ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558  (อ่าน 94811 ครั้ง)

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2015 09:44:45 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
สวัสดีค่ะ

เป็นสมาชิกใหม่  เอานิยายเรื่องแรกมาลง 

เรื่องนี้เคยลงที่เด็กดีมาก่อนค่ะ   

ส่วนตอนที่ลงที่นี่จะเปลี่ยนชื่อตัวละครใหม่  และปรับปรุงเนื้อหาเล็กน้อย  โดยรวมเหมือนเดิมค่ะ

หากมีอะไรกรุณาแนะนำด้วยนะคะ   :mew2:

-----------------------------------






1. น้องชาย


เสียงดนตรีภายในผับจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือ  เสียงกรี๊ดหูแทบดับจากสาว ๆ ที่เบียดเสียดกันอยู่หน้าเวที  ทำให้พีทยิ้มปลื้มที่มีคนชื่นชมเขามากมายขนาดนี้  เขาเดินลงจากเวทีพร้อมเพื่อนร่วมวง  หลังจากที่ร่ำลากันเสร็จแล้ว  พีทจึงเดินออกไปทางหน้าร้านผ่านบรรดาแขกที่มาใช้บริการในผับแห่งนี้

“พีท ๆๆ” 

“กรี๊ด พีทแวะทางนี้หน่อยค่ะ”  เสียงสาว ๆ เรียกร้องให้เขาแวะทักทายดังเซ็งแซ่  พีทเพียงแค่ยิ้มให้แต่ไม่แวะทักทายใคร

“จะรีบกลับแล้วเหรอพีท พ่อนักร้องเจ้าเสน่ห์  เชื่อชั้นรึยัง  ชั้นรู้ว่านายทำได้”  เจ้าของเสียงทักทายอันคุ้นเคยนั้นเป็นสาวสวยผิวเข้มในชุดเกาะอกหนังสีดำ  กางเกงขาสั้นโชว์เรียวขาสวย 

“อ้าวเกรซ ขอบใจนะที่ชม เราจะกลับแล้วล่ะ  พรุ่งนี้มีเรียนเช้า”

“หวังว่าคงไม่ทำให้เกรดนายตกนะ ไม่งั้นร้านชั้นต้องเจ๊งแน่ ๆ  ถ้าเกิดไม่มีนักร้องสุดหล่ออย่างนายคอยดึงดูดลูกค้า” 

“ไม่หรอกน่า สบายมาก จะยอมให้เกรดตกได้ไง ไม่งั้นโดนพ่อสั่งห้ามออกจากบ้านแน่”  ที่เขายังไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระเป็นเพราะพ่อไว้ใจว่าตราบใดที่พีทยังรักษาระดับการเรียนไว้ที่  ‘ดีเยี่ยม’ ได้สม่ำเสมอ  เขาก็มีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ตามใจ

“อีกอย่าง  ลูกค้าหนุ่ม ๆ  เขามาเพราะคุณหนูเกรซคนสวยสุดเซ็กซี่ต่างหาก”  พีทตอบแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี  ไม่รู้ตัวเลยว่ายิ้มของตัวเองนั้นน่ารักขนาดไหน

“ยิ้มแบบนี้ไง  สาว ๆ ถึงได้กรี๊ดนายกันนัก”  เกรซแซวพลางยิ้มตอบ  เธออยากจะบอกอยู่เหมือนกันว่า  ครึ่งหนึ่งของหนุ่ม ๆ ที่อยู่ในร้านนั้นมาเพราะเสน่ห์ของพีทนั่นแหละ  แต่คิดอีกทีไม่บอกดีกว่า  ถ้าพีทรู้อาจจะไม่ยอมมาร้องเพลงให้เธอก็ได้   

“นี่ดีนะที่ครั้งแรกที่เราเจอกัน  นายทำหน้าบึ้งใส่ชั้น ชั้นก็เลยรอดไม่ตกหลุมนาย  ไม่งั้นเราคงไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอก  ป่านนี้เราคงหมั้นกันไปแล้ว  ดีใจจริง ๆ” 

“ฮ่า ๆ” พีทหัวเราะกับคำพูดนั้น  ใช่แล้ว  พวกเขาสองคนเกือบถูกจับหมั้นกันแล้ว  เพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายอยากให้ทั้งสองตระกูลดองกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ



“พีท นี่คุณหนูเกรซ  ลูกสาวคุณเจมส์ที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงแรมสาขาใหม่ที่ฮ่องกงไงลูก  รู้จักกันไว้นะ”  คริส หยาง  เจ้าพ่อธุรกิจโรงแรมหรูที่มีสาขาทั่วโลก  พ่อของเขาเองเป็นผู้แนะนำให้รู้จักหญิงสาวสวยท่าทางเรียบร้อยคนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา

“สวัสดีครับ”  เขาทักไปตามมารยาทเท่านั้น 

“สวัสดีค่ะ”  หญิงสาวคนนั้นก็ทักทายกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เช่นกัน

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”  พีทเอ่ยอย่างเซ็ง ๆ เพราะเริ่มรู้เหตุผลที่ถูกหลอกให้มางานนี้โดยมีข้ออ้างว่าเป็นการฝึกเข้าสังคม  และรู้จักหุ้นส่วนทางธุรกิจของพ่อเพื่อสืบทอดกิจการในอนาคต

“เช่นกันค่ะ” แม้จะตอบแบบนั้นแต่หน้าตาท่าทางของเธอไม่ได้แสดงว่าอยากรู้จักเขาเลยสักนิด  บางทีเธออาจจะถูกบังคับให้มางานนี้เหมือนกัน

“สองคนนี้ดูเหมาะกันดีนะครับคุณคริส” 

พ่อยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะทำทีชักชวนคุณเจมส์ไปคุยธุรกิจกับหุ้นส่วนคนอื่นที่มาร่วมงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าในโรงแรมหรูระดับ 6 ดาว  บนทำเลใจกลางเมือง ย่านที่ราคาที่ดินสูงที่สุดที่พ่อของเขาเองเป็นเจ้าของ 
เมื่อลับตาผู้ใหญ่ของทั้งคู่แล้วคุณหนูเกรซที่พีทเพิ่งรู้จักก็ขอตัวกลับทันที 

“หวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีกนะคะ  เพราะไม่งั้นเราคงต้องถูกจับแต่งงานกันสักวันแน่ ๆ”

“ครับ” พีทตอบไปอย่างงง ๆ เพราะกำลังอึ้งกับคำพูดและท่าทางที่เปลี่ยนไปทันทีหลังจากพ่อของทั้งคู่เดินไปทางอื่น ยังไม่ทันไร คุณหนูคนสวยก็เดินแทบจะวิ่งหายออกจากห้องจัดเลี้ยงอันหรูหรานั้นอย่างรวดเร็ว

“อืม ดีเหมือนกัน สั้น ๆ ตรง ๆ”  พีทยิ้มให้คนที่วิ่งหนีไป 

ที่จริงเขาก็ต้องรีบเหมือนกัน  คืนนี้เพื่อนกลุ่มเต้นของเขาชวนให้ไปเที่ยวผับเปิดใหม่แห่งหนึ่งที่กำลังมาแรงสุด ๆ  หลังจากแอบออกมาจากงานเลี้ยงแล้ว เขาก็แวะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านเพื่อสลัดชุดสูทหรูยี่ห้อดังออกแล้วเปลี่ยนมาสวมกางเกงยีนส์ขาเดฟสีเข้ม  เสื้อยืดและแจ็กเกตตัวเก่งแทน  ก็บ้านเขาพื้นที่สิบไร่นี้อยู่ห่างจากโรงแรมของพ่อเพียงแค่สองบล็อกถนนเท่านั้น  ไม่เสียเวลาอะไรเลย

บริเวณด้านหน้าผับที่เขาเห็น  ดูผิวเผินก็คงไม่มีใครคิดว่าข้างในคือสถานบันเทิงยามราตรีที่วัยรุ่นแทบทั้งเมืองต่างหลั่งไหลกันมาจนแน่นร้านทุกคืน   ก็เล่นมาตั้งในแหล่งธุรกิจเสื่อมโทรมห่างไกลจากแหล่งบันเทิงยามราตรีแหล่งอื่น แต่ก็เหมาะดีนะ จะได้ปลอดหูปลอดตาคน โดยเฉพาะคนของพ่อ

ใครจะรู้ว่า  ลูกชายนักธุรกิจระดับหมื่นล้านอย่างพีทชอบเพลงฮิปฮอป  และหัดเต้นมานานแล้วโดยมีกลุ่มเพื่อนที่สนใจเพลงสไตล์เดียวกัน  ชอบเต้นเหมือนกัน  พวกเขามักนัดเจอกันเพื่อซ้อมเต้นท่าใหม่ ๆ ด้วยกัน รวมทั้งการออกมาหาประสบการณ์การเต้น  แนวดนตรีแปลกใหม่อย่างเช่นคืนนี้   

คืนนี้ผู้คนเยอะเป็นพิเศษ ดีเจก็เปิดแผ่นสร้างความสนุกสนาน กลุ่มคนที่เต้นอยู่กลางฟลอร์กำลังล้อมวงยืนเชียร์ใครสักคนหนึ่งที่เต้นอยู่กลางวงล้อมนั้น มีเสียงร้องฮือฮาออกมาเป็นระยะ  เรียกความสนใจจากผู้คนให้ยิ่งเข้าไปล้อมวงดูมากขึ้น

“โอ๊ย เจ๋งว่ะ ใครไม่รู้โคตรสวย เต้นเก่งเป็นบ้าเลย คนเชียร์กันมันส์ไปเลย”  อึนซอก  เพื่อนลูกครึ่งเกาหลีคนหนึ่งในกลุ่มที่เพิ่งฝ่าฝูงชนกลับออกมาจากกลางฟลอร์พร่ำเพ้อ     

“เฮ้ พวกเราก็ออกไปโชว์สเต็ปตามสไตล์เรากันเถอะ” 

อึนซอกร้องเรียกเพื่อน ๆ พร้อมกับโยกตัวตามจังหวะเพลงนำเพื่อนไปกลางฟลอร์แล้ว  จากนั้นพวกเขาก็ออกไปเต้นท่ามกลางผู้คนและเพลงแดนซ์จังหวะหนัก ๆ  ไม่นานทั้งกลุ่มก็ตกเป็นจุดเด่นของร้านจากลีลาการเต้นที่เร้าใจ  สนุกสนาน 

“โอ๊ะ ขอโทษครับ” พีทถอยไปชนใครคนหนึ่ง 

“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ” เจ้าของเสียงก็หันกลับมาด้วยเช่นกัน

“เอ๊ะ คุณ....”

“เฮ้ย! คุณหนูเกรซ คุณมาทำอะไรที่นี่  คุณคือคนที่เต้นกลางฟลอร์เมื่อกี้??”   

“คุณชายพีทนี่ เมื่อกี้ยังอยู่ในงาน แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ แล้ว.....”

จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะให้กัน จากสภาพคุณหนูของทั้งคู่เมื่อตอนหัวค่ำในชุดออกงานอันหรูหรา  ตอนนี้ทั้งคู่กลับแต่งตัวตามสไตล์ของตัวเองสุด ๆ   จากโรงแรมหรู 6 ดาวที่ได้รับรางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมจากหลายสถาบัน   ทั้งคู่กลับยืนอยู่ในสถานบันเทิงที่แน่นขนัดไปด้วยนักท่องราตรีแหล่งบันเทิงเสื่อมโทรมมุมหนึ่งของเมือง   

หลังจากแนะนำตัวกันอีกครั้งในแบบตัวตนที่แท้จริง  พีทก็ได้รู้ว่าคุณหนูเกรซกับเขาชอบการเต้น  ชอบเพลงสไตล์ฮิปฮอปเหมือนกัน  และต้องปกปิดความชอบส่วนตัวนี้ไม่ให้คนในครอบครัวของทั้งคู่รับรู้เหมือนกันอีกด้วยจากพื้นฐานครอบครัวตระกูลสูงและร่ำรวยเหมือนกันทำให้พวกเขาเข้าใจความอึดอัดของกันและกันได้ดี  พวกเขาจึงกลายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา   



หลังจากร่ำลาเกรซแล้วพีทก็ขับรถออกจากผับ  ก็ร้านเดิมที่เขาเจอกับเกรซครั้งแรกนี่แหละ  หลังจากที่พวกเขาเป็นเพื่อนกันได้ไม่นาน  เกรซก็แอบซื้อกิจการแห่งนี้ไว้โดยปกปิดไม่ให้ครอบครัวรู้ 

“จะได้เก็บไว้แดนซ์ได้ตลอดเวลาไง”  เกรซเคยให้เหตุผล
“สมกับเป็นคุณหนูตระกูลอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจริง ๆ  เธอนี่” 
     

-------------------------------------------



ภายในบริเวณบ้านกว้างใหญ่ใจกลางเมืองสว่างไปด้วยโคมไฟที่จุดไว้ทั่วบริเวณ บ้านหลังใหญ่สไตล์วิกตอเรียโบราณสามชั้นตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางพื้นที่  ล้อมรอบด้วยสวนสวยที่จัดแต่งอย่างดี  มีสระว่ายน้ำและสนามเทนนิสอยู่ด้านหนึ่ง   

แต่พีทไม่ได้จอดรถหน้าตึกใหญ่เปล่าเปลี่ยวหลังนั้นหรอก  เขาขับเลยไปยังมุมสวนด้านทิศเหนือที่มีต้นไม้ใหญ่หนาแน่น   มีบ้านไม้สองชั้นสไตล์อังกฤษสีขาวน่ารักซ่อนอยู่ริมสระน้ำ  มองจากบ้านหลังใหญ่แทบไม่เห็นเนื่องจากต้นไม้ใหญ่เก่าแก่แผ่ร่มใบบดบัง   ด้านหน้าบ้านเป็นชานไม้กว้างปูล้ำเข้าไปในสระน้ำที่ขุดขึ้นขนาดใหญ่กินพื้นที่เกือบไร่  ซึ่งเขามักจะออกมานั่งหย่อนเท้าลงน้ำยามเหงา   

พีทเดินเข้าไปภายในห้องนั่งเล่นผ่านแกรนด์เปียโนสีขาวหลังใหญ่ที่ไม่มีใครแตะมานานเนื่องจากสายเปียโนขาดไปเส้นหนึ่งจากความเก่าแก่ของมัน   พอดีกับที่ช่างซ่อมเปียโนมือหนึ่งต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจากปัญหาด้านสุขภาพจึงต้องปล่อยให้ตั้งทิ้งไว้อย่างนั้น   

บ้านหลังนี้สร้างให้แม่ของเขาใช้เป็นที่พักผ่อนเพื่อรักษาอาการป่วยจากโรคประจำตัว   พ่อจึงนำแกรนด์เปียโนหลังโปรดของแม่มาตั้งไว้เพื่อให้แม่ได้เล่นยามว่าง   แต่แม่ไม่ได้อยู่ชื่นชมบ้านหลังนี้เลยด้วยซ้ำเพราะต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล  และเสียชีวิตในเวลาต่อมาเมื่อเขาอายุเพียงแค่สามขวบเท่านั้น

เกือบตีสองแล้วแต่พีทยังนอนไม่หลับ  เฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในร้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา   

“มันคืออะไรกันนะ”  เขารำพึงกับตัวเอง 

คืนนี้เขาร้องเพลงตามปกติ  แต่ขณะที่อยู่บนเวทีนั้นกลับรู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา  มันไม่เหมือนสายตาของนักเที่ยวที่มองเขาร้องเพลง มันทำให้เขารู้สึกอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก  เหมือนถูกดึงดูดให้หันไปมอง  แต่แสงไฟที่ส่องตรงมาที่เวทีทำให้เขามองเห็นไม่ชัดเจน   

ความรู้สึกว่าถูกจับตามองยังคงติดตามเขามาถึงที่บ้านเลยทีเดียว       
 
หากพีทลุกออกไปยืนที่ริมหน้าต่าง  เขาก็จะได้เห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนมองตรงมาที่ห้องของเขา  ร่างนั้นยืนอยู่นานทีเดียวก่อนจะเดินกลับไปตึกใหญ่อย่างเงียบกริบ

---------------------------------------







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2014 00:18:37 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
2. พี่ชาย


“คุณชายครับ  คุณท่านให้ผมมาเรียนว่าเย็นนี้ให้กลับมาทานข้าวที่บ้านใหญ่ครับ  คุณท่านมีเรื่องจะคุยกับคุณชายครับ”

พ่อบ้านเก่าแก่ของตระกูลโทรศัพท์มาบอกจากบ้านใหญ่  ไม่มีใครกล้าเข้ามาในบ้านนี้หากเขาไม่อนุญาต  มีเพียงแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดและดูแลเรื่องอาหาร  แต่ก็มาเป็นเวลาเท่านั้น  นอกจากนั้นใครก็ห้ามมายุ่มย่ามในบ้านของเขา

ลุงฉีเป็นคนเดียวที่เขาคุยด้วยบ่อยที่สุดในบ้านนี้  ปกติเขาเป็นคนร่าเริง  ยิ้มแย้มแจ่มใส   แต่หลังจากวันนั้นที่ใครบางคนจากไป  เขาก็เปลี่ยนเป็นคนเงียบขรึม  เก็บตัว  มีเพียงเจ้าแรมโบ้และดนตรีเท่านั้นที่เป็นเพื่อนช่วยผ่อนคลายความเหงา   เขาโชคดีที่ยังมีเพื่อนอยู่บ้าง   ทั้งกลุ่มเพื่อนที่ชอบเต้นเหมือนกันและเพื่อนที่ตั้งวงดนตรีร่วมกัน   ช่วยให้เขาไม่กลายเป็นคนเก็บกดเมื่อโตขึ้น  ทุกวันนี้เขายังมีความสุขได้เพราะดนตรี

“ขอบคุณครับลุงฉี”  คนพูดยิ้มไปกับโทรศัพท์   

ถึงแม้จะตอบลุงฉีไปแบบนั้นแต่พีทก็ไม่ยอมกลับบ้าน  หลังเรียนเสร็จเขาอยู่ซ้อมดนตรีจนได้เวลาไปร้องเพลงที่ร้าน  เขาจะกลับไปทำไมให้โดนห้ามอีก  สู้หลบหน้าไปเลยดีกว่า  พ่อจะได้ไม่มีโอกาสสั่งให้เขาเลิกร้องเพลง 

หลังจากที่คนของพ่อรายงานว่าพีทแอบไปเป็นนักร้องในผับ พ่อก็สั่งห้ามเขาทันที   ด้วยเหตุผลทางความเหมาะสมของทายาทผู้สืบทอดธุรกิจและเหตุผลด้านความปลอดภัย 



“พีทเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลนะ จะไปร้องเพลงในผับให้ได้อะไรขึ้นมา ถ้าว่างนักก็มาช่วยงานพ่อสิพีท” 

“งานของพ่อผมไม่สนหรอก พ่อก็ยกให้คนอื่นไปสิ ผมไม่อยากได้” พีทเน้นเสียงที่คำว่า ‘คนอื่น’

“พีทอย่าพูดแบบนั้น  ส่วนของพ่อก็ต้องเป็นของพีทในอนาคต แล้วอีกอย่างผับนั่นก็อยู่ในโซนแออัด ใครบ้างไม่รู้  ถ้าเผื่อมันรู้ว่าพีทเป็นใคร  มันอันตรายนะลูก” 

การที่เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยล้นฟ้าขนาดนี้ก็เป็นสาเหตุให้เขาตกอยู่ในอันตรายได้เหมือนกัน   พีทเคยเกือบถูกลักพาตัวหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ยังแบเบาะ   เขาจึงมีผู้ติดตามเพื่อรักษาความปลอดภัยตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ 

แต่พีทไม่ฟัง  ถ้าเขาไม่ยอมแล้วใครจะห้ามได้แม้แต่พ่อก็เถอะ  เขามีวิธีต่อต้านชนิดที่พ่อก็ยังต้องยอมแพ้

พีทมาร้องเพลงที่นี่เพราะคำขอร้องของเกรซ  ที่วงประจำของร้านถูกซื้อตัวไปจากผับคู่แข่ง  ตอนแรกเขาร้องเพลงเพราะความชอบ เป็นงานอดิเรกเท่านั้น ไม่เคยคิดว่าเสียงของเขาจะไพเราะขนาดเป็นนักร้องกับใครได้ แต่เกรซไม่คิดแบบนั้นหลังจากที่เธอมีโอกาสแวะมาฟังเขาซ้อมดนตรี

“ชั้นมีเพื่อนเก่งขนาดนี้ทำไมชั้นไม่เคยรู้เลย พีท นายต้องช่วยชั้นนะ ไม่งั้นชั้นจะฟ้องพ่อนาย ถ้านักธุรกิจใหญ่อันดับหนึ่งของเอเชียได้รู้ว่าลูกชายสุดที่รักเป็นเด็กฮิปคงจะภูมิใจน่าดูนะพีท”   

‘นี่คือคำขอร้องหรือคำขู่กันแน่?  มากไปแล้วแม่สาวขาแดนซ์’ 

“น้อย ๆ หน่อย  ยัยคุณหนูหมื่นล้าน  วันนี้ไม่ไปเล่นเพลงคลาสสิกให้ว่าที่คู่หมั้นเธอฟังเหรอ  กลับบ้านไปเล่นไวโอลินเลยไป  กิ้ว กิ้ว”  พีทเอาเรื่องเจ็บปวดของเกรซมาแซวคืนบ้าง พลางทำหน้าทำตาล้อเลียน

หลังจากที่พวกเขาช่วยกันล่มแผนดองสองตระกูลได้สำเร็จ  เกรซยังถูกครอบครัวสรรหาผู้ชายที่เหมาะสมมาให้เลือกอีกไม่ขาดสาย

“หนอย นายทึ่มนั่นน่ะเหรอ โอ๊ย อย่าให้เซดเลย  วัน ๆ คุยแต่เพลงคลาสสิก  คุณหนูครับคราวหน้าเราไปดูเทศกาลดนตรีที่เวียนนากันนะครับ  มีโน่น  นี่นั่น  บลา บลา บลา  โอ๊ย ชั้นอยากตะโกนใส่หน้าตาทึ่มนั่นดัง ๆ ว่าชั้นชอบฮิปฮอป ชั้นชอบบีทบ็อกซ์  ชั้นชอบเต้น”

เสียงบ่นยืดยาวของเกรซทำให้พีทยิ้มขำ พวกเขามักจะแซวกันแบบนี้เสมอ จะมีใครเข้าใจเขาได้ดีเหมือนคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน   





ถ้าคนคนนั้นยังอยู่  เขาคงจะเป็นคนที่เข้าใจพีทมากที่สุด   

‘บ้าที่สุด  ไปคิดถึงทำไม’   พีทสลัดความคิดนั้นออกไป  จู่ ๆ ความคิดถึงที่ถูกเก็บซ่อนไว้ลึกสุดในใจก็ย้อนกลับมา  ดูเหมือนมันจะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน

“เฮ้ พีท  ยืนเหม่อทำไม  พร้อมรึยัง  วงเราจะขึ้นแล้วนะ”  พี่ร็อกกี้  มือกีตาร์ของวงร้องบอก  เรียกสติพีทให้กลับมา




มาอีกแล้วความรู้สึกถูกจับตามองเหมือนเมื่อวาน  พีทพยายามที่จะไม่สนใจความรู้สึกที่รบกวนเขามาตลอดคืนนี้ตั้งแต่เขาเริ่มขึ้นเวทีเลยทีเดียว   

‘อีกนิดเดียว  เพลงสุดท้ายแล้ว  เขาจะได้ลงไปดูสักทีว่าใคร...’

“สำหรับเพลงสุดท้ายนี้  ขอมอบให้กับทุกคนที่กำลังคิดถึงใครบางคนอยู่นะครับ”

เสียงกรี๊ดจากผู้คนเบื้องหน้าดังตอบรับทันที  เสียงร้องของเขากล่อมผู้คนให้คล้อยไปกับเพลงเหงา ๆ มันเป็นเพราะอารมณ์ความคิดถึงของเขาเองรึเปล่านะที่ส่งความคิดถึงไปกับเพลงนี้  ทำให้คนฟังถึงกับนิ่งเงียบเหมือนถูกสะกด   

เสียงปรบมือและเสียงร้องเฮดังขึ้นทันทีที่เสียงร้องของเขาสิ้นสุดลง     

“พีท  เพลงสุดท้ายนี่ร้องดีจริง ๆ  ชั้นเกือบร้องไห้แน่ะ  นายส่งอารมณ์ได้ดีมาก  คิดถึงใครรึเปล่าน๊า” แม่สาวบีทบ๊อกซ์เจ้าของร้านเข้ามาถามพร้อมกับรอยยิ้ม พลางทำตาเล็กตาน้อยแบบจับผิด   

ถ้าจะพูดกันตามจริงมีไม่กี่คนที่กล้าแซวเขาแบบนี้  ถึงแม้จะไม่มีใครรู้สถานะที่แท้จริงของเขา  แต่เหมือนคนอื่นเหล่านั้นสัมผัสได้ถึงบุคลิกบางอย่างจึงไม่กล้าเล่นหัวกับเขามากนัก

“คิดถึงบ้าอะไร  ก็ร้องไปตามอารมณ์เพลง  ผมเป็นมืออาชีพนะคร้าบคุณนาย” 

พีทลากเสียงยานคางพร้อมกับยิ้มน่ารักให้เพื่อนสาว  ถ้าสนิทกันแล้วถึงจะได้รู้ว่าความจริงพีทเป็นคนขี้เล่น  ไม่ได้ขี้หงุดหงิดเป็นคุณชายเจ้าอารมณ์

“ย่ะ ชั้นบอกกี่ครั้งแล้วว่าชั้นไม่ใช่คุณนายนะยะ  แม้ชั้นจะสวยและรวยมากก็เหอะ  ชั้นเป็นคุณหนูผู้เพียบพร้อมตะหาก”

“ฮ่า ๆ  ให้มันจริงเหอะ  เนี่ยนะสภาพคุณหนูของเธอ”

เกรซหันมาค้อนให้เล็กน้อยแต่ใบหน้าอมยิ้ม  เพราะตอนนี้เธอใส่เสื้อยืดตัวใหญ่  กางเกงรัดรูปลายเสือดาว  สวมหมวกลายเจ็บเฉียงไปด้านหนึ่งและยังใส่กำไลไว้จนเต็มแขน  เปรี้ยวซ่าสมกับคำว่า ‘คุณหนูผู้เพียบพร้อม’ ทีเดียว

“เอาล่ะ ลงไปจอยกับแขกหน่อยสิ  สาว ๆ พวกนั้นเรียกร้องแทบจะบ้ากันอยู่แล้ว  มีแต่คนอยากคุยกับนายนะ”

“เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าใคร” 

พีทพึมพำกับตัวเองโดยที่เกรซไม่ทันได้ยินเพราะถูกเรียกจากเด็กในร้านให้ช่วยไปดูเรื่องพนักงานใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามา

“พีท เราไปก่อนนะ  วันนี้ผู้จัดการหยุดเลยต้องดูแลเอง”  เกรซว่าแล้วก็เดินจากไปอย่างเร่งรีบ

---------------------------------




‘ไม่ใช่’  หนุ่มนักร้องรำพึงกับตัวเอง 

หลังจากเดินไปตามโต๊ะ  ทักทายผู้คนรอบกาย  แม้คืนนี้จะเป็นคืนวันจันทร์แต่ผู้คนก็ยังเต็มร้าน   เขาเดินทักทายลูกค้าแต่ละโต๊ะไปเรื่อย ๆ  พยายามสบตาแขกแต่ละคนเพราะอยากรู้ว่าใครที่มองเขา...ตลอดเวลา

ขณะที่เดินไปตามโต๊ะ หนุ่มน้อยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเดินตรงไปที่มุมสงบมุมหนึ่งของร้าน  เพราะเขาถูกทักทายจากบรรดาแขกที่เข้ามารายล้อม ไม่รู้สึกว่าร่างกายเหมือนถูกดึงดูดอย่างช้า ๆ  จนกระทั่ง....

“โอ๊ย!” 

คนในมุมมืดที่พีทไม่ทันสังเกตเห็นมาก่อนเพราะมัวแต่เดินหันซ้ายหันขวาตามเสียงเรียกเดินเข้ามาชนเขา  แรงปะทะทำให้เขาเสียหลัก  ถ้าไม่ถูกคว้าแขนไว้ก่อน

“ขอโทษครับ”

เสียงนุ่มนั้นกระแทกเข้าโสตประสาทของเขาทันที  ทำไมเสียงนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง  ไวเท่าความคิด  พีทหันไปมองคนที่ชนเขาทันทีแล้วอึ้งไปนาน   เสียงที่ว่าคุ้นยังไม่เท่ากับใบหน้าที่เขาเห็น 

เหมือนมาก  เหมือนใครคนหนึ่งที่จากกันไปนานแสนนานตั้งแต่เขายังเด็ก   

ตาแบบนี้  จมูกแบบนี้   ยิ้มแบบนี้.....ไม่จริงใช่ไหม

“พี่  พี่ฮั่น?”  คำเรียกหลุดจากปากพีทอย่างแผ่วเบา  เขายังตกใจอยู่  คนที่ยืนอยู่หน้าตาคล้ายมาก

‘ใช่รึเปล่า?’   พีทเห็นใบหน้าของคนในความทรงจำลอยมาซ้อนทับภาพคนที่เห็นข้างหน้า ทำไมเขารู้สึกคุ้นเคยกับคนคนนี้อย่างประหลาด

“คุณว่าอะไรนะครับ  ผมขอโทษนะครับ  คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่า”  คนชนไม่ได้มีทีท่าว่าจำเขาได้

“เอ่อ  มะ  ไม่เป็นไรครับ” 

‘ไม่ใช่หรอก  คงไม่ใช่’   พีทสะบัดหัวอย่างมึนงง 

ความรู้สึกผิดหวังที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร  นี่หมายความว่าเขายังอยากเจอคนคนนั้นอีกเหรอ   

ไม่.....เขาไม่ได้อยากเจอใครทั้งนั้น

“เอ่อ  ปล่อยผมได้แล้วล่ะ  ผมไม่เป็นอะไร”  เสียงของเขาแห้งผากเมื่อรับรู้ว่าไม่ใช่คนที่เขาคิด  มือที่จับรอบแขนเขาไว้ค่อย ๆ ปล่อยอย่างอ้อยอิ่ง 

“เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะครับ”   คนหน้าคล้ายถามพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ

ดวงตาของพีทยังจับอยู่ที่ใบหน้าของคนแปลกหน้า

‘เวลายิ้มก็เหมือน’ 

“เอ่อ  คือว่าคุณเหมือนพะ..พี่  เอ่อ  คนที่ผมเคยรู้จักน่ะ  เหมือนมากเลย”     

ดูเหมือนคนที่เพิ่งชนเขามีสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย  แต่ก็กลับมายิ้มเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว

“แต่คุณคงไม่ใช่”  พีทพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดเสร็จพีทเดินกลับทันที  แรงอารมณ์บางอย่างพุ่งขึ้น  ทั้งตกใจที่เจอคนที่หน้าคล้ายมากและกลับเสียใจที่ไม่ใช่คนคนนั้น   แค่คนหน้าคล้ายเท่านั้นเอง 

‘แล้วทำไมเราต้องรู้สึกแย่แบบนี้ด้วย  บ้าที่สุด’

ความทรงจำครั้งยังเด็กหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว  เรื่องที่เขาพยายามลืมมันไปแต่ไม่เคยลืมได้เลย   และตอนนี้มันกำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง



“พี่ฮ่านนนน พี่ฮั่น  พี่ฮั่น อยู่ที่ไหนมาหาน้องพีทหน่อย”

เด็กชายพีทวัยห้าขวบร้องเรียกพร้อมกับเบะปากเริ่มจะร้องไห้  ร่างอ้วนกลมนั้นพยายามเดินตามหาเจ้าของชื่อ  แต่พี่ฮั่นยังไม่โผล่ออกมาจากมุมใดในสวน

“แง๊ พี่ฮั่น ๆ อยู่ไหน ฮือ ๆ”  เด็กน้อยเริ่มใจเสียจึงร้องไห้เสียงดังมากขึ้นทุกที  เมื่อกี้พวกเขาเล่นซ่อนหากันแต่พีทตามหาพี่ฮั่นเท่าไรก็หาไม่เจอ
 
“พีท พี่อยู่นี่ โถ ๆ พี่มาแล้ว ไม่ร้องนะ” เด็กชายอายุราวเก้าขวบวิ่งพรวดพราดออกมาจากพุ่มไม้ด้านหนึ่งด้วยความตกใจเสียงร้องของน้องชาย

“โอ๋ ๆ อย่าร้องน๊า พี่แค่ไปเอาขนมมา นี่ไง ขนมอร่อย ๆ ไง น้องพี่ฮั่นอย่าขี้แยนะ”  พี่ชายพยายามปลอบน้อง

“ฮือ ๆ พีท พีท นึกว่าพี่หนีไปแล้ว”  พีทยังสะอื้นอยู่แต่เห็นได้ชัดว่าพยายามหยุดร้องไห้  เพราะเขาเป็นน้องพี่ฮั่น  ต้องไม่ขี้แย

“โธ่เอ๋ย น้องพีท พี่ไม่หนีไปไหนหรอกครับ พี่จะอยู่กับพีทแบบนี้ไปทุกวันเลย”

“ห้ามหนีไปไหนนะ” พีทย้ำอีกครั้ง

“สัญญา”  นิ้วก้อยกลม ๆ สั้น ๆ ยื่นออกมา

“พี่สัญญา”  คนพี่พูดพร้อมกับเอานิ้วก้อยมาเกี่ยวกันไว้เพื่อให้สัญญา  พร้อมกับยิ้มจนตายิบหยี





พี่ฮั่นโกหก   พี่ฮั่นไม่รักษาสัญญา





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2014 00:24:01 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
3. ถูกทำร้าย


หลังจากพาตัวเองออกมาจากร้านได้สำเร็จ   พีทเดินไปตามทางเดินระหว่างตึกร้างไม่ไกลจากร้านเท่าไรนัก  วันนี้เขาขับลัมโบร์กินี่ Reventon สีดำสุดเฉี่ยวมาทำงาน   เพราะรถโตโยต้าคันเก่งที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเข้าอู่  ไม่มีใครนอกจากเกรซที่รู้ว่าเขาเป็นใคร   ดังนั้นเขาจึงต้องแอบมาจอดรถให้ไกลหูไกลตาผู้คน   เสียงฝีเท้าของพีทหยุดลงกะทันหัน  เขาหยุดยืนนิ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง   

‘มีคนตามมา!’   พีทกำมือแน่น  สูดลมหายใจลึกแล้วจึงหันกลับไปเผชิญหน้า

“รู้ตัวไวดีนี่  คุณชาย”  เสียงเหี้ยมเอ่ยทักทันที

หนุ่มน้อยกวาดตามองกลุ่มคนที่ยืนประจันหน้า   ประเมินสถานการณ์อยู่ในใจ   พวกมันมากันห้าคน   รูปร่างแต่ละคนสูงใหญ่  ถ้าพวกมันบุกเข้ามาพร้อมกันเขาคงแย่   

“อย่าขัดขืนจะดีกว่า  จะได้ไม่เจ็บตัว”  เสียงเดิมพูดขึ้นมาอีก  พร้อมกับยกปืนเล็งมาที่เขา

“พวกแกต้องการอะไร”   เขาเอ่ยถามเพื่อถ่วงเวลา   

‘พวกมันรู้ว่าเขาเป็นใคร  ลักพาตัวหรือ? เขาโตเกินกว่าจะลักพาตัวแล้วนะ’
  แม้ท่าทางภายนอกเขายังคงสงบนิ่งอยู่  แต่หัวสมองกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางเอาตัวรอด 

“ไม่ต้องถาม!  ยอมให้จับซะจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”  มันตะคอกกลับพร้อมกันนั้นพวกที่เหลือก็ปรี่เข้าหาเขาทันที

พีทไม่มีเวลาคิดต่อแล้ว   เขาตวัดเท้าเตะเข้าปลายคางคนที่ใกล้เขาที่สุดอย่างรวดเร็ว   คว้าคอเสื้อพวกมันอีกคนทุ่มลงพื้นในท่ายูโดที่ถนัดแล้วหมุนตัวฉีกออกจากวงล้อม   พวกมันที่เหลือพุ่งตัวใส่เขาทันที   พีทพยายามหลบหมัดและเท้าของพวกมันที่จู่โจมเข้ามาพร้อมกัน   เขาพยายามต่อสู้แต่พวกมันมีคนมากกว่า   

“พลั่ก!” เขาถูกฟาดที่หลังอย่างแรงจนทรุดตัวลง  เป็นโอกาสให้พวกมันรุมเขาทันที   พีทถูกชก  ทั้งหมัดทั้งเท้าที่ประเคนเข้าที่ลำตัวเขาจนทรุดลงกับพื้นคอนกรีต

“เฮ้ย  พวกมึงลากมันขึ้นมา”

“เมื่อกี้มึงเตะกูเหรอ”   สิ้นเสียง  ปลายไม้ก็กระแทกเข้าที่ท้องเขา  พีทจุกจนตัวงอ  เสียงเหี้ยมเอ่ยขึ้นไม่ชัดนักเนื่องจากคนพูดยังมีเลือดกบปากจากฝีเท้าของพีทเอง

“พลั่ก!”  ไม้ท่อนเดิมฟาดลงมาแถวขมับเขาอย่างไม่ปรานี   ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วศีรษะ  เลือดข้น ๆ ทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว  พีทมึนงง  ตาเริ่มพร่า  เขาพยายามประคองสติตัวเองไว้

“เฮ้ย  พวกมึงพอได้แล้ว  ลากมันไปขึ้นรถ”

“เฮ้ย!!” 

“พลั่ก  ตุบ ๆ”

“โอ๊ย...”   

จังหวะที่พวกมันกำลังจัดการกับเขาอยู่นั่นเอง   ทันใดนั้นก็เกิดเสียงต่อสู้ขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกมันเหมือนกำลังสู้กับใครอีกคนหนึ่ง นักเลงสองคนที่หิ้วปีกเขาอยู่ทิ้งเขาลงทันทีเพื่อไปช่วยพรรคพวกตัวเองที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ  พีททรุดลงบนพื้นช้า ๆ    ความเจ็บปวดที่ขมับทวีความรุนแรงมากขึ้น    ตาพร่าเลือนของเขาเห็นพวกนั้นล้มลงทีละคน   

“พีท!!”

ในความรางเลือนนั้น พีทได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อเขามาจากที่แสนไกล  ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบลง

ร่างหนุ่มน้อยถูกประคองจากคนที่เข้ามาช่วยเขาไว้  ชายหนุ่มคนนั้นกำลังโทรศัพท์เพื่อสั่งการอะไรบางอย่างก่อนที่จะแบกร่างที่หมดสติขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว




“น้องพีท  น้องพีทเป็นยังไงบ้างลูก” 

เสียงอ่อนโยนของหญิงวัยกลางคนเรียกหลังจากที่เห็นพีทเริ่มขยับตัว   เขาลืมตาช้า ๆ  ปวดแปลบที่ขมับขึ้นทันทีที่รู้สึกตัว   เมื่อหันไปตามเสียงเรียก  คุณโรส  แม่เลี้ยงของเขาเองที่นั่งอยู่ใกล้   เขาคงอยู่ที่ห้องนอนของตนเองในบ้านใหญ่

“คุณคะ  น้องพีทรู้สึกตัวแล้ว”  คุณโรสเรียกพ่อของเขาทันที

“พีท  เป็นยังไงบ้าง  เจ็บตรงไหนบ้างลูก”  พ่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 

“พ่อเป็นห่วงลูกมาก รู้ไหม  พ่อบอกแล้วใช่ไหมไม่ให้ไปแถวนั้น  มันอันตรายแค่ไหนลูกรู้รึเปล่า  ถ้าพี่เขาไปช่วยไม่ทันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” 

“คุณคะ  อย่าเพิ่งว่าอะไรแกตอนนี้เลยค่ะ  น้องพีทปลอดภัยแล้ว”  คุณโรสห้ามพ่อเสียงดุ   พ่อของเขาเงียบเสียงไปทันทีที่ถูกภรรยาสุดที่รักห้าม

“ก็ได้คุณโรส  ให้พีทดีขึ้นก่อนแล้วค่อยคุยกัน  พีทนอนต่อเถอะ”  ท้ายประโยค  พ่อหันมาบอกพร้อมกับเอื้อมมือมาลูบหัวเขาเบา ๆ เหมือนตอนเขาเป็นเด็ก   พีทสัมผัสได้ถึงความรักของพ่อผ่านมืออบอุ่นนั้น  เขารู้ว่าพ่อเป็นห่วง  คุณโรสกับพ่ออยู่คุยกับเขาสักครู่จึงออกไปเพื่อให้เขาได้พักผ่อน

‘ใครกันที่ส่งคนมา  แล้วส่งมาเพื่ออะไร?’

พีทตั้งคำถามกับตัวเองพลางนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน  แต่ความเจ็บปวดที่พุ่งเข้ามาทำให้เขาต้องหยุดคิด ไม่นานเขาก็หลับไปอีกครั้ง




เขายืนอยู่ในสวน  กำลังร้องไห้และโวยวายไปด้วย 

“พี่ฮั่นโกหก  พี่ฮั่นไม่รักษาสัญญา  ทำไมต้องไปด้วย  ไหนบอกว่าจะอยู่ด้วยกัน  ฮือ ๆๆ” 

น้ำตาเขาไหลเปื้อนหน้าจนมอมแมม  พีทเสียใจมาก  เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียใจมากขนาดนี้  เพราะตอนที่แม่จากไปเขายังเล็กมากจึงไม่รู้เรื่องอะไรนัก  แต่ตอนนี้เขาโตแล้วและรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของการสูญเสียคนสำคัญ 

“ผมเกลียดพี่  ได้ยินไหมผมเกลียดพี่ฮั่นแล้ว”   พีทตะโกนไปยังสระน้ำกว้าง  เสียงของเขาเองที่สะท้อนกลับให้ได้ยินซ้ำไปซ้ำมาในหัว

มือที่กำลังเช็ดหน้าชะงักไปกับเสียงร้องครางแผ่วเบาจากร่างที่กระสับกระส่ายอยู่บนเตียง  เหงื่อผุดพรายท่วมตัว  พีทกำลังเพ้อจากไข้ขึ้นสูง  พร้อมกันนั้นความทรงจำอันเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจก็แทรกผ่านรอยร้าวออกมา  มันคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่เสมอในเวลาที่เขาอ่อนแอ

“พี่...พี่ฮั่น...ไม่  อย่าไป  ฮือ  พี่  พี่ฮั่น  เกลียด”  น้ำตาหยดหนึ่งไหลจากหางตา  ดวงตาเคลื่อนไหวไปมาใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทเหมือนคนฝันร้าย

“พี่ขอโทษที่จากไป  แต่ตอนนี้พี่กลับมาแล้ว  พีทยกโทษให้พี่ได้ไหม” 

เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา  พร้อมกับใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน

พีทหันขวับไปอย่างรวดเร็ว พี่ชายของเขายืนอยู่  แม้ภาพที่เขาเห็นจะเลือนรางแต่เขามั่นใจว่าคือพี่ฮั่นจริง ๆ   

‘พี่ฮั่นกลับมาแล้ว’    พีทวิ่งเข้าไปหาพี่ชายของเขาทันที 

“พี่กลับมาแล้ว  พี่ไม่ไปไหนแล้ว”  เสียงพี่ฮั่นกระซิบอยู่ริมหู  มือใหญ่อบอุ่นลูบศีรษะเขาเหมือนต้องการปลอบประโลมใจ   สัมผัสที่คุ้นเคย 

พีทรู้สึกผ่อนคลายลงจากความอบอุ่นที่ได้รับ ร่างกายหยุดดิ้นรนจนสงบ  ลมหายใจสม่ำเสมอ   เขาจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง 




“คุณชายคะ  คุณท่านเชิญพบที่ห้องทำงานค่ะ”

“ขอบใจนะ เดี๋ยวผมไป”

สาวใช้รับคำแล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นที่เขาพักผ่อนอยู่   ผ่านมาสองวันแล้วจากคืนที่เขาถูกทำร้ายและเกือบถูกลักพาตัว  เขาต้องอยู่พักรักษาตัวที่บ้านใหญ่โดยมีคุณโรสคอยดูแล  พ่อกับคุณโรสบินกลับจากอังกฤษทันทีที่ได้ทราบว่าเขาถูกทำร้าย  พีทยังไม่รู้ว่าพ่อจัดการอะไรไปบ้าง  บางทีพ่อคงจะเรียกเขาไปคุยเรื่องนี้

“อ้าวพีท  เข้ามานั่งนี่สิ”  พ่อลุกจากโต๊ะทำงานหรูหรา   เดินมานั่งที่ชุดรับแขกอีกด้านหนึ่งของห้องทำงาน  พีทเดินไปทรุดตัวนั่งข้างพ่อของเขา 

คริสมองมาที่ลูกชายของตนด้วยความห่วงใย   มองใบหน้าลูกชายที่คล้ายเขามาก  ทั้งใบหน้าเรียวยาว  ดวงตาสีน้ำตาล  จมูกโด่ง ริมฝีปากเล็กได้รูปเหมาะเจาะ  เวลายิ้มดวงตามักส่องประกายแวววาวทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนหวาน 

พีทจะเหมือนแม่เวลาเขายิ้ม 

“พ่อมีอะไรครับ” 

“เรื่องสำคัญมากลูก   ลูกหายดีแล้วใช่ไหม” 

“ดีแล้วครับ  แผลแห้งดีแล้ว”  พีทแตะแผลที่ถูกตีที่ขมับ   ผมเขาแหว่งเล็กน้อยจากการโกนเพื่อเย็บแผล

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญนะพีท  สามวันก่อนพ่อให้ลุงฉีตามลูกมากินข้าวเพราะพ่อจะคุยเรื่องนี้กับลูกแต่ลูกก็ไม่มา   เรื่องมันเลยเกิดขึ้นก่อนที่พ่อจะเตือนลูกทัน”   

“พีท  พ่อกำลังจะเล่นการเมือง  อีกสามเดือนพ่อจะลงสมัครเป็นผู้ว่าการรัฐ” 

“อะไรนะพ่อ  พ่อจะเล่นการเมืองเหรอ  ทำไมล่ะครับ  แค่งานธุรกิจพ่อก็แทบไม่มีเวลาแล้ว”  พีทแย้งทันที   ที่ผ่านมาพ่อไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเลย  แค่เดินทางไปมาเพื่อดูแลกิจการก็เหนื่อยแย่แล้ว   เวลาอยู่กันพร้อมหน้ายังไม่ค่อยจะมี

“พ่ออยากทำน่ะลูก   ลูกก็รู้ว่าตระกูลเราเล่นการเมืองมานานตั้งแต่รุ่นปู่ทวดแล้ว  พ่อก็อยากสานต่อ อย่าห้ามพ่อเลยลูก  ตอนนี้เรื่องธุรกิจพ่อกำลังหาคนช่วย  พีทยังไงล่ะ  ลูกเรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้วนี่”

“ไม่เอานะครับ  พีทยังไม่พร้อม  พีทยังอยากใช้ชีวิตวัยรุ่นของพีทอยู่  พีทยังไม่อยากทำงาน” 

ถ้าเป็นคุณหนูบ้านอื่นคงโวยบ้านแตกไปแล้วที่ถูกบังคับ  แต่พีทไม่ทำแบบนั้น  เขาแค่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม  พูดง่าย ๆ  ก็คือทำเสียงออดอ้อนนั่นแหละ  ไม่พูดเปล่าหนุ่มน้อยยังเอียงหัวไปซบไหล่พ่อของตนอย่างประจบ

“ไม่เอาน๊าคุณพ่อสุดหล่อของน้องพีท  พีทขอเวลาอีกสองสามปีนะครับ  ตอนนี้พีทอยากใช้ชีวิตให้สนุกก่อน  พ่อยังหนุ่มอยู่เลยแล้วก็เก่งมาก พ่อยังเป็นเจ้าพ่อวงการธุรกิจได้อีกนานเลย  น๊า พีทขอนะครับ”   

เจอลูกอ้อนแบบนี้พ่อไม่เคยใจแข็งได้สักที ทุกคนรู้ว่าพ่อรักและตามใจเขามากเพราะเขาขาดแม่ตั้งแต่เด็ก  เรื่องเดียวที่พ่อเคยขัดใจเขานั้นส่งผลร้ายแรงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด   กว่าพีทจะกลับมาเป็นลูกชายที่น่ารักเหมือนตอนนี้ก็ใช้เวลานานทีเดียว  จากนั้นมาพ่อก็เลยไม่อยากขัดใจเขาอีก

“ไม่ต้องมาช่วยเต็มตัวหรอกลูก     พ่อแค่อยากให้พีทเริ่มเรียนรู้งานไปก่อนจนกว่าพีทจะพร้อม  ทำให้พ่อได้ไหม”

“แต่ผมไม่ว่างนี่”  พีทยังต่อรอง

"นี่แหละพ่อถึงต้องห้ามลูกไปร้องเพลงที่นั่นอีก เอาเวลาว่างมาเรียนรู้งานธุรกิจของเราดีกว่า  อีกอย่างพ่อก็กำลังจะเล่นการเมือง  ตอนนี้พรรคฝ่ายตรงข้ามเริ่มระแคะระคายแล้ว  พ่อเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกนะ  เลิกร้องเพลงจะได้ไม่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงให้พวกมันมาลักพาตัวลูกเหมือนคืนนั้น  คนของพี่...เอ่อ   คนของพ่อสืบมาแล้วว่าพวกมันต้องการตัวลูกไปเพื่อขู่ไม่ให้พ่อเล่นการเมือง  พ่อขอร้องนะลูก   เลิกร้องเพลงเถอะ”

ได้ไงล่ะ  การร้องเพลงคือความสุขของเขา  เขาชอบเวลาที่ยืนอยู่บนเวที ได้เห็นใบหน้าผู้คนชื่นชมไปกับเสียงเพลงที่เขาเปล่งออกมา

“พีททำไม่ได้หรอกพ่อ  พีทชอบร้องเพลง”  พีทตอบตามตรง

“พีท!”  พ่อเริ่มเสียงเข้มขึ้นมาบ้าง  ความจริงก็ไม่เกินการคาดเดาของคริสหรอก  แต่ก็อดโมโหไม่ได้เพราะความเป็นห่วงลูกชาย

"พ่อเข้าใจว่าพีทชอบร้องเพลง  แต่ตอนนี้มันไม่ปลอดภัยนะลูก  พ่อไม่อยากให้เหตุการณ์แบบวันนั้นเกิดขึ้นอีก   คราวนี้พีทได้รับบาดเจ็บขนาดนี้    พ่อไม่อยากคิดว่ามันอาจจะรุนแรงมากกว่านี้  ถ้าพ่อลงรับสมัครในสามเดือนหน้า”

“ปกติพ่อก็ส่งบอดี้การ์ดตามผมอยู่แล้วนี่ฮะ   ทำไมคราวนี้เขาถึงปล่อยให้ผมถูกทำร้ายได้”   พีทฉุกคิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น  บอดี้การ์ดของเขาหายไปหมด  แม้จะไม่แสดงตัวชัดเจนแต่พีทก็รู้เสมอว่ามีพวกเขาคอยดูแลความปลอดภัยตลอดเวลา

“พวกเขาถูกทำร้ายเหมือนกันลูก”  คริสไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดว่า บอดี้การ์ดที่ดูแลความปลอดภัยให้พีททุกคนถูกเก็บในคืนนั้นด้วย  แม้แต่คนของเขาที่ปลอมตัวเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านก็ไม่รอด  พวกมันสืบรู้ทุกอย่าง สิ่งนี้ทำให้เขาเป็นห่วงลูกชายมาก  นี่เป็นความกังวลเดียวของเขา  พีทไม่รู้หรอกว่ากำลังเผชิญอันตรายร้ายแรงขนาดไหน

“พ่อก็ส่งมาใหม่สิครับ  ส่งมาเยอะ ๆ ก็ได้  คราวนี้ผมไม่บ่นหรอก  แต่พีทขอไปร้องเพลงเหมือนเดิมนะ”  ความเป็นห่วงของพ่อเขารับรู้ได้  ที่ผ่านมาเขาบ่นทุกครั้งที่มีคนคอยติดตามอย่างน้อยสองสามคนเสมอ  ถ้าพ่อห่วงขนาดนี้  เขาจะยอมให้พวกบอดี้การ์ดตามเขาเป็นพรวนเลยก็ได้  แม้จะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้างก็ตาม

“คราวนี้พ่อคงตามใจลูกไม่ได้  พีท นี่คือคำสั่ง  พ่อขอให้ลูกเลิกร้องเพลงที่นั่นซะ  แล้วเริ่มเรียนรู้งานบริหาร  พ่อจะส่งคนมาสอนงานให้”  อยู่ ๆ พ่อก็ออกคำสั่งกับเขา

“ไม่มีทาง ผมไม่ยอมแน่”  พีทหงุดหงิดทันที  ทำไมพ่อต้องออกคำสั่งกับเขาด้วย  เขาบอกไปแล้วว่าเขาชอบร้องเพลงและเขาก็ยอมให้พ่อจัดคนอารักขาเพิ่มแล้ว  ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงอีก  ทำไมยังห้ามเขา  พ่ออยากให้เขาอาละวาดอีกหรือไง

“พีท  พ่อเป็นห่วงพีทนะ”  เสียงคริสอ่อนลงเล็กน้อย 

“พ่อ พีทขอยืนยันครั้งสุดท้าย พีทไม่เลิกร้องเพลงแน่” พีทเลิกยิ้มแล้ว ใบหน้าเริ่มแสดงความหงุดหงิด 

“เฮ้อ  ถ้างั้นเรามาพบกันครึ่งทางดีกว่า”  พ่อยังต่อรอง   

“พ่อจะยอมให้ลูกไปร้องเพลงที่ร้านนั่น แลกกับการที่ลูกต้องมาเรียนรู้งานธุรกิจของพ่อ   ตกลงไหม”

“ตกลงครับ”  พีทรีบตกลงทันที 

ก็แค่ไปศึกษางาน  ไม่ได้ทำเต็มตัวสักหน่อย  ตอนนี้เขาก็เรียนด้านธุรกิจอยู่แล้ว  ทั้งการเงิน  การธนาคารและการบริหาร  สำหรับเขาแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องง่ายมาก  พ่อลืมไปแล้วหรือว่าเขาเป็นนักศึกษาคะแนนสูงสุดของมหาวิทยาลัยทางด้านธุรกิจอันดับหนึ่งของประเทศ  และเทอมหน้าเขาก็ต้องไปฝึกงานอยู่แล้ว  ก็ถือเป็นการเรียนรู้งานของพ่อไปด้วย

“ถ้างั้นมาเรื่องต่อไป” 

“อะไรนะครับ  พ่อยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอครับ”

“เมื่อกี้พีทยอมให้มีบอดี้การ์ดแล้วใช่ไหม”  คราวนี้พ่อยิ้มกว้าง  ทำให้ใบหน้าเริ่มมีอายุนั้นดูอ่อนโยนลง

“พ่อหาให้แล้ว ไม่เยอะหรอก  แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ เขาฝีมือดีมาก  แต่ไม่ได้มาเป็นบอดี้การ์ดให้อย่างเดียวนะ พี่เขาจะมาช่วยสอนงานโรงแรมให้ลูกด้วย  พ่อให้เขามาเป็นผู้ดูแลลูกแทนพ่อตอนที่พ่อไม่อยู่”

“อะไรกันพ่อ  ไม่มีบอดี้การ์ดแต่มีผู้ดูแลงั้นเหรอ  ผมโตแล้ว ไม่ใช่เด็กแล้วนะจะได้มีพี่เลี้ยง ไม่เอาหรอก แค่บอดี้การ์ดคอยตามเหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว  คราวนี้จะสิบยี่สิบคนก็ตามใจพ่อแล้วกัน  แต่ผมไม่เอาพี่เลี้ยงหรอก  ผมดูแลตัวเองได้”  เรื่องอะไรกันเนี่ย พ่อคิดอะไรอยู่  พ่อก็รู้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาเดินตามต้อย ๆ คอยประกบตลอดเวลา  เขาชอบอยู่คนเดียว

“ก็พ่อยอมให้พีทไปร้องเพลงแล้วนี่  พีทก็ต้องยอมมาฝึกงานของพ่อแล้วก็ยอมให้มีบอดี้การ์ดด้วย  พ่อรวมทั้งสองอย่างไว้ในคนคนเดียวเลย  พีทตกลงกับพ่อแล้วนะ อย่าคืนคำ”

พีทอึกอัก  ทำไมพ่อมาไม้นี้  แล้วเขายังเป็นคนเสนอให้พ่อส่งบอดี้การ์ดมาอีกด้วย

“ก๊อก ๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นราวกับนัดเวลาไว้   พ่อเขาเอ่ยอนุญาตให้เข้ามาได้

“พี่เขาคงมาแล้วล่ะ”

คุณโรส   เดินนำเข้ามาพลางเอ่ยทักคนทั้งคู่ในห้องด้วยน้ำเสียงแจ่มใสยิ่งนัก  “เป็นไงกันบ้างคะ  ตกลงกันได้แล้วใช่ไหมพ่อลูก”  เธอเอ่ยแล้วเบี่ยงตัวให้เห็นร่างสูงที่เดินตามมาข้างหลัง




“คุณ!!” 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2014 19:22:34 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
4.ปะทะ


“สวัสดีครับลุงคริส  สวัสดีครับคุณชาย” 

เสียงนุ่มเอ่ยทักมาจากร่างสูงกำยำในชุดสูทสีดำพอดีตัว ช่วงขายาวเดินเข้ามาหยุดยืนไม่ไกลนัก  ใบหน้าคม  คิ้วเข้มพาดขวางหน้าผากกว้าง  ดวงตาชั้นเดียว  จมูกโด่งเป็นสัน  ริมฝีปากบางยิ้มมุมปากเล็กน้อยส่งให้ใบหน้านั้นดูหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม

“มีอะไรหรือพีท”  เสียงพ่อถามพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย  แล้วลอบสบตากับคุณโรสซึ่งกำลังแอบอมยิ้มอยู่เช่นกัน

“ปะ เปล่าครับพ่อ”  พีทงงไปหมดแล้ว  คนที่เดินตามหลังคุณโรสเข้ามาคือคนที่เขาเจอที่ผับในคืนนั้น  ทำไมเขามาอยู่ที่นี่  คน ๆ นี้คือคนที่พ่อจะให้มาดูแลเขาหรือ 

‘เอ๊ะ หรือว่า...’   จากนั้นเหมือนมีแสงสว่างวาบในหัว    ความเข้าใจก็หลั่งไหลอย่างรวดเร็วราวสายน้ำ   

“นี่พ่อหลอกผมใช่ไหม  พ่อตั้งใจจะให้นายนี่มาเป็นบอดี้การ์ดอยู่แล้ว  พ่อส่งนายนี่มาตั้งหลายวัน  แล้วพ่อยังหลอกให้ผมตกลงไปช่วยงานพ่อด้วย  พ่อวางแผนไว้หมดแล้วใช่ไหม”

“พีท  พูดอะไรน่ะลูก  พ่อตั้งใจจะบอกลูกตั้งหลายวันแล้ว   แต่ลูกไม่ยอมมาคุยกับพ่อเอง”

‘ไอ้หมอนี่สินะที่จับตาดูเขาอยู่เมื่อหลายวันก่อน    ทำเอาเขากังวลจนนอนไม่หลับ หนอย  แอบไปนั่งในร้านทำตัวเป็นนักท่องราตรี  แถมที่เดินชนกันก็คงตั้งใจล่ะสิ  หมอนี่รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร  ยังแกล้งทำเป็นคนแปลกหน้า’   ความคิดที่ว่าถูกพ่อรวมหัวกับหมอนั่นหลอกเขาทำให้เขาโมโห
 
“พ่ออย่าบอกนะว่าพวกนักเลงนั่นก็คนของพ่อด้วย” 

“เปล่านะพีท   พวกนั้นมันเป็นพวกศัตรูของพ่อจริง ๆ  ใครจะส่งคนไปทำร้ายลูกตัวเองกันล่ะ  คืนนั้นพี่เขาแค่ไปสังเกตการณ์แล้วโชคดีที่พี่เขาช่วยเราไว้ได้ทัน  พีทควรจะทำความรู้จักพี่เขาไว้แล้วก็ขอบคุณเขาด้วย”

“ผมไม่ยอมรับคนของพ่อหรอก  แล้วข้อตกลงอะไรของพ่อ  ผมขอยกเลิก!” 

“ลูกผู้ชายพูดแล้วคืนคำได้ไง”  อยู่ ๆ นายนั่นก็พูดขึ้นลอย ๆ  หน้าตายิ้มแย้มตอนนี้ดูกวนประสาทพีทมาก

“อย่ามายุ่ง!”   พีทตอกกลับ  ‘ไอ้หมอนี่กล้าดียังไง’ 

“พีท  อย่าทำตัวแบบนี้สิ  เสียมารยาทนะ  ขอโทษพี่เขาซะ”

พีทเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ  พ่อจะให้เขาขอโทษเหรอ  หมอนี่เป็นใครกันทำไมเขาจะต้องขอโทษ  แล้วหน้าตาท่าทางกวนอวัยวะเบื้องล่างแบบนี้นะ  ใครกันแน่ที่ต้องขอโทษเขา

ก่อนที่จะเกิดอะไรต่อไปเสียงโทรศัพท์มือถือของคุณคริสก็ดังขึ้น  เพียงแค่เหลือบดูสายที่โทรเข้ามา  คุณคริสก็รีบลุกขึ้นทันที

“พีท  พ่อมีประชุมที่อังกฤษพรุ่งนี้เช้าต้องรีบไปขึ้นเครื่อง ไปเถอะคุณโรส”

“พ่อ ได้ไงอ่ะ พีทไม่ยอมนะ”  พีทโอดครวญ

“พ่อไม่ยอมรับคำยกเลิกของพีทหรอกนะ พีทตกลงกับพ่อแล้ว  ลูกต้องเชื่อฟังพี่เขานะ  พ่อให้สิทธิ์พี่เขาในการตัดสินใจทุกเรื่องแทนพ่อ  อย่าดื้อกับพี่เขาล่ะ พ่อไปนะลูก”  คุณคริสว่าแล้วก็เดินตรงไปที่ประตูทันที

“อะไรกันพ่อ  พ่อทำแบบนี้ได้ยังไง  นายนี่เป็นใครกันทำไมพ่อต้องให้มาดูแลผม  แล้วเรื่องอะไรจะต้องมาตัดสินใจแทนพ่อด้วย  เรื่องของผม  ผมตัดสินใจเองได้  พ่ออธิบายมาก่อน” 

พีทไม่เข้าใจ  ทำไมพ่อจะต้องฝากเขาไว้กับคนแปลกหน้า เขาโตแล้วดูแลตัวเองได้  และที่สำคัญนายนั่นเป็นใคร?  พีทพยายามจะคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง  แต่พ่อรีบเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับรู้ว่าขืนอยู่นานกว่านี้คงต้องตอบคำถามกันอีกยืดยาว

“ไปก่อนนะจ๊ะน้องพีท”  คุณโรสเข้ามากอดเขาไว้ทำให้เขาไม่สามารถออกฤทธิ์อะไรได้  จากนั้นก็เข้าไปกอดลานายนั่นด้วย  พีทตาโตทีเดียวที่เห็นความสนิทสนมระหว่างคุณโรสกับนายนั่น   ทั้งสองคนพูดอะไรกันเล็กน้อยก่อนที่คุณโรสจะออกไป
เกิดความเงียบขึ้นทันทีที่ประตูห้องทำงานปิดลง 

‘เรื่องนี้เขาไม่ยอมแน่!’ 

พีทก้าวเท้าออกจากห้องทันทีแต่ยังไม่ถึงประตู  หมอนั่นก็ก้าวมาขวางเขาไว้

“หลีกไป!”  กล้าดียังไงมาขวางเขา

“พ่อคุณให้ผมดูแลคุณ   ตอนนี้ผมไม่อนุญาตให้คุณออกไป”   ใบหน้ายียวนกวนประสาทนั่นยิ่งทำให้พีทโมโห

“เราน่าจะทำความรู้จักกันก่อนนะ  แล้วคุณค่อยขอบคุณที่ผมช่วยคุณทีหลังก็ได้”   นายนั่นพูดแล้วก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูเหมือนกำลังสนุกที่ได้กวนประสาทเขา

“ชั้นบอกให้หลีกไป!” พีทกัดฟันกรอด 

เขาเบี่ยงตัวหลบคนตรงหน้าเพื่อจะเดินออกจากห้อง  นายนั่นกลับเดินมาดักเขาไว้อีก  พีทหันไปจ้องหน้านายนั่นอย่างเอาเรื่อง  แต่คนที่ยืนตรงหน้าเขากลับมองมาอย่างท้าทาย  ดวงตาที่คล้าย.....

“พลั่ก”  พีทผลักนายนั่นอย่างแรงแล้วเดินตรงไปที่ประตู  รีบสาวเท้าออกไปทันทีก่อนที่ความโกรธจะทะลุขีดความอดทน  เขาเดินไปหน้าบ้านอย่างรวดเร็วแต่ไม่ทัน   รถคันใหญ่ของพ่อเคลื่อนออกไปแล้ว

“เรื่องบ้าอะไรกัน”  พีทสบถออกมา  “ผมไม่ยอมหรอกพ่อ  ไม่มีทาง” 

หน้าตากวนอารมณ์ของนายนั่นแวบเข้ามา

“อย่าโผล่หน้ามาให้เห็นอีกนะ  นายเจ็บตัวแน่”

“ผมไม่มีทางเจ็บตัวหรอก  อย่าลืมสิว่าผมช่วยคุณจากพวกโจรนั่น” เสียงดังข้างหลังทำให้เขาชะงัก

“นายจะตามมาทำไม ไปไกล ๆ เลย  อย่าคิดว่ารับคำสั่งจากพ่อแล้วชั้นจะต้องเชื่อนายนะ”  พีทหันไปตวาด  ใบหน้าหนุ่มน้อยตอนนี้โกรธจัด

“ผมไม่ได้รับคำสั่ง  พ่อคุณต่างหากที่เป็นฝ่ายขอร้องผมเอง”  นายนั่นกลับตอบมาหน้าตาเฉย

“มันจะมากไปแล้วนะ  คนอย่างพ่อชั้นไม่มีทางขอร้องบอดี้การ์ดกระจอก ๆ อย่างนายแน่  เป็นแค่การ์ดธรรมดาทำเป็นใส่สูท  คิดว่ามันจะยกระดับขึ้นมาได้รึไง คนอย่างนายไม่มีสิทธิ์มาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ ออกไปจากบ้านชั้นไม่งั้นชั้นจะเรียกคนมาจัดการนาย!!” 

ใบหน้ายียวนนั้นเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำสบประมาทของพีท  แต่ไม่นานเขาก็กลับมายิ้มอีก  ดวงตาฉายแววขำขันอะไรบางอย่าง

“จะลองดูมั้ยล่ะว่าผมเป็นแค่การ์ดกระจอก ๆ รึเปล่า  ถ้าคุณล้มผมได้  ผมจะยอมไปเอง  แต่ถ้าผมชนะคุณ  คุณต้องเชื่อฟังผมตามที่พ่อคุณสั่งไว้  กล้าไหมล่ะ”

‘ว่าไงนะ  สู้กันน่ะเหรอ หึ กำลังอยากชกหน้าคนพอดี’  พีทคิดในใจ 

“ข้อเสนอไม่เลวนี่ ชั้นตกลง  รับรองว่านายได้กระเด็นออกจากบ้านชั้นแน่”  พีทกระหยิ่มยิ้มย่อง  เสนอตัวมาแบบนี้ไม่รู้จักคุณชายพีทซะแล้ว 

“อย่ากลับคำพูดก็แล้วกัน  คุณชาย”   นายนั่นตอบกลับมา   ใบหน้ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมไม่แพ้กัน




ไม่นานนัก  ทั้งคู่ก็อยู่ในห้องออกกำลังกายขนาดใหญ่ของบ้าน  ที่ผนังด้านหนึ่งติดกระจกเงาเต็มผนัง   ด้านขวาของห้องติดตั้งอุปกรณ์ออกกำลังกายหลากหลายชนิด 
 
พีทถูกบังคับให้เรียนการต่อสู้แทบทุกชนิดมาตั้งแต่เด็กเพื่อให้สามารถป้องกันตัวเองได้ยามตกอยู่ในอันตราย  และเขาก็เก่งเสียด้วย  เขาไม่เคยแพ้ใครถ้าสู้กันตามกติกา   ยกเว้นเหตุการณ์สามวันก่อนที่เขาโดนรุม  พวกนั้นเป็นมืออาชีพแถมยังตัวใหญ่กว่าเขา  แต่ครั้งนี้เป็นการสู้ตัวต่อตัว  เขาคงไม่เสียเปรียบมากนัก   

‘อยากรู้เหมือนกันว่าจะเก่งแต่ปากรึเปล่า’

พีทประเมินคู่แข่งอยู่ในใจ  แม้ว่าเขากับนายนั่นดูจะสูงไล่เลี่ยกันแต่เมื่อคนท้าเริ่มถอดสูท เนคไท และพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเหนือศอกเผยให้เห็นร่างกำยำ  กล้ามแขนเป็นมัด ๆ พีทก็เริ่มหวั่นขึ้นมาบอกไม่ถูก  ถ้าเทียบกันแล้วนายนั่นตัวหนากว่าเขามาก

‘นี่คนหรือหมียักษ์??’

“ผมพร้อมแล้ว คุณพร้อมเมื่อไรก็เข้ามาเลย” นายหมีร้องบอก หน้าตาไม่มีความกังวลอะไรทั้งสิ้น  ท่าทางสบาย ๆ เหมือนพวกเขากำลังจะเล่นซ่อนหากันแทนที่กำลังจะชกกันอยู่นี่

‘ไอ้หมอนี่มันมั่นใจชะมัด’

พีทคิดขณะก้าวขึ้นไปบนพื้นที่ปูด้วยเบาะสำหรับซ้อมยูโด  เขาเริ่มย่างสามขุมเข้าไปช้า ๆ สมองก็คิดรูปแบบการต่อสู้ที่จะนำมาใช้   คู่ต่อสู้ของเขาก็เดินเข้ามาใกล้แต่ยังทิ้งระยะห่างไว้เล็กน้อย   ดวงตาทั้งคู่จ้องมองกันแน่วแน่เพื่อรอจังหวะที่ใครจะโจมตีก่อน  และเมื่อได้จังหวะพีทก็ตวัดเท้าทันที 

เป้าหมายอยู่ที่ใบหน้ากวนนั่นแหละ 

‘อยากกวนตีนดีนัก เอาไปกินให้อิ่มละกัน’ 


แต่แทนที่เท้าเขาจะเตะโดนหน้าคู่ต่อสู้ นายหมีแค่เอนตัวไปด้านหลังด้วยความรวดเร็วพร้อมกับใช้มือขวาจับเท้าเขาไว้  พริบตาเดียวพีทถูกจับเหวี่ยงลงพื้นทันที

“โครม!” 

เสียงร่างกายเขากระทบพื้น  ร่างสูงกำยำโถมลงมา  ใช้ลำตัวพาดทับเขาและออกแรงกดไว้  แขนข้างขวาถูกยึดแน่น   ส่วนแขนข้างซ้ายก็ถูกกดไว้ด้วยน้ำหนักตัว   พีทใช้ขาสองข้างที่เป็นอิสระพยายามยันพื้นเพื่อยกตัวให้หลุดจากการกดด้วยท่ายูโดนี้   แต่ดูเหมือนยิ่งออกแรงก็ยิ่งถูกกดไว้แน่นกว่าเดิม

“อิปป้ง!!!”

เสียงคนที่ทับอยู่ด้านบนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีชัยหยุดการดิ้นรนของเขาทันที

‘เป็นไปได้ยังไง  นี่มันแค่พริบตาเดียวเท่านั้นเขาก็ลงมานอนกองกับพื้น’ 

 “ชนะแล้ว”  เสียงเจ้าเล่ห์ดังออกจากปากแดง ๆ ที่กำลังนอนขวางพาดตัวเขาอยู่ 

‘อ๊ะ อะไรนะ!’   เขากำลังถูกทับอยู่  หน้าขาวนั่นลอยอยู่ห่างเพียงแค่คืบ 

“ปล่อย!”  พีทตะโกนเสียงดัง

“ไม่!  จนกว่านายจะพูดว่ายอมแพ้ก่อน”   นายนั่นลอยหน้าลอยตาตอบกลับมา

“ไม่มีทาง ลุกออกไปเดี๋ยวนี้” พีทออกคำสั่ง  เขาพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากสภาพนี้  แต่นายหมียักษ์แข็งแรงมาก  แรงกดทับทำให้เขาแทบขยับตัวไม่ได้เลย

“ว่าไง  ถ้านายไม่ยอม  เราก็จะอยู่ท่านี้กันจนเย็นนั่นแหละ  ดีมะ” 

“ไม่มีทาง!”

พีทไม่ยอมแพ้  รวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายใช้เท้ายันพื้นเพื่อดันตัวขึ้นแล้วสะบัดตัวอย่างแรงอีกครั้ง  ตัวเขาหลุดเพียงชั่วครู่เท่านั้นกลับถูกรวบกดไว้อีกครั้ง  คราวนี้แน่นหนากว่าเดิม  ใบหน้ากวนนั้นกลับใกล้เข้ามามากขึ้น 

“หยุดนะ!” 

คนข้างบนตะคอกเสียงเฉียบขาดทำให้พีทหยุดนิ่งทันที  แววตาขี้เล่นนั้นแปรเปลี่ยนเป็นดุดันจ้องมองเขาเขม็ง  พีทจ้องตากลับด้วยความโกรธ   ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันเหมือนจะใช้สายตาต่อสู้กันแทน  แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร  พีทกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้จ้องตาอยู่อย่างนั้น   หัวสมองเริ่มว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก

‘ตึก ตึก ตึก’    จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา......   

“ก็ได้ ก็ได้  ชั้นยอมแพ้”  พีทกัดฟันตอบไปเพื่อให้หลุดจากภาวะนี้โดยเร็ว  แค่ครั้งนี้เท่านั้น  คราวหน้านายไม่รอดแน่

“อย่าลืมข้อตกลงของเราล่ะ  ผมเป็นผู้ดูแลคุณ   มีสิทธิ์แทนพ่อคุณทุกอย่าง”

รอยยิ้มกวนกลับมาอีกแล้ว

“งั้นก็ลุกออกไปซะที”

คนข้างบนค่อย ๆ ยกตัวขึ้นนั่งข้างตัวเขา

“ถอยไป!”

“ยังถอยไปไม่ได้หรอก  คุณต้องยกหัวขึ้นก่อน”     

‘อะไรนะ ทำไม?’    พีทเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างรองศีรษะเขาไว้  นายหมีเลื่อนมือขวาของตัวเองที่รองหัวเขาออกทีละน้อย
จังหวะที่ทุ่มพีทลงบนพื้น   นายหมีเอามือตัวเองรองไว้เพื่อไม่ให้หัวคุณชายเจ้าอารมณ์กระแทกแตกไปอีกรอบ 

พีทผุดลุกขึ้นรวดเร็ว  ใบหน้าบึ้งตึง  หลังตั้งตัวได้เขาก็เดินพรวดพราดออกไปจากห้องทันที 

‘นายหมี’ ยิ้มน้อย ๆ พลางลุกขึ้นเก็บเสื้อสูทขึ้นพาดบ่า เดินตามออกไปเหมือนกัน







หมายเหตุ : ในกีฬายูโด  อิปป้ง  คือทำคะแนนได้ 1 คะแนน โดยมีเงื่อนไข... 1.) ทุ่มคู่แข่งขันโดยหงายหลังลงกับพื้นเวทีอันถูกต้องตามหลักของวิชายูโด หรือซ้อนท่าทุ่มให้หลังคู่แข่งขันลงกับพื้น เต็มหลัง คือ 100% 2.) สามารถยกคู่แข่งขันขึ้นสูงประมาณเสมอไหล่ของตนในขณะที่คู่แข่งขันนอนหงายอยู่ 3.) ท่าจับ (ล็อก) ให้จำนน โดยจับล็อกคู่แข่งขัน ตามหลักท่าของวิชายูโด ดิ้นไม่หลุดเป็นเวลา 30 วินาที 4.) ในท่าล็อกรัดคอ หรือหักแขน โดยคู่แข่งขันยอม หรือเป็นผลทำให้คู่แข่งขันหมดสติ
ที่มา http://www.geocities.ws/slot_design/j_vocab.html



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2014 19:25:02 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
5. ปะทะ


หนุ่มน้อยทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดริมสระน้ำบริเวณหน้าบ้านของเขา  ความโกรธยังกรุ่นอยู่ภายใน  หัวใจเต้นแรง 

‘เขาแพ้นายอวดดีนั่น แพ้ในกีฬาที่เขาถนัดที่สุดเสียด้วย  บ้าชะมัด!’     

‘โอ๊ย  ปวดหัวอีกแล้ว’   


เขาเอามือคลึงศีรษะตัวเองเบา ๆ  หวังว่ามันจะดีขึ้น

“โฮ่ง ๆ” เสียงเห่าต้อนรับของแรมโบ้  สุนัขตัวโปรดพันธุ์ลาบาดอร์สีน้ำตาลอ่อนดังขึ้น   พร้อมกันนั้นมันวิ่งพาร่างอุ้ยอ้ายเข้ามาหาพลางกระดิกหางฟาดไปมาด้วยความดีใจ

“ไงแรมโบ้  เหงามั้ย  ไม่เจอกันตั้งสองวัน”  พีทถามสุนัขแสนรักของเขา  แรมโบ้นั่งลงข้างเก้าอี้เอาคางมาวางบนเข่าเจ้านายของมัน  เหลือบตาสีน้ำตาลของมันขึ้นจ้องมองราวกับจะตอบคำถาม

“โฮ่ง” 

“หืม  อืม”  พีทตอบอย่างไม่ค่อยสนใจนักเพราะเขากำลังหงุดหงิด 

“โฮ่ง”  เจ้าแรมโบ้เห่าอีกเหมือนจะถามว่าเจ้านายเป็นอะไร

“หืม  เป็นอะไรเหรอ  โมโหคนมาน่ะ  กวน...สุด ๆ เลย” 

พีทวางมือใหญ่ลงบนหัวเจ้าแรมโบ้  ดวงตาเหม่อมองไปยังสระน้ำข้างหน้า  ลูบมือไปตามขนที่อ่อนนุ่มของมัน  เขาปลดปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวให้ไหลไปกับสายลมอ่อนที่พัดโชยมา  สักพักอารมณ์โกรธเมื่อครู่จึงเบาบางลง   

ภาพคุณชายน้อยนั่งเล่นกับหมาขนยาวตัวใหญ่ริมน้ำ  ทำให้ ‘นายหมี’ ที่เดินมาจากบ้านใหญ่ชะงักฝีเท้า เจ้าแรมโบ้ยกขาขึ้นเขี่ยเจ้านายเหมือนอ้อนทำให้เจ้านายของมันหัวเราะ ใบหน้าพีทที่กำลังยิ้มนั้นสดใสเหมือนเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ  นายหมีหยุดยืนนิ่งตามองตรงไปยังภาพนั้น  ริมฝีปากยิ้มกว้าง   

พีทเล่นกับเจ้าแรมโบ้อยู่ครู่ใหญ่จนอารมณ์เย็นลงจึงลุกไปอาบน้ำ




เสียงกุกกักเหมือนมีใครกำลังทำอะไรอยู่นอกห้อง ทำให้คนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำขมวดคิ้ว  เขาสั่งห้ามทุกคนแล้วว่าไม่ให้เข้ามาวุ่นวายในบ้านของเขา  แล้วใครกันที่กล้าขัดคำสั่ง  พีทเปิดประตูห้องตัวเองออก  คนที่เขาเจอทำให้ระดับอารมณ์ที่เย็นลงแล้วพุ่งสูงทันที

“นายขึ้นมาทำอะไรที่นี่ นี่เป็นบ้านส่วนตัวของชั้น ออกไปเดี๋ยวนี้” เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่ทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร   

“......”  ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

“นี่นาย  ได้ยินมั้ย  ชั้นสั่งให้นายออกไปจากที่นี่  ไม่งั้นชั้นจะเรียกคนมาหิ้วนายออกไป!”  คราวนี้พีทตะโกน   

“ทำไมคุณไม่เป็นคนหิ้วผมออกไปเองล่ะ ว่าไง ลองอีกทีก็ได้นะ” 

นายนั่นไม่ตอบคำถาม  กลับย้อนเขาเรียบ ๆ ร่างสูงใหญ่เอามือเท้าสะเอว  ยิ้มมุมปากแบบที่พีทแปลว่ากำลังเยาะเย้ยเขา

‘โอ๊ย  ไอ้หมอนี่’    พีทพลุ่งพล่าน   เข้าไปกระชากคอเสื้อบอดี้การ์ดจอมกวนพร้อมกับเงื้อหมัดขึ้น  แต่มือใหญ่ของนายนั่นกลับยกขึ้นรับหมัดเขาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะชกลงไปบนหน้า

“ลืมข้อตกลงของเราแล้วรึไง  คุณชาย  คุณแพ้ผมเพราะฉะนั้นคุณต้องเชื่อฟังผมเพราะผมเป็นผู้ดูแลคุณ”   ใบหน้ากวนประสาทนั่นลอยอยู่ใกล้    มือนายนั่นกำหมัดเขาไว้ไม่ปล่อย

พีทพยายามข่มอารมณ์  กระชากมือออกแล้วผลักไหล่นายหมีอย่างแรง  แต่ทำให้นายหมีแค่เซเล็กน้อย   ตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดใหญ่รวมทั้งกล่องกระดาษหลายขนาดวางอยู่ตามทางเดินหน้าห้องนอนฝั่งตรงข้ามห้องของเขา
 
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่นายมายืนในบ้านของชั้น  แล้วข้าวของพวกนี้ของใคร?”

“ก็ผมจะต้องดูแลคุณทั้งเรื่องงานและความปลอดภัย  เพราะฉะนั้นผมก็ต้องมาอยู่ที่นี่สิ จะได้ทำงานได้สะดวกไง”  เสียงตอบกลับนั่นพูดเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา  แถมยังยิ้มตอบตาหยี

“แต่นี่เป็นที่ส่วนตัวของชั้น  ห้ามใครเข้ามาถ้าชั้นไม่อนุญาต  ถ้านายอยากอยู่ก็ไปนอนบ้านใหญ่แทนนอย่ามาเสนอหน้าที่นี่!!”
ด้วยความรู้สึกปนเปกันหลายอย่าง ทั้งโกรธ ทั้งอายที่สู้แพ้  และหมั่นไส้หน้าตาท่าทางยียวนของหมอนั่น   ทำให้พีทใช้ถ้อยคำรุนแรงทั้งที่ปกติเขาเป็นเด็กน่ารักไม่เคยหยาบคายกับใคร

“ผมไม่สนใจหรอก  พ่อคุณให้สิทธิ์ผมทุกอย่าง  ผมจะทำอะไรก็ได้แม้แต่สั่งให้คุณย้ายออกจากบ้านนี้  ไม่เชื่อโทรถามก็ได้”

“นาย!  ฝันไปเถอะ”

พีทกลับเข้าห้องต่อสายตรงถึงพ่อ  ทันทีที่คุณคริสรับโทรศัพท์ทางไกลจากลูกชาย  เขาก็ตอบกลับมายืดยาวโดยไม่รอให้พีทได้มีโอกาสฟ้องอะไร

“พีท พ่อขอร้องล่ะ นี่พ่อทำเพื่อลูกนะ เชื่อพ่อสักครั้งแล้วทำตามที่พี่เขาบอก  อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกอาละวาดอะไรที่บ้าน  พี่เขาจะรายงานเรื่องพีทให้พ่อฟังทุกเรื่อง  พ่อไม่มีเวลาแล้ว  แค่นี้ก่อนนะลูก”  จบประโยคแล้วคุณคริสวางสายทันที

พีทอึ้งไปเป็นเวลานานกับคำตอบที่ได้รับ  ตั้งแต่เกิดมาคนที่สั่งเขาได้มีพ่อคนเดียวเท่านั้น  คราวนี้มันเกิดอะไรกับชีวิตเขา  วันดีคืนดีก็มีใครไม่รู้โผล่มาแล้วออกคำสั่งเขายิ่งกว่าพ่ออีก  ความคิดวนเวียนไปมาในหัว  ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว  แต่ในที่สุดพีทก็คิดออก

“หึ  ชั้นจะทำให้นายเป็นฝ่ายขอไปเอง  คอยดู!” 





“โธ่โว้ย ๆๆๆ”  เขาอยากจะตะโกนให้โลกแตก  หลังจากที่พีทตั้งปฏิญาณจะทำให้นายนั่นถอยกลับออกจากบ้านเขา  เขาก็เริ่มต้นแผนการร้ายกาจของตัวเองทันที   

หลายชั่วโมงก่อนพีทโทรไปหาลุงฉีพ่อบ้านของตระกูลที่บ้านใหญ่ สั่งให้ส่งคนมาขนของพร้อมกับโยนนายการ์ดตัวแสบออกจากบ้านของเขา    ลุงฉีตอบกลับเสียงเรียบว่า

“ผมคงส่งใครไปไม่ได้ครับคุณชาย  ตอนนี้คนที่สั่งการในบ้านได้มีแต่เขาเท่านั้น  พวกเราทุกคนถูกกำชับจากคุณท่านด้วยตัวเองว่าห้ามช่วยคุณชายต่อต้านเขาครับ” 

เขาไม่ยอมแพ้  จึงเรียกการ์ดมาจากบริษัทประจำที่ใช้บริการเพื่อมาจัดการ ‘เก็บ’ นายหมีทันที   บริษัทส่งคนมาเร็วตามคำสั่งแต่ก็กลับออกไปเร็วเช่นกัน  เมื่อการ์ดกว่าสิบคนที่กรูกันเข้าไปจัดการนายหมีกลับถูกจัดการ ‘เก็บ’ ด้วยฝีมือนายนั่นเพียงคนเดียว!  ทุกคนสะบักสะบอมไปตาม ๆ กัน   

พีทมองสภาพของการ์ดฝีมือดีแต่ละคนอย่างเจ็บใจ   นายนั่นยืนกอดอกมองดูผลงานตัวเองเหมือนจะเยาะเย้ยอยู่กลาย ๆ แล้วกลับเข้าห้องไป

เมื่อคนทำอะไรนายนั่นไม่ได้  พีทเลยเรียกแรมโบ้ขึ้นไปชั้นบน  เจ้าแรมโบ้นั้นเชื่องกับเขาเท่านั้น  แต่กับคนอื่นแม้แต่พ่อที่เป็นคนซื้อเจ้าแรมโบ้มาให้ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้  พีทรู้ว่าถ้าแรมโบ้ได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคย  มันจะคุ้ยข้าวของในห้องนั้นกระจุยกระจายแล้วคาบเจ้าสิ่งแปลกปลอมออกไปกัดทึ้งจนเสียหาย  และยิ่งเป็นคนแปลกหน้าแรมโบ้มักกระโจนเข้าใส่   ด้วยน้ำหนักตัวของมันจึงทำให้คนแปลกหน้าล้มลงทันที  ฟันอันแหลมคมของแรมโบ้เคยทำให้บอดี้การ์ดหลายคนของเขาได้แผลเหวอะหวะกันคนละแผลสองแผลมาแล้ว   

เขาแกล้งเคาะประตู ทิ้งแรมโบ้ไว้ที่หน้าห้องแล้ววิ่งเข้าไปแอบดูอยู่ในห้องตัวเองซึ่งอยู่ตรงข้าม  แรมโบ้กระโจนใส่คนในห้องทันทีที่ประตูเปิดออก  เสียงเห่าของเจ้าแรมโบ้ดังเพียงสองสามครั้งกลับเงียบไป  ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย  พีทรออยู่นานจนในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ต้องเปิดประตูเข้าไปดูเพราะเป็นห่วงแรมโบ้   

สิ่งที่เห็นทำให้เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง  เจ้าแรมโบ้นอนอยู่บนพรมหน้าเตียงเอาหัวอันใหญ่โตของมันก่ายไว้บนตักนายนั่นที่นั่งพิงเตียงอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์   
 
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?’

“หมานายน่ารักดีนะ ใช่มั้ยแรมโบ้” ท้ายประโยคนายหมีหันไปถามแรมโบ้  เจ้าแรมโบ้จอมทรยศยังยกหัวขึ้นมาเห่าตอบเหมือนดีใจที่ได้รับคำชม   

พีทกระแทกประตูปิดเสียงดังสนั่นแล้วกลับเข้าห้องตนเอง   

‘หนอย แรมโบ้ แกอดมื้อเย็นแน่’ 

เจ้านายตัวโตแต่ใจน้อยของแรมโบ้คิดแค้นหมาตัวเองอยู่ในใจ  พีทแค้นใจมากไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สามารถทำอะไรนายนั่นได้เลย  นายหมียักษ์ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน

“โว้ย ๆๆ  จะทำยังไงต่อดีเนี่ย” 

พีทคิดไม่ตกกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด  เขากุมขมับ รู้สึกถึงเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ อยู่ใต้นิ้ว  รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว  แต่เขาต้องหยุดทุกอย่างไว้เท่านี้ก่อน  ตอนนี้เย็นมากแล้วเขาต้องรีบออกจากบ้าน  คืนนี้เขาต้องไปร้องเพลงหลังจากที่ขอลาป่วยไปสองวัน   เกรซบ่นเสียกระบุงโกยตอนที่เขาโทรไปบอกเมื่อสองวันก่อน 


“บ้านนายใช้การ์ดบริษัทไหนเนี่ย  แย่ชะมัด ปล่อยให้คุณชายถูกทำร้ายได้ยังไง  ตอนนี้นายโอเคแล้วใช่ไหม” 

“แล้วชั้นจะทำยังไงเนี่ย  นายไม่อยู่แล้วใครจะร้องเพลงล่ะ   หรือจะให้พี่ร็อกกี้ร้องแทนดีมั้ย”  เกรซประชดมาตามสาย เพราะพี่ร็อกกี้คือมือกีตาร์ฝีมือฉกาจของวง  เพื่อนในวงยกให้เป็นมือกีตาร์เทวดา  แต่เรื่องเสียงร้องอย่าถามถึง  ควายออกลูกยังร้องเพราะกว่า  อันนี้เจ้าตัวยอมรับเองไม่ได้มีใครใส่ความแต่อย่างใด




พีทอมยิ้มเมื่อนึกถึงภาพพี่ร็อกกี้ยืนร้องเพลงบนเวที  ผับชื่อดังคงหมดชื่อเสียงกันคราวนี้ 

‘แล้วเกรซหาใครมาร้องแทนนะ’
  เขาคิดอย่างกังวลขณะเดินออกจากห้องนอนส่วนตัว   ปรายตามองไปยังห้องนอนตรงข้ามที่ปิดเงียบ   

‘ฝากไว้ก่อนเถอะนายหมี ไว้กลับมาแล้วค่อยว่ากัน’

ร่างสูงโปร่งของหนุ่มน้อยเดินมาตามทางเดินเพื่อไปยังโรงรถที่อยู่ชั้นใต้ดินของบ้าน  แต่เรียกโชว์รูมอาจจะเหมาะกว่า  เพราะพ่อเขาสะสมรถเก่าหลายรุ่นเป็นงานอดิเรก  พีทเองก็เป็นเจ้าของซูเปอร์คาร์หลายคัน  ซึ่งส่วนใหญ่พ่อมักซื้อให้เป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ  ทั้งลัมโบร์กินี่  แอสตันมาร์ติน  เฟอร์รารี่  และบิ๊กไบต์ยี่ห้อดังที่เขามักแอบพ่อขี่ไปทะเลคนเดียวเวลามีเรื่องกลุ้มใจ
เสียงเครื่องยนต์แปดสูบกระหึ่มใกล้เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า  กระจกด้านข้างลดลงอย่างช้า ๆ  นายหมีเอียงตัวมาทางด้านผู้โดยสาร

“ขึ้นมาสิ  ผมจะไปส่ง”   
 
พีทขมวดคิ้ว ‘นี่บอดี้การ์ดระดับไหนกันขับออดี้ R8 รุ่นล่าสุด’ 

เขาไม่ขยับ  กำลังคิดหนักว่าควรจะจัดการกับนายหมีนี่อย่างไรดีเพราะไม่ว่าทางไหนดูเหมือนเขาจะทำอะไรนายนี่ไม่ได้เลย   

“ไม่ต้องไปโรงรถให้เสียเวลาหรอก  รถคันไหนคุณก็ใช้ไม่ได้เพราะผมเก็บกุญแจทั้งหมดแล้ว” หมียักษ์ชูกุญแจโรงรถให้ดูเป็นการยืนยัน  ใบหน้านั้นยิ้มมุมปากดูเหมือนกำลังสนุกที่ได้เอาคืนเขา

“อ้อ  รถคุณผมก็ล็อกล้อหมดทุกคัน” 

“อะไรนะ!  นาย!....กล้าดียังไง”   คุณชายของบ้านถึงกับกำหมัดแน่นจนสั่นเมื่อนายนั่นกล้าแตะต้องรถของเขา

‘โธ่โว้ย!  เขาจะทำยังไงดี’ 


“นาย.. ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนั้นกับรถของชั้น”  พีทแทบจะเหวี่ยงกระเป๋าใส่คนในรถ  มันจะมากเกินไปแล้วนะ

“อย่าพยายามทำอะไรอีกเลยน่า  ยังไงคุณก็ทำอะไรผมไม่ได้หรอก  ผมรู้ทันคุณทุกเรื่องน่ะแหละ  เหนื่อยเปล่า  ทำตามที่ผมบอกซะก็จบ”  คนที่นั่งประจำที่คนขับพูดเรื่อย ๆ ดวงตามองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ยี่หระ 

‘ทำมารู้ดีนัก  ทำยังกับเขาไม่มีทางเลือกงั้นสิ’ 

พีทเดินไปหน้าบ้านทันที  เขาใช้รถตัวเองไม่ได้แต่เขาก็ใช้แท็กซี่ได้ แต่กลับต้องชะงักเพราะประตูบ้านกำลังเคลื่อนปิดช้า ๆ   ยามที่เฝ้าอยู่สองคนยืนขวางเขาไว้

“ขอร้องเถอะครับคุณชาย  ผมให้คุณชายออกจากบ้านคนเดียวไม่ได้ครับ  มันไม่ปลอดภัย อย่าขัดคำสั่งคุณท่านเลยครับ ผมยังไม่อยากถูกไล่ออกตอนนี้  ลูกผมเพิ่งคลอดได้สองวัน” ยามหนึ่งในสองกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนแฝงไว้ด้วยความกลัว  คงกลัวเขาและพ่อเขาไม่พอใจนั่นแหละ 

“ไปขึ้นรถเถอะครับคุณชาย  ออกไปคนเดียว  คุณท่านกับคุณโรสจะเป็นห่วงนะครับ”  ลุงหวัง  ยามอาวุโสอีกคนช่วยพูด   
คนนี้ก็เหมือนกัน  ความจริงลุงฉี พ่อบ้านจะเลิกจ้างลุงหวังเพราะแกแก่มากแล้ว  แต่เขาเองที่เป็นคนขอร้องให้จ้างลุงหวังไว้เพราะแกตัวคนเดียว  ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน  ถ้าไม่มีงานแล้วใครจะเลี้ยงดูแก

‘เฮ้อ’   พีทถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง  เขาไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนเลย  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบังเอิญหรือจงใจที่เอาสองคนนี้มาเข้ากะในวันนี้  เหมือนจะรู้ว่าพีทคงไม่ใจร้ายพอที่จะเป็นต้นเหตุให้ใครถูกไล่ออก

คนร่างสูงนั่งรออย่างสบายอารมณ์ในรถสปอร์ตสุดเฉี่ยว  ตาเรียวมองไปยังหนุ่มน้อยที่ยืนหน้าบ้านทำท่าหนักใจ  เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กนั่นหัวเสีย  เดินหน้าบึ้งกลับมาที่รถ   

‘ก็บอกแล้วว่าเขาน่ะรู้ทันเด็กนี่ทุกเรื่องน่ะแหละ หึ หึ’

“ปัง!!”  เสียงปิดประตูรถดังสนั่น  เมื่อพีทจำใจเดินมาขึ้นรถ  เขาก็เลยแกล้งปิดประตูเสียงดัง 

‘หึ  นายนี่มันแน่จริง ๆ’  พีทคิดอย่างเดือดดาล

เจ้าของรถไม่ว่าอะไร  เขาเคลื่อนรถออกทันที   




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2014 19:28:08 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
ขอบคุณนักเขียนมากค่ะ  :L2:

บวกให้นะคะ

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ทำไมนายหมีไม่ยอมรับตอนที่พีททัก ทำแบบนี้เมื่อรู้ความจริงยิ่งโกรธหนัก

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
6. ติดตาม

“นายอย่าคิดนะว่าทำแบบนี้แล้วชั้นจะยอมเชื่อฟังนาย”  หนุ่มน้อยหัวเสียสุด ๆ ที่ถูกบีบให้ทำตามที่นายหมีต้องการ

“ผมทำเพื่อความปลอดภัยของคุณเอง อีกอย่างเราตกลงกันแล้วนี่ว่าคุณต้องเชื่อฟังผมทุกเรื่อง  ขี้แพ้ชวนตีนี่นา” น้ำเสียงท้ายประโยคนั้นล้อเลียน

“นาย!” พีทหันขวับไปอย่างจะเอาเรื่องคนอวดดีที่ยิ้มระรื่นขับรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เขากัดฟัดกรอดข่มความโกรธไว้  เขาไม่ใช่คนไม่รักษาคำพูด  เขาจำได้ว่าได้ตกลงอะไรกับนายหมียักษ์นั่นไปบ้าง  แต่นี่มันมากเกินไป ทั้งเรื่องมาใช้ห้องนอนที่บ้านส่วนตัวของเขา  ห้ามเขาใช้รถตัวเองและบีบบังคับให้เขาทำตามคำสั่ง 

“ใช่  ชั้นแพ้  ต้องเชื่อฟังคำสั่ง  แต่เรื่องมาใช้ห้องนอนที่บ้านชั้นไม่เกี่ยวกัน  นั่นมันบ้านส่วนตัว  เข้าใจไหมคำว่าส่วนตัว!” น้ำเสียงนั้นสั่นอย่างคนที่ข่มอารมณ์แทบไม่อยู่     

“บ้านหลังนั้นสร้างมาเพื่อความสวยงาม  ใช้เป็นที่พักผ่อน ไม่ได้ติดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอะไรไว้เลยแม้แต่สปริงเกอร์ดับเพลิง  แล้วคุณอยู่คนเดียว  ถ้าเกิดพวกมันแอบลอบเข้ามาเชือดคอใครจะรู้” นายหมีพูดเสียงเรียบ   ดวงตามองตรงไปยังถนนใหญ่

“ใครจะกล้าบุกเข้ามา การ์ดออกเต็มบ้านไปหมด” พีททำเสียงคล้ายกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องงี่เง่า  ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้

“ใช่ การ์ดเต็มบ้าน  แล้วตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว  แต่เรื่องแบบนี้เราควรป้องกันไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ  การ์ดพวกนั้นก็แค่เฝ้าระวังด้านนอก  พวกมันอาจจะลอบเข้ามาในบ้านทางใดทางหนึ่งก็ได้  พวกนี้เป็นมืออาชีพมากนะ ที่จริงแล้วคุณก็มีฝีมือด้านป้องกันตัวพอสมควร   คุณยังพลาดโดนพวกมันทำร้ายซะเกือบแย่”

“คืนที่คุณถูกพวกมันพยายามจับตัวไป  ไม่สงสัยหรือว่าทำไมบอดี้การ์ดถึงปล่อยให้คุณเดินคนเดียวจนถูกพวกมันทำร้ายเอาได้” 
“ก็ทำไมล่ะ  คงโดนซ้อมเหมือนกัน  พวกนี้ใช้ไม่ได้!” 

“บอดี้การ์ดกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่ฝีมือระดับดีเยี่ยมทุกคน  แต่ถูกเก็บก่อนที่คุณจะเดินไปเอารถประมาณครึ่งชั่วโมง” 

“หา! อะไรนะ”  หนุ่มน้อยหันกลับไปมองนายหมีที่กำลังขับรถอยู่เพื่อต้องการการยืนยันว่าหูเขาไม่ได้ฝาด  ก็พ่อบอกว่าพวกเขาแค่โดนทำร้ายนี่

“เรื่องจริง  พ่อคุณไม่ต้องการให้คุณรู้เพราะกลัวคุณตกใจและคิดมาก แต่ผมอยากบอกเอาไว้   คุณจะได้ไม่ประมาท   รู้เอาไว้เถอะว่าชีวิตคุณตอนนี้น่ะไม่ปลอดภัยแม้แต่วินาทีเดียว”   น้ำเสียงนั้นจริงจังไม่มีความขี้เล่น  กวนประสาทสักนิด

เรื่องที่บอดี้การ์ดถูกเก็บทำให้พีทถึงกับอึ้งไปนาน  เขากำลังประสาทเสียเพราะไม่คิดว่าเรื่องมันจะร้ายแรงขนาดนี้  แม้ว่าเขาจะไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับการ์ดกลุ่มนั้นมากนักเพราะเขาชอบความเป็นส่วนตัว   บอดี้การ์ดที่ติดตามเขาจึงต้องติดตามแบบห่าง ๆ ไม่ทำตัวโดดเด่น   พีทคุ้นหน้าคุ้นตาแต่ละคนพอสมควรเพราะติดตามกันมาสองสามปี   เขาก็อดใจหายไม่ได้กับความโชคร้ายของคนเหล่านั้น

พีทมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องบอดี้การ์ดจนลืมไปว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่เรื่องที่นายหมีไปยึดห้องนอนที่บ้านของเขา

นายหมีเหลือบตามามองหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่พลางถอนหายใจ   เด็กนี่ไม่รู้เลยว่าบอดี้การ์ดทั้งกลุ่มนั้นถูกปลิดชีวิตอย่างไร  มีเพียงเขาที่ตามไปเจอภายหลังเท่านั้นที่รายงานเรื่องนี้ให้คุณคริสฟัง 

“ผมคงยอมให้คุณนอนคนเดียวรอให้พวกนั้นลอบเข้ามาเก็บไม่ได้หรอก” น้ำเสียงที่เอ่ยแฝงไปด้วยความห่วงใยจากส่วนลึกที่พีทไม่ทันสังเกต

“พ่อคุณเป็นห่วงคุณมาก  ท่านรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องไม่ยอมให้ผมไปพักที่นั่น   แต่คราวนี้คงต้องขอขัดใจกันบ้างเพื่อตัวคุณเองด้วย  ผมรับรองว่าจะทำตัวให้เงียบที่สุดไม่ให้คุณรู้เลยว่ามีผมอยู่ด้วย  ตกลงไหม”  นายหมีเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาเงียบกันไปนาน

พีทไม่ตอบ เขาตวัดสายตาคมมองไปที่นายหมีครู่หนึ่งจึงหันหน้าออกนอกหน้าต่างไม่สนใจอะไรอีก  เขามีทางเลือกหรือ  ถึงเขายืนยันคำเดิมว่าไม่ได้ นายนั่นก็คงอ้างเรื่องที่เขาต้องฟังคำสั่งอยู่ดี   

‘โอ๊ย  อยากชกหน้าหมี’


เท่านี้คนที่นั่งขับรถก็คลี่ยิ้มออกมาทีละนิด ‘ไม่ตอบก็แสดงว่าไม่ปฏิเสธ  แต่ถึงแม้ไม่ยอม เขาก็จะอยู่บ้านนั้นให้ได้น่ะแหละ อุตส่าห์ไปอยู่ที่อื่นตั้งนาน กลับมาคราวนี้ขออยู่ใกล้ ๆ หน่อยแล้วกัน’

ความเงียบปกคลุมบรรยากาศการเดินทางตลอดเส้นทางที่เหลือ พีทหยุดโวยวาย  กลับเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด  เขาขยับเสื้อแจ็กเกตที่ใส่อยู่ให้กระชับขึ้น  กอดอกไว้ขณะเหม่อมองไปภายนอกรถ


หลังจากใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีจากบ้าน  ขับอ้อมเมืองมาถึงแหล่งบันเทิงอีกมุมหนึ่งของเมือง  รถสปอร์ตคันเฉี่ยวก็จอดลงบริเวณที่จอดรถวีไอพีหน้าร้านเรียกความสนใจจากผู้คนแถวนั้นได้เป็นอย่างดี  ก็ใครจะคิดว่าจะมีคนขับรถสปอร์ตราคาแพงมาจอดในย่านเสื่อมโทรมนี้

‘หมดกัน  จอดหน้าร้านขนาดนี้ใครก็รู้หมดน่ะสิว่าเขาเป็นใคร  แล้วไหนว่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย  ทำตัวเด่นซะขนาดนี้ทำไมไม่ติดป้ายประกาศไปเลยล่ะว่าเขาเป็นคุณชายทายาทธุรกิจหมื่นล้าน’ 
พีทคิดประชดประชันในใจ

“มากับผม  ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกน่า”  นายหมีตอบราวกับล่วงรู้ความคิดเขา

ใบหน้าเรียวบึ้งตึง  พีทไม่อยากให้ใครรู้ว่าฐานะทางบ้านที่แท้จริงเป็นอย่างไร   เขาอยากเป็นแค่คนธรรมดาที่ร้องเพลงเป็นอาชีพเท่านั้น  แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกจึงเปิดประตูลงไป    ชายหนุ่มทั้งสองคนกลายเป็นเป้าสายตาของผู้คนหน้าร้านทันที

“เธอดูสิ   พีทมากับใครน่ะ ขับรถหรูเสียด้วย  อีกคนนั้นหล่อจังเลย”  สาว ๆ ที่ยืนแถวหน้าร้านส่งเสียงร้องถามกันในกลุ่ม
เสียงงึมงำด้วยความชื่นชมดังตามหลังพวกเขาเป็นระยะ  แต่พีทไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น  เขารีบเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อเตรียมตัว  ปล่อยให้คนที่ตามมาถูกกลืนกับฝูงชนด้านหลัง




“พีท  นายมากับใครน่ะ โห หล่อชะมัด  เท่สุด ๆ ไปเลย  พวกผู้หญิงเค้าเม้าท์ในห้องน้ำกันใหญ่เลย”

พอเจอหน้า  คุณหนูเกรซผู้เพียบพร้อมก็ไม่มีแก่ใจจะถามไถ่อาการเจ็บป่วยของเขา  กลับตั้งเป้าไปสนใจนายหมีซะนี่  พีทที่อารมณ์เสียอยู่แล้วยิ่งทวีความหมั่นไส้มากยิ่งขึ้น   ใบหน้าเรียวยาวนั้นบูดสนิทเมื่อได้ยินเพื่อนสาวชมคนที่เขาไม่ชอบหน้า

“หึ  พวกผู้หญิง!”

“อะไรอ่ะพีท  มาเหวี่ยงอะไรเราละเนี่ย”

“..เอ่อ โทษที นายเป็นไงบ้าง ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” เกรซคิดขึ้นได้หลังจากสังเกตเห็นพีทใส่หมวกไหมพรมจนปิดหูเพื่อปิดรอยแผลและผมที่แหว่งไปส่วนหนึ่ง   

“นายใส่หมวกแบบนี้ดูน่ารักดีนะ” เกรซยิ้ม  ทำให้ใบหน้าสวยเก๋นั้นดูอ่อนโยน

“เพิ่งนึกได้หรือไงว่าเพื่อนเพิ่งโดนตีหัวมาน่ะ”  พีทยังเหวี่ยง 

วันนี้มันเป็นวันอะไรกัน  เขาอารมณ์ขึ้นลงมาตั้งแต่ตอนสาย  เดี๋ยวโกรธ  โมโห  พอใจเย็น  อารมณ์ดีแล้วก็กลับต้องมาโกรธอีก ปวดหัวแทบระเบิด จะไม่ไหวแล้วนะ

“แล้วตกลงวันนี้นายมากับใครล่ะ เพื่อนนายเหรอ ท่าทางดีนะ” 

คำถามเกรซสะกิดใจเขาขึ้นมากะทันหัน  นั่นสินะ เขาไม่ทันสังเกตเลยว่านายหมีนั่นเป็นใครมาจากไหน  นอกจากหน้าตาท่าทาง บุคลิกดีแล้ว นายนั่นยังแต่งตัวดี  เสื้อผ้าที่ใช้ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเสื้อผ้ายี่ห้อดังระดับเดียวกับเขา  แล้วยังขับรถหรูขนาดนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่   

“เอ่อ  คนของพ่อน่ะ  ส่งมาดูแล”  เขาตอบเลี่ยงไป

“เหรอ  ดูดีเกินจะเป็นแค่บอดี้การ์ดนะ”  เกรซตั้งข้อสังเกต

พีทไม่ตอบว่าอะไรเพราะเขาก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน นายหมีนั่นต้องไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดาแน่

“อ้อ  เกรซ  แล้วเธอให้ใครมาร้องเพลงแทนล่ะ” 

“เอ่อ  อ๋อ  นายแคนน่ะเหรอ  เป็นเด็กเสิร์ฟที่ชั้นเพิ่งรับมาไง  พี่ร็อกกี้แกไปเข้าห้องน้ำแล้วได้ยินนายนั่นร้องเพลงเห็นว่าเสียงใช้ได้เลยเรียกให้มาลองร้องดู  ก็พอใช้ได้นะ  แต่วันนี้นายมาแล้ว  นายแคนก็ไปเสิร์ฟเหมือนเดิมล่ะ” 

“อืม  งั้นเหรอ  โทษทีนะที่ทำให้ลำบาก” 

“เฮ้ย  มะ..ไม่เป็นไรหรอก ไม่ลำบากอะไรสักหน่อย ฉันสบายดี  โอเค๊” 

เกรซกลับตอบตะกุกตะกักผิดปกติ  และเหมือนเธอจะรู้ตัวจึงรีบขอตัวออกไปดูร้านด้านนอก  ปล่อยให้พีทเตรียมตัว




คืนนี้น่าจะเป็นเหมือนทุกคืนที่พีทร้องเพลง แต่ตลอดเวลาที่อยู่บนเวทีเขากลับไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร เพราะรู้สึกได้ว่านายบอดี้การ์ดนั่นคงจับตามองเขาอยู่มุมใดมุมหนึ่งของร้าน    เกิดความรู้สึกแปลก ๆ กับเขา  ที่ผ่านมาลูกค้ามากหน้าหลายตาก็คอยจับจ้องดูเขาเวลาร้องเพลง  เต้น  หรือพูดคุยกับแขกซึ่งเป็นเรื่องปกติ   แต่คราวนี้มันแปลกไปบอกไม่ถูก เขารู้แค่ว่าเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไรนัก

เกือบเที่ยงคืนแล้วแต่พีทยังไม่ค่อยอยากกลับ  เมื่อนึกได้ว่าต้องไปเผชิญหน้ากับคนที่เขาไม่ชอบและแสดงท่าทางต่อต้านอย่างชัดเจน  ทั้งที่ตอนนี้เขาอยากกลับไปพักผ่อนใจจะขาด  ยิ่งเวลาผ่านไปความเจ็บปวดที่ขมับก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น  เขารู้สึกวูบวาบตามร่างกายเหมือนกำลังเป็นไข้     
   
พีทเลี่ยงออกไปบริเวณหลังร้าน  ซึ่งเป็นห้องเก็บของพวกเหล้าและไวน์   เขาอยากอยู่ลำพังสักครู่เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกอึดอัดที่แน่นอยู่ภายใน  โดยไม่รู้ตัว  เขาถูกชนจากใครคนหนึ่งที่วิ่งพรวดพราดออกมาจากห้องเก็บของ

“โอ๊ย!”

“อ้าว เกรซ” พีทแปลกใจที่เกรซอยู่ที่นี่  ปกติคนที่เข้าออกห้องนี้เป็นฝ่ายธุรการของร้านมากกว่า 

“เฮ้  เกรซร้องไห้ทำไม  เป็นอะไรรึเปล่า”   น้ำเสียงตกใจของพีททำให้เกรซรีบปาดน้ำตาทันที

“มะ ไม่มีอะไรหรอกพีท  เราเข้าไปดูไวน์น่ะ  แล้วฝุ่นบนชั้นไวน์มันกระเด็นเข้าตา  แล้วใส่คอนแทคด้วย  มันก็เลยยิ่งเคืองตา  เอ่อ  เราขอตัวไปล้างตาก่อนนะพีท”

“เฮ้ย  เกรซ  อย่าเพิ่งไป”  พีทรีบคว้าแขนเพื่อนสาวไว้

“เราพาไปดีกว่านะ  ตาเธอเป็นแบบนี้เดี๋ยวจะตกบันได  เสียโฉมขึ้นมาจะหาแฟนไม่ได้น๊า”  พีทพูดเล่นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ  เขาสังเกตเห็นความผิดปกติแต่คิดว่าให้เพื่อนเป็นคนพูดเองจะดีกว่า

พวกเขาขึ้นไปที่ห้องผู้จัดการ  พีทนั่งรอที่โซฟารับแขก  ส่วนเกรซเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำครู่ใหญ่แล้ว

“ครืด ๆ” เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาสั่น  หน้าจอเป็นเบอร์แปลกเขาก็เลยไม่สนใจ  ปล่อยให้โทรศัพท์สั่นอยู่อย่างนั้นจนเสียงเงียบไป  แต่ไม่นานเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้นแทนทำให้พีทขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เกรซยังคงเงียบอยู่ในห้องน้ำ  เขาจึงตัดสินใจรับสาย

“ทำไมคุณไม่รับโทรศัพท์ผม  คิดจะหลบอยู่บนนั้นไปอีกนานเท่าไร  ได้เวลากลับบ้านแล้ว”  ทันทีที่ได้ยินเสียงพีทหันไปที่ผนังกระจกทันที   

เบื้องล่างเขาเห็นแสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือที่แนบหูนายบอดี้การ์ดที่มุมหนึ่งของร้าน  ใบหน้านั้นเงยขึ้นมองตรงมาราวกับรู้ว่าเขาต้องหันมามอง พีทถึงกับอึ้งไปที่นายนั่นรู้ว่าเขาอยู่ข้างบน  เขาอยากจะโกรธ  โมโหแล้วต่อว่ากลับแรง ๆ เหมือนกัน   แต่วันนี้ทั้งวันเขาเหนื่อยมากพอแล้วทั้งที่เพิ่งฟื้นตัวจากการถูกทำร้าย  พีทจึงตอบโต้ไปเพียงแค่วางสายแล้วกลับไปนั่งที่เดิม ไม่สนใจอะไรอีก

“อ้าวพีท  ยังไม่กลับเหรอ  เอ่อ  เราไม่เป็นไรแล้วล่ะ”  เกรซออกจากห้องน้ำสักที   ดวงตากลมโตของเกรซแดงก่ำ
 
“เธอโอเครึเปล่า  ดึกแล้วกลับบ้านเถอะเดี๋ยวเราขับให้  คืนนี้ยืมรถกลับบ้านก่อนนะ  พรุ่งนี้เช้าจะให้คนขับไปคืน” 

“อืม  ดีเหมือนกัน”  เกรซดูเหมือนคนใจลอย  ตอบตกลง

ทั้งคู่เดินออกจากร้าน  พีททำเป็นลืมไปว่าเขามากับใคร แต่เมื่อไปถึงลานจอดรถกลับเจอร่างสูงใหญ่ยืนพิงรถคันหรูของตัวเองรออยู่   

‘จมูกไวจริงนะ  มิน่าถึงเจ้าแรมโบ้ถึงไม่กัด  พวกเดียวกันนี่’
  คุณชายทำหน้าบูด

“คิดจะให้คุณเกรซไปส่งที่บ้านละสิ  ให้ผู้หญิงไปส่งมันไม่เป็นสุภาพบุรุษนะครับคุณชาย”  น้ำเสียงนั้นจงใจกวนเขาแน่ ๆ

“เป็นแค่บอดี้การ์ด  อย่ามายุ่งเรื่องเจ้านาย  ถอยไป”  อดไม่ได้จึงตอกกลับบ้าง

นายหมีไม่สนใจคำดูถูกนั้น  กลับเดินตรงมาหาทั้งคู่

“สวัสดีครับคุณหนูเกรซ ผมเป็นผู้ดูแลคุณชายพีทครับ”

ร่างสูงใหญ่ของนายหมีเดินเข้ามาแนะนำตัวกับเกรซ ทำให้พีทเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่เพื่อนของเขาดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากนัก  กล่าวทักทายสั้น ๆ แล้วขอตัวไปขึ้นรถ 
 
นายนี่นอกจากจมูกไวแล้วยังแสนรู้อีกต่างหาก รู้ด้วยว่าเกรซเป็นใคร แต่คิดไปคิดมาถ้าเรื่องแค่นี้ไม่รู้ก็ไม่ควรมาทำงานนี้หรอกนะ
พีทจะเดินตามเกรซไปอีกคนกลับถูกมือแข็งแรงดึงแขนไว้  ร่างสูงโปร่งชะงัก  เขาสะบัดแขนออก  คิ้วขมวดอย่างไม่ชอบใจ  ปรายตามองบอดี้การ์ดแสนรู้เหมือนจะถาม

‘อะไรอีกล่ะ?’

“คุณจะไปส่งคุณหนูเกรซที่บ้านใช่ไหม  เดี๋ยวผมจะขับตามไป”   

พูดแล้วร่างสูงใหญ่นั้นก็หันกลับพลางก้าวขายาว ๆ เดินไปที่รถ  ทำให้พีทแปลกใจอีกหนเพราะไม่คิดว่านายหมีจะรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรต่อไป   

ไม่นานรถสปอร์ตสองคันก็เคลื่อนตามกันไป ทิ้งให้ใครอีกคนที่ยืนอยู่หลังร้านมองตามด้วยความรู้สึกหลากหลาย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2014 19:29:38 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
7. ป่วย


พีทจอดรถหรูของเกรซหน้าตึกหลังใหญ่ เขารอจนกระทั่งเกรซเดินเข้าบ้านเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับมาขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่
 
ระหว่างทางกลับบ้านไม่มีใครพูดอะไร  พีทนั่งเงียบ  เขาเหนื่อยและอ่อนเพลียอย่างมาก  วันนี้ทั้งวันเขาใช้พลังงานไปกับเรื่อง...พีทปรายตาไปยังคนที่ขับรถอยู่อย่างไม่ชอบใจ  แล้วเกรซอีกคน  เขาครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เกรซเสียใจ  ปกติเกรซเป็นคนร่าเริง  พวกเขามักจะนัดไปซ้อมเต้นด้วยกันเวลาว่าง  เกรซไม่มีเรื่องใดที่จะทำให้เธอเสียใจได้นอกจากเรื่องที่ทางบ้านเตรียมหาคนที่เหมาะสมมาเป็นคู่หมั้นคู่หมาย

“พวกคุณดูสนิทกันดีนะ”  เสียงนุ่มนั้นก็เอ่ยลอย ๆ ทำลายความเงียบ

“.....”
 
“แล้วทำไมไม่ยอมหมั้นกันล่ะ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เห็นชอบนี่” 

“.....”

ยังคงไม่มีคำตอบจากหนุ่มน้อยที่นั่งนิ่งหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างตอนนี้ออดี้เคลื่อนมาหยุดที่ทางเดินเข้าบ้านริมน้ำแล้ว

“พีท”

เสียงเรียกนั้นอ่อนโยนมาก  ทำให้พีทที่กำลังหมกมุ่นกับความคิดตัวเองชะงัก  เขาหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ สบตาคนที่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว

“อย่ามาทำตีสนิท   ชั้นไม่ชอบ!”    น้ำเสียงแสดงความหงุดหงิดอย่างชัดเจน  ตอนนี้เขาปวดหัวรุนแรงและเพลียเหลือเกิน  เขาอยากจะอาบน้ำอุ่นจัดแล้วนอนทันที   ไม่มีแรงจะทะเลาะกับใครแล้ว

“ทำไมละ  คนทำงานด้วยกันควรจะสนิทกันไว้  ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย  ผมชื่อฮัท  ยินดีที่ได้รู้จัก”  เจ้าตัวว่าพลางหันหน้ามายิ้มให้  ตั้งแต่เจอหน้ากันเขาเพิ่งได้มีโอกาสแนะนำตัว  ก็คุณชายมัวแต่โมโห  โวยวาย  แถมยังท้าสู้อีกต่างหาก 

‘ฮัท?’    พีทครางชื่อนี้อยู่ในใจ   รู้สึกเจ็บแปลบในส่วนลึกอย่างไม่เคยเป็น ‘หมอนี่หน้าคล้ายแล้วยังชื่อคล้ายอีกหรือนี่’ 

“เรียกพี่ฮัทก็ได้  ดูเป็นกันเองดี”  น้ำเสียงนั้นแผ่วลงเหมือนกล้า ๆ กลัวๆ

“ไม่จำเป็น!  ชั้นไม่มีพี่ชาย  แล้วนายก็ไม่ใช่พี่ชั้น!”

อะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้นตอบกลับมา  ขนาดคนฟังยังรู้สึกได้   รอยยิ้มจางหายไปทันที

“ผมเป็นพี่ชายให้ก็ได้นะ เอาไหม”  คนอยากเป็นพี่ยังไม่ละความพยายาม  รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนเหมือนจะยืนยันคำพูด

“ชั้นขอเตือนครั้งสุดท้าย  อย่ามายุ่งกับชีวิตชั้น  นายแค่ทำหน้าที่ของนายไป เข้าใจมั้ย!”  พีทกระแทกประตูรถปิดเสียงดังสนั่นด้วยแรงอารมณ์บางอย่าง  เขาเดินจ้ำหายเข้าไปในบ้านหลังน้อยริมน้ำอย่างรวดเร็วทิ้งให้คนในรถยังนั่งอยู่ที่เดิม

ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้เศร้าหมอง   นายหมีหลับตาพิงศีรษะกับเบาะ กัดกรามจนเป็นสันนูนราวกับกำลังกลั้นความเสียใจไว้




เสียงกระแทกประตูห้องนอนดังโครมครามทำให้เจ้าแรมโบ้ที่เดินตามหลังนายมาเผ่นลงบันไดแทบไม่ทัน   อาการแบบนี้แรมโบ้เรียนรู้ว่าควรอยู่ให้ห่างนายมากที่สุด  แรมโบ้ตรงเข้าไปกระดิกหางเป็นพวงให้นายอีกคนของมันแทน 

“ไงแรมโบ้ ตกใจเหรอ”  ร่างสูงใหญ่ย่อตัวลง  มือใหญ่อบอุ่นนั้นลูบหัวสุนัขตัวโปรดของคุณชายอย่างเศร้าสร้อยพลางเงยหน้ามองขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบน  ความคิดล่องลอยกลับไปยังเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่

“ไม่จำเป็น!!  ชั้นไม่มีพี่ชาย  แล้วนายก็ไม่ใช่พี่ชั้น” 

ประโยคนี้ยังสะท้อนก้องในหัวเขา  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“โฮ่ง”  แรมโบ้เห่าแล้วเอียงหัวมองดูนายของตน 

เจ้านายถอนหายใจยาวนานแล้วจึงลุกขึ้น   ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจรอบบ้านสีขาวหลังน้อยจนทั่ว เขาโทรสั่งการ์ดที่เฝ้าระวังอยู่นอกรั้วจนเรียบร้อยดีแล้วจึงขึ้นบันไดเข้าไปในห้องนอนใหม่ที่เพิ่งเข้ามายึดครอง  ข้าวของส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกล่อง  ไม่ได้นำออกมาจัดเรียง  เขาตรงไปเปิดโน้ตบุ๊กเครื่องเล็กบางเฉียบที่วางบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ริมหน้าต่างบานสูงแทบจรดเพดาน  จัดการเรื่องงานทางอินเตอร์เน็ตอยู่นาน  เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงไปอาบน้ำ

เกือบตีสามแล้วกว่านายหมีจะออกจากห้องน้ำ   ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เกิดจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมีหยาดน้ำเกาะพราว  มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันร่างกายท่อนล่างไว้  เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผม  บรรยากาศขณะนี้เงียบสงัด   เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเบา ๆ เป็นระยะ 

“ตึง!!”

เสียงสิ่งของตกกระทบพื้นไม่ดังนักจากด้านนอกห้องนอน  โดยอัตโนมัติ   นายหมีพุ่งตัวไปหยิบปืนที่วางบนโต๊ะทำงานมากระชับในมือแน่น 

‘เสียงอะไร?!’ 


เขาก้าวไปที่ประตูห้อง  แง้มประตูออกเพียงเล็กน้อย  ดวงตาเล็กมองไปบริเวณทางเดินสลัวภายนอกห้อง ไม่มีความเคลื่อนไหวใด  เขาแง้มประตูกว้างขึ้นอีกนิด  แสงสว่างเพียงเล็กน้อยมาจากโคมไฟเล็กตรงบันไดห่างออกไปทางขวามือ ไม่มีสิ่งผิดปกติใด  ดวงตาพลันไปเห็นแสงไฟอ่อนลอดผ่านประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม  เขาตัดสินใจเดินตรงไปห้องนั้น  มือใหญ่ขยับลูกบิดอย่างเบามือ  ห้องไม่ได้ล็อก  เขาผลักประตูเข้าไปช้า ๆ 

แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟบนโต๊ะหัวเตียง ทำให้เห็นสภาพภายในห้องนอนสีขาวขนาดใหญ่ได้ชัดเจน  ร่างกำยำที่ถือปืนถอนหายใจอย่างโล่งอก  มือที่จับปืนในท่าเตรียมพร้อมปล่อยลงข้างตัว  มืออีกข้างเสยผมที่ยังชื้นอยู่เล็กน้อย  ใบหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่ผ่อนคลายลงเมื่อมองไปที่เตียง   

พีทนอนคว่ำตะแคงหน้าไปทางหนึ่งบนเตียงกว้าง  มือข้างหนึ่งพาดออกมานอกเตียง  หมอนกระเด็นไปอีกทางหนึ่ง  ผ้าห่มพันระเกะระกะรอบตัวเหมือนคนนอนดิ้น   กรอบรูปเล็ก ๆ ตกอยู่บนพื้น

‘สงสัยพีทคงเผลอเอามือไปปัดกรอบรูปตก’


เขาคิดพลางก้มลงไปเก็บกรอบรูปนั้นขึ้นมา  ดวงตาชั้นเดียวจ้องมองไปที่กรอบรูปในมือแล้วต้องนิ่งไปนาน   กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ   มือที่จับกรอบรูปกำแน่นจนเกร็ง

ภาพนั้นเป็นรูปเด็กชายสองคนยืนหันข้างให้  เด็กชายที่ตัวสูงกว่าหันใบหน้ามายิ้มให้กล้องอย่างเต็มที่จนตาแทบปิด ด้านหลังมีเด็กชายอีกคนวัยสี่ขวบ  มืออวบสองข้างจับแน่นอยู่ที่เอวของคนที่สูงกว่าใบหน้ากลมนั้นหัวเราะร่าเพราะได้เล่นรถไฟไปเที่ยวรอบบ้าน 

ใบหน้าคมยิ้มเศร้าให้กับรูปในมือ   ความรู้สึกหลากหลายที่เกิดขึ้นทำให้เขาจ้องมองรูปที่สีซีดไปตามกาลเวลาอยู่นาน  จนกระทั่งได้ยินเสียงครางแผ่วเบาจากคนบนเตียง  เขารีบวางกรอปรูปบนโต๊ะข้างเตียงแล้วก้มลงไปใกล้ร่างที่นอนท่ามกลางผ้าห่มยุ่งเหยิง  ได้ยินเสียงครางเบาเหมือนกำลังเจ็บปวด  เขาขมวดคิ้วก่อนจะวางมือใหญ่ลงบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อแล้วต้องสะดุ้งเพราะรับรู้ถึงอุณหภูมิที่สูงผิดปกติ 

“ไม่สบายตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”  คนที่เปลือยท่อนบนพึมพำหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้สังเกตว่าพีทไม่สบาย  เดินออกจากห้องไปรวดเร็วผิดจากตอนเข้ามา  และกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมแก้วน้ำและยา  นายหมีเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดกางเกงนอนแล้ว  มือใหญ่จับร่างที่นอนอยู่ให้พลิกนอนหงาย  ร่างอุ่นจัดนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ  เขาพลิกศีรษะของพีทไปทางหนึ่งเพื่อดูแผลที่ถูกตี 

“บ้าจริง” ชายหนุ่มสบถเมื่อเห็นแผลเย็บเกือบสิบเข็มนั้นมีเลือดซึมแผลคงจะปริและคงจะอักเสบด้วย  ความรู้สึกผิดเข้าเกาะกุมจิตใจ  เขาไม่น่าไปท้าพีทเลย   แผลคงจะเปิดเพราะพวกเขาสู้กันเมื่อเช้า  คิดแล้วเขาจึงจัดแจงทำแผลใหม่   พีทร้องครางและกระสับกระส่ายตลอดเวลาที่เขาทำแผล ท่าทางคงจะเจ็บไม่น้อย   เห็นแล้วเขาก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง    หลังจากทำแผลเสร็จแล้วจึงใช้ผ้านุ่มซับเหงื่อตามใบหน้าและลำคออย่างเบามือ  คนที่นอนไม่รู้ตัวส่ายหน้าไปมาเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น

“พีท พีท ตื่นเถอะ  ลุกขึ้นมากินยาก่อน” 

เสียงปลุกเบาใกล้หูพร้อมกับแรงเขย่าที่ไหล่ทำให้พีทเริ่มรู้สึกตัว   คนป่วยลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก  คิ้วขมวดเพราะอาการปวดหัวอย่างรุนแรง  ใบหน้าที่เขาเห็นกำลังก้มมามองเขาอยู่ 

“ฮื่อ ออกไป อย่ามายุ่ง” ทันทีที่รับรู้ว่าคนที่เข้ามาปลุกเป็นใครก็เอ่ยปากไล่   แต่เสียงที่ออกมานั้นแหบพร่าฟังแทบไม่เป็นคำ   พีทพยายามยกมือไม้ปัดป่ายไปมาทั้งที่แทบยกแขนตนเองไม่ขึ้นเพราะอาการไข้ทำให้เขาอ่อนเพลีย
 
“กินยาก่อนนะ เสร็จแล้วพี่ก็จะออกไป”  คนที่เฝ้ามองอยู่ยึดแขนที่ปัดป่ายไปมาไว้แล้วกดให้แนบกับลำตัว   พีทฮึดฮัดแต่ไม่มีแรงต่อต้าน 

นายหมีสอดแขนซ้ายไปใต้ไหล่ยกตัวคนที่นอนอยู่ขึ้นมาแล้วขยับตัวเข้าไปด้านหลังใช้ตัวเองเป็นที่พิงให้คนป่วย จับศีรษะพีทอิงไว้กับไหล่ ใช้แขนข้างซ้ายประคองไว้  พีทส่ายหน้าหนี   พยายามจะขยับตัวออกแต่ไม่เป็นผลเพราะถูกประคองอยู่ในอ้อมแขนแน่นหนา  นายหมีใช้มือข้างที่ว่างหยิบยายื่นให้ถึงปาก

“กินยานะ”  คนที่ประคองอยู่พยายามหว่านล้อม  พร้อมกับป้อนยาไปด้วย 

“ฮื่อ”  เสียงครางอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ของคนป่วยที่ไม่ยอมกินยา   พีทพยายามยกตัวเองขึ้นนั่งทั้งที่แรงจะยกแขนยังไม่มี

“กินยานะ อย่าดื้อสิ  ไม่กินยาพี่ก็ไม่ไปนะ จะรออยู่แบบนี้แหละ ถ้าพรุ่งนี้ไม่หายก็ไม่ต้องไปร้องเพลงล่ะ” 

คนป่วยนิ่วหน้าจากความเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทั่วศีรษะเพราะพยายามขยับตัวหนี   จึงยอมหยุดแต่โดยดีแต่ยังทำท่าฟึดฟัดเหมือนไม่พอใจทั้งที่ไม่มีแรง จำใจอ้าปากรับยาที่ยื่นป้อนให้  นายหมีประคองแก้วน้ำให้คนป่วยดื่มน้ำตามช้า ๆ  จากนั้นจึงวางคนป่วยลงบนเตียงตามเดิม   มือใหญ่จัดศีรษะให้ตะแคงไปทางด้านที่ไม่ถูกตีอย่างแผ่วเบา

“นอนเถอะ”  เสียงทุ้มนั้นบอกแผ่วเบาใกล้ ๆ   

ทันทีที่หัวถึงหมอน  คนป่วยก็หลับไปอย่างรวดเร็ว   




พีทหลับไปแล้ว  ลมหายใจสม่ำเสมอไม่มีอาการกระสับกระส่ายอีก  นายหมียังคงนั่งพิงหลังตนเองกับหัวเตียงข้างคนที่หลับสนิท  คอยเฝ้าใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามใบหน้า  ลำคอและแขนเพื่อลดอุณหภูมิ   มือใหญ่ลูบศีรษะของพีทอย่างแผ่วเบา  ใบหน้ายามหลับของพีทเหมือนเด็กเล็ก ๆ ดูไร้พิษสง    ไม่เหมือนคุณชายพีทที่เจ้าคิดเจ้าแค้น  จอมวางแผน  โกรธไม่เลิกอย่างที่เขาเจอเมื่อเช้า

“ป่วยแล้วยังจะอวดเก่งอีก  ดื้อจริงนะเรา  ตั้งแต่เด็กเลย” 

เขาละสายตาจากใบหน้าที่หลับสนิทมองไปทั่วห้องเป็นครั้งแรก  ตอนแรกที่เข้ามาเขาไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดเพราะความตกใจ   ตอนนี้เจ้าของห้องหลับไปแล้วเขาจึงใช้โอกาสนี้มองสำรวจไปรอบห้อง 

ห้องนี้มีลักษณะคล้ายกับห้องที่เขาครอบครองอยู่  ผนังด้านซ้ายมีภาพเพ้นท์สีสดเป็นตัวอักษรที่เขามองไม่ออก  อีกฝั่งตรงข้ามวางโต๊ะทำงานขนาดใหญ่เต็มไปด้วยหนังสือ   คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด  กีตาร์โปร่งตัวหนึ่งตั้งไว้กับขาตั้ง

เขายิ้มเมื่อเห็นกีตาร์โปร่งตัวนั้น  หันกลับมามองคนป่วยที่นอนอยู่ด้วยดวงตาเป็นประกาย คนตัวใหญ่ยิ้มกับความลับบางอย่าง  เกิดความรู้สึกดีใจ ปลื้มใจเพียงแค่เห็นกีตาร์ตัวนั้นตั้งอยู่  ไม่รู้ทำไมหัวใจค่อยพองตัวอย่างช้า ๆ 

ในที่สุดเมื่ออดไม่ได้จึงขยับตัวลงจากเตียงตรงไปที่กีตาร์ตัวนั้น   มือใหญ่จับกีตาร์ตัวเก่าขึ้นมาลองกรีดนิ้วลงไป  เสียงกีตาร์สะท้อนกังวานในห้อง  กีตาร์ตัวนี้ได้รับการดูแลอย่างดีแทบไม่มีรอยขีดข่วนอะไร  สายกีตาร์ตั้งเสียงไว้เรียบร้อยแสดงว่าเจ้าของคงหยิบมาเล่นบ่อย ๆ  คนตัวใหญ่ยิ้มกว้างกว่าเดิม  มองไปที่คนบนเตียงอีกครั้งหนึ่ง 

พีทยังคงหลับสนิท   เขาจึงนั่งลงที่เก้าอี้และเริ่มต้นเล่นกีตาร์ตามท่วงทำนองที่คุ้นเคย   


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2014 19:30:57 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
8. เจ้าของร้านกับเด็กเสิร์ฟ


“บ้าที่สุด!  นายนั่นกล้าดียังไงมาทำกับชั้นแบบนี้  นายเจอดีแน่  นายแคน!”  เกรซน้ำตาไหลด้วยความเจ็บใจ  ชกหมอนใบใหญ่จนขนนกกระจายออกมาปลิวว่อนบนเตียงนอนหลังใหญ่ที่ปูด้วยผ้าสีขาวลายดอกไม้เล็ก ๆ   สาวน้อยทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอย่างแรง   คุณหนูเกรซของบ้านหลับตาลง  เรื่องราวหลายอย่างไหลวนอยู่ จะสลัดอย่างไรก็ไม่ยอมหลุด   มันคอยแต่เฝ้าวนเวียนอยู่ในใจเธอ

หลายวันก่อนมีคนมาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟ   เกรซจึงเรียกไปคุยรายละเอียดเนื่องจากผู้จัดการร้านลาป่วย
“เข้ามาได้” เกรซร้องบอกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู 

เจ้าของร้านคนสวยกำลังยืนมองผนังกระจกในห้องผู้จัดการ  ห้องนี้อยู่บนชั้นลอยของร้าน  เป็นเหมือนห้องสังเกตการณ์  ผนังด้านหนึ่งกรุด้วยกระจกบานกว้างซึ่งสามารถมองเห็นบริเวณร้านด้านล่างได้ทั้งหมดโดยที่คนข้างล่างไม่สามารถมองเข้ามาภายในได้

“สวัสดีครับ  ผมมาสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟครับ”

เสียงทุ้มไพเราะเอ่ยขึ้นด้านหลัง    เมื่อเธอหันไปเผชิญหน้าผู้ที่เข้ามาใหม่  คิ้วเรียวก็ขมวดด้วยความแปลกใจ 

คนที่เข้ามาในห้องดูดีเกินกว่าจะมาเป็นพนักงานเสิร์ฟ  รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาอย่างกับพระเอกหนังฮ่องกง   คิ้วเข้ม    จมูกโด่งรับกับใบหน้า  ริมฝีปากบางได้รูปสวย  ดวงตาสีดำสนิท  แววตาดูใสซื่อ   

‘แบบนี้ลูกค้าผู้หญิงคงเรียกหากันให้ควั่กแน่เชียว’
  เกรซคิด 

ที่สำคัญ  เธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นคนหน้าตาคล้ายแบบนี้ที่ไหนสักแห่ง

“เอ๊ะ  ทำไมหน้าคุ้น ๆ  เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า” 

“เปล่าครับ  ผมเพิ่งเห็นหน้าคุณเป็นครั้งแรกนี่แหละครับ” 

แต่คุณหนูผู้เฉลียวฉลาดอย่างเกรซหรือจะเชื่ออะไรง่าย ๆ  เธอเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น  เงยหน้าเพ่งพินิจดูคนตรงหน้า  อะไรบางอย่างยังคาใจเธออยู่แต่เธอนึกไม่ออก  ใบหน้านี้ดูคุ้นตาเหมือนเคยเจอผ่าน ๆ  แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก   เกรซก้มลงพิจารณาหลักฐานการสมัครงานในมืออย่างละเอียด เอกสารทุกอย่างในนั้นดูเรียบร้อยดีไม่มีอะไรผิดปกติ  ในที่สุดเมื่อหาข้อติอะไรไม่ได้เธอจึงตัดสินใจรับเขาไว้เพราะตอนนี้พนักงานที่มีอยู่ก็แทบจะไม่พอโดยเฉพาะวันศุกร์และเสาร์

“จะให้เรียกนายว่าอะไร   อยู่ที่นี่นายสามารถใช้ชื่ออะไรก็ได้” 

“ผมชื่อแคนครับ  เรียกแคนก็ได้ครับ”  พนักงานเสิร์ฟคนใหม่ของร้านตอบแล้วยิ้มกว้างให้

 แววตาแพรวพราววิบวับที่มองมาทำเอาเกรซอึ้งไปทีเดียว  เธอรู้สึกเหมือนตกลงไปในบ่อทรายดูดยังไงไม่รู้  ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะว่าแคนยิ้มแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ใบหน้าเขาน่ามองขึ้นกว่าเดิมเสียอีก




พนักงานใหม่เริ่มงานวันแรกก็เกิดเรื่องทันที  เกรซถูกตามตัวด่วนเนื่องจากแขกทะเลาะกัน  พนักงานรายงานว่ากลุ่มลูกค้าสาวสองโต๊ะต่างติดใจพนักงานคนใหม่และต้องการให้บริการเฉพาะพวกเขากลุ่มเดียว จึงเกิดการเขม่นกันขึ้น  พนักงานใหม่พยายามรอมชอมด้วยการบริการให้ทั้งสองโต๊ะ  แต่ไม่รู้ว่าไปพูดอีท่าไหนจึงทำให้แขกทั้งสองกลุ่มเข้าตะลุมบอนกันแทน   หลังจาก
เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย  นายแคนก็ถูกเรียกไปสอบสวน

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ  ผมแค่บอกว่าผมจะบริการให้ทั้งสองโต๊ะ  แขกเขม่นกันเองครับ  ผมไม่รู้เรื่อง” 

พนักงานใหม่ตอบปฏิเสธพร้อมกับส่ายหน้า  ใบหน้าซื่อ ๆ นั้นเหมือนไม่รู้เรื่องใด  แต่เพราะอะไรไม่รู้เกรซกลับมีความรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น  นายแคนดูเป็นคนฉลาดมากกว่าหน้าตาที่แสดงออกว่าเป็นคนซื่อ  เกรซสอบถามจนไม่มีข้อสงสัยอะไรแล้วจึงต้องปล่อยไป   เพราะการมีเรื่องราวชกต่อยเป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจนี้อยู่แล้ว   เพียงแต่คราวนี้ฝ่ายที่มีเรื่องเป็นผู้หญิงด้วยกันเอง

วันต่อมา  เกรซจับตามองพนักงานเสิร์ฟคนใหม่ตลอดเวลา  ไม่นานเธอก็ได้รู้ว่านายแคนเป็นคนมีเสน่ห์มากขนาดไหน  ใบหน้าคมนั้นมีรอยยิ้มอยู่เสมอทำเอาลูกค้าสาวเคลิ้มไปทีเดียว  ดูได้จากจำนวนลูกค้าวัยรุ่นสาว ๆ ที่คอยเรียกหาและพยายามหว่านเสน่ห์ให้เขา  แต่ดูเขาไม่ยอมรับไมตรีใครกลับบริการลูกค้าด้วยความสุภาพ  ไม่ฉวยโอกาส 
 
‘มิน่าล่ะ ทำแบบนี้พวกนั้นยิ่งคลั่งไปใหญ่  เข้าใจบริหารเสน่ห์นะนายคนซื่อ’ 
       
เมื่อสังเกตบ่อยเข้า   เกรซกลับพบว่านายแคนมีบุคลิกบางอย่างที่ทำให้เธอไม่อาจมองข้าม  ลักษณะท่าทางที่แตกต่างจากคนทั่วไป  มีความมั่นใจ ฉลาด ทันคน  มีบุคลิกเหมือนคนที่ไม่เคยยอมใคร  ถ้าใครมาบอกว่านายแคนเป็นลูกคนรวย  เกรซก็คงจะเชื่อได้ไม่ยาก แต่ข้อมูลในใบสมัครงานแคนเป็นเพียงคนตกงานธรรมดา  เรียนจบแค่ระดับมัธยมปลาย




เจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นมองเพดานอย่างเหนื่อยใจทันทีที่ได้รับรายงานเรื่องแขกทะเลาะกัน 

‘อีกแล้วเหรอ  คืนนี้สามครั้งแล้วนะ’ 

ตั้งแต่นายนั่นมาทำงานก็เกิดเหตุการณ์แขกมีเรื่องกันทุกคืน  และต้นเหตุทั้งหมดมาจากคนคนเดียวคือ  นายแคน!!




แคนถูกตามตัวไปที่ห้องผู้จัดการครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้  เขาอมยิ้ม  แววตาหมายมาดอะไรสักอย่างขณะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องผู้จัดการ

“นี่มันอะไรกันฮะ  นายแคน  นี่ครั้งที่เท่าไรแล้วที่นายเป็นต้นเหตุให้แขกทะเลาะกัน   ชั้นชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ  กรุณาอย่าบริหารเสน่ห์ของนายมากนักได้มั้ย  ช่วยทำตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟธรรมดาเหมือนที่คนอื่นเป็นจะได้หรือเปล่า” 

คุณหนูเกรซแหวใส่เขาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น  ใบหน้า ‘เจ้านาย’ สาวแดงก่ำทีเดียวด้วยความโกรธ  คิ้วเรียวสวยนั้นขมวดมุ่น  แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับมองว่าเธอยังสวยอยู่ดี  เขาแสร้งยิ้มซื่อเหมือนทุกครั้งแล้วหาเรื่องแก้ตัวเหมือนทุกทีที่ถูกเรียกมาโวยเรื่องทำแขกทะเลาะกันเพื่อ ‘แย่ง’ เขา

“เปล่านะครับคุณหนู  เอ้ย!  เจ้านาย  ผมก็ทำหน้าที่ตามปกติครับ”  มีแววขี้เล่นในดวงตาคมที่มองมา

“เมื่อกี้นายเรียกชั้นว่าอะไรนะ”  เกรซกลับสะดุดใจกับคำที่เขาตั้งใจเรียก

“ผมก็เรียกว่าเจ้านายไงครับ”  ตอบแล้วยิ้มโปรยเสน่ห์ให้คุณหนูสักหน่อย

“ไม่ใช่  นายไม่ได้เรียกแบบนั้นตอนแรก  นายเรียกชั้นว่า  เอ่อ  ช่างมันเถอะ”  กลายเป็นเกรซเองที่ลังเล 

‘คงกำลังคิดว่าทำไมเขาถึงเรียกเธอว่าคุณหนู  ใช่ไหมล่ะ’ 


“ชั้นขอเตือนนายเป็นครั้งสุดท้าย     ห้ามนายทำให้แขกทะเลาะกันอีก  ถ้ามีเรื่องอีกนายถูกไล่ออกแน่” 

“โธ่  เจ้านายคร้าบ  ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ  อย่าใจร้ายกับผมเลย  ผมยังต้องหาเลี้ยงครอบครัว  ทั้งอากง  อาม่า  อาอี้  อาตี๋  อาหมวย  ถ้าผมถูกไล่ออก  ครอบครัวผมจะเอาอะไรกินล่ะครับ”   คำพูดคล้ายจะเป็นการขอร้องแต่ใบหน้านั้นกลับดูไม่เหมือนคนที่กำลังเดือดร้อนอะไรเลย 

“อีกอย่างตั้งแต่ผมมาทำงานที่นี่  ผมก็เรียกลูกค้าสาว ๆ ได้เยอะนะครับ  ถึงแม้ว่าแขกจะทะเลาะกันไปบ้าง  เจ้านายก็น่าจะสังเกตเห็นว่าตั้งแต่ผมทำงานมาเนี่ย  ที่นี่คนแน่นทุกคืน   แล้วร้านขายเหล้ามันก็ต้องมีคนเมา  เมาแล้วก็ต้องมีบ้างที่คนจะมีเรื่องกัน  บางทีก็ไม่เกี่ยวกับผมเลย  แต่พอมีเรื่องทีไรก็โทษผมทุกทีทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”  เขาว่าเสียงอ้อน  พลางทำหน้าตาน่าสงสาร

“นายอย่ามาแก้ตัวหน่อยเลย  ไม่ใช่นายคนเดียวหรอกนะที่เรียกลูกค้าได้ ไม่มีนายร้านชั้นก็อยู่ได้  อย่าหลงตัวเองมากนัก”  เจ้านายสาวตอกกลับ

‘โอ้โห  แผนหว่านเสน่ห์ของเขาไม่ได้ผลเหรอเนี่ย จัดมาชุดใหญ่เลยนะคุณหนู’ 


เขารู้เหมือนกันว่าไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่เรียกลูกค้า  ผับยอดนิยมนี้นอกจากจะมีดีเจเปิดแผ่นเจ๋งแล้วยังมีวงดนตรีฝีมือเยี่ยมเป็นจุดขาย  โดยเฉพาะนักร้องนำที่นอกจากจะเสียงดีแล้ว  รูปร่างหน้าตายังเป็นดาราได้สบาย  ขนาดเขาเป็นผู้ชายยังต้องยอมรับเลย 
 
หลังจากโดนคาดโทษไว้โดยเจ้านายคนสวย  แคนก็ทำตัวดีขึ้น  เขาก็ต้องเว้นระยะห่างไว้บ้างเพราะเขาอยากอยู่ให้คุณหนูเกรซปวดหัวไปนาน ๆ นี่     

‘ตัวปัญหา’ ของคุณหนูคิดพลางยิ้มหวานให้ลูกค้า  แต่คราวนี้คงเป็นคราวซวยของเขาที่ลูกค้ามีห่วงติดมา  ห่วงใหญ่เสียด้วย

“เฮ้ย  ยิ้มให้แฟนกูทำไมวะ  มึงอยากมีปัญหาเหรอ” 

“เอ่อ  ปะ เปล่าครับ  ผมยิ้มให้ทุกคนครับคุณ”

“นี่มึงกวนตีนกูเหรอ” 

‘พี่นั่นแหละกวนตีนผม’  แคนคิดในใจ  แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาคิดมันจะฉายชัดออกไปทางสายตา

“เปล๊า  ผมไม่กล้ากวนตีนพี่หรอกคร้าบ  พี่กล้ามโต”  แคนพยายามอดกลั้นความโกรธไว้ ‘ไปเจอกันข้างนอกสิวะ’

“มึงไม่ต้องมาแกล้งชมกู  ตามึงกำลังด่ากูอยู่อย่านึกว่ากูไม่รู้  แห้ง ๆ อย่างมึง  กูชกทีเดียวก็จอด  มึงจะลองมั้ย”  พี่กล้ามโตตะคอกใส่  คว้าคอเสื้อเขาพร้อมกับเงื้อหมัดขึ้น 

แคนหลบหมัดนั้นได้หวุดหวิดแล้วสวนกลับทันที  หมัดลุ่น ๆ ของเขาชกเข้าที่ปลายคางอย่างถนัดถนี่  ลูกค้าร่างใหญ่สลบกลางอากาศ  ล้มลงเสียงดัง   เสียงวี้ดว้ายและเสียงกรีดร้องอย่างตกใจของคนรอบทิศนั้นเรียกสติของแคนให้กลับมา

“ซวยแล้วกู  ไอ้แคน”  แคนอยากจะบ้าตาย 




“นายแคน  นายเก็บของไปได้เลย  ชั้นไล่นายออก!” 

คำประกาศิตฟาดลงมาตรงหน้าหนุ่มเจ้าเสน่ห์หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหนุ่มเจ้าปัญหาไปแล้ว

“แต่ผมโดนหาเรื่องก่อนนะครับ ไอ้หมอนั่นมันชกผมก่อน  ผมก็เลยเผลอชกคืน”  ท้ายประโยคเสียงแคนเบาลง  ก็พอรู้อยู่หรอกว่าช่วงนี้ไม่ควรทำตัวมีปัญหา

“เผลอเหรอ!  นายบอกว่าเผลอชกงั้นเหรอ!  ขนาดทำเค้าสลบเนี่ยนะเผลอของนาย  นี่นายรู้ไหมว่าร้านชั้นจะเสียหายขนาดไหน  ลูกค้าถูกพนักงานเสิร์ฟชกจนสลบแล้วใครจะกล้ามาเที่ยวร้านชั้นอีก  หมดกันชื่อเสียงที่สะสมมา”  เกรซดูคล้ายจะพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ  เธอไม่รู้จะทำยังไงกับนายนี่แล้ว 

“เดี๋ยวผมชดใช้ค่าเสียหายให้ก็ได้ จะได้จบเรื่องกันไป”  แคนพูดอย่างไม่แคร์เท่าไรนัก  ก็เขาถูกหาเรื่องก่อนนี่นา  จ่ายค่าทำขวัญให้ก็ดีเท่าไรแล้ว

“ไหนบอกว่ามีครอบครัวต้องเลี้ยงดูไง  นายจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าทำขวัญให้ลูกค้า” 

“เอ่อ ก็ ก็  เจ้านายก็หักจากเงินเดือนผมไง นะครับ  แต่อย่าไล่ผมออกเลยนะคร้าบ  เจ้านายสุดสวยของแคน” 

“หยุดนะนายแคน  อย่ามาลามปามกับชั้น  นี่เหรอคืออาการสำนึกผิดของนาย  ชั้นไม่ทนอีกแล้ว  ชั้นพูดคำไหนคำนั้น  นายออกไปได้แล้วก่อนที่ชั้นจะให้การ์ดมาโยนนายออกไป”

แคนอยากจะแก้ตัวเพื่อหาทางให้ตัวเองอยู่ต่อ   แต่เจ้านายกลับไม่ยอมฟังอะไรอีก  ใบหน้าสวยตอนนี้บึ้งตึง  พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  มือเรียวนั้นจึงคว้ามือถือขึ้นกดรับและเลิกสนใจเขาอีก  เขาจึงต้องจำใจเดินออกมาจากห้อง

เขารู้ว่าเธอโกรธแต่คราวนี้เขาไม่ผิดนี่  แม้ว่าที่ผ่านมานั่นเขาไม่เถียงหรอกว่าเป็นเพราะเขา  ก็เขาตั้งใจ ‘สร้าง’ปัญหาขึ้นมาเอง  แล้วคราวนี้เขาจะทำอย่างไรดี  แคนเริ่มจะเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว 

เขากำลังสนุก
 
เขาอยากอยู่กวนใจคุณหนูต่อ




“ว่าไงนะพีท!  เธอถูกลักพาตัวเหรอ ฮื่อ แล้วเป็นไงมั่ง....” 

เสียงเกรซกลับเครียดกว่าเดิมเมื่อได้ยินปลายสาย   เธอปรายตามองเหมือนจะไล่ให้เขารีบออกไปจากห้องเสียที   

“บ้านนายใช้การ์ดบริษัทไหนเนี่ย  แย่ชะมัด   ปล่อยให้คุณชายถูกทำร้ายได้ไงเนี่ย    ตอนนี้โอเคแล้วใช่ไหม   เฮ้อ   แล้วชั้นจะทำยังไง นายไม่อยู่แล้วใครจะร้องเพลงล่ะ  หรือจะให้พี่ร็อกกี้ร้องแทนดีมั้ย” 

เสียงคุณหนูเกรซดังแว่วออกมานอกห้องที่แคนแอบยืนฟังอยู่  ตอนแรกเขาก็ไม่อยากจะรู้หรอก  แต่เพราะชื่อนักร้องนำของวงที่สนิทสนมกับเจ้านายเป็นพิเศษทำให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของเขาถูกกระตุ้น   

‘ดีล่ะ’
แคนยิ้มให้กับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมา

‘คุณไล่ผมไปไหนไม่ได้หรอกคุณหนูเกรซของผม หึ หึ’




หลังจากที่เขาถูกคุณหนูไล่ออก  เขาก็เดินลงมาเห็นพี่ร็อกกี้เข้าห้องน้ำโดยบังเอิญ   แคนเดินตามเข้าไปทันทีพร้อมกับร้องเพลงเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจ  พี่ร็อกกี้โผล่หน้าออกจากห้องน้ำด้านในทำตาโตเหมือนเขาคือพระมาโปรด

“อ้าว  แคน  เสียงนายเหรอเนี่ย”

“ครับพี่  ทำไมครับหรือว่าผมร้องห่วย โทษทีครับ”  แคนตีหน้าซื่ออย่างคล่องแคล่ว  ก็ทำมาตั้งนานแล้ว

“เฮ้ย  เปล่า ๆ เสียงใช้ได้นี่  ไม่รู้นะนี่ว่าร้องเพลงได้ด้วย  พอดีเลย นี่ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม” 




“ไม่ได้!!” 

“พี่ร็อกกี้หาคนอื่นเถอะค่ะ  เกรซไม่ยอมให้นายแคนร้องเพลงแทนแน่  นายแคนอาจร้องเพลงได้ในห้องน้ำ  แต่เขาไม่เคยร้องกับวงมาก่อนอาจจะพลาดก็ได้  อีกอย่างเกรซไล่เขาออกแล้วด้วย” 

คุณหนูเกรซแทบจะร้องกรี๊ดทีเดียว  ตอนที่เห็นพี่ร็อกกี้ลากเขาไปหลังเวทีก่อนจะประกาศว่าหาคนร้องเพลงแทนได้แล้ว    ในขณะที่ทุกคนในวงกำลังเครียดเพราะนักร้องนำไม่มา

“โธ่ คุณเกรซครับ  เราจะหาใครได้ละครับ  ผมโทรตามเพื่อนทุกคนหมดแล้วไม่มีใครว่างสักคน  พวกผมแต่ละคนก็ร้องห่วยคุณเกรซก็รู้  อีกสิบนาทีก็ต้องเล่นแล้ว  เราเลทมาสี่สิบห้านาทีแล้วนะครับ  ให้นายแคนร้องเถอะครับ  ผมรับรองว่านายแคนทำได้แน่   อีกอย่างนายนี่ก็หน้าตาดี  สาว ๆ คงไม่โวยกันมากถ้าเขาไม่เห็นพีท”   

สมาชิกในวงเริ่มเห็นด้วยกับพี่ร็อกกี้  นาทีนี้ใครจะร้องก็คงไม่มีทางเลือกแล้ว  แต่แคนดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้
แคนยิ้ม  หันหน้าไปมองคุณเกรซอย่างเป็นต่อ 

‘ไม่ต้องกลัวผมจะทำวงล่มหรอกครับ  ผมน่ะ  อดีตนักร้องนำของวงมหาวิทยาลัยเชียวนะ’  เขาได้แต่คิดแต่เขาพูดไม่ได้  ขืนพูดก็ความแตกน่ะสิ

เกรซกัดริมฝีปากคิดหนัก  เธอไม่อยากเห็นหน้านายแคนอีกแม้แต่นาทีเดียว  แต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกแล้ว

“ก็ได้ค่ะ  แค่คืนนี้เท่านั้นนะคะ  พรุ่งนี้เกรซจะหาคนอื่นมา” 

คุณหนูจำใจตกลงในที่สุด  ทำให้แคนที่จับตามองอยู่แล้วยิ้ม  แววตาเจ้าเล่ห์

“ผมไม่ร้องดีกว่า”   แคนที่ยืนเงียบ ๆ โพล่งขึ้นมา   

“เฮ้ย!!!!”  เสียงคนทั้งวงร้องประสานขึ้นพร้อมกัน

พี่ร็อกกี้ตาเหลือก  ‘ก็เมื่อกี้มันยังตกลงว่าจะร้อง?’




เกรซแทบจะกระโดดบีบคอเขาทีเดียว  เมื่อเขาขอคุยกับเจ้านายโดยลำพังแล้วยื่นข้อเสนอบางอย่างแลกกับการขึ้นไปร้องเพลงแทนพีท

“นาย   ว่า   อะไร   นะ!!”   

เจ้านายคนสวยของเขากัดฟันพูดแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก

“ผมบอกว่าถ้าให้ผมร้องเพลง  คุณต้องให้ผมกลับมาทำงานที่นี่อีก” 

“มันจะมากไปแล้วนะนายแคน  นี่นายจะแกล้งชั้นใช่มั้ย .....” 

เกรซคงจะต่อว่าอะไรต่อไปอีกยืดยาว  ถ้าพี่ร็อกกี้ไม่เดินเข้ามาเร่งให้แคนรีบขึ้นเวทีเพราะหน้าเวทีเริ่มโวยวายที่ไม่เห็นวงดนตรีขึ้นสักที   

“ผมถือว่าคุณตกลงแล้วกัน  แล้วผมจะมาทวงสัญญานะ” แคนถือโอกาสที่พี่ร็อกกี้เข้ามาขัดจังหวะ  มัดมือชกเจ้านายคนสวยให้ตกลง  เขาเดินขึ้นเวทีทันที




เกรซกัดริมฝีปากอย่างขัดใจเมื่อเห็นนายแคนขึ้นไปร้องเพลง  แล้วนายนั่นทำได้ดีเสียด้วย  เสียงกรี๊ดถล่มทลายตอนนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดี 

เสียงร้องนั้นทั้งนุ่มนวลและอบอุ่นเมื่อแคนร้องเพลงช้า  ใบหน้าคมมีรอยยิ้มสร้างบรรยากาศสบาย ๆ เหมือนคนเจนเวที  ทำให้คนดูหลายคนร้องเพลงคลอตาม  เมื่อวงเปลี่ยนไปเล่นเพลงที่มีจังหวะ  แคนก็ทำให้ผู้คนร่วมขยับไปกับจังหวะสนุกสนาน  แม้ว่าจะไม่ได้เต้นเก่งเหมือนพีท  แต่เขาก็ทำให้ผู้ชมสนุกสนานได้   และเมื่อเขาลงจากเวทีแคนก็ทำให้กลุ่มสาว ๆ แทบคลั่งไปกับเสียงร้องและเสน่ห์เฉพาะตัวของเขา
 
เกรซหมุนตัวกลับขึ้นไปที่ห้องผู้จัดการทันทีที่การแสดงในคืนนี้จบลงด้วยดี   




คืนถัดมา เกรซพยายามโทรหาพี่โดมเพื่อนของพีทเพื่อขอร้องให้มาร้องเพลงแทน  แต่พี่โดมมีร้านที่ร้องประจำอยู่แล้ว  เธอจึงต้องจำใจให้นายแคนร้องเพลงแทนอีกคืน

“อย่าลืมเรื่องที่เราตกลงกันนะครับคุณหนู” 

นายแคนเดินเข้ามาพูดแทบกระซิบ จ้องมองเธอด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับแฝงความนัยอะไรบางอย่างที่ทำให้เกรซขนลุก เธออยากจะตะโกนไล่นายแคนออกจากร้านไปซะแต่เธอทำไม่ได้  เมื่อแขกในร้านกำลังเรียกร้องเขาอยู่หน้าเวที

เกือบตีสองแล้วเมื่อเกรซเดินออกจากร้าน   หลังจากใช้เวลาตรวจบัญชีย้อนหลังก่อนส่งฝ่ายตรวจสอบบัญชี  กว่าจะรู้ตัวก็ได้เวลาร้านปิด  พนักงานส่วนใหญ่กลับหมดแล้ว   เกรซออกจากหลังร้านตรงไปที่จอดรถประจำ

ชายหนุ่มที่ยืนกอดอกพิงกำแพงหลังร้านเหมือนรอใครอยู่ทำให้เธอชะงัก  ฝ่ายคนรอนั้นเมื่อเห็นเกรซเดินมาจึงคลายมือลงแล้วเดินเข้ามาใกล้

“นายแคน นายมาทำอะไรตรงนี้”
 
ทำไมไม่รู้  เกรซรู้สึกหวั่นใจกับท่าทางของนายแคน  ครั้งก่อนนายนั่นทำตัวเป็นเหมือนลูกน้องทั่วไป   คือเชื่อฟังคำสั่ง  แต่ตอนนี้เกรซรู้สึกว่าท่าทีเขาเปลี่ยนไป  ดูมีความมั่นใจตัวเอง  แฝงอำนาจอย่างประหลาด  ที่สำคัญเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกคาม  และตอนนี้เธอยืนอยู่คนเดียว

“ผมมาทวงสัญญา” 

“สัญญาอะไร”

“ชั้นไม่ได้ตกลงอะไรกับนาย  นายขึ้นไปร้องเพลงเองชั้นยังไม่ได้ตกลงสักคำ  ชั้นให้ค่าร้องเพลงนายแล้วนายไม่ต้องมาทำงานที่นี่อีก”

คุณหนูเกรซปฏิเสธเสียงแข็ง  แต่กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อร่างสูงของนายแคนก้าวมาหยุดยืนใกล้มากเกินไป

“ผมคิดอยู่แล้วว่าคุณต้องมาไม้นี้”  แคนว่าแล้วยิ้มประชด 

เขาคิดอยู่แล้ว  คุณหนูดูไม่พอใจเลยที่ต้องยอมให้เขาร้องเพลงแทน  สงสัยจะเกลียดเขามาก 
 
‘อืม  ทำให้เกลียดแล้ว  จะทำให้รักได้ไหมนะ’

“นาย  ถอยไปไกล ๆ เลย  ชั้นจะกลับบ้าน”   

แววตาแพรวพราวที่มองมาทำเอาเธอใจสั่น  ‘นายแคนคิดจะทำอะไรกันแน่?’

“ผมต้องการกลับมาทำงานที่นี่ต่อ”  ไม่พูดเปล่าแคนยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้  ทำให้คุณหนูถอยกรูดทีเดียว 

“ไว้พูดกันวันอื่น  ชั้นจะกลับแล้ว”   เกรซแก้ปัญหาไปก่อน  เธอเดินเลี่ยงออกมา  แต่ยังไม่ทันก้าวผ่านกลับถูกดึงแขนไว้

“เอ๊ะ  นายทำอะไร  ปล่อยนะ”

“ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นลูกจ้างคุณแล้ว  ผมไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งคุณแต่ถ้าคุณอยากสั่งผมได้ละก้อ   รับผมมาทำงานเหมือนเดิมสิ”  แคนยิ่งกระชับมือแน่นขึ้น

“ปล่อย!”  สาวน้อยเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว   ไม่ว่านายแคนจะเป็นใครก็ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับเธอ

“ช่วยด้วยค่ะ  ช่วยด้วย”  จู่ ๆ เกรซก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ

“ชะ อื้อ อ่อย  อะ อาอา”  เสียงตะโกนกลืนหายไปเพราะถูกมือใหญ่ของนายแคนปิดไว้  เกรซพยายามดิ้นให้หลุดแต่ไม่เป็นผล   นายแคนก้มหน้าเข้ามาจนใกล้  จมูกทั้งคู่แทบจะชนกันทำให้เกรซตาโต

“ตะโกนอีกที  โดนจูบแน่”   

สายตาเกรซฉายแววโกรธจัดแต่เธอทำอะไรไม่ได้เมื่อถูกปิดปากอยู่  เมื่อเห็นว่าเธอเงียบไปแล้วมือที่ปิดปากอยู่จึงปล่อยลง  เกรซจึงผลักอกนายแคนแล้วหมุนตัวเดินหนีทันที  แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวกลับพบชายสามคนยืนขวางไว้แทน

“เมื่อกี้ตะโกนให้คนช่วยใช่ไหมคุณผู้หญิง”

ชายวัยกลางคน หนึ่งในสามเอ่ยถามพร้อมกับทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย ตอนแรกที่ได้ยินเสียงก็กะจะมาดูเหตุการณ์   แต่สาวสวยในชุดเกาะอกสุดเซ็กซี่ที่เห็นทำให้พวกมันเปลี่ยนใจ  ส่วนคนที่เหลือก็มองมาด้วยแววตาหื่นไม่ปิดบัง   

“เอ่อ  มะ  ไม่มีอะไรแล้วค่ะ”  เกรซยกกระเป๋าถือขึ้นมากอดไว้โดยอัตโนมัติ  ‘บ้าที่สุด  วันนี้เธอก็แต่งตัวรัดรูปซะด้วย’

“แต่พี่ว่ามีนะ น้องสาว”  ผู้ชายหน้าเหี้ยมคนเดิมยังคงจ้องมองเธอไม่วางตา 

“ผมว่าพวกคุณเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ  เมื่อกี้เราแค่ทะเลาะกันนิดหน่อย  ตอนนี้เราตกลงกันได้แล้วใช่มั้ยจ๊ะ ที่รัก”  แคนก้าวเข้ามายืนเคียงข้างเกรซพร้อมกับเอามือโอบไหล่เปลือยของเธอไว้   

เกรซกัดฟัน   ทำทีเป็นโอนอ่อนผ่อนตามคำอ้างของนายแคน  ‘รอให้ไอ้สามคนนี่ไปก่อนเถอะ นายโดนดีแน่’

“กูว่าเขาจะไม่ได้เป็นแฟนมึงต่อแล้วล่ะเพราะน้องสาวคนสวยจะต้องไปกับพวกกู”   

สิ้นสุดคำพูดนั้น  หนึ่งในพวกมันก็ตรงเข้ามาผลักแคนทันที  แต่แคนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว  เขายกเท้าถีบเข้าที่หน้าท้อง  พวกมันที่เหลือเห็นดังนั้นจึงพุ่งหมัดใส่บ้าง   ชายหนุ่มหลบได้หวุดหวิด   

คราวนี้อารมณ์โกรธเริ่มมาเยือนแคนบ้าง  ใช้เวลาเพียงไม่นานนักเลงทั้งสามคนกลับถูกแคนจัดการจนหมอบลงไปนอนกองอยู่บนพื้นร้องเสียงโอดโอย   เกรซที่ยืนมองอยู่แทบไม่อยากเชื่อสายตา 

นายแคนจัดการสามคนนั่นเพียงคนเดียว!

“ไปเร็วสิคุณ” แคนคว้าแขนเกรซไว้แล้วพาวิ่งออกจากบริเวณนั้นทันที  แต่วิ่งไปได้ไม่ไกล  เกรซที่วิ่งทั้งรองเท้าส้นสูงก็ล้มลง  เธอจับที่ข้อเท้าตัวเอง  เจ็บน้ำตาแทบร่วง

“คุณ! เจ็บมากไหม”  แคนถามน้ำเสียงห่วงใยพลางก้มลงจับข้อเท้าของเกรซเพื่อดูอาการ 

“เจ็บสิ  ถามได้  เพราะนายนั่นแหละ!” 

คุณหนูเกรซตวาดแว้ดใส่คนที่ถามไม่คิด  ทั้งเจ็บทั้งโมโห   แต่แคนไม่สนใจ  เขากำลังละล้าละลังเพราะกลัวว่าพวกมันจะตามมาอีก  ในที่สุดจึงตัดสินใจอุ้มเกรซขึ้นมาในอ้อมแขน   เสียงคุณหนูร้องกรี๊ดเพราะคาดไม่ถึง

“นายจะทำบ้าอะไร  ปล่อยชั้นลงนะ”   เกรซโวยวายแต่แคนไม่ฟังเสียงแล้ว  เขาอุ้มเธอไว้แล้วเดินอย่างเร่งรีบไปที่รถ

“ส่งกุญแจมาสิ  เดี๋ยวผมขับให้  คุณขับไม่ไหวหรอก”   

เมื่อมาถึงรถ   แคนวางร่างของเกรซให้ยืนด้วยขาข้างเดียวแต่ยังช่วยประคองไว้แล้วหันมาเร่งให้เกรซรีบส่งกุญแจให้เขา  โดยไม่สนใจอาการไม่พอใจของเกรซที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน 

เกรซกำลังคิดหนัก   เธอเจ็บข้อเท้าขวามากจนคิดว่าคงขับรถเองไม่ไหวแน่  แต่เธอก็ไม่อยากรับความช่วยเหลือจากนายแคนให้นายนี่เอามาเป็นข้อต่อรองกับเธออีก

ขณะที่กำลังลังเลตัดสินใจไม่ถูกนั่นเอง  เสียงตะโกนที่ดังขึ้นก็เร่งให้เธอต้องรีบตัดสินใจ  เพราะพวกนักเลงสามคนที่ถูกแคนจัดการเมิ่อครู่กำลังวิ่งตรงมาทางรถพวกเขาอย่างเอาเรื่อง 

“เฮ้ย มันอยู่นั่น” 

เกรซไม่มีเวลาแล้วจึงโยนกุญแจให้นายแคนทันที  แคนขับรถสปอร์ตคันหรูปราดออกไปอย่างฉิวเฉียดก่อนที่พวกอันธพาลทั้งหลายจะตามทัน 




“คุณไม่ควรกลับบ้านดึกดื่นขนาดนี้นะมันอันตราย  แล้วแต่งตัวแบบนี้อีก ไม่รู้รึไงว่ามัน..เอ่อ...”  แคนกลับเงียบไปเหมือนหาคำพูดอะไรไม่ถูก  ตอนนี้เขาขับรถออกจากโซน B อันแสนอันตราย  มุ่งหน้ากลับเข้าสู่ใจกลางเมือง

“มันเรื่องอะไรของนายล่ะ  ชั้นจะทำอะไร  กลับกี่โมง  แต่งตัวยังไงมันก็เรื่องของชั้น  ไม่เกี่ยวกับนาย....” 

เกรซหัวเสียอย่างมาก  ทั้งเรื่องที่นายแคนมาทวงสัญญาที่เธอไม่ได้ตกลงไว้  ทั้งถูกพวกอันธพาลนั่นแทะโลมแล้วต้องมาเจ็บตัว   ถูกนายแคนต่อว่า เธอยังคงโวยวายอยู่ในรถอีกยืดยาวซึ่งแคนก็ไม่ตอบโต้อะไรอีก  จนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาลเกรซจึงรู้ตัว  หันมามองหน้าคนขับอย่างประหลาดใจ

“ให้หมอดูข้อเท้าคุณหน่อยนะ  เผื่อว่าจะแตกหักอะไรตรงไหนจะได้รักษาทัน”  คนที่ขับรถมาเงียบ ๆ หันมาเอ่ยกับเกรซ  น้ำเสียงอ้อนวอน

‘บ้าชะมัด ทำไมนายแคนต้องทำเสียงแบบนั้นด้วย’  เกรซสะบัดหน้าหันไปมองภายนอก  แววตาและน้ำเสียงแบบนั้นมันทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ 




หลังจากตรวจร่างกายแล้วหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะเกรซแค่ข้อเท้าเคล็ดเล็กน้อย  ทั้งคู่กลับเข้ามาอยู่ในรถอีกครั้ง   
“นายเอาเงินที่ไหนจ่ายค่ายา  ไหนบอกว่าที่บ้านลำบากต้องเลี้ยงอากง  อาม่าอะไรไง”  เกรซที่นั่งมาเอ่ยถามเหมือนคนเพิ่งนึกอะไรได้

‘ซวยล่ะสิ  ไอ้แคน’ 


โรงพยาบาลที่เขาพาคุณหนูไป เป็นโรงพยาบาลเอกชนสำหรับผู้มีอันจะกินเท่านั้น   ค่าบริการทางการแพทย์แพงชนิดที่เด็กเสิร์ฟธรรมดาอย่าง ‘นายแคน’ ต้องทำงานถึงสามเดือนกว่าจะพอค่ายา  แต่เขาดันลืมตัวพาคุณหนูไป

‘ก็คนมันเป็นห่วงนี่’

“แล้วนายรู้ได้ไงว่าบ้านชั้นไปทางนี้”

แล้วเขาก็ลืมคิดไปเลยว่าคุณหนูต้องสงสัยที่เขารู้จักบ้าน  ขนาดคนที่ร้านยังไม่มีใครรู้ว่าคุณเกรซน่ะ   ระดับลูกคุณหนูหมื่นล้าน   เขาแก้ตัวอะไรไม่ทันแล้วเลยทำเฉย  พอดีกับที่เขาขับมาถึงจุดหมายพอดี  รถสปอร์ตเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่โถงหน้าบ้านขนาดใหญ่สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลักอย่างสวยงาม 

แคนหันไปมองเกรซที่ทำหน้านิ่ง ๆ จับจ้องมาที่เขาอยู่นานแล้ว

“ผมส่งคุณแค่นี้นะ  พรุ่งนี้ผมจะไปทำงานเหมือนเดิม” ว่าแล้วเขาก็ผลุนผลันเปิดประตูลงไปทันที

“นี่นายแคน จะไปไหน  ตอบคำถามมาเดี๋ยวนี้นะ  ชั้นบอกให้หยุด”

เกรซตะโกนสั่งให้นายแคนหยุดเพื่อตอบคำถามของเธอพลางพยายามลงจากรถอย่างทุลักทุเลเพราะเจ็บข้อเท้า 

‘หยุดได้ไง ตอนนี้ผมต้องหนีก่อนสิคร้าบ แค่นี้คุณหนูคงสงสัยเต็มที่แล้ว  เอาไว้ผมจะบอกคุณหนูทุกอย่างละกัน  แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้’   

แคนก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไม่ยอมหยุดตามคำสั่งของเกรซที่ตะโกนไล่หลังมา   เขาเดินออกมาจากรั้วสูงใหญ่แล้วตรงไปขึ้นรถที่มีคนเปิดประตูรออยู่แล้ว   

‘รับรองว่าคุณหนูจะคาดไม่ถึงทีเดียว!’




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2014 19:35:04 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
8. เจ้าของร้านกับเด็กเสิร์ฟ (2)





นายแคนโผล่มาทำงานอย่างที่ลั่นวาจาไว้  เกรซไล่ยังไงนายนั่นก็ไม่ยอมไป

“ผมรับรองน่าว่าจะไม่ปล่อยให้ใครมีเรื่องกันเพราะแย่งผมอีก”

แววตาจริงจังบนใบหน้าคมยืนยันกับเธอ  เวลานี้พวกเขายืนอยู่บริเวณหน้าห้องเก็บของ   หลังจากเกรซเดินตามหาเขาเสียทั่วร้านจนพบนายแคนที่เข้ามาเอาไวน์  เกรซต้องการนำเงินค่ายามาคืนและบอกให้เขากลับบ้านไป

“งั้นนายก็อธิบายมาสิว่านายเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ายา   มันแพงขนาดนั้น”

เกรซอยากจะถามด้วยว่านายแคนรู้จักบ้านเธอได้ยังไง  แล้วท่าทางที่นายนั่นขับรถของเธออีก  มันดูเหมือนคนที่คุ้นเคยกับรถหรูพวกนี้  เหมือนคนที่ขับรถพวกนี้เป็นประจำจึงไม่รู้สึกงงกับปุ่มหรืออุปกรณ์ไฮเทคต่าง ๆ ในรถ

“เอ่อ  ผม  ไม่ได้จ่ายค่ายาหรอกครับคุณเกรซ”  คำตอบนั้นทำให้เกรซขมวดคิ้ว

“ผม....ผมไปบอกเขาว่าให้ส่งบิลไปเก็บที่บ้านคุณเกรซแทน  เอ่อ พวกนั้นก็บ้านะครับ  เขาไม่ว่าอะไรเลยแค่พยักหน้าเฉย ๆ   ผมก็เลยเดินออกมา  แค่นี้แหละ”  สมองของเขาทำงานหนักเพื่อหาข้ออ้างมาตอบคุณหนูผู้เฉลียวฉลาด
 
‘ขอโทษนะคุณหนู ผมจำเป็นต้องโกหกจริง ๆ’

“อะไรนะ นายทำยังงั้นหรือ”  กลับเป็นคุณหนูที่เป็นฝ่ายงุนงงบ้าง   ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  คนที่โรงพยาบาลต้องรู้จักเธออยู่แล้วเพราะที่นั่นเป็นโรงพยาบาลที่พ่อเธอมีหุ้นอยู่

“แล้วทำไมนายรู้จักบ้านชั้น”  คราวนี้มาปัญหาต่อไป 

“คนที่นี่ไม่มีใครรู้จักว่าชั้นเป็นใคร   พวกเขารู้แค่ว่าชั้นเป็นเจ้าของที่นี่เท่านั้น  นายแคน  นายเป็นใครกันแน่!” 

ดวงตากลมโตของเกรซเต็มไปความสงสัยเต็มเปี่ยม  ถ้านายแคนไม่มีคำตอบดี ๆ ให้เธอ  นายนี่กระเด็นออกจากที่นี่แน่

“เอ่อ  ผม” 

‘เอาไงดีวะแคน  ไม่ได้เตรียมคำตอบมาซะด้วย’

“ว่าไงล่ะ  ตอบมาสิ”  คุณหนูถามกลับมาเสียงเข้มทีเดียว

“ถ้านายไม่ตอบ  ชั้นจะให้การ์ดมาจัดการนาย  แล้วนายก็ไม่ต้องมาให้ชั้นเห็นหน้าที่นี่อีกเพราะมันไม่ปลอดภัยต่อชั้น” 

คนที่มาทำงานที่นี่ถูกตรวจสอบประวัติโดยละเอียดทุกคน    เกรซก็คล้ายกับพีทที่ต้องมีการ์ดคอยดูแลความปลอดภัยตลอดเวลา  และในบรรดาเด็กเสิร์ฟครึ่งหนึ่งในร้านก็เป็นบอดี้การ์ดของเธอและพีททั้งนั้น

“โธ่ คุณหนูครับ  ผมแค่บังเอิญขับมั่ว ๆ ไปครับ”  คำถามที่เร่งรัดเอาคำตอบนั้นทำให้แคนคิดอะไรไม่ทัน 

“โกหก!  ออกไปซะ  ชั้นไม่ต้องการเห็นหน้านายอีก”  เกรซโกรธกับคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นนั้นพร้อมกับความเคลือบแคลงใจอย่างมาก 

‘นายนี่เป็นใครกัน ไม่น่าไว้ใจสักนิด’

เกรซคว้าโทรศัพท์มากดหาการ์ดที่ประจำหน้าร้านทันที

“ส่งคนมาหลังร้านสองคน  ด่วนที่สุด”

สิ้นเสียงเกรซทำให้แคนที่ยืนฟังอยู่ตาเหลือก 

‘เฮ้ยคุณหนู  ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ  เขายังอยากอยู่ต่อนี่  ทำไงดีล่ะ’

“โธ่ คุณหนู เอ๊ย คุณเกรซให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะนะครับ  ผมอยากทำงานที่นี่ต่อนี่นา”  แคนตัดสินใจเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“นายเป็นใครล่ะ  ไหนบอกมาสิ”  คุณหนูยังถามคำถาม  ใบหน้าสวยเคร่งเครียดติดจะรำคาญที่เขายังอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบคำถาม
เสียงคนเดินลงบันไดใกล้เข้ามา

“คุณหนูครับ พวกผมมาแล้ว คุณหนูอยู่ตรงไหนครับ”  เสียงการ์ดคนหนึ่งร้องถามเมื่อเดินเข้ามาใกล้บริเวณที่พวกเขายืนอยู่

“ชะ อ่ะ  อู้ ๆ  อืม” 

แคนไม่มีเวลาคิดอะไร  เขาเข้าไปคว้าตัวเกรซพร้อมกับปิดปากเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อไม่ให้เธอร้องบอกการ์ดว่าพวกเขาอยู่ที่นี่  มืออีกข้างโอบเอวคุณหนูพลางดันเข้าไปในห้องเก็บของที่เปิดประตูทิ้งไว้ 

เกรซตกใจที่ถูกจู่โจม  เธอพยายามผลักนายแคนออกแต่ไม่เป็นผล  นายแคนยกมือมาปิดปากเธอไว้  ร่างที่สูงกว่าอุ้มเธอเข้ามาในสุดของห้องเก็บของแล้วเบียดเข้ามาชิดจนหลังของเกรซชนกับผนังห้อง  ใกล้จนลมหายใจปะทะกัน

“อยู่นิ่ง ๆ ก่อน” 

น้ำเสียงดุนั้นบอกสาวน้อยแผ่วเบา  แคนหันไปมองทางประตูห้องที่แง้มไว้เล็กน้อย  รอจนกระทั่งการ์ดสองคนเดินกลับไปแล้วจึงหันมาหาคุณหนูที่ดิ้นรนในอ้อมแขนอย่างหนัก   แต่เขารวบตัวเธอไว้แน่นหนาทำให้เธอทำอะไรไม่ได้มากนัก จะร้องตะโกนก็มีแต่เสียงอู้อี้ออกมาเท่านั้น

ตอนนี้เขาอยู่แนบชิดกับคุณหนูมาก   มากจนได้กลิ่นน้ำหอมของเกรซลอยเข้ามา  จนเขาเผลอสูดกลิ่นอันหอมหวานนั้นเข้าไปเต็มปอด  ร่างที่เขากอดนุ่มนิ่มจนไม่อยากจะปล่อยมือเลย   มือที่ประกบใบหน้าเล็กอยู่นั้นเสียดสีกับริมฝีปากนุ่มทำให้รู้สึกร้อนวูบในอุ้งมือเมื่อคุณหนูพยายามส่ายหน้าให้หลุดจากมือเขาที่ปิดอยู่

เกรซไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง   เธอพยายามผลักคนที่เบียดชิดให้ออกไป  รู้สึกวูบวาบไปตามเนื้อตัวที่อยู่ ๆ ก็ถูกกอด

“อยู่นิ่ง ๆ สิ”
 
เขาออกคำสั่ง  ทำให้เกรซหันมาจ้องเขาดวงตาวาวด้วยความโกรธ แต่เมื่อดวงตาของทั้งคู่สบกัน   ทุกสิ่งทุกอย่างกลับหยุดนิ่ง 
แคนลืมเรื่องทุกอย่างไปหมดสิ้น  ดวงตากลมโตของเกรซทำให้เขานิ่งงัน   แม้จะจ้องมองเขาด้วยความโกรธแต่เขากลับรู้สึกว่าอยากมองตาเธออยู่แบบนี้  ดวงตาที่มองเขาอย่างสงสัยตลอดเวลาที่เขาทำงานที่นี่  ทำให้เขาต้องหาเรื่องปวดหัวมาให้คุณหนูบ่อย ๆ เพราะอยากให้คุณหนูมองเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้าง

ความรู้สึกเป็นเจ้าของคนในอ้อมแขนนี้ทำให้แคนเผลอลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป  ลืมว่าตัวเองเป็นใคร  อยู่ในสถานะใด  เขาปล่อยมือลง  สอดนิ้วไปตามเส้นผมนุ่มเลื่อนไปที่ท้ายทอยแล้วบังคับให้เกรซเงยหน้าขึ้น  ขณะที่ก้มหน้าลงมา 

“อ๊ะ”

เกรซร้องได้แค่นั้นกลับเงียบไปเพราะริมฝีปากที่กดลงมา  สัมผัสนุ่มนวลที่บดคลึงอยู่ทำให้เธอตกตะลึง  นิ่งไปนานจนกระทั่งแคนถอนริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง 

“นาย นายทำบ้าอะไร!”

เมื่อสติกลับมา  เกรซจึงรู้ตัว  น้ำตากลบตาอย่างรวดเร็ว  เธอผลักแคนออกแล้ววิ่งออกจากห้องทันที 

แคนที่ถูกผลักออกเพิ่งรู้สึกตัวเช่นกัน   เขาหันกลับเพื่อจะฉุดเธอไว้แต่ไม่ทัน  เกรซวิ่งออกจากห้องไปแล้ว   เสียงร้องอย่างตกใจของเกรซที่ออกไปชนกับใครอีกคนข้างนอกทำให้เขานิ่งค้าง

“เฮ้  เกรซร้องไห้ทำไมเนี่ย  เป็นอะไรรึเปล่า”  เสียงนักร้องสุดหล่อประจำร้านทักคุณหนูของเขาด้านนอก 

แคนนิ่งไปอย่างเจ็บปวดไม่รู้สาเหตุ  เขากำมือแน่น  เสียงคนทั้งคู่ที่เดินห่างออกไปแล้ว  ทิ้งให้เขายืนอยู่ลำพัง

“โธ่โว้ย!”  นี่เขาทำอะไรลงไป  แคนนึกถึงหน้าคุณหนูที่น้ำตากลบอย่างเจ็บใจตัวเอง   เขาไม่น่าลืมตัวเลย 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2014 19:36:29 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
 ขอบคุณนักเขียนค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
9. อย่ามายุ่ง


สายมากแล้วตอนที่พีทรู้สึกตัว   เขาพลิกตัวจากที่นอนตะแคงมานอนหงาย  ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก  ความเจ็บปวดที่ขมับเบาบางลงแล้วแต่ยังรู้สึกเพลียอยู่มาก  ลำคอเขาแห้งผาก  ยกมือขึ้นแตะหน้าผากตนเอง  เขายังคงมีไข้อยู่  เมื่อวานคงจะออกแรงมากไปเลยทำให้ไข้กลับขึ้นมาอีก  คิดถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็เจ็บใจที่นายหมีเข้ามาในห้องเขาโดยพลการ  และยังเห็นเขาในสภาพที่อ่อนแอที่สุด  เขาไม่มีแรงจะยกมือขึ้นด้วยซ้ำเลยต้องปล่อยให้นายนั่นจัดการอะไรตามใจชอบ 

พีทหันไปมองรูปในกรอบไม้ที่วางอยู่ที่หัวเตียง   ภาพเด็กชายสองคนในรูปทำให้เขาคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาโมโหนายนั่น  ที่มาเรียกเขาด้วยชื่อเล่นอย่างถือสนิทแล้วยังเสนอตัวเป็น ‘พี่ชาย’  อีกด้วย   

เขาไม่มีพี่ชายแล้ว  ไม่ได้อยากมีด้วย...

ทั้งที่คิดแบบนี้แต่ทำไมไม่รู้พีทกลับรู้สึกโหยหา  ยิ่งปฏิเสธเขายิ่งคิดถึง  ตั้งแต่นายหมีปรากฏตัว  ความทรงจำตอนเด็กเหมือนถูกกระตุ้นให้ย้อนคืนกลับมาอีก  ใบหน้านายนั่นมีส่วนคล้ายคนในรูปอย่างมาก  ยิ่งทำให้เขานึกถึงคนบางคนตลอดเวลา  บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าพี่ฮั่นกลับมาแล้วเวลาที่เขาเผลอปล่อยความคิดให้ล่องลอย

‘หวังว่านายนั่นคงไม่ได้มาเห็นหรอกนะ’ 

พีทรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าเมื่อคิดถึงตรงนี้  ก็ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแสดงออกว่ายังโกรธและไม่ต้องการเจอพี่ฮั่นอีก  แต่เขายังเก็บรูปนี้ไว้ที่ข้างเตียงเสมอและหยิบมาดูทุกครั้งที่คิดถึง

“ตื่นแล้วเหรอ” 

จู่ ๆ คนที่เขากำลังคิดถึงก็โผล่เข้ามาในห้อง  ในมือมีถาดใส่ชามเข้ามาด้วย

“นี่นาย เข้ามาทำไม ออก..ไป!” เสียงแหบแห้งของเจ้าของห้องเอ่ยปากไล่ทันทีที่เห็นหน้านายหมี  คนป่วยพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก   

นายหมีไม่สนใจคำที่เจ้าของห้องเอ่ยไล่  ไล่ยังไงเขาไม่ยอมไปหรอก ร่างสูงใหญ่เดินนำถาดอาหารไปวางที่โต๊ะข้างเตียงเอ่ยถาม

“เป็นไงบ้าง  ดีขึ้นรึยัง  ผมเอาซุปมาให้”  คนพูดสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นมาถึงศอกเดินมาหยุดที่ริมเตียงใหญ่ 

“ออก ออกไป”  พีทยังยืนยันด้วยเสียงแหบพร่า  ใบหน้าเหยเก   เขากลับมาปวดหัวอีกแล้ว  ร่างที่นั่งอยู่โอนเอนจะพับอยู่รอมร่อ

นายหมีเอื้อมมือจะเข้าไปช่วยประคองไว้  กลับถูกปัดออกอย่างแรง  เขาชะงักค้าง  แววตาเสียใจฉายวูบเมื่อสบตาของคนป่วยที่จ้องตรงมาด้วยความกราดเกรี้ยว  มือที่ถูกปัดออกทิ้งลงข้างตัว  เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

พีทคงไม่ต้องการเห็นหน้าเขาแม้แต่วินาทีเดียว  ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกวาบลึกในใจ  หากใบหน้านั้นยังคงพยายามยิ้มให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง

“กินซุปซะนะแล้วก็กินยา อยู่ในถาดนี่แล้ว”  ว่าแล้วร่างสูงใหญ่นั้นก็เดินออกจากห้องไปเงียบเชียบ 

พีททิ้งตัวลงนอนอีกอย่างหมดแรง  เขารู้สึกปวดตุบ ๆ ที่แผล  มือเรียวเสยผมที่ชื้นเหงื่อพลางหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน  นี่มันเกิดอะไรขึ้น  อยู่ดี ๆ นายนั่นก็เข้ามาทำให้บางสิ่งเปลี่ยนไปจากเดิม  ที่ผ่านมาเขาเคยชินกับการอยู่คนเดียว  แต่วันนี้กลับมีคนมาบุกรุกความเป็นส่วนตัวของเขา นี่เขาจะต้องทนไปอีกนานเท่าไร ทำไมพ่อถึงต้องส่งนายนั่นมา ทำไม? ทำไม? 

ความคิดวนเวียนอยู่ในสมองเขาอยู่ตลอดเวลา  ไม่นานเขาก็ม่อยหลับไปอีก ทิ้งซุปให้เย็นชืด




ความรู้สึกเย็นจากผ้าขนหนูที่เช็ดตามใบหน้าและลำคอทำให้คนที่นอนนิ่งอยู่เริ่มขยับตัว   ทันที่ที่สติสัมปชัญญะกลับเข้าสู่สมอง  มือเรียวยกขึ้นปัดทันที   

“คุณชายครับ  ลุงเองครับ”   เสียงลุงฉีพ่อบ้านรีบร้อนบอกคุณชาย

พีทลืมตามองหน้าชายสูงอายุที่กำลังเช็ดตัวให้เขาอย่างโล่งใจ  พึมพำขอโทษลุงฉีเสียงแหบแห้ง  ลุงฉีช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า  จากนั้นก็เรียกสาวใช้ให้ยกโต๊ะเล็กสำหรับทานอาหารบนเตียงมาวางให้  บนโต๊ะมีอาหารสำหรับคนป่วยที่ปรุงอย่างดีหลายอย่าง   พีทกินได้เพียงนิดเดียวก็อิ่ม  เขากินยาเสร็จก็ล้มตัวนอนทันที   หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย   

“อย่าให้ใครรบกวนผมนะครับลุง”  เอ่ยเสียงแหบ 

ได้ยินเสียงลุงฉีกับสาวใช้เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูตามหลัง พีทนอนกระสับกระส่ายตลอดทั้งบ่าย  เขานอนไม่ค่อยสบายตัวนักจนกระทั่งเย็นจึงกัดฟันลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปร้องเพลง  คนป่วยมองภาพสะท้อนของเขาเองในกระจก

‘โทรมชะมัด วันนี้จะร้องเพลงไหวรึเปล่าเนี่ย  แค่เดินไปเดินมาในห้องก็แทบจะไม่มีแรง’   

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น   พีทเดินไปหยิบโทรศัพท์ขณะที่ใช้มือกดไปที่แผลตัวเอง  เขารู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ อีกแล้ว 

คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ  ชื่อที่ปรากฏทำให้เขาแปลกใจ

“เกรซ” เสียงที่เปล่งออกมาทำให้เขาสงสัยตัวเอง  นี่เขาจะไปร้องเพลงทั้งที่เสียงแห้งแบบนี้เหรอเนี่ย 

“พีท พีท ได้ยินรึเปล่า  เราได้ยินว่านายไม่สบาย เป็นอะไรมากไหม คืนนี้มาร้องเพลงไหวรึเปล่า”  เสียงเกรซถามมายืดยาว  น้ำเสียงร้อนรน

“เกรซ  รู้ได้งะ........”   

‘ตายล่ะ เสียงหายไปแล้ว’  เขาพยายามจะพูดแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา 

“พีท พีท  ได้ยินไหม  ทำไมไม่ตอบล่ะ....” 

พีทวางสายแล้วรีบกดส่งข้อความแทน

‘เกรซ เราป่วย ไม่มีเสียง วันนี้คงไปร้องเพลงไม่ได้แล้ว  ขอโทษนะ  ให้นายแคนร้องแทนได้ไหม’

ใช้เวลานานกว่าปกติ  กว่าเกรซจะส่งข้อความกลับมา 

‘จะหาคนร้องแทน  หายไว ๆ นะ’

‘เฮ้อ  ทำเกรซลำบากอีกแล้ว วันนี้วันศุกร์ซะด้วย’
พีทถอนใจยาว  แต่เขาคงไปไม่ไหวจริง ๆ   ขนาดเมื่อคืนเขายังเอาตัวแทบไม่รอด  โชคดีที่ร้องเพลงช้าเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ต้องใช้แรงมากเท่าเพลงเต้น   

‘เอ๊ะ เกรซรู้ได้ไงว่าเขาป่วย ลุงฉีด้วย หรือว่า...นายนั่น’ ความคิดว่านายหมีนั่นมายุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาทำให้พีทหัวเสีย

‘ยุ่งไม่เข้าเรื่อง’

เขาเดินลากขากลับไปที่เตียง  แทบจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม

‘เฮ้อ ทั้งปวดหัวทั้งหงุดหงิด’

จากนั้นไม่นานมีเสียงเคาะประตูห้องดังเบา ๆ

‘ใคร?’  เขาไม่มีเสียงจะถาม   เขาบอกลุงฉีแล้วว่าห้ามใครรบกวน   

คุณชายตั้งท่าจะระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อ ก็พอดีที่คนด้านนอกส่งเสียงเข้ามาก่อน

“คุณชายคะ  อาหารเย็นค่ะ”  เสียงสาวใช้เรียกมาจากนอกห้อง   

พีทถอนหายใจ  อนุญาตให้คนนำอาหารเย็นเข้ามาเสียงแหบ สาวใช้วางถาดอาหารบนโต๊ะเล็กแล้วเดินตัวลีบออกไป  ตอนแรกเขาไม่ค่อยอยากกินอะไรนัก  แต่เพราะกลิ่นหอมของซุปที่วางบนโต๊ะเล็กข้างเตียงทำให้ท้องเขาเริ่มจะร้องครวญครางบ้างแล้ว  เขาขยับเข้าไปใกล้โต๊ะ  ยกช้อนมาตักชิมซุปที่ร้อนกำลังดี   

‘วันนี้เปลี่ยนคนทำรึเปล่าเนี่ย’ รสชาติซุปเปลี่ยนไป  แต่....มันอร่อยมาก   เขาหยิบขนมปังกระเทียมเข้าปากบ้าง 
 
‘อืม  อร่อยจัง’




“เป็นไง เรียบร้อยไหม”  ร่างสูงใหญ่ยืนรอที่บันไดชั้นล่างเอ่ยถามสาวใช้ที่เดินตัวลีบออกจากห้องนอนของคุณชาย

“เรียบร้อยค่ะ” สาวใช้ค้อมตัวตอบพลางทำหน้าขัดเขินเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ดูแลของคุณชาย

“ขอบใจนะ” ร่างสูงใหญ่นั้นกล่าวพลางยิ้มให้   ยิ่งทำให้สาวใช้ทำตัวไม่ถูกมากขึ้น  เธอขอตัวแล้วรีบก้มหน้าเดินกลับไปห้องครัว  ทิ้งให้คนที่ยืนตรงหัวบันไดมองขึ้นไปชั้นบน  แววตาแสดงความห่วงใยชัดเจนยามที่เขาอยู่ลำพัง 




ดึกสงัดแล้วเมื่อประตูห้องค่อยแง้มเปิดทีละน้อย  เหมือนไม่ต้องการสร้างเสียงดังรบกวนคนป่วยที่นอนหลับอยู่ในห้อง  ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ  แสงจากโคมไฟยังเปิดทิ้งไว้  เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงกว้าง ดวงตามองตรงไปที่คนที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจยาวนาน 

‘เฮ้อ  ทำไมโตมาแล้วดื้อกว่าเดิมละเนี่ย’   มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมตัวเองที่ตกมาปรกหน้าแล้วยิ้มนิด ๆ 

‘ยังไงเขาก็ต้องพยายามละน่า  สักวันพีทคงยอมยกโทษให้’   

คิดแล้วเขาก็ยิ้มได้มากขึ้น  หย่อนกายลงนั่งบนเตียงอย่างแผ่วเบา  ตาจับอยู่ที่ใบหน้าเผื่อเจ้าตัวจะรู้สึกตัวขึ้นมา  แต่ร่างที่นอนอยู่ยังคงหายใจสม่ำเสมอไม่รับรู้อะไร  เขาวางมือแตะหน้าผากคนที่นอนอยู่แล้วยิ้มเพราะพีทตัวไม่ร้อนแล้ว  ใบหน้าด้านข้างที่เห็นหลับสนิท

อดที่จะคิดถึงเหตุการณ์ตั้งแต่เขามาถึงบ้านนี้ไม่ได้  ดวงตาคู่นี้มองเขาอย่างไม่ชอบใจตั้งแต่แรกเจอเลยทีเดียว  จนเขาอยากจะบีบจมูกเชิด ๆ นี้สักทีเวลาพีทตั้งหน้าตั้งตาทะเลาะกับเขา

นายหมียิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวันก่อน  เจ้าเด็กนี่แสบใช่เล่น  คอยหาเรื่องกำจัดเขาต่าง ๆ นานา  แต่ทำยังไงก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก  ใบหน้านั้นยิ้มกว้างมากขึ้น   

‘เขารู้ทันทุกอย่างแหละน่า...’ 

เขานั่งอย่างนั้นอยู่นาน   จึงขยับไปจัดผ้าห่มให้แล้วลุกขึ้นกลับห้องของตน




พีทต้องพักรักษาตัวต่ออีกสองวัน  ไม่ได้ไปร้องเพลงที่ร้านเพราะเกรซหาคนมาร้องเพลงแทนแล้ว  พี่ร็อกกี้  มือกีตาร์และหัวหน้าวงโทรมาบอกให้เขาใช้เวลานี้ลองแต่งเพลงใหม่ ๆ ดูบ้าง   พีทเบื่อที่ต้องนอนแกร่วบนเตียงเฉย ๆ  จึงใช้เวลาว่างเล่นกีตาร์ที่ชานไม้ริมสระเพื่อลองแต่งเพลง

เขาสบายใจมากขึ้นเมื่อไม่เห็นนายหมีมาป้วนเปี้ยนในบ้าน   มีเพียงลุงฉีและสาวใช้ที่คอยดูแลเรื่องอาหารและยาให้เขา   

‘นายนั่นคงรักษาสัญญาสินะที่บอกว่าจะทำตัวเงียบ ๆ’





“เป็นไงบ้างครับลุงฉี”  ผู้ดูแลของคุณชายถามพ่อบ้าน   ละสายตาจากแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงานหันไปมองลุงฉี   เวลานี้เขาย้ายตัวเองมานั่งทำงานอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านใหญ่เพื่อปล่อยให้คุณชายได้พักผ่อนและเขาจะได้หาโอกาสจัดการเรื่องอะไรหลายอย่างได้สะดวก

“ร่าเริงเหมือนเดิมแล้วครับ   เห็นไปนั่งเล่นกีตาร์อยู่ริมสระกับเจ้าแรมโบ้”  ลุงฉีตอบยิ้ม ๆ  วางกาแฟและของว่างลงแล้วเลี่ยงออกไปทำงานต่อ

คนถามหันไปมองทางบ้านเล็กริมสระทางทิศเหนือ จากช่องระหว่างพุ่มไม้ที่บดบังสายตา เขามองเห็นคุณชายนั่งเล่นกีตาร์อยู่ไกล ๆ  มุมห้องนั่งเล่นตรงนี้เป็นจุดเดียวที่สามารถมองเห็นทะลุไปถึงบ้านโน้นได้  เพราะตัวบ้านเกือบทั้งหมดจะถูกบังสายตาจากต้นไม้ใหญ่ในสวน  พีทคงสบายใจที่ไม่เห็นเขาอยู่รบกวนความเป็นส่วนตัว  ใบหน้าคมนั้นค่อยคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา....

‘ใครจะยอมให้รู้ล่ะว่าเขาแอบเข้าไปเฝ้าคนป่วยทุกคืน’

คนร่างสูงยิ้มให้ภาพนั้น  ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
10. ตีสนิท


เช้าวันจันทร์พีทลงมาจากห้องนอนเพื่อไปเรียนหลังจากที่หยุดไปทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา  หนุ่มน้อยใส่เสื้อยืดลายกราฟฟิกสีขาวสวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีแดงที่พับแขนขึ้นเหนือข้อศอก   เขาเดินลงบันไดพลางใส่หมวกไหมพรมเพื่อปิดแผลที่เกือบหายแล้ว

พีทชะงักเมื่อเดินเข้าครัว  คนที่เขาเจอที่โต๊ะอาหารทำให้อารมณ์บูดทันที  นายหมีนั่งกินอาหารเช้าพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย  อาหารอีกชุดหนึ่งวางตรงที่ประจำของเขา  ที่พื้นข้างล่างแรมโบ้ก็กำลังจัดการอาหารของตัวเองอย่างสบายอารมณ์

“โฮ่ง”  แรมโบ้หันมาเห่าทักทาย  ทำให้คนที่โต๊ะเงยหน้ามาเห็นเขา

“อรุณสวัสดิ์”  เจ้าตัวว่าแล้วยิ้มให้จนตาหยี   

‘หึ ยิ้มซะตาปิดขนาดนั้น  มองเห็นใครด้วยเหรอ’
   พีทคิดในใจ  ใบหน้าหนุ่มน้อยบึ้งตึง ‘แรมโบ้ก็อีกตัว  ไปสนิทนายนั่นได้ไง’

พีทสังเกตว่านายหมีเลิกใส่สูทแล้ว  เปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า  ผมที่เคยเซตให้เรียบวันนี้กลับปล่อยให้ปรกหน้าผากทำให้ใบหน้านั้นดูเด็กลง   

“ทานข้าวสิ  พีท”  คนที่โต๊ะอาหารชวนเขากินข้าว

“บอกแล้วว่าอย่ามาทำตีสนิท ชั้นไม่ใช่เพื่อนเล่นของนาย  พ่อจ้างนายมาก็เท่านั้น  อย่าคิดว่าชั้นแพ้พนันแล้วนายจะมาทำตัวสนิทสนมได้”

พีทตอกกลับอย่างหงุดหงิดจนแรมโบ้ที่กำลังแทะกระดูกนิ่งค้าง   มันเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจที่เจ้านายอารมณ์เสียแต่เช้า

คนที่ถูกเขาต่อว่านิ่งไป  ริมฝีปากปากเม้มแน่น  และเมื่อเขาเอ่ยถาม  น้ำเสียงนั้นดูเศร้าสร้อย

“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนที่ชอบดูถูกคนอื่น  ทำไมล่ะ แค่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้จักคุณตอนเจอกันที่ผับแค่นั้นเองเหรอ  คุณถึงได้โกรธเกลียดผมขนาดนี้” 

‘....ก็นายหน้าเหมือนพี่ฮั่นน่ะสิ....’
   พีทตะโกนอยู่ในใจ   

ทำไมเขาถึงไม่ชอบหน้าหมอนี่ทั้งที่เรื่องที่ผับก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เรื่องเรียนรู้งานของพ่อเขาก็เป็นคนตกลงเอง  เรื่องมีบอดี้การ์ดเขาก็เป็นคนเสนอเอง

เป็นเพราะนายหมีเหมือนคนคนนั้นมาก  ทั้งใบหน้า ดวงตา เหมือนกระทั่งเวลายิ้ม  มันคอยแต่จะทำให้เขาคิดถึงพี่ฮั่นมากขึ้นทุกขณะ  แต่เขาก็รู้อยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีทางที่คนคนนั้นจะกลับมา  ในเมื่อมันผ่านมาตั้งหลายปี 

บางที...พี่ฮั่นคงจะลืมเขาไปแล้ว...คนใจร้ายนั่น

ความคิดที่ว่าพี่ฮั่นลืมเขาไปแล้วทำให้พีทแทบจะตะคอกใส่คนตรงหน้าเขา 

“ชั้นจะรู้สึกอะไร จะเกลียดใคร ไม่ใช่เรื่องของนาย!  แล้วก็ขอย้ำด้วยว่านี่มันบ้านชั้น  นายไม่มีสิทธิ์มาทำตัวเริงร่าที่นี่!”  ร่างสูงโปร่งว่าแล้วเดินออกไปจากห้องครัวทันที  กินอะไรไม่ลงแล้ว

เมื่อเดินออกมาจากบ้านเขาก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาจะไปเรียนยังไง  รถคันเก่งก็อยู่ที่อู่  กุญแจรถคันอื่นก็ถูกริบไปแล้ว  จะเดินออกไปขึ้นแท็กซี่ก็ไม่รู้ว่าจะเจอลูกไม้เหมือนเมื่อวันก่อนอีกรึเปล่า วันนี้ตื่นสายเสียด้วย 
 
‘บ้าชะมัด  เพราะนายนั่นคนเดียวชีวิตเขาถึงได้ยุ่งเหยิงแบบนี้’

ขณะที่เขายืนลังเลอยู่นั่นเอง  ขายาวก็ก้าวมาหยุดยืนไม่ห่างนัก

“เดี๋ยวผมไปส่ง”  น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลเสมอแม้ว่าเพิ่งจะโดนพีทต่อว่ารุนแรงมาเมื่อครู่

“ยังกับชั้นมีทางเลือกอื่นงั้นแหละ”  พีทกระแทกเสียงใส่  นอกจากน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจแล้วหน้ายังเหวี่ยงอีกด้วย

“คุณไม่มีทางเลือกเท่าไรหรอก  ทางเลือกเดียวที่คุณมีคือทำตามที่ผมสั่ง  เอ่อ ที่ผมขอร้องแล้วกัน”  คนว่าเปลี่ยนท่าทีมายิ้มกวน  มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด

“นายอย่ามายั่วโมโหชั้นแต่เช้านะ  ถ้าชั้นทนไม่ไหวขึ้นมาเมื่อไรนายเจอดีแน่!” 

พีทหันไปกระชากปกเสื้อเชิ้ตนายหมีด้วยแรงโทสะแต่คนตรงหน้าเขาแค่เซไปเล็กน้อย  เขาอยากจะชกหน้าหล่อ ๆ นั่นให้ยับซะบ้าง  แต่คำขู่ของเขาไม่มีผล  นายหมีไม่สะทกสะท้านอะไร  กลับยิ้มกวนใส่เขาไม่หยุด   

“ผมจะรอนะคุณชาย”  พูดพลางยื่นหน้ามาใกล้  มือใหญ่เอื้อมมาปลดมือเขาที่จับปกเสื้ออยู่  พีทผลักมือออกทำท่ารังเกียจใส่   แล้วเดินหนีไปยืนรอที่รถหรูที่จอดพร้อมแล้วที่ลานข้างหน้า 

คนถูกผลักยังยิ้มมุมปาก  ทำหน้าระอาเหมือนเห็นเด็กอนุบาลขู่ว่าจะไม่กินข้าวเย็นยังไงอย่างงั้น   เขาจัดปกเสื้อให้เรียบร้อยพลางเดินไปที่รถ  แต่ต้องชะงักเมื่อคุณชายออกคำสั่ง

“เดี๋ยว  เปิดประตูด้วย”  คนออกคำสั่งยืนกอดอกรออยู่  ใบหน้าเหมือนจะเยาะ

‘ว่าไงนะ’  นายหมีเลิกคิ้ว ‘เห็นเขาเป็นคนขับรถรึไง’   

แต่เมื่อมองหน้าคุณชายแล้วเขาก็ได้คำตอบ  คุณชายก็คงเห็นเขาเป็นคนขับรถนั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ออกคำสั่ง

‘หึ คนขับรถที่ไหนหล่อขนาดนี้  อ๊ะ  บริการหน่อยแล้วกัน  คุณชายจะได้อารมณ์ดี’  

เขายิ้มให้ตัวเอง  จากนั้นคนขับรถสุดหล่อก็เดินไปเปิดประตูรถให้คุณชายแถมโค้งให้ด้วย  คุณชายปรายตามองอย่างหมั่นไส้เป็นกำลัง  แต่ก็ยอมขึ้นรถไปโดยดี
   
“เร็วด้วย  จะสายแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า อีกตั้งยี่สิบนาที  คอยดูแล้วกัน”  นายหมีให้คำรับรองแข็งขันทำให้คุณชายยิ่งทวีความหมั่นไส้มากขึ้น 

‘ระวังเหอะ  ถ้าเขาสายแม้แต่นาทีเดียวเป็นเรื่องแน่’

----------------------------------



ออดี้แปดสูบเลี้ยวปราดเข้าจอดในช่องจอดอย่างนุ่มนวลทั้งที่ขับมาด้วยความเร็วสูง  พีทนั่งใจเต้นมาตลอดทาง  ก็นายหมีขับยังกะกำลังแข่งฟอร์มูล่าวัน  เลี้ยวซ้ายป่ายขวาซะเขาแทบมึน  ปกติเขาก็ขับรถเร็วเหมือนกันแต่ไม่ฉูดฉาดเท่าที่นายนี่ขับหรอก
เขามาทันเวลาก่อนเข้าเรียนเกือบสิบนาทีตามที่มีคนโม้ไว้
     
“ทันรึเปล่าครับคุณชาย”  เสียงทุ้มนั้นถาม  ใบหน้าคมยิ้ม

‘รู้อยู่แล้วจะถามอีกทำไม’
  พีทว่าอยู่ในใจ  แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้  นายหมีรู้ว่าเขาเรียนเวลาอะไร  รู้แม้กระทั่งว่าเขาเรียนอาคารไหน  เพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาพีทไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว 

มหาวิทยาลัย T ที่เขาเรียนอยู่  เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ  ได้ชื่อว่าเข้าเรียนยากที่สุดเพราะคัดแต่คนที่เก่งที่สุดเข้าเรียน   มีชื่อเสียงมากด้านการบริหารธุรกิจ  การตลาด  การโรงแรม  รวมไปถึงดนตรีและศิลปะ  เป็นมหาวิทยาลัยที่ตระกูลหยางของเขาเป็นผู้ก่อตั้งและให้ทุนสนับสนุน

บริเวณอาคารสถานที่ตกแต่งอย่างสวยงาม  ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่   มีอุปกรณ์การศึกษาทันสมัย   รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นอีกมากมาย  ทั้งสปอร์ตคลับ   ห้องสมุด  สระว่ายน้ำ  สนามฟุตบอล 
   
พีทลงจากรถเข้าไปที่ตึกเรียนทันที  ไม่สนใจว่านายหมีจะทำอะไรต่อไป 




“อ้าว พีท มาเรียนได้สักทีนะ นายหายไปไหนตั้งหลายวัน”  โดม  เพื่อนรุ่นพี่คณะเดียวกันทักทันทีที่เขาเดินเข้าห้องเรียนมา

“หวัดดีพี่โดม  โดนพวกจิ๊กโก๋มันดักตีหัวน่ะ  หัวแตกมาเรียนไม่ไหว”

พีทบอกพลางทรุดตัวลงนั่ง  โดมมองไปที่หมวกที่เขาใส่ไว้แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ 

พวกเขาเรียนชั้นเดียวกัน  แต่เพราะพีทเรียนเร็วไปหนึ่งปี  โดมจึงอายุมากกว่าเขา  โดมเป็นหนุ่มร่างอวบใจดี  เป็นคนคอยรับฟังปัญหาของพีทเสมอ โดมจึงเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่พีทสนิทที่สุด

“อ้าวแล้วเป็นไรมากไหม  พีทไปมีเรื่องอะไรกับพวกมัน ไปกวนมันเข้าหรือว่ามันกะปล้น?” 

“ไม่รู้เหมือนกันพี่  พอดีมีคนช่วยไว้ก่อน”  อยู่ ๆ หน้านายนั่นก็ลอยเข้ามาในหัว 

“แล้วพี่มาหาว่าผมเป็นคนไปกวนก่อนได้ไง ผมเนี่ยนะ” พีทชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ก็หน้านายมันเหวี่ยงน้อยอยู่เมื่อไรละ พีท” 

‘ดูพี่โดมตอบเขาสิ’

พีทไม่อยากเล่าเรื่องที่เขาถูกปองร้ายจากคู่แข่งทางการเมืองของพ่อจึงตอบเลี่ยงไป  ดูเหมือนพี่โดมก็เข้าใจเขา  พี่โดมไม่เคยเซ้าซี้อยากรู้เรื่องอะไรยกเว้นว่าพีทอยากจะเล่าเอง   เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงคบกันได้นาน  ไม่เหมือนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นที่มักต้องการเป็นเพื่อนพีทด้วยสาเหตุเพราะ

เขารวย!




หลังชั่วโมงเรียนอันยาวนานจบลง  สองหนุ่มเดินออกจากห้องเรียนด้วยความรีบร้อนด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันคือหาข้าวกิน  ตอนเช้าพีทไม่ได้กินอะไรเลยเพราะโมโหนายหมีจึงรีบออกจากบ้าน  ตอนนี้เขาจึงหิวมาก  ส่วนพี่โดมนั้นก็หิวตลอดเวลาอยู่แล้ว

พวกเขาไม่ต้องเสียเวลาไปต่อคิวที่โรงอาหารเลย  เพราะเมื่อพีทเดินออกมาก็เจอนายหมียืนรออยู่  ร่างสูงใหญ่สมส่วนนั้นยืนพิงไหล่กับกำแพง มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง  อีกข้างหิ้วถุงใบใหญ่  ดวงตาเล็กชั้นเดียวจ้องตรงมายังทางเดินออกจากห้องเรียนเหมือนจะคอยอยู่   ดังนั้นพวกเขาจึงสบตากันทันทีที่พีทเดินออกมา

‘ออกมายืนโชว์ตัวเชียวนะ คงคิดว่าเท่ห์ซะเต็มประดา’

พีทค่อนขอดอยู่ในใจเพราะนักศึกษาสาวแต่ละคนที่เดินผ่านไปมา ต่างก็แอบมองมาทางที่นายหมียืนอยู่ตลอดเวลา  เสียงพูดคุยพึมพำดังไปทั่วบริเวณเพราะสงสัยว่านายหมีเป็นใคร  และนายนั่นก็ยืนรออยู่ตรงทางเดินที่ทุกคนต้องผ่านเสียด้วย 

ตอนนี้คนที่ถูกนินทาอยู่ในใจเดินตรงมายังพวกเขา
   
“มาทำไม  ทำไมไม่ไปรอที่รถ”  พีทต่อว่าทันที

“ผมคิดว่าคุณคงหิวก็เลยซื้อมาให้”  นายหมียกถุงใบใหญ่ขึ้นเล็กน้อยประกอบคำพูด  พร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวกับโดม

“สวัสดีครับ  น้องคงชื่อโดมใช่ไหม” 

“เอ่อ  ครับ  ผมโดมครับ”  โดมตกใจเล็กน้อยที่มีคนรู้จักเขา  เพราะปกติเขาเป็นคนธรรมดาไม่ได้โดดเด่นอะไร 

“พี่ชื่อฮัทครับ มาดูแล....คุณชาย” 

คนพูดแนะนำตัวเองสั้น ๆ  ท้ายประโยคเขาเหลือบตาไปมองคนที่ยืนหน้าบูดอยู่  ซึ่งโดมก็เข้าใจทันที   

เรื่องพีทมีบอดี้การ์ดนั้นเป็นเรื่องปกติ  เขาเคยเห็นคนเหล่านั้นคอยดูแล ‘คุณชาย’ อยู่ห่าง ๆ  เวลาพวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกัน  แต่พี่ฮัทเป็นคนแรกที่เข้ามาแนะนำตัวกับเขา 

‘ปกติพีทไม่ชอบให้มีใครมาตามติดนี่นา’
คนสมองไวอย่างโดมนึกรู้ทันทีว่าทำไมพีทถึงทำหน้าบูด   

พีทเหล่ตามองนายหมีมาตีสนิทกับพี่โดมของเขา  ถ้านายนั่นเป็นผู้หญิงคงได้เป็นนางงามมิตรภาพแน่ ๆ

“กินข้าวด้วยกันนะ พี่ซื้อมาเผื่อแล้ว เยอะแยะเลย”  นายหมีชวนโดมที่กำลังทำตาวาวเวลาได้กลิ่นอาหาร

“พี่โดม เราไปกินที่โรงอาหารเหอะ ไม่ต้องสนใจนายนี่หรอก  เอายาถ่ายใส่มาด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้”

พีทยกแขนคล้องคอพี่โดม  พยายามลากร่างอวบใหญ่ของพี่โดมไปโรงอาหารกับเขาให้ได้  แต่โดมยังขืนตัวไว้

“แต่ว่าพี่เขาซื้อมาแล้วนะพีท  อีกอย่างไปโรงอาหารตอนนี้คนเต็มแล้วแน่ ๆ เรากินไอ้นี่เหอะ”  โดมที่หิวจนตาลายชี้นิ้วไปที่ถุงอาหาร 

“ไม่เอาพี่โดม  ไปกินร้านประจำหน้ามหาลัยก็ได้  เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”  พีทยังไม่ยอมแพ้

“คนแพ้ต้องทำตามคำสั่ง อย่าลืมสิ  นายคงไม่เป็นคนไม่รักษาคำพูดหรอกใช่ป่ะ”  นายหมีหันมาตอกย้ำเขาอีกครั้ง 

‘ยิ้มเยาะเย้ยเขาด้วย  หนอย  หมียักษ์!’     


ไม่เท่านั้นนายหมียังหันไปเล่าให้โดมฟังด้วยว่าพวกเขาพนันกันแล้วเขาแพ้นายหมี   ต้องยอมทำตามคำสั่งทุกอย่าง   
โดมทำตาวาวทะลุแว่นตาหนาที่เขาใส่อยู่เอ่ยล้อเลียน

“นั่นแน่  ไม่รักษาสัญญาไม่ได้นะพีท  ลูกผู้ชายต้องรักษาสัญญาสิ” 

‘หนอยพี่โดม  หิวจนตาลายน่ะสิไม่ว่า’   พีทคิดอย่างหงุดหงิด

ในที่สุดทั้งสามคนจึงหาที่นั่งแล้วจัดการกับอาหารด้วยความไม่เต็มใจนักของพีทที่ต้องรักษาคำพูดของตัวเอง   

อาหารญี่ปุ่นนานาชนิดถูกจัดการโดยผู้ชายตัวโต ๆ สามคนจนเกลี้ยง  ระหว่างกินอาหารนายหมีก็ชวนโดมคุยอย่างออกรส   และเมื่อจบมื้ออาหารพวกเขาดูเหมือนเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาสักสิบปี  ทำให้พีทหงุดหงิดอีกรอบ   

‘อะไรเนี่ยทำไมพี่โดมไปสนิทกับนายนั่นเร็วขนาดนี้  เขาไม่ยอมนะ  พี่โดม!’


---------------------------------------------



ตลอดทั้งวันนายหมีติดตามเขาไปทุกที่ในมหาวิทยาลัย  พีทรู้สึกขุ่นใจเพราะมันทำให้เขากลายเป็นจุดเด่นมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีนายนั่นตามเขาและพี่โดมไปไหนมาไหนด้วย   นายหมีนั่นดึงดูดสายตาคนให้หันมาจ้องมองพวกเขาสามคนมากขึ้นโดยเฉพาะสาว ๆ   ด้วยบุคลิกและหน้าตาระดับดาราของหมอนั่น  พีทคิดอย่างเดือดดาล  สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวจึงโวยวายใส่

“เมื่อไรนายจะเลิกตามชั้นไปไหนสักที  มันน่าเบื่อนะ ทำไมนายไม่รอที่รถเหมือนพวกบอดี้การ์ดคนอื่นเขาทำกัน  ชั้นรำคาญ”

“ผมเป็นผู้ดูแลคุณ  ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันสิ” 

ภายใต้ใบหน้าใสที่ยิ้มน้อย ๆ นายหมีตอบคำถามของพีทอย่างใจเย็น  พีทไม่รู้หรอกว่าเขาคอยสังเกตทุกสิ่งรอบตัว  ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่พีทมักไปเป็นประจำในมหาวิทยาลัย  เพื่อนทุกคนที่อยู่รอบกาย  แม้แต่โดม เพื่อนสนิทของพีทก็ถูกตรวจสอบประวัติมาแล้วล่วงหน้า  พีทได้รับข้อมูลเพียงบางส่วนจึงไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ไม่อย่างนั้นคุณคริสคงไม่เป็นกังวลขนาดนี้

“แต่ชั้นเบื่อหน้านาย!”  พีทว่าแล้วเดินหนี 

โดมส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับพีท  พี่ฮัทไม่ได้น่ารำคาญสักหน่อย  เขาหันไปสบตากับบอดี้การ์ดของพีทพบว่าใบหน้านั้นยังคงยิ้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร 

“อย่าคิดมากเลยนะครับพี่ฮัท  ปกติเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไร” 

“อ๋อ  ไม่เป็นไรครับ  พี่เข้าใจ”  เจ้าตัวว่าแล้วยิ้มให้โดมอีกครั้ง

“เราไปกันเถอะครับ  สงสัยพีทจะไปห้องซ้อม” 

ทั้งสองคนพบพีทอยู่ที่ห้องซ้อมดนตรี  หนุ่มน้อยนั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดกำลังพรมนิ้วบรรเลงเพลงอย่างคล่องแคล่ว  ดูเหมือนพีทจะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้เล่นดนตรี   

“พี่นั่งอยู่แถวนี้ก็ได้ครับ” 

โดมชี้ที่นั่งมุมหนึ่งในห้องซ้อม  ตัวเขาเข้าไปทักทายเพื่อนในวงอย่างร่าเริง  เสียงทักทายตอบกลับมาเซ็งแซ่  โดมจึงแนะนำนายหมีง่าย ๆ  เขาตะโกนท่ามกลางเสียงกีตาร์  เสียงกลอง  ชี้ไม้ชี้มือไปทางนายหมี

“นี่พี่ฮัทนะ  เป็นพี่พีท” 

‘เฮ้ย!’
พีทเงยหน้าขึ้นมองพี่โดมทันที  ‘ทำไมพี่โดมทำแบบนี้อ่า  นายหมีไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักหน่อย  เป็นแค่คนที่พ่อเขาส่งมา  พี่โดมก็รู้นี่’ 

พีทยังอึ้งอยู่แต่ไม่ทันแล้ว  เพื่อนร่วมวงทุกคนพร้อมใจกันทักทาย ‘พี่ชายพีท’

“หวัดดีพี่  ผมริทคร้าบ”  หนุ่มร่างเล็กน่ารักเงยหน้าขึ้นทักทายคนแรก 

“หวัดดีพี่ ผมแทนนะ”  หนุ่มร่างโปร่งสะพายกีตาร์ไฟฟ้าที่ยืนอยู่ข้างริทเอ่ยแนะนำตัวพลางโอบแขนไปที่ริท  หนุ่มร่างเล็กหันไปยักคิ้วให้แทนอย่างน่ารัก 
   
คนอื่นต่างแนะนำตัวกับนายหมี  พีทมองภาพนายหมีทำตัวเนียนเป็นพี่ชายเขาอย่างไม่ชอบใจ  เมื่อพี่โดมหันมาเห็นเข้าก็ยักคิ้วให้อย่างล้อเลียน  แล้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี  พีทตวัดสายตาอย่างไม่พอใจไปที่นายหมี  ใบหน้าคมนั้นยิ้มกว้างจนตาแทบปิดกลับมาให้เขา  นายนั่นไม่เกรงใจเขาสักนิด  หนุ่มน้อยได้แต่ฮึดฮัดในใจแต่ไม่แสดงอะไรออกมาเพราะกลัวเพื่อนในวงสงสัย
 
เมื่อทักทายกันพอสมควรแล้วพวกเขาก็เริ่มซ้อม  พีทพยายามตั้งใจเล่นดนตรีไปพร้อมกับวงแต่ไม่ค่อยมีสมาธินักเพราะรู้สึกถูกจับตามองอยู่ตลอด  หลายครั้งหลายคราเมื่อเขาเผลอ  เขารู้สึกเหมือนถูกมองอยู่ แต่พอตัวเองหันกลับไปมองบ้าง  ดวงตาคู่นั้นกลับกำลังมองไปที่อื่น  เป็นแบบนี้อยู่หลายทีจนกระทั่งพวกเขาซ้อมเสร็จ

ในที่สุด  บรรยากาศสนุกสนานตลอดเวลาสองชั่วโมงในห้องสี่เหลี่ยมเล็กก็สิ้นสุดลง  หลังซ้อมเสร็จพวกเขาจึงเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ  พลางพูดคุยกันไปด้วย  เสียงริทแหย่คนโน้นคนนี้อยู่ตลอดเวลา

“อ่ะ น้ำเย็น ๆ”  ขวดน้ำแร่ถูกยื่นมาตรงหน้าเขา 

พีทที่กำลังก้มเก็บสายไฟอยู่เงยหน้าขึ้นรับก่อนจะรู้ตัวว่าคนที่ยื่นให้คือคนที่นั่งเฝ้าเขาตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา  ขวดน้ำเย็นเฉียบทำให้พีทไม่อยากปฏิเสธเพราะเขาก็กำลังกระหายน้ำอยู่เหมือนกัน   นายหมียิ้มให้เขาแล้วหันไปแจกจ่ายน้ำเย็นให้คนอื่นในวงบ้าง  เสียงขอบคุณดังไปทั่วห้องซ้อม   

หลังจากกล่าวลากับเพื่อนร่วมวงแล้ว   หนุ่มน้อยสะพายกระเป๋าพาดบ่าแล้วกอดคอพี่โดมออกจากห้องซ้อม  ปล่อยให้ ‘พี่ชายพีท’ เดินตามหลังมาเพียงลำพัง

“พี่โดม  ทำไมพี่บอกทุกคนอย่างงั้นอ่ะ  นายหมีนั่นไม่ใช่พี่ผมนะ” 
 
พีทกระซิบกระซาบถาม  พี่โดมทำหน้างงเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจความหมาย 

“อ้าว  พี่ฮัทคือนายหมีเหรอ  ฮ่า ๆ  สมตัวเขาดีนะ  แล้วพีทจะให้พี่บอกว่าไงล่ะ  บอดี้การ์ดคนใหม่เหรอ  ไอ้พวกนั้นได้หัวเราะตายเลย  คุณชายพกบอดี้การ์ดมาเรียนด้วย  อีกอย่างนะหน้าตาท่าทางพี่ฮัทไม่สมกับเป็นบอดี้การ์ดสักติ๊ด  หล่อขนาดนี้  สาว ๆ ที่คณะมองกันตาเป็นมัน  ต้องเป็นพี่ชายนายนั่นแหละพีท  ถึงจะเหมาะ”

พีทกัดฟันอย่างไม่ชอบใจนักกับคำตอบของพี่โดม 

นายนั่นไม่ใช่พี่เขา! 

แต่...พีทฉุกคิด  ใช่  นายนั่นหน้าตาท่าทางดีเกินกว่าจะเป็นแค่บอดี้การ์ด  แล้วเป็นใคร?  สักวันเขาต้องรู้ให้ได้

---------------------------------------------



หลังเลิกซ้อมก็เป็นเวลาค่ำแล้ว  นายหมีขับรถออกจากมหาวิทยาลัยด้วยความเร็วไม่เท่ากับตอนเช้าแต่พวกเขาก็ผ่านรถคันอื่นไปอย่างรวดเร็ว

ภายในรถเงียบสนิท  ไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก  พีทเพิ่งมีโอกาสมองสำรวจไปรอบบริเวณที่นั่งผู้โดยสารและคนขับ  ออดี้คันนี้สวยมาก  ทั้งภายในและภายนอก  เห็นแล้วคนบ้ารถอย่างเขาก็ชักอยากลองขับขึ้นมาบ้าง   

‘คนขับรถ’  ของคุณชายจอดรถหน้าบ้านอย่างนุ่มนวล   เจ้าแรมโบ้ที่รออยู่วิ่งเข้ามาทักทายเจ้านายเหมือนทุกวันที่เขากลับบ้าน   แต่วันนี้เจ้าแรมโบ้หันไปเห่าให้นายหมีที่เดินตามมาสมทบเขาอยู่ข้าง ๆ เหมือนจะทักทายด้วย   

‘หนอย แรมโบ้ สนิทกันเร็วเชียวนะ ทีคุณพ่อจะเล่นด้วยทำเป็นขู่  ไม่ยอมให้จับ’
   เจ้านายน้อยของแรมโบ้แอบค่อนขอดหมาตัวเองในใจแล้วจึงผละเข้าบ้านไป 

เจ้าแรมโบ้วิ่งไปหานายหมีทันที  คนตัวใหญ่ลูบหัวลูบหลังแรมโบ้แล้วแอบกระซิบ

“เจ้านายแกงอนแล้วนะ รู้ป่ะ”  คนพูดอมยิ้มแล้วก็ออกเดินเข้าบ้านตามไปอีกคน

พีทเข้าบ้านไปอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อเตรียมตัวไปที่ร้านตามปกติ  แต่เมื่อเขาลงมาข้างล่างก็พบนายหมีอยู่ในห้องครัว  กำลังวุ่นวายกับการจัดโต๊ะอาหาร

“มากินข้าวก่อนสิ”  คนตัวใหญ่ยังอยู่ในชุดเดิมตั้งแต่เช้า  เงยหน้ามาเรียกเขาให้เข้าไปที่โต๊ะอาหาร

“คุณชอบกินแซลมอนไหม  วันนี้มีแซลมอนรมควันด้วยนะ” คนชวนกินข้าวว่า  มือก็สาละวนจัดจานวางบนโต๊ะ

“ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบผม  แต่เรามาสงบศึกกันก่อนดีไหม  ถือว่าเวลากินข้าวเป็นเวลาพักแล้วกัน  อิ่มแล้วคุณค่อยหาเรื่องผมอีกก็ได้ โอเคไหม?”  คนพูดเงยหน้าจากโต๊ะอาหารมาสบตาเขาอย่างอ่อนโยน   ไม่มีร่องรอยการประชดประชันอยู่ในแววตา

‘เวลากินข้าวคือเวลาสงบศึกงั้นหรือ’

ไม่รู้ทำไมเหมือนกันพีทรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดนั้น  อาจเป็นเพราะเขาหิวข้าวมาก  หรืออาจจะเป็นเพราะสายตานั้นก็ได้  สายตาเหมือนเวลาที่พี่ฮั่นมองเขา     

‘ดีเหมือนกันท้องอิ่มแล้วค่อยว่ากัน’

คิดดังนั้นแล้วเขาก็ก้าวเข้าไปยังห้องครัว   คนสองคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร  ไม่มีใครพูดอะไร  มีแต่เสียงช้อนส้อมกระทบจานดังเป็นครั้งคราว  แต่บรรยากาศรอมชอมนั้นทำให้แรมโบ้ที่นั่งมองเจ้านายทั้งสองอยู่วางหัวของมันลงบนขาหน้าพลางหลับตาอย่างเป็นสุข

หลังอาหารเย็นผ่านไป  พีทกลับเข้าห้องไปเพื่อหาโน้ตเพลง   เมื่อกลับออกมาอีกครั้งนายหมีก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมอยู่แล้วเพื่อรอไปส่งเขาที่ร้าน
 
‘เฮ้อ’  คุณชายถอนหายใจ  จากนี้ไปเขาคงไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวอีกแล้วยกเว้นเวลานอน




“นายจะตามติดชั้นไปอีกนานแค่ไหน”  พีทถามคนที่กำลังขับรถอยู่  เวลานี้ดึกมากแล้ว  หลังจากร้องเพลงเสร็จเขาก็กลับทันทีไม่แวะทักทายลูกค้าเหมือนเคย   

คนถามมองตรงไปข้างหน้า  คำถามราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ นั้นทำให้นายหมีหันมามองชั่วครู่ก่อนหันไปขับรถต่อ

“ก็จนกว่าผมจะแน่ใจว่าคุณปลอดภัย”  คนตอบก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบปานกัน

น้ำเสียงปกติแต่คำตอบกวนทำให้คนที่ตั้งใจจะพูด ‘ดี’ ด้วยขุ่นใจ  เมื่อพีทถามต่อจึงมีร่องรอยของความไม่พอใจ

“เมื่อไรล่ะ  ต้องรอให้พ่อได้รับเลือกตั้งก่อนรึไง” 

“ก็ไม่แน่นะ ถ้าพวกนั้นยังไม่ยอมหยุด ผมก็ต้องดูแลคุณไปเรื่อย ๆ”  คนตอบยังคงความราบเรียบในน้ำเสียงเป็นปกติ

“แค่นี้ก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว  นายไม่เบื่อรึไง”   น้ำเสียงเริ่มแฝงความไม่พอใจ

“ไม่หรอก  สนุกดี”  คราวนี้คนตอบหันหน้ามายักคิ้วกวน ๆ ส่งให้ 

‘หนอย หมียักษ์! คนอุตส่าห์พูดดีด้วยกลับมากวนประสาท’

พีทไม่รู้ว่าตัวเองเคืองนายหมีตรงไหน  ตรงที่นายนั่นยักคิ้วหรือตรงสายตาที่มีแววสนุกที่ได้ยั่วโมโหเขา

“แต่ชั้นเบื่อหน้านาย!” 

ในที่สุดคุณชายก็ทนไม่ไหว จึงอดไม่ได้ที่จะ ‘เหวี่ยง’ ว่าแล้วคุณชายก็หันหน้าออกนอกรถยกมือกอดอก  หน้าบูด 

เพราะคุณชายหันหน้าออกไปอีกด้าน  จึงไม่ได้เห็นคนที่ขับรถอยู่ลอบยิ้มมุมปาก  เขาแค่แกล้งยั่วโมโหนิด ๆ หน่อย ๆ คุณชายก็อารมณ์บูดซะแล้ว  ตั้งแต่กลับมาเขาทำให้คุณชายอารมณ์เสียไปกี่ทีแล้วนะ  เขารู้สึก ‘สนุก’ ที่ได้เห็นพีทโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเวลาต่อปากต่อคำกับเขาจนอยากจะต่อยเขาสักหมัดแต่ทำไม่ได้  คิดแล้วนายหมีก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างขึ้น

‘หึ  เด็กนี่ยั่วโมโหขึ้นจริง ๆ’


---------------------------------








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2014 00:43:37 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
10. ตีสนิท (2)




บอดี้การ์ดของพ่อยังคงติดตามพีทไปไหนมาไหนทุกวัน   ทุกสถานที่ที่เขาไป  ทั้งที่มหาวิทยาลัยและที่ผับของเกรซ  พีททำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อคิดสมเพชตัวเอง  นี่เขากลายเป็นเด็กอนุบาลตั้งแต่เมื่อไร ที่ต้องมีพี่เลี้ยงมาคอยไปรับไปส่งที่โรงเรียนหรือเวลาไปไหน  เขากลายเป็นเด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้ต้องมีผู้ปกครอง  ทั้งที่ผ่านมาเขาดูแลตัวเองมาตลอดตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยเพราะพ่อเห็นว่าเขาโตแล้วจึงปล่อยให้คิดและตัดสินใจทุกเรื่องด้วยตนเอง พีทจึงมีอิสระเต็มที่ที่จะทำสิ่งใดก็ได้  อีกอย่างพ่อกับคุณโรสมักจะเดินทางไปติดต่อธุรกิจต่างประเทศอยู่เสมอ  ทำให้เขาเคยชินกับการอยู่คนเดียวมาตั้งนาน   แต่ตอนนี้เขากลับต้องอยู่ในสายตานายนั่นตลอดเวลา

‘เฮ้อ วันนี้ลองหนีไปเองจะดีไหมนะ’ เขาคิดไปเรื่อยเปื่อย  เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างกลับต้องชะงักเมื่อเพราะมีสิ่งหนึ่งยื่นมาขวางหน้าเขาไว้

‘กุญแจรถ!’

“อยากลองขับบ้างไหม”  นายหมียืนอยู่ตรงหัวบันไดยื่นกุญแจออดี้ R8  มาตรงหน้า

‘ว่าไงนะ ให้ลองขับเหรอ  เห็นเขาเป็นเด็กเห็นแก่ของเล่นรึไง’  พีทขมวดคิ้วกึกด้วยความคาดไม่ถึงว่า จู่ ๆ นายหมีจะยอมให้เขาขับรถของตัวเอง

‘จะว่าไปแล้วเขายังไม่เคยขับออดี้เลยนี่นะ รถสัญชาติเยอรมันยี่ห้อนี้ถือได้ว่าเป็นรถที่มีระบบช่วงล่างดีที่สุดในโลกด้วย’


“นึกยังไงเอารถมาให้ลอง” พีทลองหยั่งเชิง  หันไปมองหน้านายหมี  พยายามทำหน้าเฉยแต่แววตาตื่นเต้นอยากจะลองขับจนปิดไม่มิด

“ก็ไม่มีอะไรนี่  ผมแค่คิดว่าคุณคงจะเบื่อที่มีคนขับรถพาไปไหนมาไหนตลอดเวลา  ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบขับมากกว่านั่งเฉย ๆ”

‘หืม นายหมีนี่เดาแม่นแฮะ ใช่ เขาชอบขับมากกว่า แล้วออดี้คันนี้ก็สวยชะมัด  อยากลองเร่งเครื่องแรง ๆ ด้วยตัวเองดูสักทีว่าจะสักแค่ไหน  เอาไงดี?’

ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะความไม่ชอบส่วนตัวไป เมื่อหนุ่มน้อยรับกุญแจดอกนั้นมาแล้วเดินลิ่วออกจากบ้านไปลองรถทันที

เจ้าของซูเปอร์คาร์สุดหรู   หันไปมองด้านหลังไว ๆ ของหนุ่มน้อยอย่างนึกเอ็นดู  พีทไม่ใช่ว่าไม่มีรถเป็นของตัวเอง ที่จอดอยู่ในโรงรถนั่นก็มากมายใช้ไม่หมด  และยังมีรถจำลองเหมือนจริงหลายขนาดเป็นของสะสมเต็มห้องที่บ้านใหญ่   แต่ความชอบเรื่องรถที่เป็นมาตั้งแต่เด็กไม่ยอมจางหาย   จนโตก็ยังชอบอยู่  สมกับเป็นลูกคุณคริสจริง ๆ 

คนตัวใหญ่เดินยิ้มแย้มออกมาจากบ้าน  เขาเห็นหนุ่มน้อยกำลังเปิดท้ายรถออดี้พิจารณาเครื่องยนต์อยู่อย่างตื่นเต้น

“เครื่องยนต์ของลัมโบร์กีนี่”  หนุ่มน้อยว่า

“ใช่ ใช้เครื่องยนต์ของลัมโบร์กีนี่  แต่คนละรุ่นกับคันนั้นนะ” นายหมีพยักหน้าไปทางโรงรถใต้ดิน   เขาหมายถึงลัมโบร์กีนี่ Reventon สีดำของพีทที่โดนล็อกล้ออยู่

“ตัวถังเอามาจาก Bugati  ส่วนช่วงล่างก็เป็นของออดี้เอง  ระบบช่วงล่างที่ดีที่สุดเข้าโค้ง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสบาย ๆ”  เจ้าของเล่าเรื่อย ๆ   รู้สึกสนุกที่ได้คุยกับคนที่ชอบรถเหมือนกัน

พีทเดินวนดูรถรอบคันอยู่ครู่จึงขึ้นไปลองนั่ง ออดี้คันนี้สวยมาก  เบาะนั่งใหญ่พอดีตัวทำให้นั่งสบาย  เห็นแล้วหนุ่มน้อยก็แทบจะรอไม่ไหว  เมื่อนายหมีก้าวเข้ามานั่งอีกด้านพีทจึงสตาร์ทรถทันที  เขานั่งฟังเสียงเครื่องอยู่ครู่จึงลองเร่งเครื่อง  ใบหน้าหนุ่มน้อยยิ้มกว้างดีใจที่ได้ลองของใหม่  เขาเหยียบคันเร่งเพื่อลองฟังเสียงเครื่องยนต์ดูหลายที 

สำหรับคนที่รักรถเป็นชีวิตจิตใจ  เสียงเครื่องยนต์ก็เป็นเหมือนเสียงเพลงของนักดนตรีนั่นแหละ   
 
“ไปลองเลยดีกว่า” ใบหน้าเรียวหันมายิ้มให้  แล้วออดี้คันหรูก็ปราดออกจากบ้านทันที 

พีทติดใจเจ้าออดี้มาก  หลังจากได้ลองขับออกนอกเมืองไปเส้นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวเขาก็เหยียบคันเร่งจนมิด  เขาลองขับอยู่นานจนนายหมีต้องเตือนว่าใกล้ถึงเวลาต้องไปที่ร้าน   หลังจากออกจากร้านหนุ่มน้อยก็ขอขับกลับมาเอง  นายหมีไม่ว่าอะไรเมื่อส่งกุญแจให้  เจ้าของซูเปอร์คาร์ที่นั่งอยู่เคียงข้างแอบลอบยิ้มเมื่อพวกเขาพูดคุยเรื่องรถกันตลอดทาง  เพราะคุณชายลืมเรื่องไม่พอใจทั้งหมดทันทีเมื่อได้ ‘ของเล่น’  ใหม่   

แต่เมื่อเช้าวันถัดมาพีทอยากจะลองขับอีก  คราวนี้นายหมีไม่ยอม

“อย่าขับอีกเลย  นั่นมันหน้าที่ผม  คุณนั่งไปน่ะดีแล้ว”  เจ้าของรถว่าง่าย ๆ

“อะไร?  แล้วทีเมื่อวานทำไมให้ลองล่ะ”  หนุ่มน้อยเริ่มหงุดหงิดที่ไม่ได้ดังใจ

“ก็ลองขับไง  ไม่ได้ให้ขับทุกวัน  ขึ้นรถเถอะ  เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”  นายหมีว่าแล้วก็ก้าวเข้าไปนั่งรอเขาในรถ

“อะไรเนี่ย  หวงแล้วเอามาให้ขับทำไมเล่า”  คุณชายเริ่มโวยวายเสียงดัง

“โธ่เอ๊ย  ไม่ขับก็ได้  เดี๋ยวซื้อมาขับแข่งซะนี่  คราวนี้เอาเครื่องสิบสูบเลย  ดูสิว่ารถของนายจะตามทันมั้ย”  พีทเข้าไปนั่งบนรถปิดประตูเสียงดังด้วยความหงุดหงิด  หน้ายิ้มแย้มตอนแรกขณะนี้กลับบูดสนิท

“ผมไม่ได้หวง  ถ้าหวงจะยอมให้คุณลองขับเหรอ  แต่มันเป็นหน้าที่ผมที่ต้องดูแลความปลอดภัยให้คุณ  คุณนั่งเฉย ๆ ดีกว่า  ถ้าคุณทำตัวดีผมจะพิจารณาให้ขับอีก  ดีไหม”  คนพูดว่าแล้วหันมายิ้มให้อย่างปลอบใจ 

นายหมีนั่นคิดว่าเขาเป็นเด็กสิบขวบรึไง ถึงได้หลอกล่อเขายังกับว่าเขาเป็นเด็กไม่รู้ความ   พีทหน้าบูดบึ้ง   ความไม่ชอบใจเหมือนวันก่อนกลับเข้ามาอีกแล้ว  ตอนแรกคิดว่าจะลอง ‘ญาติดี’ ด้วย  แต่ตอนนี้ขอถอนคำพูด!

นายหมีไม่ได้พูดต่อว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นคืออะไร 

พีทขับรถเก่งสมกับเป็นคน ‘เล่นรถ’   แต่ด้วยความที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่จึงขับรถด้วยความคะนอง  แม้บนถนนเล็ก ๆ พีทกลับเหยียบคันเร่งจนมิดทั้งที่ยังมีผู้ใช้รถคันอื่นอยู่บนถนนด้วย  ความคะนองแบบนี้ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา   ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจใหญ่หลวงเกินกว่าใครจะคาดคิดและเขาก็ไม่ต้องการให้มันเกิด 

เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่อันตรายอยู่แล้ว    เขาไม่อยากเพิ่มความเสี่ยงให้มากขึ้นอีก  พีทควรจะต้องปลอดภัย   

มันเป็นหน้าที่ของเขา




ระยะเวลาเพียงไม่นานที่นายหมีติดตามเขาไปมหาวิทยาลัย  พีทแปลกใจที่เพื่อนทุกคนของเขาสนิทสนมกับ ‘พี่ชายพีท’ อย่างรวดเร็ว  เขายังคงไม่ชอบใจที่นายนั่นถืออภิสิทธิ์เหนือเขา  บังคับให้เขาต้องทำตามแค่เพราะเขาแพ้เพียงครั้งเดียว  พี่โดมถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาที่เห็นเขาทำตัว ‘ไม่น่ารัก’ กับนายหมี

“พี่ฮัทคุยสนุกออก  เพื่อนในวงชอบพี่ฮัทกันทุกคน  พี่เห็นเขาดูแลพีทดีนะ ไม่เห็นจะน่ารำคาญเลยสักนิด  ดีเสียอีก  เหมือนมีพี่ชายเพิ่มมาอีกคน”

โดมอดไม่ได้จึงขอออกความเห็นบ้าง   เวลานี้พวกเขากำลังพักผ่อนหลังจากที่นั่งทำรายงานกันมาหลายชั่วโมง 

ตอนนี้พี่โดมยกให้ ‘พี่ฮัท’ เป็นฮีโร่เลยทีเดียว  เพราะหลายครั้งที่พี่ฮัทของพี่โดมเป็นที่ปรึกษาเรื่องเรียนให้เขาและพี่โดมในบางวิชาที่เจ้าตัวเคยเรียนมา   พี่โดมมักจะขอให้นายหมีแปลเอกสารภาษาอังกฤษให้ฟังบ่อยครั้งเวลาพวกเขาต้องใช้ข้อมูลเขียนรายงานส่งอาจารย์  ซึ่งนายหมีก็คอยช่วยอย่างเต็มที่เสมอ  บางครั้งก็ช่วยเป็นธุระในการขอข้อมูลประกอบการจากบริษัทชั้นนำหลายแห่งที่พวกเขาต้องใช้เพื่อประกอบรายงาน   ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ exclusive ชนิดที่ทำให้อาจารย์ของพวกเขาตกตะลึงมาแล้ว   บางครั้งนายหมีก็ยกตัวอย่างทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่นำมาใช้จริงในการบริหารการเงินของโรงแรมของพ่อเขา  นายนั่นอธิบายละเอียดยิบเหมือนต้องการให้พีทได้เรียนรู้งานของพ่อไปด้วย   

พีทเก็บความสงสัยของเขาไว้  ได้แต่คิดว่าคนระดับไหนกันที่รู้ข้อมูลเชิงลึกได้ขนาดนี้   ขนาดเขาเป็นลูกชายของพ่อยังเข้าไม่ถึงข้อมูลระดับนี้เลยด้วยซ้ำ

“ผมไม่ชอบให้ใครมาตามติด  พี่ก็รู้นี่”  พีทเถียง 

‘ยกเว้นนายนั่นจะยอมให้เขาขับออดี้อีกนะ’

“พีทก็อย่าคิดว่าเขาเป็นบอดี้การ์ดสิ    คิดว่าเขาเป็นเพื่อน  เป็นพี่ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนพี่ไง  ไม่เห็นพีทรำคาญอะไรพี่เลย  เราเรียนด้วยกัน  กินข้าวด้วยกัน  ซ้อมดนตรีด้วยกันอีก”  พี่โดมให้เหตุผล

“โธ่ พี่โดม  นายนั่นไม่ใช่พี่ผมสักหน่อย  อีกอย่างเขาตามผมแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะตั้งแต่ตื่นนอนจนจะเข้านอนด้วยซ้ำ  ผมเหม็นหน้านายนั่นจะตายอยู่แล้ว  พี่เข้าใจไหม  ไม่รู้เมื่อไรพ่อจะกลับมา”

พีททำปากยื่นประกอบคำพูดนั้น  ถ้าเป็นเวลาอื่นโดมก็คงจะเห็นว่าท่าทางนั้นของพีทดูน่ารักเหมือนเด็กน้อยเวลาถูกขัดใจ  แต่ตอนนี้โดมชักอยากจะดีดปากยื่น ๆ นั่นแทน 

พูดไม่ทันขาดคำคนที่ถูกกล่าวถึงก็เดินมาที่โต๊ะพอดี  ร่างสูงใหญ่เดินยิ้มกว้างเข้ามาพร้อมกับถุงพลาสติกบรรจุอาหารว่างและขนมหลายอย่างที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต  คนตัวใหญ่หยิบขวดนมมาวางไว้ตรงหน้าพีทแล้วส่งถุงขนมให้โดม   โดมรับถุงขนมมาพร้อมกับหันหน้าไปมองพีท ยักคิ้วให้เหมือนจะบอกว่า

‘พี่พูดถูกไหมล่ะว่าพี่ฮัทน่ะ  ดูแลนายดีจะตาย’


พีทเห็นดังนั้นจึงอยากกวนใครบางคนขึ้นมาบ้าง

“ไม่อยากกินนม” 

“งั้นเอาน้ำผลไม้ไหมล่ะ”  นายหมีหันไปหยิบถุงอีกใบหนึ่งขึ้นมาเปิดออกทำท่าจะหยิบขวดน้ำผลไม้ 

‘เอ๊ะ  ซื้อมาเผื่อขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย’  พีทมองเห็นขวดน้ำผลไม้หลายชนิดอยู่ในถุงนั้น

“จะกินน้ำปั่น”  พีทยังกวนต่อ

“คุณจะกินอะไรกันแน่  ไหนลองบอกมาชัด ๆ สิ”

“ก็น้ำผลไม้ไง  แต่ต้องปั่นด้วยนะ  มีมะ” 

“ไม่มี  แล้วถ้าไม่กินของที่ผมซื้อมาก็ไปหากินเองละกัน”  คนตัวใหญ่ว่าเสียงเรียบพลางเก็บขวดน้ำผลไม้ใส่ถุงไว้ตามเดิมแล้วทำท่าไม่สนใจอะไรอีกหันไปกินขนมกับโดม 

ปล่อยให้คุณชายหน้าหงิกอยู่คนเดียวที่กวนประสาทเขาไม่สำเร็จ





ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
11. ไม่ปลอดภัย



ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วกว่าพีทจะออกจากมหาวิทยาลัย เขานั่งไปเงียบเชียบไม่ต้องการพูดคุยอะไร  นายหมีก็ขับรถไปเงียบ ๆ ไม่พูดคุยกวนประสาทเขาเหมือนกัน  รถสปอร์ตมุ่งหน้าไปอีกมุมเมืองด้วยความเร็วสูง     ภายในรถมีแต่เสียงเพลงเปิดคลอเบา  อากาศในรถเย็นสบายไม่ร้อนเหมือนอากาศภายนอก  เบาะหนังที่เขานั่งอยู่ก็นุ่มสบายจนพีทที่เหนื่อยมาทั้งวันเริ่มเคลิ้มหลับ 

ทันใดนั้น  นายหมีก็เร่งเครื่องเร็วขึ้น  เขาเริ่มขับเปลี่ยนช่องทางจราจรไปมาเพื่อแซงรถคันหน้า  รถฉวัดเฉวียนไปมาจนพีทต้องลืมตาขึ้นมา  เขานิ่วหน้า

“นายจะรีบไปไหน  ทำไมนายไม่ขับให้มันดี ๆ เหมือนชาวบ้านเขาล่ะ”  ว่าโดยไม่มองหน้าคนขับ 

“...เอี๊ยด!!!....”

รถเบรกกะทันหัน  หักปาดออกทางซ้ายแล้วเร่งเครื่องต่อไปเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง 

คราวนี้พีทจึงสังเกตเห็นความผิดปกติ  เมื่อมองกระจกด้านข้างเห็นรถสปอร์ตแต่งสีดำติดฟิล์มมืดทั้งคันกำลังขับตามพวกเขา รถคันนั้นทำความเร็วขึ้นมา  เพียงชั่ววินาทีก็ขับมาประกบด้านที่เขานั่งพร้อมกับกระจกด้านข้างที่เลื่อนลงพร้อมอยู่แล้ว

พีทมองเห็นผู้ชายสวมแว่นตาดำเพียงแวบเดียว    แต่สิ่งที่พวกมันถือไว้ในมือต่างหากที่ทำให้เขาร้องขึ้นด้วยความตกใจ

“เฮ้ย!!!!!!!!”

ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น  ออดี้ก็พุ่งตัวทะยานไปข้างหน้าด้วยเครื่องยนต์แปดสูบที่ทำงานเต็มกำลัง  พาพวกเขาหลุดออกจากภาวะคับขันนั้นได้อย่างฉิวเฉียด  พีทหันไปมองรถสีดำคันนั้นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังด้วยดวงตาตื่น  หัวใจสูบฉีดแรงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกขับรถประกบ 
 
“กลัวรึเปล่า”  เสียงทุ้มจากคนข้างกายเขาถามขึ้น

พีทไม่ตอบ  จะให้ตอบยังไงล่ะ ถือปืนเล็งมาขนาดนั้น  ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเดียวพวกเขาโดนยิงแน่ ๆ  แต่ให้บอกว่ากลัวก็เสียฟอร์มสิ   
 
ซูเปอร์คาร์ยังคงวิ่งต่อไปด้วยความเร็วสูงสม่ำเสมอบนโทลเวย์ที่เป็นเส้นทางออกนอกเมือง   เมื่อคิดว่าพ้นจากการติดตามแล้วนายหมีจึงลดความเร็วลง

“พวกมันเป็นพวกเดิมนั่นรึเปล่า” 

“ไม่แน่ใจนะ แต่คิดว่าใช่”  นายหมียังคงสงบนิ่งอยู่เหมือนเดิม ไม่มีทีท่าตระหนกตกใจกับการถูกประกบที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ
 
“คุณเห็นอะไรบ้าง”  นายหมีถามเขา   

“ก็เห็นคนใส่แว่นตาดำถือปืนน่ะสิ  ถามได้” 

“ผมอยากรู้รายละเอียดกว่านี้หน่อย เช่น คุณทันสังเกตไหมว่าปืนที่พวกมันถือมีลักษณะไหน  คุณน่าจะรู้จักปืนบ้างนี่  หรือมือปืนมีลักษณะยังไง แก่หรือวัยกลางคน”  เจ้าของคำถามยังคงใจเย็น

พีทค่อยคลายความตกใจลงแล้ว  จึงเริ่มกลับไปคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างละเอียด 

“คนถือปืนนั่นมองไม่ทันแต่มันใช้ Colt 9 มม.”

“อืม  ตาไวใช้ได้นะ”  นายหมีนั่นชมเขา

“ตาไวอะไรกันล่ะ!   เป็นเพราะนายนั่นแหละ  ที่ปล่อยให้พวกมันขับรถประกบได้  พวกมันมีเวลามากพอที่จะยิงเราได้เลยนะ”

“ก็ถ้าไม่ปล่อยให้มันประกบ  เราจะได้เห็นหน้าพวกมันเหรอ”

“ว่าไงนะ  นายตั้งใจให้พวกนั้นตามเราทันงั้นเหรอ” 

“มันก็แหงอยู่แล้ว  รถผมแรงขนาดนี้  ถ้าเร่งจริง ๆ พวกนั้นตามไม่ทันหรอก” 

‘ยังจะมั่นใจอีกนะ  เขาหัวใจจะวายอยู่แล้วเมื่อกี้’

“บ้าชะมัด!”  พีทพึมพำกับตัวเอง

นี่มันจะเล่นแรงเกินไปแล้ว  แค่พ่อเขาจะเล่นการเมืองถึงขนาดส่งคนมาเก็บเขาเลยหรือ  เขากลับไปครุ่นคิดถึงคำพูดของพ่อก่อนที่จะไปอังกฤษ  มันเริ่มเล่นแรงตามที่พ่อคาดจริง ๆ  นี่ผ่านไปแค่ไม่ถึงสองอาทิตย์เขาถูกโจมตีแล้วสองครั้ง เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า กว่าพ่อจะลงรับสมัครจนเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อย  เขาจะเจออะไรอีกเท่าไร

“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรหรอกน่า สบายใจได้” นายหมีละสายตาจากถนนข้างหน้าหันมามองเขาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน  เพียงครู่เดียวก็หันหน้าไปขับรถต่อ

‘ตึก ตึก’ จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นจนเขารู้สึกได้ 

พีทรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจจากคำพูดและรอยยิ้มปลอบใจนั้น  เกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอย่างประหลาด  ภาพเรื่องราวที่เลือนรางเมื่อตอนเด็กคล้ายกับจะชัดเจนขึ้น  พี่ฮั่นมักจะปลอบใจเขาแบบนี้เสมอเวลาพวกเขาแอบผู้ใหญ่ไปเล่นอะไรที่โลดโผน
 
นี่เขาเป็นอะไร  ทำไมถึงได้คิดถึงขึ้นมามากมายขนาดนี้   เขากำลังคิดถึงคนที่จากไปนาน   

สิบปีแล้วสินะ



เสียงเคาะประตูห้องนอนทำให้ร่างที่นอนเหยียดยาวบนเตียงขนาดหกฟุตขยับตัวตื่น  เขางัวเงียดูนาฬิกาหัวเตียงที่บอกเวลาเก้านาฬิกาตรง จากนั้นจึงลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตู

“มีอะไร” ถามด้วยเสียงงัวเงีย หนุ่มน้อยผมยุ่งเพราะเพิ่งตื่น เขาอยู่ในชุดนอนเสื้อยืดสีขาวที่เนื้อผ้าย้วยแล้วเพราะใช้มานาน   กางเกงนอนสีซีดที่หาสีเดิมไม่เจอ 

“ตื่นได้แล้ว สายแล้ว  วันนี้เราต้องซ้อมนะ” นายหมีที่อยู่ในชุดออกกำลังกาย   ยืนอยู่นอกห้องส่งยิ้มสดใสมา

“ซ้อมอะไร  วันนี้วันเสาร์  วันหยุด  เข้าใจไหมวันหยุด! วันหยุด!!”  พีทหัวเสีย   ยกมือขยี้ผมตัวเอง  เมื่อคืนเขากลับจากร้านก็ตีสองแล้ว 

“ยูโดไง  คุณคงไม่ได้ซ้อมมานานแล้วใช่ไหม วันนั้นถึงได้แพ้ผมเร็ว”

“อยากชนะบ้างไหม  แข่งกันมั้ยล่ะ” 




พีทนั่งหน้าบูดอยู่ในห้องออกกำลังกายของบ้าน  เขาเหนื่อยจนพูดไม่ออกเพราะถูกบังคับให้มาออกกำลังกาย  พอเขาโวยวายไม่ยอมมาก็โดนถากถางต่าง ๆ นานา  เรื่องไม่รักษาสัญญา  เรื่องที่เขาสู้แพ้   นายหมีจับจุดเขาถูก  ก็นายนั่นเอาเรื่องที่เขาแพ้มาเยาะเย้ยเขา คนอย่างพีทมีหรือจะยอม ตอนแรกเขาคิดแต่ว่าจะเอาคืนนายหมีให้ได้เลยยอมลงมาที่นี่    ตอนนี้เขาออกกำลังกายมาเกือบชั่วโมงแล้ว   ยังไม่ได้แก้แค้นอะไรสักนิดเดียวเพราะนายนั่น

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น

“วิ่งแข่งกันมั้ยล่ะ ถ้าคุณวิ่งได้ไกลกว่าผมค่อยมาสู้กัน” นายหมีว่าพลางก้าวขึ้นไปบนลู่วิ่งออกกำลังกาย   พีทจึงไม่เห็นแววตาเจ้าเล่ห์บนใบหน้า

สิบนาทีต่อมา

“แค่วิ่งไม่ถึงสิบห้านาทียังหอบขนาดนี้ คุณทำอะไรผมไม่ได้หรอก อย่าลองเลย  ผมไม่อยากเอาเปรียบเด็ก”  นายหมีพูดขณะวิ่งบนลู่วิ่งข้างเขา  ขนาดวิ่งด้วยความเร็วกว่าเขาแล้วพูดไปด้วย  นายนั่นยังไม่หอบสักนิด  ส่วนเขาสิ...

นายนั่นแกล้งสบประมาทเขาแล้วก็ได้ผลเสียด้วย  พีทไม่ชอบแพ้ใคร  เขาเป็นคนที่ถ้าลองจะทำอะไรแล้วจะต้องทำอย่างเต็มที่  ดังนั้นเขาจึงกัดฟันวิ่งต่อแล้วมานั่งหมดแรงอยู่นี่

“ไง  หมดแรงล่ะสิ”  น้ำเสียงรื่นรมย์ถาม

พีทที่เหนื่อยจนพูดอะไรไม่ออก ฉุนกึก  เขาหันกลับตั้งท่าจะตอกใส่คนเจ้าเล่ห์บ้าง   แต่กลับพบขวดน้ำดื่มที่มีหยดน้ำเกาะพราวยื่นมาตรงหน้าแทน 

“กินน้ำก่อนแล้วค่อยบ่นนะ” 

“ไม่ต้องมาทำมีน้ำใจหรอก ชั้นเอาคืนแน่”  พีทเอ่ยอาฆาตแล้วก็คว้าขวดน้ำเย็นขึ้นดื่มอย่างกระหาย

“ระยะนี้คุณควรจะออกกำลังกายแล้วก็ซ้อมยูโดไว้นะ  คุณก็เห็นแล้วว่าพวกมันเล่นแรงขนาดไหน”

ใบหน้าคมมองตรงมายังเขา เหงื่อไหลตามใบหน้าลงสู่ปลายคางทีละหยด ผมบางส่วนที่ปรกหน้าผากเปียกเพราะเหงื่อ สายตาที่มักแฝงแววขี้เล่นอยู่เสมอแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง  และถ้าเขาตาไม่ฝาดเขาเห็นความห่วงใยอยู่ในนั้นด้วย   

“วันไหนคุณล้มผมได้ ผมจะยอมทำตามคำสั่งคุณบ้าง ตกลงไหมล่ะ”  หน้าจริงจังเปลี่ยนมายิ้มให้เขา 

“หืม ว่าไงนะ” 

ข้อเสนอนี่มันช่างเย้ายวนใจเขาเหลือเกิน สมองของเขากำลังแล่นไปไกลแล้วถึงแผนการหลากหลายที่เขาจะเอามาเล่นงานนายหมี  พีทหัวเราะอยู่ในใจ 

‘อีกไม่นานหรอก  นายต้องแพ้แน่!!’

“ตกลง  นายอย่าลืมก็แล้วกัน” 

แต่คราวนี้พีทไม่ตกหลุมหรอก  หมอนี่รู้ว่าเขาไม่ชอบการถูกท้าทายและความพ่ายแพ้จึงแกล้งทำให้เขายอมรับคำท้าแล้วทำตามที่นายนั่นต้องการ  แล้วยังกล้าใช้ลูกไม้เดิมกับเขาอีก  คิดว่าเขาจะซื่อบื้อล่ะสิ  ที่เขายอมตกลงเป็นเพราะเขาคิดเหมือนกันว่าเขาจะทำตัวปกติเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว  ในเมื่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมันผิดปกติ   เขาก็ต้องป้องกันตัวเองด้วย  คราวที่แล้วพวกมันห้าคนเขายังเอาไม่อยู่   แล้วถ้าพวกมันมากันมากกว่าเดิมเขาจะทำยังไง   

‘จะคอยพึ่ง...’  พีทเหลือบตามอง ‘นายนั่นตลอดเวลาคงไม่ได้’

นายหมีนั่นยิ้มอีกแล้ว  คราวนี้ยิ้มกว้างจนตาหยี  ดูน่ารักไม่สมกับหน้าตาแบดบอยของตัวเองสักนิด   

ภาพคุณชายหน้าบูด  เหลือบตากลม ๆ มามองทำให้คนที่เฝ้ามองอมยิ้ม 

‘เหวี่ยงเก่งชะมัดเด็กบ้า!’



ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
12. ความฝัน


เวลาบ่ายของเขาไม่ถูกรบกวนจากใคร  พีทใช้เวลานี้ทบทวนบทเรียนโดยมีเจ้าแรมโบ้นอนมองเขาอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่าง  นายหมีหายตัวไปตลอดทั้งบ่ายทำให้พีทสบายใจ   เขานั่งเก้าอี้ประจำบนชานกว้างริมสระ หงส์สีขาวหลายตัวเล่นน้ำอยู่ในสระอย่างสบายอารมณ์   สายลมเย็นพัดโชยผ่านมาเป็นระยะ  พีทผ่อนคลายอารมณ์มากขึ้นหลังจากเกิดเรื่องราวมากมายในระยะเวลาเกือบเดือน 

เขาถูกนักเลงรุมซ้อม  หัวแตก  เพราะพรรคการเมืองคู่แข่งส่งมาเพื่อขู่ไม่ให้พ่อเล่นการเมือง 

อีกหลายวันถัดมามีมือปืนขับรถประกบ  เขารอดได้หวุดหวิด 

ตอนนี้เขาต้องกลับมารื้อฟื้นยูโดแต่เขายังอยากร้องเพลง 

เขามีบอดี้การ์ดส่วนตัว  คนที่เขาไม่ชอบหน้าแต่หน้านายหมีกลับไปคล้าย...




เด็กชายอ้วนจ่ำม่ำกำลังเล่นรถยนต์ของเล่นอยู่ในห้องส่วนตัว รอบกายเต็มไปด้วยรถคันเล็กที่มีรูปร่างเหมือนของจริง  มีทั้งขนาดเล็กเท่าฝ่ามือที่เด็กจะจับได้และขนาดใหญ่ขนาดเด็กขึ้นไปนั่งภายในได้  พี่เลี้ยงหลายคนช่วยเล่นเป็นเพื่อน  แต่ไม่นานเด็กชายร่างกลมก็โมโหร้องไห้จ้า  มือกลมป้อมนั้นคว้ารถของเล่นขว้างปาใส่บรรดาพี่เลี้ยง  ไม่ว่าใครจะปลอบ  จะหลอกล่อด้วยตุ๊กตาอื่น  เด็กน้อยก็ไม่ยอมหยุด

“ปู๊น ๆ รถไฟมาแล้ว ปู๊น ๆ ใครจะขึ้นรถไฟมั่ง ปู๊น ๆ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเรียกความสนใจจากเด็กชายตัวอ้วนกลมให้หยุดร้องไห้ทันที

“ไปเที่ยวด้วยกันมั้ย  รถไฟจะออกแล้วนะ” 

เด็กชายแปลกหน้าคนหนึ่งมายืนอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้ ใบหน้ากลมกำลังยิ้มกว้างจนตาชั้นเดียวนั้นแทบปิด  เขาทำมือเหมือนกำลังจับพวงมาลัยรถที่มองไม่เห็นอยู่

ร่างอ้วนจ่ำม่ำที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองของเล่นเงยหน้ามองผู้มาใหม่  น้ำตายังเปื้อนแก้มยุ้ยนั่น   สายตาจับจ้องไปยังคนแปลกหน้าที่ยิ้มชวนให้ขึ้นรถไฟ   

เขาไม่เคยเล่นรถไฟ 

“ขึ้นรถไฟกันนะ”  แขนอวบยื่นมือมาเป็นเชิงชักชวน

มือเล็กป้อมนั้นจึงยื่นส่งให้  ไม่นานทั้งคู่ก็ขึ้นรถไฟโดยคนตัวเล็กเกาะเอวคนตัวใหญ่ไปเที่ยวทั่วบ้าน  ทั้งห้องนอน  ห้องครัวและในสวนที่มีผีเสื้อบินวนไปทั่ว  เสียงหัวเราะของทั้งสองดังประสานกันเป็นระยะ ได้ยินไปถึงห้องรับแขกที่มีผู้ใหญ่สองคนคุยกัน

“ท่าทางพีทจะเข้ากับฮั่นได้ดีนะครับ  ดูสิเล่นกันน่ารักเชียว” 

โชคชะตาคงกำหนดไว้ เมื่อเด็กชายสองคน คนหนึ่งเพิ่งครบสี่ขวบได้ไม่นาน และอีกคนวัยแปดขวบ  กลายเป็นพี่น้องกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พีทยื่นมือไปหาพี่ฮั่นแล้ว

นับจากวันนั้นคุณโรสกับพี่ฮั่นก็เข้ามาอยู่ในบ้าน  พีทจึงมีพี่ชายตั้งแต่นั้นมา  เด็กน้อยติดพี่ชายคนนี้มากเพราะเคยเป็นลูกคนเดียวมาก่อน  พอมีพี่ชายคอยเล่นด้วยจึงติดแจ ไม่ยอมห่าง ต้องรอพี่ชายกลับจากโรงเรียนทุกวัน 

พีทที่เกือบจะเป็นคุณหนูเอาแต่ใจเปลี่ยนเป็นเด็กชายน่ารักเพราะเชื่อคำพูดพี่ฮั่นทุกคำ พี่ฮั่นไม่ให้พีทงอแงเอาแต่ใจ ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ถ้าพีทเป็นเด็กดี พี่ฮั่นก็จะพาไปเล่นอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่เด็กวัยแปดขวบจะคิดขึ้นมาได้เพื่อให้น้องสนุก   
 
พวกเขาอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา 

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อพีทอายุสิบขวบ วันที่พ่อมาบอกว่าพี่ฮั่นต้องไปอังกฤษด้วยเหตุผลบางอย่างที่เด็กอย่างเขาไม่เข้าใจ เขาร้องไห้เสียใจ พร่ำอ้อนวอนไม่ให้พี่ฮั่นจากไป  แต่พี่ฮั่นทำหน้าเศร้าปฏิเสธเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านนี้

“พี่ขอโทษนะพีท  พี่ต้องไปจริง ๆ พี่ขอโทษที่รักษาสัญญาไว้ไม่ได้”  มือของพี่ฮั่นโอบไหล่น้องไว้พยายามอธิบาย

“พี่ฮั่นไม่รักษาสัญญา  คนโกหก คนใจร้าย ไหนว่าจะเล่นกับพีทตลอดไป ถ้าพี่ไปพีทจะเกลียดพี่ จะโป้งได้ยินไหม”

พีทร้องไห้ฟูมฟายไม่ยอมให้พี่ฮั่นไป เขาเอาแต่กอดเอวพี่ชายไว้แน่น  ทั้งอ้อนวอน ทวงสัญญา แม้กระทั่งขู่ว่าจะโกรธถ้าพี่ฮั่นไป 

แต่พี่ฮั่นก็จากไป พีทเศร้าเสียใจมาก เขาเปลี่ยนไปไม่ร่าเริงเหมือนเก่า กลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์เหมือนเดิม ไม่พูดจากับใครแม้แต่พ่อและคุณโรส ถ้าใครเอ่ยถึงพี่ฮั่นให้ได้ยิน พีทจะอารมณ์เสียขึ้นมาทันทีและขว้างปาสิ่งของที่อยู่ใกล้มือ คุณโรสจึงเก็บรูปภาพและข้าวของทุกอย่างของพี่ฮั่นไว้ในห้องเพื่อให้ไกลจากสายตาเขา 
 
พีทเป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงร้องของอะไรบางอย่างหน้าห้องนอน

“งื๊ด ๆ” ลูกหมาตัวผู้พันธุ์ลาบาดอร์อายุราวสี่เดือนส่งเสียงร้องอยู่ในกล่อง  ที่คอของมันมีปลอกคอหนังห้อยป้ายชื่อว่า ‘แรมโบ้’  เขาตกหลุมรักเจ้าแรมโบ้ทันที  คุณชายน้อยอุ้มเจ้าแรมโบ้ขึ้นแนบอก

“แกก็ถูกทิ้งเหมือนกันเหรอ ไม่เป็นไรนะ เราจะดูแลนายเอง” 

เจ้าตัวเล็กนั้นมองสบตาเขานิ่งเหมือนเข้าใจคำปลอบ มันเลียหน้าเขาเป็นคำตอบ  จากนั้นมาหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวจึงกลายเป็นเหมือนเพื่อนซี้ ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา พีทเลิกซึมเศร้าเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลเจ้าแรมโบ้ ทั้งคอยป้อนนม อาบน้ำ ให้อาหาร พาไปหาหมอ  แรมโบ้ทำให้พีทไม่เหงา  มันทำให้เขาสดใสร่าเริงขึ้น 

วันเกิดปีที่สิบสอง พีทได้รับของขวัญเป็นกีตาร์โปร่ง มีการ์ดเขียนไว้ว่า ‘สุขสันต์วันเกิด  เล่นให้เก่งนะ’  เขากระโดดโลดเต้นไปทั่วบ้าน   หลังจากนั้นทุกคนในบ้านจึงได้เห็นภาพคุณชายตัวน้อยหัดเล่นกีตาร์ที่บ้านริมน้ำ มีเจ้าแรมโบ้วัยกำลังซนวิ่งอยู่รอบตัว  บางครั้งก็ได้ยินเจ้านายน้อยดุสุนัขตัวโปรด เมื่อกระดาษโน้ตเพลงถูกแรมโบ้คาบไปเล่นจนฉีกขาด  บางครั้งเจ้าแรมโบ้ก็นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้าง ๆ  ฟังเจ้านายร้องเพลงพลางดีดกีตาร์   ทุกคนสบายใจที่เห็นเขากลับมาร่าเริงเหมือนเดิม




“ฮื่อ”  พีทพลิกหน้าหนีเจ้าแรมโบ้ที่เข้ามาเลียหน้าเขา

“ไม่เอาแรมโบ้”   คราวนี้แรมโบ้คาบเสื้อเขาแล้วดึง

“โฮ่ง!” 

พีทสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเห่าของแรมโบ้  เขาหันมองรอบตัว  แสงอาทิตย์ยามเย็นกำลังสาดส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นแสงสีส้มระยิบระยับ  สายลมโชยเอื่อย  เขายังนั่งอยู่ริมสระน้ำหน้าบ้าน   

‘นี่เขาฝันไปเหรอเนี่ย’ 

ความฝันถึงเรื่องตอนเด็กแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ

“เฮ้อ”

หนุ่มน้อยถอนหายใจกับตนเอง  เท้าแขนกับเข่า  สอดมือทั้งสองลูบไปตามเส้นผมของตนเอง   สมองครุ่นคิดถึงภาพที่เขาเห็น  เขาคงคิดถึงพี่ฮั่นมากถึงได้ฝันถึง  พีทไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาคิดถึงพี่ฮั่นตลอดสิบปีที่ผ่านมา   แม้ว่าจะโกรธแต่ก็คิดถึง
 
ปีแรกที่พี่ฮั่นจากไป   พีทเสียใจเพราะเขารักพี่ชายคนนี้มากและไม่ต้องการแยกจากพี่ฮั่น  เขาโกรธที่พี่ฮั่นบอกว่าต้องไป  โกรธพ่อที่ส่งพี่ฮั่นไปไกลจากเขา  ไม่อยากพูดถึง ไม่อยากได้ยินใครก็ตามพูดถึงคนคนนี้อีก  พ่อและคุณโรสจึงไม่เคยเอ่ยถึงพี่ฮั่นให้ได้ยินอีกเลย

เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี พีทที่เติบโตขึ้นก็ได้รู้เหตุผลของพ่อที่ต้องส่งพี่ฮั่นไปไกลถึงอังกฤษ   

 
 
วันหนึ่งเจ้าแรมโบ้วิ่งเข้าไปในห้องนอนที่เปิดทิ้งไว้เพื่อทำความสะอาด แล้วคาบตุ๊กตาตัวหนึ่งติดมาด้วย  มันคาบตุ๊กตาตัวนั้นมาวางที่ตักเขาเหมือนต้องการเล่นด้วย  เขาจำตุ๊กตาตัวนั้นได้ทันที  มันเป็นตุ๊กตาหมีของพี่ฮั่นที่ให้เขาเป็นของขวัญวันเกิดตอนเด็ก  เวลานั้นเขาขว้างมันทิ้งไปเพราะยังโกรธเจ้าของอยู่  ตุ๊กตาไปตกที่เท้าของพ่อที่กำลังเดินเข้ามาพอดี    พ่อมองไปที่พีทอย่างตำหนิ  เข้าใจได้ทันทีว่าตุ๊กตานั้นเป็นของใคร 

“พีท ยังไม่เลิกโกรธพี่เขาหรือลูก นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว”  พ่อถอนหายใจอย่างอ่อนใจกับความใจแข็งของเขา  ก้มลงหยิบตุ๊กตาหมีที่เก่าจนเปื่อยแล้วขึ้นมาวางไว้ที่โต๊ะแล้วจึงตัดสินใจเล่าเรื่องบางอย่างให้เขาฟัง  เรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

“พ่อขอให้พีทฟังพ่อให้จบ อย่าเพิ่งโกรธนะลูก ฟังที่พ่อเล่าแล้วลูกค่อยตัดสินใจว่าจะโกรธพี่เขาต่อหรือเลิกโกรธพี่เขาเสียที พี่เขาจำเป็นต้องไปจริง ๆ”

“ตอนนั้นลูกยังเด็ก พ่อไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลูกเข้าใจสถานการณ์ได้ยังไง  มันไม่ใช่แค่การย้ายไปเรียนต่อไฮสกูลแต่มันเป็นการหนีภัยเลยก็ว่าได้”

“พีทจำตอนนั้นได้ไหม วันที่พ่อบอกว่าพี่ฮั่นไปเยี่ยมญาติกับคุณโรสน่ะ ก่อนพี่ฮั่นจะไปอังกฤษสามวัน” 

พีทนิ่ง  ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ  แต่เขากำลังนึกย้อนกลับไปเวลานั้น

“ความจริงแล้วพี่ฮั่นไม่ได้ไปเยี่ยมใครเลย  แต่พี่ฮั่นถูกลักพาตัว”

“ว่าไงนะครับ!”

นี่เป็นเรื่องที่เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก  ความรู้สึกตอนที่ได้ยินเรื่องนั้นหลากหลายปนเปกันไปหมด  พี่ฮั่นถูกลักพาตัวตอนอายุ 14  เขาถูกฟาดด้วยสันปืนจนสลบ  พวกโจรจับเขาใส่ถุงคลุมศีรษะพาไปไว้ที่ตึกร้างแห่งหนึ่งนอกเขตเมือง พวกโจรไม่ติดต่อกลับมา พ่อและคุณโรสได้รับข่าวจากคนขับรถเมื่อหาตัวพี่ฮั่นไม่พบ พ่อจึงส่งนักสืบออกตามหาทั้งคืนแต่ไม่ได้ข่าวอะไรเลย  พบแต่ร่างไร้วิญญาณของบอดี้การ์ดส่วนตัวสองคนที่ถูกจัดฉากทำให้ดูเหมือนว่าเกิดอุบัติเหตุบนถนนโทลเวย์ออกนอกเมือง 
 
เช้าวันรุ่งขึ้น  คุณฟงซึ่งเป็นอาของคุณพ่อและเป็นญาติฝ่ายพ่อคนเดียวที่เหลืออยู่เข้ามาในบ้านพร้อมกับยื่นเงื่อนไขที่ทำให้คุณโรสแทบช็อค  แกประกาศว่าเป็นคนลักพาตัวพี่ฮั่นไป  คุณฟงพร้อมทั้งคุณตาของพีทร่วมมือกัน  พวกเขาไม่ต้องการให้พ่อรับพี่ฮั่นเป็นบุตรบุญธรรมเพราะไม่อยากให้พี่ฮั่นมีส่วนในมรดกของตระกูล  ถ้าพ่อเขาไม่ทำตามคุณปู่ฟงจะไม่คืนพี่ฮั่นให้   แต่จะส่งไปประเทศที่สามโดยที่จะไม่มีใครสามารถตามหาตัวเจออีกเลย  นอกจากนั้นคุณปู่ฟงยังขู่จะขายหุ้นกิจการโรงแรมทั้งหมดซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อกิจการของตระกูลหยาง   พ่อไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมจำนนต่อเงื่อนไขนั้น 

วันถัดมาพี่ฮั่นจึงถูกส่งตัวกลับบ้านพร้อมกับรอยแผลทั่วตัวจากการถูกทรมาน  ร่างกายเด็กหนุ่มซูบซีดเพราะไม่ได้รับน้ำและอาหารใดตั้งแต่ถูกจับตัวไป  คุณโรสตัดสินใจจะพาพี่ฮั่นย้ายไปอยู่อังกฤษกับญาติที่นั่น  แต่พ่อไม่ยอม พ่อยังยืนยันจะให้พี่ฮั่นและคุณโรสอยู่ที่บ้านนี้ต่อไป  ทั้งคู่ทะเลาะกันใหญ่โตเพราะคุณโรสเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกชาย  เธอกลัวว่าคุณฟงหรือคุณตาของพีทอาจจะคิดทำร้ายลูกชายอีกถ้าพี่ฮั่นยังอยู่ใกล้ชิดคุณคริสต่อไป

พี่ฮั่นที่เข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ได้พอสมควรจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอไปอยู่อังกฤษด้วยตัวเองเพื่อตัดปัญหาทั้งหมด  โดยให้เหตุผลเรื่องการศึกษาต่อและเหตุผลด้านความปลอดภัย   เขาไม่ต้องการให้แม่ไปไกลจากบ้านเกิดแล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่   แม่เขาเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงมามากพอแล้ว  เขาต้องการให้แม่อยู่กับลุงคริสที่นี่ต่อไป   
 
“พีทลืมคิดไปรึเปล่าว่าพีทไม่ได้เสียใจคนเดียว  คุณโรสเองก็เสียใจไม่แพ้กันที่ต้องส่งลูกชายตัวเองไปอยู่ไกลขนาดนั้น  ความจริงคุณโรสเลือกที่จะไปอยู่อังกฤษกับฮั่นก็ได้  แต่คุณโรสยอมที่จะไม่ไปเพราะเห็นว่าฮั่นเองก็โตแล้ว   อีกเหตุผลคือคุณโรสต้องการอยู่ดูแลพ่อและพีทด้วย”




เกิดความรู้สึกหนักอึ้งในจิตใจหลังจากวันนั้น  พีทเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น  เขาคิดว่าเข้าใจเหตุผลของผู้ใหญ่ที่ต้องส่งพี่ฮั่นไปไกลเพื่อความปลอดภัย  แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่พีทยังคาใจอยู่มาก  นั่นคือ  ทำไมพี่ฮั่นไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลยสักครั้ง  โทรศัพท์หรือจดหมายก็ไม่เคยส่งมาหาแม้แต่ฉบับเดียว  แล้วเขาจะหายโกรธได้อย่างไรในเมื่อพี่ฮั่นไม่กลับมา

คงมีแต่พี่ฮั่นที่จะอธิบายได้



“โฮ่ง”

เจ้าแรมโบ้เห่าอีกครั้ง  ดึงพีทให้หลุดออกจากห้วงความคิด เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าแรมโบ้   มือเรียวเอื้อมมือไปลูบขนนุ่มของแรมโบ้แล้วเอียงหน้ายิ้มให้

“หิวล่ะสิ”  เจ้าแรมโบ้ตอบรับด้วยการส่ายหางไปมา

พีทจึงลุกขึ้นหันกลับเพื่อเดินไปหยิบอาหารของแรมโบ้ในบ้าน แต่ต้องชะงักไปเมื่อมองเห็นนายหมีกำลังยืนมองเขาอยู่ตรงประตู  ต่างคนต่างชะงักเพราะไม่คิดว่าจะเห็นอีกฝ่าย  เกิดบรรยากาศแปลก ๆ ขึ้นชั่วระยะหนึ่ง  นายหมีตั้งตัวได้ก่อนจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเก้อเขิน   

“ผมกำลังจะมาตามคุณไปกินข้าวเย็น”  นายนั่นยกมือปัดผมไปมา  ท่าทีแปลก

‘พี่  พี่ฮั่น!’  พีทที่ยังคงชะงัก  ครางเรียกชื่อนั้นในใจ

ใช่แล้ว  นายหมีหน้าเหมือนพี่ฮั่นในความฝันเมื่อครู่มาก  เปลี่ยนไปแค่ความสูงใหญ่ของร่างกาย   ไม่เจ้าเนื้อเหมือนเมื่อก่อน     เค้าโครงใบหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น 

‘ทำไมนายนี่เหมือนพี่ฮั่นขนาดนี้?’ 

ที่ผ่านมาเขาจำภาพสุดท้ายของพี่ฮั่นจากความทรงจำของเขาเอง ซึ่งผ่านมานานหลายปี  รูปทั้งหมดของพี่ฮั่นถูกเก็บไว้ในห้อง  ซึ่งเขาไม่เคยเข้าไปอีกเลยตั้งแต่เจ้าของห้องทิ้งไป  ครั้งแรกที่เขาเจอนายหมีเขาจึงคิดแค่ว่าคนหน้าคล้ายเท่านั้น  ไม่น่าจะเป็นพี่ฮั่นเพราะพี่ฮั่นอยู่อังกฤษไม่เคยกลับมาเลยสักครั้ง   
 
แต่เมื่อกี้ที่เขาฝัน  ภาพพี่ฮั่นในความทรงจำนั้นชัดเจนมากเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิด  พอได้มาเห็นนายหมีตอนนี้  ตรงนี้ จึงได้รู้ว่าเหมือนเหลือเกิน  เหมือนจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน   หรือว่า....




ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 o13


อุ้ยๆๆ เริ่มคิดได้แล้วสิน่ะ

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
o13


อุ้ยๆๆ เริ่มคิดได้แล้วสิน่ะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :-[


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด