...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]  (อ่าน 309909 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ta_ii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สวัสดีจ้าคนเขียน เราเพิ่งได้อ่านเรื่องนี้จบ เป็นนิยายวายที่ใช้ภาษาได้งดงามมาก ไหลลื่น อ่านแล้วไม่สะดุดุ แถมยังรู้สึกละมุนไปทุกบทบรรยายที่คนเขียนต้องการสื่อออกมา เราอ่านแล้วรู้สึกหลงรักบรรยากาศในเรื่องจนอยากย้อนกลับไปอยู่กับพ่อตัวเอกเราทั้งหลายเลย
นอกจากนี้ตัวละครแต่ละตัวทำให้เราอินได้สุดๆ เขินสุด ฟินสุด ก้พ่อธีร์กับพี่แก้วเนี่ยแหละ ฮาสุด เศร้าสุด เกลียดสุด ก็มาครบทุกอารมณ์เลย

เดี๋ยวนี้พูดกันตามตรงว่าหานิยายใช้ภาษาสวย เนื้อเรื่องดีแบบนี้อ่านได้ยากแล้ว อ่านแล้วให้ความรู้สึกรักความเป็นไทย ความเรียบง่าย ชีวิตที่ยังไม่ฟุ้งเฟ้อกับเทคโนโลยีอย่างยุคปัจจุบันเลย

สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่ารักคนเขียนมาก ที่แต่งนิยายคุณภาพครบเครื่องแบบนี้มาให้คนอ่านได้เสพกัน จะติดตามนิยายเรื่องต่อๆไปของคนเขียนนะจ๊ะ
รักพี่แก้ว รักพ่อธีร์ รักอ้ายแช่ม รักคุณพิกุล และทุกตัวละครที่ทำให้นิยายเรื่องนี้สมบูรณ์ค่ะ

 :mew1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ SuPeRDonGDanG

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย
ประทับใจมากกกกกกก ไม่เคยอ่านวายสไตล์นี้มาก่อน
สำนวนภาษา การดำเนินเรื่องในสมันก่อน ถึงไม่เป๊ะ แต่ก็ทำให้เรารู้สึกถึงมันได้
ขอบคุณคนแต่งที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่านกันนะคะ
อยากบอกว่า "อยากอ่านตอนพิเศษ ชีวิตหลังจากที่เขากลับมาเจอกันอีกครั้งจะเป็นยังไง" ไม่อยากจินตนาการเอง อยากอ่านมากกกกกกก ให้พี่กันต์ หรือ ธีร์ มาเล่าก็ได้นะ >////<

พี่แก้ว เลี่ยนได้ใจ ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องพาไปสมัครงานกับไชยาไม่ก็กุ้งนะ พระเอกลิเกขนาดแท้ 555 แต่อ่านทีไรยิ้มตามตลอดเลย กับบทเกี้ยวพาราสีของคุณหลวงเนี่ย ><

มาต่อเร็วๆนะคะ

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

The Timeless Tide...Side Story: กันตวิชญ์ ๓...





"ตากันต์หรือนี่...เข้ามาใกล้ๆยายหน่อยสิลูก"มือเรียวเล็กเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของกาลเวลายื่นออกตรงหน้าเมื่อคนตัวสูงก้มกราบลงแทบเท้าหญิงชราผู้ได้ชื่อว่าเป็นยาย ใบหน้าอ่อนโยนเจือรอยยิ้มทว่าดวงตากลับมีน้ำคลอเต็มหน่วยด้วยความปลื้มปิติ...กี่ปีกันแล้วที่ท่านไม่ได้พบหน้าหลานชายคนโปรด ทั้งคิดถึง ทั้งห่วงใย จนสุดท้ายเจ้าตัวก็กลับมาเยี่ยมเยียนท่านเสียที

"คุณยายยังดูแข็งแรงดีนะครับ"กันตวิชญ์ว่าพลางยกมือขึ้นเกาะกุมมือเล็กๆที่แนบอยู่ข้างแก้ม เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าตลอดการใช้ชีวิตในต่างแดนหลายปีที่ผ่านมา คุณยายเป็นหนึ่งในบุคคลที่เขานึกถึงบ่อยที่สุด เพราะถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก ความผูกพันย่อมก่อเกิดจนเกือบเทียบเท่าผู้เป็นพ่อและแม่เสียด้วยซ้ำ

"ก็ตามสภาพนะลูกเอ๊ย แก่ตัวลงทุกวันจะให้แข็งแรงไปมากกว่านี้ก็คงไม่ได้"หญิงชรายิ้มรับก่อนดึงตัวหลานชายคนโปรดขึ้นมานั่งเคียงกันบนโซฟา

"กลับมาอยู่บ้านเราเสียที ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนานๆยายคิดถึง"

"ถ้าอย่างนั้นผมจะมาหาคุณยายบ่อยๆ ให้คุณยายเบื่อหน้าผมเลยดีไหมครับ"ชายหนุ่มอมยิ้มแซวผู้อาวุโสที่ยังลูบผมลูบแก้มเขาไม่ยอมหยุด

"ให้มันจริงเถอะพ่อคุณ กลัวว่าจะทำงานลืมวันลืมคืนเหมือนคนอื่นๆเขาเสียมากกว่า"น้ำเสียงตัดพ้อของผู้เป็นยายเรียกรอยยิ้มกว้างจากชายหนุ่มได้ไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ

"โธ่...ใครจะไปลืมคุณยายได้ล่ะครับ"หลานชายคนโปรดได้ทีกอดผู้อาวุโสพลางซบหน้าลงบนตักคล้ายกำลังอ้อน หากเป็นเด็กชายตัวน้อยๆคงเป็นภาพที่น่าเอ็นดู แต่กับชายหนุ่มตัวสูงใหญ่แบบนี้ ภาพที่ออกมาเลยดูน่าขันเสียมากกว่า ส่วนผู้เป็นแม่เมื่อเห็นว่ายายหลานกำลังอยู่ในช่วงรำลึกความหลังจึงขอตัวออกไปเตรียมของว่างในครัวแทน



"กลับมาคราวนี้พายัยแหม่มที่ไหนมาเป็นหลานสะใภ้ของยายหรือเปล่านี่"คนเป็นยายเอ่ยแซวทั้งที่มือยังลูบศีรษะคนที่นอนซุกซบอยู่บนตักไม่ยอมลุกขึ้นเสียที

"ไม่มีหรอกครับ...ผมรู้ว่าคุณยายไม่ชอบ"คนตัวสูงอมยิ้ม เขารู้ดีว่าคุณยายเป็นคนหัวโบราณยิ่งกว่าใคร ไอ้เรื่องจะให้ไปลงเอยกับคนต่างชาติต่างศาสนา ถึงเจ้าตัวไม่เคยเอ่ยห้ามแต่เขาก็รู้ดีว่าไม่ใช่สิ่งที่ท่านพอใจนัก

"ที่ไม่มีเพราะเขาไม่ชอบหรือเราไม่แล"

"โธ่คุณยาย อยู่ที่นู่นผมทำแต่งานจะเอาเวลาที่ไหนไปจีบสาวล่ะครับ" ถูกดักคออย่างรู้ทันทำได้เพียงอ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก

"ก็เป็นเสียงอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่ยายจะได้อุ้มเหลนกัน"

"จนกว่าจะหาคนสวยและใจดีแบบคุณยายได้ล่ะมั้งครับ"

"ไม่ต้องมาทำเป็นปากหวานหร้อก ยายล่ะอยากเห็นเสียจริงคนที่ทำให้พ่อหลานตัวดีของยายตกหลุมรักได้" คำตอบติดตลกเรียกรอยยิ้มจากผู้อาวุโสแต่กลับพาให้คนพูดนึกไปถึงหน้าของใครบางคนที่วนเวียนอยู่ในความคิดมาหลายวัน...สวยและจิตใจดีอย่างนั้นหรือ...ใครคนนั้นจะให้ชมว่าสวยคงเป็นไปไม่ได้ แต่หากพูดถึงความดี...เท่าที่ได้เห็นก็ดีไม่น้อยไปกว่าใคร...แต่นี่เขากำลังเพ้อเจ้อเกินไปหรือเปล่า ก็คนที่กำลังนึกถึงอยู่นั่นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ดีไม่ดีอาจเป็นเพียงแค่ความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นเพราะเอาแต่หมกมุ่นเรื่องเรือนริมน้ำหลังนั้นก็เป็นได้


"เป็นอะไรหรือลูก...ถอนหายใจเสียดัง"เสียงผ่อนลมหายใจยาวจากคนตัวโตบนตักทำเอาผู้เป็นยายชะงักมือที่ลูบผมนุ่มแล้วเอ่ยถาม

"คุณยาย...เคยฝันเรื่องเดิมๆซ้ำๆกันบ้างไหมครับ"

"โถ นึกว่าเรื่องอะไร...เคยสิลูก คนเราเวลาให้ความสนใจกับเรื่องอะไรมากเข้าก็เก็บไปฝันได้เหมือนกันนั่นล่ะ"

"แล้วถ้าในฝันนั้น ผมเหมือนไม่ได้เป็นตัวเองแต่กลับเป็นใครอีกคนล่ะครับ มันเหมือนกับ...ใครคนนั้นอยากให้ผมได้เห็นอะไรบางอย่าง"ร่างสูงสมส่วนหยัดตัวขึ้นนั่งหลังตรงให้ผู้เป็นยายทอดสายตาอ่อนโยนมองตาม

"อะไรบางอย่างที่เราว่า หมายถึงอะไรล่ะตากันต์"

"ผมก็อธิบายไม่ถูก...เหมือนผมได้เห็นชีวิตของเขา...แต่บางทีก็เหมือนได้เห็นตัวเอง......ในอดีต..."ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดวกวนของตัวเอง ผิดกับผู้อาวุโสที่ยังคงนั่งนิ่งมีเพียงรอยยิ้มบางอย่างเอ็นดู

"ได้เห็น...แล้วรู้สึกเหมือนอย่างที่เขารู้สึกด้วยไหม" แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะยากต่อการอธิบายแต่เรื่องเดียวที่ชัดเจนจนแม้แต่คนถูกถามทำได้เพียงพยักหน้ารับ

"ถ้ารู้สึกก็แสดงว่าเราผูกพันกับสิ่งนั้น"

"แต่ผมไม่รู้จักเขา ไม่รู้จักใครสักคน แล้วผมจะไปผูกพันกับคนพวกนั้นได้ยังไงกันครับ" คิ้วดกหนาพันกันยุ่งเมื่อเจ้าตัวยังคงใช้ความคิด ผู้เป็นยายจึงทำได้เพียงเอื้อมมือออกลูบผมอีกฝ่ายอ่อนโยนหมายให้ผ่อนคลาย

"วันนี้ไม่รู้จักไม่ได้หมายความว่าวันก่อนเราจะไม่เคยรู้จักพวกเขานี่ลูก"

"ผมไม่เข้าใจครับคุณยาย" หญิงชราทำได้เพียงระบายลมหายใจอ่อนทั้งที่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม

"กันต์เชื่อหรือเปล่าว่าคนเราไม่ได้เกิดมาแค่ชาติเดียว แต่เราเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ" คนฟังยังนั่งนิ่ง คนหัวสมัยใหม่แบบเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องที่ว่ามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เริ่มฝันประหลาดนั้น เขาก็คิดเพียงว่ามันอาจเป็นความเพ้อเจ้อของตัวเองที่หมกมุ่นกับเรื่องเรือนหลังนั้นมากเกินไป

"ที่หลานฝันอาจเป็นเพราะใครบางคนอยากให้หลานเห็นอะไรบางอย่าง...และที่หลานรู้สึกก็อาจเป็นเพราะหลานเคยมีความหลังฝังใจกับเรื่องนั้นโดยที่หลานไม่รู้ตัวก็เป็นได้" ชายหนุ่มทำได้เพียงใช้ความคิดตามคำพูดของผู้เป็นยาย...คำพูดที่ฟังดูเหนือธรรมชาติและยากจะหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆมาอธิบายได้ หากแต่เป็นคำพูดที่เขาเองก็ไม่สามารถหาข้อแก้ต่างใดมาโต้แย้งได้เช่นกัน

"แล้วผมควรจะทำยังไง ถึงจะสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้ล่ะครับ" เพราะภาพความฝันที่ฉายวนสลับไปมาไม่ต่อเนื่องจนแม้แต่เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก สติรับรู้เพียงอย่างเดียวนั่นคือความสุขอบอุ่นที่แผ่ซ่านยามได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของใครต่อใคร กับความรู้สึกเจ็บแปลบยามได้เห็นการจากลาและน้ำตาของใครคนหนึ่ง

"ยายก็ตอบกันต์ไม่ได้หรอกว่าควรต้องทำอะไร แต่ถ้าหลานบอกว่าใครคนนั้นอยากให้หลานได้เห็น ทำไมไม่ลองตั้งจิตอธิษฐานดูล่ะ บางทีจิตที่มั่นคงของเราอาจทำให้เราได้พบคำตอบที่ตามหาก็ได้นะ" ผู้อาวุโสทำได้เพียงให้คำแนะนำ เพราะเธอเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่หลานชายพูดถึงจะเป็นอย่างที่เธอเข้าใจหรือไม่ แต่เพียงครู่ที่รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะขบขันคล้ายกับว่าเธอนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างจนเผลอหลุดปากพูดกับตัวเองเบาๆ




"ดูท่าว่าชาติที่แล้วพ่อแก้วของยายจะไปสาบานอะไรกับใครไว้ล่ะสิท่า เขาถึงได้ตามมาทวงสัญญาแบบนี้"





เสียงบ่นพึมพำของคนแก่กลับไม่สะดุดหูคนฟังได้เท่ากับชื่อคุ้นเคยที่เขาได้ยินมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มือหนาเอื้อมคว้ามือเหี่ยวย่นที่ลูบผมตัวเองแล้วออกแรงเขย่าเสียจนผู้เป็นยายยังแปลกใจ

"เมื่อกี้...คุณยายเรียกผมว่าอะไรนะครับ!"

"อะไรกัน ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาไม่กี่ปี ลืมไปแล้วหรือว่ายายชอบเรียกเราว่าอะไร" เสียงหัวเราะเบาของหญิงชราไม่ได้คลายความสงสัยให้อีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขายังคงนั่งขมวดคิ้วมุ่นพยายามเรียกความจำในวัยเด็กหรือแม้แต่หลายปีก่อนที่เขาจะไปศึกษาต่อ จนผู้อาวุโสทนเห็นอาการตึงเครียดของหลานชายไม่ไหวต้องออกปากเฉลยเสียเอง

"ตอนเด็กๆยายชอบเรียกเราว่า'พ่อแก้ว'... ก็เราน่ะเปรียบเหมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่หรือแม้แต่ยายเองก็เถอะ ดูซิ ผ่านมาไม่กี่ปีก็ลืมเสียแล้ว เมื่อก่อนยังอ้อนให้ยายเรียกอยู่บ่อยๆแท้ๆ"

"พ่อแก้ว...หรือครับ" ภาพความทรงจำในวัยเด็กแทรกเข้ามาในความคิดทว่าเลือนลางจนแทบจำไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนจนน่าตกใจ นั่นก็คือชื่อเรียกที่เหมือนกันของเขากับใครอีกคน


เขาเคยถูกเรียกด้วยชื่อที่ฟังดูล้าสมัยแบบนี้...เช่นเดียวกับใครคนนั้นที่ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ต่างกัน...ความคล้ายคลึงของเขากับใครคนนั้นเริ่มชัดเจนจนน่าตกใจ


...พ่อแก้ว...



...คุณหลวง...



...ธีร์...



สามสิ่งที่ติดค้างในความคิดมาตลอดหลายสัปดาห์...แล้วจะมีวันที่เขาได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้บ้างหรือไม่


........................................................................................



กันตวิชญ์สบโอกาสกลับมาเยือนเรือนริมน้ำหลังงามอีกครั้งหลังจากลองขออนุญาตเจ้าของตัวจริงอย่างท่านทูตกิตติที่ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไร ท่านว่าอยากจะไปเมื่อไหร่ก็ให้บอกเพราะท่านไม่ใช่คนหวงสมบัติอะไรนัก ดีเสียอีกที่ยังมีคนหนุ่มไฟแรงให้ความสนใจเรือนเก่าแก่แบบนี้อยู่บ้าง แต่เรื่องจะให้ตัดสินใจขายสมบัติชิ้นสำคัญแบบนี้คงต้องดูกันอีกนาน

วันนี้เขามาเพียงลำพังเหตุเพราะเพื่อนสนิทอย่างอรรถนนท์ติดธุระกระทันหัน แต่สำหรับชายหนุ่มนั่นถือเป็นการดีที่เขาจะได้มีเวลาชื่นชมความงามของเรือนริมน้ำได้เต็มที่ ทั้งยังเรื่องสำคัญที่เจ้าตัวตั้งใจเอาไว้แน่วแน่

ชายหนุ่มไขกุญแจโซ่คล้องประตูด้านหน้าที่ได้รับมาจากอรรถนนท์ก่อนก้าวเข้าไปยืนกลางห้องนั่งเล่นกว้างขวาง สายตาจดจ่อเพียงภาพถ่ายสีขาวดำของเจ้าของเรือนที่แขวนเด่นอยู่บนผนัง สบเข้ากับสายตาอ่อนโยนของคนในภาพแล้วก็ให้หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วหยิบพวงมาลัยดอกมะลิกลิ่นหอมติดจมูกที่เจ้าตัวตั้งใจเลือกขึ้นมาพนมมือแนบอก

"ผมมากราบเจ้าคุณครับ...ผมรู้ว่าเจ้าคุณรักเรือนหลังนี้มาก ผมเอง...ก็รักเรือนหลังนี้เช่นกันครับ...ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นลูกหลานในตระกูล แต่ผมก็ตั้งใจจะดูแลรักษาเรือนหลังนี้ให้ดีที่สุด...หากเจ้าคุณเห็นว่าผมคือคนที่เหมาะสม ผมขอให้เจ้าคุณช่วยดลจิตดลใจคุณลุงกิตติให้พิจารณาเรื่องการขายเรือนหลังนี้ด้วยเถอะครับ"
ร่างสูงสมส่วนทรุดตัวลงคุกเข่าก่อนก้มกราบหน้าภาพถ่ายด้วยความเคารพยิ่ง กันตวิชญ์วางพวงมาลัยกลิ่นหอมฟุ้งไว้บนโต๊ะวางแจกันลายครามที่ตั้งอยู่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นสบกับดวงหน้าอ่อนโยนของคนในภาพอีกครั้งด้วยหวังให้เจ้าของเรือนได้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเขา ก่อนที่จะเดินจากห้องนั่งเล่นขึ้นไปยังชั้นบนของเรือนจนมาหยุดอยู่หน้าบานประตูสีฟ้าอมเทาของห้องสุดโถงทางเดิน

มือหนาเอื้อมผลักบานประตูไม่แรงนักหากแต่รับรู้ได้ถึงแรงลมเอื่อย บานหน้าต่างรอบด้านเปิดกว้างจนทั้งห้องสว่างไสว เห็นทีช่างที่ถูกจ้างมาคงเปิดทิ้งเอาไว้เมื่อตอนเข้ามาซ่อมบำรุง...ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบห้องที่เขาได้เห็นเพียงครั้งเดียวแต่กลับจดจำรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนเมื่อนึกไปถึงความฝันประหลาดนั้น

ร่างสูงสมส่วนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงสี่เสาหลังใหญ่ไล้มือไปตามแนวของผ้าแพรเพลาะสีสดปูทับฟูกนอน เรื่อยจากปลายเตียงขึ้นมาจนถึงหมอนนุ่มด้านบน แล้วจึงละออกเพื่อหยิบสิ่งของอีกหนึ่งอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจนำมามอบให้กับเจ้าของห้องเดิม


ช่อดอกแก้วสีขาวนวลถูกวางไว้กลางหมอนตัดกับสีน้ำเงินสดของผ้าแพรที่ปูทับส่งกลิ่นหอมจางๆ


"ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับเรือนหลังนี้ หรือแม้แต่...เกี่ยวข้องอะไรกับตัวผม..." เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยแผ่วเบาคล้ายพึมพำกับตัวเองทั้งที่สายตาจดจ่อเพียงช่อดอกแก้วสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้า

"แต่ถ้าสิ่งที่ผมได้เห็น คือสิ่งที่คุณอยากให้ผมรับรู้......หรือมันเป็นสิ่งที่...ผมควรจะรู้..." ท้ายประโยคสะดุดลงเพียงเพราะวูบหนึ่งเขาคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันไร้สาระสิ้นดี หากเพียงครู่ก็กลั้นลมหายใจแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคง

"ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ขอให้ผมได้เห็นเรื่องราวทั้งหมด...ทำให้ผมเข้าใจทีนะครับว่าทำไมผมถึงได้ฝันแบบนั้น...อะไรที่คุณติดค้างหรืออยากให้ผมช่วย...บอกผมทีนะครับ...


...คุณหลวง..."


ชื่อเรียกสุดท้ายหลุดออกจากริมฝีปากหยักเพียงแผ่วเบา จนถึงตอนนี้เขาค่อนข้างแน่ใจ ว่าเจ้าของห้องเดิมนี้เป็นคนเดียวกับเจ้าของสายตาคมกริบที่ถ่ายทอดภาพความฝันประหลาดให้เขาได้เห็นไม่ผิดแน่...แต่เรื่องที่ยังสงสัยนั่นคือ...ทำไมต้องเป็นเขา?...เพียงเพราะเขาให้ความสนใจในเรือนหลังนี้ เพราะความผูกพันที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ หรือเพราะใครคนนั้นเกี่ยวพันกับตัวเขาอย่างที่คุณยายว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน เขาก็ต้องการจะรู้ความจริงทั้งหมด ดีกว่าคอยคาดเดาแบบไม่รู้สาเหตุแบบนี้ไปเรื่อยๆจนอยู่ไม่เป็นสุข


แรงลมวูบโบกผ่านบานหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้ากระทบกับใบหน้าคมของคนที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียง โชยกลิ่นดอกแก้วหอมติดจมูกจนชายหนุ่มนึกสงสัยว่าช่อดอกแก้วช่อน้อยที่วางอยู่ตรงนี้สามารถส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้องได้เพียงนี้เชียวหรือ
.

.

.

.

.


สายหมอกปกคลุมรอบกายบดบังวิสัยทัศน์ให้พร่าเลือน หากเพียงครู่ภาพตรงหน้ากลับเด่นชัด...กันตวิชญ์พบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงากรอบไม้บานใหญ่ภายในห้องนอนห้องเดิม ทว่าเงาในกระจกที่ควรส่องสะท้อนภาพของตนกลับกลายเป็นใครอีกคนที่คุ้นเคย...เจ้าของใบหน้าคมเข้มและริมฝีปากหยักที่ยกยิ้มน้อยๆกำลังยืนจดจ้องมาที่ตัวเขาราวกำลังเผชิญหน้ากัน...เวลานี้ความตื่นตระหนกเหมือนครั้งแรกเลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงความสงสัยใคร่รู้และคำถามมากมายที่เจ้าตัวต้องการคำตอบ

"คุณหลวง" เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วพร้อมมือที่เอื้อมออกสัมผัสบานกระจก เช่นเดียวกับคนตรงหน้าที่ทำกริยาเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน แต่แล้วก็ต้องแปลกใจจนรีบชักมือกลับเมื่อสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่อยู่...กันตวิชญ์ยกแขนทั้งสองขึ้นดูก่อนไล้มือไปตามคอปกเสื้อ ไล่สายตาก้มสำรวจตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดวงตาคมเบิกกว้างยามเงยขึ้นสบกับเงาในกระจกอีกครั้ง



...ไม่ใช่ใครอีกคนที่เขาเข้าใจ...แต่เป็นตัวเขาเองต่างหาก!...



"นี่มัน..." สีหน้าตกตะลึงส่องสะท้อนเด่นชัด เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นตัวเองในสภาพแบบนี้ เสื้อราชประแตนสีขาวสง่าตัดกับผ้าม่วงนุ่งโจงสีเข้ม ผมรองทรงเสยเรียบไปด้านหลังที่ตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยนึกทำทรงล้าสมัยแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ทั้งยังรองเท้าหนังมันปลาบสวมทับถุงน่องขาวทึบนี่อีก

ชายหนุ่มหมุนตัวสำรวจตนได้เพียงครู่ พลันแว่วเสียงคุ้นหูดังแผ่ว เสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีเรียกให้เขาหันซ้ายหันขวาไปทั่วห้องเพื่อมองหาต้นเสียง ก่อนมาหยุดที่ภาพสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ ดวงตาคมจดจ้องเงาร่างของตัวเองที่กำลังยืนขมวดคิ้วมุ่น


'คนที่ตามหาก็อยู่ตรงหน้านี้แล้วอย่างไร' คล้ายคนพูดกำลังกระซิบติดใบหู หากแต่คำพูดถัดมากลับเจือความเศร้าโศกจนแม้แต่คนได้ยินยังสัมผัสได้



'แต่คนที่รออยู่เล่า ป่านฉะนี้จะเป็นเยี่ยงไรบ้างหนอ'



"คนที่รออยู่..." ป่วยการจะหาที่มาของเสียงเมื่อท้ายสุดเจ้าตัวกลับรับรู้ได้ว่าเสียงทุ้มนุ่มเจือความโศกนั้นแท้จริงแล้วมันดังก้องมาจากเบื้องลึกของจิตใจตน...ร่างสูงสมส่วนยังคงยืนจดจ้องเงาร่างของตัวเองในกระจก คำถามมากมายไหลวนอยู่ในความคิดจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเริ่มจากตรงไหน

'อยากเห็นเช่นนั้นหรือ...อยากรับรู้ความทุกข์ของเราเช่นที่เรารู้สึกหรือ' คล้ายคำตอบรับโดยที่เขายังไม่ต้องเอ่ยถาม ทำได้เพียงพยักหน้าให้เงาร่างของตัวเองในกระจก หวังเพียงให้ใครคนนั้นช่วยไขข้อข้องใจให้กระจ่างเสียที

'หลับตาซี...แลพ่อจะได้เห็นเช่นเราเห็น...รู้สึก...เช่นที่เรารู้สึก' น้ำเสียงอ่อนโยนชักจูงให้ชายหนุุ่มเหลียวมองรอบกายอีกครั้งอย่างลังเลด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นั้นคืออะไร...วิญญาณ...ความนึกคิด หรือเพียงความฟุ้งซ่านที่เจ้าตัวสร้างขึ้น...ทว่าความใคร่รู้กลับมีมากกว่า...มากเสียจนเจ้าตัวค่อยผ่อนลมหายใจช้าๆแล้วปิดเปลือกตาลง มือหนาทั้งสองข้างกำแน่นสั่นระริกเพราะความกลัว...กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น...กลัวในสิ่งที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้


แต่เพียงครู่ที่ความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นแผ่ซ่าน รับรู้เพียงเสียงหัวใจเต้นดังระรัวอยู่ในอกพร้อมกับภาพความทรงจำของใครบางคนที่หลั่งไหลเข้าสู่ห้วงความคิด...เหตุการณ์เรียงร้อยผันผ่านในแต่ละวันเรียกให้ใบหน้าคมที่หลับตาพริ้ม บ้างขมวดคิ้วแน่นคล้ายอึดอัด บ้างผ่อนลมหายใจยาวหรือแม้แต่รอยยิ้มปรายแต่งแต้มบนริมฝีปากหยัก...ราวกับว่าเขากำลังซึมซับเอาความทรงจำของใครคนนั้นจนหลอมรวมเข้ากับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

"เจ้าคุณท่าน...ผมขอโทษที่ทำให้เจ้าคุณท่านเป็นห่วง" เสียงทุ้มนุ่มพึมพำแผ่วเบาทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท น้ำเสียงเจือความสำนึกผิดเมื่อภาพในความทรงจำคือบุคคลที่ได้ชื่อว่าผู้มีพระคุณที่กำลังก้มลงลูบศีรษะตนอย่างเอ็นดู สีหน้าอ่อนโยนยามทอดสายตามองคนเบื้องล่างทั้งรักใคร่และเอ็นดูประหนึ่งลูกหลานแท้ๆ แต่ผิดที่ตัวเขาเองที่เลือกทำตามหัวใจมากกว่าความถูกต้องที่ควรจะเป็น


"แม่ชื่นคิดถึงเขา...เราเองก็คิดถึงเขาไม่น้อยไปกว่าแม่ชื่นหรอก" สองมือกำแน่นจนสั่นยามได้ยินบ่าวคนสนิทเอ่ยถึงใครบางคนกับพวกทาสในโรงครัวให้เข้าหูในเย็นวันหนึ่งเมื่อเขากลับมาถึงเรือน


"ดูเอาเถอะ...ดอกพิกุลที่เคยแย้มบานบัดนี้กลับเหี่ยวเฉาใกล้ร่วงโรย ต่างอะไรกับตัวพี่กันเล่า" ดวงหน้าหวานระเรื่อทว่าหม่นหมองเวียนเข้ามาในความคิดจนคนมองอดอุทานออกมาด้วยความเห็นอกเห็นใจไม่ได้...ต่างกันตรงไหนเล่า เมื่อเขาและเธอก็รู้สึกเช่นเดียวกัน...ความรู้สึกของคนที่รอ...รอแม้ไม่รู้ว่าจะได้พบเจออีกเมื่อใด


"กลับมาหาพี่ไม่ได้หรือ...กลับมาให้พี่กอด ให้พี่ได้เห็นหน้าอีกครั้งไม่ได้หรือ" ความคิดท้ายสุดหยุดลงที่ใบหน้าของใครคนหนึ่ง...ใครคนนั้นที่วนเวียนอยู่ในความทรงจำวันแล้ววันเล่า ทว่ากลับเป็นได้เพียงแค่ความทรงจำเมื่อความเป็นจริงตรงหน้ามีเพียงตัวเขาที่ยืนอยู่โดดเดี่ยว ความรู้สึกเจ็บปลาบแล่นลึกเข้าหน้าอกข้างซ้ายพร้อมกับเปลือกตาที่ค่อยๆลืมขึ้นมองภาพตรงหน้าที่พร่ามัว สายน้ำตาร่วงหล่นอาบสองแก้มจนร้อนผ่าว ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนต้องยันมือเข้ากับบานกระจกตรงหน้า


จนถึงตอนนี้เขาหมดสิ้นซึ่งข้อสงสัย...เหตุใดถึงต้องเป็นเขาที่เห็นภาพเหล่านั้น...เหตุใดถึงได้ผูกพันกับเรือนหลังนี้ตั้งแต่ได้เห็นเพียงครั้งแรก...และเหตุใดถึงได้รู้สึกราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต


'ดวงจิตดวงเดียวกัน...วิญญาณดวงเดียวกัน ไฉนเลยจะไม่รู้สึกเช่นเดียวกัน'


คล้ายเสียงตะโกนก้องจากเบื้องลึกให้ได้ยิน ดวงหน้าคมตวัดจ้องเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง ไล่มองสำรวจร่างสูงสมส่วนของตัวเองที่ยังอยู่ในสภาพเดิมหากแต่รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป...ไม่สิ...บางอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามาต่างหาก...บางอย่างที่เจ้าตัวให้คำจำกัดความเพียงสั้นๆว่า...ความทรงจำ...

ความทรงจำทั้งของตัวเองและใครอีกคนที่เขาเคยเป็นเมื่อครั้งอดีตหลอมรวมจนไม่อาจแยกจากกันได้อีก จิตสำนึกรับรู้เพียงใบหน้าของใครคนหนึ่งที่เขาเฝ้ารอมาทั้งชีวิต ใครคนนั้นที่เป็นทั้งคนสำคัญและส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ขาดหาย


'...ชลนธีร์...'



'พ่อธีร์ของพี่แก้ว'



'...พ่อธีร์ของพี่...'
.

.

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
.

.


"......"


"...กันต์..."


"ไอ้กันต์!"

แรงเขย่าบนต้นแขนและเสียงเรียกกึ่งตะโกนปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์...ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าคุ้นเคยของเพื่อนสนิทที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นพิจารณาร่างที่กำลังนอนทอดตัวยาวของเขาด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มดีดตัวผึงขึ้นสำรวจรอบตัวเพื่อจะพบว่าเขาเผลอหลับไปบนเตียงสี่เสาหลังใหญ่ในห้องนอนห้องเดิมเป็นเวลานานพอสมควร สังเกตได้จากแสงตะวันอมส้มที่ส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามาให้รู้ว่าเป็นเวลาเย็นย่ำเพียงใด

"โทรหาตั้งหลายรอบก็ไม่รับ นึกว่าหายตัวไปไหน ที่แท้ก็มาแอบหลับอยู่ที่นี่"ลูกชายเจ้าของเรือนบ่นอุบหากแต่คนฟังยังไม่ตื่นเต็มสติดีนัก ดวงตาคมยังคงมองรอบกายด้วยความงุนงง น่าแปลกที่คนอย่างเขาจะมาเผลอหลับอยู่ในที่แบบนี้...แต่มาคิดอีกที...จะเรียกว่าแปลกที่ก็คงไม่ได้ ในเมื่อครั้งหนึ่งห้องนี้มันเคยเป็นห้องของเขาเอง

"ที่มหาวิทยาลัยเขาใช้งานหนักหรือไงถึงได้เหนื่อยจนหลับไปแบบนี้" อรรถนนท์ว่าพลางเดินไล่ปิดบานหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ลงทีละบานจนหมดเหลือเพียงแสงไฟสีส้มนวลจากหลอดนีออนบนเพดานเหนือศีรษะ

"กี่โมงแล้วอาร์ม"หากแต่คำตอบที่ไม่ได้ตรงกับที่อีกฝ่ายถามนักทำเอาสถาปนิกหนุ่มพ่นลมหายใจยาวก่อนยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเรือนหรูที่สวมอยู่

"๕โมง๑๕...เย็นนี้มีนัดทานข้าวกับคุณพ่อไม่ใช่เหรอ"คนตัวสูงที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงพยักหน้ารับน้อยๆเมื่อนึกไปถึงนัดทานอาหารเย็นที่บ้านของท่านทูตกิตติ ตอนแรกตั้งใจว่าเสร็จจากธุระที่เรือนนี้แล้วจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อยแต่เมื่อดูจากเวลาตอนนี้เห็นทีคงไม่ทัน

"แกจะกลับบ้านเลยไหม ว่าจะขอติดรถไปด้วย วันนี้ฉันไม่ได้เอารถมา"

"ไม่รู้จะติดดินไปถึงไหนนะคุณกันตวิชญ์...จะไปก็รีบลุกได้แล้ว ขืนออกช้ากว่านี้รถติดตายชัก แกก็รู้ว่าการจราจรในกรุงเทพสาหัสขนาดไหน"อรรถนนท์ส่ายหน้าให้กับความติดดินของเพื่อนสนิทคนนี้สักที มีอย่างที่ไหนเป็นถึงลูกชายคนเล็กของนักธุรกิจชื่อดัง ทั้งยังดีกรีปริญญาโทจากเมืองนอกเมืองนาแต่กลับทำตัวธรรมดาจนน่าใจหาย ไอ้เรื่องที่ไม่ชอบขับรถไปไหนมาไหนนี่ก็เรื่องหนึ่งล่ะ

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากสารถีจำเป็น คนตัวสูงจึงค่อยลุกเดินตามหลังเพื่อนสนิทไปโดยไม่ลืมที่จะเหลียวมองห้องนอนคุ้นตาด้านหลังประตูนั้นอีกครั้ง เครื่องเรือนส่วนใหญ่ยังถูกคลุมไว้ด้วยผ้ากันฝุ่น ช่อดอกแก้วสีขาวนวลยังคงวางอยู่บนเตียงเช่นเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปเห็นทีจะเป็นตัวเขาเสียล่ะมั้ง




"ไหวแน่นะกันต์ ทำไมดูท่าทางเพลียๆ"ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหลังพวงมาลัยหันมาถามคนข้างๆเมื่อรถจอดติดอยู่บนถนนได้สักพัก ท่าทีเหนื่อยอ่อนของอีกฝ่ายทำเอาอรรถนนท์ประหลาดใจไม่น้อย ทั้งดวงตายังบวมช้ำคล้ายคนอดนอน ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เจ้าตัวไปเผลอหลับอยู่ที่เรือนริมน้ำตั้งนานสองนานนั่นอีก

"เมื่อคืนนอนไม่พอมั้ง"ได้แต่ตอบส่งๆไปทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้สึกเช่นกันว่าพลังงานในร่างกายตอนนี้มันหดหายจนแทบพยุงตัวไม่อยู่ เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้งทำได้เพียงอิงศีรษะเข้ากับเบาะหนังสีดำปล่อยให้ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถลอยกระทบใบหน้า ถึงอย่างนั้นความคิดในหัวกลับไม่นิ่งสงบตาม จิตใจยังคงวนเวียนคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งระลึกได้ เรื่องราวในอดีตที่ส่งผลต่อตัวเองในปัจจุบันเพราะใครบางคนที่ตนอยากพบหน้า

คิดแล้วก็ให้นึกขำอยู่ในใจ อยากพบอยากเห็นหน้า แล้วจะให้ไปตามหาที่ไหนกัน ไม่ใช่แค่โลกใบนี้ที่กว้างใหญ่เกินไป แต่ยังมีเรื่องของเวลามาข้องเกี่ยว เขาไม่รู้เลยว่าคนๆนั้นยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับเขาตอนนี้หรือไม่ หรืออาจจะกลายเป็นตาแก่อายุ๖๐ ไม่ก็เด็กน้อยวัยหัดคลาน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะให้เขาทำอย่างไรกันล่ะ


"น้ำมันหมดเหรอ"ความคิดฟุ้งซ่านหยุดลงเมื่อเห็นว่าอรรถนนท์กำลังหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันข้างทาง หากแต่อีกคนกลับส่ายหน้าแล้วพารถเก๋งคันโตมาจอดอยู่หน้าร้านกาแฟด้านในแทน

"ติดนานเข้าชักง่วง ได้กาแฟสักแก้วคงดี...แกเอาสักหน่อยไหม"เจ้าของรถหันมาถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายออกอาการเพลียไม่ต่างกัน

"ดีเหมือนกัน...ลาเต้เย็นนะ"สิ้นเสียง อรรถนนท์ก็รีบผลุนผลันลงจากรถทันทีปล่อยให้คนข้างๆนั่งหลับตานิ่ง ความอ่อนเพลียสะสมตั้งแต่เมื่อช่วงกลางวันยังคงไม่หายไป...แต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของคนที่เพิ่งลงจากรถไปดังขึ้นพร้อมแรงสั่นเบาๆในช่องวางของข้างกระปุกเกียร์

"ลืมโทรศัพท์เสียได้นะไอ้นี่"กันตวิชญ์บ่นพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา ปล่อยให้เสียงเรียกเข้าแผดก้องอยู่ไม่นานก่อนจะเงียบลง


ชายหนุ่มพ่นลมหายใจเมื่อเห็นว่าคงไม่มีอะไรมาขัดจังหวะการพักสายตาของเขาอีกแล้ว หากเพียงชั่วครู่โทรศัพท์เครื่องเดิมกลับแผดเสียงดังอีกครั้ง ดูท่าว่าคนที่โทรเข้ามาคงมีธุระสำคัญถึงได้เพียรโทรหาเจ้าของเครื่องครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เช่นนี้...ดวงตาคมปรือขึ้นมองคล้ายคนถูกขัดใจ ทว่าเพียงครู่เดียวก็กลับเบิกกว้างเมื่อเหลือบไปเห็นชื่อเจ้าของสายที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ




...Cholnatee...





เรียวคิ้วหนาได้รูปขมวดมุ่นพร้อมจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นระส่ำเพียงได้เห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสว่างวาบอยู่ตรงหน้า...ความคิดล่องลอยไปถึงชื่อใครคนนั้นที่ติดอยู่ในความทรงจำ ทว่าเพียงครู่เดียวก็นึกขึ้นได้


ไม่สิ...ไม่น่าใช่...อาร์มเองก็มีคนรู้จักชื่อนี้เช่นกัน เขาจำได้ว่าเคยได้ยินชื่อนี้เมื่อตอนพบกับท่านทูตกิตติเป็นครั้งแรก...ไม่ใช่คนเดียวกันหรอก...เรื่องบังเอิญแบบนั้นมันไม่มีทางเกิดขึ้น...


...ไม่ใช่หรอกน่า...


คนที่เขาเพิ่งจดจำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องได้ คนที่เขาหมายมั่นนึกอยากรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร หรือยังมีชีวิตอยู่หรือไม่...คนที่ตัวเขา'ในอดีต'เคยรักแสนรัก...คนๆนั้น...จะมาปรากฎตัวให้เห็นได้ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ


...มันจะตลกเกินไปหน่อยแล้ว...


เสียงหัวเราะเบาจากเจ้าตัวดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมเป็นรอบที่สาม หากแต่คราวนี้หางตากลับเหลือบไปเห็นรูปภาพประจำตัวของคนที่โทรเข้ามาโผล่พ้นช่องเก็บของตรงกระปุกเกียร์เพียงเสี้ยว มือหนาเอื้อมออกหยิบเครื่องมือสื่อสารอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกับจังหวะหัวใจที่เต้นระรัว ทั้งที่ตามปกติแล้วเขาไม่เคยถือวิสาสะรับสายให้คนอื่นเลยแม้สักครั้ง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ที่ภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฎใบหน้าของคนที่เขานึกถึงมาตลอด

มือที่ประคองเครื่องมือสื่อสารนั้นสั่นเทิ้ม กันตวิชญ์ไม่รู้เลยว่าเขากำลังมีสีหน้าแบบไหนตอนที่เลื่อนนิ้วกดรับสายของใครอีกคนอย่างลืมตัวก่อนยกมันขึ้นประคองแนบหูให้ได้ยินเสียงของปลายสายที่ตอบกลับมาไม่ดังนัก


'สงสัยคุณสถาปนิกคงจะยุ่งอยู่ล่ะสิท่ากว่าจะรับสายได้' ประโยคล้อเลียนคลอเสียงหัวเราะดังมาตามสาย ผิดกับคนฟังที่ได้แต่นั่งตัวตรง ดวงตาคมสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียงนุ่มน่าฟังที่อยากได้ยินมานานแสนนาน ความคิดถึงแทรกลึกจนไม่อาจกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้คล้ายคนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

'พี่อาร์ม...พี่อาร์มครับ...ฮัลโหล ยังอยู่ไหมเนี่ย' ปลายสายดูท่าหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ แว่วเสียงบ่นถึงปัญหาเรื่องสัญญาณหรืออะไรสักอย่างที่คนฟังไม่อาจจับใจความได้เพราะความคิดที่จดจ่อเพียงใบหน้าติดหวานของเจ้าของเสียง ตอนนี้กำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่นะ กำลังยิ้ม หัวเราะ หรือกำลังหัวเสียเพราะเขาไม่ตอบอะไรกลับไปหรือเปล่า

'เดี๋ยวธีร์โทรไปใหม่แล้วกันนะครับ' สิ้นเสียงนุ่ม สัญญาณก็ถูกตัดไปพร้อมกับประตูรถฝั่งคนขับที่ถูกเปิดออกและร่างสูงโปร่งของอรรถนนท์ที่แทรกตัวเข้ามา


"อ่ะ! ลาเต้เย็นไม่หวาน"แก้วกาแฟสีอ่อนถูกยื่นมาจ่อตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจนักเมื่อเจ้าของรถกำลังวุ่นอยู่กับการหาที่วางแก้วของตัวเองและเอื้อมไปรัดสายเข็มขัดนิรภัยให้กระชับ แต่เพียงครู่ที่ใบหน้าขาวของอรรถนนท์หันกลับมามองอาการนิ่งค้างของคนข้างๆที่ไม่มีทีท่าจะยื่นมือออกมารับกาแฟในมือของเขาแม้แต่น้อย

"เป็นอะไรของแก...แล้วนั่นใครโทรมาเหรอ"สถาปนิกหนุ่มเอียงคอมองคล้ายสงสัยเมื่อเห็นว่าในมือของเพื่อนสนิทยังถือโทรศัพท์เครื่องที่เป็นของเขาค้างเอาไว้

"กันต์...ไอ้กันต์!"ระดับเสียงที่ดังกว่าปกติทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก เหลือบตามองคนข้างๆที่ส่งสายตาแกมดุมาให้ หากยังไม่ทันได้พูดอะไร โทรศัพท์เครื่องเดิมในมือกลับส่งเสียงร้องอีกครั้งพร้อมภาพหน้าจอและชื่อที่ปรากฎเป็นคนๆเดิม

"เอ่อ..."คนตัวสูงทำได้เพียงยื่นโทรศัพท์เครื่องสีดำส่งคืนเจ้าของแล้วรับแก้วกาแฟในมือของอีกฝ่ายมาถือไว้ เหลือบไปเห็นเจ้าของเครื่องตั้งท่าจะถามอะไรสักอย่างแต่กลับเปลี่ยนใจกดรับสายที่ดังค้างมาได้สักพักแทน


"ว่าไงครับสุดหล่อ"น้ำเสียงหยอกล้อของเพื่อนสนิททำเอาชายหนุ่มมองตาม ใบหน้าอมยิ้มของอรรถนนท์ยามรับสายบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี แต่เพียงครู่ที่ใบหน้าขาวคมนั้นกลับขมวดคิ้วน้อยๆแล้วเหลือบมองตัวเขาที่นั่งเงียบอยู่นาน

"พี่กดรับแล้วไม่พูดเหรอ"คล้ายผู้พูดกำลังคาดคั้นเขาอยู่เลยทำได้เพียงกระแอมในลำคอเบาๆแล้วเสตาไปมองนอกหน้าต่างแทน

"สงสัยสัญญาณไม่ดีมั้ง แล้วเราล่ะมีอะไรถึงได้โทรหาพี่ตั้งหลายรอบ"อรรถนนท์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักเมื่อเห็นคนว่าคนข้างๆไม่มีท่าทีผิดปกติ หารู้ไม่ว่าเขากำลังตั้งใจฟังบทสนทนาถึงขั้นอยากได้ยินเข้าไปถึงเสียงของคนปลายสายแม้จะรู้ว่านั่นเป็นเรื่องเสียมารยาทก็ตาม

"แล้วกัน มาไม่ได้เหรอเนี่ย...แบบนี้กว่าพี่จะได้เจอเราก็งานวันเกิดคุณพ่อเลยน่ะสิ...

...ไม่ได้นะธีร์ วันนี้เบี้ยวได้แต่งานวันเกิดห้ามเด็ดขาด พี่ไม่ได้เจอเรามากี่ปีแล้วฮะ ไม่คิดว่าพี่จะคิดถึงน้องชายคนนี้บ้างรึไง"

สถาปนิกหนุ่มกรอกเสียงกลับไปยังปลายสายยาวเหยียด แม้บทสนทนาดูเหมือนเจ้าตัวไม่พอใจนักแต่กันตวิชญ์รู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเขาเพียงแค่หยอกคนในโทรศัพท์เล่นเท่านั้นเมื่อน้ำเสียงที่ส่งไปกลั้วเสียงหัวเราะเบาอย่างอารมณ์ดี

"โอเคตามนั้น...ไว้เจอกันเสาร์หน้านะสุดหล่อ แค่นี้ก่อนนะพี่กำลังขับรถอยู่...บายครับ" โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมถูกวางไว้ในช่องใส่ของเมื่อเจ้าของกดวางสายเสร็จก่อนที่เจ้าตัวจะออกรถเพื่อไปติดอยู่บนถนนเส้นเดิมอีกครั้ง

"เมื่อกี้...มีคนโทรมาแต่พอรับแล้วมันไม่มีสัญญาณน่ะ"คนตัวสูงว่าเสียงเรียบทั้งที่สายตายังจดจ้องไปยังด้านนอกกระจก อีกฝ่ายเพียงรับคำในลำคออย่างไม่ใส่ใจมีแต่เขาที่ยังรู้สึกผิดไม่หายที่ถือวิสาสะกดรับสายของคนอื่น

"ใครโทรมาเหรออาร์ม...เขามีธุระสำคัญอะไรรึเปล่า"แม้ฟังดูละลาบละล้วงแต่เพราะความอยากรู้ที่มีมากกว่าถึงได้ตัดสินใจถามออกไป โชคดีที่เพื่อนสนิทอย่างอรรถนนท์ไม่ติดใจสงสัยเมื่อเจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ

"ธีร์น่ะ...ลูกชายเพื่อนสนิทคุณพ่อที่เคยเล่าให้ฟังไง ตอนแรกฉันชวนน้องมาทานข้าวด้วยเย็นนี้แต่ดันติดงานด่วนมาไม่ได้ นี่ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เจอกันเลย กี่ปีแล้วก็ไม่รู้"

"แกชวนเขามาทานข้าวด้วยกันเหรอ!"น้ำเสียงร้อนรนพร้อมใบหน้าคมเข้มที่หันกลับมาทันทีทำเอาเจ้าของรถสะดุ้งโหยง

"เอ่อ...แล้วเขา...มาไม่ได้เหรอ"พอรู้สึกตัวว่าเผลอออกอาการมากเกินไปถึงได้พยายามลดระดับเสียงลง

"ฮื่อ...ช่วงนี้งานยุ่งมั้ง เห็นคุณพ่อบอกว่าเพิ่งเข้าทำงานในสถานทูตได้ไม่นานคงต้องทำผลงานมากหน่อย...

...จะติดอะไรนักหนาวะเนี่ย"โชคดีที่การจราจรในกรุงเทพช่วงนี้เรียกได้ว่าสาหัส สารถีจำเป็นอย่างอรรถนนท์ถึงไม่ได้ใส่ใจในบทสนทนามากไปกว่าไฟท้ายรถคันข้างหน้าที่ขึ้นสีแดงโร่เป็นแนวยาว

"ค่อยๆขับไปเดี๋ยวก็ถึงน่า"ปากบอกปลอบใจอย่างคนใจเย็น แต่ใครจะรู้ว่าหัวใจกำลังเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ เมื่อนึกถึงโอกาสที่อาจได้พบคนๆนั้นแต่กลับพลาดไปอย่างน่าเสียดาย



...อีกนิดเดียวแท้ๆ...





"แล้วงานวันเกิดคุณพ่อวันเสาร์หน้าว่ายังไง...จะมาด้วยรึเปล่า"คิ้วดกหนาที่ขมวดมุ่นเมื่อเจ้าตัวกำลังใช้ความคิดเรื่อยเปื่อยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจางประดับบนใบหน้ายามนึกถึงบทสนทนาของสองพี่น้องที่ได้ยินผ่านหู กันตวิชญ์เพียงเหลือบมองสองข้างทาง รถราแน่นขนัดเริ่มเคลื่อนตัวคล่องขึ้นมาบ้างแล้วเช่นเดียวกับลมหายใจที่ติดขัดค่อยผ่อนคลายลงจนเป็นปกติ อาการลนลานคล้ายคนสติหลุดเมื่อครู่กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง มีเพียงน้ำเสียงราบเรียบที่ตอบกลับให้คนข้างๆได้ยินไม่ดังนัก


"ไปสิ...ต้องไปแน่ๆ"


รอยยิ้มบางเบาส่องสะท้อนกระจกรถด้านข้างมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่ได้เห็น ทั้งยังพร่ำบอกกับตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้พยายามข่มความยินดีนี้เอาไว้ก่อน



...ไม่เป็นไร...วันนี้ไม่ได้พบ วันหน้าก็ต้องได้พบ...



...รอมาได้ทั้งชีวิตแล้วกับอีกแค่ไม่กี่วันมันจะเป็นไรไป...




................................โปรดติดตามตอนต่อไป...............................................



กราบสวัสดีอีกครั้งหลังจากหายหน้าไป...เอ่อ...๒๑วันพอดิบพอดี  :hao7:
คาดว่าถ้าครบหนึ่งเดือนอาจมีแจ้งคนหายก็เป็นได้ #ยัง!

ตอนนี้ลงฉลองยอดวิวผ่าน50,000วิวด้วยความปลื้มปริ่มค่ะ ดีใจที่อย่างน้อยก็ยังมีคนเข้ามาอ่านบ้างถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก และหวังว่าจะอยู่เป็นเพื่อนกันต่อไปจนกว่าจะถึงวันที่นิยายเรื่องนี้ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์นะคะ

เดินทางมาจนถึงตอนที่๓แล้ว ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามกันอยู่เหมือนเดิม (แอบเห็นนะว่าไปกดไลค์ในแฟนเพจแต่ไม่เห็นมีใครมาคุยกับเค้าบ้างเลย เค้าก็เหงาเป็นนะ #กระซิกๆ)

ไว้พบกันใหม่ตอนจบนะคะ สำหรับวันนี้กราบลาไปหาพี่แก้วกับน้องธีร์ก่อนแล้วค่าาาาา  :mew1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ tiktok

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สนุกและน่าติดตามมากคะรอลุ้นตอนต่อไป

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
อีกนิดก็จะเจอกันแล้ว  :กอด1:

ออฟไลน์ Mississippi

  • Don't act like it's a bad thing to fall in love with me
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เค้าจะเจอกันแล้วววว ง่อวววววววววววววววววววว
ปล อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงเพลง ดั่งฝันฉันใดเลยค่ะ ได้อารมณ์มาก โฮ่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :heaven

ออฟไลน์ apisaraa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เศร้าจัง ถึงตอนอวสานจะได้เจอกันแล้วแต่ ชาติที่แล้วคุณหลวงจะรู้สึกยังไง รอทั้งชีวิต หน่วงสุด

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
รออีกนิดเนอะพ่อแก้ว...

เดี๋ยวเขอแล้วคงไม่ยอมแยกจากกันแน่ๆ

ชอบนิยายแบบนี้จังคะ

ปล.มาต่อเร็วๆนะคะนั่งรออยู่

ออฟไลน์ papanoy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
สงสารพี่แก้วจัง ทรมานกับการรอคอยมานานมากสินะ อยากให้เจอกันเร็วๆ จะได้มีความสุขกันซะที

อ่านเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกเย็นใจทุกครั้ง คนเขียนใช้ภาษาได้ดี อ่านแล้วลื่นไหล อินไปกับเนื้อเรื่อง อ่านแบบมีความสุข

ขอบคุณคนเขียนมากกกก  :กอด1: :L1:

ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
พี่แก้วคงทรมาณมากเลยสินะ เดี๋ยวก็จะได้เจอกันแล้ว

ออฟไลน์ Netimefii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
สู้นะพี่แก้ว รออีกนิดจะได้เจอกันแล้ว   :m1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ SuPeRDonGDanG

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
จะได้เจอกันแล้ว อยากอ่านตอนพิเศษชีวิตหลังจากที่เจอกันในปัจจุบัน ไม่รู้คนแต่งจะใจดีแต่งให้อ่านไหมคะ
ไม่อยากมโนเองเลยจริงๆ

ออฟไลน์ SuPeRDonGDanG

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
จะจบจริงๆแล้ว ลื่นไหล อ่านสบายตา อ่านแนวนี้ทีไรวางไปลงทุกที ขอบคุณคนแต่งมากค่ะ

ออฟไลน์ knightprince

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
OMG!!!ต้องบอกก่อนว่าเคยตามเรื่องนี้อยุ่พักนึง จนสุดท้ายรอคอยตอนต่อไปไม่ไหว
เลยรอให้แต่งจบ เพิ่งได้เวลาย้อนคิดถึงเรื่องนี้ อยุ่ดีๆก็อยากอ่าน ไล่อ่านใหม่ตั้งแต่ตอนแรก
เพิ่งจบยันตอนล่าสุด พูดเลยว่าตอนจบเรื่องน้ำตาท่วม ตาบวมไปหมด เสียทิชชุ่ไปหลายแผ่น
แต่สุดท้ายก็ได้เจอกัน สมหวัง ชอบทั้งสไตล์การเขียน ทั้งเนื้อเรื่อง จัดได้ว่าเป็นนิยายดีๆเรื่องนึงที่คงไม่ลืมแน่นอน
ขอบคุณคนแต่งที่ทำให้ได้เจอพี่แก้ว พ่อธีร์ อ้ายแช่ม รึแม้แต่ภาคแบ่งร่างอย่างพี่กันต์ ชอบเรื่องนี้มาก ให้ตายก็เขียนมาไม่หมดอะคะ
สุดท้าย รอตอนจบของพี่กันต์นะคะ อยากอ่านเรื่องแชมป์กะตฤนด้วยอะ ถ้าคนเขียนจักกรุณาข้าน้อย
ยังอยากติดตามงานเขียนอยุ่คะ รักคนเขียนน้าาา อิอิ

ออฟไลน์ SuPeRDonGDanG

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

The Timeless Tide...Side Story : กันตวิชญ์ (จบ)






เป็นเวลาสามสี่วันมาแล้วที่สถาปนิกหนุ่มอย่างอรรถนนท์สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเพื่อนสนิท...หลายครั้งที่เขาเอ่ยปากเรียกหรือเริ่มบทสนทนาอะไรสักอย่างแต่กลับไม่ได้รับคำตอบใดคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง อาการเหม่อลอยมีให้เห็นบ่อยครั้งจนแม้แต่คนใกล้ตัวอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้...แต่ทุกครั้งเจ้าตัวก็เพียงสะดุ้งน้อยๆเมื่อถูกดึงสติกลับมาแล้วตอบกลับเพียงแค่ว่า


'ไม่ได้เป็นอะไร'


ไม่ใช่แค่ตัวเขาที่รู้สึก แม้แต่พี่ชายคนโตอย่างอิงทัศน์เองก็สังเกตได้เพียงแค่ใช้เวลากับชายหนุ่มในเย็นวันหนึ่งที่ร้านอาหารกึ่งผับหรูย่านใจกลางเมือง เมื่อสองคนพี่น้องนัดแนะเพื่อนฝูงนักเรียนนอกออกมาสังสรรค์และถือโอกาสชักชวนมาร่วมงานวันเกิดของผู้เป็นพ่อไปในตัว

"พี่ว่าจะให้คุณพ่อรับรองแขกผู้ใหญ่ในบ้าน ส่วนด้านนอกก็จัดเป็นค็อกเทลปาร์ตี้ให้พวกเด็กๆได้ผ่อนคลายกัน"พี่ชายคนโตของบ้านกล่าวสรุป

"แล้วอย่างพวกผมยังนับเป็นเด็กอยู่ไหมครับพี่อิง"หนึ่งในชายหนุ่มถามแกมหยอกเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมวง

"พวกแกสี่คนอายุรวมกันก็เกินร้อยไปหลายปีแล้วยังจะกล้าถามอีกนะรัชต์"อิงทัศน์ได้แต่ปรายตามองเจ้าของชื่อพลางส่ายหน้าปลง ยิ่งทำให้นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอย่างรัชตะถูกเพื่อนโห่แซวเสียงดังแต่เจ้าตัวกลับไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนยังคงหัวเราะร่าเพราะรู้ว่า'พี่ใหญ่'ของกลุ่มเพียงหยอกเล่นเท่านั้น

"ว่าแต่งานวันเกิดของท่านทูตทั้งทีทำไมถึงจัดที่บ้านล่ะครับ ปกติผมเห็นเขาจัดกันในโรงแรมใหญ่โต"หนุ่มร่างท้วมท่าทางอารมณ์ดีพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้านอาหารชื่อดังอย่างธาวินอดถามขึ้นไม่ได้

"คุณพ่อท่านว่าจัดที่บ้านดูเป็นกันเองมากกว่าน่ะ ท่านอยากได้งานเล็กๆจะได้ดูแลกันได้ทั่วถึง"

"ระดับท่านทูตกิตติผมว่าจัดที่บ้านหรือที่โรงแรมก็คงไม่เล็กหรอกมั้งพี่"รัชตะยิ้มแซวทำเอาเพื่อนร่วมวงพยักหน้าเห็นด้วยกันเป็นแถว

"เอาน่า...คุณพ่อท่านอยากได้แบบนั้นก็ตามใจท่านหน่อย ว่าแต่พวกแกว่างกันหรือเปล่า"อรรถนนท์กล่าวตัดบทก่อนเอ่ยชักชวนเพื่อนฝูงที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบรับกันทั้งนั้น เหลือเพียงแต่คนตัวสูงที่นั่งอยู่ด้านในสุดที่ยังคงจดจ้องแก้วไวน์ทรงสูงในมือนานสองนานราวกับว่ามันเป็นของวิเศษนักหนา

"เป็นอะไรของมัน"แว่วเสียงบ่นของรัชตะอยู่ไม่ไกลจนเพื่อนร่วมวงต่างหันมามองเป็นตาเดียว ธาวินเองก็ตั้งท่าจะเอื้อมมือไปสะกิดเรียกหากแต่ถูกอรรถนนท์ที่นั่งอยู่ข้างๆห้ามเอาไว้เสียก่อน

"ปล่อยมัน ช่วงนี้ใจลอยพิกลสงสัยมีเรื่องให้คิด"สถาปนิกหนุ่มพ่นลมหายใจหนักก่อนหันไปชักชวนเพื่อนเริ่มบทสนทนาอื่นต่อด้วยเกรงว่าอาการแปลกๆของคนตัวสูงจะทำให้เสียบรรยากาศ มีก็เพียงพี่ชายคนโตอย่างอิงทัศน์ที่ยังคงปรายสายตามองเป็นระยะ จนเมื่ออีกฝ่ายขอตัวไปเข้าห้องน้ำนั่นล่ะถึงได้สบโอกาสเดินตาม
 


"กันต์..."อิงทัศน์ออกปากเรียกเมื่อคนตัวสูงเดินเลี่ยงออกมายืนรับลมตรงระเบียงด้านนอก ใบหน้าคมด้านข้างแม้เรียบเฉยหากแต่คนเป็นพี่ยังสังเกตได้ถึงอาการผิดปกติ


...กันตวิชญ์คนนี้เงียบขรึมจนเกินไป...


"เป็นอะไรหรือเปล่า ช่วงนี้ดูแปลกไปนะ"

"เปล่าครับ"แต่คำตอบก็ยังคงเหมือนทุกครั้ง หนุ่มใหญ่ร่างสูงจึงทำได้เพียงถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นวางบนไหล่ของอีกฝ่าย ออกแรงตบเบาๆสักสองสามทีแล้วลงน้ำหนักค้างเอาไว้

"แกก็เหมือนน้องชายพี่คนหนึ่ง ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็บอกพี่ได้"ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงพยักหน้ารับน้อยๆก่อนทอดสายตามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงแทน เห็นแบบนั้นอิงทัศน์จึงทำได้เพียงยืนเคียงข้าง ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเพราะรู้ดีว่าคาดคั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ เขารู้จักนิสัยของกันตวิชญ์ดีพอที่จะรู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังมีเรื่องให้คิดแต่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดปากเล่าให้ใครฟัง


...คงต้องรอจนกว่าเจ้าตัวจะจัดการปัญหาได้ด้วยตัวเองนั่นล่ะถึงจะกลับมาเป็นกันตวิชญ์คนเดิม...
.

.

.

เกือบล่วงเข้าวันใหม่กว่าที่มื้ออาหารค่ำของบรรดาหนุ่มนักเรียนนอกจะจบลง ถึงอย่างนั้นรัชตะกับธาวินยังออกปากชวนเพื่อนฝูงไปท่องราตรีต่อด้วยกันตามประสาหนุ่มโสดอารมณ์ดี หากแต่สามคนที่เหลือกลับปฏิเสธ สุดท้ายสองพี่น้องอย่างอิงทัศน์และอรรถนนท์ถึงได้อาสามาส่งชายหนุ่มผู้เงียบขรึมตลอดทั้งคืนเหมือนเช่นทุกครั้ง


ร่างสูงสมส่วนทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวทันทีที่กลับถึงห้อง มือหนายกขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่สวมอยู่พร้อมกับระบายลมหายใจอ่อน ดวงตาคมจดจ้องเพียงเพดานด้านบนนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ทั้งที่ความคิดในหัวยังคงวนเวียน

"เหมือนคนบ้าไม่มีผิด"ได้แต่บ่นพึมพำเพราะรู้ตัวดีว่าไม่กี่วันมานี้เขาออกอาการแปลกๆให้คนรอบข้างสังเกตเห็นมากเพียงใด แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ไม่สามารถจัดการเรื่องที่เป็นกังวลได้



...ทั้งคิดถึงทั้งสับสน...คงเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง...



เกิดมาจนอายุ๓๐ปียังไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้สักครั้ง คนรักที่เรียกได้ว่ารักจริงน่ะก็เคยมีแต่ไม่เคยมีใครทำให้กระวนกระวายได้แบบนี้สักคน...ใช่สิ จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่กำลังนึกถึงเลยสักเรื่องนอกจากเรื่องราวในอดีตที่ตัวเองจดจำได้...แต่เพียงแค่ความทรงจำเหล่านั้นมันเพียงพอให้เขาเดินหน้าต่อไปหรือ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีใจที่ได้รับรู้ว่าใครคนนั้นมีตัวตน และเขาก็ไม่ปฏิเสธว่ายังรักคนๆนั้นอย่างหมดหัวใจ แม้ว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีประสบการณ์ตกหลุมรักผู้ชายด้วยกันสักครั้งก็เถอะ


แต่เหนือกว่าความยินดีที่ได้รู้ว่าคนที่รอคอยอยู่ใกล้แค่เอื้อม คือความกลัวแผ่ซ่านจนไม่อาจข่มใจให้เป็นสุขได้ จริงอยู่ที่เขาอยากพบคนๆนั้นจนนึกอยากไปหาเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่กับอีกฝ่ายที่เขาไม่รู้แม้แต่ความคิด ไม่รู้ว่าเวลาที่ผ่านมาหลายปีทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไม่รู้ว่าในโลกของคนๆนั้น ความคิดของคนๆนั้น ยังมีเขาอยู่บ้างหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากพบกันอีกครั้งคนๆนั้นยังจำเขาได้หรือไม่



...ลืมพี่หรือยังหนอคนดี เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้ยังมีพี่อยู่ในใจเจ้าบ้างไหม...



คำถามที่เขาคอยเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆแต่กลับไม่มีคำตอบ ถึงอย่างนั้นคำว่า'คิดถึง'ยังคงไม่จางหาย แม้ทุกวันที่ผ่านไปเขายังอยู่กับคำว่าไม่รู้ แต่ก็ยังอยากพบ อยากเห็นแม้เสี้ยวหน้า อยากสบตาคมสวยคู่นั้น ได้มองรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากบาง...ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นอาจไม่ได้มีเพื่อเขาอีกแล้วก็ตาม...



.........................................................................



ร่างสูงสมส่วนภายใต้เสื้อยืดคอปกสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีเข้มและรองเท้าผ้าใบคงดูโดดเด่นสำหรับคนที่เดินผ่านไปมาในสถานทูตไม่น้อย สังเกตได้จากสายตาหลายคู่ที่จับจ้อง ทั้งเสียงกระซิบกระซาบของหญิงสาวรอบข้างที่ลอยผ่านมาเข้าหู หากแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจเมื่อยังมีเรื่องอื่นให้เป็นกังวลมากกว่า...ชายหนุ่มยกมือกระชับแว่นกันแดดสีชาพร้อมกับสองขาที่ก้าววนไปมาอยู่กลางโถงทางเดิน ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว เจ้าหน้าที่สถานทูตหลายคนเริ่มทยอยลุกจากที่นั่งเมื่อถึงเวลาพักกลางวัน แต่กับคนที่รอคอยยังไม่มีวี่แววจะได้พบจึงทำได้เพียงเดินวนไปเวียนมาไม่เป็นสุข

เพราะความคิดถึงทำให้กันตวิชญ์ไม่ลังเลที่จะต่อสายตรงไปหาเพื่อนสนิทกลางดึกคืนนั้น ใช้เพียงคำพูดลอยๆไม่กี่คำเพื่อหลอกถามอรรถนนท์ถึงสถานที่ทำงานของคนที่เขาอยากพบ สถาปนิกหนุ่มเองก็ดูไม่ติดใจสงสัยถึงได้ยอมบอกแต่โดยดี แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าหากได้พบกันเขาควรทำตัวเช่นไร


...ควรเดินเข้าไปหาดีไหม หรือคอยมองอยู่ห่างๆเท่านั้น และหากนึกอยากเข้าไปคุยด้วยเล่า จะเริ่มต้นอย่างไรดี...



...ฟุ้งซ่าน...



ในหัวมีแต่เรื่องฟุ้งซ่านเต็มไปหมด



"อยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ"ทว่าเสียงนุ่มคุ้นหูที่ได้ยินกลับทำเอาสองขาชะงักนิ่ง หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อนึกไปถึงคนที่กำลังเดินมาทางด้านหลัง หากเพียงตัดสินใจจะหันกลับไปเผชิญหน้า อีกเสียงหนึ่งกลับดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

"แล้วแต่ธีร์เลยค่ะ พราวทานอะไรก็ได้"แม้ไม่ได้หันไปมองก็รู้ดีว่าหญิงสาวเจ้าของเสียงหวานนั้นกำลังโต้ตอบกับใครอีกคนที่เขาเฝ้ารอ สองขายาวจึงทำได้เพียงก้าวหลบไปยืนหลังกำแพง สายตาคมลอบมองชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินผ่านหน้าโดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนเฝ้าดูอยู่


ใบหน้าที่ติดอยู่ในความทรงจำนั้นยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รูปร่างหรือก็สูงโปร่งออกจะมีน้ำมีนวลกว่าเก่า ผมที่เคยยาวระต้นคอตอนนี้ถูกตัดให้สั้นลงถึงอย่างนั้นก็ยังยาวเคลียแก้มขาว ดวงตาสวยปนโศกและรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากบางนั้นก็เหมือนเดิม...ผิดไปก็ตรงที่



...รอยยิ้มนั้นไม่ได้มีให้กับเขา...



เพราะเจ้าตัวกำลังยิ้มหวานขณะผายมือให้คนด้านข้างเดินผ่านบานประตูไปก่อน แว่วเสียงขอบคุณจากหญิงสาวตัวเล็ก ผมยาวเคลียไหล่ ท่าทีอ่อนน้อมเมื่อโน้มศีรษะลงเล็กน้อยยามเดินผ่านหน้า ก่อนที่ชายหนุ่มร่างโปร่งจะเดินตามออกไปเคียงคู่กัน เสี้ยวหน้าที่นึกถึงแสดงอาการดีใจยามพูดคุย ไม่ต่างจากหญิงสาวข้างๆที่กำลังหัวเราะเมื่อถูกหยอกล้อ ทั้งยังเอื้อมมือเรียวเล็กออกไปผลักไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

ท่าทีขัดเขินแบบนั้นทำเอาหัวใจของกันตวิชญ์แทบหล่นหาย คำพูดที่นึกเตรียมมาแต่ต้น ความกังวลสารพัดกลับถูกแทนที่ด้วยอาการปวดหนึบตรงหน้าอกข้างซ้าย...เขาไม่รู้หรอกว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร อาจเป็นเพื่อนร่วมงาน คนสนิท หรือมากกว่านั้น หากแต่สิ่งเดียวที่เขารับรู้...คือสองคนนั้นเหมาะสมกันเหลือเกิน...


...เหมาะสม...จนเขาทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆแล้วหันหลังกลับไปทันที...


...............................................................................................



ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่กันตวิชญ์เอาแต่นั่งทอดสายตามองเจ้าพระยาสายใหญ่เบื้องหน้าจากศาลาแปดเหลี่ยมของเรือนไม้เก่าแก่หลังเดิม รู้ตัวอีกทีเมื่อตอนที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงแผดเสียงร้องจนเจ้าตัวสะดุ้งน้อยๆก่อนจะหยิบมันขึ้นดูเพื่อพบว่าปลายสายที่โทรเข้ามาคือเพื่อนสนิทคนเดิม

'อยู่ไหนของแก' กันตวิชญ์ปรายสายตามองรอบตัว หากเขาบอกไปว่าอยู่ที่นี่จะทำให้เจ้าของบ้านไม่พอใจหรือเปล่านะ อยู่ดีๆก็ถือวิสาสะเข้ามานั่งใจลอยอยู่ในเขตรั้วบ้านเขาแบบนี้

"มีอะไรหรือเปล่า"สุดท้ายเลยได้แต่บ่ายเบี่ยงถามถึงธุระกลับไปแทน

'คุณพ่อท่านอยากพบเลยให้โทรมาถามว่าเย็นนี้ว่างไหม'

"คุณลุงมีธุระด่วนหรือ"เสียงทุ้มตอบกลับไปไม่ใส่ใจนัก ตั้งใจเอาไว้ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเขาคงขอเลื่อนนัดเป็นวันพรุ่งนี้แทนเพราะตอนนี้เขายังไม่มีอารมณ์พบปะใครเอาเสียเลย

'จะว่าด่วนก็คงไม่ด่วน แต่แกคงอยากให้มันด่วน'

"อย่ามาเล่นลิ้นน่า"คนตัวสูงขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบามาตามสาย ก่อนที่สถาปนิกหนุ่มจะเอ่ยคำเฉลยจนคนฟังแทบลุกพรวดพราดจากม้านั่ง

'คุณพ่อท่านอยากคุยเรื่องเรือนริมน้ำ เห็นเปรยๆว่าเกือบใจอ่อนแล้วอะไรนี่ล่ะ'

"ล้อกันเล่นหรือเปล่าอาร์ม!"

'ถ้าอยากรู้ก็มาที่บ้านสิ ท่านชวนมาทานมื้อเย็นด้วย...ดูซิ ตั้งแต่รู้จักแกวันๆก็เอาแต่ถามถึง ไม่รู้ถูกใจอะไรแกนัก ฉันเป็นลูกชายแท้ๆยังไม่ถามหาขนาดนี้...'ชายหนุ่มเพียงปล่อยให้ปลายสายบ่นแกมหยอกโดยไม่โต้ตอบอะไรเมื่อความคิดจดจ่อเพียงแค่เรื่องเรือนหลังงามตรงหน้า...ความกังวลเมื่อครู่ปลิวหายไปทันทีเมื่อมีเรื่องสำคัญให้คิดถึงมากกว่า ชั่วขณะหนึ่งที่เขาหวนนึกถึงภาพถ่ายขาวดำที่แขวนโดดเด่นกลางห้องนั่งเล่นกว้างขวางกับคำอธิษฐานจิตเมื่อหลายวันก่อน รูปภาพนั้นนิ่งเฉยไร้ชีวิตหากแต่คนตัวสูงกลับนึกไปถึงรอยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนโยนของผู้มีพระคุณล้นเหลือในอดีตชาติ...ดวงตาคู่สวยปราดมองประตูเรือนที่ลงกลอนแน่นหนาพร้อมกับที่ริมฝีปากหยักขยับเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ก่อนที่สองขายาวจะรีบก้าวไปให้ถึงรถเก๋งที่จอดอยู่แล้วขับออกไปทันที



'ขอบพระคุณขอรับเจ้าคุณท่าน'
.

.

.

.

สิ่งที่หวังไว้แม้ยังไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจแต่ก็เรียกได้ว่าไม่สูญเปล่า เมื่อเย็นวันนั้นกันตวิชญ์ได้รับคำยืนยันจากท่านทูตกิตติเรื่องการตัดสินใจขายมรดกชิ้นสำคัญ ชายหนุ่มจับกระแสบางอย่างได้ในน้ำเสียงของผู้อาวุโสยามเอ่ยถึงเรือนริมน้ำหลังนั้น ทั้งยังท่าทีโอนอ่อนเมื่อเขาเปรยเรื่องราคาหรือแม้แต่สีหน้ายินดียามเขาอาสาเป็นผู้รับผิดชอบค่าซ่อมบำรุงเรือนเสียเองหากท่านยอมตกลงขาย นั่นทำให้กันตวิชญ์ค่อนข้างแน่ใจว่าอีกไม่นานเขาคงได้สมบัติชิ้นสำคัญมาไว้ในครอบครอง

ชายหนุ่มเผลอนึกไปถึงวันที่ตนได้เป็นเจ้าของเรือนหลังนั้นโดยสมบูรณ์ เขาอยากปรับปรุงอะไรอีกหลายอย่าง ทั้งห้องทำงานชั้นล่างที่ตอนนี้โล่งโจ้งไร้เครื่องเรือน ห้องนั่งเล่นกว้างขวางแต่เหลือเพียงชุดโซฟากับนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้น หรือแม้แต่สวนด้านหน้าที่เคยเต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับส่งกลิ่นหอมฟุ้งหากแต่ตอนนี้กลับโล่งเตียนเพราะขาดคนดูแล ยังมีศาลาริมน้ำนั่นอีก...เอ๊! ตรงนั้นเคยมีต้นแก้วปลูกเอาไว้นี่นา สงสัยต้องไปหาต้นแก้วพันธุ์ดีมาลงไว้เหมือนเดิมเสียแล้ว เวลาแขกไปใครมาจะได้กลิ่นหอมของดอกแก้วให้ชื่นใจ

กันตวิชญ์ชอบดอกแก้ว...จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็กเขาชอบเด็ดช่อดอกแก้วสีขาวนวลที่ปลูกอยู่ริมรั้วบ้านมาให้คุณยายใส่ขวดโหลหล่อน้ำแล้วเอามาวางไว้หัวเตียงเสมอเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆช่วยให้เขาหลับฝันดี...เขาเคยนึกสงสัยว่าทำไมถึงได้ติดใจกลิ่นหอมของมันนัก จนมาวันนี้ถึงได้เข้าใจ


...เพราะดอกแก้วคือดอกไม้แทนตัวเขาเองเมื่อครั้งอดีต...ดอกไม้...ที่เป็นตัวแทนของความดีและความบริสุทธิ์ เหมือนอย่างที่ตัวเขาเคยเป็น และจวบจนตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น...






'หน้าฝนปีหน้าต้นแก้วที่ศาลาริมน้ำก็คงออกดอกแล้วสิครับ'



แว่วเสียงคุ้นหูดังแทรกในความคิด...เสียงของใครคนหนึ่งที่เคยถามเอาไว้ในคืนฝนโปรย ในมือประคองช่อดอกแก้วโชยกลิ่นหอมอ่อนๆให้พอชื่นใจ หากยังหอมไม่เท่าเจ้าของมือเรียวในอ้อมกอด กลิ่นกายหอมเหมือนเด็กน้อยชวนให้หลงใหลที่ไม่ว่าจะสัมผัสสักกี่ครั้งก็ไม่เคยพอ



'อยากให้พ่อธีร์ได้เห็น'



เขายังจำคำตอบในคืนนั้นได้ดี ตั้งใจเอาไว้แน่วแน่ว่าจะดูแลต้นแก้วต้นนั้นให้เติบใหญ่ออกดอกงดงาม ใจนึกไปถึงรอยยิ้มหวานของใครคนนั้นยามได้เห็นช่อดอกไม้ขาวนวลผลิออกแซมประดับใบเขียวครึ้ม อยากได้ยินแม้น้ำเสียงระคนตื่นเต้นที่จะได้เห็นมัน

แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่มีโอกาส เพราะในวันที่ต้นแก้วต้นนั้นผลิดอก กลับกลายเป็นเขาที่ยืนมองมันเพียงลำพัง คนที่เคยตั้งตารอไม่เคยหวนกลับมา เช่นเดียวกับต้นแก้วต้นนั้นที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาไม่ต่างอะไรกับตัวเขา



...จนถึงตอนนี้ คนดียังอยากเห็นมันอยู่ไหมหนอ หากพี่คิดจะปลูกต้นแก้วไว้ที่เดิมอีกครั้ง เจ้าจะตั้งตารอให้มันผลิดอกเช่นที่เคยบอกพี่หรือไม่...



.................................................................................................




งานวันเกิดของท่านทูตกิตติถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตไม่ผิดคำที่หนุ่มนักเรียนนอกอย่างรัชตะเคยว่าไว้...สวนสวยหน้าบ้านถูกประดับด้วยไฟจนสว่างไสว ทั้งยังคลาคล่ำด้วยแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน เสียงพูดคุยจอแจดังไม่ขาดเมื่อต่างคนต่างจับกลุ่มสนทนา เช่นเดียวกับชายหนุ่มทั้งห้าที่จับจองพื้นที่ในมุมหนึ่งของสวนเพื่อพูดคุยเรื่องต่างๆหลังจากเข้าไปอวยพรเจ้าของวันเกิดเป็นที่เรียบร้อย คงมีเพียงคนตัวสูงที่ออกอาการแปลกๆตั้งแต่มาถึง ใบหน้าคมนิ่งเฉยไม่มีแม้รอยยิ้มประดับ หากแต่สายตาคมกลับวูบไหวคล้ายคนกำลังกังวลใจอะไรสักอย่างจนแม้แต่คนใกล้ชิดยังสังเกตได้

อิงทัศน์และอรรถนนท์ทำได้เพียงลอบมองท่าทีของเพื่อนสนิท ไม่มีใครออกปากถามเพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าคำตอบที่ได้รับคงเป็นคำพูดเดิมๆที่ไม่ได้ช่วยไขความกระจ่างอะไร ถึงอย่างนั้นก็ยังคอยส่งสายตาเป็นห่วงมาให้เป็นระยะทั้งที่คนถูกจดจ้องไม่รับรู้ด้วยซ้ำ

"เห็นแกบอกว่ามีคนอยากแนะนำให้รู้จัก"หากคำถามของธาวินทำเอาชายหนุ่มหลุดจากความคิดแล้วหันมาสนใจเพื่อนร่วมกลุ่มอีกครั้ง

"ลูกชายเพื่อนสนิทคุณพ่อน่ะ แต่ยังไม่เห็นเลยสงสัยยังมาไม่ถึง"สายตาคมอดชำเลืองมองตามอรรถนนท์ที่หันซ้ายแลขวาไปรอบๆไม่ได้ แม้เหตุการณ์ที่สถานทูตในวันนั้นทำเอาเจ้าตัวเสียความมั่นใจไปไม่น้อยแต่กลับไม่ทำให้ความคิดถึงและอยากพบหน้าหดหายลง...เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากได้พบกันซึ่งหน้าเขาควรมีปฏิกิริยาแบบไหนดี ควรทำเป็นไม่รู้จักหรือส่งรอยยิ้มหวานเช่นที่เคยทำเมื่อครั้งอดีต แล้วถ้าเป็นอย่างหลัง...คนๆนั้นจะยังส่งยิ้มกลับมาให้เหมือนเคยหรือเปล่า

"อ้อ! ที่เคยเล่าว่าสนิทกัน"

"อย่าเรียกว่าสนิทเลย ธีร์น่ะ เหมือนน้องชายคนเล็กของบ้านมากกว่า ตอนเด็กๆก็ชอบงอแงขอมาเล่นที่บ้านนี้ พอตอนจะกลับก็ร้องไห้ไม่ยอมกลับอีกต่างหาก"อิงทัศน์หัวเราะเบาพาให้คนฟังนึกไปถึงภาพเด็กชายตัวน้อยที่คอยวิ่งตามหลังพี่ชายทั้งสอง ทั้งยังน้ำเสียงออดอ้อนผู้เป็นพ่อเมื่อรู้ว่าถึงเวลาต้องกลับบ้าน เพียงแค่นั้นรอยยิ้มบางก็ปรากฏบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว

"มีไอ้อาร์มเป็นน้องชายคนเดียวไม่พอหรือไงครับพี่อิง"รัชตะเอ่ยแซวพร้อมข้อศอกที่ถองเบาๆเข้าที่เอวของคนตัวสูงใหญ่

"ไอ้นี่น่ะมันแสบ พูดอะไรก็ไม่ฟัง ไม่เหมือนธีร์หรอก"

"อ้าวพี่อิง เผากันแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ ตอนเด็กๆพี่เองก็แสบใช่ย่อยเหมือนกันล่ะน่า"แว่วเสียงหัวเราะดังจากเพื่อนร่วมวง ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนเป็นเรื่องในวัยเด็กของสองหนุ่มเจ้าของบ้านแทน


กันตวิชญ์ยังปรายสายตามองเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจบทสนทนาตรงหน้าเท่าไหร่นัก เพียงครู่หนึ่งสายตาก็สะดุดอยู่ที่ประตูบ้าน เมื่อคนที่กำลังเดินเข้ามาคือคนที่นึกถึงแทบตลอดเวลา ร่างสูงโปร่งติดผอมบางอยู่ในชุดสูทสีควันบุหรี่ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวในปลดกระดุมเม็ดบนทำให้ดูไม่เป็นทางการมากนัก เรือนผมดำสนิทเคลียแก้มใสเช่นเดียวกับนัยน์ตาสวยปนโศกสีเดียวกัน ริมฝีปากบางยกยิ้มนิดๆยามกล่าวทักทายคนที่เดินผ่าน ในมือประคองกล่องของขวัญขนาดไม่ใหญ่นัก


ชายหนุ่มเหลียวมองจนอีกฝ่ายเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้าน พยายามเพ่งสายตาดูว่าคนที่คิดถึงมาพร้อมใครอีกคนที่เขานึกหวั่นใจหรือเปล่า หากเพียงมองให้ดีกลับพบว่าเจ้าตัวมาเพียงลำพัง เท่านั้นก็พอให้เขาระบายลมหายใจบางเบาอย่างโล่งอก หันกลับมาหาเพื่อนร่วมกลุ่มอีกครั้งก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงเช่นเดิม ดูท่าว่าสองพี่น้องอย่างอิงทัศน์และอรรถนนท์ยังให้ความสนใจในบทสนทนากับเพื่อนฝูงมากกว่าจึงไม่ทันสังเกตเห็นคนที่พวกเขาเอ่ยถึงเมื่อครู่ มีเพียงกันตวิชญ์ที่สายตาจดจ่ออยู่กับประตูบ้านบานใหญ่เนิ่นนานราวกับรอคอยอะไรสักอย่าง


จนเมื่อร่างโปร่งของคนที่นึกถึงโผล่พ้นประตูออกมา ใบหน้าติดหวานหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง พลันสายตาคู่งามเวียนมาหยุดตรงหน้าคล้ายสบตากัน เมื่อนั้นชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วหันหลังกลับในทันที หัวใจเต้นแรงรัวจนกลบเสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมวงยามที่ปลายหางตามองเห็นว่าคนที่คิดถึงกำลังเดินตรงมาทางนี้



...ตื่นเต้น...



ใช้คำนี้ก็คงไม่ผิดนัก



หากยังไม่ทันได้คิดอะไร แรงสั่นเบาๆในกระเป๋ากางเกงกลับเรียกสติของเจ้าตัวกลับคืน มือหนาล้วงเข้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูชื่อคนโทรเข้า เมื่อเห็นว่าเป็นมารดาของตนก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเพราะปกติคุณแม่ไม่เคยโทรหาเวลานี้ถ้าไม่มีเรื่องด่วนจริงๆ

"ครับคุณแม่"เสียงทุ้มตอบกลับเป็นจังหวะเดียวกับที่อรรถนนท์สังเกตเห็นคนที่ยืนชะเง้อคอมองหาอยู่ด้านหลัง ทว่าคำตอบของมารดากลับทำเอาลมหายใจแทบสะดุดจนเผลอลืมเรื่องที่กำลังกังวลอยู่จนหมดสิ้น





'กันต์! รีบมาที่โรงพยาบาลเร็วๆนะลูก...คุณยายหกล้ม'




มือที่ประคองโทรศัพท์ไหววูบ ทั้งดวงตาเบิกกว้างจนแม้แต่เพื่อนร่วมกลุ่มยังสังเกตได้ เขารู้สึกถึงแรงเขย่าเบาๆบนต้นแขนจากธาวิน สีหน้าสงสัยของรัชตะ หรือแม้แต่เรียวคิ้วที่ขมวดน้อยๆของอิงทัศน์

"ฉันกลับก่อนนะ คุณยายเข้าโรงพยาบาล"เพียงแค่ประโยคทิ้งท้ายสั้นๆก่อนที่เขาจะรีบร้อนเดินออกจากบ้านไปทันที ทิ้งความกังวลให้คนอยู่เบื้องหลัง ไม่เว้นแม้แต่คนมาใหม่ที่อรรถนนท์เพิ่งพามาแนะนำให้รู้จัก


...รีบร้อน...จนไม่ทันสังเกตเห็นสายตาคู่งามที่มองตามแผ่นหลังกว้างของตัวเอง

...ร้อนรน...จนลืมความตื่นเต้นระคนตระหนกที่รบกวนจิตใจมาหลายวัน

...เร่งรีบ...จนพลาดโอกาสได้สบดวงตาสวยปนโศกที่ตนเฝ้านึกถึง



...เพียงเพราะคนสำคัญอีกคนที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร...


....................................................................................



ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0




ชายหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบไปตามทางเดินในโรงพยาบาลจนมาหยุดอยู่หน้าห้องผู้ป่วย ริมฝีปากหยักระบายลมหายใจเหนื่อยอ่อนก่อนเอื้อมมือออกผลักบานประตูเข้าไปด้านใน เหลือบไปเห็นมารดานั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว กับร่างแบบบางของหญิงชราบนเตียงคนไข้

"คุณยาย!"น้ำเสียงร้อนรนเรียกให้ผู้อาวุโสเบือนหน้าจากบานหน้าต่างกลับมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ

"ตากันต์...ไหนแม่เราว่าวันนี้ไปงานวันเกิดไงลูก"ขายาวสาวเท้าเข้าหาทรุดลงข้างเตียงคนไข้ มือหนาประคองแขนบอบบางของคนบนเตียงลูบไล่ไปมาด้วยความเป็นห่วง

"คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ!"หากหญิงชราเพียงระบายลมหายใจอ่อนแล้วส่งยิ้มเอ็นดูมาให้แทน

"ยายไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกลูก ดูซิ รีบร้อนมาจนเหงื่อแตกพลั่กเชียว"มือเรียวเล็กยกขึ้นเกลี่ยปอยผมชื้น ทั้งยังไล่ซับหยาดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าคม

"แม่ทิพย์นี่ก็จริงเชียว เรื่องเล็กแค่นี้ต้องโทรไปบอก"แต่ยังไม่วายส่งสายตาแกมดุให้ลูกสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกล เดือดร้อนอีกฝ่ายรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

"โธ่คุณแม่ ทิพย์ตกใจนี่คะ อยู่ดีๆเด็กที่บ้านก็โทรมาบอกว่าคุณแม่ล้ม ทิพย์ถึงได้บอกลูกให้รีบมา"หญิงชราจึงทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมาด้วยรู้ดีว่าที่ลูกสาวทำไปเพราะความเป็นห่วง ใบหน้าซูบตอบผินมองหลานชายที่ยังคงประคองสองมือของเธอเอาไว้



"กันต์มาก็ดีแล้ว แม่จะออกไปคุยกับหมอสักหน่อย ฝากคุณยายด้วยนะลูก"ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ เหลียวมองผู้เป็นแม่ลุกออกไปจากห้องแล้วจึงกลับมาสนใจคนบนเตียงผู้ป่วย สายตาคมไล่มองตามเนื้อตัวเผื่อว่ามีอะไรผิดปกติ

"ดูทำหน้าเข้า...ยายแค่ล้มในห้องนั่งเล่น ฟกช้ำหน่อยเดียวทำเป็นเรื่องใหญ่โตกันไปหมด"

"เขาก็เป็นห่วงคุณยายกันน่ะสิครับ"

"จะขอกลับบ้านแม่ทิพย์เขาก็ไม่ยอม บอกให้อยู่ดูอาการสักคืน"ผู้อาวุโสขมวดคิ้วน้อยๆคล้ายถูกขัดใจ ก็เตียงที่ไหนจะไปนอนสบายเท่าเตียงในห้องนอนของตัวเองกัน

"ดีแล้วล่ะครับ ให้หมอเขาตรวจให้ละเอียดเผื่อว่าเจ็บตรงไหนอีก"

"จะไปเจ็บตรงไหนได้ ก็เจ็บตรงที่ล้มน่ะซี"คำพูดติดตลกทั้งยังยกขาที่ขึ้นรอยเขียวช้ำให้ดูทำเอาบรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่ลดลงได้บ้าง

"โธ่ ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ มาเดี๋ยวผมนวดให้ คุณยายจะได้หายปวด"อาการเอาอกเอาใจด้วยกลัวว่าผู้เป็นยายจะรบเร้าขอกลับบ้านอีก มือหนาไล่บีบนวดคลายความปวดเมื่อยตามตัวจนผู้อาวุโสค่อยผ่อนลมหายใจยาวแล้วทิ้งตัวลงนอน





"แล้วเรื่องที่เล่าให้ยายฟังคราวก่อน...ได้คำตอบหรือยังลูก"หากคำถามของผู้อาวุโสกลับเรียกความกังวลให้กลับมาอีกครั้ง มือหนาที่ลงน้ำหนักชะงักนิ่งจนแม้แต่คนที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงต้องผินหน้ามอง

"ได้แล้วครับ"เสียงทุ้มแผ่วเบายิ่งทำให้คนฟังสงสัยนัก

"คนที่เคยเล่าว่าฝันถึง...รู้หรือยังว่าเขาเป็นใคร"

"...ครับ..."

"ได้พบกันแล้วหรือยัง"ราวกับถูกคาดคั้นเมื่อผู้อาวุโสนึกสงสัยในอาการของหลานชาย ยิ่งใบหน้าคมก้มลงไม่ยอมสบตาเธอก็ยิ่งมองว่าแปลกนัก

"พบแล้วครับ...แต่...เขาคงไม่อยากเจอผมหรอก"

"ทำไมคิดแบบนั้นล่ะลูก"

"ก็...."เห็นท่าทีอึกอักของชายหนุ่ม ผู้เป็นยายจึงพยายามยันตัวลุกขึ้นเอนหลังพิงหมอนหนุน สายตาอ่อนโยนจ้องมองหลานชายของเธอก่อนระบายลมหายใจอ่อน

"เพราะเรื่องนี้หรือเปล่า หลายวันมานี้เราถึงเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์"ไม่ใช่แค่ที่ตาเห็น แต่ยังได้ยินจากปากลูกสาวของเธอมาหลายครั้งหลายคราถึงอาการแปลกๆของหลานชายคนโปรด ตั้งใจจะถามไถ่ให้รู้ความแต่กลับไม่มีโอกาสเสียที ไม่นึกว่าจะต้องมาพูดคุยกันที่โรงพยาบาลในสถานการณ์เช่นนี้



"กันต์...ถึงยายจะไม่รู้อะไรเรื่องของคนที่กันต์ว่า แต่คิดว่ายายรู้จักหลานของยายดีทีเดียวนะ"มือเรียวเล็กทาบทับบนมือหนาที่วางค้างไว้บนท่อนแขนค่อยลูบเบาๆคล้ายปลอบใจ

"ยายเลี้ยงกันต์มากับมือ ตั้งแต่เด็กหลานเป็นคนมั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องให้สำเร็จเสมอ อะไรที่กันต์สงสัยก็พยายามหาคำตอบมาจนได้...แล้วทำไมเรื่องนี้กันต์ถึงดูลังเลนักล่ะลูก"

"ผมไม่ได้ลังเล...ผมแค่..."



...กลัว...



"เขาบอกเราหรือว่าเขาไม่อยากเจอ"ชายหนุ่มส่ายหน้า แววตาหม่นลงจนผู้อาวุโสยังสังเกตได้

"ดูสิ เขายังไม่ทันได้พูด เราก็คิดเองเออเองเสียแล้ว ไม่เหมือนตากันต์ที่ยายรู้จักเอาเสียเลย"

"คุณยาย..."คนตัวสูงช้อนตามอง หากในสายตาของเธอตอนนี้กลับมองว่าเขาเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กที่สูญเสียความมั่นใจ เพียงเพราะใครบางคนที่มีอิทธิพลต่อความคิด

"อยากรู้อะไรก็ไปถามเจ้าตัวเขาซี ถ้าเขาไม่อยากเจอไม่อยากคุยเราจะได้รู้ตัวเราเองว่าควรทำยังไงต่อ"

"แต่..."ท่าทีอึกอักขัดใจหญิงชรายิ่งนัก น้อยครั้งเหลือเกินที่เธอจะเห็นอาการ'ไปไม่เป็น'ของหลานชายอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้ ปกติออกจะเป็นคนมั่นใจ ทำอะไรมีสติเสมอแท้ๆ

"ไม่พูด ไม่ถาม แล้วก็มานั่งทุกข์ใจแบบนี้ พาลให้คนรอบข้างเขาไม่เป็นสุขไปด้วยนะลูก"

"ผมขอโทษครับ"ใบหน้าคมโน้มลงซบบนมือเรียวเล็ก ไม่ใช่ไม่รู้ว่าช่วงนี้ตัวเองแสดงอาการอะไรบ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจัดการความรู้สึกนี้อย่างไรดีมากกว่า ก็ในเมื่อคนๆนั้นน่ะ...





"เป็นคนสำคัญล่ะซี"ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำนั้น เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นยายที่ยังคงยิ้มอ่อนโยนไม่เปลี่ยน

"คนที่ว่า...เขาเป็นคนสำคัญใช่ไหม เราถึงกลัวจนไม่กล้าทำอะไรแบบนี้"ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้ารับอย่างจนใจ

"ก็ถ้าเขาเป็นคนสำคัญ แล้วเราจะยอมอยู่เฉยด้วยความไม่รู้แบบนี้หรือ"

"ผมควรทำยังไงดีครับ"ลมหายใจแผ่วถูกระบายออกจากริมฝีปากหยัก อาการหนักอกหนักใจยังมีให้เห็น ดูเหมือนว่าคำพูดของผู้อาวุโสที่พร่ำบอกเมื่อครู่ไม่ได้เข้าหัวเลยสักนิด

"ตอนนี้หลานเป็นทุกข์เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แล้วถ้าหลานรู้มันจะต่างกันสักเท่าไหนเชียว"

"แล้วถ้าเขาลืมผมไปแล้วอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ..."

"เราก็แค่เสียใจ...กันต์รับความเสียใจนี้ไม่ได้หรือ"ชายหนุ่มนึกอยากส่ายหน้าตอบไปเสีย สำหรับตัวเขา ความเสียใจเพียงครั้งเดียวในอดีตกลับกินเวลาเกือบทั้งชีวิต แล้วจะให้มารับรู้ความรู้สึกแบบนั้นอีกในชาติภพนี้ เขาจะรับมันไหวได้อย่างไรกัน

"เสียใจครั้งเดียว ดีกว่าทรมานไปทั้งชีวิตนะลูก หรือว่ากันต์อยากอยู่กับความไม่รู้แบบนี้ไปจนตาย"หากคำพูดถัดมาของคุณยายกลับคล้ายเรียกสติให้ลืมตาตื่น



ต่างกันตรงไหนเล่า ตัวเขาตอนนี้กับในอดีต...เฝ้ารอด้วยความไม่รู้ ใช้ชีวิตด้วยความหวังว่าวันหนึ่งคนๆนั้นอาจหวนคืนมาทั้งที่รู้ดีว่าแทบไม่มีโอกาส ต่างทั้งเวลา ต่างทั้งตัวตน  แม้อยากกระซิบถ้อยคำหวานหูสักกี่ครั้ง อยากโอบรั้งร่างอุ่นเอาไว้แนบอก แต่ก็ทำได้เพียงในความคิดเมื่อใครคนนั้นไม่มีวันรับรู้


แต่ตอนนี้ คนๆนั้นอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อม หากนึกอยากเอ่ยคำพูดสักคำเขาก็คงได้ยิน นึกอยากเอื้อมมือออกไปสัมผัสแก้มเนียนเขาก็คงรู้สึก แล้วถ้าหากไปยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คงได้เห็น ได้รับรู้ถึงการมีอยู่


นี่อย่างไรเล่าความแตกต่าง...นี่อย่างไร เหตุผลที่เขายังยืนอยู่ตรงนี้ เหตุผลที่เขาจดจำเรื่องราวในอดีตได้...ก็เพราะต้องการให้ใครคนนั้นรับรู้ ต้องการที่จะเอ่ยคำพูดที่ค้างคามาตั้งแต่อดีตให้ใครคนนั้นได้ยินไม่ใช่หรือ




รอยยิ้มบางผุดพรายบนใบหน้าคมให้คนได้เห็นอดอมยิ้มตามอย่างเอ็นดูไม่ได้ ดวงตาคู่สวยส่องประกายวาววับยามจับจ้องเจ้าของมือเรียวเล็ก ชายหนุ่มประคองสองมือของคุณยายกระชับแน่น ซุกซบใบหน้าลงคล้ายกำลังเรียกกำลังใจที่หดหายให้กลับคืน



"ถ้าเขาสำคัญกับชีวิตเรา ก็ทำให้เขารู้สิลูก"



"ขอบคุณนะครับคุณยาย"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มคนบนเตียงจนถูกมือเรียวตีแปะเข้าให้ที่ต้นแขนนั่นล่ะถึงได้ยอมผละออก

"ดูทำเข้า เล่นอะไรเป็นเด็กๆ"เสียงดุไม่จริงจังนักเพราะรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า กันตวิชญ์อดหัวเราะตามท่าทีของคุณยายไม่ได้ แต่เพียงครู่กลับเหมือนนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ร่างสูงหยัดตัวยืนหากยังเกาะกุมมือเล็กของผู้เป็นยายเอาไว้มั่น

"คืนนี้ผมจะมานอนเป็นเพื่อน...แต่ตอนนี้...เดี๋ยวผมมานะครับ"พูดจบก็ยกมือนั้นขึ้นแนบแก้มสักทีก่อนผละออกไปอย่างรีบร้อน ทิ้งให้ผู้อาวุโสมองตามพลางส่ายหน้าน้อยๆเมื่อเห็นอาการของหลานชาย



"บทจะรีบก็รีบเสียเหลือเกินพ่อคนนี้"
.

.

.

.
งานเลี้ยงวันเกิดของท่านทูตกิตติยังไม่เลิกราเมื่อชายหนุ่มกลับมาที่้บ้านของเพื่อนสนิทอีกครั้ง สังเกตได้จากแสงไฟสว่างจ้าด้านใน ทั้งยังเสียงดนตรีคลอเบาให้ได้ยิน เพียงเท่านั้นก็ทำให้สองขายาวก้าวเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว สายตาคมสอดส่ายพยายามมองหาคนคุ้นเคย รีบร้อนจนไม่สนใจแล้วว่าหากคนๆนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าเขาควรทำอย่างไร

เพราะความคิดถึงมีมากกว่า...เพราะคำพูดเตือนสติของคุณยายทำให้รู้ว่าคนๆนั้นสำคัญต่อเขาเพียงใด...สำคัญจนนึกไปว่า หากเขากลายเป็นคนที่ถูกลืมแล้วก็ช่างมัน ขอแค่ได้อยู่ในสายตาของคนๆนั้นสักครั้งเขาก็พอใจ


"อ้าวกันต์ กลับมาทำไมวะ"อรรถนนท์ที่เดินเข้ามาหาขมวดคิ้วน้อยๆอย่างสงสัย หากยังไม่ทันได้ถามอะไรก็ถูกมือหนาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนทันที

"อาร์ม...น้อง...น้องนายน่ะ!"น้ำเสียงร้อนรนจนคนฟังแทบจับใจความไม่ได้

"น้องอะไรของแก แล้วนี่คุณยายเป็นยังไงบ้าง เห็นพี่อิงบอกว่าเข้าโรงพยาบาลหรือ"กันตวิชญ์เพียงพยักหน้ารับ หากความสนใจของเขากลับอยู่ที่เรื่องอื่น

"พ่อธีร์...ไม่ใช่สิ......ธีร์ล่ะอาร์ม"เผลอเรียกชื่่อติดปากจนแม้แต่เจ้าตัวยังสะดุ้งน้อยๆ พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ

"ธีร์น่ะเหรอ...กลับไปแล้วล่ะ แกมีอะไรกับน้องหรือเปล่า"คำตอบของอรรถนนท์ทำเอาใบหน้าคมเจื่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว มือหนายังกระชับต้นแขนของเพื่อนสนิท ตั้งใจจะถามอะไรต่อแต่กลับถูกอีกฝ่ายแทรกขึ้นมาเสียได้

"พูดถึงธีร์...เอ้านี่!"ซองจดหมายสีทองถูกยื่นมาตรงหน้าแบบไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์นัก กันตวิชญ์ก้มมองของที่เพื่อนสนิทถืออยู่แล้วขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ชื่อบนซองก็เป็นชื่อของอิงทัศน์กับอรรถนนท์แล้วเจ้าตัวจะเอามาให้เขาทำไมกัน

"น้องฝากมาชวน...งานเปิดแกลลอรี่ของเพื่อนสนิทธีร์น่ะ"

"ชวนฉัน?"คนตัวสูงตีหน้ายุ่ง เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่ออยู่ดีๆคนที่เขานึกถึงกลับเอ่ยปากชวนให้ไปร่วมงานของเพื่อนสนิท

"ตอนแรกเขาให้มาชวนเพื่อนๆน่ะ ฉันเลยบอกไปว่าพวกนั้นมันไม่สนใจงานศิลปะเท่าไหร่หรอก"สถาปนิกหนุ่มร่ายยาวเมื่อนึกไปถึงบทสนทนากับน้องชายเมื่อตอนหัวค่ำโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของคนฟัง




"แต่พอเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อกำลังจะขายเรือนริมน้ำให้แกเท่านั้นล่ะ น้องก็เลยบอกให้ชวนแกไปด้วย สงสัยเห็นว่าแกสนใจของเก่าของโบราณแล้วจะพาลชอบพวกงานศิลปะไปด้วยล่ะมั้ง"




หากเพียงประโยคถัดมากลับทำเอาดวงตาคมเบิกกว้าง มือหนาจับบนต้นแขนของอีกฝ่ายลงน้ำหนักเสียจนคนถูกกระทำยังนิ่วหน้า

"ไอ้กันต์ เป็นอะไรของแก"อรรถนนท์ท้วงขึ้นจนคนตัวสูงยอมปล่อยมือในที่สุด

"เขาชวน...เพราะรู้ว่าฉันกำลังจะซื้อเรือนหลังนั้นหรือ"น้ำเสียงนุ่มถามกลับหากสีหน้ายังคล้ายคนตกตะลึง

"ไม่รู้สิ แต่ธีร์น่ะชอบเรือนหลังนั้นมาก เคยขอให้คุณพ่อพาไปดูตั้งหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที ตอนที่รู้ว่าคุณพ่อจะขายน้องก็ดูตกใจนะ คงเสียดายแทนล่ะมั้ง"



รอยยิ้มบางปรากฏอย่างปิดไม่มิดเมื่อนึกไปถึงใบหน้าของใครอีกคนที่คิดถึง...สีหน้าตระหนกตอนที่รู้ว่าเรือนหลังนั้นกำลังจะตกเป็นของคนอื่นจนถึงกับออกปากชวนทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นั่นพอให้คิดเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่านะ ว่าคนๆนั้นกำลังนึก'หวงแหน'เรือนหลังนั้นเหมือนที่เขารู้สึกเช่นกัน...และหากมันเป็นความหวงแหน แสดงว่าเขายังเห็นความสำคัญของเรือนหลังนั้นใช่หรือไม่



"ยังไม่ลืมหรือนี่"


...คนดียังไม่ลืมพี่ใช่ไหม...




"บ่นอะไรของแก"เสียงทุ้มของอรรถนนท์เรียกสติ มีเพียงรอยยิ้มค้างประดับบนใบหน้าคมจนคนมองตามยังขนลุก ชายหนุ่มเพียงส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบ มือหนาเอื้อมออกรับซองจดหมายมาถือเอาไว้แน่น



"ตกลงไปใช่ไหม"



คำตอบรับ...มีเพียงใบหน้าคมที่พยักรับด้วยความยินดี






และยิ่งกว่ายินดี...เมื่อในวันนั้นเขาได้พบคำตอบที่เฝ้ากังวลมาแสนนานยามได้เห็นใบหน้าที่คิดถึง ท่าทีร้อนรนยามเจ้าตัวรีบเดินตามหลังผ่านภาพวาดเรียงร้อยเหตุการณ์ในอดีตภาพแล้วภาพเล่าในแกลลอรี่...สายตา ที่จดจ่อเพียงแผ่นหลังของเขาที่พยายามหลบหลีกผู้คนจนมาหยุดยืนอยู่กลางโถงใหญ่สุดทางเดิน...สีหน้าตกตะลึง ยามได้เห็นผลงานชิ้นสำคัญของเพื่อนสนิท...รูปภาพนั้น...ภาพของเขาทั้งสองคนที่ยืนเคียงกันประดับทั้งรอยยิ้มและความอบอุ่นเผื่อแผ่มาถึงตัวเขาที่ยืนมอง



...และริมฝีปากบางสั่นระริกยามเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่แสนคิดถึง...







"คุณกันต์ใช่ไหมครับ"






...จบบริบูรณ์...





แหม่...พระเอกเรานี่คิดเองเออเองตั้งแต่ชาติก่อนยันชาตินี้เลยนะเจ้าคะ (น่าจับมาลงหวายซะนี่)

จบแล้วจริงจังค่ะสำหรับเรื่องนี้ บางช่วงบางตอนอาจมีติดขัดไม่ลื่นไหลบ้างต้องขออภัยล่วงหน้า
เพราะตอนพิเศษของพี่กันต์ครึ่งหลังๆเริ่มแต่งหลังจากร้างมือไปหลายเดือน พอกลับมาต่อมันก็ไม่ค่อยจะติด :hao4:
แต่เพราะว่าอยากให้เรื่องนี้จบโดยสมบูรณ์ถึงได้เคี่ยวเข็ญตัวเองทุกๆวันจนมาถึงวันนี้ในที่สุด *จุดพลุ*

มาถึงตอนนี้ก็ต้องบอกว่า'ขอบคุณ'เป็นรอบที่ล้านแปดเห็นจะได้ ><
ขอบคุณมิตรรักนักอ่านทุกท่านที่ยังรอติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอด
ขอบคุณที่รักและอินไปกับนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณที่เอ็นดูพี่แก้ว น้องธีร์ พี่แชมป์ พี่กันต์ (แอบเห็นมีแฟนคลับพี่สนกับมิ่งด้วย *ปลาบปลื้ม*)

แล้วพบกันใหม่เมื่อมีโอกาสนะคะ ช่วงนี้คงต้องพักเรื่องยาวเอาไว้ก่อน ไม่ชอบความรู้สึกของการรอคอยอีกแล้ว
ถ้ามีเรื่องหน้าก็อยากแต่งให้จบแล้วทยอยลงทีเดียวจะได้ไม่ต้องลุ้นมาก  :hao7:

สำหรับวันนี้ ขอบคุณ และ สวัสดีค่า *กราบ*

ปล. ใครรอพี่แชมป์น้องตฤณ คนเขียนอยากแต่งมากค่ะแต่ยังไม่มีไอเดีย เอาไว้มีความคืบหน้าประการใดจะรีบมาแจ้งให้ทราบเน้อ

ปล.ที่๒. ตอนนี้มีโปรเจคเรื่องสั้นกำลังอยู่ในระหว่างถ่ายทำ หวังว่าจะเสร็จในเร็ววันนี้ อยากให้ติดตามกันเหมือนเดิมนะคะ


 :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กว่าจะได้เจอกันมันเป็นอย่างไรต่อ ขอเพิ่มเถอะค่ะ รอมานานเหลือเกิน

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
ตอนจบเหมือนเริ่มต้นใหม่เลยค่ะ ชอบเรื่องนี้ค่ะ เป็นคนชอบนิยายแนวทวิภพมากๆ แต่นานๆครั้งถึงจะเจอคนแต่งถูกใจ
อ่านแล้วมีความสุขค่ะ ถ้ามีโอกาสอยากให้กลับมาเขียนเรื่องอีกนะคะ จะรอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ MiMic

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รักเรื่องนี้มากๆค่ะ รอติดตามผลงานต่อๆไปของคนเขียนนะค่ะ

ออฟไลน์ Dezzerr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
และแล้วก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ปลื้มค่ะ :hao5:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
งื้อ ออ อ!! ไม่อ้าวไม่ให้จบ จะเอาอีกกกTT

ออฟไลน์ SuPeRDonGDanG

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
จบแล้ว จบแล้วจริงๆหรอคะ
ขอตอนพิเศษอีกได้ไหม มันเหมือนไม่สุดอะค่ะ
อยากอ่านชีวิตในปัจจุบันของกันต์และธีร์ พิเศษไม่กี่ตอนก็ได้นะคะ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
ขอบคุณครับ  ชอบมาก



ขอตอนพิเศษได้มั้ยครับ   :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด