออีกนิดเด็กนั่นก็จะหมดแรงไปเอง  เหลือแต่ความต้องการล้วน ๆ ซึ่งเขาจะตอบสนองให้อย่างจุใจเลยทีเดียว  งานนี้ได้ทั้งเงินและได้สนุกกับคนที่เขาพึงใจ  คุ้มจริง ๆ

พีทดิ้นจนเหนื่อย  เขาอ่อนแรงลงทีละน้อยแต่ความต้องการกลับทะยานสูงขึ้นทุกนาทีที่ผ่านไป  เตียงอ่อนยวบตามน้ำหนักของคนที่นั่งปลายเตียง  พีทสะดุ้งเมื่อข้อเท้าถูกยึดไว้   เขาพยายามดิ้นเท่าที่จะพอมีแรงแต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์

“เก็บแรงไว้ดีกว่า  ดิ้นไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก หนุ่มน้อย”  น้ำเสียงยานคางนั้นทำให้คนบนเตียงขนลุกเกรียว 

“แกร๊ก”  สายพลาสติกที่รัดข้อเท้าถูกตัดขาดด้วยมีดพับเล็ก ๆ

พีทพยายามจะขยับตัวหนีทันทีที่เป็นอิสระ ทว่า เขากลับไร้เรี่ยวแรง  เท้าที่เป็นอิสระถีบไปมาบนที่นอนอีกเมื่อความรู้สึกรุนแรงพุ่งขึ้น 

‘ไม่ไหวแล้ว’ เขาเริ่มหายใจแรง

“รู้สึกเป็นไงบ้าง หืม?”  อีกฝ่ายพูดพลางมองสำรวจไปทั่วตัว 

‘ดูยังอายุน้อยอยู่เลย  กลิ่นเด็กหนุ่มช่างหอมยวนใจเขาที่สุด’
 
“ทรมานใช่ไหม”  เขาลากเสียง  เลื่อนนิ้วไปตามใบหน้าเรียวที่ส่ายไปมา...

“เดี๋ยวก็จะรู้สึกดีขึ้นเอง”   คนพูดหัวเราะอย่างหมายมาดอะไรบางอย่าง

คนที่นอนอยู่บนเตียงสติแทบไม่เหลือ  ไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งใด  ดวงตาเริ่มเหม่อลอยไม่โฟกัสที่ใด  เหมือนกำลังเมา  ไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ปฏิกิริยาของร่างกายอยู่นอกเหนือการควบคุมเพราะฤทธิ์ยา  ความทรงจำสุดท้ายเขานึกถึงหน้าพ่อ  คุณโรส 
และพี่ฮั่น

‘พี่ฮั่นช่วยด้วย’


“ปัง ๆๆ ”   

มือที่กำลังจะแตะร่างเด็กหนุ่มชะงัก   

“เสียงอะไร เฮ้ย อะไรวะ ตกใจหมด ใครมายิงประทัดอะไรแถวนี้  ไหนคนจ้างบอกว่าแถวนี้ไม่มีใครไง”  น้ำเสียงนั้นเริ่มหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ

“ปัง ๆๆ” 

เสียงดังอีก   คราวนี้คนที่คิดตอนแรกว่าเป็นเสียงประทัดทำหน้าแปลกใจอีกครั้ง  มันไม่เหมือนเสียงประทัดแต่นี่มัน 

เสียงปืน!!!

ร่างเกือบเปลือยเริ่มละล้าละลังเพราะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก เสียงปืนสะท้อนก้องภายในเหมือนอยู่กลางสนามรบ  ดังรอบทิศเหมือนมีคนยิงกันในโรงแรม  เขาผละลงจากเตียงทันใด  แล้วก้าวไปเปิดประตูเพื่อดูเหตุการณ์ภายนอก 

ทันที่ที่ประตูเปิดออก  พวกนักเลงที่จ้างเขามาก็ล้มลงหน้าประตูพอดี  ชายคนนั้นร้องครวญคราง  ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน

“อ๊ากกก” 

ร่างใหญ่ที่พันผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวรีบถอยหนีจากประตูทันที   นี่มันเกิดอะไรขึ้น  คนข้างนอกกำลังจะฆ่ากันตายแล้ว  เขาต้องหนีก่อนแล้ว  ซวยฉิบ  คิดว่าจะได้เงินกลับต้องมาเจอนักเลงมีเรื่องกัน

ผู้ชายคนหนึ่งถลันเข้ามา  พอเห็นสภาพของเขา   สภาพห้อง   สภาพคนที่นอนอยู่บนเตียง  ไอ้หน้าหล่อนั่นก็ยกปืนเล็งมาที่เขา 

“มึงทำอะไรน้องกู!!!”

“มะ มะ ไม่ได้ทำอะไร”  เขาเกิดติดอ่างขึ้นมาทันทีที่เห็นปลายกระบอกปืนตรงหน้าเหงื่อไหลท่วมอย่างรวดเร็ว 

“มึงทำอะไร  บอกมา!!!”

ฮั่นตะคอกเสียงดัง   มือที่กำปืนแน่นสั่นนิด ๆ เพราะความหวั่นใจ  พวกมันกำลังจะทำอะไร  ทำไมไอ้หน้าขาวนี่ถึงอยู่ในสภาพนี้ แล้วไอ้กล้องบ้า ๆ นั่นอีก

“อา  อา  ช่วย.. ช่วยด้วย” 

เสียงร้องครางกระท่อนกระแท่นจากคนที่นอนบนเตียงทำให้การสอบสวนยุติลง  ฮั่นไม่มีเวลาแล้ว  เขาชกหน้าไอ้หน้าขาวนั่น เพียงหมัดเดียวร่างที่เกือบเปลือยนั้นก็สลบกลางอากาศทรุดฮวบลงกับพื้น  ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

“พีท!”  เขาถลาไปที่เตียงทันที

พีทนอนร้องคราง ใบหน้าแสดงความทรมานอย่างสาหัส  ส่ายหน้าไปมาอยู่อย่างนั้น  มือทั้งสองถูกมัดไพล่หลังอยู่  เท้าที่เป็นอิสระถีบไปมาบนเตียง   ฮั่นจับใบหน้านั้นเขย่าเบา ๆ  พร้อมกับเรียกชื่อไปด้วย

“พีท  พีทเป็นอะไร  ไม่เป็นไรนะ พี่มาแล้ว  พีท  ได้ยินไหม” 

‘พีทเป็นอะไร  ทำไมดิ้นทุรนทุรายอย่างนี้’ 

ดวงตาของพีทลืมขึ้นแต่กลับเหม่อลอยไม่รับรู้อะไร  เมื่อเขาพยายามสอดแขนเพื่อดึงตัวขึ้นมา  พีทกลับผวาเบียดตัวเข้าหาเขา  เขาโอบร่างที่ดิ้นรนไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง  คว้ามีดพับที่ตกอยู่บนเตียงมาตัดสายรัดพลาสติกที่มัดมือพีทออก 

ทันทีที่เป็นอิสระ สองแขนนั้นเอื้อมมากอดเขาไว้พลางเบียดร่างเข้าหา ร่างที่เขาสัมผัสร้อนจัด  พีทที่ไร้สติขยับตัวเคลื่อนบดเบียดกับตัวเขา เสียงร้องครางฟังไม่ได้ศัพท์  นั่นทำให้ฮั่นเข้าใจทันที 

“พีท  ได้ยินพี่ไหม  พีท  ตั้งสติไว้ก่อน”  เขากอดพีทไว้แล้วออกแรงลากร่างที่ขาดสตินั้นลงจากเตียง  ตรงไปที่ห้องน้ำเล็ก ๆ  แล้วเปิดฝักบัว

“พีท  ไม่เป็นไรนะ  ตั้งสติไว้” 

ฮั่นพยายามเรียก  เขาตบหน้าพีทเบา ๆ เพื่อเรียกสติแต่ดูเหมือนไม่ได้ผล  พีทส่ายหน้าไปมา 

น้ำเย็นจากฝักบัวทำให้เขาทั้งคู่เปียกปอนไปด้วยกัน    พีทดิ้นทุรนทุรายเพราะยากำลังออกฤทธิ์  หายใจแรง   ฮั่นต้องรวบแขนพีทไปด้านหลัง  จับไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง  เขากอดร่างที่ดิ้นรนหนักหน่วงนั้นไว้  กดศีรษะที่เปียกปอนของน้องไว้ที่ไหล่   เจ็บแปลบเมื่อคนในอ้อมแขนกัดไหล่เขาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายดิ้นรนด้วยความทรมานทำให้เขาต้องยึดร่างในอ้อมแขนไว้แน่น  รู้สึกถึง
แรงเต้นของหัวใจถี่รัวแนบอกเขา 

“พีทได้ยินไหม  พีทไม่เป็นไรนะ  อดทนไว้  พี่อยู่นี่แล้ว”

เสียงน้ำและเสียงเรียกชื่อดังสะท้อนก้องในห้องน้ำนั้นยาวนาน  สายน้ำเย็นทำให้ร่างที่ดิ้นทุรนทุรายอ่อนแรงลงจนกระทั่งหมดสติไปในที่สุด 

--------------------------------------



ภายในโกดังเก็บของขนาดใหญ่  กลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนล้อมรอบคนสามคนที่อยู่ใจกลาง  ชายหนุ่มที่ยังสวมชุดเดิมตั้งแต่ออกจากโรงแรมยืนหอบ เหงื่อท่วมร่างกำยำจนเสื้อเชิ้ตขาวที่เปื้อนเลือดไปทั่วแนบติดกับลำตัวเห็นกล้ามเนื้อชัดเจน  ฮั่นยืนกำหมัดแน่น  ขบฟันเพื่อสะกดอารมณ์โกรธของตนไว้   
 
เบื้องหน้าเขาคือร่างชายสองคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลงที่ลักพาตัวพีทไปไว้ที่โรงแรม  ทั้งสองอยู่ในสภาพยับเยินเมื่อถูกซ้อมอย่างหนักตั้งแต่ถูกจับมา  แผลที่ถูกยิงมีคนทำแผลให้ลวก ๆ แค่พอห้ามเลือดเท่านั้น    มือและเท้าถูกรัดไว้ด้วยเข็มขัดรัดสายไฟเหมือนที่มันทำกับพีทและโดม  เขาหอบน้อย ๆ หลังจากลงมือซ้อมพวกมันด้วยตัวเอง  เขายังต้องการข้อมูลจากพวกมันอยู่จึงยังต้องยั้งมือไว้

หลังจากที่เอาตัวพีทและโดมออกจากโรงแรมจิ้งหรีดนั่นได้ เขาก็สั่งให้คนถล่มโรงแรมนั่น   พวกมันที่รอดชีวิตถูกจับขังไว้ในโกดัง   ส่วนตัวหัวหน้ากำลังถูกซ้อมแทบปางตายแทบเท้าเขา 

ข้อมูลที่พวกมันพูดออกมาทำให้เขาตกใจ  นิ่งค้างไปนาน  เลือดในกายเย็บเฉียบ  ก่อนที่ความโกรธที่สุดในชีวิตจะระเบิดออกจากกลางอกแล้วแผ่กระจายไปทั่วร่าง  สมองว่างเปล่า ไม่รู้ตัวว่าตะโกนเสียงดังออกไปแค่ไหน

พวกมันต้องการจะแบล็กเมลล์คุณคริส  โดยใช้พีทเป็นเครื่องมือ  มันจะทำให้พีทเป็นดาราหนังประเภทนั้น!!

ฮั่นไม่ทันฟังจนจบ  ไอ้สองคนนั่นก็ถูกซ้อมซ้ำจนหน้าตาแตกยับเยิน  เท้าใหญ่ ๆ ประเคนลงบนตัวพวกมันอย่างลืมตัว   เขาโกรธจนหูอื้อ   คว้าปืนลั่นไกจนหมดแมกกาซีน  พวกมันยังโชคดีที่คนของเขาปัดมือเขาออกได้ทัน  ไม่งั้นคงต้องหาที่ฝังให้พวกมันแทน 

คนของฮั่นที่ยืนเฝ้าดูอยู่ลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวั่นใจ    คุณชายของพวกเขาเวลาโกรธเต็มที่แล้วน่ากลัวชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึงทีเดียว  สองคนนั่นต้องซี่โครงหักไปแล้ว  ไม่รู้ว่าเครื่องในจะช้ำขนาดไหน  พวกมันคิดผิดแท้ ๆ ที่รับงานนี้

“รีดข้อมูลมาให้หมด  แล้วเอามันไปเก็บไว้ก่อน  หลักฐานแน่นหนาเมื่อไรค่อยส่งตำรวจ”  เขาสั่งคนของเขาแล้วเดินออกมา 
ยังมีอีกเรื่องที่ต้องสะสาง....ไอ้หน้าขาวนั่น




‘ไอ้หน้าขาว’ ถูกซ้อมจนจมูกโด่งนั่นหักไม่มีชิ้นดี  ฮั่นยั้งมือไว้ได้ทันก่อนที่จะทำให้มันกรามหักจนพูดไม่ได้  เขาเค้นคอจนแน่ใจว่ามันพูดความจริงทั้งหมด

“ผะ  ผม  ยะ ยัง  มะ ไม่ได้  ไร  ละ เลย   มะ ไม่เชื่อ  ก็  ดะ ดู วีดี  โอ  สิ   สะ เสื้อ ผ้า  ก็  ก็  อยู่  อยู่ครบ”

เสียงกระท่อนกระแท่นของไอ้หน้าขาวบอกเขา  ร่างนั้นทรุดอยู่บนพื้น   ยกมือกุมซี่โครงของตัวเองไว้ 

------------------------------------



เฟอร์รารี่พุ่งทะยานไปข้างหน้ารวดเร็ว  แต่คงไม่เท่าจิตใจของคนขับที่ร้อนรุ่มอัดแน่นไปด้วยความโกรธที่ยังคุกรุ่นอยู่ไม่ยอมจางหาย

ไอ้หน้าขาวนั่นถูกส่งเข้าโรงพยาบาลกะทันหันเพราะซี่โครงทิ่มปอด  ใจเสาะจริง ๆ โดนเขาเตะแค่ครั้งสองครั้งก็ทรุดแล้ว   เขาอยากจะบีบคอให้มันตายคามือเขาเสียด้วยซ้ำเมื่อได้ฟังสิ่งที่มันเล่า 

ยานั่นทำให้พีทมีความต้องการอย่างรุนแรง  ภาพที่เขาเห็นน้องดิ้นทุรนทุรายบนเตียงในโรงแรมนั่นคอยหลอกหลอนเขาตลอดเวลา  ถ้าเขาไปไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น

มือที่กำพวงมาลัยแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว  เกือบไปแล้ว....

พวกมันต้องชดใช้อย่างสาสมแน่! 

-----------------------------------


 :mew1: :mew1: :mew1:




ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สาวให้ถึงตัวบงการ แล้วจัดหนักไปเลยครับพี่ฮั่น
จะเกี่ยวข้องกับปู่หรือเปล่านะ

แอบน้อยใจแทนคนแต่งนะ
เรื่องสนุกขนาดนี้  กระแสคนอ่านทำไมไม่ค่อยแรงเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด