The Timeless Tide...Special...วันลอยกระทง
ดวงหน้าติดหวานกำลังมุ่นหัวคิ้วน้อยๆเมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพผู้คนเบียดเสียด ทั้งตัวยังชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวยิ่งทำให้เจ้าของร่างโปร่งต้องยกมือขึ้นขยับคอเสื้อยืดสีขาวตัวบางเพื่อระบายความอึดอัด
หากเพียงครู่เดียวกลับสะดุ้งสุดตัวเมื่อสัมผัสเย็นเยียบแตะเข้าที่ข้างแก้ม พอยกมือขึ้นจับถึงได้รู้ว่าเป็นขวดน้ำเย็นที่อยู่ในมือของใครอีกคน
"ร้อนหรือ" เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับเปิดขวดน้ำแล้วส่งให้อีกฝ่ายดื่ม
"ไม่ชอบที่คนเยอะๆน่ะครับ" คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้า สำหรับเขา อากาศที่ว่าร้อนของเมืองไทยยังไม่น่าหงุดหงิดเท่าผู้คนที่เบียดเสียดอยู่รอบตัวตอนนี้ "เห็นแล้วเวียนหัว"
"วันเทศกาลแบบนี้ที่ไหนก็คนเยอะทั้งนั้น" กันตวิชญ์เปรยเสียงเรียบก่อนเหลียวมองรอบตัว แม้จะยืนอยู่บนที่สูงลมพัดโกรกเย็นสบาย แต่เมื่อนึกถึงจำนวนคนมหาศาลที่เบียดเสียดตลอดทางกว่าจะขึ้นมาถึงแล้วก็นึกรำคาญใจอยู่บ้าง
"บอกแล้วว่าไม่ต้องมา...ท่าน้ำหน้าเรือนยังดูเข้าท่ากว่าอีก" แต่คงไม่น่ารำคาญใจเท่าคนที่นั่งกระพือเสื้อไล่ความร้อนอยู่ข้างๆนี่หรอก
"ก็ไม่ได้จะพามาลอยกระทงเสียหน่อย" กันตวิชญ์ยิ้มบางขณะยกมือเกลี่ยปอยผมชื้นเหงื่อของคนที่กำลังมีสีหน้าสงสัยขึ้นทัดหู ก่อนเจ้าตัวจะเหลือบตามองยอดเจดีย์ทองที่ส่องสะท้อนแสงไฟ ด้านบนระโยงระยางด้วยเชือกร้อยกระดาษสามเหลี่ยมมาบรรจบกันตรงยอด ด้านล่างฐานเจดีย์ถูกพันล้อมด้วยผ้าแดงคล้ายถูกห่ม พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่เดินสวนกันขวักไขว่ บ้างกำลังเขียนชื่อลงบนผ้าแดงห่มฐานเจดีย์ บ้างก็นั่งสวดมนต์ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต แต่ก็ยังมีอีกมากที่ยืนชื่นชมความงามของเมืองหลวงยามค่ำคืนจากมุมสูง
"เคยบอกไว้ว่าจะพามางานภูเขาทองยังไงล่ะ"
สิ้นเสียงทุ้มนุ่ม เสียงพรูลมหายใจอ่อนจากอีกคนก็แว่วให้ได้ยิน เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าคนที่นั่งหมดแรงบนเก้าอี้ยาวเมื่อครู่ลุกมายืนอยู่ข้างเขาเสียแล้ว
"แต่งานภูเขาทองที่พี่แก้วอยากพาธีร์มา คงไม่เหมือนแบบนี้สินะครับ" คนตัวเล็กกว่าพูดถูก เอาเข้าจริงสภาพที่เขาเห็นตอนแรกที่มาถึงก็ออกจะ 'ผิดคาด' ไปมากโข เริ่มจากรถราบนถนนที่แน่นขนัดตลอดเส้นทาง พอมาถึงปากทางเข้าวัดสระเกศยังต้องตกใจกับจำนวนผู้คนเบียดเสียดจนเดินสวนกันแทบไม่ได้ ทั้งสองฝั่งข้างทางยังเรียงร้ายด้วยซุ้มขายอาหารเป็นแนวยาวยิ่งบีบให้ทางคนเดินแคบลงอีก กว่าจะมาถึงประตูวัดได้ก็เล่นเอาเหงื่อโทรมกันทั้งคู่ ยังไม่รวมทางเดินขึ้นเขาจนมาถึงฐานเจดีย์ นึกมาถึงตรงนี้ก็ไม่แปลกใจนักที่คนข้างๆจะออกอาการหงุดหงิด
"ช่วยไม่ได้ ก็งานที่พี่อยากพาเราไปเห็นมันไม่มีโอกาสแล้วนี่นะ" กันตวิชญ์ได้แต่ยิ้มอ่อนกับตัวเอง นึกไปถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเด็กหนุ่มเมื่อครั้งที่เขายังเป็นใครอีกคน แต่เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้ทำอย่างใจนึก พอมาตอนนี้อยากทำอะไรเพื่อชดเชยสิ่งที่เคยขาดไปบ้าง แต่ทั้งเวลาและสถานที่ก็กลับไม่เอื้ออำนวยเสียอีก คิดได้แบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยที่เห็นว่าอีกคนไม่สนุกไปด้วย
ดูเหมือนคนตัวเล็กกว่าจะรับรู้ได้...ชลนธีร์เหลือบมองคนที่ยืนนิ่งไปนาน มือขาวเอื้อมออกกระชับมือหนาของอีกฝ่ายให้พอรู้สึกตัวก่อนส่งยิ้มบางกลับไปให้คล้ายคำขอโทษกลายๆ
"ไหนๆก็มาแล้ว...ลงไปเดินเล่นข้างล่างกันดีกว่าครับ" พูดจบก็ออกแรงกระตุกมือที่เกาะกุมให้อีกฝ่ายเดินตามไปยังบันไดวนลงไปด้านล่าง หากแต่ถูกขืนแรงเอาไว้ให้ต้องหันมามองแทนคำถามอีกครั้ง
"ขึ้นมาถึงบนนี้ทั้งที ไหว้พระเสียก่อนสิ" รอยยิ้มปรายกลับมาประดับบนใบหน้าคมเข้มเช่นเคยให้คนได้เห็นพอใจชื้น พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วจับจูงมือกันไปถึงฐานเจดีย์ เลือกเอามุมที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนักก่อนทิ้งตัวลงคุกเข่าเคียงกัน สองมือประนมก้มกราบพระบรมสารีริกธาตุแล้วตั้งจิตอธิษฐาน น่าแปลกที่ความหงุดหงิดใจเมื่อครู่ลอยหายไปจนหมด อาจเป็นเพราะลมเย็นด้านบนพัดโกรกอยู่เนืองๆ หรือเพราะได้รู้เหตุผลของคนตัวสูงที่พาเขามาถึงที่นี่ หรือจะเป็นแค่เพราะมีใครบางคนคนั่งอยู่เคียงข้าง ชลนธีร์เองก็ไม่รู้แน่เหมือนกัน
สักการะพระบรมสารีริกธาตุกันเสร็จก็พากันเดินลงมายังบริเวณงานด้านล่าง หากลงมาได้เพียงครึ่งทาง เจ้าของมือขาวก็ออกแรงดึงแขนเบาๆเมื่อหันไปเจอสิ่งที่น่าสนใจกว่า
"อะไรหรือ"
"ลอยเทียนกันมั้ยครับ" กันตวิชญ์มองเลยไปยังบ่อปูนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่นักด้านหลังเมื่อได้ยินคำชักชวน
"เอาสิ" เมื่อเห็นว่าจำนวนคนไม่เบียดเสียดมากนักถึงได้ตอบตกลง คนตัวเล็กกว่าจึงผละมือออกเพื่อต่อแถวซื้อเทียนจากโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เพียงครู่เดียวก็เดินกลับมาพร้อมเทียนหอมแกะเป็นลายดอกไม้สองอัน อันหนึ่งสีชมพู ส่วนอีกอันหนึ่งสีม่วง
"ของพี่แก้ววันเสาร์ สีม่วงนะครับ" ว่าพลางยื่นเทียนหอมสีม่วงให้คนตัวสูงกว่าที่ยืนคอยอยู่ริมสระ รอจนคนตัวสูงจุดเทียนของตัวเองก่อนแล้วค่อยหันมาจุดเทียนสีชมพูบ้าง
"แปลกดี เมื่อก่อนไม่เห็นมีแบบนี้" แว่วเสียงทุ้มนุ่มบ่น คนที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอธิษฐานอยู่ถึงได้หลุดขำออกมาเบาๆ
"เวลาเปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยนครับ เดี๋ยวนี้อะไรขายได้เขาก็ทำกันทั้งนั้น"
"นั่นสินะ...อะไรๆก็การตลาด แม้แต่ความเชื่อ ความศรัทธาก็ยังขายได้" กันตวิชญ์ว่าพลางหย่อนเทียนหอมอันเล็กลงในบ่อปูนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเทียนหลากสี บ้างส่องแสงไฟระยิบระยับบ้างก็ดับไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นภาพที่สวยชวนมองจนอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพเอาไว้
กดชัตเตอร์ไปได้เพียงสองสามรูปแล้วก็หันจุดโฟกัสไปที่คนตัวบางข้างๆแทน โครงหน้าเรียวรีได้รูปส่องสะท้อนกับแสงเทียนเป็นสีนวลระเรื่อ ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆยามเจ้าตัวก้มลงหย่อนเทียนหอมลงบนผืนน้ำแล้วจดจ้องแสงเทียนที่วูบไหว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นว่าเขากำลังถือเครื่องโทรศัพท์หันเข้าหานั่นล่ะถึงได้มุ่นคิ้วน้อยๆคล้ายไม่พอใจ
"ไม่เห็นมีอะไรน่าถ่ายเลย" ชลนธีร์ไม่ชอบถูกถ่ายรูป และกันตวิชญ์ก็รู้นิสัยข้อนี้ของคนรักดี เพียงแต่บางทีเขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบบันทึกภาพของคนตัวบางในอิริยาบถต่างๆ ถึงแม้จะต้องแลกมาด้วยเสียงบ่นแทบทุกครั้งก็ตาม
"ลงไปเดินเล่นงานข้างล่างกันดีกว่า" ว่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องโดยการเอื้อมมือไปเกาะกุมข้อมือเรียวแล้วออกแรงดึงให้ลุกขึ้นยืนเคียงกันโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ออกปากบ่น
ลานวัดด้านล่างถูกเปลี่ยนสภาพเป็นงานมหรสพขนาดย่อม มีตั้งแต่ชิงช้าสวรรค์ติดหลอดไฟหลากสี รวมไปถึงเกมส์และโชว์แปลกๆตามแต่งานวัดทั่วไปพึงจะมี ซึ่งส่วนใหญ่ก็สามารถเรียกความสนใจจากผู้มาร่วมงานได้เป็นอย่างดีสังเกตได้จากจำนวนคนที่เข้าแถวรอ
"อยากดูอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า" เพราะจำนวนคนที่มากขึ้น กันตวิชญ์จึงต้องเปลี่ยนตำแหน่งมาเดินซ้อนด้านหลังอีกฝ่ายแทน มีเพียงมือหนาที่ยังเกาะเกี่ยวไม่ยอมปล่อยเพราะเจ้าตัวคอยให้เหตุผลว่า 'กลัวจะหลง'
"ไม่รู้สิครับ เยอะแยะจนลายตาไปหมด"
"ถ้าอย่างนั้นไปปาโป่งกันดีกว่า" หากคำตอบกลับทำเอาคนข้างหน้าชะงักฝีเท้าแล้วเหลือบมองด้วยสีหน้าสงสัย
"สมัยโน้นมีปาโป่งด้วยหรือไง"
"สมัยโน้นไม่มี แต่สมัยนี้ตอนเด็กๆก็เคยเล่น" คนตัวสูงว่ากลั้วเสียงหัวเราะ เห็นทีคนรักคงติดภาพเขาเมื่อก่อนจนลืมไปแล้วว่าชาติภพนี้เขาก็มีชีวิตวัยเด็กเหมือนคนอื่น
"ถ้างั้นก็แสดงฝีมือให้ดูหน่อยนะครับ" พอรู้ตัวว่าเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อก็ได้แต่กระแอมบอกแบบไม่เต็มเสียงนัก ทั้งใบหน้าติดหวานยังขึ้นสีระเรื่อให้คนได้เห็นนึกเอ็นดู
คนตัวเล็กกว่าเดินนำมาจนถึงซุ้มปาลูกโป่ง ยืนมองรางวัลที่ส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตาแขวนเรียงรายอยู่ด้านบน อันที่จริงไม่มีตัวไหนเข้าตาเขาหรอก แต่เพราะอยากเห็นฝีมือคนข้างๆเลยสุ่มเลือกเอาตุ๊กตานกฮูกสีเทาตัวใหญ่ที่อยู่ทางขวาแล้วส่งสายตาท้าทายให้อีกฝ่ายแสดงฝีมือ
แล้วมีหรือที่คนถูกท้าจะไม่รับคำ แต่เพราะร้างมือจากการละเล่นพวกนี้ไปนาน กว่าที่คนยืนลุ้นจะได้ตุ๊กตามาไว้ในอ้อมแขนก็เล่นเอาธนบัตรใบย่อยเกือบหมดกระเป๋ากางเกง ถึงกระนั้นกันตวิชญ์ก็ไม่นึกเสียดายเท่าไหร่เมื่อได้เห็นสีหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่าย ทั้งยังเสียงโห่แซวเมื่อเขาปาลูกดอกพลาดเป้า และเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างในที่สุดยามได้กอดของรางวัล
สำหรับคนตัวสูง...แค่นั้นก็ถือเป็นรางวัลของเขาแล้วเหมือนกัน
ดูท่าว่าอารมณ์ของคนถูกพามาจะดีขึ้นทันตาเห็น เพราะหลังจากนั้นก็เอาแต่ออกปากชี้ชวนให้แวะร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมให้เขาเสียเงินให้กับเกมส์อะไรอีกเพราะเจ้าตัวบ่นว่าเปลือง มีก็แต่ของกินที่ถือเต็มสองมือนี่ล่ะที่ไม่บ่น ก็ตั้งแต่มาถึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันทั้งคู่ แถมในงานยังมีขนมหน้าตาแปลกที่หาทานได้ยากเต็มทีในสมัยนี้ สุดท้ายเลยกลายเป็นคนตัวสูงที่ต้องช่วยหอบหิ้วของฝากเอาไว้เต็มมือแทน
"นั่งชิงช้าสวรรค์กันไหม" ชลนธีร์เงยหน้ามองตามคำชักชวนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเมื่อคนตัวสูงพามาหยุดตรงหน้าชิงช้าสวรรค์ที่เมื่อตอนมาถึงยังเห็นว่าคนรอคิวกันยาวเหยียด แต่ตอนนี้กลับไม่มีคนคงเพราะเวลาล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มแล้ว
"มันดู...ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นะครับ" คนตัวสูงเหลือบมองตามแล้วก็นึกเห็นด้วย ทั้งกระเช้าเหล็กนั่นก็เล็กกว่าที่เขาเคยนั่งมา ต่อให้อยากขึ้นไปนั่งคู่กันก็คงจะทำไม่ได้ เช่นนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
"ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเลยดีไหม" ว่าพลางฉวยข้อมือขาวมาเกาะกุมไว้อีกครั้ง "กลับไปลอยกระทงกันดีกว่า"
คราวนี้คนตัวเล็กกว่ารีบพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มกว้าง ปล่อยให้อีกคนจูงมือฝ่าฝูงชนที่ตอนนี้บางตาลงกว่าเมื่อตอนมาถึงมากนักออกจากวัดไป
.......................................................................................
ริมแม่น้ำเจ้าพระยาค่ำคืนนี้ช่างคึกคัก แว่วเสียงผู้คน เสียงประทัดมาแต่ไกล ทั้งผืนน้ำก็ยังถูกแต่งแต้มด้วยดวงประทีปนับร้อยนับพัน ท้องฟ้ามืดสนิทสว่างวาบเป็นระยะด้วยพลุไฟหลากสี ส่งให้เจ้าพระยาค่ำคืนนี้งดงามยิ่งกว่าคืนไหนๆ
ท่ามกลางสีสันและความพลุกพล่าน...เรือนโบราณทรงฝรั่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำกลับเงียบสงบ มีเพียงแสงไฟสีส้มนวลส่องสว่างจากบนเรือนและท่าน้ำเล็กด้านข้างที่ถูกต่อเติมใหม่จนได้ระดับเดียวกับผืนน้ำ
สองร่างนั่งเคียงคู่อยู่ริมท่า ต่างคนต่างประคองกระทงใบตองของตัวเอง สบตากันเพียงครู่แล้วจึงก้มลงตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมาต่อพระแม่คงคาถึงสิ่งที่ได้ล่วงเกินต่อผืนน้ำ ขอให้ความทุกข์ ความโศกเศร้า ลอยไปกับกระทง ทั้งยังเผื่อแผ่ไปถึงใครอีกคนที่อยู่เคียงข้าง เหมือนกับกระทงทั้งสองที่ลอยเคียงคู่ราวกับถูกพันผูกไว้ไม่ให้ห่างกัน
"วันนี้ขอบคุณมากนะครับ" เสียงนุ่มดังขึ้นเมื่อย้ายตัวขึ้นมานั่งบนศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนได้สักพัก สายตายังทอดมองดวงประทีปจุดน้อยๆลอยล่องกลางผืนน้ำ แผ่นหลังพิงแผงอกกว้างใช้ต่างหมอนหนุนที่ดูท่าว่าคนถูกเอาเปรียบก็ไม่นึกบ่น
"หืม...เรื่องอะไรหรือ"
"ก็...ที่พาไปเที่ยว" อ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับยิ่งทำให้คนข้างหน้าเบียดตัวเข้าหาจนคล้ายกับทั้งร่างจมหายไปกับแผงอกกว้าง
"นึกว่าไม่ชอบเสียอีก"
"ก็แค่ไม่ชอบคนเยอะ...แต่ก็...สนุกดี" อ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มเสียงนักจนคนฟังต้องโน้มใบหน้าคมลงมาให้ได้ยินใกล้ๆ
"ไว้ปีหน้าจะพาไปที่อื่น...เอาที่คนไม่เยอะ ธีร์จะได้ไม่หงุดหงิด...ดีไหม" ใบหน้าติดหวานพยักรับ ทั้งรอยยิ้มบางยังจุดประกายที่มุมปาก อันที่จริงเขาอยากบอกอีกคนว่าเพียงได้นั่งมองผืนน้ำกับพลุไฟหลากสียามค่ำคืนแบบนี้ก็ทำให้ความหงุดหงิดจางหายไปหมดแล้ว แต่เพราะไม่อยากให้คนฟังได้ใจถึงได้นั่งเงียบไม่มีปากเสียงเช่นนี้
"แล้วเมื่อกี้อธิษฐานอะไรหรือครับ"
"อธิษฐานเหมือนทุกปี" อ้อมแขนกระชับแน่นแทนคำตอบ ชลนธีร์ยังจำไ้ด้ถึงวันลอยกระทงที่พระนครคราวก่อน คราวที่เขาคาดคั้นเอาคำตอบที่พอได้ยินแล้วก็ให้รู้สึกอุ่นวาบกลางหัวใจ
'ขอให้พี่ได้อยู่กับพ่อธีร์ตลอดไป'
"ปีนี้ก็สมหวังแล้วสิครับ" ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆหากแต่พยายามเบือนหน้าหลบไม่อยากให้คนด้านหลังได้เห็น
"อยากให้สมหวังทุกๆปี คนดีทำให้พี่ได้มั้ยครับ" จมูกโด่งรุกไล่บนแก้มขาวเพียงครู่ก็ละออกแล้วแนบใบหน้าคมลงมาแทน
"ใครจะไปรู้ล่ะครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต"
"ถ้าอนาคตของธีร์ยังมีพี่อยู่ด้วย พี่ก็สัญญาว่าจะทำให้มันเป็นจริง" เสียงทุ้มนุ่มดังข้างหูชวนให้ใจสั่นพิลึก
"ตกลงว่าธีร์กำลังพูดอยู่กับคุณกันตวิชญ์หรือหลวงพิสิษฐกันแน่นะ...เจ้าสำบัดสำนวนขนาดนี้"
"จะคนไหนก็เหมือนกันนั่นล่ะ" น้ำเสียงนุ่มดังแผ่วเจือแววขบขัน "รักชลนธีร์คนนี้คนเดียวเหมือนกัน"
หากคนฟังไม่นึกตลกตามไปด้วย ใบหน้าขาวเบือนหนี ทว่าในสายตาของคนจดจ้องกลับได้เห็น ริ้วแดงซ่านบนปรางนวล...มือหนาละออกจากเอวบางเปลี่ยนเป็นเชยคางมนให้คนขี้อายยอมเงยหน้าขึ้นสบตา ก่อนประทับริมฝีปากหยักลงบนหน้าผาก แตะแผ่วเบาราวสัมผัสปุยนุ่นแล้วผละออก สอดแขนรั้งร่างคนรักเข้าแนบอกแล้วตระกองกอดไว้เช่นนั้น รับรู้ถึงอ้อมแขนผอมที่โอบกระชับตอบกลับมาทั้งที่ใบหน้ายังซุกซบกับอกกว้าง รับรู้ถึงไออุ่นของคนตรงหน้า รับรู้ถึงคำตอบของคำรักที่เขาเพิ่งหยิบยื่นให้
หากเพียงเรื่องเดียวที่กันตวิชญ์และหลวงพิสิษฐไม่ล่วงรู้
คือคำอธิษฐานต่อพระแม่คงคาของใครอีกคน
...ที่ขอให้ได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไปเช่นเดียวกัน...
..............................………...............................
มาช้ายังดีกว่าไม่มา~ (อ้างงงง)
สุขสันต์วันลอยกระทงย้อนหลังนะเจ้าคะมิตรรักนักอ่านทุกท่าน หายไปน๊าน-นาน กลับมามีแค่ตอนพิเศษเล็กๆน้อยๆ แต่ความคิดถึงไม่น้อยตามนะคะ
คิดถึงผู้อ่านทุกคน แต่ตอนนี้โหมงานหนักมากค่ะ แทบจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น พอมีวันหยุดก็ได้แต่นอนซ่อมร่าง รู้สึกชีวิตลำบากขึ้นนิดหน่อย (เพราะไม่มีเวลาเขียนนิยายนี่ล่ะ มันคันไม้คันมือ)
แล้วพบกันในวันหน้านะคะ *กราบบบบ*