พิมพ์หน้านี้ - ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Novemberist ที่ 28-06-2014 23:02:22

หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 28-06-2014 23:02:22
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การ สนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้าง ความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่อง เล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้ เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ใน ความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกัน สร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็น ทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวด เล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกัน โดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ด อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่า เป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะ แม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูด คุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่าง ของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้ เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


ฮัลโหลๆ...หลังจากสิงสถิตย์ในเล้าเป็ดมาน้าน...นานนนนน ก็ได้ฤกษ์ลงนิยายเรื่องแรก(ในเล้าเป็ด)เสียที 555
เป็นพีเรียดเน่าๆสนองนี๊ดของคนแต่งเองนะเจ้าคะ...สาระอย่าไปถามถึงมาก แต่จะพยายามเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ (รู้งี้ตอนมหาลัยเรียนเอกประวัติศาสตร์เสียก็ดีมั้ยตรูวววว =_=")

เกริ่นก่อนนะคร๊าาาา...

ขึ้นชื่อว่าพีเรียด พล๊อตคงไม่หนีพีเรียดทั่วไปมากนัก แต่คนแต่งก็พยายามสุดความสามารถที่จะทำออกมาให้มันพอไปวัดไปวาได้(สาธุ)...ส่วนจะถูกใจหรือไม่ก็สุดแท้แต่ผู้อ่านจะเมตตา กรุณา ข้าน้อยด้วยเด้อออค่ะ ><"
หากมีอะไรติชมให้ปรับปรุงก็ยินดีรับไว้และจะแก้ไขนะเจ้าคะ

ปล.มือใหม่หัดเขียน เมตตาข้าน้อยด้วยนะเจ้าาาา
ปล.2 จะพยายามทำให้มันจบบริบูรณ์ให้ได้นะเจ้าคะ (สัญญาลูกผู้หญิง ><")

ฝากเพจนิยายด้วยนะคะ จะพยายามอัพเดทเรื่อยๆค่ะ :)

(http://i4.photobucket.com/albums/y133/alexel27/Mobile%20Uploads/image-5.jpg) (https://www.facebook.com/pages/Y-Vision-by-Lady_Vuitton/711652568928791)


[/color]


:::The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...:::


ตอนที่ ๑...ปฐมบท... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2748101;topicseen#msg2748101)
 
ตอนที่ ๒...เสียงเพรียกจากกาลเวลา... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2748683;topicseen#msg2748683)
 
ตอนที่ ๓...เมื่อหัวใจเพรียกหา... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2749177;topicseen#msg2749177)
 
ตอนที่ ๔...เมื่อกาลเวลาร่ำร้อง... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2749868;topicseen#msg2749868)
 
ตอนที่ ๕...เมื่อแรกพบ... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2750769;topicseen#msg2750769)
 
ตอนที่ ๖...แรกพบสบตา...(Champ's Vision) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2751479;topicseen#msg2751479)
 
ตอนที่ ๗...เหตุบังเอิญหรือจงใจ... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2752192;topicseen#msg2752192)
 
ตอนที่ ๘...แรกเริ่มของความรู้สึก... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2753125;topicseen#msg2753125)
 
ตอนที่ ๙...เมื่อสายนธีร์ย้อนกลับ... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2754205;topicseen#msg2754205)
 
ตอนที่ ๑๐...หัวใจที่กระซิบบอก... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2755031;topicseen#msg2755031)
 
ตอนที่ ๑๑...ห้วงนธีร์ไหลวน... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2755654;topicseen#msg2755654)
 
:::: Author's Talk ::::: (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2756407;topicseen#msg2756407)
 
ตอนที่ ๑๒...เมื่อได้ยินเสียงหัวใจ... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2756639;topicseen#msg2756639)
 
ตอนที่ ๑๓...โอ้เจ้าจอมขวัญ...(Champ's Vision) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2757490;topicseen#msg2757490)
 
ตอนที่ ๑๔...บุคคลอันตรายและความหมายที่ซ่อนเร้น... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2759174;topicseen#msg2759174)
 
ตอนที่ ๑๕...คำสารภาพ... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2760740;topicseen#msg2760740)
 
ตอนที่ ๑๖...ค้นหาความจริง... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2761964;topicseen#msg2761964)

ตอนที่ ๑๗...สองสิ่งที่เหมือนกัน... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2763260;topicseen#msg2763260)

ตอนที่ ๑๘...เวลาที่หมุนวนและการค้นพบความจริง... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2765431;topicseen#msg2765431)

ตอนที่ ๑๙...อดีตที่ตามหา... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2767305;topicseen#msg2767305)

ตอนที่ ๒๐...กาลเวลาหวนคืน... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2769865;topicseen#msg2769865)

ตอนที่ ๒๑...เวลาที่แตกต่าง... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2771646;topicseen#msg2771646)

ตอนที่ ๒๒...ท่าทีที่เปลี่ยนไป... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2773575;topicseen#msg2773575)

ตอนที่ ๒๒.๕...หนักใจ... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2774986;topicseen#msg2774986)

ตอนที่ ๒๓...พบกันอีกครั้ง... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2776686;topicseen#msg2776686)

ตอนที่ ๒๔...คำมั่นสัญญา (Champ's Vision)... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2787063;topicseen#msg2787063)

ตอนที่ ๒๕...กลิ่นดอกแก้ว... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2803803;topicseen#msg2803803)

ตอนที่ ๒๖...ธาราไหลริน... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2822406;topicseen#msg2822406)

ตอนที่ ๒๗...แก้วกลางนธีร์... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2837446;topicseen#msg2837446)

ตอนที่ ๒๗.๕...รัศมีจันทร์เจ้า(ครึ่งแรก)... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2844999;topicseen#msg2844999)

ตอนที่ ๒๗.๕...พิสิษฐวรเวทย์(ครึ่งหลัง)... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2849743;topicseen#msg2849743)

ตอนที่ ๒๘...เส้นขนานของกาลเวลา... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2855098;topicseen#msg2855098)

ตอนที่ ๒๙...สิ่งที่ค้างในใจ... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2860337;topicseen#msg2860337)

ตอนที่ ๓๐...งานเลี้ยง... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2867224;topicseen#msg2867224)

ตอนที่ ๓๑...ภาวนา... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2875045;topicseen#msg2875045)

ตอนที่ ๓๒...สับสน... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2900224;topicseen#msg2900224)

...ตอนพิเศษวันปีใหม่... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2919420;topicseen#msg2919420)

ตอนที่ ๓๓...เอาคืน (Champ's Vision)... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2923294;topicseen#msg2923294)

ตอนที่ ๓๔...โอกาส... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2935703;topicseen#msg2935703)

ตอนที่ ๓๕...วิกฤต... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2950392;topicseen#msg2950392)

ตอนที่ ๓๖...ผิดที่ใคร... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2959936;topicseen#msg2959936)

ตอนที่ ๓๗...การจากลา (๑)... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2965454;topicseen#msg2965454)

ตอนที่ ๓๗...การจากลา (๒)... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2966540;topicseen#msg2966540)

ตอนที่ ๓๘...ปัจฉิมบท... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42700.msg2975919;topicseen#msg2975919)


หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide......[[ยังไม่มีชื่อไทยจ้าาาา]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 28-06-2014 23:04:10
The timeless tide


Chapter I...ปฐมบท


หากแม้นเบื้องบนกำหนดให้เกิดมาคู่เคียง...เพียงกาลเวลาคงมิอาจกั้น
หากแม้นเจ้าเอ่ยคำรักให้พี่ได้ยินสักครา...พี่จักตามหาเจ้าจนพบ
แม้นกาลเวลากั้นกลาง...แต่มิอาจกั้นหัวใจของพี่ที่มีเพียงเจ้า

...สายน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจของพี่...
...สายนทีเพียงหนึ่งเดียวที่พี่จักตามหา...



"พ่อธีร์..."


"พ่อธีร์..."


"กลับมาหาเราเถิด"


"เราคิดถึงพ่อธีร์เหลือเกิน"


...เสียงทุ้มกังวานในความมืด...เสียงอันคุ้นเคย หากแต่ผมกลับจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร...คุ้น...คุ้นมาก เหมือนมีใครเคยเรียกผมแบบนี้...แต่ใครล่ะ...เขาเป็นใครกัน?...
 .
.
.
.
"ธีร์..."เสียงหวานเจื้อยแจ้วเรียกชื่อผมพร้อมมือที่เกาะเกี่ยวราวกับว่าผมจะหายตัวไปต่อหน้า

"แพม..."ใช่ครับ...แพม...แฟนสาวร่วมมหาวิทยาลัยของผมเอง...ผมหันไปมองร่างเล็กที่ยังเกาะเกี่ยวแขนผมเอาไว้แน่น...ผมยาวถึงกลางหลัง ดัดลอนสีน้ำตาลอ่อนตามสมัยนิยมของวัยรุ่นไทยในศตวรรษที่21...ดวงตากลมโตเพราะคอนแทคเลนส์สีน้ำตาล ก็ตามที่วัยรุุ่นสมัยนี้เขานิยมกันนั่นล่ะ...ถ้าถามผม แพมก็นับเป็นหนึ่งในสาวสวยหน้าตาดีในมหาวิทยาลัยนี้อีกคน...อันที่จริงผมว่าสาวสวยในมหาวิทยาลัยผมนี่ก็เยอะแยะไปหมด เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่ผู้หญิงหน้าตาเหมือนๆกัน แต่งตัวเหมือนๆกัน ทำผมทรงเดียวกัน แถมยังตัวเท่าๆกันอีกต่างหาก ไม่รู้พ่อแม่เขาเลี้ยงกันด้วยอะไรนะ สาวๆสมัยนี้ถึงได้เอวบางร่างน้อย ตัวสูงเท่าไหล่ผมกันทั้งนั้น

"วันนี้ธีร์เลิกกี่โมง...แพมอยากดูหนัง"เสียงเจื้อยแจ้วของแพมยังย้ำต่อ รวมถึงมือที่เกาะเกี่ยวแขนผมก็กระตุกเบาๆเป็นจังหวะ...นี่สินะ เขาเรียกว่าผู้หญิงเวลาอ้อน

"โอ้ย! ไอ้ธีร์อ่ะนะ เพื่อแพมต่อให้มันมีสอบมันก็โดดได้!"เสียงไอ้แชมป์เพื่อนสนิทผมที่นั่งอยู่ข้างๆขัดขึ้น...ตอนนี้พวกผมกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ช่วงเที่ยงนี่คนแน่นจริงๆ แต่แพมก็ยังหาผมเจอจนได้...เขาถึงว่า อย่าได้ประมาทผู้หญิงเชียว เพราะพวกหล่อนน่ะสัญชาติญาณดีเป็นเลิศครับ

"ตีนเถอะครับเชี่ยแชมป์...บ่ายธีร์มีควิซนะแพม คงเลิกเย็นๆเลยครับ ไว้พรุ่งนี้ได้ไหม ธีร์เลิกเที่ยงแล้วจะไปหาที่คณะ"ผมหันไปด่าไอ้แชมป์ก่อนแล้วค่อยหันมาบอกคนตัวเล็กที่ยังเกาะแขนผมไม่ปล่อย เอ้อ ผมไม่ได้หายไปไหนหรอกแพม ไม่ต้องเกาะแน่นขนาดนี้ก็ได้

"แต่แพมอยากดูวันนี้นิ่ พรุ่งนี้แพมเลิกเย็นแถมคุณพ่อให้รีบกลับอีก ไปวันนี้ไม่ได้เหรอธีร์"เสียงอ้อนของแพมทำเอาผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าแพมเข้าใจความหมายของควิซรึเปล่าวว่ามันสำคัญ =_="

"วันนี้ไม่ได้จริงๆครับ ให้ธีร์สอบเสร็จก่อนนะ มะรืนก็ได้ หรือแพมว่างวันไหนแพมบอกธีร์นะ"

"ก็แพมว่างวันนี้..."เสียงแข็งพร้อมแก้มป่องๆ เอาแล้วไงครับ ผู้หญิงเวลางอนยิ่งกว่าพายุทะเลทราย ไม่รู้จะเอาอะไรมาหยุดดี

"แต่ธีร์ไม่ว่างนี่ครับแพม แพมเข้าใจธีร์นะ"ผมไม่ค่อยชอบเถียงแพม จริงๆแล้วผมไม่ค่อยชอบเถียงผู้หญิงเลยต่างหาก เพราะผมไม่เคยเถียงชนะพวกหล่อนนั่นแหละ...แต่ถ้าเป็นพวกเพื่อนผู้ชายน่ะ ถึงไหนถึงกันครับ เถื่อน ดิบ เป็นเรื่องธรรมชาติ

"ธีร์มันไม่ว่าง ไปกับต่อก็ได้นะคร้าบบบบบ"เสียงไอ้ต่อ เพื่อนร่วมแก๊งค์อีกคนแทรกขึ้นมา...ไอ้นี่มันตัวกวนครับ เห็นผู้หญิงสวยๆไม่ได้เป็นต้องแถเข้าไปหา แม้แต่กับแพมก็ไม่เว้น...แต่ผมไม่เคยหึงมันหรอก เพราะพวกผมรู้กันว่าของๆเพื่อนเราจะไม่ยุ่งกันเด็ดขาด มันไม่คุ้มที่จะมาเสียเพื่อนเพราะผู้หญิงคนเดียว

"ไอ้นี่ เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา ผัวเมียเค้างอนกันอยู่มึงเห็นมั้ย!"ไอ้โจ๊กรีบโบกหัวเพื่อนก่อนที่มันจะปล่อยหมาออกมาเพ่นพ่านอีกรอบ ทำเอาแพมที่แก้มป่องเพราะงอนผมอยู่หลุดอมยิ้มนิดๆ...เอาวะ อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว

"เอาไว้ธีร์ว่างแล้วธีร์ค่อยพาไปดูหนังนะครับ เดี๋ยวธีร์พาไปกินข้าวชดเชยด้วยเอ้า ธีร์เลี้ยงเอง"ได้ทีผมเลยรีบง้อใหญ่ กลัวแพมจะไม่หายงอนแล้วผมจะไม่ได้ไปสอบกันพอดี...แพมยังหันมาทำแก้มป่องใส่ผมแต่ไม่ป่องเท่าตอนแรกแล้ว แสดงว่าอารมณ์ดีขึ้นมาขีดนึง...แหม่ ต้องขอบคุณไอ้โจ๊กที่ช่วยสาระแนให้แฟนผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้

"ก็ด้ะ! แต่คราวหน้าห้ามเบี้ยวแพมแล้วนะ ต้องเลี้ยงแพมตามสัญญาด้วย"พูดจบก็คลี่ยิ้มออกมาได้บ้าง ทำเอาผมแอบถอนหายใจ สงสัยกูต้องเลี้ยงข้าวไอ้โจ๊กก่อนแพมแล้วมั้งเนี่ย

"โอเคค่ะ งั้นธีร์ไปก่อนนะ เดี๋ยวเข้าสายอาจารย์ไม่ให้สอบอีก ซวยเลยนะครับ"ผมรีบขอตัวเมื่อมองเวลาเห็นว่าใกล้ต้องเข้าห้องเรียนเต็มทีแล้ว...แพมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ...รอดตัวไปอีกวันครับไอ้ธีร์ นี่ถ้าเจอลูกตื๊อหนักกว่านี้สงสัยผมคงไม่ได้สอบแล้วพาแพมไปดูหนังอย่างที่แพมต้องการแน่ๆ




"ควายเอ๊ย! กะเพื่อนล่ะปากดี ทีกะแฟนล่ะทำเป็นหงิม"เสียงไอ้แชมป์ตะโกนไล่หลังตอนที่พวกเรากำลังเดินไปตึกเรียน ผมเลยหันไปชูนิ้วกลางให้มันเป็นการขอบคุณ

"หู้ยยยย มึงก็ไปว่ามัน พี่ธีร์เขาเป็นสุภาพบุรุษคร้าบบบบ"ไอ้โจ๊กครับ รีบต่อมุขเป็นลูกคู่ไอ้แชมป์ทันที...เหมือนจะชมกูนะ แต่น้ำเสียงมึงกระแดะพิกล

"มึงก็นะ สุภาพบุรุษเกิ๊นนนนน ผู้หญิงบางทีเขาก็ชอบผู้ชายเถื่อนๆนะเว้ย แบบตบจูบๆไรงี้"ไอ้แชมป์รีบเดินตามมาเกาะไหล่ผมแน่น แล้วดูมันพูด กูไม่ใช่พระเอกละครอาพิศาลครับจะได้มาตบจูบๆ

"เถื่อนเหมือนมึงอ่ะนะ ไม่ไหวว่ะ เสื่อม!"ผมรีบหันไปส่ายหน้าใส่คนข้างๆ เรียกเสียงฮาจากเพื่อนร่วมแกงค์ได้อีกรอบ

"หู้ยยยย ไอ้คุณชายชลนธีร์ เป็นสุภาพบุรุษให้ได้ตลอดนะครับมึง"ไม่พูดเปล่าล้อชื่อจริงผมอีก...ชื่อผมก็แปลตรงตัวนั่นแหละครับ..."สายน้ำ"...แต่ที่เขียนแบบนี้เพราะแม่เคยบอกว่าตอนเกิดพระท่านทักว่าควรตั้งชื่อผมให้มีตัวการันต์ด้วย แม่ก็เลยเขียนชื่อผมออกมาเป็นแบบนี้แต่ความหมายเหมือนเดิม...งงไหมครับ...ผมยังงงเลย แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมว่าชื่อผมมันก็แปลกดี...

แต่ตอนนี้คนที่ตั้งชื่อให้ผมเขาไม่อยู่แล้วครับ...พ่อกับแม่เสียตั้งแต่ผมอายุ14ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์...ตอนนั้นผมที่เพิ่งเข้าสู่วัยรุ่นแล้วยังต้องมาได้ยินข่าวร้ายเรื่องพ่อกับแม่ทำเอาผมแทบเสียคน ผมหนีออกจากบ้านอาที่รับผมไปอยู่ด้วยแทนพ่อที่เพิ่งเสียไป...อาตามหาผมอยู่3วันกว่าจะเจอผมที่ยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่กลางสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา...หยุดครับ! ผมไม่ได้คิดสั้นแบบที่พวกคุณคิด...ผมแค่อยากอยู่คนเดียว...สำหรับผม การสูญเสียพ่อแม่ทำเอาผมเสียหลักครั้งใหญ่...ผมรักพ่อกับแม่มาก ถึงพ่อจะงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลา แต่ผมก็รับรู้ได้เสมอว่าพ่อรักผม...ไม่ใช่เพราะผมเป็นลูกชายคนเดียว แต่พ่อชอบพูดกกับผมเสมอว่า...ผมคือสมบัติอันล้ำค่าของพ่อกับแม่...สมบัติที่ใครบางคนมอบให้ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคือใคร

ส่วนแม่...แม่เป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวในชีวิตที่ผมรักหมดหัวใจ...รักโดยไม่มีเงื่อนไข...ผมติดแม่ตั้งแต่เด็กเพราะพ่องานยุ่ง แม่ใจดีกับผมเสมอแต่ก็พร้อมจะเป็นนางยักษ์เมื่อผมทำผิด...ตั้งแต่จำความได้จนอายุ14 ผมเป็นเด็กดีมาตลอดเพื่อตอบแทนบุญคุณพวกท่าน...แต่เมื่อท่านจากไป ผมกลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่ยอมไปเรียน ไม่สุงสิงกับใคร เพราะทุกครั้งที่ผมไปโรงเรียนผมมักได้ยินคำปลอบใจไร้สาระจากคนรอบตัวเสมอ...ทุกคนเสียใจต่อการจากไปของท่านฑูตธีรวัฒน์และคุณหญิงนาฎลดา เตชะวณิช แต่ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าการสูญเสียคนที่เรียกว่าพ่อกับแม่ จริงๆแล้วมันรู้สึกอย่างไร...

'กูรู้นะว่ามึงเสียใจ...ไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักจากไปหรอก แต่มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าพ่อแม่มึงจะรู้สึกยังไงที่ต้องมาเห็นลูกตัวเองในสภาพนี้...ไหนมึงบอกมึงรักพวกท่านมาก ทำไมมึงทำให้พวกท่านเสียใจวะ' นั่นเป็นประโยคเดียวที่ผมจำได้แม่นจากไอ้แชมป์ คำพูดที่ไม่ได้ปั้นแต่งให้สวยหรู ไม่ใช่การแสดงความเสียใจจอมปลอม...นั่นทำให้ผมฉุกคิด...แชมป์เป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ป.4 บ้านอยู่ใกล้กัน แถมบ้านผมกับบ้านมันก็ยังสนิทกันอีก...ตอนนั้นแชมป์เลยเป็นคนเดียวที่ผมรับฟัง มันมักจะมานั่งเป็นเพื่อนผมหลังเลิกเรียนเวลาที่ผมไม่อยากกลับบ้าน...เพราะนั่นไม่ใช่บ้านผม...นั่นคือบ้านของอา...ผมอยู่บ้านเดิมไม่ได้เพราะอาเห็นว่าผมยังเด็กเกินกว่าจะใช้ชีวิตคนเดียว ต่อให้มีคนรับใช้ของพ่อกับแม่อยู่เต็มบ้านแต่อาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีเลยคิดจะรับผมไปอยู่ด้วยจนกว่าผมจะโตจนดูแลตัวเองได้ท่านถึงจะอนุญาตให้ผมกลับไปอยู่บ้านเดิม...บ้านที่พ่อระบุไว้ในพินัยกรรมพร้อมทรัพย์สินอีกมหาศาล ทั้งหมดจะตกเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียวเมื่อผมอายุครบ22ปี ในวันที่ผมจบการศึกษา...

'ทำไมมึงไม่อยากอยู่กับอานิด เขาก็ดีกับมึง'แชมป์มักจะถามผมด้วยคำถามเดิมๆทุกครั้งที่มันมานั่งเป็นเพื่อนผมข้างสนามฟุตบอลที่โรงเรียน

'แต่เขาไม่ใช่แม่กู'ใช่ครับ อานิดดีกับผมมาก อารักผมเหมือนลูกแท้ๆเพราะอายังไม่มีลูก ท่านเคยอยากรับผมเป็นลูกบุญธรรมหลังจากที่พ่อกับแม่เสีย แต่ผมไม่ยอมกลับหนีออกจากบ้านไปเกือบอาทิตย์ จนสุดท้ายแกก็ล้มเลิกความคิด

'ไม่ต้องเป็นลูก เป็นหลานเหมือนเดิมก็ได้ แค่ขอให้อาได้ดูแลธีร์เหมือนที่พ่อกับแม่ธีร์รักและดูแลธีร์ได้ไหม...ธีร์ก็เหมือนลูกอาคนหนึ่ง อาเห็นธีร์มาตั้งแต่เกิด พ่อกับแม่รักธีร์ยังไง อาก็รักธีร์อย่างนั้น'อานิดพูดทั้งน้ำตาพลางโผเข้ามากอดผมแน่นหลังตามตัวผมเจอ...ไม่ใช่ว่าผมไม่รักอานิด แต่ด้วยความเสียใจในการสูญเสีย...ผมต่อต้าน...ไม่มีใครแทนที่พ่อกับแม่ผมได้...ไม่ว่าใคร...ไม่ว่าเขาจะดีกับผมแค่ไหน...และไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นอานิดก็ตาม

'ถ้ามึงไม่สงสารอานิด ก็คิดซะว่าทำเพื่อพ่อกับแม่มึงเถอะ ท่านจะได้ไปสบายไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงมึง' และก็เป็นไอ้แชมป์อีกนั่นแหละที่ดึงสติผมกลับมา หลังจากที่ผมต่อต้านอานิดอยู่เกือบปี แต่ได้ไอ้แชมป์คอยพูดกรอกหูทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น จนสุดท้ายผมก็ใจอ่อน ยอมย้ายไปอยู่กับอานิดและสามี...ผมไม่เคยปฏิเสธว่าอาทั้งสองดีกับผมมากแค่ไหน ท่านรักผมเหมือนลูกแท้ๆ...แต่ก็อย่างที่เคยพูดไป...ผมต่อต้าน...ถึงผมจะยอมย้ายไปอยู่ด้วยแต่ไม่ได้หมายความว่าผมยอมให้ท่านมาแทนพ่อกับแม่ของผมได้...ผมรู้สึกแบบนี้ตลอดเวลาที่อยู่บ้านหลังนั้น...ผมคิดถึงพ่อกับแม่...ยิ่งอาทั้งสองดีกับผมมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งคิดถึงพ่อกับแม่มากเท่านั้น...จนสุดท้ายผมก็ได้ออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง...ในวันที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ได้

'อานิด...ธีร์จะไปอยู่หอ'นั่นคือคำพูดของผมหลังจากที่บอกข่าวดีกับอาทั้งสอง...หลานชายสอบติดคณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของประเทศ...ท่านดีใจถึงกับประกาศจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ผม แต่ผมปฏิเสธ...ผมไม่อยากรบกวนอาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

'ธีร์...คิดดีแล้วเหรอลูก'อานิดเรียกผมว่าลูกเสมอ หยาดน้ำตาใสๆเริ่มเอ่อล้นดวงตาทั้งสองของอา...ใช่ ผมรู้ว่าอาเสียใจ เพราะอาพยายามทำดีกับผมตั้งแต่ผมยอมย้ายมาอยู่ด้วย รักผมเหมือนลูกแท้ๆ แต่ผมกลับทำทุกวิธีที่จะไปจากบ้านหลังนี้

'ธีร์ตัดสินใจแล้วครับ...อยู่หอมันสบายกว่า ไม่ต้องเดินทางไกลๆ'ผมยกเหตุผลเรื่องการเดินทางมาอ้าง แต่เราต่างรู้ดีถึงเหตุผลที่ผมตัดสินใจแบบนี้ และครั้งนี้อาก็ห้ามผมไม่ได้ เพราะผมมีเหตุผลมากพอ และผมก็โตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว

'ถ้าธีร์คิดดีแล้ว อาก็ไม่ห้ามหรอกจ้ะ'นั่นคือคำตอบของอา แต่ผมก็ยังเห็นคราบน้ำตาและรอยช้ำรอบๆที่บ่งบอกได้ว่าผมกำลังทำให้อาเสียใจ

'อานิดไม่ต้องส่งเงินมาให้ธีร์นะ เดี๋ยวธีร์จะทำงานหาเอง'ดวงตาบอบช้ำของอานิดที่แดงอยู่แล้วเริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง

'อารู้ว่าธีร์ไม่อยากรบกวน แต่นั่นไม่ใช่เงินอาหรอก...นั่นเงินของพ่อกับแม่ธีร์ที่ทิ้งไว้ให้ ท่านตั้งใจยกทุกอย่างให้ธีร์ อาเคยบอกธีร์แล้วไม่ใช่เหรอลูก'เสียงของอานิดยังอ่อนโยนเสมอแม้จะมีเสียงสะอื้นเจืออยู่ในประโยคนั้น

'ไว้รอให้ธีร์ตอนเรียนจบทีเดียวก็ได้ครับ'ผมตอบกลับอย่างเสียไม่ได้ ผมไม่อยากรบกวนใคร แม้แต่เงินของพ่อกับแม่ก็ตาม เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะได้ใช้มัน

'ธีร์...อาเข้าใจธีร์นะ แต่เรื่องนี้อาขอ ไม่เห็นแก่อาก็เห็นแก่พ่อกับแม่ที่เสียไปแล้วเถอะ ท่านคงไม่อยากเห็นธีร์ออกไปใช้ชีวิตลำบากคนเดียวหรอกนะลูก'

'แต่ธีร์...'ผมกำลังจะเถียงกลับ พอดีกับที่อาผู้ชายเดินเข้ามา

'แค่ธีร์ไม่อยากอยู่ที่นี่ก็ทำให้อาเสียใจมากพอแล้ว ธีร์อย่าทำให้อานิดเสียใจไปมากกว่านี้เลย เงินนั่นวันนึงมันก็ต้องเป็นของธีร์ เงินของพ่อของแม่ธีร์ พวกอามีหน้าที่แค่ดูแลให้ธีร์ได้ใช้มันในทางที่เหมาะสม'อาผู้ชายรีบเสริม ก็จริงที่เงินนั่นจะถูกใช้ในทางที่เหมาะสมเพราะมันจะกลายมาเป็นค่าเทอมของผมจนกว่าจะเรียนจบ

'เพราะฉะนั้นไม่มีแต่...แลกกับการที่พวกอายอมให้ธีร์ออกไปอยู่หอ ธีร์ต้องยอมให้อาจ่ายค่าเทอมพวกนี้จนกว่าธีร์จะเรียนจบ'เป็นอันว่าผมต้องยอมรับข้อเสนอของอาทั้งสองคนแลกกับชีวิตเด็กหออันอิสระเสรี


...นั่นเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน...
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide......[[ยังไม่มีชื่อไทยจ้าาาา]]...Chapter I ปฐมบท
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 28-06-2014 23:58:00
เจิมนะคะ :mc4: อยากอ่านต่อคะ ได้โปรดสนองนีสสสสสสสสสสสสสสสคนอ่านตาดำๆ  :katai1:

อิอิสู้ๆคะ


หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide......[[ยังไม่มีชื่อไทยจ้าาาา]]...Chapter I ปฐมบท
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 28-06-2014 23:59:21
ลืม+1 มากดแล้วปายยยยยยยย

 :bye2:
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide......[[ยังไม่มีชื่อไทยจ้าาาา]]...Chapter I ปฐมบท
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 29-06-2014 16:12:54
Chapter II...เสียงเพรียกจากกาลเวลา



"เทสย่อยเป็นไงวะมึง"ไอ้แชมป์หันมาถามผมที่นั่งเรียบเรียงเลคเชอร์ที่เพิ่งจดไปเมื่อคาบที่แล้ว มันไม่ได้เรียนคณะเดียวกับผมหรอกครับ มันเรียนศิลปกรรม เพราะมันออกจะติสต์ไม่เหมือนคนอื่นเขา...ดีนะที่มันยังไม่ถึงขั้นลุกขึ้นมาแต่งตัวทำผมเหมือนพวกเด็กศิลปกรรมคนอื่นๆ ไม่งั้นผมคงเครียดหนักกว่าเดิม...ใครๆเขาก็อยากมีเพื่อนเป็นผู้เป็นคนนะครับคุณผู้อ่าน

"ก็ไม่ไง ผ่านปกติ"ผมตอบแต่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือเรียนตรงหน้า

"เหอะ ผ่านปกตินี่คือเต็มสินะไอ้คุณชาย"มาแล้วครับ สรรพนามที่มันชอบเรียกเวลาจะแดกดันผม เพราะมันรู้ว่าผมไม่ชอบแต่มันก็ยังดันทุรังเรียกมาตั้งแต่ป.4 จนตอนนี้ก็สิบปีเข้าไปแล้วจนผมชินขี้เกียจต่อปากต่อคำกับมัน

"เต็มครึ่งครับสัส!" ผมไม่ใช่คนเรียนเก่งครับ อาศัยลูกขยัน แต่หัวมันก็ตื้อๆเป็นบางเวลา อย่างวันก่อนที่ทำเทสย่อยหัวมันดันพาลคิดเรื่องเก่าๆที่เล่าให้คุณผู้อ่านฟังตอนที่แล้ว ทำเอาไม่มีสมาธิสอบเลยทีเดียว

"โอ๊ะ แสดงว่าวันนั้นผีออก ฮ่าๆๆ"ไอ้แชมป์ยังกวนตีนผมไม่เลิก มันหาเรื่องกวนผมได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ อย่างพอสอบได้คะแนนดีๆมันก็จะหาว่าผีเข้าบ้างล่ะ แต่พอคะแนนแย่ๆแบบคราวนี้มันก็จะหาว่าผีออก สรุปคือผมจะทำอะไรมันก็หาเรื่องแดกดันได้ทุกที

"อย่าไปเครียดครับคุณชาย เอางี้! เดี๋ยววันนี้กระผมพาไปแดกเหล้า ถือซะว่าเลี้ยงปลอบใจที่คุณชายเสือกสอบได้เต็มครึ่งเอามั้ยครับ"เอากับมันสิครับ จะชวนผมไปกินเหล้ายังชวนแบบคนปกติเขาไม่ได้ ต้องหาเรื่องชักแม่น้ำทั้ง84สายมาให้ผมงงได้ตลอดเวลา

"มึงอยากแดกก็บอกมา ไม่ต้องมาอ้าง"ผมตอบมันเสียงเรียบพลางละสายตาจากเล็คเชอร์ตรงหน้าวูบหนึ่ง

"หรือมึงไม่อยาก?"ไอ้แชมป์รีบสวนควับ...จริงๆแล้วนอกจากพวกผู้หญิงที่ผมไม่ชอบต่อปากต่อคำด้วยนักก็จะมีไอ้แชมป์นี่แหละครับที่ผมไม่ค่อยอยากจะเถียงมันสักเท่าไหร่ เพราะมันชอบมีเหตุผลพิสดารมาอ้างจนผมก็จนปัญญาจะเถียงทุกครั้งไป

"เออๆ ไปก็ไป ขับรถไปส่งกูที่หอด้วยอ่ะวันนี้ไม่ได้เอารถมา"ว่าแล้วก็จัดการนัดพวกไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อไปเจอกันที่ร้านประจำตรงทองหล่อ...วันนี้วันศุกร์คนคงเยอะ พวกผมเลยนัดกันตั้งแต่เกือบ3ทุ่มเพราะกลัวจะไม่มีโต๊ะให้นั่ง
.

.

.

.

"เชี่ยโจ๊ก! เสื้อขาว3นาฬิกาครับ"ไอ้ต่อรีบสะกิดแขนไอ้โจ๊กยิกๆพลางส่งโค้ดลับที่เขารู้กันทั่วประเทศ นี่ก็เรื่องปกติของไอ้สองคนนี้เหมือนกัน เวลามันมาเที่ยวทีไรเป็นต้องยืนแอบส่องสาวน่ารักๆในร้านทุกที แต่ผมว่าผู้ชายปกติเขาก็เป็นแบบนี้กันใช่ไหมครับ...แต่ผมไม่เคยนะ เพราะผมถือว่าผมมีแฟนแล้ว ไม่ค่อยอยากหาเรื่องใส่ตัว

"สัส กรีดตายาวไปถึงคิ้ว มึงเอาไปเหอะ นู่นๆ  สายเดี่ยวดำ12นาฬิกาดีกว่า"ไอ้โจ๊กเริ่มสอดสายตาหาเป้าหมายบ้าง

"ควาย! มึงเห็นมั้ยเค้ามากับผัว"ไอ้ต่อไม่พูดเปล่าแถมโบกหัวเพื่อนซักทีโทษฐานส่องสาวไม่ดูตาม้าตาเรือ

"พวกมึงนิ่ กูชวนมาแดกเหล้าไม่ได้ชวนมาส่องสาว"ไอ้แชมป์ส่ายหน้าบ่นเพื่อนอีกสองคนอย่างระอา...ส่วนผมเหรอครับ ก็ทำตัวตามปกติ...นั่งดื่ม...ดื่ม...แล้วก็ดื่ม

"เอ้า ไอ้นี่อีกคน ชวนมาแดกเหล้าแม่งก็แดกแต่เหล้าจริงๆไม่ทำเชี่ยอะไรเลย"ไอ้แชมป์ยังไม่วายหันมาแขวะผมอีกคน

"เสือกกกก"ผมที่เริ่มกึ่มๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หันไปด่ามันซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่จะเริ่มหนักหน่อยเวลาเหล้าเข้าปาก

"แหม๊ เมาแล้วปากดี เดี๋ยวกูโทรตามแพมแม่ง ดูดิ๊ยังจะปากดีอยู่มั้ย"ไอ้แชมป์รีบยกจุดอ่อนผมมาอ้างทำเอาผมเงียบปากลงได้บ้าง มีเพียงแค่นิ้วกลางที่โชว์หราใส่หน้ามัน

"ไอ้ธีร์ มึงเครียดไรป่าววะ กูเห็นตั้งแต่มาถึงมึงก็แดกเอาๆ นี่ยังไม่ถึงชั่วโมงมึงล่อไปเกือบครึ่งขวดแล้วนะ"ไอ้ต่อหันมาถามผมที่ตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาดื่มไม่สนใจใคร

"ไม่มีไรมึง..."ผมตอบห้วนๆ แต่คนที่รู้จักผมดีอย่างไอ้แชมป์ย่อมรู้เสมอว่านี่แหละ คือ'มีอะไร'ในความหมายของผม


"เป็นเชี่ยไรอีกล่ะ"มันเดินมากอดคอพร้อมกระซิบเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน...ไอ้แชมป์มันรู้ใจผมดี ถึงผมจะสนิทกับโจ๊กและต่อแต่ก็ไม่เหมือนแชมป์ที่รู้ใจกันมาตั้งแต่เด็ก จะว่ามันเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมไว้ใจเลยก็ว่าได้

"อานิดอยากให้กูกลับไปอยู่บ้าน"นั่นคือคำตอบของผม...สามวันก่อนตอนที่ผมกลับบ้านอาทั้งสองเรียกผมเข้าไปคุยเรื่องนี้ สาเหตุเพราะอาผู้ชายต้องย้ายไปประจำบริษัทสาขาที่เชียงใหม่ ทำให้อานิดต้องอยู่บ้านคนเดียว เลยอยากให้ผมกลับไปอยู่เป็นเพื่อน

"แล้วมึงว่าไง"ไอ้แชมป์ยังถามต่อ

"กูไม่รู้ว่ะ ไม่อยากกลับ แต่ก็เกรงใจแก"ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะอยู่บ้านกับอานิด แต่ถ้าเลือกได้ ผมขออยู่หอคนเดียวดีกว่า มันสบายใจกว่ากันเยอะ

"แต่ถ้าไม่กลับเลยก็สงสารแกป่ะวะ แกอยู่คนเดียวก็คงเหงา"

"กูรู้ แต่กู..."ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ช่วงนี้ผมยิ่งไม่อยากกลับไปอยู่บ้าน จะว่าผมคิดไปเองก็ไม่ใช่ เพราะมันเกิดขึ้นบ่อยเสียจนผมไม่คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ

"มีอะไรที่กูควรรู้อีกป่ะ"แม่งทำตัวอย่างกับนักสืบ ถามเลาะเล็มไปเรื่อย

"เมื่อก่อนก็ไม่มีอะไร...แต่เดี๋ยวนี้..."ผมหันไปมองไอ้แชมป์ที่นั่งท้าวโต๊ะมองหน้าผมแบบจริงจัง...นี่มึงอยากรู้เรื่องกูขนาดนั้นเลยเหรอวะ

"กูชอบฝันแปลกๆ...ตอนอยู่หอไม่เคยเป็น เป็นแค่ตอนกลับไปนอนบ้าน"

"แปลกยังไง...เห็นแพมแก้ผ้า?...โอ๊ยยยย!"เสือกกวนตีนผมเลยโบกให้ซักที

"เชี่ยกูล้อเล่น...เอ้าเล่ามา...แปลกยังไงของมึง"ไอ้แชมป์ถามพลางเอามือลูบหัวตัวเองป้อยๆ

"กูไม่ได้ฝันเห็นอะไรเลย มันมืด..."

"สัส! มึงหลับตามันก็ต้องมืดดิวะ...โอ๊ยยย! หัวคนนะเว้ยไม่ใช่ลูกปิงปอง ตบเอาๆ"มันรีบยกมือขึ้นลูบหัวที่เหมือนลูกปิงปองของตัวเองอีกรอบเมื่อเจอผมโบกเข้าให้

"กูไม่เล่าละ ขัดตลอด..."

"เออๆ เล่ามา...มืดแล้วไงต่อ"สงสัยกลัวโดนรอบที่สาม คราวนี้เลยนั่งเงียบไม่กวนประสาทได้

"มันมืด...แต่กูได้ยินเสียง"ผมเห็นไอ้แชมป์ขมวดคิ้วนิดๆด้วยความสงสัย

"เสียงไรวะ"

"เสียงผู้ชาย...เรียกชื่อกู...แต่...เรียกแปลกๆ"ผมเล่าพลางนึกถึงฝันที่เกิดขึ้นแทบจะทุกครั้งที่ผมกลับไปนอนที่บ้านอานิด ผมไม่ได้ฝันแบบนี้ตั้งแต่แรก...มันเริ่มเมื่อประมาณ2-3อาทิตย์ก่อน ปกติผมจะกลับบ้านช่วงสุดสัปดาห์ แต่พอผมฝันเห็น...ไม่สิ ได้ยิน...ได้ยินเสียงนั้น...ทำเอาผมไม่อยากกลับไปนอนบ้านเลยแม้แต่วันเดียว

"แปลกยังไง...เค้าเรียกมึงว่าผัวขาาาาา  เหรอ...เชี่ยหยุด! โบกกุอีกทีกุถีบกลับนะมึง"ไอ้คนรู้ตัวรีบยกมือมาบังหัวตัวเองราวกับรู้ว่าผมคิดอะไร...ก็ถ้ามึงไม่อยากโดนก็ช่วยหุบปากแล้วฟังให้จบได้ไหมล่ะเว้ย

"สัส"คำเดียวสั้นๆจากปากผม

"เห้ย ต่อๆ อย่ามาค้างคา"มันจะคาก็เพราะมึงกวนตีนกูไม่เลิกเนี่ยแหละ

"เค้าเรียกกูว่า..."ผมเงียบไปอึดใจพลางนึกถึงเสียงในฝันนั้น


-พ่อธีร์-


ใช่ครับ...เสียงนั้นเรียกผมแบบนี้...มันแปลกมากเพราะไม่เคยมีใครเรียกผมแบบนี้มาก่อน...แล้วที่แปลกไปกว่านั้นคือเสียงนั้นมันช่างคุ้นหูผมเสียเหลือเกิน เหมือนผมเคยได้ยินจากที่ไหนสักที่แต่ผมกลับนึกไม่ออก...เสียงทุ้มต่ำแต่เจือไปด้วยความอ่อนโยน เหมือนที่พ่อเคยเรียกผมสมัยเด็กๆ...น้ำเสียงฟังดูมีอำนาจแต่กลับนุ่มนวล...


"ไอ้ธีร์!"แต่เสียงตวาดห้วนของไอ้แชมป์ดันเรียกสติผมให้กลับมาสู่โลกความเป็นจริงเสียก่อน

"ห้ะ?"

"เงียบหาพ่องงงง กูถามมึงไม่ได้ยินเหรอไงวะ"มันกอดไหล่ตะโกนกรอกหูเพราะคิดว่าผมไม่ได้ยินจนผมต้องเอามือดันหน้ามันออกห่างก่อนที่หูผมจะแตกเสียก่อน แค่เสียงเพลงในร้านก็กระหึ่มพอแล้วยังเจอเสียงสิบแปดหลอดของไอ้แชมป์อีก พรุ่งนี้ผมได้หูดับแน่

"ถามเชี่ยรายยยย"

"กูถามว่ามึงฝันเห็น เอ้ย! ได้ยินแค่นั้นเหรอ"ไอ้แชมป์ถามต่อ อยากรู้เต็มที่ตามนิสัยของมัน

"อ่ะ...เออๆ แค่นั้นแหละ"ผมโกหก...ที่จริงผมได้ยินมากกว่านั้น แต่ผมไม่อยากเล่า...เพราะในฝัน...เสียงนั้นพร่ำบอกเพียงแค่ไม่กี่คำ แต่กลับทำให้ผมขนลุกได้อย่างประหลาด


-กลับมาหาเราเถิด...เราคิดถึงพ่อธีร์เหลือเกิน-


อยู่ดีๆมีผู้ชายเรียกหาแถมบอกว่าคิดถึง จะไม่ให้ผมขนลุกได้ยังไง แถมผมยังไม่กล้าเล่าให้ไอ้แชมป์ฟังเพราะรู้ว่ามันต้องกวนประสาทผมแน่ๆถ้ารู้ว่าผมได้ยินอะไรบ้าง

"งั้นกูว่าหูมึงแว่วไปเอง ไม่มึงก็คิดมากเวลากลับบ้านมึงเลยฝันอะไรแปลกๆ"ไอ้แชมป์รีบสรุปใจความสำคัญให้ฟัง

"ถ้าแค่นี้ก็กลับไปหาอานิดบ้างเถอะวะ สงสารแก อาเค้ารักมึงเหมือนลูกแท้ๆแต่มึงหาเรื่องออกไปอยู่ข้างนอกตลอด แค่นี้เค้าก็เสียใจจะตายห่าแล้ว"ผมเคยบอกแล้วว่าคำพูดจริงจังของไอ้แชมป์มีอิทธิพลต่อความคิดของผมเสมอ เพราะเวลามันยกเหตุผลมาอ้าง ผมก็จนปัญญาจะเถียงมันจริงๆ

"เออ ก็คงกลับช่วงสุดสัปดาห์เหมือนเดิม แต่จะหาเวลาไปอยู่กับแกก็แล้วกัน แต่จะให้กลับไปอยู่เลยไม่เอาว่ะ กูชอบอยู่หอ อยู่คนเดียวสบายใจดีอยากทำอะไรก็ได้ทำ"ผมขยายความต่อ เคยบอกไปแล้วว่าไม่ได้รังเกียจอะไรน้า แค่อยู่หอมันสบายกว่าเท่านั้นเอง แล้วยิ่งมีเรื่องฝันบ้าๆนั่นอีก

"งั้นวันนี้มึงกลับบ้าน เดี๋ยวกูไปส่ง จะได้ไม่ต้องย้อนกลับไปหอให้กูเหนื่อย"สรุปที่พูดมาทั้งหมดนี่คือมันขี้เกียจขับรถไปส่งผมที่หอใช่ไหมครับคุณผู้อ่าน?!
.

.

.

.

รถเก๋งสีดำขับมาจอดอยู่หน้ารั้วสีน้ำเงินบานใหญ่ที่คุ้นเคย...บ้านของอานิดอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก นั่นหมายถึงใกล้บ้านไอ้แชมป์เหมือนกัน แชมป์รู้จักอานิดดีเพราะมันมาหาผมบ่อยๆในช่วงแรกที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ สาเหตุก็อย่างที่เล่าไปครับ มันกลัวผมเป็นบ้า เก็บตัวไม่พูดจากับใคร มันเลยคอยหาเวลามาหาผม ชวนผมทำโน่นทำนี่จนผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้างหลังจากการสูญเสีย แล้วอานิดเองก็เอ็นดูไอ้แชมป์ใช่ย่อยเพราะมันเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้ผมยอมย้ายมาอยู่บ้านนี้กับแก

"มึงจะเข้าบ้านป่ะ อานิดคงยังไม่หลับ"ผมมองไฟห้องนั่งเล่นที่ยังสว่างอยู่ แสดงว่าอานิดยังไม่นอน ส่วนอาผู้ชายเห็นว่าต้องไปดูงานที่เชียงใหม่ก่อนย้ายไปอยู่จริง อีกสามวันถึงจะกลับ

"คงไม่อ่ะ ป๊ากูโทรตามยิกๆแล้ว ฝากสวัสดีแกด้วยละกัน"ไอ้แชมป์ว่าพลางยกโทรศัพท์ที่โชว์เบอร์ป๊ามันหรา

"เออเดี๋ยวกูบอกให้"ผมร่ำลาไอ้แชมป์ก่อนจะลงจากรถ ยืนมองจนรถเก๋งสีดำของมันลับตาไปก่อนจะเดินเข้าบ้าน





"ธีร์ กลับมาแล้วเหรอลูก"อานิดที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นยิ้มกว้างเมื่อเห็นผม

"หวัดดีครับอา...ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก"ผมมองนาฬิกาบนผนังห้องที่บอกเวลาเที่ยงคืนกว่า นี่ถือว่ากลับเร็วแล้วนะครับสำหรับการไปเที่ยวในคืนวันศุกร์ อย่างพวกผมน่ะ6โมงเช้าก็เคยมาแล้ว

"อานั่งดูอะไรเพลินๆน่ะ แล้วนี่หิวมั้ย อาไม่รู้ว่าวันนี้ธีร์จะกลับเลยไม่ได้ทำกับข้าวไว้"ผมส่ายหน้า หลังจากซัดเหล้าไปเกือบขวดจะให้กินอะไรตอนนี้ก็คงไม่ลงแล้ว จริงๆตอนนี้อยากจะเอาของเก่าออกเสียมากกว่าแต่ยังต้องตั้งสติไว้เพราะไม่อยากให้อานิดเป็นห่วง

"ธีร์ไปนอนก่อนนะอา ฝันดีนะครับ"เมื่อรู้สึกว่าไอ้ที่ซัดเข้าไปเมื่อตอนหัวค่ำมันกำลังวิ่งสี่คูนร้อยขึ้นมาจุกตรงคอหอย ผมเลยต้องรีบร่ำลาอานิดแล้วสาวเท้าขึ้นห้องทันที...ก่อนที่จะ...



"อ้วกกกกกกกกกกก!"เต็มๆครับ ยังดีที่ทนจนมาถึงห้องน้ำได้ ไม่งั้นกูต้องมานั่งถูบ้านตอนเกือบตีหนึ่งแน่ๆ



หลังจากจัดการของเก่าจนท้องไส้โล่งไปหมด ผมก็พาสารร่างโทรมๆมาล้มปุลงบนเตียง...อา...มันช่างสบายจริงๆ เตียงนุ่มกว้างที่ผมจะกลิ้งสักสามสี่ตลบก็ยังได้ แต่ไม่อยากกลิ้งมากครับ กลัวของเก่ามันจะออกมาอีก...ว่าแล้วก็เคลิ้มเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังเอาออกไม่หมด...


ผมนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงที่คุ้นเคย...สติเริ่มล่องลอยไปสู่ช่วงเวลาแห่งการหลับใหล...หลังจากที่เหนื่อยกับการเรียนแถมด้วยสังสรรค์ยามดึก...นี่คงเป็นเวลาที่ผมจะต้องพักผ่อนจริงๆเสียที



'.........'อืมมมมม เสียงอะไรวะ...คนกำลังจะนอนดันมาส่งเสียงแปลกๆ


'...ธีร์.......พ่อธีร์...'เสียงนี้...เสียงนี้อีกแล้ว...ผมมั่นใจว่าผมยังไม่หลับ แค่กำลังเคลิ้ม แต่ตอนนี้ผมได้ยินเสียงนี้เต็มสองหู

'...พ่อธีร์...กลับมาหาเราเถิด'ประโยคเดิมๆพูดซ้ำๆเหมือนทุกครั้งที่ผมฝันถึง

"ใครอ่ะ! คุณเป็นใคร"นี่เป็นครั้งแรกที่ผมตอบโต้ไป ทุกครั้งผมได้แต่ฝันถึงเสียงนี้ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะสติที่กึ่งหลับกึ่งตื่นของผมมันบอกให้รู้ว่า...นี่ไม่ใช่ฝัน!...เพราะผมไม่ได้หลับ...แล้วผมจะฝันได้ยังไง?!

'พ่อธีร์...ลืมเราแล้วหรือ'เสียงทุ้มนุ่มนวลยังกังวาลในโสตประสาทของผม...เสียงนั้นฟังดูอ้อนวอน...ตัดพ้อ...และเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง

"ผมไม่รู้จักคุณ...คุณเป็นใคร"เอาวะไอ้ธีร์ เมาไม่เมาไม่รู้แต่กูก็บ้าคุยกับเสียงที่ไม่มีตัวตน...ผมอยากลืมตาแต่รู้สึกว่ามันหนักอึ้ง มีแค่เสียงเท่านั้นที่ยังก้องกังวานอย่างต่อเนื่อง

'พ่อธีร์...เราคิดถึงพ่อธีร์เหลือเกิน...'มันไม่ใช่เสียงของผู้หญิงเวลาออดอ้อนเหมือนเสียงของแพมหรือของผู้หญิงคนไหน...นี่มันเสียงผู้ชาย...ผู้ชายแท้ๆที่แม้แต่น้ำเสียงยังฟังดูมีอำนาจหากแต่เจือไปด้วยความเศร้าหมองอย่างน่าประหลาด

"โอ้ย! พูดเป็นอยู่คำเดียวเหรอวะ แล้วกูจะรู้มั้ยว่าคุณมึงเป็นใคร"เอากับผมสิ เมาแล้วเพี้ยนหนักทะเลาะกับอะไรก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือเรื่องบ้าๆนี่มันคืออะไรกัน

'พ่อธีร์...'คือแม่งกวนตีนกูใช่ปะครับ...หรือคิดอีกทีคือผมเมาจนเสียสติ?

"โว้ยยยย เรียกอยู่นั่น! ชื่อเหมือนแม่หรือไงวะ"อาการคนเมา พาลไปทั่ว วูบหนึ่งผมแอบคิดว่าเสียงดังขนาดนี้อานิดจะได้ยินแล้ววิ่งขึ้นมาดูรึเปล่า แต่ผมก็ระลึกได้ว่าอานิดคงไม่มีทางได้ยินแน่ เพราะถึงแม้ว่าผมจะตะโกนจนสุดเสียงหรือด่าจนหมดแรง แต่มันก็แค่ในความคิดเท่านั้น เพราะสติอันเลือนลางได้บอกให้ผมรู้ว่า...ปากของผมไม่ได้ขยับแม้เพียงนิด...




'กลับมาหาพี่...พี่คิดถึง'สิ้นเสียง ผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นตรงริมฝีปาก...สัมผัสนุ่มนวล อ่อนโยน...รู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบาตรงหน้า อยากลืมตาแต่ก็ทำไม่ได้ มันหนักอึ้งเหมือนมีใครเอาหินมาถ่วงไว้...แต่สัมผัสที่ริมฝีปากนั้นกลับชัดเจน...เพียงแค่แผ่วเบาแต่ผมรับรู้มันได้...วูบเดียวเท่านั้น...เพียงแค่วูบเดียวของความรู้สึก...


...แล้วมันก็หายไป...



ผมลืมตาโพลง...มองไปรอบห้องที่ยังเงียบสงบเหมือนเคย...ไฟยังสว่างจ้าเพราะผมไม่ได้ปิดมัน...ได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆพร้อมกับไอเย็นที่กระทบหน้า...


...แล้วสัมผัสอุ่นที่ริมฝีปากนั่นล่ะ?...



...มันหายไปไหน...


...
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide...Chapter II เสียงเพรียกจากกาลเวลา UP 29/06/14
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 29-06-2014 16:49:42
พ่อธีร์     ระวังนะ อิอิ มาต่อเยอะนะคะ ติดตามมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆคะ


 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide...Chapter II เสียงเพรียกจากกาลเวลา UP 29/06/14
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 29-06-2014 17:00:55
รอจ้าาาาาาาาาาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide...Chapter II เสียงเพรียกจากกาลเวลา UP 29/06/14
เริ่มหัวข้อโดย: VampirezBadz ที่ 29-06-2014 19:00:09
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: รอออ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide...Chapter II เสียงเพรียกจากกาลเวลา UP 29/06/14
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 29-06-2014 19:15:28
แวบเข้ามาเจาะไข่  :z13:

เนื้อเรื่องน่าสนใจดี จริงๆ ก็ชอบแนวพีเรียดๆ แบบนี้อยู่แล้ว
รอติดตามตอนต่อไป สงสัยจริงๆ ว่าใครเรียกธีร์อยู่นะ
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide...Chapter III เมื่อหัวใจเพรียกหา UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 29-06-2014 23:54:34
Chapter III...เมื่อหัวใจเพรียกหา



"ธีร์ ตื่นแล้วเหรอลูก...มาทานข้าวก่อน วันนี้อาให้เพ็ญทำข้าวต้มกุ้งที่ธีร์ชอบเลยนะ"อานิดทักทายผมที่เพิ่งลงมาจากชั้นบนด้วยเสียงอันสดใส ผิดกับผมที่ยังอยู่ในสภาพเมาค้างไม่ต่างอะไรจากเมื่อคืน...ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับอานิด รอป้าเพ็ญ แม่บ้านคนสนิทของอานิดตักข้าวต้มมาให้...อืมมม หลังจากที่เมาค้าง ตื่นเช้ามาก็ต้องข้าวต้มร้อนๆสินะ...ผมคิดในใจ

"วันนี้ธีร์ไปไหนรึเปล่าลูก"ผมส่ายหน้าตอบอานิดพลางตักกุ้งตัวโตเข้าปาก ฝีมือป้าเพ็ญไม่เคยตกเลยจริงๆ

"อานิดมีอะไรรึเปล่าครับ หรือว่าอยากออกไปไหนมั้ย"ปกติวันหยุดอานิดมักชวนผมออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนแกเสมอ ยิ่งอาผู้ชายทำงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลา อานิดก็เอาแต่อยู่กับบ้านไม่ยอมออกไปไหน ยกเว้นเวลาที่ผมกลับมานอนบ้าน

"อาว่าจะไปดูของขวัญให้คุณหญิงอร อาทิตย์หน้าแกจัดงานวันเกิดที่บ้านน่ะ ธีร์ไปช่วยอาเลือกหน่อยนะลูก"คุณหญิงอรที่ว่าเป็นเพื่อนสนิทแม่ผม เพราะเป็นภริยาของท่านทูตเหมือนกัน ตอนที่พ่อกับแม่ผมเสีย คุณหญิงและท่านทูตยังประจำอยู่ต่างประเทศเลยไม่ได้มาร่วมพิธี แต่ท่านก็ยังมีน้ำใจส่งจดหมายมาแสดงความเสียใจถึงบ้าน

"ไปรถอาก็ได้ ธีร์ไม่ได้เอารถมาจากหอใช่มั้ยลูก"อานิดยังคงถามต่อ เล่นดักคอกันแบบนี้แล้วผมจะหาข้ออ้างอะไรไม่ไปกับแกได้ล่ะ ถึงแม้อยากจะขึ้นไปพักสายตาให้หายแฮงก์อีกซักพักก็เถอะ

"งั้นเดี๋ยวธีร์ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะครับ"ผมขอตัวขึ้นไปจัดการตัวเองหลังกินข้าวเช้าเสร็จ ไม่อยากให้อานิดรอนานเพราะตอนที่ผมลงมาแกก็แต่งหน้าแต่งตัวพร้อมแล้ว ราวกับว่ารู้ว่าผมจะไม่มีทางปฏิเสธคำชวน


...ผมยืนมองตัวเองในกระจกหลังจากอาบน้ำเสร็จ กำลังคิดว่าควรจะตัดผมที่มันเริ่มยาวลงมาปรกหน้า แถมด้านหลังยังยาวละท้ายทอยจนแทบจะผูกเป็นหางม้าได้แล้วดีไหม...ผมมีเชื้อจีนมาจากปู่ครับ เลยได้ผิวขาวของแกมา...ปู่ของผมเป็นนักธุรกิจใหญ่ ส่วนย่าเป็นลูกสาวท่านทูต...พ่อเคยเล่าว่าตอนปู่กับย่ารักกันท่านโดนกีดกันจากคุณทวดฝั่งย่า เพราะท่านเป็นถึงทูตย่อมไม่อยากให้ลูกสาวมาลงเอยกับนักธุรกิจชาวจีน ถึงแม้ตอนนั้นปู่ผมจะมีทรัพย์สินมหาศาลก็เถอะ คุณทวดให้เหตุผลว่า...เกียรติของวงศ์ตระกูลย่อมสำคัญกว่าทรัพย์สินเงินทอง...แต่อันที่จริงนามสกุล เตชะวณิชของปู่ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใคร เพราะเป็นนามสกุลที่ได้รับพระราชทานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่6...เรื่องนี้ผมฟังพ่อเล่ามาอีกที เพราะผมโง่ประวัติศาสตร์ครับ บอกกันตรงๆไม่อายเลย

...และสุดท้ายรักแท้ก็ไม่แพ้อุปสรรค...ปู่พิสูจน์ตัวเองกับคุณทวดและได้แต่งงานกับย่าของผมในที่สุด ท่านให้กำเนิดบุตรชาย2คน และบุตรสาวอีก1คน หนึ่งในนั้นคือพ่อของผมที่เลือกเรียนสายการทูตเหมือนกับตระกูลของย่า เลยทำให้คุณทวดเอ็นดูพ่อเป็นพิเศษ...พอเรียนจบคุณทวดก็ฝากเข้าทำงานในสถานทูตและด้วยความตั้งใจบวกกับความสามารถของพ่อเองเลยทำให้พ่อก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งทูตได้ไม่ยากนัก...ผมเลือกเรียนรัฐศาสตร์ตามความต้องการของพ่อ...แต่ถึงพ่อไม่พูด ผมก็ตั้งใจจะเรียนด้วยตัวเองอยู่แล้ว เพราะผมเห็นพ่อทำงานมาตั้งแต่เด็ก ผมเห็นความตั้งใจของพ่อ ถึงแม้จะงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว แต่สิ่งที่พ่อทำก็ทำเพื่อประเทศชาติทั้งนั้น...


"ธีร์...ถ้าเสร็จแล้วอาฝากหยิบกระเป๋าในห้องทำงานด้วยนะลูก"เสียงอานิดตะโกนมาจากชั้นล่างเมื่อผมแต่งตัวเสร็จพอดี...เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตขาวดำกับกางเกงยีนส์เข้ารูป...ไม่ต้องจินตนาการว่าผมเป็นพี่ตูนบอดี้สแลมนะครับ อันนั้นมันก็เข้ารูปไป๊ อึดอัดทั้งเวลาใส่เวลาถอด เอาเป็นว่าเข้ารูปแบบพอดีๆก็พอ

"ครับอา"ผมตะโกนตอบเป็นอันว่ารับทราบก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของอาผู้ชาย...ผมไม่ค่อยได้เข้ามาห้องนี้บ่อยนัก เพราะอาผู้ชายมักอยู่ในห้องเวลาที่เอางานกลับมาทำที่บ้าน ส่วนผมก็ขลุกอยู่แต่ห้องนอนตัวเองไม่ก็ห้องนั่งเล่น หรือเวลาเบื่อๆก็ออกไปนั่งเล่นในสวน...ว่าแต่กระเป๋าอานิดอยู่ตรงไหนวะ?

...ผมกวาดสายตาไปทั่วห้อง...แต่ก็ต้องสะดุดตาเข้ากับบางอย่าง...วูบหนึ่งผมรู้สึกถึงหัวใจที่กระตุกเฮือก...มันไม่ใช่ความกลัว...แต่มันเป็นความอบอุ่นอย่างประหลาด...ถึงแม้ผมจะไม่ได้เข้ามาที่ห้องนี้บ่อยนัก...แต่โต๊ะทำงานไม้สักทรงโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้านี่มันไม่ได้มีมาตั้งแต่ผมย้ายมาแน่นอน...

ผมค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้สิ่งนั้น...โต๊ะไม้สักสีเข้มขัดเงามีร่องรอยของการใช้งาน...ผมดูออกว่ามันเป็นของเก่าอย่างแน่นอนถึงแม้จะมีการพ่นเคลือบเงาให้ดูเหมือนใหม่ แต่สภาพที่ถูกใช้งานและร่องรอยของกาลเวลามันบ่งบอกอย่างชัดเจน...บนโต๊ะมีเอกสารงานของอาผู้ชายวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับที่เขี่ยบุหรี่ที่ยังมีก้นบุหรี่ทิ้งไว้ ผมพอจะนึกภาพออกว่าอาคงเครียดเวลาทำงานเลยต้องหาตัวช่วยเพื่อผ่อนคลายบ้าง...นอกจากเอกสารที่วางอยู่...อีกสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาไม่แพ้กัน...ที่ทับกระดาษไม้สักพร้อมแท่นเสียบปากกาขนนก...สีของมันเข้าคู่กับโต๊ะเป็นอย่างดี...ผมเอื้อมมือไปหยิบปากกาขนนกขึ้นมาดู...สมัยนี้ยังมีคนใช้อยู่อีกเหรอวะ? นั่นคือความคิดวูบหนึ่ง แต่แล้วผมก็เสียบมันลงที่เดิมเมื่อของอีกอย่างดึงดูดความสนใจผมได้มากกว่า...ตลกนะครับ แค่ที่ทับกระดาษแต่ทำไมใจผมสั่นพิลึกเวลายื่นมือไปหยิบมัน...น้ำหนักของมันพอดีมือ ไม่หนักเกินไป ทำจากไม้สักแบบเดียวกับโต๊ะทำงาน ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าส่วนด้านบนทำเป็นช่องใส่ของจุกจิกและที่เสียบปากกาขนนก...ผมหยิบมันขึ้นมานั่งพินิจ...อยากจะหัวเราะตัวเองที่มัวแต่จดจ่อกับของโบราณแบบนี้ แต่มือก็ไม่ยอมวางมันลงเสียที...มันก็แค่ที่ทับกระดาษกับโต๊ะทำงาน จะสนใจทำไมนักนะไอ้ธีร์...

...แล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็นบางอย่างใต้ที่ทับกระดาษนั้น...บางอย่างที่ทำให้ผมต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ...ผมรีบพลิกอีกด้านของมันขึ้นมาดูอย่างไม่ลังเล...เห็นเป็นรอยจางๆเหมือนใครใช้ของแหลมขีดเขียน...แต่ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าสิ่งที่ผมอ่านได้นั้นมันไม่ใช่คำว่า...


'ชลนธีร์'


มือที่ถือสิ่งนั้นอยู่สั่นเล็กน้อยจนเกือบปล่อยให้มันร่วงลงสู่พื้น หากแต่สติที่ยังมีทำให้ผมกำมันเอาไว้แน่น...จะมีสักกี่คนที่มีชื่อเดียวกับผม...และจะมีสักกี่คนที่เขียนชื่อตัวเองแบบนี้?...ที่สำคัญ...ไอ้รอยนี่ มันไม่ใช่รอยที่เพิ่งถูกสลักขึ้น...ดูยังไงมันก็เป็นรอยเก่า ที่ถูกขีดเขียนเหมือนไม่ตั้งใจ ไม่ใช่ตัวพิมพ์ที่สวยงาม แต่เป็นเพียงลายมือของคนๆหนึ่ง...แล้วใครกันล่ะ...ใครกันที่มีชื่อเหมือนกับผมไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่ตัวอักษรเดียว


"ธีร์...เจอมั้ยลูก"อานิดที่เปิดประตูห้องเข้ามาเรียกสติผมให้กลับมาได้แทบทันที ผมหันไปมองหน้าอานิดทั้งๆที่ในมือยังกำที่ทับกระดาษอันนั้นเอาไว้แน่น

"อ้าว เป็นอะไรน่ะ"อานิดมองหน้าผมที่คงทำหน้าประหลาดพิลึกถึงได้โพล่งถามออกมา

"ป่าวครับ...เอ้อ อานิด...ไอ้นี่"ผมยกที่ทับกระดาษในมือให้อาดู

"อ๋อ เห็นแล้วเหรอลูก"อานิดยิ้มบางๆ ยิ่งทำให้ผมงงหนักกว่าเดิม

"ตอนแรกที่อาเห็นก็ตกใจ...มันบังเอิญมากเลยนะธีร์"

"เอ่อ...เดี๋ยวอา...ธีร์ไม่เข้าใจ"ใช่ครับ ผมไม่เข้าใจว่าอานิดกำลังหมายถึงอะไร

"อาหมายถึงโต๊ะกับที่ทับกระดาษนี่ไง...ธีร์เห็นข้างใต้แล้วใช่มั้ยลูก ตอนอาเห็นครั้งแรกยังตกใจเลย"

"แล้วอาได้มันมายังไงอ่ะครับ"นี่ครับประเด็น ผมอยากรู้ว่าไอ้โต๊ะไม้สักกับที่ทับกระดาษชื่อผมมันมาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไรมากกว่า

"ก็เมื่อ3อาทิตย์ก่อนคุณหญิงอรเขาชวนอากับอาผู้ชายไปทานข้าวเย็นที่บ้าน...อาเขาเกิดถูกใจโต๊ะตัวนี้ พอดีกับที่ท่านทูตสามีคุณหญิงเขาคิดจะเอาไปขายให้ร้านขายของเก่าเพราะเขาบอกว่ามันเกะกะ อาเขาก็เลยซื้อต่อมาน่ะ เห็นว่าได้มาถูกด้วยนะ เป็นของสมัยร.5หรือร.6นี่แหละ อาก็จำไม่ค่อยได้"อานิดขยายความยาวเหยียดแต่ไม่ได้ให้ความกระจ่างกับผมเลยแม้แต่น้อย...ของคุณหญิงอร...เพื่อนสนิทแม่...แล้วทำไมมันเป็นชื่อผม?

"ตอนแรกที่อาเขาเอามา อาเห็นรอยข้างใต้ที่ทับกระดาษ พออาพลิกดูเห็นเป็นชื่อธีร์ อาผู้ชายเขายังตกใจเลยนะ เขาบอกตอนแรกที่ตัดสินใจซื้อมาไม่ได้สังเกตเลย แค่รู้สึกชอบ"

"สามอาทิตย์ก่อนเหรอครับอา"ผมถามอานิดพลางมองสิ่งของที่ยังกำอยู่แน่นในมือ รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่ดังตุบๆบนมือที่กำเอาไว้

"ใช่จ้ะ อาเขาเอามาก่อนธีร์กลับบ้านแป๊บเดียว"ผมขมวดคิ้วแน่น...สามอาทิตย์ก่อน...คือช่วงที่ผมเริ่มฝันแปลกๆ...เสียงนั่น...เสียงที่คุ้นหูแต่ผมไม่รู้จัก...ถ้ามันเริ่มเมื่อสามอาทิตย์ก่อน...มันก็เริ่มเมื่อตอนที่...อาเอาโต๊ะกับที่ทับกระดาษนี่เข้าบ้าน!...ใช่แล้ว! มันต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ ฝันประหลาดของผม...โต๊ะไม้สัก...กับที่ทับกระดาษที่มีชื่อผม...

"ธีร์...เป็นอะไรรึเปล่าลูก"อานิดเรียกผมอีกครั้ง ทำเอาผมได้แต่ส่ายหน้าไล่ความคิดแปลกๆออกจากหัวเสียก่อน...และคนแรกที่ผมจะเล่าให้ฟังเรื่องนี้...คงไม่ต้องถามนะครับว่าเป็นใคร...
.

.

.

.

.
"สรุปคือมึงฝันแปลกๆตั้งแต่ที่อามึงเอาโต๊ะโบราณนั่นเข้าบ้าน"ไอ้เจ้าของเสียงสรุปเป็นใจความสั้นๆแต่ตรงใจผม

"มึงก็เลยคิดว่าโต๊ะนั่นเกี่ยวกับที่มึงฝันประหลาด"ผมพยักหน้าหงึกหงักไปกับคำพูดของมัน

"แล้ว..."มันทำสีหน้าครุ่นคิด

"มันจะเกี่ยวกันได้ไงวะ?"

"สัส! กูก็นึกว่ามึงจะมีไอเดียอะไรดีๆมั่ง แม่งไม่ต่างจากที่กูคิดเลย"ผมหันไปด่าไอ้แชมป์สักรอบ อุตส่าห์ไว้ใจมาปรึกษาให้ฟังแต่ก็ช่วยกูไม่ได้เล้ย

"โอ็ย แล้วกูจะไปรู้ได้ไงวะ กูเด็กศิลกรรมไม่ใช่ประวัติศาสตร์ศิลป์โว้ย!"มันเอามือขยี้หัวเกรียนๆของตัวเองไปมา

"เอางี้! เสาร์นี้กูไปนอนบ้านมึง จะได้ไปดูโต๊ะนั่น"มันรีบเสนอ เรื่องสอดรู้สอดเห็นล่ะเป็นที่หนึ่งไม่มีใครเกิน แต่ผมก็พยักหน้ารับให้ไอเดียของมัน อย่างน้อยสองหัวก็ยังดีกว่าหัวเดียวใช่ไหมครับ




ตั้งแต่ผมเจอโต๊ะตัวนั้น ผมก็กลับมานอนที่บ้านตลอด ทำเอาอานิดดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทั้งวัน แต่ผมก็ไม่อยากบอกให้แกดีใจเก้อว่าจริงๆแล้วที่ผมกลับมานอนบ้านเพราะอยากรู้เรื่องฝันบ้าๆนั่นต่างหาก

"วันนี้อาผู้ชายไม่กลับเหรอครับ"ผมถามอานิดระหว่างมื้อเย็นที่้บ้าน เป็นเรื่องปกติที่จะมีแค่ผมกับอานิดสองคนเพราะอาผู้ชายงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลาได้ทานข้าวพร้อมหน้ากันสักเท่าไหร่

"เห็นว่าจะนอนคอนโดนะเพราะงานยังไม่เสร็จ"

"เอ่อ...ธีร์ขอเข้าไปห้องทำงานอาผู้ชายหน่อยได้มั้ยครับ"ผมขออนุญาตอานิดถึงแม้แกจะค่อยพร่ำบอกเสมอว่าให้คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของผมเอง แต่เรื่องห้องทำงานกับห้องนอนของอาผมก็ยังถือว่าเป็นที่ส่วนตัวอยู่ดี คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะถือวิสาสะเข้าไปโดยไม่บอกเจ้าของห้อง

"ไม่เห็นต้องขออาเลย ธีร์อยากเข้าไปเมื่่อไหร่ก็ได้นะลูก"อานิดยิ้มหวานให้ผมพลางตักแกงจืดไข่น้ำของโปรดอีกอย่างของผมมาใส่จานให้

"ดูท่าธีร์จะติดใจโต๊ะนั้นแล้วสินะ"แกพูดลอยๆแต่กระแทกใจผมเต็มๆ...ผมไม่ได้ติดใจ...แต่ผมแค่อยากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวข้องกับโต๊ะตัวนั้นจริงไหม...แล้วฝันประหลาดของผมคืออะไร...ผูู้ชายคนนั้นที่เรียกผมเป็นใคร...ให้ตายสิตอนนี้ผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด




หลังอาหารเย็นผมตรงดิ่งไปที่ห้องทำงาน...ปกติแล้วห้องทำงานของอาผู้ชายดูร่วมสมัยเหมือนห้องทำงานตามบริษัททั่วไป แต่พอมีโต๊ะตัวนี้มาตั้ง ทำเอาบรรยากาศในห้องดูวังเวงไปถนัดตา...โต๊ะไม้สีอึมครึมช่างขัดกับเฟอร์นิเจอร์ร่วมสมัยในห้องนี้เสียจริง

ผมเดินมาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หนังสีดำ...เก้าอี้ตัวเดิมของอาที่ไม่ได้เข้าชุดกับโต๊ะไม้สัก พลางลูบมือไปกับแผ่นกระจกใสที่ตัดพอดีกับความกว้างของโต๊ะ เจ้าของใหม่คงจ้างช่างตัดกระจกมาวางทับเพื่อกันรอยขีดข่วนเป็นแน่...ผมเอื้อมมือไปหยิบที่ทับกระดาษเจ้าปัญหาขึ้นมาอีกครั้งพลางพลิกดูด้านล่าง... 'ชลนธีร์'...ยังอยู่ที่เดิมไม่จางหาย...เขาเป็นใครนะ คนที่ชื่อเหมือนผมคนนั้น...จะเป็นเจ้าของเสียงนั้นที่ผมฝันถึงหรือเปล่า...มือข้างหนึ่งลูบไล่ไปตามตัวอักษรที่ถูกเขียนไว้หยาบๆด้วยวัสดุปลายแหลม แต่ก็ยังพอรู้ว่าคนเขียนมีลายมือที่วิจิตรบรรจงไม้แพ้ใคร...

"ถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...มันก็ตลกร้ายดีๆนี่แหละวะ"ผมพึมพำกับตัวเอง กำลังคิดว่าควรจะไปหาคุณหญิงอรเพื่อถามความเป็นมาของโต๊ะตัวนี้ดีไหม แต่มาคิดอีกที ไว้รอไอ้แชมป์วันเสาร์นี้ก่อนก็แล้วกัน เผื่อมันเห็นของแล้วจะคิดอะไรได้บ้าง


คืนนั้นผมนอนที่บ้านอานิดเหมือนเดิม...ทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างพลางกลิ้งไปมาอย่างครุ่นคิด...เคยเป็นกันใช่ไหมครับ เวลาที่คนเรามีเรื่องอะไรติดค้างในใจ เรามักจะนอนไม่หลับ เหมือนที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้...ผมนอนหลับตามือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก นึกไปถึงที่ทับกระดาษในห้องทำงาน...'ชลนธีร์'...ลายมือบรรจงแม้ใช้เพียงวัตถุปลายแหลมขีดเขียนลงบนไม้...ถ้าเป็นการคัดหนังสือบนกระดาษคงจะยิ่งสวยกว่านี้แน่ๆ...แต่เพียงชั่ววูบที่ผมนึกถึงตัวหนังสือใต้ที่ทับกระดาษ...พลันเกิดภาพซ้อนขึ้นในความมืดนั้น...ผมเห็นมือใหญ่...นิ้วเรียวเหมือนลำเทียนกำลังถือวัตถุคล้ายไขควงปลายแหลม...มืออีกข้างจับที่ทับกระดาษคุ้นตาอันเดิม...ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นมือใหญ่นั้นค่อยๆจรดปลายเหล็กแหลมลงบนด้านหลังที่ทับกระดาษ เป็นตัวอักษรที่ผมคุ้นเคยดี...นิ้วเรียวค่อยๆบรรจงสลักตัวอักษรลงบนเนื้อไม้ทีละตัวอย่างปราณีต...แต่แล้วก็ยังพลาดถูกปลายคมนั้นบาดมือจนเลือดไหล...ผมเห็นมือนั้นกระตุกเล็กน้อย เลือดสีแดงสดเริ่มซึมออกมา...ก่อนที่จะมีมือของใครอีกคนยื่นมาจับเอาไว้...มือเรียวเล็กกว่าเจ้าของลายมือที่กำลังสลักตัวอักษร...ผิวขาวกว่า...แต่ไม่ใช่ผู้หญิงแน่ๆ...มือเรียวเล็กนั้นยื่นมาจับพร้อมกดผ้าลงบนนิ้วเรียวของอีกฝ่ายเพื่อห้ามเลือด...ผมเห็นสองมือที่เกาะกุมกันอยู่ แม้จะไม่เห็นหน้าของคนทั้งสอง แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนนั้น...ภาพนั้นมันทำให้หัวใจผมอบอุ่นอย่างประหลาด...


...แล้วผมก็ผลอยหลับไปโดยที่ไม่ฝันเห็นอะไรแปลกๆอีกเลยทั้งคืน...
.

.

.

.

.

.
วันเสาร์...ไอ้แชมป์มาหาผมที่บ้านตามที่รับปากไว้...อานิดเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะไอ้แชมป์ไม่ได้มาเยี่ยมแกนานพอสมควรแล้ว...แต่ยังบ่นทิ้งท้ายไว้อีกว่ามันดันมาผิดวันเพราะวันนี้แกต้องไปประชุมวิชาการที่นครนายกกว่าจะกลับก็อีกสองวัน...อานิดเป็นอาจารย์ครับ แต่ไม่ได้ทำเต็มเวลาแค่รับสอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆบ้าง แกบอกว่าอายุเริ่มมากขึ้นให้สอนทั้งวันไม่ไหว...ส่วนประชุมวิชาการคราวนี้เพื่อนสนิทแกที่เป็นผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยชื่อดังเป็นคนเอ่ยปากชวน แกเลยปฏิเสธไม่ได้

"ไว้คราวหน้ามาหาอาใหม่นะแชมป์ อาคิดถึง"อานิดยิ้มหวานก่อนจะยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถ

"คร้าบบบบ ขับรถดีๆนะครับอา เอ๊ะ แล้วนี่อาต้นไม่อยู่เหรอครับ"ไอ้แชมป์รีบตอบเสียงหวานพลางถามถึงอาผู้ชาย

"อาต้นไปเชียงใหม่จ้ะ อาทิตย์หน้ากว่าจะกลับ เห็นว่าต้องย้ายไปเดือนหน้าแล้ว เลยต้องไปเตรียมงานบ่อยๆ อาไปก่อนนะ ดูแลตัวเองด้วยนะลูก"พวกผมยืนส่งจนอานิดขับรถพ้นประตูบ้านก่อนจะเดินเข้ามาข้างใน


"หิวป่ะมึง แดกไรก่อนมะ"ผมหันไปถามไอ้ตัวดีที่จะมานอนบ้านผมสองวันแต่ดันไม่เอาอะไรติดตัวมาเลย นี่แหละนิสัยมัน...ใช้ของผมทุกอย่าง

"ไม่ว่ะ...ไหนๆโต๊ะผีสิงของมึงอ่ะ"แล้วดูมันพูด เอาซะกูหลอนตามเลย

"เชี่ยนิ่ เรียกดีๆเป็นปะวะ นี่มึงกลับไปกูต้องอยู่คนเดียวนะเว้ย"ผมเอามือลูบแขนตัวเอง รู้สึกเย็นวูบเมื่อไอ้แชมป์เรียกโต๊ะตัวนั้นว่า"โต๊ะผีสิง"

"โตเป็นควายเสือกกลัวผีนะมึง ฮ่าๆ"แถมไอ้ตัวดียังกวนประสาทไม่เลิก ผมเลยได้แต่โบกหัวเกรียนๆมันไปทีด้วยความหมั่นไส้ มันเลยยอมเดินตามผมขึ้นมาบนห้องแบบเงียบๆเพราะมันรู้ว่าถ้ากวนผมอีกมันก็จะโดนแบบเดิมอีก

ผมพาแชมป์มาถึงห้องทำงานห้องเดิมก่อนจะผลักประตูไม้เข้าไปด้านใน...ม่านบังแสงถูกเปิดออกให้แสงสว่างจากด้านนอกสาดเข้ามาได้เต็มที่ ห้องทั้งห้องสว่างไสวโดยไม่ต้องอาศัยไฟฟ้าเพราะวันนี้แดดค่อนข้างจัด...โต๊ะไม้สักส่องประกายวิบวับเพราะแผ่นกระจกที่วางทาบด้านบนสะท้อนกับแสงแดด

"นี่เหรอ"ไม่พูดเปล่ามันรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้พลางก้มๆเงยๆพิจารณาโต๊ะตัวนี้อย่างละเอียด

"สวยดีว่ะ ดูขลัง...แต่แม่ง...เหมือนกูเคยเห็นที่ไหน"

"มึงก็เคยเห็นเหรอแชมป์!"ผมไม่รู้ว่ากำลังทำหน้าแบบไหนตอนที่เอื้อมมือไปกระตุกแขนมัน แต่มันเหมือนกับครั้งแรกที่ผมเห็นโต๊ะตัวนี้...ใช่ ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นมันมาก่อน

"อ๋ออออ แม่งเหมือนโต๊ะที่อาจารย์พาทีให้พวกกูสเก็ตในห้องศิลปะอ่ะ"คำพูดต่อมาทำเอาผมรีบปล่อยมือจากมันทันที...เหมือนโดนลูบหลังแล้วตบหัวดังป้าบ...เข้าใจผมไหมครับคุณผู้อ่าน!

"แล้วไอ้นี่อ่ะ"มันหันไปชี้ที่ทับกระดาษที่วางอยู่มุมโต๊ะ ก่อนจะหยิบขึ้นมาพลิกไปพลิกมา

"เออ มีชื่อมึงจริงด้วย!"

"เฮ้ยยย ชื่อกูจริงป่าวก็ไม่รู้ แม่งเก่าขนาดนี้คงเป็นคนชื่อเหมือนป่าววะ"ผมพยายามอธิบายความน่าจะเป็นให้มันฟัง ความน่าจะเป็นที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

"นอกจากแม่มึงมีใครคิดชื่อมึงได้แบบนี้อีกเหรอวะ"ไม่พูดเปล่ามันดันโยนที่ทับกระดาษขึ้นๆลงๆอย่างสนุกมือ

"เชี่ย ระวัง เดี๋ยวตกขึ้นมาซวยนะมึง!"ผมรีบตะโกนห้าม แต่เหมือนเพราะเสียงที่ดังกว่าปกติของผมทำให้มันตกใจมากกว่า...มือที่คอยจะรับที่ทับกระดาษนั้นกลับชะงักลง...ชั่วขณะหนึ่งที่ผมเห็นภาพทั้งหมดแบบสโลวโมชั่น...ที่ทับกระดาษกำลังลอยละล่องขึ้น แล้วค่อยๆร่วงลงข้างล่างโดยที่ไม่มีมือไอ้แชมป์คอยรองอยู่...



"เชี่ยยยยยยยย!"พร้อมกันทั้งสองคน...มือที่ไวกว่าสมองยื่นไปรองรับด้วยกันทั้งคู่...เสี้ยววินาทีก่อนที่วัตถุนั้นจะตกกระทบกับพื้น ฉับพลันเกิดแสงสว่างจ้าจนทั้งผมและไอ้แชมป์ต้องหลับตาปี๋เพราะไม่อาจสู้แสงสว่างที่อยู่ตรงหน้าได้ ถึงอย่างนั้นมือที่ยื่นออกไปก็ยังคว้าเอาที่ทับกระดาษไว้ได้ก่อนที่มันจะตกลงพื้น...



...นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่ววินาทีเดียว...



"หู้ยยยย ดีนะแม่งไม่ตก ไม่งั้นอาต้นด่ากูตาย"ผมพูดทั้งที่ยังไม่ลืมตา รับรู้ได้ถึงน้ำหนักของวัตถุในมือกับอีกมือของไอ้แชมป์ที่รองอยู่ด้านล่าง

"ธีร์..."ไอ้แชมป์เรียกชื่อผม...แต่น้ำเสียงมันแปลกๆ ผมยังไม่ลืมตาเพราะแสงสว่างเมื่อครู่ทำเอาหัวผมหมุนติ้ว...ตาผมแพ้แสงครับ ทนแสงสว่างมากๆไม่ค่อยได้

"เชี่ยธีร์!"คราวนี้มันตวาดผมลั่นจนผมต้องลืมตาขึ้นมาดู...แต่ก็ต้องกระพริบตาถี่ๆให้ชินกับแสงเสียก่อน...สิ่งแรกที่ผมเห็นคือหน้าไอ้แชมป์ที่ประหลาดพิกล กับที่ทับกระดาษที่ยังอยู่ในมือของเราทั้งสอง...และ...


"เห้ยยยยยย!"ตกใจจนแทบจะปล่อยไอ้สิ่งของต้นเหตุให้ลงไปกองอยู่กับพื้น...ผมหันไปมองรอบๆห้องที่ควรจะเป็นห้องทำงานของอาต้น...ห้องทำงานที่ควรจะเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ร่วมสมัยเว้นแต่โต๊ะไม้สักตัวนี้...



...แต่มันไม่ใช่!...ในเมื่อสิ่งเดียวที่ผมคุ้นตาในห้องๆนี้มีเพียงแค่โต๊ะไม้สักตัวนี้ตัวเดียว...ส่วนที่เหลือ...



"เชี่ยไรวะเนี่ยยย"โต๊ะไม้สักยังตั้งอยู่ที่เดิม แต่มันดูใหม่เหมือนเพิ่งทำเสร็จ...เก้าอี้ไม้สักเข้าชุดกันวางคู่อยู่กับโต๊ะ...ถัดไปเป็นเตียงไม้สี่เสามีผ้าม่านผืนบางผูกเอาไว้ที่แต่ละเสา...ผนังและพื้นห้องเป็นไม้สักเหมือนกับเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ แสงสว่างเพียงแห่งเดียวของห้องนี้มาจากตะเกียงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
ผมมองหน้าไอ้แชมป์...และไอ้แชมป์กำลังมองหน้าผมเช่นกัน...แต่ก่อนที่เราจะได้พูดอะไร...ประตูห้องไม้บานใหญ่ก็ถูกเปิดออกเสียก่อน



"พวกเอ็งเป็นใคร! เข้ามาในบ้านข้าได้เยี่ยงไร!?"



...

มาต่อแล้วค่า แอบดีใจมีคนอ่านด้วยวุ้ย ฮ่าๆ...3ตอนแล้ว รอคุณพระเอกนิสนึงนะเจ้าคะ ใกล้มาแล้วๆ  :mc4:
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide...Chapter III เมื่อหัวใจเพรียกหา UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 30-06-2014 17:24:36
พระเอกเป็นคุณพระหรือคุณหลวงเจ้าคะ อิอิ

รอออออออออออออออออ ค่ะ ชอบจังเลยห่อธีร์

 o13
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide...Chapter III เมื่อหัวใจเพรียกหา UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 30-06-2014 21:09:43
Chapter IV...เมื่อกาลเวลาร่ำร้อง...



"พวกเอ็งเป็นใคร! เข้ามาในบ้านข้าได้เยี่ยงไร!?"เสียงทุ้มต่ำกังวานก้องในห้องนั้น...ผมหันไปมองร่างสูงโปร่งของเจ้าของเสียง...ผมดำขลับเริ่มถูกแซมด้วยสีดอกเลาประปราย คิ้วขมวดแน่นเป็นปม ไว้หนวดเหมือนพวกตัวร้ายในละครที่อานิดชอบดู สวมเสื้อสีขาวตัวบางกับกางเกงผ้าแพรสีน้ำทะเล...ยืนทะมึนอยู่ตรงหน้าประตูห้องจ้องเขม็งมาที่พวกผมสองคนอย่างไม่วางตา

"พวกเอ็งเป็นขโมยรึ!!"เสียงกังวานตวาดลั่นทำเอาผมสองคนสะดุ้งโหยง ผมมองหน้าคนพูดดูแล้วน่าจะอายุสัก40-50ได้ แววตาดูเป็นคนจริงจัง แต่ดุ...อันที่จริงไม่ต้องเห็นหน้าแค่ฟังจากเสียงผมก็รู้แล้ว

"อ้ายพวกบ่าวไพร่ ใครอยู่ข้างนอกนั่น ขึ้นมาจับขโมยให้ข้าที!"

"เห้ยๆ เดี๋ยวครับๆ คือพวกผม...ไม่ใช่!"เป็นไอ้แชมป์ที่ตั้งสติได้ก่อนมันรีบระล่ำระลักคำพูดออกมาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์

"อะไรของพวกเอ็ง! พูดจามิรู้เรื่อง"ร่างสูงใหญ่ยังคงยืนค้ำอยู่อย่างนั้น มือกอดอกวางอำนาจเต็มที่

"คือ...พวกผมไม่ใช่ขโมย!"ไอ้แชมป์รีบคายประโยคสุดท้ายออกมาได้ทัน เจ้าของร่างสูงยังคงยืนกอดอกมองหน้า

"ไม่ใช่ขโมยแล้วเข้ามาในห้องข้าได้เยี่ยงไร!"เสียงดังยังตวาดอย่างต่อเนื่อง

"คือ...เชี่ยธีร์ กูจะอธิบายยังไงดีวะ"ประโยคหลังมันหันมากระซิบกับผมให้พอได้ยินกันแค่สองคน

"ถ้าไม่ตอบจักให้พวกบ่าวมันจับส่งโปลิศเสีย เอ้า! ใครอยู่ข้างนอกน่ะ..."

"เดี๋ยวครับๆ"ผมรีบร้องห้ามเสียงดังก่อนจะโดนลากส่งตำรวจเสียก่อน ไม่ได้นะไอ้ธีร์ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรจะไปลงเอยที่ห้องกรงเสียแล้ว ในใจได้แต่ภาวนาขอให้เขารับฟังคำพูดของพวกผมสักนิดก็ยังดี

"คือ..."แล้วผมจะอธิบายยังไงดี

"อยู่ดีๆพวกผมก็มาโผล่นี่ครับ"ขอบใจครับเชี่ยแชมป์ มึงตอบได้สมเหตุสมผลซะจนกูอยากจะเอามือโบกหัวเกรียนๆของมึงเข้าให้

"วะ! พูดจามิรู้ความ รึพวกเอ็งเป็นบ้า"เออ หรือผมควรจะเนียนเป็นบ้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ

"ไม่ใช่ครับ...คือ ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ขนาดผมเองยังไม่รู้เลย แต่พวกผมไม่ใช่ขโมยนะครับ ให้ผมสาบานก็ได้เอ้า!"ไอ้แชมป์รีบอธิบายยาวเหยียด สีหน้ามันดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดผิดกับปกติที่ดูไม่เคยทุกข์ร้อนกับอะไร

"ไม่ใช่ขโมย แล้วไอ้ที่อยู่ในมือนั่น มิใช่ของข้ารึ!"เจ้าของร่างสูงชี้มาที่'ต้นเหตุ'ในมือของพวกผมสองคน

"ไม่ใช่นะครับ คือมันจะหล่นผมเลยเก็บให้"คราวนี้ถึงทีผมบ้าง ผมหันไปมองหน้าคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของห้อง ก่อนจะวางที่ทับกระดาษอันเดิมแต่ดูใหม่กว่าเดิมกลับลงบนโต๊ะไม้สัก

"แล้วพวกเอ็งมาจากไหน?"เจ้าของห้องยังคงมองพวกผมไม่วางตา...นั่นสิ พวกผมมาจากไหน...แล้วที่นี่มันที่ไหนกันวะ?!



"มีอะไรกันหรือคะเจ้าคุณ"ยังไม่ทันได้ตอบอะไร อีกเสียงหนึ่งก็ขัดขึ้นเสียก่อน...เสียงหวานนุ่มของคนที่เปิดประตูตามมาด้านหลัง...ห่มเพียงผ้าแถบผืนเดียวกับโจงกระเบน...เดี๋ยวนะ...โจงกระเบนเหรอ?!

"อ้ายสองตัวนี้สิแม่สร้อย มิรู้มันเข้ามาในห้องเราได้เยี่ยงไร"เจ้าของห้องหันไปพูดกับหญิงสูงวัยที่เพิ่งเข้ามา แต่ก็ยังดูอายุน้อยกว่าเจ้าของห้องมากนัก

"คุณพระคุณเจ้าช่วย ขโมยหรือเจ้าคะ"ไม่พูดเปล่าเอามือทาบอกอีกต่างหาก...เจ้าคุณกับแม่สร้อยจะรู้ไหมว่าผมกับไอ้แชมป์นี่นั่งงงกันเป็นไก่ตาแตกแล้วนะขอรับ!

"มันว่าไม่ใช่"

"เอ่อ ไม่ใช่จริงๆครับ พวกผมไม่ใช่ขโมยนะครับ"ไอ้แชมป์รีบยกมือปฏิเสธ

"ดูไม่มีพิษมีภัยนะเจ้าคะ แต่พูดจาประหลาดนัก พวกเอ็งมาจากไหนรึ"เจ้าของชื่อแม่สร้อยหันมาถามพวกผม น้ำเสียงของเธอทำให้ผมนึกถึงแม่ อ่อนโยน นุ่มนวล ทั้งๆที่เธอเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกผมเป็นใคร

"แม่สร้อย! หล่อนก็ไว้ใจคนง่ายเสียจริง ถ้ามันไม่ใช่ขโมยแล้วมันจักเข้ามาในห้องเราได้เยี่ยงไร"เจ้าคุณหันไปตวาดคนข้างหลัง ดูก็รู้ว่าดุ

"เชื่อผมเถอะครับ พวกผมไม่ใช่ขโมยจริงๆ จะให้เอาไปสาบานวัดไหนก็ได้"หลักฐานไม่มี เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งก็แล้วกันนะไอ้ธีร์เอ๋ย

"ส่วนไอ้เรื่องมาที่นี่ได้ยังไง ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงจริงๆ แต่พวกผมไม่ใช่ขโมยจริงๆนะครับ"ไอ้แชมป์รีบเสริม ไม่รู้ว่าคำพูดของพวกผมมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน แต่เจ้าคุณมีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

"เอ็งชื่ออะไร?"เจ้าคุณหันมาถามพวกผมสองคนที่ยังนั่งหน้าเหรอหราอยู่

"ผมชื่อธีร์ครับ"

"ผมแชมป์ครับ"

"ชื่ออะไรนะ?"เจ้าคุณขมวดคิ้วแน่น พอๆกับคุณสร้อยที่ยืนอยู่ด้านหลัง

"แชมป์ครับ"ไอ้แชมป์พยายามเน้นเสียงช้าๆชัดๆ แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล

"อ้อ อ้ายแช่มรึ"คุณสร้อยหันมาเสริมอย่างรู้ทัน

"เอ่อ...ครับ แช่มก็แช่ม"ผมแอบหัวเราะหึหึกับอาการของไอ้แชมป์ ดีนะที่พ่อแม่ผมตั้งชื่อมาแบบไทยจ๋าเลยไม่มีปัญหาอะไร แต่ไอ้นี่สิ ขนาดอธิบายแล้วอธิบายอีกก็ยังไม่เข้าใจกันเสียที เลยลงเอยที่'อ้ายแช่ม'เนี่ยล่ะ

"แต่งตัวประหลาดแท้ มิใช่คนแถวนี้สินะ"คุณสร้อยถามขึ้นด้วยความสงสัย

"ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่คนแถวนี้...เอ้อ ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมสองคนขอพักที่นี่สักระยะได้มั้ยครับ คือ...ช่วงที่พวกผมหาทางกลับบ้านกันน่ะครับ"อ้ายแช่มหรือไอ้แชมป์ที่ดูจะตั้งสติได้ดีกว่าผมรีบเอ่ยขอเจ้าคุณกับคุณสร้อยทันที...เจ้าคุณยังคงมองพวกผมอย่างลังเล เป็นใครจะไว้ใจลงล่ะครับ อยู่ดีๆมีไอ้บ้าสองคนที่ไหนไม่รู้มาโผล่อยู่ในห้อง แต่งตัวก็ประหลาด(ในความคิดของแก) แถมยังพูดจาไม่ชอบมาพากลอีก

"นะครับ ให้พวกเราอยู่ที่นี่ซักพัก เดี๋ยวพอหาทางกลับบ้านได้แล้วเราก็จะไปเองนะครับ"ผมรีบเสริมเมื่อเห็นว่าเจ้าคุณมีสีหน้าลังเล...ผมเห็นคุณสร้อยแตะแขนเจ้าคุณเบาๆเหมือนจะช่วยผมขอร้องอีกแรง จนในที่สุดเจ้าคุณก็ถอนหายใจยาวออกมา

"เอา! อยากอยู่ก็จักให้อยู่ แต่มิใช่กินนอนมิเป็นอันทำงานทำการนะ ถ้าคิดจักอยู่ก็ต้องช่วยงานบ่าวในเรือนมันด้วย"เจ้าคุณอธิบายให้พวกผมสองคนที่ตอนนี้มีเครื่องหมายคำถาม และอัศเจรีย์แปะอยู่กลางหน้าผากคนละอัน

"ขอบคุณครับ!"แต่ตอนนี้อะไรก็ได้ครับ ดีกว่าถูกจับส่งตำรวจ...ตั้งแต่เกิดมาจนจะครบ20ปีผมออกจะเป็นเด็กดีของพ่อแม่และอาทั้งสอง เรื่องสังสรรค์ตามประสาวัยรุ่นน่ะมีบ้าง แต่ให้ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลหรือเป็นคดีผมไม่คิดจะมีหรอกครับ เกรงใจคนที่บ้านเขา

"อ้ายมิ่ง! เอ็งอยู่แถวนั้นหรือเปล่า"เจ้าคุณตะโกนเสียงดังเรียกชื่อบุคคลที่สาม...สักพักเจ้าของชื่อก็มานั่งก้มหน้างุดอยู่หน้าประตู...ร่างกายกำยำที่นุ่งเพียงกางเกงยาวเลยเข่าไม่สวมเสื้อ...ผิวสีเข้มกร้านคงเพราะตากแดดทั้งวัน

"ขอรับท่านเจ้าคุณ"เจ้าของชื่อมิ่งยังก้มหน้างุดไม่มองหน้าเจ้าของบ้าน

"เอ็งพาอ้ายสองคนนี้ไปที่เรือนบ่าว จัดแจงที่หลับที่นอนให้มันเสีย แล้วพรุ่งนี้มีงานกระไรให้มันทำก็บอกมัน"เจ้าคุณสั่งยาวเป็นหางว่าวโดยที่คนบนพื้นได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะหันมามองทางพวกผม

"พวกเอ็งไปกับอ้ายมิ่ง แล้วอย่าก่อเรื่องอันใดอีกล่ะ"ผมรีบยกมือไหว้พร้อมพยักหน้ารับ

"ขอบคุณครับเจ้าคุณ!"พร้อมด้วยเสียงไอ้แชมป์ตามมาติดๆ ก่อนที่ผมกับมันจะเดินตามคนชื่อมิ่งออกไปนอกห้อง



"กูอยากจะบ้า นี่มันที่ไหนวะ"วินาทีที่ก้าวขาออกจากห้องนอนของเจ้าคุณทำเอาทั้งผมและไอ้แชมป์อ้าปากค้าง...ผมกำลังอยู่บนเรือนไทยทรงโบราณที่ทำจากไม้ทั้งหลัง ตรงกลางบ้านยกพื้นขึ้นสูง รอบตัวบ้านด้านบนมีประตูแยกเป็นห้องๆ แจกันลายครามถูกประดับไว้ตามมุมบ้าน เช่นเดียวกับต้นไม้ขนาดกลางที่ปลูกในกระถาง...ผมเดินตามคนชื่อมิ่งลงบันไดไม้มาที่หน้าเรือน หันไปมองด้านหลังเห็นเป็นเรือนไทยงามสง่าโดดเด่นในความมืด...ผมภาวนาในใจขอให้สิ่งที่ผมคิดมันไม่ใช่ความจริง...ผมเคยดูหนัง...อ่านนิยาย...แต่ไอ้ที่จะมาคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองน่ะ...ไม่เคยคิดเลยครับ


"พวกเอ็งนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าข้าจักมาปลุก"ร่างสูงใหญ่ของมิ่งเดินนำมาถึงเรือนเล็กด้านหลัง ที่ดูเหมือนเป็นบ้านพักของพวกคนใช้...ในห้องมีผู้ชายสิบกว่าคนนอนเรียงกันเป็นแถว...ผมมองตามมือของคนชื่อมิ่งไปตรงพื้นที่ว่างตรงมุมห้องก่อนจะเดินนำไอ้แชมป์เข้าไปในเรือน...ทรุดตัวลงบนพื้น มองไปรอบๆ แล้วก็ยังนึกภาวนาขอให้นี่มันเป็นแค่ความฝัน

"มึง..."ไอ้แชมป์สะกิดแขนผมยิกๆเรียกสติผมให้กลับมาได้บ้าง

"บอกกูที กูกำลังฝันใช่มั้ยวะ"แชมป์เอ๊ย กูก็อยากตอบว่าใช่ แต่ตอนนี้กูชักไม่แน่ใจแล้วจริงๆ

"นี่คือเรากำลังเป็นแบบในละครน้ำเน่าหลังข่าวที่ม๊ากูชอบดูเหรอวะ"มันยังถามต่อไม่เลิก

"กูก็มากับมึง จะให้กูตอบยังไง"หน้ามันสลดลงนิดหน่อยกับคำตอบที่ได้รับ ผมเลยยื่นมือไปตบบ่ามันเบาๆเป็นการปลอบใจ

"นอนเหอะมึง เผื่อตื่นมามันจะเป็นแค่ฝันอย่างที่มึงว่า"ผมว่าพลางหลับตาลง...พ่อครับ แม่ครับ...ช่วยธีร์ด้วยนะ ขอให้เรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่ความฝัน...ขอให้ธีร์แค่ฝันไปนะครับ...
.

.

.

.

.
"เอ็งสองคนนั่น! จักนอนจนพระนครหายไปครึ่งเลยรึ!"เสียงโหวกเหวกของใครบางคนดังขึ้นปลุกผมให้สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย

"ตะวันสายโด่งจวนจะเลยหัวแล้วนะโว้ย!"อีกเสียงรีบเสริมต่อ...ผมกระพริบตาปริบๆมองเพดานห้องที่ควรจะเป็นคอนกรีตสีขาวเหมือนปกติ...แต่คราวนี้สิ่งที่ผมเห็นมันกลับเป็น...-เพดานไม้- !!

"ขี้เกียจเยี่ยงนี้สงสัยต้องไปรายงานคุณท่าน"เสียงแรกยังตะโกนไม่หยุด ผมที่เริ่มตั้งสติได้หันไปมองไอ้ตัวช่วยข้างๆที่ยังนอนน้ำลายไหลย้อย แถมดูท่าว่ากำลังฝันดีอีกต่างหาก...มึงนี่ไม่ได้รู้เวลากับเขาเลย

"แชมป์...ไอ้แชมป์"ผมยกขาสะกิดมันเบาๆ แต่มันก็ยังนอนหลับตาพริ้มยิ้มหวานเหมือนเดิม

"ไอ้เชี่ยแชมป์!"ไม่พูดเปล่าแถมถีบให้สุดแรงจนเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง

"โอ๊ย คนจะนอนสัส วันนี้วันอาทิตย์จะรีบตื่นไปหาพ่อ..."ได้ทีหันมาด่าผมเป็นชุดก่อนจะตั้งสติได้แล้วหันไปมองรอบๆ...ประโยคสุดท้ายที่มันกำลังจะพูดออกมาถูกกลืนหายไปในลำคอ

"ไอ้ธีร์..."มันหันมามองหน้าผม ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจไม่ต่างจากเมื่อคืน

"เออ.."ผมพยักหน้าให้มันเหมือนเป็นการตอบคำถามที่มันอยากรู้...มันเลยได้แต่ยกมือขึ้นขยี้หัวเกรียนๆของตัวเองอย่างหนัก

"เอ็งสองคนจักคุยกันอีกนานไหมวะ! งานการเต็มเรือนไม่คิดจะช่วยกันบ้างรึ"ผมหันไปมองเจ้าของเสียง เห็นเป็นคนชื่อมิ่งยืนทะมึนอยู่ตรงหน้า

"ครับๆ"ผมรีบหันไปรับคำคนชื่อมิ่ง...ส่วนไอ้คนข้างๆไม่ต้องพูดถึง สติมันหลุดไปไกลแล้วครับ

"ไปล้างหน้าล้างตาเสีย แล้วไปช่วยงานในครัวโน่น ป้าน้อยแกหาคนช่วยแบกฟืนอยู่...ส่วนเอ็งมากับข้า ลานหน้าเรือนใบไม้มันร่วงเสียเต็ม ปล่อยไว้จักยิ่งรกนัก"คนตัวใหญ่สั่งงานรัวเป็นชุด หันไปบอกไอ้แชมป์ให้ตามแกไปกวาดใบไม้หน้าบ้าน ส่วนผมต้องไปแบกฟืนในครัว ทำไมงานมันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างนี้วะ

"ไอ้ธีร์..."ไอ้ตัวดีมันยังเรียกผมไม่เลิก ทีเมื่อวานสติดีขอเขานอนค้างที่นี่ ทำไมมันไม่พกสติข้ามคืนมาด้วยนะจะได้ไม่ต้องมาเรียกผมยิกๆแบบนี้

"เออกูรู้แล้ว...ไปๆ ล้างหน้าแล้วไปกวาดบ้านซะ เดี๋ยวจะโดนด่าอีก"กลายเป็นผมเสียอีกที่ตั้งสติได้ก่อนมัน...ผมยันร่างตัวเองให้ลุกขึ้น มองสภาพตัวเองแล้วก็อนาถใจ...นี่กูต้องใส่เสื้อTopmanตัวโปรดไปแบกฟืนจริงๆใช่ไหม?

"กูนึกว่าฝัน...ทำไมกูไม่ฝันวะ?!"ไอ้คนข้างๆที่ลุกตามผมมาติดๆยังบ่นไม่เลิก...ผมก็อยากให้มันเป็นแค่ความฝัน แต่ในเมื่อตื่นมาแล้วมันเป็นแบบนี้...จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ



พวกผมล้างหน้าล้างตากันเสร็จ...ไม่ต้องสงสัยครับ ที่นี่ไม่มีห้องอาบน้ำ...ต้องไปล้างเอาริมคลองนู่น แต่น้ำในคลองแถวนี้ใสแจ๋วไม่เห็นเหมือนคลองแสนแสบแถวบ้านผมเลย...อันนั้นแค่นั่งเรือโดนน้ำกระเด็นใส่สิวก็ผุดไปสามสี่วันแล้ว...

"เอ็งไปช่วยป้าน้อยแกขนฟืนนอกเรือนโน่น...ส่วนเอ็งมากับข้า"คนชื่อมิ่งออกคำสั่งทันทีที่พวกผมเดินกลับมาที่เรือนคนใช้...ขอเรียกแบบนี้แล้วกันครับ...เพราะเรือนนี้มีแต่คนใช้ในบ้านนอนกันสิบกว่าคนได้ แถมยังมีอีกเรือนถัดไปไกลหน่อยคิดว่าน่าจะเป็นของผู้หญิง...ใกล้ๆกับเรือนที่ผมนอนเป็นลานกว้างมีเพิงไม้ขนาดใหญ่อยู่ ผมมองแล้วเหมือนจะเป็นโรงครัวเพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกของพวกผู้หญิงกับกลิ่นกับข้าวหอมฉุยลอยมาเตะจมูก...


ผมเดินตามกลิ่นไปจนถึงโรงครัวที่มีผู้หญิงเกือบสิบคนแล้วยังมีพวกคนใช้ผู้ชายคอยเป็นลูกมืออีก...สายป่านนี้แล้วแต่บรรยากาศในโรงครัวก็ยังดูวุ่นวาย


"ป้าๆ เค้าให้ผมมาขนฟืนอ่ะ"ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลยหันไปเรียกคุณป้าที่กำลังนั่งตำน้ำพริกอยู่บนแคร่หน้าโรงครัว...แกละมือจากครกกับสากแล้วเงยหน้ามามองผม ในปากเคี้ยวหมากสีแดงจนน้ำหมากไหลย้อยต้องเอาผ้าที่เหน็บไว้กับเอวขึ้นมาซับ

"มาใหม่รึ ไม่เคยเห็นหน้า"ผมพยักหน้ารับ...อยากจะบอกว่ามาเมื่อคืนและอยากกลับแล้วแต่ป้าแกคงไม่เข้าใจ

"ฟืนอยู่นอกเรือนโน่น เดินตรงไปด้านหลัง อ้ายสนมันผ่าไว้แล้วกระมัง"ป้าพูดพลางชี้มือไปด้านหลังโรงครัว ผมเลยพยักหน้ารับอีกทีก่อนจะเดินไป...



กองฟืนที่ถูกผ่าแล้วถูกมัดรวมแล้ววางไว้ด้านหลังโรงครัวไม่ไกลนัก...ระยะทางไม่ใช่ปัญหา แต่ไอ้มัดฟืนนี่สิ มันจะมัดให้มันเล็กกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงวะ ใหญ่อย่างนี้ผมต้องไปฟิตหุ่นสักสามเดือนก่อนแล้วค่อยมาขนยังทันไหม...แต่บ่นไปก็เท่านั้น ยังไงผมก็ต้องขนมันไปอยู่ดี...ว่าแล้วก็...


"เชี่ยเอ๊ยยยย รู้งี้กูไปฟิตเนสทุกวันก็ดี"บ่นพลางแบกมัดฟืนเดินเซไปเซมา เอาวะไอ้ธีร์ คิดเสียว่ากำลังยกดัมเบลในยิมก็แล้วกัน

"ไอ้หนุ่ม! หน่วยก้านก็ดีทำไมแรงไม่มีเสียเลยวะเอ็ง"เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนถือขวานอันใหญ่ ร่างกายกำยำไม่สวมเสื้อ สวมเพียงกางเกงยาวคลุมเข่าสีน้ำเงินเข้ม ผมแสกกลางแบบคนโบราณ

"แบกขึ้นบ่าสิวะ อุ้มแบบนั้นเอ็งจะเดินถนัดรึ"ผมก้มลงมองมัดฟืนที่อุ้มอยู่ด้วยมือทั้งสอง...แค่ยกให้ขึ้นก็เหนื่อยแล้ว นี่พี่แกกะจะให้ผมคลีนแอนด์เจิร์กขึ้นบ่าเลยเรอะ

"ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไหว"ผมกระชับมัดฟืนในมือก่อนจะก้าวขาต่อมุ่งไปทางโรงครัวที่อยู่ไม่ไกล แต่ดันมีอีกเสียงหนึ่งขัดขึ้นเสียก่อน...

"เฮ้ย เอ็งน่ะ! คุณท่านให้หา"เสียงคนชื่อมิ่งที่ตะโกนเรียกผมจากโรงครัว...ผมพยักหน้ารับพลางคิดว่าควรจะกองไอ้มัดฟืนนี่ไว้ตรงนี้แล้วเดินไปเลยหรือควรจะแบกมันไปให้ถึงโรงครัวก่อนดี

"เอาวางไว้ตรงนั้นล่ะ เดี๋ยวข้าขนไปเอง รอเอ็งขนวันพรุ่งก็คงมิเสร็จ"ขอบคุณเสียงสวรรค์จากพี่คนผ่าฟืน...ผมวางมัดฟืนลงบนพื้นแล้วเดินตามคนชื่อมิ่งไปทางเรือนหลังใหญ่ที่พวกผมโผล่มาเมื่อคืนทันที...เห็นไอ้แชมป์ยืนรออยู่ตรงบันไดทำเอาผมพออุ่นใจได้บ้าง...อย่างน้อยก็ยังมีมันอยู่กับผมในเวลาแบบนี้



"เค้าบอกคุณท่านให้หา...หาอะไรวะมึง"แล้วก็เป็นไอ้แชมป์อีกนั่นแหละที่ถามขึ้นจนผมแทบอยากเอาหัวโขกกับราวบันได้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป...กูขอถอนคำพูดตอนนี้ยังทันไหมครับ

"ให้หา คือให้ไปหาเว้ย...มึงนิ่!"ผมส่ายหน้าอย่างปลงตก ก่อนจะเดินตามคนชื่อมิ่งขึ้นไปบนเรือน...ด้านบนผมเห็นพวกคนใช้ผู้หญิงนับสิบคน บ้างก็ปัดกวาดเช็ดถูเรือน...บ้างก็นั่งแยกดอกมะลิในพานทอง ให้อีกสองสามคนร้อยเป็นมาลัย...คุณท่านที่ว่านั่งอยู่บนพื้นที่ยกสูงกลางบ้าน...ท่านก็คือคุณสร้อยที่ผมเพิ่งพบเมื่อคืน แต่วันนี้คุณสร้อยห่มสไบสีเขียวเข้มไม่เหมือนผ้าแถบที่แกห่มเมื่อคืน...แกหันมามองพวกผมทันทีที่เดินขึ้นบันไดมา

"มาแล้วรึพวกเอ็ง"น้ำเสียงนุ่มอ่อนหวานเหมือนแม่ผมไม่มีผิด แม้คุณสร้อยจะอายุมากพอสมควรแล้วแต่ผมก็ยังพอดูออกว่าสมัยยังสาวแกต้องงามไม่แพ้ใครแน่

"เห็นอ้ายมิ่งมันว่ากว่าจักตื่นกันก็สายโด่งแล้วรึ"มาถึงยังไม่ทันข้ามวันก็โดนฟ้องแล้วครับไอ้ธีร์...ผมหันไปมองคนฟ้องที่นั่งก้มหน้างุดอยู่ตรงบันได...แค่นอนตื่นสายก็ต้องฟ้องนายเลยหรือวะ

"ขอโทษครับคุณสร้อย...คือมันยังไม่ชิน"ไอ้แชมป์หัวเราะแหะๆพลางยกมือขึ้นลูบหัวเกรียนๆของมันแก้เก้อ

"เอ็งนิ่! เรียกชื่อคุณท่านห้วนๆได้เยี่ยงไร"เสียงสาวใช้ที่นั่งอยู่ข้างคุณสร้อยดุเสียงดังจนพวกผมได้แต่มองหน้ากันไปมา

"เอาเถิดนังชด ดูมันจักมิใช่คนแถวนี้ คงมิรู้มารยาท อย่าไปว่ามันเลย"คุณสร้อยหันไปปรามเจ้าของชื่อที่เงียบลงทันที

"แล้วพวกเอ็งมาจากที่ใดกันรึ แต่งตัวประหลาดเยี่ยงนี้ข้ามิเคยเห็น"ผมอยากจะบอกคุณสร้อยเหลือเกินว่าการแต่งตัวอย่างคุณสร้อยผมก็เคยเห็นแต่ในละครเท่านั้นแหละ

"มาจากกรุงเทพครับ"ไอ้แชมป์ครับ มันตอบหน้านิ่ง แต่ผมว่ามันก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่คนอย่างไอ้แชมป์คิดได้แล้วล่ะ

"กรุงเทพรึ? อยู่แถวไหนเล่า"คุณสร้อยยังถามต่อด้วยสีหน้าสงสัย

"เอ้อออ ก็อยู่แถวนี้แหละครับ...แล้วที่นี่ที่ไหนครับคุณสร้อย เอ๊ยยย คุณท่าน!"ผมหันไปถามเจ้าของบ้านอีกทีก่อนจะรีบเปลี่ยนสรรพนามเพราะสายตาของแม่ชดที่นั่งอยู่ด้านหลัง

"ที่นี่ก็พระนครน่ะซี...ประหลาดนักพวกเอ็ง มิรู้จักพระนครรึ?"

"พระนคร!"ผมหันไปมองหน้ากับไอ้แชมป์ กลืนน้ำลายดังเอื้อก...พระนคร...ถึงผมจะโง่ประวัติศาสตร์ชาติตัวเองมากแค่ไหนแต่ผมก็พอจะได้ยินเรื่องพระนครมาบ้าง

"เอ่อ แล้วนี่รัชกาลไหนครับคุณท่าน"ผมถามกลับหน้าตาตื่น

"รัชกาลรึ?"เจ้าของบ้านขมวดคิ้วกับคำถาม

"เราอยู่บนแผ่นดินของพระพุทธเจ้าหลวง พวกเอ็งสองคนนี่อย่างไรนะ มิรู้อันใดเลยรึ"คำตอบของคุณสร้อยช่วยให้ความกระจ่างกับผมเสียจนลมแทบจับ...พระพุทธเจ้าหลวง...รัชกาลที่5...ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสมัยรัชกาลที่5อย่างงั้นหรือ?!....ใครช่วยบอกผมทีว่าผมกำลังแค่ฝันไป...หรืออย่างน้อยจะมีกล้องตัวไหนซ่อนอยู่ตามมุมบ้านให้ผมเห็นก็ยังดี...ผมจะได้รู้ว่ากำลังเข้าฉากถ่ายละครพีเรียดอย่างที่อานิดชอบดูหลังข่าวภาคค่ำ...เสียแต่ว่ามันดันไม่มีทั้งสองอย่าง

"ไหนว่ามาซี ว่าพวกเอ็งไปโผล่อยู่ในห้องเจ้าคุณเมื่อคืนนี้ได้เยี่ยงไร"คุณสร้อยยังคงยิงคำถามต่อ ดูท่าแกอยากรู้ความเป็นมาของพวกผมสองคนเสียจริง...ผมเองก็ไม่อยากให้คุณสร้อยต้องผิดหวัง แต่แม้แต่ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร

"ก็...รู้ตัวอีกที มันก็มาอยู่ที่นี่แล้วล่ะครับ"ไอ้แชมป์ที่ยังเกาหัวเกรียนๆของตัวเองไม่เลิกอธิบายให้ฟังแบบที่ไม่มีใครเข้าใจความ...ถ้าผมเป็นคุณสร้อยผมก็คงไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

"วะ! เอ็งนี่ พูดจาวกไปวนมาเสียจนข้าปวดหัว...จักรู้ความกันไหมวันนี้"คุณสร้อยตบหน้าขาตัวฉาดใหญ่...คิ้วเรียวที่ถูกกันเสียจนเข้ารูปขมวดมุ่นเป็นปม ยังคงมองมาที่พวกผมไม่ละสายตา

"ผมก็อธิบายไม่ได้มาก...เอาเป็นว่าผมจะหาทางกลับบ้านให้เร็วที่สุดครับ จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณสร้อย เอ๊ย! คุณท่าน"ไอ้แชมป์รีบขยายความ...ผมหันไปมองหน้ามันเป็นเชิงถามว่ามึงรู้แล้วหรือไงว่าจะกลับบ้านได้ไง...แต่ผมก็เงียบไว้ เพราะขนาดตัวผมเองยังไม่รู้เลย แล้วไอ้แชมป์ที่มากับผมมันจะรู้ไหมล่ะครับ





"คุณท่าน...หลวงพิสิษฐมาขอรับ"เสียงของมิ่งดังขัดวงสนทนาของพวกผมเสียก่อน

"พ่อแก้ว...วันนี้มิไปราชการรึ"คุณสร้อยหันไปทักทายผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ตรงบันได ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดู



"ไปมาแล้วขอรับคุณหญิง"เพียงแค่ประโยคเดียวที่ทำให้ผมต้องเหลียวกลับไปมอง...เสียงนุ่มอันคุ้นหูที่กล่าวตอบเจ้าของบ้านอย่างมีมารยาท...เสียงนี้มัน...

......................................................................

คุณหลวงมาแล้วเจ้าค่าาาา  :hao7: แต่จะใช่คุณหลวงคนนี้รึเปล่าน๊าาาา อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ จะพยายามปั่นให้ไว้แล้วรีบเอามาลงค่า  :heaven
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter IV เมื่อกาลเวลาร่ำร้อง UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 30-06-2014 23:07:10
คุณหลวงของพ่อธีร์มาแล้วรึ เสียงที่คุณหูนั้น  อ๊ากกกกกกกกกกกก

ตั้งตารอค่ะ


 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter IV เมื่อกาลเวลาร่ำร้อง UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 01-07-2014 01:21:54
โอ๊ย กรี๊ดค่า ชอบๆๆแนวนี้ ฮือ ขอเมนท์รวบ4ตอนเลยนะคะ แฮ่ คือยังดีนะ ที่หลุดไปพร้อมกับแชมป์น่ะ มีเพื่อนร่วมหัวจมท้าย555 ท่าทางสติและไหวพริบแชมป์จะดีกว่าธีร์นะคะ คุณท่านกับคุณสร้อย ถามไร ตอบได้หมดเลย ถึงจะตอบแบบงงๆบ้างก็เถอะ แต่ตอนถามต้องให้มีสตินะ ไม่งั้นหลุดกระจายเหมือนตอนพึ่งตื่น   ธีร์เจอกับคุณหลวงแล้ว ฮื้อ ตื่นเต้น คุณหลวงจะถูกใจพ่อธีร์แต่แรกไหมหนอ ลุ้นๆๆ แต่แอบคิดว่าพอรักกันแล้ว พ่อธีร์ต้องได้ กลับมายุคปัจจุบันอ่ะ คุณหลวงเลยมาตาม

รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter IV เมื่อกาลเวลาร่ำร้อง UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 01-07-2014 09:23:35
คุณหลวงจะมีเวลาใกล้ชิดธีร์ตอนไหนกันดูท่าแล้วคงจะใช้เวลาน่าดู แล้วจะได้กลับภพเดิมหรือเปล่านะ
ว่าแต่ทำไมต้องพกแชมป์มาด้วย ช่างน่าสงสารอยู่ที่ตัวเองนี่กวนอย่างกับอะไรดี มาอยู่นี่นี่เอ๋อซะแล้ว แล้วทำไมถึงแบ่งงานให้ธีร์กับพ่อแช่ม (55+ ชอบชื่อนี้) ทำงานแตกต่างกันซะเหลือเกิ๊นแบกฟืนกับกวาดใบไม้ ไอ้เราก็นึกว่าธีร์จะแบบบอบบางที่ไหนได้พ่อแช่มบอบบางกว่าอีกรึ กำลังคิดไปไกลว่าน่ารักๆ อย่างพ่อแช่มนี่จะมีหนุ่มคนไหนมาจีบรึเปล่า 55+
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter IV เมื่อกาลเวลาร่ำร้อง UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 01-07-2014 10:32:56
พระเอกใช่ไหม? พ่อแก้วน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter IV เมื่อกาลเวลาร่ำร้อง UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 01-07-2014 20:23:26
Chapter V...เมื่อแรกพบ...


"เจ้าคุณไพศาลเพิ่งกลับจากราชการที่หัวเมือง ได้ส้มพันธุ์ดีกลับมามาก เลยฝากกระผมมามอบให้คุณหญิงขอรับ"ผู้มาเยือนค่อยๆเยื้องย่างมาหาเจ้าของบ้าน...ผมที่นั่งอยู่กับพื้นได้แต่เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงโปร่งที่เดินผ่านหน้า...ใบหน้าคมแบบไทยแท้ แต่ผิวกลับไม่เข้มจัดเหมือนพวกบ่าวผู้ชายในบ้านถึงแม้จะเข้มกว่าผมอยู่บ้าง...ดวงตาคมโตสีดำสนิท คิ้วดกหนาแต่ได้รูป สวมเสื้อคอตั้งแขนยาวสีขาวกับโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม...ในมือถือตะกร้าของฝากที่เจ้าตัวอ้างว่าได้มาจากหัวเมือง

"ฝากขอบคุณเจ้าคุณไพศาลด้วยนะพ่อแก้ว"เจ้าของบ้านยิ้มหวานพลางรับตะกร้าของฝากส่งให้บ่าวด้านหลัง...ผู้มาเยือนนั่งลงข้างๆ...ริมฝีปากหนาได้รูปยกยิ้มบางๆ...ก่อนจะหันมาสะดุดตาเข้ากับพวกผมสองคนที่นั่งอยู่

"ใครหรือขอรับคุณหญิง กระผมไม่เคยเห็นหน้า"เสียงนุ่มคุ้นหูเอ่ยขึ้นอีกครั้ง...ผมมองคนตรงหน้าไม่วางตา...ถึงผมจะไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน แต่ผมจำเสียงนี้ได้แม่นนัก...

"อ้ายสองคนนี่รึ...มันมาโผล่อยู่ที่ห้องเจ้าคุณเมื่อคืนนี้ ถามหาความก็มิรู้เรื่อง สงสัยสติมิค่อยจักเต็ม"ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงรีบเถียงกลับว่าผมไม่ได้บ้า...แต่เวลานี้แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังทำหน้าแบบไหนตอนที่มองผู้มาเยือน...เจ้าของชื่อ'แก้ว'มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟังความจากคุณสร้อย

"เอ้อออ ผมมาขออาศัยอยู่สักพักน่ะครับ พอดียังหาทางกลับบ้านไม่ถูก"เป็นไอ้แชมป์ที่สติดีกว่ารีบตอบกลับไป...ส่วนผมยังนั่งเงียบตั้งแต่เห็นคนตรงหน้า...

"ใช่มั้ยไอ้ธีร์..."


"ไอ้ธีร์..."


"เชี่ยธีร์!"กว่าจะรู้ตัวว่าไอ้แชมป์เรียกก็เกือบถูกมันเอาเท้ายันเข้าให้...ผมสะดุ้งเฮือกมองหน้าคุณสร้อยที มองผู้มาเยือนทีก่อนจะพยักหน้ารับ

"ครับๆ...ยังไงผมต้องรบกวนคุณท่านสักระยะนะครับ"ระล่ำระลักตอบแบบไม่ค่อยรู้ความนัก

"เห็นแล้วก็สงสาร มิรู้บ้านช่องอยู่ที่ใด ก็เลยรับไว้เอาบุญน่ะ"คุณสร้อยหันไปบอกผู้มาเยือนอีกครั้ง

"ไหนๆก็มาแล้ว อยู่ทานเย็นกับป้าก่อนเถิดพ่อ เจ้าคุณท่านเข้ากรมเห็นว่าจักกลับวันพรุ่ง"

"ขอรับคุณหญิง"ผู้มาเยือนตอบรับด้วยรอยยิ้มหวานเช่นเคย...จะว่าผมไม่มีมารยาทก็ได้แต่ผมสารภาพว่ากำลังมองคนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตาแม้วินาที...ไม่ใช่เพราะบุคคลิกหน้าตา แต่เป็นน้ำเสียงอันคุ้นหูนี่ต่างหาก...

"พวกเอ็งไปบอกนังน้อยให้เตรียมสำรับให้หลวงพิสิษฐด้วย...ส่วนเอ็งสองคนมีงานการใดต้องทำก็ไปเถิด สงสัยอันใดก็ถามอ้ายมิ่งมัน"ประโยคแรกคุณสร้อยหันไปบอกบ่าวผู้หญิงด้านหลังที่รีบรับคำสั่งและเดินลงจากเรือนไปทันที ก่อนจะหันมาบอกพวกผมที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม...ผมกับไอ้แชมป์พยักหน้ารับก่อนจะลุกเดินลงจากเรือนแต่ยังเหลียวไปมองผู้มาเยือนที่นั่งคุยกับคุณสร้อยอย่างออกรส...ไม่ได้มองมาทางนี้แม้เพียงนิด
.

.

.

.

"เดี๋ยวเอ็งไปตักน้ำใส่โอ่งให้คุณท่านเตรียมไว้อาบเย็นนี้...ส่วนเอ็งยังกวาดลานหน้าเรือนมิเสร็จก็ไปทำต่อ สงสัยอันใดก็ให้ถาม หรือจักถามพวกบ่าวที่มันอยู่แถวนี้เอาก็ได้"มิ่งรีบสั่งงานพวกผมสองคนอีกรอบทันทีที่ลงจากเรือน...สงสารตัวเองจริงๆไอ้ธีร์เอ๋ย...เดี๋ยวขนฟืนบ้างล่ะ เดี๋ยวตักน้ำใส่โอ่งบ้างล่ะ...งานสบายๆไม่มีให้กูทำเลยหรือไง...



...ผมเดินแบกถังไม้ไปจนถึงท่าน้ำหน้าเรือน...ก้มลงตักน้ำจนเต็มถังก่อนจะแบกเดินกลับขึ้นไปบนเรือนใหญ่...ทำซ้ำอยู่อย่างนี้เป็นสิบรอบแต่น้ำในโอ่งมันก็ไม่เต็มเสียที...ทำไมผมไม่เลือกเรียนวิศวะนะจะได้ทำเครื่องสูบน้ำจากคลองลงโอ่งให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

"ไอ้แชมป์ กวาดเสร็จยังวะ ช่วยกูหน่อยกูจะเป็นลมแล้ว"ผมหันไปเรียกไอ้แชมป์ที่ยังกวาดลานหน้าเรือนอยู่ มันกวาดมาเป็นชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เสร็จสักที

"เหอะ กูชิลล์ มึงอ่ะเป็นกรรมกรแบกน้ำต่อไปนะ หึหึ"ไม่พูดเปล่าหันมาเยาะเย้ยกูอีก...ฝากไว้ก่อนนะครับมึง
.

.

.

.

.
"โอ๊ยยยย เหนื่อยเชี่ยยยย!"บ่นเสียงดังกับตัวเองพลางทรุดตัวลงที่ท่าน้ำนั่นล่ะ...เดินแบกถังน้ำไม่รู้กี่สิบรอบในที่สุดน้ำมันก็เต็มโอ่งเสียที...ผมเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลง...น่าจะสักบ่ายสองบ่ายสามได้...เห็นไอ้แชมป์ที่กวาดลานหน้าเรือนเสร็จก็เดินไปทางโรงครัว สงสัยจะไปอ้อนพวกแม่ครัวหาอะไรกินแน่ๆ...ไอ้นี่มันช่างปรับตัวเร็วกว่าจิ้งจก ขนาดผมเองยังไม่มีอารมณ์จะกินอะไรเลยตั้งแต่มาถึง...




"เหนื่อยรึ"


"เหนื่อยดิวะถามได้ แม่งไม่ลองมาแบกถังน้ำเดินไปเดินมาเหมือนกูม่ะะ..."ผมหันควับไปด่าเจ้าของเสียงที่คิดว่าเป็นไอ้แชมป์ แล้วก็ต้องเงียบกริบเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง...แขกของเจ้าของบ้านที่ผมเพิ่งได้พบไปเมื่อตอนสาย...เจ้าของร่างโปร่งเหยียดยิ้มเล็กน้อยให้ผมอย่างอารมณ์ดี

"เห้ยยยยย! ขอโทษครับ!"ด้วยความตกใจทำเอาผมแหกปากลั่น จนอีกฝ่ายหลุดขำออกมาเบาๆ

"ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้เอ็งตกใจ...ว่าจักมาหาที่อ่านหนังสือเสียหน่อย...ไม่นึกว่าเอ็งขวัญอ่อนเยี่ยงนี้"ผู้มาเยือนว่าก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นั่งในศาลาตรงท่าน้ำ พลางหยิบหนังสือที่ติดมือมาขึ้นมาเปิดอ่าน ในขณะที่ผมยังนั่งอยู่ริมท่าน้ำเช่นเดิม




"คุณเรียนกฎหมายเหรอ"ปากที่ไวกว่าความคิดโพล่งถามเมื่อเห็นเจ้าตัวกำลังอ่าน 'ประมวลกฎหมายนานาชาติ' ทำเอาอีกฝ่ายลดหนังสือลงแล้วหันมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ

"ว่ากระไรนะ"ขมวดคิ้วถามพลางจ้องหน้าผมนิ่ง ทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ

"ก็...หนังสือนี่"ผมชี้มือไปที่หนังสือในมืออีกฝ่าย...เจ้าตัวพลิกปกหนังสือขึ้นมาดูก่อนจะหันมามองหน้าผมอีกครั้ง

"รู้หนังสือรึ"ผมพยักหน้ารับ...ขณะที่อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจยิ่งนัก

"ไปเรียนมาจากไหน"เจ้าของร่างสูงยังถามต่อทำเอาผมได้แต่เกาหัวตัวเอง ถ้าตอบว่าเรียนมาตั้งแต่อนุบาลเขาจะหาว่าผมบ้าไหมนี่

"ก็...เอาเป็นว่าอ่านออกก็แล้วกัน"เลยได้แต่สรุปใจความสั้นๆเป็นเชิงว่า 'ไม่ต้องถามกูต่อแล้วนะครับ'ตอบอีกฝ่ายไป

"เอ็งดูไม่เหมือนบ่าว...ผิวก็ขาวเหมือนลูกเจ๊ก...ชื่อกระไรนะ"นี่ผมกำลังขึ้นศาลสอบปากคำพยานอยู่หรือเปล่านะ โดนยิงคำถามรัวๆไม่ได้เว้นช่วงให้หายใจกันบ้างเลย

"ชื่อธีร์..."

"ธีร์รึ?"โอ๊ยพ่อคุณ...จะมีอีกสักกี่คำถามวะเนี่ย

"แล้วนายล่ะ"ได้ทีเลยถามบ้างเดี๋ยวจะเสียเปรียบ

"ข้ารึ?"ก็อยู่กันสองคนจะให้กูถามปลาในน้ำหรือไงวะ

"ชื่อแก้ว"คนอะไรชื่ออย่างกับผู้หญิง...ผมคิด

"ถ้าตำแหน่งในกรมเขาเรียกกันหลวงพิสิษฐวรเวทย์"เจ้าตัวเสริมต่อทำให้ผมนึกถึงคำพูดของมิ่งที่เรียกหมอนี่ว่าหลวงพิสิษฐ คงจะเป็นตำแหน่งทางราชการอย่างที่เจ้าตัวว่า

"แล้วผมต้องเรียกคุณแก้วหรือคุณหลวงล่ะ"สิ้นคำถามเจ้าตัวถึงกับกลั้นหัวเราะ ทำเอาผมได้แต่นั่งนิ่งมองคนตรงหน้า ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไปหรือเปล่า


"ฮะๆ เอ็งนี่ตลกนัก คุณหญิงท่านว่าเอ็งแปลก ข้าเชื่อแล้วว่าแปลกเสียจริง"แต่คนที่ทำให้ผมแปลกใจกลับเป็นคนตรงหน้ามากกว่า...โครงหน้าเข้มดูมีอำนาจ หากแต่ตอนนี้เขากำลังยิ้มร่าเพียงเพราะคำพูดเปิ่นๆของผม

"อยากเรียกกระไรก็เรียกเถิด ข้ามิได้เจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนคุณหลวงคนอื่นๆเขาหรอก"แล้วไอ้คุณหลวงนี่มันจะขำอีกนานไหมครับ

"งั้นเรียกคุณหลวง"ผมหันไปตอบ

"แล้วกัน เพิ่งว่าอยู่ว่าข้ามิถือตัว"

"แต่ผมถือ...เรียกชื่อเดี๋ยวจะโดนดุเอาอีก หาว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง"ได้บทเรียนจากตอนเรียกคุณสร้อยมาแล้ว ผมเลยเลือกที่จะเรียกหมอนี่ด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ที่มีก็แล้วกัน

"ใครจักดุเอ็ง...อ้อ กลัวพวกบ่าวไพร่จักว่าเอารึ"ร่างสูงโปร่งยังคงอมยิ้มนิดๆ ไอ้หมอนี่ดูไปดูมาหน้ากวนพิลึกถึงเวลาอยู่นิ่งๆจะดูดุก็ตามที

"ใครจะว่าก็ช่างมันเถอะ...เรียกคุณหลวงน่ะแหละ"ผมยังต่อปากต่อคำไม่เลิก

"ตามใจเอ็ง...คุณหลวงก็คุณหลวง ฮะๆ"เอ้อ ยังขำอีกแน่ะ...ผมไม่ได้เล่นตลกให้ดูสักหน่อย



"คุณหลวงขอรับ...คุณท่านให้มาเรียนว่าสำรับพร้อมแล้วขอรับ"บ่าวผู้ชายที่เพิ่งเดินมาถึงลงไปนั่งคุกเข่าบอกข้อความจากเจ้าของบ้าน...หลวงพิสิษฐหันไปมองพลางพยักหน้าตอบรับ

"เอ้อ คุณหลวง"ผมเรียกขึ้นขณะเจ้าตัวกำลังเก็บหนังสือที่หอบหิ้วมาพลางลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินไปที่เรือนใหญ่...เจ้าของชื่อหันกลับมามองเป็นเชิงถาม




"คุณหลวงเคยเจอผมมาก่อนมั้ย"มันคงเป็นคำถามที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยถามมาในชีวิตนี้เพราะอีกฝ่ายถึงกับหันมามองหน้าผมนิ่งก่อนจะ




"ฮ่าๆๆ เอ็งนี่มีเรื่องให้ข้าประหลาดใจได้อยู่เรื่อยเชียว"มันขำผมครับคุณผู้อ่าน...โอเคผมยอมรับว่าคำถามผมมันช่างโง่เง่าสิ้นดี...แต่ทำไมต้องขำอย่างกับผมกำลังเล่นละครลิงให้ดูอย่างนี้เล่า!
"ไม่เคยหรอก...คนเยี่ยงเอ็งถ้าเคยเจอข้าคงมิลืมง่ายๆ"ประโยคสุดท้ายทำเอาหัวใจผมกระตุกวูบ...พลันนึกถึงคำพูดที่มักได้ยินในฝันนั่นเสมอ...

"แต่ตอนนี้เคยเจอแล้ว...ข้าก็คงมิลืมง่ายๆเช่นกัน"เป็นอีกครั้งที่หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ...ผมมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินขึ้นเรือนไป...ใบหน้าคมเข้มหันมายิ้มบางๆให้ผม จะด้วยเพราะยังขำกับคำถามพิลึกของผมไม่หายหรืออะไรก็ตามแต่...




"หรือจะไม่ใช่เสียงคุณหลวง"ผมพึมพำกับตัวเองอยู่ตรงท่าน้ำนั่นแหละ...เขาไม่เคยเจอผม...แล้วเสียงที่ผมได้ยินนั่่นเสียงใครกันล่ะ?!
.

.

.

.

"โอ๊ยยย เหนื่อยว่ะ!!"เสียงไอ้แชมป์บ่นอิดออดขณะที่พวกผมนั่งอยู่ริมท่าน้ำ...เวลาล่วงเลยมาจนเย็นมากแล้ว ผมสังเกตได้จากดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนต่ำลงจนเกือบลับขอบฟ้า

"แค่กวาดพื้นหน้าบ้านทำเป็นเหนื่อย ดูกูนิ่! ขนน้ำไม่รู้กี่สิบรอบ สาสสสส"ไม่พูดเปล่าแถมเท้ายันหลังมันจนหน้าเกือบทิ่ม

"ก็มึงซวยเอง เดี๋ยวแบกฟืนเดี๋ยวแบกน้ำ แหม่ ใครนะมันช่างกล้าใช้คุณชายชลนธีร์ของกระผมได้"ไอ้ตัวดีหันมาทำหน้าเยาะเย้ย พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

"ก็มึงเสือกเกิดมาเตี้ย เค้าก็ยกงานถึกๆให้กูดิวะ"ได้ทีผมรีบทับถมด้วยจุดอ่อนของมัน แชมป์มันเตี้ยกว่าผมครับ ถึงจะไม่มากแต่มันก็ชอบบ่นเรื่องนี้ตลอด...มันบอกว่าเวลาเดินด้วยกันแล้วมันดับ ผมก็ไม่รู้ว่าดับตรงไหนในเมื่อมันขาวโอโม่ออร่ากระจาย ด้วยความที่มันมีเชื้อจีนเกือบ100% แถมความสูงก็170กว่าตามมาตรฐานชายไทย บางทีผมเห็นสาวๆเดินเหลียวหลังมองความขาวของมันก็มี แต่ก็ยังชอบบ่นเรื่องส่วนสูงกับผมเกือบทุกวัน

"เออ กูภูมิใจในความเตี้ยของกูก็ตอนเนี้ย ได้ทำแต่งานสบายๆ หึหึ"ไอ้ตัวดียังหัวเราะเยาะผมไม่เลิก

"เงียบไปเลยมึง มาช่วยกันคิดก่อนว่าจะกลับบ้านยังไง"ผมว่าพลางบิดตัวไปมา...เดินแบกน้ำเป็นสิบๆรอบเล่นเอาล้าไปทั้งตัว สงสัยพรุ่งนี้ตื่นมาเดี้ยงแน่ๆ

"กูยังไม่รู้เลยว่ามาโผล่ที่นี่ได้ไง แล้วจะรู้ได้ไงว่าจะกลับยังไง"เป็นอีกครั้งที่มันยกมือขยี้หัวเกรียนๆของตัวเอง

"แต่กูว่ามันต้องเกี่ยวกับโต๊ะนั่น"มันรีบหันมาเสริม

"มึงคิดเหมือนกู"ผมพยักหน้ารับกับความคิดของมัน

"เพราะโต๊ะนั่นเป็นอย่างเดียวที่เหมือนกันของที่นี่กับบ้านมึง เอ้อ มีไอ้ที่ทับกระดาษนั่นอีกอย่าง"

"แล้วไงวะ ถึงจะรู้ว่าเกี่ยวกับโต๊ะกับที่ทับกระดาษ แล้วจะรู้ได้ไงว่าจะกลับยังไง"

"โต๊ะแม่งมีลิ้นชักป่าววะ เผื่อจะมุดลงลิ้นชักแล้วไปโผล่บ้านมึงเหมือนในการ์ตูนอ่ะ"ดูความคิดมันครับ ไม่รู้กวาดพื้นมากจนเพี้ยน หรือมันเพี้ยนอย่างนี้มาตั้งแต่แรก

"โอ๊ย! ไม่ใช่ไทม์แมชชีน"ผมว่าพลางเอามือผลักหัวมันสักทีเผื่อจะคิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวได้บ้าง

"มึงลองคิดดิ ก่อนจะมาที่นี่มึงทำอะไร"ผมหันไปถามมัน เพราะก่อนที่พวกผมจะโผล่มาที่นี่ ผมจำได้ว่ามันนั่งอยู่ที่โต๊ะ...หยิบที่ทับกระดาษ...มาโยนเล่น...


"ที่ทับกระดาษ!!"โพล่งขึ้นมาพร้อมกันทั้งสองคนแล้วหันมามองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย


"ใช่เลยมึง! ที่ทับกระดาษ"มันหันมาชี้หน้าผมที่พยักหน้ารับรัวๆ

"มึงหยิบมาโยนเล่น แล้วมันหล่น...แล้วมันก็มีแสงออกมา"ผมนึกย้อนไปถึงวันเกิดเหตุ เหมือนตัวเองกำลังอยู่ในหนังไซไฟหรือเรื่องจริงเหนือธรรมชาติอะไรสักอย่าง

"แล้วก็ตู้มมมม! มาโผล่นี่"มันทำเสียงเอฟเฟคประกอบเอาผมตกใจ

"เชี่ยย! ไม่ใช่โกโก้ครันช์!"เล่นไม่รู้จักเวลาเลยโดนผมโบกให้อีกรอบ



"แล้วเราจะเข้าไปห้องเจ้าคุณยังไงวะ แค่คราวที่แล้วแกก็ทำท่าจะจับส่งตำรวจละ ถ้าโดนจับได้คราวนี้กูว่าได้ไปนอนห้องกรงแหง"ไอ้แชมป์ที่ลูบหัวตัวเองป้อยๆหันมาถาม

"คุณสร้อยบอกว่าวันนี้เจ้าคุณไม่กลับบ้าน ก็ต้องลองเสี่ยงวันนี้แหละวะ"



"เสี่ยงอะไรรึ"


"ก็เสี่ยงเข้าห้อ....เห้ยยยยยย!"ผมกำลังหันไปตอบไอ้แชมป์แต่นึกขึ้นได้ว่านี่มันไม่ใช่เสียงไอ้แชมป์นี่หว่า...หันไปเจอเจ้าของเสียงยืนประชิดอยู่ด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยง

"คุณหลวง!"ใช่ครับ ไอ้คุณหลวงนี่อีกแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรชอบโผล่มาเงียบๆทุกที

"ว่าอย่างไร"ตอบกลับเสียงเรียบ

"คุณหลวงมาทำไร"

"เอ้า! ก็จักกลับเรือนน่ะซี"เจ้าของร่างสูงอมยิ้มเล็กน้อยพลางหันไปมองเรือที่ผูกอยู่ตรงท่าน้ำ

"แล้วเอ็งสองคนเล่า แอบมาวางแผนอะไรกันตรงนี้"ถามกลับเหมือนรู้ทัน

"เปล่าครับ!"และก็เป็นไอ้แชมป์ที่ร้อนตัวตอบกลับเสียงดังจนอีกฝ่ายหันมามองหน้า

"ไม่มีอะไรก็ดี...คุณหญิงท่านเมตตาให้เอ็งสองคนอยู่ อย่าทำอะไรให้ท่านต้องลำบากใจเสียล่ะ"ท้ายประโยคหันมาจ้องหน้าผมนิ่ง

"ครับ!"ไอ้แชมป์รีบตอบกลับ

"ข้าไปล่ะ"พูดพลางก้าวลงไปนั่งอยู่บนเรือก่อนที่บ่าวอีกคนจะลงเรือตาม

"ฝากเรียนคุณหญิงด้วยว่าจักมาหาใหม่"ผมพยักหน้ารับ มองตามเรือที่ถูกพายออกไป ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีใครมาสะกิดแขนยิกๆ

"อะไรของมึง!"แล้วจะเป็นใครได้นอกจากไอ้ตัวดีข้างๆ

"คุณหลวงแม่งเท่ห์ว่ะ"ไอ้แชมป์มองตามเรือของหลวงพิสิษฐก่อนจะโพล่งขึ้น

"กวนตีนจะตายห่า"ผมสวนขึ้นจนไอ้แชมป์รีบหันกลับมามอง

"มึงรู้ได้ไง"มันหรี่ตามองผมเหมือนจับผิด

"ก็กูเจอตอนมาขนน้ำ"ตอบกลับสั้นๆ

"แล้ว?"ยังไม่เลิกถาม วันนี้เป็นอะไรนะโดนถามทั้งวัน

"แล้วไง ก็กวนตีนกู"

"กวนตีนยังไงวะ"ไอ้นี่ยังถามไม่เลิกจนผมชักรำคาญ

"กวนตีนอย่างที่มึงทำอยู่เนี่ย ไปๆ หิวแล้วไปหาไรแดกกัน แล้วค่อยคิดว่าคืนนี้จะเอาไง"พูดพลางดันหลังมันให้เดินไปทางโรงครัว ขี้เกียจตอบคำถามเพราะวันนี้โดนถามมามากแล้ว
.

.

.

.

.

.
คืนนั้นผมกับแชมป์รอจนทุกคนเข้านอนก่อนจะแอบออกมาจากเรือนบ่าว...จุดหมายก็เรือนใหญ่ที่พวกผมโผล่มานั่นแหละครับ...

"มีคนเฝ้าด้วยว่ะ เอาไงดี" ผมมองตามเสียงไอ้แชมป์ เห็นบ่าวผู้ชายถือคบไฟเดินรอบเรือนอยู่สองสามคน...หนึ่งในนั้นคือมิ่ง

"สงสัยต้องอ้อมไปด้านหลัง...ไปมึง!"ผมสะกิดเรียกพลางดึงแขนคนข้างๆให้อ้อมไปทางหลังเรือน...นับว่าโชคยังเข้าข้างเมื่อด้านหลังเรือนมีต้นมะข้ามต้นใหญ่ขึ้นอยู่ใกล้เรือน...ดูแล้วน่าจะปีนขึ้นได้ไม่ยาก

"จะไหวเหรอวะ กูไม่ได้ปีนต้นไม้มาตั้งแต่8ขวบ"ไอ้แชมป์เงยหน้ามองมะขามต้นใหญ่ตรงหน้า

"ไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะวะ"ผมว่าพลางดันหลังมันให้ปีนขึ้นไปก่อน...ใครมาเห็นสภาพพวกผมสองคนตอนนี้ไม่ต้องสืบเลยครับ โดนจับเข้าคุกแน่ เล่นมาปีนบ้านเขาเสียขนาดนี้

"เชี่ยยยย อย่าดัน!"ไอ้แชมป์ที่อยู่ด้านบนตอนนี้ยันเท้ายิกๆใส่ผม...ก็ใครใช้ให้มันปีนช้าเป็นเต่าอย่างนี้ล่ะ เดี๋ยวก็ได้โดนจับกันก่อนพอดี

"เร็วๆดิวะ! เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า"ไม่พูดเปล่าเอามือดันขามันขึ้นไปอีก...สภาพพวกผมทุลักทุเลพอสมควรกว่าจะปีนขึ้นมาถึงขอบหน้าต่างบนเรือน...ไอ้แชมป์ปีนข้ามจากต้นไม้ไปที่หน้าต่างก่อนจะยื่นมามาช่วย...พวกผมปีนเข้ามาอีกห้องหนึ่งที่ไม่ใช่ห้องท่านเจ้าคุณ...ดูแล้วน่าจะเป็นห้องนอนของใครสักคนเพราะมีเตียงสี่เสาตั้งอยู่...ต่างกันตรงที่ห้องนี้ไม่มีชั้นหนังสือเหมือนห้องเจ้าคุณ แต่มีโต๊ะเครื่องแป้งแบบโบราณ...เจ้าของห้องคงเป็นผู้หญิงแน่ๆ...

ผมเปิดประตูห้องออกอย่างเบามือ...ด้านนอกเรือนเงียบเชียบ มีเพียงแสงจากตะเกียงที่ถูกจุดแขวนไว้ตามผนัง...พวกบ่าวคงเดินตรวจยามแค่ด้านล่าง ส่วนข้างบนคงไม่มีใครนอกจากคุณสร้อย...ผมมองไปที่ประตูห้องของเจ้าคุณ ค่อยๆเดินนำไอ้แชมป์อย่างเบาที่สุด...พื้นไม้นี่เดินลำบากเป็นบ้าแค่ลงน้ำหนักก็ดังเอี๊ยดอ๊าดเสียแล้ว...ผมได้แต่ภาวนาทุกก้าวที่เดินว่าจะไม่โดนจับได้เสียก่อน...

และคำภาวนาของผมก็เป็นผลเมื่อตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของห้องท่านเจ้าคุณ...กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่ดันถูกไอ้แชมป์ขัดขึ้นเสียก่อน

"มึงแน่ใจได้ไงวะว่าเจ้าคุณไม่อยู่"

"มึงก็อยู่กับกูตอนคุณหญิงบอกว่าเจ้าคุณจะกลับพรุ่งนี้"ผมว่าพลางย้อนไปถึงตอนที่คุณสร้อยบอกคุณหลวงผู้มาเยือนเรื่องท่านเจ้าคุณที่ต้องเข้าไปทำงานในกรม...แต่หน้าไอ้คุณหลวงที่กำลังกลั้นหัวเราะอย่างกวนประสาทนั่นดันลอยเข้ามาเสียก่อน

"แล้วถ้าคุณหญิงแกอยู่ในห้องล่ะ...ไอ้ธีร์...ธีร์...ไอ้เชี่ยธีร์!"มันขึ้นเสียงตรงคำหลังจนผมสะดุ้งเฮือก

"เสียงดังทำเชี่ยไร เดี๋ยวใครได้ยินก็โดนจับกันพอดี"ผมหันไปด่ามันโดยพยายามลดเสียงให้เบาที่สุด

"ควาย กูเรียกแล้วมึงไม่ได้ยิน เหม่ออะไรของมึงวะ"ผมส่ายหน้าตอบ จะบอกได้ไงว่านึกถึงหน้าไอ้คุณหลวงนั่น

"ค่อยๆแง้มดูก่อนแล้วกัน"ผมว่าพลางเอื้อมไปผลักประตูไม้ออกอย่างเบามือที่สุด...ด้านในห้องมืดสนิท...ไม่มีแม้แต่แสงไฟจากตะเกียงเหมือนวันที่ผมมาในวันแรก...ผมย่องไปดูตรงเตียงสี่เสาพบว่ามันว่างเปล่า...โชคดีที่คุณสร้อยไม่ได้นอนห้องนี้...หันไปหาตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะไม้สัก กับกลักไม้ขีดไฟที่วางอยู่ข้างๆก่อนจะจุดมันขึ้น...แสงสว่างจากตะเกียงช่วยให้ผมเห็นบรรยากาศภายในห้องชัดเจนขึ้น...ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม ทั้งโต๊ะไม้สัก...และที่ทับกระดาษเจ้าปัญหา...

"เอาไงมึง"ไอ้แชมป์กระซิบถาม

"ไม่เอาไง ทำเหมือนวันนั้น"ผมว่าพลางหยิบที่ทับกระดาษเจ้าปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง...วันนั้น...ไอ้แชมป์จับมันโยนเล่นไปมา...ก่อนที่จะ...

"มันจะได้ผลมั้ย"มันว่าพลางมองตามที่ทับกระดาษในมือผม...ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลไหม แต่ก็ยังดีกว่าไม่ลองอะไรเลย

"เอานะ!"ผมมองหน้าอีกฝ่าย...มันพยักหน้ารับ...ก่อนที่ผมจะตัดสินใจโยนที่ทับกระดาษนั่นขึ้น มันลอยเคว้งในอากาศ...เหมือนวันนั้น...ผมเห็นภาพทุกอย่างเป็นภาพสโลวโมชั่น...ก่อนที่ทั้งผมและมันจะพุ่งไปรอรับที่ทับกระดาษนั่น...เหมือนในวันนั้นไม่มีผิด...และ



"โอ๊ยยยยย!"หัวที่กระแทกกันอย่างจังทำให้ทั้งผมและมันเผลอร้องออกมาเสียงดัง...ผมยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ...ส่วนไอ้วัตถุเจ้าปัญหาตอนนี้ลงไปกองอยู่กับพื้นเป็นที่เรียบร้อย


'เฮ้ย เสียงอะไรวะ!?'ได้ยินเสียงของมิ่งแว่วมาจากด้านล่างก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งขึ้นบันไดมา...ผมรีบดับตะเกียงก่อนจะลากไอ้แชมป์ไปมุดหลบตรงใต้เตียง...พอดีกับที่มิ่งเปิดประตูเข้ามา...เจ้าของร่างกำยำสอดสายตาไปทั่วห้อง...ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับที่ทับกระดาษที่ตอนนี้ลงมากลิ้งขลุกขลักอยู่บนพื้น

"ชิบหายแล้วกู"ไอ้แชมป์กระซิบบอกผมก่อนที่ผมจะรีบยกมือขึ้นอุดปากมันเพราะคนตรงประตูห้องหันมาทางนี้พอดี...มันกำลังก้าวเข้ามาในห้องพลางยกตะเกียงสอดส่องไปทั่ว


"เสียงดังโวยวายอะไรกันอ้ายมิ่ง"เสียงคุณหญิงสร้อยแทรกขึ้นเสียก่อน จนเจ้าของชื่อได้แต่ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปทางหน้าห้อง

"กระผมได้ยินเสียงขอรับ แต่พอขึ้นมาดูก็ไม่มีอะไรขอรับ"ร่างกำยำทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นก่อนจะรายงานให้ผู้เป็นนายทราบ...คุณหญิงสร้อยหันมามองในห้อง สะดุดตาเข้ากับที่ทับกระดาษบนพื้น ก่อนจะเดินเข้ามาหยิบมันขึ้นไปวางไว้บนโต๊ะตามเดิม

"แปลกจริงขอรับคุณหญิง มิรู้ตกลงมาได้เยี่ยงไร"มิ่งยังรายงานต่อ...คุณสร้อยมองที่ทับกระดาษบนโต๊ะด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน

"เจ้าคุณคงวางไม่เข้าที่กระมัง วางหมิ่นเหม่มันก็ร่วงเอาเสียได้ ไม่มีกระไรหรอก ไปเถิดอ้ายมิ่ง"คุณหญิงเจ้าของเรือนหันไปบอกบ่าวที่นั่งอยู่ตรงประตู ก่อนจะพากันเดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลงตามเดิม ทำเอาพวกผมสองคนได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

"เกือบไปแล้วมั้ยมึง"ไอ้แชมป์ที่มุดออกมาจากใต้เตียงก่อนโพล่งขึ้น

"ทำไมมันไม่ได้ผลวะ"ก่อนที่มันจะหันไปมองโต๊ะไม้สักกับที่ทับกระดาษอีกรอบ

"แล้วอย่างงี้กูจะกลับไปหาป๊ากับม๊ายังไงวะเนี่ย!"มันยังโวยวายไม่เลิก...ผมเดินไปหยิบที่ทับกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง...ก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่างพลางพลิกด้านล่างของมันขึ้นมาดู...ร่องรอยขีดเขียนที่ผมเห็นเมื่อตอนอยู่บ้านอานิด...มันกลับหายไป...

"แชมป์..."ผมยื่นอีกด้านของที่ทับกระดาษให้แชมป์ดู มันรับไปถือพลางมองหน้าผมสลับกันไปมา

"ชื่อมึงหายไปแล้ว"มันพยายามพลิกไปมาหาร่องรอย

"ไม่ใช่...มันยังไม่ได้เขียนต่างหาก"ผมสรุปให้มันฟัง...ในเมื่อสภาพโต๊ะไม้สักที่ผมเห็นตอนนี้มันเหมือนเพิ่งประกอบเสร็จ แสดงว่ามันเพิ่งถูกทำขึ้นเมื่อไม่นานมานี้...เช่นเดียวกับที่ทับกระดาษ

"มันจะเกี่ยวกับชื่อมึงบนนี้ป่าววะ หรือเราต้องเขียนมันให้เหมือนกัน"ไอ้แชมป์ถามต่อ...นั่นสิ...ถ้าผมสลักชื่อตัวเองลงบนนั้นให้เหมือนกันกับของที่บ้านอานิด...มันจะช่วยผมให้กลับไปยังที่ๆผมมาได้ไหม...แต่แล้วผมก็ต้องหยุดความคิดเมื่อนึกไปถึงภาพครั้งก่อนที่ผมเห็นในความฝัน...มือใหญ่ที่สลักชื่อลงบนที่ทับกระดาษนั้นอย่างปราณีตบรรจง...ใครบางคนที่ตั้งใจสลักชื่อที่เหมือนกันกับชื่อของผมลงไป...


"ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวก็มีคนมาเขียนเอง"คำพูดที่ออกมาจากปากของผมทำเอาไอ้แชมป์หันมามอง

"มึงว่าไรนะ"ว่าพลางเขย่าแขนผมเบาๆ...ผมหันกลับไปมองมันเหมือนถูกใครดึงสติกลับมา

"ห๊ะ?"

"เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ"มันยังคำถามย้ำคำเดิม

"ว่าไรวะ กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย"ผมมองมันด้วยสีหน้าสงสัย...เมื่อกี้ผมพูดอะไรกับมันหรือเปล่านะ

"มึงพูด...อะไรคนเขียนๆ"

"กูเปล่า..."ผมไม่รู้ว่าคำพูดที่โพล่งออกมาเมื่อครู่มันมาจากไหน รู้แต่ว่าผมไม่ได้ตั้งใจพูดมันออกมาแน่ๆ

"มึงพูด..."มันยังคงเถียงต่อ

"เออช่างมัน...กลับไปนอนก่อน แล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอาไง"ผมตัดบท...ก่อนจะค่อยๆเดินไปเปิดประตูไม้บานเดิมออก...ด้านนอกเงียบสงัดเหมือนเคย...ผมค่อยๆย่องกลับไปทางเดิมอย่างเบาที่สุด...


...ในที่สุดผมก็กลับมาถึงเรือนบ่าวแบบครบ32และไม่โดนจับส่งตำรวจ...นับว่าบุญยังมี แต่ก็เกือบไปแล้วครับไอ้ธีร์...ถ้าโดนไอ้มิ่งจับได้ป่านนี้พวกผมคงไปลงเอยในห้องขังที่สถานีแล้วมั้ง

"ธีร์...กูอยากกลับบ้านว่ะ"ไอ้แชมป์ที่นอนอยู่ข้างๆพลิกตัวมากระซิบกับผมเสียงเบา...ตอนนี้บ่าวทั้งเรือนหลับหมดแล้ว...ผมหันไปมองหน้า เห็นแววตาเป็นกังวลของมันที่ปกติไม่ค่อยจะได้เห็น

"กูรู้...กูก็อยากกลับ"ถึงบ้านนั้นจะไม่ใช่บ้านของผม...แต่ผมก็ยังอยากกลับไป...ผมอยากกลับไปโลกของผม...โลกที่มีอานิด อาต้น มีไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อ...โลกที่มีแพม...ป่านนี้แพมคงหัวเสียไม่น้อยที่ผมหายไปเงียบๆเพราะปกติเราต้องคุยกันทุกวัน

"นอนเหอะมึง...คิดมากไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี"ผมตบบ่าคนข้างๆเป็นการปลอบใจ...ทั้งตัวมันและตัวผมเอง...

.................................

มาต่อแล้วนะเจ้าคะ  :hao5:
ตอนหน้าเป็นตอนของแชมป์...พลิกโผนิสนึงแต่เพื่ออรรถรสของเนื้อเรื่องนะเจ้าคะ  :call: :call:
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter V เมื่อแรกพบ UP 01/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 01-07-2014 21:51:38
กรี๊ดๆ คุณหลวงกับพ่อธีร์เค้ามีเคมีกันน้า ฮิฮิ แอบน่ารักนิดๆ พ่อแช่มของเราชมคุณหลวงแทนเพื่อนเหรอ555 รอดูเผื่อมีตอนทุกคนตะลึงที่พ่อธีร์พ่อแช่มอ่านออกเขียนได้ แต่แหม พ่อธีร์เรียนรัฐศาสตร์ เอาไว้ช่วยคุณหลวงทำงานเหรอจ๊ะพ่อ ฮุฮิ พึ่งรู้ว่าแชมป์นี่ตัวเล็ก ผิวขาวก็ธีร์นะเนี่ย นึกว่าตัวใหญ่กว่า เห็นคอยดูแลธีร์ตลอด

ขอบคุณนะคะที่มาต่อเร็วมาก ชอบๆๆ รออ่านต่ออยู่ค่า
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter V เมื่อแรกพบ UP 01/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 01-07-2014 22:22:47
พ่อธีร์ขิงอิชั่น  เอ้ย  ของพ่อแก้ว เราจะรักมั่นแด่เจ้า ก๊ากกกกกกก

รอตอนต่อไปเจ้าค่ะ  รักคนเขียน จิ้มคนเขียน

 :hao5: :hao5: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter V เมื่อแรกพบ UP 01/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 01-07-2014 23:37:22
แอบมาตอบเล็กน้อยทุกคำถาม 5555

คุณพี่แชมป์เค้าสูงน้อยกว่าพ่อธีร์แต่ล่ำกว่านะเจ้าคะ...จริงๆแล้วก็ไม่ได้สูงต่างกันมาก เดี๋ยวจะมีบอกในตอนต่อไปภาคของแชมป์ อิอิ
ส่วนคาแรคเตอร์ ปกติเวลาอยู่กับคนอื่นธีร์จะนิ่ง ไม่ค่อยเล่นมุขหรือกวนใคร แต่เวลาอยู่กับแชมป์ธีร์จะเป็นตัวของตัวเองมาก ก็เลยออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละค่า ;)

เอาไว้ติดตามตอนหน้าภาคของคุณพี่แชมป์นะเจ้าคะ จะได้เห็นมุมของแชมป์บ้าง ว่าถึงจะเตี้ยแต่พี่ก็แมนนะเอ้ออออ :hao6:
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter V เมื่อแรกพบ UP 01/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-07-2014 00:10:42
 o13



ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter V เมื่อแรกพบ UP 01/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 02-07-2014 00:49:33
นี่สินะพระเอก
ไอ้เราก็นึกว่าเป็นคนแรกซะอีก แล้วโต๊ะนี้คุณแก้วจะได้เป็นเจ้าของเหรอ
ทั้งสองคนถ้าได้กลับบ้านแล้วจะกลับไปที่เวลาไหนนะ
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter V เมื่อแรกพบ UP 01/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 02-07-2014 20:28:23
Chapter VI...แรกพบสบตา...(Champ's Vision)



...ผมชื่อแชมป์...หรืออ้ายแช่ม...อย่างที่คนที่นี่เขาเรียกกัน...ไม่รู้ทำไมแต่ผมเกลียดชื่อนี้เป็นบ้า...เพราะมันไม่ใช่ชื่อผม...ทำไมคนที่นี่เขาเรียกชื่อผมไม่ถูกกันวะ ป๊ากับม๊าก็ไม่ได้ตั้งชื่อให้มันเรียกยากเสียหน่อย...ผมเป็นลูกคนจีน ป๊ากับม๊ามีเชื้อจีนเกือบเต็มร้อย...หน้าผมมันก็เลยออกจีนจ๋า ผิวขาวจั๊วะ...ตาตี่...ส่วนความสูงก็ไม่มาก 174ตามมาตรฐานชายไทย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังชอบบ่นกับไอ้ธีร์บ่อยๆเพราะมันเสือกสูงกว่า...ส่วนเรื่องหน้าตาผมมั่นใจว่ากินขาดครับ หึหึ...ไอ้ธีร์มันก็มีเชื้อจีนเหมือนกัน เพราะปู่มันเป็นคนจีน แต่ย่าเป็นคนไทยแท้ๆ...หน้าตามันเลยไม่ได้บอกสัญชาติชัดเจนเหมือนผม...นอกจากจะได้ผิวขาวๆของปู่มันมา มันยังได้ความคมแบบไทยจากย่ากับแม่มาบ้าง...มันเคยบอกว่าย่ามันเป็นลูกสาวท่านทูต ผมเคยเจอท่านสองสามครั้งก่อนที่ท่านจะเสีย...ท่านงามตามแบบหญิงไทยสมัยโบราณ แถมมารยาทยังงามขัดกับไอ้คุณหลานของท่านเสียเหลือเกิน...ผมกับมันสนิทกันมาตั้งแต่เด็กเพราะบ้านอยู่ใกล้กันแล้วยังเรียนที่เดียวกันตั้งแต่ป.1...ตอนเด็กๆผมชอบไปเล่นบ้านมัน เพราะพ่อกับแม่มันก็รักผมเหมือนลูกเหมือนหลาน...ไปทีก็มีขนมมาเลี้ยงจนผมกินเสียอิ่มแปล้ กลับบ้านมาโดนป๊ากับม๊าดุตลอดเพราะไม่ยอมกินข้าว...ก็กับข้าวบ้านไอ้ธีร์อร่อยจะตายเพราะแม่ครัวมันสืบทอดตำรามาจากในวังเชียว...


ตอนที่พ่อกับแม่มันเสียก็ได้ผมนี่แหละที่คอยอยู่เป็นเพื่อน...ผมสงสารมันในตอนนั้น เพิ่งอายุ14แต่ต้องเสียทั้งพ่อและแม่ในคราวเดียว ถึงอานิดอยากรับดูแลแต่มันก็ไม่ยอม เอาแต่ดื้อแพ่งจนถึงขั้นหนีออกจากบ้าน...ตอนนั้นผมไม่เป็นอันเรียนต้องออกไปช่วยอานิดตามหามันจนเจอ...แล้วก็เป็นผมอีกนั่นแหละที่ช่วยเกลี้ยกล่อมจนมันยอมย้ายไปอยู่บ้านอานิด โดยที่ผมสัญญากับมันไว้ว่าจะไปหามันทุกครั้งที่มีโอกาส...แล้วผมก็รักษาสัญญาทุกครั้ง...ธีร์ไม่ใช่ผู้ชายอ่อนแอ...ตรงกันข้าม มันกลับเข้มแข็งเกินไปจนคิดว่าอยู่ตัวคนเดียวได้...ตอนเรียนม.ปลายมันเคยมีเรื่องกับรุ่นพี่ร่วมโรงเรียน โดนเขารุมเสียน่วมแต่ไม่ปริปากขอความช่วยเหลือจากใครสักคน...ผมไปเจอมันนั่งหมดสภาพอยู่ข้างห้องปกครองหลังจากโดนอาจารย์ฝ่ายปกครองเทศน์ยาวเป็นชั่วโมง...โดนเขาต่อยจนปากแตกแถมเสื้อผ้ายังมอมแมม แต่มันแค่หันมายิ้มบางๆกับผมแล้วบอกว่ามันยังไม่ตาย...เออกูรู้ครับว่ามึงเก่ง...แต่ช่วยสงสารคนรอบตัวมึงบ้างเถอะ...
วันนั้นที่มันบอกผมเรื่องฝันประหลาด...ผมไม่ลังเลเลยที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย เพราะคนอย่างไอ้ธีร์ ถ้าไม่มีปัญหาจริงๆมันคงไม่ยอมเล่าอะไรให้ใครฟัง และผมก็ดีใจที่มันเลือกเล่าให้ผมฟัง...วันที่ผมไปบ้านอานิดและได้เห็นโต๊ะผีสิงตัวนั้น...ผมเรียกอย่างนั้นล่ะ ถึงเจ้าตัวมันจะไม่ชอบเอาเสียเลยก็ตาม หึหึ...ใจหนึ่งผมรู้สึกคุ้นตากับโต๊ะตัวนี้อย่างประหลาด แต่เพราะไม่อยากให้ไอ้ธีร์ไม่สบายใจ ผมเลยแก้เก้อไปด้วยการบอกว่ามันเหมือนกับโต๊ะที่อาจารย์ให้พวกผมสเก็ตในคาบศิลปะ...
ตอนที่ผมหยิบที่ทับกระดาษที่มีชื่อของมันสลักไว้ด้านหลังขึ้นมาดู...ใจหนึ่งผมก็ประหลาดใจกับความบังเอิญที่ได้เห็น แต่อีกใจผมกลับรู้สึกคุ้นเคย...ผมจับมันโยนเล่นไปมาอย่างสนุกมือ...แล้วก็อย่างที่ทุกคนทราบ...ผมกับมันมาโผล่อยู่ที่นี่...รัชสมัยของพระพุทธเจ้าหลวง หรือรัชกาลที่5ที่เรารู้จักกันดี...


อย่าถามว่าผมมาได้อย่างไร...ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าจะกลับไปได้อย่างไรมากกว่า...


"วันนี้เอ็งไปช่วยอ้ายสนมันผ่าฟืน...หน่วยก้านเอ็งดูใช้ได้ถึงจักไม่สูงมากนักก็เถอะ"เสียงไอ้มิ่งครับ...ผมอยากจะกระโดดถีบขาคู่ใส่มันจริงๆมาว่าผมเตี้ยเสียได้...ติดที่ว่าตัวมันสูงใหญ่ แถมร่างกายกำยำคงเพราะทำงานหนัก...ผมมาอยู่ที่นี่ได้เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่ยังหาทางกลับบ้านไม่ถูก ก็ต้องเลยตามเลย อยู่บ้านเขา เขาจะให้ทำอะไรก็ต้องทำ

"ส่วนเอ็งไปรดน้ำต้นไม้หน้าเรือนโน่น"มันหันไปสั่งไอ้ธีร์ที่ยืนอยู่ข้างๆผม...ผมเห็นไอ้ธีร์หันมาหัวเราะเยาะให้ เพราะวันก่อนมันโดนทั้งแบกฟืนทั้งขนน้ำ แต่วันนี้ได้งานสบายหน่อย ส่วนความซวยก็ตกอยู่ที่ผมนี่ล่ะ

"เอนจอยผ่าฟืนนะมึงงงง หึหึ"ยังไม่ทันขาดคำ มันเดินสะบัดตูดไปหน้าเรือนเรียบร้อย...วันนี้ทีมึง กูฝากไว้ก่อนนะครับ


ผมเดินเลยโรงครัวไปทางด้านหลัง...เห็นผู้ชายร่างกำยำไม่แพ้กับไอ้มิ่ง ในมือถือขวานอันใหญ่กำลังตั้งหน้าตั้งตาผ่าฟืนที่กองเรียงรายอยู่ข้างตอไม้

"พี่ๆ เค้าให้ผมมาช่วยผ่าฟืนอ่ะ"ผมร้องเรียกคนตัวใหญ่ที่ละมือจากกองไม้ตรงหน้า

"ดีเทียว ข้าจักได้พักเสียบ้าง หน่วยก้านเอ็งดี ไม่เหมือนอ้ายคนวันก่อน ตัวสูงเสียเปล่าแต่เรี่ยวแรงไม่มี"ผมรู้ว่าเขาหมายถึงไอ้ธีร์...ถึงมันจะสูงกว่าผมอยู่บ้างแต่เรื่องความหนาผมกินขาดเพราะไปฟิตเนสบ่อย...ไม่เหมือนมันที่วันๆเอาแต่อยู่กับแฟน...แต่จะไปว่ามันก็ไม่ได้ครับ ก็แพมเล่นติดมันแจจนมันไม่มีเวลากระดิกตัวไปทำอะไร

"แล้วผ่ายังไงอ่ะพี่"ถึงหน่วยก้านจะดี แต่ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยผ่าฟืนนะครับคุณผู้อ่าน อย่าลืมว่าตั้งแต่ผมลืมตามาดูโลก โลกของผมมันก็มีไฟฟ้าใช้แล้ว...ผมโตมาด้วยเทคโนโลยีล้วนๆ ไอ้เรื่องผ่าไม้ผ่าฟืนนี่ไม่ต้องพูดถึง...ไม่เคยครับ...เคยแต่ผ่าฟัน...เอ้า มันไม่เกี่ยวกันเหรอ?

"วะ! เพิ่งชมไปมิขาดคำ...เอาไม้นี่มาตั้งแล้วเอ็งก็ฟันฉับลงไป...ลงแรงหนักๆล่ะ มันจะได้ขาด"คนชื่อสนอธิบายยาวเหยียด พลางทำให้ผมดูเป็นตัวอย่าง...เอาวะ ไม่น่ายาก...ว่าแล้วผมก็รับขวานจากมืออีกฝ่าย หยิบท่อนฟืนอันใหญ่มาวางตั้งบนตอไม้...เงื้อขวานขึ้นเหนือหัวและฟาดฉับลงสุดแรง...และ...


...แม่งพลาด...ท่อนฟืนยังตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม ส่วนขวานผมลงไปปักกับตอไม้ที่ห่างไปเป็นวา...

"เอ็งนี่...ไม่ได้ความ...ลองใหม่อีกทีซิ"คนชื่อสนส่ายหน้าอย่างระอา...เพิ่งรู้ว่าผ่าฟืนมันยากขนาดนี้...เอ้า...ลองอีกทีก็ได้วะ...


-ปึก-...แล้วขวานของผมมันก็ลงไปเจาะอยู่ที่เดิม...ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆที่แทบจะกุมขมับ...หรือผมควรจะเลื่อนไอ้ท่อนฟืนนี่มาไว้ตรงที่ขวานผมชอบจามลงไปดีวะ

"พอๆ ให้เอ็งทำวันนี้ก็คงมิเสร็จ...ไปช่วยป้าน้อยในโรงครัวโน่น เผื่อแกจักมีงานใดให้ทำ"ผมยื่นขวานอันเดิมคืนให้เจ้าของพลางหัวเราะแหะๆ...งานใช้แรงงานผมพอทำได้ แต่เรื่องกะความแม่นยำในการลงขวานนี่ผมยอมแพ้...ก็ผมเรียนศิลปกรรมไม่ใช่วิทยาศาสตร์การผ่านฟืนนี่ครับ


ผมเดินกลับมาทางโรงครัว...ตอนนี้สายมากแล้ว พวกบ่าวในครัวคงกำลังเตรียมมื้อกลางวัน...ผมเห็นบ่าวผู้หญิงนับสิบคนสาละวนกันอยู่ในโรงครัว...บ้างก็ตำเครื่องแกงอยู่บนแคร่...บ้างก็วุ่นวายอยู่หน้าเตาขนาดใหญ่ที่มีทั้งหม้อ ไห กระทะ...กลิ่นหอมของเครื่องแกงคละคลุ้งไปหมดจนท้องผมเริ่มร้อง...แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้...บนเรือนก็เห็นมีแต่เจ้าคุณกับคุณหญิงสร้อย แต่เวลาทำกับข้าวทีอย่างกับจะไปเลี้ยงพระทั้งวัด

"ป้าๆ มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย"ผมหันไปถามบ่าวผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งแกะเม็ดละมุดพลางสลักให้เป็นรูปทรงสวยงาม

"ตอนนี้ยังไม่มี...เอ็งมีกระไรก็ไปทำก่อน เดี๋ยวข้าอยากได้ลูกมือแล้วจักเรียก"ป้าแกว่าแต่ยังไม่ละสายตาจากละมุดในมือ...ผมเลยเดินวนไปเวียนมาอยู่แถวนั้นเผื่อมีใครจะเรียกไปทำอะไรบ้าง...อยู่เฉยๆมันก็น่าเบื่อ...แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นมีใครสนใจผมสักคน...

...วูบหนึ่งผมเหมือนคิดอะไรออกเมื่อเหลือบไปเห็นเศษกระดาษที่หล่นอยู่บนพื้นหน้าโรงครัว...ผมหยิบมันขึ้นมาก่อนจะหันซ้ายหันขวา...ไปเจอถ่านไม้ที่ถูกเผาเสียจนไหม้เหลือเป็นเศษเล็กเศษน้อยอยู่ตรงหน้าเตา เลยเดินไปเก็บมาสองสามแท่ง...ผมเดินเลี่ยงมานั่งอยู่หน้าเรือนนอน...หยิบกระดาษกับเศษถ่านที่เก็บมาก่อนจะจรดมันลงบนเศษกระดาษยับยู่ยี่นั้น...ขีดๆเขียนๆตามประสาเด็กศิลปกรรมที่เรียนมา...ผมมองภาพโรงครัวที่วุ่นวายจอแจ บ่าวไพร่แต่ละคนมัวแต่สาละวนอยู่กับงานของตัวเอง...ก่อนจะบันทึกภาพนั้นลงบนกระดาษในมือ...ผมอยากวาดมันเก็บเอาไว้ เพราะสมัยนี้จะหาดูอะไรแบบนี้คงไม่มีแล้ว...

...ผมนั่งมองภาพตรงหน้า...ในขณะที่มือก็ยังขีดเขียนไปตามสิ่งที่เห็น...ถึงโรงครัวจะดูวุ่นวาย แต่ละคนดูยุ่งกับหน้าที่ของตัวเอง แต่ก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็นเสมอ...นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกกัน 'สยามเมืองยิ้ม' พลางนึกไปถึงสมัยที่ผมจากมา...แค่ขับรถปาดหน้ากันก็ชักปืนมายิงกันตายเสียแล้ว ไม่เหลือเค้าประเทศสยามเหมือนอย่างตอนนี้เลย...

...ผมนั่งขีดเขียนจนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง...ภาพโรงครัวกับบ่าวไพร่นับสิบคนที่กำลังสาละวนกับงานของตัวเอง...ยังไม่ทันจะเสร็จดี...ไอ้ลมบ้าที่ไหนมันดันพัดวูบจนกระดาษปลิวหลุดมือไปเสียฉิบ...ผมวิ่งตามเศษกระดาษที่ปลิวล่องไปตามลมก่อนจะหล่นร่วงลงบนสนามหญ้าหน้าเรือน...เห็นไอ้ธีร์ที่ทำลังรดน้ำต้นไม้อยู่แถวนั้นหันมามองท่าทางประหลาดของผม...แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปหยิบผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซที่เพิ่งปลิวไปต่อหน้า กลับมีมือหนึ่งหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาเสียก่อน...

...ผมมองตามเจ้าของมือที่ถือกระดาษผลงานของผม...ผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวยโผล่พ้นแขนเสื้อทรงกระบอกสีขาว ห่มทับด้วยสไบสีชมพูอ่อน...นุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้มกับถุงน่องยาวสีขาวทึบ...ดวงตากลมโตหวานฉ่ำแต่คมเข้มตามแบบฉบับไทยแท้...ผมยาวประบ่า...ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองภาพในมือ

"งามแท้ ฝีมือเอ็งรึ"เสียงหวานเอ่ยถามผมที่เพิ่งวิ่งตามไปถึง...ผมได้แต่ยืนนิ่งมองคนตรงหน้า...เธอไม่ได้ผอมแห้งเหมือนสาวๆสมัยผม แต่ดูมีน้ำมีนวล...โครงหน้าหวานฉ่ำเนียนใสโดยธรรมชาติไม่ต้องแต่งแต้มเครื่องสำอางค์ใดๆ...

"แม่พิกุล!"อีกเสียงดังขัดขึ้นจนผมหลุดจากภวังค์...เจ้าของเสียงคือคุณหญิงสร้อยที่กำลังเดินลงมาจากเรือน สีหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความดีใจ

"คุณแม่"เจ้าของชื่อหันไปยิ้มหวานให้ผู้เป็นแม่ก่อนจะหันมายื่นแผ่นกระดาษแผ่นเดิมให้ผม...ผมรับมันมาถือไว้ในมือแต่ยังมองคนตรงหน้าไม่วางตา

"ไม่เจอเสียนาน คุณแม่สบายดีนะเจ้าคะ"รอยยิ้มหวานพร้อมมือที่ยกไหว้ผู้เป็นแม่อย่างอ่อนช้อย

"แม่สบายดี...มาคราวนี้จักอยู่นานเท่าใดรึ"คุณหญิงสร้อยตอบรับพลางยกมือลูบตัวลูบผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

"คงนานทีเดียวเจ้าค่ะ หม่อมท่านตามเสด็จไปต่างเมือง กว่าจักกลับก็อีกหลายอาทิตย์"

"มาถึงเหนื่อยๆ ขึ้นไปกินน้ำกินท่าเสียก่อน...อ้ายแช่ม ไปบอกนังน้อยให้เตรียมน้ำเตรียมท่าให้คุณพิกุลเสีย"ประโยคหลังหันมาสั่งผมที่ดันยืนอยู่ตรงนั้นพอดี...ผมพยักหน้ารับแต่ยังมองตามคนตัวเล็กจนเดินขึ้นเรือนไป



"พี่แชมป์ครับ..."เสียงไอ้ธีร์ที่มายืนแอบอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ดังขัดขึ้น

"ไรของมึง!"ผมสะดุ้งโหยงพลางหันกลับไปด่า เห็นมันยืนยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี

"เคลิ้มเชียวนะมึง เห็นสาวเป็นไม่ได้...นี่ขนาดสาวสมัยนี้ก็ยังจะเอา"ไม่พูดเปล่าเอาศอกมาถองผมอีกต่างหาก

"เอาเชี่ยไร...กูยังไม่ได้ทำไรเลย"รีบตอบแก้เก้อ...ถ้าผมรู้ใจไอ้ธีร์ดี ก็ไม่แปลกที่มันจะรู้ใจผมดีเช่นกัน

"เออให้มันแน่! นั่นน่ะ ลูกสาวคุณหญิงเชียวนะเว้ย"

"มึงรู้ได้ไง?"

"ควาย เค้าก็เรียกแม่อยู่...จะให้เป็นหลานมั้ย"มันพูดพลางโบกหัวผมสักที...ไอ้นี่ หัวกูไม่ใช่ลูกปิงปองนะครับ เอะอะตบๆ

"เพ้อเจ้อละมึงอ่ะ กูไปบอกป้าน้อยเอาน้ำให้แกก่อน เดี๋ยวโดนด่าอีก"รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเดินหนีมันไปทางโรงครัว...แต่ภาพเมื่อครู่ยังติดตาไม่หาย...สวยจริงๆ
.

.

.

.

.

บ่ายคล้อย...ผมที่เพิ่งช่วยงานในครัวเสร็จปลีกตัวมานั่งเล่นที่ท่าน้ำ...ไอ้ธีร์มันขอตัวไปอาบน้ำที่ท่าน้ำหลังเรือนเพราะถึงวันนี้มันจะได้ทำงานสบายๆแค่รดน้ำต้นไม้แต่มันก็ต้องเดินไปแบกน้ำจากท่าน้ำมารดอยู่ดี...กว่าจะเสร็จผมเห็นมันหน้าแดงเหงื่อซ่ก...กูบอกแล้วให้ไปฟิตเนสบ่อยๆไม่เชื่อ หึหึ

ผมหยิบกระดาษแผ่นเดิมขึ้นมาดู...ภาพโรงครัวที่วาดเอาไว้เสร็จแล้ว แต่ยังมีอีกภาพที่อยากจะวาดเสียเหลือเกิน...ผมพลิกกระดาษอีกด้านที่ยังว่างอยู่ ก่อนจะเริ่มขีดเขียนด้วยแท่งถ่านอันเดิม...ร่างเค้าโครงเป็นรูปหน้า...ดวงตาคมหวานฉ่ำ...ริมฝีปากบางได้รูป...ทั้งหมดเป็นแค่ภาพในจินตนาการจากการพบกันเพียงชั่วครู่เท่านั้น

"ฝีมือเอ็งดีนัก...นั่นเรารึ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งเฮือก หันกลับไปมองเห็นคนตัวเล็กคนเดิมยืนอมยิ้มอยู่ไม่ห่างนัก...โอ๊ยไอ้แชมป์...ถ้ากรี๊ดได้กูกรี๊ดไปแล้วครับ

"ขอดูหน่อยได้หรือไม่"ไม่พูดเปล่ายื่นมือเรียวมาตรงหน้าอีก...ผมมองตามก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษยับยู่ยี่ในมือให้อย่างเสียไม่ได้...คนตัวเล็กมองภาพตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย

"ตาเราโตขนาดนี้เชียวรึ"

"เอ้อ ผมแค่...นึกๆแล้วก็วาดออกมาน่ะครับ...จริงๆแล้วคุณ...."เจ้าของแบบในภาพมองหน้าผมเป็นเชิงถาม...ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวเมื่อถูกดวงตาคมนั่นจ้องเขม็ง...เธอมีแววตาคมเหมือนเจ้าคุณผู้เป็นพ่อ หากแต่หวานฉ่ำเหมือนคุณหญิงสร้อย

"คุณ...สวยกว่าในรูปอีก"ผมว่าพลางยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแก้เก้อ...โธ่เอ๋ยไอ้แชมป์...เจอสาวสวยมาไม่รู้กี่คน ทำไมกับคนนี้ไปไม่เป็นเสียเลยวะ

"นอกจากฝีมือดีแล้ว ปากยังหวานเสียด้วย"คนตัวเล็กหัวเราะเบาๆ แต่ผมแอบเห็นพวงแก้มของเธอเริ่มมีสีชมพูระเรื่อ

"เมื่อครู่คุณแม่เรียกเอ็งว่าอ้ายแช่ม...ชื่อเอ็งรึ"ผมพยักหน้ารับ...อยากจะบอกว่าชื่อ'แชมป์'ครับ แต่คงยากเกินไปสำหรับคุณเธอ

"เห็นคุณแม่ว่าเพิ่งมาใหม่...มาจากที่ใดเล่า"

"แถวนี้แหละครับ...เอ้อ คุณไม่ได้อยู่บ้านนี้เหรอครับ ผมเพิ่งเคยเจอ"ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะการอธิบายที่มาที่ไปของผมคงยากจะเข้าใจยิ่งกว่า

"เราเป็นข้าหลวงเรือนในของหม่อมท่าน...ปกติจักถวายงานอยู่ในวัง แต่ตอนนี้หม่อมท่านตามเสด็จ อีกหลายอาทิตย์กว่าจักกลับ"ผมไม่ค่อยเข้าใจที่อีกฝ่ายอธิบายนัก เพราะเด็กศิลปกรรมไม่ถูกกับประวัติศาสตร์ครับ จะให้มานั่งลำดับญาติ ลำดับยศ ผมทำไม่เป็นหรอก...อย่างหม่อมที่คุณเธอพูดถึงผมก็ไม่รู้จัก...เอาเป็นตามความเข้าใจของผมคือตอนนี้เจ้านายไม่อยู่ เธอเลยกลับมาอยู่บ้านนั่นแหละ

"แล้วจะอยู่นานมั้ยครับ"ปากโพล่งออกไปไวกว่าความคิด ทำเอาคนถูกถามชะงักเล็กน้อย

"ก็จนกว่าหม่อมท่านจักกลับวัง...ทำไมรึ"เสียงหวานเอ่ยถามต่อ

"เปล่าครับ...แค่คิดว่า...คุณอยู่นานๆก็คงดี"ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน แต่แอบเห็นอีกฝ่ายยิ้มหวานบางๆ...หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วครับไอ้แชมป์

"เราก็อยากอยู่ให้นาน...กลัวคุณแม่ท่านเหงา"เอาเถอะครับ ถึงจะไม่ได้อยากอยู่เพราะผม แต่อยู่นานๆหน่อยก็ดี...ว่าแต่ผมกำลังคิดอะไรครับเนี่ย...นี่ลูกคุณหญิงกับท่านเจ้าคุณเชียวนะ

"เห็นทีต้องขึ้นเรือนล่ะ คุณแม่ให้คนมาตามโน่นแล้ว"เสียงหวานเอ่ยขึ้นพลางหันไปมองบ่าวผู้หญิงที่เพิ่งเดินลงมาจากเรือน หันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

"เราขอรูปนี้ได้ไหม เราชอบ"พูดพลางชูกระดาษในมือให้ผมดูพร้อมรอยยิ้มหวานอีกแล้ว...แล้วผมจะไปกล้าปฏิเสธได้อย่างไรเล่า

ผมมองตามคนตัวเล็กที่เดินขึ้นเรือนไปกับบ่าวอีกคน...ในมือถือกระดาษที่มีรูปวาดของผมติดไปด้วย...ถึงจะเสียดายแต่ผมก็ยังยิ้มออกมาได้...อย่างน้อยเจ้าตัวก็ชอบมัน...




"พี่แชมป์ครับ..."ไอ้นี่...จะให้กูอยู่ในภวังค์นานอีกสักหน่อยไม่ได้เลยใช่ไหม

"ครับพี่ธีร์..."ผมหันไปมองหน้ามันที่กวนพิลึก...แล้วนั่น มึงกล้าถอดเสื้อเดินโทงๆในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

"สติครับสติ...ลอยตามขึ้นเรือนไปโน่นแล้วครับ"มันว่าพลางพยักเพยิดไปทางหน้าเรือน

"เชี่ยไรของมึงครับ! แล้วนี่มาท๊อปเลสเดินโทงๆไม่อายคนอื่นเค้ารึไง"รีบเปลี่ยนประเด็นแก้เก้อ...เจ้าตัวมันเลยก้มมองสารรูปตัวเองที่ตอนนี้มีเพียงกางเกงขาสามส่วนยี่ห้อดังที่ใส่มาตั้งแต่วันแรก ส่วนเสื้อยืดตัวโปรดมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

"อายทำไม เค้าท๊อปเลสกันทั้งบ้าน มึงอ่ะ หัดทำตัวกลมกลืนได้แล้ว"จะว่าไปพวกบ่าวผู้ชายที่นี่ก็ไม่มีใครใส่เสื้อทำงานสักคน...มันก็คงสบายกว่าถ้าจะต้องใส่เสื้อทำงานกลางแดดจัดแบบนี้ทุกวัน

"กูล้อเล่น...สยิวจะตายห่า แต่เสื้อมันโสโครกแล้ว ใส่แม่งทุกวันเลยเอาไปซัก"ผมก็ว่า...คนอย่างคุณชายธีร์น่ะเหรอจะกล้าถอดเสื้อเดินโทงๆในบ้าน ถ้าเป็นผมก็ว่าไปอย่าง หึหึ

"ซักแต่เสื้อ ข้างล่างมึงเน่าหมดแล้วมั้งป่านนี้"ผมหันไปเหล่ท่อนล่างมันบ้าง...แค่แซวเล่นครับ อย่าหาว่าผมคิดอกุศลเชียว

"กูซักทุกวันเว้ย...ดีกว่ากางเกงยีนส์มึงอ่ะ เน่ากว่าของกูอีก"ไม่พูดเปล่าแถมเอามือบังส่วนสำคัญอีก...ทำอย่างกับกูไม่เคยเห็นนะ อาบน้ำด้วยกันมาตั้งแต่ป.1

"ว่าแต่มึงเห๊อะ เล่นของสูงนะครับพี่แชมป์"ผมหันไปมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมัน

"สูงเชี่ยไร ตัวเท่าไหล่กู...โอ๊ยยยย!"นั่นไง ไปกวนมัน โดนโบกเข้าให้...ไอ้ธีร์มันประเภทปากว่ามือถึงครับ หรือบางทีปากยังไม่ทันว่าแต่มือถึงก่อนแล้วอย่างคราวนี้เป็นต้น

"อย่ามาแถ...ดีๆนะมึง จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่รู้"ผมเข้าใจความหมายของธีร์ดี...ใช่ ผมจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...วันนึงเรื่องทั้งหมดที่นี่มันก็คงเป็นเหมือนแค่ความฝันของผมกับมัน...แต่อย่างน้อยผมก็ยังได้ฝันดีอยู่บ้างล่ะนะ

"พูดไรเพ้อเจ้อว่ะ หิวแล้ว ไปหาไรกินกัน"ว่าพลางกอดคอมันแล้วกึ่งดึงกึ่งลากเดินไปทางโรงครัว...ขี้เกียจจะเถียงเพราะเรื่องนี้ผมรู้ว่าถึงเถียงไปก็ไม่ชนะ





"ป้าน้อย...คุณหญิงท่านมีลูกสาวคนเดียวเหรอครับ"แล้วก็เป็นไอ้คนข้างๆที่เปิดประเด็นกลางวงกับข้าวที่ตอนนี้มีผม มัน ป้าน้อย ไอ้มิ่ง ไอ้พี่สน และบ่าวผู้หญิงอีกสองสามคนที่ผมยังไม่รู้จักชื่อ

"ท่านมีสองคน...คุณพิกุลแกเป็นคนเล็ก...คนโตชื่อคุณดาวเรือง เพิ่งออกเรือนไปกับพระยาโสภณเมื่อต้นปี"ผมนั่งฟังป้าน้อยเล่าถึงลูกสาวทั้งสองของคุณหญิง ส่วนพระยาอะไรนั่นผมไม่รู้จักหรอกครับ ได้แต่เออออไปตามแกว่า

"แล้วคุณพิกุลแกยังไม่ได้แต่งงาน เอ๊ย! ออกเรือนเหรอป้า"ไอ้ธีร์ครับ มันยังกวนผมไม่เลิก ถามป้าน้อยแต่เหล่มามองผมสีหน้ากวนพิลึก

"ยังหรอก...แกเป็นข้าหลวงเรือนในรับใช้หม่อมท่านในวัง ครานี้ไปก็เกือบครบปีกว่าจักได้กลับมาอยู่เรือน"ป้าน้อยเล่าต่อ

"แต่ฉันได้ยินมาว่าเจ้าคุณกับคุณหญิงท่านหมายจะให้คุณพิกุลออกเรือนกับหลวงพิสิษฐนี่ป้า"เป็นไอ้มิ่งที่เสริมขึ้นมาจนผมแทบสำลักข้าว ลำบากไอ้ธีร์ต้องรีบส่งขันน้ำมาให้

"ข้าก็ได้ยินมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นจักได้ตบได้แต่งเสียที คุณหญิงท่านก็เอ็นดูหลวงพิสิษฐเหมือนลูกเหมือนหลาน แล้วยังเจ้าคุณกับพระยาไพศาลเองก็เป็นสหายกันมาแต่ไหนแต่ไร"ป้าน้อยขยายความต่อ

"แต่คุณพิกุลแกก็เพิ่งย่าง18ปี ถึงไม่แต่งเสียตอนนี้ก็ยังมีเวลานี่ป้า...ไม่เหมือนอ้ายพวกแถวนี้ แก่ทึนทึกแล้วก็ยังมิมีใครเอาทำเมีย ฮ่าๆ"ไอ้พี่สนได้ทีหันไปแขวะพวกบ่าวผู้หญิงที่นั่งร่วมวงอยู่ เลยโดนแจกค้อนเข้าให้

"พวกเอ็งนี่ก็จริงเชียว ชวนข้านินทานาย เดี๋ยวเถอะเหาจักกินกบาลเอา"ป้าน้อยรีบปราม ก่อนจะหันมาสนใจกับข้าวในวงต่อ...ผมเห็นไอ้ธีร์แอบมองผมเงียบๆโดยไม่พูดอะไร
.

.

.

.

ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำพอดีกับที่พวกผมกินข้าวกันเสร็จ...ผมชวนไอ้ธีร์ไปอาบน้ำที่ท่าน้ำหลังเรือนเหมือนเคย แต่คราวนี้มันแค่ไปนั่งเป็นเพื่อนเพราะมันอาบไปแล้วตั้งแต่ตอนทำงานเสร็จ

"ทำหน้าเป็นหมาหงอยเลยนะมึง"มันนั่งห้อยขาแช่น้ำในคลองพลางหันมาแซวผม

"หงอยไรของมึง กูไม่ได้เป็นไรซะหน่อย"

"ปากดี...กูเห็นหน้ามึงสลดตั้งแต่ตอนกินข้าวละ อย่านึกว่ากูไม่รู้"มันยังว่าต่อ

"โถพ่อแช่ม มีรักแรกพบแต่เสือกแห้วแดกตั้งแต่ยังมิได้เริ่ม"แล้วไอ้เสียงล้อเลียนแบบนี้มึงไปจำมาจากไหนวะครับ

"โอ๊ยเชี่ยยย สาดมาได้ กูมานั่งเป็นเพื่อนไม่ได้จะมาอาบด้วยนะเว้ย"ไอ้คนปากดีกระโดดโหยงขึ้นไปริมท่าน้ำทันทีที่ผมสาดน้ำใส่เข้าให้ ดันมากวนไม่รู้จักเวล่ำเวลา

"ดีแล้วแหละมึง อย่างที่มึงว่า เราก็คงอยู่นี่กันไม่นาน เดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว"ผมหันไปตอบมันเสียงเรียบ...รู้สึกถึงฝ่ามือที่กดลงบนไหล่

"พูดแล้วก็ทำให้ได้ กูยังไม่อยากโดนเพื่อนทิ้งแล้วปล่อยกูกลับบ้านคนเดียวนะเว้ย หึหึ"ไอ้นี่เหมือนจะปลอบ แต่น้ำเสียงกวนพิลึก

"กูว่ามึงยังอาบน้ำไม่เกลี้ยงว่ะ ลงมาอาบกับกูอีกรอบละกัน"ไม่พูดเปล่าผมจัดการลากไอ้คนกวนประสาทลงมาอาบน้ำเป็นเพื่อนจนได้...จะสู้แรงพี่แชมป์รอไปอีกสิบปีนะครับน้องธีร์...มันหันมาด่าผมเสียงดังที่ผมทำมันเปียกอีกรอบ...แต่สุดท้ายเราก็ลงเอยกันที่สาดน้ำใส่กันไปมาเหมือนเล่นน้ำสงกรานต์ไม่มีผิด...



ผมไล่ไอ้ธีร์เดินกลับไปที่เรือนก่อน เพราะมันบ่นว่าหนาว ส่วนผมยังแช่น้ำต่ออีกสักพักถึงค่อยขึ้น...พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ตอนนี้เลยต้องอาศัยแสงไฟจากตะเกียงที่ถือติดมือมาด้วย...ผมกำลังเดินกลับไปที่เรือนบ่าว แต่สมองที่สั่งการอีกอย่างทำให้ผมเลือกเดินไปอีกทาง...ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เรือนใหญ่...

"กูจะมาทำไมวะ"บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางมองไปที่หน้าต่างบนเรือนที่เปิดอยู่ เห็นคุณหญิงสร้อยเดินมาผูกผ้าม่านตรงหน้าต่างก่อนจะหันไปหาลูกสาวคนเล็กที่อยู่ในห้องเดียวกัน

...ผมมองเจ้าของแบบในรูปภาพของผมอย่างไม่วางตา...ใบหน้าคมสวย รอยยิ้มหวานชวนให้นึกถึงเสียงหวานๆที่คุยกับผมเมื่อกลางวัน...ผมยืนมองอยู่ที่เดิมจนไฟในห้องถูกดับลง...ได้แต่ถอนหายใจยาว ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนี้คืออะไร...

"แค่มองคงไม่ผิดหรอกนะไอ้แชมป์"เสียงบ่นกับตัวเองก่อนจะเดินมุ่งหน้ากลับเรือนบ่าวตามปกติ...ต่อให้ในโลกปัจจุบันผมจะเป็นลูกอาเสี่ยมีเงินมาจากไหน...แต่อยู่ที่นี่ผมมันก็แค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งเท่านั้นล่ะ
ไอ้ธีร์หลับไปแล้วตอนที่ผมกลับมาถึง...ผมทรุดตัวลงนอนข้างมันเหมือนเคย...มองแผ่นหลังของมันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาว...



...'มึงโชคดีชะมัดที่ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเหมือนกูตอนนี้'...

......................................................................

เอาพ่อแช่มมาส่งก่อนนะเจ้าคะ...กลัวไม่มีบท :hao7:
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ (กราบงามๆแทบตัก) :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter VI...แรกพบสบตา(Champ's Vision) UP 02/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 02-07-2014 20:56:19
แหม ทั้งสอง แลดูลั้นลา หาทางกลับบ้านไม่ได้ ก็อยู่มันซะเลยยยยยยยยยยยยยยย อิอิ

 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter VI...แรกพบสบตา(Champ's Vision) UP 02/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 03-07-2014 01:52:06
ดูท่าจะอีรุงตุงนังกันน่าดูเลยนะเนี่ย
ตอนแรกนึกว่าธีร์จะหลุดมาเผชิญโลกกว้างคนเดียวซะอีก แต่พ่วงคุณเพื่อนมาด้วย
ในยุคนั้นคงมีอะไรให้ธีร์ได้แสดงความสามารถอีกเยอะ (?)

นั่งรอตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้คนเขียนฮับ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter VI...แรกพบสบตา(Champ's Vision) UP 02/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 03-07-2014 02:47:56
พ่อแช่มกำลังมีความรัก วิ้ววว สงสัยคุณพิกุลจะได้ออกเรือนกับอ้ายแช่มผู้ปากหวาน แถมด้วยฝีมือดี เก่งเกินบ่าวไพร่ทั่วไป (อย่าคิดลึก ก็พี่แชมป์เราเรียนมาสูงนะเอ้อ) ไอ้ที่ว่าคุ้นๆ ก็เพราะว่ามาอยู่จนคุ้นน่ะสิ เพียงแต่ว่า โต๊ะกับที่ทับกระดาษเป็นของท่านเจ้าคุณ สงสัยดราม่ามาเต็ม พ่อแก้วอาจแต่งงานกับคุณพิกุล แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ(คุณดาวเรืองออกเรือนไปอยู่กับสามี เหลือคุณพิกุลคนเดียว บ้านจะเงียบเหงา และด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อตาลูกเขย เพราะรับราชการเหมือนกัน) พ่อแก้วเลยย้ายมาอยู่บ้านนี้...จนได้เป็นเจ้าของบ้าน มีสิทธิ์ในของทุกอย่าง แล้วพ่อแก้วก็มาพบรักกับพ่อธีร์ หรืออาจพบรักกันก่อนแต่ง แต่โดนจับแต่ง เพราะท่านเจ้าคุณรู้ว่าคุณพิกุลรักกับพ่อแช่มซึ่งเป็นบ่าวในบ้าน หรืออาจแต่งก่อน พอพ่อแก้วมารักพ่อธีร์ คุณพิกุลก็เลยได้พ่อแช่มมาเยียวยาหัวใจ แต่จะว่าไปคุณพิกุลก็ดูสนใจพ่อแช่มตั้งแต่วันแรกแล้วนา

เดาไปนู่นเลย ขอโทษคนเขียนนะคะที่เรามโนไกลไปนิด555
รออ่านตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: .....The Timeless Tide.....Chapter VI...แรกพบสบตา(Champ's Vision) UP 02/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 03-07-2014 21:31:44
Chapter VII...เหตุบังเอิญหรือจงใจ


...เช้านี้ผมตื่นนอนตามปกติ...เริ่มปรับเวลาได้บ้างแล้วไม่เหมือนสามสี่วันแรกที่นอนตื่นสายโด่งจนถูกมิ่งกับสนผลัดกันด่าเสียจนหูชา...ผมมาอยู่ที่เรือนท่านเจ้าคุณได้อาทิตย์กว่า แต่ก็ยังหาทางกลับไปโลกปัจจุบันของผมไม่ได้เสียที...ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปในห้องเจ้าคุณอีกเลยเพราะตั้งแต่แกกลับมาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนั้นตลอด...

วันนี้หน้าที่หลักของผมก็ไม่มีอะไรมากครับ...แค่ล้างท่าน้ำ!...พี่สนบอกว่าท่าน้ำหน้าเรือนก็เหมือนประตูเรือน แขกไปใครมาก็ต้องเห็นก่อน จะปล่อยให้สกปรกไม่ได้...ส่วนไอ้แชมป์พี่สนแกลากไปสอนผ่าฟืนตั้งแต่เช้า แกบอกว่าตอนสายแดดแรงเดี๋ยวจะพาลเป็นลมเอา...ไอ้แชมป์มันหน่วยก้านดีถึงจะสูงน้อยกว่าผมอยู่บ้าง พวกพี่สนกับมิ่งเลยชอบใช้มันทำงานหนักๆ ไม่เหมือนผมที่ตอนแรกถูกให้ขนฟืนบ้าง ตักน้ำใส่โอ่งในห้องอาบน้ำบนเรือนใหญ่บ้าง...แต่ทำได้ไม่ดีสักอย่าง...ก็ชีวิตปกติผมทำอะไรบ้างล่ะนอกจากเรียน กินข้าว ดูหนังกับแพม เพราะแพมเล่นตามติดผมตลอดจนผมไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่น...

"อ้ายธีร์...เสร็จแล้วขึ้นไปหาท่านเจ้าคุณ...ท่านให้หา"เสียงของมิ่งตะโกนเรียกผมอยู่ทางหน้าเรือน...จริงๆแล้วมิ่งไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะเป็นคนตรงและซื่อสัตย์ต่อนายเสียมากกว่า วันแรกๆผมไม่ค่อยถูกชะตาเพราะมันเอาแต่สั่งโน่นสั่งนี่เหมือนเป็นนายผมอีกคน...แต่พอเอาเข้าจริงๆผมกับมันก็คุยกันถูกคอไม่ใช่น้อย ยิ่งกับไอ้แชมป์นี่ไม่ต้องพูดถึง แทบจะเปิดคณะตลกกันได้เลยทีเดียว

ผมจัดการงานตรงหน้าจนเสร็จ...ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเรือนใหญ่ที่บรรยากาศยังคงเหมือนเดิม หากแต่วันนี้ดูเงียบเชียบลงไปบ้างเพราะเจ้าคุณผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งสง่าอยู่กลางเรือน

มิ่งเคยบอกว่า เจ้าคุณหรือพระยาจิตรานุวัตร ท่านเป็นขุนนางในกรมการต่างประเทศและยังเป็นคนสนิทของเอกอัคราชทูตไทยท่านหนึ่ง แต่ผมจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว บอกแล้วว่าผมโง่ประวัติศาสตร์ -_-"

"มิ่งบอกเจ้าคุณให้หาเหรอครับ"ผมนั่งพับเพียบกับพื้นมองเจ้าของเรือนที่นั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือน มีคุณหญิงสร้อยนั่งอยู่ข้างๆ พร้อมด้วยคุณพิกุลลูกสาวที่ผมเพิ่งได้เจอเมื่อสามสี่วันก่อน...

"อยู่สุขสบายดีไหมเอ็ง"เจ้าคุณเอ่ยถามก่อน ท่านคงเห็นว่าผมปรับตัวได้บ้างแล้ว...เสื้อผ้าที่ใส่มาตอนนี้ผมก็เปลี่ยนเป็นแบบที่พวกบ่าวเขาใส่กัน...กางเกงขาสามส่วนสีกรมท่า แต่ยังไม่วายขอเสื้อจากมิ่งเพราะผมรู้สึกแปลกๆที่ต้องนุ่งกางเกงตัวเดียวเดินโทงๆทั่วบ้าน...ส่วนไอ้แชมป์ไม่ต้องพูดถึงครับ กางเกงยีนส์ที่มันใส่มาไม่รู้มันเอาไปกองไว้ตรงไหนแล้ว ตอนนี้มันกลายร่างเป็นบ่าวเรือนเจ้าคุณโดยสมบูรณ์แบบ จะมีก็แต่ผิวขาวๆของมันนี่แหละที่ผิดแปลกจากคนอื่น...ขนาดมันถอดเสื้อทำงานกลางแดดสามสี่วันติดกันมันยังไม่ดำเลยครับ

"สบายดีครับ"ผมพยักหน้ารับ...ตอนแรกที่มายอมรับเลยว่าลำบากเหมือนกันที่ต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้...ผมโตมาพร้อมเทคโนโลยี...ไฟฟ้า...โทรศัพท์มือถือ...หรือแม้แต่รถยนต์...แต่ที่นี่ไม่มีอะไรสักอย่าง...เวลาจะไปไหนทีก็อาศัยพายเรือไป หรือไม่ก็นั่งเกวียน...ยังคิดไม่ออกว่าถ้าออกต่างจังหวัดจะใช้เวลาเดินทางกันสักกี่วัน...ไม่ต้องพูดถึงต่างประเทศเลย

"วันก่อนข้าเจอหลวงพิสิษฐที่กรม เห็นว่าเอ็งรู้หนังสือรึ"

"รู้ครับ"ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง พลางนึกถึงหน้าไอ้คุณหลวงที่กำลังกลั้นหัวเราะเพราะคำถามแปลกๆของผมในวันนั้น

"ไปเรียนมาจากที่ใด"เจ้าคุณยังถามต่อด้วยความสงสัย แม้แต่คุณหญิงสร้อยก็หันมามองผมเช่นกัน

"ก็...ที่ๆผมอยู่ เค้าสอนน่ะครับ"ผมอ้อมแอ้มตอบ อยู่ดีๆจะให้บอกว่าผมย้อนเวลากลับมาแล้วสมัยนั้นการศึกษามันพัฒนาไปถึงขั้นเด็กสามขวบก็ยังรู้ภาษาอังกฤษ คงทำให้เจ้าของบ้านตกใจไม่น้อยแล้วจะพาลหาว่าผมสติไม่ดีไปเสียอีก

"แล้วเอ็งมาจากที่ใดเล่า ข้าถามหลายทีก็มิเคยตอบ"เจ้าคุณถามสีหน้านิ่ง...วันนี้แกดูดุน้อยกว่าวันแรกที่ผมได้เจอมากนัก แน่สิ อยู่ๆไปโผล่ในห้องทำงานเขา ไม่เอาปืนไล่ยิงหรือจับส่งตำรวจก็ดีเท่าไหร่แล้ว

"ที่ๆผมมา เขาเรียกว่ากรุงเทพครับ"

"กรุงเทพรึ...แล้วกรุงเทพที่ว่างามเหมือนพระนครไหม"เจ้าคุณขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำตอบของผม

"งามเหมือนกันครับ...แต่พระนครงามกว่ามาก...ที่นี่คนใจดี มีน้ำใจ...ไม่เหมือนที่ๆผมอยู่"ผมว่าพลางนึกถึงกรุงเทพมหานครยุค พ.ศ.2557 ยุคที่ทุกคนต่างรีบเร่งกันจนลืมนึกถึงคนรอบตัว...ยุคที่ตึกรามบ้านช่อง คอนโด ทาวน์เฮาส์ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด...ยุคที่เพียงแค่ความขัดใจด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ถึงกับจะฆ่ากันให้ตาย...ผมไม่ปฏิเสธว่าความสะดวกสบายในยุคผมมันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเพียงใด แต่การได้ย้อนกลับมาใช้ชีวิตแบบนี้ได้หนึ่งอาทิตย์ก็ทำให้จิตใจผมสงบลงมากทีเดียว

"พูดดี...จักมีที่ใดงามกว่าพระนครหามีไม่"เจ้าคุณยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี ทำเอาผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจ้าคุณได้อยู่เห็นบ้านเมืองในอีกสักร้อยปีข้างหน้า แกจะยิ้มออกอย่างนี้ไหมนะ

"แล้วอ้ายคนที่มากับเอ็งล่ะ รู้หนังสือเหมือนกันหรือไม่"เจ้าคุณถามถึงไอ้แชมป์...ไม่สิ...อยู่ที่นี่ต้องเรียกมันว่าอ้ายแช่ม หึหึ

"รู้ครับ...แถมมันยังวาดรูปสวยด้วย"ผมว่าพลางหันไปมองทางคุณพิกุลที่สบตากับผมและอมยิ้มเล็กน้อย ส่วนเจ้าคุณเพียงแค่พยักหน้ารับ

"ภาษาต่างประเทศล่ะ เอ็งรู้ไหม"

"รู้ภาษาอังกฤษครับ...แล้วก็เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้ลืมไปหมดแล้วครับ"ผมตอบตามความจริง เพราะตอนม.ต้นเคยลงเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาเลือก แต่เพราะไม่ได้ใช้เลยเอาความรู้คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว

"ไหนลองอ่านนี่ให้ข้าฟังซิ"เจ้าคุณว่าพลางยื่นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งมาให้ผม บนหน้าปกมีชื่อ The Diplomatic Relations of Siam...ผมพลิกหน้าแรกพลางอ่านไล่ทีละประโยค เนื้อความในหนังสือกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการทูตของอาณาจักรสยามและชาติอื่นๆในยุโรปรวมถึงสหรัฐอเมริกา...ถึงผมจะโง่ประวัติศาสตร์แต่ผมก็เด็กรัฐศาสตร์นะครับ อย่าเพิ่งลืมกันเสียก่อน ถึงจะเพิ่งขึ้นปีสองได้ไม่นานก็เถอะ

"เอ็งนี่...ผิดกับที่ข้าคิดไว้นัก...หน้าตาผิวพรรณรึก็ดูไม่เหมือนบ่าวไพร่ แล้วยังมีวิชาความรู้ติดตัว...ข้าดูคนผิดไปเสียจริง"เจ้าคุณตบหน้าขาตัวเองฉาดใหญ่แสดงความพอใจหลังจากที่ผมอ่านวรรคแรกจบ...ผมเห็นคุณหญิงสร้อย คุณพิกุล และบ่าวไพร่คนอื่นๆบนเรือนนั่งมองผมกันนิ่ง

"ไม่ผิดหรอกครับ...อยู่ๆมาโผล่ห้องเจ้าคุณแบบนั้น เป็นผมก็คิดว่าเป็นขโมย"คำตอบที่ว่าคงทำให้เจ้าคุณจิตราหวนนึกไปถึงวันแรกที่ได้เจอกัน แกเลยขมวดคิ้วเล็กน้อย

"เอาเถอะ...เรื่องมันผ่านมาแล้ว ข้าไม่ถือสาหาความ...แต่ข้ามีเรื่องให้เอ็งช่วย"ลงท้ายประโยคทำเอาผมหนักใจพิลึก...นี่จะให้ผมไปขนไม้ขนฟืนอีกหรือเปล่านะ

"เจ้าคุณไพศาลท่านอยากได้คนช่วยตรวจทานเอกสาร...ท่านว่าหลวงพิสิษฐทำคนเดียวเห็นทีจะไม่ไหว เพราะช่วงนี้งานในกรมมากนัก...เจ้าคุณเองก็ต้องไปมาระหว่างเรือนกับกรม ไม่มีเวลามาช่วยเท่าใด"ผมนั่งนิ่งฟังที่เจ้าคุณว่า...งานใหญ่ขนาดนี้ทำไมมาไว้ใจคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอย่างผมกันเล่า...นี่ไม่คิดว่าผมจะเป็นสายลับจากชาติอื่นปลอมตัวมาสืบราชการลับบ้างรึไง

...ว่าไปนั่นครับไอ้ธีร์...

"วันก่อนข้าเจอหลวงพิสิษฐที่กรม เลยได้ความว่าเอ็งรู้หนังสือ แต่หลวงแกก็ไม่รู้ว่าเอ็งรู้มากน้อยเพียงใด ข้าจึงได้เรียกเอ็งมาถาม"

"ผมขอบคุณที่เจ้าคุณไว้ใจผมนะครับ แต่ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วยิ่งต้องมาทำคนเดียว เกรงว่าจะทำให้เสียงานเปล่าๆ"ผมรีบตอบกลับเจ้าของเรือนที่เพิ่งอธิบายความยาวเหยียด...จริงอยู่ที่ผมรู้ภาษา แต่จะให้รับผิดชอบงานระดับชาติขนาดนี้ ผมไม่กล้าหรอก

"ไม่หรอก...ข้าจักให้เอ็งไปช่วยหลวงพิสิษฐที่เรือน มีอะไรมิเข้าใจก็ถามหลวงแก...แกเป็นคนดีมีน้ำใจ"เหยยย! นี่ผมหูฝาดไปรึเปล่า เจ้าคุณบอกว่าจะให้ผมไปทำงานที่บ้านไอ้คุณหลวงนั่น?

"ที่เรือนคุณหลวง!"ปากที่ไวกว่าความคิดโพล่งออกไปจนทุกคนบนเรือนนิ่งเงียบ...แล้วผมจะตกใจทำไมวะ

"เรือนเจ้าคุณไพศาลน่ะ หลวงแกอยู่ที่นั่น...รุ่งสางเอ็งก็ให้อ้ายมิ่งหรืออ้ายสนมันพายเรือไปส่งเสีย...เสร็จงานแล้วก็ให้ทางนั้นเขามาส่ง...ถือว่าทำเพื่อเมืองสยามของเราเถิด"ประโยคลงท้ายทำเอาผมปฏิเสธไม่ลงเลยจริงๆ...ทำเพื่อประเทศอย่างนั้นหรือ...ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ20ปี ผมเคยทำอะไรเพื่อประเทศชาตินี้บ้างนะ...ผมไม่ต้องเกณฑ์ทหารเพราะตอนม.ปลายเรียน ร.ด....เรียนก็เพิ่งจะปีสองยังไม่รู้ว่าจบมาจะทำงานอะไร ถึงแม้อยากดำเนินรอยตามพ่อก็เถอะ แต่สมัยนี้งานการดีๆมันหากันง่ายเสียที่ไหน...

"ถ้าเจ้าคุณไว้ใจ...ผมก็จะลองครับ"คิดได้ดังนั้นเลยตอบกลับอย่างลังเลเล็กน้อย...แต่จะว่าไปก็ยังดีกว่าต้องมาทำงานใช้แรงงานทั้งวัน...เพราะแค่ผมมาอยู่นี่ได้อาทิตย์กว่าแต่ผมรู้สึกว่ากล้ามแขนกับซิคแพคมันเริ่มมีเค้าลางมาให้เห็นแล้วครับ ถึงผมจะชอบแต่มันก็เหนื่อยเกินไปที่จะทำอะไรแบบนี้ทุกวัน

"เอ้อ แล้วไอ้แชมป์ เอ้ย! ไอ้แช่มละครับ...มันก็รู้หนังสือเหมือนกัน เจ้าคุณมีอะไรจะให้มันช่วยมั้ยครับ"ผมนึกถึงไอ้เพื่อนตัวแสบ...ถึงมันจะเพี้ยนๆ แต่ทักษะด้านภาษามันเป็นเลิศครับ เพราะตอนม.ปลายมันเรียนศิลป์-ฝรั่งเศส พูดได้ทั้งไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส แต่พูดภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่อง หึหึ...ไม่รู้อะไรดลใจให้มันเอนท์เข้าศิลปกรรม อย่างมันผมว่าไปเรียนอักษรยังจะดีเสียกว่า...แต่มันเคยบอกผมว่าอักษรเขามีแต่ผู้หญิงเรียนกัน

"ข้าว่าจักให้มันมาช่วยงานทางนี้...หลวงวิเศษณ์ที่คอยช่วยงานข้าตอนนี้ลากลับไปหาครอบครัวที่หัวเมือง กว่าจักกลับก็คงเดือนหน้า...ทางนี้ก็มีงานให้ทำมากเหลือ เพื่อนเอ็งคงช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อยล่ะ...เดี๋ยวเอ็งลงไปก็ตามมันมาพบข้าเสีย"

"แล้วจะให้ผมเริ่มทำวันไหนครับ"

"ถ้าวันพรุ่งเอ็งพร้อมจักไปเลยก็ได้...ข้าจักให้อ้ายสนมันพายเรือไปส่ง...เรือนเจ้าคุณไพศาลอยู่มิไกลนักหรอก"เจ้าคุณสั่งงานเหมือนประกันชั้นหนึ่ง มาเร็ว เคลมเร็ว ตลอด...สั่งผมวันนี้ พรุ่งนี้จะให้ไปเริ่มทำเสียแล้ว...เอาไงก็เอากันครับไอ้ธีร์...ดีกว่าอยู่เฉยๆ...


ผมยกมือไหว้เจ้าคุณกับคุณหญิงสร้อยก่อนจะขอตัวลงมาจากเรือน...เดินมาทางเรือนบ่าวเห็นไอ้แชมป์กับไอ้มิ่งนั่งคุยกันอยู่บนแคร่หน้าเรือนอย่างออกรส


"มึงรู้ป่าว สาวๆแถวบ้านกูนะ สวยอย่างงี้!"ไอ้แชมป์ว่าพลางทำท่าประกอบเป็นรูปทรวดทรงองค์เอวของสาวไทยสมัยผม

"ถ้าหญิงบ้านเอ็งงามอย่างที่ว่า แล้วทำไมเอ็งถึงไม่มีเมียเสียทีวะ"

"หู้ยยยย มึงจะไปรู้อะไร แถวบ้านกูนะ ผู้หญิงเพียบ กูแค่ยืนเฉยๆนะ มองตามกันเป็นเกรียวเลย"แล้วไอ้ที่พูดถึงนั่นมันคนหรือตัวอะไรวะครับ

"เหอะ ข้าไม่เชื่อเอ็งหรอก...น้ำหน้าอย่างเอ็ง...ตัวก็ขาวอย่างกับหยวก จะไปมีปัญญามีเมียหรือวะ ฮ่าๆ"โดนเลยไหมมึง...ผมเห็นหน้าไอ้แชมป์มันเคืองพิกลแล้วก็ได้แต่ยืนขำ...ไอ้นี่มันปรับตัวเร็วเสียจนผมหายห่วง

"เอ้า อ้ายธีร์ คุยกับเจ้าคุณเสร็จแล้วรึ"เป็นไอ้มิ่งที่หันมาเห็นผมเสียก่อน

"เสร็จแล้ว...เจ้าคุณเรียกหามึงอ่ะ"ผมหันไปมองไอ้ตัวดีที่นั่งชันเข่าพลางโยนลูกมะปรางเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ...นี่มึงชักจะกลมกลืนกับสถานที่มากไปแล้ว วันก่อนใครนะที่บ่นอยากกลับบ้านอย่างกับเด็กสามขวบ

"หากู?"มันหันมาชี้ตัวเอง

"เออ...หามึง...ขึ้นไปหาบนเรือนนะมึง อย่าไปหาที่ไหน"ผมแซวมันอีกที ก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาสะกิดผมยิกๆ

"คุณพิกุลอยู่ป่ะวะ"มันกระซิบเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน

"อยู่"ผมเห็นหน้ามันมีสีระเรื่อ...ไอ้แชมป์เอ๊ย หน้าขาวๆของมึงไม่ได้เหมาะกับอาการนี้เลยให้ตายสิ

"ไปๆ ทำตัวหล่อๆล่ะ เดี๋ยวพ่อเขาไม่ยกลูกสาวให้ หึหึ"ได้ทีผมเลยแซวไปซักดอก มันหันมายกเท้าจะยันให้แต่ผมเบี่ยงตัวหลบทัน...ผมเห็นมันจัดแจงปัดฝุ่นที่ขากางเกงก่อนจะขอยืมเสื้อไอ้มิ่งมาใส่บ้าง แล้วดูมัน เอามือเสยผมเกรียนๆนั่นก็ไม่ได้ช่วยให้มันเป็นทรงขึ้นมาหรอก...ก็หัวมันเกือบจะสกินเฮดขนาดนั้น



"เอ้อ อ้ายธีร์...เห็นว่าเจ้าคุณจักให้เอ็งสองคนย้ายขึ้นไปอยู่บนเรือนใหญ่"ประโยคบอกเล่าของมิ่งทำเอาผมเบิกตาโพลง

"ทำไมอ่ะ"

"เห็นท่านว่าเอ็งต้องช่วยงานท่าน...ท่านมิให้ถือว่าเอ็งเป็นบ่าว"อันนี้ผมก็พอจะเข้าใจ...แต่...

"จะดีเหรอมิ่ง...เจ้าคุณท่านมีลูกสาว แล้วคุณพิกุลก็อยู่...จะให้ผมกับไอ้แชมป์ขึ้นไปอยู่บนเรือนด้วยเนี่ยนะ"ผมลังเล...ผมรู้ตัวว่าผมกับไอ้แชมป์ไม่คิดอกุศลอะไรอย่างที่ว่าหรอกครับ แต่เกรงใจเจ้าของเรือนเขา

"เห็นคุณหญิงท่านก็ว่า...แต่ที่นี่ก็มีแค่เรือนใหญ่กับเรือนบ่าว ไม่มีเรือนหลังอื่น ถ้าเอ็งมิได้ทำงานเป็นบ่าว เอ็งก็ต้องไปอยู่บนเรือนใหญ่โน่นล่ะ"

"เดี๋ยวผมไปบอกเจ้าคุณเอง ผมอยู่ที่นี่ได้ไม่มีปัญหา...อยู่กับพวกมิ่งกับพี่สนสนุกจะตาย"ผมว่าพลางเดินกลับไปที่เรือนใหญ่อีกครั้ง...เจ้าคุณกำลังสั่งงานไอ้แชมป์อย่างที่เคยสั่งกับผม แต่ผมก็ต้องขัดจังหวะเสียก่อน เพราะเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาจากมิ่ง...ผมพยายามอธิบายให้เจ้าคุณฟังว่าพวกผมไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะอยู่เรือนบ่าวเพราะเกรงใจแกกับคุณหญิง...ลำพังแกกับคุณหญิงผมไม่มีอะไรหรอก แต่เพราะมีคุณพิกุลอยู่ ผมเลยไม่อยากให้ใครเอาไปพูดลับหลังได้ เพราะผมรู้ดีว่าสมัยนี้การจะให้ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมันไม่ใช่เรื่องเหมาะสมเท่าไหร่นัก...แต่เจ้าคุณแกก็ไม่ยอม...แกว่างานที่จะให้ช่วยมีเยอะ บางทีก็ต้องทำจนดึกดื่น จะให้เดินไปกลับเรือนบ่าวก็กลัวพวกผมจะลำบาก...ผมเห็นสีหน้าลำบากใจของคุณหญิงสร้อย...แม้แต่ไอ้แชมป์เองพอมันรู้เรื่องมันก็ดูไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ยังเห็นมันแอบมองคุณพิกุลบ่อยๆ...จนแล้วจนรอดเจ้าคุณแกก็ไม่ยอม...กว่าจะลงเอยกันได้คุณพิกุลก็ต้องเอ่ยปากเองว่าจะไปนอนห้องคุณหญิงตลอดเวลาที่พวกผมอยู่บนเรือน...ทำเอาทุกฝ่ายพอโล่งใจได้บ้าง

"เอาตามที่ว่าก็แล้วกัน...พรุ่งนี้เอ็งก็ให้อ้ายสนมันไปส่งที่เรือนเจ้าคุณไพศาล...ส่วนเอ็งพรุ่งนี้ขึ้นมาหาข้าที่เรือนแต่เช้า"เจ้าคุณสรุปใจความให้ทั้งผมและแชมป์ฟัง ก่อนที่พวกผมจะยกมือไหว้ลาแกแล้วเดินลงจากเรือนมา

"สรุปมึงต้องไปทำงานที่บ้านคุณหลวงเหรอวะ"เป็นไอ้แชมป์ที่ถามผมขึ้นทันทีที่เดินลงจากเรือน...ผมพยักหน้ารับแต่ไม่ตอบอะไร

"เซ็งว่ะ นึกว่าจะได้อยู่ทำด้วยกัน"ไอ้แชมป์บ่นอุบ...ผมก็เซ็ง...เมื่อคิดว่าต้องตื่นแต่เช้านั่งเรือไป นั่งเรือกลับ...ชีวิตเหมือนพนักงานบริษัทไม่มีผิด

"เอาเหอะ ถือว่าทำเพื่อประเทศ"ไม่รู้ทำไมคำนี้มันช่างยิ่งใหญ่สำหรับผมเสียเหลือเกิน...ถ้าผมจะเป็นส่วนเล็กๆที่่ช่วยให้ประเทศนี้ยังคงอยู่ไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้ เรื่องแค่นี้ผมก็ยินดีทำ


...คืนนั้นผมฝัน...แต่ไม่ใช่ฝันแบบเดิม...ผมฝันเห็นอานิดที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของอาต้น ในมือถือที่ทับกระดาษอันเดิมพลางลูบตัวอักษรข้างใต้อย่างเบามือ...ผมเห็นรอยช้ำรอบดวงตาของอานิด และหยาดน้ำตาใสๆที่รื้นขึ้น...อานิดจะรู้ไหมว่าผมหายไปไหน...ผมไม่อยากให้อานิดเป็นห่วงเลย เพราะผมทำให้อานิดเป็นห่วงมามากพอแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา...ผมเห็นอานิดวางที่ทับกระดาษลงพลางฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ตัวแกสั่นเทิ้ม...ผมดูออกว่าแกกำลังร้องไห้...อย่าร้องเลยครับอา...ธีร์สบายดี...อาอย่าเป็นห่วงธีร์เลย...



...วันรุ่งขึ้นผมตื่นเช้าตามปกติ...แต่ไอ้ที่ไม่ปกติคือคนข้างๆที่ปกติมันต้องนอนน้ำลายยืดฝันหวานรอให้ผมปลุกมันอย่างนุ่มนวลด้วยฝ่าเท้า...แต่วันนี้มันกลับตื่นก่อนผม!...ผมเดินออกมาจากเรือนนอน เห็นมันเพิ่งเดินกลับมาจากท่าน้ำหลังเรือน สงสัยเพิ่งอาบน้ำเสร็จ...หน้าตาสดชื่นแถมเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี

"ม๊อออร์นิ่ง!"แล้วไอ้อาการระริกระรี้นี่มันคืออะไรวะ

"ไม่ค่อยนอกหน้าเลยนะมึง"ผมตอบกลับอย่างรู้ทัน

"อะไรวะ"ไอ้ตัวดียังบ่ายเบี่ยง...ปกติผมไม่เคยเถียงชนะมัน แต่เรื่องนี้ผมมั่นใจว่าผมกินขาด

"พอจะได้ขึ้นไปทำงานเรือนใหญ่ล่ะรีบตื่นแต่เช้าเชียว...แล้วดู ปกติน้ำท่าไม่อาบ วันนี้ล่อซะหอมฉุย ถ้ามีน้ำหอมด้วยคงฉีดซะฟุ้งแล้วม้างงงง"ผมหัวเราะหึหึ มองหน้ามันที่ตอนนี้เหรอหราพิกล

"เอ้า เจ้าคุณอุตส่าห์ไว้ใจให้ทำงานใหญ่ก็ต้องกระตือรือร้นดิวะ ไม่เหมือนมึง ตื่นป่านนี้กว่าจะไปถึงเรือนโน้นไม่สายโด่งเหรอครับ เชี่ยธีร์"ท้ายประโยคหันมาแขวะผมเสียได้

"เขาไม่ได้มีเวลาตอกบัตรนิ่"ผมยิ้มมุมปากให้มันสักที

"หื้มมมม ตั้งแต่มานี่มึงกวนตีนขึ้นเยอะนะ สงสัยกับข้าวป้าน้อยแม่งใส่ยาบ้าแหงๆ"มันว่าพลางหยิบเสื้อยืดสีดำของมันที่ใส่มาขึ้นมาสวม...วันนี้แต่งเต็มยศเลยครับ เสื้อยืดกางเกงยีนส์

"เพ้อเจ้อว่ะ กูไปอาบน้ำละ"พูดพลางหยิบขันกับผ้าขึ้นพาดบ่าเดินไปอาบน้ำบ้าง...ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับคนช่างแถ หึหึ
.

.

.

.

.
วันนี้พี่สนพายเรือมาส่งผมที่เรือนเจ้าคุณไพศาลที่เจ้าคุณจิตราว่าอยู่ไม่ไกลนักแต่กว่าจะถึงก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง...ผมรู้สึกว่าเวลาที่นี่เดินช้ากว่าปกติ เพราะคนที่นี่ไม่รีบร้อนทำอะไร...ไม่ว่าจะทำกับข้าว เดินทาง หรือแม้แต่การพูดจา ทุกอย่างล้วนเนิบนาบแต่น่ามอง...ไม่เหมือนกรุงเทพสมัยปัจจุบัน ต้องรีบตื่น รีบกิน รีบไปทำงาน แล้วก็ไปติดแหง่กอยู่บนถนน รีบเข้างาน รีบๆๆ ทุกอย่างคือการรีบเร่ง...ผมนึกแล้วก็เหนื่อยแทนคนในโลกของผมเสียจริง...จะดีกว่าไหมนะ ถ้าสามารถหมุนเวลากลับมาเป็นเหมือนโลกที่ผมอยู่ขณะนี้...

เรือนของพระยาไพศาลราชวราการหรือเจ้าคุณไพศาลนั้นต่างจากเรือนของเจ้าคุณจิตรานัก...ด้วยเรือนนี้เป็นเรือนไม้ทรงยุโรป มีสองชั้น ตัวเรือนเป็นสีฟ้าหม่นออกเทา ส่วนหลังคาฉาบสีน้ำเงินเข้ม ไม่เหมือนเรือนเจ้าคุณจิตราที่ยังเป็นเรือนไทยสมัยโบราณ มีชั้นเดียวแต่ใต้ถุนสูง...ผมมองเรือนทั้งสองที่แตกต่าง แต่งามปราณีตไม่แพ้กัน...ถ้าไอ้แชมป์มาเห็นมันคงได้หยิบกระดาษกับดินสอมานั่งวาดภาพเรือนนี้เป็นชั่วโมงแน่ๆ...ผมเดินขึ้นจากท่าน้ำ...บอกลาพี่สนพร้อมขอบคุณที่พายเรือมาส่ง...สักพักก็มีบ่าวผู้หญิงของเจ้าคุณไพศาลเดินออกมารับ

"ผมมาหาเจ้าคุณไพศาลครับ"ผมเห็นบ่าวคนนั้นมองผมแปลกๆ สงสัยไม่เคยเห็นคนแต่งตัวประหลาดแบบผม เพราะวันนี้ผมก็จัดเต็มไม่แพ้ไอ้แชมป์ครับ เสื้อยืดtopmanตัวเดิมกับกางเกงเล่นเซิร์ฟขาสามส่วน แถมหนีบแตะมาอีกต่างหาก...เคยเห็นก็ให้มันรู้ไปสิแม่คุณ

"เจ้าคุณไพศาลเข้ากรมตั้งแต่รุ่งสางแล้วเจ้าค่ะ"อ้าว เจ้าคุณไม่อยู่...แล้วผมจะมาทำอะไรล่ะ

"เอ้อ...แล้วหลวงพิสิษฐล่ะครับ"นึกถึงอีกคนขึ้นมาได้เลยถามออกไป

"คุณหลวงอยู่บนเรือนเจ้าค่ะ...จะให้อิชั้นเรียนว่าใครมาพบหรือเจ้าคะ"มาเสียเป็นทางการเลยแม่คุณ

"ชลนธีร์ครับ"ผมเลยตอบแบบเป็นทางการไปบ้าง...บ่าวผู้หญิงมีสีหน้างงเล็กน้อยกับชื่อจริงของผม แต่ก็พยักหน้ารับและเดินนำผมไปที่เรือน


"คุณหลวงเจ้าคะ...คุณท่านนี้..."นั่นไง ผมว่าแล้วว่าเจ้าหล่อนเรียกชื่อผมไม่ถูกหรอก

"มาแล้วรึ"เสียงนุ่มคุ้นหูเอ่ยขึ้น พร้อมร่างสูงโปร่งของเจ้าตัวที่วันนี้สวมเพียงเสื้อตัวบางสีขาวกับกางเกงแพรผ้ามันวับสีเทา...ผมรองทรงถูกหวีเสยเสียเรียบแปล้...รอยยิ้มหวานบนใบหน้าคมนั้นยังเหมือนเดิมเมื่อวันแรกที่ได้เจอ

"เอ็งไปเอาน้ำเอาท่ามาให้คุณเขาก่อน"หันไปสั่งบ่าวที่นั่งคุกเข่าอยู่ก่อนที่อีกฝ่ายจะขยับตัวแล้วลุกจากไป

"เจ้าคุณจิตราให้ผมมาช่วยงานคุณหลวงครับ"ผมบอกวัตถุประสงค์ของการมาเยือนให้เจ้าของบ้านทราบขณะกำลังเดินตามหลังคนตัวสูงกว่าเข้ามาในเรือน

"รู้แล้ว..."ตอบเพียงสั้นๆ ใบหน้าเจือรอยยิ้ม...จะยิ้มทำไมนักหนาวะ

"เมื่อครั้งเข้ากรมคราวก่อนเราได้แจ้งเจ้าคุณจิตราเรื่องที่พ่อรู้หนังสือ...เจ้าคุณไพศาลท่านเลยขอตัวพ่อมาช่วยงานทางนี้...นึกว่าจักไม่มาเสียแล้ว"ผมรู้สึกว่าบทสนทนาวันนี้มันแปลกพิกล

"เจ้าคุณจิตราขอร้องให้ผมมาช่วย ผมก็เลยมา แต่ผมไม่เคยทำงานพวกนี้มาก่อน ถ้ามีอะไรต้องแก้ไขก็บอกด้วยนะครับ"ผมตอบกลับอย่างสุภาพ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างโซฟาในห้องรับแขกของเรือนด้วยความเคยชิน...ปกติอยู่เรือนเจ้าคุณผมนั่งพื้นตลอดครับ...แต่ดูท่าทางเจ้าของบ้านที่นั่งลงบนโซฟาเมื่อครู่จะประหลาดใจพิลึกที่เห็นผมนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้น

"นั่งข้างบนเถิด...พ่อมิได้มาบ้านนี้ในฐานะบ่าว หากเป็นผู้ช่วยเราต่างหาก"ผมว่าบทสนทนากับท่าทีที่แปลกไปของคนตรงหน้า คงเป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง...ผมยันตัวขึ้นแล้วนั่งปุลงบนโซฟาอีกฝั่ง พอดีกับที่บ่าวผู้หญิงคนเดิมยกถาดที่มีแก้วน้ำสองใบเข้ามา ก่อนจะวางตรงหน้าผมหนึ่งใบ และเจ้าของบ้านอีกหนึ่งใบ

"มาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำดื่มท่าเสียก่อน"ถ้าบอกว่าไม่เหนื่อยเลยจะเชื่อไหมนะ ก็ระหว่างทางที่มาผมมัวแต่กินลมชมธรรมชาติตามทาง รู้ตัวอีกทีก็มาถึงท่าน้ำบ้านนี้เสียแล้ว

"ขอบคุณครับ"แต่เพื่อไม่ให้เสียมารยาท จิบสักหน่อยก็ได้วะ...ผมรู้สึกอึดอัดชอบกลกับบทสนทนาอันเป็นทางการนี้...ให้คุยกันอย่างที่เจอกันครั้งแรกยังจะดีเสียกว่า

"ขอบใจพ่อมากที่ยอมมาช่วย"ก็ยังเป็นทางการไม่เลิก

"ผมมาตามคำสั่ง เจ้าคุณจิตรามีบุญคุณกับผม อย่างที่คุณเคยว่าไว้ ท่านอยากให้ผมมาช่วย ผมก็ต้องมาครับ"เมื่อเป็นทางการมา...ผมก็เป็นทางการกลับ



"ขอบใจมากนะ......พ่อธีร์......"ห้ะ!! เมื่อกี้เขาเรียกผมว่าอะไรนะ!!



ผมหันไปมองคนตรงข้าม...รอยยิ้มบางยังปรากฎบนใบหน้าคมเข้มนั้นเช่นเคย

"เรียกผมเหมือนเดิมก็ได้นะครับ...มันไม่ชิน"เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึก...เขิน...ผู้ชายด้วยกันเอง...แล้วผมจะเขินทำไม ในเมื่อเขาก็แค่...เรียกชื่อผม...อย่างที่ผมได้ยินในฝันมาตลอด...เท่านั้นเอง!

"เรียกอย่างไร...เราเคยเรียกชื่อพ่อรึ"นึกขึ้นได้...เขาก็ไม่เคยเรียกชื่อผมสักครั้งเลยนี่...คราวที่แล้วก็มีแค่ เอ็ง กับ ข้า...แล้วถ้าจะขอให้กลับไปเรียกแบบนั้นจะทันไหมครับ

"เราเรียกพ่อเหมือนเดิมมิได้หรอก...ตอนนั้นเรานึกว่าพ่อเป็นบ่าว แต่ครานี้มิใช่"ตอบเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

"ตอนนี้ผมก็ยังเป็นบ่าว...ยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรก็ไม่มี คุณหลวงไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้"วูบหนึ่งผมเห็นคนตรงหน้ากลั้นหัวเราะ...อีกแล้ว...มีอะไรน่าขำนักหนา

"แม้ไม่มีบรรดาศักดิ์ หากมีใจรักในชาติบ้านเมือง ก็ถือว่าน่ายกย่องแล้ว"คำพูดที่ทำให้หัวใจผมพองโต...เขาช่างเข้าใจพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน...สมแล้วที่เรียนทางด้านนี้มา

"แล้ว...ผมต้องทำอะไรบ้าง"เกริ่นกันมาพอสมควร ได้เวลาทำงานกันเสียทีดีไหมครับ

"เราคัดลอกเอกสารบางส่วนของทางกรม...บางฉบับเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องนำมาแปล...พ่อธีร์ช่วยตรวจทานว่าถูกต้องไหมก็พอแล้ว"พูดพลางเดินนำไปยังห้องทำงานที่อยู่สุดโถงทางเดิน...ในห้องมีชั้นหนังสือเรียงรายตามผนัง ตรงมุมห้องมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือและแผ่นเอกสารมากมาย...

เจ้าของห้องสาวเท้าไปถึงโต๊ะทำงาน จัดแจงเอกสารทั้งหมดให้รวมเป็นกองเดียว ก่อนจะหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วจัดการคัดลอกลงบนกระดาษอีกแผ่นด้วยปากกาขนนก...ถ้าเป็นสมัยผมจับเข้าเครื่องถ่ายเอกสารแป๊บเดียวก็เสร็จ...ผมเดินตามไปจนถึงโต๊ะทำงาน หยิบเอกสารบางฉบับขึ้นมาดู...พวกนี้เป็นเอกสารทางการทูต ส่วนใหญ่จะเป็นของสยามกับอังกฤษ...มีสนธิสัญญาที่สยามเคยทำกับอังกฤษ และยังข้อพิพาททางกฎหมายอีกหลายฉบับ...ผมยอมรับว่านี่เป็นงานยากสำหรับผมทีเดียว เพราะถึงผมจะเรียนรัฐศาสตร์ แต่ก็เพิ่งขึ้นปีสองได้ไม่นาน...ยังเรียนแค่พื้นฐาน...สำหรับใครที่คิดจะเรียนจนแตกฉานก็ต้องต่อยาวไปถึงปริญญาโทหรือเอกนู่น ซึ่งผมยังไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น...ผมเหลือบมองคนตรงหน้าที่กำลังตั้งอกตั้งใจคัดลอกเอกสารอีกฉบับด้วยปากกาขนนก...ลายมือของเขาช่างปราณีตราวกับพิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ ตัวอักษรแต่ละตัวค่อยๆถูกบรรจงเขียนอย่างไม่รีบร้อน...
หัวข้อ: Re: ..The Timeless Tide..หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VII UP 03/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 03-07-2014 21:37:46

"เอกสารบางฉบับมีศัพท์เฉพาะทาง บางคำเรามิรู้ความหมาย พ่อธีร์ช่วยดูหน่อยเถิด"คนตัวสูงว่าพลางยื่นเอกสารในมือมาให้ผม...มันเป็นภาษาอังกฤษ ข้อความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสยามกับอังกฤษ...

"อันนี้แปลว่า อนุสัญญาลับระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักร"ผมแปลออกเพราะมันอยู่ในบทเรียนพื้นฐานของปีหนึ่งที่ได้เรียนมา...แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจข้อความที่มันเป็นของรัฐศาสตร์เบื้องต้นล่ะ

"คุณหลวง"ผมเรียกชื่อคนตัวสูงที่ละสายตาจากเอกสารตรงหน้าขึ้นมามอง

"คุณหลวงไม่ได้เรียนด้านการต่างประเทศเหรอ"ผมถามด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย...จริงอยู่ศัพท์บางคำเป็นศัพท์เฉพาะทาง แต่ถ้าคำพื้นฐานทั่วไปที่แม้แต่เด็กปีสองอย่างผมยังรู้...เขาที่เรียนด้านนี้มาก็ควรจะรู้ด้วยสิ


"ไม่ได้เรียน"คำตอบที่ทำเอาผมแทบอ้าปากค้าง...ไม่ได้เรียน...แล้วมานั่งทำอะไรตรงนี้วะ

"เราเรียนด้านการศึกษาและวัฒนธรรม...เอกสารนี่เราเพียงช่วยเจ้าคุณไพศาลแปลเท่านั้น...เจ้าคุณท่านงานหนักนัก ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างกรม ท่านเลยขอให้เรามาช่วย เราอ่านหนังสือมาบ้างเพราะสนใจด้านนี้อยู่เหมือนกัน เจ้าคุณไพศาลเองก็ช่วยสอนเราได้มาก"

"สรุปว่าเป็นครู...ว่างั้น?"ผมเลิ่กคิ้วถาม

"ว่างั้น? คือว่าอย่างไรรึ"ทำมาเป็นเลียนเสียงอีกต่างหาก

"เปล่าไม่มีอะไร...ถ้างั้นมีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน"ไม่รู้ทำไมที่ผมนึกขอบคุณตัวเองอยู่ในใจที่เลือกเรียนเอกนี้...อย่างกับรู้ว่าจะต้องได้ใช้มันก่อนเวลาอันควร

"พ่อธีร์"เสียงนุ่มเรียกผมอีกครั้ง...ผมหันไปมองคนที่ยังนั่งอยู่บนโต๊ะหนังสือ

"ขอบใจมากนะ"รอยยิ้มหวานโปรยบนใบหน้าคมเข้ม ก่อนจะก้มลงคัดลอกเอกสารต่อ

"อ่ะ..."แล้วผมจะตอบอะไรได้นอกจากหยิบกระดาษแผ่นนั้นทีแผ่นนี้มานั่งดูสลับกันไปมา แต่ก็ยังหันไปมองคนตัวสูงกว่าเป็นระยะ
พวกผมใช้เวลาอยู่ในห้องทำงานเพื่อคัดลอกเอกสารตั้งแต่เช้าจนเกือบบ่าย...ผมไล่อ่านสนธิสัญญาบางฉบับที่อังกฤษเคยทำไว้กับสยามแล้วก็นึกหดหู่ใจ...ประเทศเล็กๆอย่างประเทศไทย ก็ยังไม่พ้นที่จะถูกรุกรานจากชาติตะวันตกเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ...การล่าอาณานิคมเพียงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ของชาติตนเอง นำมาซึ่งการเลือนหายไปของวัฒนธรรมและค่านิยมของประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม...ซึ่งโลกของผมในปัจจุบันนั้นมันไม่ได้มีผลกระทบสักเท่าไหร่ เพราะทุกวันนี้เราก็เหมือนถูกกลืนหายไปกับวัฒนธรรมของชาติอื่นๆจนหมดแล้ว...คงเหลือแต่ภาษาไทยที่ยังคงสืบต่อมาถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน...หากแต่ในโลกนี้ที่ผมอยู่...บรรพบุรุษของเรากลับทำทุกวิถีทางที่จะป้องกันการกลืนกินทางวัฒนธรรมนั้น...ประเทศไทยถึงขั้นยอมเสียดินแดนเพื่อรักษาเอกราชไว้ ถึงแม้ผืนดินที่มีอยู่จะลดน้อยลงกว่าเดิมก็ตาม...จะดีแค่ไหนถ้าลูกหลานของพวกท่านในสมัยของผม จะเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมและสิ่งต่างๆที่สืบทอดกันแม่แต่อดีตกาล...



"หิวไหม"คนตัวสูงหันมาถามผมที่ยังยืนพิงโต๊ะหนังสือ ในมือยังมีเอกสารบางฉบับที่พยายามทำความเข้าใจ

"คุณหลวงหิวแล้วเหรอ"ผมถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้า

"เราถาม...มิใช่ให้ถามกลับ"เท่านั้นแหละ ถึงจะเลิกสนใจสิ่งที่ถืออยู่ในมือได้

"ก็หิว"

"งั้นไปกินเสียก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาทำต่อ"ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ
.
.
.
.
.
"แม่ชื่นเตรียมสำรับไว้แล้ว"เจ้าของบ้านที่เดินนำผมมาจนถึงอีกห้องหนึ่ง...ตรงกลางห้องมีโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่พร้อมเก้าอี้วางเรียงราย...บนโต๊ะมีสำรับกับข้าวที่แม่ครัวคงเตรียมเอาไว้ให้...

"เจ้าคุณไพศาลท่านคงชอบเรือนสไตล์ยุโรปนะครับ"ผมถามขึ้นเพราะสังเกตจากบรรดาห้องต่างๆบนเรือนนี้ล้วนตกแต่งตามสไตล์ยุโรปทั้งสิ้น

"เรือนนี้เพิ่งสร้างเสร็จ...ท่านว่าอยากได้ทรงฝรั่งเพราะท่านมีอีกเรือนอยู่ฝั่งพระโขนงเป็นเรือนไทยเหมือนเรือนเจ้าคุณจิตรานั่นแหละ"แต่ผมว่าตอนนี้พักเรื่องเรือนไทยไว้ก่อนดีกว่าเมื่ออาหารตรงหน้าช่างยั่วน้ำลายและน้ำย่อยในกระเพาะของผมเสียเหลือเกิน

"แกงส้มดอกแค ของถนัดแม่ชื่นเขาล่ะ"เจ้าของบ้านตักแกงส้มใส่จานให้ผม...อีกอย่างที่ต่างจากเรือนเจ้าคุณจิตราคือที่นี่เวลาทานข้าวเขาใช้ช้อนได้ แต่เวลาผมอยู่ที่เรือนเจ้าคุณส่วนใหญ่ก็ยกมือเปิบกันเสียเละเทะล่ะครับ

"ถูกปากพ่อหรือไม่"ผมพยักหน้าตอบ...ไม่ได้ทานแกงส้มรสจัดแบบนี้มานานแล้ว ปกติถ้าซื้อตามร้านข้าวแกงก็จะได้แกงส้มน้ำใสแจ๋วรสชาติเฝื่อนๆมาแทน

"ดีแล้ว กินให้มาก ตัวสูงเสียเปล่าแต่ผอมบางนัก"รู้สึกเหมือนกำลังโดนด่า...จะว่าไปผมก็ไม่ได้ผอมนะครับ ยิ่งตอนอยู่เรือนเจ้าคุณแล้วต้องทำงานเยี่ยงทาส ผมว่าตัวผมหนาขึ้นพอสมควรเลย แม้มันจะแค่อาทิตย์เดียวก็เถอะ...แต่ถ้าเทียบกับคุณหลวง ผมก็ผอมกว่าจริงๆล่ะ...แล้วยังความสูงที่ผมคิดว่า177ของผมนี่มันก็สูงแล้ว แต่พอมายืนกับคนตรงหน้าผมดันต้องหน้าเงยหน้าคุยกับเขาเสียนี่...หลวงพิสิษฐไม่ได้มีร่างกายกำยำเหมือนมิ่งหรือพี่สนที่ต้องใช้แรงงานทุกวัน แต่เขาก็ดูสูงโปร่งสมส่วนตามแบบคนไทยแท้ๆ


"คุณหลวงอยู่บ้านนี้กับเจ้าคุณไพศาลสองคนเหรอครับ"ผมมองรอบห้องอีกครั้ง...เรือนของเจ้าคุณไพศาลกว้างขวางนัก แต่เท่าที่ผมได้ยินมาท่านกลับอยู่กันแค่สองคนกับคุณหลวง

"ใช่...แต่ก็ยังมีบ่าวไพร่ของเจ้าคุณอีก"เจ้าตัวเพียงแค่ตอบกลับเสียงเรียบ

"แล้วคุณหลวงไม่มีพี่น้องเหรอ"

"ไม่มีหรอก"

"แล้วคุณหญิงของเจ้าคุณไพศาลล่ะ"

"ท่านเสียไปเมื่อสองปีก่อน"

"เหงาแย่อยู่กับพ่อแค่สองคน"ผมบ่นอุบ เข้าใจดีว่าการสูญเสียเป็นอย่างไร

"ว่ากระไรนะ"คนตัวสูงหันมาถาม สีหน้าแปลกใจ

"ผมบอกว่าเหงาแย่เลย ต้องอยู่กับพ่อแค่สองคน"ก็ว่าพูดเสียงดังแล้วนะ ไม่ได้ยินรึไง...แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นเสียงหัวเราะเบาๆของอีกฝ่ายแทน

"พ่อธีร์นี่...เห็นทีจักชอบคิดไปเอง"เอ้า อยู่ดีๆโดนด่าเสียงั้น...ผมขมวดคิ้วมองหน้าคนตัวสูงที่ยังนั่งอมยิ้มอยู่

"เวลาสงสัยอะไร ให้ถาม มิใช่สรุปเอาเอง เข้าใจไหม"เป็นคำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างเลยแม้แต่น้อย

"เจ้าคุณไพศาลไม่ใช่พ่อเรา...ท่านรับเรามาเลี้ยงตั้งแต่เด็กเพราะพ่อกับแม่เราเสียไปตั้งแต่เรายังจำความไม่ได้...แต่ท่านก็เอ็นดูเราเหมือนลูกหลานคนหนึ่งอย่างที่พ่อธีร์ว่า"ผมเงียบสนิทกับคำตอบที่ได้รับ...อย่างน้อยผมที่เสียครอบครัวไปตอนอายุ14 ยังมีความทรงจำและความประทับใจของพ่อกับแม่ให้คิดถึงอยู่บ้าง...แต่กับเขาคนนี้...ไม่มีเลย...


"พ่อธีร์...เป็นอะไรหรือเปล่า"มือที่เอื้อมมาแตะแขนเบาๆทำให้ผมหลุดจากภวังค์...ผมส่ายหน้าตอบทันที

"เปล่าครับ...คือ...ผมขอโทษ"อีกฝ่ายขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม

"ก็...เรื่องพ่อแม่คุณหลวง"

"ปัดโธ่ นึกว่าเรื่องอะไร...เราไม่คิดอะไรหรอก เรื่องมันผ่านมานานจนเราเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว"ใบหน้าคมเข้มเจือรอยยิ้มบางๆเช่นเคย มือข้างเดิมยังคงแตะอยู่ที่แขนของผม

"ไม่คิดแล้วนะพ่อ กินข้าวต่อเถิดเดี๋ยวเย็นเสียหมด"พูดพลางตักน้ำพริกในถ้วยให้ผมอีก...แล้วเราก็นั่งทานมื้อกลางวันกันอย่างเงียบๆแบบนั้น...
.

.

.

ช่วงบ่ายพวกผมยังคงหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน...เอกสารมากมายก่ายกองนี่ถึงจะพยายามเรียบเรียงนานเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ดูน้อยลงสักที...ผมนั่งอ่านทั้งเอกสารจากกรมและหนังสือต่างๆที่ถูกเขียนขึ้นในสมัยนั้น...ได้รับความรู้ใหม่ๆที่ยังไม่ได้เรียนมาก่อน...แถมยังได้คนข้างๆที่ปากบอกว่าไม่ค่อยจะรู้เรื่องทางการปกครอง แต่พอถามอะไรกลับตอบได้เกือบหมดเสียนี่ จะมีก็แต่ศัพท์เฉพาะทางภาษาอังกฤษบางคำที่ยังต้องถามผม ส่วนความรู้ด้านอื่นๆไม่ต้องพูดถึงครับ ยิ่งรายละเอียดในเอกสารหรือหนังสือ แกตอบผมได้เป็นฉากๆ

"แน่ใจเหรอครับว่าไม่ได้เรียนด้านนี้"ผมเลิ่กคิ้วถาม หลังฟังคนตรงหน้าอธิบายเรื่องสนธิสัญญาเบาริ่งที่ถูกทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่4อย่างละเอียดยิบ

"ไม่ได้เรียน"ตอบกลับเพียงสั้นๆแค่นั้น

"แล้วทำไมรู้เรื่องเยอะ"ผมยังถามต่อ...คนตัวสูงที่ยังนั่งอยู่กับโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้นมามอง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าเช่นเคย

"พ่อรู้ไหมว่าหนังสือน่ะ ถ้าวางไว้เฉยๆเราก็จักมิได้ความรู้จากมัน...ถ้าอยากได้ความรู้จากมันเราก็ต้องหยิบมันขึ้นมาอ่าน"นอกจากความรู้แน่นแล้ว ยังเจ้าสำบัดสำนวนอีกต่างหาก...แค่บอกว่าอ่านหนังสือมาเยอะก็เข้าใจแล้ว

"เราสนใจด้านนี้ตั้งแต่เล็ก แต่เจ้าคุณท่านว่าอยากรู้อะไรก็จะสอนให้ ท่านอยากให้เราเรียนด้านการศึกษา ท่านว่าเอาไว้สอนลูกหลานให้มีวิชาติดตัว เติบใหญ่ไปจะได้มิลำบากเหมือนคนรุ่นก่อน ส่วนเรื่องการบ้านการเมือง ท่านก็สอนให้ เราถึงได้พอมีความรู้ทางนี้บ้าง"

"ผมนึกว่าคุณหลวงทำงานอยู่กรมเดียวกับเจ้าคุณทั้งสองซะอีก"ผมว่าพลางนึกถึงตอนที่เจ้าคุณจิตราบอกว่าเจอหลวงพิสิษฐที่กรม

"มิใช่หรอก แต่ช่วงนี้เจ้าคุณไพศาลท่านขอตัวเราจากกรมให้ไปช่วยงานบ้าง"ตอบเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

"อยากรู้อะไรอีกไหม"ผมมองอีกฝ่ายที่นั่งจ้องหน้าผมนิ่ง...ผมเลยได้แต่ส่ายหน้าตอบรัวๆ

"จะได้ทำงานต่อเสียที"สรุปจะหาว่าผมทำให้เสียเวลาทำงานใช่ไหมครับ!

"ขอโทษที่รบกวนขอรับ"ได้ทีเลยกวนประสาทกลับบ้าง...ผมแอบเห็นคนตรงหน้ากลั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

"พ่อนี่แปลกนัก...เอาไว้ทำงานเสร็จเล่าให้เราฟังหน่อยเถิดว่าพ่อมาจากที่ใด ถ้อยวาจาแลการแต่งตัวถึงได้ดูมิเหมือนชาวพระนครเอาเสียเลย"กำลังหาว่าผมเป็นของแปลกอยู่สินะ

"ถ้าอยากรู้ก็ทำงานก่อนเถิดพ่อ เดี๋ยวกระผมจะแถลงให้ฟัง"ผมแกล้งเลียนสำเนียงโบราณของอีกฝ่าย จนอีกฝ่ายหลุดขำออกมาเบาๆ



การได้นั่งทำงานกับหลวงพิสิษฐทั้งวันทำให้ผมค้นพบว่า นอกจากความรู้ที่ได้เรียนมาบวกกับความสนใจด้านการปกครองที่เจ้าคุณไพศาลสั่งสอนเพิ่มเติม คุณหลวงยังมีความรู้รอบตัวด้านอื่นอีกมาก...เขาเล่าว่าได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายปีเลยมีทักษะด้านการใช้ภาษา ทำให้เจ้าคุณไพศาลไว้ใจให้เป็นคนสนิท เวลามีงานเลี้ยงกับแขกเหรื่อต่างชาติก็มักจะพาหลวงพิสิษฐไปด้วยเสมอ เหตุเพราะคุณหลวงแกเข้ากับคนได้ง่าย แถมยังมีเรื่องให้คุยกันไม่รู้จบ...



ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมากแล้ว...แต่พวกผมก็ยังขลุกอยู่ในห้องทำงานห้องเดิม...คนตัวสูงที่นั่งคัดลอกเอกสารมาหลายชั่วโมงเหยียดแขนขึ้นบิดไล่ความเมื่อยล้าบ้าง ส่วนผมตอนนี้ลงมานั่งชันเข่าหลังพิงโต๊ะอยู่ข้างๆ พลางหยิบหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน...จะมีแค่เวลาที่คนบนโต๊ะคัดลอกเอกสารเสร็จก็จะยื่นมาให้ผมช่วยตรวจทานทีละแผ่นสองแผ่น...จริงๆถ้าลายมือผมสวยกว่านี้ผมคงอาสาช่วยแกเขียนไปแล้วล่ะ

"คุณหลวงเจ้าคะ...พวกเด็กๆมารอกันที่ท่าน้ำแล้วเจ้าค่ะ"เสียงบ่าวผู้หญิงคนเดียวกับที่มารับผมที่ท่าน้ำดังขึ้นตรงหน้าประตู...ผมละสายตาจากหนังสือตรงหน้าแล้วหันไปมองเจ้าของชื่อเล็กน้อย

"วันนี้พอก่อนเถิด...วันพรุ่งค่อยมาทำต่อ"เจ้าตัวว่าพลางวางปากกาขนนกลงที่ข้างขวดหมึก...ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเดินตามเจ้าของบ้านออกมาด้านนอก...เพิ่งสังเกตว่าเย็นมากแล้วเพราะตอนนี้แสงอาทิตย์สีส้มสาดแสงส่องกระทบกับแม่น้ำตรงหน้าจนกลายเป็นสีทองไปทั่ว

"คุณหลวงแก้ว...คุณหลวงแก้ว"เสียงเจื้อยแจ้วจากเด็กกลุ่มย่อมๆที่ยืนโบกไม้โบกมือมาทางหน้าเรือนเรียกให้เจ้าของชื่อรีบเดินออกไปหาทันที

"มากันแล้วรึ...วันนี้อยากเรียนเรื่องอะไรเล่า"พูดพลางอุ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็กสุดในกลุ่มขึ้นมา...ผมมองรอยยิ้มหวานนั้นที่ถูกล้อมรอบด้วยเด็กเล็กๆสี่ห้าคนแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้...แสงยามเย็นที่ส่องกระทบแม่น้ำเจ้าพระยาตรงหน้านั้น ยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าสวยงามขึ้นไปอีก

"อยากเรียนภาษาไทยเจ้าค่ะ"เสียงเด็กตัวเล็กเกล้าผมมวยสูงที่ถูกอุ้มอยู่เจื้อยแจ้วตอบ พร้อมกับลูกคู่อีกสามสี่คนที่ยกไม้ยกมือสนับสนุนพลางส่งเสียงดัง

"ภาษาไทยหรือ...เอ้า ภาษาไทยก็ภาษาไทย"คุณหลวงหนุ่มเอ่ยตอบพลางเดินนำเด็กๆไปที่ท่าน้ำ ก่อนจะหันกลับมามองผมที่เพิ่งเดินตามออกมา

"กลับเลยหรือไม่พ่อ...เราจักให้บ่าวพายเรือไปส่ง"ใจจริงก็อยากอยู่ต่อเพราะสนใจกับสิ่งตรงหน้า แต่เมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้วกลัวจะมืดเสียก่อนเลยต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้



"ขอบคุณพ่อธีร์มากที่มาช่วยเราวันนี้"ไม่รู้ว่าผมได้ยินคำขอบคุณเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว ขณะที่ผมกำลังก้าวลงเรือที่มีบ่าวผู้ชายนั่งคอยอยู่...ผมแค่พยักหน้ารับเบาๆก่อนจะลงไปนั่งอยู่บนเรือ มองขึ้นไปที่ท่าน้ำ...คนตัวสูงยังคงยืนรอส่ง ด้านหลังเป็นเด็กตัวเล็กๆสี่ห้าคนที่นั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดานชนวน

"ผมไปล่ะ พรุ่งนี้จะมาใหม่ครับ"กล่าวลาเจ้าของบ้านแต่ยังไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ตามมารยาทคนไทย ก่อนที่เรือจะค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่า หันกลับไปมองก็ยังเห็นหลวงพิสิษฐยืนมองส่งอยู่ที่ท่าน้ำ ก่อนจะหันกลับไปสนใจกลุ่มเด็กๆตามเดิม

...............................................................................

ยาวหน่อยนะเจ้าคะตอนนี้...บ่าวก็แต่งไปยิ้มไป  :heaven
เอาคุณหลวงกับพ่อธีร์มาเสิร์ฟเบาๆก่อน...ช่วงนี้ยังว่างมีแรงแต่งจะรีบปั่นนะเจ้าคะ

กราบแทบอกผู้ติดตามทุกท่านค่ะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ..The Timeless Tide..หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VII UP 03/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 03-07-2014 21:48:27
แปะๆๆ น่าติดตามมากกก ชอบเลย

 :L2:    :L2:
หัวข้อ: Re: ..The Timeless Tide..หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VII UP 03/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 03-07-2014 22:54:06
ชอบแนวนี้ TT โครต >< ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ..The Timeless Tide..หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VII UP 03/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-07-2014 23:52:09
 o13


รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ..The Timeless Tide..หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VII UP 03/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 04-07-2014 15:48:59
อ้าว คุณหลวงเป็นเด็กกำพร้าหรออ ? 
พ่อธีร์น่ารัก
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ..The Timeless Tide..หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VII UP 03/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: เฉื่อย ที่ 04-07-2014 19:20:11
ชอบแนวพีเรียดแบบนี้จัง
เนื้อเรื่องเรื่อยๆ สบายๆ อบอุ่นๆ

ชอบผู้ชายแบบคุณหลวงแก้วอ่ะ(แต่สมัยนี้คงไม่มี) :heaven
หัวข้อ: Re: ..The Timeless Tide..หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VII UP 03/07/14!!
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 04-07-2014 22:31:02
Chapter VIII...แรกเริ่มของความรู้สึก


"เหนื่อยมั้ยมึงงงงง"เสียงกวนของไอ้แชมป์เอ่ยขึ้น...ผมที่กว่าจะกลับมาถึงเรือนก็มืดเสียแล้ว แถมตอนกลับมาถึงยังเดินกลับไปเรือนบ่าวหน้าตาเฉย จนไอ้มิ่งกับพี่สนต้องเตือนสติให้อีกรอบว่าตอนนี้แกช่วยกันย้ายของผมกับไอ้แชมป์ขึ้นไปบนเรือนเรียบร้อย...แต่ผมก็ยังไม่ค่อยชินอยู่ดี

"ไม่เหนื่อย แต่โคตรง่วง...เห็นแต่ตัวหนังสือจนตาลาย"ผมตอบไอ้แชมป์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง...เจ้าคุณให้พวกผมมาอยู่ที่ห้องของคุณดาวเรืองลูกสาวคนโต เพราะเธอแต่งงานย้ายออกไปตั้งแต่ต้นปี ส่วนเจ้าคุณแกไปนอนที่ห้องหนังสือเพราะคุณพิกุลเธอไปนอนกับคุณหญิงสร้อยแทน

"เหมือนกูเลยว่ะ...ทั้งอังกฤษทั้งฝรั่งเศส...ดีนะกูยังคืนอาจารย์ไปไม่หมด"ไอ้ตัวดีว่า ในมือมันยังถือหนังสือภาษาฝรั่งเศสที่เจ้าคุณให้กลับมาอ่านเป็นการบ้าน

"อย่ามาเนียนครับเชี่ยแชมป์...มึงลงมานอนข้างล่างนี่"ผมหันไปเห็นไอ้แชมป์มันทิ้งตัวลงบนเตียงสี่เสาต่อหน้าต่อตา

"มาก่อนได้ก่อนเว้ย...มึงแหละนอนข้างล่าง วันนี้กูทำงานเหนื่อย"

"เหนื่อยเชี่ยไร แค่ตื่นเช้าเดินขึ้นเรือน กูนี่ต้องนั่งเรือไปกลับเป็นชั่วโมงๆ"ผมบ่นไปงั้น เพราะจริงๆแล้วการได้นั่งเรือชมความงามของสองฝั่งแม่น้้ำไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย

"เหนื่อยนักก็นอนเรือนโน้นดิ จะกลับมาแย่งเตียงกูทำไมวะ"มันพูดลอยๆพลางนอนกระดิกเท้าอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์

"บ้านกูซะที่ไหนครับสัส"เดินไปโบกหัวมันสักรอบ โทษฐานทำหน้ากวนประสาท

"นี่ก็ไม่ใช่บ้านมึงเหมือนกัน"

"แล้วนี่มันบ้านมึงเหรอ"ยังเถียงต่อ

"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง"มันหันมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผม ผมรู้ทันทีว่ามันหมายถึงอะไร

"ถุ้ยยยย ปากดี"

"ฮ่าๆ กูล้อเล่น...มาๆนอนด้วยกันนี่แหละเตียงออกจะกว้าง"มันว่าพลางกระเถิบตัวหลบไปอีกทาง ตบเตียงปุๆให้ผมไปนอนด้วย

"มึงชอบนอนถีบกูอ่ะ"ไอ้แชมป์นี่ตัวนอนดิ้นเลยครับ ขนาดเตียงห้องผมที่น้องๆคิงไซส์ นอนด้วยกันสองคนมันยังสามารถถีบผมตกเตียงได้

"กูไม่ถีบแล้ว มาๆ นอนได้ละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไม่ใช่เหรอไง"ขี้เกียจเถียงกับมันต่อ เลยทิ้งตัวลงบนที่ว่างบนเตียงอีกฝั่งแทน

"แชมป์"ผมเรียกชื่อคนข้างๆ...มันละสายตาจากหนังสือตรงหน้ามามอง

"เมื่อคืนกูฝันถึงอานิด"ผมเล่าสั้นๆ...ภาพอานิดที่ฟุบหน้าลงร้องไห้บนโต๊ะนั้นผมยังจำได้ดี

"กูรู้มึงคิดมาก...แต่เราทำอะไรไม่ได้ตอนนี้...เพราะงั้นทำใจให้สบายซะ...อานิดแกไม่เป็นไรหรอก"ไอ้แชมป์วางหนังสือลงบนโต๊ะหัวเตียงใกล้กับตะเกียงที่ให้แสงสว่างแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ

"ผมมึงยาวละนะ ให้ใครตัดให้หน่อยดีมั้ยวะ แม่งอย่างกับผู้หญิง เดี๋ยวกูนอนๆอยู่เผลอปล้ำทำไงวะเนี่ย"แล้วดูมัน เข้าโหมดซึ้งได้ไม่ถึงสองนาทีกวนประสาทกูอีกจนได้

"สัส! ยาวยังไงกูก็ยังหล่อเว้ย ไม่เกรียนเหมือนมึง หึหึ"ผมปัดมือมันทิ้งก่อนจะเสยผมให้เข้าที่เข้าทาง...จะว่าไปมันก็ยาวขึ้นมากจริงๆ ด้านหลังผมแทบจะรวบเป็นหางม้าสั้นๆได้แล้ว

"สบายหัวจะตาย แทบไม่ต้องสระผม"แล้วมันยังประจารความโสโครกของตัวเองให้ผมฟังอีก

"พอๆ นอนได้ละมึง...กูง่วงงงง"ผมผลักหัวเกรียนๆของมันที่พยายามยื่นเข้ามาไถใกล้ๆจมูกไปอีกทาง




"แชมป์"


"เมื่อกี้ใครมันบอกจะนอนวะ"เจ้าของชื่อที่นอนตะแคงหันหลังให้ผมอยู่พลิกกลับมาถาม

"มีไรว่ามาอย่ามาลีลา"

"กูดีใจว่ะ ที่มีมึงอยู่ที่นี่กับกู"ผมเห็นหน้ามันนิ่งไปเล็กน้อยไม่ต่อปากต่อคำเหมือนปกติ

"ถ้ากูต้องมาที่นี่คนเดียวกูคงไม่รู้จะทำไง"นั่นเป็นคำสารภาพจากใจของผม...แชมป์รู้จักผมดีกว่าใคร การที่ผมจะยอมแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นแทบเป็นไปไม่ได้...ทุกคนรู้จักชลนธีร์ที่เข้มแข็ง...ดูแลตัวเองได้...และไม่เคยขอความช่วยเหลือใคร แม้แต่อาแท้ๆของตัวเอง...มีแต่มัน...ที่เคยเห็น...ถึงผมจะแสดงออกไม่บ่อยนัก แต่มันก็รู้ดี

"อย่ามาทำเสียงอ่อย มึงมันเก่ง ไม่มีกูมึงก็อยู่ได้"มันตอบเสียงเรียบ ราวกับพยายามให้กำลังใจ

"เออกูรู้...แต่มันก็ดีกว่า หึหึ"

"นอนครับนอน...ชวนกูคุยอยู่ได้ จะได้นอนกันมั้ยวันนี้"มันว่าพลางดึงผ้าห่มไปทั้งผืนแล้วนอนหันหลังให้ผมเหมือนเดิม...ผมได้แต่หัวเราะอาการ-เขิน-ของมันก่อนจะหลับตาลงบ้าง...พรุ่งนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะเลยนะไอ้ธีร์...
.

.

.

.
...เช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องอาศัยมิ่งพายเรือไปส่งที่บ้านเจ้าคุณไพศาลเหมือนเคย...วันนี้พี่สนแกไม่ว่างเพราะต้องออกไปช่วยป้าน้อยถือของที่ตลาดแต่เช้า...

"เหนื่อยไหมวะอ้ายธีร์...เอ้ย พ่อธีร์"มิ่งถามขึ้นด้วยความสับสนในสรรพนามทำเอาผมหัวเราะออกมาเบาๆ

"เรียกเหมือนเดิมก็ได้มิ่ง...ผมก็ยังเป็นไอ้ธีร์คนเดิมนั่นแหละ"ผมที่ยังนั่งชมธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำหันไปบอกมันที่ได้แต่ยกมือลูบหัวตัวเองแก้เก้อ

"มันจะมิงาม...ข้าเป็นบ่าว"

"ผมก็ไม่ได้มียศอะไรมากไปกว่ามิ่งหรอก...เรียกเหมือนเดิมเถอะ ยังไงมิ่งก็เป็นเพื่อนผมคนหนึ่งนะ"ผมหันกลับไปยิ้มให้คนตัวใหญ่ที่พายเรืออยู่ด้านหลัง...เจ้าตัวเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น

ฝีพายของมิ่งดูจะคล่องแคล่วกว่าพี่สน เพราะใช้เวลาเพียงไม่นานจากเรือนเจ้าคุณจิตรา มิ่งก็พาเรือมาจอดเทียบท่าเรือนเจ้าคุณไพศาลเสียแล้ว...จะต่างจากเมื่อวานก็ตรงที่...คนที่มารอรับผมวันนี้ไม่ใช่บ่าวผู้หญิงคนเดิม...แต่เป็นคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ท่าน้ำนี่ต่างหาก!

"สวัสดีขอรับคุณหลวง"มิ่งยกมือไหว้คุณหลวงหนุ่มที่ละสายตาจากหนังสือตรงหน้าเมื่อเห็นเรือของผมมาเทียบท่า...วันนี้หลวงพิสิษฐสวมเสื้อสีขาวเหมือนเคย ต่างแค่กางเกงผ้าแพรมันวับสีน้ำเงินเข้ม

"อ้ายสนไม่ได้มารึวันนี้"หลวงพิสิษฐเอ่ยถาม

"อ้ายสนไปตลาดกับป้าน้อยขอรับ...กระผมขอตัวกลับก่อนนะขอรับ"ว่าพลางยกมือไหว้

"ขอบคุณนะมิ่ง"ผมที่ตอนนี้ขึ้นมายืนริมท่าน้ำเรียบร้อยเอ่ยขอบคุณ มิ่งหันมายิ้มรับก่อนจะแจวเรือกลับไปทางเดิม



"หิวหรือไม่"แล้วนี่มันช่างเป็นคำทักทายที่ไพเราะเสนาะหูและเหมาะสมอะไรเช่นนี้...ผมประชดครับ...ไม่มีอรุณสวัสดิ์อะไรทั้งนั้นเลยหรือพ่อคุณ

"ทานมาแล้วครับ"ผมตอบกลับ

"วันนี้ดูแปลกตาไปนะพ่อ"พูดพลางเหยียดยิ้มบางๆที่ผมรู้สึกว่ากวนพิลึก...แน่ล่ะสิ ก็วันนี้ผมแต่งตัวเหมือนคนบางคนแถวนี้ไม่มีผิด เพราะเจ้าคุณจิตราเพิ่งให้บ่าวเอาเสื้อผ้ามาให้เมื่อคืน ท่านว่าเห็นผมกับไอ้แชมป์ใส่แต่ชุดเดิมๆเกือบทุกวัน...แต่ผมก็ยังหนีบแตะคู่ใจมาอยู่ดี เพราะมันใส่สบายกว่า

"แล้วจะมองอีกนานไหมพ่อ"เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องไม่เลิกเลยสวนกลับด้วยภาษาโบราณเสียเลย...เจ้าตัวเลยได้แต่หัวเราะเบาๆก่อนจะหันไปหยิบหนังสือที่อ่านทิ้งไว้เมื่อครู่

"อ่านอะไรอยู่ครับ"ถามไปอย่างนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องการบ้านการเมืองเหมือนเคย

"รามเกียรติ์น่ะ"ห้ะ! อารมณ์ไหนของเขา

"คุณหลวงนี่สนใจหลายเรื่องจริงนะ"พูดพลางเดินตามคนตัวสูงกว่าเข้าไปในเรือน

"อยู่ว่างๆ หยิบฉวยอะไรได้ก็เอามาอ่าน"ตอบกลับเสียงเรียบเหมือนเคย

"พ่อรู้หรือไม่ว่านางสีดาเป็นธิดาของทศกัณฑ์"

"เฮ้ย จริงดิ!"ความรู้ใหม่ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนทำเอาผมเผลอร้องเสียงดัง

"จริงสิ...ตอนแรกเกิด ภิเภกทำนายว่านางสีดาจักนำภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่วงศ์ยักษ์ ทศกัณฐ์จึงสั่งให้นำนางสีดาใส่ผอบลอยน้ำไป...เมื่อกลับมาพบกันอีกคราทศกัณฐ์ไม่รู้ว่านางสีดาเป็นธิดาจึงเกิดหลงรัก กลายเป็นเรื่องราวตามหนังสือ"ผมไม่รู้ว่าควรทึ่งกับเรื่องราวของรามเกียรติ์หรือความรู้รอบตัวของคนเล่าเรื่องดี...อยากจะถามเหลือเกินว่าวันๆอ่านหนังสือสักกี่เล่ม

"แล้วคุณหลวงชอบตอนไหนในเรื่องที่สุด"ตอนนี้ผมเข้ามาถึงห้องทำงานห้องเดิม แล้วก็ต้องสะดุดตาเข้ากับเก้าอี้หวายที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะทำงานของหลวงพิสิษฐ...เมื่อวานยังไม่มีเลยนี่

"เมื่อวานเห็นพ่อนั่งกับพื้นดูท่าไม่ค่อยสบายนัก เลยให้บ่าวยกเก้าอี้มาให้ จักได้ไม่เมื่อยตัว"รอยยิ้มหวานเช่นเคย ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะทำงานตามเดิม...ผมเลยทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หวายข้างๆพลางเอื้อมมือหยิบเอกสารสองสามแผ่นบนโต๊ะขึ้นมาดู

"เมื่อครู่พ่อถามว่าเราชอบตอนใดในเรื่องรึ..."ผมละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้าขึ้นมอง ก่อนที่หลวงพิสิษฐ์จะร่ายบทกลอนในหนังสือโดยที่ไม่ต้องหยิบมันขึ้นมาอ่านแม้เพียงตัวอักษรเดียว...



“สุดเอยสุดสวาท  โฉมประหลาดล้ำเทพอัปสร
 ทั้งวาจาจริตก็งามงอน  ควรเป็นนางฟ้อนวิไลลักษณ์
 อันซึ่งธุระของเจ้า  หนักเบาจงแจ้งให้ประจักษ์
 ถ้าวาสนาเราเคยบำรุงรัก  ก็จะเป็นภักษ์ผลสืบไป
 ตัวพี่มิได้ลวนลาม  จะถือความสิ่งนี้นี่ไม่ได้
 สาวสวรรค์ขวัญฟ้ายาใจ  พี่ไร้คู่จะพึ่งแต่ไมตรี”
.

.

...ผมนั่งฟังคุณหลวงหนุ่มร่ายกลอนยาวจนได้แต่กระพริบตาปริบๆ...ถึงผมเองไม่ได้มีความรู้เรื่องวรรณคดีหรือบทกลอนเหล่านี้มากมายนัก...แต่บทที่หลวงพิสิษฐร่ายให้ฟังมันช่างเพราะเสียเหลือเกิน

"พ่อธีร์"เสียงนุ่มเรียกอีกครั้งปลุกผมจากภวังค์...สะดุ้งโหยงหันไปมองคนข้างๆ

"ห้ะ"

"เป็นอะไร หน้าแดง ไม่สบายรึ"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหนี...หน้าแดง?...ผมเนี่ยนะหน้าแดง

"ปะ เปล่าครับ!...ละ แล้วทำไมคุณหลวงถึงชอบบทนี้ล่ะ"ผมรีบเปลี่ยนเรื่องถามกลับตะกุกตะกัก

"ก็มันตลกน่ะซี...บทนี้ยักษ์นนทกใช้เกี้ยวพระนารายณ์ที่จำแลงลงมาเป็นนางอัปสร...สงสารเจ้ายักษ์ช่างโง่เสียจริง"ไอ้เราก็นึกว่าชอบเพราะเป็นบทจีบสาว...ที่แท้ชอบเพราะตลกในความโง่ของตัวละครเสียงั้น

"เจ้าบทเจ้ากลอนแบบนี้ สาวๆหลงแย่นะครับคุณหลวง"ได้ทีเลยแซวกลับบ้าง เห็นนิ่งๆแบบนี้แต่เจ้าสำบัดสำนวนนัก..สงสัยสาวๆในพระนครคงติดใจกันเป็นแถว

"เรารึ...ไม่หรอก...ทำแต่งานใครเขาจักมาแล"มีตัดพ้อต่อว่าด้วยเว้ย

"อ้าว แล้วคุณพิกุลล่ะ เห็นใครๆเค้าก็ว่า..."

"ว่ากระไรรึ"ยังไม่ทันพูดจบประโยคดีคนตัวสูงก็ขัดขึ้นเสียก่อน

"ก็ว่าคุณหลวงกับคุณพิกุลเป็นคู่หมายกันน่ะสิ"ผมอ้อมแอ้มตอบ...แต่อีกฝ่ายได้แต่ขมวดคิ้วแน่น

"มิใช่หรอก...พ่อก็อย่าพูดไป ใครมาได้ยินเข้าแม่พิกุลเขาจะเสียหาย"ว่าพลางจรดปากกาบนกระดาษเพื่อคัดลอกเอกสารต่อ...ดูท่าทางแปลกพิกลเวลาพูดถึงเรื่องคุณพิกุล แต่ผมไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
.

.

.

.
"นี่แผ่นสุดท้ายแล้ว"หลังจากใช้เวลาในห้องทำงานตั้งแต่เช้าจนเกือบบ่าย...หลวงพิสิษฐก็ยื่นกระดาษอีกแผ่นมาให้ผมดู

"เสร็จหมดแล้วเหรอ"ผมตรวจทานตัวอักษรบนแผ่นกระดาษนั้นพลางถามขึ้น

"ยังหรอก...เดี๋ยววันพรุ่งค่อยทำต่อ"เจ้าตัวเอ่ยขึ้นก่อนจะวางปากกาขนนกลงที่เดิม

"อ้าว ทำต่อก็ได้นะคุณหลวง"ผมวางกระดาษแผ่นเดิมลงบนโต๊ะ ไม่มีอะไรต้องแก้ไข

"กลัวพ่อธีร์เบื่อ...ขลุกอยู่แต่ในห้องทำงานเสียตั้งแต่เช้า"แล้วจะมายิ้มพร่ำเพรื่อให้ผมทำไมล่ะนี่

"ไม่เบื่อหรอกครับ...เจ้าคุณจิตราให้มาทำงาน ผมก็ต้องมาทำงานสิ"ผมส่ายหน้าตอบ

"ออกไปนั่งที่ศาลาริมน้ำเป็นเพื่อนเราก่อนแล้วค่อยกลับมาทำต่อก็แล้วกัน...เราเมื่อยมือเสียแล้ว"สรุปที่เลิกทำไม่ใช่เพราะกลัวผมเบื่อ แต่เพราะเจ้าตัวเมื่อยนี่เอง...แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก

"ขี้เกียจก็บอกมาเถอะคุณหลวง หึหึ"ผมเลยแซวกลับบ้าง...อย่างคุณหลวงพิสิษฐก็มีช่วงเวลาขี้เกียจกับเขาเป็นเหมือนกัน

"ดูว่าเข้า...เรานั่งคัดหนังสือตั้งแต่เช้าตั้งไม่รูู้กี่หน้า เราก็เหนื่อยเป็นนะ"แล้วไอ้น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่านี่มันคืออะไรครับ

"ใช่สิ งานผมมันสบายจะตาย แค่นั่งตรวจทานที่คุณหลวงเขียน"เทียบกับผมแล้ว งานคุณหลวงหนักกว่ามากจริงๆ เพราะผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากตรวจทานตัวอักษรและคำแปล ส่วนเวลาที่เหลือก็เอาแต่นั่งอ่านหนังสือเล่มอื่นไปพลางๆ

"เรามิได้ว่าพ่อธีร์เสียหน่อย ทำเป็นใจน้อยไปเสียได้"ว่าพลางลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วจัดแจงกองเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ


'ก็ถ้าลายมือกูดีก็คงช่วยเขียนไปแล้วล่ะเว้ย'ผมบ่นงึมงำกับตัวเอง...ลายมือของผมนี่เข้าขั้นวิบัติ อย่างเวลาเข้าเรียนจดเลคเชอร์มาต้องเอามานั่งเขียนอีกรอบให้เป็นระเบียบ ไม่อย่างนั้นตอนสอบแม้แต่ลายมือตัวเองก็อ่านไม่ออก


"มิต้องช่วยเขียนหรอก...แค่ช่วยดูให้เราก็ขอบใจมากแล้ว"อุตส่าห์บ่นคนเดียวก็ยังจะได้ยินอีก...หูดีไปแล้วนะคุณหลวง

"ไปเถิดพ่อ...พักสายตาเสียบ้าง"ว่าพลางหันมายกยิ้มบางๆให้...ผมชอบมองเวลาแกยิ้ม...ทั้งๆที่หน้าออกเข้ม เวลาอยู่เฉยๆดูเหมือนดุ แต่พอยิ้มกลับดูอ่อนโยน...


....แล้วนี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่?!...


ผมเดินตามหลวงพิสิษฐมาจนถึงศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวหม่นที่ตั้งอยู่ริมน้ำ...ตรงกลางมีโต๊ะไม้สีเดียวกันตั้งอยู่...ริมศาลามีบันไดทอดลงไปที่่ท่าน้ำเล็กๆ...ศาลานี้ตั้งอยู่อีกฟากของเรือน คนละฝั่งกับท่าน้ำใหญ่ที่ผมใช้เป็นประจำ

"ไหนว่าจะพักสายตาไงครับคุณหลวง"คนที่ชวนผมออกมาพักสายตาตอนนี้กลับหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาเปิดอ่านเสียอย่างนั้น

"พักสายตาจากเอกสาร...มิได้บอกว่าพักสายตาจากการอ่านเสียหน่อย...อีกอย่างเราบอกว่าเมื่อยมือ มิได้เมื่อยตา"เผื่อคุณผู้อ่านยังไม่ทราบ...ผมจะได้บอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ไอ้คุณหลวงนี่มัน ที่สุดของความ...กวนตีนหน้านิ่ง...

"เป็นอะไรรึพ่อ...เงียบเชียว"อยากจะด่าแต่ด่าไม่ถูก ก็เลยได้แต่เงียบอย่างนี้ไงล่ะ

"เมื่อวานว่าจักให้เล่าให้เราฟังว่าพ่อมาจากที่ใดก็ลืมเสีย มัวแต่สอนหนังสือเจ้าพวกนั้น"คนตัวสูงยังคงพูดต่อโดยไม่ละสายตาจากหนังสือตรงหน้า

"ว่าอย่างไร"แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมาถาม...ไอ้เราก็นึกว่าแค่ถามลอยๆเห็นมัวแต่สนใจกับหนังสือเล่มหนาอยู่

"แล้วจะฟังหรือจะอ่านล่ะพ่อออออ"กวนมาก็กวนกลับ...อีกฝ่ายไดัแต่หลุดขำออกมาก่อนจะวางหนังสือในมือลง

"ฟังสิ...มิเช่นนั้นจะถามหรือ"ยกยิ้มมุมปากให้ผมอีกสักที


"ที่ๆผมอยู่ เค้าเรียกว่ากรุงเทพ..."ผมเริ่มเล่า พยายามเลี่ยงประเด็นเรื่องย้อนเวลาเพราะถึงพูดไปอีกฝ่ายก็คงไม่เชื่อ แถมจะพาลว่าผมสติไม่ดีไปเสียอีก ผมเห็นคนตัวสูงขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถามอะไร

"กรุงเทพเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย...เป็นเมืองที่เจริญก้าวหน้าทุกอย่าง...เรามีไฟฟ้า...มีน้ำประปา...คลองบ้านเราไม่ได้ใสแจ๋วเหมือนคลองที่นี่...น้ำสีดำเหมือนถ่านแถมยังมีกลิ่นเหม็น"ผมเห็นคนฟังยิ่งขมวดคิ้วหนักเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเล่า

"เรามีเทคโนโลยี...เวลาจะไปไหนมาไหนเราก็ไม่ได้ใช้เรืออย่างเดียว แต่เราใช้รถยนต์ด้วย..."

"ที่ที่พ่อธีร์อยู่มีรถยนต์ด้วยรึ...เราเคยเห็นเมื่อครั้งไปศึกษาที่ต่างประเทศ"คนฟังถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ

"ช่ายยยย...แล้วก็มีรถไฟที่วิ่งบนฟ้า"ผมว่าพลางกลั้นหัวเราะ พยายามทำหน้าจริงจังเต็มที่เมื่อเห็นคนฟังทำหน้าประหลาดพิกล

"รถไฟอะไรวิ่งบนฟ้าได้"

"ก็รถไฟฟ้าน่ะสิ..."ผมหัวเราะเบาๆกับสีหน้าของอีกฝ่าย

"แล้วประเทศไทยนี่มันอยู่ส่วนไหนรึ"คนตัวสูงยังคงมีคำถาม...ผมก็อยากตอบเหลือเกินว่ามันก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ

"อยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอก"แต่ต้องเลี่ยงตอบอย่างเสียไม่ได้

"แล้วพ่อธีร์ชอบที่ใดมากกว่ากัน...กรุงเทพหรือพระนคร"คำถามนี้ทำเอาผมนิ่งสนิท...นั่นสิ ผมชอบที่ไหนมากกว่ากัน ระหว่าง...กรุงเทพ...โลกที่ผมอยู่...โลกของความสะดวกสบาย โลกที่มีเพื่อน มีแฟน มีครอบครัว มีคนรู้จัก...แต่ก็เป็นโลกของความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งชิงดี โลกแห่งความรีบเร่ง โลกที่หมุนเร็วในทุกวินาทีอย่างไม่มีวันหยุด...หรือ...พระนคร...โลกที่ผมไม่รู้จักใครสักคนนอกจากไอ้แชมป์...แต่กลับเงียบสงบ...โลกที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนผมก็เห็นแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง...โลกที่แม้แต่คนไม่รู้จักกันก็ยังยิ้มและทักทายให้กัน...โลกที่ไม่ต้องรีบเร่งอะไรสักอย่าง...เพราะที่นี่ -เวลา- ไม่ใช่ปัจจัยในการดำเนินชีวิต

"ว่าอย่างไร"คนตัวสูงเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเงียบไป...กำลังรอฟังคำตอบ

"ก็คง...ชอบทั้งสองที่มั้ง"

"แล้วกัน...เลือกไม่ได้หรอกรึ"

"ไม่ได้หรอก...เพราะมันไม่เหมือนกันเลย"อย่างที่ผมว่า...สองโลกนี้ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว...ทั้งๆที่มันคือสถานที่เดียวกัน...ต่างแค่เวลาเพียงร้อยปีที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม...

"เราอยากไปกรุงเทพเสียจริง...อยากเห็นรถไฟที่วิ่งบนฟ้า"คำพูดของคุณหลวงทำเอาผมหัวเราะลั่น

"ขำอะไร...ก็พ่อธีร์ว่าที่ที่พ่ออยู่มีรถไฟที่วิ่งบนฟ้า...เราก็อยากเห็นน่ะซี"หันมาขมวดคิ้วถามผมที่หัวเราะจนท้องแข็ง

"ฮะๆ ไม่ได้ขำเรื่องนั้น...แต่คำพูดคุณหลวงมัน โอ๊ย ฮ่าๆๆ"หยุดไม่ได้แล้วครับไอ้ธีร์...ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างหลวงพิสิษฐวรเวทย์จะพูดจาเหมือนเด็กสามขวบเป็นกับเขาเหมือนกัน

"เราพูดอะไรผิดรึ"เจอหน้านิ่งๆแบบนี้เข้าไปผมเลยหยุดขำได้แล้วส่ายหน้าตอบทันที

"ถ้าพ่อธีร์กลับกรุงเทพเมื่อใด อย่าลืมบอกเราบ้าง...เราอยากไปเห็นกรุงเทพเหลือเกิน"แล้วประโยคนั้นก็ทำให้ผมเงียบสนิท...กลับกรุงเทพอย่างนั้นหรือ...ถ้ามันทำได้ง่ายๆเหมือนนั่งรถทัวร์จากเชียงใหม่เข้ากรุงเทพก็คงจะดี...แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับไปได้อย่างไร...แล้วถึงผมกลับไปได้ ผมจะได้กลับมาที่นี่อีกไหมก็ยังไม่รู้

"คิดอะไรอยู่หรือพ่อ"เป็นอีกครั้งที่เสียงนุ่มคุ้นหูปลุกผมจากภวังค์ความคิด ผมได้แต่ส่ายหน้าตอบอีกฝ่าย

"พ่อธีร์เหมือนมีอะไรในใจ...หากมีอะไรที่เราช่วยได้ขอให้บอกเถิด"มือใหญ่แตะลงที่บ่าของผมเพียงเบาๆเป็นเชิงปลอบ...ผมมองตามมือนั้นไล่ไปถึงใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่าย...แม้เรียวปากนั้นจะไม่ได้ยิ้มเหมือนเคย แต่แววตาช่างอ่อนโยนยิ่งนัก

"ผมไม่เป็นไรหรอก...ขอบคุณนะ"ยิ้มบางๆตอบไปคงพอให้คลายกังวลได้บ้าง แต่ดวงตาคมคู่นั้นยังจ้องมาที่ผมไม่วางตา...น่าแปลกที่ความยียวนกวนประสาทถูกแทนที่ด้วยแววตาจริงจังนี่แทน

"ม่ะ...ไม่อ่านหนังสือต่อแล้วเหรอคุณหลวง"รีบเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนเลยพอดึงสติของอีกฝ่ายกลับมาได้บ้าง ก่อนจะยกมือที่วางอยู่บบนบ่านั้นออกแล้วกลับไปสนใจหนังสือตรงหน้าแทน...ผมแอบเห็นรอยยิ้มบางเบื้องหลังหนังสือเล่มหนานั้น...แล้วก็อดยิ้มตามเสียไม่ได้...ชั่วขณะหนึ่งของความคิด...


...ผมอยากเห็นรอยยิ้มนี้ไปนานๆ...
.

.

.

.
"พรุ่งนี้มิต้องมาที่เรือนหรอก...เจ้าคุณไพศาลจักไปหาเจ้าคุณจิตราที่เรือน เราต้องตามท่านไปด้วย"เวลาล่วงเลยมาถึงยามเย็น ในที่สุดคนตรงหน้าก็วางหนังสือเล่มหนาลงแล้วหันมาบอกกับผมที่ตอนนี้ลงมานั่งเล่นริมท่าน้ำ...บรรยากาศยามเย็นริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาช่างสวยงามจนผมอยากจะหากล้องดิจิตอลสักตัวมาบันทึกภาพเอาไว้...ฝั่งตรงข้ามเรือนเป็นวัดเก่าแก่เรียงรายด้วยบ้านเรือนทรงโบราณและถูกแซมด้วยสีเขียวของต้นไม้ใหญ่...ที่นี่ต้นไม้เยอะ ไม่เหมือนกรุงเทพยุคปัจจุบันที่จะมองไปทางไหนก็เห็นแต่สายไฟ...เรือเล็กเรือน้อยพายอ้อยอิ่งอยู่กลางแม่น้ำ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีมลภาวะ...แสงแดดยามเย็นยิ่งสาดส่องให้ภาพตรงหน้าสวยงามนัก...

"งามไหมพ่อ"เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นใกล้ๆ ผมหันไปมองหลวงพิสิษฐที่ตอนนี้มานั่งอยู่ข้างผมเสียแล้ว

"สวย...สวยมาก"ผมพยักหน้ารับ...ยังคงมองภาพตรงหน้าไม่วางตา

"เราเคยไปมาหลายที่...แต่จักหาที่ใดงามเสมือนพระนครหามีไม่"คนข้างๆเอ่ยต่อพลางทอดสายตาสู่แม่น้ำเบื้องหน้า...ดวงตาคมเข้มสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายวิบวับ...สันจมูกโด่งรับกับริมฝีปากหยักได้รูปที่ยกยิ้มบางๆ...เป็นถึงคุณหลวงแต่กลับนั่งบนพื้นท่าน้ำอย่างไม่ถือตัว แถมยังพับขากางเกงแพรแล้วแช่เท้าลงในน้ำอย่างที่ผมทำอีก

"แต่เราอยากเห็นกรุงเทพ...อยากเห็นที่ที่พ่อธีร์อยู่"ประโยคสุดท้ายดังขึ้นพร้อมดวงตาคมเข้มที่หันมา...สบตา...เนิ่นนาน...ราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้...ใบหน้าด้านข้างสะท้อนแสงแดดยามเย็น...งาม...ราวกับรูปปั้น...ทั้งใบหน้า...ทั้งรูปร่างสูงโปร่ง...ราวกับถูกเบื้องบนสรรค์สร้างมาอย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ

"ถ้าพ่อธีร์กลับกรุงเทพแล้วจักมาพระนครอีกไหม"ราวกับถูกใครถีบออกจากภวังค์...ผมละสายตาจากคนตรงหน้า เหม่อออกไปยังแม่น้ำกว้างและไม่มีคำตอบใดๆ...เพียงได้แต่ชมความงามริมฝั่่งแม่น้ำต่อไปเท่านั้น...



'ผมไม่รู้'...เพียงคำตอบในใจที่เอ่ยกับตัวเอง...

.........................................................................

เรื่อยๆมาเรียงๆก่อนนะเจ้าคะ...คนแต่งชอบแบบเนิ่บๆเจ้าค่ะ  :hao6:
เดี๋ยวเขาจะว่าพ่อธีร์ใจเร็วด่วนได้เสียก่อน อิอิ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ (กราบเบญจางคประดิษฐ์) <<< ไม่ใช่ละ :mew5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VIII [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 04-07-2014 22:56:02
อ่านตอนนี้แล้วหน่วงเบาๆ กระซิกๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VIII [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 04-07-2014 23:30:41
ถ้าธีร์ได้กลับไป ก็คงจะมีเสียงเรียก พ่อธีร์ พ่อธีร์ กลับมาๆๆๆๆๆๆ

แลดูหลอน แต่ชอบค่ะ

 :z2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VIII [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 05-07-2014 22:07:15
ขอเมนท์2ตอนรวดนะค้า
ในที่สุดก็มีงานมีการทำกับเค้าสินะ แถมจับถูกคู่ซะด้วย555
แอบอยากรู้ว่าพ่อแก้วเค้าเริ่มชอบพ่อธีร์รึยังนะ
พ่อแก้วดูแบบ ละมุน อ่อนโยน โอ๊ย ชอบ
แต่ด้วยการเล่าเรื่องผ่านพ่อธีร์ เลยทำให้เห็น มุมมอง ความคิด ของพ่อธีร์ชัดอ่ะ
เขินแทน แล้วทำไมพ่อธีร์ต้องหน้าแดง555
ที่คนเขียนบอกว่าแต่งไปยิ้มไป คนอ่านอย่างเรานี่ทั้งยิ้มทั้งกัดปาก
ขำพ่อแก้วนะอยากไปกรุงเทพ พ่อธีร์ก็ฉลาดตอบ
อ่านๆไปแล้วอยากหาร้านนั่งริมน้ำจัง  

พ่อแช่มก็สู้ๆเข้านะ อีกฝ่ายเป็นลูกสาวท่านเจ้าคุณ ผ่านด่านพ่อตาไปก่อนนะจ๊ะ(ทำไมเหมือนเราชอบแกล้งพ่อแช่ม555)

จริงๆแอบชอบโมเมนท์แชมป์ธีร์ด้วยนะ น่ารักดี ใครจะดูแลใครก็ไม่รู้

ป.ล.แล้วโลกยุคปัจจุบันเป็นยังไงหนอ เวลาเดินเท่ากันมั้ย
สงสารอานิด
อ้อ แล้วพ่อแก้วกับคุณพิกุลนี่ทำไมเหรอ พ่อแก้วไม่ชอบแต่โดนยัดเยียดป่าวเนี่ย
รออ่านต่ออยู่ตลอดนะคะ แอบอยากให้คนเขียนแต่งเยอะๆเร็วๆ กลัวเดี๋ยวจะไม่ค่อยว่าง555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VIII [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 05-07-2014 22:56:15
รอตอนต่อไปครับ สนุกมาก  o13


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VIII [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 06-07-2014 03:42:35
Chapter IX...เมื่อสายนธีร์ย้อนกลับ...


"กึก..."รุ่งเช้า...ผมงัวเงียตื่นเพราะเสียงแปลกๆที่ดังขึ้นในห้องนอน...ลืมตามองไอ้ตัวดีข้างๆที่ไม่อยู่บนเตียง...ผมหันซ้ายหันขวา...แล้วนั่น...มันไปมุดหัวทำอะไรอยู่ตรงประตูครับ?...

ผมเดินไปนั่งยองๆอยู่ข้างมันที่ดูท่าว่ายังไม่รู้ตัว...เห็นมันแง้มประตูพลางเงี่ยหูฟังอะไรสักอย่าง...สภาพมันตอนนี้ทุเรศลูกตาผมเสียจริง อยากจะยกเท้าถีบไอ้ก้นโด่งๆนี่ด้วย

"ทำไรวะ"คำถามที่ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงจนหัวกระแทกกับบานประตูอย่างจัง

"โอ๊ย!"แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้เลยรีบปิดประตูไม้ลงให้สนิทตามเดิม พลางหันกลับมาลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ...ผมเห็นรอยแดงบนหน้าผากมันแล้วก็อดขำไม่ได้

"เชี่ยยย ตกใจหมด...มาไม่ให้สุ้มให้เสียง"ดูท่าจะเจ็บมากถึงกับน้ำตาซึมเลยทีเดียว

"โอ๋ๆ ขวัญอ่อนจริงนะมึง...แล้วนี่มาแอบดูอะไร...อย่าบอกนะว่าแอบดูคุณพิกุล"ท้ายประโยคผมหรี่ตามองมันอย่างรู้ทัน

"บ้าดิ กูไม่โรคจิตขนาดนั้น"ไม่ได้แอบมองคุณพิกุล...แล้วมันทำอะไรของมัน

"เจ้าคุณไพศาลกับหลวงพิสิษฐมา"คำตอบที่ทำให้ผมถึงบางอ้อ...ผมนึกถึงคำพูดของหลวงพิสิษฐเมื่อวานที่บอกจะมาหาเจ้าคุณที่เรือน

"แล้วทำไมต้องแอบดู"แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าไอ้แชมป์มันจะมาทำลับๆล่อๆตรงนี้ทำไม

"กูเปล่าแอบดู...กูแอบฟัง...เอ๊ย!"ในที่สุดก็หลุดออกมาจนได้...ไอ้ตัวดีรีบยกมือปิดปากตัวเองทันที

"แอบฟังไร...แอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน ไม่มีมารยาทเลยนะมึง"

"ก็กูอยากรู้อ่ะ"

"รู้อะไรของมึง"

"ก็ที่ป้าน้อยเคยบอก...เรื่องหลวงพิสิษฐกับคุณพิกุล"ผมนึกย้อนไปเมื่อตอนล้อมวงกินข้าวกับพวกป้าน้อยและมิ่ง...ยังจำบทสนทนานั้นได้ดี

"แล้วไง...เจ้าคุณไพศาลเค้ามาขอแล้วเหรอ...โอ๊ยยยย"พูดยังไม่ทันจบประโยคดีไอ้คนข้างๆก็ยกมือขึ้นมาโบกหัวผมเสียก่อน

"ปากหมานะมึงอ่ะ"ดูท่ามันโกรธจริง...ผมแอบขำกับอาการของไอ้แชมป์...คุณพิกุลเขาก็ยังไม่มีท่าทีอะไร ยังจะไปหวงเขาอีกนะมึง

"ไหนๆ กูดูดิ๊ คุยไรกันมั่ง"แล้วต่อมอยากรู้ผมก็ทำงานบ้าง...ผมค่อยๆแง้มบานประตูออกพลางยื่นหน้าออกไปดู...โชคดีที่ห้องของคุณดาวเรืองอยู่มุมด้านใน ผมเลยมองเห็นพื้นเรือนยกสูงตรงกลางบ้านได้อย่างชัดเจน แต่อีกฝั่งคงมองไม่เห็นเพราะขอบเรือนด้านข้างช่วยบังไว้พอดี...ผมเห็นเจ้าคุณจิตรากับคุณหญิงสร้อย...วันนี้เจ้าคุณไม่สวมเสื้อ สวมเพียงกางเกงผ้าแพรสีกรมท่า ส่วนคุณหญิงสร้อยห่มสไบสีม่วงเปลือกมังคุด เข้ากับโจงกระเบนสีน้ำเงิน...อีกด้านผมเห็นหลวงพิสิษฐที่วันนี้มาค่อนข้างเต็มยศเหมือนวันแรกที่เจอกัน...แกสวมเสื้อคอตั้งแขนยาวสีขาวมีกระดุมหน้า กับโจงกระเบนสีน้ำตาล สวมถุงเท้ายาวสีขาวและรองเท้าหนังมันวับ...ผมรองทรงถูกหวีเรียบแปล้ไปด้านหลังเช่นเคย...ส่วนที่นั่งข้างๆคงเป็นเจ้าคุณไพศาลที่ผมเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก...ท่านดูใจดีสังเกตได้จากใบหน้าเจือรอยยิ้มตลอดเวลาถึงจะซ่อนอยู่ภายใต้ไรหนวดสีอ่อน...ผมสีดอกเลาเริ่มบางลงบ้างแล้ว แต่ท่านก็ยังดูแข็งแรงไม่ต่างจากคนหนุ่มๆรุ่นผม...

"แล้วคุณพิกุลไปไหนวะ"ผมถามไอ้แชมป์ที่ตอนนี้มันทะลึ่งเสนอหน้ามาอยู่ด้านบนผมเรียบร้อยเพื่อแอบฟังบ้าง...ใครมาเห็นสภาพของผมสองคนตอนนี้คงขำพิลึก

"เห็นเจ้าคุณว่ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าคุณไพศาลกับหลวงพิสิษฐเลยให้คุณพิกุลเข้าห้องไปก่อน...กูว่าต้องเป็นเรื่องนั้นแน่เลยว่ะ"แล้วไอ้เรื่องนั้นของไอ้แชมป์มันคือเรื่องไหนกันล่ะ


'พ่อแก้วไม่ได้มาเสียนาน...งานในกรมมีมากรึ'เสียงคุณหญิงสร้อยแว่วมาแต่ไกล พวกผมสองคนเลยหยุดเถียงกันแล้วหันไปเงี่ยหูฟังแทน

'ต้องอยู่ช่วยงานเจ้าคุณด้วยขอรับ'เจ้าของชื่อเอ่ยตอบ

'แม่พิกุลเองก็เพิ่งจักกลับมา...เห็นว่าคราวนี้จักอยู่นาน'เริ่มมาก็เข้าประเด็นกันเลยครับคุณหญิงสร้อย

'ปีนี้แม่พิกุลอายุเท่าใดแล้วรึคุณหญิง'ถึงทีเจ้าคุณไพศาลถามขึ้นบ้าง

'เดือนแปดนี้ก็จักครบ18ปีแล้วเจ้าค่ะ'

'18ปีเปรียบเหมือนดอกไม้ยามแรกแย้ม แม่พิกุลงามสมวัย เหมือนคุณหญิงสมัยสาวๆเลยทีเดียว'เจ้าคุณไพศาลหยอดคุณหญิงเจ้าของบ้านกลับบ้าง คุณหญิงเลยได้แต่หัวเราะเบาๆอย่างขวยเขิน

'เอ้า เจ้าคุณ...มาเรือนข้าแล้วยังมาหยอดเมียข้าอีก'เจ้าคุณจิตรากระแอมแซวอีกฝ่าย แต่ดูก็รู้ว่าท่านแค่แหย่เล่น...ดูท่าทางเจ้าคุณทั้งสองจะสนิทสนมกันพอสมควร สังเกตได้จากบทสนทนาที่ดูเป็นกันเอง เหมือนเพื่อนสนิท...แต่ยังไม่เท่าผมกับไอ้แชมป์ที่ปีนเกลียวกันตลอดเวลา

'ปีนี้พ่อแก้วก็จักครบ26ปีแล้วซีนะ'คุณหญิงสร้อยหันไปถามคนหนุ่มที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงข้าม

'ขอรับ...เดือนสิบนี้แหละขอรับ'รอยยิ้มหวานโปรยบนใบหน้าพร้อมตอบกลับเจ้าของบ้าน...ผมไม่เคยรู้ว่าหลวงพิสิษฐอายุเท่าไหร่ เพราะไม่เคยถามมาก่อน รู้แค่ว่าแกคงอายุมากกว่าเพราะท่าทางเป็นผู้ใหญ่ ตอนแรกคิดว่าสัก30เสียอีก

'อายุอานามก็เหมาะสมจักออกเรือนได้แล้วนะพ่อ'แล้วดูคุณหญิงครับ...ตรงเสียจริง

'กระผมมิเคยคิดเรื่องนั้นเลยขอรับ...อยากอยู่ช่วยเจ้าคุณไพศาลทำงานเสียมากกว่า'เจ้าตัวอ้อมแอ้มตอบ ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม แต่ดูก็รู้ว่าลำบากใจ

'ออกเรือนไปก็มิได้หมายความว่าจักทำงานมิได้เสียที่ไหนเล่า'คราวนี้เป็นทีเจ้าคุณจิตราบ้าง...ดูท่าเจ้าของบ้านทั้งสองจะอยากได้คุณหลวงหนุ่มมาเป็นเขยเสียเต็มที

'พ่อแก้วกับแม่พิกุลเองก็เห็นกันมาแต่เด็ก แลดูเหมาะสมกันนะเจ้าคะ'คุณหญิงสร้อยหันไปพยักเพยิดกับเจ้าคุณไพศาลบ้าง

'เราก็ว่าเหมาะสม...แต่ก็แล้วแต่เจ้าตัวเขาล่ะ...เอ้า ว่าอย่างไรเรา นั่งเงียบเสียนานแล้ว'เจ้าคุณไพศาลหันมาถามคนข้างๆที่นั่งเงียบตั้งแต่เมื่อครู่...สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์แต่ก็ยังมีรอยยิ้มปราย

'เพลานี้งานที่กรมมีมาก...กระผมเกรงว่ายังมิเหมาะขอรับ'เข้าใจบ่ายเบี่ยงเสียจริงคุณหลวง...ว่าแต่...เขาไม่อยากแต่งงานกับคุณพิกุลหรือไงนะ ทั้งๆที่ผู้ใหญ่สองฝ่ายก็เห็นดีขนาดนี้แล้ว

'เอ้า...เจ้าตัวเขาว่ายังมิพร้อม ก็คงต้องรอกันไปก่อนล่ะแม่สร้อย'เสียงเจ้าคุณจิตราเอ่ยขึ้น คุณหญิงสร้อยยังดูยิ้มแย้มแม้จะมีสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

และบทสนทนาหลังจากนั้นก็ดูจะเกี่ยวกับการบ้านการเมืองเสียมากกว่า ผมเลยตัดสินใจปิดประตูห้องลง...หันมาเห็นไอ้แชมป์นั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเตียง...เมื่อกี้ยังแอบฟังด้วยกันอยู่ดีๆ ไปตั้งตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

"เป็นไรของมึง...หน้าเป็นตูด"

"มึงดูดิ...ที่แท้ก็มาคุยเรื่องแต่งงาน"ผมล่ะอยากเอากระจกมาให้มันส่องหน้าตัวเองเสียจริงเพราะหน้ามันตลกพิลึก

"เอ้า ก็เค้าเป็นคู่หมั้นกัน จะมาคุยเรื่องแต่งมันผิดตรงไหนวะ"

"ยังไม่ได้หมั้นเว้ย"มันเถียงกลับเสียงดัง

"มึงรู้ได้ไง"

"คุณพิกุลบอก...อุ๊บบบ"เหมือนจะหลุดอะไรบางอย่างเลยรีบยกมือปิดปากตัวเอง...แต่ไม่ทันแล้วครับไอ้แชมป์...ผมสาวเท้าไปถึงเตียงที่มันนั่งอยู่ทันที

"อะไรยังไง"ถามพลางแกะมือที่ปิดปากนั่นออก

"อะไรของมึง...ไม่มีไรรรรร๊"เสียงสูงอย่างนี้ยังจะบอกไม่มีอะไร เชื่อก็ออกลูกเป็นมันแล้ว

"อย่ามาเนียน...เดี๋ยวนี้มีไรไม่เล่าเหรอ...กูไม่ใช่เพื่อนแล้วใช่มั้ย"ถามไม่ตอบ ต้องอาศัยลูกงอน เพราะตั้งแต่เด็กมันแพ้ลูกงอนผมเสมอ และคราวนี้ก็ได้ผลอีกเช่นเคย

"เฮ้ยมึงอ่ะ...อย่ามาน้อยใจ...กูไม่มีไรจริงๆ"รีบปฏิเสธเสียงอ่อน แต่ผมยังแกล้งเคืองมันไม่เลิก

"ไม่มีไรแล้วทำไมไม่เล่า...เดี๋ยวนี้แม่งมีความลับว่ะ"เสมองไปทางนอกหน้าต่างไม่ยอมมองหน้ามัน

"ไม่มีอะไรจริงๆ กูแค่ถามเค้าว่าเป็นคู่หมั้นกันเหรอ เค้าก็บอกว่าไม่ได้เป็น"

"เค้าน่ะใคร"

"คุณพิกุล"

"หลุดมาจนได้นะมึง! ฮ่าๆ"ผมรีบหันกลับมาชี้หน้ามันที่เหวอหนัก ไม่คิดว่าจะโดนผมแกล้ง

"เชี่ยยย แกล้งกู!"ว่าแล้วมันก็ยันโครมผมเข้าให้ เล่นเอาผมลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว

"โอ๊ย เขินแรงนะมึงเนี่ย!"ว่าพลางยกมือลูบสะโพกตัวเอง ไอ้แชมป์นะไอ้แชมป์ยันกูมาเสียเต็มแรง

"เดี๋ยวนี้พัฒนานะ...พ่อแช่ม หึหึ"ยังไม่วายแซวกลับอีกรอบ มันเลยได้แต่ชูนิ้วกลางหราใส่หน้าผมแทน

"เชี่ยไม่คุยด้วยละ กูไปอาบน้ำดีกว่า"พูดจบมันก็รีบหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าเดินออกจากห้องทันที...แว่วเสียงมันทักทายผู้มาเยือนก่อนจะเงียบไป...

...ว่าแต่มันไปแอบคุยกับคุณพิกุลตอนไหน ทำไมผมถึงไม่รู้...เดี๋ยวต้องหาทางหลอกถามมันอีก ไอ้นี่มันหลุดง่ายจะตาย หึหึ...


"ก๊อกๆ"

เสียงเคาะประตูดังขึ้น...สงสัยไอ้แชมป์ลืมของสิท่า แต่มันจะมามีมารยาทเคาะประตูอะไรตอนนี้วะ

"ลืมไรอีกล่ะมึงงงง...เอ้ยยย!"เสียงที่ดังขึ้นถามก่อนจะเอื้อมมือไปผลักบานประตูออกแล้วก็ร้องออกมาเสียงหลงเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่ไอ้แชมป์

"ตื่นแล้วรึ"จะเป็นใครที่ไหนนอกจากผู้มาเยือนที่ตอนนี้ยืนยิ้มกริ่มอยู่หน้าห้อง...ชอบโผล่มาแบบนี้ทุกที ไม่คิดว่าผมจะเป็นโรคหัวใจแล้วหัวใจวายตายเข้าสักวันหรือไง

"คุณหลวง"ไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่เรียกไป

"ว่าอย่างไร"ร่างสูงถามกลับเสียงเรียบ แต่รอยยิ้มกวนยังปรากฏให้เห็นเหมือนเคย

"คุณหลวงมีอะไร"

"ไม่มีอะไร"

"อ้าวววว ไม่มีอะไรแล้วมาทำไม"

"ก็เพราะไม่มีอะไรน่ะซีถึงได้มา"ไอ้คุณหลวง...ชักจะกวนประสาทขึ้นทุกวันแล้วนะครับ

"ดูทำหน้าเข้า พ่อธีร์นี่ตลกนัก"แล้วผมกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่รึ?

"ให้เราเข้าไปหน่อยได้หรือไม่...เจ้าคุณท่านคุยงาน มิใช่งานของเราเลยมิรู้จะนั่งอยู่ทำไม"สรุปว่าไม่มีที่ไปก็เลยมาห้องผมเสียงั้น...ผมเบี่ยงตัวหลบให้คนตัวสูงเดินเข้ามาในห้องพลางมองสำรวจเสียจนทั่ว

"ไม่มีอะไรทำแล้วทำไมไม่ชวนคุณพิกุลออกไปเดินเล่นล่ะครับ"คำถามที่ทำเอาอีกฝ่ายชะงักงันแล้วหันกลับมามามอง


"แอบฟังผู้ใหญ่คุยกันมิงามนะพ่อ"ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากอีกฝ่าย

"ไม่ได้แอบฟังซักหน่อย"แล้วก็ได้แต่เถียงข้างๆคูๆ

"มิได้แอบฟังแล้วรู้ได้อย่างไรเล่า"...เงียบกริบ...โดนจับได้ขนาดนี้...เงียบเอาไว้เสียจะดีกว่า

"แล้ววันนี้มีงานให้ผมทำอีกรึเปล่าครับ"เนียนเปลี่ยนเรื่องมันเสียเลยแล้วกันครับไอ้ธีร์

"ไม่มีหรอก...เดี๋ยวบ่ายเราต้องเข้ากรมกับเจ้าคุณทั้งสอง กว่าจักได้กลับเรือนก็วันพรุ่ง...วันพรุ่งพ่อก็มิต้องไปที่เรือน เดี๋ยวจักเสียเที่ยวเอา"


ผมรู้สึกถึงลมแรงที่พัดวูบผ่านหน้าต่าง หอบเอาเศษฝุ่นผงมาเสียเต็มจนผมต้องหลับตา


"เห็นทีฝนจักตกกระมัง"หลวงพิสิษฐบ่นพึมพำพลางมองออกไปด้านนอก ฟ้าเริ่มครึ้มมาแต่ไกลโน่นแล้ว...ก่อนจะหันมามองผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง...คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นพลางเดินตรงเข้ามาหา

"มีอะไรครับ"ท่าทางแปลกๆ แต่อีกฝ่ายยังไม่ตอบ

"อยู่นิ่งๆก่อนสิพ่อ"ว่าพลางยื่นมือมาตรงหน้า...อะไร...คุณหลวงจะทำอะไร...ผมได้แต่หลับตาปี๋เพราะท่าทีแปลกๆของอีกฝ่าย...รู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่เฉียดแก้มไปนิดเดียว...ก่อนที่จะ...



"พี่นี้รักเธอคนเดียวเท่าน้านนนนน! อุ่ย!!"เสียงไอ้แชมป์ที่ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีมาแต่ไกล แต่ดันมาหยุดอยู่หน้าประตูทำให้ผมต้องลืมตามอง...เห็นมันชะงักอยู่ที่เดิมแถมทำหน้าประหลาดพิลึก...ส่วนคนตรงหน้า...เพียงแค่ชักมือกลับพร้อมเศษดอกมะลิที่คงปลิวมาตามลมเมื่อครู่

"มันปลิวมาติดผม จักหยิบออกให้ มิได้ทำอะไรเสียหน่อย"รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าอีกครั้ง...ผมเหลือบไปเห็นไอ้แชมป์ที่ตอนนี้อาบน้ำเสร็จแล้วแต่ยังยืนเหรอหราอยู่หน้าประตู

"ผมเข้าไปได้มั้ยครับ"แล้วก็ส่งเสียงถามอย่างกับว่านี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง

"นี่ก็ห้องพ่อ มิเห็นต้องขอเรา"หันไปบอกไอ้แชมป์ที่ยืนอยู่หน้าประตูมันเลยก้าวเข้ามาในห้อง

"เจ้าคุณจิตรากับคุณหญิงให้มาตาม...เห็นว่าให้พวกบ่าวเตรียมสำรับไว้ให้มาตามพ่อทั้งสองไปร่วมด้วย"เจ้าตัวว่าพลางเดินกลับไปทางหน้าห้อง

"รีบอาบน้ำแต่งตัวเสีย อย่าให้ผู้ใหญ่ท่านคอยนาน"เหลือบไปเห็นสายตากวนพิลึกที่มองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเดินออกไป...สภาพผมที่เพิ่งตื่นนอนคงแย่มากสินะ ถึงได้รู้ว่ายังไม่ได้อาบน้ำเนี่ย



"ฮั่นแน่ะ! ซัมติงรองนะมึง"เสียงกวนของไอ้แชมป์ขัดขึ้น ผมเห็นมันยืนยิ้มเผล่อย่างอารมณ์ดี

"บอกพี่แชมป์มาบัดเดี๋ยวนี้...เมื่อกี้ทำไรกันก่อนกูมา"ว่าแล้วมันก็แถเข้ามาประชิดตัวผมที่นั่งอยู่บนเตียงทันที ทำเอาผมต้องถอยกรูด

"อะไรของมึ๊งงงง"ยิ่งมันยื่นหน้าสอดรู้เข้ามามากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอยากถีบมันออกไปให้ไกลเท่านั้น

"กูเห็นนะ...ยังกะฉากพระนางในละคร หึหึ"

"พระนางบ้านมึงดิ ผู้ชายทั้งคู่ มึงนี่คิดอกุศล"ว่าพลางเอามือดันหน้ามันออกห่าง

"หู้ยยยย นี่มันสมัยไหนแล้วครับเชี่ยธีร์ ทำอย่างกับมึงไม่เคยมีผู้ชายมาจีบ"มันว่าพลางนึกย้อนไปสมัยม.ปลาย...ก็ไอ้รุ่นพี่ที่ผมมีเรื่องด้วยนั่นแหละ ที่ผมโดนต่อยเสียน่วมเพราะผมไม่ยอมรับรักมัน มันเลยโกรธเรียกเพื่อนมารุมผมซะ...ดีนะแค่รุมกระทืบ ถ้าโดนรุมโทรมนี่ผมคงเครียดหนักจนอยากยิงตัวตาย...ถึงจะมีคนเคยชมว่าหน้าผมหวานแต่ผมก็ยังไม่เคยเสียเชิงชายนะครับ แล้วก็ไม่คิดจะเสียด้วย

"นี่มันสมัยรัชกาลที่5ครับเชี่ยแชมป์...หัดจำใส่กะโหลกซะบ้าง"ผมยื่นมือไปดีดหน้าผากมันเตือนสติ แต่คงไปซ้ำรอยที่ถูกประตูกระแทกเมื่อเช้ามันเลยร้องเสียงหลงออกมา

"แซวเล่นแค่นี้ แม่งถึงขั้นทำร้ายร่างกาย"มันรีบเอามือคลำหน้าผากตัวเอง เห็นรอยแดงๆนั่นแล้วก็อดขำไม่ได้

"เพ้อเจ้อว่ะมึงอ่ะ...กูไปอาบน้ำดีกว่า"ว่าพลางหยิบผ้าเช็ดตัวของตัวเองกับเสื้อผ้าตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง

"พี่ไปช่วยถูหลังมั้ยจ๊ะ...เอ๊ หรืออยากให้คุณหลวงหน้าหล่อไปช่วยแทน"ยังครับ ยังไม่จบ

"-วยครับ"ไม่พูดเปล่าชูนิ้วกลางหราให้มันอีกรอบก่อนจะรีบเดินออกจากห้อง ได้ยินเสียงมันหัวเราะร่าตามหลังมา...

โชคดีที่บนเรือนมีห้องอาบน้ำ...ก็ห้องที่ผมเคยต้องแบกน้ำจากท่าน้ำมาใส่โอ่งให้คุณหญิงสร้อยนั่นแหละ...ในห้องก็มีเพียงโอ่งดินขนาดใหญ่กับขันเอาไว้ตักน้ำกับพวกสมุนไพรขัดตัวที่คนสมัยนี้เขาใช้แทนสบู่...แต่ก็ยังดีกว่าต้องเดินลงจากเรือนไปอาบที่ท่าน้ำ เพราะจากเรือนใหญ่ไปท่าน้ำนี่ก็ไกลพอดู...ตอนเดินออกจากห้องผมทักทายเจ้าของบ้านที่ยังนั่งคุยกับเจ้าคุณไพศาลและคุณหญิงสร้อยอยู่ที่เดิม...ส่วนคนที่เพิ่งเข้ามาในห้องผมเมื่อครู่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหนเสียแล้ว

และผมก็ได้รับคำตอบเมื่อมองลงไปด้านล่าง...ภาพคู่หนุ่มสาวยืนเคียงกันอยู่...จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกสาวเจ้าของบ้านที่วันนี้แต่งกายงามพร้อม ห่มสไบสีกลีบกุหลาบตัดกับโจงกระเบนสีเขียวเข้ม ผมยาวประบ่าถูกรวบเพียงครึ่งเผยให้เห็นใบหน้าหวานฉ่ำ...อีกฝ่ายคือคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องผมไปเมื่อครู่...ผมไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง แต่ดูจากใบหน้ายิ้มแย้มของทั้งคู่ก็พอดูออกว่ากำลังคุยกันอย่างออกรส...ใครเห็นก็คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งสองนั้นเหมาะสมกันเสียยิ่งกว่าอะไร...
วูบหนึ่งผมเห็นร่างสูงด้านล่างเหลือบมองขึ้นมา...สบตากันเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปสนใจคนตัวเล็กข้างๆ...รอยยิ้มหวานโปรยบนใบหน้า...รอยยิ้มที่ผมคิดว่าวันนี้มันน่าหมั่นไส้ชะมัด...
ผมเดินไปทางห้องอาบน้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องนอน...ได้แต่ตักน้ำในโอ่งสาดโครมใส่ตัวเองไม่รู้กี่รอบ...นี่ผมเป็นอะไรนะ...ทำไมมันหงุดหงิดพิกล...เพียงแค่ได้เห็นภาพนั้น...
"เค้าเป็นคู่หมั้นกันก็ต้องใช้เวลาด้วยกันดิวะ"พร้อมกับน้ำขันใหญ่ที่สาดใส่ตัวเองอีกรอบ...ถึงไอ้แชมป์จะบอกว่าสองคนนั้นยังไม่ได้หมั้นกัน แต่ดูท่าแล้วก็คงอีกไม่นาน...เห็นทีหลังเสร็จงานยุ่งๆที่กรม เรือนเจ้าคุณจิตราคงจะมีงานมงคลเป็นแน่...


"เชี่ย! ตกใจหมด เป็นไรของมึง!"ผมเปิดประตูห้องผลัวะเข้ามาจนไอ้แชมป์สะดุ้งโหยง

"เปล่า"ตอบกลับเพียงสั้นๆ...ในใจยังคงถามตัวเองอยู่...นั่นสิ...ผมเป็นอะไรวะ?

"น้อยใจที่พี่แชมป์ไม่ได้ไปถูหลังให้เหรอจ๊ะ...โอ๊ยยยย มึงนิ่ ซาดิสม์ขึ้นทุกวัน"มันรีบยกมือขึ้นบังหัวตัวเองหลังโดนผมโบกเข้าให้อย่างแรง

"เป็นไรของมึง...ทำหน้างอนเหมือนแพมเลยสัส"คำพูดที่เรียกสติผมกลับมาได้บ้าง...งอน?...ใครงอนวะ...แล้วงอนใคร...ไอ้แชมป์นี่เพ้อเจ้อ

"ถามก็ไม่ตอบ...แล้วนั่นจะปล่อยให้หัวมึงมันสังเคราะห์แสงแล้วแห้งเองรึไง...เตียงเปียกหมดแล้วเว้ย"มันว่าพลางโยนผ้าของตัวเองร่อนมาจอดบนหัวผมพอดี...ผมจับมาขยี้ผมยาวๆของตัวเองให้พอหมาด เริ่มรู้สึกรำคาญผมที่ยาวขึ้นทุกวันๆ สงสัยต้องหาคนมาตัดให้เสียแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวได้มีดอกนู่นดอกนี่ปลิวมาติดผมลำบากให้คนอื่นเขาต้องมาหยิบออกให้อีก...

"ไปๆ แดกข้าว อย่าให้ผูู้ใหญ่เค้ารอนาน"แล้วมันก็จัดการดึงแขนผมให้ลุกขึ้น
ผมเดินตามไอ้แชมป์ออกมาที่นอกเรือน...เห็นบ่าวผู้หญิงสองสามคนกำลังยกสำรับขึ้นมา...บนพื้นยกกลางเรือนทุกคนนั่งกันอยู่พร้อมหน้า...รวมทั้งลูกสาวเจ้าของบ้านและว่าที่'คู่หมาย'ของเธอด้วย

"เอ้า มาๆ กินข้าวกินปลาเสีย"เจ้าคุณจิตราเรียกเสียงดังขณะที่ผมกับแชมป์กำลังเดินไปหา ผมนั่งลงข้างคุณหญิงสร้อยโดยมีไอ้แชมป์นั่งข้างๆ

"นี่พระยาไพศาลราชวราการ...เจ้าของเรือนที่เอ็งไปช่วยหลวงพิสิษฐทำงานน่ะ"เจ้าคุณจิตราแนะนำ...ผมยกมือไหว้เจ้าคุณไพศาลที่รับไหว้กลับพร้อมยิ้มอ่อนโยนให้

"นี่รึพ่อธีร์...ได้ยินชื่อมานาน เพิ่งได้เจอตัวก็วันนี้"ผมผงกหัวเล็กน้อยแทนคำตอบ...ส่วนไอ้แชมป์เห็นว่าเคยเจอกันมาก่อนครั้งที่เจ้าคุณมาที่เรือน

"หลวงแกว่าพ่อธีร์ช่วยงานได้มากอยู่ ขอบใจพ่อมาก"น้ำเสียงของเจ้าคุณไพศาลอ่อนโยนไม่แพ้คนตัวสูงที่นั่งข้างๆ...แล้วผมจะเอาไปเปรียบเทียบกันทำไมวะ?

"ผมไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับ...คุณหลวงต่างหากที่ทำงานหนักทั้งวัน"ท้ายประโยคผมปรายตามองเจ้าตัวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม...อีกฝ่ายยังคงนิ่งไม่โต้ตอบอะไร มีเพียงรอยยิ้มบางที่ยังเจืออยู่บนใบหน้า...แต่ไม่ได้ยิ้มให้กับผม

"ได้อย่างไรเล่า...พ่อก็เสียเวลาไปช่วยหลวงแกทำงานเสียทั้งวัน ต้องยกความชอบให้พ่อด้วย"เจ้าคุณไพศาลยังว่าต่อ พอดีกับที่สำรับตรงหน้าเตรียมเสร็จเรียบร้อย คุณหญิงสร้อยเลยบอกให้พักเรื่องงานแล้วกินข้าวกันเสียก่อน...
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเอง...หรือมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ...เพราะผมรู้สึกว่าบรรยากาศของอาหารมื้อนี้มันอึมครึมพิกล...ผมเห็นไอ้แชมป์แอบมองคุณพิกุลเป็นพักๆ...คุณพิกุลเองก็หันมาสบตามันบ้าง แต่ไม่มากเท่าคนตัวสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม...ส่วนผมกับเขาน่ะเหรอ...ไม่มีแม้บทสนทนาสักประโยค...จะมีก็แต่เจ้าคุณทั้งสองและคุณหญิงสร้อยที่หัวเราะร่ากันอย่างอารมณ์ดี
.
.
.
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter VIII [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 06-07-2014 03:46:46


"กระท้อนลอยแก้วนี่แม่พิกุลลงครัวทำเองเชียวนะพ่อแก้ว...เห็นว่าเป็นตำรับจากในวัง พ่อแก้วลองเสียหน่อยสิ"หลังรับอาหารคาวเสร็จก็ได้เวลาของหวาน...วันนี้คุณพิกุลแกลงมือทำกระท้อนลอยแก้วสูตรชาววังด้วยตัวเอง...กลิ่นหอมของน้ำลอยดอกมะลิเตะจมูกเชิญชวนให้ลิ้มลอง...เนื้อกระท้อนหวานกำลังดีเข้ากันกับน้ำเชื่อม...ไม่ต้องใส่น้ำแข็งแต่ก็เย็นชื่นใจ...ฝีมือคุณพิกุลนี่ชั้นหนึ่งจริงๆ...ผมเห็นไอ้แชมป์นั่งยิ้มเผล่มองกระท้อนลอยแก้วตรงหน้าก่อนจะจัดการเสียหมดเกลี้ยง แถมยังขอต่อชามที่สองหน้าด้านๆ

"ถูกปากไหมพ่อแก้ว"คุณหญิงสร้อยยังถามต่อ

"รสมือแม่พิกุลเลื่องชื่อ กระผมไม่มีอะไรจะติเลยขอรับ"ว่าพลางยิ้มหวานตอบ...ก็ลองไปบอกว่าไม่อร่อยสิ ใครเขาจะยกลูกสาวให้กันเล่า...ผมเหลือบไปเห็นคุณพิกุลยิ้มหวานเมื่อได้รับคำชม

"อ้ายแช่ม หนังสือที่ข้าให้เอ็งไปอ่านเมื่อวาน อ่านจบหรือยัง"เจ้าคุณจิตราเอ่ยถาม หลังจากที่บ่าวไพร่พากันยกสำรับลงจากเรือน...ส่วนคุณพิกุลเดินตามลงไปข้างล่างเห็นว่าจะไปดูแลเรื่องสำรับเย็น...ที่นี่เวลาเตรียมอาหารทีเขาเตรียมกันหลายชั่วโมงครับ ผมเคยเห็นป้าน้อยทำกับข้าวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางกว่าจะเสร็จก็พอดีมื้อเช้า

"ยังเลยครับ...เล่มมันหนามาก แต่ก็อ่านไปได้ครึ่งแล้วครับ"ไอ้แชมป์รีบตอบ ผมเห็นมันนั่งอ่านหนังสือเล่มนั้นทั้งคืนจนผลอยหลับไป ดูท่ามันตั้งใจกับงานนี้เสียจริง

"ดีแล้วเอ็ง อ่านเสียให้จบ จักได้มาช่วยข้าอีกแรง"ดูท่าคงเป็นหนังสือสำคัญ แต่ผมอ่านไม่ออกเพราะมันเป็นภาษาฝรั่งเศส

"ในสยามจักหาคนรู้ภาษาฝรั่งเศสช่างน้อยนัก โชคดีของเจ้าคุณจิตราที่ได้พ่อแช่มมาช่วยอีกแรง"เจ้าคุณไพศาลเอ่ยชม ทำเอาเจ้าตัวยิ้มเผล่ตัวแทบลอย

"เจ้าคุณไปแต่งตัวเถิดเจ้าค่ะ ต้องเข้ากรม ประเดี๋ยวจักสายเอา"คุณหญิงสร้อยหันไปบอกเจ้าคุณผู้เป็นสามี

"จริงของแม่สร้อย...รอเราสักครู่ ประเดี๋ยวเรามา"พูดจบเจ้าคุณจิตรากับคุณหญิงสร้อยก็พากันเดินเข้าห้อง เหลือเพียงพวกผมที่นั่งอยู่...แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะนั่งอยู่ทำไมเหมือนกัน

"ผมขอตัวก่อนนะครับ"ผมยกมือไหว้ลาเจ้าคุณไพศาลก่อนจะเดินลงจากเรือน...ไม่รู้ทำไมแต่ผมไม่อยากนั่งอยู่ตรงนั้น


"ไปไหนวะมึง"ไอ้แชมป์ที่เดินตามลงมาถามขึ้น

"ไปนั่งเล่นท่าน้ำ...เบื่อ"ตอบกลับสั้นๆแค่นั้นก่อนจะเดินไปทางท่าน้ำหน้าเรือน...ส่วนไอ้แชมป์เห็นคล้อยหลังไปทางเรือนบ่าว สงสัยจะไปหาพวกมิ่งกับพี่สน...หรือไม่ก็คงป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆโรงครัว
ผมเดินมาถึงท่าน้ำ เห็นเรือของเจ้าคุณไพศาลผูกเทียบท่าอยู่ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนม้านั่งยาวที่ท่าน้ำ...เรือนเจ้าคุณจิตราไม่ได้อยู่ติดแม่น้ำเหมือนเรือนเจ้าคุณไพศาล แต่เป็นเพียงคลองสายเล็ก...ฝั่งตรงข้ามมีเรือนไม้ทรงโบราณตั้งอยู่ประปราย ไม่แน่นขนัดเหมือนเรือนริมแม่น้ำเจ้าพระยา...แต่ให้ความสงบร่มรื่นมากกว่า เพราะผู้คนไม่จอแจ นานๆทีถึงจะเห็นชาวบ้านพายเรือผ่านไปสักลำ


"เป็นอะไรรึ...มานั่งอยู่คนเดียว"เสียงนุ่มคุ้นหูดังขึ้น...ผมชักสงสัยว่าหมอนี่แอบติดจีพีเอสติดตามตัวผมไว้ตรงไหนหรือเปล่า...แถมยังชอบโผล่มาแบบนี้ทุกที

"เปล่า"ตอบเพียงสั้นๆแต่ยังไม่มองหน้า

"ท่าทางมิเหมือนพ่อธีร์คนเดิม"

"คนไหนล่ะครับ"

"เราถามดีๆ ยียวนเราเสียได้"สำเนียงโบราณคุ้นหูที่ผมเคยคิดว่ามันเนิบนาบน่าฟัง แต่ตอนนี้มันช่างขัดหูนัก

"เป็นอะไรรึ"เจ้าตัวยังคงถามต่อพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ...ไม่ใกล้มาก

"ไม่ได้เป็นอะไรครับ"ผมตอบทั้งที่ไม่มองหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย สายตายังจดจ้องกับพื้นน้ำเบื้องหน้า

"ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมไม่คุยกับเรา"

"ไม่มีอะไรจะคุยนี่ครับ"

"อย่างนี้เขาเรียกว่ามี"

"มีอะไร"ผมหันกลับไปถามหน้านิ่ง...สบตากับอีกฝ่ายที่นิ่งไม่แพ้กัน...รอยยิ้มโปรยบนใบหน้านั้นหายไป

"ก็มีอะไรน่ะซี ถึงได้เป็นแบบนี้"คำตอบยียวนเสียจนผมอยากจะต่อยให้หน้าหงาย...ติดที่สายตาคมกริบของอีกฝ่ายยังจ้องหน้าผมนิ่ง

"ก็บอกว่าไม่มีอะไร"ผมเสมองไปทางอื่น ไม่อยากมองหน้า...มันทำให้ผมหงุดหงิด

"งอนเหมือนผู้หญิงไม่มีผิด" ห้ะ?!

"คุณหลวงว่าไงนะ"ผมหันกลับไปถาม...เห็นคนตรงหน้ากลั้นยิ้มนิดๆ

"เราว่าพ่อธีร์งอนเหมือนผู้หญิง...หรือไม่จริง"

"ผมเป็นผู้ชาย จะไปงอนได้ยังไงครับ"ยังจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง...ผมไม่ได้งอน...ผมแค่...หงุดหงิด

"เอ้า เป็นผู้ชายงอนไม่ได้รึ"แล้วไอ้น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่นี่มันคืออะไรวะ

"ผู้ชายเค้าไม่งอนกันครับคุณหลวง...อย่างคุณพิกุลเนี่ยเค้าถึงจะงอนได้"คำตอบที่ทำเอาอีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่น

"เกี่ยวอะไรกับแม่พิกุลเล่า...เราคุยกับพ่อเพียงสองคน"

"ก็ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณหลวงนี่ครับ แล้วคุณหลวงหลบมาอยู่นี่ ไม่ไปหาคุณพิกุลเหรอครับ"วูบหนึ่งที่ผมอยากจะกลืนคำพูดตัวเองลงไปเสียให้หมด...อยากตบหน้าตัวเองจริงเชียว พูดอะไรไม่รู้จักคิด

"ทำไมพ่อธีร์พูดถึงแต่แม่พิกุล...คำก็แม่พิกุลสองคำก็แม่พิกุล"ก็แล้วใครกันที่ยืนคุยกับแม่พิกุลกระหนุงกระหนิงให้ผมเห็นเนี่ย

"พ่อธีร์ชอบแม่พิกุลรึ"ถามเสียงเรียบแต่ทำเอาผมเบิกตาโพลง...หันกลับไปมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้มานั่งประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

"อย่างนี้เขาเรียกว่าหึงรู้หรือไม่"แล้วยังยิ้มยียวนนี่อีก...นี่มันอะไรกันวะ

"หึง? ผมเนี่ยนะหึง"

"หรือไม่ใช่"ก็ไม่ใช่น่ะสิเว้ย...ผมจะไปหึงคุณพิกุลทำไมเล่า...ก็ผมไม่ได้ชอบคุณพิกุลสักหน่อย ไอ้คุณหลวงนี่พูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว

"ผมไม่ได้หึง...แล้วผมก็ไม่ได้ชอบคุณพิกุลด้วย คุณหลวงเข้าใจผิดแล้วครับ"

"ไม่ได้ชอบแม่พิกุล แล้วทำไมต้องไม่พอใจที่เราคุยกับแม่พิกุลด้วยเล่า"โอ๊ยพ่อคุณ เลิกถามผมเสียทีเถอะ จะให้ผมตอบอะไรอีก

"ไม่ได้ไม่พอใจ แต่ผมไม่ได้ชอบคุณพิกุล"

"ไม่ชอบก็ไม่ชอบ...เราแค่ถาม มิเห็นจักต้องเสียงดังเลย"ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆลอยมากับสายลม...แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมหายหงุดหงิดแม้แต่น้อย



"เห็นทีจักต้องไปเสียแล้ว"คนตัวสูงว่าเมื่อเห็นเจ้าคุณทั้งสองเดินลงมาจากเรือน...ผมหันกลับไปมองตามเห็นเจ้าคุณจิตราที่ตอนนี้แต่งกายเต็มยศเหมือนเจ้าคุณไพศาลไม่มีผิด

"อีกสองวันค่อยไปที่เรือนนะพ่อ...วันนี้เราคงต้องอยู่ที่กรม"

"ครับ"ผมพยักหน้ารับ

"พ่อธีร์"เรียกชื่อผมอีกครั้งทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง

"เราเคยบอกพ่อธีร์แล้ว ว่าเราไม่ได้คิดอะไรเรื่องแม่พิกุล...พ่อธีร์อย่ากังวลเลย"ไอ้คำพูดนี้...มันหมายความว่าไง...แล้วทำไมผมถึงรู้สึกร้อนวูบที่หน้าแบบนี้




"หากพ่อธีร์มีใจให้แม่พิกุล เราจักช่วยพูดกับเจ้าคุณจิตราและคุณหญิงให้"



เคยเป็นไหมครับ ขับรถมาด้วยความเร็วสูงแล้วอยู่ๆมีใครมาเหยียบเบรคจมมิดจนหัวทิ่ม...ผมเพิ่งเคยก็คราวนี้แหละ...ขอบคุณครับคุณหลวง...แต่คุณหลวงกำลังเข้าใจผิดไปไกลจนเกือบออกปากแม่น้ำเจ้าพระยาโน่นแล้วครับ

"ผมบอกว่า..."กำลังจะเถียงแต่ถูกขัดขึ้นเสียก่อน

"มิเป็นไร เราเข้าใจ...พ่อธีร์คงเกรงว่าเจ้าคุณจิตราจักรังเกียจที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของพ่อ"เออผมว่าตอนนี้มันไปไกลกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาจนจะไปถึงปากอ่าวไทยแล้ว...แต่ยังไม่ทันจะได้เถียงอะไรต่อเจ้าคุณทั้งสองก็เดินมาถึงท่าน้ำพอดี...ผมยกมือไหว้ลาท่านทั้งสองก่อนจะส่งท่านลงเรือ ตามด้วยคนตัวสูงข้างๆที่ลงเรืออีกลำตามไป...

...ไอ้เรื่องที่เข้าใจผิดเรื่องคุณพิกุลคงต้องปล่อยเลยตามเลย...แต่ไอ้ประโยคที่เพิ่งบอกผมเมื่อครู่นั้น มันดันทำให้ผมยิ้มออกมาได้เสียนี่...
.
.


...คืนนั้นช่างเงียบสงัด...เจ้าคุณจิตราไม่ได้กลับบ้านเหลือเพียงคุณหญิงสร้อยกับคุณพิกุล...พวกมิ่งที่เดินเวรยามรอบเรือนก็ทำได้อย่างเงียบเชียบนัก จะเห็นก็เพียงแสงไฟวูบไหวจากตะเกียงที่สาดลอดผ่านหน้าต่างไม้เป็นพักๆ...ไอ้แชมป์ที่ตอนนี้อ่านหนังสือเล่มหนาจนหลับไปแล้ว ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเบาๆของมัน...ส่วนผมก็กำลังเคลิ้มได้ที่

...หากแต่มีเสียงหนึ่งดังกังวานในหัวเสียก่อน...เสียงแปลกๆที่ไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน...เสียงเหมือนเครื่องแก้วที่ถูกเสียดสีกลายเป็นเสียงแหลมทว่ากังวานอยู่ในหัว...ผมขมวดคิ้วแน่น...ไม่แน่ใจว่ามันคือความฝันหรืออะไร...เสียงนั้นยังกังวานอย่างต่อเนื่องในความมืด...ฉับพลันมีแสงสว่างวาบจนผมแสบตา...ทั้งๆที่ผมยังหลับตาอยู่ แต่แสงนั้นมันช่างสว่างจ้าเสียเหลือเกิน...ก่อนที่แสงจะจางลง เหลือให้เห็นเพียง...ภาพโต๊ะไม้สักตัวคุ้นตา...และที่ทับกระดาษ...ต่างแค่เพียง...ที่ทับกระดาษนั้นมันกำลังส่องแสงเรืองอยู่บนโต๊ะ...


ผมลืมตาโพลง...เหลือบหันไปมองรอบตัวแต่ทุกอย่างยังเงียบสนิท...ไอ้แชมป์ยังคงหลับอยู่ข้างๆ ในมือมันยังกอดหนังสือเล่มหนาไม่ปล่อย...


...หรือมันจะเป็นแค่ความฝัน...

...ไม่สิ...มันไม่ใช่ความฝัน...


"แชมป์!...ไอ้แชมป์!"ผมเรียกมันสุดเสียง ยกมือเขย่าปลุกไอ้คนที่นอนหลับอยู่ข้างๆจนมันงัวเงียตื่นขึ้นมา

"อะไรของมึงงงง คนจะนอนนนน"น้ำเสียงมันยังงัวเงียพลางยกมือขยี้ตาตัวเอง

"ไปกับกู"ผมลุกพรวดจากเตียงดึงแขนมันให้ลุกตาม แต่ดูท่ามันยังไม่ตื่นดีมันเลยสะบัดมือออกเบาๆ

"ไปไหนวะ ดึกจะตายห่าแล้ว นอนเห๊อะ"มันยกมือโบกไปมาแบบไร้ทิศทาง แต่ผมฉวยข้อมือมันเอาไว้ได้

"ลุกมึง...ต้องไปเดี๋ยวนี้"ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดคำนั้นออกมา...ไอ้แชมป์ลืมตามองผมที่ทำหน้าจริงจังจนมันต้องลุกตามอย่างเสียไม่ได้

"จะไปไหนวะธีร์"เสียงของมันที่ถามขึ้นทว่าไร้ซึ่งคำตอบ...ผมเดินนำหน้ามันมาจนถึงห้องทำงานของเจ้าคุณจิตรา...ห้องที่ผมไม่ได้เข้ามาเหยียบนับอาทิตย์

"มีอะไรป่าววะ"ไอ้แชมป์ยังคงถามต่อ แต่ผมเพียงแค่ผลักประตูไม้บานนั้นออก...เป็นไปอย่างที่ผมคิด...


ที่ทับกระดาษอันเดิมส่องแสงเรืองอยู่บนโต๊ะไม้สัก เหมือนที่ผมเห็นไม่มีผิด...ผมก้าวเข้าไปใกล้...แสงนั้นค่อยๆหม่นลงทุกที...

"เชี่ยยยย เหมือนวันนั้นเลยมึง"ตอนนี้ไอ้แชมป์ที่ได้สติกลับมาครบร้องเสียงดัง...ผมหันกลับไปมองหน้ามันก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบวัตถุที่กำลังส่องแสงเรืองรองนั้นขึ้นมา...ไอ้แชมป์ยื่นมือมาซ้อนกับมือผมอีกชั้น...ผมมองหน้ามันและมันกำลังมองผมเช่นเดียวกัน...ผมรู้สึก...ใช่ มันคือความรู้สึก...ความรู้สึกเดียวกันกับวันนั้น...


...ผมหลับตาลง...เห็นภาพห้องทำงานของเจ้าคุณจิตรากำลังหมุนคว้างบิดเบี้ยวไปมา...สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ตอนนี้คือน้ำหนักของวัตถุในมือ...และสัมผัสของมือไอ้แชมป์ที่รองอยู่ด้านล่าง กับเสียงกังวานใสที่ยังดังก้อง...


...แล้วทุกอย่างก็เงียบลง...


...ผมลืมตา...


...และพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องทำงานของอาต้น...


...ผมกลับมาได้แล้ว...


"ไอ้ธีร์!"เสียงไอ้แชมป์เรียกขึ้น ผมมองหน้ามันแล้วเผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจทั้งคู่...ใช่...ผมกลับมาได้แล้ว!
.

.

.

.
สิ่งแรกที่ผมทำคือเดินลงไปข้างล่าง...ได้ยินเสียงโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นเปิดอยู่...อานิด...ธีร์กลับมาแล้ว...


...ผมเปิดประตูห้องนั่งเล่น...ภาพของหญิงสาววัยกลางคนที่คุ้นตาหากแต่ดูซีดเซียวกว่าเดิมกำลังนั่งดูละครหลังข่าว...ทันทีที่เธอเห็นผม...หยาดน้ำใสๆก็ไหลรินออกมาทันที

"ธีร์!!"เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมร่างที่โผเข้ามากอดผมแน่น...ผมกอดกลับ...คิดถึงเหลือเกิน

"ธีร์! ธีร์หายไปไหนมา รู้ไหมอาเป็นห่วงแค่ไหน"ว่าพลางเขย่าตัวผม มือไม้ลูบไปทั่วใบหน้า...ดวงตาช้ำเปื้อนไปด้วยน้ำตา...สีหน้าของอานิดอิดโรยลงมาก

"ธีร์กลับมาแล้วครับอา"ผมได้แต่ตอบเพียงสั้นๆ ก่อนที่อานิดจะโผเข้ามากอดอีกครั้ง

"ธีร์หายไปไหนมา แล้วทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้"อานิดว่าพลางจับตัวผมหมุนไปมา...ผมเกือบลืมไปว่าตอนนี้ผมอยู่ในสภาพโบราณเสียจริง เสื้อผ้าฝ้ายตัวบางสีขาวกับกางเกงแพรสีน้ำตาลเข้ม...ไอ้แชมป์เองก็เหมือนกัน

"ธีร์ บอกอาสิ ธีร์หายไปไหนมา"อานิดเริ่มเสียงดัง ถามคำถามที่ผมไม่สามารถตอบได้

"ธีร์อยู่หอ"คำตอบเดียวที่ผมคิดออก

"อาโทรเข้ามือถือก็ปิดเครื่อง เพิ่งเห็นว่าธีร์ลืมมือถือไว้ที่บ้าน...ไปหาที่หอก็ไม่เจอ หนูแพมก็โทรมาที่บ้านอีกบอกว่าติดต่อธีร์ไม่ได้ นี่ธีร์หายไปไหนมา"อานิดร่ายยาวจนผมไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อน

"ธีร์อยู่หอจริงๆครับ...ช่วงนี้ธีร์งานยุ่งเลยไม่มีเวลาทำอะไรเลย"ผมได้แต่แก้ตัว เพราะไม่มีคำอธิบายใดเลยที่อานิดจะเข้าใจ

"แชมป์ก็เหมือนกัน ป๊ากับม๊าเราโทรมาบอกว่าจะมานอนที่บ้านอาแล้วก็หายไป รถก็ยังจอดอยู่นี่  หายไปเกือบสองอาทิตย์เชียวนะ คราวหลังอย่าทำให้อาเป็นห่วงอย่างนี้อีกนะลูก"เกือบสองอาทิตย์...เท่ากับเวลาที่ผมไปอยู่เรือนเจ้าคุณจิตราพอดี...มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นนักเมื่ออยู่ที่นู่น แต่ช่างยาวนานสำหรับอานิดและคนที่นี่

"ธีร์ขอโทษครับอา วันหลังธีร์จะบอกก่อนนะ"ผมยกมือไหว้ขอโทษอานิดที่ยังร้องไห้ไม่หยุด...ผมรู้ว่าอานิดเป็นห่วงผมมากขนาดไหน และอานิดเองก็กลัวมากเช่นกัน...กลัวว่าผมจะกลับไปเป็นเหมือนตอนที่พ่อกับแม่เพิ่งเสียใหม่ๆ

"ไม่ต้องขอโทษอา ธีร์กลับมาก็ดีแล้วลูก...แชมป์เองก็กลับบ้านก่อน ป๊ากับม๊าเราเป็นห่วงมาก"

"ครับอานิด...งั้นแชมป์กลับก่อนนะครับ"ไอ้แชมป์ว่าพลางยกมือไหว้ลาก่อนจะหันมามองหน้าผมอีกครั้ง

"ธีร์รู้ไหม อาเกือบจะไปแจ้งตำรวจอยู่แล้ว อยู่ดีๆธีร์ก็หายไป"อานิดที่พาผมมานั่งบนโซฟายังคงลูบผมและหน้าของผมอย่างเป็นห่วง

"ธีร์ไม่ได้ไปไหนครับอา อาไม่ต้องเป็นห่วง แค่ช่วงนี้ธีร์ยุ่งเลยไม่มีเวลาติดต่อใคร"ผมโกหก แต่เป็นคำโกหกเพื่อให้อานิดสบายใจ

"แล้ววันนี้จะนอนนี่หรือกลับไปนอนหอ...นอนที่นี่กับอาเถอะ มืดมากแล้วรถก็อยู่ที่หอไม่ใช่หรือลูก"

"นอนนี่แหละครับอา...ธีร์ขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ"ผมยิ้มหวานให้อานิดอีกรอบก่อนจะขอตัวเดินขี้นมายังห้องนอน...ห้องสีขาวที่คุ้นตาของผม...ห้องที่มีเตียงกว้างพร้อมที่นอนนุ่ม...ห้องที่มีโคมระย้าอยู่บนเพดาน...เพียงแค่กดสวิตช์แกร๊กเดียวทั้งห้องก็สว่างไสวไปด้วยแสงไฟนีออน...ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากระจก..มองตัวเองในเงาสะท้อนนั้น...เสื้อผ้าแบบเดิมที่ใส่เสียจนคุ้นตามันช่างดูขัดกับสภาพแวดล้อมตอนนี้เสียจริง...แต่ผมก็ไม่ยอมถอดมันออก...ผมทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างทั้งอย่างนั้น...ในใจมีเพียงคำพูดเดียว



...ผมกลับมาแล้ว...

.....................................................

มาดึกหน่อยนะเจ้าคะ (แถวบ้านเรียกเกือบเช้า)
พ่อธีร์กลับมาเสียแล้วนะเนี่ย หุหุ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 06-07-2014 04:15:44
แง้ ทำไมเป็นเยี่ยงนี้ แล้วนี่ทางบ้านเจ้าคุณจะวุ่นวายแค่ไหน งานการก็ให้ช่วยแบ่งเบา หายมาแบบนี้จะถูกโกรธมั้ยนั่น
อยากจะกรี๊ด โอ๊ย แต่แบบ พ่อแก้ว ฮือ อบอุ่นบอกไม่ถูกเลย ชอบ พูดแบบนั้นที่ท่าน้ำ งื้อ
แต่ความฟินหดหายตรงที่พูดเป็นตุเป็นตะเรื่องคุณพิกุล ฮ่วย

แต่งสปีดดีมากเลยค่ะ รออ่านต่ออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: panthip ที่ 06-07-2014 05:52:57
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: LimousinX9 ที่ 06-07-2014 06:12:21
*0*เข้ามาคอยติดตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 06-07-2014 07:24:19
พ่อทีกลับมาแล้ว แล้วคุณหลวงจะทำยังไงอ่ะ
อ่านตอนนี้แล้วอารมณ์แบบพุ่งสูงๆแล้วตกฮวบมาในตอนสุดท้าย เฮือกก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 06-07-2014 07:29:45
คุณหลวงนะคุณหลวง ช่างไม่รู้อะไรเลย  :katai5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 06-07-2014 10:48:40
อยากอ่านต่อ สนุกค่ะ
ติดตามนะคะ มาต่อเร็วๆนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 06-07-2014 12:47:53
กลับมาแล้ว แล้วจะกลับไปอีกหรือเปล่า
ถ้าหากหยุดอยู่เพียงแค่นี้คงจะไม่มีใครต้องเจ็บปวด แต่หากกลับไปอีกรอบคงต้องมีอีกหลายคนที่ต้องเจ็บปวดเป็นแน่
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-07-2014 17:31:11
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 06-07-2014 20:34:33
คุณหลวงรู้อะไรเสียบ้างเถิด อ่านไปอ่านมาเริ่มจะติดภาษาแล้วค่ะ
อ่านรวดเดียวจบ สนุกมากกกกก
ธีร์ยังไม่เลิกกะแพม แล้วธีร์จะได่กลับไปมั้ย
โอ้ยยยยให้คุณหลวงมากรุงรัตนโกสินทร์สิ
จะพาไปนั่งรถบนฟ้า555555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter IX [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 06-07-2014 23:13:25
Chapter X....หัวใจที่กระซิบบอก...


...การกลับมาของผมกับไอ้แชมป์สร้างความปั่นป่วนให้โลกปัจจุบันไม่น้อย...เริ่มจากอาต้นที่ต่อสายตรงมาจากเชียงใหม่...แกบ่นเสียจนหูผมแทบชา เพราะตอนนี้อาต้นย้ายไปอยู่เชียงใหม่เรียบร้อยแล้วเลยไม่มีเวลามาดูแลอานิด พอผมหายไปแกเลยยิ่งเครียดหนักเพราะเห็นอานิดไม่สบายใจ..ผมก็ทำได้แต่พูดขอโทษจนอาต้นเสียงอ่อนลง แต่ยังกำชับเสียงดุว่าถ้าจะไปไหนอีกต้องบอกอานิด อย่าปล่อยให้แกเป็นห่วงแบบนี้..


...ต่อมาก็คงหนีไม่พ้นไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อ เพราะตั้งแต่วันแรกที่ผมโผล่หน้าไปที่มหาวิทยาลัย มันสองคนแทบจะเดินเข้ามาประเคนเท้าใส่ทั้งผมและไอ้แชมป์ แถมบ่นอุบไม่เลิกที่อยู่ดีๆผมสองคนหายไป ติดต่อก็ไม่ได้ แถมยังแซวพวกผมคิดว่าโดนลากไปฆ่าหมกศพที่ไหนแล้ว...


...แล้วไหนจะเรื่องเรียนอีก...แต่นับว่าโชคยังเข้าข้างที่ผมกลับมาก่อนสอบกลางภาคพอดี...ไม่อย่างนั้นคงได้มีดรอปแล้วกลับไปเรียนกับรุ่นน้องแน่ๆ...ยังดีที่เพื่อนในภาคเห็นใจให้ผมซีร็อกซ์เลคเชอร์ในช่วงที่ผมหายไป...


...และคนสุดท้ายจะเป็นใครไปไม่ได้...นอกจากคนที่กำลังนั่งหน้างอใส่ผมอยู่ตอนนี้...

"แพมครับ ธีร์บอกแล้วไงว่าธีร์ขอโทษ"

...เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับ...แต่เจ้าตัวยังหันไปทักทายเพื่อนร่วมคณะที่เดินผ่านโต๊ะในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยอย่างอารมณ์ดี แล้วก็หันกลับมาทำหน้างอใส่ผมต่อ

"ธีร์ทำรายงานยุ่งจริงๆ ไม่เชื่อแพมไปถามไอ้แชมป์ก็ได้"

"แล้วทำไมไม่บอกแพม...ธีร์รู้มั้ยแพมโทรหาธีร์วันละเป็นร้อยรอบ โทรจนมือถือธีร์แบตหมด ตามตัวก็ไม่เจอ โทรไปหาอานิดที่บ้านแกก็ไม่รู้ว่าธีร์ไปไหน แพมไปหาที่หอก็เห็นแต่รถจอดอยู่ ขึ้นไปเคาะเรียกก็ไม่มีใครมาเปิด"มาเป็นชุดเลยคราวนี้

"ถ้าธีร์มีคนอื่นธีร์บอกแพมมาดีๆก็ได้ ไม่ต้องหนีหน้าแพมแบบนี้หรอก"แล้วนั่น อะไรเข้าสิงคุณเธอให้คิดแบบนี้ครับ

"แพม ธีร์ไม่ได้มีใครนะครับ ธีร์บอกแล้วว่าธีร์ทำรายงานจริงๆ"

"ไม่รู้ล่ะ...แพมโกรธมาก...ธีร์รู้มั้ยว่าแพมเป็นห่วงธีร์แค่ไหน...ถ้าธีร์ไม่เห็นความสำคัญของแพมเราก็ไม่ต้องคบกันต่อ"เจ้าหล่อนยื่นคำขาดเสียงแข็ง...ผมเลยได้แต่นั่งเงียบ

"ถ้าแพมคิดว่ามันดีสำหรับแพมแล้ว...ธีร์ก็..."

"โอ๊ยธีร์! แพมประชด...แพมกำลังโกรธ ธีร์เข้าใจมั้ย"ถ้าให้พูดกันตามตรงก็ต้องบอกว่าผมไม่เข้าใจ...ขนาดอานิดกับเพื่อนสนิทผมมันยังเข้าใจกันเลย แล้วทำไมแพมต้องโกรธผมขนาดนี้

"แพมครับ ธีร์อธิบายไปแล้ว ถ้าแพมไม่เชื่อธีร์ก็ไม่รู้จะทำยังไง"คนตัวเล็กตรงหน้ายังนั่งกอดอกหน้ามุ่ย แต่ยังไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าหล่อนก็ดังขึ้นเสียก่อน

"ว่าไงเอก...แพมอยู่กับแฟน"ท้ายประโยคหันมามองผมเล็กน้อย

"แพมบอกเอกแล้วไงว่าแพมมีแฟนแล้ว...แล้วไง แค่มารับไปกินข้าวสองสามครั้งเอกจะมาเหมาว่าแพมคบกับเอกได้ไง...แค่นี้นะแพมยุ่ง"สิ้นเสียงแพมก็กดตัดสายโดยไม่รอให้ปลายสายพูดอะไรต่อ

"ใครครับแพม"

"ชื่อเอก อยู่ปี2ทันตะ...เค้าขอเบอร์แพมมาจากเพื่อน"

"แพมก็มีคนคุยด้วยแล้วนิ่"

"ธีร์! ก็ไม่ใช่เพราะธีร์หายไปแบบนี้เหรอแพมถึงต้องไปคุยกับคนอื่นน่ะ"น้ำเสียงยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม...แต่มันใช่เรื่องเหรอวะ

"ถ้าแพมมีคนที่เค้ามีเวลาให้แพมมากกว่าธีร์แล้วแพมจะคบกับเค้า ธีร์ก็ไม่ว่าหรอกนะครับ"ผมตอบกลับเสียงเรียบ แต่ดันเรียกน้ำตาคนตรงข้ามเสียนี่...แล้วคุณเธอจะร้องไห้ทำไมล่ะ

"ธีร์...ถ้าธีร์มีคนอื่นธีร์ก็บอกแพมมา ไม่เห็นต้องไล่แพมไปหาคนนั้นคนนี้เลย"พูดพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง

"ธีร์ไม่ได้ไล่...แต่ธีร์บอกแพมแล้ว แพมก็ไม่เข้าใจธีร์...ถ้ามีคนที่เข้าใจแพมมากกว่าธีร์ ธีร์ก็ดีใจด้วย"


...เพี๊ยะ!...ลั่นโรงอาหาร...ผมรู้สึกถึงฝ่ามือเล็กที่ตบเข้าเต็มๆจนหน้าหัน...ตอนนี้แพมกำลังยืนกำมือแน่น หน้าแดงด้วยความโกรธ...และคนทั้งโรงอาหารกำลังมองมาที่เราสองคน...ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเหลือเกินไอ้ธีร์เอ๋ย


"แพมไม่เคยสำคัญสำหรับธีร์เลย ไม่ว่าแพมจะพยายามแค่ไหน ธีร์ก็ไม่เคยเห็นค่า...พอกันที ถ้าธีร์อยากจะไปนัก จะไปตายที่ไหนก็ไป!"พูดจบก็หยิบกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อดังสะบัดตัวลุกออกจากโต๊ะทันที ทิ้งไว้เพียงผมที่นั่งหน้าแดงเพราะเจอฝ่ามือของแพม กับสายอีกนับร้อยคู่ที่ยังจ้องมาไม่เลิก


...มองทำไมกันนักหนา...ไม่เคยเห็นคนถูกตบหรือไงวะ?...



"โอ๊ยยยยย กูขำ! อยากจะถ่ายคลิปเก็บไว้จริงๆว่ะ"เสียงไอ้โจ๊กที่หัวเราะลั่นพลางจับหน้าผมไปดูรอยแดงๆที่แพมฝากไว้เมื่อกลางวัน

"เชี่ย แอบดูแต่ไม่ช่วยกูกันเลยนะ"ผมหันไปด่าพลางลูบแก้มตัวเองเบาๆ ตัวเล็กแต่มือหนักเป็นบ้า

"เรื่องผัวเมียใครเค้าเสือกกันครับมึง"ไอ้ต่อรีบเสริม เห็นไอ้สองตัวนี้ขำแล้วอยากจะถีบมันตกเก้าอี้เสียจริง

"แล้วยังไงอ่ะ สรุปว่าเลิก?"ไอ้โจ๊กถามผมต่อ

"ก็คงงั้น...ตบกูซะขนาดนี้"

"เออดีละ ตอนมึงไม่อยู่กูเห็นเด็กทันตะมารับมาส่งตลอด กูยังถามไอ้ต่อว่าเค้าเลิกกับมึงแล้วเหรอวะ"เด็กทันตะที่ว่าก็คงเป็นคนเดียวกับในโทรศัพท์นั่น

"ช่างมันเหอะมึง ผู้หญิงคนเดียว ไม่ตายก็หาใหม่ได้ จริงมั้ยไอ้แชมป์"ไอ้โจ๊กว่าพลางหันไปหาเสียงสนับสนุน

"เชี่ยแชมป์! เป็นไรของมึง นั่งเหม่ออยู่ได้"ไอ้ต่อหันไปเรียกเจ้าตัวที่นั่งเหม่อมองฟ้ามองลมไม่สนใจคนรอบข้าง

"ไอ้นี่อีกคน...หายหัวไปสองอาทิตย์กลับมาสมองกลับเลยนะมึง"ไอ้โจ๊กเลยจัดการโบกหัวมันสักทีเพื่อเรียกสติ

"ไรของมึงวะ นั่งกันอยู่แค่นี้เสียงดังไปได้"ไอ้ตัวดีลูบหัวตัวเองป้อยๆก่อนจะหันกลับมาด่า

"กูตะโกนเรียกคอแทบแตกมึงสนใจกูซะที่ไหนล่ะ"และก็เป็นไอ้ต่อที่หันไปด่ามันอีกรอบ...ไอ้แชมป์มีท่าทางแปลกๆตั้งแต่กลับมา...มันดูเหม่อชอบกล แถมไม่ค่อยกวนประสาทพวกผมเหมือนเมื่อก่อน

"เดี๋ยวกูกับไอ้ต่อไปเรียนละ ตอนบ่ายมีเทส พวกมึงไปไหนต่อ?"ไอ้โจ๊กหันมาถาม...มันสองคนเรียนนิเทศศาสตร์ เอกเดียวกัน ตัวก็เลยติดกันเป็นเรื่องปกติ

"กลับหอมั้ง บ่ายกูไม่มีเรียน"ผมว่าพลางโบกมือลาไอ้สองตัวที่เดินไปทางตึกเรียน...เหลือแต่ไอ้คนข้างๆที่นั่งถอนหายใจเป็นระยะ

"เป็นไรของมึง"ผมยกขาขึ้นสะกิดมันยิกๆ ถ้าเป็นตอนปกติมันคงถีบผมกลับ แต่คราวนี้มันกลับนิ่ง

"ไม่รู้ว่ะ...แปลกๆ"

"แปลกไรวะ"

"แปลกอ่ะ...มึงไม่คิดว่ามันแปลกมั่งเหรอ"

"เออแปลก"

"มึงก็ว่าแปลกใช่มั้ย"มันรีบหันมาเกาะแขนผมแล้วเขย่าแรงๆ

"มึงอะแปลก เป็นเชี่ยไรเหม่ออยู่ได้"

"มึงอ่ะ ไม่เข้าใจกูเลยสัส"แล้วกูจะไปเข้าใจมึงได้ไงครับในเมื่อมึงไม่ยอมบอกกูเนี่ย

"กูควรจะดีใจที่ได้กลับมา...กูกลับบ้านไปเจอป๊ากับม๊า โดนสวดจนหูชา...กูดีใจที่ได้เจอเค้า กูคิดถึง...แต่มันก็ยังแปลกๆอ่ะมึง"คำพูดวกไปวนมาของมันทำเอาผมชักปวดหัว

"ทำไมกูไม่ดีใจที่ได้กลับมาเลยวะธีร์"ประโยคสุดท้ายที่ทำให้ผมเงียบเช่นกัน...นั่นสิ...ผมเองก็ควรจะดีใจที่ได้กลับมาอยู่ในโลกของผม...แต่ทำไม...ผมยังนึกถึง...เรือนไทยหลังนั้น...คนที่นั่น...สภาพแวดล้อมแบบนั้น...และ...รอยยิ้มของใครบางคน

"มึงว่าเราจะได้กลับไปอีกมั้ยวะ"คำถามที่ผมเองก็อยากรู้คำตอบ...ผมจะได้กลับไปอีกไหมนะ...กลับไปยังเรือนของเจ้าคุณจิตรา...คุณหญิงสร้อย...คุณพิกุล...กลับไปเจอมิ่งกับพี่สน ป้าน้อย พี่ชด และบ่าวคนอื่นๆ

"แล้วมึงว่า...เจ้าคุณท่านจะสงสัยมั้ยว่าเราหายไปไหนกัน"มันยังคงยิงคำถามไม่เลิกแต่ความคิดในหัวของผมมันแล่นไปไกลกว่านั้น

"มึงว่าคุณพิกุลจะสงสัยมั้ยว่ากูไปไหน"นั่นสิ...เขา...จะสงสัยไหมว่าผมหายไปไหน...


"ไอ้ธีร์...เชี่ยธีร์!!"

"เสียงดัง นั่งกันอยู่แค่นี้"ผมหันกลับไปด่ามัน กำลังคิดอะไรเพลินๆ

"ว่าแต่กูมึงก็เหม่อเหมือนกันแหละวะ หึหึ"

"เงียบไปเลยมึงอ่ะ กูกลับหอละ ไปกับกูป่าว"ยื่นมือไปผลักหัวมันออกไปไกลๆเพราะตอนนี้มันทำหน้ากวนพิลึก

"ไม่อ่ะ เดี๋ยวกูกลับบ้าน ช่วงนี้โดนป๊ากับม๊าคุมเข้ม...ตอนแรกเค้าหาว่ากูหนีตามสาว"ผมล่ะอดขำกับความคิดป๊ากับม๊าไอ้แชมป์ไม่ได้...ลูกอาเสี่ยมีเงินขนาดนั้น มันจะไปหนีตามใคร มีแต่ผู้หญิงนี่แหละอยากจะหนีตามมันมากกว่า

"เออ งั้นกูไปละ"ผมพูดพลางลุกเดินไปทางที่จอดรถ...วันนี้ช่วงบ่ายไม่มีเรียนเพราะพรุ่งนี้เป็นวันสอบกลางภาค...หลังสอบเสร็จก็ได้หยุดยาวกันเกือบอาทิตย์เพราะที่มหาวิทยาลัยของผมเป็นเจ้าภาพงานวิชาการระดับโลกที่มีสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยอื่นๆทั้งในและต่างประเทศมาร่วมด้วย...ส่วนผมที่ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับงานนี้ก็เลยได้หยุดเรียนสบายๆ
.

.

.

.
"พรุ่งนี้ไปไหนรึเปล่าธีร์"อานิดถามขึ้นขณะที่เรากำลังทานอาหารเย็นกันอยู่...วันนี้วันศุกร์ผมกลับมานอนที่บ้านเหมือนเคย แถมยังสอบเสร็จแล้วด้วย เลยคิดว่าจะกลับมาอยู่บ้านสักพักให้อานิดหายคิดถึง

"ไม่ได้ไปครับ อานิดจะไปไหนเหรอ"

"อาจะชวนไปวัด"คำตอบที่ทำเอาผมขมวดคิ้วเล็กน้อย

"ก็ตอนที่ธีร์หายไปน่ะ อาไปไหว้พระที่วัดขอให้ธีร์ปลอดภัย ตอนแรกอาบอกหลวงพ่อที่วัดนั้นว่าอาจะไปแจ้งความ แต่ท่านว่าไม่ต้องเดี๋ยวธีร์ก็กลับมาเอง...ดูสิ อย่างกับตาเห็น...ธีร์ไปกับอานะลูก"อานิดร่ายยาวอย่างอารมณ์ดี ผมเลยตอบรับไปเพราะพรุ่งนี้ไม่ต้องทำอะไรอยู่แล้ว
.

.

.
วัดที่อานิดพามาอยู่นอกตัวเมืองไม่ไกล ใช้เวลาขับรถเกือบสองชั่่วโมงก็ถึง เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ด้านหลังมีท่าน้ำให้ชาวบ้านและผู้มาเยือนลงไปให้อาหารปลาได้...ผมเดินตามอานิดเข้าไปในโบสถ์ ในมือถือของพะรุงพะรังเพื่อนำมาถวายหลวงพ่อ...ด้านในมีพระประธานสีทององค์ใหญ่ตั้งเด่น เรียงรายด้วยพระพุทธรูปอีกจำนวนมาก...

"นมัสการค่ะหลวงพ่อ"ผมและอานิดลงนั่งพับเพียบกราบเจ้าอาวาสวัดที่ตอนนี้นั่งอยู่ในโบสถ์หน้าพระประธานองค์ใหญ่...ท่านยังอยู่ในวัยกลางคน ใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยน

"เจริญพรเถอะโยม"

"นี่หลานชาย ที่เคยเล่าให้หลวงพ่อฟังไงคะ...เพิ่งกลับมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ว่าจะพามาหาตั้งหลายวันแล้วแต่เขาติดสอบน่ะค่ะ"ผมนั่งพับเพียบพนมมือไหว้หลวงพ่ออีกครั้ง ท่านเพียงหันมายิ้มบางๆตอบ

"ไปเที่ยวมาสนุกไหม"คำถามที่ทำเอาผมนิ่งสนิท...อานิดหันมามองเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้ตอบอะไร

"จะพาเขามาทำบุญน่ะค่ะ อยากให้หลวงพ่อช่วยรดน้ำมนต์ให้ด้วย"หลวงพ่อเพียงแค่ยิ้มรับแล้วพยักหน้าเล็กน้อย...ผมถวายของที่นำมา นั่งพนมมือรับพรและน้ำมนต์ ก็เป็นอันเสร็จ


"เดี๋ยวอาเอาของไปเก็บที่รถก่อนนะธีร์...อยู่คุยกับหลวงพ่อไปก่อนนะลูก"ผมพยักหน้ารับ เห็นอานิดว่าจะเอาของมาให้หลวงพ่อเจิมเพื่อเป็นสิริมงคลอะไรสักอย่าง


"ยังไม่ได้ตอบอาตมาเลยนะโยม"เสียงหลวงพ่อเอ่ยถามอีกครั้ง

"อาตมาถามว่าไปเที่ยวมาสนุกไหม"ผมไม่ค่อยแน่ใจในคำถาม แต่เพราะรอยยิ้มบางนั่นทำให้ผมรู้

"หลวงพ่อรู้เหรอครับ"ผมถามกลับ...ถ้าท่านรู้อะไรบ้างคงช่วยให้ความกระจ่างผมได้บ้างไม่มากก็น้อย

"รู้เรื่องอะไรล่ะ...เรื่องที่โยมไปเที่ยวมาน่ะหรือ"เอ้อ คำพูดคำจาท่านช่างคุ้นหูนัก

"อาตมาไม่รู้หรอก...แต่เห็น"คำตอบที่ได้รับทำเอาผมเสียววูบ...ท่านเห็น...เห็นอะไร?

"แล้วทำไม ผมถึงไปที่นั่นได้ล่ะครับ"ผมยิงตรงคำถาม ไม่อ้อมค้อม

"โยมเคยได้ยินเรื่อง จิตเป็นนาย ไหมล่ะ"ผมส่ายหน้าตอบ...เรื่องทางธรรมนี่ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ มาวัดก็แทบนับครั้งได้ ส่วนมากจะสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พ่อกับแม่อยู่ที่บ้านเสียมากกว่า

"มนุษย์เรามีเลือดเนื้อภายนอกก็คือกาย...แต่ภายในที่ควบคุมกายก็คือจิต...จิตของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บ้างก็อ่อน บ้างก็แข็ง"ผมนั่งพับเพียบฟังหลวงพ่อเล่าอย่างสงบ

"จิตที่เข้มแข็งย่อมสั่งกายให้ทำตามได้ ที่เขาว่ากันว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว...อย่างเวลาโยมไม่สบาย หากมัวแต่คิดว่าฉันไม่สบาย ฉันไม่สบาย โยมก็จะไม่หายสักที แต่ถ้าโยมคิดว่า ฉันไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันก็หาย โยมก็จะหายในเร็ววัน"

"เหมือนการให้กำลังใจตัวเองอย่างงั้นเหรอครับ"

"ก็คล้ายกันนั่นแหละ"

"จิตของโยมนั้นผูกพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยที่โยมไม่รู้ตัว...เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม จิตที่เข้มแข็งจึงได้พากายไปยังที่แห่งนั้นได้ โดยอาศัยสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างสองที่นั้น"ผมขมวดคิ้วแน่นกับคำพูดของหลวงพ่อพลางคิดตาม

"หมายความว่าผมสามารถไปที่นั่นได้เพราะของสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันใช่มั้ยครับ"ผมพอจะนึกภาพสิ่งที่หลวงพ่อพูดให้ฟังออก

"ไม่ใช่ทุกที่นะโยม ต้องเป็นที่ที่จิตโยมผูกพันอยู่เท่านั้น สมมติว่าบนโลกนี้มีของห้าชิ้นที่เหมือนกัน แต่โยมเคยเห็นแค่สองชิ้น โยมก็จะผูกพันกับของแค่สองชิ้นนั้น ส่วนอีกสามชิ้นที่โยมไม่เคยเห็นมาก่อน โยมก็จะไม่รู้สึกอะไรกับมัน"

"แต่ไม่ได้หมายความว่าขึ้นอยู่กับสิ่งของเพียงอย่างเดียว...บุคคลก็มีผลกระทบกับจิตของโยมด้วย"ผมไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของหลวงพ่อสักเท่าไหร่

"แล้วผมจะได้กลับไปอีกมั้ยครับหลวงพ่อ"คนถูกถามยิ้มบางเมื่อได้ยินคำถามของผม

"จิตของโยมอยู่ที่ไหน กายของโยมก็ต้องตามไปด้วย...จิตจะเป็นตัวนำพาให้กายไปสู่สถานที่และบุคคลที่โยมผูกพัน"สถานที่และบุคคลที่ผูกพัน...อย่างเรือนเจ้าคุณจิตราจะเป็นสถานที่นั้นหรือเปล่า...แต่ครั้งแรกที่ผมไปผมก็ไม่ได้รู้จักเจ้าคุณกับคนในเรือนมาก่อน

"แต่ครั้งแรกที่ไป..."ผมกำลังจะถาม แต่ถูกขัดขึ้นเสียก่อน

"บางทีการที่โยมได้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่โยมไม่รู้จัก ก็ไม่ได้หมายความว่าจิตของโยมไม่เคยผูกพันกับมันมาก่อน...อาตมาถึงบอกว่าจิตของโยมผูกพันกับบางอย่างโดยที่โยมเองก็ไม่รู้ตัว"ราวกับอ่านใจผมออก หลวงพ่ออธิบายยาวเหยียด ก่อนที่อานิดจะเดินกลับเข้ามาในโบสถ์อีกครั้ง


"กราบลานะคะหลวงพ่อ ไว้มีโอกาสจะมาใหม่"ผมกราบลาหลวงพ่อหลังเสร็จธุระของอานิด ท่านมายืนส่งที่ประตูโบสถ์ก่อนจะยิ้มบางๆให้ผมที่หันกลับไปมอง


...จิตเป็นนายอย่างงั้นหรือ...
.

.

.

.
ผมกลับมาอยู่บ้านอานิดได้สองสามวันแล้ว...ไอ้แชมป์มักจะแวะมาหาเสมอ และทุกครั้งเราก็จะเข้าไปขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานของอาต้น...สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบเมื่อกลับมาคือตั้งแต่กลับมาผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไร้สาระสิ้นดี เพราะนอกจากเรื่องเรียนแล้วก็ไม่ได้มีอย่างอื่นที่ผมจะทำประโยชน์ได้เลย...ผิดกับเวลาอยู่ที่เรือนเจ้าคุณจิตรา แม้ไม่ต้องไปเรียน แต่ทุกวันกลับมีอะไรให้ทำมากมาย...

"มาขลุกกันอยู่ห้องนี้อีกแล้ว"อานิดว่าพลางยกจานของว่างและน้ำผลไม้เข้ามาให้

"ปกติไม่เห็นเคยสนใจห้องนี้เลยนี่ลูก"แกยังถามต่อพลางวางถาดขนมลงบนโต๊ะไม้สัก

"มันเงียบดีครับอา"คำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างแก่คนฟังเลย เพราะเอาเข้าจริงบ้านที่มีแค่ผมกับอานิดและคนรับใช้อีกสองสามคน ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนมันก็เงียบอยู่ดี...แต่อานิดไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงแค่เดินออกจากห้องไป

"เหม่ออีกแล้วนะมึง"ผมหันไปหาไอ้ตัวดีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานของอาต้น ทอดแขนยาวพาดกับโต๊ะไม้พลางถอนหายใจเป็นระยะ

"ซึมเป็นหมาหงอย ไม่เห็นเหมือนไอ้แชมป์ที่กูรู้จักเลยนะครับ"ผมรู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่ก็แค่อยากทำให้มันสบายใจขึ้นบ้าง

"เค้าจะคิดถึงกูมั้ย"ถามเพียงสั้นๆ

"อย่ามาเพ้อ...เดี๋ยวกูไล่กลับบ้าน"

"มึงไม่มาเป็นกูมึงไม่เข้าใจหรอก"ถึงผมจะไม่รู้เรื่องมันกับ'คนทางโน้น'สักเท่าไหร่ แต่ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่าผมเข้าใจดี...เข้าใจว่ามันอยากกลับไปเพราะอะไร...แม้แต่ตัวผมเอง...ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจนัก...แต่ผมก็คิดว่าผมรู้...แล้ว'คนทางโน้น'ล่ะ...จะรู้สึกอะไรบ้างไหมกับการหายไปของผม

"มานั่งเฝ้าทุกวันแบบนี้มันก็ไม่ช่วยอะไรป่าววะ...ออกไปหาอะไรทำกันดีกว่า กูเบื่อ"ว่าพลางดึงแขนไอ้คนที่ฟุบหน้ากับโต๊ะให้ลุกขึ้น

"แล้วถ้า'ไอ้นี่' มันเรียกตอนที่เราไม่อยู่ล่ะ"ผมหันไปมอง'ไอ้นี่'ที่มันว่า

"ความบังเอิญไม่มีบนโลกมึง...จำคำกูไว้...ป่ะ หาไรกินกัน อุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวัน น่าเบื่อ"ผมเชื่ออย่างนั้น...เชื่อว่าวันหนึ่งถ้าถึงเวลา


...ผมจะได้กลับไป...


ถึงจะบอกไอ้แชมป์ไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงการออกมาเดินห้างครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมกับมันหายเบื่อแม้แต่น้อย...พวกผมหาอะไรกินกันตามปกติ...เดินเล่นดูของ แต่ไอ้คนข้างๆดูหงอยลงผิดหูผิดตา...ไม่ร่าเริงเหมือนเคย

"แดกเหล้าป่ะ กูเลี้ยง"ถึงแม้ผมเองจะไม่ได้ดีไปกว่ามันเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่อยากเห็นหน้ามันอมทุกข์ตลอดเวลาแบบนี้...มันพยักหน้ารับก่อนจะโทรเรียกไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อออกมาเจอกันที่ร้านเดิม...ตอนนี้เพิ่ง6โมงเย็นผมเลยเดินเล่นรอเวลาในห้างไปพลางๆ

...ผมเจอแพมที่ห้าง...มากับผู้ชายตัวสูงท่าทางสำอางค์ ผมมั่นใจว่าแพมก็เห็นผมเพราะเราเดินสวนกันใกล้นิดเดียว เธอเหลือบมองผมเล็กน้อย แต่แววตายังดูขุ่นเคือง...ส่วนผู้ชายที่เธอกำลังเกาะแขนอยู่นั้นหันมามองหน้าผมเช่นกัน...เขาเองก็คงจะรู้จักผมดี และถ้าผมเดาไม่ผิดเขาก็คงเป็นเด็กทันตะปี2คนนั้น...น่าแปลกที่เวลาไม่ถึงเดือนจะทำให้คนๆหนึ่งเปลี่ยนใจจากกันได้เพียงเพราะไม่เห็นหน้ากัน...สำหรับผมไม่ต้องใช้เวลาในการทำใจ เพราะผมไม่เคยรักแพม...ผมชอบแพมอยู่บ้างเพราะเธอน่ารัก ขี้อ้อน...ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น...แต่ตลอดเวลาที่คบกันผมก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางเพราะผมเคารพในความสัมพันธ์ของเราสองคน...ผมไม่เคยว่าหากแพมเจอคนที่ถูกใจแล้วคิดจะไปจากผม...หรือแม้แต่ตัวผมเองก็เช่นกัน...แต่ผมก็ไม่เคยเจอใครที่ทำให้ผมรู้สึกเช่นนั้น...แต่จนถึงตอนนี้


...ผมกลับไม่แน่ใจ...


ร้านประจำที่เราไปเป็นอีกร้านแถวๆมหาวิทยาลัย...เป็นร้านเหล้าของรุ่นพี่ที่จบไปแล้วของคณะไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อ...พวกมันสนิทกับพี่โอ้เจ้าของร้านดี พวกผมเลยมารวมตัวกันที่นี่บ่อยๆ

"เป็นไรวะแชมป์ ดูหงอยๆ"พี่โอ้เจ้าของร้านที่แบกทาวเวอร์เบียร์มาให้ที่โต๊ะหันไปถาม...เป็นใครก็ต้องรู้สึก เพราะไอ้แชมป์ที่ปกติเวลามากินเหล้ามีแต่ระริกระรี้นั่งมองสาวโต๊ะนั้นทีโต๊ะนี้ที...แต่นี่มันเล่นนั่งซึมเป็นหมาโดนเจ้าของทิ้ง

"แม่งเป็นงี้มาอาทิตย์นึงละ...พี่ดูมันหน่อยดิว่าสมองมันกระทบกระเทือนรึเปล่า"ไอ้ต่อรีบหันไปบอกพี่เจ้าของร้าน

"กูจบนิเทศไม่ใช่หมอครับสัส"เลยโดนพี่โอ้สวนเข้าให้

"ก็เมียพี่เป็นหมอ...เผื่อจะได้ความฉลาดติดมาบ้าง หึหึ"ไอ้โจ๊กรีบแซวต่อ เลยโดนยันโครมเข้าให้

"ไม่ใช่หวัด มันถึงจะติดกันได้ พวกมึงนิ่ เพื่อนนั่งซึมเป็นหมาหงอยยังมีเวลามาปากหมาใส่กู"พี่โอ้ส่ายหน้าปลงๆก่อนจะเดินไปดูลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ

"เชี่ยแชมป์ เรียกพวกกูมาแดกเหล้าแต่เสือกมาซึม มาเลยๆ ชนกับกูเดี๋ยวนี้ ไม่เมาคืนนี้พี่ต่อไปกลับเว้ยยยย"ไอ้ต่อชักเสียงดังจนโต๊ะข้างๆหันมามอง




"เออออ แดกให้เมาแม่งงงงง"อยู่ดีๆเจ้าตัวมันก็โพล่งมาแบบนั้นก่อนจะซัดเบียร์แก้วใหญ่รวดเดียวหมด...มึงนี่มันยุง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ

"ไอ้ธีร์ครับ มึงก็อย่ามาเนียนนิ่ง...ชนกับกูเดี๋ยวนี้!"แล้วเสียงโวยวายของพวกผมก็เริ่มกลายเป็นเรื่องปกติของคนในร้านเพราะตั้งแต่เริ่มตั้งวงจนตอนนี้ไอ้ต่อกับไอ้โจ๊กยังไม่หุบปาก แถมดันมีไอ้แชมป์ที่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมาชนแล้วชนอีก...ผมเห็นสาวๆโต๊ะข้างๆหันมามองมันพลางส่งยิ้มหวานให้ แต่มันก็แค่ยิ้มตอบไม่ได้เดินเข้าไปป้อเหมือนเมื่อก่อน...มันเปลี่ยนไปมากจริงๆ...กับเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์...
.

.

.

"ใครใช้ให้มึงแดกขนาดนี้วะเนี่ย ลำบากกูอีก!"แล้วจะเป็นใครที่ซวยต้องขับรถพามันกลับบ้าน...ถ้าไม่ใช่ผม!...แต่ถ้าพากลับตอนนี้สงสัยป๊ากับม๊ามันได้สวดยับ ผมเลยโทรไปบอกว่ามันจะมาค้างที่บ้านของผมแทน...กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เกือบตีสี่ อานิดคงหลับไปแล้ว...ผมกึ่งดึงกึ่งลากมันขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล...ได้ยินเสียงงึมงำของมันเป็นระยะ

"ธีร์...ไอ้ธีร์"มันเรียกผมเสียงเบา

"ไรของมึง...จะอ้วกป่ะเนี่ย...อย่าเพิ่งนะมึง ไม่งั้นกูปล่อยนอนตรงนี้จริงๆด้วย"ว่าแล้วก็พยายามลากมันไปถึงห้องให้เร็วที่สุด

"ธีร์กูปวดหัว"

"เออกูรู้แล้ว"

"มีเสียงด้วย"

"เสียงเชี่ยไรวะ"

"เสียงวิ้งๆ...แสบตาชิบหาย"เสียงวิ้งๆ?

"มึงเปิดไฟทำไมวะ กูแสบตา"

"เปิดเชี่ยไรกูยังไม่ได้เปิดเลย เดินดีๆดิวะ"

"เสียงไรวะธีร์"ผมไม่เห็นจะได้ยินเสียงอะไรเลย...เสียง...เดี๋ยวนะ!

"มึงได้ยินเสียงเหรอแชมป์"ผมเขย่าตัวมันสองสามทีแต่ดูท่าสติมันจะหายไปกับเบียร์สามทาวเวอร์หมดแล้ว...ผมยังลากมันเดินต่อ แต่จุดหมายไม่ใช่ห้องนอนผมอีกต่อไป...แต่เป็น...


...ห้องทำงานของอาต้น...


ผมคิดถูกที่เดินเข้ามา...ไอ้แชมป์...มึงไม่ต้องหงอยอีกต่อไปแล้ว...เพราะมึงกำลังจะได้กลับไปที่ที่มึงอยากไป...ผมบอกแล้วไง...


...ความบังเอิญไม่มีในโลก...

....................................................................

กลับมาสู่โลกแห่งความจริงกันบ้างนะตัวเธอ  :hao7:
แต่กลับมาก็กลายเป็นหมาหงอยทั้งสองคนเลยต้องรีบให้กลับไปซะและ ฮี่ๆ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ จะพยายามลงให้ต่อเนื่องเพราะไม่รู้จะว่างจนถึงเมื่อไหร่  :hao5: :hao5: :hao5:

สุดท้ายอยากบอกว่า...รักคนอ่านทุกคนค่า :)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter X [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 07-07-2014 04:34:14
โอ๊ย ดีใจ จะได้กลับไปอีกแล้ว
แต่ทางท่านเจ้าคุณจะว่ายังไง ทำเค้าเสียงานเสียการ แผนเสียหมดเลย
เฮ้อ เค้าจะเข้าใจมั้ย ลุ้นเหลือเกิน กลัวจะไม่ได้รับการต้อนรับดีๆ
ใจนึงอยากให้โผล่ไปต่อหน้าต่อตาท่านเจ้าคุณเลย จะได้ไม่ต้องสงสัยว่าหายไปไหน
คงพอเข้าใจว่าอยู่ดีๆก็หายไป เพียงแต่ว่าจะโดนข้อหาแนวแม่มดหมอผีอะไรเทือกนี้ป่าว
หลวงพ่อก็รู้ก็เห็นนะ อืมม ความผูกพัน ความรัก คงจะเป็นตัวนำพา

ขอบคุณนะคะ รออ่านๆตอนต่อไป555
ป.ล.เดี๋ยวคนเขียนบอก พึ่งลงตอนใหม่ ก็ถามหาตอนค่อไปซะละ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter X [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 07-07-2014 07:35:14
คุณหลวงจะคิดถึงมั้ยเนี่ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter X [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 07-07-2014 07:55:40
เย้ๆ อ่านแล้วอินมากกับเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ Chapter X [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 07-07-2014 18:40:03
Chapter XI...ห้วงนธีร์ไหลวน...


ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง...ห้องทำงานห้องเดิม...โต๊ะไม้สักตัวเดิม...ที่ทับกระดาษอันเดิม...บรรยากาศเดิมๆ...แต่จะไม่เหมือนเดิมก็เพราะ...

...ไอ้คนที่มันนอนกองอยู่กับพื้นนี่!...

"มาไม่สวยเลยนะมึง เมาเป็นหมา"หันกลับไปบ่นมันที่นอนจูบพื้นไม้ไม่ได้สติอยู่อย่างนั้น เห็นแล้วสงสารเลยจัดการลากมันออกจากห้องตั้งใจจะพาไปนอนที่ห้องเดิมก่อน...แต่เพียงแค่จับตัวมันขึ้นเอาแขนพาดบ่า...ประตูไม้สักของห้องทำงานก็ถูกเปิดออกเสียก่อน

"พ่อธีร์...พ่อแช่ม!"ใบหน้าหวานฉ่ำของคุณพิกุลดูตกใจมากเมื่อเห็นผมทั้งสองคน...ในสภาพจัดเต็ม เสื้อเชิ๊ตกางเกงยีนส์ทั้งคู่...และไอ้คนที่ผมพยุงอยู่ในสภาพ'เมาเป็นหมา'

"คุณพิกุล"ผมได้แต่เรียกชื่อ...เจ้าของร่างเล็กถือตะเกียงเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ากังวล

"เราได้ยินเสียงแปลกๆเลยมาดู นึกว่าคุณพ่อกลับมาจากกรมเสียอีก"อีกอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งสังเกต ทุกครั้งที่ผมเดินทางข้ามเวลา...เจ้าคุณจิตรามักไม่อยู่ที่เรือนเสมอ...และผมรู้ว่านั่นไม่ใช่ความบังเอิญ

"แล้วนี่พ่อธีร์หายไปไหนมาเสียนาน เขาตามหากันเสียให้ทั่ว"

"เอาไว้บอกทีหลังได้มั้ยครับ ตอนนี้เอาไอ้นี่ไปเก็บที่ห้องก่อน"ถึงไอ้คนที่เมาเกาะแขนผมมันจะเตี้ยกว่าผมก็ตาม แต่ความหนาของตัวมันไม่ได้ทำให้มันดูบอบบางน่าทะนุถนอมสักนิด แถมยังหนักกูอีกครับ...คุณพิกุลรีบเข้ามาช่วยประคองอีกข้างก่อนจะพากันเดินไปจนถึงห้องนอน...จัดการให้มันนอนลงบนเตียงได้ผมถึงหันกลับไปขอบคุณลูกสาวเจ้าของเรือนเสียหน่อย

"พ่อแช่มเป็นอะไรรึ"น้ำเสียงคนตัวเล็กเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล...สายตาที่เธอมองเพื่อนผมก็เช่นกัน

"เอ้อออ ไม่สบายนิดหน่อยครับ"แล้วผมจะบอกได้อย่างไรว่ามันเมา...ไม่ได้ครับ ต้องรักษาภาพพจน์ให้เพื่อนสักหน่อย

"เป็นอะไร เดี๋ยวเราจักไปหาหยูกยามาให้"ดวงตาคมเบิกโพลง...ดูก็รู้ว่าเป็นห่วง

"มันไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ได้นอนเดี๋ยวก็หาย ขอบคุณคุณพิกุลมากนะครับที่ช่วยผมแบกมันมา แต่ผมว่าคุณพิกุลกลับห้องก่อนดีกว่า เดี๋ยวคุณหญิงท่านมาเห็นมันจะดูไม่ดี"คนตัวเล็กดูท่าไม่อยากจะกลับตอนนี้ แต่ก็ต้องเดินออกจากห้องอย่างเสียไม่ได้...แน่ล่ะ เป็นผู้หญิงเข้าห้องผู้ชายดึกๆดื่นๆ ถ้าคุณหญิงมาเห็นเข้าได้บ้านแตกกันพอดี



"พรุ่งนี้ตื่นมาหลอนแน่มึง หึหึ"ผมหันไปมองไอ้คนที่เมาหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง...อยากเห็นหน้ามันตอนตื่นชะมัด
.

.

.

.
"เชี่ยยยยยยยยยยยยย!"ดังมากครับคุณผู้อ่าน...ดังกว่าเสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงที่ห้องนอนผมเสียอีก

"ไอ้ธีร์ๆๆๆๆ"นอกจากระบบเสียงแล้วยังมีระบบสั่นแถมให้อีก...แล้วจะมาปลุกกูอะไรตอนนี้วะ เพิ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงเอง

"อะไร"ตอบกลับสั้นๆด้วยเสียงรำคาญและยังไม่ลืมตา

"มึงๆๆๆๆ กูมาอยู่นี่ได้ไงอ่ะ"ผมไม่ต้องลืมตาดูก็รู้ว่ามันกำลังทำหน้าแบบไหน อยากจะขำ แต่ตอนนี้ผมง่วง เอาไว้ผมนอนเต็มที่ก่อนค่อยตื่นมาขำมันอีกที

"มึงฝันอยู่แชมป์...นอนต่อซะ"

"เชี่ยธีร์มึงอย่ามา! ตื่นมาคุยกับกูเดี๋ยวนี้"มึงเลิกปลุกกูด้วยระบบเสียงและสั่นนี่ทีเถอะ กูง่วง

"ไอ้ธีร์ ลุกมาคุยกับกูก่อนนนนน"ยังเสียงดังไม่เลิกผมเลยจำใจสลึมสลือตื่นขึ้นมา

"กูมานี่ได้ไง"

"กูแบกมึงมา...แม่งเมาเป็นหมา หนักชิบ"

"ไม่ได้หมายถึงมาห้องนี้ได้ไง หมายถึงมาที่นี่ได้ไง"

"ก็ปกติมึงมาทางไหนล่ะ ก็ทางนั้นแหละ"ผมตอบพลางหาวหวอดใหญ่ เมื่อคืนผมก็ดื่มไปไม่น้อยเหมือนกัน แถมยังนอนไปแป๊บเดียวอีก

"กูไม่ได้ฝันใช่มั้ยวะ"ปล่อยมันเพ้อไปครับ ผมขอนอนต่อก่อนละ

"เออไม่ได้ฝัน แต่มึงพลาด"แหย่สักหน่อย เดี๋ยวไม่สนุก

"พลาดอะไร"

"พลาดที่เมาเป็นหมาต้องให้คุณพิกุลช่วยหามมึงมาห้องเนี่ย"ผมนอนหันหลังตอบมันเสียงเรียบ กะว่าจะนอนต่ออีกสักพัก

"เชี่ยยยยยยยยยยยยย"แล้วมันแหกปากอยู่อย่างนี้ผมคงไม่ได้นอนกันละ
.

.

.
สายวันนั้น...ต้องเรียกว่าสายครับเพราะกว่าผมจะตื่นเต็มสติดวงอาทิตย์ก็เกือบจ่ออยู่กลางหัวแล้ว...ส่วนไอ้แชมป์จะให้มันข่มตาหลับต่อคงยากเลยออกไปหาพวกมิ่งกับพี่สนที่เรือนบ่าว...คุณพิกุลแกคงบอกคุณหญิงสร้อยแล้วว่าพวกผมกลับมา คุณหญิงเลยให้บ่าวมาตามออกไปพบ...ไม่ต้องสืบครับ...กลับไปบ้านอานิดโดนบ่นขนาดไหน...กลับมาที่นี่เหมือนโดนเพิ่มเป็นสองเท่า แต่พวกผมไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ ก็เสียงคุณสร้อยมันช่างเนิบนาบน่าฟังเสียเหลือเกิน...ไม่ว่าจะเป็น "จักไปที่ใดก็มิบอก เห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอรึ" หรือแม้แต่ "ทำเขาเสียงานเสียการกันไปหมด...เจ้าคุณกลับมาได้เอ็ดพวกเอ็งกันบ้างล่ะ"...แล้วใครมันจะไปโกรธลง...จะมีก็แต่เจ้าคุณจิตรานี่แหละที่ผมเกรง สงสัยกลับมาจะโดนชุดใหญ่...ส่วนไอ้แชมป์ตอนนี้นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองคุณพิกุลลงครัวทำกับข้าวอยู่ครับ...คุณพิกุลเองก็หันมาส่งยิ้มหวานให้มันอย่างเขินอาย...คูู่นี่ชักจะยังไง เดี๋ยวผมต้องเสือก เอ๊ย! สืบเสียหน่อย...ว่าแต่...ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าผมอารมณ์ดีเกินเหตุที่ได้กลับมา...คงไม่ใช่หรอกมั้งครับ หึหึ



บ่ายแก่ๆเจ้าคุณจิตราก็กลับมาจากกรม...ท่านให้บ่าวมาตามพวกผมไปพบ สงสัยว่าจะโดนชุดใหญ่กันก็คราวนี้...ผมกับไอ้แชมป์ที่ตอนนี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเดินออกมาหาเจ้าคุณจิตราที่นั่งสง่าอยู่กลางเรือน...แต่ผมกลับสะดุดตาเข้ากับคนที่นั่งอยู่ด้วยเสียมากกว่า...

...อึดใจหนึ่งที่หัวใจกระตุกวูบเมื่อได้เห็นหน้าคนตัวสูงที่ไม่ได้เห็นมาเสียนาน...ใบหน้าคมเข้ม...อยู่ในชุดราชการเพราะเพิ่งกลับมาจากกรม...ทุกอย่างในตัวเขายังคงเหมือนเดิม...หากแต่รอยยิ้มนั้น...หายไป...

"พวกเอ็งหายไปไหนมา"เสียงเจ้าคุณจิตรายังดุและมีอำนาจเช่นเคย ผมกับไอ้แชมป์ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง

"ว่าอย่างไร"ขึ้นเสียงดังกว่าเดิมเมื่อพวกผมยังเงียบ...ส่วนคนข้างๆไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย...จะมองมาสักครั้งก็ไม่มี

"ผมไปทำธุระมาครับ"เป็นไอ้แชมป์ที่ยอมเปิดปากพูดก่อน

"ธุระอันใดของเอ็ง ถึงได้หายหน้าไปเสียเป็นอาทิตย์ แล้วนี่จักบอกเล่าใครในเรือนให้รู้ก็มิมี ข้าเป็นเจ้าของเรือนยังมิรู้ เห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอรึ"น้ำเสียงยังเด็ดขาดเช่นเคย

"ไม่ใช่ครับ มันเป็นธุระด่วน เลยไม่ทันได้บอก ผมขอโทษจริงๆครับ"ผมตอบกลับบ้างพลางยกมือไหว้เจ้าคุณจิตราที่ยั่งคงนั่งนิ่ง

"พวกผมขอโทษจริงๆครับ แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัย"ไอ้แชมป์เสริมต่อ

"เหตุสุดวิสัยอันใด ถึงได้ไปมิลามามิไหวเยี่ยงนี้"ดูท่าพายุจะไม่สงบลงง่ายๆ

"ผมก็อธิบายไม่ได้มาก แต่ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับเจ้าคุณ"คำขอโทษที่พรั่งพรูออกจากปากพวกผมทั้งสองคน แม้ไม่มีคำอธิบายใดๆว่าหายไปไหนกันมา แต่ก็พอทำให้เจ้าคุณจิตราอ่อนลงได้บ้าง

"คราวหลังจักไปไหนมาไหนก็ให้บอก...ข้าเป็นห่วงกลัวจักเป็นอันตรายเสีย"เสียงของเจ้าคุณอ่อนลงมาก ก่อนที่แกจะลุกเข้าไปเปลี่ยนเสื้อในห้องนอน...ผมหันไปมองคนตัวสูงที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรตั้งแต่เจอกัน...


ไอ้แชมป์ขอตัวเข้าไปอ่านหนังสือในห้อง...มันว่าหายไปเป็นอาทิตย์คงมีงานให้มันทำจนล้นมือ...ส่วนผมยังไม่มีอารมณ์เพราะใบหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ของใครบางคนยังวนเวียนอยู่ในหัว...ได้แต่เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวโรงครัวกับเรือนบ่าว แถมยังโดนพวกมิ่งกับพี่สนบ่นเสียจนหูชา...



"มานั่งทำอะไรคนเดียวครับ"มองเห็นจากโรงครัวว่านั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาไม้สักข้างเรือนใหญ่เลยเดินเข้ามาทักเสียหน่อย...เห็นว่าเจ้าคุณจิตราให้อยู่รับมื้อเย็นด้วยกัน

"คุณหลวง"ยังคงสนใจหนังสือตรงหน้าเหมือนเคย เลยได้แต่นั่งลงข้างๆ

"พรุ่งนี้เจ้าคุณจิตราให้ไปทำงานที่เรือนเจ้าคุณไพศาลเหมือนเดิมนะครับ"ก็ยังไม่ตอบอยู่ดี...ชักหงุดหงิด

"คุณหลวงเป็นอะไรครับ"คนตัวสูงละสายตาจากหนังสือตรงหน้าแล้วปรายตามองเพียงครู่ก่อนจะกลับไปสนใจหนังสือเล่มเดิมต่อ...ผมเพิ่งได้รู้ว่าเวลาอยู่นิ่งๆ แกน่ากลัวเหลือเกิน...ผมที่จนปัญญาจะถามต่อเลยตัดสินใจเดินขึ้นเรือนเสียดีกว่า ไม่อยากอยู่ให้คนแถวนี้รำคาญ...แต่เพียงแค่ลุกขึ้นยืนเท่านั้น มือใหญ่ก็ฉวยข้อมือของผมเอาไว้เสียก่อน

"ครับ"ผมหันไปมองหน้าเจ้าของมือที่จ้องผมนิ่ง

"เราขออะไรพ่ออย่างหนึ่งได้หรือไม่"น้ำเสียงยังคงราบเรียบ...ดวงตาคมกริบยังมองตรงมาที่ผม

"อะไรครับ"เป็นครั้งแรกที่คนตรงหน้าทำให้ผมกลัว...เพราะปกติผมมักจะได้เห็นหลวงพิสิษฐที่อบอุ่น ใจดี และรอยยิ้มโปรยที่มีให้ผมเสมอ...แต่วันนี้มันตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง



"อย่าหายไปเช่นนี้อีก"เพียงแค่ประโยคสั้นๆที่ทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ...ผมมองหน้าคนตัวสูง แววตาคมกริบไม่ไหวติง ไม่สื่อถึงอารมณ์ใดๆ...แต่ทำไมต้องพูดแบบนี้



"ทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงมันไม่ดีนะพ่อ"เป็นอีกครั้งที่หัวใจผมกระตุกวูบ...เป็นห่วง...อย่างนั้นเหรอ



"เขาตามหาพ่อกันเสียให้ทั่ว เจ้าคุณทั้งสองก็มิเป็นอันทำอะไร คุณหญิงสร้อยท่านก็เป็นกังวล...พ่อธีร์รู้ไหมว่าทำให้ผู้ใหญ่ท่านเป็นห่วง"รู้สึกเหมือนใครเหยียบเบรคให้หัวทิ่มอีกครั้ง...หากแต่มือใหญ่นั้นยังจับอยู่ไม่ยอมปล่อย

"แม่พิกุลเองก็ดูเป็นกังวลไม่น้อย ถามถึงแต่พ่อธีร์กับพ่อแช่มทุกวัน"ประเด็นนี้ผมว่าผมไม่ใช่ตัวต้นเหตุแล้วล่ะครับ

"แค่นั้นเองเหรอครับ"น้ำเสียงเรียบเอ่ยตอบไป...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงถามออกไปแบบนี้...แต่บางทีผมก็อยากรู้...ความคิดของคนตรงหน้า

"แค่นั้น"ตอบกลับหน้านิ่ง...ค่อยๆคลายมือที่เกาะกุมไว้ออก

"ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงครับ"ผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ได้เลย...มันหน่วง...หนัก...แต่ไม่อาจเอ่ยมาเป็นคำพูดได้...อีกฝ่ายเองก็เพียงหันกลับไปสนใจกับหนังสือตรงหน้าต่อ

"วันพรุ่งเจ้าคุณจิตราจักฝากเอกสารมากับพ่อให้เจ้าคุณไพศาล...เรารบกวนพ่อธีร์ด้วย"ผมเพียงแค่พยักหน้ารับก่อนจะหันกลับเดินขึ้นเรือนไป...แค่นี้เอง...แค่เพราะเป็นต้นเหตุให้ทุกคนเดือดร้อน...เขาถึงได้โกรธ
.

.

.

.
เช้าวันรุ่งขึ้นผมได้พี่สนมาเป็นสารถีพายเรือไปส่งที่บ้านเจ้าคุณไพศาล...ระหว่างทางแกก็บ่นเรื่องที่พวกผมหายไปเป็นอาทิตย์ ผมเลยได้แต่ขอโทษแกและคนอื่นๆที่ทำให้เป็นห่วง...การกลับมาที่นี่ทำให้ผมได้รู้ว่า แม้ตัวเองจะเป็นแค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าสำหรับทุกคน แต่กลับได้รับความห่วงใยเหมือนคนในครอบครัว...พี่สนเล่าให้ฟังว่าแกกับมิ่งตามหาพวกผมเสียจนทั่ว กลัวจะพลัดตกน้ำหรือเกิดอุบัติเหตุอะไร...ป้าน้อยเองก็ไปถามหาจากคนแถวตลาดว่าเห็นคนลักษณะเหมือนพวกผมสองคนแถวนั้นบ้างหรือไม่...ทั้งหมดนั่นมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดเหลือเกิน...ผมกลัวว่าวันหนึ่งหากผมไม่ได้กลับมาที่นี่อีก พวกเขาจะเป็นอย่างไร...จะออกตามหาพวกผมแบบคราวนี้อีกหรือไม่...และจะเสียใจแค่ไหนถ้าพวกผมไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว...

...กว่าจะมาถึงเรือนเจ้าคุณไพศาลดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบน้ำพอดี...แสงแดดอ่อนยามเช้าทำให้ผมรู้สึกสดชื่น...ผมกล่าวขอบคุณพี่สนก่อนจะเดินขึ้นเรือน...วันนี้ไม่มีใครมาคอยอยู่ที่ท่าน้ำ แม้แต่บ่าวสักคนก็ไม่มี

"หลวงพิสิษฐอยู่มั้ยครับ"ผมเอ่ยถามบ่าวผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังปัดกวาดเครื่องเรือนอยู่ด้านใน

"คุณหลวงอยู่ในห้องทำงานเจ้าค่ะ"แกชะงักมือจากงานที่ทำอยู่ก่อนจะหันมาตอบ...ผมเลยเดินตามโถงทางเดินไปสุดทางด้วยความเคยชิน

...ประตูบานพับสไตล์ยุโรปของห้องทำงานที่ปิดอยู่ทำเอาผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่...หลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน ทำให้ผมไม่อยากเจอหน้าเขาเลยจริงๆ...ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องเป็นแบบนี้เลย...แต่ในเมื่อเป็นงาน...จะทำอะไรได้...คิดได้อย่างนั้นจึงเอื้อมมือไปเคาะประตูเป็นสัญญาณบอกให้คนในห้องรู้...แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา...
ผมค่อยๆผลักบานประตูออกอย่างเบามือ ไม่อยากให้เสียงดังทำลายสมาธิของคนในห้อง...ภาพที่เห็นคือแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงที่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานตัวเดิม...

"เอกสารที่เจ้าคุณจิตราฝากมาให้เจ้าคุณไพศาลครับ"ผมเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะแล้วยื่นเอกสารปึกหนาที่เจ้าคุณจิตราให้ไว้เมื่อเช้า แต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรยังคงจดจ่อกับงานเขียนตรงหน้า ผมเลยได้แต่วางมันลงบนโต๊ะนั้น

"วันนี้มีอะไรให้ทำบ้างครับ"ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หวายตัวเดิมก่อนจะหันไปถาม หากแต่คนถูกถามยังคงเงียบ...ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยจริงๆ...แต่ถ้าจะพูดให้ถูก...ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้ต่างหาก


"ช่วยแปลตรงนี้หน่อยเถิดพ่อ"น้ำเสียงเรียบเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบในห้อง...ผมยื่นมือไปหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน ก่อนจะหันไปอธิบายความหมายของมันให้คนตัวสูงฟัง...เขาเพียงแค่พยักหน้ารับก่อนจะก้มลงบรรจงคัดตัวอักษรลงบนพื้นกระดาษ...


...มันน่าอึดอัดสิ้นดี...


"คุณหลวง"แล้วก็เป็นผมเองที่ทนไม่ได้กับสงครามเย็นที่เกิดอยู่ตอนนี้...คุณหลวงหนุ่มชะงักมือแล้วหันมามองเป็นเชิงถาม

"ที่ผมหายไปโดยไม่บอกผมยอมรับว่าผมผิด...ผมขอโทษ...แต่ทำไม..."คำพูดสุดท้ายถูกกลืนหายเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมของอีกฝ่าย

"ทำไม...อะไรรึ"ถามกลับเสียงเรียบ

"ทำไมคุณหลวงต้องโกรธ"

"โกรธรึ"แล้วถ้าไม่โกรธ ไอ้อาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรล่ะครับ



"พ่อธีร์"เสียงนุ่มเอ่ยเรียกชื่อ หลังจากปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมอยู่นาน...คนตัวสูงวางปากกาขนนกลงแล้วหันมามอง


"หากเราเป็นฝ่ายหายไปบ้าง พ่อธีร์จักพอใจหรือไม่"คำถามที่ทำเอาผมได้แต่นิ่ง...พอใจหรือ...แค่เพียงเขามีท่าทีแบบนี้ผมยังหงุดหงิด...แล้วถ้าเขาหายไปผมจะพอใจไหมงั้นหรือ...

"เรามิได้โกรธเคืองพ่อ...เพียงแต่เรามิพอใจที่พ่อหายไปไม่บอกกล่าว เดือดร้อนผู้ใหญ่ท่าน แล้วยังงานที่ทำก็ยังไม่เสร็จดี...อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่มีความรับผิดชอบ"มาเป็นชุด...แถมเป็นคำตอบที่รู้ดีอยู่แล้ว ไม่รู้จะโง่ถามซ้ำทำไมให้โดนด่า

"หากพ่อเห็นว่ามิสมควร ที่เราจักไม่พอใจ เราก็ขอโทษพ่อด้วย"แล้วทำไมกลายเป็นเขาที่ต้องมาขอโทษกันเล่า แล้วยังน้ำเสียงยังประชดประชันแบบนี้อีก

"คุณหลวงจะขอโทษทำไม คุณหลวงไม่ได้ทำอะไรผิด"ผมเถียงกลับด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย...ผมกำลังหงุดหงิด หงุดหงิดเพราะความไม่เข้าใจ

"ผมก็ไม่ได้อยากไปไหนซักหน่อย...คุณหลวงไม่เข้าใจหรอก"อีกครั้งที่อารมณ์ปะทุขึ้นมา ทำเอาคนตรงหน้าตกใจไม่น้อย เพราะปกติถึงผมจะเคยเสียงดังโวยวาย แต่ก็ไม่เคยทำเพราะอารมณ์แบบนี้...


"เรื่องมันผ่านมาแล้ว ช่างมันเถิดพ่อ...แต่คราวหน้าจักไปที่ใดแจ้งให้ผู้ใหญ่ท่านทราบสักหน่อย ท่านจักได้ไม่กังวล"หลังจากปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมอยู่พักใหญ่ อีกฝ่ายก็ถอนใจยาวออกมาพลางเอื้อมมือมาแตะที่แขนเบาๆเป็นเชิงปลอบให้เย็นลง

"ครับ"ผมตอบกลับเพียงสั้นๆ

"โกรธเรารึ"

"เปล่าครับ"

"ไม่โกรธแล้วทำไมทำเสียงเยี่ยงนี้เล่า"น้ำเสียงของอีกฝ่ายเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย คงเพราะเห็นว่าผมกำลังหงุดหงิด

"ออกไปนั่งทำงานที่ศาลาริมน้ำกันเถิด พ่อธีร์จักได้อารมณ์เย็นขึ้นบ้าง"ว่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ แต่ก็เอาเถอะ ดีกว่ามานั่งตึงใส่กันทั้งวัน


ผมแบกกองเอกสารและหนังสืออ้างอิงบางเล่มตามคนตัวสูงกว่าออกมาจนถึงศาลาริมน้ำ...สายมากแล้วแต่กลับไม่ร้อนสักนิดคงเป็นเพราะลมเอื่อยที่พัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบายแล้ววันนี้แดดก็ไม่ค่อยแรงนัก...แสงแดดอ่อนกับลมโกรกเอื่อยทำให้อารมณ์ที่พุ่งพล่านของผมเย็นลงได้มาก...ผมหลับตาสูดหายใจยาว พลางทิ้งเรื่องเมื่อครู่ไว้เบื้องหลัง...ผมไม่ชอบที่ตัวเองโกรธจนขาดสติ...เพราะผมรู้ว่าบางทีเมื่อเราควบคุมมันไม่ได้ เราก็เผลอทำอะไรแย่ๆออกมา

"ช่วงที่พ่อไม่อยู่เราคัดลอกเอกสารได้หลายแผ่น พ่อช่วยตรวจทานทีเถิด"ว่าพลางยืนกระดาษปึกหนึ่งมาให้ เวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผมหายไปทำให้หลวงพิสิษฐต้องทำงานทั้งหมดเพียงลำพัง ถึงแม้ตอนผมอยู่จะไม่ได้ช่วยอะไรมากนักก็ตาม...ผมหยิบเอกสารขึ้นมาไล่ดูทีละแผ่นเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ ลายมือในกระดาษยังประณีตบรรจงเช่นเคยแม้จะต้องคัดลอกเป็นกี่สิบแผ่นก็ตาม


"ตรงนี้มีผิดนิดหน่อยนะครับ"ผมขยับเข้าไปใกล้พลางก้มลงชี้ให้อีกฝ่ายดู พอดีกับที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมา...ปลายจมูกโด่งเฉียดแก้มจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น...นัยน์ตาคมกริบที่อยู่ตรงหน้าทำเอาผมชะงักงัน...แม้แต่เขาเองก็นิ่งไปเช่นกัน...ผมสบตาคมสวยภายใต้แพขนตาหนาคู่นั้น...รู้สึกร้อนวูบบนใบหน้าแต่ไม่อาจถอยห่างได้...หัวใจกำลังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะจนกลัวว่าคนที่นั่งอยู่ติดกันแค่นี้จะได้ยิน...



...ผมกำลังถามตัวเองอีกครั้ง...ความรู้สึกนี้มันคืออะไร?...



คนตัวสูงตรงหน้ากระพริบตาเพียงช้าๆพลางถอยตัวออกห่างเล็กน้อย กลับไปสนใจเอกสารตรงหน้าก่อนจะหันมาถามตรงจุดที่ต้องแก้ไข...ผมชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะชี้นิ้วบอก...ท่าทีไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย


...เหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้ว...แต่หัวใจยังเต้นแรง...

...ผมกำลังรู้สึกอะไรบางอย่างกับผู้ชายคนนี้...


"คุณหลวง"เจ้าของชื่อหันมามองเป็นเชิงถาม

"ถ้าวันนึง..."เงียบไปเพียงอึดใจ

"วันนึงผมหายไปแล้วไม่กลับมาที่นี่อีก...คุณหลวงจะเสียใจมั้ย"อะไรบางอย่างดลใจให้ถามออกไปเช่นนั้น...ผมเห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าของอีกฝ่ายที่ไม่ได้เห็นมาเสียนาน

"ไม่เสียใจ"หากแต่คำตอบช่างตรงข้ามกับรอยยิ้มบนใบหน้าเสียเหลือเกิน...ผมเงียบ...หน้าเจื่อนลงแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกได้...แล้วมันก็ร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคถัดมา





"เพราะเรารู้ว่าวันหนึ่งพ่อธีร์จักกลับมา"



...เพียงแค่นั้นแล้วหันกลับไปทำงานต่อ...

...เพียงประโยคนั้นที่ทำให้ผมรู้...ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร...

...........................................................

ยืดเยื้อจริงๆ...หรือจะให้พ่อธีร์จับกดเลยดีนะ ผิดดดดดด!! :hao7:

ฝากตอนนี้ไว้ในอ้อมอกนะคะ กราบบบบบบบ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ ตอนที่ ๑๑ [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 07-07-2014 20:32:23
สักยกซิๆ มันน่านักกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ ตอนที่ ๑๑ [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 07-07-2014 21:18:08
คุณหลวงช่างปากแข็งนัก !!  :katai5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ ตอนที่ ๑๑ [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 07-07-2014 21:21:18
เขินคุณหลวง อะไรไม่รู้แต่เขินนนนน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ ตอนที่ ๑๑ [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: mbpwn_ ที่ 07-07-2014 22:18:42
น้องธีร์ของคุณหลวง  :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ ตอนที่ ๑๑ [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-07-2014 00:08:03
 :impress2:


กรี๊ด 30 วิ แบบไม่พัก ... สำหรับ ตอนนี้
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ ตอนที่ ๑๑ [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 08-07-2014 00:13:01
ยืดเยื้อกันต่อไป
หากพ่อธีร์มิได้กลับมาตลอดไปแล้วคุณหลวงจะรู้สึก
อะไรๆ บนโลกล้วนมิแน่นอน ถ้าหากมัวแต่รีรอมิทำอย่างไรสักอย่าง เมื่อเวลานั้นมันไม่หวนกลับมา ต่อให้คุณหลวงร้องเรียกตะโกนมากมายสักเท่าใด มันก็มิมีทางกลับมาดอก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ ตอนที่ ๑๑ [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 08-07-2014 01:08:16
ชอบๆ ชอบมากด้วย
อ่านกี่ทีก็ยิ้มเหมือนคนบ้า
ถ้าสมัยก่อนมีเรื่องแบบนี้จริง...
หึหึหึ คงต้องโดนเฆี่ยนกันน่าดู(เหรอ?)
 :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ ตอนที่ ๑๑ [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-07-2014 04:01:53
เอาสะเขิน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ ตอนที่ ๑๑ [[UP P.2]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 08-07-2014 15:39:02

:::: Author's Talk :::::

กราบบบบบ สวัสดีมิตรรักแฟนเพลงเจ้าค่ะ  :mew1:
เปิดตัวนิยายเรื่องใหม่มาจนถึงตอนที่ ๑๑ แล้ว เลยคิดว่าน่าจะมาทักทาย แนะนำตัวกันหน่อย (ใครเค้าอยากรู้จักแกห้ะ :ruready)

ก่อนอื่นขอกราบแนบอกมิตรรักแฟนเพลงที่ติดตาม The Timeless Tide มาจนถึงตอนนี้ ก็ปาเข้าไปตอนที่ ๑๑แล้ว
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้น้องธีร์กับคุณหลวง และพี่แช่ม (ชอบชื่อนี้จริงๆ :laugh:)

ตอนแรกที่แต่งเรื่องนี้เพียงแค่อยากสนองนี๊ดตัวเองเพราะชอบแนวพีเรียดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (คิดว่าชาติที่แล้วคงเกิดในวัง แต่จะเป็นอะไรนั้นยังไม่รู้แน่  :laugh:)

ส่วนตัวแล้ว ยอมรับว่าฝีมือและภาษายังอ่อนหัดนักสำหรับการแต่งแนวพีเรียดแบบนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกเลยจริงๆเพราะไม่เคยแต่งนิยายที่ตัวละครเป็นคนไทยมาก่อน เพราะงั้นหากมีอะไรที่ควรแก้ไขปรับปรุงก็ยินดีรับคำติชมทั้งหมดค่ะ  :-[
ผู้แต่งจะนำไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นตามลำดับ อิอิ

:::คุยเรื่องนิยายกันบ้างดีกว่า:::

เดินทางมาไกลพอสมควรสำหรับนิยายเรื่องนี้ เพราะตอนแรกที่แต่งไม่คิดว่าจะแต่งได้ยาวขนาดนี้ (ช่วงนี้ว่างเลยต้องรีบปั่น :katai4:) เนื้อเรื่องอาจจะเอื่อยๆไปบ้าง อย่าเพิ่งเบื่อกันนะเจ้าคะ ช้าๆได้พร้าเล่มงามนะ

อาจจะมีการแทรกตอนของแชมป์และของตัวละครอื่นๆเพื่ออรรถรสในการอ่านและความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง แต่คุณหลวงกับน้องธีร์ยังไม่หนีไปไหนแน่นอนค่า

สำหรับเรื่องภาษาในการเขียน ผู้แต่งพยายามเรียบเรียงให้ถูกหลักภาษาไทยมากที่สุดในช่วงบรรยาย ส่วนบทสนทนาของน้องธีร์และน้องแชมป์ขอสงวนไว้เป็นภาษาพูดเพื่อเพิ่มอารมณ์และอรรถรสในการอ่านค่ะ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างของลักษณะการพูดของคนในยุคปัจจุบันและอดีต

สำหรับคาแรคเตอร์ของตัวละคร คงไม่ได้เอาอิมเมจมาลงเป็นรูปเป็นร่างเพราะเราเชื่อว่าตัวละครในจินตนาการของผู้อ่านแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน การนำภาพมาลงอาจทำให้จินตนาการในตัวละครนั้นๆผิดเพี้ยนไป เพราะงั้น สุดแท้แต่จินตนาการของมิตรรักแฟนเพลง ว่าจะสรรสร้างน้องธีร์กับคุณหลวงออกมาแบบไหน (แต่ถ้าถามผู้แต่ง นังน้องธีร์เป็นผู้ชายแมนๆค่ะ ติดหน้าหวานแต่ไม่ใช่หวานแบบผู้หญิง ส่วนคุณหลวงแก้วนี่ก็ตามสไตล์พระเอกละครพีเรียดแหละเนอะ จะหนีไปไหนไกลได้ อิอิ)

เรื่องนี้ขอบอกว่าเป็นนิยายที่ทำการบ้านค่อนข้างเยอะมาก เพราะส่วนตัวแล้วความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่ค่อยเข้มแข็งค่ะ (โง่ก็บอกเค้าไปเหอะแกรรรร) ซึ่งผู้แต่งก็พยายามทำการบ้านและหาข้อมูลที่ใกล้เคียงความจริงในยุคนั้นมากที่สุด แต่บางเรื่องที่ไม่สามารถหาข้อมูลได้ก็ต้องจินตนาการเอากันหน้าด้านๆ

สุดท้ายแล้ว ขอฝากน้องธีร์กับคุณหลวงไว้ในอ้อมใจแม่ยกทั้งหลายด้วยนะเจ้าคะ สัญญาว่าจะแต่งต่อจนจบถึงจะไม่มีใครอยู่อ่านแล้วก็ตาม 555

แล้วพบกันใหม่ตอนที่ ๑๒ ค่ะ

กราบบบบบบบบบบ :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ :::Author's Talk::: P.3
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 08-07-2014 19:34:35
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ :::Author's Talk::: P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 08-07-2014 20:14:50
ตอนที่ ๑๒...เมื่อได้ยินเสียงหัวใจ...


เป็นเวลาสามวันแล้วหลังจากผ่านเหตุการณ์วันนั้น และก็เป็นเวลาสามวันที่ผมไม่ได้ไปเรือนเจ้าคุณไพศาล เหตุเพราะช่วงนี้ที่กรมมีงานมาก ทั้งเจ้าคุณไพศาลและหลวงพิสิษฐจึงต้องเข้ากรมกันทุกวัน ผมเลยขนเอกสารทั้งหมดที่เป็นภาษาอังกฤษมาช่วยแปลล่วงหน้า เหลือแค่รอให้หลวงพิสิษฐนำไปคัดลอกให้สวยงาม...


...และมันก็เป็นเวลาสามวันแล้วที่ผมกับเขาไม่ได้เจอกัน...


"พ่อธีร์"เสียงหวานเรียกชื่อผมที่กำลังมีสมาธิกับตัวอักษรตรงหน้า ผมมานั่งทำงานอยู่ที่ศาลาไม้สักเหมือนเคยเพราะไม่ชอบนั่งอุดอู้อยู่ในห้อง

"คุณพิกุล...มีอะไรรึเปล่าครับ"ผมถามกลับเมื่อเห็นว่าคนที่เรียกคือลูกสาวเจ้าของเรือน...คุณพิกุลไม่ได้สวยแบบสาวสมัยใหม่ในยุคของผม...แต่เธอสวยคมแบบสาวไทยแท้...ผิวสีน้ำผึ้งเนียนใสยิ่งทำให้เธอดูโดดเด่น

"ยุ่งอยู่รึ"เธอถามเพียงสั้นๆเมื่อเห็นกองหนังสือและเอกสารมากมายกระจัดกระจายบนโต๊ะ

"ไว้ทำทีหลังก็ได้ครับ คุณพิกุลมีอะไรให้ผมทำรึเปล่า"ผมไม่ค่อยได้เจอเธอเท่าไหร่นัก เพราะปกติเธอจะลงไปอยู่ที่โรงครัว หรือนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บนเรือน ส่วนผมถ้าไม่ได้ออกไปเรือนเจ้าคุณไพศาลก็จะไปนั่งเล่นริมท่าน้ำหรือไปเตร่อยู่แถวๆเรือนบ่าวแทน

"ไม่มีหรอก...เราแค่มีเรื่องอยากถามพ่อธีร์"ผมมองคนตัวเล็กที่นั่งลงบนม้านั่งฝั่งตรงข้าม...กิริยามารยาทสมกับเป็นชาววัง เพราะขนาดเข้ามาคุยกับผมเธอยังเว้นระยะห่างไม่ให้ดูน่าเกลียด

"พ่อธีร์บอกเราได้รึไม่ว่าพ่อธีร์กับพ่อแช่มหายไปไหนมาเสียนาน"เสียงหวานเอ่ยถาม แต่ผมไม่รู้จะสรรหาคำตอบไหนมาอธิบายให้เธอเข้าใจได้

"เราถามพ่อแช่มก็มิยอมบอก...มัวแต่อ้ำอึ้งอย่างกับคนมีความลับ"ถูกของเธอ พวกผมมันเป็นพวกคนมีความลับ...ที่แม้อยากจะบอกคนอื่นแค่ไหนก็คงไม่มีใครคิดจะเชื่อ

"ผมเองก็บอกคุณพิกุลไม่ได้มาก แต่ผมกับมันไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายครับ...คุณพิกุลวางใจได้"หากคำตอบของผมจะทำให้เธอมั่นใจในตัวของพวกผมขึ้นมาได้บ้าง ผมก็พอใจแล้ว

"ปากหนักเหมือนกันเสียนี่กระไร"ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาจากคนตรงหน้า...นี่ก็เป็นอีกคนที่พวกผมทำให้เธอต้องเป็นห่วง...จะเป็นเพราะว่าพวกผมเป็นคนในเรือน หรือมีเหตุผลอื่นอยู่ด้วยผมก็ไม่อาจรู้ได้

"ถ้าเช่นนั้นเราขอตัวก่อนนะพ่อ เพื่อนพ่อธีร์เขารบเร้าให้เราช่วยสอนทำของหวาน ป่านนี้นั่งรอเสียแล้วกระมัง"แล้วนี่หูผมฝาดไปหรือเปล่า ไอ้แชมป์เนี่ยนะจะเรียนทำขนม...ไอ้นี่มันช่างสรรหามุกมาจีบเขาจริงๆให้ตายสิ


"คุณพิกุลครับ"เสียงเรียกของผมทำให้คนตัวเล็กหันมามองด้วยความสงสัย

"เพื่อนผมมันอาจจะดูบ้าๆบอๆ แต่มันก็เป็นคนดีคนนึงนะครับ"คนตัวเล็กยิ้มหวาน พยักหน้าตอบแล้วเดินจากไป...จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นอย่างไร...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้...เพื่อนผมเลือกคนไม่ผิด...เธอเป็นผู้หญิงที่งามพร้อมทั้งกิริยา วาจา และจิตใจ...จะเหลือก็แต่ เธอ จะคิดอย่างไร แล้วยังมีเจ้าคุณจิตรากับคุณหญิงสร้อยที่อยากได้'ใครบางคน'มาเป็นเขยอีก...และในสายตาของท่าน พวกผมมันก็แค่เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่จะไปไหนมาไหนก็ไม่บอกกล่าว


...แต่อย่างน้อย...ผมก็ยังเห็นแสงแห่งความหวังของทั้งสองคน...


...ถึงแม้แสงนั้นมันจะริบหรี่เพราะที่ที่ผมจากมาก็ตาม...


ไม่เหมือนกับตัวผม...แม้ผมจะแน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง...แม้ผมจะรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับคุณพิกุล...แต่ก็ไม่มีทางเลยที่ทุกอย่างจะลงเอยได้ด้วยดี...'เขา'ยังคงเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่วันหนึ่งก็ต้องแต่งงานออกเรือนกับคนที่เหมาะสม...ส่วน'ผม'ก็คงต้องกลับไปยังที่ของผมในไม่ช้า...โลกของเราสองคนไม่มีทางมาบรรจบกันได้


...ผมคิดเช่นนั้นมาตลอด...

...และผมก็พอใจ ที่จะหยุดอยู่ตรงนี้...

...เพราะผมไม่สามารถไปไกลกว่านี้ได้อีกแล้ว...


เย็นวันนั้นผมมีบุญได้ชิมฟักทองแกงบวชฝีมือไอ้แชมป์ ที่ได้คุณครูมือหนึ่งอย่างคุณพิกุลช่วยสอนให้...ผมเห็นฟักทองในถ้วยแล้วก็ขำพิลึก...บางชิ้นแกะสลักอย่างบรรจงสวยงาม...ส่วนบางชิ้นเห็นได้ถึงความพยายามแต่หน้าตาประหลาดสิ้นดี...ดูก็รู้ว่าฝีมือใครเป็นใคร

"ฝีมือเอ็งรึอ้ายแช่ม...รสชาติดีแต่หน้าตาประหลาดแท้"คุณหญิงสร้อยว่าพลางตักชิ้นฟักทอง'รูปหัวใจ'ในถ้วยของตนให้ดู...มันได้แต่หัวเราะแหะๆ

"ก็ได้คุณพิกุลเนี่ยแหละครับ ปกติผมไม่เคยทำอาหารเลย"ว่าแล้วก็หันไปยิ้มเผล่ให้คุณครูคนสวยที่นั่งยิ้มหวานอยู่ข้างคุณหญิง...จะว่าไปผมก็เคยมีบุญได้ชิมฝีมือมันอยู่ครั้งหนึ่งตอนย้ายไปอยู่หอใหม่ๆ มันมาทำไข่เจียวนิโกรให้ผมกินตอนผมไม่สบาย...คิดดูสิว่าแค่ไข่เจียวมันยังทอดให้ไหม้ได้

"เป็นผู้ชายแท้ๆกลับสนใจเรื่องกับข้าวกับปลานะเอ็ง"คุณหญิงสร้อยว่าพลางตักชิ้นฟักทองเข้าปากอีกคำ...คุณหญิงแกจะรู้ไหมว่ามันไม่ได้สนใจเรื่องของกินมากไปกว่าลูกสาวคุณหญิงหรอกครับ หึหึ

"เป็นอะไรของเอ็งอ้ายธีร์ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่"สงสัยคิดดังไปหน่อยคุณหญิงเลยหันมาถามเข้าให้...ผมเห็นไอ้แชมป์ยักคิ้วกวนให้ผมอย่างอารมณ์ดี...หาทางจีบลูกสาวเขาแล้วยังเข้าทางแม่เขาอีกนะมึง...



"มึงว่า...กลับไปคราวนี้ป๊ากับม๊ากูจะไล่กูออกจากบ้านป่าววะ"มันถามขึ้นขณะนั่งเกาะขอบหน้าต่างห้องนอน...วันนี้ข้างขึ้น พระจันทร์ดวงโตสาดแสงนวลสว่าง...ลมเย็นพัดเอื่อยให้ความรู้สึกสบายไม่ต้องอาศัยแม้แต่พัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ

"คงไม่"ผมลืมเล่าให้มันฟังว่าตอนกำลังจะมาที่นี่ผมยังสติดีเลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาอานิดและป๊ากับม๊าไอ้แชมป์เรียบร้อยภายในเสี้ยวนาทีด้วยข้อความสั้นๆว่า...'ธีร์กับแชมป์ไปอยู่หอซักพักครับ ไม่ต้องเป็นห่วง' เพราะไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

"หู้ยยยย ฉลาดนะมึงนิ่!"ชมผมแต่น้ำเสียงมันแดกดันพิกล

"นี่ถ้าหมาบางตัวมันไม่เมาหัวทิ่มจนกูต้องแบกกลับมาคงมีเวลาส่งมากกว่านี้"ได้ทีผมเลยหันไปแขวะมันกลับ มันเลยได้แต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ

"ดีนะมึง...อยู่นู่นมีมือถือ จะไปไหนก็ส่งเมสเสสบอกกันได้...แต่อยู่ที่นี่..."มันหยุดคำพูดไว้แค่นั้นซึ่งผมเองก็รู้ดีว่ามันต้องการจะสื่ออะไร...

ที่นี่ไม่มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้าเหมือนกรุงเทพในยุคปัจจุบัน...จะมีก็แต่จดหมาย หรือถ้าอยากแจ้งข่าวอะไรก็ต้องไปหากันด้วยตัวเอง...ผมเคยได้ยินเจ้าคุณไพศาลท่านว่าตอนที่หลวงพิสิษฐไปเรียนต่างประเทศ กว่าจะรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายก็ต้องรอกันเป็นเดือน เพราะติดต่อกันได้ทางจดหมายเท่านั้น แล้วกว่าจดหมายแต่ละฉบับจะมาถึงก็ใช้เวลานานอยู่...ต่างกับปัจจุบันที่ต่อให้ส่งลูกส่งหลานไปเรียนไกลแค่ไหน เพียงแค่ยกหูโทรศัพท์กริ๊งเดียวก็ได้ยินเสียงกัน หรือแม้แต่ช่องทางการสื่อสารออนไลน์อื่นๆที่ทำให้โลกทั้งใบอยู่ใกล้กันนิดเดียว...แต่ก็น่าแปลก...ทั้งที่เทคโนโลยีทำให้คนอยู่ไกลได้ใกล้กันมากขึ้น แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันยิ่งทำให้คนใกล้ตัวถอยห่างออกจากกัน...บ่อยครั้งที่ผมได้เห็นครอบครัวทานข้าวพร้อมหน้า แต่ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าก้มตาสนใจโทรศัพท์มือถือของตนเอง...บ่อยครั้งที่ได้เห็นรูปภาพตามสื่อโซเชียลมีเดีย แต่ก็เป็นเพียงภาพที่ลงเพื่อเรียกความสนใจจากคนอื่นๆบนโลกออนไลน์

"วันหลังก็เขียนใส่กระดาษแปะไว้บนโต๊ะดิ"ผมพูดลอยๆ แต่หันไปเห็นประกายวิบวับในตามันแล้วรู้สึกแปลกๆ

"เออว่ะ! มึงนี่ ฉลาดกว่าที่กูคิดนะ"

"กูล้อเล่น มึงจะเอาจริงเหรอ"เอากับมันสิ ผมแค่พูดเล่นไม่คิดว่ามันจะจริงจัง

"เออดิวะ เค้าจะได้ไม่เป็นห่วง"

"เค้าน่ะใคร"ผมหันไปยิ้มให้มันอย่างรู้ทัน

"ชักจะกวนตีนใหญ่แล้วนะครับพี่ธีร์"มันหันกลับมาด่าแต่หน้ามันแดงแจ๋ หน้าขาวๆของมึงเวลาเขินมันดูออกง่ายจะตายนะไอ้แชมป์




...เช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องไปเรือนเจ้าคุณไพศาลเสียที...วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เจ้าคุณไพศาลเองก็อยู่ที่เรือนไม่ได้ออกไปไหนเช่นกัน...ผมไปถึงตอนสายเพราะโดนไอ้แชมป์ลากไปใส่บาตรแต่เช้า...ไม่รู้มันนึกครึ้มอะไรปลุกผมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง...แต่พอเห็นคนที่ท่าน้ำเท่านั้นแหละ ผมเลยไม่ถามอะไรมันต่อ...จะมาทำบุญด้วยกันแล้วจะลากผมไปเป็นก้างขวางคอทำไมวะครับ

"หลวงแกใช้งานหนักไหมพ่อธีร์"เจ้าของเรือนถามขึ้น ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่กับทั้งสองในห้องรับแขก

"ไม่เลยครับ คุณหลวงซะอีก ทำงานหนักกว่าผมเยอะ"ผมตอบกลับ...ตั้งแต่มาถึงผมไม่มองหน้าเขาแม้แต่น้อย...ไม่ได้โกรธอะไร แต่พอนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นแล้วพาลไม่มีอะไรจะคุยเอาเสียดื้อๆ

"วันนี้มิต้องทำหรอก...วันหยุด พักผ่อนเสียบ้าง"อ้าว ไม่ให้ทำงาน แล้วผมจะมาทำอะไรที่เรือนเจ้าคุณล่ะครับ

"ไม่เป็นไรครับ ไหนๆก็มาแล้ว"

"เอาเถิด ไว้วันพรุ่งค่อยทำ วันนี้ข้าจักให้หลวงแกไปทำธุระ พ่อธีร์ไปเสียด้วยแล้วกัน"จะให้คุณหลวงไปทำธุระ แล้วจะเอาผมไปด้วยทำไมเล่า!...ผมหันไปมองคุณหลวงหนุ่ม นึกแปลกใจตั้งแต่มาถึงเพราะเขาแต่งตัวเต็มยศ ที่แท้ก็จะออกไปข้างนอกนี่เอง

"ไปไหนเหรอครับ"ผมถามกลับ...ตั้งแต่มาที่นี่ผมไม่ได้ออกไปไหนเลยนอกจากเรือนเจ้าคุณทั้งสอง สภาพของพระนครที่ได้เห็นก็เพียงแค่ตอนที่นั่งเรือผ่านเท่านั้น

"เรือนเจ้าพระยาเดโช ท่านว่าจักปรึกษาเรื่องงานเลี้ยงรับรองคณะทูตจากฝรั่งเศสที่จักมาถึงเดือนหน้านี้"

"ผมไปก็คงไม่ได้ทำประโยชน์อะไร เดี๋ยวผมกลับเรือนเจ้าคุณจิตราก็ได้นะครับ"

"ไปเถิด จักได้แนะนำพ่อธีร์ให้คุณพระรู้จัก...เผื่อภายหน้ามีงานใดที่ต้องทำร่วมกัน"คนที่วันๆเอาแต่ขลุกอยู่กับกองเอกสารอย่างผมจะไปมีงานอะไรที่ทำร่วมกับคนอื่นอีก นอกจากคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆนี่กันล่ะ...แต่ในเมื่่อเจ้าคุณไพศาลยืนกรานผมก็เลยปฏิเสธไม่ได้

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๒ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 08-07-2014 20:19:22
...วันนี้ผมได้เปลี่ยนบรรยากาศจากการเดินทางทางเรือมาเป็นรถลากคันใหญ่แทนเพราะเรือนเจ้าพระยาเดโชอยู่ไม่ไกลนัก...เจ้าคุณไพศาลเล่าว่า เจ้าพระยาเดโชศรีวิศาลเป็นขุนนางใหญ่ฝ่ายกรมวัง มีหน้าที่คอยจัดการงานราชพิธีต่างๆ แต่คราวนี้ด้วยเพราะเป็นงานเลี้ยงคณะทูต พระพุทธเจ้าหลวงจึงทรงโปรดเกล้าให้ฝ่ายกรมการต่างประเทศเข้าร่วมด้วยเพราะเป็นสายงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง...เจ้าคุณไพศาลเลยให้หลวงพิสิษฐไปช่วยให้คำปรึกษา...

"เป็นอะไรรึ เราเห็นพ่อเงียบมาตั้งแต่เช้า"เสียงนุ่มเอ่ยถามขณะที่ล้อเกวียนยังหมุนไปตามพื้นถนน

"เปล่าครับ"ผมตอบแต่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย

"เห็นเจ้าคุณจิตราว่าพ่อธีร์มิเคยออกไปไหน นอกจากมาที่เรือนเจ้าคุณไพศาลรึ"ผมพยักหน้าตอบ...พยายามทำตัวเป็นปกติ แต่มันยากเสียจริง

"ถ้าเช่นนั้น ไว้เสร็จงานจากเรือเจ้าคุณท่านแล้วเราจักพาไปเที่ยว"เอาเรื่องเที่ยวมาล่อ...คิดว่าผมจะหลงกลรึ...คิดถูกแล้วล่ะคุณหลวง! ก็ตั้งแต่มาที่นี่ผมยังไม่เคยได้ออกไปไหนเลยน่ะสิ เพราะงั้นถึงได้ยิ้มออกมาได้บ้าง

"อารมณ์ดีขึ้นแล้วซีนะ"คนตัวสูงที่นั่งข้างๆหัวเราะออกมาเบาๆ ทำเอาผมหุบยิ้มแทบจะทันที...อุตส่าห์เก๊กมาได้ตั้งแต่เช้า ดันเตลิดเพียงเพราะจะได้เที่ยวเสียนี่
.

.

เรือนเจ้าพระยาเดโชเป็นเรือนไม้สักทรงโบราณคล้ายเรือนเจ้าคุณจิตรา หากแต่ดูใหญ่โตกว่ามากด้วยตำแหน่งทางราชการที่สูงกว่า...แล้วยังจำนวนบ่าวไพร่ในเรือนที่ผมเห็นก็น่าจะเกิน30คนได้...เห็นทีที่เจ้าคุณไพศาลว่าท่านเป็นคนใหญ่คนโตในกรมท่าจะจริง...

ผมเดินตามหลวงพิสิษฐขึ้นไปบนเรือนด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ มันก็ตื่นเต้นนะครับ จะได้พบกับข้าราชการระดับสูงทั้งที แถมตัวเองก็ไม่ได้มีความรู้อะไรติดตัวมากมาย มารยาททางสังคมแบบโบราณนี่ไม่ต้องพูดถึง...ติดลบครับ...

"ไม่ต้องกลัวไปหรอกพ่อ เจ้าคุณท่านใจดี"เหมือนคนที่เดินนำอยู่จะอ่านความคิดของผมออกเลยหันมายิ้มโปรยปลอบใจ

แต่มันใช่อย่างที่คุณหลวงว่าไว้เสียที่ไหน เพราะเจ้าของเรือนที่นั่งสง่าอยู่ตรงหน้าตอนนี้ ไม่ได้มีอะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่า'ใจดี'เลยแม้แต่น้อย...เจ้าพระยาเดโชดูมีอายุมากแล้ว น่าจะสัก50ปีได้ หากแต่แววตายังคงแข็งกร้าว ดุดัน ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ...ท่านเป็นชายร่างใหญ่ค่อนไปทางท้วม แต่ยังดูแข็งแรงนัก...เรือนผมสีดอกเลาแต่ยังดกหนา เช่นเดียวกับไรหนวดสีเดียวกัน...ครั้งแรกที่ผมเห็นพาลนึกไปถึงตัวร้ายในละครย้อนยุคที่ผมเคยดูกับอานิดบ่อยๆ...อดคิดไปไกลไม่ได้ว่าถ้าผมทำอะไรขัดใจท่านเพียงนิดคงได้โดนลงหวายเป็นแน่...


...นั่นก็เวอร์ไปครับไอ้ธีร์...


"เจ้าคุณไพศาลให้กระผมมาช่วยเรื่องงานเลี้ยงรับรองคณะทูตจากฝรั่งเศสขอรับ"คุณหลวงหนุ่มที่นั่งลงตรงข้ามกับเจ้าของเรือนพลางยกมือไหว้อย่างนอบน้อม...ผมเองก็ได้แต่ไหว้ท่านตาม

"นึกว่าเจ้าคุณไพศาลจักมาเองเสียอีก"น้ำเสียงดุดันของเจ้าของเรือนทำเอาผมเงียบกริบทั้งๆที่ตั้งแต่มาก็ยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ

"เจ้าคุณมีงานด่วนขอรับ เลยให้กระผมมาแทน"หากแต่น้ำเสียงนุ่มนวลของคนข้างๆไม่ได้แสดงออกถึงความกลัวเลยแม้แต่น้อย

"งานใหญ่แท้ๆ กลับให้คนที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้โดยตรงเป็นคนจัดการ...ใช้ไม่ได้"น้ำเสียงดุดันเย้ยหยัน...จนผมเองเริ่มหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งเงียบอยู่เฉยๆ

"เจ้าคุณท่านให้กระผมมาแจ้งรายละเอียดเบื้องต้น ส่วนเจ้าคุณจักมาพบท่านเจ้าคุณด้วยตัวเองภายหลังขอรับ"น้ำเสียงนอบน้อมของหลวงพิสิษฐเอ่ยตอบ...หนึ่งในข้อดีหลายๆข้อของคุณหลวงหนุ่มคือแกมีความอดทนเป็นเลิศและสามารถจัดการกับปัญหาตรงหน้าได้ดี...แม้แต่ในเวลาเช่นนี้

"แล้วนั่นใคร"สายตาคมปราดมองมาที่ผมที่กำลังนั่งตัวลีบอยู่ข้างคุณหลวง...คนตัวสูงปรายตามองผมเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันไปตอบ

"นี่พ่อธีร์...ผู้ช่วยของกระผมขอรับ"

"สังกัดอยู่กรมไหน ข้ามิเคยเห็นหน้า"แม้ผมนั่งก้มหน้าแต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงสายตาดุดันที่จ้องอยู่

"พ่อธีร์มิได้สังกัดกรมใดขอรับ เพียงแต่มาช่วยงานกระผมเท่านั้น"

"วะ! ไอ้กรมนี้นี่มันอย่างไร จักจัดงานใหญ่กลับส่งใครไม่รู้มาคุยกับข้า"เสียงตวาดลั่นจากเจ้าของเรือนทำเอาผมสะดุ้งโหยง หากแต่คนข้างๆยังคงนิ่ง

"พ่อธีร์เขามีความรู้มาก รู้หนังสือและภาษาต่างประเทศ กระผมเลยให้มาช่วยงานขอรับ"อยากจะสะกิดบอกเจ้าตัวเหลือเกินว่าพยายามพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกกับคนแบบนี้...แต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะสายตาคมกริบยังปราดมองมาไม่วางตา

"หากเสียการเสียงานขึ้นมาจักมาหาว่าเป็นเพราะกรมวังไม่ได้ล่ะ"น้ำเสียงเย้ยหยันจากเจ้าของเรือน...นี่ถ้าผมลุกไปต่อยได้...ผมทำไปแล้วครับ...ความอดทนผมมันไม่ค่อยจะมีเหมือนชาวบ้านเค้า เพียงแต่เกรงใจคนข้างๆว่าจะเสียงาน เลยได้แต่นั่งเงียบ...แต่มันช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ

"เอ้า มีอะไรก็ว่ามา ชักช้าเสียเวลาข้า"เถียงกันอยู่นานกว่าจะเข้าเรื่องได้...หลวงพิสิษฐเลยแจ้งข้อมูลของคณะทูตฝรั่งเศสที่จะมาถึงเดือนหน้าให้เจ้าพระยาเดโชฟัง...ก่อนจะอธิบายรายละเอียดของรูปแบบงานที่เจ้าคุณไพศาลและเจ้านายฝ่ายกรมการต่างประเทศได้คิดไว้ เพื่อเป็นแนวทางให้ฝ่ายกรมวังนำไปสานต่อ...ส่วนท่านเจ้าคุณเจ้าปัญหานี่ก็เอาแต่คอยขัด...ไอ้นั่นก็ไม่ดี...ไอ้นี่ก็ไม่ควร แต่คนข้างๆผมก็ยังวางเฉยได้...ผมล่ะนับถือเขาจริงๆ



"พ่อเจษฎ์...กลับมาแล้วรึ"น้ำเสียงดุดันของเจ้าของเรือนแทรกขึ้นระหว่างการสนทนาเมื่อเหลือบไปเห็นคนที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมา...รูปร่างสูงกำยำ ผิวกร้านแดด...ใบหน้าคมแต่แฝงแววเจ้าเล่ห์...แววตาดุดันไม่ต่างจากคนตรงข้ามผมเลยแม้แต่นิด

"นึกว่าใคร"ร่างสูงนั้นปราดตามองคนข้างๆผมก่อนจะส่งเสียงเย้ยหยัน

"สวัสดีหลวงเจษฎ์"ไอ้หน้าตาแบบนี้เขาเป็นคุณหลวงกันได้ด้วยเหรอครับ...มองมุมไหนก็ตัวโกงในละครชัดๆ...แถมฉายแววหนักกว่าเจ้าของเรือนเสียอีก

"สวัสดีขอรับเจ้าคุณพ่อ"ไม่ตอบรับคำทักทายจากอีกฝ่ายแต่กลับไปทักทายเจ้าของเรือนแทน...มารยาทดีเสียจริง

"ไปไหนมาตั้งแต่เช้า"ท่านเจ้าคุณผู้เป็นพ่อเอ่ยถามจนเจ้าตัวได้แต่อึกอัก...แต่ดูท่าผู้เป็นพ่อจะรู้จักนิสัยลูกชายดีเลยไม่ได้ถามอะไรต่อ มีเพียงแค่แววตาดุดันที่ส่งให้ลูกชายเท่านั้น

"แล้วนี่มาทำอะไรที่เรือนข้า"เมื่อเถียงเจ้าของเรือนไม่ได้เลยหันมาลงกับอีกฝ่ายที่เป็นผู้มาเยือนแทน

"เรามาคุยธุระกับเจ้าคุณท่าน"ตอบกลับเพียงสั้นๆ แต่น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์

"เป็นแค่หลวง มีธุระอะไรกับเจ้าพระยา"ถ้าผมจะเปลี่ยนใจจากต่อยหน้าพ่อมาเป็นต่อยปากลูกก่อนจะโดนจับเข้าคุกไหมครับ

"พ่อเจษฎ์"น้ำเสียงดุของผู้เป็นพ่อเอ่ยปราม จนอีกฝ่ายเงียบลงได้บ้าง ก่อนจะหันมาสบตากับผมที่นั่งเป็นใบ้ตั้งแต่มาถึง...แววตาเจ้าเล่ห์จ้องผมนิ่งพลางยกยิ้มมุมปากอย่างไม่น่าไว้ใจ

"นั่นใครรึหลวงแก้ว"ถามอีกคนแต่จ้องหน้าผมนิ่ง...คนถูกถามหันมามองเล็กน้อย

"ผู้ช่วยเราเอง"ตอบกลับเสียงเรียบเช่นเคย

"งั้นรึ"ไอ้น้ำเสียงนี่มัน น่าต่อยนะครับ

"ชื่ออะไรเล่าพ่อ"แล้วยังมีหน้ามาถามชื่ออีก

"ชื่อธีร์ครับ"ด้วยมารยาทที่ยังพอมีผมเลยตอบกลับแต่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย

"ชื่อเพราะ"ยังคงยิ้มยั่วไม่เลิก

"พ่อเจษฎ์ มีอะไรก็ไปทำเสียก่อน พ่อจักคุยธุระ"เจ้าของเรือนกระแอมขัดขึ้น ลูกชายเลยได้แต่มองหน้าแล้วเดินเข้าห้องไป...ก่อนที่แกจะหันกลับมาคุยธุระต่อ...

.

.

.

กว่าจะได้ลงจากเรือน ผมก็นั่งเกร็งจนเหน็บกิน...พอลงมาได้ถึงกับโพล่งออกมาเสียงดังอย่างโล่งใจ

"เป็นอะไรรึ"แล้วยังมีหน้ามาถามอีก...ไม่รู้เจ้าคุณไพศาลคิดอะไรถึงได้ให้ผมตามมาด้วยทั้งๆที่ผมเอาแต่นั่งนิ่งเป็นตอไม้ตั้งแต่ขึ้นเรือนจนได้ลงมานี่

"อึดอัดน่ะสิ ไม่รู้เจ้าคุณไพศาลจะให้ผมมาด้วยทำไม"ผมขมวดคิ้วแน่น...ให้มานั่งฟังธุระผมเองก็ไม่ได้มีปัญหา ติดที่สองพ่อลูกเจ้าของเรือนนี่ล่ะ...ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนข้างๆ

"ขำอะไรครับ"

"ขำพ่อธีร์น่ะซี"ยังคงกลั้นหัวเราะ

"มีอะไรน่าขำ"ผมเลิ่กคิ้วถาม แค่เจอสองพ่อลูกนั่นยังหงุดหงิดไม่พอ ต้องมาหัวเราะเยาะกันอีก

"ไม่มีอะไร ฮ่ะๆ"ไม่มีอะไรแล้วก็หยุดขำเสียทีสิเว้ย

"คุณหลวง!"หันไปดุเข้าให้...เลยเงียบเสียงลงได้บ้างแต่ยังคงอมยิ้มอยู่

"แล้วหลวงคนนั้นเป็นใครครับ"ผมนึกถึงหน้ากวนๆของลูกชายท่านเจ้าคุณเจ้าของเรือนแล้วอดถามถึงไม่ได้...ไม่ได้พิสวาทอะไรนะครับ...แต่ไม่ถูกชะตา...สายตา ท่าทางเหมือนไอ้รุ่นพี่ตอนม.ปลายนั่นไม่มีผิด

"หลวงเจษฎารังสรร ลูกชายคนโตของท่านเจ้าคุณ สังกัดกรมเดียวกับท่านนั่นแหละ"

"หน้าตาดูไม่น่าเป็นหลวงเลยนะครับ"แล้วก็เป็นอีกครั้งที่คุณหลวงหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา

"ผมไม่ได้เล่นตลกให้ดูนะครับ ขำอยู่ได้"

"ก็เราตลกนี่ เมื่อกี้ใครนะที่เอาแต่นิ่งเงียบอยู่บนเรือนเจ้าคุณท่าน"เสียงหัวเราะเบายังลอยมาตามลม ชวนให้หงุดหงิดหนักกว่าเดิม

"จะเดินไปต่อยให้หน้าหงายก็เกรงว่าคุณหลวงจะเสียงานน่ะครับ"

"โถพ่อ...เขายังมิได้ทำอะไรให้พ่อเลย จักไปต่อยเขาเสียแล้ว ฮ่ะๆ"ยังขำไม่เลิก

"สมัยผมแค่เห็นหน้าแล้วไม่ถูกชะตาก็ต่อยกันได้ครับ"คนตัวสูงชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดของผม

"สมัยพ่อรึ"

"เอ้อ ผมหมายถึงที่ที่ผมอยู่น่ะ"อ้อมแอ้มตอบ แถเสียจนสีข้างแทบไหม้

"กรุงเทพน่ะรึ"ผมพยักหน้ารับ...แต่อีกฝ่ายยังคงหรี่ตามองอย่างสงสัย

"ที่กรุงเทพอันธพาลคงเยอะล่ะซี พ่อถึงว่าแค่เห็นหน้ากันก็มีเรื่องกันได้เสียแล้ว"

"ก็ทำนองนั้น"ผมตอบพาลนึกถึงคำพูดของอีกฝ่าย...อันธพาล...หลวงพิสิษฐจะรู้ไหมนะว่าอีกร้อยกว่าปีสยามจะเต็มไปด้วยคนอย่างที่หลวงแกว่า

"แล้วคุณหลวงจะพาผมไปเที่ยวไหนครับ"นึกขึ้นได้เลยหันกลับไปถาม

"อยากไปที่ไหนล่ะพ่อ"

"ไม่รู้เหมือนกัน คุณหลวงพาไปไหนผมก็ไป"

"ที่ไหนก็ได้รึ"ผมเห็นรอยยิ้มกวนของอีกฝ่ายแล้วชักไม่แน่ใจ...นี่ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่านะ
.

.

.
"คุณหลวงครับ"ผมเอ่ยเรียกคนตัวสูงเมื่อรถลากมาหยุดอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง...หลวงพิสิษฐหันมามองเป็นเชิงถาม

"ที่บอกว่าจะพามาเที่ยวเนี่ย"

"พามาเที่ยววัดนี่นะครับ?"อยากจะกระโดดแม่น้ำเจ้าพระยาให้มันรู้แล้วรู้รอด...มองออกไปข้างทางเห็นอุโบสถสีขาวนวลกับหลังคาทรงแหลมโผล่พ้นขอบกำแพงสูง

"ไม่ดีรึ"น้ำเสียงยียวนตอบกลั้วเสียงหัวเราะ

"ด้านในเขามีงาน...จักพาไปดู"แล้วไป นึกว่าจะพามาไหว้พระ

"งานอะไรครับ"ผมขมวดคิ้วถาม

"ช่างซักเสียจริงนะพ่อ...มาเถิด เดี๋ยวพ่อก็เห็น"ว่าพลางก้าวลงจากรถลากแล้วหันมา...มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าหมายจะช่วยผมให้ลงจากรถได้ง่ายขึ้น...ผมลังเล...หัวใจที่เต้นเป็นปกติมาได้เสียทั้งวันกลับระส่ำไม่เป็นท่า

"ไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ"บ่ายเบี่ยงตอบ...คนตัวสูงเลยชักมือกลับ

"เฮ้ยยยยย!"แล้วก็คิดได้ว่าเมื่อกี้ควรจะยื่นมือไปจับเสียก็ดี เพราะขณะที่ผมกำลังก้าวขาลงจากรถลากคันใหญ่ เท้าดันไปสะดุดกับขอบไม้ด้านข้างจนเซไม่เป็นท่า...คนตัวสูงที่เห็นเหตุการณ์รีบยื่นมือออกมารับทันที...ผมหลับตาด้วยความกลัวเพราะคิดว่าคงเจ็บตัวเป็นแน่ หากแต่ได้ท่อนแขนแกร่งของอีกฝ่ายที่รั้งตัวผมไว้ได้เสียก่อน

"เป็นอะไรหรือเปล่าพ่อ"เสียงนุ่มเอ่ยถาม...รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นข้างๆหู...ผมรีบผละออกทันทีเพราะใจที่เต้นระส่ำอยู่ตอนนี้...รู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า...เมื่อเห็นภาพตัวเองซุกอยู่กับอกกว้างนั้น

"ม่ะ...ไม่เป็นไรครับ"รีบตอบกลับจนลิ้นพันกัน...ไม่กล้ามองหน้า แล้วเดินนำหน้าไปทันที

...เกือบไปแล้วไอ้ธีร์เอ๋ย...


เดินผ่านประตูใหญ่หน้าวัดเข้ามาก็ต้องตื่นตาไปกับภาพตรงหน้า...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็น...งานวัดสมัยโบราณ...ก็ไม่เชิงเป็นงานวัดหรอกครับเพราะเขาจัดกันตั้งแต่กลางวัน ออกจะเหมือนตลาดเสียมากกว่า เพราะเห็นมีชาวบ้านมาตั้งซุ้มขายของกันเต็มพื้นที่...ทั้งขนม ของเล่น หรือแม้แต่ผลไม้ก็ยังมี...เรียกได้ว่าใครใคร่ขายอะไรก็เอามาขายกัน...ผมเดินมองร้านนั้นร้านนี้อย่างตื่นตาด้วยความที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน...จริงอยู่ว่าประเทศไทยสมัยนี้ก็ยังพอมีงานวัดให้เราได้เดินชมอยู่บ้าง แต่ก็หาได้น้อยเหลือเกินที่จะทำได้ย้อนยุคสมจริงเหมือนภาพที่ผมเห็นอยู่ในขณะนี้

ผมเดินนำคนตัวสูงพลางหยุดดูร้านนั้นทีร้านนี้ที อีกฝ่ายก็ไม่บ่นอะไรเพียงแค่เดินตาม ส่วนพวกพ่อค้าแม่ค้าพอเห็นผมหยุดยืนหน้าร้านหน่อยก็ส่งเสียงหวานชักชวนให้เข้าไปชม...ทั้งขนมโบราณรูปร่างแปลกตาที่แม้แต่ปัจจุบันก็หาทานไม่ได้แล้ว ผมก็มีโอกาสได้ลิ้มลอง...ฝีมือคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ ยิ่งได้เห็นวิธีทำกันสดๆด้วยแล้วก็ยิ่งทึ่งในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษยิ่งนัก เพราะกว่าจะออกมาเป็นขนมแต่ละชิ้น คนทำต้องใส่ใจในรายละเอียดและประดิษฐ์ออกมาให้งามทั้งรูปและรส...เรียกได้ว่าครบเครื่องจริงๆ

"มาถึงวัดทั้งที เข้าไปไหว้พระเสียหน่อยเถิด"เสียงหลวงพิสิษฐชักชวนหลังจากผมเดินดูจนรอบ ผมเลยเดินตามเข้าไปในอุโบสถของวัด...พระประธานองค์ใหญ่สีทองอร่ามตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า...อีกทั้งลวดลายตามฝาผนังด้านในก็วิจิตรบรรจงยิ่งนัก...ผมนั่งลงพับเพียบตามด้วยคนตัวสูงที่นั่งลงข้างๆเช่นกัน...สองคนพนมมือตั้งจิตอธิษฐาน...ผมไม่รู้หรอกว่าเขากำลังอธิษฐานอะไรอยู่...แต่ผมก็เพียงขอพรพระท่านในใจเช่นกัน...


"ชอบรึไม่พ่อ"เจ้าของร่างสูงที่เดินตามอยู่ด้านหลังถามขึ้นเมื่อเดินออกมาถึงรถลากที่จอดรออยู่

"ชอบมากครับ"ผมพยักหน้าตอบ

"คราวหน้าจักพาไปงานภูเขาทอง...ใหญ่โตกว่านี้มาก จัดกันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเชียว"พูดให้ผมอยากจะไปมันเสียพรุ่งนี้เลย...ผมเคยได้ยินเรื่องงานภูเขาทองมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสไปตอนเขามีงานกันสักที เคยก็แค่ขึ้นไปไหว้ตอนกลางวันกับอานิดเท่านั้น...ชักอยากจะเห็นงานภูเขาทองสมัยนี้ว่าจะงดงามเพียงใด


"แต่มิรู้ว่าป่านนั้นพ่อจักอยู่หรือไม่"แต่น้ำเสียงเรียบเฉยนั้นทำเอาผมนิ่งไป...ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่...เลยทำได้เพียงสูดหายใจลึกแล้วส่งยิ้มโปรยไปให้


"ต้องอยู่สิครับ"คำพูดที่ทำเอาอีกฝ่ายเผลอยิ้มออกมา...ตัวผมเองก็เช่นกัน...แม้ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงไหม แต่ถ้าให้ผมเลือกตอนนี้...ผมเลือกที่จะอยู่...อยู่ข้างๆแบบนี้โดยไม่ต้องการคำตอบอะไรอีกเลย...


...นั่นคือคำอธิษฐานของผม...

.................................................................


จบไปอีกตอน...แอร๊ยยยย! วันนี้น้องธีร์มาเจ้าค่ะ  :hao7:

น้องธีร์ : อิเจ้...ยืดเยื้อออออ
อิเจ้ : โถพ่อคุณ ใจเย็นๆ
น้องธีร์ : มีเพลงจะร้องให้ฟัง
อิเจ้ : (คิดในใจ) เพลงไรฟระ
น้องธีร์ : เมื่อไหร่จะเข้าใจ...เมื่อไหร่จะรักกันนนนนนน (เพี้ยนสูง)
อิเจ้ : (ยกมืออุดหู) พอค่ะลูก! รอเป็นม๊ายยยยย
น้องธีร์ : รอมา 12ตอนแล้วเนี่ย
อิเจ้ : งั้นตอนหน้าจับกดเลยดีมั้ยคะลูก
น้องธีร์ : เอา!
อิเจ้ : เฮ้ยแกร! ใจเย็น คนอ่านตกใจหมด อิมเมจค่ะลูก อิมเมจ
น้องธีร์ : แหมมันลืมตัว (ยกมือขยี้หัวอย่างเขินอาย)
อิเจ้ : ไปๆ ไปนอนฝันถึงคุณหลวงต่อ ชิ้วๆ
น้องธีร์ : ไปก็ได้ ชริ (สะบัดตูดขึ้นเรือน)

อิเจ้ : สงสัยลูกอิชั้นจะเก็บกด  :mew5:

กร้ากกกกก ไปดีฝ่าาาาาาาา ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๒ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 08-07-2014 20:43:20
กดเลยค่ะ เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๒ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 08-07-2014 21:29:13
คงต้องคอยอีกหลายเพลากว่าจะได้รักกัน  :katai5:
.
.
.
หลวงเจษฎ์อะไรนั่นต้องชอบพ่อธีร์แน่ๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๒ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-07-2014 23:13:24
ออกเดท รึ



 :hao6:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๒ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 09-07-2014 01:18:58
ลุ้นค่ะะะะะะะะะะ
เอาเลยธีร์ ปล้ำ ชักช้าอยู่ใย กร้ากกกก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๒ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 09-07-2014 02:58:19
เมนท์2ตอนรวดเลยนะคะ แหม คราวนี้พ่อธีร์มีการส่งเมสเสจได้ทัน คงไม่อยากหูชามากเวลากลับไป(เมื่อไหร่ล่ะ?) ทำไมพ่อแก้วถึงดูตึงๆไป คิดถึง เป็นห่วงเค้าก็บอก ไม่ใช่เอางาน เอาผู้ใหญ่มาบังหน้า เชอะ! พ่อแช่มกับคุณพิกุลนี่ชักจะยังไง ว่าแต่คุณหญิงจะไม่รู้สึกแปลกๆเหรอ สมัยนั้นผู้ชายที่ไหนเข้าครัวเล่า เอ้อ   แอบงงเจ้าคุณไพศาลทำไมถึงให้เปิดตัวพ่อธีร์ อาจจะพาออกงานรึเปล่าหว่า พูดภาษาอังกฤษได้นี่นา พ่อเจษฎ์ออกมาปุ๊บ โอ๊ย ตัวร้ายมาแล้วค่า ได้มีเหตุการณ์ลุ้นระทึกในตอนต่อๆไปแหงๆ ตอนนี้พ่อธีร์นี่ชัวร์แล้วใช่มั้ยว่าชอบพ่อแก้ว แต่พ่อแก้วนี่ ให้คำนึงนะคะ "อ่อย!" โอ๊ย จะขี้อ่อยไปถึงไหน อ่อยพ่อธีร์จนคนอ่านจะเขินตัวบิดแล้ว จริงๆนะ พอเจอสายตาพ่อแก้วปุ๊บ โอ๊ย บิดเลย เขินแทน โอ๊ย อยากจะบ้า นี่ไม่ได้อยากแย่งพ่อแก้วมาจากพ่อธีร์นะ แต่จะขอเป็นพ่อธีร์เองเลย กร๊ากกก

กำลังคิดอยู่ว่าตัวละครในอดีต อาจมีซักคนเป็นคุณทวดของพ่อธีร์รึเปล่า...

ไปๆมาๆก็แอบวูบคิด รีบเปิดย้อนไปตอนแรกๆ -กลับมาหาเราเถิด...เราคิดถึงพ่อธีร์เหลือเกิน- เหย มันแปลว่า ท้ายที่สุด พ่อธีร์ก็จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันงั้นเหรอ เอ้า หน่วงเลยทีนี้

ขอโทษที่เมนท์เยอะและใส่ความคิดในการคาดเดาของเราเข้าไปเยอะมากอีกแล้ว
รออ่านต่อนะคะ บอกเลยว่าชอบเรื่องนี้มากจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๒ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 09-07-2014 03:08:04
พ่อเจษฎ์นี่ไม่ค่อยน่าไว้ใจแฮะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๒ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-07-2014 04:10:37
ชักช้าขนาดนี้คงได้กินหรอกหลวงแก้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จักย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๒ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 09-07-2014 20:46:09
ตอนที่ ๑๓...โอ้เจ้าจอมขวัญ (Champ's Vision)


...แสงแดดอุ่นยามเช้าทอแสงลอดบานหน้าต่างไม้ในห้อง ไม่ต่างอะไรกับนาฬิกาปลุกที่ทำให้ผมรู้สึกตัว...ผมขยับตัวไปมาพลางบิดขี้เกียจไล่ความงัวเงียก่อนจะลืมตาตื่น...คนที่นอนอยู่ข้างๆไม่อยู่แล้ว คงจะไปอีกเรือนตั้งแต่เช้าเหมือนเคย...มันตื่นก่อนผมเสมอเพราะต้องใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะไปถึงเรือนของพระยาไพศาลราชวราการ...ส่วนผมสบายหน่อยเพราะไม่ต้องเสียเวลานั่งเรือไปไหนต่อไหน...แค่ลุกมาอาบน้ำ แปรงฟัน ก็พร้อมจะเริ่มต้นวันใหม่ได้ง่ายๆ

...วันนี้เจ้าคุณจิตราต้องเข้ากรม...ท่านเลยฝากงานกองโตไว้ให้ผมทำเช่นเคย...หน้าที่ของผมก็ไม่มีอะไรมาก...แค่แปลเอกสารภาษาฝรั่งเศสให้ท่าน เพราะท่านเองไม่ได้เรียนมา...แต่ระดับพระยาจิตรานุวัตรใช่ว่าจะไม่มีความรู้ ท่านเรียนทั้งภาษาอังกฤษ เยอรมัน หรือแม้แต่ภาษาโปรตุเกส ที่ในสมัยผมจะหาคนพูดภาษานี้ในประเทศก็นับว่ายากเต็มที...แต่เจ้าคุณก็พอพูดได้บ้าง

...ชีวิตประจำวันของผมก็อย่างที่เห็น...ตื่นเช้า กินข้าว หมกตัวอยู่ในห้อง หรือเบื่อหน่อยก็ออกไปนั่งที่ท่าน้ำ แต่ที่ที่ชอบไปมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น...โรงครัว...หยุดครับ ผมไม่ใช่พวกเห็นแก่กินที่วันๆเอาแต่ไปเฝ้าหาของกินในครัว...แต่ที่ไปเพราะอย่างอื่นต่างหากล่ะ

"คุณพิกุลเจ้าคะ น้ำเดือดแล้วเจ้าค่ะ"เสียงของอ่อน บ่าวผู้หญิงในโรงครัวดังขึ้น เรียกให้เจ้าของชื่อที่กำลังนั่งสลักริ้วลายลงบนมะเขือลูกเล็กชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะผละจากงานตรงหน้าเพื่อเดินไปดู...วันนี้เห็นว่าจะทำน้ำพริกกับแกงคั่วส้ม ผมเองก็ไม่รู้จักหรอกว่ามันคือแกงอะไร เพราะตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้ยิน แต่คงเป็นแกงกะทิแน่ เพราะเห็นบ่าวผู้หญิงอีกคนเตรียมขูดมะพร้าวคั้นน้ำกะทิอยู่ไม่ไกล

"เดือดกำลังดี เอ็งเอาปลาช่อนลงต้ม แล้วอย่าทิ้งไว้นานเนื้อมันจักแข็ง"หันกลับไปบอกบ่าวผู้หญิงคนเดิม...ก่อนจะเดินมาดูทางฝั่งป้าน้อยที่กำลังนั่งโขลกเครื่องแกงอย่างหนักมืออยู่บนแคร่หน้าโรงครัว

"เบามือหน่อยป้าน้อย เดี๋ยวแหลกเสียหมดแกงมันจักไม่ข้นเอา"ป้าน้อยเลยลดระดับมือลงมาได้บ้าง ปกติป้าน้อยแกเป็นแม่ครัวใหญ่ประจำเรือน แต่พอลูกสาวเจ้าของเรือนกลับมาเลยกลายมาเป็นลูกมือเสียแทน

"อ้ายแช่ม เอ็งยุ่งอยู่หรือไม่ เอาผักบุ้งนี่ไปล้างให้ข้าที"เสียงป้าน้อยที่เหลือบมาเห็นผมนั่งอยู่ไม่ไกลตะโกนเรียก...ป้าแกก็คงเห็นแหละครับว่าผมไม่ได้ทำอะไร แต่จะเรียกใช้เลยก็คงเกรงใจเพราะช่วงนี้ผมต้องทำงานให้เจ้าคุณจิตราเกือบทุกวัน

"ว่างครับป้า...ไหนๆ มีแค่นี้เหรอ"ผมตอบรับพลางเดินไปยกกระจาดผักบุ้งที่วางอยู่บนแคร่ข้างๆแก ก่อนจะหันกลับไปมองคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ในครัว...ผมชอบมองเวลาเธอทำกับข้าว...มันดูเนิบนาบแต่ชวนมอง...เธอไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย ทำให้อาหารของเธอออกมาปราณีตบรรจงแถมรสชาติยังหาที่ติไม่ได้

"เอ้าอ้ายนี่ มัวแต่ยืนเหม่อ...รีบไปเข้าเดี๋ยวคุณพิกุลแกต้องใช้"เสียงเรียกของป้าน้อยทำเอาผมได้สติ ก่อนจะเดินไปตักน้ำในโอ่งใกล้ๆโรงครัวแล้วเอาผักบุ้งลงไปแช่...อันที่จริงฝีมือการทำอาหารของผมนี่ต้องบอกว่า...สอบตกครับ...ผมทำกับข้าวไม่เป็นเลยเพราะตั้งแต่เด็กม๊าเป็นคนทำตลอด หรือถ้าม๊าไม่อยู่ผมก็โทรสั่งเอา หรือไม่ก็แค่เดินออกไปปากซอยก็มีของกินให้เลือกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่...

"ผักบุ้งได้หรือยังพ่อแช่ม"เสียงหวานเรียกขึ้น ผมหันกลับไปมองคนตัวเล็กที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่...วันนี้เธอห่มสไบสีกลีบดอกบัวตัดกับโจงกระเบนสีเปลือกมังคุด คาดทับด้วยเข็มขัดนากเส้นโต...ผมยาวประบ่าถูกเสยรวบเผยกรอบหน้าหวานฉ่ำ

"เสร็จแล้วครับ"ผมว่าพลางยกถาดผักบุ้งขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำก่อนจะถือตามเธอเข้าไปในโรงครัว

"นี่เขาเรียกแกงคั่วส้ม ใช้หัวกะทิผัดกับพริกแกงและเนื้อปลาช่อนให้หอม แล้วจึงเติมหางกะทิ ส่วนเนื้อปลาที่เหลือหั่นไว้เป็นแว่นแล้วใส่ตาม ผักบุ้งนี่ก็เช่นกัน"เธออธิบายวิธีทำยาวเหยียดที่ผมเองก็จำไม่ได้หรอก แต่ไม่ได้ขัดเพราะเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเธอเวลาคุยเรื่องกับข้าวกับปลาแล้วมันพาลอารมณ์ดีตามไปเสียนี่


...คุณว่าผมอาการหนักไหมครับ?...

...ผมเองก็คิดแบบนั้น...


ตั้งแต่กลับมาที่เรือนเจ้าคุณจิตราได้อาทิตย์กว่า ผมก็ใช้ชีวิตประจำวันแบบนี้มาตลอด...การได้นั่งมองหน้าลูกสาวเจ้าของเรือนเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมต้องทำทุกวัน...จะหาว่าผมบ้าก็ได้...แต่วันไหนไม่ได้เห็นหน้าสวยๆนี่แล้วมันพาลหงุดหงิดทำงานไม่รู้เรื่องไปเสียอีก...


อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบทำเวลาอยู่ว่างๆก็คือการได้ใช้ความรู้ที่ผมเรียนมา...ก็การวาดรูปนั่นแหละ...จนถึงตอนนี้ผมวาดเสร็จไปสิบกว่ารูปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพบ่าวในโรงครัว เรือนไม้สัก หรือท่าน้ำ...แต่ที่วาดบ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็น...นางแบบเฉพาะกิจของผมคนนี้นี่แหละ...แต่อย่าเอ็ดไปนะครับ เจ้าตัวเขาไม่รู้หรอก เพราะผมชอบแอบมานั่งวาดของผมอยู่ไกลๆ...อย่างตอนนี้ผมก็มานั่งอยู่ริมท่าน้ำวาดนู่นวาดนี่ไปพลางๆ

"ชอบมานั่งที่ท่าน้ำเสียจริง"เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง

"ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปนี่ครับ...จะไปโรงครัวก็กลัวบางคนจะเบื่อหน้า"ผมเริ่มคุ้นเคยกับบทสนทนาพวกนี้ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมกับเธอก็มีโอกาสได้คุยกันบ่อย...เพราะผมชอบไปเสนอหน้าให้เธอเห็นบ่อยๆเองล่ะครับ

"ป้าน้อยรึ"ถามกลับกลั้วเสียงหัวเราะ

"ไอ้มิ่งน่ะครับ"ผมตอบแก้เก้อ คนตรงหน้าเลยยิ่งยิ้มหวานหนักเข้าไปอีก

"พรุ่งนี้คุณพิกุลจะไปวัดเหรอครับ"ผมถามขึ้นเพราะได้ยินเธอสั่งพวกบ่าวในครัวให้เตรียมของใส่บาตรพรุ่งนี้เช้า

"ใช่...วัดใกล้ๆเรือนนี้เอง"

"มีคนไปด้วยรึยังครับ"ผมถามต่อ

"มีแต่พวกบ่าว...ถามทำไมรึ"

"เผื่ออยากให้ไปด้วย"ผมสังเกตเห็นพวงแก้มใสมีสีระเรื่อแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

"แล้วจักไปหรือไม่เล่า"

"แหม่ ไม่น่าถาม...ไปสิครับ"ว่าพลางยกมือขึ้นลูบหัวเกรียนๆของตัวเองแก้เก้อ...คุณพิกุลเธอเป็นสาวแรกแย้ม งามตามแบบหญิงไทยสมัยโบราณ...ซึ่งหาไม่ได้แล้วในกรุงเทพยุคปัจจุบัน...ก็เด็กสาวสมัยนี้อายุ18 บางคนก็เข้าผับเข้าบาร์ มีแฟนเป็นตัวเป็นตน หรือขั้นย้ายไปอยู่กับแฟนก็มี...แต่คุณพิกุลแกตรงกันข้ามเพราะคุณหญิงสร้อยแกส่งเข้าไปอยู่ในวังตั้งแต่ยังเล็ก เธอเลยได้เรียนรู้มารยาทชาววังมาครบถ้วน...ทั้งกิริยา วาจา แล้วยังฝีมือการทำอาหาร...จนถึงตอนนี้แม้ผมกับเธอจะสนิทกันมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้แม้แต่คิดจะแตะเนื้อต้องตัวเธอเลยแม้แต่น้อย...เพราะผมให้เกียรติ...ด้วยเธอเป็นผู้หญิงที่สมควรได้รับเกียรติเสียเหลือเกิน


ผมเคยถามเธอเรื่องหลวงพิสิษฐเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่ที่ผมได้ยินเรื่องเธอกับคุณหลวงแรกๆ...เธอมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

'มีแต่คนถามเรา ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ เจ้าคุณไพศาล นี่พ่อแช่มก็ยังถามเราอีกคนรึ'อยากรู้ก็ต้องถามสิครับ ก็ผมชอบเสือก เอ๊ย! เอาเถอะ จะเรียกอะไรก็ช่าง

'เรากับหลวงแก้วเห็นกันมาแต่เล็ก เรานับถือหลวงเธอเหมือนพี่ชายเพราะเราเองมีแต่พี่สาว ส่วนเรื่องออกเรือน ถ้าผู้ใหญ่ท่านเห็นสมควร เราก็ขัดอะไรมิได้'พูดถึงตรงนี้สีหน้าเธอเจื่อนลงเล็กน้อย

'แล้วคุณพิกุลไม่มีคนที่ชอบอยู่เหรอครับ'ผมถามแบบไม่คิดอะไร เพราะต่อให้เธอเป็นผู้หญิงเรียบร้อยอย่างไร เรื่องความรู้สึกบางทีมันก็ห้ามกันไม่ได้

'เราอยู่แต่ในวัง ข้าหลวงของหม่อมท่านก็มีแต่ผู้หญิง จักไปแลชายใดได้'คำตอบที่ทำเอาผมใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง

'ชายแถวนี้ก็ยังมีอยู่ทั้งคน'ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง

'พ่อว่ากระไรนะ'แต่เหมือนอีกคนจะได้ยินเสียนี่ เลยต้องรีบปฏิเสธพัลวัน


หลายครั้งที่ผมคิดว่า...ควรจะหยุดความคิดของผมไว้เท่านี้...เพราะตัวผมเองไม่รู้เลยว่าวันไหนที่ผมจะต้องกลับไปยังที่ของผม...แล้วถ้าถึงวันนั้นจริงๆผมกับเธอจะเป็นอย่างไร...แต่ทุกครั้งที่ผมได้เห็นใบหน้าหวานกับรอยยิ้มกระจ่างนี้...มันทำให้ผมตัดใจไม่เคยได้เสียที...ผมยังคงไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวโรงครัวทุกครั้งที่เธอลงครัวทำอาหาร...แอบนั่งมองเธอเย็บปักถักร้อยบนเรือน จนบางทีคุณหญิงสร้อยแกสงสัย ต้องออกโรงขัดคออยู่บ่อยๆ...แน่ล่ะครับ ผมมันแค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาอาศัยเรือนเขาอยู่...ยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรก็ไม่มี...ใครเขาจะอยากยกลูกสาวให้กันล่ะ


หากแต่ความสัมพันธ์ของผมกับเธอมันก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ...ผมรู้สึกดีที่ได้เห็นหน้าหวานๆนี่ทุกวันโดยที่ไม่คิดแม้แต่อยากจะแตะต้อง...น่าตลกตัวเองสิ้นดี...ไอ้แชมป์ที่เวลาไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนทีก็ได้หญิงกลับบ้านแทบทุกครั้ง หรือแม้แต่สาวๆในมหาวิทยาลัยบางคน ผมก็เคยได้มาแล้ว...ไม่ได้ชั่วนะครับ แต่บางทีตบมือข้างเดียวมันก็ไม่ดัง...แต่มาดูผมตอนนี้สิ...แค่ได้นั่งมองหน้าของคนตัวเล็กนี่ทั้งวัน ผมกลับมีความสุขจนไม่อยากได้อะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว...


วันที่ผมคิดว่าผมรู้ความรู้สึกของเธอ...คือวันที่ผมกลับมาจากโลกปัจจุบันอีกครั้ง...เช้าวันรุ่งขึ้นเธอเข้ามาคุยกับผมด้วยสีหน้าเครียด...ถามว่าผมหายไปไหนมา ซึ่งผมเองก็ไม่มีคำตอบอะไรให้เธอ...สีหน้าเธอตอนนั้นดูผิดหวัง...ไม่เชิงโกรธแต่เหมือนน้อยใจเสียมากกว่า...ผมเหลือบเห็นดวงตาเธอรื้นด้วยน้ำตาแต่ก็พยายามสะกดมันไว้...และวินาทีนั้นเอง...ที่ผมเอื้อมมือออกไปเกลี่ยหยาดน้ำตานั้นเพียงแผ่วเบา...นั่นเป็นครั้งแรกทีผมได้สัมผัสเธอ...และเธอไม่มีมีท่าทีรังเกียจอะไร...ทำให้ผมได้รู้...ว่าผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว...


แต่เรื่องเดียวที่ผมกังวลมาตลอด...ผมจะปิดคนตัวเล็กนี้ได้อีกนานแค่ไหนถึงที่มาที่ไปของผม...ถ้าวันหนึ่งผมต้องกลับไป...เธอจะเป็นอย่างไร...แล้วถ้าผมไม่ได้กลับมาอีกล่ะ...
.
.
.
.
ไอ้ธีร์กลับมาถึงเรือนตอนใกล้ค่ำ...เมื่อวานตอนมันกลับมาดูมันอารมณ์ดีพิกล แต่ถามอะไรก็ไม่ตอบ บอกผมแค่มันออกไปเที่ยวงานวัดมา...ผมล่ะอยากถีบมันจริงๆ ได้ออกไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ ดูผมสิ ได้แต่นั่งแกร่วอยู่กับบ้าน

"มึง"ผมเรียกมันขณะที่เราสองคนอยู่ในห้อง...นี่ก็อีกกิจกรรมประจำวัน ต้องกวนตีนกันก่อนไม่งั้นนอนไม่หลับ...ผมล้อเล่นครับ ก็แค่คุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสา...ไอ้คนถูกเรียกที่กำลังนั่งเช็ดผมยาวๆของมันอยู่หันกลับมามอง

"มึงว่าเราควรบอกคนที่นี่เรื่องที่เรามาจากอนาคตดีป่ะวะ"มือที่เช็ดผมของมันอยู่ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตามองผมอย่างสงสัย

"คนที่นี่ของมึงน่ะใคร โปรดระบุ"ยักคิ้วกวนให้ผมอีกที...เดี๋ยวนี้ผมว่ามันชักจะกวนประสาทขึ้นทุกวัน

"ก็คนที่นี่อ่ะ...เจ้าคุณ คุณหญิงสร้อยไรงี้"ผมพยายามบ่ายเบี่ยง

"อยากบอกพ่อเค้าหรือลูกสาวเค้า เอาให้แน่"มันหัวเราะเบาๆ...ไอ้ธีร์รู้เรื่องผมมากกว่าใคร ถึงแม้มันไม่เคยถามและผมไม่เคยเล่า...แต่ผมก็รู้ว่ามันดูออก...เหมือนที่ผมเองรู้เรื่องของมันกับใครบางคนโดยที่มันก็ไม่เคยเล่าให้ผมฟังเช่นกัน แล้วผมก็ไม่คิดจะถามเพราะผมรู้นิสัยปากหนักของมันดี ถ้าไล่ไม่จนยังไงมันก็ไม่ปริปากพูด เลยได้แต่แซวกันไปแซวกันมาอย่างที่เห็น

"ตกลงจะบอกลูกหรือบอกพ่อ"มันยังถามซ้ำเมื่อผมเงียบไป

"พ่อคงไม่เชื่อป่ะวะ บอกลูกก่อนมั้ย"ผมเนียนตอบ

"ถุ้ยยย ไม่เนียนนะมึง"นั่นไง โดนมันโบกอีกจนได้

"บอกไปเค้าก็ไม่เชื่อมึงหรอก มึงจะเดินดุ่มๆไปบอกเค้าเหรอไง...คุณพิกุลครับ แชมป์มาจากอีกร้อยกว่าปีข้างหน้า...เค้าได้หาว่ามึงบ้า"ถูกของมัน...แต่ผมไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้...ถ้าวันหนึ่งผมหายไปอีกล่ะ

"กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงกับคุณพิกุลน่ะยังไง...แต่ทำอะไรก็คิดดีๆ...วันนึงเราก็ต้องไปนะแชมป์...มึงอย่าลืม"พูดมาถึงตรงนี้ผมเห็นหน้ามันเองก็เจื่อนลงไม่แพ้กัน...ตัวมันเอง ก็คงพยายามไม่น้อยไปกว่าผม...

"กูไม่เคยเป็นงี้เลยว่ะ กูเครียด"

"มึงโตขึ้นไงแชมป์...มึงเป็นผู้ใหญ่แล้วเพราะมึงรู้จักคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง"คำพูดเรียบๆเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ถ้าเป็นคนที่รู้นิสัยมันดี ผมเข้าใจว่ามันเป็นห่วง


"ก๊อกๆ"เสียงเคาะประตูดังขึ้น ไอ้ธีร์เลยเป็นคนลุกไปเปิดเพราะตอนนี้ผมขึ้นมานอนแอ้งแม้งบนเตียงเรียบร้อย...แล้วก็ต้องลุกพรวดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นคนตัวเล็กหน้าประตู

"คุณพิกุล...มาหาใครเหรอครับ"ไอ้ธีร์ถามขึ้นก่อนจะหันมายักคิ้วกวนให้ผม

"จักมาบอกพ่อแช่มว่าพรุ่งนี้เราจักไปแต่เช้าให้รีบตื่น"เสียงหวานเอ่ยตอบ ผมพยักหน้ารับ


"อ้าว จะไปไหนวะธีร์"ผมส่งเสียงเรียกคนที่ตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง

"อาบน้ำดิ จะให้นอนทั้งเหม็นๆงี้เหรอ"ได้ยินเสียงหัวเราะของมันเบาๆแล้วอยากจะลุกไปยันโครมเข้าให้...ไม่เนียนเลยนะมึงนี่ ออกไปอาบน้ำทั้งที่เพิ่งสระผมมา แถมหัวยังเปียกซ่ก


"ทำไมยังไม่นอนครับ"ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู คงไม่งามเท่าไหร่ถ้าจะให้เธอเข้ามาในห้องยามวิกาลเช่นนี้

"กำลังจะไปนอน นึกขึ้นได้เสียก่อนว่ายังไม่ได้บอกว่าจักออกแต่เช้า"เสียงหวานเอ่ยตอบ

"เราไปนอนก่อน พบกันวันพรุ่งนะพ่อ"ว่าพลางเอื้อมมือมาดึงประตูห้องให้ปิดลง แต่ผมฉวยข้อมือเล็กนั้นไว้เสียก่อน...เธอช้อนสายตามองผมเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

"ผมมีอะไรจะให้"ว่าพลางปล่อยข้อมือเล็กนั่นแล้วเดินมายังโต๊ะหน้ากระจกที่มีเศษกระดาษวางเกลื่อน อีกฝ่ายยังคงมองตามมือผมที่ค้นหาอะไรบางอย่างก่อนจะที่เจอเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่ง...ผมหยิบมันขึ้นมาม้วนอย่างดีแล้วเดินกลับมายื่นให้คนตรงหน้า

"อะไรรึ"

"หลายอย่าง...คุณพิกุลเปิดดูเองละกันนะครับ"ผมยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายที่ทำหน้าสงสัย

"คุณพิกุลครับ..."เรียกชื่อขึ้นอีกครั้ง...คนตัวเล็กช้อนสายตาขึ้นมองหน้า

"วันนึงผมอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว...ถ้าวันนั้นมาถึง...ผมขอให้คุณพิกุลอย่าลืมผมนะครับ"ใบหน้าหวานของอีกฝ่ายระเรื่อด้วยสีชมพู แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยคำถาม

"พ่อแช่มจักไปไหน"

"ผมไม่อยากไปครับ...แต่ถ้าถึงเวลาก็ต้องไป"คำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างเลยแม้แต่น้อย

"ถ้าวันนั้นมาถึง...ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะครับ"ผมยิ้มหวานให้...คนตัวเล็กที่ยังคงมีแต่คำถามแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น

"อีกอย่าง..."

"ผมอยากให้คุณพิกุลเรียกชื่อผม"คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความสงสัย

"พ่อแช่ม"เรียวปากบางเรียกชื่อออกมาเบาๆ

"ไม่ใช่ครับ......ผมชื่อแชมป์..."

"แชมป์...รึ"เพียงแค่ครั้งเดียวที่ผมบอกชื่อ เธอก็เรียกมันได้ไม่ผิดเพี้ยน

"ครับ...ผมชื่อแชมป์...ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ"ผมยิ้มหวานให้อีกครั้ง ยิ่งทำให้คนตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้างุด

"เราไปนอนได้รึยัง"ถามกลับเสียงเบาแต่ไม่ยอมสบตา

"ได้แล้วครับ...พรุ่งนี้เจอกันนะครับ...ฝันดี"เอื้อมมือไปแตะแก้มใสสีชมพูระเรื่อนั้นเบาๆ ก่อนที่มือเรียวเล็กจะดึงบานประตูให้ปิดลง...ผมได้แต่ยิ้มตามกับสิ่งที่เพิ่งทำไปทั้งหมด


...ผมทำได้แค่นี้...

...ถ้าวันหนึ่งผมไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว...ผมก็ยังอยากเห็นเธอมีความสุข...





"พระเอกสัส"

"เชี่ยธีร์!"โอ๊ย มึงนะมึง กูยังซึ้งได้ไม่ถึงสองนาที มายืนพิงประตูเก๊กหน้าหล่ออีก...แล้วนั่น คำพูดเมื่อกี้...แสดงว่ามึงแอบฟังอยู่สินะ

"แอบฟัง...สันดานนะ"ผมด่ากลับแต่รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนวูบ...หมดกันชีวิตไอ้แชมป์ อุตส่าห์เก๊กกวนตีนมันมาได้ตั้งนาน

"กูป่าว เพิ่งนึกได้ว่าลืมของ แต่มึงมีแขกกูก็เลยต้องยืนรอมึงคุยกันเสร็จก่อน หึหึ"เห็นหน้ากวนๆของมันแล้วผมขอยันโครมให้สักที...ไอ้คนตรงประตูเซไปเล็กน้อยเมื่อเจอลูกถีบของผม มันหันมาชี้หน้าปรามแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

"ว่าแต่...พี่แชมป์ครับ"แล้วมันรีบแถเข้ามากอดคอผมที่นั่งอยู่บนเตียง

"อะไรของมึงอีกเนี่ย"แค่นี้กูก็เขินจะตายห่าแล้วครับ...เลิกแซวสักทีเห๊อะ

"มึงให้อะไรเค้าวะ"แล้วไอ้สีหน้าอยากรู้อยากเห็นนี่ใครมันสอนให้ทำวะ

"เสือกกกกกกครับ...ไปๆนอน ยุ่งนะมึงนิ่"หันไปพูดใส่หน้ามันเต็มๆก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงหันหลังให้มันไม่อยากต่อปากต่อคำ...ได้ยินแค่เสียงหัวเราะหึหึของมัน...แต่ผมขี้เกียจเถียง...แกล้งตายดีกว่า...พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปวัดด้วย



...ป่านนี้คนตัวเล็กคงกำลังดูของที่ผมเพิ่งให้เธอไป...

...ภาพวาดของเธอที่กำลังหันมายิ้มหวานให้ผมจากโรงครัว...พร้อมกับข้อความเพียงสั้นๆใต้ภาพที่เธอคงไม่เข้าใจ หรือแม้แต่ใครบนเรือนนี้ก็ตาม...



...je t'aime mon amour...ผมรักคุณนะที่รักของผม...

...................................................................

พี่แช่มเขากลัวน้อยหน้าเลยต้องออกโรงบ้าง  :hao7: :hao7: :hao7:

ฝากพี่แช่มไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ นานๆจะมีโมเม้นหวานๆนะเอ้อ ปกติกวนตล๊อดดดดด

((นังน้องธีร์นั่งหน้าเป็นตูดอยู่ แชมป์ออกตอนเดียวฟินาเล่เลย  :hao7:))
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 09-07-2014 21:35:58
สุดยอดเลยพ่อแช่ม  :laugh:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 09-07-2014 23:06:16
หวานมิน้อยหย้าผู้ใด นายธีย์ รีบจัดการซะ เรารู้ นายทำได้ (ทำไรว่ะ?)  :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-07-2014 00:17:51
 :hao5:


น้ำตาจะไหล อึนๆ ฟ้าหม่นๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-07-2014 02:54:30
ตอนนีหวานแต่พอคิดถึงอนาตคที่ไม่รู้จะยังไงแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: knightprince ที่ 10-07-2014 15:32:52
กรี๊ดกร๊าดดด ชอบเหลือเกิน  ชอบนิยายแนวนี้จัง
คุณหลวงของบ่าววว  เขิลแทนพ่อธีร์เหลือเกินเลย  อบอุ่นใจดี
พ่อแช่มของเราก็ใช่ย่อย หวานซะ เรื่องมันจะหวานก็ไม่ทั้งหมด
ออกแนวหน่วงๆทำร้ายจิตใจคนอ่านกันเล่น เพราะรุ้ว่ายังไงก็อยุ่ด้วยกันไม่ได้
แต่แบบอาจจะได้ไปเจอกันในยุคปัจจุบันก็ได้น้าา คุณหลวงกลับชาติมาเกิด
ละแบบยังมีความทรงจำของชาติก่อนอยุ่ไรงี้  ก็ได้แต่มโนไป  รอตอนหน้าจ้ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-07-2014 19:41:39
ก็คิดอยู่ว่าแชมป์จะเป็นบรรพบุรุษของธีร์รึเปล่า ว่าแต่เจ้าคุณจิตราฯทำงานเป็นอะไรนะเกี่ยวกับการทูตมั้ยอ่ะ(ถ้าใช่ก็เข้าเค้านะ)
สงสัยนิดหน่อยตอนลูกชายพระยาเดโช(ผู้ชายสมัยก่อนไม่น่าจะเป็นไบเยอะนะ) ตกลงว่าพ่อธีร์เป็นผู้ชายหน้าสวยเหรอ?
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 10-07-2014 19:50:38
พี่แชมป์คะ แหมๆ มาทีหลัง ฟินกว่านะคะ ทำคะแนนไปถึงไหนต่อไหน โอ๊ย แอบหมั่น555 คุณพิกุลก็ช่างมีใจ แต่นั่นแหละ เรื่องจะจบยังไง กลับไม่กลับยังไง ยังไม่รู้เลย เฮ้อ
พ่อธีร์จ๊ะ อย่าพึ่งงับหัวคนเขียนนะ คนอ่านรออ่านอยู่ ไม่ใช่พ่อธีร์ทนไม่ไหว จับพ่อแก้วกด เอ๊ะ เหมือนพี่ไผ่น้องริว คนที่คิดว่าเป็นนายเอก ดันเป็นคนจับกดซะได้ ไม่นะ หวังว่าคงไม่ใช่แบบนี้ เราชอบความนิ่งๆ แอบเจ้าเล่ห์(?)ของพ่อแก้วนะ เอาเข้าจริงสงสัยว่าพ่อธีร์จะตามพ่อแก้วไม่ทันในเรื่องนี้555

รออ่านต่อนะคะ คืนนี้จะมาต่อมั้ยน้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 10-07-2014 22:13:31
แชมป์คะ นานๆมาทีแต่มาทีก็หวานซ่ะ เกินคู่หลักนะคะเนี่ย 55
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 10-07-2014 23:21:14
ก็คิดอยู่ว่าแชมป์จะเป็นบรรพบุรุษของธีร์รึเปล่า ว่าแต่เจ้าคุณจิตราฯทำงานเป็นอะไรนะเกี่ยวกับการทูตมั้ยอ่ะ(ถ้าใช่ก็เข้าเค้านะ)
สงสัยนิดหน่อยตอนลูกชายพระยาเดโช(ผู้ชายสมัยก่อนไม่น่าจะเป็นไบเยอะนะ) ตกลงว่าพ่อธีร์เป็นผู้ชายหน้าสวยเหรอ?

ตอบค่า : น้องธีร์เป็นผู้ชายสูงขาวหน้าออกตี๋ เลยค่อนข้างเด่นเมื่อเทียบกับหนุ่มๆหน้าคมสมัยนั้น อิอิ
ส่วนเรื่องหลวงเจษฎ์ ต้องติดตามต่อน้า
เจ้าคุณจิตราและเจ้าคุณไพศาลทำงานด้านการทูตค่ะ ส่วนคุณหลวงไม่ได้ทำแค่โดนดึงตัวมาช่วยงานเฉยๆเพราะเป็นคนสนิทเจ้าคุณไพศาลค่ะ

ปล.วันนี้ไม่ลงนะเจ้าคะ นังน้องธีร์งอนไม่ยอมเข้าฉาก ผิดดดด :hao7:
วันนี้ติดธุระ คอมอยู่บ้านลงไม่ได้ค่ะ พรุ่งนี้ชดเชยให้น๊าาา ;)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๓ [[Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 11-07-2014 23:13:15
ตอนที่ ๑๔...บุคคลอันตรายและความหมายที่ซ่อนเร้น...



รุ่งเช้าเวียนมาอีกครั้ง...เกือบสองอาทิตย์แล้วที่ผมกลับมาอยู่ที่นี่...และเป็นอีกวันที่ผมได้แต่ภาวนา...ว่าขอให้ได้อยู่เห็นรุ่งเช้าของพระนครให้นานอีกสักหน่อย...แว่วเสียงนกร้องอยู่ด้านนอกหน้าต่าง...แสงแดดอ่อนเริ่มทอแสง และลมเอื่อยพัดไหวจนผ้าม่านปลิวตามเพียงแผ่วเบา...ผมชอบยามเช้าที่นี่...ชอบสูดกลิ่นน้ำค้างเย็นฉ่ำที่ลอยมาเตะจมูก...กลิ่นดอกไม้ที่บานรับแสงอรุณ...และ...


...เสียงกรนของไอ้คนข้างๆ...


แม่งเอ๊ย! กำลังอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์ ดันกรนเสียงดังอย่างกับรถแทรกเตอร์...หมดอารมณ์กันพอดี...

"โอ๊ยยยย! อะไรของมึงเนี่ย"โมโหไอ้ตัวก่อมลภาวะทางเสียงเลยยันโครมเข้าให้...มันสะดุ้งตื่นหันมาโวยวายเสียงดัง

"ไม่ตื่นไปวัดเหรอไง"ถามกลับเสียงเรียบ...นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้วก็อดขำไม่ได้...ไอ้ตัวแสบที่มันคอยกวนประสาทผมตั้งแต่เด็ก...ตอนนี้กลายเป็นแมวเชื่องๆเพราะตกหลุมรักลูกสาวท่านเจ้าคุณ...แหม่ มันน่าเอาไปแต่งเป็นนิยายเสียจริง

"ปลุกดีๆก็ได้นะครับ เชี่ยยยย"ท้ายประโยคหันมาใส่ผมเต็มๆ ก่อนจะลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าเดินออกไปอาบน้ำ...เขินแรงตลอดครับไอ้นี่...แต่จะว่าไป...ผมก็อดทึ่งในความหน้าด้านของมันไม่ได้...ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็ไอ้ที่มันเล่นบทโรแมนติกกับคุณพิกุลเมื่อวานนั่นแหละ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอกนะ แต่ไม่รู้จะไปหลบอยู่แถวไหนดีก็เลยยืนรออยู่แถวนั้น หึหึ...ได้ยินหมดเลยครับไอ้คุณแช่ม


"ไปนานป่ะวะ"ผมถามขึ้นเมื่อมันเดินกลับเข้ามาในห้อง

"คงไม่ แค่ไปใส่บาตรแล้วก็กลับ...มึงมีไร"วันนี้แต่งเสียหล่อ เสื้อสีฟ้าน้ำทะเลกางเกงแพรสีดำ

"พี่สนชวนไปตลาด แกบอกจะพาไปเปิดหูเปิดตา"

"เฮ้ยๆ รอกูด้วยดิ อยากไปด้วย"โลภนะมัน จะไปทั้งวัดทั้งตลาด

"เออเดี๋ยวกูบอกแกให้...รีบไปได้แล้วมึงอะ หมั่นไส้ว่ะ หึหึ"แซวมันอีกรอบเพราะรู้ว่ามันต้องเขินหน้าแดง แต่ต้องปากเสียใส่ผมก่อนถึงจะหายเขิน

"-วย"นั่นไง ผิดคำผมที่ไหน


อาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็เดินลงมาที่เรือนบ่าวตามปกติ...บอกพี่สนแกให้รอไอ้แชมป์กลับจากวัดแล้วค่อยออกไปกัน...แต่แกก็บ่นอุบ บอกว่าถ้าไปสายตลาดจะวายเสียก่อน...ผมเองไม่เคยเห็นตลาดในพระนครก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเปิดกันถึงกี่โมง...แต่แกว่าให้รีบไป แถมทิ้งท้ายว่าจะชวนไอ้แชมป์ไปด้วยกันอีกวันหลัง ผมเลยตกลง...วันนี้ก็อดไปแล้วกันครับมึง ไปทำบุญร่วมชาติกับลูกสาวท่านเจ้าคุณก่อนแล้วกัน...


"ตลาดอยู่ไกลมั้ยพี่"ผมถามขึ้นขณะที่แกใช้ไม้พายดันเรือออกจากท่าน้ำ...เห็นแกว่าอยู่เลยคุ้งน้ำข้างหน้าไปหน่อยไม่ไกลมาก

"ดีนะที่วันนี้เอ็งไม่ต้องไปเรือนเจ้าคุณไพศาล...ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องออกมาคนเดียว"พี่สนบ่นอุบเพราะโดนป้าน้อยใช้ให้ออกมาซื้อของ ตอนแรกแกว่าจะชวนมิ่งแต่มิ่งต้องไปส่งเจ้าคุณจิตราที่กรมเสียนี่

"ช่วงนี้ทางนั้นเค้ายุ่งอ่ะพี่"เพราะงานเลี้ยงรับรองคณะทูตจากฝรั่งเศสที่ใกล้เข้ามาทุกที ทำให้ทั้งเจ้าคุณไพศาลและคุณหลวงคนสนิทต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างกรมกับเรือนเจ้าพระยาเดโชเกือบทุกวันหลังจากนี้...ผมเลยได้มีเวลาหยุดหายใจอยู่เฉยๆบ้าง

"แล้วจะไปอีกเมื่อใดวะ"พี่สนถามขึ้น

"เห็นว่าอีกสามวัน...พี่ว่างไปส่งผมป่ะ"

"อีกสามวันรึ ถ้าเจ้าคุณไม่ใช้ให้ข้าไปที่ใด ข้าก็ไปได้"ผมพยักหน้ารับ...นั่งคุยกับแกได้ครู่เดียว แกก็พายเรือมาจอดเทียบท่าตรงตลาด...ช่วงเช้านี่คนพลุกพล่านน่าดู...แม้แต่ท่าน้ำใหญ่โตของตลาดยังมีเรือมาผูกเทียบท่าเสียเต็ม


"ป้าน้อยจะเอาอะไรมั่ง"ผมถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงตลาดใหญ่ริมน้ำ...ได้ยินเสียงชาวบ้านที่พากันตั้งร้านรวงอยู่ริมทางเรียกลูกค้าเข้าร้านกันไม่ขาด...ผักสด ผลไม้สด หรือแม้แต่ปลาสดๆวางเรียงรายเต็มสองทาง

"ก็พวกของสด เอ็งเดินตามมาเดี๋ยวข้าจัดการเอง"เออครับ มาตลาดสดคงจะเอาของแห้งล่ะมั้ง ผมนี่ไม่น่าถาม

"เอ้าพี่! ไหนบอกจะมาซื้อของ"ผมท้วงขึ้นเมื่อแกเดินนำลิ่วมาจนถึง...ซุ้มยาดอง...หน้าตามันก็ไม่ต่างจากซุ้มยาดองสมัยผมเท่าไหร่หรอกครับ...แล้วจะได้ซื้อของกันไหมวันนี้

"น่า ข้าขอสักกรึ้บ จักได้มีแรงแบกของ"ไม่ค่อยอ้างเลยครับพี่น้อง ว่าแล้วแกก็จัดแจงสั่งยาดองสูตรโปรดของแก แถมยังเผื่อแผ่ให้ผมอีก

"เห้ยพี่ กินไรแต่เช้า พี่เอาเหอะตามสบาย"ผมรีบปฎิเสธเสียงดัง ข้าวปลายังไม่ได้กินจะให้มาซัดยาดองแต่เช้านี่ก็ไม่ไหวนะครับ...ว่าแต่ คนที่นี่เขาจัดยาดองกันแต่เช้าแบบนี้กันเลยรึ เห็นลูกค้านั่งกันเกือบเต็ม


"แม่ลำดวน...ของพี่สูตรเดิมนะจ๊ะ"เสียงโหวกเหวกมาแต่ไกลจนผมต้องหันกลับไปมอง...ชายสามคนที่เพิ่งเดินมาถึงร้านยาดองที่ผมกับพี่สนยืนอยู่...ไอ้ตัวเล็กสองคนท่าทางอันธพาลนั่นผมไม่เคยเจอ...แต่คนข้างหน้านี่ แค่เจอครั้งเดียวก็ไม่ลืมครับ...รู้สึกตาขวาเขม่นนิดๆ สงสัยวันนี้จะซวย...

"อ้าว นึกว่าใคร พ่อคนสวยนี่เอง วันนี้มาเที่ยวหรือพ่อ"แล้วดูมันเรียก...ผมมองหน้าคนตัวใหญ่เจ้าของตำแหน่งหลวงเจษฎารังสรรที่ยืนแสยะยิ้มอยู่ตรงหน้า ไม่อยากจะเสวนาด้วยแต่ก็ต้องยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้

"ไม่ต้องไหว้พี่หรอก...พี่ไม่ถือ"เป็นญาติกูตั้งแต่ตอนไหนครับ แล้วมาส่งเสียงอ่อนเสียงหวานแถมแสยะยิ้มน่ารังเกียจให้อีก...ส่วนพี่สนที่ยืนอยู่ข้างๆได้แต่เงียบกริบ เพราะตำแหน่งของอีกฝ่ายเป็นถึงหลวง จะไปต่อปากต่อคำก็ใช่เรื่อง

"นี่พ่อจักไปที่ใดต่อ ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม"

"ไม่เป็นไรครับ พี่!เสร็จยัง ไปเหอะ"ผมตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะหันไปเรียกพี่สน แกรีบยกแก้วยาดองแก้วที่สองขึ้นกระดกก่อนจะหันมาพยักหน้าให้

"มากับบ่าวรึ พี่ก็นึกว่ามาคนเดียว"ไอ้พวกคนแบบนี้มันมีกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วนะครับเนี่ย ผมเองก็เพิ่งจะรู้

"เอ็งน่ะ จักไปไหนก็ไป ประเดี๋ยวข้าจักพาพ่อคนสวยนี่ไปส่งที่เรือนเอง"หลวงเจษฎ์หันไปออกคำสั่งกับพี่สนที่ได้แต่ยืนก้มหน้า แกดูมีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย...แล้วมันว่าใครสวยวะครับ

"ไม่ต้องครับ ผมมากับพี่เค้า ผมก็ต้องกลับกับพี่เค้า"

"โถๆ เรียกบ่าวว่าพี่ แล้วพี่เจษฏ์นี่ล่ะจ๊ะ พ่อจักเรียกว่ากระไร"ก็มีคำให้เรียกอยู่...แต่ไม่พูดดีกว่ากลัวจะมีปัญหาเสียก่อน ผมเลยลากแขนพี่สนให้เดินหนีไปอีกทาง แต่ก็ยังโดนไอ้สองคนที่เดินตามหลังมาเมื่อครู่ยืนขวางหน้าไว้เสียก่อน

"มึงนี่ ไม่ได้ยินที่หลวงแกสั่งหรือไงวะ หลวงแกว่าจักไปส่งคุณเขาเอง มึงจักไปไหนก็ไป"ผมไม่รู้หรอกว่าตำแหน่งของสองคนนี้คืออะไร แต่ดูก็รู้ว่าคงทำงานในกรมเช่นกัน ไม่ใช่บ่าวแน่ๆ

"เอ้า ยังยืนบื้ออยู่อีก ฟังภาษาคนมิรู้เรื่องหรือวะ โง่เสียจริงบ่าวไพร่พวกนี้"แม้จะถูกด่าทอขนาดไหนอีกฝ่ายก็โต้ตอบอะไรไม่ได้ ด้วยศักดินาที่ต่างกันลิบลับ ทำให้พี่สนได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง

"พี่เค้าเป็นคนของผม เค้าฟังแต่คำสั่งผม ขอตัวนะครับ"ผมรีบดึงแขนแกให้เดินออกไปจากตรงนั้น เห็นไอ้สองคนทำท่าจะเดินตามแต่ถูกคนตัวใหญ่ห้ามไว้เสียก่อน เหลือบไปเห็นสายตาน่ารังเกียจที่ยังจ้องมาไม่เลิก



"ใครวะ อ้ายธีร์ ข้าล่ะตกใจหมด"พี่สนโพล่งขึ้นหลังจากเดินออกมาได้ไม่ไกลนัก แกลูบหน้าลูบอกตัวเองพลางถอนหายใจยาว

"ลูกชายเจ้าพระยาเดโชอ่ะ"

"เอ้า แล้วเขารู้จักเอ็งได้เยี่ยงไรเล่า"

"เรื่องมันยาวอ่ะพี่ จะซื้ออะไรก็รีบซื้อเหอะ จะได้รีบกลับ"ผมรีบไล่แกให้ไปซื้อของตามที่ป้าน้อยสั่ง...ว่าจะออกมาเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ดันเจอมลภาวะเสียได้...
.

.

.

ที่ผมเคยบอกไว้ว่าเขม่นตาขวา...มันไม่ใช่แค่วันนั้นวันเดียวนะครับ เพราะอีกสองวันถัดมาผมก็เห็นไอ้คนตัวสูงนี่มานั่งเสนอหน้าคุยกับเจ้าคุณจิตราถึงเรือน...ผู้มาเยือนมีท่าทีแปลกใจที่เห็นผม แต่ก็ยังไม่วายแสยะยิ้มน่ารังเกียจให้

"พ่อเจษฏ์เขามาคุยเรื่องงานเลี้ยงทูตแทนท่านเจ้าคุณน่ะแม่สร้อย"เสียงเจ้าคุณจิตราบอกคุณหญิงสร้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ

"เจ้าคุณพ่อท่านมีงานมาก ให้กระผมมาแทนขอรับ"น้ำเสียงแข็งกร้าวหากแต่ยังนอบน้อมเพราะคุยกับผู้ใหญ่ตอบกลับ

"ไม่นึกว่าพ่อจักอยู่เรือนนี้...ช่างบังเอิญเสียจริง"ว่าแล้วก็หันมาทางผมที่นั่งเงียบอยู่นาน จนไอ้แชมป์หันมามองหน้าผมเหรอหรา

"รู้จักกันแล้วรึ"เจ้าของเรือนเอ่ยถาม ถึงอีกฝ่ายจะเป็นแค่หลวงแต่ด้วยบารมีของพ่อที่ใหญ่นัก แม้แต่เจ้าคุณจิตราเองก็ดูเกรงใจผู้มาเยือนไม่น้อย

"ได้พบเมื่อคราที่หลวงพิสิษฐไปพบเจ้าคุณพ่อที่เรือนขอรับ"แล้วไม่บอกไปด้วยล่ะว่าเคยเจอที่ตลาดแถมยังมารยาททรามใส่อีก

"ประเดี๋ยวเจ้าคุณไพศาลคงมาถึง รอคุยเสียทีเดียวก็แล้วกันพ่อเจษฏ์"เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ


ผมขอปลีกตัวเดินลงมาจากเรือนเพราะไม่อยากอยู่ร่วมวงสนทนากับผู้ชายไม่มีมารยาทคนนั้น...ไอ้แชมป์เองก็รีบวิ่งลงเรือนตามหลังมา แต่มันไม่ได้ถามอะไรคงเพราะเห็นว่าผมกำลังหงุดหงิด มันเลยเดินไปทางโรงครัวแทน...ไม่ต้องถามนะครับว่ามันไปทำอะไร...

ส่วนผมจะไปที่ไหนได้นอกจากศาลาไม้สักข้างเรือน...เวลาผมเบื่อผมมักจะมานั่งเล่นที่นี่ นั่งมองซุ้มดอกมะลิที่ขึ้นอยู่ข้างๆ...ดอกมะลิที่ใครบางคนเคยหยิบเศษของมันที่ปลิวมาติดผมออกให้...


"อยู่นี่เองหรือพ่อ"แล้วไอ้มลพิษทางเสียงนี่...จะหนีอย่างไรก็ไม่พ้นสินะ

"มีอะไรครับหลวงเจษฎ์"ผมถามกลับ...อีกฝ่ายยังคงแสยะยิ้มหวานส่งมาให้

"พี่แค่อยากคุยกับพ่อคนสวยดีๆ แต่พ่อคนสวยทำเหมือนไม่อยากคุยกับพี่เสียได้"อยากคุยดีๆก็ช่วยเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกผมก่อนเป็นอย่างแรกจะเป็นพระคุณมากทีเดียว

"ผมชื่อธีร์ครับ"ตอบกลับเสียงเรียบ

"แต่พี่อยากเรียกพ่อคนสวยนี่"มีคำไหนที่มันยิ่งกว่าคำว่า'หน้าด้าน'ไหมครับคุณผู้อ่าน ผมจะได้เอามาด่ามันเสียตรงนี้เลย

"ผมขอตัวก่อนนะครับ มีงานต้องทำ"เมื่อไม่อยากสนทนาด้วยก็เลยได้แต่หาเรื่องปลีกตัว รีบหันหลังหมายจะขึ้นเรือน แต่กลับถูกอีกฝ่ายกระชากแขนเอาไว้เสียก่อน...ถูกแล้วครับ เขากระชากผมจนตัวแทบปลิว ผมพยายามสะบัดมือที่ฉวยแขนของผมเอาไว้แน่น ทั้งที่ตัวผมก็ไม่ใช่เล็กๆหากแต่ไม่สามารถสู้แรงอีกฝ่ายได้เลย

"พี่มีอะไรจักบอกเสียหน่อย"ว่าพลางยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆ...ผมพยายามขืนตัวหนีออกมาแต่แรงบีบที่แขนกลับกดหนักขึ้นกว่าเดิม

"พ่อนี่งามกว่าสาวๆในพระนครเสียอีก...ถูกใจพี่เสียจริง"ว่าพลางแสยะยิ้มน่ารังเกียจ...แรงกดที่แขนเพิ่มหนักขึ้นจนผมรู้สึกชา...ผมไม่เคยกลัวผู้ชายแบบนี้แม้แต่น้อย...ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ...แต่สิ่งที่ทำให้ผมอึดอัด คือท่าทางวางอำนาจของเขา ที่ถือเพียงแค่ว่ามีเจ้าพระยาเป็นพ่อแล้วจะทำเช่นนี้กับใครก็ได้...ผมรังเกียจ...ตั้งแต่วันแรกที่เจอ...แม้แต่วันที่ไปตลาด ท่าทีที่เขาแสดงออกต่อพี่สน ถึงแม้พี่สนจะเป็นแค่บ่าวแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่คน...ผมรังเกียจ...คนที่คิดว่าอยากได้อะไรก็จะได้...เพียงเพราะตัวเองมีอำนาจ...



"นั่นพ่อเจษฏ์รึ"เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นเสียก่อนทำให้หลวงเจษฏ์ที่จับแขนผมเอาไว้แน่นต้องคลายมือออก เหลือเพียงรอยแดงที่ขึ้นชัดบนต้นแขน

"สวัสดีขอรับเจ้าคุณไพศาล"เสียงทักทายทำให้ผมที่ยืนหันหลังอยู่รู้ว่าเป็นเจ้าคุณที่เพิ่งมาถึง

"มากับเขาด้วยรึ หลวงแก้ว"น้ำเสียงเย้ยหยันทักทายอีกคนทำให้ผมต้องหันไปกลับมอง...หลวงพิสิษฐ ที่เดินตามหลังเจ้าคุณไพศาลมา...ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่สายตาที่จ้องอยู่นั้น มันขึงขังผิดปกติ

"สวัสดีหลวงเจษฎ์"น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับ

"เอ้าพ่อธีร์ ไม่เจอเสียหลายวัน สบายดีนะ"เจ้าคุณไพศาลทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม...ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

"มาทำอะไรกันตรงนี้เล่า"เจ้าคุณยังถามต่อ ผมเห็นคนตัวใหญ่ข้างๆยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ารังเกียจในสายตาของผม

"เดี๋ยวผมขึ้นไปบอกเจ้าคุณจิตราให้นะครับว่าเจ้าคุณมาถึงแล้ว"ผมรีบบอกผู้มาถึงใหม่ก่อนจะปลีกตัวเดินขึ้นเรือนทันที...หากใบหน้าเรียบเฉยของคุณหลวงหนุ่มยังคงติดตา


หลังจากคุยธุระเสร็จ...คุณหญิงสร้อยก็ชักชวนแขกทั้งสามให้อยู่ทานข้าวด้วยกันเช่นเคยตามมารยาทที่ดีของเจ้าบ้าน...ส่วนผมกับไอ้แชมป์ขอตัวลงมากินกับพวกพี่สนที่เรือนบ่าวเพราะไม่อยากร่วมวงกับใครบางคน

"นั่นหรือวะ หลวงเจษฏ์ที่เอ็งเคยเล่าให้ฟัง"มิ่งหันไปถามพี่สนทั้งที่ยังเคี้ยวปลาทูอยู่เต็มปาก

"เออ คนนี้ล่ะ ที่ข้าเจอที่ตลาดกับอ้ายธีร์"คำตอบของพี่สนทำเอาไอ้แชมป์หันมามองหน้าผมอีกครั้ง เพราะผมไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟังตั้งแต่กลับมาจากตลาดวันนั้น

"กร่างเสียเต็มประดา คงถือว่ามีพ่อเป็นเจ้าพระยา"พี่สนว่าต่อ

"ข้าเคยได้ยินเรื่องคุณหลวงคนนี้มาจากคนที่ตลาด เขาลือกันให้ทั่ว"เป็นป้าน้อยที่ร่วมวงสนทนาบ้าง

"ลืออะไรหรือป้า"มิ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย

"เขาว่าหลวงคนนี้รสนิยมแปลกนัก"

"แปลกยังไงอ่ะป้า"ไอ้แชมป์ที่นั่งเงียบอยู่นานจนทนไม่ได้เลยต้องถามบ้าง

"เขาว่าแกเจ้าชู้"

"โอ๊ยป้า แล้วมันแปลกยังไงอ่ะ ผู้ชายเจ้าชู้ก็เป็นเรื่องปกติ"ไอ้แชมป์บ่นอุบ แถมยังหันไปค้อนขวับใส่ป้าน้อย

"ฟังให้จบซีวะ เอ็งนี่...เขาว่าหลวงแกมีรสนิยมประหลาด...ชอบเด็กผู้ชาย"ทั้งวงกับข้าวอื้ออึงด้วยเสียงอุทานด้วยความตกใจ...จะมีก็แต่ผมคนเดียวที่นั่งเงียบตั้งแต่แรก

"จริงหรือป้า แต่หลวงแกมีเมียแล้วนี่ ก็คุณเดือนลูกสาวพระพินิจที่เคยมาเล่าเรียนการเรือนกับคุณหญิงไม่ใช่รึ"มิ่งยังคงถามต่อ

"มีเมีย แล้วชอบผู้ชายไม่ได้หรือวะ...ข้าน่ะ ได้ยินมาเต็มสองหู พวกที่ตลาดเขาลือกันว่าหลวงแกชอบพาเด็กหนุ่มๆไปที่เรือนแพริมน้ำที่เจ้าพระยาท่านสร้างให้ นังเจิมบ่าวที่เรือนท่านเจ้าคุณเล่าให้ฟังเองเชียวนะโว้ย ไม่เชื่อข้าก็ตามใจ มันว่าท่านเจ้าคุณก็รู้ แต่เพราะเป็นลูกชายคนเดียวท่านเลยไม่กล้าว่าอะไร"เสียงฮือฮายังคงดังอย่างต่อเนื่อง...ส่วนผมยังนั่งตักปลาทูชิ้นโตเข้าปากไม่ได้สนใจอะไร...ผมไม่ได้แปลกใจ เพราะท่าทีน่ารังเกียจนั่นมันแสดงออกให้เห็นหมดแล้ว

"สงสัยจริงอย่างที่ป้าเล่า วันนั้นหลวงนั่นก็พูดจาเกี้ยวพาอ้ายธีร์เสียเต็มที"คราวนี้ทั้งวงสนทนาหันมามองผมกันเป็นตาเดียว...ขอบคุณครับพี่สนที่โยนระเบิดมาให้...แต่ถามผมก่อนก็ได้นะว่าอยากรับไว้รึเปล่า

"จริงหรือวะอ้ายธีร์"มิ่งรีบถามขึ้นทันที แต่ผมเพียงแค่ยักไหล่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

"ขนาดเอ็งยังไม่เว้นเชียวรึ ตัวก็สูงเยี่ยงนี้"ขอบคุณครับป้าน้อยที่ยังพอเห็นความเป็นชายในตัวผมอยู่บ้าง...ส่วนไอ้แชมป์มันได้แต่นั่งมองผมตาปริบๆ สงสัยอยากจะถามเต็มทีแต่ยังไม่มีจังหวะ


หลังกินข้าวกันเสร็จผมก็ยังเตร่อยู่แถวเรือนบ่าวไม่ไปไหน...เพราะไม่อยากเห็นหน้าไอ้หมอนั่น...ถึงผมอยากจะเห็นหน้าใครอีกคนมากกว่าก็ตาม...แต่ก็ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปที่เรือนเจ้าคุณไพศาลอยู่ดี...ไอ้แชมป์มันรีบลากผมไปถามเสียยกใหญ่...ผมก็ตอบตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดตรงศาลาเมื่อครู่...

"แม่งเลวว่ะ"ด่ามาเต็มหน้าผมเลยทีเดียว

"มึงไม่ต่อยมันซักทีวะ กูโมโหแทน"

"เจ้าคุณแกยังต้องปรึกษางานกับเจ้าพระยาเดโชอยู่ ถ้ากูต่อยก็เป็นเรื่องดิ"

"แสดงว่ามึงคิด หึหึ"มันถามกลับอย่างรู้ทัน...ถูกอย่างที่มันว่า ถ้าเป็นคนอื่นเข้ามาแบบนี้โดนผมไปแล้วครับ เหมือนไอ้รุ่นพี่ตอนม.ปลายนั่น ถึงผมจะโดนรุมแต่มันก็เจ็บตัวไม่น้อยอยู่...ผมไม่เคยรังเกียจเพศที่สาม แต่ผมไม่ชอบเป็นรายบุคคลไป คนดีๆน่าคบก็มีเยอะ อย่างบางคนที่เข้ามาแบบมีมารยาทผมก็จะปฎิเสธแบบมีมารยาท...แต่ถ้าเข้ามาแบบนี้ส่วนใหญ่จะจบไม่สวยเท่าไหร่


ผมเหลือบไปเห็นเจ้าคุณไพศาลเดินลงมาจากเรือนพร้อมคนตัวสูงที่ผมอยากเจอมาหลายวัน...ตามด้วยผู้มาเยือนอีกคน ผมเลยไม่ได้เดินไปส่งเพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำ กลัวจะระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้...ได้แต่ยืนมองจนแกลงเรือไป

...ไม่เป็นอะไร...พรุ่งนี้ก็ได้เจอกัน...
.

.

.

.
"คุณหลวง ตรงนี้เขียนผิดนะครับ"ผมยื่นกระดาษแผ่นที่ห้าของวันนี้ที่ต้องแก้ไขกลับไปให้คนตัวสูงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ...เจ้าตัวเพียงแต่รับมันมาแล้วแก้ตามที่ผมบอก

"พักหน่อยมั้ยครับ ท่าทางเหนื่อยๆ"ถามออกไปเมื่อเห็นว่าจุดที่ต้องแก้ไม่ใช่คำแปลที่ผิด แต่เป็นตัวอักษรต่างหากที่เขียนผิด ซึ่งไม่ใช่วิสัยของคนทำงานรอบคอบอย่างเขาเลยสักนิด

"ไม่ต้องหรอก จักได้รีบทำให้เสร็จ"เห็นนั่งเงียบทำงานมาตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ก็บ่ายคล้อยแล้ว ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน

"หิวมั้ยครับ...เดี๋ยวผมไปบอกป้าชื่นหาอะไรมาให้กิน"ส่ายหน้าตอบ...วันนี้แปลกๆ แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไร

"ป้าชื่นบอกว่าไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่เหรอครับ"...เงียบ...

"คุณหลวงครับ"

"พ่อธีร์"

"ครับ"

"เราจักทำงาน ไม่มีสมาธิ"...เงียบกว่า...ได้แต่นั่งนิ่งบนเก้าอี้หวายข้างๆมองคนตัวสูงทำงานต่อไป


"ถ้าพ่อธีร์เบื่อจักกลับเรือนก่อนก็ได้ เราจักให้บ่าวไปส่ง"ไอ้อาการมึนตึงแบบนี้มันคืออะไร...นั่งเงียบใส่ผมตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ใกล้เย็นเต็มที...ถามคำตอบคำ...ไม่ถามก็ไม่ตอบ

"คุณหลวงเป็นอะไรครับ"...แถมบางทีถามไปก็ไม่ยอมตอบอีก

"คุณหลวงครับ"

"พรุ่งนี้เราต้องไปเรือนเจ้าพระยาเดโช พ่อจักไปกับเราหรือไม่"อยากรู้เรื่องตอนนี้ แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพรุ่งนี้กันเล่า

"ไม่ไปครับ"ตอบกลับเสียงเรียบจนอีกฝ่ายหันมามอง...นัยน์ตาคมกริบฉายแววอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้

"ไม่ไปหาคนที่พ่อธีร์อยากเจอรึ"หาาาา?...คนที่ผมอยากเจอ...ใครวะ?...มีใครที่ผมอยากเจอมากไปกว่าคนตรงหน้านี่อีกหรือไง

"คุณหลวงพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ"ผมขมวดคิ้วแน่น ถามกลับด้วยความสงสัย

"เห็นเมื่อวานดูสนิทสนมกันดี พรุ่งนี้ไปกับเราก็ได้ หลวงแกคงดีใจที่ได้เจอพ่อ"เริ่มจับต้นชนปลายถูก...แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าไปเอาความคิดนี้มาจากไหน

"คุณหลวงหมายถึง หลวงเจษฎ์เหรอครับ"แต่ก็ยังถามต่อให้แน่ใจ...อีกฝ่ายจ้องหน้านิ่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจตัวหนังสือตรงหน้าต่อ...นี่มันน่าหงุดหงิดยิ่งกว่า

"คุณหลวงกำลังเข้าใจผิดนะครับ...ผมกับหลวงเจษฎ์..."แล้วก็ต้องเงียบลงเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมของอีกฝ่ายที่ตอนนี้แข็งกร้าวดูน่ากลัว...ทำไมถึงมองผมแบบนี้

"เราเข้าใจพ่อธีร์...หลวงแกก็รูปงามนัก ถ้าพ่อจะพึงใจก็มิใช่เรื่องแปลก"น้ำเสียงเรียบเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนใครเอาหินก้อนใหญ่มาฟาดหัวผมอย่างแรง...ทั้งเจ็บ...ทั้งมึน...ทั้งไม่เข้าใจ...ไอ้หลวงน่ารังเกียจคนนั้นน่ะเหรอรูปงาม...เขาใช้อะไรคิด...แล้วใช้อะไรมาตัดสินผมแบบนี้

"แต่จะทำอะไรก็อย่าให้ประเจิดประเจ้อเกินไปล่ะพ่อ ถึงเป็นผู้ชายด้วยกันคนอื่นเขาก็สงสัยเอาได้"และเขาก็กำลังดูถูกผม...ผู้ชายที่ผมไม่เคยคิดว่าจะพูดจาแบบนี้ออกมาได้ กำลังดูถูกผม...เพราะความเข้าใจผิด

"อีกอย่าง หลวงแกก็ออกเรือนแล้ว หากใครรู้เข้ามันจักมิงาม..."คำพูดพรั่งพรูจากคนตรงหน้าไม่ได้ซึมเข้ามาในหัวผมเลยแม้แต่น้อย...เพราะตอนนี้แผลที่ถูกหินก้อนนั้นฟาดเมื่อครู่มันกำลังออกฤทธิ์...เลือดกำลังไหลซึมออกมาไม่หยุด...ผมเจ็บ...เจ็บกับคำพูดของคนตรงหน้าและท่าทีเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกอะไร

"ปึง!"ไวกว่าความคิด มือที่ตบโต๊ะอย่างแรงจนกองเอกสารร่วงกระจัดกระจายลงบนพื้น

"อย่ามาดูถูกผม!"ตวาดเสียงดังลั่น แต่อีกฝ่ายก็ยังคงนิ่ง...ผมเจ็บ...เจ็บที่มือ...เพราะแรงที่ฟาดลงไป...แต่ที่เจ็บกว่า...คือข้างใน

"คุณมีสิทธิ์จะคิดอะไรก็ได้...แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินและพูดจาดูถูกผมแบบนี้"คนๆนี้เป็นใคร...ตัดสินคนอื่นทั้งที่ไม่รู้ความจริง...ทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูด...ผู้ชายอ่อนโยนที่เคยนั่งอยู่ตรงนี้หายไปในพริบตา เหลือเพียงใครบางคนที่ผมไม่รู้จัก...และไม่คิดอยากรู้จักอีกแล้ว

"เราเอง..."เขาลุกขึ้นยืน...มองหน้าผมที่กำลังยืนหอบเพราะอารมณ์ที่ปะทุแรงเมื่่อครู่



"เราเองก็ดูพ่อธีร์ผิดไปเช่นกัน"



ราวกับมีใครเอาไม้มาฟาดซ้ำแผลเดิมอีกรอบ...แล้วก็ปล่อยให้เลือดมันไหลเป็นทางอยู่แบบนั้น...หลวงพิสิษฐเดินออกจากห้องไปแล้ว...และได้นำบางอย่างตามหลังเขาออกไปเช่นกัน...



...ผู้ชายคนแรกที่ผมรัก...ไม่มีตัวตนอยู่จริงบนโลกนี้...ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต...


...................................................................................


กินมาม่ากันหน่อยมั้ยตัวเธอออออ :hao7: :hao7: :hao7:
เมื่อวานไม่ได้ลง คิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย อิอิ :mew1:

ฝากตอนนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ กราบบบบบบ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 11-07-2014 23:46:07
จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก ไปกันใหญ่  :mew5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 12-07-2014 00:06:30
หลวงเจษฎ์แท้ๆฮึย!!!!!!!!
แต่คุณหลวงหึงแรงไปรึเปล่า
ผู้ชายคนแรกที่ธีร์รัก แบบบบบบฮืออออ
มาโยนมาม่าทิ้งไว้ตู้มเลยนะค่าาา

ปล.คิดถึงสิคะ รออ่านฉากหวานๆ
แต่ได้มึนตึงแทนก็ถือเป็นอีกรูปแบบค่ะ55555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 12-07-2014 00:28:14
คุณหลวงไม่ยอมฟังธีร์เลย
อย่ามโนไปเองสิครัช
เหตุผลน่ะมีไว้ฟังนะลุง
ชอบมโนจริง -ตบๆๆ-
ธีร์กลับปัจจุบันไปเลยไป
ให้คุณหลวงนั่งมโนกับงานกองโตๆไปเหอะ
เซ็งเลอ จั๊ดง่าวจริงคุณหลวง
ปล.มาต่อไวๆต่อมดราม่าเพิ่งได้ทำงาน
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-07-2014 00:38:16
 :serius2:



โอ้ยยยยๆๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 12-07-2014 00:50:20
หลวงเจษฎ์ โอ๊ย อะไร มาทำงี้ไม่ได้นะ พ่อธีร์เค้ามีหลวงแก้วอยู่แล้ว ไม่งั้นเค้ามานี่ไม่ได้หรอก เชอะ หลวงเจษฎ์นิสัยไม่ดีมากๆอ่ะ รุ่มร่าม! เคืองอ่ะ
ส่วนหลวงแก้วคะ มองพ่อธีร์ผิดยังไงคะ พ่อธีร์เค้าไม่ได้เล่นด้วยกับหลวงเจษฎ์นะ ตาถั่ว หรือความหึงหวงมันบังตาคะ สงสารพ่อธีร์ หลวงแก้วมัวแต่หึงหวง พ่อธีร์ทำไรไม่ได้เลยต้องระเบิดอารมณ์
ไม่อยากให้มาม่านานเลยอ่า เครียด

รออ่านตอนต่อไปละ555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: knightprince ที่ 12-07-2014 00:58:44
 :a5:  :serius2: :katai1:
อ๊ากกกก คุณหลวงทำไมกระทำเยี่ยงนี้ละเจ้าคะ คำพูดแต่ละคำฟังแล้วเจ็บแทนพ่อธีร์   :sad4:
เพราะไอ้หลวงเจษนั้นแหละ :z6: โอยยย หงุดหงิดๆ คุณหลวงนะคุณหลวง ฟังพ่อธีร์ก่อนก็ไม่ได้  :m16:
อย่างนี้มันต้องโดนทิ้งกันบ้างแหละ แต่ถ้าจะให้ลากพ่อแช่มเรากลับไปด้วยก็สงสาร
กำลังหวานได้ที่กับคุณพิกุล เฮ้ออออ แต่ตอนนี้ ให้พ่อแช่มกลับไปปลอบใจพ่อธีร์กันที่ปัจจุบันก่อนดีกว่า
สงสารพ่อธีร์ งืออออ อาการนี่เรียกได้ว่าสาหัส อยากอ่านต่อแล้วอ่าาาา มาต่อเร็วๆนะคะ  :m15:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: Mississippi ที่ 12-07-2014 09:46:50
โถ่พ่อคุณณณณณ งอนให้มันน้อยๆหน่อย คิดเองเออเอเดี๊ยะๆยุให้พ่อธีร์กลับบ้านซะเลย
ปล คุณพี่เจษเกี้ยได้แบบว่า  :z6:
ว่าแต่ค้างมากกก มาต่อเร็วๆน้าาา :m15:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 12-07-2014 11:51:49
กลับบ้านเลียแผลใจ!
มองแค่ภายนอกก็ว่าสนิทแหละ แล้วทำไมไม่มองแขนบ้างล่ะเจ้าคะว่าสนิทกันขนาดไหน
ปากน่ะเค้ามีไว้ถามไม่ได้ให้พูดในสิ่งที่คิดไปเอง
ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะดีมันเริ่มจะพังก็เพราะคุณหลวง ไม่ต้องโทษใครหรอกเจ้าคะ ต่อให้ใครที่เข้ามาหาธีร์คุณหลวงก็คงคิดอย่างนี้ไปเสียหมด!
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: เฉื่อย ที่ 12-07-2014 11:57:09
พ่อแก้วนี่เป็นจอมคิดมาก คิดเยอะ คิดไปเอง
ขี้หึง ขี้งอน ง๊องแง๊งมากอ่ะ
โป้ง!พ่อแก้วแล้วทำพ่อธีร์เสียใจ! เชอะ!
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-07-2014 16:28:57
ถ้าไม่คุยไม่ถามกันดีๆเมื่อไหร่จะเข้าใจกันเนี่ย
ทำร้ายจิตใจกันจัง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 12-07-2014 20:35:31
ความรักทำให้คุณหลวงร้อนเป็นไฟได้ด้วย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 13-07-2014 09:13:35
อ้าวว หลวงแก้ว กลับมาเคลียให้เรียบร้อยสิ เดี๋ยวธีร์หนีไปไม่กลับมาอีกจะเป็นไง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 13-07-2014 09:26:04
รอร๊อรอๆๆๆครับ o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 13-07-2014 10:21:23
เวรกรรม  :a5:

หึงก็บอกมาสิคุณหลวง  :m16:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๔ [[UP!! Page 3]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 13-07-2014 18:59:59
ตอนที่ ๑๕...คำสารภาพ...


บาดแผลยังไม่หายดี...แม้ปากแผลจะปิดสนิทแล้ว แต่ความเจ็บปวดนั้นยังคงอยู่...และคงเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นที่ยากจะหาย...

ห้าวันแล้วที่ผมเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปทำงานตามเดิม...ผมบอกเจ้าคุณจิตราว่าขอเอางานทั้งหมดมาทำที่นี่แทน ซึ่งแกก็ไม่ได้ห้าม...แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เริ่ม...และก็เป็นห้าวันที่ผมเฝ้าภาวนา ขอให้ได้กลับไปโลกปัจจุบันเสียที...ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว...มันช่างเป็นห้าวันที่ยาวนานเหลือเกิน

"เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่าอ้ายธีร์...ข้าเห็นเอ็งมิค่อยสดใส"เจ้าของเรือนเอ่ยถามขณะกำลังทานข้าวกลางวัน...ไอ้แชมป์หันมามองผมเล็กน้อย

"เห็นเจ้าคุณไพศาลว่าหลวงพิสิษฐเองก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน...มีปัญหาอะไรกันรึ"

"เปล่าครับ"ตอบกลับสั้นๆ เจ้าคุณจิตราได้แต่มองหน้าพลางถอนหายใจ...อาการแปลกๆของผมเกิดขึ้นหลังกลับจากเรือนเจ้าคุณไพศาลเมื่อห้าวันก่อน...ต่อให้เป็นเด็กสามขวบก็คงจะพอเดาได้ แล้วยิ่งอีกคนก็มีอาการไม่ต่างกัน...

"มีอะไรไม่เข้าใจก็พูดกันตรงๆเสีย มิใช่เด็กๆกันแล้ว"ก็เพราะว่าพูดตรงถึงได้เป็นแบบนี้...ตอนนี้ถ้าเลือกได้ ขอไม่พูดอะไรเลยดีกว่า...

"พรุ่งนี้ไปเรือนท่าน...ข้าสั่ง"แต่ดูเหมือนฟ้าฝนไม่เป็นใจ อยากจะหนีแต่ก็ขัดคำสั่งคนที่ให้ที่อยู่ที่กินไม่ได้

"ครับ"ตอบกลับเสียงเบา เหลือบไปเห็นเจ้าคุณเองก็ลอบถอนหายใจยาวเช่นกัน
.

.

.

.
ผมมายืนอยู่ที่ท่าน้ำหน้าเรือนนี้อีกครั้งในรอบหกวัน...เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายความรู้สึกของผมที่มีในตอนนี้...รู้เพียงแค่ว่าผมต้องมาทำงาน...และนี่เป็นคำสั่ง...ถึงจะบ่ายเบี่ยงไม่อยากเจอแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทำให้ผู้ใหญ่เสียงานได้อีกแล้ว...


"พ่อธีร์...มาแต่เช้าเชียวรึ"เจ้าของเรือนกล่าวทักทายเมื่อผมเดินเข้ามาด้านใน...ผมยกมือไหว้เจ้าคุณไพศาลที่กำลังนั่งจิบชายามเช้าอย่างสบายอารมณ์ หากไร้ซึ่งเงาของหลวงคนสนิท

"นั่งก่อนเถิดพ่อ"เจ้าของเรือนผายมือชักชวน ผมจึงนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

"เรามิใช่คนอ้อมค้อมนัก คงต้องถามพ่อธีร์ตรงๆเสียล่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น"คำถามที่ทำเอาผมได้แต่เงียบ...ไม่มีคำตอบให้อีกฝ่าย

"หลวงแกเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทำงานมาสี่ห้าวันแล้ว ถามอะไรก็มิยอมตอบ แลยังว่าจักขอกลับไปทำงานที่กรมแกตามเดิม...บอกเราเถิด หากมีอะไรที่เราช่วยได้จักได้ช่วยกันแก้ เป็นเช่นนี้มันจักเสียงานเสียการไปหมด"

"ผมไม่เป็นไรครับ ส่วนเรื่องงานไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ทำให้เสียแน่นอนครับ"หากแต่เจ้าคุณไพศาลไม่ได้มีท่าทีสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย


...ห้องทำงานห้องเดิมที่ผมเห็นเสียจนชินตา...สถานที่ที่ทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้ง และเฝ้าภาวนาขอให้มีเวลาอยู่ที่นี่นานขึ้นอีกหน่อย...หากตอนนี้ มันกลับกลายเป็นที่เดียว ที่ผมอยากไปให้พ้น

...เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม...แผ่นหลังกว้างนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม จะผิดไปก็ตรงใบหน้าซีดเซียวและดูซูบลงอย่างเห็นได้ชัด...กรอบหน้าคมที่เคยเกลี้ยงเกลาตอนนี้ประปรายด้วยไรหนวดและเครา...แววตาแข็งกระด้างเฉยชา...เขา...ไม่ใช่คนเดิมที่ผมเคยรู้จักอีกแล้ว

...ผมเดินเข้าไปลากเก้าอี้หวายที่เคยตั้งเคียงโต๊ะทำงานออกมาอยู่อีกมุมหนึ่ง...ทิ้งตัวลงนั่งและพยายามตั้งสมาธิให้จดจ่อเพียงแค่ตัวหนังสือตรงหน้า...ความเงียบเข้าปกคลุมก่อเกิดเป็นความอึดอัดในใจ...ทั้งตัวผมเอง และผมแน่ใจว่าอีกคนในห้องนี้ก็เช่นกัน

...เวลาช่างผ่านไปเชื่องช้ายิ่งนักเมื่อเทียบกับตอนปกติ...ผมได้แต่เฝ้ามองดวงอาทิตย์ดวงโตที่สาดแสงจ้าอยู่เบื้องบน หมายให้มันคล้อยต่ำเรี่ยเส้นขอบแม่น้ำเจ้าพระยาเสียที...ผมจะได้ไปจากที่นี่...หากแต่ดวงอาทิตย์คงไม่ฟังคำขอจากคนพลัดถิ่นเช่นผม ถึงได้ลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางฟากฟ้าแผดแสงเจิดจ้ากว่าเคย...

...เวลาหกวันมันทำให้ความโกรธในใจของผมหายไปหมดสิ้น...คงเหลือไว้แต่ความไม่เข้าใจ...และแผลเป็นที่ยังไม่หายสนิทดี...สิ่งที่เขาพูดออกมาวันนั้น มันยังคงก้องอยู่ในความคิดของผมทุกคำ ทุกประโยค ราวกับใครฝังมันเอาไว้แน่นและยากที่จะถอนคืน...คำพูดนั้นมันทำร้ายผมเสียเหลือเกิน...เพราะคนที่พูดมันออกมา...คือคนที่ผมรู้สึกดีมากกว่าใคร...บ่อยครั้งที่อยากถาม...แต่เมื่อนึกถึงคำพูดส่อเสียดเหล่านั้นมันทำให้ผมได้แต่นิ่งเงียบ...ทิฐิในใจมันมีมากกว่า...และผมรู้ว่าตัวเขาเองก็เช่นกัน...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจ...ผมทำอะไรผิด และมันสมควรแล้วหรือไม่ที่ผมต้องถูกประนามเช่นนี้


...ในที่สุดคำขอต่อดวงอาทิตย์ก็เป็นผลเมื่อมันลอยคล้อยต่ำสาดแสงทองอยู่เหนือแม่น้ำเจ้าพระยาเพียงแค่เอื้อม...ผมกล่าวลาเจ้าคุณไพศาลเพื่อขอตัวกลับเรือน...เขายังคงอยู่ในห้องทำงานเมื่อผมเดินออกมาโดยไม่มีการกล่าวลาใดๆต่อกัน...เจ้าคุณเองก็เพียงแค่ยิ้มอ่อนโยนพลางยกมือขึ้นตบบ่าของผมเบาๆราวกับจะปลอบโยน
.

.

.
"ทำงานอยู่รึพ่อ"เสียงหวานเอ่ยขึ้น คงเพราะเห็นผมนั่งเหม่ออยู่ที่ศาลาไม้สักข้างเรือนเหมือนเคย...บนโต๊ะมีกองเอกสารและหนังสือภาษาอังกฤษวางระเกะระกะ หากแต่ผมยังไม่ได้แตะมันสักนิด

"คุณพิกุล"เรียกชื่อลูกสาวเจ้าของเรือนที่ยืนยิ้มปรายอยู่ก่อนจะเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้าม

"เห็นพ่อแชมป์ว่า ช่วงนี้พ่อมิค่อยสบายใจนัก"สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ ตอนนี้เธอเรียกชื่อไอ้แชมป์ได้ถูกต้องอย่างที่มันต้องการแล้ว

"ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ"คำโกหกคำโตที่ส่งออกไป แม้แต่ใครก็คงดูออก

"พ่อธีร์ แม้เรากับพ่อจักมิได้คุยกันมากนัก แต่เราก็เห็นพ่อเหมือนญาติเราคนหนึ่ง เราเห็นพ่อธีร์มิสบายใจก็พลอยเป็นห่วง คุณแม่ท่านก็ถามถึง พ่อธีร์จักให้ผู้ใหญ่ท่านเป็นห่วงเยี่ยงนี้รึ"ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งตอกย้ำว่าผมทำให้ทุกคนที่นี่ไม่สบายใจแค่ไหน ทั้งๆที่ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับที่นี่เลย...หากแต่สิ่งที่มันอยู่ข้างใน มันคือสิ่งที่ผมไม่สามารถพูดกับใครได้

"เห็นพ่อแชมป์ว่า พ่อธีร์มีปัญหากับหลวงแก้ว"ผมขอยกเว้นไอ้แชมป์ไว้คน เพราะมันต้องดูออกแน่อยู่แล้ว...แต่ทำไมต้องเอาไปบอกคุณพิกุลด้วยวะเนี่ย

"มีอะไรเล่าให้เราฟังได้หรือไม่...เรารู้จักหลวงแก้วตั้งแต่ยังเล็ก ได้ฟังที่คุณพ่อและเจ้าคุณไพศาลเล่าแล้วก็แปลกใจนัก"อย่าว่าแต่คุณพิกุล แม้แต่ผมเองยังแปลกใจ...แปลกใจที่ตัวเองโดนด่าเสียเละเทะขนาดนี้

"จักหาว่าเราสอดมิเข้าเรื่่องก็สุดแท้แต่พ่อ แต่เราก็เป็นห่วงงานของคุณพ่อเช่นกัน ช่วงนี้งานท่านมากนักแลยังมีปัญหาเยี่ยงนี้ เราเองก็พลอยไม่สบายใจ"คุณพิกุลเป็นคนดีนัก และผมก็เชื่อว่าคนที่เธอเป็นห่วงคงไม่ได้มีเพียงเจ้าคุณกับคุณหญิงสร้อย แต่ยังรวมไปถึงไอ้เพื่อนตัวดีของผมที่ทำท่าอยากถามไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ได้แต่ปิดปากเงียบเมื่อเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของผม

"ผมเข้าใจคุณพิกุลครับแต่มันไม่มีอะไรจริงๆ"ผมมองหน้าคนตัวเล็กที่แสดงท่าทีเป็นกังวลเห็นได้ชัด

"คุณหลวงแค่เข้าใจผมผิดนิดหน่อย"ไอ้คำว่านิดหน่อยผมเติมให้มันดูไม่ร้ายแรงเธอจะได้ไม่เป็นห่วง

"นิดหน่อยรึ"แต่ดูเหมือนเธอจะดูออกเสียนี่

"พ่อธีร์ เราโตมากับหลวงแก้ว ย่อมรู้จักหลวงเธอดี...แม้หลวงเธอจักมิใช่ผู้ชายเจ้าสำราญ ชอบเที่ยวเตร็ดเตร่ แต่ก็มิเคยเก็บเนื้อเก็บตัวเยี่ยงนี้มาก่อน เห็นทีปัญหาที่พ่อว่าจักมิใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้วกระมัง"ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากอีกฝ่าย...สำหรับผมมันคงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงได้ดูใหญ่โตนักสำหรับเขา

"มีปัญหาอะไรก็ให้พูดจากันเสียมิดีหรือพ่อ บึ้งตึงใส่กันเยี่ยงนี้ เรามิเห็นใครจักได้ประโยชน์"เธอเงียบไปสักพักก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนตัวเล็ก หากแต่เธอพยายามกลั้นไว้ด้วยการยกมือขึ้นมาปิดแต่พองาม

"มีอะไรเหรอครับคุณพิกุล"เจ้าของชื่อหันมามองหน้า ใบหน้ายิ้มหวานระเรื่่อ

"ก็ถ้าหากพ่อธีร์เป็นหญิงเราคงอดคิดเสียไม่ได้ว่าเป็นเรื่องพ่อแง่แม่งอนกระมัง"คำพูดที่ทำให้ผมนิ่งสนิท...พ่อแง่แม่งอนงั้นเหรอ...ใบหน้าหวานฉ่ำของคุณพิกุลยังเจือรอยยิ้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะปลีกตัวขึ้นเรือนไป...ทิ้งให้ผมสงสัยกับคำพูดของเธอไม่หาย
.

.

.

.
เป็นอีกวันที่ผมต้องมาที่นี่...หากแต่วันนี้พระยาเจ้าของเรือนไม่อยู่ คงเหลือเพียงคุณหลวงคนสนิทที่ออกมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาริมน้ำ...แม้รับรู้ได้ถึงการมาถึงแต่ก็ไม่มีแม้เสียงทักทาย

...ผมเดินตรงลิ่วไปยังห้องทำงานตามปกติ...ไม่ช้าร่างสูงโปร่งของอีกฝ่ายก็เดินตามมา และทุกอย่างก็ยังคงเป็นเช่นเดิม...ความเงียบและความอึดอัดลอยวนเวียนอยู่ในห้อง...ทิฐิที่สูงลิ่วของคนสองคนมันทำให้ผมอยากระเบิดอารมณ์ออกมาอีกครั้ง หากแต่ยั้งตัวเองไว้ได้เพราะรู้ตัวดีว่าการทำอะไรด้วยความขาดสติเป็นเรื่องสิ้นคิดเพียงใด...และผมก็ได้เห็นมาแล้วจากเหตุการณ์วันนั้น...
ผมสูดหายใจลึก...พลางไล่ทิฐิที่มีในใจ...แม้คำพูดเสียดสีเหล่านั้นยังคงอยู่ แต่ผมไม่สามารถปล่อยให้ทุกอย่างยืดเยื้อได้อีกแล้ว...หากยังต้องทำงานร่วมกันในบรรยากาศเช่นนี้ต่อไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งผมคงได้ระเบิดมันออกมาหนักกว่าเก่า...ผมเดินไปหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม...คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยเล็กน้อย คงเพราะไม่คิดว่าผมอยากจะเข้าใกล้เขาอีกครั้งหลังจากปะทะคารมกันไปในวันนั้น...ใบหน้าคมดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้มองในระยะใกล้เช่นนี้

"เขียนเสร็จรึยังครับ จะได้เอาไปตรวจ"ว่าพลางยื่นมือออกไปตรงหน้า...พยายามข่มแววตาตัวเองให้เป็นปกติเมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาคมของอีกฝ่าย...เขาเพียงพยักหน้าเบาๆก่อนจะยื่นปึกเอกสารหลายแผ่นมาให้...ผมรับมันมาแล้วนั่งไล่ดูบนเก้าอี้หวายตัวเดิมที่ถูกลากไปวางอยู่อีกมุม แต่ยังลอบมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายเป็นระยะ

"ผมรู้ว่าคุณหลวงอึดอัดที่ต้องทำงานกับผม...อดทนหน่อยนะครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว"ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนตอนที่พูด แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเมื่ออีกฝ่ายยังคงนั่งหันหลังให้เช่นเคย

"เรามิเคยพูดว่าอึดอัด"ประโยคแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ช่างสั้นนัก...และยังราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

"การกระทำมันแสดงออกชัดเจนกว่าคำพูดนะครับ"สิ้นเสียง อีกฝ่ายชำเลืองมองเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

"ถ้าเช่นนั้นพ่อก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน"เขาพูดถูก...ผมอึดอัด...แต่คนละความหมายกับเขา...ผมอึดอัดเพราะผมมีความรู้สึก...อึดอัดที่ถูกเมิน...อึดอัดที่ถูกคำพูดเสียดสีนั้นว่าร้าย...แต่เขาคงจะอึดอัดที่ต้องทำงานร่วมกับคนที่เขาดูถูกไว้เสียเต็มที่


...ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ปล่อยความเงียบให้ปกคลุมอีกครั้ง...ผมคิดว่าผมทำดีที่สุดแล้ว...


คนตัวสูงเพียงลุกขึ้นยืนเดินตรงไปทางประตู แต่ก็ยังหยุดปรายตามองที่ผมเพียงครู่
"จักไปบอกแม่ชื่นให้ทำกับข้าว อยากกินอะไรหรือไม่"ผมส่ายหน้าตอบ อีกฝ่ายจึงเดินออกจากห้องไป


...ผมนั่งตรวจทานงานเขียนของอีกฝ่ายก่อนจะเดินกลับมาวางมันไว้ที่โต๊ะตามเดิม...เวลาห้าวันที่เขาเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานหากแต่จำนวนงานไม่ได้มากอย่างที่คิดไว้...แล้วยังมีจุดให้แก้ไขอีกหลายจุด จนผมเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นอะไรกันแน่...แม้แต่คำพูดเสียดแทงอารมณ์ในวันนั้น จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ...ทำไมต้องโกรธ...ผมทำอะไรผิด...

...มือที่ไม่ทันระวังปัดเข้ากับกระดาษปึกหนาบนโต๊ะจนร่วงกระจัดกระจายไม่เป็นท่า...ผมรีบก้มลงเก็บพลางยกมือขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด

"โว้ย ต้องมานั่งเรียงหน้าใหม่อีก"เอกสารที่กองเรียงกันเรียบร้อยแต่ตอนนี้กลับลงไปเกลื่อนอยู่บนพื้น...โชคดีที่หลวงพิสิษฐเขียนหน้ากำกับไว้เลยช่วยให้จัดเรียงได้ง่ายขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องมานั่งก้มๆเงยๆอยู่แบบนี้...

...เอกสารแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกจัดเรียงอยู่ในมือ...ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับกระดาษอีกแผ่นที่ไม่ได้เขียนหน้ากำกับเอาไว้...และตัวหนังสือในนั้นยังเป็นข้อความเพียงสั้นๆ ต่างจากกระดาษแผ่นอื่น...

...ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา...ไล่อ่านตัวอักษรทีละตัว...ลายมือบนกระดาษแผ่นนั้นเป็นลายมือเดียวกับเอกสารอื่นไม่ผิดเพี้ยน...เพียงข้อความบนนั้นที่แตกต่าง...มือที่จับอยู่เริ่มสั่น...และสิ่งที่ได้ยินชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด...คือเสียงหัวใจของตัวเอง...



"หากแม้นสายนทีย้อนกลับได้
พี่จะโอบเจ้าไว้แนบอกพี่
ดวงเนตรฉ่ำโอษฐ์เอื้อนเอ่ยถ้อยพาที
จะมิมีวาสนาอีกหรือไร
ยามเจ้าห่างหายไปปวดใจนัก
ดั่งของรักที่ใฝ่ปองพลันสูญหาย
หากเจ้าหวนคืนมาอีกคราใด
พี่จะไม่ปล่อยเจ้าห่างไปไกลตา
พี่มิอาจเอ่ยความตามใจคิด
ด้วยพินิจไตร่ตรองเป็นหนักหนา
แม้นใฝ่ปองเคียงคู่ยอดชีวา
ด้วยเกรงว่าเจ้าจะตัดซึ่งไมตรี"

...๒๑ กรกฎาคม...
[/size]



ถ้อยคำเรียงร้อยที่ได้อ่านยังคงวนเวียนอยู่...มือที่ถือมันอยู่ยังคงสั่นเทา...และสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ไหลมาอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว...น้ำตากำลังไหลริน...ผมกำลังร้องไห้...น้้ำตาที่ไม่เคยมีใครได้เห็นอีกเลยนับแต่ตอนที่เสียพ่อกับแม่คราวนั้น...มันกลับมาทำให้ผมรู้ตัวอีกครั้ง ว่าผมยังมีความรู้สึก...แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกของการสูญเสีย...มันเป็นความรู้สึกราวกับความหนักหน่วงที่อยู่ในใจตั้งแต่แรกเริ่ม ตอนนี้มันกลับปลิวหายไปหมด...


...วันที่ที่ลงท้าย คือช่วงเวลาที่ผมหายไป...เขาเขียนมันขึ้นมาตอนที่ผมไม่อยู่...


...เสียงบานประตูที่เปิดออกทำให้ผมละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้าที่ผมไล่อ่านวนเวียนไม่รู้กี่ครั้ง...เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางขมวดคิ้วมองเอกสารที่ปลิวเกลื่อน...และตัวผมที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้น...มือยังคงสั่น...และน้ำตายังคงไม่แห้งเหือดไป...คนตัวสูงสาวเท้ายาวเข้าหาด้วยความสงสัยในภาพที่เห็นตรงหน้า หากแต่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสิ่งที่ผมถืออยู่...เขาขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะยื่นมือมาดึงกระดาษแผ่นนั้นออกจากมือของผม...กำลังจะหันหลังกลับหากแต่มือของผมคว้ามือใหญ่ของเขาไว้ได้ทัน...

"ทำไม..."พยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลอยู่ คำพูดเลยขาดหายเพียงแค่นั้น

"ทำไมไม่เคยพูด"มือของผมที่บีบอยู่นั้นมันสั่นเสียจนผมเองยังตกใจ...เขาเพียงถอนหายใจยาวแต่ไม่ยอมหันกลับมามอง

"เกรงว่าพ่อจักรังเกียจ"คำตอบเพียงสั้นๆ...รังเกียจงั้นหรือ...ผมเคยแสดงท่าทีแบบนั้นให้เขาเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

"แล้วเคยถามมั้ย ว่าผมรังเกียจรึเปล่า"ทิฐิและความอึดอัดที่เคยมีลอยหายไปแล้ว...เหลือเพียงตัวผมที่นั่งนิ่งอยู่กับพื้นและคนตัวสูงที่ยืนหันหลังให้ เพียงแค่มือของผมเท่านั้นที่ยังบีบมือใหญ่ของอีกฝ่ายแน่นไม่ยอมปล่อย

"ทำไมไม่ถาม!"ตวาดเสียงดังพร้อมน้ำตาที่ไหลรินลงมาอีกครั้ง เสียงสะอื้นเหมือนเด็กน้อยมันช่างน่าอาย...ผมกำลังร้องไห้ โดยหาคำตอบกับตัวเองไม่ได้เลยว่าเพราะอะไร

...ใบหน้าคมเข้มนั้นหันมา...และโดยไม่ทันตั้งตัวร่างสูงของคนตรงหน้าก็โผลงมากอดผมเอาไว้แน่น...ตัวผมสั่น...เขาเองก็เช่นกัน...อ้อมแขนนั้นกระชับแน่นราวกลับกลัวว่าผมจะหายไปเสียต่อหน้า...

"เราขอโทษ อย่าร้องเลยนะพ่อ"ราวกับคำสั่งที่ทำให้น้ำตายิ่งไหลออกมาไม่หยุด...เสียงสะอื้นนั้นยิ่งทำให้วงแขนของคนตรงหน้ากระชับแน่นขึ้นอีก

"พ่อจักโกรธหรือเกลียดเราก็ยอม แต่อย่าร้องไห้แบบนี้ เราขอโทษ พ่อธีร์ เราขอโทษ"น้ำเสียงนุ่มสั่นเครือเอ่ยเบาข้างหู...มือที่คลายอ้อมกอดออกเอื้อมมาเกลี่ยหยาดน้ำใสที่ข้างแก้มเพียงแผ่วเบา

"ผมโกรธ..."เพียงคำพูดสั้นๆที่ทำอีกฝ่ายชะงักมือ ใบหน้าคมเข้มเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

"โกรธที่คุณหลวงไม่เคยถาม...โกรธที่คุณหลวงไม่เคยพูด...โกรธที่ทำให้ผมคิดว่าผมคิดไปเองคนเดียว แล้วผมก็โกรธ...ที่คุณหลวงดูถูกผม...หาว่าผมมีอะไรกับไอ้หลวงหื่นกามนั่น"คำพูดทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ข้างในตลอดเวลาเจ็ดวันพรั่งพรูออกมาไม่หยุด...เสียงที่ดังกว่าปกติสั่นเครือปนกับเสียงสะอื้น...น้ำตาที่คิดว่าหยุดไปแล้วกลับไหลลงมาอีกครั้ง...ก่อนที่อีกฝ่ายจะดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่น หากแต่คราวนี้ผมเอื้อมมือออกไปโอบรอบแผ่นหลังกว้างนั้นกลับเช่นกัน

"เราขอโทษ หยุดร้องเถิดพ่อ"ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับเพียงแค่กระชับวงแขนให้แน่นขึ้นกว่าเดิม...ในที่สุดผมก็ได้รู้ความรู้สึกของคนตรงหน้า...ความรู้สึกที่มันเหมือนกันกับผม...ความรู้สึกที่ทำให้ผมไม่อยากแม้แต่จะปล่อยมืออออกจากวงแขนนี้อีกเลย...แม้ผมจะไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรก็ตาม

"เราเกรงว่าพ่อจักรังเกียจ...พ่อเป็นชาย เราก็เช่นกัน...เราพยายามหักใจ แต่ทุกครั้งที่เราได้อยู่ใกล้พ่อเรามีความสุขเหลือเกิน"วงแขนแกร่งยังตระกองกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย...น้ำเสียงนุ่มเอ่ยความรู้สึกที่มีให้ผมได้ฟังโดยที่ผมทำได้เพียงซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้างเท่านั้น

"ที่พ่อมิพอใจเรื่องแม่พิกุล เรามิกล้าคิดเข้าข้างตัวเอง เราเพียงแต่คิด หากพ่อมีใจให้แม่พิกุลจริงเราจักยินดีด้วย แม่พิกุลเองก็งามพร้อมแลพ่อเองก็เป็นชายจักพึงใจแม่พิกุลก็มิใช่เรื่องผิด"

"หากแต่เรื่องหลวงเจษฎ์ทำให้เราขาดสติยิ่งนัก ยิ่งได้เห็นพ่อกับหลวงเจษฎ์ที่เรือนวันนั้น แลเรื่องที่เรารู้มาเกี่ยวกับหลวงแก เรายิ่งโกรธ"ผมได้แต่เงียบฟังสิ่งที่เขาระบายออกมาไม่หยุดหย่อน...เสียงสะอื้นและน้ำตาแห้งเหือดไปแล้ว คงเหลือเพียงอ้อมแขนอุ่นที่ยังไม่ยอมปล่อยไปไหน

"เราเข้าใจว่าพ่อเองก็พึงใจหลวงเจษฎ์จึงยอมให้แกเข้าใกล้ เราโกรธที่คนๆนั้นไม่ใช่เรา"

"อย่าร้องเลยนะพ่อ เรามิอยากเห็นพ่อร้องไห้ หากพ่ออยู่กับเราแล้วต้องเป็นแบบนี้ เรา..."คำพูดสุดท้ายถูกหยุดไว้ด้วยนิ้วเรียวของผมที่แตะเพียงแผ่วเบาบนริมฝีปากหยักได้รูปนั้น

"ผมไม่อยากฟังแล้ว"คนตัวสูงเพียงยกมือขึ้นกุมมือของผมเอาไว้แน่น ผมจ้องกลับไปที่นัยน์ตาคมที่เคยนิ่งสนิทแต่บัดนี้กลับฉายแววไม่มั่นใจ

"ทำไมคุณหลวงชอบคิดไปเองครับ ตั้งแต่เรื่องคุณพิกุล เรื่องไอ้หลวงหื่นกามนั่น คุณหลวงไม่คิดจะถามผมเลยเหรอครับ"ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมโกรธ...โกรธคนตรงหน้าที่ทำเรื่องง่ายๆให้มันวุ่นวายขนาดนี้...เขาไม่ตอบอะไรเพียงส่งสายตาเจือแววเสียใจมาให้...มือใหญ่นั้นยังคงกุมมือผมเอาไว้แน่น

"แล้วผมก็ไม่เคยพูดว่าผมไม่อยากอยู่กับคุณหลวง เลิกคิดไปเองได้แล้วนะครับ"ผมยกมืออีกข้างประคองใบหน้าคมเข้มนั้นเพียงแผ่วเบาขณะที่อีกฝ่ายทาบทับมือใหญ่ของเขาลงมาเช่นกัน...เพียงชั่วครู่ที่เวลาเหมือนหยุดนิ่ง...ความเงียบก่อตัวอีกครั้งหากมีเพียงแววตาสองดวงที่สบกันไม่ไหวติง ราวกับต้องการจะสื่อความรู้สึกทั้งหมดนั้นออกมา...ริมฝีปากหยักได้รูปบรรจงจูบลงบนหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบาทว่าความอบอุ่นนั้นแทรกลึกไปถึงกลางหัวใจ...หลวงพิสิษฐคนเดิมกลับมาแล้ว...


...ผู้ชายคนแรกที่ผมรักกลับมาอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง...และผมขอมีเพียงคนๆนี้ไม่ว่าทั้งในปัจจุบันหรืออนาคต...
.

.

.

.
กว่าจะรู้ตัว ดวงอาทิตย์ดวงโตก็ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว...ภายนอกปกคลุมด้วยความมืดมิด แว่วเพียงเสียงลมโชยแผ่วเบา...เก้าอี้หวายตัวเดิมถูกลากกลับมาวางอยู่เคียงโต๊ะทำงาน...เช่นเดียวกับตัวผม...วันนี้เสียเวลาทำงานไปนาน เลยต้องอยู่ยาวจนดึกดื่น...ผมไล่สายตาตามตัวอักษรบนกระดาษในมือ หากแต่รู้สึกได้ถึงสายตาคมของอีกฝ่ายที่มองอยู่นาน

"มองอะไรครับ"ละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้าก็สบเข้ากับดวงตาสวยคู่นั้นทันที...รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าคมเข้ม...รอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมาเสียนาน

"มองพ่อธีร์"ความรู้สึกร้อนวูบจนต้องหลบสายตามาอ่านข้อความในกระดาษต่อ

"ได้ทีเอาใหญ่นะครับคุณหลวง"ได้แต่ตอบกลับด้วยเสียงอ้อมแอ้ม

"ก็เราไม่ได้มองเสียนาน ขอมองหน่อยมิได้รึ"คำตอบที่ทำให้ผมก้มหน้าลงจนเกือบชิดแผ่นกระดาษในมือ...แว่วเสียงหัวเราะของคนตัวสูงเบาๆ

"ก้มหน้าเสียใกล้ จักอ่านรู้เรื่องหรือพ่อ"ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุ...ยอมเอากระดาษบางๆนี่บังหน้าเสียดีกว่าให้สู้สายตาคมกริบนั่น...มือใหญ่เอื้อมมาดึงแผ่นกระดาษตรงหน้าออก เผยให้เห็นรอยยิ้มโปรยของคนตัวสูงอีกครั้ง

"ดึกแล้ว ไว้วันพรุ่งค่อยทำต่อ"ว่าพลางวางแผ่นกระดาษลงบนโต๊ะ...แม้แต่อีกฝ่ายเองก็วางปากกาขนนกลงเช่นกัน


...เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเจ้าคุณไพศาลที่เปิดเข้ามา...แกเพิ่งกลับมาถึงเรือนและดูประหลาดใจที่ผมยังนั่งอยู่ในห้อง

"อ้าว พ่อธีร์ ดึกมากแล้วยังมิกลับรึ"ผมเองก็ไม่รู้ว่าดึกมากที่เจ้าคุณว่ามันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว

"กำลังจะกลับแล้วครับ"เจ้าคุณไพศาลขมวดคิ้วมุ่น สีหน้ากังวลเล็กน้อย

"เห็นทีจักไม่ได้เสียล่ะ ดึกป่านนี้บ่าวไพร่มันเข้านอนกันหมดแล้ว ค่อยกลับวันพรุ่งเถิดพ่อ"คำตอบของเจ้าของเรือนที่ทำเอาผมเบิกตากว้าง แต่คนตัวสูงข้างๆเพียงแค่กลั้นหัวเราะเบาๆ

"คืนนี้ก็นอนเสียที่นี่ ห้องรับรองแขกที่เรือนเราก็มี"

"จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจ"ไม่ได้เกรงใจแต่ตกใจต่างหาก...ตั้งแต่ทำงานที่เรือนนี้มายังไม่เคยต้องนอนค้างอ้างแรมแม้แต่ครั้งเดียว...แล้วทำไมมันจะต้องเป็นวันนี้ครับ

"เกรงใจอะไรกันเล่า หากเราปล่อยพ่อกลับเสียตอนนี้เห็นทีได้ถูกเจ้าคุณจิตราค่อนขอดเป็นแน่ ให้คนของเขาทำงานเสียดึกดื่น"เจ้าของเรือนยังยืนกรานคำเดิม ผมเลยได้แต่เงียบไม่รู้จะเถียงอะไร

"ประเดี๋ยวให้หลวงแกพาไปที่ห้องรับรองแขกนะพ่อ"พยักหน้ารับแบบไม่ค่อยสมยอมเท่าไหร่...ส่วนคนถูกอ้างถึงเอาแต่นั่งอมยิ้มไม่พูดอะไร

"เจ้าคุณจะนอนแล้วเหรอครับ"เห็นเจ้าคุณไพศาลกำลังเอื้อมมือปิดประตูเลยทักขึ้น

"กำลังจักขึ้นเรือน เห็นไฟสว่างอยู่นึกว่าหลวงแกลืมดับ"พูดจบก็ยิ้มอ่อนโยนเช่นเคยก่อนจะปิดประตูห้องทำงานลง...แว่วเสียงหัวเราะของบางคนอยู่ใกล้ๆ

"ขำอะไรครับ"ยิ้มหวานโปรยแต่ไม่ได้มองหน้าทำเอาผมสงสัย

"ไม่มีอะไร...ไปเถิดพ่อ"ว่าพลางลุกขึ้นเดินนำออกจากห้อง...เอาเถอะ อย่างน้อยก็นอนห้องรับรองแขก...ไม่ได้นอนห้องเดียวกันเสียหน่อย...แล้วนี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่ครับ?...


เดินขึ้นมาบนชั้นสองเห็นประตูห้องหลายบาน เลยชักไม่แน่ใจว่าเจ้าคุณแกมีห้องรับรองแขกกี่ห้องกันแน่...คนตัวสูงเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนจะเปิดออกแล้วเดินนำเข้าไป...แล้วนี่เขาจะเข้าไปทำไมล่ะครับ

"นี่ห้องรับรองแขกแน่เหรอครับ ทำไมกว้างจัง"แม้จะมืดแต่ก็ยังพอเห็นได้รางๆว่าห้องนี้กว้างขวางเกินกว่าจะเป็นห้องรับรองแขกธรรมดา

"มิใช่หรอก...ห้องเราเอง"หาาาาา?

"คุณหลวง"กำลังตกใจอยู่เลยเรียกออกไปได้แค่นั้น...อีกฝ่ายหันกลับมายิ้มโปรยให้เช่นเคย...แล้วมันใช่เวลาไหมเล่า

"พ่อธีร์อยากนอนที่ห้องรับรองแขกรึ"น้ำเสียงยียวนถามขึ้น...ความจริงก็ไม่อยาก...ไมใช่!...คือผมยังไม่พร้อมเอ๊ย!...พอๆ คิดไปไหนแล้วครับไอ้ธีร์

"นอนเสียที่นี่ล่ะ เรามิทำอะไรพ่อหรอก"ถึงจะพูดแบบนั้นมันก็ห้ามหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนี่ไม่ได้...เจ้าของห้องเอื้อมมือไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง...ดวงไฟสีส้มเผยให้เห็นสภาพห้องที่ถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย...เตียงสี่เสาขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องถูกคลุมทับด้วยผ้าแพรมันวับสีน้ำเงิน...ฝั่งผนังห้องก็เต็มไปด้วยชั้นหนังสือหลายชั้นและหนังสือที่อัดแน่นอยู่เต็ม...แต่ที่ทำให้ผมตกใจจนต้องเบิกตาโพลงกลับเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหลังเจ้าของห้องในตอนนี้ต่างหาก...



"คุณหลวงครับ...โต๊ะนั่น!"

.......................................................................


จุดพลุให้น้องธีร์หน่อยคร๊าาาา  :mc4:
พี่แก้วเขาหึงโหดนะขอบอก ลูกชายต้องระวังตัวดีๆละ หึหึ
ว่าจะแกล้งให้งอนกันนานๆ สงสารนังน้องธีร์นั่งเป็นหมาหงอยเลย  :hao7:

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-07-2014 19:21:27
เย้ ดีกันแล้ว
และแล้วพ่อธีร์ก็เจอ item ชิ้นที่สอง (ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าโต๊ะนั่นอยู่ที่บ้านเจ้าคุณจิตราซะอีก)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: Mississippi ที่ 13-07-2014 20:33:51
เอริ้ววว ค้างงงงงงงงงงงงง :katai5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 13-07-2014 20:39:23
โต๊ะ? โต๊ะนั่นทำไมรึพ่อ?
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 13-07-2014 20:47:59
ดีกันแล้ว ๆ  :impress2:


กลอนเพราะมาก ชอบมาก  o13

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 13-07-2014 20:57:46
 :sad4: ค้างจร้าาาาาาาาา โต๊ะนี้เป็นคู่แฝดกันใช่ม้ายยยยย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 13-07-2014 21:53:14
พ่อธีร์ลืมน้านิดเลยนะพ่อ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 13-07-2014 21:54:13
คืออ่านมาถึงกลอนละแบบ โอ๊ย กัดปากจนกลัวปากแตกเลยค่า ฮือ ในที่สุดก็เข้าใจกันแล้ว รู้ใจกันแล้วว่าใจตรงกัน โอ๊ย กรี๊ดค่า อุปสรรคต่อไปคงเป็นหลวงเจษฎ์และการเดินทางผ่านกาลเวลานี่ล่ะ เดาว่าต้องมีมาม่ามาเป็นระยะ แต่ชอบนะคะ มาม่านิดๆกำลังดี ไม่นานด้วย ช่วยสร้างสีสันให้รักกันมากขึ้น เหมือนที่ว่าทะเลาะกันทุกวันลูกจะดก(เกี่ยว?)

หลวงแก้วววว ดูเจ้าเล่ห์ ขี้กวนในคราบบุคลิกที่ดูอบอุ่น โอ๊ยจะกรี๊ด จริงๆทั้งตอนตัดพ้อ ตอนหึง ตอนยิ้มหวาน ส่งสายตา ชอบหมดเลยค่า แล้วนี่แบบอะไรคะ หลอกให้ทำงานดึกละพานอนห้องตัวเองแหงๆ ไม่งั้นต้องมีห่วง ให้กลับบ้านก่อนอยู่แล้ว แผนสูง โอ๊ย ไม่ทำอะไร แต่แค่นี้พ่อธีร์ก็ใจเต้นตึกตักแล้วมั้ย   โต๊ะนั่น มันยังไงนะ โต๊ะจะย้ายไปหาที่ทับกระดาษ หรือที่ทับกระดาษจะย้ายมาหาโต๊ะ แต่ว่า...กว่าที่หลวงแก้วจะสลักชื่อ "ชลนธีร์" ลงบนที่ทับกระดาษ พ่อธีร์คงกลับยุคปัจจุบันไปแล้ว ตอนนี้เริ่มคิดว่ามาม่าแค่ไหนก็ได้ แต่ขอจบแฮปปี้นะคะ ซึ่งจริงๆยังหาหนทางให้แฮปปี้ไม่เจอแฮะ เง้อ

รออ่านต่อนะคะ อย่างจะเร่งให้เขียนเร็วๆแต่ก็เกรงใจ แฮ่ๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 13-07-2014 23:13:17
จิตใจตรงกัน ผูกรักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกใหม่ อิอิ น่ารักซะ หวานๆ  :o8:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 14-07-2014 00:07:11
อ่านกลอนตามพ่อธีร์แล้วใจเต้นตุบตับ
เป็นตอนที่สมการรอคอยค่ะทุกอารมณ์มากๆ
แล้วตอนนี้ก็เจอโต๊ะแล้ว ที่มาเลยนะนั่น

ปล.เราแอบสงสัยค่ะว่า สองคนนี้เค้าก็ต้องผูกพันมาตั้งแต่อดีต
เพราะตอนแรกๆที่ธีร์ได้ยินเสียงแปลกๆคือธีร์ยังไม่เคยย้อนอดีต
แต่ทำไมมันเหมือนสองคนนี้มาสปาร์คกันเพราะธีร์ข้ามเวลามาคะ?
แหะๆ เราแค่อยากรู้ว่าคุณหลวงเค้าเคยไปเจอธีร์มาก่อน
หรือว่าเคยรักกันมาก่อนรึเปล่าน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-07-2014 00:20:56
 :เฮ้อ:


เห้อออออ สักทีน่ะ !! คนอ่านก็เครียดตามมาหลายตอน !! ฟริ้วว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 14-07-2014 02:41:21
เอ๊ะๆๆ โต๊ะไหน ใช่โต๊ะที่ทำงานของอาผู้ชายหรือเปล่า แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไม่ธีร์ไม่โผล่มาที่นี่อ่ะ ทำไมถึงไปโผล่อีกเรือนกัน หรือว่าที่ทับกระดาษนั่นคือจุดเชื่อมโยง แต่ว่าที่ทับนั่นก็ไม่ใช่ของคุณหลวงอีกล่ะ
เดาว่าโต๊ะที่อยู่ในห้องคงไม่เกี่ยวอะไรหรอก...มั้ง ก็ทุกอย่างมันชี้ตรงจุดว่าโต๊ะของอาผู้ชายเป็นโต๊ะของทางเรือนคุณพิกุลนี่นา ((สับสันอ่ะ))
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 14-07-2014 03:16:18
อ่านกลอนตามพ่อธีร์แล้วใจเต้นตุบตับ
เป็นตอนที่สมการรอคอยค่ะทุกอารมณ์มากๆ
แล้วตอนนี้ก็เจอโต๊ะแล้ว ที่มาเลยนะนั่น

ปล.เราแอบสงสัยค่ะว่า สองคนนี้เค้าก็ต้องผูกพันมาตั้งแต่อดีต
เพราะตอนแรกๆที่ธีร์ได้ยินเสียงแปลกๆคือธีร์ยังไม่เคยย้อนอดีต
แต่ทำไมมันเหมือนสองคนนี้มาสปาร์คกันเพราะธีร์ข้ามเวลามาคะ?
แหะๆ เราแค่อยากรู้ว่าคุณหลวงเค้าเคยไปเจอธีร์มาก่อน
หรือว่าเคยรักกันมาก่อนรึเปล่าน่ะค่ะ


อันนี้จะมีบอกในตอนต่อๆไปนะค้า ติดตามนะ :mew1: :mew1: :mew1:
แต่บางทีอาจจะเป็นเรื่องของพรหมลิขิตก็ได้น้า อิอิ


เอ๊ะๆๆ โต๊ะไหน ใช่โต๊ะที่ทำงานของอาผู้ชายหรือเปล่า แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไม่ธีร์ไม่โผล่มาที่นี่อ่ะ ทำไมถึงไปโผล่อีกเรือนกัน หรือว่าที่ทับกระดาษนั่นคือจุดเชื่อมโยง แต่ว่าที่ทับนั่นก็ไม่ใช่ของคุณหลวงอีกล่ะ
เดาว่าโต๊ะที่อยู่ในห้องคงไม่เกี่ยวอะไรหรอก...มั้ง ก็ทุกอย่างมันชี้ตรงจุดว่าโต๊ะของอาผู้ชายเป็นโต๊ะของทางเรือนคุณพิกุลนี่นา ((สับสันอ่ะ))

แหะ มิได้ตั้งใจให้งงนะเจ้าคะ คนแต่งเองแต่งไปบางทีก็ปวดหัวไปเหมือนกัน :mew5:
จะพยายามไล่เปิดประเด็นเรื่องนี้ให้เข้าใจในตอนต่อๆไปนะคะ
อย่าเพิ่งเบื่อเค้าก่อนน๊า  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 14-07-2014 05:19:12
คำกลอนไพเราะจับจิตมากครับ

ดีแล้วที่ดีกันสงสารพ่อธีร์ของบ่าว :heaven

รอร๊อรอๆๆๆครับ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 14-07-2014 11:47:37
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ คุณหลวงแก้วกวนติง+หวานได้น่ารักมาก แบบนี้สายน้ำจะไม่หวั่นไหวยังไงได้เนอะ

ความรักของแชมป์กับคุณพิกุลก็น่ารักมากค่ะ น่ารักมากๆๆๆ ปกติคนแต่งนิยายวาย แต่งคู่ปกติในเรื่องไม่ค่อยดีหรอกค่ะ แต่เรื่องนี้ดีมากๆๆ ชวนให้ติดตามคู่นี้ไปด้วยเลย อย่าทิ้งนะคะ ขอรับรู้ไปทั้งสองคู่เลยค่ะ ชอบจริงๆ แบบนี้เรียลดี และคุณแต่งน่ารักชวนติดตามด้วย

*ขอหวานๆแบบนี้อีก อยากยิ้มแก้มปริ (ทั้งสองคู่เลยนะ)*

แต่ไอสงสัยนิดหนึ่งนะคะ สองเรื่องค่ะ

เรื่องแรก อยากรู้ว่าทำไมหลวงหื่นเห็นแชมป์แล้วไม่หลงเหมือนตอนเห็นธีร์อ่ะ ทั้งๆที่ขาวเหมือนๆกันนิ คนแบบนั้นเห็นแบบนี้น่าจะสนใจเหมือนกันนะ

เรื่องที่สอง ไอติดใจตรงบอกคนอื่นๆว่าอยู่หอๆ แล้วเขาเชื่อกันด้วยเหรอ? ไม่มีใครตามไปดูเลยเหรอ? ไม่มีใครมีกุญแจเปิดดูห้องเลย? ค่าน้ำ+ไฟ+ห้อง จ่ายกันยังไง? ถ้าไม่จ่ายมีหวังโดนไล่ออกจากห้องพอดีกัน แล้วรายงานไม่ส่งอาจารย์ไปสอบอย่างเดียวจะจบไหม? จริงๆถ้าสองคนนี้ไปกลับอดีตปัจจุบันไม่ได้ไอคงไม่สงสัยเรื่องนี้เท่าไหร่หรอกค่ะ ออกแนวช่างมัน แต่นี่ทำได้อ่ะ แล้วระยะเวลาที่มาอยู่อดีตกับปัจจุบันดันไหลตามเวลาเลย เหมือนอยู่ช่วงเวลาเดียวกันซะงั้น แบบนี้ถ้าหายไปปีหนึ่งเวลาก็หายไปปีหนึ่งไปด้วยอ่ะ แบบนี้น่าจะเลือกอนาคตได้แล้วนะว่าจะอยู่ที่ใด
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๕ [[UP!! Page 4]]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 14-07-2014 20:19:09
ตอนที่ ๑๖...ค้นหาความจริง...


นิรมลนั่งอยู่บนโซฟายาวในห้องรับแขกกว้าง...ใบหน้าของเธอซีดเซียวลงมากเมื่อเทียบกับเวลาปกติ...ดวงตาอิดโรยและบวมช้ำบ่งบอกว่าเธอผ่านการร้องไห้อย่างหนัก...ในมือกำโทรศัพท์มือถือที่ไม่ใช่ของเธอเอาไว้แน่น...เธอนอนไม่หลับมาหลายวันจนต้องอาศัยยานอนหลับอยู่บ่อยครั้ง

"ค่ะ คุณต้น"หญิงสาวกรอกเสียงตอบสามีที่โทรเข้ามา

"ยังไม่กลับมาเลยค่ะ นิดแจ้งตำรวจไปแล้ว...นิดไม่เป็นอะไรค่ะ คุณต้นไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ"ถึงจะตอบไปเช่นนั้นแต่แววตาไม่ได้ตรงกับคำพูดที่ออกมาแม้แต่น้อย แต่เธอก็ไม่อยากทำให้สามีที่ไปประจำอยู่ต่างจังหวัดต้องเป็นห่วง

หญิงสาววางสาย เธอพิงศีรษะลงบนโซฟาพลางถอนหายใจยาว...เป็นเวลาสองอาทิตย์กว่าแล้วที่หลานชายของเธอหายตัวไป...แม้ก่อนหน้านี้เธอจะได้รับข้อความว่าเขากับเพื่อนจะไปอยู่หอ แต่กลับขาดการติดต่อไปนานจนเธออดเป็นห่วงไม่ได้...เธอพยายามโทรไปที่หอหลายครั้ง หรือแม้แต่ไปหาด้วยตัวเองแต่กลับไม่มีใครออกมาเปิดประตู...นั่นทำให้เธอแน่ใจว่าหลานชายของเธอหายตัวไปจริงๆ

นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว...ครั้งแรกเขากลับมาหลังจากหายไปสองอาทิตย์ บอกกับเธอเพียงแค่ว่าเขาเรียนหนักและอยู่ที่หอ...หากแต่คราวนี้กลับนานกว่าเก่า...เธอพบโทรศัพท์มือถือของเขาหล่นอยู่ในห้องทำงานของสามี โทรศัพท์ที่เธอถือมันติดตัวทั้งวันเผื่อว่าหลานชายของเธอจะโทรเข้ามา...และได้แต่ภาวนาขอให้หลานของเธอปลอดภัย แม้ตัวเธอเองจะไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหนก็ตาม
.

.

.
"คุณนิดทานอีกหน่อยเถอะค่ะ เพ็ญเห็นคุณนิดไม่ค่อยทานอะไรเลย"แม่บ้านคนสนิทเอ่ยขึ้นเมื่อเธอวางช้อนข้าวต้มลงหลังจากที่กินมันเข้าไปได้เพียงไม่กี่คำ

"ฉันไม่ค่อยหิวน่ะเพ็ญ"เธอส่ายหน้าตอบ ในขณะที่เพ็ญมีสีหน้าเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด

"คุณนิดทำใจให้สบายนะคะ คุณธีร์แกไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ นิดเชื่อว่าคนดีพระคุ้มครองนะคะ"คำปลอบโยนที่ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย

ครั้งแรกที่หลานชายของเธอหายตัวไป...เธอโทรถามเพื่อนทุกคนของเขา แม้แต่แฟนสาวของเขาเองก็โทรมาถามอยู่หลายครั้ง...แต่คราวนี้กลับมีเพียงเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัยสองคน และเพื่อนที่คณะอีกสองสามคนที่โทรมา...นั่นยิ่งทำให้เธอยิ่งวิตก...ครั้งก่อนเธอหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้จนต้องหันหน้าเข้าพึ่งพระพุทธศาสนา...เธอไปที่วัดแห่งหนึ่งและได้พบกับเจ้าอาวาสวัยกลางคน เล่าให้ท่านฟังเรื่องของหลานชายเพียงแต่ท่านแค่ยิ้มบางๆเท่านั้น

'ไม่ต้องกังวลหรอกโยม เดี๋ยวเขาก็กลับมาเอง'นั่นเป็นคำตอบของหลวงพ่อในครั้งแรกที่เธอไปพบ และครั้งนี้เธอคิดว่าเธอควรจะไปพบกับท่านอีกครั้ง...เพราะถ้าเธอคิดไม่ผิด...ท่านคงรู้อะไรบางอย่าง
.

.
นิรมลเร่งคันเร่งให้เร็วขึ้นเมื่อท้องถนนเบื้องหน้าโล่งตา...วัดนั้นตั้งอยู่นอกตัวเมืองไม่ไกล ขับรถเพียงแค่สองชั่วโมงก็ถึง...เธอมาถึงวัดเอาตอนหลังเพล...เข้าไปกราบองค์พระประธานในอุโบสถก่อนจะเดินออกมาด้านนอก ตั้งใจจะถามใครสักคนแถวนั้นถึงเจ้าอาวาสวัด หากแต่ท่านยืนอยู่ตรงหน้าประตูพอดี

"นมัสการค่ะหลวงพ่อ"หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะเดินตามเจ้าอาวาสวัยกลางคนเข้ามาในโบสถ์...เธอนั่งพับเพียบพนมมืออย่างสุภาพ

"มีอะไรหรือโยม"น้ำเสียงอ่อนโยนของหลวงพ่อเอ่ยถาม

"หลานชายหายตัวไปอีกแล้วค่ะหลวงพ่อ...คราวนี้สองอาทิตย์กว่าแล้วค่ะ"เสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อยขณะเล่า หากแต่เจ้าอาวาสเพียงแค่ยิ้มและรับฟังอย่างเงียบๆ

"อาตมาเคยบอกโยมแล้วว่าเขาไม่ได้ไปไหน เดี๋ยวเขาก็กลับมา"

"แต่หลวงพ่อไม่คิดว่ามันผิดปกติบ้างเหรอคะ หลานชายดิฉันทั้งคนนะคะ หายไปนานแบบนี้ไม่ให้ห่วงไม่ได้หรอกค่ะ"เธอรู้สึกเหมือนเส้นอะไรขาดผึง ในใจมีแต่ความกังวล

"โยม หลานชายของโยมมีจิตใจดี อยู่ที่ไหนใครเขาก็รัก โยมไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก เมื่อถึงเวลาเขาก็กลับมาเอง"

"หลวงพ่อพูดเหมือนรู้อะไร หลวงพ่อรู้หรือคะว่าธีร์อยู่ที่ไหน"เจ้าอาวาสเพียงแค่ยิ้มบาง

"เขาอยู่ในที่ที่โยมไม่สามารถไปหาเขาได้ แต่เขาอยู่สุขสบายดี อาตมาพูดได้แค่นี้ โยมคงเข้าใจนะ"นิรมลไม่มีวันเข้าใจและเธอก็คิดว่าหลวงพ่อไม่เข้าใจเธอเช่นกัน...หลานชายของเธอหายไปทั้งคน แล้วยังมีเพื่อนสนิทของเขาอีก...พ่อแม่ของแชมป์ก็เป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ...เธออยากถามเขาเหลือเกินว่าไม่เป็นห่วงเธอกับครอบครัวบ้างหรือ...เธอพยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก สถานที่ที่คาดว่าหลานชายของเธอจะไป แต่ก็ไม่เคยพบ...สิ่งหนึ่งที่ยังติดใจเธอมาจนถึงทุกวันนี้นั่นคืออาการแปลกๆของธีร์ก่อนจะหายตัวไปในครั้งแรก


ตั้งแต่แม่และพ่อของธีร์ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่ตอนที่หลานชายเธอเพิ่งอายุได้14ปี ธีร์ก็กลายเป็นเด็กเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร เธอพยายามรับธีร์มาอยู่ที่บ้านแต่เขาไม่ยอม ดื้อแพ่งจะอยู่ที่บ้านเดิม แม้จะมีคนใช้ของพี่ชายมากมายในบ้านคอยดูแลแต่เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้...เธอบังคับเขาหนักเข้าจนเขาหนีออกจากบ้านในที่สุด...นิรมลออกตามหาหลานชายอยู่สามวันกว่าจะพบ แววตาของธีร์แข็งกระด้างแต่กลับว่างเปล่า...เขาไม่ยอมฟังอะไรเธอเลยแม้แต่นิดเดียว จะมีก็แต่แชมป์ เพื่อนสนิทในวัยเด็ก ที่คอยดึงธีร์ให้กลับมาสู่โลกปกติ...แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกว่าลึกๆแล้วเขาก็ยังต่อต้าน


ตอนเรียนจบมัธยมปลาย เธอดีใจที่เขาสอบติดรัฐศาสตร์ตามที่พี่ชายของเธอวาดหวังไว้...แต่ธีร์กลับขอเธอออกไปอยู่หอ...เธอรู้มาตลอดว่าธีร์ไม่อยากอยู่ที่บ้านนี้เพราะมันไม่ใช่บ้านของเขา...เธอกับสามียอมรับโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าเขาจะต้องตกลงให้เธอเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพราะนั่นคือมรดกที่พี่ชายของเธอทิ้งไว้ให้กับลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัว แม้ความจริงเธอไม่อยากให้เขาออกไปอยู่คนเดียวเลยก็ตาม เพราะเธอเองไม่มีลูกและรักเขาเหมือนลูกชายคนหนึ่ง


หลังจากย้ายไปอยู่หอ ธีร์จะกลับมานอนที่บ้านแค่ช่วงสุดสัปดาห์ แม้บางทีมีวันหยุดยาวธีร์ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมกลับ จนเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ...แต่เมื่อไม่นานมานี้ อยู่ๆหลานชายเธอก็กลับมานอนที่บ้านบ่อยครั้ง บางทีไม่ใช่สุดสัปดาห์เขาก็ยังมา และมักจะมาขลุกอยู่ในห้องทำงานของสามีเธอครั้งละหลายชั่วโมง...นั่นทำให้เธอสงสัยเพราะปกติเขาไม่เคยเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับห้องทำงานของสามีเธอเลย...แต่เธอก็รู้เหตุผลเมื่อธีร์ถามเธอเรื่องโต๊ะไม้สักและที่ทับกระดาษที่บังเอิญมีชื่อที่เหมือนกับชื่อของเขาสลักอยู่...เธอจำได้ว่าสามีของเธอได้โต๊ะตัวนี้มาจากคุณหญิงอร เพื่อนสนิทของแม่ของธีร์...มันช่างเป็นความบังเอิญที่ทำให้หลานชายของเธอสนอกสนใจโต๊ะตัวนี้เป็นพิเศษ...แล้ววันหนึ่ง...เขาก็หายตัวไป...


นิรมลพยายามหาเหตุผล...แต่เธอก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าหลานชายของเธอหายไปไหน...เธอยังคงติดใจเรื่องโต๊ะไม้สัก...แต่เธอก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหลานชายได้อย่างไร...แต่อย่างน้อยหากได้ความกระจ่างเรื่องความเป็นมาของมัน อาจจะทำให้เธอเข้าใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้น


เช้าวันถัดมา นิรมลตัดสินใจไปหาเจ้าของเดิมของโต๊ะไม้สักโบราณ...เธอโทรไปบอกคุณหญิงอรล่วงหน้าก่อนจะขับรถออกไปยังบ้านท่านทูตสามีของคุณหญิง

"นิด ไม่สบายหรือเปล่า ท่าทางไม่ค่อยดีเลย"คุณหญิงเจ้าของบ้านทักขึ้นเมื่่อเห็นใบหน้าซูบผอมของเธอ...คุณหญิงอรเป็นเพื่อนสนิทกับพี่สะใภ้ซึ่งก็คือแม่ของธีร์ ส่วนท่านทูตสามีของเธอกับพี่ชายเธอก็รู้จักกันเป็นอย่างดี และยังสนิทสนมกับสามีของเธออีกด้วย

"นิดสบายดีค่ะคุณหญิง...คุณหญิงคะ นิดมีเรื่องอยากจะถาม"เธอเปิดประเด็นทันทีที่มาถึง

"คุณหญิงเล่าให้นิดฟังเรื่องโต๊ะไม้สักของท่านทูตหน่อยได้ไหมคะ ที่คุณต้นซื้อไปน่ะค่ะ"คุณหญิงมีท่าทีแปลกใจกับคำถาม

"เอ ก็ไม่ค่อยรู้ละเอียดหรอกนะ คุณเขาเคยเล่าว่าเป็นของคุณทวดหรือปู่ทวดนี่ล่ะ ของตั้งแต่สมัยรัชกาลที่5"นิรมลนั่งฟังคุณหญิงเล่าอย่างตั้งใจ แต่เธอก็จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าการหายตัวไปของหลานชายจะเกี่ยวกับโต๊ะตัวนี้จริงหรือเปล่า

"คุณเขาได้โต๊ะนั้นมาตอนย้ายของออกจากเรือนโบราณของเจ้าคุณต้นตระกูลน่ะ เพราะตอนนั้นกำลังจะปรับปรุงเรือนใหม่ ตอนแรกคุณเขาว่าอยากขายที่ตรงนั้นแต่มานึกๆดูก็เสียดาย มรดกตกทอดมาตั้งไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น"

"แล้วที่ทับกระดาษที่มีชื่อเหมือนกับตาธีร์อยู่ด้านล่างล่ะคะ"นิรมลยังคงถามต่อด้วยความสงสัย

"มันมาเป็นชุดพร้อมกับโต๊ะอยู่แล้วนะ แต่ตอนที่เอามาตาธีร์ยังไม่เกิดเลย"

"เอ หรือว่าแม่ของตาธีร์จะตั้งชื่อตามที่ทับกระดาษอันนี้คะ"

"อุ้ย ไม่ใช่หรอก แม่ของตาธีร์ไม่เคยเห็นเพราะคุณเขาเอาไว้ในห้องทำงานตลอด"นั่นยิ่งทำให้เธอสงสัยหนักกว่าเก่า...มันเป็นความบังเอิญที่เหลือเชื่อจนเกินไป

"แล้วคุณหญิงพอจะทราบไหมคะว่าใครเป็นคนเขียน"

"ไม่รู้หรอกจ้ะ...คุณเขาก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แค่นึกถูกใจตอนไปดูเรือนโบราณเลยเอามาไว้ที่นี่ แต่พอดีได้โต๊ะตัวใหม่มา ก็เลยจะเอาไปให้คนอื่น พอดีกับที่คุณต้นมาเห็นเสียก่อนน่ะ"

"ว่าแต่นิดถามเรื่องโต๊ะนั้นทำไมหรือ...แล้วนี่ตาธีร์ไปไหนเสียล่ะ ไม่เจอนานแล้วน่าจะพามาหากันบ้าง"คุณหญิงถามขึ้นพลางเอ่ยถึงหลานชายของตน

"นิดแค่อยากรู้น่ะค่ะ ส่วนตาธีร์ตอนนี้เรียนหนักค่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลา"เธอไม่ได้บอกใครเรื่องที่หลานชายหายตัวไปนอกจากคนในบ้าน เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่...นามสกุลของพี่ชายมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ตัวหลานชายเองก็ถูกจับตามองจากแวดวงไฮโซอยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจด้านนี้เท่าไหร่นัก และยังใช้ชีวิตปกติเรื่อยมา

"คุณหญิงคะ...คุณหญิงมีรูปเจ้าคุณต้นตระกูลของท่านทูตไหมคะ"ราวกับมีอะไรดลใจให้ถาม เธออยากเห็นหน้าเจ้าของเดิมของโต๊ะตัวนั้น แม้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม

"เอ เหมือนจะมีนะ นิดรอฉันสักครู่"คุณหญิงว่าพลางลุกเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน...เธอหายไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมกรอบรูปเก่าขนาดกลางในมือ

"นี่จ้ะ มีอยู่รูปเดียว เห็นคุณเขาว่าเจ้าคุณท่านไม่ชอบถ่ายรูปเลยไม่ค่อยมีรูปแกเยอะนัก"นิรมลรับกรอบรูปในมือมาดู...ภาพนั้นเป็นภาพถ่ายขาวดำของเจ้าคุณต้นตระกูลของท่านทูตที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สวมเสื้อราชปะแตนแขนยาวและโจงกระเบนสีเข้ม ในมือถือหมวกวางไว้บนตัก ส่วนมืออีกข้างกุมไม้เท้าเอาไว้ ผมสีดอกเลาเช่นเดียวกับไรหนวด ใบหน้าของท่านดูเป็นคนใจดี แม้ในรูปท่านจะไม่ได้ยิ้มแต่แววตากลับเจือไปด้วยความอ่อนโยน


...แต่ที่เธอสะดุดตากลับเป็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง...ผู้ชายตัวสูงใบหน้าคมเข้มที่แต่งตัวเหมือนกัน ท่าทีสง่าผ่าเผย ผมรองทรงเสยไปด้านหลังยิ่งทำให้โครงหน้าคมเด่นชัด สันจมูกโด่ง ริมฝีปากหยักหนาได้รูป...แววตาของเขาเหมือนกับเจ้าคุณไม่มีผิด...อ่อนโยนและใจดี

"คนนี้ใครหรือคะคุณหญิง"เธอยื่นรูปส่งให้คุณหญิงอรดู

"เห็นว่าเป็นคนสนิทท่าน หล่อเนอะนิด นี่ขนาดสมัยโบราณนะเนี่ย"คุณหญิงอรว่าพลางหัวเราะคิกคัก...นิรมลส่งรูปคืนให้เธอ...ภาพเจ้าคุณท่านนั้นยังติดตา หากแต่ภาพคนตัวสูงข้างหลังกลับติดตายิ่งกว่า...เธอได้แต่สงสัยว่าเขาเป็นใครและมีความเกี่ยวข้องใดกับเจ้าคุณ

"คุณหญิงคะ..."เรียกขึ้นอีกครั้ง ในใจหวังว่าคุณหญิงอรจะไม่รำคาญเธอเสียก่อน

"เจ้าคุณต้นตระกูลของท่านทูตชื่ออะไรหรือคะ"คุณหญิงขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้...เธอพลิกด้านหลังกรอบรูปและเปิดฝามันออก ก่อนจะยื่นกรอบรูปนั้นมาให้นิรมล

"นี่ไงมีชื่อเขียนอยู่ตรงนี้"นิรมลก้มมองลายมือตวัดหางแบบโบราณที่ถูกเขียนไว้ด้านหลังรูป ปรากฎเป็นชื่อของบุคคลสองท่าน



...พระยาไพศาลราชวราการ...

และ

...หลวงพิสิษฐวรเวทย์...

..............................................................................

อ่านความรู้สึกของอานิดกันบ้างเนอะ :sad4:

สำหรับอานิดแล้วธีร์เหมือนเป็นลูกชายคนหนึ่งเลยค่ะ
แต่สำหรับธีร์ ด้วยความที่ต่อต้านมาตั้งแต่เสียพ่อกับแม่ ธีร์เลยกลายเป็นเด็กที่คิดว่าอยู่คนเดียวได้
สังเกตได้จากตอนแรกๆที่ธีร์ไม่ค่อยสนใจจะกลับบ้านเท่าไหร่ เพราะธีร์รู้สึกว่าไม่ใช่บ้านของธีร์
เพราะฉะนั้นเวลาที่ธีร์ไปอยู่พระนคร ความรู้สึกผูกพันกับอานิดจึงมีไม่มากเท่ากับคนในอดีต

ส่วนเรื่องโต๊ะ จริงๆผู้แต่งไม่ได้ตั้งใจโฟกัสเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อโยงเรื่องไปแล้วก็จะค่อยๆคลายปมในตอนถัดๆไปนะคะ
อาจจะมีเอื่อยไปบ้างเพราะมีหลายคู่และหลายประเด็นที่ต้องเปิด อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนน๊าาา  :call:

ยังไงก็ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-07-2014 20:33:38
น่าสงสารคนที่รอ คงเป็นห่วงน่าดู
เมื่อไหร่ทุกคนจะชินกับการไปๆกลับๆปัจจุบันกับอดีตของพ่อธีร์กับแชมป์ซะที
จุดนี้ควรทำให้เคลียร์นะจ๊ะคนแต่ง
เพราะถ้าเราเป็นพ่อธีร์หรือแชมป์คงห่วงหน้าพะวงหลังพอสมควร ถ้าคนใกล้ๆตัวยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ปล.ทำไมพ่อธีร์กับแชมป์ถึงบอกความจริงกับคุณหลวงแล้วก็น้าของธีร์ไม่ได้อ่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 14-07-2014 20:41:29
กลับมาคราวนี้ธีร์ควรบอกอาแล้วล่ะ
เพราะอย่างไงอาก็ต้องเชื่อ
แต่ลุ้นในอนาคตมากเลยคะ ว่าจะได้อยู่ด้วยกันมั้ยฮือออ

แน่นอนจะติดตามยันจบเรื่องเลย
สนุกมากๆ :-)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 14-07-2014 20:49:28
สงสารอานะ อาไม่รู้เรื่องอะไร
หลานหายไปเป็นใครเขาก็ทุกข์
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 14-07-2014 20:50:16
แอบนึกว่าจะได้อ่านคุณหลวงฯกับพ่อธีร์ร่วมเตียงด้วยกัน  :m26:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 14-07-2014 20:51:09
สั้นจัง ต่อมอยากรู้ทำงานเยอะ ยังไม่หายสงสัย และก็คิดถึงคุณหลวงด้วย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 14-07-2014 22:18:49
รู้ซักทีว่าหลวงแก้วคือใคร...แต่ทำไมหน่วงๆ
ขอจบแฮปปี้นะ จริงๆ ขอหลายรอบเลย เพราะดูท่าจะไม่มีทางบรรจบกันเอาจริงๆ

หลวงแก้วคิดถึง พ่อธีร์เลยย้อนไป เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง
แล้วเรื่องในอดีตก็ต้องดำเนินไปจนพ่อธีร์กลับมาปัจจุบัน
หลวงแก้วก็คงยังคิดถึงอยู่ แถมยังสลักชื่อไว้ที่ที่ทับกระดาษด้วย
แล้วยังไงต่อล่ะทีนี้...ต้นตระกูลท่านทูตต้องมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงแก้วบ้างสิ
งือ หน่วงมากอ่ะ ทำไงดี ดิ้นๆๆ

จะมีทางไหนที่ทำให้หลวงแก้วกับพ่อธีร์อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่านะ จะมีซักทางมั้ย

รออ่านต่ออยู่นะคะ
ป.ล.ชอบจริง รูปเก่า เรื่องเล่าสมัยก่อน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: knightprince ที่ 14-07-2014 22:21:21
มาสั้นจังเลยยยย อานิดคงเป็นห่วงธีร์น่าดู
กำลังค้างกับทางอดีตด้วย โอยยย เรื่องมันถูกขมวดปมไว้เยอะไปหมด
อยากอ่านต่อละอ่าาาาา รอคะๆๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-07-2014 00:16:09
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 15-07-2014 05:10:06
อานิดอย่าเศร้าไปเลยเดี๋ยวพ่อธีร์ก็กลับมา(แต่อีกเดี๋ยวก็ไปต่อ 55)

ก็เข้าใจพ่อธีร์นะว่าถ้าจะให้บอกความจริง
ก็คงยากที่จะมีใครเชื่อถ้าไม่ได้เจอกับตัวหรือเห็นกับตาตัวเอง

รอร๊อรอๆๆๆครับ :katai4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: uchikas ที่ 15-07-2014 07:52:09
หลวงแก้วกับพ่อธีร์ รักกันแล้ว
แล้วต่อไปจะทำยังไง ธีร์จะต้องกลับโลกปัจจุบัน
หลวงแก้วจะอยู่ยังไง
ซึ้งกลอนของหลวงแก้ว T T
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 15-07-2014 11:24:26
สงสารคนรอ  น่าจะให้คุณหลวงแก้วมาหาธีร์บ้าง  อยากเห็นคุณหลวงตกใจตอนมาบ้านธีร์ :hao3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 15-07-2014 17:09:26
.หรือเจ้าคุณจิตราจักเป็นต้นตระกูลของพ่อธีร์
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 15-07-2014 18:35:02
ยังไงก็คงต้องเลือกสินะ
เลือกที่จะอยู่กับอดีตหรือปัจจุบัน
ตอนนี้ธีร์อาจจะมีความสุข แต่หลังจากนี้จะมีความสุขหรือเปล่าน่ะสิ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-07-2014 21:29:42
คนที่รอไม่ว่าฝั่งไหนก็เจ็บปวดพอกันนั้นแหละ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๖ UP!! Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 15-07-2014 23:01:20
ตอนที่ ๑๗...สองสิ่งที่เหมือนกัน


"คุณหลวงครับ...โต๊ะนั่น"


สิ่งที่ทำให้ใจผมสั่นได้มากกว่าการเข้ามาในห้องนอนของหลวงพิสิษฐคือของบางอย่างที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้
ภาพของโต๊ะไม้สักโบราณคุ้นตาปรากฎให้เห็นตรงหน้า...ทั้งสีของไม้ ขนาด และรูปทรง เหมือนกับโต๊ะในห้องทำงานของเจ้าคุณจิตราไม่ผิดเพี้ยน...ผมเดินเข้าไปใกล้พลางไล่สายตาไปทั่ว...ที่ทับกระดาษรูปร่างเหมือนกันวางทับกองเอกสารหลายแผ่น...นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน

"มีอะไรรึพ่อ"เจ้าของห้องเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางสาวเท้าเข้ามายืนข้างๆ

"คุณหลวงได้โต๊ะนี่มาจากไหน"ผมขมวดคิ้วแน่น...สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมมึนงงไปหมด

"นี่รึ...ลูกชายคุณพระคนสนิทของเจ้าคุณไพศาลแกมอบให้ แกมีความสามารถด้านงานไม้ จักหาใครในพระนครเทียบฝีมือยากนัก"เจ้าของห้องอธิบายเสียงเรียบ หากแต่สิ่งที่ผมติดใจกลับไม่ใช่ความปราณีตบรรจงในผลงานชิ้นนี้

"แต่โต๊ะตัวนี้กับที่เรือนเจ้าคุณจิตรา..."นิ้วเรียวชี้ไปที่โต๊ะพลางขมวดคิ้วมุ่น สมองกำลังประมวลผลอะไรบางอย่าง

"อ้อ เขาทำไว้สองตัวน่ะ เป็นของขวัญให้เจ้าคุณทั้งสองวันที่รับตำแหน่งพระยา แต่เจ้าคุณไพศาลกลับยกให้เราเสียนี่ ท่านว่ามันเข้ากับห้องนี้"ผมเคยได้ยินมาว่าเจ้าคุณทั้งสองสนิทกันมากเพราะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก...เข้ารับราชการก็พร้อมๆกัน และยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นพระยาพร้อมกันอีก...ไม่นึกว่าแม้แต่ของขวัญก็ยังได้ของที่เหมือนกัน...และผมก็พอจะเข้าใจเจ้าคุณไพศาล เพราะเมื่อเทียบกับห้องอื่นบนเรือนนี้ที่ตกแต่งแบบฝรั่ง...มีเพียงห้องของหลวงพิสิษฐห้องเดียวที่ยังดูเป็นแบบไทยโบราณอยู่ และผมก็ไม่เถียงว่ามันเข้ากับห้องนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งสีและเนื้อไม้ก็เป็นแบบเดียวกันกับเตียงและตู้หนังสือในห้อง...แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้ผมสับสนไปหมด...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างปัจจุบันของผมและปัจจุบันของที่นี่ กลับไม่ได้มีเพียงแค่ชิ้นเดียว...และถ้ามันไม่ได้มีแค่ชิ้นเดียว...แล้วในโลกปัจจุบันของผมล่ะ...โต๊ะอีกตัวหนึ่งอยู่ที่ไหน...หรือมันยังอยู่หรือไม่

"เป็นอะไรรึพ่อ"ถามเพียงสั้นๆ ผมเลยได้เพียงส่ายหน้าตอบ...แต่สัมผัสของมือใหญ่ที่แตะลงแผ่วเบาที่แก้มทำเอาเรื่องที่กำลังสงสัยกลับปลิวหายไปทันที รู้สึกร้อนวูบที่หน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น...เขาเพียงยืนมองหน้าและโปรยยิ้มให้เช่นเคย

"คุณหลวงรู้มั้ยครับ ก่อนมาที่นี่ผมเคยฝัน"ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา...เจ้าของห้องมองหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

"ในฝันนั้นมีเพียงความมืด...มีเพียงเสียงเดียวที่ผมได้ยิน...เสียงนั้นเหมือนกับเสียงคุณหลวงไม่มีผิด"คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผมเล่า

"เสียงนั้นเรียกผมว่า..."


"-พ่อธีร์-"สองเสียงที่ประสานกันทำให้ผมหันไปมองคนตัวสูงด้วยความแปลกใจ


"คุณหลวงรู้..."หากแต่เจ้าตัวเพียงแค่ส่ายหน้า

"ยังจำวันแรกที่เราได้พบกับพ่อได้หรือไม่ วันนั้นพ่อถามว่าเราเคยพบกันมาก่อนไหม"ผมพยักหน้ารับ ยังคงจำได้ดี

"สิ่งที่เราตอบพ่อในวันนั้นเป็นความจริง เรามิเคยเห็นหน้าพ่อมาก่อน หากแต่เรารู้สึกถูกชะตา ในคราแรกเราคิดว่าเพราะพ่อเป็นคนประหลาดนัก ท่าทางแลการพูดจารึก็ไม่เหมือนชาวพระนคร"ผมหรี่ตามองคนตัวสูง ไม่แน่ใจว่ากำลังถูกชมหรือแอบด่า แต่ก็เลือกที่จะเงียบไว้ไม่อยากขัด

"แต่มันมิใช่อย่างที่เราคิด ทุกคราที่เราได้ใกล้ชิดพ่อ เรารู้สึกประหลาดนัก มันเป็นความรู้สึกที่แม้แต่หญิงใดในพระนครก็มิเคยทำให้เรารู้สึกเช่นนี้ได้"คำพูดที่ทำให้ผมหน้าแดงวาบขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่รอยยิ้มปรายบนใบหน้าของคนตัวสูงกลับแสดงออกได้ดีกว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นไหนๆ

"หากพ่อธีร์บอกว่าเคยฝันถึงใครบางคนที่เรียกพ่อแบบนั้น การที่เราได้มาเจอกับพ่อก็คงมิใช่เรื่องบังเอิญ"ในสมัยของผม คำว่าพรหมลิขิตคงกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปเสียแล้ว...แต่ในเวลานี้จะหาคำใดมาอธิบายสิ่งที่มันเกิดขึ้นทั้งหมดนอกจากคำนี้...ก็คงไม่มีอีกแล้วเช่นกัน

"ดึกมากแล้ว นอนเถิดพ่อ"คำพูดที่เรียกสติผมกลับมา...หันไปมองเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ที มองหน้าคนตัวสูงทีอย่างลังเล

"คุณหลวงจะให้ผมนอนห้องนี้จริงเหรอครับ"เห็นอีกฝ่ายกลั้นหัวเราะแล้วพาลรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกแกล้งเสียนี่

"ขำอะไรครับ"ถามกลับตาขวาง...ที่จริงไม่รู้จะทำอะไรเลยใส่อารมณ์แก้เก้อไปอย่างนั้น

"ไม่อยากนอนห้องนี้รึ"ยังยั่วไม่เลิก...ใช่ว่าไม่อยาก...แต่มันรู้สึกแปลกๆ...ก่อนจะได้ตอบอะไร มือใหญ่ก็ยื่นมาฉวยข้อมือของผมเอาไว้พลางเดินนำไปที่เตียง...แล้วผมก็เดินตามเขาไปโดยดีเสียด้วยสิ

"เราเพียงอยากให้พ่ออยู่ด้วย แต่ถ้าพ่อไม่สบายใจ..."ว่าพลางนั่งลงบนเตียงกว้างแล้วดึงให้ผมนั่งลงข้างๆ มือที่จับอยู่นั้นยังไม่ยอมปล่อย

"ยังไม่ได้บอกซักหน่อยว่าไม่สบายใจ"บ่นพึมพำกับตัวเองแต่ดูท่าจะดังพอให้คนข้างๆได้ยิน...นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยปลายผมที่ยาวลงมาปรกหน้าของผมขึ้นไปทัดหู ดวงตาคมคู่นั้นยังมองมาไม่วางตา หากแต่ใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนโยน

"ขอให้เราได้เห็นหน้าพ่อเช่นนี้ทั้งคืน เราก็มีความสุขมากแล้ว"ผมได้แต่ช้อนตามองใบหน้าคมนั้นโดยไม่มีคำพูดใดๆ ปลายนิ้วเรียวระเรื่อยลงมาไล้อยู่ข้างแก้มและวนเวียนอ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้น

"คุณหลวง"ผมเรียกคนตรงหน้าเมื่อถูกมองด้วยดวงตาสวยคู่นั้น หากแต่เจ้าตัวเพียงส่ายหน้าเบาๆ

"พ่อธีร์...เราอาจเป็นหลวงพิสิษฐของใครต่อใคร แต่สำหรับพ่อแล้ว เราขอเป็นเพียงพี่แก้วของพ่อได้หรือไม่"น้ำเสียงเนิบนาบน่าฟังทำเอาผมรู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้าแม้แต่นิ้วเรียวของอีกฝ่ายที่ไล้อยู่บนแก้มก็คงสัมผัสได้เช่นกัน...ที่ทำได้...ก็เพียงแค่ก้มหน้าหลบสายตา

"...พี่แก้ว..."เสียงที่เอ่ยออกมาช่างเบายิ่งนัก แต่กลับดังพอที่คนตรงหน้าจะได้ยิน...ร่างสูงโน้มเข้ามาใกล้ จรดริมฝีปากได้รูปลงบนหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบา ก่อนจะดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้

"พ่อธีร์ของพี่"เสียงนุ่มกระซิบเบาๆที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นระเรี่ยต้นคอทำเอาผมต้องซุกหน้าเข้ากับอกกว้างนั้นยิ่งกว่าเดิม


...หากแม้หลวงพิสิษฐจะล่วงรู้...ผมเองก็มีความสุขเช่นกัน...



...แสงอรุณยามเช้าส่องลอดบานหน้าต่างทรงฝรั่งบนชั้นสองของเรือน...แว่วเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วและลมโชยเอื่อยโบกพลิ้วหยอกล้อกับผ้าม่านโปร่งบาง...ราวกับนาฬิกาบอกเวลาให้ตื่น...หากเพียงขยับตัวก็สัมผัสได้ถึงท่อนแขนแกร่งที่วางพาดผ่านตัว...ภาพแรกที่เห็นเมื่อลืมตาคือกรอบหน้าคมเข้มที่ถูกสรรสร้างมาอย่างงามพร้อมของคนตัวสูงที่ยังคงหลับตาพริ้ม ได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะ ท่อนแขนที่พาดอยู่ยังโอบรอบเอาไว้เพียงหลวมๆ...ผมมองใบหน้ายามหลับใหลของอีกฝ่ายราวกับนักสำรวจ...แพขนตาหนา...สันจมูกโด่ง...ริมฝีปากหยักได้รูป หรือแม้แต่กรอบหน้าคมเข้ม...แม้ผมเองจะไม่สันทัดเรื่องการมองผู้ชายด้วยกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้านั้นช่างใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ...

"แอบมองคนหลับ...มิงามนะพ่อ"รอยยิ้มปรายปรากฎบนใบหน้าหากแต่เจ้าตัวยังคงหลับตาพริ้ม มีเพียงเสียงหยอกล้อเบาๆที่ทำให้ผมต้องละสายตาแทบจะทันที

"มองตอนตื่นก็ได้...เราไม่หวงหรอก"แพขนตาหนากระพริบช้าๆเผยให้เห็นดวงตาคมวาววับที่จดจ้องมา

"ตื่นแล้วก็ไม่บอกนะครับ"ได้แต่ทำหน้ามุ่ยแก้เก้อ

"ตื่นนานแล้ว...แต่นอนมองหน้าพ่อเสียเพลิน"รอยยิ้มกริ่มทำเอาหน้าผมร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง...บางครั้งก็นึกตลกตัวเองที่มีอาการเขินอายอย่างกับผู้หญิงเป็นกับเขาเหมือนกัน...แต่ก็ดูเอาเถอะ ช่างหยอด ช่างล้อเสียขนาดนี้...ใครมันจะไปทนเฉยอยู่ได้

"เอ ปากหวานแบบนี้กับทุกคนรึเปล่านะครับ"แว่วเสียงหัวเราะเบาของอีกฝ่าย

"เห็นทีจะไม่ได้เสียแล้ว"

"ทำไมล่ะครับ"ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย

"เกรงว่าบางคนจะร้องไห้อีกน่ะซี"

"หลงตัวเองไปรึเปล่าครับ"ถึงจะเขินหน้าแดง แต่เรื่องต่อปากต่อคำก็ไม่เคยยอมเหมือนกัน

"ให้เราหลงตัวเองหน่อยเถิดพ่อ เราจะได้รู้ว่าไม่ได้คิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว"อ้อมแขนยิ่งกระชับแน่นกว่าเดิมทำเอาผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว


...และถ้าผมไม่ได้คิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว...ผมว่านี่มันก็เป็นเช้าที่สดใสวันหนึ่งเลยทีเดียวนะ...


หลวงพิสิษฐลงไปข้างล่างแล้ว เหตุเพราะเจ้าคุณไพศาลมีงานจะสั่งก่อนที่ท่านจะออกไปที่กรม...ส่วนผมที่ยังอยู่ในห้องไม่กล้าเสนอหน้าลงไปด้วยกลัวว่าเจ้าของเรือนเขาจะรู้เอาเสียก่อนว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนที่ห้องรับรองแขกอย่างที่แกว่า...แม้ผมจะล่วงรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนรอบข้างจะเข้าใจมัน...ผมรู้ดีว่าสมัยนี้เรื่องระหว่างผมกับคุณหลวงหนุ่มเป็นเรื่องยากนักที่ใครจะยอมรับได้ แม้แต่เจ้าคุณไพศาลเองถึงแม้ท่านจะมีเมตตาและเป็นคนใจดีอยู่มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะเข้าใจเรื่องแบบนี้เช่นกัน...

...ผมสอดส่ายสายตาไปทั่วห้อง พลันสะดุดตากับโต๊ะไม้สักตัวเดิม...สิ่งที่สงสัยค้างคาเมื่อคืนนี้วนกลับมาในความคิดอีกรอบ...มันคือความบังเอิญจริงหรือ...โต๊ะโบราณที่ผมเคยคิดมาตลอดว่ามันมีเพียงหนึ่งเดียว มาวันนี้ผมกลับได้เห็นอีกหนึ่งตัวที่เหมือนกัน...ที่ทับกระดาษยังวางทับกองเอกสารปึกหนาบนโต๊ะ...ผมหยิบมันขึ้นมาพลางพลิกดูด้านล่าง...แน่ล่ะว่ามันไม่มีตัวอักษรอะไรอย่างที่ผมคาดหวังไว้...ผมไล่สายตาและนิ้วมือไปตามเนื้อไม้ของโต๊ะที่คุ้นตาเป็นอย่างดี...ฝีมือคนที่ทำมันช่างปราณีตบรรจง...ลวดลายสลักเสลาบนขาโต๊ะก็ทำได้อย่างวิจิตรงดงาม

"ทำอะไรอยู่รึพ่อ"เสียงนุ่มปลุกผมจากความคิดพร้อมเจ้าของห้องที่เดินเข้ามา

"เปล่าครับ"ผมส่ายหน้าตอบ

"เราเห็นพ่อธีร์สนใจโต๊ะตัวนี้ตั้งแต่เมื่อคืน มีอะไรรึ"คำถามที่ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร...ใจหนึ่งผมก็อยากบอกความจริง แต่อีกใจก็คิดว่าเขาคงหาว่าผมบ้าเป็นแน่

"แค่คิดว่ามันเหมือนกันมากน่ะครับ"

"กับของที่เรือนเจ้าคุณจิตราน่ะรึ"ผมพยักหน้ารับ ยังไม่ละสายตาจากมัน

"ต้องเหมือนซี ก็ช่างคนเดียวกัน"

"เจ้าคุณท่านถูกใจโต๊ะตัวนี้นัก แต่กลับยกให้เราเสียนี่ ท่านว่ามันเข้ากับห้องนี้ ตอนแรกเราปฏิเสธเพราะมันเป็นของขวัญของท่าน แต่ท่านก็ยืนกรานให้เรารับไว้ ท่านว่าอย่างไรเสียก็อยู่ในเรือนเดียวกัน"

"แล้วคุณหลวงชอบมันมั้ยครับ"คนตัวสูงพยักหน้ารับ

"แต่มีอย่างอื่นที่ชอบมากกว่า"ผมขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มกริ่มมองมา

"พ่อธีร์ของพี่แก้วน่ะ"ก้มลงกระซิบข้างหูเบาๆทำเอาใบหน้าผมร้อนวูบอีกครั้ง

"คุณหลวง!"เจ้าของห้องเพียงแค่หัวเราะเบาๆเมื่อถูกผมตีที่แขนเข้าให้...ทำไมถึงเป็นคนชอบแกล้งแบบนี้นะหลวงพิสิษฐ!


...กว่าจะกลับมาถึงเรือนเจ้าคุณจิตราก็บ่ายแก่แล้ว เพราะต้องนั่งทำงานที่ค้างตั้งแต่เมื่อวานให้เสร็จ...พอกลับมาถึงก็เจอไอ้ตัวดีตั้งท่ากวนประสาทอยู่ที่ท่าน้ำนี่...ถึงขั้นต้องมารอรับเสด็จกันเลยทีเดียว

"เป็นสาวเป็นแส้ ริไปค้างอ้างแรมบ้านผู้ชาย"ทำเสียงเลียนแบบตัวร้ายในละคร ใส่อารมณ์เต็มที่เลยนะมึง

"เชี่ยยยย ถีบมาได้!"ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องโดน...ไม่เคยจะจำ

"แหม๊ๆ อารมณ์ดีนะจ๊ะน้องสาว"ไม่พูดเปล่ายื่นหน้ากวนๆเข้ามาอีก...ไอ้นี่ถ้าไม่เจ็บตัวอีกทีคงไม่เลิก

"จะไปไหนครับพี่ธีร์..."ไอ้แชมป์รีบคว้าคอเสื้อผมไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะเดินขึ้นเรือน แล้วไอ้ท่ายักคิ้วหลิ่วตาของมันนี่คืออะไรครับ

"ไหนเล่าให้พี่แชมป์ฟังซิครับ ว่าอะไรยังไง"

"อะไรยังไงวะ"ผมปัดมือมันออกจากคอเสื้อแต่มันยังรั้งไว้แน่นไม่ปล่อย

"เอ้า บ้านช่องไม่กลับเนี่ยอะไรยังไงคร้าบบบบ"

"หึ! คิดจะเล่นกูไม่ดูตัวเองเลยนะครับ เชี่ยแชมป์"ไอ้ฉากโรแมนติกที่มีผมเป็นพยานรักนั่นมันยังติดตาผมอยู่เลยนะ

"เล่นไรวะ กูแค่ถาม ทำไมมึงต้องร้อนตัว อ๊ะๆ หรือว่ามีซัมติง"มันชี้หน้าพลางส่งเสียงแซว ท่าทางมันน่าถีบพิลึก

"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน กูมีเรื่องสำคัญกว่า"แต่ผมรีบตัดประเด็นเสียก่อนเพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า...ภาพของโต๊ะไม้สักในห้องหลวงพิสิษฐยังคงติดอยู่ในใจผม...และผมคิดว่าควรจะเล่าให้มันฟังเช่นกัน
.

.

.
"มึงบอกว่าห้องหลวงพิสิษฐมีโต๊ะที่เหมือนกับของเจ้าคุณจิตรา?"หลังจากได้ฟังที่ผมเล่ามันก็เอาแต่นั่งขมวดคิ้วแน่นพลางเคาะมือลงบนโต๊ะไม้ที่ศาลาข้างเรือนอย่างครุ่นคิด

"เหมือนเป๊ะเลยเหรอวะ"ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง

"ช่างคนเดียวกัน ทำไว้สองตัวพร้อมกัน"นั่นหมายความว่ามันเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน

"แล้วมึงว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับโต๊ะในห้องคุณจิตรามั้ย"คำถามที่ผมเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน...เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ผมกลับมายังพระนคร และผมกับมันก็ไม่เคยได้ยินเสียงประหลาดหรือแสงเรืองรองจากที่ทับกระดาษนั้นอีกเลย

"ถ้าโต๊ะไม้สักกับที่ทับกระดาษในห้องเจ้าคุณเป็นตัวเชื่อมโลกปัจจุบันกับที่นี่...แล้วโต๊ะในห้องคุณหลวงล่ะ"ไอ้แชมป์ยังคงมีคำถามอย่างต่อเนื่อง แต่ผมเองก็ตอบมันไม่ได้เช่นกัน

"ว่าแต่...มึงบอกว่า โต๊ะนั่นอยู่ในห้องคุณหลวง..."ผมพยักหน้าให้กับคำถามของมันอีกครั้ง สมองยังคงใช้ความคิดอย่างหนัก

"งั้นเมื่อคืนมึงก็นอนห้องคุณหลวงอ่ะดิ!!"ก็ใช่อ่ะดิ...เห้ยยยยย!

"ฮืออออ น้องธีร์ของพี่แชมป์ หมดกันพี่แชมป์อุตส่าห์เฝ้าทะนุถนอมมาเป็นสิบปี ดันเสร็จผู้ชายซะงั้น"ดูมันพูดเข้า อยากตะโกนใส่หน้ามันจริงๆว่ากูยังไม่เสร็จโว้ย แต่ไม่ได้ ต้องเนียนนิ่งไปก่อน

"ไม่น่าเลย ฮืออออ....เชี่ยยยย!"แต่พอได้ยินคำพูดกวนประสาทนี่แล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ นึกเหรอว่าผมจะยอมให้มันแซวได้นาน...กว่ามันจะรู้ตัวก็หัวทิ่มลงไปจูบพื้นหญ้าด้วยฝีเท้าของผมเสียแล้ว

"โอ๊ยมึงนี่ ซาดิสม์ขึ้นทุกวันนะ ไม่สงสารกูก็สงสารหลวงพิสิษฐเค้าบ้างเห๊อะ"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณหลวงเล่า!

"แน่ะ หน้าแดงทำไมวะ กูแค่ล้อเล่น"ไอ้นี่...ได้ทีแล้วเอาใหญ่...ผมได้แต่ยืนจ้องหน้ามันเขม็งในขณะที่มันเอาแต่หัวเราะจนตัวงอ นานๆทีจะไล่กูจนมุมได้นะครับไอ้แชมป์

"ไปดีกว่า เบื่อคนอารมณ์ดี ฮ่าๆๆ"ไม่พูดเปล่าเดินหนีไปทางโรงครัวอีก แต่ไม่ต้องมาหาเรื่องชิ่งหรอกเพราะผมเห็นว่าคุณพิกุลเพิ่งเดินลงจากเรือนไปทางโรงครัว...มันเองก็ไม่ได้เนียนไปกว่าผมเท่าไหร่หรอกครับ


...ผมมองภาพตรงหน้าแล้วก็อดยิ้มตามออกมาไม่ได้...เพื่อนผมกำลังมีความสุข แม้จะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร...แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นทางที่มันเลือกแล้ว...ผมเองก็เช่นกัน


...หากแต่วูบหนึ่งในความคิด คำพูดของหลวงพ่อในวันนั้นกลับวนเข้ามาในหัว...


'จิตของโยมนั้นผูกพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยที่โยมไม่รู้ตัว...เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม จิตที่เข้มแข็งจึงได้พากายไปยังที่แห่งนั้นได้ โดยอาศัยสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างสองที่นั้น'


ถ้าจิตของผมที่ผูกพันกับสถานที่แห่งนี้ทำให้ผมเดินทางย้อนเวลานับร้อยปีมายังพระนครได้...แล้วจิตของไอ้แชมป์ล่ะ?...ในเมื่อตัวมันเองก็สามารถเดินทางมายังที่นี่ได้พร้อมกับผม...มันไม่น่าเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ...ตรงกันข้าม...ไอ้แชมป์เองเสียอีกที่ดูจะผูกพันกับเรือนหลังนี้มากกว่าผม...ทั้งเรื่องคุณพิกุล แล้วไหนยังจะทำงานให้เจ้าคุณจิตราอีก...เมื่อเทียบกับผมที่วันหนึ่งๆใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เรือนเจ้าคุณไพศาลแล้ว...ไอ้แชมป์ต่างหากที่ผูกพันกับเรือนหลังนี้มากกว่าใคร...


'หมายความว่าผมสามารถไปที่นั่นได้เพราะของสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันใช่มั้ยครับ'


คำถามที่ผมถามหลวงพ่อในวันนั้นผมยังจำมันได้ดี


'ไม่ใช่ทุกที่นะโยม ต้องเป็นที่ที่จิตโยมผูกพันอยู่เท่านั้น สมมติว่าบนโลกนี้มีของห้าชิ้นที่เหมือนกัน แต่โยมเคยเห็นแค่สองชิ้น โยมก็จะผูกพันกับของแค่สองชิ้นนั้น ส่วนอีกสามชิ้นที่โยมไม่เคยเห็นมาก่อน โยมก็จะไม่รู้สึกอะไรกับมัน'


ผูกพันกับของเพียงสองชิ้น...หากโต๊ะแฝดนั่นคือของสองชิ้นที่ว่า...เป็นไปได้ไหมว่ามันสามารถทำให้ผมเดินทางข้ามเวลาได้ทั้งคู่...และเป็นไปได้ไหมที่การเดินทางข้ามเวลาของผมในครั้งหน้าอาจจะลงเอยที่ห้องของหลวงพิสิษฐ...แต่ผมก็ยังสงสัย...ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่...ผมไม่เคยเห็นโต๊ะที่เรือนของเจ้าคุณจิตรามาก่อน แล้วทำไมผมกับแชมป์ถึงได้มาลงเอยที่เรือนของเจ้าคุณจิตรา...ทำไมไม่ใช่ห้องของหลวงพิสิษฐ...แล้วยังเรื่องจิตที่ผูกพัน...ถ้าหากถามผม จิตที่ผูกพันของผมคงหนีไม่พ้นคนตัวสูงนั่นเป็นแน่...ส่วนจิตที่ผูกพันของแชมป์ก็คือคุณพิกุล...แต่ทำไมผมกับมันถึงมาลงเอยอยู่ที่เดียวกัน...แล้วโต๊ะตัวที่อยู่ในห้องทำงานของอาต้น...คือโต๊ะตัวไหนกันแน่?


ผมขมวดคิ้วแน่น...ความคิดในหัวมีมากมายไปหมด หากแต่มันเหมือนปมเชือกที่ผูกร้อยเรียงต่อกันอย่างไม่รู้จบ...การจะแก้ทีละปมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลาอีกมาก...มันคงจะดีหากผมได้มีโอกาสกลับไปยังโลกปัจจุบันอีกครั้งเพื่อที่ผมจะได้ค้นหาความจริง...โดยเฉพาะเรื่องโต๊ะไม้สักอีกตัวนั่น...แต่อีกใจผมกลับภาวนา...ขออย่าเพิ่งให้มันถึงเวลานั้นเลย...ผมยังอยากอยู่ที่นี่ต่อไป แม้จะแค่อีกวันเดียวก็ตาม...
.

.

.
คืนนั้นผมฝันเห็นอานิดอีกครั้ง...เป็นเวลานานมากแล้วที่ผมไม่ได้ฝันถึงแก...ผมเห็นอานิดกำลังนั่งร้องไห้อยู่ในห้องนั่งเล่น มือกำโทรศัพท์มือถือของผมเอาไว้แน่น...หน้าตาของเธอดูอิดโรยลงไปมาก...ผมรู้ว่าอานิดเป็นห่วง...ผมรู้ว่าอานิดรักผมเหมือนลูกแท้ๆ...แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะทำให้อานิดเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผมในตอนนี้...ใจหนึ่งผมก็อยากกลับไปเพื่อบอกความจริง...ความจริงที่ไม่รู้ว่าอานิดจะเข้าใจและยอมรับมันได้ไหม...แต่อีกใจ...ผมก็ยังอยากอยู่ที่นี่...ตั้งแต่สูญเสียพ่อกับแม่...ผมไม่เคยมีที่ที่คิดว่าเป็นที่ของตัวเองเลย...ผมรู้สึกว่าผมอยู่คนเดียว...แม้อานิดกับอาต้นจะให้ความรักกับผมมากมายขนาดไหน...แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของผม...แต่เมื่อผมได้มาที่นี่...ผมกลับรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง...แม้แต่ทุกคนที่ผมได้พบเจอที่นี่ ทั้งเจ้าคุณทั้งสอง คุณหญิงสร้อย คุณพิกุล พี่สน มิ่ง ป้าน้อย และบ่าวคนอื่นๆ...โดยเฉพาะ...คนๆนั้น...คนที่ทำให้ชีวิตของผมถูกเติมเต็มได้อย่างไม่น่าเชื่อ...ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้หัวใจของผมรู้สึกอบอุ่นได้อย่างน่าประหลาด...และมันทำให้ผมรู้สึกว่าไม่อยากจะไปจากที่นี่อีกเลย...


ผมค่อยๆเดินเข้าไปหาอานิดที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา...เธอผลอยหลับไปแล้ว...ผมได้แต่คุกเข่าลงตรงหน้าและก้มกราบแทบตักของเธอเพียงแผ่วเบา

"ธีร์ขอโทษที่ทำให้อาเป็นห่วง ธีร์สบายดี อานิดไม่ต้องเป็นห่วงธีร์นะครับ"สิ่งที่ทำได้ในฝัน เพียงแค่จับมือของเธอไว้เพียงแผ่วเบา...หากความฝันนี้จะสามารถสื่อความรู้สึกของผมที่มีไปถึงเธอได้...ผมก็ขอให้เธอได้รับรู้มัน

"ธีร์รักอานะครับ แต่ธีร์ยังกลับไปไม่ได้...ธีร์ขอโทษนะครับอา"น้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับมือที่ยังจับเอาไว้แน่น...นั่นคือทั้งหมดของความฝันที่ผมจำได้...

.......................................................................






นิรมลสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องนั่งเล่นห้องเดิม...เธอเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มองไปรอบๆห้องที่ยังคงเงียบสนิทเช่นเคย หากแต่ภาพที่เธอได้เห็นเมื่อครู่ช่างเด่นชัด...มันคือความฝันหรือ...

หลานชายที่หายไปมาปรากฎตรงหน้าแล้วกราบลงแทบตักพลางเอ่ยคำขอโทษไม่หยุดปาก...เธอยังรู้สึกถึงไออุ่นจากมือของหลานชายที่ประคองมือเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย...และเธอก็ยังเห็น...ภาพหลานชายของเธออยู่ในสถานที่หนึ่งที่เธอไม่คุ้นตาแม้แต่น้อย...เรือนไม้โบราณทรงฝรั่งริมแม่น้ำ...กับใครอีกคนที่เธอคุ้นตาหากแต่เธอกลับนึกไม่ออก...แม้สถานที่นั้นแปลกตาแต่สีหน้าของหลานชายเธอช่างมีความสุข...เธอได้เห็นธีร์ยิ้ม...ยิ้มที่มาจากข้างในอย่างที่เธอไม่เคยได้เห็นอีกเลยนับตั้งแต่พ่อกับแม่ของเขาเสียไป...

"ธีร์...ธีร์สบายดีใช่ไหมลูก"แม้ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวล หากแต่สิ่งที่เห็นก็ช่วยปลอบประโลมเธอได้ไม่น้อย...แม้ในใจลึกๆเธอยังคงหวัง...หวังว่าวันหนึ่งหลานชายของเธอจะกลับมา...


...


เค้ามีอะไรจะสารภาพ...ว่าตอนนี้หมดสต๊อกแล้วจ้าาาาา :mew5: :mew5: :mew5:
ตอนต่อไปรอเค้าหน่อยนะ กำลังเร่งปั่นอยู่ค่ะ  :katai4:

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ หวังว่าจะไม่งงและเข้าใจมากขึ้น กราบบบบ :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 15-07-2014 23:32:41
เห็นคำว่าหมดสต๊อกแล้วแทบเซ
เพราะติดเรื่องนี้ค่า5555555555

คิดตามธีร์ก็ปวดหัว ปล่อยให้เป็นไปตามอนาคตดีกว่า
น่าจะผลัดไปมาหาสู่กันนะคะ
นี่พี่แก้วยังไม่ได้นั่งรถไฟฟ้าเลยนะ อิอิ

สงสารอานิด คงเป็นห่วงหลานน่าดู
อย่างไงก็อยากให้ธีร์บอกอา สามหัวดีกว่าสองหัวนะ
แชมป์ช่วยได้ไม่ทุกเรื่อง รายนี้ยังจะมีคุณพิกุล55555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-07-2014 23:44:12
ประทับใจ



 o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: knightprince ที่ 16-07-2014 00:00:50
ตอนหน้าคงต้องรออีกสักพักสินะคะ เรื่องราวมันจะซับซ้อนเกินไปแล้วว
โต๊ะอีกตัวจะอยุ่ที่ไหนในปัจจุบันละเนี่ย  มีปมเพิ่มขึ้นมาอีกแล้วอะ
เดาไม่ถูกละ ชอบเรื่องนี้มากกกก ทั้งภาษาทั้งเนื้อเรื่อง  รอตอนหน้าจ้าา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 16-07-2014 00:25:50
บอกตามตรงงงกับปมแฮะ ~_~
มารอคนเขียนเฉลยปม
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 16-07-2014 01:28:54
ก่อนอื่นขอกรีดร้องก่อน อ่านตอนนี้ไปละก็กรี๊ดเล็กๆตอนที่หลวงแก้วบอกว่า "มองตอนตื่นก็ได้...เราไม่หวงหรอก"
มันแบบ อธิบายไม่ถูกอ่ะ แต่กรี๊ด แต่พออ่านถึง "ให้เราหลงตัวเองหน่อยเถิดพ่อ เราจะได้รู้ว่าไม่ได้คิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว"
นี่แบบร้องลั่นบ้านออกมาจริงๆเลย โอ๊ย หลวงแก้วคะ เลี่ยนมากอ่ะ แบบโอ๊ย หยอดตลอด คือนี่จะหลงหลวงแก้วแทนพ่อธีร์แล้ว
จะว่าไป เค้ามีพัฒนาการกันนะเออ "พี่แก้ว" นี่คือหลวงแก้วนี่รุกเร็วมากนะคะ

เรื่องโต๊ะ คิดตามพ่อธีร์ก็แอบงงอยู่ว่า แล้วทำไมถึงมาโผล่ที่เรือนเจ้าคุณจิตรา หรือจะอย่างที่คุณiiam ว่า
.หรือเจ้าคุณจิตราจักเป็นต้นตระกูลของพ่อธีร์
คือมีน้ำหนักมากกว่า หนึ่งคือเจ้าคุณจิตราเป็นต้นตระกูลพ่อธีร์ สองคือแชมป์ผูกพันกับคุณพิกุล
เลยว้าบมาลงเรือนนี้ก่อน อย่างนี้หลังๆนี่จะผลัดกันว้าบไปมารึเปล่า แบบแยกกันเดี่ยวๆตามโต๊ะไปเลย

ทีนี้เรื่องที่ทับกระดาษ คือมาได้ตอนที่ทับกระดาษมีแสง มันก็ต้องเป็นที่ทับกระดาษที่เรื่องเจ้าคุณจิตราสิ
แต่อันยุคปัจจุบันมันมีสลักชื่อไว้ น่าจะเป็นที่ห้องหลวงแก้วมากกว่า แบบตอนพ่อธีร์หายไปนาน หรือหายไปเลย
หลวงแก้วอาจจะเก็บตัว ละคิดถึง คืออาจต้องเคยเห็นพ่อธีร์ว้าบผ่านที่ทับกระดาษนี่ ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเชื่อมโยง
ก็เลยสลักชื่อลงไปด้วยความอัดอั้นตันใจ คิดถึง คนึงหา แบบสลักไปเรียกให้กลับมาไปด้วยอะไรอย่างนี้

ว่าแล้วก็เครียดต่อ แทบจะเมนท์ทุกตอนว่าขอจบแฮปปี้ ตอนนี้ก็เช่นกัน
นอยด์ต่อเนื่อง ยิ่งอบอุ่น ยิ่งหวาน ยิ่งรักกัน ยิ่งนอยด์

รออ่านต่อนะคะ หมดสต๊อกแล้วต้องรอนานใช่มั้ยเนี่ย เง้อ

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-07-2014 02:35:27
เฝ้าลุ้นเฝ้ารอต่อไป
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 16-07-2014 05:51:55
คนสมัยก่อนนี่ก็ปากหวานเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: uchikas ที่ 16-07-2014 07:56:13
เราชอบคุณหลวง
คนอะไรหวานปากหวานเกิน เขินแทนพ่อธีร์
แต่มาสะดุดตรงช่วงท้ายที่คนเขียนบอกหมดสต็อค
ฮาา ถึงกับเงิบ
เป็นกำลังใจให้นะครับ สู้ๆ  :katai4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 16-07-2014 09:10:03
"..พ่อธีร์ของพี่.."


โอย..... :m3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 16-07-2014 10:11:41
พี่แก้วทำคนอ่านเขินนะรู้ยัง?
ไม่คิดว่าพี่มันจะเลี่ยนนี่บอกเลย
คนอะไรมุ้งมิ้งก็เป็น แย๊กกกก!!!
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 16-07-2014 15:55:49
หลวงแก้ว เค้าเขินตัวจะแตกแล้วพ่อ  :-[
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 16-07-2014 22:03:18
นานแค่ไหนก็จะรอ พีเรียดย้อนยุค ชอบมาก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 16-07-2014 23:54:51
ชอบฟีลเรื่องนี้จังเลยค่า เนิบๆเรื่อยๆ แต่เดาไม่ถูก
สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-07-2014 21:44:08
เข้ามารอค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-07-2014 21:55:21
โห มีปมมาให้คิดเพิ่มอ่ะ
เป็นกำลังใจให้คนแต่งจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 18-07-2014 17:20:29
ตอนที่ ๑๘...เวลาที่หมุนวนและการค้นพบความจริง...



สิ่งที่ค้างอยู่ในใจของผมตอนนี้มันมีมากเหลือเกิน...ไม่ว่าจะเป็นอดีตที่ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้ หรือ อนาคตที่ควรจะเป็นโลกของผม...ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลายครั้งที่ผมคิดถึงโลกปัจจุบัน...และคนที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น...อานิด...


ตั้งแต่เสียพ่อกับแม่...อานิดก็เป็นคนเดียวที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ผมกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม...ไม่ใช่ว่าผมไม่รักอา...ผมเองก็รักเธอไม่น้อยไปกว่าใคร...แต่ทุกครั้งราวกับมีช่องว่างข้างในที่แม้แต่อานิดหรือใครๆในโลกนั้นก็ไม่สามารถเติมเต็มได้...ช่องว่างที่มีแต่ตัวผม ยืนอยู่เพียงลำพัง...ไม่ใช่ว่าอานิดรักผมไม่มากพอ...ตรงกันข้าม อานิดรักผมมากจนผมรู้สึกผิดต่างหาก...ผิดที่ทำให้อาเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า...ตั้งแต่ที่หนีออกจากบ้านคราวนั้น...ตอนที่ผมดื้อดึงจะไปอยู่หอ...และในครั้งนี้ก็เช่นกัน...ผมรู้ว่าอานิดเสียใจที่ผมหายไป...ผมรู้ว่าอาร้องไห้เพราะผมฝันเห็นอาบ่อยครั้ง...โดยเพาะช่วงนี้...ผมมักฝันเห็นอานิดนั่งอยู่ในห้องทำงานอาต้น ฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้สักตัวนั้น...โดยที่อาเองไม่รู้เลยว่าผมไปอยู่ที่ไหน...และทุกครั้งในฝันนั้น สิ่งเดียวที่ผมทำได้...คือคำว่าขอโทษ...



"คิดอะไรอยู่รึพ่อ"เสียงนุ่มปลุกผมจากภวังค์...มือใหญ่ที่ลูบผมเพียงแผ่วเบายังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยน...เป็นอีกครั้งที่ผมมาอยู่ที่ห้องนี้เพราะมัวแต่ทำงานที่ค้างอยู่จนดึกดื่น...แต่เจ้าของห้องเองก็ดูจะพอใจไม่น้อยที่สามารถถ่วงเวลาไม่ให้ผมกลับเรือนจนได้...บนเตียงสี่เสาที่คุ้นตา...เจ้าของนั่งเอนหลังพิงหัวเตียงอ่านหนังสือเล่มหนาโดยมีผมนั่งพิงไหล่อยู่ข้างๆ

"เปล่าครับ"ผมโกหก...ยิ่งผมฝันเห็นอาบ่อยเท่าไหร่ ความกังวลของผมมันก็ยิ่งมีมากขึ้นจนแม้แต่อีกคนหนึ่งก็สังเกตได้...ผมซุกหน้าลงกับอกกว้างของอีกฝ่ายราวกับกำลังหาที่พึ่งพิง...เขาเองก็สัมผัสได้จึงปิดหนังสือเล่มหนาแล้ววางมันไว้ที่หัวเตียง

"ช่วงนี้พ่อดูมิค่อยสบายใจนัก มีอะไรบอกเราได้หรือไม่"สัมผัสของมือที่ระเรื่อยไปบนเส้นผมมันทำให้ผ่อนคลายนัก...ถ้าหากหยุดเวลาไว้เสียตรงนี้ได้คงจะดีไม่น้อย


ผมได้แต่ถอนหายใจยาว...อยากบอกคนตรงหน้าถึงความอึดอัดที่มันค้างคาอยู่ข้างใน...แต่พูดไปเขาจะเชื่อผมหรือ...สิ่งที่แม้แต่ตัวผมเองยังไม่อยากจะเชื่อหากไม่ได้มาเจอกับตัว แล้วถ้าพูดไปใครเขาจะเข้าใจกัน

"พ่อธีร์"น้ำเสียงอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยน...ทั้งที่เพิ่งพบกันเพียงไม่นาน แต่กลับผูกพันมากกว่าใคร...ช่องว่างที่เคยมีกลับถูกเติมจนเต็มเพียงเพราะได้อยู่ใกล้ๆ...แต่จะทำอย่างไรล่ะ...ในเมื่อผมไม่ใช่คนของที่นี่...วันหนึ่งเมื่อมันถึงเวลา ผมก็ต้องกลับไป

"ผมอยากอยู่ที่นี่ไปนานๆ"เพียงคำตอบเดียวที่เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากอีกฝ่าย

"แล้วกัน เรามิได้ไล่พ่อไปที่ไหนเสียหน่อย"มือใหญ่เลื่อนลงมาเชยคางให้เงยขึ้นสบกับดวงตาคมวาววับทว่าอ่อนโยน

"เราเองก็อยากอยู่กับพ่อให้นานกว่านี้ หากพ่อมิเบื่อหน้าเราเสียก่อน"รอยยิ้มปรายบนใบหน้าคมนั้นยิ่งทำให้ผมคิดหนัก...ผมอยากอยู่ที่นี่...อยากอยู่กับคนๆนี้...แม้ว่าต่อไปมันจะลงเอยเช่นไรก็ตาม


ผมเอื้อมมือออกไปหยิบกระดาษแผ่นเดิมที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง...กระดาษที่เรียงร้อยตัวอักษรและความในใจของคนตัวสูงที่ผมได้อ่านกี่ครั้งก็ไม่มีวันเบื่อ...ผมเก็บมันติดตัวไว้ตลอดเวลาและชอบหยิบมันขึ้นมาอ่านเวลาว่าง

"อ่านทุกวันมิเบื่อรึ"ได้เพียงส่ายหน้าตอบเบาๆ พลางไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่ร้อยเรียงครั้งแล้วครั้งเล่า...รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้า...ถ้อยคำอ่อนหวานเหล่านี้...มันเป็นของผมเพียงคนเดียว

"ไว้วันหลังจะแต่งให้ใหม่"ผมรู้ตัวดีว่ากำลังทำหน้าเหมือนเด็กที่อ้อนขอของเล่นชิ้นใหม่ไม่มีผิด เพราะอีกฝ่ายเพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ

"แต่งให้วันละบทเลยได้มั้ยครับ"สำหรับคนเจ้าบทเจ้ากลอนอย่างหลวงพิสิษฐคงจะไม่ใช่เรื่องยาก

"เห็นทีจะมิเป็นอันทำงานทำการกันเสียล่ะ หากต้องแต่งให้พ่อทุกวัน"

"แต่ผมอยากอ่าน"นานๆทีจะอ้อนเสียบ้าง ได้แต่ทำหน้ามุ่ยแกล้งคนตัวสูง...อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มรับแล้วลุกจากเตียงไปยังโต๊ะไม้สักตรงมุมห้อง...หยิบกระดาษและปากกาขนนกขึ้นมาพลางทำสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง...ผมเพียงยิ้มบางๆกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าก่อนจะลุกตามไป...มือใหญ่จรดปากกาขนนกลงบนกระดาษร้อยเรียงเป็นบทกลอนบทใหม่อย่างไหลลื่น ราวกับสิ่งที่เขียนมันออกมาจากข้างใน





'ห้วงนทีไหลวนมาอีกครา
เหมือนได้พาใจน้องคืนสู่อกพี่
ยินเสียงหวานแลไออุ่นของนที
รักเจ้านี้เติมเต็มพี่หมดดวงใจ'





ถ้อยคำเรียงร้อยสละสลวยทำเอาผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว...คนตัวสูงละมือจากแผ่นกระดาษก่อนจะหันมายิ้มให้ หากแต่ผมเอื้อมมือไปซ้อนกับมือใหญ่ที่จับปากกาขนนกเอาไว้เสียก่อน

"ชื่อผม...เขียนแบบนี้ต่างหาก"ว่าพลางจรดปลายปากกาในมืออีกฝ่ายแล้วค่อยๆบรรจงเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษแผ่นเดิม


"...ชลนธีร์..."



"ชื่อเพราะ แปลว่าอะไรรึพ่อ"

"ความหมายเดียวกัน แต่พิเศษกว่าครับ"แว่วเสียงคนตัวสูงหัวเราะเบาๆ

"พิเศษเพราะเป็นสายนทีของพี่แก้วคนเดียวหรือเปล่า"สายตาคมจดจ้องใบหน้าที่ร้อนวูบของผม...รอยยิ้มปรายที่ผมยังอยากเห็นไปอีกนาน

"แล้วคุณหลวงคิดว่ายังไงล่ะครับ"สบตาคมนิ่งเนิ่นนาน ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมมาโน้มคอลงมาเพียงแผ่วเบาโดยที่ผมไม่ขัดขึ้นแม้แต่น้อย...ริมฝีปากอุ่นแตะสัมผัสกันอย่างนุ่มนวลทว่าหอมหวาน...ลมหายใจอุ่นระเรี่ยอยู่ตรงหน้า...หวานเสียจนไม่อยากละไปแม้แต่วินาทีเดียว


"พิเศษอย่างที่พ่อว่า"ยกยิ้มมุมปาก มือก็ยังคลอเคลียอยู่ข้างแก้มไม่ห่าง...หากผมสามารถเดินทางข้ามเวลาได้...ผมจะขอหยุดเวลาไว้ตรงนี้บ้างได้หรือไม่...
.

.

.
อ้อมกอดอุ่นของคนตัวสูงราวกับยานอนหลับชั้นดีที่ช่วยกล่อมให้ผมหลับสนิทยิ่งกว่าคืนไหนๆ...หากแต่เสียงกังวานกรีดร้องในหัวดังกึกก้องจนผมต้องสะดุ้งตื่น...เสียง...ที่ผมไม่ได้ยินมาเสียนาน...เสียง...ที่ผมไม่เคยลืม...ดั่งแก้วใสกรีดร้องกังวานก้องจนผมต้องลืมตาโพลง...คนตัวสูงหลับไปแล้วแว่วเพียงเสียงลมหายใจราบเรียบสม่ำเสมอ...หากแต่แสงเรืองรองบนโต๊ะนั้นกลับดึงสติผมให้กลับมา...


สิ่งที่ผมเคยคิดไว้มันเป็นจริง...สองสิ่งที่เหมือนกันย่อมมีคุณสมบัติที่เหมือนกัน...แสงเรืองรองบนนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก...โต๊ะไม้สักในห้องของหลวงพิสิษฐตัวนี้สามารถทำให้ผมเดินทางข้ามเวลาได้เช่นกัน...แต่ผมจะเลือกได้หรือไม่...เลือกที่จะไม่ก้าวออกไปแล้วอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้า...เลือกที่จะมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่...


หากแต่อีกใจผมรู้ดี...ว่าผมต้องกลับไป...เมื่ออะไรบางอย่างกำลังเรียกร้อง...ผมคงไม่อาจฝืนมันได้ เช่นเดียวกับในครั้งแรกที่ผมมาที่นี่...ผมก็ฝืนมันไม่ได้เช่นกัน...


ขาที่ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบด้วยเกรงว่าเจ้าของห้องจะตื่นเสียก่อน...แสงเรืองรองตรงหน้าเปล่งประกายนวลเช่นเคย...ถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับไป...มือที่สั่นยื่นออกไปหยิบมันขึ้นค่อยๆประคองเอาไว้ด้วยสองมือก่อนจะหลับตานิ่ง...ผมขอโทษครับคุณหลวง...แล้วผมจะรีบกลับมา


"พ่อธีร์"ภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นคือคนตัวสูงที่เบิกตากว้างอยู่บนเตียง ราวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงความฝัน...หากแต่ผมไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว...เพียงวูบเดียวที่ภาพตรงหน้านั้นถูกแทนด้วยแสงสว่างจ้าจนแม้แต่ผมเองยังต้องหลับตา...และผมรู้ว่าเมื่อผมลืมตาอีกครั้งผมจะไปอยู่ที่ไหน...




...ห้องทำงานของอาต้น...




"เชี่ยธีร์!"หากแต่ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว...น้ำหนักสิ่งของในมือกับฝ่ามือของอีกคนที่รองอยู่ทำให้ผมต้องลืมตามอง...ไอ้แชมป์!

"มึงมาได้ไง!"ผมถามมันที่มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน

"กูได้ยินเสียง...เสียงแบบที่มึงเคยบอกกู"ไอ้แชมป์ระล่ำระลักเล่าแบบไม่เป็นศัพท์นัก

"เสียงแม่งดังมากอ่ะ ดังจนกูปวดหัว กูเลยต้องเดินไปห้องทำงานเจ้าคุณ"แม้จะเหลือเชื่อแต่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก หากของสองสิ่งจะส่งเสียงเรียกในเวลาเดียวกัน

"แล้วมึงอ่ะ อย่าบอกนะว่าโต๊ะในห้องหลวงพิสิษฐ"ผมพยักหน้า...ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนกลับมายังเด่นชัด...เขาจะรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น

"เชี่ย กูว่ามันชักจะไปกันใหญ่ละ"มันยกมือขึ้นขยี้หัวเกรียนๆของตัวเองอย่างหงุดหงิด...ผมเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน...แต่ในเมื่อกลับมาแล้ว...สิ่งที่ทำได้ คือการค้นหาความจริง

"กูลงไปหาอานิดก่อน"สิ่งแรกที่นึกถึงคือคนที่รออยู่ ผมรีบสาวเท้ายาวลงบันไดตรงไปยังห้องนั่งเล่น...หากแต่มันว่างเปล่า...มองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสองกว่า อานิดคงขึ้นห้องนอนไปแล้ว...ใจหนึ่งผมก็อยากจะไปปลุกแก แต่อีกใจกลับคิดว่ารอให้ถึงเช้าก่อนคงจะดีกว่านี้

"มึงเอาไง จะนอนนี่หรือกลับบ้านเลย"ผมหันไปถามไอ้ตัวดีที่เดินตามหลังมาติดๆ สีหน้ามันไม่สู้ดีนัก

"ตีสองแล้ว กลับไปตอนนี้กูว่ายาว นอนนี่ก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้ากูค่อยกลับ"ผมพยักหน้ารับ...ก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนห้อง...นี่เป็นครั้งที่สี่ที่ผมเดินทางข้ามเวลา...มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผมอีกต่อไป...แต่สำหรับคนอื่น แน่นอนว่าพวกผมต้องมีคำอธิบายยืดยาวไว้รอ พร้อมกับคำถามมากมายที่ผมจะต้องเจอในวันพรุ่งนี้...


ภาพของหลวงพิสิษฐในตอนนั้นยังคงติดตา...ราวกับเรื่องตลกที่เมื่อตอนหัวค่ำผมยังได้ใช้เวลาอยู่กับคนตัวสูง ทั้งรอยยิ้มปรายและบทกลอนนั้นผมยังจำมันได้ดี...หากแต่ตอนนี้ผมกลับมาลงเอยอยู่ที่เตียงนอนในห้องของตัวเองในปี พ.ศ.๒๕๕๗...เขาจะเข้าใจหรือไม่ว่าสิ่งที่ได้เห็นคืออะไร...แล้วผมจะมีโอกาสได้กลับไปอธิบายอะไรให้เขาเข้าใจอีกไหม...แต่ผมก็ยังภาวนา...ขอให้ผมได้มีโอกาสกลับไป อีกครั้งก็ยังดี...
.

.

.
"ธีร์!!"เสียงอานิดแผดลั่นห้องเมื่อเห็นผมเดินลงมาจากชั้นบน...เธอรีบถลาจากโต๊ะกินข้าวเข้ามากอดผมเอาไว้แน่น

"ธีร์ กลับมาแล้วเหรอลูก ธีร์ไปไหนมา ธีร์บอกอาสิ!"เหมือนที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด คนตรงหน้าผมเป็นห่วงจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมสังเกตได้จากใบหน้าที่อิดโรยและตัวที่บางลงอย่างเห็นได้ชัด

"อานิด ธีร์ขอโทษครับ"สิ่งที่ทำได้ เพียงแค่ยกมือกราบขอโทษแทบอก อานิดยังคงกอดผมเอาไว้แน่นก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองที่รื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

"ธีร์บอกอามาเดี๋ยวนี้ว่าธีร์หายไปไหนมา"เสียงของอานิดสั่นเครือทว่าดุดันไม่เหมือนเคย...อานิดที่เคยใจดีและตามใจผมทุกอย่างเพราะกลัวผมจะทำอะไรบ้าๆอีก แต่คราวนี้เธอกลับใช้น้ำเสียงดุดันกับผม...โดยที่ผมเองก็ไม่คิดจะเถียงแม้แต่น้อย

"แชมป์ด้วย ป๊ากับม๊าเราเป็นห่วงแค่ไหนรู้มั้ย"หันไปหาไอ้ตัวดีที่หลบอยู่ด้านหลัง...เมื่อเช้าตอนตื่นมันโทรไปที่บ้านเรียบร้อยแถมโดนบ่นจนหูชาทั้งๆที่มันพยายามอธิบายทุกอย่าง

"ผมโทรไปบอกแล้วครับ เดี๋ยวผมกลับก่อนนะครับอานิด สวัสดีครับ"มันรีบยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกจากบ้าน ส่วนอานิดเองก็ยังไม่ปล่อยผมเช่นกัน

"ธีร์...ธีร์กับอาคงต้องคุยกันยาวล่ะคราวนี้"น้ำเสียงของอานิดแข็งกระด้างไม่เหมือนเคย เธอเดินนำผมไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟายาว

"บอกอามาทั้งหมดนะธีร์ รู้มั้ยว่าทำให้คนรอบข้างเป็นห่วงแค่ไหน เพื่อนธีร์ก็โทรมา แล้วยังขาดสอบอีก อาต้องไปคุยกับอาจารย์เค้าให้ นี่เค้าจะให้ธีร์ดรอปนะ รู้ตัวบ้างมั้ยว่าทำตัวเหลวไหลใหญ่แล้ว"ผมไม่แปลกใจเลยกับสิ่งที่อานิดพูดมาทั้งหมด...การที่ผมหายตัวไปเกือบเดือนย่อมสร้างความปั่นป่วนให้โลกปัจจุบันเป็นอย่างมาก...ผมยังเป็นนักศึกษา มีหน้าที่ต้องเรียนต้องสอบ การหายตัวไปเป็นเดือนย่อมส่งผลต่อการเรียนเป็นอย่างมาก

"อานิด ธีร์ขอโทษ"

"อาไม่ได้มานั่งตรงนี้เพื่อฟังคำขอโทษของธีร์ อาอยากได้คำอธิบาย"สิ่งที่อานิดต้องการ ผมจะพูดมันออกมาอย่างไร...ต่อให้พูดไปอาก็คงไม่เชื่อ

"อานิดครับ...ธีร์รู้ว่ามันตลก...แต่ที่ที่ธีร์ไป เป็นที่ที่ไม่มีใครเคยได้ไปมาก่อน"อานิดขมวดคิ้วแน่น ผมพยายามอธิบายให้อาฟังในสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด

"แม้แต่ธีร์เอง ธีร์ก็อธิบายให้อาฟังไม่ได้ว่าธีร์ไปที่นั่นได้ยังไง แล้วธีร์จะกลับมาได้ตอนไหน มันเป็นแค่จังหวะที่ถูกกำหนดไว้"พูดไปก็แทบจะทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด

"ธีร์ อาไม่เข้าใจหรอกนะ"

"ธีร์รู้ว่าอาไม่เข้าใจ แต่ธีร์ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่าที่ที่ธีร์ไป ธีร์อยู่สุขสบายดี ธีร์ไม่อยากให้อานิดเป็นห่วงธีร์นะครับ"

"ธีร์จะห้ามอาไม่ให้เป็นห่วงไม่ได้หรอกนะ หลานอาหายไปเกือบเดือน นี่รู้มั้ยว่าอาต้องไปแจ้งความเพราะไม่รู้ว่าจะไปหาธีร์ที่ไหน แล้วพอธีร์กลับมา ธีร์ก็บอกอาไม่ได้อีกว่าธีร์หายไปไหนมา นี่ธีร์เป็นอะไรกันแน่"น้ำเสียงของอานิดดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

"อาถามธีร์คำเดียว ที่ธีร์หายไปมันเกี่ยวกับโต๊ะในห้องอาต้นใช่มั้ย"คำถามที่ผมได้แต่หันไปมองอีกฝ่าย...ผมไม่รู้ว่าอานิดรู้ได้อย่างไร และรู้อะไรมาบ้าง แต่สิ่งที่อาถามมันทำให้ผมตกใจ

"ทำไมอานิดถามแบบนั้น"

"อาไม่รู้ถึงได้ถาม อาเห็นธีร์แปลกไปตั้งแต่เห็นโต๊ะนั่น มันเกี่ยวกันใช่มั้ย"ผมได้แต่เงียบกับคำถาม

"ใช่มั้ยธีร์"หากแต่น้ำเสียงของอานิดที่ดังกว่าเดิมคล้ายกับการคาดคั้นในสิ่งที่เธออยากรู้

"มันเกี่ยวกับโต๊ะตัวนั้น แต่ธีร์บอกไม่ได้ว่ามันเกี่ยวกันยังไง อานิดอย่าถามธีร์เลยครับ"ผมตอบได้เพียงเท่านี้...ถึงแม้ใจจริงผมอยากจะบอกความจริงทั้งหมด แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ เพราะมันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะเล่าให้ใครฟัง เรื่องแบบนี้หากไม่เจอกับตัวก็คงไม่เข้าใจ

"ธีร์! นี่ธีร์เป็นอะไร ธีร์หายไปเป็นเดือนแต่ธีร์ไม่ยอมบอกอาว่าธีร์ไปไหน ธีร์ไม่รู้เหรอว่าคนอื่นเค้าเป็นห่วง"หยาดน้ำตาใสรื้นขึ้นบนดวงตาของอานิดอีกครั้ง หากแต่คราวนี้มันคงเป็นเพราะความโกรธ

"อานิด ธีร์ขอโทษ ธีร์ไม่รู้จะอธิบายยังไง ธีร์ขอโทษที่ทำให้อาเป็นห่วง"ผมได้แต่ยกมือกราบแทบตักของอีกฝ่าย...ยิ่งเห็นอานิดโกรธ ยิ่งเห็นอาเสียใจ...ผมก็ยิ่งรู้ว่า...ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม...ผมอาจจะดื้อดึงเข้าข้างตัวเอง...แต่ที่นี่ไม่สามารถเติมเต็มชีวิตผมได้เลย...ถึงแม้ผมจะไม่หายตัวไปจนทำให้อานิดเป็นห่วง แต่ผมก็ต้องหาทางบ่ายเบี่ยงไม่อยู่ที่บ้านนี้อยู่ดี...เพราะในใจผมตอนนั้นเอาแต่นับเวลาถอยหลังจนถึงวันที่ผมจะเรียนจบและได้ย้ายกลับไปอยู่บ้านเดิมของพ่อกับแม่...กลับไปใช้ชีวิตอย่างที่ผมเคยเป็น...ชีวิตที่มีแต่ตัวผมคนเดียว



"อาครับ ธีร์จะไปดรอป"คำพูดที่ทำให้อานิดเงียบไปทันที...ผมคงไม่มีอารมณ์จะไปเรียนถ้ายังคงมีแต่เรื่องให้คิดอยู่แบบนี้

"ถ้าธีร์ตัดสินใจแล้ว..."

"ธีร์ตัดสินใจแล้วครับอา เอาไว้ธีร์ค่อยกลับไปเรียนใหม่ปีหน้า ตอนนี้ธีร์ไม่พร้อม"ผมอยากให้อานิดรู้ ว่าสภาพจิตใจของผมในตอนนี้ก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน...มันไม่ง่ายเลยกับการที่คนๆหนึ่งจะผูกพันกับโลกถึงสองโลกที่มีคำว่ากาลเวลาเป็นตัวกั้นกลาง...กาลเวลานับร้อยปีหากแต่ยิ่งทำให้ผมผูกพันกับคนในอดีตได้มากเสียจนผมเคยคิดว่าอยากอยู่ที่นั่นไปตลอดและไม่กลับมายังโลกปัจจุบันของผมอีก...แต่ในความเป็นจริง ผมไม่ใช่คนที่จะบังคับกลไกทั้งหมดนี้...มันขึ้นอยู่กับอะไรบางอย่างที่แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่รู้ได้...จนถึงตอนนี้...ผมยังไม่รู้อีกเช่นกันว่าผมจะได้กลับไปที่นั่นอีกไหม

"อารู้ว่าธีร์เองก็ไม่สบายใจ เอาเป็นว่าไปพักผ่อนให้เต็มที่ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกับอานะ"มือที่ตบบ่าผมเพียงเบาๆราวกับจะปลอบโยนหากแต่ผมไม่รู้สึกว่ามันช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย



"อาครับ...ถ้าวันนึงธีร์หายไปอีก...อาไม่ต้องตามหาธีร์นะ"พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นทิ้งให้อีกฝ่ายนั่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน...จะหาว่าผมใจร้ายก็ยอม...แต่ยังดีกว่าให้อามานั่งเป็นกังวลทุกครั้งที่ผมหายไป...นั่นมันยิ่งแย่กว่า


ผมเดินกลับขึ้นห้อง...สิ่งแรกที่ทำคือโทรหาไอ้แชมป์...ผมรู้ว่ามันเองก็คงโดนไม่น้อยไปกว่าผม โดยเฉพาะป๊ากับม๊ามันด้วยแล้ว...

-หูกูแทบชา นั่งฟังป๊ากับม๊าบ่นเกือบชั่วโมงอ่ะ-เสียงมันตอบกลับในโทรศัพท์ฟังดูก็รู้ว่าหงุดหงิดไม่แพ้กัน

"แล้วมึงบอกเค้าว่าไร"

-มึงเชื่อปะ กูบอกความจริง-

"เชี่ย แล้วเค้าเชื่อมึงมั้ย"

-เชื่่อกับผี แถมด่ากูอีกยาว หาว่ากูหนีเที่ยวแล้วยังกุเรื่องบ้าบอ- นี่เป็นสาเหตุที่ผมไม่ยอมบอกความจริงกับอานิด...เพราะสิ่งที่พวกผมเจอ มันเรียกได้ว่าเหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง

-นี่จะกักบริเวณกูอีกนะ แต่กูขอไว้ กูก็เข้าใจนะเว้ยว่าหายไปเป็นเดือน แต่กูแทบจะกราบตีนเค้าแล้วอ่ะ กูบอกไปไม่รู้กี่รอบเค้าก็ไม่เชื่อแถมยังด่ากูอีก-

"ใครเค้าจะไปเชื่อมึง แล้วนี่เป็นไง หายเครียดยัง"ผมรู้ดีว่ามันเครียด แล้วก็รู้ด้วยว่ามันเครียดเรื่องอะไร

-ก็ดีขึ้น กูก็คิดถึงป๊ากับม๊านะ แต่กูคิดถึงอีกคนมากกว่า หึหึ-

"ไม่เห็นหน้าซักสามสี่วันไม่ตายหรอกครับมึง"ผมพยายามแค่นเสียงตอบให้เป็นปกติ แว่วเสียงมันหัวเราะมาตามสาย

-ปากดี มึงก็พอกันแหละวะกูว่า หึหึ-

"อย่ามาเหมารวมสัส"

-ถ้ามึงไม่ได้กลับไปอีกจะทำไงวะ-คำถามที่ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร...เพราะผมไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อนเลย

"ต้องได้กลับดิวะ"

-ธีร์ กูตัดสินใจแล้วนะ-มันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

-ถ้าได้กลับไปคราวนี้ กูจะไม่กลับมา กูอยากอยู่กับคุณพิกุล-คราวนี้เป็นทีผมเงียบบ้าง

-กูรักป๊ากับม๊านะ แต่กูอยากอยู่ที่นั่น ถึงพ่อแม่เค้าจะไม่ยอมรับกูเพราะกูเป็นแค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่ให้กูอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ได้เห็นเค้าทุกวันกูก็พอใจแล้วว่ะ-

"มึงบ้าปะแชมป์...ถ้าพ่อแม่เค้าไม่ยอมรับวันนึงเค้าก็ต้องแต่งงานย้ายไปอยู่บ้านอื่น มึงก็ไม่ได้เจอเค้าอยู่ดี"ถึงแม้ใจหนึ่งผมจะเห็นด้วยกับสิ่งที่มันพูด แต่ผมก็ยังอดเป็นห่วงมันไม่ได้

-อย่างน้อยได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ถ้ากูยังอยู่เรือนนั้นวันนึงเค้าก็ต้องกลับมาเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่เค้าบ้าง- ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคนอย่างไอ้แชมป์จะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ผมนับถือในหัวใจมันที่มีให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง คุณพิกุลเป็นผู้หญิงที่โชคดี และผมก็หวังว่าเรื่องของมันกับเธอจะลงเอยด้วยดีเช่นกัน แม้ผมจะมองไม่เห็นหนทางใดในตอนนี้

"มึงอย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้เลย คิดไปก็ปวดหัว เดี๋ยวกูไปนอนละ เพิ่งคุยกับอานิดเมื่อกี้ เครียดเลยมึง"

-เออ อานิดเค้าก็เป็นห่วง มึงจะทำอะไรก็นึกถึงเค้าหน่อยละกัน- คำพูดที่ไอ้แชมป์คอยเตือนสติผมเสมอเรื่องอานิด เพราะมันรู้ดีว่าปกติผมทำอะไรไม่ค่อยคิดถึงใคร เพราะเอาแต่คิดว่าผมมันตัวคนเดียว

"กูรู้แล้ว แค่นี้นะมึง ไว้ตื่นแล้วกูจะไปหาที่บ้าน"ผมพูดจบก่อนจะกดวางสายแล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งลงบนเตียง ก่อนจะทิ้งตัวตาม...คำพูดของแชมป์ยังวนเวียนอยู่ในหัว...ถ้ามันไม่กลับมา โลกนี้ของมันจะเป็นอย่างไร...ป๊ากับม๊ามันจะเสียใจแค่ไหน...แล้วยังเพื่อนๆอีก...ผมยังไม่อยากคิดสภาพว่าถ้าไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อรู้ว่าผมกลับมาแล้วจะเป็นอย่างไร...ตอนนี้ผมแค่เหนื่อย...อยากหลับตาไปนานๆโดยไม่ต้องคิดอะไรอีกเลย...นอกจากภาพของคนเพียงคนเดียว...คนที่ทำให้ผมยังยิ้มได้แม้ทุกอย่างรอบข้างมันจะแย่ไปหมดก็ตาม...


"ผมคิดถึงคุณหลวงนะครับ"คำพูดเพียงแผ่วเบาที่เอ่ยกับสายลมก่อนจะหลับตาลง...เห็นภาพคนตัวสูงกำลังยืนยิ้มโปรยมาให้เช่นเคย...มือที่ไล้เรื่อยอยู่ข้างแก้ม...ริมฝีปากอุ่นที่แตะลงเพียงแผ่วเบาบนหน้าผาก...แว่วเสียงนุ่มคุ้นหูที่เคยได้ยินไม่รู้กี่ครั้ง



'คิดถึงเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่'
.

.

.
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๗ UP!! Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 18-07-2014 17:24:34

ผมตื่นขึ้นมาก็บ่ายกว่าเสียแล้ว สังเกตได้จากดวงอาทิตย์ที่สาดแสงจ้าอยู่ด้านนอกหน้าต่าง...เดี๋ยวนี้ผมแทบไม่ต้องพึ่งนาฬิกาเพราะแค่เห็นแสงตะวันผมก็พอจะเดาได้ว่านี่มันกี่โมงกี่ยามกัน...ผมเดินลงมาข้างล่างพลางคิดว่าควรจะออกไปหาไอ้แชมป์ดีไหม...แต่ก็ยังลังเลเพราะไม่รู้ว่าป๊ากับม๊ามันจะหัวเสียกับผมมากน้อยขนาดไหน เพราะการที่ลูกชายเขาทั้งคนหายไปโดยที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้อง ย่อมทำให้ท่านไม่พอใจเป็นแน่

"คุณธีร์ตื่นแล้วเหรอคะ หิวมั้ย เดี๋ยวป้าทำอะไรให้ทาน"เป็นป้าเพ็ญที่เห็นผมก่อนและทักขึ้นแต่ผมเพียงแค่ส่ายหน้าตอบ...ตอนนี้ไม่อยากจะกินอะไรแม้แต่น้อยทั้งๆที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืนแต่กลับไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด

"อ้อ คุณนิดบอกว่าถ้าคุณธีร์ตื่นแล้วให้ไปหาแกที่ห้องนั่งเล่นด้วยนะคะ"ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง สภาพยังคงงัวเงีย...ปกติกว่าจะใช้เวลาตื่นเต็มสติก็เกือบชั่วโมงได้ แต่ตั้งแต่ที่ผมได้ไปอยู่ที่เรือนเจ้าคุณจิตรา ต้องช่วยเจ้าคุณไพศาลและหลวงพิสิษฐทำงาน ต้องตื่นแต่เช้าเกือบทุกวัน ทำเอาอาการพวกนี้ค่อยๆหายไปทีละนิด


"ตื่นแล้วเหรอลูก"เสียงอานิดทักขึ้นเมื่อผมเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นในสภาพหัวยุ่งไม่เป็นทรง หน้าก็ไม่ค่อยจะรับแขกนักเพราะยังไม่ตื่นดี แต่จะให้ฝืนนอนต่อไปก็คงไม่ไหว

"อานิดมีอะไรรึเปล่าครับ"ผมเดินมานั่งบนโซฟาตัวยาวข้างๆแกที่กำลังอ่านนิตยสารค้างอยู่...อานิดปิดหนังสือลงก่อนจะวางลงบนโต๊ะ สีหน้าบ่งบอกว่าอารมณ์เย็นลงมากแล้ว

"อาว่าจะชวนธีร์ออกไปข้างนอก ไม่มีเพื่อนไปซื้อของด้วยนานแล้ว"ผมรู้ว่าอานิดเพียงแค่อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ เพราะปกติเวลาแกจะออกไปไหนแกมักออกไปกับเพื่อนที่เป็นอาจารย์เสมอ เหตุเพราะผมไม่ค่อยยอมกลับบ้านมาหาแกบ่อยนัก แต่คราวนี้มันไม่เหมือนกันเพราะผมเพิ่งหายตัวไปเกือบเดือน แกคงอยากให้ผมอยู่ด้วยให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

"ธีร์ปวดหัว ยังไม่อยากออกไปไหน"คำแก้ตัวที่ฟังไม่ค่อยขึ้น แต่ผมก็ไม่มีอารมณ์จะออกไปไหนจริงๆอย่างที่ว่า

"งั้นเดี๋ยวอาให้เพ็ญเอายามาให้นะ ธีร์กินยาแล้วก็พักผ่อนซะ"แต่จะให้นอนต่อก็คงนอนไม่หลับเพราะเมื่อเช้าก็นอนไปเสียเต็มที่แล้ว

"เดี๋ยวอาจะออกไปข้างนอก แล้วว่าจะเลยไปหาคุณหญิงอรเสียหน่อย วันนี้ท่านทูตกิตติแกชวนทานอาหารเย็นด้วย"ผมรู้ว่าอากำลังจะออกไปข้างนอกเพราะตอนนี้แกแต่งตัวพร้อม แล้วยังกระเป๋าถือที่วางอยู่ข้างๆอีก หากแต่สิ่งที่วางอยู่ใต้กระเป๋านั้นกลับสะดุดตาผมไม่น้อย...ขอบของกรอบรูปที่ถูกกระเป๋าของอานิดวางทับไว้

"รูปใครเหรอครับ"ผมถามขึ้นพลางมองตามไปยังกรอบรูปนั้น มันดูเก่าเสียจนผมสงสัย...อานิดกำลังจะออกไปข้างนอกแต่กลับจะเอากรอบรูปเก่าๆนี่ไปด้วย

"อ๋อ อาจะเอาไปคืนคุณหญิงอรน่ะ"ว่าพลางหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู หากแต่สายตาผมเหลือบเห็นภาพนั้นพอดี พร้อมกับมือที่ยื่นออกไปดึงมันมาจากมือของอีกฝ่ายจนอานิดมีสีหน้าตกใจ

"ของคุณหญิงอรเหรอครับอา...แล้วนี่..."และคนในรูปนั้นก็ทำให้ผมต้องเบิกตาโพลง...แทบจะปล่อยมือจากมันให้ร่วงลงพื้นเสีย...กรอบรูปที่เก่ามากแล้วและภาพถ่ายนั้นก็ยังเป็นขาวดำ มีร่องรอยของกาลเวลาปรากฎให้เห็น...หากแต่คนในภาพเป็นสองคนที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี...แต่มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรล่ะ

"รูปเจ้าคุณต้นตระกูลท่านทูตกิตติน่ะ วันนั้นอาไปถามเรื่องโต๊ะที่อาต้นซื้อต่อแกมา คุณหญิงแกเลยให้ดูรูปนี้ อารู้สึกติดใจเลยขอยืมมา...มีอะไรเหรอธีร์"คำถามของอานิดเลือนหายไปพร้อมกับคำอธิบายที่มาของรูป...เจ้าคุณต้นตระกูล...

"ธีร์ เป็นอะไรน่ะ"สองมือของอานิดเขย่าตัวผมเบาๆให้พอรู้สึกตัว...ผมมองหน้าอาที่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย

"อานิด...โต๊ะตัวนั้นเป็นของเจ้าคุณต้นตระกูลของลุงกิตติเหรอครับ"ผมเรียกท่านทูตว่าลุงกิตติเพราะท่านเป็นเพื่อนสนิทของพ่อผม ตอนเด็กๆพ่อเคยพาผมไปพบท่านบ่อยๆรวมถึงคุณหญิงอรภรรยาของท่าน

"ใช่ อาไปถามคุณหญิงแกเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่แกไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอกเพราะท่านทูตไม่อยู่...ธีร์ถามทำไม"หากเจ้าของโต๊ะคือคนในรูปจริง...ผมก็ได้รู้ความจริงอย่างหนึ่งแล้วว่าโต๊ะในห้องทำงานของอาต้นเป็นของใคร


"เดี๋ยวธีร์มานะครับ"พูดจบก็รีบลุกพรวดหยิบกุญแจรถแล้วขับออกจากบ้านทันทีโดยที่ไม่รอให้คนถามรั้งไว้แม้แต่น้อย...ความคิดที่ล่องลอยพาลให้เท้าเหยียบคันเร่งหนักกว่าเดิม...โชคดีที่เป็นวันหยุดถนนค่อนข้างโล่ง เลยใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีที่จะพาตัวเองมาจนถึงหน้าบ้านไอ้แชมป์

"โก แชมป์ล่ะครับ"อาของแชมป์ที่ยืนอยู่หน้าบ้านมองผมด้วยสีหน้าสงสัยในสภาพของผมที่ยังอยู่ในชุดนอนกับหัวที่ยุ่งไม่เป็นทรง

"อยู่ข้างในกับป๊าม๊าอีน่ะ"ผมรีบเดินเข้าไปในบ้านที่ตกแต่งแบบจีนแท้ๆของมัน ตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะมาเล่นที่นี่ตั้งแต่เด็ก

"ป๊า ม๊า หวัดดีครับ"เข้าไปก็เห็นไอ้ตัวดีนั่งดูทีวีอยู่ข้างป๊ากับม๊ามันอย่างเงียบเชียบ ดูท่าทางยังไม่หายโกรธง่ายๆที่ลูกชายหายไปเกือบเดือน

"อ้าวอาธีร์ มาหาตี๋ใหญ่เหรอ นี่ยังหายไปด้วยกันไม่พออีกใช่มั้ย"ม๊าของแชมป์หันมาทักแกมแดกดันเมื่อเห็นผม...ผมเพียงยกมือไหว้ตามมารยาท ในขณะที่ป๊าไอ้แชมป์เพียงแค่ปรายตามองก่อนจะยกมือรับไหว้...ส่วนไอ้ตัวดีมันดูตกใจที่เห็นผมวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงนี่

"ผมขอโทษครับป๊า ม๊า...แต่ผมขอยืมตัวมันแป๊บ"ไม่พูดเปล่าลากแขนมันเดินขึ้นห้องอีกต่างหาก



"อะไรของมึงเนี่ยยยยย"ลากมันขึ้นมาจนถึงห้องนอนก่อนที่เจ้าตัวจะสะบัดแขนออก สีหน้ามันสงสัยอย่างเห็นได้ชัด

"มึง...โต๊ะในห้องอาต้น เป็นของหลวงพิสิษฐ"คำตอบที่ทำเอามันอ้าปากค้าง คำพูดที่กำลังจะก่นด่าออกมาถูกกลืนหายไปหมด

"มึงว่าอะไรนะ"

"กูบอกว่าโต๊ะในห้องอาต้นเป็นของหลวงพิสิษฐ"ผมย้ำคำตอบเดิมชัดๆให้มันได้ยิน

"แล้วที่กูกับมึงไปโผล่ในห้องเจ้าคุณจิตราคืออะไรวะ"นั่นคือคำถามที่ผมต้องการคำตอบเช่นกัน...หากโต๊ะที่อยู่ในห้องอาต้นคือโต๊ะของหลวงพิสิษฐ แล้วโต๊ะที่อยู่ในห้องเจ้าคุณจิตราตอนนี้อยู่ที่ไหน? แล้วทำไมผมกับมันถึงได้ข้ามเวลาไปยังเรือนเจ้าคุณจิตรา ไม่ใช่ห้องของหลวงพิสิษฐ...


"กูยืมคอมมึงหน่อย"หันไปบอกเจ้าของห้องที่ยังยืนงงไม่ได้สติ แต่มันก็ยังเดินไปหยิบโน๊ตบุคมาให้แต่โดยดี...สมัยนี้อยากรู้อะไรมันช่างง่ายดายแค่ปลายนิ้วกด...ไม่เหมือนตอนอยู่พระนครที่ต้องขวนขวายเรียนรู้กันด้วยตัวเอง นึกๆไปก็อดขอบคุณบรรพบุรุษที่ช่วยกันคิดค้นเทคโนโลยีให้มันก้าวหน้าจนมาถึงทุกวันนี้เสียไม่ได้


...ผมเปิดโน๊ตบุคของแชมป์ และคำแรกที่ผมพิมพ์ลงไปในช่องค้นหาก็คือ...


...ประวัติพระยาจิตรานุวัตร รัชกาลที่๕...


เพียงปลายนิ้วกดค้นหา...ข้อมูลมากมายก็ปรากฎตรงหน้า...ผมเลือกเข้าไปดูหน้าเพจหนึ่งที่รวบรวมประวัติของบุคคลสำคัญในสมัยนั้น โดยมีไอ้แชมป์นั่งประกบอยู่ไม่ห่าง...ดูมันเองก็อยากรู้ความจริงไม่น้อยไปกว่าผม

"นี่ไงมึง"มันชี้นิ้วไปที่จอเมื่อเห็นชื่อที่ผมกำลังค้นหาปรากฎอยู่ตรงหน้า...ผมกดเข้าไปดูประวัติ...ในหน้านั้นมีรูปถ่ายของเจ้าคุณที่ผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดี เป็นภาพขาวดำเพียงภาพเดียวขนาดไม่ใหญ่นัก...สีหน้าและท่าทางขึงขังเหมือนตัวจริงไม่ผิดเพี้ยนทว่าแววตากลับอ่อนโยน แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นคนมีเมตตาอย่างที่พวกผมรู้กัน

"พระยาจิตรานุวัตร เป็นข้าหลวงกรมการต่างประเทศคนสำคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕"เป็นไอ้แชมป์ที่ไล่อ่านประวัติของท่านเสียงดัง ส่วนผมเองได้แต่ไล่สายตาตามตัวอักษรนั้น

"ท่านเป็นหนึ่งในตัวแทนฝ่ายสยามในการตกลงร่างอนุสัญญาลับกับฝ่ายอังกฤษที่มีขึ้นในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๐ และยังมีส่วนช่วยไม่ให้สยามสูญเสียดินแดนมากไปกว่าที่ควรจะเป็น"

"มีแต่ประวัติการทำงาน มีประวัติครอบครัวมั้ยวะ"มันบ่นขึ้นอย่างหงุดหงิดพร้อมกับที่ผมเลื่อนหน้าจอลงมาเรื่อยๆ...เจ้าคุณจิตราช่างทำประโยชน์เพื่อแผ่นดินไว้มากเสียจริง เห็นได้จากประวัติการทำงานของท่านที่ยาวเหยียด ดูก็รู้ว่าท่านเสียสละเวลาเพื่อทำงานให้ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง

"นี่ไง ประวัติส่วนตัวและครอบครัว"นิ้วของผมเลื่อนหน้าจอลงมาหยุดอยู่ในหมวดประวัติส่วนตัวพร้อมกับเสียงไอ้แชมป์ที่ดังขึ้น

"พระยาจิตรานุวัตรสมรสกับคุณหญิงสร้อย มีธิดาด้วยกันสองคน คือคุณหญิงดาวเรืองและคุณพิกุล ตามคำบอกเล่าของลูกหลาน เหตุเพราะพระยาจิตรานุวัตรไม่มีบุตรชายเมื่อคุณหญิงดาวเรืองให้กำเนิดบุตรชายคนที่สองท่านจึงขอให้หลานชายคนเล็กเป็นผู้สืบสกุล"

"ไม่มีลูกชายเลยให้หลานสืบสกุลแทน...แล้วคุณพิกุลล่ะ"ไอ้แชมป์ดูกระตือรือร้นที่จะค้นประวัติของลูกสาวคนเล็กมากกว่าประวัติของตัวเจ้าคุณเองเสียอีก

"ไม่ได้บอกไว้ว่ะ บอกแค่ว่าคุณดาวเรืองมีลูกชายสองคน"ผมไล่อ่านประวัติท่านจนจบแต่ไม่มีบันทึกไว้แม้แต่น้อยเรื่องของคุณพิกุล...ผมจึงลองค้นหาจากหน้าเพจอื่นที่ขึ้นบนหน้าจอ...แต่ประวัติของท่านก็ไม่แตกต่างจากที่ได้อ่านมาสักเท่าไหร่นัก

"มึงๆ อันนี้ๆ...เค้าบอกว่าธิดาคนเล็กของพระยาจิตรานุวัตรเป็นข้าหลวงเรือนในของทูลกระหม่อม ประวัติส่วนตัวไม่แน่ชัดแต่จากคำบอกเล่าของคนในตระกูลกล่าวว่าเธอใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในวัง และไม่มีประวัติการสมรส...เห้ยยยยย!"อ่านมาถึงตรงนี้ไอ้คนข้างๆผมถึงกับร้องเสียงหลง

"คุณพิกุลไม่ได้แต่งงาน...เจ้าคุณยอมได้ไงวะ"คำถามของมันมีมากมายไปหมดหากแต่สิ่งที่ผมสงสัยกลับไม่ใช่เรื่องของลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตรา แต่เป็นโต๊ะไม้สักอีกตัวนั่นต่างหาก...แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็ไม่พบข้อมูลเพราะไม่ว่ากี่หน้าเพจที่ผมเปิดเข้าไปก็พบแต่ประวัติการทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่และยังเหมือนกันเกือบทุกเพจ

"แล้วกูจะรู้ได้ไงว่าโต๊ะที่เรือนเจ้าคุณจิตราตอนนี้อยู่ที่ไหน ใครเป็นลูกหลานวะเนี่ย บอกแต่ประวัติการทำงาน"ผมบ่นขึ้นอย่างหัวเสียเมื่อรู้สึกว่าตัวเองมาถึงทางตัน...ผมอยากรู้ความจริง...ถึงแม้ความจริงนั้นมันจะไม่ได้มีส่วนช่วยให้ผมได้กลับไปยังพระนคร แต่อย่างน้อยการที่ผมได้กลับมาที่นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้รู้ในสิ่งที่ผมสงสัยมาตลอด...

"แล้วทำไมมึงไม่หาล่ะว่าเจ้าคุณเป็นต้นตระกูลของใคร ไอ้โง่!"อยู่เฉยๆกลับถูกมันด่าเอา ผมเลยลองค้นหาตามที่มันว่า...เพราะในสมัยรัชกาลที่๖มีการพระราชทานนามสกุล ลูกหลานของเจ้าคุณเองก็คงจะได้รับพระราชทานเช่นกัน ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่ขอให้หลานชายเป็นผู้สืบสกุลต่อ

"นี่ไง...หลังจากที่ท่านเสียชีวิตหลานชายที่เป็นผู้สืบสกุลได้ขอพระราชทานนามสกุล และได้รับพระราชทานนามสกุล...จิตต์วัฒนา...ซึ่งผู้ถือนามสกุลนี้เป็นคนแรกก็คือคุณอัษฎา จิตต์วัฒนา บุตรชายคนเล็กของคุณหญิงดาวเรือง"ข้อความที่ผมไล่อ่านทำให้ผมได้รู้ข้อมูลมากขึ้น หากแต่นามสกุลนี้มันช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน

"จิตต์วัฒนา...นามสกุลใครวะ ไม่เคยได้ยิน"เป็นไอ้แชมป์ที่บ่นขึ้นก่อน...เจ้าคุณจิตราเป็นผู้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากนัก หากแต่นามสกุลของท่านกลับไม่ได้เด่นดังในปัจจุบันเท่ากับคุณของท่านที่ทำไว้เลยแม้แต่น้อย...แต่เดี๋ยวนะ...จิตต์วัฒนา...


"โทรหาใครวะมึง"มือที่รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครคนหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเธอน่าจะรู้คำตอบ เพราะชื่อนี้มันช่างติดหูผมเสียเหลือเกิน

"อานิดเหรอครับ"ผมกรอกเสียงไปยังปลายสายโดยมีไอ้แชมป์นั่งขมวดคิ้วมองอยู่ข้างๆ

"อานิดครับ...นามสกุลเก่าคุณย่านี่นามสกุลอะไรนะครับ"



...และคำตอบของอานิดก็ทำเอาโทรศัพท์ในมือผมแทบร่วงลงกับพื้น...เมื่อคำตอบที่ได้รับ มันคือคำตอบเดียวกันกับสิ่งที่ผมอยากรู้...คุณย่าเป็นลูกท่านทูตแต่แต่งงานกับปู่ของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวจีนที่ต้นตระกูลของแกได้รับพระราชทานนามสกุลมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่๖เช่นกัน...


"เชี่ยธีร์ เป็นไรวะ"ไอ้ตัวดีสะกิดแขนผมยิกๆเมื่อเห็นผมนิ่งไป ผมกดตัดสายอานิดโดยไม่รอให้แกถามอะไรต่อ ก่อนจะหันไปมองหน้าคนข้างๆ

"มึง"ไอ้ตัวดีมองหน้าผมราวกับรอฟังคำพูดต่อไป

"เจ้าคุณจิตรา...เป็นต้นตระกูลของย่ากู"คำตอบที่ทำเอาอีกฝ่ายอ้าปากค้าง...ไม่ใช่แค่มัน ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เพราะไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ผมเฝ้าสงสัยและพยายามหาคำตอบมันจะวนเวียนอยู่ใกล้ตัวของผมอย่างไม่น่าเชื่อ

"กูเข้าใจแล้ว ว่าทำไมมึงกับกูถึงไปโผล่ที่เรือนเจ้าคุณจิตราทั้งๆที่โต๊ะนั่นเป็นของหลวงพิสิษฐ"ใช่แล้ว ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้...ทำไมโต๊ะที่อยู่ในห้องอาต้นที่เป็นของหลวงพิสิษฐถึงไม่ได้นำพาผมกับไอ้แชมป์ไปที่ห้องของคุณหลวง แต่กลับเป็นเรือนของเจ้าคุณจิตรา...หากแต่คนข้างๆยังคงมีสีหน้าสงสัย

"จิตที่ผูกพันไงแชมป์...ไม่ใช่แค่กู...มึงก็ด้วย จิตมึงผูกพันกับคนที่เรือนนั้น"ผมเคยคิดว่าการที่มันเดินทางข้ามเวลาไปพร้อมกันกับผมมันเป็นเรื่องบังเอิญ...แต่ผมเคยบอกไปแล้วว่าความบังเอิญไม่มีในโลก...หากมันเพียงแค่บังเอิญเดินทางข้ามเวลาไปพร้อมกับผม...มันคงไม่บังเอิญไปตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงเวลานั้น และคงไม่บังเอิญผูกพันกันถึงขนาดนี้

"เดี๋ยวมึง กูงง...จิตกูผูกพันกับคนที่เรือนเจ้าคุณจิตรา...แต่มึงเองก็ผูกพันกับหลวงพิสิษฐ แล้วทำไม..."

"เพราะเจ้าคุณจิตราเป็นต้นตระกูลของกูไงแชมป์...กูกับท่านผูกพันกันทางสายเลือด มันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่กูมีกับหลวงพิสิษฐมากนัก"หากโต๊ะไม้สักสองตัวสามารถทำให้ผมเดินทางย้อนไปในอดีตได้เหมือนกัน มันก็คงไม่แปลกที่ผมกับมันจะมาลงเอยที่เรือนเจ้าคุณจิตรา...จิตสองดวงที่ผูกพันกับสถานที่ใดที่หนึ่งและบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ย่อมมีพลังมากกว่าจิตของผมเพียงคนเดียว

"แต่ถ้าโต๊ะทั้งสองตัวมันทำให้เราข้ามเวลาได้เหมือนกัน...ทำไมมึงไม่ไปโผล่ที่ห้องหลวงพิสิษฐแต่แรกวะ"ผมเพียงยิ้มให้กับคำตอบนี้

"ไม่จำเป็นเลยมึง...เพราะสุดท้าย...กูกับเค้าก็ได้เจอกันอยู่ดี"ไม่จำเป็นเลยว่าผมจะต้องไปลงเอยที่ห้องของหลวงพิสิษฐ ในเมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดมันได้รับการเฉลยแล้วว่า สุดท้าย ไม่ว่าผมจะอยู่ที่เรือนไหน...ผมก็ยังได้เจอ...ได้รู้จัก...และได้รักคนๆนั้นเหมือนกัน...


...แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากรู้มากกว่านั้นก็คือ...โต๊ะอีกตัวหนึ่งตอนนี้อยู่ที่ไหน...


ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่หาเบอร์ของคนๆหนึ่งซึ่งผมคิดว่าน่าจะรู้คำตอบดี แน่นอนว่าไม่ใช่อานิด...ผมเลือกที่จะไม่ถามอานิดเพราะผมรู้ว่าอานิดจะต้องซักผมอีกยาวในเมื่อเธอเองก็สงสัยว่าการที่ผมหายตัวไปเกือบเดือนมันเกี่ยวกับโต๊ะนั่น...หากแต่บุคคลท่านนี้คงให้คำตอบผมได้ไม่ต่างจากอานิด...เพราะเขามีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆของผม...พี่ชายของพ่อ และลูกชายคนโตของคุณย่า...


"ลุงเอก...ธีร์นะครับ วันนี้ลุงว่างมั้ยครับ ธีร์จะเข้าไปหา"กรอกเสียงไปยังปลายสาย...สิ่งที่ผมอยากรู้...ผมกำลังจะได้รับคำตอบ...

..........................................................................................

เผางานส่งค่าาาาา  :z3: :z3: :z3:
จริงๆอยากยืดอีกหน่อยเพราะจะได้มีโมเม้นหวานๆของคุณหลวงกับน้องธีร์ แต่ขอปิดประเด็นนี้ก่อนดีกว่าเนอะ
แล้วค่อยไปหวาน(รึเปล่า)กันทีหลัง :hao3:

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ตอนต่อไปกำลังปั่นอยู่ค่า

กราบบบบบบ :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 18-07-2014 17:36:01
คุณหลวงคงคิดถึงแย่แล้ว   :impress2:


กลอนเพราะมากเหมือนเดิม   o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-07-2014 19:44:12
ลุ้นจริง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 18-07-2014 21:32:56
ลุ้นสุดๆ แบบนี้คุณหลวงก็รู้แลัวซิว่าพ่อธีร์หายไปไหน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 18-07-2014 22:24:18
ปริศนาต่างๆกำลังจะเฉลยปมสินะ ><
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 18-07-2014 22:42:31
กลอนทำเขินตลอดดดดชอบค่า
งั้นธีร์จะมีเชื้อเจ้ามั้ยคะเนี่ย
แต่ตกใจที่แชมป์บอกจะไม่กลับมาแล้วแบบยิ่งใหญ่จริง

ชอบเวลาพี่แก้วบอกวีาพ่อธีร์ของพี่
มันช่างงงงงงง /me กัดหมอน5555555555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-07-2014 01:56:00
 o13


ลุ้นๆๆ สุดพลัง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 19-07-2014 02:01:06
ยังตามอ่านอยู่จ้า

อ่านไม่ทัน

แต่อยากบอกว่าชอบมากๆ

เป็นกำลังใจให้อีกคนครับ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 19-07-2014 02:40:40
ขอให้ลุงตอบได้ทุกข้อสงสัยนะ  เราก็อยากรู้ :hao6:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 19-07-2014 03:17:15
เย้...อ่านทันแล้ว

อ่านรวดเดียวจนถึงปานนี้(คนเขียนคิดดูว่าชอบขนาดไหน)

ธีร์รีบกลับไปเร็วๆ

คุณหลวงคิดถึงจะแย่แล้ว

สงสารคุณหลวง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 19-07-2014 12:45:12
กรี๊ดๆ เริ่มคลี่คลายแล้วๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: uchikas ที่ 19-07-2014 14:43:03
ลุ้นยิ่งกว่าบอลโลก 55555555
พ่อธีร์ไม่คิดถึงคุณหลวงบ้างรึ
รีบๆกลับไปหาได้แล้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 19-07-2014 18:37:43
หลอกให้คนอ่านอ่านหวานๆ เคลิ้มๆ ดิ้นๆ สายนทีของพี่แก้วอะไรงี้ แล้วหลวงแก้วก็หยอดตลอด เลี่ยนตลอด พ่อธีร์ก็กลายร่างเป็นแมวขี้อ้อนตั้งแต่เมื่อไหร่ หลวงแก้วเห็นแล้วสินะว่าไปมากันยังไง ช็อกมากมั้ยเนี่ย ทั้งช็อกทั้งซึมเศร้าชัวร์ เพราะอยู่ดีๆหายไปเลย ไม่รู้จะกลับมาอีกเมื่อไหร่

แชมป์ก็นะ ตัดสินใจมุ่งมั่นมาก แต่...คุณพิกุลไม่ได้แต่งงาน เรื่องนี้สิ น่ากลัวกว่า แฮปปี้เถอะๆ เครียด คนอ่านทั้งลุ้นทั้งนอยด์ โอ๊ย

ดีใจที่ไม่ยืดเยื้อแบบละครน้ำเน่า ประมาณว่าหวุดหวิดกว่าจะได้เห็นรูป นี่มาแบบ ปึ้งๆๆ เห็นรูปจะๆชัดๆ ไปหาแชมป์ คุยกัน เสิร์ชเน็ต ชัดเจนดี ชอบ ไม่ยืดเยื้อเสียเวลา คุณย่าพ่อธีร์ต้องเป็นลูกสาวคนโตของคุณหญิงดาวเรืองแหงเลย ตอนนี้ก็รอแต่ลุงเอก ลุ้นกันอีกว่าจะได้ข้อมูลไรมาบ้าง ว่าแต่ไม่ตามอานิดไปหาคุณหญิงอรเหรอ เผื่อเจอท่านทูตกิตติ จะได้หาข้อมูลหลวงแก้วด้วย หรืออาจจะไปบ่ายๆ แล้วเจอลุงเอกเย็นๆแทน เอ้อ ลุ้นอีก

ขอบคุณมากนะคะ ดีใจ ทำงานมา12ชม. นอนแล้วตื่นขึ้นมา เจอแบบนี้ละกรี๊ดเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 19-07-2014 19:46:03
วันนี้จะมาป่าวจ้า

รอนะ.........
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: knightprince ที่ 20-07-2014 00:52:19
กลอนของพี่แก้วให้พ่อธีร์มันช่างหวานอะไรได้ขนาดนี้
ความจริงค่อยๆเผยออกมาแล้วสินะ ตื่นเต้นอะ
อยากอ่านตอนต่อไปละเนี่ย พี่แก้วคิดถึงพ่อธีร์ตายละนั้น
ชอบตอนพ่อธีร์อยุ่กะคุณหลวงอะ ละมุนเว่อร์ รอตอนต่อไปน้าาา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 20-07-2014 16:21:41
ทำไมถึงเพิ่งมาอ่านเรื่องนี้!!! 
ชอบแนวนี้มากๆเลย คุณหลวงแก้วน่ารัก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๘ UP!! ๑๘/๐๗/๕๗
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 20-07-2014 22:07:20
ตอนที่ ๑๙...อดีตที่ตามหา...



...บริษัทของเจ้าสัว ธิวากร เตชะวณิช เป็นบริษัทก่อสร้างขนาดกลาง หากแต่มั่นคงด้วยผู้ร่วมหุ้นทางธุรกิจที่มีคุณภาพและยังได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก...เจ้าสัวแต่งงานกับลูกสาวท่านทูตและมีบุตรชายด้วยกันสองคน บุตรสาวอีกหนึ่งคน...หนึ่งในนั้นคือท่านทูตธีรวัฒน์ เตชะวณิช ที่เลือกเรียนสายการทูตตามตระกูลของผู้เป็นแม่ ส่วนบุตรชายคนโตคือคุณเอกภพ เตชะวณิช เป็นผู้สืบทอดกิจการบริษัทต่อจากผู้เป็นพ่อแต่เพียงผู้เดียว ด้วยว่าน้องสาวคนเล็กอย่างคุณนิรมล เตชะวณิช หันไปเอาดีด้านการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแทน

...ทั้งหมดคือประวัติของครอบครัวฝั่งพ่อที่ผมรู้มา...ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ และบางครั้งผมก็ยังนึกด่าตัวเองในใจเป็นสิบรอบที่ไม่ยอมขวนขวายถามคุณย่าตั้งแต่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ถึงความเป็นมาของสกุลของท่าน...แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าเหตุการณ์แปลกๆทั้งหมดนั่นมันไม่เคยเกิดขึ้นกับผม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยากรู้เรื่องญาติฝั่งของคุณย่าไปทำไม...


"อ้าว น้องธีร์ มาหาคุณเอกภพเหรอคะ"เสียงหวานของเลขาคนเก่าแก่หน้าห้องประธานดังขึ้นเมื่อเห็นผมเดินมาจากโถงลิฟท์ชั้นบนสุด...เธอคุ้นเคยกับผมพอสมควรเพราะผมเองก็มาหาลุงอยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนที่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่

"ครับ ผมโทรบอกลุงเอกไว้แล้ว ตอนนี้ลุงอยู่มั้ยครับ"สิ้นเสียง เลขาคนสนิทก็จัดการต่อสายเข้าไปในห้องทันที ก่อนจะหันมาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ผมเข้าไปในห้องได้


ผมเปิดประตูบานใหญ่เข้าไปด้านใน...เกือบหนึ่งปีแล้วที่ผมไม่ได้มาที่นี่ เพราะส่วนใหญ่จะไปพบลุงที่บ้านเสียมากกว่า...ลุงเอก หรือ คุณเอกภพ เตชะวณิช ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทกำลังนั่งดูรายงานจากแฟ้มเล่มโตอยู่ที่โต๊ะทำงานก่อนจะวางมันลงเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามา

"ว่าไงธีร์ มาหาลุงถึงที่ทำงาน มีธุระอะไรด่วนรึเปล่า"ผมยกมือไหว้พอเป็นพิธีก่อนจะเดินตรงเข้ามาหา...ลุงเอกอายุห้าสิบแล้ว แต่ดูเด็กกว่าอายุจริงนักเพราะแกดูแลสุขภาพตัวเองอยู่ตลอด ดูเผินๆแกออกจะคล้ายพ่อของผมอยู่บ้างเพราะอายุห่างกันเพียงแค่สามปี

"ไม่ได้เจอกันนานลุงเอกสบายดีมั้ยครับ"ก่อนอื่นคงต้องถามสารทุกข์สุขดิบกันก่อน แว่วเสียงลุงถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน

"สุขภาพน่ะยังดี แต่งานเยอะจริงๆ ว่าจะให้ต้นมาช่วยแต่กว่าจะเรียนจบกลับมาก็เดือนหน้าโน่น"พี่ต้นคือลูกชายของลุงเอกที่ตอนนี้กำลังเรียนปริญญาโทด้านการบริหารอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

"แล้วเราล่ะ เป็นไงบ้าง เห็นอานิดของเราว่าหายไปเสียนาน"ผมไม่แปลกใจถ้าอานิดจะเล่าให้ลุงฟัง เพราะอย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน...แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น

"ลุงเอกครับ ธีร์มีเรื่องอยากจะถาม"อีกฝ่ายเพียงแค่เงียบแล้วมองหน้า ราวกับรอฟังอยู่

"ลุงเอกพอจะรู้เรื่องเจ้าคุณต้นตระกูลของคุณย่ามั้ยครับ"คำถามที่ทำเอาลุงเอกถึงกับขมวดคิ้วแน่น ผมไม่แน่ใจว่าแกสงสัยว่าทำไมผมถึงถามเรื่องนี้ หรือแกกำลังคิดถึงสิ่งที่แกพอจะรู้อยู่บ้าง

"เจ้าคุณต้นตระกูลเหรอ...เอ ถ้าต้นตระกูลของฝั่งคุณแม่นี่เห็นจะเป็นคุณตานะ ท่านเป็นคนขอพระราชทานนามสกุลน่ะ"ข้อมูลที่ลุงว่ามาตรงกับสิ่งที่ผมค้นเจอในอินเตอร์เนทไม่ผิดเพี้ยน

"คุณทวดของผมคือคุณอัษฎาเหรอครับ"

"ใช่ ว่าแต่เจ้าคุณต้นตระกูลที่ธีร์ว่านี่หมายถึงคนไหนล่ะ"

"พระยาจิตรานุวัตร คุณตาของคุณทวดน่ะครับ"การลำดับญาติเป็นอะไรที่ทำให้ผมสับสนเสมอ ถึงแม้ว่าญาติฝั่งพ่อของผมจะมีไม่มากนัก เพราะเท่าที่รู้มาตั้งแต่สมัยคุณทวดท่านก็มีลูกเพียงแค่สองคนเท่านั้น คือคุณย่ากับพี่ชายของท่าน

"อ๋อ นึกออกแล้ว ท่านเป็นคนที่ขอให้คุณทวดของธีร์เป็นผู้สืบสกุลแทนน่ะเพราะท่านไม่มีลูกชาย คุณแม่เคยเล่าให้ลุงฟัง"โชคดีที่ลุงเอกพอจะรู้อะไรมาบ้าง

"แล้ว คุณทวดอัษฎาเคยอยู่บ้านเดียวกับเจ้าคุณรึเปล่าครับ"คำถามที่ผมอยากรู้คำตอบมากกว่าอะไรทั้งหมด คือเรื่องเกี่ยวกับเรือนหลังนั้น

"ไม่เคยหรอก คุณทวดของธีร์ท่านอยู่กับพ่อแม่จนไปเรียนต่อต่างประเทศ พอดีกับที่เจ้าคุณท่านขอให้มาเป็นผู้สืบสกุล แต่พอท่านเรียนจบกลับมาเจ้าคุณท่านก็เสียไปแล้ว"

"เอ๊ะ แล้วเรือนริมน้ำของเจ้าคุณจิตราล่ะครับ"ผมเริ่มสงสัย เพราะหากคุณทวดที่เป็นผู้สืบสกุลไม่เคยอยู่เรือนนั้นมาก่อน แล้วจะมีใครเข้าไปอยู่หลังจากที่เจ้าคุณจิตราเสียไปล่ะ

"เรือนริมน้ำของท่านเห็นว่าถูกปล่อยทิ้งเพราะไม่มีใครมาอยู่ต่อ"คำบอกเล่าของลุงเอกทำเอาผมใจหาย เรือนไม้สักที่งดงามเช่นนั้นกลับถูกปล่อยร้างไม่มีคนดูแล

"แล้วเรือนนั้นอยู่ที่ไหนเหรอครับ"ผมรู้สึกเหมือนสิ่งที่ผมกำลังหาคำตอบอยู่มันอยู่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น...กำลังคิดว่าหากรู้ที่ตั้งหรือมีใครในตระกูลสักคนที่ย้ายเข้าไปอยู่ตอนนี้ ก็คงจะไขปริศนาทั้งหมดได้โดยง่าย

"ไม่เหลือแล้วล่ะธีร์ เห็นว่าหลังจากที่เรือนถูกปล่อยทิ้งไม่นานก็เกิดไฟไหม้ใหญ่ ยิ่งเป็นเรือนไม้ไฟยิ่งลามง่าย กว่าชาวบ้านแถวนั้นจะมาเห็นก็ไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว"หากแต่คำตอบที่ได้รับราวกับถูกใครเอาไม้มาตีแสกหน้าอย่างจัง ผมรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวเมื่อได้ยินสิ่งที่ลุงเอกเล่า...เรือนถูกปล่อยร้างแล้วยังเกิดไฟไหม้ใหญ่...เรือนไม้สักที่ผมเองก็ผูกพันกับมันไม่น้อยไปกว่าเจ้าของเรือน...มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก

"ไม่เหลืออะไรเลยเหรอครับลุง"ลุงเอกเพียงแค่พยักหน้ารับโดยไม่ตอบอะไร...หากเรือนของเจ้าคุณถูกไฟไหม้หมด โต๊ะไม้สักตัวนั้นก็คงเช่นเดียวกัน...และนั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมกับแชมป์ไม่เคยเดินทางไปยังสถานที่ที่โต๊ะตัวนั้นอยู่ เพราะมันมอดไหม้ตามเรือนนั้นไปแล้วนั่นเอง

"แต่ที่ดินก็ยังเป็นชื่อพี่ชายของคุณย่าของธีร์อยู่นะ เป็นมรดกมาจากคุณทวดของธีร์นั่นแหละ"ใจหนึ่งผมก็อยากจะไปดูที่นั้นให้เห็นกับตา แต่ก็คิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์อะไร

"ว่าแต่ อยากรู้เรื่องนี้ไปทำไมล่ะ ปกติไม่เห็นธีร์เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลยนี่"

"อ๋อ เอ้อออ พอดีธีร์ทำรายงานเรื่องเจ้าคุณท่านนี้น่ะครับพอหาข้อมูลเลยรู้ว่าท่านเป็นต้นตระกูลของคุณย่า คิดว่าลุงเอกน่าจะตอบได้ดีกว่าข้อมูลในอินเตอร์เนท"รีบแก้ตัวพัลวันเพราะเป็นจริงอย่างที่ลุงว่า ผมไม่เคยสนใจลำดับญาติมาแต่ไหนแต่ไร มีงานรวมญาติทีไรพอไปถึงก็เอาแต่ยกมือไหว้ แต่ไม่เคยจำได้เสียทีว่าใครเป็นใครนอกจากญาติสนิท และผมก็สนิทกับญาติฝั่งแม่เสียมากกว่า

"ลุงก็รู้จากคุณย่าของธีร์นั่นแหละ ท่านชอบเล่าเรื่องเก่าๆให้ลุงฟัง"

"งั้น ธีร์ไม่รบกวนลุงแล้วดีกว่าครับ ท่าทางลุงเอกคงมีงานอีกเยอะ"ผมสังเกตเห็นแฟ้มเอกสารกองโตบนโต๊ะของลุงแล้วก็คิดว่าควรกลับก่อนดีกว่าเพราะลุงเอกคงต้องใช้เวลาเคลียร์งานอีกนาน

"พูดอะไรอย่างนั้น หลานมาหาทั้งที เดี๋ยวไปกินข้าวกับลุงเลยก็แล้วกัน ไม่ได้เจอกันนานแล้วนี่นะ"ว่าจะขอตัวกลับแต่ก็คงปฏิเสธคำชวนของลุงไม่ได้เลยต้องตอบรับไป
.

.

.
หลังจากกลับมาจากบริษัทของลุงเอกผมก็รีบโทรรายงานไอ้ตัวดีทันที...น้ำเสียงมันตกใจไม่แพ้ผมตอนที่รู้เรื่องเรือนของเจ้าคุณจิตรา...จะว่าไปตัวมันเองก็ผูกพันกับเรือนนั้นมากกว่าผมเสียอีก...ผมจับได้ว่าน้ำเสียงมันสั่นเล็กน้อยหลังจากที่ผมเล่าให้ฟัง แต่ปากก็ยังพร่ำถามถึงลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราไม่ขาด ซึ่งข้อนี้ผมเองก็ต้องบอกว่าจนปัญญา เพราะไม่ว่าจะถามลุงเอกอีกสักกี่คำถาม สิ่งที่แกรู้มาก็ไม่มากไปกว่าสิ่งที่แกได้บอกไปก่อนหน้า เหตุเพราะทั้งปู่และย่าของผมท่านเสียไปแล้วทั้งคู่ จะให้ไปถามข้อมูลจากใครก็คงไม่ได้แล้ว


ผมกลับมาที่บ้านเอาตอนเกือบค่ำ...แต่ยังไม่ทันก้าวขาพ้นประตูไอ้ต่อก็โทรมาเสียก่อน ไม่รู้พรายกระซิบที่ไหนบอกมันว่าผมกลับมาแล้วมันเลยรีบโทรมาต้อนรับการกลับมาของผมทันที

-สาดดดดดดดดดดด-นั่นไงครับ ผิดคำผมที่ไหน

"ไรของมึง"ผมตอบกลับแบบไม่ค่อยสนใจนัก รู้อยู่แล้วว่ามันกำลังโกรธ

-กูเนี่ยต้องถาม หายหัวไปไหนมาเป็นเดือน เชี่ยแชมป์อีกตัว กูเพิ่งโทรไปด่ามันมาเมื่อกี้-อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่คนแรกที่โดนมันด่า เท่ากับว่าอารมณ์มันคงเย็นลงระดับหนึ่ง

"ไม่บอก มีไรมึง"

-เชี่ยยยยย เดี๋ยวนี้ไม่เห็นกูเป็นเพื่อนแล้วสินะจะไปไหนไม่บอกกูกับไอ้โจ๊กเลยพวกมึงสองตัวนิ่-มันยังด่าผมไม่เลิก แต่ลองคิดกลับกันถ้าเป็นมันที่หายไปผมก็คงด่ามันอยู่เหมือนกันแต่คงไม่ขนาดนี้เพราะผมมันพวกไม่ค่อยสนใจโลกอยู่แล้ว

"อย่ามางอนเป็นผู้หญิง ดูหน้ามึงด้วยครับ"ผมตอบกลับกลั้วเสียงหัวเราะให้มันรู้ว่าแค่แหย่เล่น

-มึงไม่ต้องมาปากดีเลย ออกมาหาพวกกูที่ร้านพี่โอ้เดี๋ยวนี้ กูบอกไอ้แชมป์แล้ว ถ้าพวกมึงไม่ถึงภายในหนึ่งชั่วโมงกูจะไปลากตัวมึงถึงบ้าน-ได้ยินเสียงผู้คนจอแจรอบๆตัวมันผมก็พอจะเดาได้ตั้งแต่ที่มันโทรมาแล้วว่ามันอยู่ที่ไหน

"ขี้เกียจว่ะ เพิ่งกลับถึงบ้านเนี่ย"แต่ผมไม่มีอารมณ์จะออกไปไหนเลยแม้แต่น้อย

-มึงอย่ามา กูให้เวลาหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้เหลือ55นาทีละเพราะมึงมัวแต่เถียงกู ไม่มากูไปลากถึงบ้านจริงๆนะเว้ย-แว่วเสียงไอ้โจ๊กช่วยผสมโรงด่าอยู่ไกลๆ

"เออๆ แค่นี้นะ"ผมแค่ตกลงไปอย่างนั้น ไม่คิดจะออกไปจริงๆหรอกครับ...เอาไว้เจอพวกมันวันหลังเพราะวันนี้ผมไม่มีอารมณ์ทำอะไรเอาเสียเลยหลังจากได้รู้เรื่องเรือนของเจ้าคุณจิตรา...มันทำให้ผมหดหู่จนเกือบร้องไห้...เรือนไม้สักหลังสวยที่เคยเต็มไปด้วยความคึกคักของพวกบ่าวไพร่ในเรือน รวมไปถึงเจ้าของเรือนทั้งสองกับลูกสาวคนเล็ก...หากเพียงเวลาร้อยกว่าปีบัดนี้มันกลับเหลือเพียงพื้นดินว่างเปล่า...นั่นยิ่งทำให้ผมอยากกลับไปพระนครมากขึ้นเพราะจะได้ใช้เวลาอยู่ที่เรือนนั้นได้นานกว่านี้ กับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของผมทั้งสามท่าน...


อานิดยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเช่นเคย หากแต่เธอมีสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อผมกลับไปถึง

"ธีร์ ไปไหนมาลูก กลับมาเอาเกือบค่ำ"และผมรู้ดีว่าเธอเป็นเช่นนี้เพราะกลัวว่าผมจะหายไปอีกครั้ง

"ธีร์ไปหาเพื่อนมาครับ"ผมไม่อยากบอกอานิดว่าผมไปพบลุงเอกมาในวันนี้ เพราะผมรู้ดีว่าอานิดคงสงสัยอยู่ไม่น้อยที่คนอย่างผมจะออกไปพบปะกับญาติพี่น้อง

"วันหลังจะไปไหนก็บอกอาก่อน อาเป็นห่วง"แกดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้แกสบายใจได้มากกว่านี้

"อานิดครับ ธีร์ยังไม่ไปไหนหรอก อาไม่ต้องเป็นห่วง"คำว่า'ยังไม่ไปไหน'ยิ่งทำให้แกเบิกตากว้างกว่าเก่า

"หมายความว่าธีร์จะไปอีกใช่มั้ย"ผมชักรู้สึกเหมือนกำลังทะเลาะกับแพมไม่มีผิด...ผู้หญิงนี่เวลางี่เง่าขึ้นมาไม่ว่าจะเด็กหรือไม่เด็กก็เหมือนกันหมดสินะ

"อานิดครับ ธีร์เคยบอกแล้วไง"

"ถึงธีร์จะบอกว่าไม่ให้อาตามหาถ้าธีร์หายไปอีก อาก็ทำไม่ได้หรอกนะ ธีร์เป็นหลานอา อาจะปล่อยให้ธีร์หายไปไหนอีกได้ยังไง"ถ้าอานิดได้รู้ความจริง อาคงจะไม่พูดคำนี้ เพราะเรื่องนี้แม้แต่ผมเองยังไม่สามารถควบคุมมันได้เลย

"ธีร์ง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ"ผมไม่อยากเถียงอะไรมากกว่านี้ เพราะรู้ดีว่าอานิดคงไม่ยอมง่ายๆ...อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ผมเลยรีบเดินขึ้นมาบนห้องทันที


...ผมทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างพลางหลับตานึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่มันเกิดขึ้น...เรื่องราวที่ผมได้พบเจอและได้รับรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบันมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกหน่วงข้างใน...ยิ่งโดยเฉพาะในเวลานี้ ตอนที่ผมตัดสินใจดรอปเรียน...มันทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย...ผมไม่ต้องไปเรียน...ไม่ได้ทำงาน...วันๆก็คงได้แต่ใช้ชีวิตไร้สาระ...ถึงจะมีเพื่อน มีครอบครัว แต่มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนอยู่อีกที่เลยแม้แต่น้อย...

"คุณหลวงครับ"ผมเรียกใครคนหนึ่งราวกับว่าเขาอยู่ตรงนี้และจะตอบกลับมา หากแต่ทุกอย่างมันยังคงเงียบสงบเหมือนเคย...ผมได้แต่ถอนหายใจยาว...เขาว่าคนเราจะฟุ้งซ่านที่สุดก็ตอนที่อยู่คนเดียว เห็นทีว่าจะจริง...


"ธีร์...คิดถึงพี่แก้วนะครับ"


เสียงพูดเพียงแผ่วเบาราวกับกำลังกระซิบกับตัวเอง...พร้อมกันกับที่โทรศัพท์มือถือส่งเสียงร้องอยู่ข้างๆ..หากแต่ผมไม่สนใจจะหยิบมันขึ้นมาแม้แต่น้อย...ผมเบื่่อเหลือเกิน...เบื่อเทคโนโลยีที่มันล้ำสมัยพวกนี้...อยากคุยกันก็เพียงแค่ยกโทรศัพท์โทรหากัน...ได้ยินแต่เสียง...ไม่เหมือนสมัยก่อน อยากคุยกันก็มาเจอหน้า...มันมีความสุขกว่าเป็นไหนๆ...ผมรู้ว่าผมกำลังเพ้อเจ้อ...แต่กลับหยุดความคิดฟุ้งซ่านในหัวนี้ไม่ได้เลย

โทรศัพท์มือถือยังคงแผดเสียงลั่นเป็นรอบที่สิบ...ผมรู้ดีว่าคงเป็นไอ้โจ๊กไม่ก็ไอ้ต่อที่โทรมาเร่งให้ผมออกไปหา...หากแต่ผมไม่สนใจ...นี่ผมกลายเป็นคนเฉยเมยต่อเพื่อนฝูงไปแล้วรึเปล่านะ...

"ธีร์ หลับรึยังลูก"เสียงอานิดที่มาเคาะประตูเรียกทำให้ผมต้องจำใจลุกไปเปิดอย่างเสียไม่ได้

"ครับ"ทันทีที่เปิดประตูแกก็ยื่นแก้วนมสดในมือมาให้

"อาเห็นธีร์ไม่ค่อยสบายใจ ดื่มนมซักหน่อยช่วยให้ผ่อนคลายได้นะลูก"ผมรู้ว่าอานิดเป็นห่วงผมเสมอ...แต่ผมก็ทำให้แกเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า

"มะรืนนี้ท่านทูตกิตติกับคุณหญิงอรชวนธีร์กับอาไปทานข้าวที่บ้าน ธีร์ไปกับอานะ"ทันทีที่ผมได้ยินชื่อลุงกิตติ ผมก็รีบตอบรับทันที...จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้พ่อของผมกับลุงเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยที่บรรพบุรุษของทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันมากเช่นกัน...ผมไม่มีอะไรที่อยากรู้เป็นพิเศษจากลุงกิตติ...จะมีก็เพียง...ความคิดถึงถึงคนๆหนึ่งจนอยากจะรู้เรื่องราวของเขาจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเป็นหลาน
.

.

.
ผมไม่ได้มาที่บ้านลุงกิตตินานพอสมควรแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่พ่อกับแม่เสียไป ช่วงนั้นท่านยังประจำอยู่ต่างประเทศแต่เพิ่งจะกลับมาเมื่อสามปีก่อนหน้า...ผมสนิทกับท่านดีเช่นเดียวกันกับคุณหญิงอร ก็อย่างที่ผมเล่าไปไม่รู้กี่รอบ พ่อกับแม่ผมสนิทกับท่านด้วยกันทั้งคู่ แล้วยังอานิดกับอาต้นอีก คุณหญิงอรเลยชวนอานิดมาหาที่บ้านอยู่บ่อยๆ

"ตาธีร์ ไม่เจอนานเลย เห็นนิดว่าเรียนหนัก ปีสองเรียนหนักมากเลยเหรอจ้ะ"เป็นคุณหญิงอรที่ทักขึ้นระหว่างที่เรากำลังร่วมโต๊ะอาหารค่ำ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นท่านทูตกับคุณหญิงแต่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ไม่ได้เป็นทางการอะไร เหมือนการทานข้าวกับญาติผู้ใหญ่เสียมากกว่า

"นิดหน่อยครับคุณป้า"ผมอ้อมแอ้มตอบ รู้ดีว่าอานิดเองก็คงไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมหายไปให้ท่านฟัง

"แล้วนี่เลือกได้รึยังว่าจะเรียนเอกอะไร"เป็นลุงกิตติที่ถามผมบ้าง ท่านอายุมากกว่าพ่อของผมไม่กี่ปี ท่าทางสุขุมแต่อ่อนโยน ตั้งแต่ผมรู้ว่าท่านเป็นลูกหลานของเจ้าคุณไพศาลผมถึงได้มาสังเกตเอาตอนนี้ว่าแววตาอ่อนโยนของท่านดูคล้ายกันเสียจริง

"เลือกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเหมือนคุณพ่อครับ"

"อืม ดีๆ มีอะไรสงสัยก็ถามลุงได้นะ ถึงลุงจะจบมาหลายสิบปีแล้วก็เถอะ"ลุงกิตติพูดติดตลกเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ร่วมโต๊ะอาหารได้เป็นอย่างดี


หลังทานอาหารเสร็จคุณหญิงอรก็ชวนอานิดไปดูคอลเลคชั่นกระเป๋าใหม่ของแกที่เพิ่งไปสอยมาจากฝรั่งเศส...ก็ตามประสาผู้หญิงเขาล่ะครับ ผมเลยมีโอากาสได้นั่งคุยกับลุงกิตติในห้องนั่งเล่นเพลินๆ ท่านถามถึงเรื่องเรียน แล้วยังเสนอให้ผมลองไปฝึกงานที่สถานทูตอีก ท่านว่าจะช่วยฝากให้ แต่ผมยังไม่ได้บอกเรื่องที่ผมจะดรอป เลยได้แต่ตอบรับไปพอเป็นพิธี เพราะเอาเข้าจริงกว่าจะฝึกงานก็ปีสามโน่น ยังเหลือเวลาอีกนาน

"ลุงครับ"เมื่อมีโอกาสอยู่กันสองคน ผมเลยคิดจะถามเรื่องเจ้าคุณต้นตระกูลของท่าน

"ลุงช่วยเล่าเรื่องเจ้าคุณต้นตระกูลของลุงให้ธีร์ฟังหน่อยได้มั้ยครับ"ท่านมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อผมขอให้เล่า คงเพราะรู้จักกันมานานแต่ผมก็ไม่เคยแสดงความสนใจเรื่องนี้สักที

"อยู่ๆทำไมถาม หรือติดใจเพราะชื่อบนโต๊ะนั่นเหมือนอานิดของเรา"อีกฝ่ายตอบกลับกลั้วเสียงหัวเราะ ท่านเป็นคนอารมณ์ดี ใครอยู่ใกล้ก็มักจะยิ้มตามได้เสมอ...สมแล้วที่ทำงานด้านนี้

"ก็...นิดหน่อยครับ"ผมอ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก...จะบอกได้อย่างไรล่ะว่าอยากรู้เรื่องอีกคนหนึ่งมากกว่า...เขินเป็นเหมือนกันนะครับ...

"แต่โต๊ะนั่นไม่ใช่ของท่านหรอกนะ เป็นของคนสนิทท่าน"แต่แหม ลุงกิตติเปิดประเด็นมาเสียขนาดนี้ ไอ้ผมจะไม่เลยตามเลยก็คงไม่ได้แล้วล่ะครับ

"ใครเหรอครับ"แต่ก็ต้องเนียนไปก่อน

"ชื่อหลวงพิสิษฐ เป็นคนสนิทของเจ้าคุณไพศาล ธีร์เคยเห็นรูปรึยังล่ะ เห็นคุณอรเขาว่าอานิดเราขอยืมรูปไปนี่"ไม่อยากจะบอกลุงเลยว่านอกจากรูปก็เห็นมาแล้ว...ผมหมายถึงตัวจริงต่างหากเล่า...คิดไปถึงไหนกันแล้วครับคุณผู้อ่าน

"เคย...ครับ"หัวใจที่มันห่อเหี่ยวมาทั้งวันเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเพียงเพราะได้ยินชื่อของอีกฝ่าย...เคยว่าไอ้แชมป์ไว้ว่าอาการหนัก...ผมว่าผมก็ไม่ต่างจากมันเท่าไหร่เลยตอนนี้

"สนิทกันทางไหนเนี่ยลุงเองก็ไม่รู้หรอกนะ แต่เห็นว่าอยู่เรือนเดียวกับเจ้าคุณตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่"

"ลุงกิตติ...รู้เรื่องคุณหลวง เอ้ย หลวงพิสิษฐ เยอะมั้ยครับ"เผลอเรียกอีกฝ่ายจนติดปากเสียแล้วครับไอ้ธีร์

"ไม่ค่อยรู้หรอก ประวัติท่านไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะรู้เรื่องเจ้าคุณไพศาลเสียมากกว่า...แต่คุณปู่ของลุงเคยบอกนะว่าท่านเป็นหนุ่มรูปงาม ลุงเห็นในรูปลุงก็ว่าหล่อจริงๆ นี่ขนาดลุงเป็นผู้ชายด้วยกันนะ สงสัยตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่คงเนื้อหอมน่าดู ธีร์ว่ามั้ย"

"คะ...ครับ"เรื่องนี้ผมไม่เถียงเลยครับลุง

"คุณปู่ของลุงเล่าว่าตอนเด็กๆเคยไปเรียนหนังสือกับหลวงพิสิษฐ เพราะท่านเป็นครู ท่านชอบสอนหนังสือให้เด็กๆอยู่ที่ท่าน้ำของเรือนเจ้าคุณไพศาล"ผมพาลนึกไปถึงวันที่เห็นคุณหลวงสอนหนังสือเด็กๆวันนั้นแล้วก็อดยิ้มตามออกมาเสียไม่ได้

"เด็กๆติดท่านแจเพราะท่านใจดี ขอให้สอนอะไรท่านก็สอน ก็อย่างว่านะธีร์ คนเป็นครูก็ย่อมมีจิตวิญญาณของความเป็นครู"ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้

"แต่เรื่องอื่นลุงก็ไม่รู้แล้วล่ะ เพราะลุงก็ได้ยินมาจากคุณปู่แค่นั้น คุณปู่เองก็ไม่ได้อยู่เรือนเดียวกับท่าน จะไปมาหาสู่กันก็นานๆที"

"ท่านมีภรรยามั้ยครับ"กำลังรู้สึกว่าตัวเองโง่มากครับที่ถามคำถามนี้ออกไป แต่จะถอนคำพูดก็คงไม่ทันแล้ว

"ลุงไม่รู้หรอกธีร์ เรื่องของหลวงพิสิษฐลุงก็รู้แค่จากปากของคุณปู่เท่านั้นแหละ คุณปู่เคยเจอท่านแค่ตอนยังเล็กนัก"แกตอบกลั้วเสียงหัวเราะเช่นเคย คงนึกตลกอยู่ในใจที่ผมถามเรื่องแต่งงานขึ้นมา

"แล้ว เรื่องโต๊ะนั่นล่ะครับ"

"โต๊ะนั่นลุงไปเจอตอนย้ายของออกจากเรือนริมแม่น้ำ...พอดีจะปรับปรุงเรือนใหม่น่ะเพราะมันเก่ามากแล้ว เห็นแล้วถูกใจว่าลายไม้มันสวยนัก ก็เลยเอามาไว้ที่บ้าน ตอนนั้นธีร์ยังไม่เกิดเลย"

"เรือนริมน้ำนั่นยังอยู่เหรอครับลุง"คำตอบของลุงกิตติที่ทำให้ผมเบิกตากว้าง...รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติ

"ยังอยู่สิ ตอนที่ปรับปรุงตอนนั้นก็ตั้งแต่ก่อนธีร์เกิดนั่นแหละ นี่เห็นว่าจะทำอีกรอบเพราะมันก็ตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว...มีคนขอซื้อที่ตรงนั้นหลายคนเลยล่ะ แต่ลุงไม่อยากขาย เสียดายเรือนสวยๆแถมทำเลยังดีอีก"ท่านพูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี

"ลุงครับ...ผมอยากเห็นเรือนนั่น"คำตอบที่ทำเอาเจ้าของบ้านหันมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ

"ธีร์อยากไปเหรอ"ผมพยักหน้ารับ...รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่อย่างน้อยเรือนหลังนั้นก็ยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้...เรือนที่มีความทรงจำของผมมากมายอยู่ในนั้น

"เอาไว้วันหลังลุงจะพาไป แต่คงต้องเป็นหลังจากที่ลุงกลับมาจากดูงานที่ฝรั่งเศสล่ะ"ผมลืมไปเสียสนิทว่าลุงกิตติกำลังจะบินไปดูงานที่ฝรั่งเศสเกือบสองเดือน...จริงๆแล้วก็แค่เดือนเดียวแหละครับ แต่ท่านว่านานๆทีเลยถือโอกาสไปหาพี่อิงกับพี่อาร์มลูกชายท่านที่ทำงานอยู่ที่นั่นทั้งคู่ด้วย...แต่อย่างน้อยท่านก็รับปาก ทำเอาผมตื่นเต้นขึ้นมาทันที...ผมอยากเห็นเรือนหลังนั้นว่าตอนนี้มันจะมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง...
.

.

.
กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว เหตุเพราะผมมัวแต่ชวนลุงกิตติคุยนั่นคุยนี่ทั้งเรื่องเจ้าคุณไพศาลและเรือนทรงฝรั่งริมแม่น้ำของท่าน...กลับมาถึงผมก็ตรงดิ่งขึ้นห้องนอนทันที ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากให้อานิดเป็นห่วงผมเลยไม่ค่อยได้เข้าไปในห้องทำงานของอาต้นบ่อยนัก จะมีก็เพียงบางวันที่อานิดไม่อยู่...


...อาบน้ำเสร็จก็มาทิ้งตัวนอนบนเตียงนุ่มๆของตัวเองเช่นเคย...วันนี้ถึงจะไม่ได้ทำอะไรมากมายแต่ก็รู้สึกเพลียอยู่ดีเพราะตอนนี้ก็เกือบตีหนึ่งแล้ว...และก็เป็นเช่นทุกคืนก่อนที่ผมจะผลอยหลับไปเพราะความง่วง...ราวกับเสียงกล่อมจากที่ไหนสักแห่งที่คอยกล่อมให้ผมหลับฝันดีทุกคืน...ราวกับตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของคนตัวสูงที่คุ้นเคย...และราวกับ'เขา'อยู่ตรงนี้ข้างๆผม...


'คิดถึงเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่'



น้ำเสียงนุ่มที่ผมได้ยินเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ...แม้จะเป็นคำพูดเดิมๆที่ผมได้ยินเกือบทุกคืนแต่กลับทำให้ผมยิ้มได้...



"ผมก็คิดถึงคุณหลวงครับ"

...


น้องธีร์เค้าเป็นคนตรงๆ ชัดเจน และอยากรู้อยากเห็นนะคะ  :hao7:
ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ตอนหน้า...ยังไม่ได้เริ่มจ้า  :z3: รอก่อนนะทุกคน ><"

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 20-07-2014 22:36:49
กลับไปครานี้เห็นทีจะรอดยาก  :z1:




ขออย่างเดียว อย่าจบเศร้าเลยนะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-07-2014 22:41:34
มาแล้ว มาแล้ว

เดี๋ยวมาอ่าน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 20-07-2014 22:41:47
พ่อธีร์ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-07-2014 22:46:14
รีบๆกลับไปหาคุณหลวงเร็ว

สงสารคุณหลวง

ป่านนี้ไม่รู้คุณหลวงเป็นไงบ้าง

คงคิดถึง และสับสนแย่
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-07-2014 23:10:16
เหมือนวนเวียนอยุ่รอบๆ ไกล้เหมือนไกล แต่ยิ่งไกล ก็เหมือนยิ่งไกล้


สู้ต่อไป พ่อธีร์


 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 20-07-2014 23:30:12
อยากให้เขาได้มาเจอหน้ากันไวๆ

สงสารทั้งคุณหลวงและพ่อธีร์

 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 20-07-2014 23:33:03
 :-[   คิดถึงก็ไปหาสิจ๊ะ หนูธีร์
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: เฉื่อย ที่ 20-07-2014 23:59:35
ชอบจังเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 21-07-2014 01:56:57
'คิดถึงเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่'
ระทวยข่าาาาาาาาาา ชอบตอนธีร์บอก
ธีร์ก็คิดถึงพี่แก้ว ถ้าเจ้าตัวได้ยินจริงๆคงยิ้มหน้าบาน
รอรู้ปริศนาไปพร้อมๆธีร์ ตื่นเต้นนนน
ติดตามเสมอค่ะ ;-)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 21-07-2014 03:46:51
ธีร์...คิดถึงพี่แก้วนะครับ มันแบบ โอ๊ย ฮือ อธิบายไม่ถูก เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก แล้วนี่หลวงแก้วเค้าคิดถึงจนเป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้ ทางน้องธีร์นี่คืออัพเดทตลอดไง เดินเรื่องฉับๆ ข้อมูลมาแน่น แต่ข้อมูลหลวงแก้วดันไม่ค่อยมี เสียดายเรือนริมน้ำมากๆ ส่วนศาลาริมน้ำนั้นสงสัยจะรอท่านทูตกิตติกละบมาไม่ไหวนะ คงได้ย้อนอดีตไปซะก่อนแน่ๆ เดาว่าคุณหลวงไม่น่าแต่งงานแน่เลย อาจจะตรอมใจ...

รออ่านต่ออยู่น้า555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 21-07-2014 07:05:30
คิดถึงพี่แก้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 21-07-2014 09:52:19
อยากให้ธีร์กลับไปแล้วง่า  :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 21-07-2014 10:01:50
ไม่น้าาาา แล้วโต๊ะอีกอันอยู่ไหน โดนเผาไปพร้อมเรือนแล้วเหรอ
รู้สึกว่าเรือนสองเรือนนี้ถูกดูแลแตกต่างกันเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! ๒๐/๐๗/๕๗ P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 21-07-2014 13:23:58
กลับไปครานี้เห็นทีจะรอดยาก  :z1:




ขออย่างเดียว อย่าจบเศร้าเลยนะ  :sad4:

แอร๊ย เอางั้นเลยนะ เดี๋ยวบอกพี่แก้วแป๊บค่ะ อิอิ
(พี่แก้วบอกว่า เรามิหื่นนะพ่อ เหรออออออ)



รีบๆกลับไปหาคุณหลวงเร็ว

สงสารคุณหลวง

ป่านนี้ไม่รู้คุณหลวงเป็นไงบ้าง

คงคิดถึง และสับสนแย่

รอแป๊บน๊า ใกล้แล้วๆ


เหมือนวนเวียนอยุ่รอบๆ ไกล้เหมือนไกล แต่ยิ่งไกล ก็เหมือนยิ่งไกล้


สู้ต่อไป พ่อธีร์


 :katai2-1:

ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้น้องธีร์ค่า ยิ้มแก้มปริแล้วเนี่ย ;)


อยากให้เขาได้มาเจอหน้ากันไวๆ

สงสารทั้งคุณหลวงและพ่อธีร์

 :pig4:  :pig4:


:-[   คิดถึงก็ไปหาสิจ๊ะ หนูธีร์


ให้เค้าคิดถึงกันอีกแป๊บเนอะ   อิอิ


ชอบจังเรื่องนี้

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ดีใจมากที่มีคนชอบเช่นกันค่ะ :)


'คิดถึงเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่'
ระทวยข่าาาาาาาาาา ชอบตอนธีร์บอก
ธีร์ก็คิดถึงพี่แก้ว ถ้าเจ้าตัวได้ยินจริงๆคงยิ้มหน้าบาน
รอรู้ปริศนาไปพร้อมๆธีร์ ตื่นเต้นนนน
ติดตามเสมอค่ะ ;-)

ปริศนาเรื่องโต๊ะเคลียร์แล้ว รอลุ้นปริศนาตัวอื่นต่อเนอะ :) ขอบคุณที่ติดตามค่า



ธีร์...คิดถึงพี่แก้วนะครับ มันแบบ โอ๊ย ฮือ อธิบายไม่ถูก เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก แล้วนี่หลวงแก้วเค้าคิดถึงจนเป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้ ทางน้องธีร์นี่คืออัพเดทตลอดไง เดินเรื่องฉับๆ ข้อมูลมาแน่น แต่ข้อมูลหลวงแก้วดันไม่ค่อยมี เสียดายเรือนริมน้ำมากๆ ส่วนศาลาริมน้ำนั้นสงสัยจะรอท่านทูตกิตติกละบมาไม่ไหวนะ คงได้ย้อนอดีตไปซะก่อนแน่ๆ เดาว่าคุณหลวงไม่น่าแต่งงานแน่เลย อาจจะตรอมใจ...

รออ่านต่ออยู่น้า555


มีแต่คนอยากให้น้องธีร์กลับไปนะเนี่ย อิอิ



ไม่น้าาาา แล้วโต๊ะอีกอันอยู่ไหน โดนเผาไปพร้อมเรือนแล้วเหรอ
รู้สึกว่าเรือนสองเรือนนี้ถูกดูแลแตกต่างกันเหลือเกิน

ตอบค่า เพราะเจ้าคุณจิตราไม่มีลูกหลานสืบทอดมรดกค่ะ ลูกสาวก็ดันแต่งงานออกจากเรือนอีก ส่วนหลานที่สืบทอดก็ดันไปเรียนต่อตอนที่ท่านเสียค่ะ
ส่วนคุณพิกุล...ต้องตามอ่านนะ อิอิ

ส่วนเรือนเจ้าคุณไพศาลมีลูกหลานของเจ้าคุณคอยดูแลค่ะ อย่างที่ลุงกิตติบอกว่าตอนแรกจะขาย แต่เสียดายของเก่า
เพราะลุงกิตติสืบเชื้อสายมาจากลูกหลานของเจ้าคุณไพศาลโดยตรงค่ะ




นานๆทีจะได้มาตอบคอมเม้น อิอิ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
ผู้แต่งสัญญาว่าจะพยายามลงให้ต่อเนื่องไม่ดองไว้นานค่ะ
ยังไงก็ฝากติดตามคุณหลวงกับน้องธีร์ต่อไปด้วยนะคะ  :call:

ปล. เหมือนอ่านเจอคอมเม้นเรื่องหลวงเจษฎ์กับแชมป์ แต่หาคอมเม้นไม่เจอแล้วขออนุญาตตอบตรงนี้เลยนะคะ

ที่ถามว่าทำไมหลวงเจษฎ์ไม่ชอบแชมป์ทั้งๆที่แชมป์ตี๋กว่า ตัวเล็กกว่าธีร์

เพราะแชมป์ดูถึกกว่าจ้า ถึงส่วนสูงจะสู้ธีร์ไม่ได้แต่ความถึกกินขาด แต่ไม่ใช่ก้ามปูนะคะ ยังไม่ขนาดนั้น อิอิ
ในเรื่องแชมป์ตี๋ ขาว หัวสกินเฮด ส่วนน้องธีร์ผมค่อนข้างยาวและตัวไม่หนามากค่ะ เพราะงั้นจะดูสะดุดตามากกว่า :-[


วันนี้เม้าพอหอมปากหอมคอเนอะ ไว้วันหลังจะพาน้องธีร์มาตอบคำถามบ้าง แต่ตอนนี้ซึมเป็นหมาหงอยเพราะคิดถึงพี่แก้วอยู่ค่า  :mew5:

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! + ตอบคอมเม้นท์ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 21-07-2014 21:23:57
ก็อยากอ่านโมเมนท์หวานๆบ้าง ฮิฮิ ปล่อยให้หลวแก้วกับพ่อธีร์คิดถึงกันนาน คนอ่านก็เหี่ยวไปด้วย
แต่ใจนึงก็อยากรู้ข้อมูลให้หมด แบบอยากรู้อยากเห็น ส่งน้องธีร์ไปขุดเท่าที่จะทำได้555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! + ตอบคอมเม้นท์ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 21-07-2014 22:09:35
ก็อยากอ่านโมเมนท์หวานๆบ้าง ฮิฮิ ปล่อยให้หลวแก้วกับพ่อธีร์คิดถึงกันนาน คนอ่านก็เหี่ยวไปด้วย
แต่ใจนึงก็อยากรู้ข้อมูลให้หมด แบบอยากรู้อยากเห็น ส่งน้องธีร์ไปขุดเท่าที่จะทำได้555

เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้นะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! + ตอบคอมเม้นท์ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-07-2014 22:21:38
รายการตามล่าหาความจริงกันตอนนี้
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! + ตอบคอมเม้นท์ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: knightprince ที่ 21-07-2014 22:49:12
โอยยยยย คิดถึงกันจะแย่แล้วเนี่ย ทั้งพ่อธีร์ทั้งพี่แก้ว
ตอนธีร์บอกคิดถึงพี่แก้วดูละมุน อ๊ายยยย กลับไปก็บอกพี่แก้วไปเลยนะจ้ะพ่อธีร์
เรื่องราวเริ่มคลายปมละ รีบกลับไปหาพี่แก้วน้าพ่อธีร์
เป็นกำลังใจให้คนแต่งจ้าาา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! + ตอบคอมเม้นท์ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 22-07-2014 00:10:42
น้องก็คิดถึงพี่แก้วเหมือนกันเจ้าค่ะ   เหยยยยยยไม่ใช่ๆ

รีบๆกลับไปเสร็จพี่แก้วซะทีเถอะ!  :hao7: :hao7: :hao7: 
สรุปว่าโต๊ะอีกตัวยังอยู่ไหม :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! + ตอบคอมเม้นท์ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 23-07-2014 23:00:52
ตอนที่ ๒๐...กาลเวลาหวนคืน...







'ฝากความคิดไปกับสายนที
ดวงใจพี่อยู่ที่เจ้ามิเปลี่ยนผัน
ภาวนาให้หวนมาทุกคืนวัน
หากเจ้านั้นแว่วเสียงครวญให้หวนคืน'







...สิบวันผ่าน...๑๑ ๑๒ ๑๓...จนกลายเป็นสองอาทิตย์...ให้ตายสิผมจะมานั่งนับวันทำไมวะเนี่ย?...สภาพผมตอนนี้เหมือนคนพิการไม่มีผิด...นั่งๆนอนๆอยู่แต่บ้าน...อานิดเองก็ดูเหมือนจะติดตามชีวิตผมทุกฝีก้าว ทั้งๆที่ผมแทบไม่ได้ออกไปไหนเลยในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา จะมีก็แค่ออกไปให้ไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อมันรุมด่าที่ร้านพี่โอ้อยู่สองวัน...ส่วนไอ้แชมป์น่ะเหรอ ไม่ต่างจากผมหรอกครับ มันโดนหนักกว่าผมเสียอีกเพราะปกติมันเป็นตัวนำเรื่องสังสรร แต่อยู่ดีๆมันก็กลายร่างเป็นหมาหงอยเอาแต่หมกตัวอยู่กับบ้าน กว่าไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อจะลากมันออกมาเจอได้ก็ต้องบุกไปถึงบ้านกันเลยทีเดียว...ได้ข่าวว่าป๊ากับม๊าไอ้แชมป์ตกใจน่าดูนึกว่าโจรขึ้นบ้าน เพราะมันไปกันอย่างโหด...ส่วนผมไม่ค่อยเรื่องมาก วันไหนเบื่อหน่อยก็ออกไปเจอพวกมันได้...ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ...

"กูไม่ไหวแล้ววววววว"ไอ้แชมป์ที่โพล่งขึ้นเสียงดังทำเอาป้าเพ็ญที่กำลังยกของว่างเข้ามาในห้องนั่งเล่นสะดุ้งจนแทบปล่อยถาดขนมหลุดมือ...ส่วนผมเองชินกับอาการแบบนี้ของมันแล้ว เลยได้แต่นั่งเงียบดูทีวีต่อ

"กูไม่ไหวแล้วธีร์ กูไม่ไหวแล้ววววว"พอมันเห็นผมไม่สนใจเลยหันมาเขย่าตัวผมแรงๆแทน

"ไม่ไหวก็ไปห้องน้ำดิครับ บอกกูทำไม"ผมแหย่มันเล่นครับ รู้อยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร

"ไม่ใช่แบบนั้น โอ๊ยเชี่ย มึงไม่เข้าใจกูเหรอวะ"

"เข้าใจ"ผมตอบกลับสั้นๆ

"เออ งั้นมึงก็เข้าใจดิว่ากูไม่ไหวแล้วววววว"แล้วมันก็บ่นซ้ำคำเดิม...จะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ


ไม่ใช่ว่าผมไม่เป็นอะไร...แต่ผมไม่รู้จะเป็นอะไรดีมากกว่า...ระหว่างนั่งโวยวายเป็นบ้าเป็นบอเหมือนไอ้คนข้างๆนี่...หรือนั่งเงียบเก็บตัวไม่สุงสิงกับใครแล้วหมกตัวอยู่แต่ในห้อง...สุดท้ายผมเลยไม่เลือกสักทาง...เพราะผมรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมานั่งเป็นบ้าเป็นบอหรือเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง...เพราะแค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็หน่วงมากพออยู่แล้ว...ผมไปทำเรื่องดรอปเรียบร้อยเมื่อสองวันก่อน...ช่วงนี้มหาวิทยาลัยปิดเทอมระหว่างภาคพอดีเลยไม่วุ่นวายมาก...ขี้เกียจไปตอบคำถามคนนั้นคนนี้ว่าทำไม แค่โดนไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อนั่งซักประวัติที่ร้านพี่โอ้เกือบสามชั่วโมงก็เมื่อยปากพอแล้ว...ส่วนไอ้แชมป์มันไม่มีปัญหาเรื่องสอบ เพราะคณะมันเรียนค่อนข้างสบาย เน้นส่งงานมากกว่า...ที่สำคัญป๊ากับม๊ามันก็ไปทำเรื่องขอสอบย้อนหลังให้มันเรียบร้อย

"สงบสติอารมณ์ซะบ้างครับมึง"ผมหันไปปรามไอ้ตัวดีที่นั่งหงุดหงิดงุ่นง่านตั้งแต่เมื่อครู่...วันนี้ป๊ากับม๊ามันเมตตายอมปล่อยมันให้มาหาผมได้ จนมันแทบคำนับฟ้าดินใส่

"กู...เบื่ออ่ะ"

"มึงบ่นมาสิบรอบละแชมป์"

"ก็กูเบื่ออ่ะ"ยังบ่นไม่เลิก...มันโดนผีง๊องแง๊งเข้าสิงหรือเปล่าครับ ผมว่าเมื่อก่อนมันไม่ได้เป็นแบบนี้นะ

"ออกไปข้างนอกป่ะล่ะ"มันส่ายหน้าตอบแต่ไม่พูดอะไร

"แดกเหล้า?"ก็ยังส่ายหน้าอีก

"ดูหนัง...วินนิ่ง...เตะบอล...ว่ายน้ำ...เล่นโยคะ...ปาเป้า..."

"เชี่ยพอ!"อุตส่าห์หากิจกรรมให้ ไม่เอาอะไรสักอย่าง

"มึงก็เลิกซึมเป็นหมาหงอยซักที กูเห็นแล้วเบื่อแทน"หันไปส่ายหน้าเอือมๆให้มันสักรอบ

"มึงไม่เบื่อเหรอวะ กูแม่งเบื่ออ่ะ ไม่มีไรทำเลย"แล้วไอ้เมื่อกี้ที่ผมชวนใครมันเอาแต่ส่ายหัวดิ๊กๆวะ

"เบื่อมึงเนี่ย เยอะ!"ขอด่าสักที ไม่ไหวแล้วเหมือนกันเว้ย

"มึงแม่ง!!"เถียงไม่ได้ก็โวยวาย...เออ นอกจากจะเดินทางกลับไปกลับมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันได้ สมองยังกลับเป็นเด็กสิบขวบได้อีกต่างหาก แต่ช่วยดูหน้ามึงด้วยครับแชมป์ว่าไอ้อาการง๊องแง๊งเหมือนเด็กน้อยนี่มันเข้ากับหน้าตี๋โหดๆของมึงไหม

"ทำมาบ่นว่าง กูเห็นงานมึงค้างเป็นกอง ทำแล้วเหรอไง"ผมจำได้ว่ามันต้องวาดงานส่งอาจารย์อีกตั้งหลายชิ้นเพราะมันหายตัวไปเกือบเดือน แล้วยังต้องเตรียมตัวสอบอีก...แต่มันก็ยังมานั่งบ่นนั่นบ่นนี่ที่บ้านผมอย่างกับคนไม่มีอะไรให้ทำ

"ไม่มีอารมณ์"ผมก็เข้าใจนะ พวกเรียนด้านศิลปะ เวลาจะทำงานแต่ละทีมันก็ต้องมีอารมณ์สุนทรีย์ แล้วอาการแบบนี้ผมว่ามันคงจะวาดรูปไม่ออกไปอีกนาน

"แล้วนี่อานิดไปไหนวะ"ไอ้แชมป์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าตั้งแต่มาถึงมันยังไม่ได้เจอกับเจ้าของบ้าน

"วันนี้มีสอน เห็นบอกจะกลับค่ำๆ"อานิดออกไปตั้งแต่เช้าเพราะถูกเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง

"เออมึง แล้วเรื่องเรือนเจ้าคุณจิตรา มันจริงเหรอวะ"ไอ้ตัวดียังคงซักต่อ...ผมรู้ว่ามันเองก็รู้สึกหดหู่ไม่แพ้กันเมื่อได้ยินเรื่องเรือนหลังนั้น

"ลุงเอกบอกกูมาแบบนี้ กูก็ไม่รู้ว่ะ"

"แล้วมึงว่า เราควรไปดูให้เห็นกับตามั้ย"คำถามที่ผมเองก็เคยคิด...แต่เพื่ออะไรล่ะ ถ้ามีคนยืนยันว่าเรือนนั้นถูกไฟไหม้จนไม่เหลืออะไร...การที่ผมไปก็เหมือนกับตอกย้ำตัวเอง

"หรือเราควรถามญาติมึงที่เค้าเป็นเจ้าของที่อ่ะ พี่ชายคุณย่ามึงไง"ไอ้แชมป์ยังรบเร้าไม่เลิก...ผมเข้าใจดีว่ามันคงอยากไปเห็นด้วยตัวเองถึงสิ่งที่ลุงเอกได้เล่าให้ผมฟัง

"มึงอยากไปเหรอ"มันเพียงแค่พยักหน้ารับโดยไม่ตอบอะไร...ส่วนผม เพียงแค่อยากให้มันหายซึมแบบนี้สักที

"งั้นป่ะ...แต่พี่ชายคุณย่าเสียไปแล้ว เดี๋ยวกูพาไปหาป้ากู เค้าเป็นลูกสาวคุณปู่"ผมเรียกพี่ชายของคุณย่าว่าคุณปู่เช่นเดียวกัน ท่านเสียไปหลังคุณย่าไม่กี่ปี ส่วนผมเองก็มีโอกาสได้พบท่านเพียงไม่กี่ครั้งเพราะตอนนั้นยังเด็กนัก...ป้ารินที่เป็นลูกสาวท่านเลยกลายเป็นคนดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของคุณปู่
.

.

.
ผมขับรถพาไอ้แชมป์มาถึงบ้านของคุณปู่...ท่านไม่ชอบความวุ่นวายของเมืองหลวงเลยปลูกบ้านไม้หลังใหญ่อยู่กับภรรยาและลูกสาวแถวชานเมือง...แต่ตอนนี้เหลือเพียงป้าริน หรือ คุณรินลดา ลูกสาวของคุณปู่อยู่กับสามีเพียงสองคน

"ธีร์...นั่นธีร์เหรอ!"น้ำเสียงดีใจของป้ารินดังขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกผมคือคนที่มากดกริ่งเรียกแกอยู่หน้าบ้าน

"ป้ารินสวัสดีครับ นี่แชมป์เพื่อนธีร์ครับป้า"ผมแนะนำคนข้างๆที่ยกมือไหว้ตามมารยาท...ไอ้แชมป์ไม่เคยมาบ้านนี้และไม่รู้จักป้ารินมาก่อน...มันสนิทกับญาติทางฝั่งคุณย่าของผมมากกว่าเพราะบ้านเราอยู่ใกล้กัน

"ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี โตเป็นหนุ่มหล่อใหญ่แล้วนะหลานป้า ไปลูก เข้าบ้านไปกินน้ำกินท่าก่อน"ว่าพลางรุนหลังผมสองคนให้เดินเข้าไปในบ้าน...ถึงจะเป็นเพียงบ้านไม้แต่กลับโอ่โถงใหญ่โตนัก เพราะคุณปู่เองก็มีศักดิ์เป็นถึงหลานพระยาโสภณ สามีของคุณดาวเรือง

"ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะธีร์"คำถามที่ทำเอาผมได้แต่หันไปมองหน้าไอ้ตัวดี ส่วนมันก็ได้แต่พยักเพยิดให้ผมเปิดประเด็น

"ป้ารินครับ...คือ...ธีร์อยากรู้เรื่อง..."

"เรื่องเรือนไม้สักของพระยาจิตรานุวัตรน่ะครับ"เป็นไอ้แชมป์ที่พูดแทรกขึ้นก่อนที่ผมจะจบประโยคดี มันคงทนไม่ไหวที่เห็นผมอึกอักอยู่นาน

"หืม เรือนเจ้าคุณจิตราเหรอ"ไอ้ตัวดีรีบพยักหน้ารับ

"พอดีธีร์ได้เจอกับลุงเอก แล้วลุงเอกแกเล่าให้ฟังเรื่องเรือนของเจ้าคุณ เห็นว่าที่ดินตอนนี้เป็นชื่อของคุณปู่เหรอครับ"เจ้าของบ้านขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย...คงสงสัยที่หลานชายที่ไม่ได้เจอกันเกือบห้าปีอยู่ดีๆก็มาถามถึงเรื่องเรือนโบราณของบรรพบุรุษ

"คุณพ่อเซ็นต์ยกให้เป็นชื่อป้าตั้งแต่ก่อนท่านเสียแล้วล่ะ...ว่าแต่ธีร์ถามทำไมเหรอ"

"เห็นลุงเอกเล่าว่าเรือนเจ้าคุณถูกไฟไหม้หมดเลยเหรอครับ"

"ใช่จ้ะ คุณปู่ของป้าเคยเล่าให้ฟัง ท่านว่าตอนกลับมาเจ้าคุณท่านเสียไปแล้ว ส่วนเรือนก็ถูกปล่อยทิ้งเพราะเจ้าคุณเองไม่มีลูกหลานที่ไหน...ที่ตั้งก็ไม่ได้อยู่ในเขตชุมชน เรือนที่อยู่ใกล้กันก็ค่อนข้างห่าง...เห็นท่านว่าคืนที่เกิดไฟไหม้ไม่มีใครรู้เรื่องเลย ชาวบ้านมาเห็นอีกทีก็ตอนเช้าแล้วล่ะ"ตรงกับที่ลุงเอกเล่าไม่ผิดเพี้ยน...ผมเห็นไอ้แชมป์มีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด...ผมเองก็เช่นกัน แม้จะได้ฟังเรื่องนี้มาสองรอบแล้วแต่ก็ยังสร้างความหดหู่ในใจได้มากทีเดียว

"แล้วก่อนที่เรือนจะถูกปล่อยร้าง มีใครได้ขนย้ายของออกจากเรือนบ้างมั้ยครับ"

"ไม่น่าจะมีนะธีร์ คุณปู่ของป้าท่านเคยกลับไปที่เรือนนั้นแค่ครั้งหรือสองครั้งเองมั้งหลังเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศน่ะ แต่ท่านก็จ้างคนให้เข้าไปคอยดูแลทำความสะอาดอยู่ตลอดนะ"ราวกับยิ่งตอกย้ำ ว่าทั้งเรือนและโต๊ะไม้สักตัวนั้นคงมอดไหม้ไปพร้อมกันตั้งแต่ไฟไหม้เรือนครั้งใหญ่

"ป้าก็เสียดายนะ ป้าชอบเรือนเก่าๆ ตอนคุณปู่เล่าป้ายังบอกท่านเลยว่าอยากไปอยู่ ท่านว่าท่านก็เคยคิดแต่ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อน"อย่างน้อย เรือนหลังนั้นก็ยังเคยมีคนคอยดูแล ไม่ได้ถูกทิ้งร้างอย่างที่ผมเคยเข้าใจ...ไอ้แชมป์ยังคงมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ คงเพราะยังติดใจเรื่องไฟไหม้ใหญ่คราวนั้น

"ผมอยากเห็นที่ตรงนั้นครับคุณป้า"และก็เป็นมันเองที่เอ่ยปากขอเจ้าของที่

"แชมป์อยากไปเหรอ อยู่ไม่ห่างจากบ้านนี้เท่าไหร่หรอก แต่มันไม่มีอะไรหรอกนะ เป็นแค่ที่โล่งๆ เพราะป้าให้คนเข้าไปถางหญ้าอยู่ตลอด...กำลังคิดว่าจะขายเพราะเก็บไว้ก็ไม่ได้ทำอะไร"

"ป้ารินจะขายที่ตรงนั้นเหรอครับ"ผมรีบถามด้วยความตกใจ...จริงอยู่มันเป็นเพียงพื้นที่โล่ง แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นที่ตั้งของเรือนไม้สักโบราณที่ผมกับไอ้แชมป์ผูกพันเป็นอย่างดี

"แค่คิดไว้น่ะ มีคนมาถามหลายคนอยู่เพราะที่ค่อนข้างกว้าง"

"ป้าริน...อย่าเพิ่งขายได้มั้ยครับ...ธีร์อยากได้ที่ตรงนั้น"คำขอร้องที่เจ้าของบ้านได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น

"ถ้าป้าจะขาย ธีร์ขอซื้อที่ตรงนั้นเอง แต่ป้ารอธีร์หน่อยนะครับ"มีเพียงเหตุผลเดียวที่ผมยังไม่สามารถซื้อที่ตรงนี้ได้ นั่นคือผมยังเรียนไม่จบและยังไม่ได้รับมรดกทั้งหมดจากพ่อกับแม่...จะหาว่าผมผลาญมรดกก็ยอมครับ แต่ที่ตรงนี้ผมไม่อยากให้คนอื่นได้มันไปจริงๆ และผมคิดว่าถ้าพ่อยังอยู่พ่อผมคงเข้าใจเช่นเดียวกัน...ผมเห็นไอ้แชมป์อ้าปากค้างตอนที่ผมขอร้องป้าริน...มันเองก็คงไม่คิดว่าผมจะซื้อที่ต่อจากป้าจริงๆ

"ธีร์อยากได้ที่ตรงนั้นเหรอ"ผมพยักหน้ารับจริงจังกับคำถามนั้น

"ถ้าธีร์อยากได้ ป้าจะรอ...อย่างน้อยให้มันตกอยู่ในมือลูกหลานของท่านเอง ท่านคงจะดีใจ"แม้ผมเองจะเป็นลูกหลานของเจ้าคุณจิตราเช่นกัน แต่ก็คงดูไม่ดีนักหากจะเอ่ยปากขอที่ดินผืนนั้นจากเจ้าของเอาเสียดื้อๆ อย่างน้อยมันก็เป็นมรดกตกทอดมาทางคุณปู่ของแก

"แล้วยังอยากไปดูที่อยู่มั้ย ป้าจะพาไป"ผมกับไอ้แชมป์รีบพยักหน้ารับทันที



รอป้ารินแต่งตัวสักพัก แกก็นำทางเรามาถึงจุดหมายที่พวกผมอยากเห็นมันเหลือเกิน...ที่ดินผืนนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของป้ารินอย่างที่แกว่า...ขับรถมาประมาณ๑๕นาทีก็ถึง...ผมสังเกตเห็นรั้วไม้ที่ถูกตีล้อมพื้นที่เป็นแนวยาว...อันที่จริงก็พอจะรู้มาบ้างว่าเรือนเจ้าคุณจิตรานั้นกินพื้นที่กว้างขวางนัก แต่ด้วยตอนนั้นเพราะมีเรือนหลังใหญ่ และยังเรือนบ่าวด้านหลังกับโรงครัว ทำให้ที่นั่นดูไม่โล่งตาอย่างที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้...ผมนั่งมองพื้นที่โล่งกว้างด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนเปกันไป...ทั้งคิดถึง ทั้งหดหู่...แต่มากกว่าสิ่งใดทั้งหมด คือความระลึกถึงพระยาจิตรานุวัตร ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของผมเอง...ความรู้สึกหน่วงในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับคนที่นั่งอยู่เบาะหลังที่ผมสังเกตได้ว่าตามันแดงก่ำ หากแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาก็เท่านั้น...ไอ้แชมป์เข้มแข็งเสมอ ผมไม่เคยเห็นมันร้องไห้...แต่สถานการณ์ในตอนนี้ผมว่าผมเข้าใจมันดีเลยทีเดียว


ผมขับรถกลับไปส่งป้ารินที่บ้าน บอกลาตามมารยาทและขับรถกลับบ้านอานิดทันที...ระหว่างทางทั้งผมและมันเอาแต่เงียบไม่มีแม้บทสนทนาใดๆ มีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดคลอทำลายความอึดอัดที่ลอยวนเวียนอยู่ในรถ ซึ่งผมว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย...ไอ้แชมป์ขอกลับมาที่บ้านผมก่อน ทั้งๆที่ตอนแรกผมอาสาจะไปส่ง แต่พอเห็นสีหน้าไม่สบายใจของมันแล้ว ผมว่าตอนนี้ให้มันอยู่กับผมอีกสักพักก็ดีเหมือนกัน



กลับมาถึงบ้านเอาตอนเกือบค่ำ...พระอาทิตย์ดวงโตสาดแสงสีส้มฉาบท้องฟ้าเบื้องบน หากแต่หมู่ตึกสูงเรียงรายในเมืองหลวงกลับบดบังความงดงามไปเกือบหมดสิ้น...ผมเดินเข้าบ้านตามด้วยไอ้ตัวดีที่อยู่ด้านหลัง...ท่าทางมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่

"มึงโอเคนะ"มันพยักหน้ารับขัดกับสีหน้า

"แดกเหล้าป่ะ"ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรเลยได้แต่ชวนดื่ม ทั้งที่รู้ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา...แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้าตอบแล้วเดินนำเข้าไปในห้องนั่งเล่น...ทิ้งตัวบนโซฟาพลางหลับตาลงครู่หนึ่ง

"กู...หดหู่ว่ะ"มันค่อยๆลืมตาแล้วหันมามองผมที่นั่งอยู่ข้างๆ...ผมพยักหน้ารับเพราะกำลังรู้สึกแบบเดียวกัน

"ตอนที่มึงบอกป้ารินว่าจะซื้อที่ต่อแก กูดีใจมากอ่ะ เพราะกูกะว่าถ้ามึงไม่พูดกูจะขอเค้าเอง"ผมรู้อยู่แล้วว่ามันก็คิดจะซื้อที่ตรงนั้นเหมือนกัน

"ถ้ากูได้ที่ตรงนั้นมา กูจะปลูกเรือนไม้สักให้เหมือนเรือนเดิม...มึงช่วยกูวาดรูปเรือนนั้นหน่อยแล้วกัน"ไอ้ตัวดีพยักหน้าตกลง



...ก่อนที่ผมจะเห็นสีหน้ามันเปลี่ยนไป...คิ้วดกหนาของมันขมวดมุ่น ดวงตาเบิกกว้างราวกับนึกอะไรออก...แต่ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไร มันก็ยื่นมือมากระชากแขนผมให้ลุกขึ้นทันที

"เชี่ยไรวะ"ผมสบถเสียงดังเพราะความตกใจ หากแต่อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงแค่ออกแรงดึงข้อมือของผมไม่ลดละ

"อะไรของมึงวะแชมป์"ปากก็บ่นไปตามทางขณะที่มันลากผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง...และก็ราวกับมีอะไรมาเตือนสติ...ผมมองตามแผ่นหลังของไอ้แชมป์ที่ดูรีบร้อนต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

"มึงอย่าบอกนะ..."คำพูดที่ขาดหายพร้อมกับประตูห้องทำงานของอาต้นที่เปิดออกโดยไอ้ตัวดีที่กำลังฉุดข้อมือของผมเอาไว้...แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด...



...วูบหนึ่งที่คนข้างหน้าเหลียวกลับมามอง...ผมเห็นรอยยิ้มของมัน...ยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นเลยตลอดสองอาทิตย์ที่พวกผมกลับมา...และมันเอง...ก็คงเห็นสีหน้าของผมเช่นเดียวกัน...


...ผมกำลังจะกลับไป...


...กลับไปยังเวลาที่เรือนไม้สักหลังนั้นยังคงโดดเด่นงดงาม...


...กลับไปยังบ้านที่มีแต่เสียงจอแจของพวกบ่าวไพร่และเจ้านายทั้งสาม แต่กลับไม่รู้สึกว่าน่ารำคาญแม้แต่น้อย...


...กลับไปหาบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษ...เจ้านาย...เพื่อน...และ...คนสำคัญ...


...ผมกำลังจะกลับไป...โดยที่ผมไม่สนใจเลยว่าผมจะไปลงเอยที่เรือนไหนก็ตาม...
.

.

.

.
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๑๙ UP!! + ตอบคอมเม้นท์ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 23-07-2014 23:01:32


"เสียใจด้วยนะครับพี่ธีร์...ท่าทางวันนี้มึงจะยังไม่สมหวัง หึหึ"แว่วเสียงไอ้ตัวดีเยาะเย้ยอยู่ข้างๆหูก่อนจะลืมตาขึ้นมองรอบๆ...ห้องทำงานของเจ้าคุณจิตราที่คุ้นเคย...โต๊ะไม้สักโบราณที่ในยุคปัจจุบันของผมไม่เหลือแม้แต่เศษซาก หากแต่โต๊ะตัวนี้ยังคงตั้งเด่นอวดลวดลายสลักงดงามอยู่ในห้องเช่นเคย...ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง...พระอาทิตย์ดวงกลมโตยังคงทอแสงสีส้มอ่อนๆ แสดงให้รู้ว่าเวลาค่ำใกล้มาถึงเต็มที...และผมไม่ได้ตอบอะไรไอ้แชมป์...เพราะผมเคยบอกไปแล้ว...มันไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อยว่าผมจะมาลงเอยที่เรือนไหน...

"แต่ก่อนอื่นเตรียมหูชาก่อนเลยมึง หายหัวไปซะครึ่งเดือนแบบนี้"นั่นแหละที่สำคัญ...คราวก่อนหายไปอาทิตย์เดียวยังโดนดุเสียหูแทบชา...คราวนี้นานกว่า...เห็นทีจะโดนลงหวายหรือเปล่านะ


ไอ้แชมป์ค่อยๆแง้มประตูออกไปเพื่อดูด้านนอก...ตอนนี้ยังไม่มืด ด้านนอกคงยังวุ่นวายอยู่...ผมเห็นคุณหญิงสร้อยนั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือนพร้อมกับคุณพิกุล ส่วนเจ้าคุณจิตราไม่ได้อยู่ด้วยแสดงว่ายังไม่กลับจากกรม...เมื่อเห็นว่าออกทางประตูไม่ได้เพราะจะเป็นที่ผิดสังเกตของทุกคนบนเรือน....ทางออกเดียวที่มีอยู่ก็เห็นจะเป็นทางหน้าต่างห้องทำงานนี่...แต่ปัญหาของพวกผมคือห้องทำงานของเจ้าคุณจิตราไม่ได้ติดกับต้นไม้สักต้นเหมือนห้องนอนของคุณดาวเรือง...เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะลงไปได้คือกระโดดลง ซึ่งผมไม่คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่...แต่ก็เป็นไอ้แชมป์ที่ตาดีสังเกตเห็นขอบไม้ที่ยื่นออกมาจากตัวเรือนไม่มากนัก พอให้เหยียบได้แล้วจึงค่อยกระโดดลงไปด้านล่าง...แต่ถ้าถามว่าเจ็บไหม...จะเหลือเหรอครับคุณ...ผมก็ไม่ใช่นักยิมนาสติกหรือกายกรรมทีมชาติเสียด้วยสิจะได้มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ...แต่เอาเถอะ อย่างน้อยถือว่าลงจากเรือนได้อย่างปลอดภัยครบ๓๒


...ตัวผมในตอนนี้ มันยิ่งกว่าคำว่าตื่นเต้น หรือ ดีใจ...ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายความรู้สึกที่มี...มันเอ่อล้นจนลืมความกลัวที่จะถูกบ่นเรื่องหายตัวไปเสียสนิท...ผมกำลังเดินขึ้นเรือน...เรือนไม้สักโบราณอันงดงามที่ผมนึกถึงมาตลอด...เสียงจอแจของผู้คนบนเรือนที่ผมคิดถึง...และรอยยิ้มของเจ้าของเรือนทั้งสามกับบ่าวไพร่ที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี...จนผมแทบอยากจะตะโกนออกไปเหลือเกินว่า...ผมกลับมาแล้วครับ...


...น่าแปลกที่ทุกคนในเรือนไม่ได้ตกใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นพวกผม ทั้งๆที่หายตัวกันไปถึงสองอาทิตย์ ผิดกับคราวที่แล้วลิบลับ...ถึงพวกผมจะอยู่ในสภาพเสื้อยืดกางเกงยีนส์กันเช่นเคย...แม้แต่คุณหญิงสร้อยเอง ก็เพียงมองหน้าพวกผมสองคนเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนของเรือน...ทำเอาผมกับไอ้แชมป์ได้แต่หันมาสบตากันด้วยความสงสัย

"กลับมากันแล้วรึพวกเอ็ง"น้ำเสียงอ่อนโยนของคุณหญิงสร้อยยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน...แต่ที่ทำให้สงสัยหนักคืออาการปกติจนเกินไปของทุกคนบนเรือนนี่สิ...จะมีก็แต่คุณพิกุลที่สีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อหันมาเห็นไอ้แชมป์

"ห๊ะ...เอ่อ...ครับ"

"คนที่บ้านเอ็งเป็นเยี่ยงไรกันบ้างเล่า"คำถามที่ทำเอาพวกผมได้แต่อ้าปากค้าง

"อะ...อะไรนะครับ!"ทั้งผมและคนข้างๆโพล่งขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนเจ้าของเรือนตกใจ

"จักเสียงดังทำไมนะพวกเอ็ง...ข้าถามว่าคนที่บ้านเอ็งเป็นเยี่ยงไรกันบ้าง"ก็คำถามนั้นแหละที่ทำให้ผมตกใจจนร้องลั่น...คุณหญิงสร้อยรู้?

"เห็นหลวงพิสิษฐว่าพวกเอ็งกลับไปเยี่ยมญาติที่หัวเมือง นึกว่าจักไปนานกว่านี้เสียอีก"คำตอบที่ช่วยให้ทั้งความกระจ่างและความโล่งอกจนถึงขั้นถอนหายใจยาวออกมาพร้อมๆกัน

"อ๋อ...เอ้อออ ใช่ครับคุณหญิง"และก็เป็นไอ้แชมป์ที่ตั้งสติได้ก่อน เพราะตอนนี้สติผมกลับหายไปหลังได้ยินชื่อเมื่อครู่...เขา...เป็นคนบอกทุกคนว่าผมกลับไปเยี่ยมญาติ...ทั้งๆที่ในวันนั้นตัวเขาเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เขาเห็นมันคืออะไร

"หลวงพิสิษฐเป็นคนบอกคุณหญิงสร้อยเหรอครับ"เมื่อสติเริ่มกลับมาจึงได้ถามออกไป

"ก็ใช่น่ะซี หลวงแกมาบอกเมื่อวันที่พวกเอ็งไปนั่นล่ะ เห็นว่าญาติป่วยหนักรึ ดีขึ้นหรือยัง"เจ้าของบ้านถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ต่างจากลูกสาวที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ซึ่งผมคิดว่าผมรู้ว่าคุณพิกุลเป็นอะไร

"ก็...ดีขึ้นมากแล้วครับ...แล้วนี่ เจ้าคุณจิตรายังไม่กลับเหรอครับ"ไอ้แชมป์ตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก ยังดีที่คุณหญิงสร้อยไม่ได้สงสัยอะไร

"เห็นว่าไปหาหลวงพิสิษฐที่กรมแล้วจักมาพร้อมกัน ช่วงนี้หลวงแกกลับไปทำงานที่กรมแต่ก็ยังต้องมาช่วยงานฝั่งนี้บ้างเพราะใกล้งานเลี้ยงทูตเต็มที"คำตอบที่ทำเอาผมเบิกตากว้าง...เขา...กำลังจะมาที่นี่!


ผมเห็นไอ้แชมป์ปรายตามองเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร คงเพราะตัวมันเองก็มีเรื่องต้องคุยกับคนตัวเล็กที่นั่งอยู่อีกฝั่งเช่นกัน...ของมันน่ะ ผู้หญิง อารมณ์น้อยใจต้องมากเป็นธรรมดา...อย่างนี้จะเรียกว่าผมโชคดีหรือเปล่านะครับ?


นั่งคุยกับคุณหญิงสักพักเจ้าของเรือนก็เดินขึ้นมาพอดี...พร้อมกับแขกอีกสองคนที่ผมคุ้นเคย หากแต่คราวนี้หัวใจของผมกลับเต้นระส่ำ...จะด้วยความตื่นเต้นหรือความกลัว ผมเองก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกัน...เจ้าคุณทั้งสองท่านยังคงดูงามสง่าในชุดราชการ ท่าทีสง่าผ่าเผยเหมือนกับรูปภาพที่ผมได้เห็นในยุคปัจจุบัน...แม้จะดูออกว่าท่านมีอายุแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ราศีในตัวท่านลดลงเลยแม้แต่น้อย...ผมมองเจ้าคุณจิตราด้วยความรู้สึกต่างไปจากเดิม เช่นเดียวกับที่มองคุณหญิงสร้อยและคุณพิกุลในตอนแรก...ความรู้สึกตื้นตันมันเอ่อล้นขึ้นมาจนอยากจะร้องไห้มันเสียตรงนี้...บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณของพวกผมในเวลานี้ ในภายภาคหน้าท่านคือหนึ่งในบรรพบุรุษที่ครอบครัวผมยกย่องเทิดทูน


หากแต่สายตาของคนที่เดินตามมาด้านหลังกลับทำให้ผมชะงักงัน...ร่างสูงโปร่งที่ผมนึกถึงมาตลอดในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา...เขาอยู่ในชุดราชการเช่นเดียวกับเจ้าคุณทั้งสอง...ผมรองทรงเสยเรียบไปด้านหลังเผยให้เห็นกรอบหน้าคมเข้มชัดเจน...ท่าทางสง่าผ่าเผยไม่แพ้ใคร หากแต่แววตาที่มองมากลับประหลาดใจยิ่งนัก...

"งานที่กรมมีมากหรือเจ้าคะ กลับเอาเสียเกือบค่ำ"เป็นคุณหญิงสร้อยที่ทักขึ้นก่อนขณะที่ทั้งสามเดินมาถึงพื้นยกกลางเรือน

"ถูกเรียกตัวไว้เสียก่อนกลับน่ะแม่สร้อย"เจ้าของเรือนตอบกลับคุณหญิงผู้เป็นภรรยา

"กินอะไรกันมาหรือยังเจ้าคะ จักได้ให้บ่าวมันเตรียมสำรับให้"บทสนทาเนิบนาบน่าฟังที่ผมคิดถึง หากแต่สายตายังคงไม่ละไปจากคนตัวสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม...เขาเองก็เช่นเดียวกัน...แววตาของเขาไม่ได้แข็งกร้าว แต่แปลกไปไม่เหมือนเคย

"เรียบร้อยแล้วแม่สร้อย พอดียังมีเรื่องที่คุยค้างไว้กับเจ้าคุณไพศาล เห็นทีวันนี้คงดึกอีกกระมัง"คุณหญิงเจ้าของเรือนพยักหน้า ก่อนจะขอตัวลงไปดูของว่างมาให้แขกผู้มาเยือน...คุณพิกุลเองก็ตามลงไปด้วย...ผมเห็นไอ้แชมป์มองตามหลังคนตัวเล็กจนลับตา ตั้งแต่มาถึงมันยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเธอเลยสักคำ...ผมเองก็เช่นกัน

"กลับมาแล้วรึพวกเอ็ง"เป็นเจ้าคุณจิตราที่ถามขึ้นเมื่อคุณหญิงสร้อยและคุณพิกุลคล้อยหลังไป...สีหน้าท่าทางของท่านยังคงเป็นปกติ

"ครับ"

"พวกเอ็งนี่ก็จริงเชียว อยู่เรือนข้าแทนที่จักบอกข้า กลับไปบอกหลวงพิสิษฐเสียได้ เดือดร้อนหลวงแกต้องมาบอกข้าอีก"แต่ก็ยังบ่นตามประสาผู้ใหญ่ ซึ่งผมเองก็เข้าใจท่านดี

"ขอโทษครับเจ้าคุณ พอดี...มันกระทันหัน"ท้ายประโยคผมหันไปมองคนตัวสูงที่นั่งเงียบตั้งแต่มาถึง หากแต่แววตาคมนั้นยังจ้องมาไม่ลดละ...ผมไม่แปลกใจเลยถ้าเขาจะโกรธ...แต่ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเช่นกัน

"ญาติที่ว่าป่วย หายดีแล้วรึพ่อธีร์"เจ้าคุณไพศาลถามขึ้นบ้าง น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนเช่นเดียวกับแววตาของท่าน

"ครับ หายแล้วครับ"ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เจ้าคุณทั้งสองถามอะไรอีกเลย เพราะผมรู้สึกแย่เป็นบ้าที่ต้องโกหก...แต่ถ้าการโกหกของพวกผมมันจะทำให้พวกท่านสบายใจ นั่นคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด


"กระผมขอตัวสักครู่นะขอรับ"เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ขึ้นเรือนมาก่อนจะลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่าง...ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างนั้น...หลากหลายความรู้สึกวนเวียนอยู่ข้างใน...หากแต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้...


"เดี๋ยวผมมานะครับ"พูดจบก็รีบลุกพรวดตามหลังอีกฝ่ายไปทันที แว่วเสียงเจ้าของเรือนบ่นอุบ...ให้ไอ้แชมป์รับหน้าไปก่อนแล้วกันนะครับ...



เดินลงมาข้างล่าง แต่ไม่เห็นแม้เงาของคนตัวสูง...ผมชะเง้อมองไปทางท่าน้ำก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น...หรือจะไปโรงครัว?...แต่เขาจะไปทำไมล่ะ...หากแต่อีกที่ที่พอจะนึกออก ก่อนที่จะพาตัวเองมุ่งตรงไปยังศาลาไม้สักข้างเรือนที่ขณะนี้เงียบสงบเพราะเป็นเวลาใกล้ค่ำเต็มที...พวกบ่าวไพร่คงไปรวมตัวกันที่โรงครัวเพื่อทานมื้อเย็นกันหมดแล้ว...เหลือเพียง...คนตัวสูงที่นั่งอยู่ อย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด...


...ผมเดินเข้าไปใกล้แต่ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากเรียก...เขา...ยังคงนั่งเงียบราวกับกำลังใช้ความคิดบางอย่าง...


"คุณหลวงครับ"รวบรวมความกล้า สูดหายใจลึก ก่อนจะทักออกไป...หากแต่อีกฝ่ายเพียงปรายตามองเท่านั้น...และนั่นยิ่งทำให้ผมใจเสียหนักกว่าเก่า...เขากำลังโกรธ...นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมรับรู้

"ผม..."คำพูดมากมายที่คิดไว้เมื่อไม่ได้อยู่ที่นี่...หากเจอคนตรงหน้าจะบอกว่าอะไรดี...คำพูดที่ตอนนั้นพรั่งพรูอยู่ในความคิด หากแต่ตอนนี้กลับหายไปหมดเหลือเพียงสมองที่ว่างเปล่าเพียงเพราะได้สบกับดวงตาคมวาววับตรงหน้า...ใบหน้าของหลวงพิสิษฐช่างเรียบเฉย ยิ่งทำให้ผมเดาอารมณ์ของเขาไม่ออกเลยสักนิด

"ผมกลับมาแล้ว"นึกอยากจะเขกหัวตัวเองสักสิบรอบ...พูดได้แค่นี้เองเหรอวะธีร์เอ๋ย...ทั้งๆที่หายตัวไปตั้งนาน...คำพูดแรกมันช่างน่าประทับใจเสียเหลือเกิน


...คนตัวสูงเพียงแค่ยืนขึ้นตรงหน้า...ระยะห่างเพียงแค่เอื้อม...หากแต่ผมทำได้เพียงแค่ยืนเฉย ด้วยไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่...มือใหญ่ที่ยื่นมาทำให้ผมต้องหลับตาแน่น...เขาจะโกรธจนตบผมรึเปล่านะ...ถึงจะรู้ว่าคงไม่มีทางเป็นแบบนั้นแต่ก็ยังนึกกลัวขึ้นมาไม่ได้...เพราะหากเป็นผมเอง ถ้าเขาหายไปต่อหน้าต่อตา ผมคงอยากจะต่อยหน้าให้หายโมโหสักทีสองที...



...หากแต่สิ่งที่หลวงพิสิษฐทำกลับยิ่งทำให้หัวใจผมเต้นระส่ำ...มือใหญ่ที่ยื่นมาเพียงสัมผัสแผ่วเบาบนแก้ม นิ้วเรียวดั่งลำเทียนระเรื่อยอ้อยอิ่งอยู่ไม่ห่างจนหน้าของผมร้อนวูบขึ้นมา


"กลับมาแล้วหรือพ่อ"เสียงนุ่มเอ่ยเพียงแผ่วเบา พร้อมกับรอยยิ้มปรายที่ผมเพิ่งจะได้เห็น...เขาไม่โกรธ...และนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด

"ผมขอโทษ"ช้อนตาขึ้นสบตากับอีกฝ่าย พลางยกมือขึ้นทาบทับกับมือใหญ่ที่แตะอยู่ข้างแก้ม...หากแต่ถูกมืออีกข้างรั้งเอวไว้ให้เข้าไปประชิดตัวพร้อมกับสองมือที่โอบรอบเอาไว้แน่น...ใบหน้าคมซุกลงบนไหล่ในขณะที่ผมเองก็เอื้อมมือไปโอบแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าเอาไว้เช่นกัน

"พ่อมิได้ทำอะไรผิด จะขอโทษเราทำไม"ได้ยินเสียงคนตัวสูงไม่ชัดนักเมื่อยังคงซบหน้าลงกับไหล่ของผม

"ผม..."สิ่งที่ทำได้ตอนนี้...เพียงแค่ซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้างของคนตัวสูงที่กระชับวงแขนให้แน่นกว่าเดิม


"ผมคิดถึงคุณหลวงนะครับ"คำพูดที่พร่ำบอกกับตัวเองอยู่ทุกวัน...ในที่สุดก็ได้พูดให้เจ้าตัวได้ยินเสียที...ผมไม่รู้หรอกว่าระยะเวลาสองอาทิตย์ที่ผมเฝ้าบ่นกับตัวเอง...เขาจะรับรู้มันบ้างหรือไม่...แต่อย่างน้อยในตอนนี้...เขาก็ได้รับรู้มันเสียที


"พี่ก็คิดถึงพ่อธีร์"หากมีใครสักคนเดินผ่านแล้วเห็นภาพตรงหน้าคงตกใจไม่น้อย...แต่ผมไม่สนใจมันอีกแล้ว...เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด...คือผมได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง...กลับมาอยู่ในอ้อมแขนของคนตรงหน้าที่ผมเฝ้านึกถึงมาตลอด...และหากเลือกได้...



...ผมจะไม่ผละออกจากวงแขนนี้อีกเลย...



"แต่พ่อธีร์ต้องเล่าให้เราฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น"



...น้ำเสียงเรียบไม่แสดงความรู้สึก...หากแต่แขนทั้งสองยังคงกระชับแน่น...ผมรู้ว่าเขาไม่พอใจ...แต่ในขณะเดียวกัน...ผมก็รู้ว่าเขาคิดถึงผมมากกว่าใคร...และถ้าหากเขาอยากรู้...ผมก็พร้อม


...ที่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง...


...................................................................................................


รอกันนานมั้ยเนี่ย :hao7:
ช่วงนี้คนเขียนติดภารกิจนิดหน่อยนะคะ เลยไม่มีเวลาปั่นงานส่ง
จะว่างอีกทีช่วงสิ้นเดือน ยังไงก็อย่าเพิ่งลืมกันก่อนน๊า  :sad4:

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 23-07-2014 23:27:38
"ผมคิดถึงคุณหลวงนะครับ"
"พี่ก็คิดถึงพ่อธีร์"
โอ๊ย ละมุน ฮือ กอดกันแบบละมุน คราวนี้ต้องอธิบายยาวเลยใช่มั้ย เชื่อว่าหลวงแก้วจะเข้าใจ พอเข้าใจแล้วอาจจะต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในภายภาคหน้า ตอนนี้มันกำหนด มันบังคับอะไรไม่ได้ อนาคตจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ เฮ้อ แต่หลวงแก้วช่างแสนดี บอกคนอื่นว่าพ่อธีร์พ่อแชมป์ไปเยี่ยมญาติ
จะได้ไม่เป็นห่วงและไม่ตำหนิกัน ทั้งๆที่ก็เห็นหายไปต่อหน้าต่อตา พ่อธีร์อย่าทิ้งพี่แก้วเค้านะ งื้อ

ส่วนที่ยุคปัจจุบันก็ไม่มีข้อมูลเพิ่มเลย อยากรู้ข้อมูลหลวงแก้วจริงๆ ว่าเป็นยังไง
จะว่าไปก็สงสารอานิด ไปบรรยายพิเศษทีเดียว กลับมาหลานหายอีกแล้ว

รออ่านต่ออยู่นะคะ อยากให้เขียนจบเร็วๆจัง กลัวว่าเดี๋ยวคนเขียนจะยิ่งยุ่ง
เดี๋ยวนี้2-3วันมาต่อที กลัวอีกหน่อยต้องรอเป็นอาทิตย์

เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้นะ
   
สงสัยต้องรอกลับรอบต่อไปเลย แต่ก็ไม่รับประกันว่าจะได้รู้เรื่องเพิ่มรึเปล่าเนอะ

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-07-2014 23:40:46
งานงอกเชย พ่อธีร์


 :z13:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 24-07-2014 00:30:27
คุณหลวง เราก็คิดถึงคุณหลวงนะ  :z1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 24-07-2014 01:05:57
รู้สึกอยากเป็นธีร์ขึ้นทุกวันๆๆ555555555
คือคุณหลวงดีอ่ะแบบดีจริงๆ
ว่าแต่บอกไปแล้วจะเชื่อมั้ย

สิ้นเดือนก็รอได้ค่าาาา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: knightprince ที่ 24-07-2014 01:41:45
ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอกันสักที บอกคิดถึงกันหวานซ้าาา
ได้เวลาบอกความจริงละ คุณหลวงคงต้องตั้งสติหน่อยเวลาฟัง
คือเชื่อว่าต้องเชื่อพ่อธีร์อยุ่แล้วแหละ เล่นหายไปต่อหน้าต่อตาแบบนั้น
คนอ่านรอได้คะ แค่เอาให้คุ้มกะที่หายไปก็พอ อิอิ รอตอนหน้าจ้าาา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 24-07-2014 05:54:16
 คุณหลวงกดเลย  :hao6:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 24-07-2014 10:59:23
เย้ กลับมาแล้ว ^^
ในที่สุดคุณหลวงก็จะได้รู้ความจริงซักที
รอตอนต่อไปนะคะ แต่โหเกือบสิ้นเดือนเลยหรอ TT
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-07-2014 19:09:07
ได้กลับมาเจอกันอีกก็ดีใจ แต่ก็สงสารคนทางนั้นเหมือนกันที่ต้องทุกข์ใจลูกหลานหายไปอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 24-07-2014 19:41:01
เย้.........ได้อ่านซะที

ขอตัวไปอ่านก่อน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 24-07-2014 20:03:14
อ่านแล้วสงสารคุณหลวงมากๆ

คงคิดถึงแย่
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 24-07-2014 23:14:15

 รักคุณหลวง     :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 25-07-2014 01:26:47
ทำเป็นตีขรึมนะคุณหลวง
ในที่สุดธีร์ก็ได้กลับมา แต่ก็ห่วงอีกทางว่าจะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 25-07-2014 20:51:58
คุณหลวงงงงงงง :hao7: :hao7: :hao7:
สรุปที่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมายเท่าไหร่
สงสัยต้องรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 26-07-2014 22:18:33
ตอนที่๒๑...เวลาที่แตกต่าง...





หากคนหนึ่งคนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสองช่วงเวลา ทั้งอดีต และ ปัจจุบัน...จะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเลือกใช้ชีวิตอยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง...เพียงช่วงเวลาเดียว...โดยไม่หวนกลับไปยังที่ที่จากมาอีกเลย...



"เมื่อยหรือไม่พ่อ"แว่วเสียงนุ่มถามขึ้น เมื่อเจ้าของร่างสูงที่กำลังนอนเหยียดตัวยาวอยู่บนม้านั่งของศาลาไม้สักริมท่าน้ำที่เรือนไม้ทรงฝรั่ง...หากแต่ถามขึ้นเพียงเพราะเขากำลังนอนหนุนตักของผมอยู่...ในมือยังคงกางหนังสือเล่มหนาเกี่ยวกับการบริหารการปกครองของแต่ละประเทศ...ท่าทีผ่อนคลายขัดกับหนังสือที่กำลังอ่านยิ่งนัก

"ไม่ครับ...แต่..."ผมส่ายหน้าตอบ...ไม่ได้เมื่อย แต่กังวลต่างหาก...อีกฝ่ายเพียงละสายตาจากหนังสือตรงหน้าขึ้นมองเป็นเชิงถาม

"ถ้าใครมาเห็นเข้า..."นั่นแหละปัญหา...ไอ้ศาลานี่ก็อยู่ริมน้ำ แล้วยังพวกบ่าวในเรือนอีก...ถึงแม้เจ้าคุณผู้เป็นเจ้าของเรือนจะไม่อยู่ก็เถอะ...อีกฝ่ายเพียงหัวเราะเบาในลำคอ

"กลัวรึ"น้ำเสียงยียวนชัดเจน แต่สายตากลับจดจ้องไปยังตัวหนังสือตรงหน้า

"ผมน่ะไม่เป็นไรหรอกนะครับ...แต่คุณหลวงนี่สิ"

"เรามิเห็นกลัว...พ่อธีร์จะกลัวอะไร"กลับมายังไม่ทันพ้นสามวันก็แหย่ผมเล่นเหมือนเดิมเสียแล้ว

"ถือเป็นการทำโทษ ที่คราวก่อนหนีเราไปเสียได้"เพิ่งรู้ว่าสมัยก่อนเขามีวิธีทำโทษแบบนี้ด้วย

"ผมไม่ได้หนี"ได้แต่บ่นด้วยความไม่พอใจ...ใครว่าหนีกันล่ะ...ไม่ได้อยากไปเสียหน่อย

"แล้วจะเล่าให้ฟังได้หรือยังเล่า"คราวนี้กลับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมนิ่งไป...หนังสือในมือถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับสายตาคมกริบที่ช้อนมองนิ่งเนิ่นนาน



...นับจากวันที่ผมกลับมาก็เพิ่งจะมีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้ง...เพียงเพราะงานที่กรมที่เขาต้องรับผิดชอบ และยังมีงานเลี้ยงท่านทูตที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าคุณทั้งสองให้ช่วยอีก...กว่าจะมีเวลาว่างได้ก็ผ่านไปสามวัน แถมยังบังคับให้ผมมาที่เรือนทั้งๆที่ไม่มีงานอะไรต้องทำแล้ว หากแต่คนตัวสูงให้เหตุผลกับเจ้าคุณจิตราว่าผมต้องมาช่วยดูงานที่เขาทำเอาไว้ในช่วงที่ผมไม่อยู่...ใครว่าหลวงพิสิษฐอ่อนโยน ใจดี และมีเหตุผล...ผมเถียงขาดใจ...ก็เขาน่ะ...ดื้อเงียบ และเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งต่างหากเล่า


"คุณหลวงอาจจะไม่เชื่อที่ผมเล่าก็ได้นะครับ"สบตาอีกฝ่าย...พอเอาเข้าจริงกลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

"พ่อธีร์เพียงเล่า...แล้วเราจะบอกเองว่าเชื่อหรือไม่"คาดคั้นด้วยเสียงเรียบ หากแต่ผมรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจ


การจะเปิดปากเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผมแม้แต่น้อย...หากแต่เพราะรับปากคนตัวสูงเอาไว้ และไม่อยากให้ทุกอย่างมันแย่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว...สองครั้งที่ผมหายไปโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าผมไปไหน...มากไปกว่านั้นคือการที่ผมหายไปต่อหน้าต่อตาเขาในครั้งที่สอง...เป็นใครก็ต้องอยากรู้...

"ผม...ไม่ได้มาจากที่นี่"เพียงแค่เริ่มประโยค...คิ้วดกหนาของคนที่นอนหนุนตักอยู่ก็ขมวดมุ่น ราวกับมีคำถามมากมายอยู่ในใจ

"ที่ที่ผมอยู่...เค้าเรียกว่ากรุงเทพ"

"เรื่องนี้พ่อเล่าให้เราฟังแล้ว"คนตัวสูงแย้ง ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่ผมได้มีโอกาสคุยกับเขาจริงจังเป็นครั้งแรก

"ฟังให้จบสิครับ"โดนว่าเข้าเลยได้แต่นอนเงียบ

"กรุงเทพที่ผมอยู่..."สูดหายใจลึก...พลางมองหน้าอีกฝ่ายที่มีสีหน้าอยากรู้เต็มที




"คือพระนครในอีกร้อยกว่าปีข้างหน้า"คำตอบที่ทำเอานัยน์ตาคมเบิกกว้างอย่างตกใจ..คนตัวสูงลุกขึ้นนั่งตัวตรงแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น



"พ่อว่าอะไรนะ!"



"ผม...มาจากอนาคต...ในปีพุทธศักราช๒๕๕๗"เขาเพียงสบตา ที่ทั้งนิ่งและไม่ไหวติงของผม...ราวกับกำลังคาดคั้นให้ผมพูดออกมา ว่าผมเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น...แต่สายตาของผมคงตอบคำถามทั้งหมดได้ดี...ว่าผมพูดความจริงทุกคำ

"พ่อธีร์...นี่มิใช่เรื่องที่พ่อจะมาล้อเล่นกับเรานะ"มือใหญ่ยื่นมาจับแขนของผมแล้วเขย่าเพียงเบาๆ ราวกับกำลังเรียกสติของผมให้กลับมา...หากแต่เป็นเขาเองต่างหากที่ต้องการมัน

"ผมไม่ได้ล้อเล่น...วันนั้นคุณหลวงก็เห็น"คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย

"วันนั้นคุณหลวงเห็นอะไร บอกผมได้มั้ยครับ"



"เราเห็นพ่อธีร์ ถือสิ่งหนึ่งอยู่ในมือ แต่มันสว่างจ้าเสียจนเรามิรู้ว่ามันคืออะไร...แล้วพ่อก็หายตัวไปต่อหน้าเรา"อีกฝ่ายนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นโดยที่ผมเพียงแค่พยักหน้ารับ

"มันคือที่ทับกระดาษบนโต๊ะไม้สักของคุณหลวงน่ะครับ...โต๊ะตัวที่อยู่ในห้องของคุณหลวงกับตัวที่อยู่ที่เรือนของเจ้าคุณจิตราทำให้ผมสามารถเดินทางย้อนเวลากลับมายังพระนครได้"

"เรามิเข้าใจ"

"เอาเป็นว่า...โต๊ะทั้งสองตัวนั้นเป็นตัวเชื่อมเวลาของที่นี่กับเวลาในโลกปัจจุบันของผม...และผมก็ต้องกลับไปเมื่อมันส่งเสียงเรียกอีกครั้ง"ความเงียบเข้าปกคลุม...อีกฝ่ายเพียงแค่นิ่งไปหากแต่นัยน์ตาคมฉายแววไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัด

"ผมรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ...แต่ในเมื่อคุณหลวงถาม ผมก็ตอบตามความจริง...สิ่งที่จะสามารถยืนยันคำพูดของผมได้...ก็คงเป็นเพียงสิ่งที่คุณหลวงได้เห็นในวันนั้นแหละครับ"

"พ่อกำลังบอกเราว่า ที่พ่อหายไปวันนั้น พ่อกลับไปยังอนาคตเช่นนั้นรึ"คิ้วดกหนาขมวดมุ่น หากแต่ผมเพียงแค่พยักหน้ารับ

"แล้วทุกครั้งที่พ่อได้ยินเสียงเรียก พ่อก็ต้องกลับไปรึ"คำถามที่ถูกถามไม่หยุดหย่อน แต่คำตอบของผมก็มีเพียงคำเดียว

"ใช่ครับ"

"ไม่ไปไม่ได้รึพ่อ"แววตาคมสบนิ่งราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ...คำถามที่ผมก็อยากตอบ เพียงแต่ผมเองก็ไม่รู้เช่นกัน...ที่ทำได้ก็เพียงหลบตาสวยคมคู่นั้น

"พ่อธีร์"น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกช่างต่างกับทุกครั้ง...ราวกับคนตรงหน้ากำลังร้องขอ...ไม่ใช่เพียงถามเพราะอยากรู้



"ผมไม่รู้"



นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมตอบได้...และมันทำให้เขานิ่งไปเช่นกัน




"พระนครในอีกร้อยกว่าปีข้างหน้า เป็นอย่างไรหรือพ่อ"เมื่อเห็นว่าผมตอบรับในสิ่งที่เขาร้องขอไม่ได้ ก็ทำได้เพียงแค่เปลี่ยนเรื่องถาม...แว่วเสียงคนตัวสูงถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ

"อย่างที่ผมเคยเล่าให้คุณหลวงฟัง...กรุงเทพสมัยนั้นเจริญก้าวหน้ามาก...เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าอยากจะทำอะไรก็ง่ายไปหมด"คนตัวสูงเพียงนั่งฟังอย่างเงียบๆ แววตาฉายแววสนอกสนใจในอนาคตของประเทศตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

"แล้วสยามในเวลานั้นตกเป็นอาณานิคมของประเทศอื่นหรือไม่พ่อ"ผมส่ายหน้าตอบ

"ไม่ครับ...เรารักษาเอกราชเอาไว้ได้จนถึงตอนนั้น"รอยยิ้มปรายปรากฎบนใบหน้าของอีกฝ่าย

"แต่...เรากลับสูญเสียความเป็นตัวของเราเอง...เราหลงไหลไปกับวัฒนธรรมของต่างชาติ...ทั้งตะวันตก...อเมริกา หรือแม้แต่ญี่ปุ่นกับเกาหลี...เรารับค่านิยมจากชาติพวกนี้จนเราแทบไม่เหลือเอกลักษณ์ของตัวเอง"สีหน้าของเขาสลดลงอย่างเห็นได้ชัด...แน่ล่ะ ในเวลานี้บรรพบุรุษของเรากำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชของประเทศ เพื่อให้ลูกหลานในภายภาคหน้าได้สืบทอดเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของสยามไว้สืบชั่วลูกชั่วหลาน หากแต่ความจริงแล้ว ถึงแม้เราไม่เคยสูญเสียเอกราช...แต่ในทางนามธรรม เราไม่เหลือแม้แต่เอกราชของชาติเอาไว้ให้ลูกหลานได้สืบทอดแม้แต่น้อย

"โธ่ น่าเสียดายยิ่งนัก"ผมเห็นด้วยกับคำพูดนี้...มันน่าเสียดาย...โดยเฉพาะเมื่อผมได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ชาวสยามทุกคนพยายามรักษาบ้านเมืองเอาไว้...เวลาที่ศิลปะ วัฒนธรรมของเรา ยังคงโดดเด่นจนแม้แต่ชาวต่างชาติเองก็ยังทึ่งในความงดงาม

"แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหลือซะทีเดียว ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่พยายามอนุรักษ์และรักษาวัฒนธรรมของเราไว้เพื่อให้ลูกหลานในภายภาคหน้าได้ศึกษาเรียนรู้"

"แต่ก็น้อยเหลือเกิน"คำพูดของเขาทำให้ผมเพียงแค่พยักหน้าตอบ

"คุณหลวงเคยบอกว่าอยากเห็นกรุงเทพ...ตอนนี้คงไม่อยากเห็นแล้วสินะครับ"ผมยังจำคำพูดของเขาวันนั้นได้ดี...เขาดูตื่นเต้นกับสิ่งที่ผมเล่า นั่นเพียงเพราะเขาไม่รู้เลยว่ามันคือสถานที่เดียวกัน หากเพียงต่างกันด้วยเวลาร้อยกว่าปีกั้น

"อยากเห็นซี...เราอยากเห็นว่าต่อไปภายภาคหน้าชาวสยามใช้ชีวิตกันเยี่ยงไร...แต่ช่างน่าเสียดายที่ศิลปะวัฒนธรรมอันงดงามของชาวสยามได้เลือนหายไปเสียเกือบหมด"

"สยามในตอนนั้น ต่างกับเวลานี้มากเหลือเกินครับคุณหลวง"ผมไม่อยากเห็นสีหน้าหดหู่เช่นนี้ของเขาแม้แต่น้อย หากแต่สิ่งที่ผมเล่ามันคือความจริงที่แม้แต่ตัวผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันช่างต่างกันมากเหลือเกิน


"พ่อธีร์"เสียงนุ่มเอ่ยเรียกอีกครั้ง

"ไม่กลับไปมิได้หรือพ่อ"น้ำเสียงเว้าวอนนั้นทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี หันไปมองภาพแม่น้ำสายหลักตรงหน้าแทน

"อยู่กับเราที่นี่มิได้รึ"ผมกำมือแน่น...ทำไมผมจะไม่อยากอยู่ที่นี่...หากแต่ผมไม่ใช่คนควบคุมกลไกทั้งหมดนี้...แล้วผมจะให้คำตอบอะไรได้...มือใหญ่เอื้อมมาแตะมือข้างที่กำแน่นของผมเอาไว้เพียงแผ่วเบาราวกับรับรู้ว่าผมกำลังหนักใจ...ผมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากคนตัวสูงอีกครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบใด


"เราขอโทษที่ทำให้พ่อเป็นกังวล"ผมคลายมือออกแล้วกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แทน...ไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็ทำให้ผมผ่อนคลายได้เสมอ


"ถ้าผมเลือกได้..."


"ผมก็อยากอยู่ที่นี่ตลอดไปครับ"หากผมสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ...ขอให้ผมได้สมปรารถนาได้หรือไม่...


"เราช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก...ขอให้พ่ออยู่กับเรา ทั้งที่พ่อเองก็ต้องมีคนที่เป็นห่วงอยู่ทางนั้น"คนที่เป็นห่วง...ก็คงมี...หากแต่คนตรงหน้านี้ ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าใคร

"ถ้าคุณหลวงเห็นแก่ตัว...ผมเองก็คงเห็นแก่ตัวไม่น้อยไปกว่าคุณหลวงหรอกครับ"มือที่ยังเกาะกุมกันอยู่สั่นเล็กน้อย...ยิ่งได้กลับมา...ผมก็ยิ่งรู้ตัวเองว่า ผมอยากอยู่ที่นี่มากขนาดไหน...ไม่ใช่เพียงเพราะคนตรงหน้า...แต่เป็นเพราะทุกสิ่งรอบตัวมันทำให้ผมรู้สึก...ว่าผมได้ค้นพบที่ของตัวเองเสียที

"ไม่คิดแล้วนะพ่อ...เราขอโทษ"ยกมือขึ้นลูบผมเพียงแผ่วเบาราวกลับจะปลอบโยน...อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยแม้แต่น้อย...ผมเองต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพูดคำนั้น...เพราะมันคือผมเอง ที่ทำให้เขาไม่สบายใจหลายต่อหลายครั้ง


"ขอบคุณคุณหลวงมากนะครับที่ช่วยพูดกับทุกคนให้พวกผม"หันกลับไปสบตาอีกฝ่ายนิ่ง...หากไม่ได้เขา ผมคงไม่พ้นถูกผู้ใหญ่ดุเสียเป็นการใหญ่...อีกฝ่ายเพียงยิ้มบางๆรับ

"เกรงว่าจะถูกดุเหมือนคราก่อน"ว่าพลางทิ้งตัวลงมานอนหนุนตักผมอีกครั้ง...เอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มเดิมขึ้นมาเปิดอ่านต่ออย่างสบายใจ...แต่ผมรู้ว่าเขายังคงมีอะไรติดอยู่ในใจอีกมาก...ผมเองก็เช่นกัน

"ว่าแต่...ตอนที่ผมไม่อยู่ คุณหลวงแต่งกลอนไว้ให้ผมรึเปล่าครับ"ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ก่อนจะถามออกไป...ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากเห็นคนตรงหน้าเป็นกังวล...อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มปรายตอบกลับมา

"มิได้เขียน"

"แล้วกัน...ไหนบอกว่าจะเขียนให้ทุกวัน"ผมขมวดคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังกลั้นหัวเราะกับท่าทางไม่พอใจของผม

"มิได้พูดเสียหน่อย พ่อธีร์พูดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว"แล้วไหงมาโบ้ยว่าเป็นความคิดผมคนเดียวเสียล่ะ

"ถ้างั้นคงต้องอ่านที่มีอยู่ซ้ำไปซ้ำมาอีกแล้ว"เบือนหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเห็นรอยยิ้มยียวนของอีกฝ่าย ราวกับกำลังถูกแกล้ง

"บอกว่าไม่ได้เขียน มิได้บอกว่าไม่ได้แต่งให้เสียหน่อย"คำตอบที่ทำให้ผมตาลุกวาว หันกลับไปมองคนตัวสูงที่ยังยิ้มปรายให้อย่างอารมณ์ดี...ก่อนที่ริมฝีปากหยักหนาได้รูปจะขยับเอื้อนเอ่ยคำกลอนเพียงแผ่วเบา หากแต่ทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาได้







'แว่วเสียงครวญของนธีร์ว่าคิดถึง
ให้คำนึงถึงน้องที่ห่างหาย
หากแม้นเจ้าได้ยินเสียงหัวใจ
พี่ฝากไปกับสายลมบอกเจ้าที
วอนนธีร์ให้หวนคืนมาอีกครั้ง
จักไม่พลั้งเผลอปล่อยเจ้าให้หายหนี
จักโอบกอดแนบชิดสายนธีร์
วอนน้องพี่ช่วยดูแลดวงหทัย'







ราวกับเสียงกล่อมอันนุ่มนวลคลอกับสายลมเอื่อยยามเย็น...แม้เขาไม่ได้เขียนมันเป็นลายลักษณ์อักษร หากแต่ทุกถ้อยคำกลับสลักลงในใจของผมไม่จางหาย...คนตัวสูงเพียงหลับตาแล้วขับกล่อมกลอนเพียงแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนในทุกถ้อยคำ...

"ตอนที่พ่อไม่อยู่ เราฝันถึงพ่อบ่อยครั้ง"หนังสือเล่มหนาในมือถูกกางพาดไว้บนอก...มือใหญ่เอื้อมมาจับมือของผมเอาไว้

"ฝันว่าอะไรครับ"ผมขมวดคิ้วมุ่นกับคำบอกเล่าจากอีกฝ่าย

"ฝันว่าพ่อคิดถึงเรา"รอยยิ้มยียวนปรากฎบนใบหน้าทำเอาผมชะงักกึก

"คุณหลวงคิดไปเองนะครับ"ผมหัวเราะเบาในลำคอ...จริงอยู่ที่เขาฝัน...แต่เรื่องอะไรผมจะยอมรับง่ายๆเสียล่ะ

"จริงรึ...แต่เราได้ยินเสียงพ่อธีร์ชัดเจนทีเดียว...พ่อบอกเราว่า..."ยกยิ้มมุมปากก่อนจะช้อนตามองผมนิ่ง



"ธีร์คิดถึงพี่แก้ว"



คำพูดที่ทำเอาหน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที...นี่มันเหลือเชื่อ...ผมเคยได้ยินเสียงของเขาบ่อยครั้ง...แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดของผมที่พร่ำบอกกับตัวเองอยู่ทุกวัน...เขาจะรับรู้มันเช่นกัน

"ไม่เคยพูดซักหน่อย"เสตามองไปทางอื่น ทั้งที่รู้ตัวเองว่าปิดอย่างไรก็คงไม่มิด

"แล้วกัน เราคิดถึงพ่ออยู่คนเดียวหรือนี่"แล้วไอ้น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจนี่ใครเขาสอนกันมาครับหลวงพิสิษฐ

"พูดให้ฟังอีกครั้งได้หรือไม่พ่อ"มือใหญ่ที่จับอยู่กระตุกมือผมเบาๆให้ผมหันกลับมามอง

"พูดอะไรครับ"ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แก้เขินไปอย่างนั้น

"พูดอย่างที่พ่อพูดให้เราฟังในฝัน"

"ฝันของคุณหลวงผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าผมพูดอะไร"

"เราเพิ่งบอกพ่อไปเมื่อครู่"ยังคงคาดคั้นไม่หยุดหย่อน...ช่างเอาแต่ใจเสียจริง

"งั้นคุณหลวงก็ได้ยินแล้ว"แต่จะให้ยอมตอนนี้ไม่มีทางเสียล่ะ...คนตัวสูงเพียงแค่ชักสีหน้าเล็กน้อยพอให้รู้ว่าไม่พอใจ...ทำเอาผมที่กำลังเก๊กหน้าขรึมแทบหลุดหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาอ่านตามเดิม...น้อยใจเป็นกับเขาเหมือนกันนะหลวงพิสิษฐ




"ธีร์คิดถึงพี่แก้วครับ"ทั้งๆที่เป็นคนพูดเองแต่กลับมานั่งเขินเอง ไม่ไหวเลยครับไอ้ธีร์...แอบเห็นคนตัวสูงยิ้มปรายบางๆแต่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือตรงหน้า...มือใหญ่ยังคงเกาะกุมมือของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย


"แต่ตอนนี้ธีร์ต้องกลับเรือนแล้วครับคุณหลวง"พยายามขืนตัวเล็กน้อยเป็นการเตือนอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว...อีกไม่นานเจ้าคุณไพศาลคงกลับมาถึง...และคงไม่ดีแน่หากท่านมาเห็นภาพตรงหน้า

"ใครว่าจะให้กลับเล่า"คำตอบที่ทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น...อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งก่อนจะส่งยิ้มยียวนมาให้เช่นเคย

"มิได้เจอเสียหลายวัน จะใจร้ายทิ้งเรากลับเรือนได้ลงคอเชียวหรือพ่อ"ใครก็ได้บอกผมทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี่คือหลวงพิสิษฐตัวจริงเสียงจริง...ไม่ได้ถูกวิญญาณเด็กน้อยเอาแต่ใจที่ไหนมาสิงร่าง

"แต่เจ้าคุณจิตรา..."กำลังหาข้ออ้างร้อยแปด

"เราเรียนเจ้าคุณท่านแล้วว่าพ่อจะค้างที่นี่เพราะงานยังมิเสร็จดี"แล้วไปแอบบอกกันตอนไหนเล่า!

"แต่พรุ่งนี้คุณหลวงต้องตื่นเช้าเข้ากรมไม่ใช่เหรอครับ"พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์เขาควรจะต้องเข้ากรมทำงานสิ

"วันพรุ่งตอนบ่ายเราต้องไปทำงานให้เจ้าคุณไพศาล ท่านขอตัวเราจากกรมไว้แล้ว"

"พ่อมีอะไรจะถามอีกหรือไม่"รอยยิ้มกวนของอีกฝ่ายทำเอาผมอยากจะหยิบหนังสือเล่มหนาในมือเขาขึ้นมาฟาดหน้าเสียให้...ถ้ารู้ว่าจะต้องมาค้างผมไม่ยอมหลวมตัวมาแต่แรกหรอก...ถึงผมจะเป็นผู้ชายแต่ก็รักนวลสงวนตัวเหมือนกันนะครับ

"กลัวเรารึ เราเคยบอกพ่อแล้วว่าเรามิทำอะไรพ่อหรอก"ก็รู้อยู่ว่าไม่ได้ทำอะไร



"หากพ่อมิยอม"ยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี...ส่วนผมน่ะเหรอ

"คุณหลวง!"ก็หยิบหนังสือในมือนั่นฟาดเข้าให้ดังพลั่กน่ะสิ!...ใครมันจะไปยอมวะ...ก็ผมยังไม่เคย...ไม่ใช่!...พอเถอะครับ ชักจะไปกันใหญ่แล้วความคิด


"พ่อธีร์นี่ตลกนัก ฮะๆ"ยังหัวเราะร่วนอยู่ได้...โดนฟาดไปทีนึงเห็นทีจะไม่เข็ด ถึงกับต้องยกมือขึ้นมาป้องตัวเองเมื่อเห็นผมตั้งท่าจะฟาดให้อีกรอบ แต่ก็ยังไม่หยุดหัวเราะ

"พอแล้วพ่อ เราเจ็บ ฮะๆ"ก็หยุดหัวเราะคิกคักแบบนี้เสียทีสิวะ

"อยากให้พ่ออยู่ด้วย...มิได้รึ"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาถามเสียชิด...น้ำเสียงยียวนกับรอยยิ้มกวนนี่ผมว่าผมได้เห็นมันบ่อยเกินไปแล้วนะ

"ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้ซักหน่อย"ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง...ยอมให้วันหนึ่งก็ได้...แค่เพราะขี้เกียจจะเถียงด้วยเท่านั้นนะครับ ไม่มีอะไรอย่างอื่นจริงๆ!


...ยิ่งได้มาใช้เวลาอยู่ตรงนี้มากเท่าไหร่...ผมก็ยิ่งรู้ตัวว่าผมมีความสุขมากขนาดไหน...ถึงจะโดนแกล้งโดนแหย่สารพัด แต่มันกลับทำให้ผมหัวเราะออกมาได้บ่อยครั้ง...อย่างตอนนี้ที่เป็นอยู่...ผมรู้ว่าคงไม่มีใครเข้าใจ...แน่ล่ะ...ผู้ชายคนหนึ่งที่สามารถเดินทางข้ามเวลาได้...เพื่อได้มาพบกับผู้ชายอีกคน...มันตลกนะครับ...แค่ในโลกปัจจุบันการใช้ชีวิตแบบนี้มันก็ยากพอแล้ว...แต่ผมนี่ทั้งต่างที่ ต่างเวลา...ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่เห็นแม้แต่แสงสว่างของทางออก...แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิม...ขอให้ผมได้อยู่ตรงนี้ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้...



...เพราะผมอยากเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้านี้ไปอีกนาน...
.

.

.
วันนี้ป้าชื่นทำแกงเลียงกับน้ำพริก...ผมเห็นลวดลายสลักบนผักเคียงแล้วแทบกินไม่ลง...เพราะมันวิจิตรงดงามจนผมเสียดายหากต้องกินมันเข้าไป...นี่เพียงแค่บ่าวในเรือนธรรมดายังมีความสามารถมากขนาดนี้...ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวต่างชาติถึงได้ทึ่งกับฝีมือทำอาหารของคนไทยนัก เพราะมันครบเครื่อง ทั้งรูป รส และกลิ่นนี่เอง...ถ้าเป็นเวลาปัจจุบันของผม คงจะสรรหาความงามครบเครื่องแบบนี้ได้ยาก...แต่การมาอยู่ที่นี่มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมสามารถหาดูได้ทุกวัน

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๐ up! ๒๓/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 26-07-2014 22:19:16

ผมเดินขึ้นมาบนห้องของหลวงพิสิษฐหลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ...ส่วนอีกฝ่ายขอตัวไปอาบน้ำก่อน...โต๊ะไม้สักตัวเดิมยังคงอยู่ตรงนั้น...ทำให้ผมนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อสองอาทิตย์ก่อน...ที่ทับกระดาษไม้ส่องแสงเรืองรองสว่างจ้าเสียจนคนตัวสูงที่นอนอยู่บนเตียงยังตกใจ...ผมยังจำสีหน้าตกตะลึงของเขาในวันนั้นได้ดี...ดวงตาคมของเขาเบิกกว้างพร้อมกับส่งเสียงเรียก หากแต่ผมไม่สามารถก้าวขาออกไปหาเขาได้เลย...ในวันนั้นเขารู้สึกเช่นไร...ผมไม่สามารถตอบได้

"ทำอะไรอยู่รึพ่อ"เจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามาเห็นผมที่นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะไม้สักพอดี...ในมือถือที่ทับกระดาษพลางหมุนไปมาด้วยกำลังใช้ความคิดเพลิน...อีกฝ่ายเพียงสาวเท้าเข้ามาหาแล้วเอื้อมมือมาหยิบที่ทับกระดาษไปจากมือ...เขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อบางกับกางเกงแพรเงาวับสีเขียวเข้ม...ผมรองทรงที่ปกติถูกเสยเรียบเป็นทรงแต่ตอนนี้กลับยุ่งเหยิงด้วยเพราะเพิ่งสระผมมา...หยดน้ำปรายยังเกาะอยู่บนเรือนผมสีดำสนิท...หากแต่เจ้าตัวกลับสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า

"สิ่งนี้รึที่พ่อบอกเรา"ผมช้อนตามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่พลางพยักหน้าตอบ...เขาขมวดคิ้วมองวัตถุในมืออย่างสงสัย จับมันพลิกไปมาราวกับกำลังสำรวจ หากแต่มันไม่มีอะไรผิดปกติไปจากที่ทับกระดาษธรรมดาอันหนึ่ง

"ที่เรือนเจ้าคุณจิตราก็เช่นกันรึ"ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง...ก่อนจะเห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าอีกฝ่าย...เขาเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบของบางอย่างขึ้นมาก่อนจะเดินไปนั่งเหยียดขาอยู่บนเตียงสี่เสาพลางเอนหลังพิงหัวเตียงในท่าสบาย

"ทำอะไรครับ"ผมลุกตามไปนั่งอยู่บนเตียง...ในมือข้างหนึ่งเขาถือวัตถุปลายแหลมคล้ายสิ่ว หากแต่ปลายของมันเรียวแหลมกว่า...ส่วนอีกมือยังถือที่ทับกระดาษอันเดิมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

"คุณหลวง"เรียกขึ้นอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ...ผมเห็นรอยยิ้มปรายบนใบหน้าราวกับเขากำลังนึกสนุกกับอะไรบางอย่าง

"ถ้าของสิ่งนี้นำพาพ่อมาหาเรา...มันก็ควรจะเป็นของพ่อ"คำพูดที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนักจึงได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย...หากแต่สิ่งที่เขาทำกลับทำให้ผมเข้าใจกระจ่างแจ้ง



...มือใหญ่ค่อยๆบรรจงจรดปลายแหลมลงบนด้านหลังของที่ทับกระดาษ แม้จะดูลำบากกว่าตอนเขียนหนังสือมากนัก หากแต่เขายังคงพยายามสลักเสลาตัวหนังสือลงไปบนนั้นให้ปราณีตที่สุด...สีหน้าจริงจังมุ่งมั่นทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปได้เลยแม้แต่น้อย...ราวกับภาพที่เคยเห็นมาก่อนหน้าปรากฏทับซ้อนกับสิ่งที่เห็นอยู่ในเวลานี้...ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดที่ราวกับคำทำนายออกมาโดยไม่รู้ตัว


"คุณหลวงระวังนะครับ!"ไม่ทันขาดคำดี มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็กระตุกวูบ...ผมรีบยกมือของเขาขึ้นมาดู...เลือดสีแดงสดซึมออกมาจากปลายนิ้ว แม้แผลจะไม่กว้างมากแต่ด้วยความคมของวัตถุนั้นทำให้แผลค่อนข้างลึก...หันซ้ายหันขวามองหาของที่พอจะช่วยห้ามเลือดได้บ้างแต่กลับไม่พบอะไร...สุดท้ายเลยใช้ชายเสื้อของตัวเองกดทับไปที่นิ้วเรียวของอีกฝ่าย

"เสื้อเปื้อนหมดแล้วพ่อ"เขาขืนมือออกเล็กน้อยพลางจับมืออีกข้างที่กำลังกดลงบนแผลเอาไว้แน่น

"แต่คุณหลวงเลือดออกนะครับ"ขมวดคิ้วมุ่นมองอีกฝ่าย

"เรามิเป็นอะไรมากหรอก"ว่าพลางชักมือกลับ ตั้งใจที่จะสลักตัวอักษรลงบนที่ทับกระดาษให้เสร็จ แต่ถูกผมยื่นมือเข้าไปห้ามเสียก่อน

"ทำไมดื้อจังครับหลวงพิสิษฐ"ถูกดุเข้าถึงได้ยอมละมือจากของตรงหน้าแล้วยอมให้ผมทำแผลแต่โดยดี

"ดีใจจริงที่พ่อธีร์เป็นห่วงเรา"แล้วมันใช่เวลามาหยอดตอนนี้ไหมเล่าคุณหลวง!



...โชคดีที่ปากแผลไม่กว้างมาก ใช้ผ้ากดห้ามเลือดครู่เดียวก็หยุด...ผมไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดแผลให้ก่อนจะพันผ้าทับ...แม้แผลไม่ใหญ่แต่ปลอดภัยไว้ก่อนก็ดี...แต่ถึงจะเจ็บตัวอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมแพ้ ดึงดันจะทำมันต่อจนเสร็จ...ผมเลยได้แต่นั่งลุ้นอยู่ข้างๆกลัวว่าจะแทงตัวเองเข้าอีกสักแผลสองแผล...หากแต่คราวนี้เขาระวังมากขึ้น...นิ้วเรียวค่อยๆจรดปลายเหล็กแหลมลงบนเนื้อไม้อีกครั้ง...ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็หันผลงานที่เพิ่งทำเสร็จมาให้ดู



'ชลนธีร์'



"เอาไว้เตือนใจว่าสิ่งนี้ทำให้เราได้มาพบกับพ่อ"แว่วเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มปรายบนใบหน้า...ตัวอักษรบรรจงที่ถูกสลักลงบนเนื้อไม้ช่างงดงามไม่แพ้ลายมือที่เขียนในกระดาษ แม้ความปราณีตจะไม่เท่าหากแต่รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของคนที่ทำมันได้เป็นอย่างดี...ผมรับของสิ่งนั้นมาถือเอาไว้ในมือ...ไล่สายตาสำรวจทีละตัวอักษร ในขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่นั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดี

"ชอบหรือไม่"ผมพยักหน้ารับ...ในที่สุดก็ได้พบ...คนที่เขียนมัน...ในที่สุดก็ได้รู้...ว่ามันก็คือชื่อของผมเอง...ไม่ใช่ความบังเอิญใดๆ หากแต่เป็นความตั้งใจของคนตรงหน้าที่ลงแรงไปกับมัน

"ขอบคุณครับ"ไม่รู้จะตอบอะไรได้มากกว่านี้นอกจากคำว่าขอบคุณ...ผมสบตาอีกฝ่ายที่นั่งมองผมอยู่นาน เช่นเดียวกับรอยยิ้มปรายบนใบหน้าคมนั้น

"อย่าบอกเจ้าคุณไพศาลเสียล่ะ เกรงว่าจะถูกเอ็ดเอา"พูดติดตลกอย่างอารมณ์ดี...ผมรู้ว่าเจ้าคุณไพศาลท่านไม่ว่าอะไร แต่คงสงสัยไม่น้อยถ้าได้เห็น...เอาเป็นว่า...เก็บไว้เป็นความลับของผมกับเขาสองคนก็แล้วกัน


คนตัวสูงเอื้อมมือมาดึงตัวผมให้ขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงอยู่ข้างๆ...แตะหัวให้เอนพิงไหล่ของเขาเพียงแผ่วเบา ก่อนจะเอื้อมมือมาโอบไหล่ของผมเอาไว้ไม่ห่าง

"เจ็บแผลมั้ยครับ"ถามขึ้นเมื่อเห็นเลือดเริ่มซึมออกมาจากผ้าพันแผลเล็กน้อย...อีกมือยังคงไล้เลี่ยเล่นกับผมยาวละต้นคอที่ผมคิดจะตัดมันทิ้งหลายครั้งแต่ก็ลืมเสียทุกที

"แผลเล็กนิดเดียว"ว่าพลางยกมือข้างที่พันแผลไว้ให้ดูใกล้ๆ...เลือดไม่ได้ซึมออกมามากเท่าไหร่

"อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องเจ็บตัวนะครับ"ได้แต่บ่นอุบ...เมื่อครู่ตกใจแทบแย่ตอนที่เห็นเลือดซึมออกมาจากมือของเขา...หากแต่อีกฝ่ายเพียงหัวเราะเบาๆ

"เจ็บตัวแต่เห็นพ่อยิ้มได้เราก็ดีใจแล้ว"ผมล่ะยอมแพ้จริงๆ...ผู้ชายสมัยนี้เขาไม่รู้สึกกระดากปากเวลาพูดอะไรหวานเลี่ยนกันบ้างหรือไงนะ

"แต่จะดีใจมากกว่านี้หากพ่ออยู่ที่นี่กับเราได้ตลอดไป"ใบหน้าคมหันมาแล้วฝังจมูกลงบนเรือนผมเพียงแผ่วเบา...ผมช้อนตาขึ้นสบกับตาคมที่ส่องประกายวาววับ ก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงทาบทับริมฝีปากหยักได้รูปลงบนเรียวปากของผม...สัมผัสอุ่นที่แตะเพียงเบาๆแต่กลับทำให้รู้สึกร้อนวูบขึ้นมา...จนเผลอตัวเผยอริมฝีปากรับรสสัมผัสนั้นให้มากขึ้น...จากแผ่วเบากลายเป็นหนักหน่วง...ทว่านุ่มนวลและหอมหวาน...สองมือของผมโอบรอบคอของคนตัวสูงราวกับกำลังหาที่ยึดเหนี่ยว...ลมหายใจขาดหายเป็นช่วงด้วยว่าถูกปิดทับด้วยริมฝีปากหยักได้รูปที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้า...เนิ่นนานจนแทบลืมวิธีหายใจก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก...แว่วเสียงหอบหายใจของตัวเองที่เรียกรอยยิ้มบางของอีกฝ่าย


"หวานเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่"คำพูดที่ทำให้หน้าของผมร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้งจนต้องหลบตาคมสวยคู่นั้น...หากแต่อีกฝ่ายเพียงกระชับอ้อมแขนให้แนบชิดกว่าเดิม...สิ่งที่ทำได้ เพียงแค่ซุกหน้าลงบนอกกว้างนั้น...ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายดังระรัวอยู่ข้างใน

"คุณหลวงครับ"เรียกขึ้นทั้งที่ยังซบหน้าอยู่กับอกกว้าง...เขาเพียงชะงักมือที่ไล้เรื่อยอยู่บนเรือนผมยาวของผมเพียงครู่

"ถ้าผมหายไปอีก คุณหลวงจะทำยังไงครับ"คำถามที่ทำเอาอีกฝ่ายนิ่งไปนาน


"หากตามหาได้เราก็จะตามหา แต่หากพ่อไปยังที่ที่เราตามไปมิได้...เราคงทำได้เพียงรอ"

"แล้วถ้าผมไม่กลับมา..."นิ้วเรียวเลื่อนลงมาแตะที่ริมฝีปากผมเพียงแผ่วเบา

"ต้องกลับมาซี พ่อธีร์มิอยากกลับมาหาพี่แก้วรึ"คำพูดติดตลกที่ผมรู้ว่าเขาพยายามแค่นมันออกมา ด้วยว่าตัวเขาเองก็รู้ดีถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่



...ผมให้คำตอบไม่ได้ว่าผมจะอยู่ที่นี่ตลอดไปได้หรือไม่...


...แต่หากผมเลือกได้...


...ผมก็ไม่อยากไปจากที่นี่อีกแม้เพียงวินาทีเดียว...

...



แอบมาลงก่อน กลัวลืมกัน  :hao7:
ตอนนี้ยกให้พี่แก้วกับพ่อธีร์ซักตอนเนอะ ไม่ได้เจอกันมานาน  :hao3:
กำลังรีบปั่นตอนต่อไปนะคะ

ฝากตอนนี้ด้วยค่ะ กราบบบ :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-07-2014 23:11:54
หวานๆแบบทรมารใจนิดๆเมื่อคิดถึงอนาคต
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-07-2014 23:30:10
น้ำตาคลอเบ้า น่ะ



 :sad11:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 26-07-2014 23:47:03
หวานนนจริงๆ พี่แก้วก็ช่างกวนยียวนเหลือเกิน แต่มันทำให้น้ำตาลแอบจืดไปเล็กๆ ชอบเวลาพ่อธีร์พี่แก้วเค้าคุยกันนะ มันแบบบิดเหลือเกิน กรี๊ดๆ ดิ้นๆ ช่างน่ารัก พี่แก้วตีหน้ามึนพูดคำหวาน น้องธีร์ก็ไปไม่ค่อยถูกนะคะ แถมแผนสูงตลอด เอาน้องมาค้างด้วยนะพี่แก้ว!

โธ่ นี่ก็นึกว่าพี่แก้วสลักชื่อน้องธีร์เพราะความคิดถึงอัดอั้นสุดใจ จริงๆคือสลักตอนที่อยู่ด้วยกันหวานๆนี่เอง

แต่ความหน่วงก็มาได้ตลอด พี่แก้วเอ่ยปากที่จะไม่อยากให้น้องธีร์กลับไปโลกยุคปัจจุบัน แต่อะไรก็ไม่แน่นอน นี่ยังไม่รู้กันเลยว่ามาได้ยังไง มันบัังคับไม่ได้ หน่วง นอยด์กันต่อไป

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-07-2014 23:52:48
คุณหลวงน่าจะแทนตัวเองว่า "พี่" มากกว่า "เรา" นะ (พอคนสมัยก่อนเรียกตัวเองว่าเรามันฟังดูแปลกอยู่หน่อยๆ)
เป็นกำลังใจให้คนแต่งจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 27-07-2014 00:34:32
คืนนี้อย่าปล่อยให้รอดนะพี่แก้ว  :z1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 27-07-2014 00:40:59
น้ำตาคลอ ไม่ใช่เพราะคู่พระ-นาย
แต่เพราะคำบอกเล่าในเรื่องราวปัจจุบันนี้ต่างหาก มันน่าเศ้ราใจจริงๆ หากบรรพบรุษท่านรู้ท่านคงร่ำไห้เพราะประเทศเมืองไทยในตอนนี้ช่างแตกต่างจากสยามเมื่อนานกาล ก็รู้หรอกนะว่าพัฒนาเพื่อไม่ให้ด้อยไปกว่าประเทศใด แต่ว่าเมื่อพัฒนาไปแล้วทำไมไม่รู้จักนำเอาสิ่งเก่าๆ ปรับไปใช้ให้มันสอดคล้องกับสิ่งใหม่ นี่อะไรเอาแต่สิ่งใหม่ๆ เข้ามาโดยทิ้งขว้างสิ่งเก่าไว้ให้เป็นเพียงแค่ของที่มีเพียงคนแก่เท่านั้นที่สืบทอด ทั้งๆ ที่สิ่งที่เรามีอยู่นั้นก็งดงามกว่าชาติใดอยู่แล้ว
เราน้ำตาคลอกับค่านิยมสมัยนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 27-07-2014 01:59:52
หวานนนนนนนนนนนนน
แต่อยากให้เรียกแทนกันธีร์กะพี่แก้วจัง อิอิ
ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตละกันฮือ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 27-07-2014 08:16:46
พี่แก้วของน้องงงงงงงงง :hao5: :hao5:
น้ำตาจะไหล คลอเบ้า ตรงประโยคที่พ่อธีร์เล่าถึงสยามในปัจจุบัน
สยามที่เปลี่ยนไป หลงลืมอดีต  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 27-07-2014 08:45:02
อยากให้เรือนริมน้ำปัจจุบันพาพี่แก้วในอดีตมาหาพ่อธีร์ได้บ้าง คราวนี้ก็มิต้องจากกัน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 28-07-2014 06:16:29
โอ๊ย สงสัยตัวเอง ว่าพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง ฟินค่ะ
รอตอนหน้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-07-2014 08:58:22
 :katai5: แวะมาให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
เราตามอ่านอยู่นะคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 28-07-2014 22:23:22
ตอนที่ ๒๒...ท่าทีที่เปลี่ยนไป...



...เรือนเจ้าคุณจิตรากำลังมีงานบุญใหญ่...จะเป็นงานอะไรได้นอกจากทำบุญวันเกิดครบรอบ๑๘ปีของลูกสาวเจ้าของเรือนที่จะมีขึ้นอีกสามวันข้างหน้า...ช่วงนี้พวกบ่าวไพร่เลยดูวุ่นวายกันเป็นพิเศษ...ไหนจะเตรียมของ ไหนจะปัดกวาดเช็ดถูเรือนให้สะอาด...คุณหญิงสร้อยก็ต้องลงมากำกับงานเองบ่อยครั้ง แกว่าจะนิมนต์พระมาที่เรือน จะได้เป็นสิริมงคลกับเรือนเจ้าคุณจิตราด้วย...

"นังชด เอ็งให้บ่าวมันเอาเครื่องทองเหลืองออกมาขัดหรือยัง ข้าสั่งหลายวันแล้ว มิเห็นใครมันจักทำสักคน"เสียงคุณหญิงสร้อยบ่นอยู่กลางเรือนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบ่าวไพร่กำลังปัดกวาดเช็ดถูกเครื่องเรือนกันเป็นพัลวัน

"บ่าวบอกนังอิ่มแล้วเจ้าค่ะ เห็นว่าจักให้พวกอ้ายสนยกออกมา"พี่ชดที่นั่งอยู่ข้างๆรีบรายงานคุณหญิงเจ้าของเรือน

"นังบุญมี เบามือหน่อยสิเอ็ง ประเดี๋ยวของข้าก็แตกเสียก่อน"ยังไม่ทันจบเรื่องเครื่องทองเหลือง คุณหญิงแกก็หันไปบ่นพี่บุญมีที่กำลังเช็ดโถลายครามอย่างเก้ๆกังๆจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยงเกือบทำหลุดมือ

"แล้วนี่อ้ายมิ่งมันไปไหน ข้าจักให้มันไปเอาของที่วัด"ดูท่าคุณหญิงแกจะตื่นเต้นกับงานนี้เสียเหลือเกิน เพราะตั้งแต่เช้ามาผมเห็นแกสั่งนู่นสั่งนี่ไม่ขาดปาก

"ขำอะไรของหล่อนรึแม่พิกุล"ว่าพลางหันไปหาลูกสาวที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ

"คุณแม่อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ เท่านี้พวกบ่าวมันก็ทำงานกันไม่เป็นเสียแล้ว"ดูท่าคุณพิกุลจะเข้าใจคุณหญิงสร้อยดีเลยเอ่ยปรามเสียบ้าง...คุณหญิงเจ้าของเรือนเลยได้แต่ถอนใจอย่างเสียไม่ได้

"ไม่ได้ดั่งใจข้าสักคน"แต่ก็ยังบ่นไม่หยุด

"เอ็งสองคนน่ะ งานการมิมีรึ ถึงได้มานั่งเสนอหน้าอยู่แถวนี้"เมื่อไม่รู้จะไปลงกับใครเลยหันมาลงกับพวกผมสองคนที่นั่งเงียบอยู่นานแทน...วันนี้ผมไม่ต้องไปที่เรือนเจ้าคุณไพศาลเพราะงานใกล้เสร็จเต็มที และยังมีเรื่องงานเลี้ยงท่านทูตที่จะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ทำให้เจ้าคุณทั้งสองและหลวงพิสิษฐต้องวิ่งวุ่นกันแทบทุกวัน โดยเฉพาะคุณหลวงหนุ่มที่ต้องทำทั้งงานที่กรมของตัวเองและงานของเจ้าคุณไพศาล...ผมกับไอ้แชมป์เลยมีเวลาว่างมานั่งเอกเขนกอยู่ที่เรือนได้...แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเสียทีเดียวเพราะพวกผมก็ยังคอยช่วยพวกพี่สนทำงานอยู่ด้านล่างไม่ขาด

"เสร็จหมดแล้วครับ คุณหญิงมีอะไรจะให้ช่วยก็บอกได้นะครับ"เป็นไอ้แชมป์ที่รีบเสนอหน้าตอบทันที...อันนี้เขาเรียกปฏิบัติการเอาใจว่าที่แม่ยายหรือเปล่าครับ...แต่จะว่าไป ผมยังไม่ได้ถามไอ้ตัวดีเรื่องมันกับคุณพิกุลเลยตั้งแต่กลับมา...จะมีก็เพียงเห็นว่าคุณพิกุลยอมคุยกับมันเป็นปกติแล้ว หลังจากมึนตึงใส่มาหลายวัน

"เอ็งลงไปช่วยพวกอ้ายสนข้างล่างโน่น ให้มันเอาเครื่องทองเหลืองออกมาขัด"ผมรู้สึกว่าสายตาที่คุณหญิงสร้อยมองไอ้แชมป์ดูแปลกไป...จะว่าเฉยเมยก็ไม่ใช่ ดูเหมือนไม่อยากสนใจเสียมากกว่า...แต่น้ำเสียงท่านก็ยังคงเอ็นดูพวกผมสองคนเช่นเคย...คุณหญิงสร้อยมีอะไรหลายอย่างคล้ายกับแม่ของผม...ท่านเป็นคนใจดีแต่ก็พร้อมจะดุเมื่อเห็นใครทำผิด และท่านก็เมตตาพวกผมสองคนมากทีเดียวทั้งๆที่พวกผมเองก็เป็นแค่เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าในสายตาของคนอื่น



"กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ"เสียงคุณหญิงสร้อยเอ่ยทักเจ้าคุณเจ้าของเรือนที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมา พร้อมด้วยแขกที่ผมคุ้นหน้าอีกสองคน

"แม่สร้อย บอกบ่าวให้เตรียมสำรับเย็นให้เจ้าคุณไพศาลกับหลวงพิสิษฐด้วยล่ะ วันนี้งานมากนัก กว่าจะเสร็จคงค่ำมืด"คุณหญิงพยักหน้ารับก่อนจะเดินลงจากเรือนโดยมีคุณพิกุลอาสาลงไปช่วย

"พ่อธีร์ สบายดีรึ"และก็เป็นเจ้าคุณไพศาลเช่นเคยที่ทักขึ้น...ผมที่กำลังช่วยพี่ชดทำความสะอาดเครื่องลายครามเลยต้องรีบวางมันลงแล้วยกมือไหว้ทันที

"สบายดีครับ เรื่องงานเลี้ยงท่านทูตเรียบร้อยดีมั้ยครับเจ้าคุณ"

"เรียบร้อยดี เห็นว่าฝ่ายกรมวังเขาเตรียมงานเสียใหญ่โต คงไม่มีปัญหาอะไร"

"มีก็แต่เจ้าพระยาเดโชนี่ล่ะ ขัดนู่นขัดนี่เสียจริง"เจ้าคุณจิตราบ่นขึ้นบ้าง ดูสีหน้าท่านไม่ค่อยสบายใจนักแต่ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะครั้งแรกที่ไปเรือนเจ้าพระยาท่านนั้นอาการผมก็ไม่ต่างจากแกสักเท่าไหร่...ผมเหลือบมองคนตัวสูงที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก...เพราะวันนี้เข้ากรมเลยแต่งตัวเต็มยศเหมือนเจ้าคุณทั้งสอง...อีกฝ่ายเองก็มองตอบพร้อมรอยยิ้มโปรยเช่นเคย

"ก็เขาเป็นคนใหญ่คนโต จักขัดก็มิแปลกหรอก"เจ้าคุณไพศาลตอบอย่างใจเย็น หากแต่เจ้าของเรือนยังมีสีหน้าไม่พอใจ

"จักให้พ่อแก้วร่วมงานด้วยก็มิยอม อ้างว่าพ่อแก้วมิได้สังกัดกรมเรา ปัดโธ่ ลูกชายท่านสังกัดกรมวังแต่มิเห็นทำประโยชน์อันใดยังให้ร่วมงาน"ผมหันไปมองหน้าคนถูกพาดพิงที่ยังเงียบอยู่ เพิ่งรู้ว่าเขาจะไม่ได้ไปงานเลี้ยงทั้งๆที่ตัวเองก็ลงแรงกับงานนี้ไปมาก แม้แต่ต้องไปคุยงานที่เรือนเจ้าพระยาเดโชอยู่บ่อยครั้ง

"ถูกของเจ้าพระยาท่านแล้วขอรับ กระผมมิได้สังกัดกรมการต่างประเทศโดยตรง มิมีหน้าที่ใดต้องเกี่ยวข้อง"คนตัวสูงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อมหมายจะปลอบให้เจ้าของเรือนอารมณ์เย็นลงบ้าง

"อีกอย่างกระผมเองเพียงอยากแบ่งเบาภาระของเจ้าคุณทั้งสอง มิได้ต้องการออกหน้าออกตาแต่อย่างใดขอรับ"สมกับเป็นหลวงพิสิษฐ...เรื่องปิดทองหลังพระนี่ขอให้บอก ของถนัดของแกเชียวล่ะ

"พ่อก็ช่างถ่อมตัวเสียจริง"เจ้าคุณจิตราได้แต่ถอนใจยาวแต่ก็จนด้วยคำพูด ใจหนึ่งผมก็เห็นด้วยกับเจ้าคุณ เพราะหลวงพิสิษฐเป็นคนแบบนี้ถึงไม่ได้ถูกยกย่องเชิดชูมากนักเมื่อเทียบกับข้าราชการอีกหลายคนที่ทำงานเอาหน้า เพื่อตำแหน่งและผลประโยชน์...แต่ผมกลับภูมิใจแทนประเทศชาติที่อย่างน้อยก็ยังพอมีข้าราชการดีๆหลงเหลืออยู่บ้าง รวมไปถึงเจ้าคุณทั้งสองก็เช่นกัน


"ทำบุญวันเกิดแม่พิกุลวันไหนรึ"ผู้มาเยือนถามขึ้นเมื่อเห็นเจ้าของเรือนเงียบไปเสียนาน คงหาเรื่องคุยเพราะไม่อยากให้เจ้าคุณจิตราคิดมากเรื่องงานเสียมากกว่า

"อีกสามวัน แม่สร้อยเขาให้นิมนต์พระมาที่เรือนจักได้เป็นสิริมงคลแก่เรือนด้วย"

"ดีแล้ว...ว่าแต่ทำบุญวันเกิดแล้วเมื่อใดจักได้มีงานมงคลเสียทีเล่า"คำถามของเจ้าคุณเพื่อนสนิทที่ทำเอาโถลายครามในมือผมแทบร่วง...ผมเหลือบมองคนตัวสูงที่ยังคงนั่งยิ้มปรายไม่แสดงอาการใดๆ

"ข้าก็อยากให้มี แก่ตัวลงทุกวันก็หวังอยากเห็นแม่พิกุลเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีจักได้มีคนมาดูแลแทน"ดูท่าหลวงพิสิษฐกำลังถูกเจ้าคุณทั้งสองกดดันไม่ใช่น้อย...อย่าว่าแต่คนที่นั่งอยู่กลางวงสนทนาเลย แม้แต่ผมเองก็รู้สึกหน่วงไม่แพ้กัน...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขา มันทำให้ผมลืมไปเสียสนิทว่าเขายังคงเป็นคนที่เจ้าคุณจิตราหวังจะได้มาเป็นเขย และทางผู้ใหญ่ฝ่ายเขาเองก็มีท่าทีเห็นด้วยเสียเต็มที

"ว่าอย่างไรเล่าพ่อแก้ว เจ้าคุณจิตราท่านเกริ่นมาเสียขนาดนี้แล้ว"เจ้าตัวที่นั่งเงียบอยู่นานแม้แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่...เพียงวูบหนึ่งที่ได้สบตากัน เขาเพียงแค่คลี่ยิ้มบางตอบกลับมา

"หากให้กระผมเรียนตามตรง แม่พิกุลนั้นงามหาหญิงใดเปรียบได้ยากแลกิริยามารยาทยังอ่อนช้อยสมกับที่ได้ร่ำเรียนมาจากในวัง"คำชมที่ทำให้ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับอย่างอารมณ์ดี หากแต่ประโยคถัดมากลับทำเอาเจ้าคุณจิตราขมวดคิ้วแน่น

"แต่กระผมคงมิสามารถออกเรือนกับแม่พิกุลได้ ด้วยกระผมมีคนในใจอยู่แล้วขอรับ"




"ตึง!!"




โถลายครามที่หลุดจากมือผมไปตอนไหนก็ไม่รู้ตกกระทบพื้นเสียงดังจนทุกคนบนเรือนหันมามอง...โชคดีที่มันไม่แตก

"อ้ายธีร์! ระวังหน่อยสิวะเอ็งนี่ เดี๋ยวของคุณท่านแตกไปเอ็งได้ถูกโบยแน่"พี่ชดโวยวายเสียงดังจนผมสะดุ้งโหยง หันกลับไปมองเจ้าคุณทั้งสองที่ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความซุ่มซ่ามของผม กับคนตัวสูงที่เหลือบมองมาเพียงชั่วครู่...เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ?

"เมื่อครู่พ่อแก้วว่ากระไรนะ"เจ้าของเรือนหันกลับไปถามคำถามเดียวกันอีกรอบให้แน่ใจ

"กระผมเรียนเจ้าคุณว่า กระผมมีคนในใจอยู่แล้วขอรับ"คนตัวสูงยังยืนยันคำเดิมด้วยสีหน้านิ่ง จนผมเองต้องรีบกอดโถกระเบื้องเอาไว้แน่นเพราะมันกำลังจะหลุดจากมืออีกครั้ง

"ใครรึ ทำไมเรามิเคยรู้มาก่อน"เจ้าคุณไพศาลถามขึ้นบ้าง ท่าทีตกใจไม่แพ้กัน ด้วยว่าเจ้าคุณเองทั้งรักและเมตตาหลวงพิสิษฐเหมือนลูกเหมือนหลาน แต่ก็ยังไม่เคยเห็นหลวงแกสนใจหญิงใดในพระนครสักคน

"กระผมยังบอกมิได้ขอรับ แต่กระผมขอให้เจ้าคุณจิตราทราบไว้ว่ากระผมมิเคยรังเกียจแม่พิกุลแม้แต่น้อย หากแต่กระผมรักใคร่เอ็นดูแม่พิกุลเหมือนน้องสาวแท้ๆของกระผมเองขอรับ"น้ำเสียงนอบน้อมทว่าหนักแน่นทำเอาเจ้าคุณทั้งสองได้แต่ถอนใจยาว เหตุเพราะจนใจจะหาเหตุผลใดมาต่อว่า

"เอาเถอะ รู้กันเสียตอนนี้ก็ดี พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกจักได้เป็นธุระไปสู่ขอให้"เจ้าคุณไพศาลว่าพลางหันไปมองคุณหลวงคนสนิท...สู่ขอ?...นี่คุณหลวงคงไม่คิดจะให้เจ้าคุณไพศาลมาสู่ขอ...


...หยุดความคิดของเอ็งไว้ตรงนั้นเลยครับไอ้ธีร์...เพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว



ทำความสะอาดเครื่องลายครามเสร็จก็ขอตัวจากเจ้าคุณทั้งสองลงมาช่วยพี่สนกับไอ้แชมป์ขัดเครื่องทองเหลืองที่หน้าโรงครัวต่อ...ถึงคุณหญิงสร้อยจะบอกว่าไม่ใช่งานใหญ่โตอะไร แต่เห็นบ่าวไพร่วิ่งวุ่นกันทั้งวันแล้วเห็นทีจะไม่ใช่งานเล็กเสียล่ะ

"ขัดดีๆสิวะ มือไม้อ่อนอย่างกับคนมิเคยทำงาน"พี่สนว่าพลางเอาเท้ายันไอ้แชมป์เป็นเชิงแหย่...แต่ก็จริงอย่างที่แกว่า ก็ไอ้แชมป์มันลูกอาเสี่ยคาบช้อนทองมาเกิด แล้วมันจะไปเคยทำงานอะไรกับใครเขา นี่มาดีขึ้นก็ตอนมาอยู่ที่เรือนเจ้าคุณถึงได้พอทำอะไรเป็นกับเขาบ้าง...ส่วนผมเองก็ไม่ค่อยต่าง แต่ดีกว่าตรงที่ผมอยู่หอเลยพอทำอะไรเองได้บ้าง

"โหพี่ ก็ขัดดีอยู่เนี่ย จะเอาให้เงาวับส่องแทนกระจกได้เลยมั้ย"ไอ้ตัวดีมันยังเถียงกลับไม่เลิก นี่ถ้าได้มิ่งมาร่วมวงอีกคนคงเรียกเสียงฮาได้อีกเยอะ

"อ้ายธีร์ มาพอดี มาๆช่วยข้าหน่อย อ้ายแช่มนี่มันไม่ได้ความเสียเลย"พอพี่สนหันมาเห็นผมก็ร้องทักทันที ทำเอาไอ้แชมป์หันไปค้อนขวับเข้าให้...ผมนั่งลงบนแคร่ข้างพี่สนพลางหยิบพานทองเหลืองขึ้นมาช่วยขัด

"เนี่ยๆ พี่ดูมัน แค่เอาผ้าถูๆเช็ดๆยิ่งกว่าผมอีก"ได้ทีไอ้แชมป์รีบฟ้องพี่สนใหญ่ สงสัยกลัวจะโดนด่าคนเดียว

"กูเพิ่งมา ให้กูวอร์มมือก่อนดิ"

"ถุ้ยยย ปากดีว่ะ ไอ้คุณชายยยย"เถียงกันจนพี่สนได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมๆแต่ก็ไม่พูดอะไรได้แต่นั่งหัวเราะกับพวกผมสองคน


"พวกเอ็งเถียงอะไรกันเสียงดังแท้ อ้ายธีร์เอ็งไปเอาขนุนที่ข้างโรงครัวมาให้ข้าที อ้ายมิ่งมันเก็บไว้ให้แล้ว"คุณหญิงสร้อยที่เพิ่งเดินออกมาจากโรงครัวบ่นเสียงดัง ดูท่าแกยังหงุดหงิดที่บ่าวในเรือนทำงานไม่ได้ดั่งใจ

"เดี๋ยวผมไปเอาให้ก็ได้ครับ"เป็นไอ้แชมป์ที่รีบเสนอตัวก่อน มันรีบวางถาดทองเหลืองในมือตั้งท่าจะลุกขึ้น

"ไม่ต้อง ให้อ้ายธีร์มันไป เอ็งทำงานของเอ็งไปเถอะ"เสียงเย็นๆของคุณหญิงสร้อยทำเอาผมกับไอ้แชมป์รู้สึกแปลกพิกล แต่มันก็ไม่ได้เถียงอะไรยังคงนั่งขัดถาดทองเหลืองของมันต่อ...ผมเห็นคุณหญิงสร้อยเหลือบมองมันเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโรงครัว

"มึงว่าเดี๋ยวนี้คุณหญิงแกแปลกๆป่าววะ"ไอ้ตัวดีรีบสะกิดแขนผมยิกก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบกระซาบ...ผมเองก็รู้สึกเหมือนมัน แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณหญิงแกเป็นอะไร

"เมินกูมาสี่ห้าวันแล้วเนี่ย กูเข้าหน้าไม่ค่อยติด"ไอ้แชมป์ยังบ่นต่อ

"เค้ารู้ว่ามึงคิดไม่ซื่อกับลูกสาวเค้าอ่ะดิ หึหึ"

"เห้ย กูไม่เคยลามปามนะเว้ย ออกจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อย"ผมก็แซวเล่นไปอย่างนั้นแหละ ดันร้อนตัวโวยวายเสียงดังจนพี่สนหันมามอง

"ไม่มีไรหรอกมึงคิดมาก กูไปเอาของให้คุณหญิงก่อน เดี๋ยวแกบ่นอีก ดูท่าอารมณ์ไม่ค่อยดี"ผมว่าพลางลุกไปแบกขนุนลูกโตที่วางพิงอยู่ข้างโรงครัวเข้าไปให้คุณหญิงแก...เห็นคุณพิกุลกำลังเคี่ยวแกงอะไรสักอย่างอยู่หน้าเตา กลิ่นหอมโชยเตะจมูกทำเอาท้องร้องเลย



...กว่าจะขัดเครื่องทองเหลืองของคุณหญิงสร้อยเสร็จก็เล่นเสียมือหงิก ทั้งถาด พาน ถ้วย ถัง กะละมัง ไห เยอะแยะไปหมด...ไหนว่าแค่ทำบุญวันเกิด ดูไปดูมาเหมือนจะเลี้ยงพระทั้งวัดเอานะนี่...คุณหญิงกับคุณพิกุลกลับขึ้นเรือนไปแล้วพร้อมสำรับอาหารเย็น ส่วนผมกับไอ้แชมป์ขอตัวมานั่งกินกับพวกพี่สนดีกว่า ไม่ค่อยชอบร่วมวงบนเรือนครับ มันเกร็ง...อยู่ข้างล่างนี่อยากทำอะไรก็ได้ จะคุยเสียงดังตอนกินก็ไม่มีใครว่า จะมีก็แต่ป้าน้อยที่บ่นบ้างแต่พวกผมก็ไม่เคยฟัง

"นังชดๆ เมื่อครู่เอ็งได้ยินเหมือนที่ข้าได้ยินไหมวะ"เป็นพี่บุญมีที่เปิดประเด็นกลางวงกับข้าว...วันนี้วงใหญ่หน่อยเพราะพวกบ่าวในเรือนที่ทำงานหนักกันมาทั้งวันต่างมาล้อมวงกินข้าวกันพร้อมหน้า

"เรื่องอะไรของเอ็งวะ"พี่ชดถามขึ้น

"ที่หลวงพิสิษฐเรียนท่านเจ้าคุณน่ะ"

"โอ๊ย เต็มสองหูข้าเชียวล่ะเอ็ง ข้าตกใจแทบแย่"พี่ชดร้องอ๋อขึ้นมาทันทีพลางเอามือทาบอก

"เฮ้ย เอ็งสองคนคุยอะไรกันวะ เห็นไหมพวกข้านั่งกันหัวโด่เนี่ย"พี่สนชักรำคาญกับบทสนทนาที่เข้าใจกันอยู่แค่สองคน

"ก็เมื่อครู่เจ้าคุณท่านถามหลวงพิสิษฐเรื่องคุณพิกุล ท่านว่าอยากให้คุณพิกุลออกเรือนเสียที"พี่บุญมีเริ่มเล่า ส่วนไอ้แชมป์หน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่มันก็ไม่พูดอะไรยังคงกินข้าวต่ออย่างเงียบๆ

"แต่คุณหลวงว่าแกมีคนในใจอยู่แล้ว ข้านี่ลมแทบจับ เห็นหลวงแกเทียวไปเทียวมาเรือนนี้ นึกว่าจะลงเอยกับคุณพิกุลเสียอีก"เสียงฮือฮาในวงกับข้าวดังขึ้น แต่ไม่เท่าอาการระริกระรี้ของไอ้คนข้างๆผมนี่หรอก

"จริงหรือวะ แล้วใครกันวะคนที่หลวงแกพูดถึง"ผมเหลือบไปมองไอ้ตัวดีที่นั่งยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ เห็นหน้ากวนๆของมันแล้วอยากยันโครมให้ตกแคร่เสียจริง

"ข้าก็ไม่รู้ หลวงแกว่ายังบอกมิได้ อยากรู้เสียจริงว่าเป็นลูกสาวเรือนไหน"พี่บุญมีตอบกลับ...แต่ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง สงสัยจะไม่ใช่ลูกสาวเรือนไหนหรอกครับ

"หน้าแดงไมวะมึง"ไม่รอช้ามันรีบเสนอหน้าเข้ามากระซิบถามทันที

"-วย"ผมตอบกลับแบบไม่มีเสียงเกรงว่าทั้งวงจะตกใจเสียก่อน ไอ้แชมป์มันได้แต่หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี



"คุณหลวง! ลงมาทำอะไรที่โรงครัวขอรับ"เสียงพี่สนโวยวายขึ้นเรียกเอาทั้งวงกับข้าวหันไปมองพร้อมกันทันที...คนตัวสูงที่ยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ยังยิ้มโปรยเช่นเคย...ส่วนพวกบ่าวในวงกลับนั่งหน้าซีดกันเป็นแถวเพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัวได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่หรือไม่

"มีธุระกับพ่อธีร์ ขอตัวประเดี๋ยวได้หรือไม่"ผมมองหน้าคนที่ยืนอยู่ด้วยความสงสัย...ธุระสำคัญอะไรถึงกับต้องลงมาตามกันถึงโรงครัว...แต่จะให้ยืนรอนานกว่านี้ก็เกรงใจ...ไม่ได้เกรงใจเจ้าตัวนะครับ เกรงใจพวกพี่สนต่างหาก...เห็นนั่งเกร็งกันทั้งวงแล้วผมคิดว่าควรจะรีบไปเสียดีกว่า




"มีอะไรเหรอครับ"เดินตามอีกฝ่ายมาถึงท่าน้ำหน้าเรือนที่ตอนนี้เงียบสงบเพราะพวกบ่าวไปรวมตัวกินข้าวอยู่ที่โรงครัวกันเกือบหมดแล้ว

"ไม่มีอะไร"คำตอบที่ทำให้ผมได้แต่ยืนขมวดคิ้วสงสัย...ไม่มีอะไร...แล้วเรียกมาทำไมล่ะ

"ก็ไหนบอกว่ามีธุระ"ยังคงถามต่อ อีกฝ่ายเพียงแต่หันมายิ้มปรายให้เท่านั้น

"ถ้าบอกว่าคิดถึง นับเป็นธุระหรือไม่"

"คุณหลวง!"ตอบอะไรไม่ได้เลยได้แต่โวยวายเปลี่ยนเรื่อง...แว่วเสียงคนตัวสูงหัวเราะเบาๆ

"มิได้เจอเสียหลายวัน พอเรามาหากลับหนีลงมาอยู่เรือนบ่าวเสียได้"แล้วยังน้ำเสียงตัดพ้อต่อว่านี่อีก

"มาคุยงานกับเจ้าคุณจิตราไม่ใช่เหรอครับ"ลอยหน้าลอยตาตอบ ก็เห็นอยู่ว่ามาคุยธุระ

"มาคุยธุระแล้วอยากพบพ่อมิได้รึ"ดวงตาคมเป็นประกายระยับ

"เมื่อกี้ก็เจอไปแล้วไงครับ"จะให้ยอมแพ้ตอนนี้ไม่มีทางหรอก

"ยังมิทันได้ทักทาย ก็อายหนีลงจากเรือนเสียแล้ว"

"อายอะไรครับ"หรี่ตามองด้วยความสงสัย

"ก็อายเรื่องที่เราเรียนเจ้าคุณจิตราน่ะซี หรือพ่อจะบอกว่ามิใช่"

"อายทำไมครับ คุณหลวงพูดถึงใครผมยังไม่รู้เลย"ถึงจะพยายามบ่ายเบี่ยงแต่ก็รู้ว่าไม่เป็นผล

"แล้วกัน บอกเสียชัดเจนเช่นนั้น ยังมิรู้อีกรึ"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก...โชคดีที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น ไม่เช่นนั้นผมคงได้กระโดดน้ำหนีความอาย

"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ"เบี่ยงตัวหลบไปอีกทางหมายจะเดินกลับไปที่โรงครัว หากแต่ถูกมือใหญ่รั้งข้อมือเอาไว้เสียก่อน


"พ่อธีร์"

"ครับ"หันกลับมามองอีกฝ่ายที่ยังยืนยิ้มเผล่อย่างอารมณ์ดี

"ที่เราเรียนเจ้าคุณทั้งสองเมื่อครู่...เรามิได้เพียงพูดเล่นนะ"คำพูดที่ทำเอาผมหน้าแดงวาบ...แค่ที่ได้ยินบนเรือนก็รู้แล้วว่าจริงจัง ไม่ต้องมาย้ำให้ผมอายหนักกว่าเก่าก็ได้ครับ

"กะ..ก็เรื่องของคุณหลวงสิครับ...ผมต้องไปทำงานต่อแล้ว"คนตัวสูงยอมปล่อยมือแต่โดยดี ส่วนผมก็รีบสาวเท้าออกจากท่าน้ำโดยเร็ว...แว่วเสียงหัวเราะเบาๆมาจากด้านหลัง
.

.

.

((มีต่อหน้า ๘ ค่ะ))
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๑ up! ๒๖/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 28-07-2014 22:31:00


"เป็นไรวะมึง หน้าแดงๆ ไข้ขึ้นหราาาา"ไม่ต้องสืบเลยว่าใครถ้าไม่ใช่ไอ้ตัวดีที่ตั้งท่าแซวตั้งแต่ผมเดินกลับมาถึง พวกบ่าวในเรือนกินข้าวกันเสร็จหมดแล้ว ที่เหลือก็ต้องมานั่งเก็บเครื่องทองเหลืองที่ยกออกมาขัดวันนี้

"รู้สึกว่าตั้งแต่กลับมาพี่ธีร์จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะครับ"ยังกวนไม่เลิก

"แล้วมึงล่ะครับพี่แชมป์ เมื่อกี้พอพี่ชดบอกเรื่องหลวงพิสิษฐกับคุณพิกุล หูตั้งหางกระดิกเชียวนะมึง"นึกว่าผมรู้ไม่ทันมันหรือไง ไอ้อาการดีใจออกนอกหน้าเนี่ย แม้แต่เด็กสามขวบก็ดูออก

"ก็นิดนึง แต่กูสงสัยเรื่องคุณหญิงสร้อยว่ะ ไม่รู้แกเป็นอะไร กูพูดด้วยบางทีก็ทำเป็นไม่ได้ยินซะงั้น"

"ก็มึงจีบลูกสาวเค้าออกนอกหน้าขนาดนี้ เค้าคงดูไม่ออกเลยมั้ง"ว่าพลางยื่นมือไปดีดหน้าผากมันสักทีให้หายบื้อ...จริงที่ว่ามันไม่เคยทำอะไรรุ่มร่ามกับคุณพิกุล แต่คุณหญิงสร้อยแกก็ไม่ได้ตาบอดถึงจะได้มองไม่เห็นอะไรเลย...ไอ้การที่มันเดินตามหลังคุณพิกุลต้อยๆลงมาที่โรงครัวเกือบทุกวันนี่มันก็ชัดเจนพอแล้ว

"แต่กูไม่ได้ทำอะไรเสียหายนะเว้ย"มันยังคงเถียงเสียงแข็ง

"เออกูรู้ ไม่มีอะไรหรอกมึง กูว่าแกคงเครียดเรื่องงานบุญนี่แหละ"ตบบ่ามันสองทีเป็นเชิงปลอบ...ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรมากนอกจากเครียดเรื่องเตรียมงาน เพราะเห็นแกบ่นนู่นบ่นนี่มาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ผมว่าแกก็ยังไม่เลิกบ่น
.

.

.
แต่ไอ้แชมป์ดันพูดถูกเรื่องคุณหญิงสร้อย...เมื่อรุ่งขึ้นของอีกวันที่พวกผมกำลังช่วยพวกบ่าวปัดกวาดเช็ดถูเรือนหลังใหญ่...คุณหญิงสร้อยยังคงนั่งสั่งงานไม่ขาดปากอยู่กลางเรือน พร้อมด้วยคุณพิกุลที่กำลังเลือกสีผ้าสไบที่พี่ชดยกออกมาให้ดู...ผมเห็นไอ้แชมป์นั่งมองลูกสาวเจ้าของเรือนเป็นเรื่องปกติขณะที่มันกำลังปัดฝุ่นออกจากตู้ไม้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก...คุณพิกุลเองก็ลอบมองสบตากันบ่อยครั้ง...แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็น คือสายตาของคุณหญิงสร้อย ที่ดูเผินๆเหมือนแกจะไม่ได้สนใจอะไร หากแต่คอยปรายตามองลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะ

"สีนี้ดีหรือไม่เจ้าคะคุณแม่"เสียงหวานของคุณพิกุลเอ่ยถามผู้เป็นแม่พลางยกผ้าสไบสีม่วงเข้มให้ดู

"สีม่วงโบราณเขาถือว่าเป็นสีแม่หม้าย วันมงคลห่มสีสดจักเหมาะกว่า"ลูกสาวเพียงพยักหน้ารับก่อนจะหันไปเลือกผ้าชิ้นอื่นต่อ

"อ้ายแช่ม เสร็จแล้วก็ลงไปช่วยอ้ายสนมันข้างล่างโน่น"พูดกับลูกสาวจบก็หันกลับมาพูดเสียงเย็นใส่ไอ้แชมป์ที่ยืนปัดฝุ่นตู้อยู่ทันที...ผมเห็นมันสะดุ้งเฮือกก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินลงจากเรือนแต่โดยดี โดยไม่ลืมเหลียวมองคุณพิกุลที่ส่งยิ้มหวานตามไปให้ จนผู้เป็นแม่ถึงกับต้องกระแอมเตือนเบาๆ

"เอ็งน่ะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็ลงไปช่วยพวกข้างล่างมัน หรือจักมาช่วยนังชดมันขัดเครื่องแก้วตรงนี้ก็ตามใจ"ผมไม่ได้คิดไปเองว่าน้ำเสียงที่คุณหญิงแกพูดกับผมและไอ้แชมป์มันช่างต่างกันลิบลับ...น้ำเสียงแกยังอ่อนโยนเช่นเคยเมื่อพูดกับผม

"เดี๋ยวลงไปช่วยพวกพี่สนก็ได้ครับ"คุณหญิงสร้อยพยักหน้ารับ ผมจึงรีบเดินลงจากเรือนตรงไปทางโรงครัวทันที



"มึงเห็นมั้ยๆ"ไอ้แชมป์รีบหันมาโวยวายทันทีที่เห็นผม เสียงมันดังจนพวกบ่าวที่อยู่แถวนั้นหันมามองกันหมด

"เบาๆสัส แหกปากซะลั่น กลัวคนอื่นเค้าไม่รู้เหรอไง"

"ก็มึงดูดิ...เป็นงี้มาสามสี่วันแล้วนะ แค่กูนั่งอยู่ข้างบนก็หาเรื่องไล่กูลงมาข้างล่างทุกที"นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันโดนไล่ลงมาจากเรือนตอนที่คุณพิกุลอยู่ เพราะผมเองก็สังเกตเห็นมาสักพักแล้ว...คุณหญิงสร้อยแกมักจะหางานให้ไอ้แชมป์ลงมาทำข้างล่างเมื่อเห็นว่าบางทีมันก็ไปนั่งเสนอหน้าอยู่บนเรือนเฉยๆ

"กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ"มันขมวดคิ้วมุ่น...ท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย


"แชมป์ แค่มึงชอบลูกสาวเค้าก็ถือว่าทำแล้ว"ผมพอจะรู้แล้วว่าคุณหญิงสร้อยเป็นอะไร...และผมก็เข้าใจว่าทำไมแกมีอาการแบบนี้

"กูผิดมากเลยเหรอวะธีร์"น้ำเสียงจริงจังของมันทำเอาผมนิ่งไป...นั่นสิ...มันทำอะไรผิด...ถ้าการที่คนสองคนจะรักใคร่ชอบพอกัน แต่ต่างกันด้วยฐานะ และที่มา...อย่างนี้เขาเรียกว่าผิดหรือไม่

"กูขอแค่ได้มองเค้าทุกวันแบบนี้ กูไม่เคยขออะไรมากกว่านี้เลย แค่อยู่ใกล้ๆกูก็ผิดแล้วใช่มั้ย"มันไม่ผิดหรอกที่ไอ้แชมป์จะมีความคิดแบบนี้...แต่มันผิดที่คุณพิกุลก็ดันมีใจให้มันเหมือนกันนี่สิ

"แต่กูตัดใจไม่ได้หรอกนะธีร์ ถึงวันนึงเค้าต้องแต่งงานกับคนอื่น ความรู้สึกกูที่มีให้เค้ามันก็ยังเหมือนเดิม"ไม่บ่อยเลยที่จะได้ยินมันสาธยายความรู้สึกในใจให้ผมได้ฟัง...เพราะปกติพวกผมมันเป็นประเภทปากหนัก ต้องให้รู้กันเอาเอง ไม่ค่อยเล่าอะไรกันตรงๆ...นี่แสดงว่ามันกำลังเครียดหนัก...แต่ผมเองก็ไม่รู้จะช่วยมันอย่างไร

"ทำเต็มที่แล้วกันมึง...กูเป็นกำลังใจให้"สิ่งที่ทำได้คือการตบบ่าปลอบใจมันเบาๆ แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลยก็ตาม


คุณพิกุลเพิ่งลงมาจากเรือนเมื่อผมคุยกับไอ้แชมป์เสร็จ...เธอเดินตรงมายังโรงครัว คงจะมาเตรียมสำรับให้คุณหญิงและเจ้าคุณจิตราที่ใกล้จะกลับมาเต็มที...กิริยามารยาทของเธอช่างอ่อนช้อยสมกับเป็นชาววัง แม้เพียงท่วงท่าการเดินก็ยังเนิบนาบน่ามอง...ใบหน้าหวานฉ่ำรับกับผิวเนียนละเอียด...แม้ผมเองก็ยังคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่งามพร้อม...คงไม่แปลกถ้าไอ้แชมป์จะหลงรักเธอเช่นเดียวกัน

"พ่อธีร์ พ่อแชมป์ เสร็จงานแล้วรึ"เสียงหวานทักขึ้นเมื่อเห็นผมสองคนอยู่หน้าโรงครัว...แต่ไอ้ตัวดีกลับหลบฉากมาอยู่ด้านหลังผมจนผิดสังเกต

"เป็นอะไรรึพ่อแชมป์"ถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งไม่ยอมสบตา

"เปล่าครับ"มันส่ายหน้าตอบ หากแต่คนถามยังคงมีสีหน้าสงสัยไม่น้อย

"คุณพิกุลลงมาเตรียมสำรับเหรอครับ"เมื่อเห็นว่าบรรยากาศไม่สู้ดีนักผมเลยต้องเอ่ยถามคนตัวเล็กตรงหน้า

"ใช่จ้ะ...พ่อแชมป์ ช่วยเราหน่อยได้หรือไม่"ท้ายประโยคถามไปถึงคนข้างหลังที่ยังคงยืนนิ่ง...ผมเลยจัดการกระทืบเท้ามันเบาๆเพื่อเรียกสติ...เขาอุตส่าห์มาเรียกให้ช่วยถึงที่ จะมาเล่นตัวก็ไม่ใช่เรื่องแล้วครับมึง...แว่วเสียงมันบ่นอุบอิบแต่ก็พยายามนิ่งไว้ด้วยเพราะคนตัวเล็กยังยืนรอคำตอบอยู่

"ถ้าคุณพิกุลอยากให้ช่วยก็ได้ครับ"ตอบกลับเสียงเบาแต่ยังไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย...ผมเพียงแค่ตบบ่ามันเบาๆก่อนจะเดินหนีขึ้นเรือน ปล่อยให้มันได้ใช้เวลาที่ช่วงนี้ไม่ค่อยจะมีกันตามลำพัง...หากแต่ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นคนที่ยืนนิ่งอยู่บนบันไดเรือน



"คุณหญิง มีอะไรรึเปล่าครับ"ผมเงยหน้ามองคุณหญิงเจ้าของเรือนที่ยืนสง่าอยู่ด้านบน สีหน้าของท่านช่างเรียบเฉยยากจะคาดเดาความคิด

"อ้ายแช่มล่ะ"คำถามที่ทำเอาผมอึกอัก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

"อยู่ ที่โรงครัวครับ"

"ไปทำอะไรที่โรงครัว"น้ำเสียงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

"ก็คุณหญิงให้มันลงไปช่วยพี่สนทำงานนี่ครับ"ท่านเพียงแค่พยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับเดินเข้าเรือนไปโดยมีผมเดินตามหลังไปไม่ห่าง


"คุณหญิงเป็นอะไรรึเปล่าครับ"ผมถามขึ้นหลังจากคุณหญิงเจ้าของเรือนทรุดตัวลงนั่งบนพื้นยกกลางเรือน...แกดูเงียบผิดปกติ

"ช่วงนี้เอ็งมิต้องไปทำงานที่เรือนเจ้าคุณไพศาลรึ"อยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่องกระทันหันจนผมรับอารมณ์แทบไม่ทัน

"งานใกล้เสร็จแล้วก็เลยไม่ต้องไปทุกวันน่ะครับ"ช่วงนี้กว่าจะได้ไปที่เรือนเจ้าคุณไพศาลทีก็ทิ้งช่วงไปสามสี่วันได้ เพราะไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนัก

"เอ็งทำงานกับหลวงพิสิษฐ พอรู้เรื่องของหลวงแกบ้างหรือไม่"คำถามที่ทำเอาผมขมวดคิ้วมุ่น

"เรื่องอะไรเหรอครับ"

"ที่ว่าหลวงแกมีคนในใจ เอ็งพอรู้หรือไม่ว่าเป็นลูกสาวเรือนไหน"ผมรู้สึกชาไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำถาม ราวกับถูกใครเอาไม้ฟาดเข้าที่หน้าอย่างจัง...เจ้าคุณจิตราคงเล่าให้คุณหญิงสร้อยฟังถึงเรื่องในวันนั้น หรืออาจจะเป็นบ่าวสักคนที่นำมาฟ้อง...แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกถามต่อหน้าตรงๆเช่นนี้

"ไม่ทราบครับ ผมกับหลวงพิสิษฐคุยกันแค่เรื่องงานเท่านั้น"แม้ไม่อยากโกหกผูู้ใหญ่ หากแต่เรื่องนี้คงไม่สามารถพูดความจริงให้ท่านฟังได้

"หลวงแกมิเคยเอ่ยถึงหญิงใดเลยรึ"ได้แต่ส่ายหน้าตอบอีกครั้ง จนคนถามถอนหายใจยาว

"หมายมั่นไว้เสียดิบดีเรื่องแม่พิกุล อยากรู้จริงเชียวว่าเป็นลูกสาวเรือนไหน"ผมไม่รู้ว่าท่านเพียงแค่เสียดายคนดีอย่างหลวงพิสิษฐ หรือเพราะต้องการให้คุณพิกุลรีบแต่งงานออกจากเรือนนี้โดยเร็วกันแน่

"คุณหญิง อยากให้คุณพิกุลออกเรือนกับหลวงพิสิษฐเหรอครับ"คำถามที่ผมเองก็หน่วงในใจไม่น้อย...หากดูตามความเหมาะสม ก็คงต้องบอกว่าสองคนนี้เหมาะสมกันมากเหลือเกิน

"ข้ากับเจ้าคุณปรึกษาเรื่องนี้กับเจ้าคุณไพศาลเมื่อนานมาแล้ว ครานั้นหลวงแกก็มิได้มีท่าทีปฏิเสธ แต่เมื่อวานเจ้าคุณท่านว่าหลวงแกมีคนในใจเสียแล้ว ข้ายิ่งนึกแปลกใจ"ผมเองก็อยากเห็นคุณหญิงสร้อยสมหวัง เพราะท่านเองก็เป็นหนึ่งในต้นตระกูลของผมที่ผมเคารพรัก...แต่ผมไม่สามารถช่วยอะไรเรื่องนี้ได้เลย...ไม่ใช่เพราะเป็นหลวงพิสิษฐ...แต่เป็นเพราะเพื่อนของผมต่างหาก...ถ้าแชมป์ไม่มีความรู้สึกอะไรให้คุณพิกุลและคุณพิกุลไม่ได้มีท่าทีอะไรอย่างเช่นทุกวันนี้...สิ่งที่ผมจะทำ...คงเพียงแค่กลับไปยังที่ของผม แล้วปล่อยให้คนที่ควรคู่กันได้อยู่ด้วยกัน...อย่างที่ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ตั้งใจเอาไว้

"ช่างเถอะ หลวงแกปฏิเสธเสียขนาดนี้ ให้ดึงดันต่อก็มิใช่เรื่อง"คุณหญิงเจ้าของเรือนได้แต่ถอนใจยาว

"ผมเชื่อว่าคนดีๆอย่างคุณพิกุล วันนึงต้องได้เจอกับคนที่เหมาะสมกับเธอเช่นกันครับคุณหญิง"ราวกับคำปลอบใจที่ทำให้อีกฝ่ายพยักหน้ารับ


...ผมอยากบอกคุณหญิงสร้อยเหลือเกิน...ว่าเพื่อนของผมเองก็ดีไม่น้อยไปกว่าใคร...ติดเพียงแค่มันเป็นแค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ได้ทำงานรับราชการเป็นข้าหลวงกรมใด...ไม่มีแม้แต่เงินเดือนที่จะมาเลี้ยงดูครอบครัว...แต่สิ่งที่มันมี...กลับยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก...นั่นคือใจที่มันมีให้กับผู้หญิงหนึ่งคน โดยไม่เคยหวังแม้แต่จะครอบครอง...กลับกันเพียงแค่หวังให้เธอมีความสุขและมีชีวิตที่ดี


...ผมหวังว่าวันหนึ่ง คุณหญิงสร้อยจะเข้าใจและยอมรับได้...และถ้าวันนั้นมาถึง ผมมั่นใจว่าคุณพิกุลจะกลายเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่ง...


...


แต่งถึงเช้า อยากให้จบไวๆ :katai4:

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ  :call: :call: :call:

หมายเหตุ : มีคอมเม้นนึงถามถึงสรรพนามที่หลวงแก้วเรียกแทนตัวเองว่าเรา
คนเขียนขอชี้แจงนิดนึงน้า จากที่ได้อ่านพีเรียดหลายๆเรื่อง และนิยายพีเรียดมาพอสมควร
สรรพนามที่ผู้พูดเรียกแทนตัวเองว่า เรา ถูกใช้ในสมัยก่อนเช่นกันค่ะ อย่างเช่นในบทกลอนบางบทที่ผู้พูดเอ่ยถึงตัวเอง
เช่น อันตัวเรานี้...แต่จะมีอีกสรรพนามที่ใช้คือ ฉัน
สองคำนี้ใช้เมื่อผู้พูดมีอาวุโสมากกว่า หรือมีตำแหน่งสูงกว่า...แต่ผู้แต่งเห็นว่าคำว่าฉันคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ จึงเลือกใช้คำว่า เรา ค่ะ

ส่วนที่บอกว่าอยากให้เรียกน้องธีร์กับพี่แก้ว...เค้าก็อยากให้เรียกเหมือนกัน อิอิ แต่เก็บไว้เรียกกันสองคนดีกว่าเนอะ
เกรงว่าถ้าเรียกพี่แก้วต่อหน้าผู้ใหญ่ท่านจะตกใจเอานะ  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-07-2014 22:37:06
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re:...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-07-2014 22:43:54
 :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 28-07-2014 23:06:53
นี่จักดราม่ากันอีกแล้วหรือแม่นาง
เราหาได้ชอบไม่ รันทดเกินไป
สงสารพ่อแช่ม เขามิได้ทำสิ่งใดผิด
ใยแม่สร้อยถึงคอยกีดกันพ่อแช่มวะ
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 28-07-2014 23:11:40
หลวงแก้วรุกหนักเลยแหะ  ถ้าผูกธีร์ได้คงทำไปแล้ว   //สงสารแชมป์ใจตรงกันทั้งทีแต่โดนผู้ใหญ่กีดกัน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 28-07-2014 23:14:10
พี่แก้วพูดซะเขินเลย  :-[
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 28-07-2014 23:19:56
แชมป์เริ่มดราม่าแล้วธีร์คงไม่ ใช่มั้ยคะ555555
ดู๊ดู พี่แก้วออกมาฉากเดียว ทำเอาธีร์หน้าดำหน้าแดง
แต่ยังอยากให้ธีร์บอกอา คือคนที่อยู่ทางนู้นคงห่วงมาก
สร้างอีกโลกให้อยู่ด้วยกันดีกว่า กลัวดราม่าแงงง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 28-07-2014 23:34:10
พี่แก้วครับแถวบ้านพี่มีคนแบบพี่อีกซักคนไหม?
อยากได้ๆๆๆๆจะเอาแบบนี้จะเอาแบบนี้//นอนแถก

+1  +เป็ด ให้ครับ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: knightprince ที่ 29-07-2014 02:03:17
โอยยยยย พี่แก้วน่ารักไปแล้วววว นั่งอ่านเรื่องนี้ไปนั่งบิดนั่งเขินแทนพ่อธีร์เสียทุกที
เรื่องของพ่อแช่มอ่านละหน่วงเหลือเกิน สงสารทั้งคู่เลยอะ
ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้นะคะ ยังไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-07-2014 13:37:08
อยากอ่านตอนต่อไปไวๆ นะคะ  แต่ก็ยังไม่อยากให้จบเร็วตามไปด้วย  :serius2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-07-2014 17:36:27
อยากอ่านอีก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 29-07-2014 20:27:11
สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ แชมป์ ลูกอาเสี่ยไม่ต้องรีบกินมาม่าก็ได้นะ
หวังว่าธีร์คงไม่อยากกินตามเค้าอีกคนหรอกนะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 29-07-2014 20:44:12
มาให้กำลังใจก่อนจ้า

เดี๋ยวมาอ่าน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 30-07-2014 20:47:30
เอาล่ะสิ คุณหญิงสร้อยคงจะไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่เรื่องแชมป์ คือคืดว่าดูออกแน่นอนล่ะนะ แล้วยิ่งแม่พิกุลมีใจให้พ่อแชมป์ มันก็ยิ่งเห็นได้ชัด แล้วนี่หลวงแก้วเค้าก็ปฏิเสธชัดๆ ยิ่งแบบ ทีนี้จะหาผู้ชายดีๆให้ลูกสาวออกเรือนยิ่งยากขึ้นไปอีก จะมาม่ามากมั้ยนะ หวังว่าถ้ามาม่า ก็จะไม่นานนะคะ555 เครียด

พี่แก้วคะ พูดซะตรงและชัดเจน น้องธีร์ก็เขินนะคะ ชอบเวลาพี่แก้วอยู่กับน้องธีร์นะ เพราะเหมือนเป็นตัวของตัวเองดี กวนๆนั่นน่ะ อยู่กับผู้หญิงอย่างแม่พิกุลคงไม่ได้กวนอะไรแบบนี้ ชอบที่พี่แก้วตอบไปตรงๆ จะได้ไม่ยืดเยื้อดึงกันไปมา น้องธีร์ก็จะได้สบายใจ(เหรอออ?555) แต่จะทำยังไงได้หนอ สมัยนั้นก็ไม่เป็นที่ยอมรับ เรื่องแบบนี้ เออ ตั้งแต่อ่านมาตอนแรก ไม่คิดว่าน้องธีร์จะขี้เขินขี้อาบแบบนี้เลยนะ เรียกได้ว่าพี่แก้วมาที ทำเอาน้องธีร์บิดเลยทีเดียว ชอบบบ

รออ่านต่ออยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 30-07-2014 21:00:56
ตอนที่ ๒๒.๕...หนักใจ...




คุณหญิงสร้อยกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ และเป็นปัญหาหนักอกที่ติดอยู่ในใจเธอมาหลายวันเต็มที โดยตัวเธอเองก็จนปัญญาที่จะหาทางออก


...จะเรื่องอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่ความกังวลเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กที่บัดนี้เติบโตงามพร้อมเป็นสาวสะพรั่ง และยังกิริยา มารยาทอ่อนช้อยงดงามเพราะได้เล่าเรียนมาจากในวัง...ความงามของแม่พิกุลเองก็เลื่องชื่อเสียจนหนุ่มน้อยใหญ่ในพระนครต่างแวะเวียนมาหามิเคยขาด มีตั้งแต่ระดับขุนเรื่่อยไปจนถึงพระยา...แต่จนแล้วจนรอดลูกสาวคนเล็กของพระยาจิตรานุวัตรและคุณหญิงสร้อยก็ไม่ได้มีท่าทีต่อใครเลยสักคน...สุดท้ายผู้เป็นพ่อและแม่จึงได้หมายมั่นที่จะฝากฝังแม่พิกุลไว้กับคุณหลวงคนสนิทของพระยาไพศาลราชวราการผู้ซึ่งเป็นสหายสนิทของพระยาจิตรานุวัตรมาช้านาน


...ทุกอย่างดูราบรื่นในตอนแรกเมื่อคู่หนุ่มสาวดูเข้ากันได้ดีจนใครต่อใครก็พากันชมว่าช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก...หากแต่ในใจลึกๆของคุณหญิงสร้อยแล้ว เธอรู้ดีว่าลูกสาวของตัวเองไม่ได้มีใจให้คุณหลวงหนุ่มมากไปกว่าความเป็นพี่น้องเลยแม้แต่น้อย...ส่วนด้านคุณหลวงหนุ่มเองด้วยความที่เป็นคนสุภาพ นอบน้อม ทำให้เธอเองไม่สามารถเดาใจอีกฝ่ายได้ว่าที่ไปมาหาสู่ที่เรือนนี้อยู่บ่อยครั้ง เป็นเพราะเขามีใจให้กับลูกสาวของเธอ หรือเพียงเพราะความนับถือเธอและสามีดุจญาติสนิทเท่านั้น...ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหากทั้งสองจะออกเรือนไปด้วยกัน เช่นเดียวกับเธอและสามีที่ก่อนแต่งงานก็ได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง หากเมื่ออยู่กันไปนานเข้าก็เกิดเป็นความผูกพันและความรักขึ้นมา


...แต่ความกังวลใจกลับมีมากกว่าเดิม...เมื่อเด็กหนุ่มสองคนปรากฎตัวขึ้นบนเรือนของเธอในคืนหนึ่ง...ท่าทีประหลาดแตกต่างจากชาวพระนครทั่วไป และยังสำเนียงการพูดจาที่เธอไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน...หัวนอนปลายเท้าหรือก็ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน...แต่เพราะความสงสารจึงรับให้มาอยู่ที่เรือนคอยช่วยงานพวกบ่าวไพร่...จนเมื่อได้ทราบว่าเด็กหนุ่มทั้งสองมีความรู้ติดตัว เจ้าคุณผู้เป็นสามีจึงให้ขึ้นมาช่วยงานราชการของท่านเอง


...แม้ทั้งสองจะเป็นเด็กนอบน้อมมีสัมมาคารวะ แต่การพูดจาและกิริยาท่าทางช่างประหลาดนักในความคิดของคุณหญิง...ถึงกระนั้นเธอก็ยังเอ็นดูเด็กทั้งสองคนเหมือนลูกเหมือนหลาน ไม่เคยนึกเปรียบเทียบพวกเขากับบ่าวไพร่ในเรือน แม้จะคอยช่วยงานพวกบ่าวไพร่อยู่เนืองๆก็ตามที...โดยเฉพาะเด็กหนุ่มตัวสูงโปร่งผมยาวคนนั้น เธอรู้สึกผูกพันกับเขาอยู่มากทั้งที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของเขาเลยแม้แต่น้อย...ส่วนอีกคนท่าทางเหมือนลูกคนจีน แต่กลับรู้มารยาททางสังคมและรู้หนังสือผิดกับพวกเจ๊กในตลาด...


...สิ่งที่ทำให้คุณหญิงสร้อยหนักใจ ไม่ใช่การปรากฎตัวของเด็กหนุ่มสองคนนั้น...หากแต่เป็นการพบกันของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกับลูกสาวคนเล็กของเธอต่างหาก...เธอยังจำวันที่ลูกสาวของเธอกลับมาอยู่ที่เรือนหลังจากเข้ารับใช้เจ้านายในวังมานานหลายเดือนได้ดี...เธอยังจำสายตาของเด็กหนุ่มที่มองลูกสาวเธอไม่วางตาอย่างชื่นชมและเป็นมิตร...หากแต่เธอยังคงมั่นใจในตอนนั้นว่าคงไม่มีอะไรผิดปกติ ด้วยลูกสาวของเธอเองก็ถูกอบรมมาให้อยู่ในกรอบธรรมเนียมตั้งแต่เล็ก...การวางตัวและกิริยามารยาทก็ทำได้เหมาะสม


...แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เธอกลับรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์บางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสอง...ท่าทีของเด็กหนุ่มแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขามีใจให้ลูกสาวของเธอ...ส่วนแม่พิกุลเองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจ กลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ...หลายครั้งที่เธอเห็นทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนม หรือแม้แต่การที่เด็กหนุ่มคอยหาโอกาสใกล้ชิดลูกสาวของเธอ นั่นยิ่งทำให้เธอขุ่นหมองในใจ...เธอไม่เคยรังเกียจเด็กหนุ่มทั้งสอง แต่หากพูดถึงการฝากฝังชีวิตลูกสาวทั้งคนไว้กับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ และยังได้ชื่อว่าเป็นเพียงเด็กบนเรือนของพระยาจิตรานุวัตร...ย่อมเป็นเรื่องที่คุณหญิงสร้อยไม่มีวันยอมรับได้


"หม่อมท่านจักกลับวังเมื่อใดรึแม่พิกุล"คุณหญิงสร้อยถามถึงผู้เป็นนายขณะที่กำลังนั่งมองลูกสาวคนเล็กบรรจงปักลวดลายลงบนผ้าไหมผืนงาม

"อีกสิบวันเจ้าค่ะคุณแม่"รอยยิ้มหวานฉ่ำเจือบนใบหน้า หากแต่สายตายังคงจดจ้องกับเข็มปักในมือ

"ต้องกลับเข้าวังเลยหรือไม่"

"หม่อมท่านว่ามิต้องรีบเจ้าค่ะ ข้าหลวงเรือนในยังอยู่อีกหลายคน หม่อมท่านอยากให้ลูกอยู่กับเจ้าคุณพ่อและคุณแม่ให้นานเจ้าค่ะ"เธอเพียงพยักหน้ารับกับคำพูดนั้น หากแต่ในใจกลับอยากให้ลูกสาวกลับเข้าวังโดยเร็ว

"แล้วหล่อนจักกลับเข้าวังเมื่อใดเล่า"ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองผู้เป็นแม่

"คุณแม่อยากให้ลูกกลับแล้วหรือเจ้าคะ"แสร้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ ถึงจะเป็นข้าหลวงเรือนในที่มารยาทงามพร้อม แต่แม่พิกุลก็ยังถือว่าเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ยังคงมีความซุกซนแบบเด็กน้อย...จนผู้เป็นแม่ได้แต่ส่ายหน้าตอบ

"คงอีกสักพักใหญ่เจ้าค่ะคุณแม่ เกรงว่าเจ้าคุณพ่อและคุณแม่จักเหงา"คนตัวเล็กตอบกลั้วเสียงหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี



...ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ เด็กหนุ่มตัวปัญหาสำหรับเธอก็เดินขึ้นเรือนมาพอดี...เมื่่อเช้าเธอวานให้เขาลงไปช่วยพวกบ่าวที่โรงครัวเตรียมของสำหรับเลี้ยงพระวันเกิดของลูกสาวคนเล็กที่จะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น...เธอสังเกตเห็นสายตาของเขา เช่นเดียวกับลูกสาวของเธอ

"งานเสร็จแล้วรึเอ็ง"น้ำเสียงที่ถามเรียบเฉยจนผิดสังเกต...อีกฝ่ายเพียงเดินเข้ามานั่งอยู่บนพื้นด้านล่าง ไม่เคยตีตนเสมอขึ้นมานั่งบนพื้นยกกลางเรือนเลยสักครั้งหากไม่มีใครบอก

"เสร็จแล้วครับ คุณหญิงมีอะไรให้ผมทำอีกมั้ยครับ"สำเนียงการพูดจาแปลกหูที่คุณหญิงสร้อยเริ่มคุ้นเคย ด้วยว่าได้ฟังมานานพอสมควร

"เอ็งมาก็ดี ประเดี๋ยวไปเก็บผักบุ้งให้ข้า เย็นนี้ข้าจะแกงเทโพ"คำสั่งที่ทำเอาเด็กหนุ่มเบิกตากว้างเล็กน้อย...ปกติเคยใช้ให้ทำแต่งานในครัวหรืออย่างมากก็ปัดกวาดเช็ดถูทั่วไป...แต่คราวนี้กลับให้พายเรือออกไปเก็บผักบุ้ง

"คุณแม่จะแกงเทโพหรือเจ้าคะ"เสียงหวานเอ่ยแทรก ละมือจากงานตรงหน้ามองผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างตัว...คุณหญิงสร้อยเพียงพยักหน้ารับ

"เอ้า นั่งบื้ออยู่ได้ ข้าสั่งอะไรก็ไปทำเสียสิ"หันกลับไปดุเด็กหนุ่มที่ยังนั่งเหรอหราอยู่ จนต้องรีบผลุดลุกลงจากเรือนไป...แว่วเสียงคุณหญิงเจ้าของเรือนถอนหายใจเบา...สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ คือพยายามไม่ให้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากกว่าเคย


"แม่ว่าหล่อนเข้าวังเสียตอนหม่อมท่านกลับมาก็ดี"น้ำเสียงเรียบเอ่ยจนฝ่ายลูกสาวได้แต่หันมามอง

"หากหม่อมท่านมีการใดให้ทำ หล่อนจักได้อยู่ช่วย"เมื่อเห็นลูกสาวมีสีหน้าสงสัยจึงอ้อมแอ้มหาเหตุผลตอบไป

"เจ้าค่ะ"และเมื่อเป็นคำสั่งของผู้เป็นแม่ จะเถียงอย่างไรก็คงไม่เป็นผล...คุณหญิงสร้อยได้เพียงลอบมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง...ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้อยากให้แม่พิกุลรีบกลับแม้แต่น้อย หากแต่ตอนนี้คงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
.

.

.
ยิ่งเข้าช่วงบ่ายคล้อย บรรดาบ่าวในเรือนก็ยิ่งวิ่งวุ่นมากกว่าเดิม ด้วยว่าใกล้หมดวันเต็มทีและงานจะมีขึ้นในวันพรุ่ง...ทั้งเรือนเลยจอแจไปด้วยเสียงของทั้งผู้เป็นนายและบ่าวให้อื้ออึง...เจ้าคุณผู้เป็นเจ้าของเรือนเองก็เพิ่งกลับมาจากราชการที่กรม...หากแต่ยังออกมาช่วยดูแลความเรียบร้อยบนเรือนที่ตอนนี้ถูกจัดแจงไว้อย่างเป็นระเบียบ...นานๆจะมีโอกาสเลี้ยงพระบนเรือนสักทีเลยต้องเตรียมการให้เพียบพร้อม ไหนจะแขกเหรื่อที่เชิญมาร่วมอีก แม้จะเป็นจำนวนไม่มากนักหากแต่ด้วยหน้าตาของเจ้าของเรือนเห็นทีจะให้มีข้อบกพร่องไม่ได้

"วันพรุ่งเจ้าคุณไพศาลกับพ่อแก้วจักมาด้วยหรือไม่เจ้าคะ"คุณหญิงสร้อยเอ่ยถามผู้เป็นสามีที่ตอนนี้นั่งตรวจเอกสารราชการอยู่บนเรือน

"มาสิ เห็นว่าเจ้าพระยาเดโชกับหลวงเจษฎ์ลูกชายท่านจักมาด้วย"คนฟังขมวดคิ้วมุ่น จริงอยู่ที่ตอนนี้เจ้าคุณผู้เป็นสามีต้องติดต่อประสานเรื่องงานเลี้ยงท่านทูตฝรั่งเศสกับเจ้าพระยาฝ่ายกรมวังอยู่บ่อยครั้ง แต่นอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้มีความสนิทชิดเชื้อกันแม้แต่น้อย...ตรงกันข้ามกลับดูเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไร...ส่วนคุณหลวงผู้เป็นลูกชายเองก็เคยมาติดพันแม่พิกุลเมื่อครั้งก่อนออกเรือน...หากแต่ถูกลูกสาวคนเล็กปฏิเสธกลับไป ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะรู้จักนิสัยใจคอคุณหลวงคนนี้มากพอควร

"มิเป็นอะไรแน่หรือเจ้าคะ"แม้เจ้าของเรือนจะยืนยัน แต่ก็ยังถามกลับเพื่อความแน่ใจ...เจ้าคุณจิตราเพียงถอนหายใจยาว

"ท่านว่าจักมา เราก็ขัดท่านมิได้หรอกแม่สร้อย"เธอเพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ...ด้วยตำแหน่งที่สูงกว่า หากพูดคำไหน ก็คงไม่มีใครกล้าขัด...ถึงได้ทนงตัวว่ามีศักดิ์สูงนัก แม้แต่ขุนนางท่านอื่นก็รู้กิตติศัพท์พ่อลูกคู่นี้ดี



"อ้ายธีร์ อ้ายแช่ม"เจ้าของเรือนเอ่ยปากเรียกเด็กหนุ่มสองคนที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมา...คุณหญิงได้แต่มองเด็กหนุ่มหน้าตี๋ด้วยความไม่สบายใจนัก หากแต่ต้องระงับเอาไว้เพียงเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหา...สามีของเธอไม่รู้เรื่องที่เธอกำลังเป็นกังวล และเธอเองก็ไม่อยากบอกเช่นกัน

"วันพรุ่งเอ็งสองคนช่วยคุณหญิงท่านดูแลแขกเหรื่อที่มาเสียด้วย ลำพังคุณหญิงคงดูแลมิทั่วถึง"ด้วยความที่เคยทำงานร่วมกันและยังมีความรู้ความสามารถติดตัวทำให้เจ้าคุณจิตราไว้ใจเด็กหนุ่มสองคนมากทีเดียว

"มากันเยอะมั้ยครับ"เด็กหนุ่มตัวสูงกว่า ผมยาวละต้นคอเป็นคนถามขึ้น...ส่วนอีกคนได้แต่นั่งเงียบลอบมองคุณหญิงสร้อยเป็นพักๆ

"ไม่มากนัก แต่มีข้าหลวงคนสำคัญหลายท่าน"สองหนุ่มได้แต่มองหน้ากันเหรอหรา...แม้จะเคยช่วยงานอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยได้ออกงานต้อนรับแขกเหรื่อเช่นนี้มาก่อน

"พวกเอ็งมิต้องกังวล คนกันเองทั้งนั้น"คนกันเองของเจ้าคุณจิตรา ใช่ว่าจะเป็นคนกันเองของพวกเขาสองคนเสียเมื่อไหร่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังตกปากรับคำแต่โดยดี

"งานข้างล่างเรียบร้อยแล้วรึ"เป็นคุณหญิงสร้อยที่ถามขึ้นบ้าง...เธอปรายตามองเด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่มองมาทางนี้บ่อยครั้ง

"เสร็จหมดแล้วครับ เหลือแต่อาหารที่จะถวายพระ ป้าน้อยกำลังเร่งทำอยู่ครับ"แม้งานจะมีขึ้นในวันพรุ่ง แต่อาหารที่จะเตรียมถวายพระมีมากนัก บางอย่างจึงต้องเตรียมกันตั้งแต่ช่วงเย็น


พอดีกับที่ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราเดินขึ้นมาบนเรือน...คุณหญิงสร้อยสังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของเด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่มีต่อลูกสาวของเธออย่างชัดเจน...และยังลูกสาวของเธอเองที่มองตอบมาเช่นกัน...ใจหนึ่งเธอกำลังคิด...อีกไม่กี่วันแม่พิกุลก็จะกลับเข้าวัง คงไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล...หากแต่อีกใจเธอรู้สึกอยากจะยกก้อนหินที่มันทับแน่นอยู่ในอกนี้ให้ออกไปเสียที...พอดีกับที่เด็กหนุ่มหน้าตี๋ขอตัวลงจากเรือน เธอจึงสบโอกาสที่จะได้คุยกับเขาตามลำพัง...เธอเดินตามลงมาด้านล่าง ทันเห็นหลังของเด็กหนุ่มไกลๆ


"อ้ายแช่ม"ส่งเสียงเรียกจนเจ้าของชื่อชะงักฝีเท้า...เมื่อเห็นว่าเป็นคุณหญิงเจ้าของเรือนจึงรีบเดินกลับมาหา

"ครับคุณหญิง"ท่าทีนอบน้อมไม่ต่างจากเดิม...หากแต่สายตาที่มองเธอกลับเปลี่ยนไป

"ข้ามีอะไรจักพูดกับเอ็งเสียหน่อย"เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ...เหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทอีกคนยืนมองอยู่ไกลๆคงเพราะความเป็นห่วง ก่อนที่เธอจะเดินนำเขามายังศาลาไม้สักข้างเรือนซึ่งถือเป็นที่ปลอดคน



"คุณหญิงมีอะไรรึเปล่าครับ"เด็กหนุ่มถามขึ้น มือทั้งสองประสานกันอยู่ด้านหน้าแสดงความนอบน้อม...แม้สำเนียงการพูดจะผิดแปลกจากชาวพระนครหากแต่เจือไปด้วยความเคารพ

"เอ็งมาอยู่ที่เรือนข้าได้นานเท่าใดแล้ว"คำถามที่ทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่น...หากนับเวลาทั้งหมดจริงๆแล้วก็นานอยู่

"ประมาณสองเดือนมั้งครับ"เขาตอบอย่างไม่แน่ใจนัก อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้ารับ

"อยู่เรือนนี้สะดวกสบายดีหรือไม่"

"ครับ คุณหญิงกับเจ้าคุณเองก็เมตตาพวกผมมากจริงๆครับ"น้ำเสียงยังคงนอบน้อมด้วยสำนึกในบุญคุณ

"ข้าเห็นเอ็งตั้งใจทำงานช่วยเจ้าคุณท่าน แลยังงานบ้านงานเรือนของพวกบ่าว ข้าขอบใจเอ็งมาก"น้ำเสียงเรียบเจือด้วยความอ่อนโยน...เธอไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ หากแต่เพราะความเป็นห่วงและความกังวลต่างหากที่ทำให้เธอมีทีท่าเช่นนี้

"จริงสิ เอ็งมาอยู่ที่นี่เสียนาน มิได้หมายปองหญิงใดบ้างรึ"คำถามที่ทำเอาเด็กหนุ่มเบิกตากว้าง...ท่าทีอึกอักแสดงออกชัดเจน

"ก็...มีครับ"อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง...หากแต่อีกฝ่ายรู้ดีว่าคนที่เขาหมายถึงคือใคร

"ใครเล่า บอกข้าได้หรือไม่ พวกบ่าวในเรือนหรือลูกสาวแม่ค้าในตลาดคนใด"คำถามที่ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าเจื่อนไปทันที...เขารู้ดีว่าคุณหญิงต้องการจะสื่ออะไร...สำหรับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างตัวเขา...หากจะหมายปองใครสักคน ก็คงหนีไม่พ้นพวกบ่าวในเรือนหรือลูกสาวชาวบ้านอย่างที่คุณหญิงแกว่า

"หากเอ็งหมายปองลูกสาวใคร ข้าจักช่วยเป็นธุระให้ อย่างไรเสียเอ็งก็ถือเป็นคนในเรือนของข้าเช่นกัน"คุณหญิงสร้อยยังคงพูดต่อโดยไม่หันมามองสีหน้าของเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย...เธอเองก็เอ็นดูเขามากอยู่ แต่ถ้าจะให้ถึงขั้นยอมฝากฝังลูกสาวไว้ เห็นทีจะยอมไม่ได้



"ขอบคุณคุณหญิงมากครับ...แต่คนที่ผมชอบ...ผมไม่กล้าจะไปแตะต้องเธอหรอกครับ สิ่งที่ผมต้องการ แค่เห็นเธอมีความสุข มีชีวิตที่ดี แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว...คุณหญิงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ"ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าต้องการจะสื่อถึงอะไร...แม้ไม่ต้องพูดกันออกมาตรงๆ

"เอ็งเป็นคนดีมีน้ำใจนักอ้ายแช่ม ข้าเชื่อว่าวันหน้าเอ็งจักได้พบคนที่คู่ควรกับเอ็ง"เป็นเหมือนคำขอบคุณจากปากคุณหญิง อย่างน้อยเธอก็สบายใจขึ้นมาบ้างที่ได้พูดความในใจออกไป และยิ่งได้รับคำยืนยันจากปากของอีกฝ่าย...หากแต่ในใจลึกๆเธอยังคงเป็นกังวล...ว่าสิ่งที่เธอทำนั้น มันดีแน่แล้วหรือ...

"ผมพบคนที่ผมรัก...และผมไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ถึงแม้ชาตินี้ผมจะไม่มีโอกาสได้อยู่กับเธอ ผมก็จะไม่ตัดใจ"น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจนผิดกับทุกครั้ง...เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย...เขาหนักแน่นและมั่นคง...ติดเพียงฐานะและที่มา...หากเขามีพร้อม ลูกสาวของเธอก็คงจะมีความสุข


คุณหญิงสร้อยไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเพียงเดินจากขึ้นเรือนปล่อยให้เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม...เขารู้ดีว่าเขาไม่คู่ควร...และไม่ว่าจะทำดีเช่นไรก็ไม่สามารถหักล้างความคิดในใจของคุณหญิงในเรื่องฐานะหรือชาติกำเนิดได้


"โอเคมั้ยมึง"คำปลอบใจจากคนเป็นเพื่อนพร้อมมือที่บีบลงบนไหล่...เขาพยักหน้ารับ หากแต่สีหน้ากลับตรงข้ามกับคำตอบ

"เดี๋ยวมันก็ผ่านไป"ธีร์รู้จักเขาดีกว่าใคร...เขาเองก็รู้จักธีร์ดีเช่นกัน...ต่อให้ปากจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่คนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กย่อมรู้ใจอีกฝ่ายดี

"กูทำดีที่สุดแล้วธีร์"เจ้าของชื่อทำได้เพียงยกมือจับหัวเกรียนๆของเขาโยกไปมา...ในเวลาเช่นนี้การมีใครสักคนอยู่ข้างๆมันทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

"กูเชื่อ ว่ามึงทำดีที่สุดแล้ว"แม้เวลาปกติจะกวนประสาทกันอยู่ตลอด แต่เมื่อคนใดคนหนึ่งมีปัญหา อีกคนก็พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างเสมอ

"กูขออยู่คนเดียวซักพักนะธีร์"อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ตบบ่าเขาอีกสองทีก่อนจะเดินจากไปทางโรงครัว...เขายังคงนั่งอยู่ที่ศาลาไม้สักเรือนนั้น...มันไม่ใช่ความเสียใจ...ไม่ใช่ความเศร้า...แต่เป็นการยอมรับความจริง...ความจริงที่เขาเองก็รับรู้มาตั้งแต่แรก...จะไปโทษใครก็คงไม่ได้ ถ้าจะผิดก็ผิดที่ตัวเขาเองไม่คิดจะห้ามใจทั้งที่รู้อยู่ว่าสุดท้ายมันจะลงเอยแบบนี้...แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่เคยนึกเสียดายแม้แต่น้อย





...คุณหญิงสร้อยนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน พร้อมลูกสาวที่นั่งอยู่หน้ากระจก...เธอมองผ่านกระจกเพื่อสำรวจใบหน้าและเรือนผมของลูกสาวคนเล็ก...พรุ่งนี้แม่พิกุลจะอายุครบ๑๘ปี...ใบหน้าหวานฉ่ำ ดวงตาคมเหมือนผู้เป็นพ่อ...ผิวสีน้ำผึ้งสวยเนียนละเอียด...นั่นทำให้เธอไม่แปลกใจเลยหากลูกสาวจะเป็นที่หมายปองของใครต่อใคร

"คุณแม่มีอะไรหรือเจ้าคะ เห็นมองลูกอยู่นาน"เสียงเรียกปลุกเธอจากความคิด...หันไปสบตาลูกสาวที่มองจ้องอยู่นาน...เธอเพียงยิ้มอ่อนโยนรับก่อนจะลุกมานั่งข้างๆลูกสาวคนเล็ก

"วันพรุ่งหล่อนก็ครบ๑๘ปีแล้ว แม่ดีใจที่ได้เห็นหล่อนเติบโตเพียบพร้อมเช่นนี้"ริมฝีปากบางแย้มรับคำชมจากผู้เป็นแม่

"ต่อไปภายหน้าหล่อนก็ต้องออกเรือนมีครอบครัว แม่อยากให้ถึงวันนั้นเสียที แม่กับเจ้าคุณพ่อจักได้วางใจว่าหล่อนมีคนที่ดูแลหล่อนได้"ยกมือขึ้นลูบเรือนผมดำสนิทของลูกสาวอย่างอ่อนโยน โดยที่เธอไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของแม่พิกุลเจื่อนลงเล็กน้อย

"แม่จักหาคนที่เพียบพร้อมและเหมาะสม"หากแต่คำว่าเพียบพร้อมและเหมาะสมของเธอ คงเป็นคนละความหมายกับสิ่งที่ลูกสาวต้องการ

"ถ้าหากคนที่เพียบพร้อมและเหมาะสมมิใช่คนที่ลูกรักล่ะเจ้าคะคุณแม่"คำถามที่ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องสะอึก...ลูกสาวคนเล็กเพียงพิงซบลงบนไหล่ของเธอราวกับเด็กน้อยที่กำลังออดอ้อน...สำหรับผู้เป็นแม่แล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ลูกก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่เช่นนั้น

"ความรักสามารถสร้างขึ้นได้ แต่ฐานะแลชาติกำเนิดมิสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้หรอกนะแม่พิกุล"

"ถึงแม้เขาจักเป็นคนดีก็ตามหรือเจ้าคะ"ลูกสาวยังคงเอ่ยถาม...เธอรู้ดีว่าแม่พิกุลกำลังหมายถึงใคร นั่นทำให้เธอทำได้เพียงถอนหายใจยาว ก่อนจะจับไหล่ของลูกสาวให้ลุกขึ้นสบตาเธอนิ่ง

"หล่อนอาจคิดว่าแม่มิเข้าใจ แต่ขอให้รู้ไว้เถิดว่าไม่มีใครรักและปรารถนาดีกับหล่อนมากไปกว่าแม่และเจ้าคุณพ่ออีกแล้ว แลถ้าหล่อนได้ออกเรือนกับคนที่เหมาะสมเพียบพร้อม นั่นก็ถือเป็นหน้าเป็นตาให้เจ้าคุณพ่อเช่นกัน แม่หวังว่าหล่อนคงเข้าใจ"ประกายสั่นระริกในดวงตาคมหวานฉ่ำนั้นกำลังบ่งบอกว่าลูกสาวของเธอเสียใจยิ่งนัก

"คุณแม่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกมาแต่เล็ก หน้าที่ของลูกคือการตอบแทนพระคุณคุณแม่แลเจ้าคุณพ่อ หากคุณแม่ต้องการให้ลูกทำสิ่งใด ลูกก็ยินดีทำเจ้าค่ะ"น้ำเสียงของเธอหนักแน่นขัดกับประกายในดวงตาที่สั่นระริกนั้น...คุณหญิงสร้อยทำได้เพียงโอบลูกสาวเอาไว้แนบอก...ใจของผู้เป็นแม่หากเห็นลูกสาวเป็นกังวลตนเองย่อมเป็นหนักยิ่งกว่า...หากแต่เรื่องนี้เธอคงไม่สามารถทำตามใจแม่พิกุลได้...หรือแม้ตัวเธอเองจะยอมใจอ่อน แต่เจ้าคุณผู้เป็นสามีคงไม่ยอมเป็นแน่ ด้วยฐานะและหน้าตาในสังคม...นั่นทำให้เธอตัดสินใจจัดการเรื่องนี้แต่เพียงลำพัง



...เธอได้แต่หวังว่าวันหนึ่งลูกสาวของเธอจะเข้าใจว่าสิ่งที่เธอทำลงไปทั้งหมด นั่นคือความปรารถนาดีจากผู้ที่ได้ชื่อว่า...แม่...



อีกฟากหนึ่งของเรือน...ในห้องนอนลูกสาวคนโตของเจ้าของเรือนหากแต่ตอนนี้กลายเป็นห้องนอนของเด็กหนุ่มพลัดถิ่นทั้งสอง...คนตัวสูงกว่าหลับไปได้สักพักแล้วเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นมาช่วยงานแต่เช้า...หากแต่ความอึดอัดที่สุมอยู่ในอกของเด็กหนุ่มอีกคนทำให้เขาไม่สามารถข่มตาหลับลงได้...มือข้างหนึงก่ายบนหน้าผาก คิ้วดกได้รูปขมวดแน่นอยู่นาน...สมองยังคงใช้ความคิดวนเวียนวกวนไม่จบสิ้นและไม่มีทางออก...สิ่งที่ทำได้เพียงแค่พลิกตัวไปมาเพื่อบรรเทาอาการอึดอัดใจ

"ไม่นอนวะแชมป์ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะมึง"น้ำเสียงงัวเงียของคนข้างๆดังขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงอาการยุกยิกของอีกฝ่ายจนทำให้เขาสะดุ้งตื่น

"นอนไม่หลับ"ตอบเพียงสั้นๆ หากแต่ยิ่งทำให้คนที่ถูกปลุกยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม

"นอนไม่หลับแล้วกลิ้งไปกลิ้งมากวนกูแบบนี้ มึงลงไปนอนพื้นเลยไป"คนตัวสูงพูดทั้งที่ยังไม่ลืมตาแต่ยกขามาสะกิดคนข้างๆอย่างไม่สบอารมณ์นัก

"เออๆ"เมื่อเห็นว่าทำอย่างไรก็คงหลับไม่ลงเป็นแน่ ถึงได้หอบหมอนกับผ้าห่มอีกผืนลงไปนอนอยู่ข้างเตียงแทนเพราะไม่อยากรบกวนเพื่อนสนิท...ในตอนนี้ทั้งความคิดของเขามีเพียงคนๆเดียว...ใบหน้าหวานฉ่ำลอยเวียนวนไม่ห่างหาย...เรียวปากบางสีกลีบบัวคลี่ยิ้มละมุน...ดวงตากลมโตส่องประกายระยับ...กิริยามารยาทเนิบนาบอ่อนช้อย...และแก้มเนียนใสระเรื่อที่เขาเคยได้สัมผัสเพียงครั้งเดียว...ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถสลัดภาพพวกนี้ออกไปจากหัวได้...หรืออาจจะเป็นเพราะเขาเองไม่อยากทำมันก็ตาม...



ถ้าหากแชมป์จะรู้...ว่าอีกฟากของเรือน...คนตัวเล็กเองก็กระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับเช่นกัน...ใบหน้าหวานเจือความกังวลอย่างเห็นได้ชัด...คำพูดของผู้เป็นแม่ยังคงดังก้องในความคิด...หากแต่เพราะสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กทำให้เธอไม่สามารถปฎิเสธหรือต่อต้านได้...อีกสิบวันเธอคงต้องกลับเข้าวังตามความต้องการของผู้เป็นแม่...อีกสิบวันที่เธอไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาอีกไหม...และอีกสิบวันที่เธอภาวนาขอให้เวลามันผ่านไปอย่างเชื่องช้า...ทั้งที่เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร...


...แล้วจะมีหนทางใดที่ทำให้คนทั้งสองที่มีหัวใจตรงกัน...จะได้สมหวังในสิ่งที่ต้องการ...


...เขาได้แต่เฝ้าภาวนา...และเธอเองก็เช่นกัน...


...ขอให้วันหนึ่งสิ่งที่พวกเขาปรารถนาจะกลายเป็นความจริง...


.........................................................................................


ตอนแทรกของคุณหญิงแม่ค่ะ
หัวอกคนเป็นแม่ยังไงก็ต้องห่วงลูกเนอะ

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 30-07-2014 21:10:28
มาให้กำลังใจก่อนจ้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒ up! ๒๘/๐๗/๕๗ P.7
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 30-07-2014 21:15:54
โอย โดนพูดดักไว้ขนาดนี้ เครียดแทนเลย
ทำยังไงได้ล่ะ คืออยู่ดีๆก็โผล่มา การแต่งตัว การพูดจาก็ประหลาดกว่าคนทั่วไป
คนเป็นแม่ก็คงจะไม่อยากยกลูกสาวให้หรอก แล้วยิ่งสมัยนั้นนะ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
พ่อแม่มีหน้าตาในสังคม มีตำแหน่งด้วย แล้วจะทำไงล่ะเนี่ย พ่อแชมป์แม่พิกุล เฮ้อ

นี่ดูจากว่าพ่อแชมป์พ่อธีร์ต้องช่วยรับแขก...ได้กินมาม่าอีกแหง หลวงเจษฎ์ต้องมาทำเรื่องแน่ๆ
ไม่อยากให้มีดราม่าเลย งื้อ แต่มาม่าไรก็ทนได้ ขอแค่ไม่ผิดใจกันก็โอเคแล้ว

รออ่านต่ออยู่น้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 30-07-2014 21:31:37
พี่แก้วหาย  :katai5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 30-07-2014 21:32:37
ดราม่าซ้าาาาาาาาาาาาาาา สู้ๆนา อ้ายแช่ม ไม่งั้นเดี๋ยวอุ้มสม อุต๊ะ ไปดีกว่า :hao3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 30-07-2014 21:51:29
ห่วงได้แต่อย่าจับไปแต่งงานกะคนที่ไม่ได้รักนะคะ
นั่นน่ะฆ่าลูกทั้งเป็น
พ่อแช่มไม่ร่าเริงเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 30-07-2014 23:38:24
ได้แต่หวังว่าคู่นี้จะมีทางออกดีๆนะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 01-08-2014 02:09:48
ขอให้มันสมหวัง ทั้งหมดเลยได้ไหม ได้โปรด เจอพีเรียดมาแต่ละเรื่องนี้ปวดร้าวกันมาก :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 01-08-2014 11:19:53
ชอบการดำรงชีวิตและทุกสิ่งอย่างของคนสมัยก่อนนะ
ยกเว้นอยู่สองเรื่องๆทาสกับคลุมถุงชน

นับถือแชมป์เลย รักแต่ไม่หวังครองแบบนี้มีน้อย(มาก)นะแต่ใช่ว่าไม่มี
รอร๊อรอรอรอรอครับ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-08-2014 21:03:00
อ้ายแช่ม  :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 01-08-2014 23:25:08
ตอนที่๒๓...พบกันอีกครั้ง...




...งานบุญวันเกิดของลูกสาวเจ้าของเรือนถูกจัดขึ้นอย่างไม่ใหญ่โตนัก...ก็แค่...นิมนต์พระสงฆ์๙รูปมาให้ศีลให้พรพร้อมเทศนาธรรมแก่เจ้าของวันเกิดรวมไปถึงแขกเหรื่อที่มาร่วมงานอีกประมาณ๒๐คน...ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าราชการจากกรมการต่างประเทศที่มาพร้อมภรรยาและครอบครัว ที่แม้จะเป็นงานบุญแบบไม่เป็นทางการแต่ก็ล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องกันมาเต็มที่ โดยเฉพาะคุณหญิงคุณนายทั้งหลายที่ต่างอวดโฉมเครื่องแต่งกายอันงามงด...ผ้าสไบและโจงกระเบนหลากสีเหล่านั้นล้วนสร้างสีสันให้เรือนของพระยาจิตรานุวัตรดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม



...นั่นเขาเรียกงานเล็กๆเหรอครับ?...ผมเพิ่งรู้!



"แชมป์ เร็วๆดิมึง สายแล้วยังไม่ออกไปเดี๋ยวได้โดนเจ้าคุณด่าเปิง"ผมจัดแจงเสื้อผ้าและผมเผ้าให้เข้าที่ก่อนจะหันไปเรียกไอ้ตัวดีที่ยังยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้ากระจก

"มึงใจเย็นดิ เกิดมากูไม่เคยนุ่งโจงกระเบน กูนุ่งไม่เป็นโว้ย"ท่าทางมันตลกพิลึกเวลาที่มันพยายามหมุนตัวไปมาแล้วจับชายโจงกระเบนขมวดขึ้นสอดเข้าด้านหลัง...ผมเองก็เจอปัญหาเดียวกันแต่เพราะผมตื่นเช้ากว่าเลยมีเวลาวุ่นวายกับชีวิตตัวเองนานหน่อย...ส่วนไอ้แชมป์ เมื่อคืนเห็นมันพลิกตัวไปมาอยู่นานกว่าจะหลับได้คงเพราะมีเรื่องกังวลใจเลยทำให้ตื่นสายโด่ง...โชคดีที่วันนี้อาการซึมเศร้ามันลดลงไปมากเพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับงานบุญที่จะมีขึ้น

"ธีร์มึงมาช่วยกูหน่อย กูเอื้อมไม่ถึง"มันว่าพลางสอดชายโจงกระเบนส่งมาให้ผมด้านหลัง...ผมเลยต้องเป็นคนช่วยมันแต่งตัวให้เรียบร้อย



...วันนี้เจ้าคุณจิตราท่านว่ามีแขกสำคัญมาหลายท่าน ให้พวกผมแต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการซึ่งก็คือไอ้โจงกระเบนเจ้าปัญหานี่แหละ ส่วนด้านบนก็เป็นเสื้อเชิ้ตคอตั้งสีน้ำเงินติดกระดุมหน้าทรงคล้ายกับเครื่องแบบราชการของเจ้าคุณจิตราแต่เนื้อผ้าบางกว่า...ผมเผ้าที่มันยาวละต้นคอที่เคยปล่อยตามธรรมชาตินี่ก็ต้องจับเสยเก็บทัดหูให้เรียบร้อย...พวกผมเลยค่อนข้างทุลักทุเลกับการแต่งตัวเพราะไม่เคยใส่อะไรแบบนี้มาก่อน...อยากจะหยิบเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่ใส่ติดตัวมาขึ้นมาใส่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปแต่เกรงว่าแขกเหรื่อเขาจะตกใจเสียก่อน


...แต่งตัวกันเสร็จก็รีบออกมาข้างนอกทันที...ได้ยินเสียงจอแจของผู้คนดังไปทั่วด้านบนของเรือน...ส่วนด้านล่างเองก็คงครึกครื้นไม่แพ้กัน เพราะแขกเหรื่อที่มาต่างก็มีบ่าวไพร่ติดตามมาด้วย จึงเหมือนเป็นงานสังสรรค์ย่อมๆที่เรือนบ่าวด้านหลัง ถ้าไม่ติดที่ผมต้องช่วยรับแขกให้เจ้าคุณจิตรา ผมคงลงไปหมกตัวอยู่ที่เรือนบ่าวแทน เพราะด้านบนมีแต่แขกผู้ใหญ่ทั้งนั้น คุยไม่สนุกเหมือนพวกบ่าวท้ายเรือนหรอกครับ



"กว่าจักออกมาได้นะพวกเอ็งสองคน"ผิดคำผมเสียที่ไหน เพราะออกมาช้าเลยถูกเจ้าของเรือนเอ็ดเข้าให้...ตอนนี้บนเรือนค่อนข้างวุ่นวายและจอแจไปด้วยผู้คน...พระสงฆ์ยังมาไม่ถึง บรรดาแขกเหรื่อเลยอาศัยจังหวะนี้พูดคุยทักทายกัน

"ไปช่วยคุณหญิงแกรับแขกทางโน้น แกต้องลงไปดูกับข้าวกับปลาที่โรงครัว"รับคำเจ้าคุณจิตราเสร็จก็แยกย้ายกันไปคนละมุม...ผมเดินไปรับช่วงต่อจากคุณหญิงสร้อยที่วันนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก คงเป็นเพราะผ้าสไบสีเขียวสดที่เธอห่มอยู่กับรอยยิ้มหวานที่คอยต้อนรับบรรดาผู้มาเยือนไม่ขาด



...หน้าที่ของผมก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่ดูแลความเรียบร้อยบนเรือน ส่วนบรรดาแขกของเจ้าคุณที่มาในงานส่วนใหญ่ผมไม่รู้จักก็เลยแค่ยกมือไหว้ทักทายพอเป็นพิธี...มีเพียงบางท่านที่เคยพบหน้ากันมาก่อนถึงจะหยุดทักทายถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้าง...เหลือบไปเห็นเจ้าของวันเกิดอยู่อีกฟาก...วันนี้เธอก็สวยหวานเช่นเคยในชุดเสื้อแขนพองสีขาวห่มทับด้วยสไบสีกลีบบัวตัดกับโจงกระเบนสีน้ำเงินคาดทับด้วยเข็มขัดนาคเส้นโต...ใบหน้าหวานฉ่ำโดยไม่ต้องแต่งแต้มเครื่องสำอางค์ใดๆ ไม่เหมือนกับสาวๆในยุคของผมที่ล้างหน้าออกมาทีแทบจำกันไม่ได้เลยทีเดียว...คุณพิกุลกำลังยืนคุยกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันสองสามคน ทุกคนดูงามตามแบบฉบับหญิงไทยแท้ๆจนผมเองยังเผลอมองเสียเพลิน...

"อ้ายธีร์ เอ็งช่วยรับถาดผลไม้ไปวางตรงนั้นให้ข้าที"ได้ยินเสียงพี่ชดร้องเรียกอยู่ตรงบันได ในมือมีถาดผลไม้ที่แกะสลักลวดลายอย่างสวยงามและหั่นเป็นชิ้นพอคำสำหรับแขกที่มาร่วมงาน...ดูท่าแกไม่อยากขึ้นมาวุ่นวายบนเรือนถึงได้ให้ผมเป็นคนรับช่วงแทน...ผมเห็นไอ้แชมป์เดินคุยกับคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างอารมณ์ดี มันทำงานกับเจ้าคุณจิตราทำให้รู้จักผู้มาร่วมงานอยู่หลายคน...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ แม้มันจะมีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่มันไม่ยอมเฉียดเข้าไปใกล้เจ้าของวันเกิดเลยสักครั้ง แถมไม่มองหน้าอีกต่างหาก คุณพิกุลเองก็เช่นเดียวกัน


...และวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบคุณดาวเรือง ลูกสาวคนโตของเจ้าคุณและคุณหญิงสร้อย...เธอมาพร้อมกับพระยาโสภณผู้เป็นสามี...ความงามของเธอไม่แพ้น้องสาวเลยทีเดียว แต่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก...ส่วนเจ้าคุณสามีของเธอแม้จะดูสูงวัยกว่าแต่ยังคงมีท่าทีสง่าไม่แพ้เด็กหนุ่มรุ่นๆ


"เจ้าคุณไพศาลสวัสดีครับ...สวัสดีครับคุณหลวง"ผมยกมือไหว้แขกสองคนที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดีเมื่อท่านเดินขึ้นเรือนมา

"วันนี้ดูแปลกตาไปนะพ่อธีร์"เจ้าคุณไพศาลทักขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เห็นทีจะเป็นเพราะชุดกับทรงผมที่เปลี่ยนไป

"เจ้าคุณไพศาลกับคุณหลวงก็เหมือนกันนะครับ"เจ้าคุณเองก็ดูแปลกตาไปเช่นกัน คงเพราะวันนี้ไม่ใช่งานที่เป็นทางการ ท่านจึงแต่งตัวคล้ายกับผมต่างกันที่เสื้อของท่านเป็นสีขาวเหมือนชุดราชการ...ส่วนคุณหลวงคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นต้องบอกว่าแปลกตาไปมากทีเดียว เพราะวันนี้เขาสวมเสื้อแขนยาวสีครีมแบบเดียวกันกับผมซึ่งเข้ากันดีกับโจงกระเบนสีกรมท่า...ผมรองทรงเสยเรียบไปด้านหลังเช่นเคยเผยให้เห็นกรอบหน้าคมเข้มรับกับจมูกโด่งสวยได้รูป และยิ่งดูดีขึ้นอีกเมื่อถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มปรายบนใบหน้า

"เจ้าของเรือนไปไหนเสียเล่า มิออกมาต้อนรับหน่อยรึ"ผมหันไปมองหาเจ้าคุณเจ้าของเรือน เห็นว่าท่านกำลังคุยกับผู้ชายวัยกลางคนท่านหนึ่ง ก่อนจะเดินนำผู้มาเยือนทั้งสองไปพบ...ทักทายกันพอเป็นพิธี เจ้าคุณไพศาลก็ขอตัวไปอวยพรวันเกิดให้ลูกสาวเจ้าของเรือนเสียหน่อย


"ไม่ไปอวยพรวันเกิดให้คุณพิกุลหน่อยเหรอครับ"หันไปถามอีกฝ่าย...จะว่าไปวันนี้เขาก็ดูดีกว่าปกติมากทีเดียว...คงเป็นเพราะชุดที่ใส่นี่ด้วย

"ผู้ใหญ่เขาให้พรก็พอแล้ว"คนตัวสูงคลี่ยิ้มบางส่งมาให้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลก

"มีอะไรรึเปล่าครับ"ใบหน้าคมเข้มส่ายไปมาหากแต่รอยยิ้มยังเจืออยู่บนริมฝีปากหยักหนาได้รูป

"วันนี้พ่อธีร์ดูแปลกตา..."ผมหรี่ตามองคนตัวสูงอย่างสงสัย

"เอ มิเคยชมผู้ชายด้วยกันเสียด้วย หากเป็นหญิงเห็นทีต้องบอกว่างามแท้"แล้วผมควรจะดีใจกับคำชมแบบนี้รึเปล่าเนี่ย

"ถ้าจะชมผู้ชายด้วยกัน ต้องบอกว่าหล่อครับ"หันไปยักคิ้วกวนให้สักที...อยู่ไปนานเข้าก็เริ่มชินกับคำพูดหวานๆนี่แล้ว...สงสัยภูมิต้านทานดีขึ้น

"หล่อ รึ"คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่น ผมไม่แน่ใจว่าสมัยนี้เขามีคำนี้ใช้กันหรือยัง

"ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็handsomeน่ะครับ"เอากับผมสิครับคุณผู้อ่าน คุยกับคนไทยด้วยกันแต่ต้องมานั่งแปลกันเป็นภาษาอังกฤษ...เพราะถึงผมจะอยู่ที่นี่มานานแต่ก็ไม่ชินกับภาษาไทยแท้แบบโบราณนี่จริงๆ

"อ้อ!...แต่พ่อธีร์ก็มิได้หล่อเสียทีเดียว"แล้วผมหล่อสองทีหรือสามทีล่ะ

"ขอเรียกว่ารูปงามก็แล้วกัน"ผมว่าถ้าจับคุณหลวงไปอยู่ในสมัยผมได้ผมคงรวยไปแล้วเพราะได้พระเอกลิเกรูปหล่อคารมดีมาร่วมคณะ

"ว่าแต่ไม่เคยชมผู้ชาย แต่พอเป็นผู้หญิงนี่รู้ดีเลยนะครับว่าต้องชมแบบไหน"แว่วเสียงคนตัวสูงหัวเราะเบา

"จะให้เราไปชมชายใดกันเล่า หากคิดจะชมก็คงมีเพียงพ่อธีร์คนเดียว"ท้ายประโยคลดเสียงลงพลางก้มหน้ามากระซิบใกล้ๆ...ผมว่าผมยังไม่ค่อยชินกับคำพูดพวกนี้นะ เพราะดันรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่หน้าเสียนี่...แต่เรื่องอะไรจะยอมอยู่ต่อปากต่อคำ ผมเลยขอตัวไปดูแลความเรียบร้อยอีกด้านหนึ่งแทน...



...ทักทายบรรดาผู้มาเยือนได้ไม่นานนัก พระสงฆ์ที่นิมนต์มาท่านก็ทยอยเดินขึ้นเรือน ทำเอาเสียงจอแจของผู้คนเงียบลงได้บ้างแล้วพากันจับจองที่นั่งรอบๆเพื่อรอฟังพระท่านสวด...เห็นไอ้แชมป์นั่งพับเพียบอยู่ไม่ไกลนักตั้งใจจะเดินไปนั่งด้วยแต่กลับถูกคนตัวสูงยืนขวางไว้เสียก่อน

"นั่งด้วยกันได้หรือไม่"ยืนยิ้มกริ่มอยู่ตรงหน้า พลางผายมือไปยังที่ว่างข้างๆ...ผมเห็นว่าไม่ได้มีอะไรเสียหายจึงยอมนั่งลงแต่โดยดี...เจ้าคุณเจ้าของเรือน คุณหญิงสร้อย และลูกสาวทั้งสองนั่งอยู่ด้านหน้าสุด...ถัดมาเป็นเจ้าคุณไพศาลและแขกผู้ใหญ่อีกหลายท่าน...ส่วนผมกับหลวงพิสิษฐนั่งกันอยู่ด้านหลังเพราะปกติแล้วไม่ชอบเสนอตัวไปอยู่ข้างหน้าเท่าไหร่นัก...ไอ้แชมป์เองก็นั่งอยู่กับคุณหลวงคนสนิทของเจ้าคุณจิตราที่เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากหัวเมืองเพราะลางานไปเยี่ยมครอบครัว...เมื่อบรรดาแขกเหรื่อพากันนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พระท่านจึงเริ่มสวดให้ศีลให้พรกับเจ้าของวันเกิดและผู้มาร่วมงาน...ผมนั่งพับเพียบพนมมือนิ่งอย่างตั้งใจเพราะตัวเองไม่ได้ทำบุญมานานมากแล้ว ครั้งล่าสุดก็ตอนไปวัดกับคนข้างๆแต่ก็เพียงแค่ไหว้พระขอพรจากพระประธานในพระอุโบสถเท่านั้น...เหลือบมองคนตัวสูงที่นั่งพนมมือนิ่งรับพรไม่ต่างกัน...ดวงตาคมสวยจดจ้องไปที่พระสงฆ์เบื้องหน้า...ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าถูกมองจึงได้หันกลับมาสบตานิ่ง

"ตั้งใจฟังพระท่านสิพ่อ"รู้ว่าแกล้งดุเพราะเขาคลี่ยิ้มออกมา ผมเลยรีบหันกลับแทบจะทันที...แว่วเสียงคนตัวสูงหัวเราะเบา

"ขำอะไรครับ"หันกลับไปถามอีกรอบ

"คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ"ใบหน้ากรุ้มกริ่มนั่นยิ่งทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย และโดยไม่ต้องรอให้ผมถามเขาก็เฉลยคำตอบที่ทำเอาผมหน้าแดงวาบ

"โบราณเขาว่าทำบุญร่วมกัน ชาติหน้าจะได้เกิดมาคู่กันอีก"เอ่ยเสียงเรียบเบาๆพอให้ได้ยินกันแค่สองคน

"ตลกครับหลวงพิสิษฐ แค่นั่งฟังพระสวดเค้าไม่เรียกทำบุญร่วมกันครับ"ตอบกลับโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย...ไม่รู้ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน

"งั้นรึ...เช่นนั้นพ่ออยากทำบุญร่วมกับเราหรือไม่เล่า จักพาไป"ใครช่วยเอาคนข้างๆผมไปเก็บไกลๆที...ผมเขิน!

"ไม่ตั้งใจรับพรเดี๋ยวไม่ได้บุญนะครับ"รีบเปลี่ยนเรื่่องทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสบตานิ่ง...ดวงตาคมสวยส่องประกายระยับราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ

"ไป...ก็ได้ครับ"ตอบกลับโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย เขาจึงยอมละสายตามองตรงไปข้างหน้าได้เสียที แอบเห็นรอยยิ้มบางเจือบนใบหน้าคม



ฟังพระสวดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้เวลาถวายภัตตาหารเพล โดยมีเจ้าของวันเกิดและเจ้าของเรือนทั้งสองเป็นผู้ถวาย...ส่วนบรรดาผู้ร่วมงานบางท่านก็จับวงสนทนาทั้งเรื่องการบ้านการเมือง หรือแม้แต่เรื่องความสวยความงามทั่วไป...เห็นคุณหญิงสร้อยเปรยขึ้นเมื่อวันก่อนว่าหลังถวายเพลเสร็จจะมีการเทศนาธรรมแก่ผู้ร่วมงานได้ฟังกัน ตอนนี้ทุกคนเลยยังไม่ได้ลุกไปไหนเพียงแค่รอให้พระท่านฉันเพลเสร็จ...



...เสียงผู้คนรอบข้างดังขึ้นเรียกให้ผมหันไปมองทางบันไดขึ้นเรือน...ปรากฎร่างท้วมหนาของชายสูงวัยกับร่างสูงใหญ่ของคนที่เดินตามหลังขึ้นมา...ผมจำสองคนนั้นได้แม่นโดยเฉพาะคนข้างหลัง...ร่างกายสูงใหญ่กำยำผิวสีเข้มแบบคนไทยแท้...ผมรองทรงสูงของเจ้าตัวยิ่งทำให้สันกรามใหญ่ดูเด่นชัด...เจ้าพระยาเดโชกับหลวงเจษฎารังสรรผู้เป็นลูกชายปรากฎกายขึ้นพร้อมเสียงฮือฮาของบรรดาแขกเหรื่อ...การที่พ่อลูกทั้งสองมาร่วมงานที่เรือนเจ้าคุณจิตราก็นับว่าแปลกแล้ว แต่ดันมาถึงเมื่อตอนที่พระท่านสวดจบแล้วนี่คงเป็นเรื่องแปลกกว่า...ผมขมวดคิ้วมองพ่อลูกทั้งสองที่เยื้องย่างขึ้นมาบนเรือนก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งอยู่ด้านหน้าสุด...แน่ล่ะ ตำแหน่งสูงส่งเสียขนาดนั้น จะให้มานั่งหลบมุมอยู่ด้านหลังเหมือนพวกผมก็คงไม่ใช่เรื่อง...เจ้าของเรือนและคุณหญิงที่นั่งอยู่ด้านหน้ายกมือไหว้ตามมารยาท ส่วนอีกฝ่ายเพียงรับไหว้แบบไม่เต็มใจนัก...นั่นทำให้ผมยิ่งสงสัย...จากที่ได้ยินมาสองท่านนี้ก็ไม่ค่อยจะถูกกันเสียเท่าไหร่ ยิ่งมีเรื่องงานที่ต้องทำร่วมกันเห็นว่ามีเรื่องโต้แย้งกันบ่อยครั้ง...หากแต่เจ้าคุณผู้ถือศักดิ์เจ้าพระยากลับมาร่วมงานที่เป็นเพียงแค่งานบุญวันเกิดลูกสาวเจ้าของเรือน

"มิทราบมาก่อนว่าท่านจักมาด้วย"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นใกล้ๆ...ผมหันไปมองหลวงพิสิษฐที่มีสีหน้าแปลกใจไม่ต่างกัน

"ได้ยินว่าไม่ค่อยถูกกันไม่ใช่เหรอครับ"ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบเพียงเบาๆเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน เดี๋ยวจะหาว่าผมนินทานายเสียก่อน

"มิได้ถึงขั้นนั้นหรอก แต่แปลกนักที่ท่านมา"ผมเองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน...ลำพังเจ้าพระยาผู้เป็นพ่อว่ารับมือยากแล้ว...แต่ลูกชายที่นั่งเคียงข้างนั่นยิ่งหนักกว่า...พาลให้ผมนึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่ผมอยากจะเสยหมัดเข้าให้ที่หน้าถ้าไม่ติดว่าพ่อเขายังต้องร่วมงานกับเจ้าคุณจิตราอยู่


และก็เหมือนกระแสจิตด้านลบของผมจะส่งไปถึงเจ้าตัว เมื่อเขาหันกลับมาสบตาผมนิ่งพลางแสยะยิ้มน่ารังเกียจเช่นเคยให้จนผมต้องรีบเสมองไปทางอื่น...ไม่ได้เขินครับ...แถวบ้านเรียกรังเกียจ

"ดูท่าจะมีคนคิดถึงพ่อ"แล้วคนข้างๆนี่ก็คิดได้นะครับ...เตรียมหันกลับไปเถียงแต่พอเห็นหน้าบอกบุญไม่รับของอีกฝ่ายแล้วก็ขอแกล้งสักหน่อยเถอะ

"หึง...เหรอครับหลวงพิสิษฐ"คราวนี้เป็นทีผมเอาคืนบ้าง...ยื่นหน้าเข้าไปถามเสียงกวนส่วนคนตัวสูงเพียงแค่ปรายตามองนิ่ง

"แกล้งเรารึ"ดูก็รู้ว่าไม่พอใจจนผมแทบหลุดหัวเราะออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของเขาเลยต้องกลั้นเอาไว้แทน

"อ้อ ผมลืมไปว่าคุณหลวงชอบคิดไปเองงงง"ท้ายประโยคลากเสียงยาวแถมลอยหน้าลอยตาพูดแบบไม่สนใจคนข้างๆ

"พ่อธีร์"ได้แต่เรียกขึ้นด้วยความไม่พอใจ...ไอ้ที่แหย่ไปนี่ได้ผลเกินคาด

"หรือไม่จริงครับ"เลิ่กคิ้วมองหน้าอีกฝ่าย...ยังจำได้เรื่องที่คิดเองเออเองเรื่องหลวงเจษฎ์แล้วมาลงเอากับผมจนไม่คุยกันนานเป็นอาทิตย์...คนตัวสูงไม่ตอบอะไรเพียงแค่ถอนหายใจยาวราวกับกำลังสะกดอารมณ์


...ก่อนจะได้เถียงอะไรกันต่อพระท่านก็ฉันเพลเสร็จพอดี...พวกบ่าวที่นั่งรออยู่แถวบันไดเรือนค่อยๆเดินเรียงกันเข้ามายกสำรับเพลลงไปข้างล่าง ก่อนที่พระท่านจะเริ่มเทศนาธรรมให้บรรดาผู้มาร่วมงานได้ฟัง...เรื่องนี้ผมไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่ได้แต่ฟังไปหาวไป แต่ก็ต้องแอบเอาเพราะเกรงว่าจะดูไม่งามนัก...เหลือบไปเห็นไอ้แชมป์นั่งพิงตู้ไม้หลับไปแล้วเพราะเมื่อคืนมันคงไม่ได้นอน ยังดีที่นั่งหลบมุมอยู่เพราะถ้าเจ้าของเรือนเห็นเข้ามีหวังโดนบ่นหูชา...ส่วนคนตัวสูงข้างๆผมเพียงนั่งฟังอย่างสงบ...ผมพอจับใจความได้นิดหน่อยเพราะความง่วงเริ่มเข้าครอบงำ พระท่านสอนเจ้าของวันเกิดเรื่องการวางตัวของผู้หญิงหรืออะไรสักอย่าง...แต่ผมว่าอย่างคุณพิกุลคงไม่ต้องสอนกันแล้วล่ะครับ เพราะอย่างเธอผมยังยอมยกให้ว่าเป็นผู้หญิงที่แทบไม่มีที่ติเลยจริงๆ


...เทศนาธรรมเสร็จก็ต่อด้วยพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลทั้งผู้ร่วมงานและเรือนของเจ้าคุณอีกด้วย...หลังรับพรรับน้ำมนต์กันเสร็จก็ได้เวลาที่พระท่านจะกลับวัด...เจ้าคุณจิตราผู้เป็นเจ้าของเรือนลุกเดินตามไปส่งถึงบันไดเรือนแล้วจึงสั่งให้พวกบ่าวยกสำรับขึ้นมาให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงาน...หลวงพิสิษฐถูกเจ้าคุณไพศาลเรียกไปร่วมวงเป็นที่เรียบร้อยโดยไม่ลืมที่จะหันมาชวนผมไปด้วยแต่ผมปฏิเสธไปเพราะยังไม่ค่อยชินกับการร่วมวงอาหารกับพวกผู้ใหญ่สักเท่าไหร่...ได้เพียงบอกเขาว่าจะลงไปช่วยดูแลความเรียบร้อยข้างล่างและคงอยู่ทานข้าวกับพวกบ่าวท้ายเรือนเสียทีเดียวเลย...อีกฝ่ายไม่คัดค้านอะไรไม่รู้เป็นเพราะเข้าใจหรือเพราะคนตัวสูงใหญ่ที่นั่งร่วมวงอยู่กันแน่


"ง่วงชิบหายยยยยย"ไอ้แชมป์บ่นขึ้นทันทีที่ก้าวลงจากเรือนได้...มันยกมือเหยียดยาวบิดขี้เกียจสองสามทีไล่ความเมื่อยล้าเพราะต้องนั่งหลังตรงฟังพระสวดเสียนาน

"ง่วงไร กูเห็นมึงแอบหลับ"ได้นั่งอยู่มุมอับแล้วเนียนหลับยาวเสียด้วย ไม่เหมือนผมที่นั่งเด่นอยู่กลางเรือนถ้าหลับขึ้นมาได้โดนบ่นแน่

"เห็นใจกูหน่อยเห๊อะ เมื่อคืนก็แทบไม่ได้นอน"หน้ามันเจื่อนลงเล็กน้อย...ผมเพียงแค่ยกมือขึ้นขยี้หัวเกรียนๆของมันราวกับจะปลอบ

"เออ เสร็จงานแล้วเดี๋ยวก็ได้นอน ไปๆกินข้าวกันดีกว่า หิวแล้ว"มันพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามผมมาถึงท้ายเรือน ที่วันนี้คึกคักเป็นพิเศษเพราะมีพวกบ่าวจากเรือนอื่นที่ตามเจ้านายมาด้วย


"อ้ายธีร์ อ้ายแช่ม! มาๆ กินข้าวกันพวกเอ็ง"เป็นมิ่งที่ตะโกนเรียกเสียงดังเมื่อเห็นพวกผม...มิ่งนั่งล้อมวงอยู่กับพี่สนและบ่าวผู้ชายจากเรือนอื่นอีกสี่ห้าคน

"อ้ายมิ่ง เขาเป็นนาย เอ็งเรียกเช่นนี้ได้เยี่ยงไรวะ"แว่วเสียงคนในวงดังขึ้น คงเพราะเห็นการแต่งตัวของผมกับไอ้แชมป์ที่ต่างจากบ่าวทั่วไป

"ไม่เป็นไรครับพี่ ผมชินแล้ว มิ่งมันก็เพื่อนพวกผมเหมือนกัน"หันไปตอบคนที่เพิ่งเอ็ดมิ่งไป แต่เขายังมีท่าทางเกรงใจอยู่

"นี่อ้ายแสง เป็นบ่าวเรือนพระยาโสภณสามีคุณดาวเรือง อ้ายแสง นี่อ้ายธีร์กับอ้ายแช่ม มันสองคนช่วยเจ้าคุณท่านทำงานราชการบนเรือน แต่เวลาปกติก็ลงมาสุมหัวอยู่กับข้านี่ล่ะ เอ็งมิต้องกังวลไป"มิ่งรีบสาธยายยาวเหยียดจนอีกฝ่ายหายเกร็งขึ้นมาได้บ้าง

"อยู่บนเรือนเสียนานหิวไหมพวกเอ็ง"พี่สนถามขึ้นบ้าง ปากก็ยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ

"หิวดิพี่ ท้องร้องแล้วเนี่ย"ว่าพลางลูบท้องตัวเองไปมา...ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้านี่ก็เกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว...ว่าแล้วก็รีบเข้าไปร่วมวงกับพวกพี่สนทันที โดยมีไอ้ตัวดีนั่งอยู่ข้างๆเหมือนเคย

"เออพี่ ปกติเวลาที่เรือนมีงานเค้าต้องเตรียมงานล่วงหน้ากันขนาดนี้เลยเหรอ"ผมถามเพราะสงสัยมาหลายวัน แต่ทุกคนดูวุ่นวายกับงานของตัวเองเลยไม่มีเวลาถามใครสักคน

"วันนี้งานยังเล็กนัก หากเป็นงานใหญ่เช่นงานแต่งหรือทำบุญขึ้นเรือนใหม่นะเอ็งเอ๊ย สิบวันเห็นทีจักไม่พอ"ไอ้ที่ผมทำกันอยู่นี่เขาเรียกว่าเล็กแล้วใช่ไหมครับ

"เมื่อครั้งคุณดาวเรืองออกเรือนพวกข้าหูชากันไปสามวันแปดวันเพราะคุณหญิงท่านบ่นมิขาดปาก"ผมพอจะนึกภาพออก เพราะขนาดแค่สามวันผมยังฟังแกบ่นหูแทบชา

"ข้าว่างานคุณพิกุลคงหนักกว่านี้เป็นแน่ ลูกสาวคนเล็กเจ้าคุณท่านทั้งคน"พี่สนยังคงว่าต่อ คราวนี้พวกบ่าวที่นั่งล้อมวงต่างพากันทำหน้าเหยเกด้วยความขยาด...ยกเว้นไอ้คนข้างๆผมไว้คนหนึ่งล่ะ

"เอ็งเป็นอะไรวะอ้ายแช่ม หน้าตาเหมือนคนอมทุกข์"เป็นมิ่งที่สังเกตอาการคนข้างๆได้ก่อน รีบหันไปถามไอ้ตัวดีที่นั่งกินข้าวเงียบๆไม่พูดจากับใคร

"เปล่าเว้ย ไม่ได้เป็นไร"พยายามตอบกลับให้ดูเป็นปกติ มิ่งเลยได้แต่หันมามองผมแทน ส่วนผมก็ได้แต่ยักไหล่ตอบเหมือนคนไม่รู้เรื่องอะไรด้วย...อาการหนักนะไอ้แชมป์



หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๒.๕ up! ๓๐/๐๗/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 01-08-2014 23:25:51



กินข้าวกันเสร็จพวกบ่าวบางคนก็ต้องตามผู้เป็นนายกลับเรือน ตอนนี้โรงครัวเลยกลับสู่ภาวะปกติ จะมีก็เพียงเสียงจอแจของพวกบ่าวที่ต้องมาคอยเก็บกวาดพื้นที่ให้เรียบร้อย...ผมไม่ได้กลับขึ้นไปบนเรือนเพราะถูกไอ้ตัวดีลากมานั่งเล่นที่ท่าน้ำเล็กท้ายเรือนเพราะตอนนี้ท่าน้ำใหญ่คงวุ่นวายน่าดูเมื่อผู้มาร่วมงานต่างพากันทยอยกลับ


"เมื่อวานมึงโดนคุณหญิงด่าเหรอ"ถามขึ้นเพราะเมื่อวานเห็นว่าคุณหญิงแกเรียกมันไปคุย...อาการหลังจากนั้นก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรในตอนนั้น

"เปล่า"ตอบเพียงสั้นๆ

"มึงอย่าเป็นงี้ดิ พากูหดหู่ไปด้วยเลย"ผมเป็นห่วงเพราะไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อน...ตั้งแต่ที่มันนอนไม่หลับเมื่อคืนนี้แล้ว

"ใครแม่งเล่นตลกกับชีวิตกูวะธีร์ พากูมาที่นี่ทำไม"เมื่อลงกับใครไม่ได้ก็หันไปโทษฟ้าโทษดินแทน...ผมเอื้อมมือไปโอบไหล่มันแน่น เหมือนอย่างที่มันเคยทำเมื่อตอนที่ผมเสียพ่อและแม่

"ไหนมึงเคยบอกว่า ต่อให้เค้าแต่งงานออกเรือนไปมึงก็จะรอเค้าอยู่ที่นี่ไง"อีกฝ่ายเพียงแค่ถอนหายใจยาว

"ปากดีไงกู ทำตัวเป็นพระเอกแล้วเป็นไงวะ มานั่งเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียว"

"แชมป์"ผมเรียกชื่อ...แต่มันยังคงเงียบไม่ตอบกลับ

"ตอนที่มึงรู้ว่าเค้าก็รู้สึกแบบเดียวกับมึง มึงรู้สึกไงวะ"คำถามที่ทำให้มันขมวดคิ้วแน่น

"กู...ดีใจ กูไม่เคยคิดว่าคนอย่างเค้าจะหันมามองคนอย่างกูอ่ะ"

"แล้วทำไมวันนี้มึงเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เก็บความรู้สึกดีๆที่เค้าอุตส่ามีให้มึงวะ"มันหันกลับมามองหน้า...นานๆผมจะยอมปริปากพูดอะไรสักที...ปกติเอาแต่คอยกวนมันตลอด แต่ในเมื่อคราวนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ผมเองก็คงทนเห็นมันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้

"แม่เค้าไม่ยอมรับกู ทำไมวะธีร์ เพราะกูไม่มีอะไรเลยใช่มั้ย"แววตาสั่นระริกนั่นทำให้ผมใจหาย...ไอ้แชมป์ที่เคยร่าเริงกวนประสาท แต่กลับต้องมานั่งทำหน้าอมทุกข์แบบนี้

"ใช่ เพราะเรามันไม่มีอะไรเลย กูเข้าใจคุณหญิงนะ จะให้แกเอาชีวิตลูกสาวมาฝากไว้กับคนที่ไม่มีอะไรติดตัวซักอย่าง เป็นกูก็คิดหนัก"แว่วเสียงมันถอนหายใจยาว

"มึงรู้ป่ะ บางทีกูก็อิจฉาที่มึงมีเวลาอยู่กับหลวงพิสิษฐ ทำงานด้วยกัน ออกไปข้างนอกด้วยกัน แต่เพราะเค้าเป็นผู้หญิงกูถึงทำอะไรแบบนั้นไม่ได้"ได้ยินแบบนี้ผมเลยโบกหัวมันเต็มแรงจนมันร้องเสียงหลง ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองพลางบ่นอุบ

"แล้วมึงคิดว่ากูสบายใจเหรอ สุขไปวันๆ อนาคตจะเป็นไงก็ไม่รู้ บอกใครก็ไม่ได้ ถึงบอกไปแม่งก็ไปก็ไม่มีใครเค้ารับได้ ยิ่งกว่าคู่มึงอีก"ผมโมโห...เพราะสิ่งที่ผมเป็นมันไม่ได้น่าอิจฉาเลยแม้แต่น้อย...แม้จะได้อยู่ใกล้กัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างมันจะจบลงด้วยดี


"ธีร์ กูขอโทษ"เมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรโดยไม่คิดเลยรีบหันมาขอโทษทันที

"อะไรดีๆที่เก็บไว้ได้ก็เก็บเอาไว้ อะไรที่มันเกินเอื้อมเราก็ปล่อยมันไปเหอะมึง ความรู้สึกดีๆที่เค้ามีให้มึงอะ มันมีค่ามากนะ ถ้ามึงจะโยนมันทิ้งด้วยการพยายามตัดใจไม่เจอ ไม่มองหน้า ไม่คุย ไม่ทัก กูว่ามึงโง่อะ"อีกฝ่ายยังคงเงียบ ไม่รู้ว่ากำลังใช้ความคิดหรือว่าตกใจที่วันนี้ผมพูดมากกว่าปกติกันแน่

"อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ห้องก็ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว มึงจะหนีหน้าเค้าไปได้ถึงไหนวะ ถ้าเป็นงี้กูว่ามึงกลับบ้านเหอะ"ได้ยินเสียงมันถอนหายใจยาวอีกครั้ง

"มึงเจ็บมั่งปะวะ เวลาคิดถึงอนาคต"แชมป์ถามกลับเสียงเรียบ...ผมได้แต่ทอดสายตาออกไปยังพื้นน้ำเบื้องหน้า


"เจ็บ"คำตอบสั้นๆที่ทำให้อีกฝ่ายต้องหันมามอง


"แต่กูเลือกแล้ว เพราะงั้น เจ็บยังไงก็ต้องทน"ไม่มีใครรู้ได้ว่าสุดท้ายเรื่องทุกอย่างจะจบลงเช่นไร...วันนี้ผมมีความสุขดีแต่ไม่ได้หมายความว่าความสุขนี้จะอยู่กับผมไปตลอด...ผมรู้ว่าคนของผมเองก็คิดเช่นเดียวกัน...สิ่งที่เราสองคนทำได้...คือการใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุดเพราะอย่างน้อยหากวันหนึ่งต้องถึงวันจากลา ก็ยังพอยิ้มออกมาได้บ้างว่า...เราเคยทำอะไรดีๆมาด้วยกัน...


"ธีร์...กูรักมึงว่ะ!"อยู่ดีๆก็โถมตัวเข้าใส่จนผมแทบเซ...ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆนะครับมึง แล้วนี่มันอะไร อยู่ดีๆเปลี่ยนอารมณ์กระทันหันจนผมตั้งตัวไม่ทัน

"อะไรของมึงเนี่ยยย"พยายามยกมือดันหัวมันออกไปไกลๆ แต่มันยังคงกอดผมแน่นไม่ปล่อย...เกิดใครมาเห็นเข้าคงได้คิดว่าผมกับมันกำลังพลอดรักกันอยู่เป็นแน่

"ถ้ากูไม่มีมึงอยู่ตรงนี้กูคงเป็นบ้า ขอบคุณนะมึง"เหมือนกับวันแรกๆที่ผมกับมันมาอยู่ที่นี่...ผมเคยพูดคำนี้กับไอ้ตัวดีไปแล้ว...ในโลกอีกโลกที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน มีแต่คนแปลกหน้าพูดจาด้วยภาษาที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ ใช้ชีวิตไม่เหมือนที่ผมเป็น...การมีใครสักคนที่เข้าใจเราอยู่ข้างๆ ย่อมทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมาได้...ยกมือขึ้นตบบ่ามันเบาๆทั้งที่มันยังกอดผมแน่นไม่ยอมปล่อย

"เออ แต่ปล่อยกูได้ยัง กอดกูซะแน่นคิดอะไรกับกูปะเนี่ย หึหึ"แซวมันเล่นจนมันรีบผละตัวออกทันทีแล้วหันมาทำหน้าพิลึกใส่

"เชี้ย กำลังซึ้ง มึงนี่ทำกูเสียอารมณ์หมด"ผมหัวเราะร่า อย่างน้อยมันก็ดีขึ้นมาบ้าง

"ดีละ อย่ามามีอารมณ์กะกูเลย กูสยอง ฮ่าๆ"สงสัยกวนมากไปหน่อยเลยโดนมันโบกกลับ...ตอนนี้ยังหัวเราะได้...ก็ถือว่าดีแล้ว...ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน


"ขึ้นเรือนเหอะมึง เดี๋ยวเจ้าคุณด่า เสร็จงานแล้วหายหัวเลย"ลุกขึ้นยืนพลางหันไปเรียกไอ้ตัวดีที่ตอนนี้ยิ้มออกมาได้เหมือนเดิมแล้ว...มันลุกขึ้นตามพลางปัดฝุ่นตามเนื้อตัว...แต่งตัวกันเสียหล่อดันมานั่งให้เลอะเทอะอยู่ริมท่าน้ำ
.

.

.
ทันทีที่ก้าวขึ้นเรือนมาก็พบกับเจ้าของเรือนที่นั่งสง่าอยู่บนพื้นยก พร้อมด้วยคุณหญิงสร้อย คุณพิกุล และแขกคุ้นหน้าของผมอีกสองคน...แต่ที่ทำให้ผมชะงักฝีเท้าเห็นทีจะเป็นเจ้าพระยาจอมวางมาดกับลูกชายที่ยังคงนั่งอยู่ด้วยนี่ล่ะ

"เสร็จงานก็หายหัวเชียวนะพวกเอ็ง"ผิดคำผมที่ไหน...โดนเจ้าคุณจิตราเอ็ดเอาจนได้

"ลงไปช่วยพวกพี่สนเก็บของอยู่ข้างล่างน่ะครับ"ได้แต่แก้ตัวตอบไป ขืนบอกว่าไปนั่งเล่นบทดราม่าอยู่ริมท่าน้ำกันสองคนคงได้โดนด่าเปิง

"ขึ้นมานั่งด้วยกันเสียบนนี้เถิดพ่อ"เจ้าคุณไพศาลทักขึ้นเมื่อเห็นว่าผมสองคนเพียงเดินมานั่งอยู่บนพื้นเรือนด้านข้าง...ผมกับไอ้แชมป์มองหน้ากันเลิกลั่กเพราะเห็นว่ามีแต่ระดับเจ้านายทั้งนั้นที่นั่งอยู่ แล้วยิ่งคนที่ถือตำแหน่งสูงสุดที่แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน

"เป็นเพียงผู้ช่วย ให้ขึ้นมาตีเสมอนายจักดีรึ"แล้วยังคำพูดค่อนขอดนี่อีก หากแต่เจ้าคุณไพศาลเพียงแค่ขยับตัวเพื่อให้พวกผมมีพื้นที่นั่งด้านบน ยิ่งทำให้คนท้วงหน้าเสียหนักกว่าเดิม

"พ่อธีร์เคยพบเจ้าคุณท่านแลหลวงเจษฎ์แล้วใช่หรือไม่"เจ้าคุณไพศาลถามขึ้นอีกครั้ง

"เคยครับ"ผมพยักหน้ารับ พลางยกมือไหว้ชายร่างท้วมที่มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าพระยาหากแต่ทำตัวไม่น่าเคารพเลยแม้แต่น้อย กับลูกชายร่างสูงใหญ่ที่ไม่ได้ต่างไปจากผู้เป็นพ่อนัก

"นี่อ้ายแช่มขอรับ กระผมให้มาช่วยงานอยู่ที่เรือนนี้ มันรู้ภาษาฝรั่งเศส ช่วยกระผมได้มากเรื่องงานเลี้ยงท่านทูตขอรับ"เจ้าคุณจิตราแนะนำคนข้างๆผมบ้าง มันจึงยกมือไหว้ผู้มาเยือนทั้งสองเช่นกัน

"รู้ภาษาฝรั่งเศสรึเอ็ง"น้ำเสียงเหยียดหยันถามขึ้น คนถูกถามได้เพียงพยักหน้าตอบ

"น่าแปลก ไปร่ำเรียนมาจากที่ใด"คำถามทั่วไปแต่กลับไม่น่าฟังเพราะน้ำเสียงของผู้ถาม...ราวกับกำลังดูถูกที่มาที่ไปของมัน

"มหาวิทยาลัยครับ"โดนไอ้แชมป์กวนกลับเข้าให้จนได้แต่ทำหน้าสงสัย...ก็พระนครสมัยนี้มันมีมหาวิทยาลัยเสียที่ไหนเล่า

"ที่ใดนะ"ยังคงถามต่อ...ผมเหลือบมองไอ้ตัวดีที่ยกยิ้มมุมปากส่งมาให้...รู้ดีว่ามันเองก็ไม่ถูกชะตาเจ้าพระยาเดโชนี่สักเท่าไหร่

"มหาวิทยาลัย หรือuniversityในภาษาอังกฤษ หรือuniversitéในภาษาฝรั่งเศสครับ"เป็นผมไม่ถามต่อแล้วนะครับท่านเจ้าคุณ...แอบเห็นเจ้าพระยาเดโชหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อโดนตอกกลับแบบมีมารยาท

"กระผมว่าจักปรึกษาเจ้าคุณท่านเรื่องพื้นที่จัดงานเลี้ยงสักหน่อยขอรับ"เจ้าคุณไพศาลที่เห็นท่าไม่ค่อยดีเลยรีบเปลี่ยนเรื่องทันที...เห็นดังนั้นคุณหญิงสร้อยกับคุณพิกุลจึงขอตัวลงไปดูความเรียบร้อยข้างล่าง ปล่อยให้พวกเจ้าคุณท่านปรึกษางานกัน...ผมเห็นไอ้แชมป์ลอบมองคุณพิกุลเมื่อเธอลุกเดินลงจากเรือน...แววตาของมันกลับมามีชีวิตชีวาเช่นเคย จะแปลกไปก็ตรงที่อีกฝ่ายไม่สบตากลับมาแม้แต่น้อย...คุณพิกุลดูแปลกไปตั้งแต่เมื่อวานแต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

"ถ้างั้นพวกผมขอตัวลงไปช่วยคุณหญิงนะครับ"เมื่อเห็นว่ากำลังจะคุยงานผมเลยไม่ขออยู่ร่วมดีกว่า เพราะไม่ได้มีหน้าที่อะไรเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย...เจ้าคุณจิตราเพียงพยักหน้ารับ ผมสองคนเลยรีบเดินลงจากเรือนแทบจะทันที



"มึงกวนตีนว่ะแชมป์ หึหึ"ก้าวขายังไม่พ้นบันไดขั้นสุดท้ายดีก็หันมายิ้มเผล่ให้มันที่ยักคิ้วกวนตอบกลับมา

"พี่แชมป์จะไม่ทนครับ จะเป็นเจ้าพระยามาจากไหนกูไม่สนหรอก"เห็นอย่างนี้ไอ้แชมป์มันเป็นคนความอดทนค่อนข้างต่ำเพราะถูกพ่อแม่ตามใจมาตั้งแต่เด็ก

"แล้วนี่มึงจะให้กูเสนอหน้าไปให้คุณหญิงเค้าด่าอีกเหรอไงถึงได้บอกเจ้าคุณจิตราแบบนั้น"สีหน้ามันดูลังเลเมื่อคิดว่าจะต้องไปช่วยคุณหญิงดูแลความเรียบร้อยแถวโรงครัว

"คุณหญิงกับคุณพิกุลแกก็หาเรื่องปลีกตัวออกมาเหมือนกันแหละวะ ผู้ใหญ่เค้าจะคุยงานกันแล้วกูกับมึงจะนั่งเสนอหน้าอยู่ทำไม"มันพยักหน้ารับเมื่อคิดขึ้นได้...แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาออกไปไหนกลับมีใครไม่รู้มาฉุดแขนผมเอาไว้เสียก่อน...ผมหันกลับไปมองปรากฏเป็นร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนแสยะยิ้มส่งมาให้...ส่วนไอ้แชมป์ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

"หลวงเจษฎ์"ผมพยายามขืนข้อมือที่ถูกจับอยู่แน่นหากแต่ไม่ต้องใช้แรงมากนักเพราะอีกฝ่ายยอมปล่อยมือแต่โดยดี

"มีอะไรครับ"ยืนสบตาอีกฝ่ายนิ่ง...เป็นถึงหลวงแต่มารยาททรามยิ่งกว่าบ่าวบางคนเสียอีก

"มิได้เจอเสียนาน สบายดีรึพ่อ"จะไม่สบายก็ตอนเห็นหน้าเขานี่แหละ

"สบายดีครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวนะครับต้องไปช่วยงานคุณหญิงท่าน"ว่าพลางฉวยแขนไอ้แชมป์ตั้งท่าจะเดินหนี แต่ถูกอีกฝ่ายก้าวมายืนขวางตรงหน้าเสียก่อน

"พี่คุยด้วยดีๆ ทำไมเดินหนีพี่เสียเล่า"แสยะยิ้มน่ารังเกียจมาให้เช่นเคย...เห็นไอ้แชมป์มองหน้าเหรอหราเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน

"ผมมีงานต้องทำครับ"ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่ด้วยมารยาทและศักดิ์ของเจ้าพระยาผู้เป็นพ่อทำให้ต้องข่มอารมณ์ไว้มากพอสมควร

"มีงาน ก็ให้บ่าวมันทำซี ต้องลงแรงทำเองเชียวรึ"

"ผมเองก็เป็นบ่าวคนนึงครับ จะให้ผมไปทำงานได้รึยังครับ"ตอบกลับเสียงแข็งแต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านอะไร

"โถๆ ทำไมดูถูกตัวเองเช่นนั้นเล่า เอาตัวไปเปรียบกับบ่าวพวกนั้นได้เยี่ยงไร"น้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามชัดเจน

"พี่เพียงอยากคุยกับพ่อ มิได้พบกันเสียนานหวังว่าพ่อยังมิลืมเรื่องที่พี่เคยบอก"ใครจะไปลืมท่าทีก้าวร้าวและคำพูดหยาบกระด้างนั่น...แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรอีกฝ่ายก็ฉวยข้อมือผมเอาไว้อีกครั้งและคราวนี้เขาออกแรงมากกว่าเก่า

"เอ่อ คุณหลวงครับ คือ ผมกับไอ้ธีร์มีงานต้องทำ"ไอ้แชมป์ที่เห็นท่าไม่ค่อยดีรีบขัดขึ้น แต่ดูท่าอีกฝ่ายไม่แยแสแม้แต่น้อย

"มีงานต้องทำ ก็ไปทำสิวะ ข้ามีธุระต้องคุยกับพ่อธีร์"ท้ายประโยคหันมาแสยะยิ้มให้ผมที่พยายามขืนข้อมือตัวเองออกอีกครั้งแต่คราวนี้กลับสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้...แรงกดที่ข้อมือทำให้ผมเจ็บจนต้องขมวดคิ้วแน่น หากแต่อีกฝ่ายไม่ยอมผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย


"พ่อรู้หรือไม่ พี่คิดถึงพ่อทุกคืนนับแต่วันที่พี่ได้พบหน้าพ่อ"กลายเป็นไอ้แชมป์ที่ยืนอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดออกมาตรงๆเช่นนี้...อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมผงะหนี หากแต่มือหยาบใหญ่นั้นยังบีบแน่นบนข้อมือของผม...มืออีกข้างของผมกำแน่นเพราะกำลังข่มอารมณ์เต็มที่ กลัวว่าจะทนไม่ไหวจนเสยหน้าอีกฝ่ายเข้าให้





"พ่อธีร์"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นด้านหลังหากแต่ดุดันกว่าเคย...ผมหันกลับไปมองคนตัวสูงที่เดินตามลงมาจากเรือนใหญ่...ใบหน้าคมเข้มเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆหากแต่น้ำเสียงนั้นที่ทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจ

"มีอะไรรึหลวงแก้ว"คนตัวใหญ่กลับเป็นฝ่ายถามขึ้นเสียเองแต่ยังคงไม่ปล่อยมือของผมให้เป็นอิสระ...สายตาของหลวงพิสิษฐที่มองจ้องมือหยาบใหญ่นั้นยากจะคาดเดาอารมณ์ได้

"เรามีธุระสำคัญกับพ่อธีร์ ขอตัวประเดี๋ยวได้หรือไม่"เขาเลือกที่จะพูดกับผมแทน ซึ่งผมก็รีบพยักหน้ารับทันที

"ธุระอันใดถึงต้องตามลงมาคุยกันข้างล่างนี่"น้ำเสียงแข็งกร้าวดุดันดังขึ้นด้วยความไม่พอใจที่มีคนมาขัดจังหวะ

"เราจักคุยเรื่องงานกับ'คนของเรา'มิได้เชียวรึหลวงเจษฎ์"ตอบกลับเสียงเรียบหากแต่สบตาอีกฝ่ายนิ่งทำเอาผมที่ยืนอยู่ตรงกลางรู้สึกหนาววูบขึ้นมาทันที...เหลือบไปเห็นไอ้แชมป์กลืนน้ำลายดังเอื้อกแต่ก็ไม่กล้าเดินหนีไปไหน...ได้จังหวะผมเลยสะบัดข้อมือตัวเองออกสุดแรงจนแทบเซ...เห็นคนตัวใหญ่ขบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจจนใบหน้าบูดเบี้ยว ส่วนอีกคนยังคงยืนนิ่งไม่แสดงอารมณ์...นี่มันถึงยุคสงครามเย็นแล้วหรือไงนะ

"คุณหลวง...มีธุระไม่ใช่เหรอครับ"เมื่อต่างฝ่ายต่างนิ่งอยู่นานผมเลยถามขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียดนี่เสียที...คนตัวสูงละสายตามาสบกับผมพร้อมพยักหน้ารับ...ส่วนอีกฝ่ายยังคงยืนจ้องตาเขม็งก่อนจะสาวเท้ากลับขึ้นเรือนไปอย่างไม่พอใจนัก...แว่วเสียงไอ้แชมป์ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกเมื่อหลวงเจษฎ์ลับตาไป

"พ่อแช่มมีอะไรต้องทำก็ไปทำเถิด"บอกไอ้แชมป์ที่ยืนนิ่งเป็นไม้ประดับอยู่นาน...มันพยักหน้ารับก่อนจะหันมายกยิ้มกวนให้ผม

"ศึกชิงนางเหรอวะมึง หึหึ"ยื่นหน้าเข้ามากระซิบเสียงกวนให้พอได้ยินกันแค่สองคน ผมเลยตบรางวัลด้วยการส่งนิ้วกลางไปให้เกือบชิดหน้าจนมันผงะออกก่อนจะเดินยิ้มร่าไปทางท้ายเรือน...มองตามหลังมันพลางนึกด่าในใจจนหันมาสบเข้ากับดวงตาคมสวยของคนตัวสูง...สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ทำเอาผมใจคอไม่ค่อยดี...กลัวเขาจะเข้าใจผิดเหมือนวันนั้นจนกลายเป็นเรื่องใหญ่อีก



"คุณหลวง"เรียกขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน

"คุยตรงนี้มิสะดวก ไปที่ท่าน้ำเถิดพ่อ"ตอบเสียงเรียบพลางเดินนำไปที่ท่าน้ำใหญ่หน้าเรือนโดยมีผมเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ




"คุณหลวงครับ"ผมมองแผ่นหลังกว้างของเขาอยู่นานก่อนจะตัดสินใจส่งเสียงเรียกเพราะบรรยากาศที่เงียบจนเกินไป...ไม่รู้ว่าคนที่ยืนยกมือไพล่หลังอยู่นี่กำลังคิดอะไรอยู่

"เจ็บหรือไม่"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นโดยที่เจ้าตัวยังไม่หันหน้ามาทำเอาผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย...เจ็บ?

"มือน่ะ"ยกแขนตัวเองขึ้นมาดูเลยเพิ่งสังเกตว่าถูกบีบแน่นจนข้อมือขึ้นเป็นรอยแดง...ไอ้หลวงนั่นแรงเยอะเป็นบ้า

"ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เอง"เพิ่งมารู้สึกตัวว่ามันเจ็บก็เมื่อได้เห็นรอยแดงนี่ แต่ไม่อยากทำให้กลายเป็นปัญหา...อีกฝ่ายเพียงหันกลับมาแล้วฉวยข้อมือข้างเดิมของผมขึ้นมาพลิกดูอย่างเบามือ

"แดงเสียขนาดนี้ยังว่ามิเจ็บรึ"น้ำหนักมือช่างต่างกันลิบลับกับคนตัวใหญ่นั่น...คิ้วดกหนาขมวดมุ่น แววตาแข็งกร้าวแสดงให้รู้ว่าเขาไม่พอใจนัก

"ผมไม่เป็นไรหรอกครับ"คำตอบที่หวังให้อีกฝ่ายคลายกังวล แต่มือใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือของผมหากแต่เพียงใช้ปลายนิ้วไล้ไปมาอย่างเบามือ

"เราเห็นหลวงเจษฎ์ตามพ่อธีร์ลงมา เห็นท่ามิค่อยดีจึงตามมา"

"มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหลวงคิดนะครับ"ไอ้นิสัยชอบคิดไปเองทำให้ผมชักกังวลจนต้องรีบปฏิเสธเสียงแข็งก่อน หากแต่อีกฝ่ายเพียงถอนใจยาวแล้วส่ายหน้าช้าๆ

"เราเข้าใจ"แล้วเข้าใจถูกหรือผิดเล่า!

"เข้าใจว่า?"หรี่ตามองคนตัวสูงอย่างสงสัย

"เข้าใจว่าพ่อมิชอบใจนัก"ผมพยักหน้ารับ...คราวนี้เข้าใจถูกเสียทีนะครับหลวงพิสิษฐ

"ต้องบอกว่าไม่ชอบใจมากกกกก"ลากเสียงยาวอย่างโมโห...ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเขาลงมาไม่ทันแล้วผมเผลอปล่อยหมัดใส่หน้าไอ้หมอนั่นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง...ถึงตัวใหญ่กว่าก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะกลัว

"คราวหน้าต้องระวังตัวให้มาก เราได้ยินเรื่องหลวงเจษฎ์มาหนาหูนัก"ถึงไม่เคยได้ยินมาแต่ได้มาเจอกับตัวเองผมก็รู้แล้วว่าควรระวังตัวมากกว่าเดิม

"คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะมั้งครับ"เมื่อนึกได้ว่าตัวเองก็ไม่ได้มีธุระอะไรต้องเกี่ยวข้องกับเขาอีกทำให้พอสบายใจขึ้นมาบ้าง

"หากมีอะไรพ่อต้องรีบบอกเรา เข้าใจหรือไม่"ดวงตาคมสวยสั่นระริกทำเอาผมเผลอยิ้มออกมา

"ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ...พี่แก้ว"เรียกชื่อท้ายประโยคพลางยกยิ้มกวนให้เสียที ถึงได้เห็นรอยยิ้มปรายของคนตัวสูงบ้าง


"ทั้งห่วง ทั้งหวง ก็พ่อธีร์เป็น'คนของเรา'นี่"ย้ำคำนั้นชัดเจนพาลให้ผมนึกไปถึงตอนที่เถียงกับคนตัวใหญ่เมื่อครู่...ไม่ทันคิดว่าเขาหมายความถึงแบบนี้

"มั่วครับ ยังไม่ได้เป็น"คำตอบที่เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่อกระซิบอะไรบางอย่าง



"มิได้เป็นวันนี้ วันหน้าก็ได้เป็น"ยกยิ้มกวนก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินจากไปทันทีโดยไม่รอให้ผมตอบอะไรกลับ




"อะ ไอ้พี่แก้ว!!"ได้แต่ยืนแหกปากโวยวายตามหลังทั้งที่หน้าแดงวาบ ไอ้ที่มาทิ้งระเบิดแล้วจากไปนี่มันคืออะไรครับหลวงพิสิษฐ!




...แว่วเสียงหัวเราะจากคนตัวสูงอย่างอารมณ์ดีขณะกำลังเดินกลับขึ้นเรือน...ส่วนผมคงต้องยืนระงับอารมณ์อยู่ตรงนั้นอีกนานหน่อยเพราะถ้าโผล่ไปหาไอ้แชมป์ตอนนี้มีหวังโดนแซวยาว...



...เห็นทีคนที่ทำให้สายนทีที่สงบนิ่งปั่นป่วนได้คงจะมีแต่หลวงพิสิษฐคนเดียวนี่ล่ะ...


............................................................................................



พี่แก้วเค้าแอบกวนนะเผื่อยังไม่รู้กัน  :hao7:

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ตอนหน้าไปฟังพี่แชมป์ระบายความในใจกันเนอะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 02-08-2014 00:01:11
เอากำลังใจมาส่งจ้า

สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 02-08-2014 01:07:35
พี่แก้วพูดงี้น้องก็อยากให้ถึงวันข้างหน้าเร็วๆ5555555
โอ้ยยยยยยยมาแบบอ่อนโยนตลอดดดด
แต่คาดว่าคงได้เจอหลวงเจษอีกชัวร์
ชอบค่ะชอบอ่านเวลาพี่แก้วหึง อิอิ
นี่ขนาดงานบุญยังหวานนะ สองต่อสองคงแบบอรั่กกกกเขิน


แต่สงสารแชมป์ ถ้าแม่คุณพิกุลพูดไร
แล้วคุณพิกุลมาห่างเหินงี้ ยิ่งเจ็บ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 02-08-2014 01:23:47
กรี๊ดดด ศึกชิงน้องธีร์ค่า น้องธีร์ช่างมีสเน่ห์แรงนัก ดีนะเนี่ยที่พี่แก้วมาช่วยไว้ทัน แต่ทำไมนิ่งล่ะ คิดอะไรเหรอ เอ่ยถามว่าเจ็บมั้ยโดยไม่หันกลับไปมองก่อน อาจจะระงับความโกรธอยู่ แล้วที่คิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกนี่สงสัยจะได้มีเรื่องให้เจอน่ะสิ อย่าประมาทคนแบบนี้ อันธพาล อยากได้อะไรต้องได้ แต่เราไม่ยกน้องธีร์ให้หรอก จะยื้อไว้จนสุดความสามารถแล้วใส่พานถวายพี่แก้วคนเดียว เฮอะ!

ตอนนี้นี่เริ่มๆอ่านละแบบ โหย หยอดเยอะนะคะพี่แก้ว ทำเอาทั้งยิ้ม ทั้งกัดฟัน และกรีดร้อง แต่มาเจอประโยคเด็ดตอนท้ายนี่แทบเสียสติกันไปเลย
"มิได้เป็นวันนี้ วันหน้าก็ได้เป็น"
อ่านแล้วโอ๊ยยย พี่แก้ว จะฆาตกรรมคนอ่านเหรอคะ(หรือคนเขียนฆาตกรรมคนอ่านผ่านพี่แก้ว?) น้องธีร์ถึงกับไปไม่เป็นสุดๆแล้ว555 มันแบบ โง้ย อยากจะตะโกนเหมือนน้องธีร์ว่า ไอ้พี่แก้ว!!! แต่แหม ย้ำจังนะ "คนของเรา" คนอ่านก็ลุ้นค่ะ รอให้มีสถานะตามที่พูดนี่จริงๆซะทีแบบที่น้องธีร์เถียงไม่ได้เลย แต่น้องธีร์ก็รู้นะว่าหมายถึงอะไร ถึงกวน(มั้ง? ซึ่งก็เข้าตัวแท้ๆ)กลับไปว่ายังไม่ได้เป็น นี่คนอ่านรอพี่แก้วจัดอยู่นะคะ แอร๊ยยย   แต่น้องธีร์เห็นเก่งๆนี่ยอมพี่แก้วคนเดียวเลยนะ ส่งสายตาพิฆาตมาก็จบกัน รับปากว่าจะไปทำบุญร่วมชาติอย่างว่าง่าย พี่แก้วเล่นของ หรือน้องธีร์ยอมสุดๆ กร๊าก

ตอนนี้แอบมีโมเมนท์เพื่อนรักกันด้วย น่ารักจริงๆ ดีนะที่พี่แก้วไม่มาเห็น หึงโหดและชอบคิดไปเองเนี่ย น่ากลัว แถมมีความหลวงเจษฎ์แทรกอีก เดี๋ยวจะยุ่งเหยิงกันไปใหญ่ เอาแค่พอน่ารักกรุบกริบแบบนี้นี่ดีแล้ว

สงสารพ่อแชมป์อย่างต่อเนื่องด้วย คุณพิกุลเลี่ยงหน้าซะแล้ว เฮ้อ จากเหี่ยวๆอยู่กลัวว่าจะยิ่งเหี่ยวเข้าไปกันใหญ่ ให้พอได้ส่งยิ้มถึงกันบ้างก็ยังดี แม้รู้ว่าจะโดนห้ามให้รักกัน ดีกว่าไม่มองกันแบบนี้

ว่าแต่พระยาเดโชมาทำไมยังงงๆอยู่ หรือหลวงเจษฎ์บอกว่าอยากมาเลยพามา เพราะอยากเจอน้องธีร์ ไม่งั้นก็คงมาทันทำบุญช่วงเช้าแล้วสิ

รออ่านต่ออยู่นะคะ รีบๆแต่งต่อให้จบเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 02-08-2014 06:24:55
 :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 02-08-2014 09:22:57
แล้วเมื่อไหร่จะทำให้พ่อธีร์เป็นของพี่แก้วเล่า ?  :z1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-08-2014 15:22:32
อนาคตจะเป็นเช่นไร~~~
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 04-08-2014 21:53:40
พี่แก้วมัวแต่งกลอนให้พ่อธีร์อยู่หรือคะ ป่านฉะนี้ถึงยังไม่มา คิดถึงจะแย่
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 05-08-2014 00:05:00
อ๊ายยยย ทำไมประโยคมันส่องี้อะหลวงแก้ววว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 06-08-2014 07:28:06
ความรักไม่มีใครสามารถห้ามกันได้หรอกนะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 07-08-2014 20:07:25
มิได้เป็นวันนี้ วันหน้าก็ได้เป็น 
แแล้วเมื่อใดเล่าพ่อแก้ววว  ให้มันไวๆหน่อยยยย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-08-2014 23:23:54
ความรักใส กิ๊ง เลย



 o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 08-08-2014 17:27:00
แวะมาอัพเดทนิดนึงนะคะ ตอนนี้คนแต่งติดภารกิจ แต่จะพยายามลงตอนต่อไปภายในอาทิตย์นี้ค่ะ (เค้าสัญญาาาา)
อย่าเพิ่งลืมพี่แก้ว น้องธีร์ กะพี่แช่มน๊าาาา จะรีบมาต่อให้เร็วที่สุดจ้าาา

 :katai4: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๓ up! ๐๑/๐๘/๕๗ P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 09-08-2014 22:10:48
ตอนแรกว่าจะไม่ลงอิมเมจตัวละคร แต่ดันไปเจอสองคนนี้เข้า!
ตรงกับอิมเมจน้องธีร์กับแชมป์ของคนแต่งมากกก เลยลองทำมาให้ดูกันนะคะ
ไม่รู้ว่าจะตรงใจใครบ้างรึเปล่าน๊าาา

ปล.คนแต่งไม่ได้ตามเกาหลีพอเห็นรูปแล้วคิดว่าใช่เลยลองทำดูค่า
ปล.2 อิมเมจพี่แก้วยังไม่มีใครเข้าตาเลย เพราะผู้ชายหน้าไทยยิ้มละมุนนี่หายากจริงๆ  :ling3:
ปล.3 รอตอนต่อไปกันอยู่รึเปล่าน๊า กำลังแต่งอยู่นะคะ พี่แช่มเขาบอกว่าขอบิ้วอารมณ์ดราม่าแป๊บนึง ปกติเล่นแต่บทฮา พอมาดราม่าแล้วลำบากจริงๆ

(http://i4.photobucket.com/albums/y133/alexel27/Mobile%20Uploads/image.jpg)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Character Image Champ+Tee [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-08-2014 00:10:39
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Character Image Champ+Tee [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 10-08-2014 19:57:24
น่ารักกกก  ตอนนี้เราจินตนาการพี่แก้วเป็น ท๊อป จรณตอนเป็นเป็นหม่อนชัชวีร์ แล้วก็ พอร์ช ศรัณย์ อยู่
ชา ผช หน้าไทยยากมากตอนนี้
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Character Image Champ+Tee [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 13-08-2014 18:13:24
คิดถึงพี่แก้ววววววว555555555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Character Image Champ+Tee [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 14-08-2014 04:06:05
*warning* เนื้อหาในตอนนี้เป็นเรื่องช-ญนะคะ ผู้อ่านท่านใดไม่นิยมแนวนี้สามารถข้ามตอนนี้ไปได้โดยไม่กระทบกับเนื้อเรื่องหลักค่ะ ผู้แต่งเพียงเพื่อเพิ่มอรรถรสของเนื้อหาและความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องถึงได้เกิดเป็นตอนนี้ขึ้นมาค่ะ


ตอนที่ ๒๔...คำมั่นสัญญา...(Champ's Vision)



...งานบุญวันเกิดลูกสาวเจ้าของเรือนผ่านไปได้ด้วยดี บรรดาบ่าวไพร่ต่างโล่งใจกันเป็นแถวเพราะจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงบ่นของคุณหญิงสร้อยอีกแล้ว...คงมีก็แต่ผมนี่ล่ะ ที่ยังไม่โล่งใจเสียทีเดียว...จะอะไรเสียอีกล่ะครับ...ก็คำพูดที่คุณหญิงแกเคยพูดไว้กับผมนั่นแหละ...ทำเอาผมเป็นบ้าเป็นบอจนข้ามวัน ดีที่ได้ไอ้ธีร์มานั่งดราม่าเป็นเพื่อนที่ริมท่าน้ำตอนวันงานถึงได้สบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้ความกังวลที่มันสุมแน่นอยู่ในอกมันจะหายไปเสียทีเดียว...


"ไปเรือนนู้นเหรอมึง"ผมงัวเงียตื่นขึ้นในตอนเช้าเหมือนเคย แต่ไอ้ธีร์ดันตื่นก่อนจนได้...เห็นมันแต่งตัวพร้อมพลางยืนเสยผมยาวรุงรังของมันอยู่หน้ากระจก...กูบอกให้ตัดตั้งหลายทีก็ไม่ยอม ยาวจนจะมัดจุกได้อยู่แล้วเนี่ย

"เออ ตื่นได้แล้วมึงอะ ตื่นสายทุกวันไม่กลัวโดนด่าเหรอวะ"ผมไม่ได้ตื่นสายนะครับ แต่ใครใช้ให้มันทะลึ่งตื่นก่อนผมเองล่ะ

"สายเชี่ยไร เจ้าคุณยังไม่ตื่นเลยมั้งป่านนี้"ยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อให้ตื่นเต็มที่...ฟ้าเพิ่งสางสว่างเป็นสีฟ้าหม่นแบบนี้เค้าไม่เรียกว่าสายครับ

"ตื่นจนออกไปถึงไหนต่อไหนละ"มันยังคงเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าให้เข้าที่เข้าทาง ถ้ามันลำบากขนาดนั้นเดี๋ยวผมหากรรไกรมาตัดให้ก็ได้นะ

"ไปไหนวะ เช้าป่านนี้"

"เห็นบอกว่าไปธุระกับคุณหญิงสร้อย"คำตอบที่ทำเอาผมตื่นเต็มตา...เห็นมันหันมายกยิ้มกวนให้อย่างอารมณ์ดี

"แน่ะ! กูรู้ว่ามึงกำลังจะถามถึงคุณพิกุล เค้าไม่ได้ไปด้วย"สวรรค์ครับ ขอบคุณที่ประทานพรให้ผมเป็นซินเดอเรลล่า สโนไวท์ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ทางของผมสะดวกถึงหนึ่งวัน...ดีใจจนน้ำตาจะไหล

"แล้วแกจะกลับมากันเมื่อไหร่วะ"สงสัยดีใจออกนอกหน้าไปหน่อยมันเลยเดินมาดีดหน้าผากเข้าให้...กูแค่ถามทำไมต้องรุนแรงด้วยเนี่ย

"หุบยิ้มหน่อยครับพี่แชมป์ กูเห็นแล้วสยอง แกบอกไปธุระที่ไหนไม่รู้จำไม่ได้ละ รู้แต่ว่าไกล ถ้ากลับทันก็คงเย็นๆค่ำๆ หรือถ้าไม่ทันก็คงต้องค้าง หึหึ"แล้วมันจะหัวเราะแบบนี้เพื่อออออ?

"แล้วมึงอ่ะ"ถามมันกลับบ้างเพราะช่วงนี้เห็นไปเรือนเจ้าคุณไพศาลทีไรไม่เคยได้กลับมาภายในวันเดียวหรอกครับ

"กูทำไม"ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย...ส่วนผมที่มีเรื่องให้อารมณ์ดีแต่เช้า ตอนนี้ถึงได้มีแรงกวนประสาทมันได้บ้าง

"ก็จะถูกขอร้องให้นอนค้างด้วยอีกคืนหรือไม่พ่ออออ"เลียนเสียงคุณหลวงหวานใจมันเสียหน่อย...แต่ไม่น่าลามปามเลยเพราะมันรีบโบกหัวผมกลับดังพลั่ก...ลืมไปว่าไอ้นี่มันประเภทชอบใช้ความรุนแรง

"เชี่ยยย แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นเขิน รีบไปเลยมึงอ่ะ"ว่าพลางยกขายันเข้าให้...เลยโดนมันแจกนิ้วกลางให้สักทีก่อนเดินออกจากห้องไป...ช่วงนี้เห็นมันมีความสุขดีก็ดีใจกับมัน ถึงแม้ตอนวันงานจะได้เห็นหลวงเจษฎ์ในตำนานที่มันเคยเล่าให้ฟังมาทำห่ามใส่จนผมได้แต่ยืนอ้าปากหวอก็เถอะ...ไอ้หลวงนั่นก็มารยาททรามเสียจริง พูดจาอะไรไม่ได้เกรงใจคนฟังแถมยังวาดมาดใหญ่โตเสียเต็มที่...เห็นแล้วก็โมโหแทน
.

.

.
ส่วนเรื่องของผมน่ะเหรอครับ...ถ้าจะให้เล่าคงต้องย้อนยาวไปถึงตอนที่ผมเพิ่งกลับมาที่นี่อีกครั้งโน่นล่ะ...ผมยังไม่ได้มีโอกาสได้เล่าเพราะไอ้ธีร์เอาแต่แย่งผมเล่าเรื่องของมันไปเสียหมด...ใช่ซี๊ ใครมันจะไปอยากรู้เรื่องอาภัพของพี่แชมป์สุดหล่อ...แต่ผมอยากเล่านะ ฮ่าๆ...เอาเป็นว่า เรื่องมันมีอยู่ว่า...คุณพิกุลเธอไม่ยอมคุยกับผมเลยนับตั้งแต่ผมกลับมา...ทั้งที่หลวงพิสิษฐเองก็ช่วยแก้ตัวให้พวกผมเรียบร้อยว่าผมกลับไปเยี่ยมญาติที่หัวเมือง...แม้แต่คุณหญิงสร้อยกับเจ้าคุณก็เชื่อสนิทใจ...แต่คนตัวเล็กนี่สิ...ผมไม่รู้ว่าเธอเชื่อในสิ่งที่หลวงพิสิษฐบอกหรือไม่ รู้แต่เธอไม่พอใจที่ผมหายตัวไปเงียบๆ...ผมพยายามหาทางคุยกับเธอหลายครั้งแต่เธอก็เอาแต่หลบหน้า...ตามลงไปช่วยงานในโรงครัวที่ปกติเธอมักจะเรียกให้ผมช่วยหยิบนั่นหยิบนี่ให้เสมอ แต่ช่วงนั้นไม่แม้แต่จะเรียกชื่อผมด้วยซ้ำ...แต่คนอย่างไอ้แชมป์เสียอย่าง...หน้าด้านเป็นที่หนึ่งครับ...ผมก็ยังคอยตามเธอไปนั่นมานี่อยู่ตลอดจนคุณหญิงท่านสังเกตเห็นนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะถือว่าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย...อีกอย่างคุณพิกุลเองก็เป็นผู้หญิงที่วางตัวดีที่หนึ่ง ไอ้เรื่องจะทำตัวเสื่อมเสียให้ถูกด่าไม่ต้องไปพูดถึง เธอไม่คิดจะทำแน่ และผมเองก็เช่นกัน...


หลังจากกลับมาได้ไม่กี่วันและผมรู้สึกอึดอัดกับสภาพที่เป็นอยู่ ผมจึงหาโอกาสตอนที่เธอลงไปเตรียมสำรับที่โรงครัว...ผมไม่ชอบให้อะไรมันค้างคา...เพราะผมไม่รู้เลยว่าเธอโกรธอะไรผมกันแน่...ก็ผู้หญิงเนี่ย เข้าใจยากจริงๆครับ...


"น้ำเดือดหรือยังบุญมี"เสียงหวานเจื้อยแจ้วดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวที่เดินถือถ้วยพริกแกงเข้ามาในโรงครัว

"เดือดแล้วครับ"คำตอบที่ทำเอาดวงตากลมโตหวานฉ่ำนั่นเบิกกว้างกว่าเก่า...เธอชะงักฝีเท้ามองหน้าผมที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ในโรงครัวที่ตอนนี้มีเพียงผมกับเธอ...ส่วนพี่บุญมีเพราะผมอาสาเป็นลูกมือให้ลูกสาวเจ้าของเรือนเสียเอง แกถึงยอมขึ้นไปบนเรือนแต่โดยดี

"พ่อแชมป์"เสียงหวานเอ่ยเรียกอย่างสงสัย

"น้ำเดือดแล้ว ต้องทำอะไรต่อครับ"ยกฝาหม้อขึ้นดูน้ำในหมอที่เดือดพล่าน...เห็นว่าจะทำแกงส้มแต่ผมก็ไม่รู้เสียด้วยสิว่าเขาต้องใส่อะไรกันบ้าง...เธอไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่เดินมาหยุดที่หน้าเตาแล้วจัดการกวาดพริกแกงในถ้วยลงในหม้อน้ำเดือดจนน้ำในหม้อกลายเป็นสีส้ม

"บุญมีไปไหนเสียเล่า"ถามกลับเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย

"ผมให้แกขึ้นไปช่วยงานคุณหญิงแทนครับ ตรงนี้ผมพอจะทำเองได้"คนตัวเล็กไม่ตอบอะไรกลับยังคงสาละวนอยู่กับหม้อแกงตรงหน้า

"คุณพิกุล...เป็นอะไรรึเปล่าครับ"มึนตึงใส่ผมมาหลายวันจนผมเองก็ชักทนไม่ไหว...ความอดทนผมไม่ค่อยสูงเหมือนคนอื่นเขา อยากรู้อะไรก็ต้องถามเพราะไม่ชอบให้ค้างคา...แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบอะไรเสียนี่

"คุณพิกุล"เรียกชื่ออีกครั้งพร้อมยื่นมือไปฉวยข้อมือเล็กนั่นเพียงแผ่วเบา หากแต่ทำให้อีกฝ่ายชะงักไป...ถึงจะคอยตามหลังเธอต้อยๆเกือบทุกวันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะได้ใกล้ชิดสนิทสนมอะไรกับเธอไปมากกว่านั้น

"ใส่ใจด้วยรึ"น้ำเสียงเรียบตอบกลับ ทำให้ผมรู้ว่าเธอกำลังไม่พอใจ

"ใส่ใจสิครับ"ว่าพลางปล่อยมือของเธอให้เป็นอิสระ เกรงว่าใครจะเข้ามาเห็นเสียก่อน...ผมน่ะไม่เป็นอะไรเพราะเป็นผู้ชาย แต่ลูกสาวเจ้าของเรือนที่มียศเป็นถึงพระยานี่สิจะเสียหายเอา

"เห็นว่าไปไหนมาไหนมิบอกกล่าว นึกว่ามิได้ใส่ใจ"คำตอบที่เรียกรอยยิ้มบางของผมขึ้นมาได้...ไอ้เราก็นึกว่าโกรธ...ที่แท้

"แล้วก็ไม่บอกว่างอน"มือที่ถือทัพพีคนน้ำแกงในหม้อชะงักไปชั่วครู่ หากแต่ไม่ยอมหันมามองผมสักนิด

"ฟังผมนะครับ...ผมรู้ว่าคุณพิกุลไม่พอใจที่ผมหายไปไม่บอก ผมไม่ได้มาแก้ตัวแต่ขอให้คุณพิกุลเข้าใจว่าผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย"อธิบายยืดยาวเพราะชักจะทนไม่ไหวกับความอึดอัดนี่เช่นกัน

"อยู่เรือนนี้แท้ๆ ไปไหนมาไปมิบอกแม้แต่เจ้าของเรือนกลับให้คนอื่นมาบอกเสียได้"ว่าพลางยกชามใส่เนื้อปลาลงในหม้อ

"ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากบอกคุณพิกุลเป็นคนแรกนะครับ"โบราณเขาว่าผู้หญิงงอนต้องรีบง้อครับ...ว่าแต่คนโบราณเขาเคยพูดแบบนี้ไว้ด้วยเหรอ...คนตัวเล็กยังคงเงียบอยู่ เลยต้องงัดไม้ตายออกมาใช้กันบ้าง


"โธ่ คุณพิกุลคร้าบ หายโกรธแชมป์เถอะนะ"ง้อปกติไม่หาย...ก็ต้องอาศัยลูกอ้อนนี่แหละวะ

"น๊า จะให้แชมป์ทำอะไรแชมป์ยอมทุกอย่างเลย อย่าโกรธแชมป์นะคร้าบ"เขยิบเข้าไปใกล้อีกหน่อยถึงได้เห็นว่าคนตัวเล็กแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว

"อะไรก็ได้รึ"เรียวปากบางขยับถามทั้งที่ยังเจือรอยยิ้มอยู่จนผมรีบพยักหน้ารับรัวๆจนเมื่อยคอ

"จะให้ไปปีนต้นมะม่วง ผ่าฟืน ล้างท่าน้ำ กวาดลานหน้าเรือน หรือให้มาช่วยเป็นลูกมือในครัวทุกวันเลยก็ได้เอ้า ขอแค่คุณพิกุลหายโกรธแชมป์ก็พอ"ตอนนี้จะให้ไปบุกน้ำลุยไฟก็ยอมแล้วครับ ดีกว่าให้เธอเงียบใส่ผมแบบที่ผ่านมานี้

"พอแล้วๆ เรามิโกรธพ่อแล้ว"แว่วเสียงหัวเราะเบาจากคนตัวเล็ก แต่ยังคงไม่หันมา

"จริงนะ"เลยต้องยื่นหน้าเข้าไปถามแทน...พอดีกับที่อีกฝ่ายหันกลับมา ใบหน้าหวานฉ่ำอยู่ห่างไปเพียงคืบ ดวงตากลมสวยส่องประกายระยับ...กรุ่นกลิ่นน้ำปรุงหอมที่เธอใช้...ใจหนึ่งผมอยากยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าหวานนี่อีกครั้ง

"โอ๊ยยยยย!"แล้วก็ต้องร้องออกมาเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายถือทัพพีที่ตักน้ำแกงส้มค้างไว้แล้วดันหกรดใส่เท้าผมเสียนี่

"พ่อแชมป์ เป็นอะไรหรือไม่"คนตัวเล็กเองก็ดูตกใจไม่แพ้กัน รีบวางทัพพีลงแล้วหันมาดูทันที

"ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง อูยยยย"ปากดีครับผมน่ะ...น้ำแกงเดือดพล่านแบบนั้นไม่เจ็บเลยมั้ง

"ไปเอาน้ำล้างเสียก่อน ประเดี๋ยวจะเป็นหนัก"ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยปากไล่ให้ไปเอาน้ำเย็นล้างเท้า

"ดีใจจังที่เป็นห่วง"ยิ้มหวานให้เสียทีจนอีกฝ่ายได้แต่เขินจนหน้าแดง...เจ็บตัวแต่สาวเจ้าหายงอนมันก็คุ้มกันนะครับ



...และทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอยู่ได้สักพัก...จนกระทั่งคุณหญิงสร้อยเรียกผมไปคุยในวันนั้น...ผมรู้สึกราวกับใครเอาหินก้อนใหญ่มาทับไว้บนอก มันใหญ่มากเสียจนผมเองก็ไม่มีแรงจะยกมันออกไป...สิ่งแรกที่ผมคิด คือผมอยากกลับบ้าน...อยากกลับไปอยู่ในโลกของผมที่ไม่มีใครมาดูถูกว่าผมเป็นเพียงเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า...กลับไปเป็นลูกป๊ากับม๊าที่อยากได้อะไรก็ได้...แต่ใบหน้าหวานฉ่ำของคนตัวเล็กกลับลอยเวียนวนในความคิดไม่รู้จักจบ...ผมเคยบอกธีร์ไปว่า ต่อให้เธอแต่งงานออกเรือนไปขอให้ผมได้รอพบเธออยู่ที่นี่ผมก็พอใจแล้ว...พระเอกใช่ไหมล่ะ...ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลยครับ...ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น...ผมยังมีอารมณ์ ความรู้สึก และผมยังอยากเป็นเจ้าของ...ใครจะไปทนเฉยได้หากคนที่ตัวเองรักต้องตกเป็นของคนอื่น...และในกรณีของผม ถ้ามันถึงเวลานั้นจริงๆ ผมก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะห้าม


และก็เป็นไอ้ธีร์ที่เตือนสติผมอีกครั้ง...ผมยอมรับว่าตกใจมากเมื่อได้ยินมันบ่นยาวในวันนั้น...ปกติแล้วมันเป็นคนไม่ค่อยพูด...ไอ้เรื่องกวนประสาทกันนี่มันเป็นปกติครับ แต่เรื่องจริงจังส่วนใหญ่มันจะเอาแต่เงียบเสียมากกว่า...ธีร์เป็นพวกปากหนักที่จะพูดอะไรออกมาแต่ละครั้งคนฟังต้องลุ้นตาม...แต่วันนั้นมันกลับเตือนสติผมได้มากจนผมยังแปลกใจ...จริงอยู่ที่ว่าเราไม่เคยมานั่งเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังกันเท่าไหร่นัก แต่ถ้าถามถึงความสนิทและรู้ใจ ก็คงไม่มีใครเข้าใจผมได้มากกว่ามันอีกแล้ว...ผมยังจำคำพูดของมันในวันนั้นได้ดี...ความรู้สึกที่คุณพิกุลมีให้ผมมันมีค่ามากกว่าที่ผมจะตัดใจทิ้งมันแล้วหนีไปให้ไกล...ในตอนนี้ผมควรคิดแค่ว่าผมจะทำอะไรดีๆให้เธอได้บ้างในเวลาที่ผมยังอยู่ที่นี่...กำลังใจของผมเริ่มกลับมา



...แต่กลายเป็นเธอเองต่างหากที่มีท่าทีเปลี่ยนไป...



ผมสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเธอตั้งแต่วันงาน...ถึงแม้ช่วงนั้นผมเองก็ไม่สบายใจหนักจนหาเรื่องหลบหน้าเธออยู่สองสามวันก็เถอะ...แต่ตอนวันงานหลังจากที่ผมได้คุยกับไอ้ธีร์ ผมกลับสังเกตได้ว่าเธอเองก็มีทีท่าแปลกไปเช่นกัน...เธอไม่ยอมสบตา...พยายามหลบหน้า และเราไม่ได้คุยกันอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น...
.

.

.
หลังจากธีร์ออกไปไม่นานผมถึงได้ฤกษ์ออกมาจากห้องบ้าง เพราะวันนี้เจ้าคุณกับคุณหญิงไม่อยู่คงไม่มีใครมาคอยบ่น...งานก็ไม่มีให้ทำนอกจากช่วยพวกพี่สนกับมิ่งข้างล่าง แต่เดี๋ยวค่อยลงไปก็แล้วกัน...ออกมาด้านนอกเห็นเรือนเงียบเชียบแล้วก็แปลกใจนักเพราะปกติลูกสาวคนเล็กของคุณหญิงสร้อยมักจะนั่งเด่นอยู่กลางเรือนเสมอ...ไม่ร้อยมาลัยก็เย็บปักถักร้อย หรือบางทีก็ให้พวกพี่ชดยกผักผลไม้ขึ้นมานั่งแกะสลักอยู่บนเรือน...แต่วันนี้เธอกลับไม่อยู่...


"พี่ชดๆ...เค้าไปไหนกันหมดอ่ะ"ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าคุณกับคุณหญิงสร้อยไม่อยู่ แต่ก็ยังเนียนถามพี่ชดที่กำลังทำความสะอาดเรือนอยู่ด้านนอก

"เจ้าคุณกับคุณหญิงท่านไปธุระ กว่าจักกลับคงค่ำ"อีกฝ่ายตอบโดยไม่หันกลับมามองหน้า

"แล้ว คุณพิกุลล่ะ"นี่แหละประเด็น...ยังเช้าอยู่ไม่น่าจะลงไปที่โรงครัวเร็วขนาดนี้

"เห็นว่าลงไปเก็บดอกมะลิมาร้อยมาลัยถวายพระ เอ็งถามทำไมรึ"พี่ชดหันมาขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย

"อ๋อเปล่าพี่ เห็นเรือนเงียบๆแค่สงสัยว่าไปไหนกันหมด"แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ พี่ชดแกถึงยอมหันกลับไปทำความสะอาดเรือนต่อ


ไม่รอช้าผมรีบลงมาข้างล่างทันที...ไม่ได้จะฉวยโอกาสตอนที่พ่อแม่เขาไม่อยู่นะครับ...แต่ขอแค่ได้เห็นหน้า...ได้อยู่ใกล้ๆ...ผมคงไม่ขอมากไปหรอกมั้ง...


เห็นคนตัวเล็กกำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวซุ้มต้นมะลิข้างเรือน...ที่นี่เขาปลูกต้นมะลิไว้เยอะเอาไว้ร้อยมาลัยเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้อเหมือนในกรุงเทพในยุคปัจจุบัน แถมพวงมาลัยดอกมะลิสมัยผมก็หาไม่ได้ง่ายเสียด้วย ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นดอกรักมากกว่า


...ผมยืนมองเธออยู่นานเพราะใบหน้าหวานที่กำลังยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี...มือเล็กค่อยๆปลิดดอกมะลิทีละดอกสองดอกอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อน...สไบสีส้มที่เธอห่มอยู่ก็ช่างตัดกับซุ้มมะลิขาวนวลนั่นเสียจริง...ในมือเธอมีตะกร้าขนาดย่อมที่มีดอกมะลิสีขาวอยู่จำนวนหนึ่ง...เช้าๆแบบนี้แดดยังไม่ร้อนแถมยังมีลมเย็นเอื่อยพัดโบกให้เย็นสบาย

"ให้ช่วยมั้ยครับ"มือเล็กที่กำลังเอื้อมออกไปปลิดดอกมะลิตรงหน้าชะงักเล็กน้อยหากแต่เธอไม่ยอมหันมาสบตา...โดยไม่รอคำตอบผมยื่นมือออกไปหยิบตะกร้าหวายในมือเธอมาถือเอาไว้แทน

"มิต้องไปทำงานอื่นรึ"เสียงหวานดังขึ้นแต่ยังไม่ยอมหันมา...ไม่รู้ว่าดอกมะลิตรงหน้ามันน่าสนใจมากกว่าผมตรงไหน

"เดี๋ยวเสร็จแล้วค่อยไปทำก็ได้ครับ"ถึงความหน้าด้านของผมจะเป็นเลิศ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ผมก็ไม่รู้จะเข้าหน้าเธออย่างไรเช่นกัน...ทำได้เพียงคอยถือตะกร้าหวายเดินตามหลังเธออย่างเงียบเชียบ


"คุณหญิงออกไปข้างนอกกับเจ้าคุณท่านเหรอครับ"ผมถามขึ้นเพียงเพื่อทำลายความเงียบที่มันปกคลุมอยู่เสียนาน เมื่อคนตัวเล็กเอาแต่สนอกสนใจพุ่มดอกมะลิตรงหน้า...ใบหน้าหวานไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม หากแต่ยังคงน่ามองเสมอในสายตาของผม

"ลูกสาวคุณพระที่กรมของเจ้าคุณพ่อเธอออกเรือน ท่านจึงไปร่วมงาน"เสียงหวานตอบกลับโดยไม่มองหน้าแม้แต่น้อย

"กลับมืดเหรอครับ"เธอเพียงพยักหน้ารับ

"แล้ววันนี้คุณพิกุลจะทำอะไรบ้างครับ"เอากับผมสิ เขาไม่คุยด้วยก็ยังหน้าด้านหน้าทน...แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อผมไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้

"ปกติทำอะไรก็ทำเช่นนั้น"แต่นี่มันก็เฉยเมยไปไหมครับ


"แล้วคุณพิกุลเป็นอะไรครับ"ผมเคยบอกไปแล้วว่าความอดทนของผมมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก คิดว่าจะอดทนตามเธอต้อยๆได้ทั้งวันเหมือนคราวก่อน...แต่ครั้งนี้กลับเป็นหนักกว่าเก่าถึงขั้นไม่มองหน้ากันเลยทีเดียว แล้วผมจะทนได้อย่างไรเล่า!


"ได้มะลิพอแล้ว ขอบใจมากนะพ่อ"มือเล็กเอื้อมมาฉวยตะกร้าหวายที่ผมถืออยู่โดยไม่ยอมตอบคำถาม...ไม่แม้แต่จะสบตา...เธอเพียงเดินผ่านหน้าผมไปอย่างเงียบเชียบทิ้งให้ผมยืนมึนด้วยความสงสัยอยู่อย่างนั้น


ผมเดินตามกลับขึ้นมาบนเรือน...คนตัวเล็กนั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือนพร้อมพานทองเหลืองที่เต็มไปด้วยดอกมะลิสีขาวนวล...กลิ่นมะลิหอมโชยไปทั่ว หากแต่ผมจำได้ว่ากลิ่นน้ำปรุงที่เธอใช้นั้นหอมกว่ามากนัก...พี่ชดที่นั่งอยู่ข้างๆเตรียมเข็มร้อยมาลัยไว้พร้อม...ดวงตากลมโตหวานฉ่ำจดจ้องเพียงเข็มร้อยมาลัยในมือกับดอกมะลิสีขาวนวลในตะกร้า แม้จะรับรู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนั้นแต่กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย...สิ่งที่ผมทำได้...เพียงแค่หยิบหนังสือที่วางอยู่ใกล้ๆเธอมานั่งอ่านบนพื้นด้านล่าง...คอยลอบมองเธอเป็นพักๆผ่านหนังสือเล่มหนาในมือ

"วันนี้เจ้าคุณท่านแลคุณหญิงกลับค่ำ คุณพิกุลจะลงครัวเองหรือไม่เจ้าคะ"เสียงใสของพี่ชดดังขึ้นทำลายความเงียบ ดูท่าพี่ชดเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของคนตัวเล็กข้างๆ แต่เพียงถามตามหน้าที่เท่านั้น

"ให้ป้าน้อยทำเถิด"คนถูกถามหันไปยิ้มบางตอบ...รอยยิ้มที่เคยมีให้ผมเสมอ แต่วันนี้มันกลับหายไป

"เช่นนั้นบ่าวลงไปบอกป้าน้อยให้นะเจ้าคะ"พูดจบพี่ชดก็ลุกขึ้นลงจากเรือนทันที...เหลือเพียงคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ กับผมที่ยังคงไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร



"คุณพิกุล"อยากหาอะไรมาฟาดหัวตัวเองสักสามรอบ...จะหน้าด้านไปถึงไหนวะไอ้แชมป์...แต่จะให้ผมนั่งเงียบเป็นใบ้มองเธอทั้งวันผมก็ทำไม่ได้เหมือนกันครับ...ต่อให้เธอจะทำได้ดีกว่าผมก็เถอะ

"มิมีงานอื่นต้องทำรึ"น้ำเสียงเรียบเฉยชานั่นทำให้ผมหน้าเจื่อนลงทันที...ถามแบบนี้ อยากให้ผมไปให้พ้นหน้าสินะ

"ไม่มีครับ แต่ถ้าคุณพิกุลไม่อยากเห็นหน้าผมไปก็ได้ครับ"ไม่ได้น้อยใจ แต่ผมไม่อยากอยู่สร้างความลำบากใจให้เธอต่างหาก...พูดจบก็วางหนังสือเล่มหนาลงที่เดิมแล้วเดินกลับเข้าห้องนอนแทน...ไม่อยากลงไปที่เรือนบ่าวเพราะไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับใคร ถึงแม้พี่สนกับมิ่งจะช่วยสร้างเสียงหัวเราะให้ผมได้เสมอก็ตามที



...อึดอัด...แบบนี้มันน่าอึดอัดนัก...ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงพลางนึกย้อนหาสาเหตุที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปเช่นนี้...เป็นเพราะผมที่คอยหลบหน้าเธอหรือ...ก็ไม่น่าใช่ เพราะไอ้อาการแปลกๆของผมนั่นมันก็เป็นเพียงแค่สองสามวันก่อนงานบุญวันเกิดซึ่งผมเองแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับเธอตามลำพังเพราะมีเรื่องคุณหญิงสร้อยเข้ามาเกี่ยว...หรือผมไปทำอะไรที่ทำให้เธอไม่พอใจเข้า...ก็ไม่มีอีกนั่นแหละ...



...ก็แล้วมันเรื่องอะไรล่ะโว้ย!!!...



'ก๊อกๆ' เสียงเคาะประตูดังขัดความคิดอันฟุ้งซ่านในหัว หากแต่ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นคือใบหน้าหวานของคนตัวเล็ก ถึงได้รีบลุกพรวดขึ้นไปเปิดประตูทันที

"คุณ..."ยังไม่ทันได้เอ่ยชื่อก็ต้องชะงักไปเสียก่อนเพราะคนที่ยืนอยู่หน้าห้องตอนนี้ไม่ใช่คนที่ผมคาดหวังเอาไว้

"เป็นอะไรของเอ็ง ท่าทางพิกลนัก"พี่สนผงะออกเล็กน้อยเมื่อผมเปิดประตูออกไปด้วยความรีบร้อน

"เปล่าพี่ มีอะไรอ่ะ"อาการดีใจเมื่อครู่หายวับไปกับตา...เขาไม่คุยด้วยแบบนี้ยังจะหวังให้มาเคาะประตูเรียกอีกเหรอวะไอ้แชมป์

"สายป่านนี้มิเห็นลงไปที่เรือนบ่าว ไม่สบายหรือวะ"พี่สนแกคงสงสัยเลยขึ้นมาตามเพราะปกติแล้วถ้าเจ้าคุณจิตราไม่อยู่ผมมักจะลงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนบ่าวและโรงครัวเป็นประจำ...แต่วันนี้ผมไม่มีอารมณ์ทำอะไรเอาเสียเลย

"ไม่ได้เป็นไรพี่ สบายดี"ส่ายหน้าตอบแต่คนถามยังคงยืนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

"ข้าเห็นท่าทางเอ็งพิลึกนักตั้งแต่งานบุญวันเกิดคุณพิกุล"ไม่แปลกที่พี่สนจะสังเกตเห็น ก็ตั้งแต่หลังวันงานผมเอาแต่หมกตัวอยู่บนเรือนเพราะมัวแต่คอยสังเกตอาการของคนตัวเล็กจนไม่เป็นอันทำอะไร...ขนาดมิ่งเองยังเคยถามอยู่เหมือนกันแต่ผมก็ได้เพียงส่ายหน้าตอบกลับไป จะไปบอกได้อย่างไรล่ะว่าเครียดที่ถูกลูกสาวเจ้าของเรือนเขาเมินใส่

"ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ พี่มีอะไรให้ผมช่วยเหรอขึ้นมาตามถึงห้องเนี่ย"ไม่อยากถูกซักให้มากความจึงรีบเปลี่ยนเรื่องเสียดีกว่า...เห็นพี่สนแกมีท่าทีลุกลี้ลุกลน หันซ้ายหันขวาก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบเบาๆ

"อ้ายมิ่งมันได้ของดีมา วันนี้เจ้าคุณท่านแลคุณหญิงไม่อยู่เสียด้วย"เห็นแกยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี...ส่วนไอ้ของดีที่ว่าจะเป็นอะไรได้นอกจาก ยาดองที่ทั้งแกและมิ่งติดใจกันหนักหนา ผมเห็นพวกแกแอบตั้งวงกันอยู่บ่อยๆแต่ต้องรอพระอาทิตย์ตกเสียก่อนไม่เช่นนั้นคงถูกคุณหญิงสร้อยด่าเปิง

"เฮ้ย แต่เช้าเลยเหรอพี่"ผมเองไม่ค่อยถูกกับของพวกนี้เท่าไหร่นัก เคยไปร่วมวงกับพวกแกอยู่ครั้งสองครั้ง แต่ผมไม่สู้ครับ...ยิ่งยาดองสมัยนี้ไม่รู้เขาทำกันอย่างไรมันถึงได้แรงจนแสบคอแสบท้องไปหมด

"เออสิวะ วันนี้ทางสะดวกเอ็งรีบตามข้ามา"ไม่พูดเปล่ากวักมือเรียกผมยิกๆอีก

"ไม่เอาอ่ะ เมาแต่หัววัน"รีบส่ายหน้าตอบ วันนี้ยิ่งอารมณ์ไม่ค่อยปกติไม่อยากสังสรรค์กับผู้คนเลยจริงๆ



...พี่สนแกพยายามโน้มน้าวผมอยู่สักพักเมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลแกเลยเดินส่ายหน้าปลงๆลงจากเรือนไป แต่ยังกำชับเสียงแข็งว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่ให้ตามลงไปทันที...โถพี่ ลงไปผมก็ได้โดนป้าน้อยบ่นหูชา ก็พวกแกตั้งวงกันทีไรป้าน้อยแกก็เริ่มบ่นตั้งแต่ตอนนั้นยันเลิกนั่นแหละครับ



...เมื่อเห็นว่าการนอนก่ายหน้าผากอยู่แต่ในห้องไม่ได้ช่วยอะไร...ผมเลยลุกออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกแทน แต่ไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือภาษาฝรั่งเศสเล่มใหม่ที่เจ้าคุณจิตราเพิ่งให้ไว้ติดมือไปด้วย...ตั้งใจจะลงไปนั่งอ่านที่ศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนเพราะตรงนั้นลมโกรกเย็นสบายดี...ออกมาก็พบกับลูกสาวเจ้าของเรือนที่ยังนั่งอยู่กลางเรือนไม่ไปไหน หากแต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนจากการร้อยมาลัยมาเป็นงานเย็บปักถักร้อยแทน...ช่วงแรกที่มาอยู่ที่นี่ผมเคยสงสัยว่าผู้หญิงสมัยนี้เขาไม่มีอะไรทำนอกจากงานพวกนี้แล้วหรือ และผมก็ได้รับคำตอบว่า...ผมเข้าใจถูกแล้วครับ...และไอ้งานพวกนี้ผมก็เห็นเธอทำได้ทุกวันไม่จบไม่สิ้นเสียที...


...ผมเดินผ่านกลางเรือนหมายจะลงไปข้างล่างแต่ยังคงเหลือบมองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่...แน่นอนว่าเธอไม่มองมาที่ผม...ดวงตากลมโตจดจ้องไปที่ผ้าแพรสีเขียวสดตรงหน้าที่เธอบรรจงปักเป็นรูปดอกไม้สีขาวตัดกับสีผ้าแพร...ข้างๆมีพี่บุญมีกับพี่ชดกำลังหัดทำงานฝีมือกับเจ้าตัวอยู่แต่ดูท่าลำบากไม่น้อยเพราะแกเอาแต่นั่งหน้ามุ่ย ขมวดคิ้วมุ่นกันทั้งสองคน...แว่วเสียงคนตัวเล็กหัวเราะคิกคักเมื่อบ่าวทั้งสองยื่นผลงานมาให้ดู หากแต่ดอกไม้ของทั้งพี่สาวทั้งสองมันไม่ค่อยจะเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่นัก

"ยากเหลือเกินเจ้าค่ะ ให้บ่าวทำครัวหรือกวาดถูเรือนยังดีเสียกว่า"พี่ชดบ่นอุบ โดยมีพี่บุญมีพยักหน้าสนับสนุนอยู่ข้างๆ

"ทำงานฝีมือต้องใจเย็น ค่อยทำไปประเดี๋ยวก็ดีขึ้น"เรียวปากบางขยับเอ่ยเสียงหวานให้กำลังใจพี่สาวทั้งสอง


ชั่ววินาทีที่ผมกำลังจะละสายตาจากภาพตรงหน้า...คือวินาทีเดียวที่ดวงตากลมโตหวานฉ่ำช้อนขึ้นสบกัน...เพียงวินาทีเดียวที่ทำให้หัวใจของผมเต้นระส่ำได้...และก็เป็นเพียงวินาทีเดียวก่อนที่เธอจะหันกลับไปและไม่มองมาทางนี้อีกเลย


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Character Image Champ+Tee [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 14-08-2014 04:08:24
ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าความอึดอัดนี้คืออะไร...มันบีบหัวใจ...มันทำให้ผมไม่มีเรื่ยวแรงและอารมณ์จะทำอะไรทั้งสิ้น...ใบหน้าหวานนั้นลอยวนเวียนในความคิดไม่รู้จบ...เรียวปากที่เคยแย้มบาง พวงแก้มสีระเรื่อ ดวงตาหวานฉ่ำภายใต้แพขนตาหนา แววตาที่เคยส่องประกายระยับเมื่อได้สบกัน...หากแต่ตอนนี้ทุกอย่างมันหายไป

ไวกว่าความคิด ผมรีบสาวเท้าลงจากเรือนมุ่งตรงไปยังเรือนบ่าวด้านหลัง...ผมกำลังหงุดหงิด...และสิ่งเดียวที่จะช่วยผมได้ในตอนนี้คงหนีไม่พ้น...



"อ้ายแช่ม! มาพอดี มานั่งข้างๆข้านี่"ได้ยินเสียงโล้งเล้งตั้งแต่ยังเดินไม่ถึงเรือนบ่าว เสียงมิ่งแหวกอากาศขึ้นทันทีที่เห็นผมเดินมาแต่ไกลพลางเขยิบตัวหลบเพื่อให้มีที่นั่งเพิ่มบนแคร่ไม้หน้าเรือนนอนที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นวงยาดองชั่วคราว

"ถึงกับต้องให้พี่สนไปตามเชียวหรือวะถึงจะยอมลงมาได้"มันว่าพลางตบหลังผมฉาดใหญ่...โชยกลิ่นยาดองคละคลุ้ง...หน้าเข้มๆของมันแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์...พี่สนกับบ่าวผู้ชายอีกสองสามคนในวงก็เช่นกัน


ผมรับกระบอกไม้ไผ่บรรจุยาดองสีอำพันที่พี่สนยื่นมาให้...โดยไม่รอช้าจัดการกระดกพรวดทีเดียวจนหมดทำเอาเพื่อนร่วมวงอ้าปากค้างไปตามๆกัน

"เบาๆสิวะเอ็ง ประเดี๋ยวก็ได้เมาพับมันตรงนี้เสียล่ะ"แว่วเสียงพี่สนบ่นขึ้น ดูท่าแกสงสัยไม่น้อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับอ้ายแช่มที่มักจะปฏิเสธการร่วมวงแบบนี้เสมอ...แต่กลับไม่ใช่วันนี้

"พี่! จัดมาอีก"ยื่นแก้วเปล่าไปให้พี่สนที่นั่งอยู่ตรงข้าม แม้จะมีสีหน้าลังเลแต่ก็รับมันไว้แล้วเติมแก้วใบเดิมจนเต็ม

"เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่าวะ"มิ่งวางมือลงบนไหล่ของผมพลางจ้องตาไม่กระพริบ ผมเพียงแค่ส่ายหน้าตอบก่อนจะกระดกแก้วที่สองในมือขึ้นอีกรอบ...ยาดองสีอำพันค่อยๆไหลผ่านลำคอจนเริ่มรู้สึกร้อนผ่าว...กลิ่นฉุนของมันที่ผมเคยเบือนหน้าหนีแทบทุกครั้งที่พวกพี่สนกับมิ่งชวนให้ร่วมวง แต่วันนี้มันคงเป็นอย่างเดียวที่ทำให้ผมพอจะลืมเรื่องเฮงซวยที่มันเกิดขึ้นในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ได้

"นั่งนิ่งกันทำไมวะ กินดิ๊"แค่สองแก้วอาการก็เริ่มออก...ไม่ได้เมานะครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้พวกนี้มันจะนั่งจ้องหน้าผมกันทำไม...เรียกมาร่วมวงแต่กลับให้ผมกระดกแก้วอยู่คนเดียว

"ประหลาดคนนักเอ็งนี่"เห็นพี่สนแกส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่ทั้งวงจะกลับสู่ภาวะปกติ...เวลาเหล้าเข้าปากเขาไม่ค่อยดราม่าใส่กันนักหรอกครับ และนี่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะผมเองก็ไม่พร้อมตอบคำถามใครๆเช่นกัน


ยาดองแก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งผ่านลำคอจนตอนนี้ความรู้สึกร้อนวูบมันแผ่ซ่านไปทั้งตัว...แว่วเสียงคนในวงหัวเราะร่ากันอย่างอารมณ์ดี แทรกด้วยเสียงของป้าน้อยที่บ่นขึ้นทุกครั้งที่เดินผ่าน...วันนี้แกต้องรับหน้าที่ในโรงครัวคนเดียวเพราะลูกสาวเจ้าของเรือนไม่ได้ลงครัวเอง แถมพวกบ่าวผู้ชายยังมารวมตัวตั้งวงยาดองกันแต่หัววันอีก เป็นใครก็คงต้องบ่น หากแต่เสียงบ่นของแกไม่มีใครสนใจเลยสักนิด...เห็นทีป้าน้อยจะแพ้ยาดองในไหที่ตั้งอยู่ข้างกายพี่สนไม่ห่างนี่เสียแล้ว


ผมจำไม่ได้ว่าดื่มไปกี่แก้ว...รู้แต่ว่าตอนนี้หัวมันเริ่มหนักจนตั้งไม่ตรงต้องอาศัยไหล่ของมิ่งเป็นที่พักชั่วคราวจนเพื่อนร่วมวงโห่แซวกันเสียลั่น...ไอ้มิ่งเองก็คอยยกมือผลักหัวของผมออกเป็นพักๆ มันบ่นว่าหนักแต่ผมว่าจริงๆแล้วมันก็มีสภาพไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นักหรอก เพราะผมเห็นมันนั่งโยกไปเยกมาได้สักพักแล้ว

"มึงนั่งเฉยๆดิวะ กูเวียนหัวววว!"โวยวายขึ้นเมื่อรู้สึกว่าไหล่ของมันที่ผมอาศัยหนุนอยู่ชักเริ่มโอนเอนไม่เป็นท่า แต่สติมันยังพอมีเหลือถึงได้ยกมือขึ้นโบกหัวผมเสียแรง

"ก็หัวเอ็งโตเสียขนาดนี้ ข้าก็หนักบ้างสิวะ ไม่ไหวก็กลับขึ้นเรือนไปนอนโน่น"แว่วเสียงเพื่อนร่วมวงหัวเราะครืนแต่ผมไม่มีแรงจะเถียงอะไรกลับ ได้แต่อาศัยไหล่ของไอ้มิ่งเป็นหลักยึดไว้แทน

"เอ้า! เอ็งจะนอนหรือจะกินต่อวะอ้ายแช่ม"แล้วพี่สนมันจะแซวผมทำไมวะเนี่ย เห็นแกหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีแต่หน้าตานี่แดงก่ำไปหมด

"ผมไม่อ่อนขนาดนั้นว่ะพี่ จัดมาอย่าให้ขาด"พยายามตั้งหัวตัวเองให้ตรงก่อนจะยื่นมือไปรับแก้วจากพี่สนอีกรอบ...วันนี้วงเหล้าช่างครื้นเครง...เอ๊ะ หรือว่าผมเมา?

"ประเดี๋ยวพวกเอ็งคอยดู ข้าว่าไม่พ้นสามแก้ว ฮ่าๆ"ได้ทีรุมผมกันใหญ่...ไอ้มิ่งที่นั่งชันเข่าอยู่ข้างๆยกมือขึ้นโยกหัวผมไปมายิ่งทำให้มึนหนักกว่าเก่าจนผมต้องรีบปัดมือมันออก

"ดูหน้ามันสิวะ แดงเสียอย่างกับลูกตำลึง นี่เอ็งเมายาดองหรือเขินอ้ายมิ่งมันวะอ้ายแช่ม ฮ่าๆ"แล้วนั่นใครมันปากดีแซวผมวะ...หันไปมองหน้าไอ้มิ่งที่ยิ้มเผล่อยู่ข้างๆแล้วก็ขนลุกขึ้นมาทันที มันจะยิ้มหาสวรรค์วิมานอะไรของมัน

"หน้าแม่งโหดงี้มีอารมณ์ด้วยไม่ลงว่ะ หึหึ"จบประโยคด้วยการกระดกยาดองอีกสักแก้ว...แรกๆมันก็ขมบาดคอทำไมตอนนี้มันช่างหวานลิ้นเสียจริง ให้ผมเหมาคนเดียวหมดไหผมก็ยอมนะครับ

"อ้ายแช่มเอ๋ย ถึงผิวเอ็งจะขาวอย่างกับลูกเจ๊กเช่นนี้ข้าก็คิดสับปะดนกับเอ็งไม่ลงหรอกวะ ข้ากลัวฟ้าจะผ่าเอา ฮ่าๆ"เสียงหัวเราะจากวงยาดองยังคงดังอย่างต่อเนื่อง...ตั้งวงกันมาแต่เช้านี่ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงแล้วครับ...ไอ้พวกนี้นี่มันคอแข็งกันจริงๆ แต่มีเหรอที่ผมจะยอมให้พวกมันมาว่าผมอ่อน เพราะไม่ว่าพี่สนจะส่งมาให้อีกสักกี่แก้ว ผมก็รับมาจัดการแต่โดยดี



...กว่าจะรู้ตัวอีกที...หน้าขาวๆของผมมันก็แดงแจ๋เพราะฤทธิ์เหล้า สติที่เคยมีครบร้อยตอนนี้คงเหลือเพียงไม่ถึงครึ่งเพราะผมดันเอาหน้าลงไปไถกับพื้นแคร่ไม้ที่นั่งอยู่เสียแล้ว...ก็มันมึนนี่ครับจะให้นั่งตัวตรงยังไงไหว...แว่วเสียงเพื่อนร่วมวงหัวเราะลั่นคงเพราะสภาพของผมตอนนี้ซึ่งผมเองก็ไม่เห็นเสียด้วยว่ามันทุเรศลูกตาแค่ไหน

"ไหวไหมวะเอ็ง"เห็นไอ้มิ่งยื่นหน้าเข้ามาถามเสียใกล้แต่หน้ามันกวนพิกล...ผมมองเห็นไม่ค่อยชัดนักเพราะตอนนี้ตาเริ่มพร่าไปหมด...ไม่ได้กินเหล้าเสียนานดันมาซดยาดองแทนน้ำ แล้วมันจะไหวไหมล่ะครับ

"ข้าว่าพามันขึ้นเรือนเถอะ ดูท่าไม่ค่อยดี"เสียงพี่สนดังขึ้นไกลๆทั้งที่ผมก็เห็นแกนั่งอยู่ที่เดิมแต่ยังได้ยินเสียงหัวเราะคลอมาไม่มีขาด...มันมีอะน่าขำกันนักหนา

"อ้ายแช่ม ลุกไหวไหมวะ"เสียงใครวะมาถามข้างๆหู...ถ้ากูลุกไหวกูคงวิ่งขึ้นไปนอนบนเรือนแล้วคร้าบ ไม่มานอนแอ้งแม้งอยู่บนแคร่ท้ายเรือนแบบนี้หรอก


ผมรู้สึกเหมือนถูกใครสองคนกำลังหิ้วปีกเดินกลับเรือน...อันที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าพวกมันจะพาผมไปไหน รู้แต่ผมไม่มีแรงจะสะบัดตัวออกเลยต้องปล่อยให้มันหิ้วปีกอย่างทุลักทุเลแบบนี้แหละ...และมันยิ่งลำบากขึ้นอีกเมื่อถึงตอนที่ผมต้องปีนขึ้นบันไดเรือนเพราะผมได้ยินเสียงไอ้สองคนข้างๆบ่นอุบว่าตัวผมหนัก หนึ่งในนั้นเป็นมิ่งเพราะผมจำเสียงของมันได้...มันพยายามหิ้วผมขึ้นบันไดเรือนทีละขั้นซึ่งผมก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดีด้วยการทิ้งตัวลงบนขั้นบันไดจนพวกมันร้องด่าเสียงดัง...กว่าจะขึ้นมาบนเรือนได้ผมได้ยินมันบ่นเสียหูแทบชา...รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หัวเกรียนๆของผมได้สัมผัสกับหมอนนุ่มบนเตียงนั่นแหละ...อาาาา สบายชะมัด...แต่ทำไมโลกมันหมุนคว้างอย่างนี้ล่ะเว้ย

"เมาแล้วลำบากพวกข้าเสียจริง"แว่วเสียงไอ้มิ่งบ่นอุบ ตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้อง



...และทุกอย่างก็เงียบสงบ...



...ผมนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง...ลมเอื่อยพัดโกรกผ่านทางหน้าต่างช่วยให้คลายร้อนได้บ้างในยามปกติ แต่ยามที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์มันแผ่ซ่านอยู่ในร่างกายของผมเช่นนี้มันคงช่วยอะไรไม่ได้...เม็ดเหงื่อเริ่มผุดพรายบนใบหน้าจนอยากจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อคลายร้อนหากแต่สิ่งที่ทำได้คือการนอนอยู่นิ่งๆ...สิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้ คือแม้สติของผมมันจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิดแต่มันก็ยังคงวนเวียนคิดแต่เรื่องเดิมไม่จบสิ้น...ใบหน้าหวานระเรื่อของคนตัวเล็กลอยวนอยู่ตรงหน้าจนผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว...หากแต่ภาพของเธอที่เฉยชากับผมนั่นทำเอาผมนิ่วหน้าขมวดคิ้วแทบจะทันที...


...สัมผัสเย็นที่แตะลงข้างแก้มเรียกสติที่ล่องลอยให้กลับมาอีกครั้ง...ผมคงกำลังฝันอยู่เป็นแน่...เพราะมันช่างเย็นสบายขัดกับความรุ่มร้อนในใจของผมเสียจริง...สัมผัสของผ้าชุบน้ำเย็นๆที่ไล่วนไปทั่วใบหน้าและลำคอทำให้ผมสบายตัวขึ้นมาก...ผมค่อยๆปรือตาขึ้นมองหากแต่มันพร่าเสียจนผมเริ่มหงุดหงิด...ไอ้ธีร์เหรอ?...แต่มันคงไม่กลับมาเร็วขนาดนี้...แล้วใครล่ะ?

...พยายามเพ่งสายตาแข่งกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างกาย ก่อนจะเห็นภาพคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างเตียง...ใบหน้าหวานระเรื่อที่ผมเฝ้านึกถึงมาตลอด แม้ไม่มีรอยยิ้มแต่งแต้มหากแต่ยังคงชวนให้มองเสมอ...มือเรียวเล็กบรรจงลูบไล้ผ้าผืนบางบนใบหน้าของผม ไล่ลงมาถึงลำคอ เรื่อยลงไปตามแขนทั้งสองข้าง...ผมยกมือขึ้นฉวยข้อมือเล็กนั่นจนเธอชะงักไป...ดวงตากลมโตสบกันกับดวงตาที่พยายามปรือขึ้นมองเธอให้ชัดขึ้นของผม...มือที่ถูกจับเอาไว้สั่นเล็กน้อย หากแต่ใบหน้าหวานยังคงนิ่งเฉย

"คุณพิกุล"ถ้ามันเป็นความฝัน ผมก็ขออยู่ในฝันนี้ให้นานที่สุดก็แล้วกัน


"คุณพิกุลโกรธผมเรื่องอะไรครับ"รับรู้ได้ว่าเสียงของตัวเองนั้นแหบพร่าเพราะดื่มเข้าไปมาก...แต่หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าหรือเพราะคนตรงหน้ากันแน่...อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงแค่ขืนมือออก เล็กน้อยและบรรจงเช็ดหน้าเช็ดตาของผมอย่างเบามือ

"แชมป์ทำอะไรผิดครับ"คำถามที่ทำเอาคนตัวเล็กชะงักมือไป...ดวงตาหวานฉ่ำสั่นระริก เรียวปากบางเม้มแน่นอย่างเห็นได้ชัดหากแต่ไม่มีคำตอบใด...ผมยกมือขึ้นประคองมือเรียวเล็กนั่นไว้อีกครั้งแล้วดึงมาทาบไว้กับอกของตัวเอง...อีกฝ่ายเพียงแค่มองตามโดยไม่ได้ขัดขืน


"แค่ที่เป็นอยู่นี่ก็เจ็บมากพอแล้ว อย่าให้มันต้องเลวร้ายไปมากกว่านี้เลยนะครับ"ดวงตากลมโตเบิกกว้างกว่าเดิม...มือเล็กที่ทาบอยู่บนอกของผมสั่นเล็กน้อย...สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้ คือการพยายามปั้นรอยยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดส่งกลับไปให้เธอ

"ผมรู้ว่าผมไม่สามารถยืนเคียงข้างคุณพิกุลได้เพราะผมไม่มีอะไรเทียบเท่าคุณพิกุลได้เลย...แต่ผมขออย่างเดียว..."ใบหน้าหวานยังคงเรียบเฉย หากแต่ประกายตาสั่นระริกนั้นฉายแววชัดกว่าเก่า...มือที่ถูกเกาะกุมอยู่นั้นเย็นเฉียบและสั่นเทิ้ม



"ให้แชมป์ได้มองคุณพิกุลแบบนี้ต่อไป...ได้มั้ยครับ"ราวกับคนบ้าที่กำลังพูดกับตัวเอง แต่มันคงดีเสียกว่าจะให้ผมอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไร...ผมกระชับมือเรียวเล็กบนอกให้แน่นกว่าเดิมและรับรู้ได้ว่าเธอเองก็กระชับมือตอบกลับเช่นกัน...สองมือที่เกาะกุมกันแน่น...ดวงตาที่สอดประสาน...แค่นั้นก็คงพอให้ผมเข้าใจได้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร...หากแต่หยาดน้ำใสที่รื้นรอบดวงตาหวานฉ่ำทำเอาผมตกใจ

"อย่าร้องนะครับคนดีของแชมป์"ยกมืออีกข้างขึ้นเกลี่ยมันออกเพียงแผ่วเบา หากแต่ยังคงทาบทับมือสัมผัสแก้มใสระเรื่อ...ไม่อยากละออกแม้เพียงวินาทีเดียว


"พ่อแชมป์"เสียงหวานนั้นสั่นเครือและแผ่วเบา หากแต่น้ำเสียงช่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิดเพี้ยน...เพียงแค่นั้นก่อนที่เธอจะชักมือกลับและลุกออกจากห้องไปทันที...เสียงประตูที่ปิดลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจยาวของตัวเอง...ผมจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเหรอ...
.

.

.

.

.
"เจ้าของบ้านไม่อยู่ ได้ทีนอนยาวยันเย็นเลยนะมึง"เสียงห้วนๆของไอ้ธีร์ปลุกให้ผมลืมตาตื่น...แต่ความจริงผมตื่นเพราะแรงถีบจากเท้าของมันต่างหาก...จะปลุกกันดีๆไม่เป็นเลยหรือไงวะ

"อย่าเสียงดัง กูปวดหัว"แค่ดันตัวลุกขึ้นมานั่งโลกก็หมุนคว้าง...เหลือบไปมองนอกหน้าต่างถึงได้รู้ว่าใกล้ค่ำเต็มที แต่ยังคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยกมือขึ้นกุมขมับตัวเองเพราะฤทธิ์ยาดองเมื่อเช้ายังไม่หมดไป

"สมน้ำหน้า! พี่สนบอกกูหมดแล้วว่าตั้งวงกันแต่เช้า"ผมสะบัดหัวสองสามทีเพื่อเรียกสติ...ก่อนจะนึกอะไรออก...เมื่อกลางวันไอ้ที่ผมเพ้อนั่น...ตกลงผมฝันหรือเปล่าครับ!

"เป็นอะไรของมึง"ไอ้ธีร์ที่นั่งอยู่ปลายเตียงขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะยังคงนึกไปถึงบทสนทนาเมื่อตอนกลางวันนั่น

"กูฝันไปรึเปล่าวะ"ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองพลางยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเพียงเบาๆ

"มึงสร่างยังเนี่ย บ่นเชี้ยไรวะ"ไอ้คนนั่งขัดสมาธิอยู่ปลายเตียงขึ้นเสียงถามอีกรอบแต่ไม่ได้รับคำตอบใดกลับไป






"เออแชมป์ พี่ชดเพิ่งบอกกู"ผมเห็นสีหน้ามันเปลี่ยนไป...ท่าทีมันอึกอักเหมือนกับไม่รู้ว่าจะพูดออกมาดีไหม

ผมได้แต่มองหน้ามันด้วยความสงสัย "บอกอะไรวะ?"



ธีร์เงียบไปสักพัก...ผิดกับผมที่ทำหน้าอยากรู้เต็มที



"พี่ชดบอกว่าคุณพิกุลจะกลับเข้าวังอีกไม่กี่วันนี้"คำตอบที่ทำเอาผมเบิกตากว้าง รีบพรวดพราดเข้าไปประชิดตัวมันทันทีจนมันผงะหนีด้วยความตกใจ

"มึงว่าอะไรนะ"ออกแรงเขย่ามันจนตัวโยนจนอีกฝ่ายดิ้นพล่านให้หลุดจากมือที่เกาะไหล่มันอยู่

"เชี้ยเจ็บ! กูบอกว่า..."

"กูได้ยินแล้ว"รีบขัดขึ้นก่อนที่มันจะพูดออกมาอีกรอบ

"ได้ยินแล้วจะถามทำไมวะ"โวยวายเสียงดังก่อนจะหันมามองหน้าผมที่นิ่งไปทันทีที่รู้ข่าว...มันยื่นมือมาบีบไหล่ราวกับจะปลอบใจ


"มึงโอเคนะ"

"กูไม่โอเค"น้ำเสียงหนักแน่นของผมทำเอามันชะงักไปทันที...ผมสะบัดตัวออกก่อนจะนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม...ไอ้ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ยังทรมานผมไม่พออีกเหรอ...ยังจะต้องให้ผมทรมานอีกสักแค่ไหน...แค่เห็นหน้าทุกวันแต่แตะต้องไม่ได้ บอกความรู้สึกไม่ได้ มันก็เจ็บมากพอแล้วนะครับ...แต่การที่ผมจะไม่ได้เห็นหน้าเธออีกและอาจจะตลอดไป...ผมไม่รู้เลยว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไรดี
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Character Image Champ+Tee [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 14-08-2014 04:10:53

"แชมป์"แรงบีบที่ไหล่เรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง...ผมหันไปมองหน้าเจ้าของมือโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับ

"คุณพิกุลอยู่ข้างนอก เจ้าคุณกับคุณหญิงยังไม่กลับมา"ไม่ต้องรอให้มันพูดอะไรต่อ ผมรีบลุกพรวดออกจากห้องทันที...ถ้านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้บอกอะไรบางอย่างกับเธอ...ผมจะไม่ลังเลอีกเลย


...คนตัวเล็กนั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือนเช่นเคย...เธอดูตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเดินมาหยุดยืนตรงหน้า...พี่บุญมีที่นั่งอยู่ข้างๆก็เช่นกัน

"พี่บุญมี เมื่อกี้เห็นป้าน้อยแกเรียกหาอ่ะ เห็นบอกว่าจะให้ช่วยดูเรื่องสำรับเย็น"เป็นไอ้ธีร์ที่เดินตามหลังออกมาที่แทรกขึ้น...พี่บุญมีได้แต่ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

"ข้าเพิ่งขึ้นมาจากโรงครัว ไม่เห็นป้าน้อยแกจะว่ากระไร"

"ว่าดิพี่ ป้าน้อยเพิ่งบอกผมเมื่อกี้เอง พี่ลงไปหาแกหน่อยเผื่อแกมีอะไรให้ช่วยนะ"คำตอบของธีร์ที่ทำเอาพี่บุญมีเริ่มลังเล ถึงจะเป็นบ่าวเหมือนกันแต่ป้าน้อยก็ถือว่าอาวุโสกว่ามาก แกเลยจำใจเดินลงจากเรือนอย่างเสียไม่ได้โดยมีไอ้ธีร์ตามหลังไปติดๆ...เหลือบไปเห็นมันหันกลับมามองพร้อมส่งสายตาเป็นห่วงให้...ก่อนจะหันกลับมาสบเข้ากับดวงตากลมโตที่จ้องอยู่นานด้วยความสงสัย...สภาพตอนเพิ่งตื่นนอนหลังจากการดื่มอย่างหนักคงดูไม่ดีเท่าไหร่นักหากแต่ผมไม่ได้สนใจ...ใบหน้าหวานยังคงเรียบเฉยจนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์เมื่อกลางวันนั้นเป็นเรื่องจริงหรือผมแค่เพ้อเพราะฤทธิ์เหล้ากันแน่


"คุณพิกุลจะกลับเข้าวังเหรอครับ"คำถามที่ทำเอาตากลมโตนั้นเบิกกว้างกว่าเก่า ก่อนจะละสายตาที่สบกันแล้วพยักหน้ารับเพียงเท่านั้น

"เมื่อไหร่ครับ"

"อีกเจ็ดวัน"คำตอบเพียงสั้นๆที่ทำเอาผมทรุดตัวนั่งกับพื้นแทบจะทันที

"ไปนานมั้ยครับ"แม้ทั้งตัวจะชาไปพร้อมกับคำพูดนั้นแต่ก็ยังแค่นคำถามออกมาหวังเพียงว่าจะได้รับคำตอบที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง...แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นเพียงการพยักหน้ารับของคนตัวเล็กแทน

"จำเป็นต้องไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ"ประกายในดวงตากลมโตนั้นสั่นระริก หากแต่ยังคงไม่มองหน้า

"เรามีหน้าที่รับใช้หม่อมท่าน เมื่อหม่อมท่านเสด็จกลับวังเราก็ต้องเข้าไปถวายงานรับใช้"เสียงหวานเอ่ยตอบเบายิ่งนัก ผมรู้สึกได้ว่ามันสั่นเครือผิดปกติ...รู้ตัวอีกทีผมก็พาร่างของตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือนไม่ห่างจากเธอนัก

"ถ้าคุณพิกุลไม่อยากเห็นหน้าผม ผมไปเองก็ได้นะครับ อยู่กับเจ้าคุณและคุณหญิงท่านเถอะนะครับ"บางอย่างดลใจให้ผมพูดคำนี้ออกมา...ผมอดคิดไม่ได้ว่าอาการเฉยเมยของเธอที่มีต่อผมในช่วงหลายวันที่ผ่านมามันเป็นเพราะว่าเธอไม่อยากเห็นหน้าผมอีกแล้ว

"หาใช่เพราะพ่อแชมป์ไม่ เราเพียงต้องทำตามหน้าที่"

"ทำไมต้องโกหกครับ"เรียวปากบางเม้มเข้าหากันแน่น...แค่พูดมาคำเดียวว่าไม่อยากเห็นหน้าผมอีกแล้ว ผมก็พร้อมจะไปจากที่นี่ ไม่เห็นต้องหาเรื่องบ่ายเบี่ยงกันแบบนี้เลย

"บอกผมสิว่าไม่อยากเห็นหน้าผมแล้ว แค่นี้เอง"ถึงข้างในมันจะรุ่มร้อนเหมือนไฟเผาเพียงใด หากแต่สิ่งที่ทำได้คือการแค่นยิ้มส่งกลับไปให้เธอเหมือนที่เคยทำมาทุกครั้ง...แชมป์อารมณ์ดีเสมอ...แชมป์ทำให้คุณพิกุลยิ้มได้เสมอ...และแชมป์จะไม่ทำให้คุณพิกุลร้องไห้...นั่นคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอด


...ใบหน้าหวานระเรื่อนั้นเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด...เธอพยายามเบี่ยงตัวไปอีกทางเพื่อไม่ให้ผมได้เห็น...หยดน้ำตาใสที่รื้นขึ้นในดวงตากลมโตคู่นั้น...ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พร้อมกับมือที่เอื้อมไปฉวยข้อมือเรียวเล็กของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

"ร้องไห้ทำไมครับ"น้ำเสียงตื่นตระหนกอย่างชัดเจน...เพิ่งบอกไปเมื่อครู่ว่าจะไม่ทำให้ร้องไห้แต่ดันมาร้องให้เห็นเสียได้

"ปล่อยเราเถิดพ่อ"พยายามขืนข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ผมยังไม่ยอมปล่อย...จนกว่าจะได้คำตอบ

"คุณพิกุลเป็นอะไร บอกผมสิครับ"คาดคั้นถามพร้อมกับสองมือที่จับไหล่บางนั้นให้หันมาเผชิญหน้า...ผมจ้องลึกเข้าไปในแววตาสั่นระริกนั้น...หยดน้ำตาใสเอ่อล้นจนไหลลงมาอาบพวงแก้มชมพูระเรื่อ

"อย่าร้องนะครับคนดีของแชมป์"คำพูดเดิมเหมือนที่ผมพูดไว้เมื่อตอนกลางวัน...หากมันเป็นความฝัน...เธอก็คงได้ยินมันแล้วในตอนนี้...ผมยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่เปื้อนพวงแก้มของเธอเพียงแผ่วเบา ร่างบอบบางของเธอสั่นเทิ้มด้วยเสียงสะอื้นที่เธอพยายามสะกดมันเอาไว้

"ถ้าคุณพิกุลลำบากใจ ผมจะไปเอง"รอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งให้สมบูรณ์แบบที่สุด...ผมทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้...เพราะผมไม่มีอะไรที่จะให้เธอได้เลย...นอกจากสิ่งที่เรียกว่า...ความสบายใจ...



ผมละมือจากไหล่บาง...หันหลังกลับเพื่อลุกออกจากที่ตรงนั้น...และเป็นจังหวะเดียวกับที่คนตัวเล็กฝากคำพูดทิ้งท้ายเอาไว้



"หากวันหนึ่งเรามิได้อยู่ที่นี่แล้ว ขอให้พ่อพึงระลึกเอาไว้ ว่าเรามิเคยนึกรังเกียจพ่อแชมป์แม้แต่น้อย"เรียวปากบางเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ผมเอาหัวใจของผมกระตุกวูบ...หันกลับไปสบกับดวงตากลมโตที่ตอนนี้รื้นไปด้วยน้ำตาแต่กลับแข็งกร้าวจริงจัง...หากนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอยอมเผยความรู้สึกให้ผมได้ฟัง...มันก็คงเป็นโอกาสสุดท้ายของผมเช่นกัน...



สองมือเอื้อมออกไปรั้งร่างเล็กบอบบางนั้นให้เข้ามาแนบชิด...เป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดเธอถึงเพียงนี้...กรุ่นกลิ่นน้ำปรุงผสมกับกลิ่นกายหอมละมุน...เรือนผมสีดำสนิทนุ่มลื่นราวกับผ้าแพรเนื้องาม...ใบหน้าหวานฉ่ำแนบชิดอยู่กับอกคงได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ

"ผมเคยบอกคุณพิกุลว่า ถ้าวันนึงผมไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ผมขอให้คุณพิกุลใช้ชีวิตอย่างมีความสุข"นึกย้อนไปถึงครั้งที่มอบภาพวาดฝีมือของตัวเองให้กับเธอ...ในวันนั้นผมคิด...หากวันหนึ่งผมต้องกลับบ้าน...ผมยังอยากเห็นเธอมีความสุข

"ผมขอถอนคำพูดครับ"ร่างเล็กบอบบางขืนตัวออกเพื่อสบตากับผมนิ่งเนิ่นนาน...ดวงตากลมโตหวานฉ่ำฉายแววสงสัย...ผมเพียงแค่ยิ้มบางกลับไปให้...รอยยิ้มที่ไม่ต้องปั้นแต่งเพราะมันออกมาจากข้างใน

"เพราะผมจะไม่ไปไหน...ผมจะอยู่รอคุณพิกุลที่นี่ ไม่ว่าคุณพิกุลจะกลับเข้าวัง หรือต้องออกเรือนแต่งงานไปกับใครก็ตาม...เมื่อไหร่ที่กลับมา...คุณพิกุลจะเห็นแชมป์รออยู่ที่นี่เสมอนะครับ"ผมยังอยากเห็นเธอมีความสุข...แต่ขอให้ผมได้เห็นมันด้วยตาของผมเอง...และผมตัดสินใจแล้ว...ผมจะอยู่ที่นี่...เพื่อรอหัวใจของผม



...หยาดน้ำตาใสไหลรื้นอาบแก้มเธออีกครั้ง...ดวงตาของเธอแดงก่ำและร่างบอบบางนั้นสั่นเทิ้ม...มือเรียวเล็กเอื้อมมาแตะที่ข้างแก้มของผมเพียงแผ่วเบา

"สิ่งที่เราต้องทำนั้นคือหน้าที่ แต่ขอให้พ่อจำไว้เถิดว่า...หัวใจของพิกุลดวงนี้อยู่ที่พ่อแชมป์เพียงคนเดียวเท่านั้น แลจะไม่มีวันเปลี่ยนไปให้ใคร...ขอให้พ่อถือเอาคำของเรานี้ไว้เป็นคำสัญญา"ถ้อยคำจริงจังที่พรั่งพรูจากอีกฝ่ายเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ในพริบตา...หากเธอเองยอมให้คำมั่นสัญญา...แล้วทำไมผมจะให้เธอบ้างไม่ได้เล่า

"ผมสัญญา...ว่าจะรักษาหัวใจของพิกุลดวงนี้ให้ดีที่สุด ถึงผมจะไม่สามารถยืนเคียงข้างคุณพิกุลได้ แต่ผมจะยืนรอ ในที่ที่คุณพิกุลมองเห็นผมได้เสมอ"สองมือที่ประสานกันแน่นราวกับเป็นการแลกเปลี่ยนคำสัญญาที่ต่างฝ่ายต่างให้ไว้...ใบหน้าหวานเจือรอยยิ้มบางที่ผมคิดถึง...ผมเองก็เช่นกัน...




ผมเคยนึกโทษโชคชะตาที่เล่นตลกกับชีวิตของผมด้วยการส่งผมมาที่นี่...ให้ได้พบและตกหลุมรักกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าเธอมาไว้แนบอกได้...ผมเคยด่าทอ โมโห และหงุดหงิดเมื่อคิดว่าผมจะไม่มีวันได้เป็นเจ้าของ...แต่สิ่งที่ผมได้รับจากเธอในวันนี้มันยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด...และนั่นทำให้ผมนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ส่งผมมายังที่นี่...ให้ได้พบและตกหลุมรักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่แม้ไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าเธอมาไว้แนบอกได้



...แต่ผมก็ได้เป็นเจ้าของหัวใจของเธอ...


...แม้เพียงในความคิดก็ตาม...
.

.

.

.

.
"ยิ้มออกแล้วนะมึง"เสียงไอ้ธีร์ดังขึ้นทำลายความเงียบบนชานเรือน...วันนี้อากาศดีมันเลยชวนผมออกมานั่งรับลมข้างนอกแทน เพราะอยู่ในห้องก็ได้แต่อุดอู้ไม่มีอะไรให้ทำ...เจ้าคุณจิตรากับคุณหญิงสร้อยกลับมาได้สักพักแล้ว ท่าทางแกดูอ่อนเพลียจากการเดินทางเพราะเมื่อมาถึงก็ตรงเข้าห้องทันที...สายตาของคุณหญิงสร้อยที่มีต่อผมยังคงเหมือนเดิม...แต่ผมเองก็คงทำอะไรให้มันดีขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้เช่นกัน

"ยิ้มได้ก็ดีแล้ว"ไอ้ตัวดีที่ตอนนี้นอนแผ่หราอยู่กลางเรือนยังคงพูดต่อ...ผมเองก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ มองพระจันทร์ดวงกลมโตที่ลอยเด่นบนท้องฟ้าเช่นกัน

"ธีร์"เสียงเรียกที่ทำให้เจ้าของชื่อละสายตาจากท้องฟ้าเบื้องบนแล้วหันกลับมามอง

"มึงเคยคิดจะอยู่ที่นี่ตลอดไปมั่งมั้ยวะ"แว่วเสียงมันหัวเราะครืน ก่อนจะแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลเบื้องบนต่อ

"อารมณ์ไหนของมึงวะ หึหึ"ดูมันครับ...ผมถามดีๆ ดันกวนกลับเสียได้

"ก็คิดนะ"คำตอบเพียงสั้นๆจากคนที่นอนยกมือประสานท้ายทอยต่างหมอนหนุน...ดวงตาคมโตของมันสะท้อนประกายแสงจันทร์วิบวับ

"แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่ะ"ท้ายประโยคมันหันมายกยิ้มกวนให้

"ต้องรอหลวงพิสิษฐมาขอก่อนเหรอไงถึงจะตัดสินใจได้"โดนแซวเข้าหน่อยก็เขินจนหน้าแดงเลยครับมัน แต่ก็ยังมีแรงยกขาถีบผมกลับแก้เก้อ...ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีที่นานๆจะได้แกล้งมันสำเร็จซักที


"ธีร์"หลังจากเงียบไปได้สักพักผมก็เรียกขึ้นอีก...แว่วเสียงคนข้างๆบ่นอุบเพราะกำลังเพลินกลับการนอนตากลมชมจันทร์

"กูจะอยู่ที่นี่ตลอดไปได้มั้ยวะ"สายตาของผมยังคงทอดไกลไปยังท้องฟ้าเบื้องบนเลยไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้คนข้างๆกำลังมีสีหน้าแบบไหน

"โตแล้วคิดเองได้ ไม่เห็นต้องถามกู"ตอบพร้อมกับมือที่ยื่นมาผลักหัวผมเบาๆ...ปากว่ามือถึงไม่เคยเปลี่ยน...ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่นอนมองพระจันทร์ดวงโตอย่างเงียบๆ...แค่ถามมันไปอย่างนั้นเพราะในใจผมมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว...




...ก็ให้สัญญาไปแล้ว...จะกลับคำพูดแล้วหนีกลับบ้านได้อย่างไรเล่า!...


....................................................................................



มาแล้วจ้าาาา ลืมน้องธีร์กันรึยังน๊าาาา  :mew2:
ตอนนี้เป็นตอนของพี่แชมป์บ้างนะคะ พี่แชมป์ขอดราม่าบ้างหลังจากปล่อยให้น้องธีร์เล่าเรื่องอยู่คนเดียว
(พี่แชมป์บอกหมั่นไส้ค่ะ  :z6:)

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ใครคิดถึงพี่แก้วรอตอนหน้าเน๊อออ พี่แก้วแอบซุ่มก่อน  :call: :call: :call:

ปล. เอาพี่แชมป์กับคุณพิกุลมาฝากด้วยค่ะ  :mew1:


(http://i4.photobucket.com/albums/y133/alexel27/Mobile%20Uploads/image-2.jpg)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 14-08-2014 05:21:00
คิดถึงพี่แก้ว
อ่านตอนพ่อแชมป์ยังมีอุปสรรคขนาดเป็นชายหญิงแล้วพ่อธีร์ไม่ยิ่งกว่านี้หรอกเหรอ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 14-08-2014 06:57:31
เศร้าเลยแชมป์  :sad4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 14-08-2014 12:55:21
แชมป์นี่พระเอกจริงๆ
ไม่อยากคิดตอนคู่ธีร์ดราม่าเลย โอ้ยยยย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 14-08-2014 13:43:49
หวานแบบหน่วงๆ สู้เค้านะแชมป์
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-08-2014 15:04:04
เศร้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 14-08-2014 22:43:15
รอมาต่อนานมาก มาทีก็มายาวจริงๆ อ่านแล้วพี่แชมป์มาวินมาก กระชากอารมณ์ จะหน่วงก็หน่วงไม่สุด จะยิ้มก็ได้ไม่กว้างเท่าไหร่ จะว่าโลกพี่แชมป์เป็นสีชมพูมันก็ไม่ใช่ พี่แชมป์อินเลิฟ คุณพิกุลอินเลิฟ แต่ไม่ได้อารมณ์หวานชื่นเลย ต่างคนก็ได้แต่จะซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง และยึดมั่นตามคำสัญญาของอีกฝ่าย แล้วก็ได้แต่มองกันไปเรื่อยๆอย่างนั้นเหรอ ตอนนี้มันก็ยังเลี้ยงหัวใจเลี้ยงชีวิตไว้ได้ แต่ถ้าคุณพิกุลต้องแต่งงานจริงๆ มันจะกลายเป็นความทรมานนะ แต่...จำได้ว่าคุณพิกุลไม่ได้แต่งงานใช่ป่ะ ก็จะถือว่าตอนนี้เป็นจบแบบแฮปปี้ก็แล้วกัน

รออ่านต่ออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-08-2014 23:38:52
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 15-08-2014 22:58:24
หน่วง หน่วงสุดๆ พ่อแชมป์
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-08-2014 10:22:37
ซีนนี้สงสารแชมป์เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 18-08-2014 13:28:44
ยังอ่านไม่ถึงตอนล่าสุด แต่มาให้กำลังใจคนเขียนก่อนจ้า
ชอบมาก ๆ เลยค่ะ คนเขียนแต่งเก่งมาก อ่านแล้วลื่นไหลดีจัง
เนื้อเรื่องก็สนุก น่าติดตาม ชอบทั้งพี่แก้ว พ่อธีร์ พี่แช่ม คุณพิกุล ชอบหมดเลย
โดยเฉพาะคุณหลวง  :o8: อบอุ่น นุ่มนวลมากเลยอ่ะ อิจฉาพ่อธีร์เล็ก ๆ อิอิ
แต่รักกันต่างกาลเวลาอย่างนี้ ทำให้กลัวไม่สมหวังจังเลย  :mew2:
ขอเถอะนะคะ ขอให้เรื่องนี้จบแบบมีความสุข ได้สมหวังทั้งสองคู่เถอะน้า
รอติดตามนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 24-08-2014 00:49:24
มาตามพี่แก้วพ่อธีร์
แอนด์เดอะแก๊งและคนแต่งค่ะะะ
คิดถึงจัง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 28-08-2014 21:49:16
แวะมาบอกว่า...ไม่เกินวันอาทิตย์นี้ พี่แก้วกับน้องธีร์จะกลับมานะคร๊าาา
ขอโทษที่หายไปนาน ติดภารกิจจริงๆ
หัวข้อ: The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 29-08-2014 21:47:37
เย้ๆๆ  ดีใจจัง รอพี่แก้วน้องธีร์นะจ้ะ คิดถึงจังเลย  :กอด1:
ขอบคุณคนเขียนมากเลยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 02-09-2014 14:03:49


ตอนที่ ๒๕...กลิ่นดอกแก้ว...



...มีคนเคยบอกไว้ว่าความสุขมักอยู่กับเราเพียงไม่นาน...ความทุกข์ก็เช่นกัน...ในชีวิตหนึ่ง มนุษย์เราอาจพบเจอทั้งความสมหวังและผิดหวัง แต่ไม่มีอะไรที่จะคงอยู่ตราบนิรันดร์...สุขก็ไม่จีรัง...ทุกข์ก็ไม่ยั่งยืน...คงเหมือนกับสายนทีที่ไหลผ่าน...มีบ้างที่กระแสนทีเชี่ยวกรากด้วยลมและพายุ...แต่ย่อมมีเวลาที่สายน้ำนั้นนิ่งสงบ...หากแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน...แม้ว่าสายนทีจะนิ่งสงบหรือบ้าคลั่งเพียงใดมันก็ยังคงไหลวนเรื่่อยไปและไม่มีวันหวนกลับคืน...


...เหมือนกับชีวิตของผม...แม้มันจะราบเรียบดีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาของผมได้หยุดลง...วันเวลายังคงหมุนวนเรื่อยไปทั้งในโลกปัจจุบัน...และโลกที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้...โลกที่เคยมีเพียงผมและไอ้แชมป์เพียงสองคนราวกับตัวประหลาดที่อยู่ผิดที่ผิดทาง แต่ในตอนนี้โลกใบนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ผมได้รู้จักและผูกพันธ์...บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษ และคนสนิทของท่านที่เอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลาน...คนที่ผมสามารถเรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน...หรือแม้แต่...คนที่อยู่ข้างๆผมในตอนนี้...



...นัยน์ตาคมทอดยาวออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี...แว่วเสียงลมเย็นเอื่อยพัดคลอกับเสียงไม้พายกระทบผืนน้ำเป็นจังหวะจากคนตัวสูง...จังหวะพายเชื่องช้าเนิบนาบอย่างไม่รีบร้อนเฉกเช่นปกติของผู้คนในพระนคร

"ไหนว่าจะมาเก็บบัวไงครับ"ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวสูงพายออกมาไกลจากเรือนไม้ทรงฝรั่งของเจ้าคุณไพศาลมากขึ้นทุกที...เมื่อครู่เกิดนึกสนุกรับอาสาป้าชื่นออกมาเก็บบัวให้เมื่อเห็นว่าแกตั้งใจจะแกงสายบัวให้ได้ชิมกันในวันนี้...เดือดร้อนป้าชื่นต้องห้ามเสียยกใหญ่แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะยอมฟัง...สุดท้ายป้าชื่นก็ต้องยอมอย่างเสียไม่ได้

"แถวนี้ไม่มีหรอกต้องผ่านคุ้งน้ำฟากกระโน้นเสียก่อน"ผมมองตามสายตาของคนตัวสูงออกไปเบื้องหน้า...จริงอย่างที่เขาว่า ริมน้ำเจ้าพระยาสายใหญ่เช่นนี้ไม่มีแม้แต่บัวสักกอให้ได้เห็น...เจ้าพระยาในสมัยพระนครนั้นช่างโล่งตาผิดกับเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานครราวกับว่ามันไม่ใช่ที่แห่งเดียวกัน...แม่น้ำสายใหญ่เป็นทางสัญจรของเรือลำน้อยใหญ่ หากแต่ความชุลมุนแออัดช่างต่างกันยิ่งนัก...ไม่ว่าจะมองไปด้านไหนก็ช่างสบายตาขัดกับภาพของเจ้าพระยาในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

"อีกไกลมั้ยครับ"ถามขึ้นอีกครั้งเพราะไม่ค่อยชินเส้นทางแถวนี้สักเท่าไหร่เมื่อคนตัวสูงพายเรือออกมาอีกด้านของเส้นทางปกติที่ผมเดินทางจากเรือนของเจ้าคุณจิตรา

"ไม่ไกลนัก เบื่อแล้วหรือพ่อ"ได้แต่ส่ายหน้าตอบ...ตรงกันข้ามผมกลับชอบเสียด้วยซ้ำที่มีโอกาสได้ออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้างเพราะปกติก็ใช้ชีวิตอยู่เพียงแค่เรือนสองหลังเพียงเท่านั้น

"กลัวป้าชื่นแกจะรอเก้อเป็นสายบัวน่ะครับ"เห็นท่าทีสบายอารมณ์ของคนตัวสูงแล้วก็อดเป็นห่วงแกงสายบัวของป้าชื่นเสียไม่ได้

"แม่ชื่นแกจะลงครัวเย็น"ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มกลั้วเสียงหัวเราะแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้...ลงครัวเย็นแต่พาออกมาเก็บบัวแต่เช้า ป่านนั้นบัวไม่เฉาเสียก่อนเหรอ

"ลงครัวเย็นแล้วต้องรีบออกมาแต่เช้าเลยเหรอครับ"ปากที่ตรงกับใจถามออกไปแต่สายตายังคงเป็นประกายวิบวับเพราะมัวแต่ชื่นชมความงามของสองฝั่งเจ้าพระยาที่ไม่ว่าจะได้มองสักกี่ครั้งก็ยังคงงดงาม...ผมติดภาพเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานครจนอดแปลกใจในความสงบเงียบแบบนี้เมื่อครั้งที่มาอยู่ที่นี่แรกๆ...เจ้าพระยาที่ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ของเรือเร็ว...ไม่มีเรือแพข้ามฟาก...ไม่มีเศษซากวัชพืชลอยเกลื่อน...มีเพียงเสียงของผู้คนที่ทักทายกันเมื่อยามพายเรือผ่าน แม้ไม่รู้จักกันมาก่อนแต่รอยยิ้มจริงใจของคนที่นี่กลับมีให้กันอยู่เสมอ...สายน้ำของเจ้าพระยาที่นี่นั้นไหลเอื่อยเพียงช้าๆเช่นเดียวกับวิถีชีวิตของผู้คนสองฟากฝั่ง

"ช่างซักเสียนี่กระไร"แว่วเสียงกระเซ้าเย้าแหย่จนต้องหันกลับไปมอง...คนตัวสูงที่ยังคอยสลับไม้พายไปมาเพื่อบังคับทิศทางเรืออย่างเชื่องช้า...อันที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจที่เห็นเขาพายเรือได้เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาแม่น้ำลำคลองด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ไม่คิดว่าคนอย่างหลวงพิสิษฐจะลงแรงเป็นสารถีเสียงเองต่างหาก

"จะพาไปที่อื่นก่อน อยากไปหรือไม่เล่า"

"ยังไม่ได้บอกว่าจะพาไปไหน แล้วผมจะบอกได้ยังไงว่าอยากไปรึเปล่า"เมื่อครู่ยังลากผมลงเรือบอกว่าจะพาไปเก็บบัว ตอนนี้กลับมาบอกว่าจะพาไปที่อื่นเสียนี่...คงไม่ได้คิดจะพาผมไปขายพ่อค้าจีนแถวนี้หรอกนะครับ

"แล้วกัน ไม่ไว้ใจเราเลยรึพ่อ"น้ำเสียงตัดพ้อนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมได้ยินบ่อยๆในช่วงนี้

"ก็คุณหลวงไม่บอก ผมจะไว้ใจได้ไงครับ เกิดคุณหลวงพาผมไปขายที่ไหนต่อไหนแล้วผมจะทำยังไงล่ะ"อีกฝ่ายหัวเราะร่าเมื่อได้ยินคำตอบ

"ขายไปก็คงไม่ได้ราคา ตัวผอมบางเยี่ยงนี้เกรงว่าจะทำงานให้เขาไม่ได้น่ะซี"ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น...ผมก็ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้นเสียหน่อย ยิ่งช่วงนี้ต้องช่วยพวกพี่สนทำงานที่เรือน แม้แต่ไอ้แชมป์ยังเคยทักเลยว่าตัวหนาขึ้น...แต่ถ้าให้เทียบกับคนที่กำลังพายเรือให้ผมอยู่ตอนนี้ผมก็คงต้องยอมแพ้...แม้เขาเองจะไม่ได้มีรูปร่างบึกบึนเช่นเดียวกับพวกบ่าวผู้ชายในเรือนอย่างพี่สนหรือมิ่งเพราะวันๆต้องทำแต่งานที่ใช้แรง...แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชายรูปร่างสมส่วนสง่างามคนหนึ่งเลยทีเดียว...ว่าแต่...นี่เขาคิดจะเอาผมไปขายจริงๆเหรอ?!

"ขายไปก็ดีนะครับ ดีกว่านั่งๆนอนๆอยู่ที่เรือน"เพิ่งบ่นไปแท้ๆแต่กลับไปท้าเขาเสียนี่...เหลือบไปเห็นคนตัวสูงกลั้นหัวเราะอยู่คนเดียว

"แล้วเราจะอยู่กับใครเล่า...พ่อธีร์..."โน้มตัวเข้ามาใกล้ให้ได้เห็นรอยยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี...ดวงตาคมส่องประกายระยับจับจ้องไม่วางตาจนผมต้องเป็นฝ่ายละสายตาหนีเสียเอง

"แล้วจะพาไปไหนครับ"เถียงต่อไม่ได้ ก็เปลี่ยนเรื่องมันสิครับ..งานถนัดของผมล่ะ...อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรยิ่งทำให้ผมสงสัยหนัก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพียงปล่อยให้คนตัวสูงพาเรือแล่นไปเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์...คงไม่ได้คิดจะเอาผมไปขายอย่างที่ว่าหรอก




...ผ่านเจ้าพระยาสายใหญ่เลี้ยวเข้าคุ้งน้ำด้านหน้าที่เป็นเพียงลำคลองเล็กๆ...บรรยากาศสองฟากฝั่งเงียบสงบกว่าแม่น้ำสายใหญ่ที่เพิ่งผ่านมามากนัก...จั่วเรือนไม้ทรงโบราณโผล่พ้นยอดไม้สูงให้เห็นเรียงราย แม้จะเข้าช่วงสายแล้วแต่อากาศกลับไม่ร้อนอย่างที่คิดเพราะเริ่มเข้าหน้าฝนและยังมีไม้ยืนต้นที่ขึ้นเรียงรายสองฝั่งคลองช่วยบังแดดเอาไว้...ไม่นานนักเรือลำน้อยก็พาผมมาเทียบท่าน้ำแห่งหนึ่ง...มองขึ้นไปด้านบนเห็นพระอุโบสถสีขาวตั้งสง่าอยู่ไม่ไกลนัก...คนตัวสูงจัดแจงผูกเรือเทียบท่าก่อนจะลุกก้าวขึ้นไปบนท่าน้ำอย่างคล่องแคล่ว...มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าหมายจะช่วยให้ผมลุกตามได้โดยง่าย...โดยไม่ต้องคิดผมยื่นมือออกไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้มั่นพลางยันตัวลุกขึ้นยืน พื้นเรือโคลงเคลงทำให้ทรงตัวได้ไม่ดีนักแต่ก็สามารถก้าวข้ามขึ้นไปบนท่าน้ำได้อย่างปลอดภัยดี...หลวงพิสิษฐปล่อยมือออกก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตะกร้าของใส่บาตรกับดอกบัวสีชมพูระเรื่อดอกใหญ่ที่ถูกพับกลีบอย่างสวยงาม...ผมไม่ทันสังเกตเห็นแต่แรกคงเพราะเขาวางมันไว้ด้านหลัง

"ครั้งงานบุญวันเกิดแม่พิกุลเห็นพ่อธีร์ว่าอยากทำบุญ"

"จำไม่ได้ว่าเคยพูดนะครับ"

"ไม่อยากทำบุญร่วมกับเรารึ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มยียวนเช่นเคย

"ก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยาก แต่ผมไม่ได้พูดซักหน่อย คุณหลวงพูดเองเออเองนะครับ"แว่วเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย

"เอาเป็นว่าเราขอให้พ่อธีร์มาก็แล้วกัน เข้าไปด้านในเถิดประเดี๋ยวจะสาย"พูดจบก็ออกเดินนำหน้าไปทางอุโบสถเรือนสีขาวที่โดดเด่นอยู่ไม่ไกลนัก...ผมเดินตามหลังผ่านลานวัดกว้างที่มีกลุ่มเด็กชายผมจุกสี่ห้าคนกำลังวิ่งเล่นส่งเสียงดัง...เห็นแล้วก็อดนึกเปรียบเทียบกับเด็กๆในยุคของผมไม่ได้...สมัยนี้พวกเขาไม่มีเกมส์ออนไลน์ให้ได้เล่น ไม่มีเครื่องเล่นเกมส์ที่ทันสมัย แต่เด็กเหล่านี้กลับมีเสียงหัวเราะที่ดังสดใสกว่าคนในยุคของผมมากนัก...การละเล่นพื้นบ้านที่แสนธรรมดาอย่างวิ่งไล่จับหรือมอญซ่อนผ้ากลับทำให้พวกเขาสนุกสนานได้มากกว่าเครื่องเล่นเกมส์ราคาแสนแพงที่กลายเป็นตัวแยกเด็กเหล่านั้นออกจากโลกภายนอกแม้กระทั่งพ่อแม่ของพวกเขาเอง...ผมหยุดยืนมองเด็กชายสี่ห้าคนที่วิ่งวนไปรอบลานวัด ใบหน้าเปื้อนยิ้มเหล่านั้นทำเอาผมอดยิ้มตามออกมาโดยไม่รู้ตัว...เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายตัวเล็กสุดที่กำลังเป็นฝ่ายวิ่งไล่เพื่อนๆที่วิ่งไปกันคนละทางพลางหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี...โดยไม่ทันระวัง เด็กชายตัวเล็กก็วิ่งเข้ามาชนผมเข้าอย่างจัง...ร่างสูงเพียงแค่เอวของผมร่วงลงไปนั่งอยู่กับพื้นพลางส่งเสียงโอดโอย...เดือดร้อนเพื่อนๆที่กำลังวิ่งหนีอยู่ต้องรีบเดินเข้ามาดูเพราะความเป็นห่วง

"ซุ่มซ่ามเสียจริงอ้ายน้อย"เด็กชายตัวสูงที่สุดในกลุ่มบ่นอุบแต่ก็ยื่นมือไปดึงแขนคนตัวเล็กกว่าให้ลุกขึ้นยืน

"พี่มั่น น้อยเจ็บ"เจ้าหนูตัวเล็กเริ่มงอแง ใบหน้าเหยเกเพราะก้นที่กระแทกกับพื้นอย่างจัง...เด็กชายตัวสูงได้แต่กลอกตาไปมาพลางยกมือขึ้นปัดฝุ่นที่เปรอะตามเนื้อตัวของคนตัวเล็กกว่า

"ไม่ต้องร้อง ประเดี๋ยวข้าพาไปซื้อขนม"ได้ยินแบบนั้นถึงได้ยิ้มร่าออกมาทั้งที่ตาแดงก่ำ

"คุณขอรับ ขอประทานโทษแทนอ้ายน้อยมันด้วยขอรับ มันไม่รู้จักระวังวิ่งชนคุณเข้าเสียได้"กลายเป็นเด็กชายตัวสูงที่ยกมือไหว้ปลกๆ ส่วนคนที่วิ่งชนตอนนี้หลบไปอยู่ข้างหลังแทน

"ไม่ต้องขอโทษหรอก พี่มายืนขวางเอง เจ็บมากมั้ยไอ้หนู"ยื่นหน้าไปถามเด็กชายตัวเล็กที่เอาแต่ก้มหน้างุด มือเล็กเกาะแขนคนตัวสูงกว่าเอาไว้แน่น

"คุณเขาถามก็ตอบเขาซีวะอ้ายนี่"พอโดนดุเข้าถึงได้ส่ายหน้าตอบ

"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เอ้านี่ พี่ให้ไว้ไปซื้อขนม ไม่ต้องร้องนะ"ผมยื่นอัฐที่พอมีติดตัวให้เด็กชายตัวเล็กที่ยังมีท่าทางตื่นกลัว แต่เจ้าตัวเล็กเอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ

"รับไว้เถอะ จะได้ซื้อขนมให้พี่เค้าด้วยไง"ได้ยินดังนั้นถึงได้ยอมยื่นมือออกมารับแต่โดยดี

"ขอบพระคุณขอรับ"อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงก่อนจะฉวยข้อมือเด็กชายตัวสูงกว่าวิ่งตามเพื่อนๆไปอีกทาง...ในมือชูอัฐที่เพิ่งได้รับไปพลางยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี...ผมเผลอยิ้มให้กับภาพตรงหน้า...ก่อนจะหันไปสบเข้ากับดวงตาคมของคนตัวสูงที่ยืนรออยู่ไม่ไกลนัก...รอยยิ้มปรายปรากฎบนใบหน้าเช่นเคย



...ผมเดินตามหลวงพิสิษฐเข้ามาในตัวอุโบสถที่มองจากท่าน้ำดูเด่นเป็นสง่าแต่ด้านในกลับไม่ใหญ่โตอย่างที่เห็น...มีเพียงพระประธานองค์ใหญ่ตั้งเด่นอยู่กลางโบสถ์ รายล้อมด้วยพระพุทธรูปปางต่างๆเพียงไม่กี่องค์...ชาวบ้านสองสามคนกำลังนั่งสนทนาธรรมกับพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งนั่งสง่าอยู่หน้าพระประธาน...ดูจากลักษณะแล้วอายุของท่านไม่น่าจะเกิน๓๐ปี  หากแต่ใบหน้าของท่านช่างคุ้นตายิ่งนัก...


พวกผมนั่งรอจนชาวบ้านเหล่านั้นพากันลากลับจึงได้เดินเข้าไปหา...ยิ่งมองใกล้ๆก็ยิ่งคุ้นเคยราวกับเคยพบกันที่ไหนมาก่อน...รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้ายิ่งทำให้ท่านดูอ่อนโยนนัก...รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างผมในตอนนี้



...รอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าผมเคยพบท่านที่ไหนมาก่อน...



"ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีรึโยมแก้ว"น้ำเสียงเนิบนาบอ่อนโยนเช่นเดียวกับใบหน้าและท่าทาง...ไม่ผิดแน่...แม้จะดูอ่อนวัยกว่ามาก...แต่ลักษณะท่าทางของภิกษุรูปนี้เหมือนกับหลวงพ่อที่อานิดพาผมไปพบในครั้งก่อนไม่ผิดเพี้ยน

"สบายดีขอรับ หลวงพี่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ"คนถูกถามตอบกลับอย่างนอบน้อม

"อาตมาสบายดี วันนี้มาทำบุญหรือโยม"ผมจดจ้องใบหน้าและท่าทางที่คุ้นตาของท่านระหว่างสนทนากับหลวงพิสิษฐ...นานจนผู้ถูกมองสังเกตเห็น

"นี่พ่อธีร์คนสนิทของกระผมขอรับ เจ้าคุณไพศาลท่านให้มาช่วยงานราชการที่เรือน"รอยยิ้มอ่อนโยนที่ท่านส่งมาช่างเหมือนกันจนน่าตกใจ...อดคิดไม่ได้ว่าภิกษุรูปนี้จะรู้เรื่องของผมเช่นเดียวกันหรือไม่

"ท่าทางไม่เหมือนชาวพระนคร เห็นทีจะมาไกลมากซีนะโยม"คำทักทายธรรมดาที่ผมได้ยินจากคนที่นี่จนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อมาจากปากของภิกษุรูปนี้แล้วนั้นความสงสัยของผมกลับมีมากขึ้นทุกที...หลวงพิสิษฐเองก็มีท่าทีประหลาดใจไม่แพ้กัน

"ก็...ไกลพอสมควรครับ"ท่านเพียงส่งยิ้มบางเมื่อได้ยินคำตอบ...ใจหนึ่งผมอยากถามออกไปตรงๆ แต่ถ้าทั้งหมดนี่มันเป็นเพียงเรื่องที่ผมคิดไปเองคนเดียว ท่านคงคิดว่าผมสติไม่ดีเป็นแน่



...หลังจากถวายของและดอกไม้ธูปเทียนก็ได้เวลารับศีลรับพร...ผมเพียงนั่งพนมมือนิ่งพร้อมกับคนตัวสูงตั้งใจรับพรจากพระท่าน...น้ำเสียงของท่านกังวานใสราวกับเสียงแก้ว บทสวดให้พรที่ผมเคยได้ยินมาบ้างเมื่อตอนใส่บาตรทำบุญแต่กลับไพเราะน่าฟังกว่ามากนัก...เหลือบมองหลวงพิสิษฐที่นั่งพับเพียบสงบนิ่ง...ใบหน้าคมมีรอยยิ้มปรายประดับ...เขาเองก็ปรายตามองมาเช่นกัน...สองสายตาประสานนิ่งคลอด้วยเสียงกังวานใสจากพระท่าน...ผมเพียงภาวนาในใจ...ขอให้ผลบุญที่ได้ทำร่วมกันในวันนี้ส่งผลให้มีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งของผมเองและคนข้างๆ


"หลวงพ่อท่านอยู่หรือไม่ขอรับ กระผมไม่ได้พบเสียนาน"เสียงนุ่มเอ่ยถามภิกษุรูปงามที่นั่งสง่าอยู่เบื้องหน้าหลังจากสนทนากันมาได้สักพัก...เพราะวัดนี้อยู่ไม่ห่างจากเรือนเจ้าคุณไพศาลมากนัก ทั้งเจ้าคุณท่านและหลวงพิสิษฐจึงรู้จักสนิทสนมกับเจ้าอาวาสของวัดเป็นอย่างดี

"ท่านอยู่ที่กุฏิ ไม่ค่อยสบายนักเห็นว่าจับไข้เพราะถูกฝน"

"เช่นนั้นกระผมขอตัวขึ้นไปพบท่านนะขอรับ หากว่ามีสิ่งใดพอช่วยเหลือท่านได้บ้าง"ผู้ถูกถามเพียงพยักหน้ารับ

"ขึ้นไปพบหลวงพ่อท่านกับเราไหมพ่อธีร์"คนตัวสูงหันกลับมาถามผมที่นั่งเงียบอยู่นาน...ผมได้แต่หันไปมองภิกษุหนุ่มที่ยังคงมีรอยยิ้มปรายบนใบหน้า

"ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งรอที่นี่ก็ได้"โบราณท่านว่า อยากรู้ก็ต้องถามครับ...อะไรนะ! โบราณไม่เคยว่าไว้เหรอครับ...งั้นผมนี่แหละที่ว่าไว้...หลวงพิสิษฐเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากอุโบสถไปเหลือเพียงผมกับหลวงพี่ที่ยังคงนั่งเงียบอยู่...เอาเข้าจริงก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี


"มีอะไรอยากถามอาตมาหรือโยม"ราวกับรู้ความคิดในใจเพราะท่านเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาเสียก่อน

"คือ..."ได้แต่อ้ำอึ้งมองหน้าอีกฝ่าย...ใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดียวกับหลวงพ่อท่านนั้น

"โยมไม่ใช่ชาวพระนคร แล้วมาจากที่ใดกันรึ"เสียงใสกังวานถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปเสียนาน

"คือ...ผมมาจากที่ที่จะเรียกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ แต่จะเรียกว่าไกลก็ไม่ใช่ซะทีเดียวครับ"หากเป็นคนอื่นได้ฟังคำตอบเช่นนี้คงสงสัยอยู่ไม่น้อย หากแต่หลวงพี่ท่านยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ

"มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนานเช่นนี้คนทางบ้านไม่เป็นห่วงหรือโยม"หายตัวจากกรุงเทพมาได้เดือนกว่า...ผมรู้ว่าอานิดและทุกคนที่นั่นคงวุ่นวายกันน่าดู

"ผมไม่ทราบเลยครับ"บ่อยครั้งที่ผมฝันถึงอานิด...อาต้น...ไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อ และทุกคนที่นั่น...บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกคิดถึงบ้านที่เคยอยู่กับพ่อและแม่...แต่น่าแปลกที่มันเป็นเพียงแค่ความคิด...เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผมยังอยากอยู่ที่นี่ต่อไปให้นานอีกหน่อย

"หลวงพี่ครับ...คนเราจะสามารถฝืนชะตาตัวเองได้มั้ยครับ"คำถามที่ออกจะฟังแล้วประหลาด หากแต่คนฟังยังคงมีท่าทีเป็นปกติ...ผมไม่รู้หรอกว่าท่านรู้ที่มาที่ไปของผมเหมือนกับหลวงพ่อท่านนั้นหรือไม่...ผมรู้เพียงว่าท่านคงมีคำตอบบางอย่างให้กับสิ่งที่ผมสงสัยอยู่

"ไม่มีใครฝืนชะตาตนเองได้หรอกโยม มิเช่นนั้นมนุษย์เราคงไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดเพราะทุกคนสามารถฝืนชะตาตนเองได้"

"ผมไม่ได้หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดน่ะครับ คือผมหมายถึง..."

"ไม่ว่าจะเป็นการกระทำใด หากถูกกำหนดเอาไว้แล้วไม่ว่าโยมหรืออาตมาเองก็ไม่สามารถฝืนมันได้"คำตอบนั้นทำเอาผมนิ่งไปทันที...เพราะความคิดแผลงๆที่เคยแล่นเข้ามาในหัว...ความคิดที่ว่าหากโต๊ะไม้สักตัวนั้นส่งเสียงเรียกอีกครั้ง ผมจะสามารถฝืนตัวเองไม่ให้กลับไปยังโลกปัจจุบันของผม...แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้...ผมกลับไม่แน่ใจ

"ไม่ว่าเราจะทำดีมากแค่ไหนก็ตามเหรอครับ"แว่วเสียงถอนหายใจยาวจากอีกฝ่าย

"กรรมดีที่เราก่ออาจส่งผลให้เราเห็นได้ในชาตินี้ภพนี้ หรือเป็นตัวลิขิตให้เราได้ไปเกิดในชาติภพที่ดีภายหน้า แต่อย่าลืมว่าเราทุกคนล้วนมีกรรมติดตัวมาตั้งแต่เกิดด้วยกันทั้งนั้น โยมเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมคนเราถึงได้เกิดมาไม่เท่ากัน บ้างก็มี บ้างก็ขาด นั่นเป็นเพราะกรรมเก่าที่ติดตัวเรามาแต่ชาติปางก่อน"ผมได้แต่นั่งเงียบฟังหลวงพี่อธิบายยืดยาว...แม้จะไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่ก็พอรู้ได้ถึงสิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อออกมา

"หมายความว่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจมีผลมาจากชาติปางก่อนก็ได้เหรอครับ"

"โยมเข้าใจถูกแล้ว"รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าท่านอีกครั้ง...หากแต่ไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย...ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของผมในตอนนี้มันเรียกว่าเป็นบุญหรือกรรม...และผมก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วมันจะลงเอยเช่นไร




...ผมกราบลาหลวงพี่ออกมารอหลวงพิสิษฐที่ลานวัดด้านนอกที่ตอนนี้เงียบสงบเพราะกลุ่มเด็กชายตัวเล็กที่ผมได้พบเมื่อครั้งมาถึงนั้นไม่อยู่เสียแล้ว...ไม้ยืนต้นสูงใหญ่ที่ขึ้นอยู่ข้างอุโบสถหลังสีขาวช่วยบังแดดได้เป็นอย่างดี...ผมทิ้งตัวนั่งลงบนแคร่ไม้ใต้ร่มไม้ใหญ่นั้น...ในเวลาแบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการอยู่เงียบๆใช้ความคิดเพียงลำพัง...คำพูดของหลวงพี่ไม่ได้มีผลกระทบต่อผมเพียงคนเดียวเพราะมันพาลให้ผมนึกไปถึงสิ่งที่ไอ้แชมป์เคยพูดเอาไว้เมื่อตอนที่นอนชมจันทร์กันอยู่กลางเรือน


...แชมป์จะไม่ยอมกลับไป...


...แต่มันจะทำได้อย่างที่มันตั้งใจไว้หรือ...ผมเองก็อยากรู้...เพราะผมเองก็เคยมีความคิดแบบนี้เช่นกัน



"พี่ชาย"เสียงแหลมเล็กดังขึ้นขัดจังหวะความคิดที่กำลังล่องลอยไม่สิ้นสุด...หันกลับไปมองมือเล็กที่กระตุกแขนของผมเบาๆ...ก่อนจะสบเข้ากับดวงตากลมแป๋วของเด็กชายตัวเล็กที่วิ่งชนผมเมื่อครู่

"ว่าไงไอ้หนู แล้วนี่เพื่อนไปไหนกันหมดล่ะ"หันไปมองรอบๆไม่เห็นวี่แววของเพื่อนเจ้าตัวเล็กเลยสักคน

"ถูกเรียกให้กลับเรือนกันไปหมดแล้วขอรับ"เป็นฝ่ายเข้ามาคุยแต่กลับก้มหน้างุด เด็กนี่ก็แปลกดีนะครับ

"อ้าว แล้วทำไมเรายังไม่กลับ เดี๋ยวพ่อแม่ก็เป็นห่วงกันพอดี"

"น้อยไม่มีพ่อแม่ขอรับ น้อยอยู่กับหลวงตาที่วัดนี่ขอรับ"เคยเป็นกันหรือเปล่าครับ ที่ว่าเราจะเห็นใจคนที่มีอะไรคล้ายคลึงกับเรา...ผมนี่ล่ะคนหนึ่ง...เด็กตัวเล็กแค่นี้แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในวัด ไม่มีพ่อแม่คอยดูแล...ถึงจะมีหลวงตาคอยอบรมสั่งสอนแต่ก็เทียบไม่ได้กับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่แท้ๆ

"แล้วมาหาพี่มีอะไรรึเปล่า"ได้แต่ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ...เด็กชายตัวเล็กไม่ตอบเพียงแต่ยื่นมือออกมาตรงหน้าก่อนจะค่อยๆคลายมือออกเผยให้เห็นอัฐจำนวนหนึ่ง

"พี่มั่นบอกว่า น้อยซุ่มซ่ามวิ่งไปชนพี่ชาย น้อยจะเอาอัฐของพี่ชายมาไม่ได้ขอรับ"ว่าพลางเหลือบตาไปมองอีกฟากหนึ่งของลานวัด...เห็นเด็กชายเจ้าของชื่อยืนรออยู่ไม่ไกลนัก...ที่ไม่ยอมเดินเข้ามาด้วยคงเพราะอยากให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายพูดกับผมด้วยตัวเอง

"นึกว่าเรื่องอะไร ไม่ต้องเอามาคืนพี่หรอก"น้อยได้แต่ส่ายหน้าไปมา

"ไม่ได้ขอรับ พี่มั่นบอกว่าให้น้อยเอามาคืนพี่ชายขอรับ"ยังคงยืนยันเสียงแข็งจนผมอดหัวเราะออกมาเพราะความน่าเอ็นดูของเด็กชายตัวเล็กนี่ไม่ได้

"รักพี่ชายจริงนะเรา เชื่อที่เค้าพูดไปหมด"

"พี่มั่นไม่ใช่พี่ชายของน้อยขอรับ แต่พี่มั่นชอบมาเล่นกับน้อยเพราะน้อยไม่ค่อยมีเพื่อนขอรับ"ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกสงสารเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก

"งั้นน้อยก็เก็บอัฐนี้ไว้ไปซื้อขนมให้พี่มั่นนะ บอกพี่มั่นว่าพี่ให้ พี่เค้าไม่ว่าอะไรน้อยหรอก"ผมเอื้อมมือไปกุมมือเล็กๆนั่นพอเป็นสัญญาณว่าให้เก็บอัฐนี้เอาไว้

"แต่..."

"เก็บไว้เถอะ พี่ไม่ค่อยได้ใช้"แม้จะมีอัฐติดตัวแต่วันหนึ่งๆผมก็แทบไม่ได้ใช้ทำอะไร...ข้าวปลาก็มีให้กินไม่ขาดแถมวันๆก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน...อย่างน้อยมันคงเป็นประโยชน์กับเด็กสองคนนี้มากกว่า



ผมนั่งมองเด็กชายตัวเล็กวิ่งไปหาคนตัวสูงกว่าที่ยืนรออยู่ไม่ไกล...ใบหน้าเปื้อนยิ้มของน้อยที่กำลังชูมือร่าอย่างอารมณ์ดี...มั่นเองก็หันมายกมือขอบคุณผมจากที่ไกลๆนั้นเช่นกัน ก่อนที่เด็กสองคนจะพากันกอดคอเดินหายไปทางด้านหลังวัด...อย่างน้อยเขาก็ยังมีเพื่อน...อย่างน้อย...น้อยก็ไม่ได้เหงาอยู่คนเดียว

"เป็นเด็กมันดีอย่างงี้แหละนะ"บ่นพึมพำกับตัวเองพลางเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่...แดดช่วงสายวันนี้ไม่จัดมากเพราะเริ่มเข้าหน้าฝนแล้ว ยังดีที่วันนี้ฝนไม่ตกไม่เช่นนั้นคงไม่ได้แม้แต่พายเรือออกมาเก็บบัวให้ป้าชื่น...กรุ่นกลิ่นดอกไม้หอมลอยมาเตะจมูก...ผมได้กลิ่นนี้ตั้งแต่เดินเข้ามาในเขตวัด...กลิ่นหอมจนเกือบฉุนแผ่อบอวลไปทั่ว...ได้แต่สอดส่ายสายตามองหาที่มาของมันจนไปสะดุดตาเข้ากับแนวไม้ที่ขึ้นเรียงรายอยู่ใกล้ๆ...ลำต้นของมันไม่สูงใหญ่มากนักหากแต่แผ่กิ่งก้านออกจนกลายเป็นพุ่มหนาประปรายด้วยช่อดอกสีขาวนวล...ยิ่งผมเดินเข้าไปใกล้กลิ่นหอมละมุนนั้นก็ยิ่งเด่นชัด...ผมเอื้อมมือออกไปโน้มกิ่งที่อยู่ต่ำสุดลงมาให้ได้เห็นช่อดอกไม้สีขาวนวล กลีบดอกแยกเป็นแฉกเหมือนรูปดาวตรงกลางเป็นเกสรสีเหลือง...กลิ่นของมันไม่ได้หอมหวานเหมือนดอกมะลิหรือกุหลาบ...แต่กลับหอมนุ่มละมุนเหมือนน้ำหอมราคาแพงที่วางขายตามห้างสรรพสินค้า




"ดอกแก้ว"น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นด้านหลัง...หันกลับไปพบคนตัวสูงที่ยืนยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี

"ครับ?"มือใหญ่เอื้อมมาปลิดดอกไม้สีขาวที่ว่าก่อนจะยื่นมันมาให้ผมรับเอาไว้

"เขาเรียกว่าดอกแก้ว เข้าหน้าฝนยิ่งออกดอกงามนัก"เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่าเพราะแนวต้นแก้วที่ปลูกเรียงรายนี้ประปรายไปด้วยดอกแก้วสีขาวนวลส่งกลิ่นหอมละมุนฟุ้งไปทั่ว

"ชื่อเหมือนคุณหลวงเลยนะครับ"ก้มลงมองดอกแก้วขาวนวลในมือ...ผมเคยได้ยินชื่อดอกไม้นี้แต่ไม่เคยได้เห็นของจริงสักที...ไม่คิดว่ากลิ่นของมันจะหอมติดจมูกเช่นนี้

"ชื่อของเราก็มาจากต้นแก้วนี่ล่ะ"คนตัวสูงเงยหน้ามองซุ้มดอกแก้วด้านบนพลางสูดหายใจลึก

"นึกว่าจะมีแต่ผู้หญิงซะอีกที่ตั้งชื่อตามดอกไม้"ว่าพลางนึกไปถึงลูกสาวของเจ้าคุณจิตราทั้งสองที่มีชื่อตามดอกไม้เช่นเดียวกัน

"ดอกแก้วเป็นตัวแทนของความดีแลความบริสุทธิ์ โบราณท่านว่าเรือนใดปลูกต้นแก้วไว้จะทำให้คนในเรือนมีความดี มีคุณค่า แลมีจิตใจที่บริสุทธิ์"ผมเห็นด้วยกับคนที่ตั้งชื่อนี้ให้กับเขา เพราะมันเหมาะสมยิ่งกว่าชื่อใดๆ

"เจ้าคุณไพศาลท่านตั้งให้เหรอครับ"อีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าตอบ

"คุณแม่ของเราตั้งให้ก่อนที่ท่านจะเสีย"ใบหน้าของเขาช่างเรียบเฉย...แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั่นต่างหากที่ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกที่อยู่ข้างใน


"คุณแม่ของพี่แก้วคงภูมิใจที่ลูกชายของท่านเติบโตเป็นคนดีสมกับชื่อที่ท่านตั้งนะครับ"รอยยิ้มปรายปรากฎบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง...ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี...ความรู้สึกของการสูญเสีย


"ที่เรือนเจ้าคุณไพศาลท่านก็มีอยู่ต้นหนึ่ง"หลวงพิสิษฐว่าพลางเงยหน้ามองพุ่มดอกไม้สีขาวด้านบนอีกครั้ง

"อยู่ตรงไหนครับ ผมไม่เคยเห็น"ถ้าปลูกไว้ที่เรือนผมต้องจำกลิ่นนี้ได้สิ

"เราปลูกไว้ข้างศาลาริมน้ำ แต่ยังเล็กนัก กว่าจะออกดอกเห็นทีต้องรอถึงปีหน้า"

"ถึงตอนนั้นศาลาริมน้ำคงหอมฟุ้งน่าดูนะครับ"นึกภาพศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำที่มีต้นแก้วขึ้นอยู่ข้างๆ...ดอกแก้วขาวนวลสะอาดตาคงส่งกลิ่นหอมละมุนไปทั่ว...หากผมได้อยู่ที่นี่จนถึงวันนั้นคงจะดีไม่น้อย




หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๔ up ๑๔/๐๘/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 02-09-2014 14:06:43



...กลับมาถึงเรือนเจ้าคุณไพศาลเอาเสียเกือบเที่ยงวันเพราะมัวแต่ชื่นชมความงามสองฝั่งคลองพลางเก็บดอกบัวมาฝากป้าชื่นตามที่สัญญาไว้...แกดูดีใจไม่น้อยที่ได้ทั้งบัวตูมดอกใหญ่เอาไว้จับกลีบใส่แจกันถวายพระ ส่วนก้านบัวก็นำมาลอกใยออกไว้ทำแกงสายบัว...เห็นว่าจะเตรียมไว้ให้เจ้าคุณไพศาลเป็นสำรับเย็น...วันนี้เจ้าคุณท่านเข้ากรมแต่เช้ากว่าจะกลับก็เกือบค่ำเช่นเคยเพราะช่วงนี้ทั้งเจ้าคุณไพศาลและเจ้าคุณจิตราต่างก็ต้องวิ่งวุ่นกับงานเลี้ยงท่านทูตฝรั่งเศสที่จะมีขึ้นในอาทิตย์หน้า...แม้แต่ไอ้แชมป์ที่ปกติเอาแต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่เรือนช่วงนี้ก็วุ่นวายหนักเพราะเจ้าคุณท่านพามันกับคุณหลวงคนสนิทออกไปพบคนจากสถานทูตอยู่บ่อยครั้ง



...ผมรีบตรงดิ่งมายังศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำทันทีที่กลับมาถึงเพราะอยากเห็นต้นแก้วที่หลวงพิสิษฐปลูกเอาไว้...ไม่แปลกที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นเพราะโดยรอบศาลาไม้นี้ก็เต็มไปด้วยไม้ดอก ไม้ยืนต้นมากมายขึ้นเรียงรายจนร่มรื่น...ต้นแก้วสูงเทียมไหล่ถูกปลูกไว้ข้างศาลาอย่างที่หลวงพิสิษฐว่า...ผมนั่งท้าวคางมองต้นแก้วใบเขียวครึ้มจากศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำพลางนึกไปถึงยามที่มันออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมฟุ้งคงทำให้บรรยากาศโดยรอบดีขึ้นได้ไม่น้อย


หลวงพิสิษฐกำลังนั่งอ่านเอกสารปึกหนาที่เจ้าคุณไพศาลฝากเอาไว้ เห็นว่าเป็นรายชื่อคณะทูตฝรั่งเศสที่จะมาร่วมงานเลี้ยงและรายละเอียดการจัดงานปลีกย่อยซึ่งเขาต้องนำมาตรวจทานแทนในระหว่างที่เจ้าคุณท่านกำลังวุ่นวายอยู่กับงานที่กรม

"คุณหลวงครับ"เรียกขึ้นโดยไม่มองหน้าอีกฝ่ายเพราะมัวแต่มองดอกแก้วสีขาวในมือที่คนตัวสูงยื่นให้เมื่อตอนอยู่ที่วัด

"มีอะไรรึ"จนอีกฝ่ายตอบกลับถึงเงยหน้าขึ้นมองได้

"เล่าเรื่่องของคุณหลวงให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยครับ"เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมไม่เคยรู้เรื่องของเขาเลยนอกจากเรื่องที่เขาเป็นคนสนิทของเจ้าคุณไพศาลที่เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้

"อยากรู้เรื่องอะไรเล่า"คนตัวสูงยกยิ้มบางอย่างอารมณ์ดีพลางรวบกองเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

"ก็...ทุกเรื่องที่คุณหลวงอยากเล่า"เพราะถ้าเป็นเรื่องที่เขาไม่สะดวกที่จะบอก ผมก็ไม่จำเป็นต้องรู้

"เรื่องของเรารึ"พยักหน้ารับอีกครั้ง...คนตัวสูงกลอกตาไปมาราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่าง



"ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวข้าหลวง พ่อของเราเคยเป็นคนสนิทของเจ้าคุณท่านแลเจ้าคุณจิตรา"น้ำเสียงเนิบนาบราวกับเขากำลังเล่านิทานให้ผมฟัง

"ท่านมีตำแหน่งเป็นหลวงอยู่กรมการต่างประเทศเช่นเดียวกับเจ้าคุณทั้งสอง ส่วนคุณแม่ท่านเป็นญาติฝั่งแม่ของเจ้าคุณท่าน"

"ถ้าอย่างงั้นคุณหลวงก็นับเป็นญาติห่างๆของเจ้าคุณไพศาลสิครับ"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

"เจ้าคุณท่านเล่าให้ฟังว่าเดิมทีท่านไม่ถูกชะตาคุณพ่อนักเพราะท่านมีใจให้คุณแม่ที่เจ้าคุณท่านเอ็นดูประหนึ่งน้องสาว แม้ในตอนนั้นท่านทั้งสามยังเป็นหลวงเช่นเดียวกันแต่ด้วยฐานะทางครอบครัวของเจ้าคุณไพศาลที่สูงกว่า ท่านเกรงว่าคุณแม่จะลำบาก"เข้าตำราพี่ชายหวงน้องสาวสินะครับ

"แต่คุณพ่อเป็นคนดี ขยันทำงาน แลยังเป็นข้าหลวงที่ซื่อสัตย์ สุดท้ายเจ้าคุณท่านก็ยอมใจอ่อน"

"แล้ว..."ชะงักคำพูดเพียงแค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าสมควรจะถามออกไปดีหรือไม่ หากแต่อีกฝ่ายเพียงยกยิ้มบางส่งกลับมา

"อยากรู้อะไรก็ถามมาเถิด"ถึงจะบอกแบบนี้แต่ก็ยังไม่กล้าถามออกไปอยู่ดี

"หากพ่ออยากรู้ว่าทำไมท่านถึงเสีย..."

"คุณหลวงไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ"รีบพูดแทรกทันที แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้าตอบ

"ท่านถูกโจรฆ่าตายในคืนเดือนมืดเมื่อครั้งเราอายุได้สองปี พวกมันลอบขึ้นเรือนหมายจะขโมยของแต่แม่ของเราตื่นมาพบเข้าเสียก่อน"น้ำเสียงราบเรียบราวกับว่าสิ่งที่เล่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ผิดกับผมที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังมีสีหน้าแบบไหน...ผมเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนรับรู้ได้ว่ามือของตัวเองนั้นสั่นเทิ้มผิดกับอีกฝ่ายที่ยังคงสงบนิ่ง

"หลังจากนั้นเจ้าคุณท่านจึงรับเรามาเลี้ยงเพราะท่านเองก็รักใคร่เอ็นดูคุณแม่ประหนึ่งน้องสาวแท้ๆ"แม้สีหน้าจะไม่บ่งบอกความรู้สึก แต่ประกายหม่นในดวงตาคมที่ทอดยาวออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้านั่นกลับแสดงออกอย่างชัดเจน...ต่อให้เรื่องราวผ่านมาเป็นหลายสิบปีก็ไม่สามารถลบล้างความรู้สึกสูญเสียนี้ได้...ผมเข้าใจดี...เพราะผมเองก็เป็นเช่นนั้น





"พ่อธีร์...ร้องไห้ทำไม"รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ดวงตาคมคู่นั้นละสายตาจากผืนน้ำเบื้องหน้ากลับมามอง...ประกายหม่นในดวงตานั้นถูกแทนที่ด้วยแววตาตื่นตระหนก...หยดน้ำใสๆไหลลงมาอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว

"เราขอโทษ เราไม่น่าเล่าให้พ่อธีร์ฟังเลย"มือใหญ่ค่อยๆประคองแก้มของผมพลางเกลี่ยนิ้วปาดหยดน้ำตานั้น

"เล่าให้ฟังดีแล้วล่ะครับ ผมจะได้รู้ว่าชีวิตของคุณหลวงผ่านอะไรมาบ้าง"และมันก็ไม่ได้ต่างกันกับชีวิตของผมเท่าไหร่นัก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงร้องไห้ให้กับเรื่องของเขา

"หยุดร้องเถิด ประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องสมัยเรียนให้ฟัง สหายของเราก่อเรื่องไว้มาก ให้เล่าไปอีกสามวันก็ไม่หมด"กลายเป็นเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายปลอบ...ผมเพียงพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าเรื่องราวในตอนเด็กต่อ...ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากคำที่เขาว่าเพราะแต่ละเรื่่องนั้นจัดได้ว่าเด็ดจนเด็กวัยรุ่นสมัยผมยังอาย...เรื่องน่าเศร้าในตอนแรกถูกแทนที่ด้วยเรื่องตลกในวัยเรียนของหลวงพิสิษฐและเพื่อนสนิทอีกสามสี่คน...ทั้งเรื่องที่เพื่อนของเขารวมหัวกันแกล้งหลอกผีจนอาจารย์ที่สอนจับไข้ไปสามวัน หรือแม้แต่เรื่องที่แอบพายเรือออกไปงมกุ้งกันตอนดึกแต่ดันทำไม้พายหายจนต้องผลัดกันว่ายน้ำดันเรือกลับมาจนถึงเรือน...ผมได้แต่นั่งฟังพลางหัวเราะร่าราวกับกำลังนั่งดูตลกคาเฟ่...ไม่คิดเลยว่าหลวงพิสิษฐที่แสนอ่อนโยนและใจดีจะเคยเป็นเด็กเกเรที่ถูกเจ้าคุณท่านใช้ไม้เรียวตีเอาไม่รู้กี่ครั้ง...ยิ่งได้ฟังผมก็ยิ่งได้เห็นหลากหลายมุมในชีวิตของเขาที่ไม่ได้เป็นแค่หลวงพิสิษฐวรเวทย์อย่างที่ผมรู้จักในตอนนี้...








...เจ้าคุณไพศาลกลับมาถึงเรือนเอาตอนใกล้ค่ำอย่างที่คิดไว้...วันนี้สีหน้าท่านดูไม่สู้ดีนักแต่ก็ยังชวนผมให้อยู่ร่วมสำรับเย็นด้วยกัน

"งานที่กรมมีปัญหาหรือขอรับ"เป็นคุณหลวงคนสนิทที่ถามขึ้นระหว่างร่วมโต๊ะอาหาร...ท่าทางกังวลของเจ้าของเรือนแสดงออกชัดเจนจนแม้แต่ผมยังรู้สึกได้

"มิใช่งานที่กรม แต่เป็นงานเลี้ยงคณะทูตฝรั่งเศสต่างหากที่มีปัญหา"คิ้วสีดอกเลาของท่านขมวดมุ่น...ดูท่าจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆเสียแล้ว

"มีอะไรที่กระผมพอจะช่วยได้หรือไม่ขอรับ"เห็นความกังวลใจของเจ้าคุณไพศาลขนาดนี้มีหรือที่คุณหลวงคนสนิทจะยอมอยู่เฉย

"ฝ่ายกรมวังเขาไม่ยอมทำตามแผนงานที่ทางเราส่งไปให้ เห็นทีวันพรุ่งต้องไปพบท่านเจ้าคุณเดโชเสียหน่อย"ผมไม่แปลกใจที่ได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง เพราะหากมีปัญหาจากฝ่ายนั้นเห็นทีจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหัวเรือใหญ่ของกรม

"ให้กระผมไปด้วยเถิดขอรับ กระผมได้อ่านแผนการจัดงานทั้งหมดแล้ว คงพอช่วยพูดกับท่านได้บ้าง"เจ้าคุณไพศาลเพียงพยักหน้ารับ

"พ่อธีร์ก็ไปเสียด้วยกัน เคยปรึกษางานกับท่านมาบ้างแล้วมิใช่รึ"แล้วเอาผมไปจะไปช่วยอะไรได้ล่ะครับเจ้าคุณ คราวก่อนไปเรือนท่านยังโดนเหยียบเสียแทบจมดิน

"พ่อธีร์เป็นคนนอก เกรงว่าจะไม่เหมาะขอรับ"ถูกครับคุณหลวง เอาผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก...ที่สำคัญผมเองก็ไม่อยากไปเหยียบเรือนนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง

"ได้อ่านแผนการจัดงานจากพ่อแก้วมาบ้างแล้วมิใช่รึ"

"อ่านแล้วครับ"อ้อมแอ้มตอบกลับไม่เต็มเสียง

"เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิดพ่อ หากมีปัญหาอะไรจักได้ช่วยกันพูดกับเจ้าคุณท่าน"ถึงไม่อยากไปแต่เจ้าคุณไพศาลออกปากเสียขนาดนี้จะให้ปฎิเสธก็คงไม่ได้...เหลือบไปเห็นหลวงพิสิษฐมีทีท่าลำบากใจไม่แพ้กันเพราะทั้งผมและเขาต่างก็รู้ดีว่าทำไมผมถึงไม่ควรไปเรือนเจ้าพระยาเดโชอีก

"คืนนี้ก็นอนเสียที่นี่ วันพรุ่งจักได้ออกแต่เช้ามืด"

"ห๊ะ!"ร้องเสียงดังจนเจ้าคุณไพศาลยังตกใจ...แว่วเสียงคนตัวสูงกลั้นหัวเราะจากอีกฝั่งของโต๊ะ

"มีอะไรรึ"

"เปล่าครับ"ได้แต่ส่ายหน้าตอบ...เหลือบไปมองคนตัวสูงที่ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี...ช่างเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วเหลือเกินนะครับหลวงพิสิษฐ

"ประเดี๋ยวจักให้บ่าวมันขึ้นไปเตรียมห้องรับรองแขกห้องเดิมที่พ่อธีร์เคยนอนไว้ให้"ถ้าเจ้าคุณท่านรู้ว่าผมไม่เคยได้นอนที่ห้องรับรองแขกสักที ท่านคงอยากเตะส่งผมออกจากเรือนแถมลงหวายให้อีกสักสิบยี่สิบที



...กว่าจะได้ลงมือทานมื้อเย็นกันก็ตกค่ำเพราะมัวแต่นั่งถกปัญหาเรื่องงานเลี้ยงกันเสียนาน...ผมขอตัวขึ้นมาข้างบนก่อนเมื่อเห็นว่าเจ้าคุณท่านจะคุยธุระกับคุณหลวงคนสนิท...อย่าถามเลยครับว่าผมจะนอนที่ห้องไหน...ถ้าไม่ใช่ห้องที่มีเตียงสี่เสาหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง กับโต๊ะไม้สักโบราณที่เต็มไปด้วยกองเอกสารวางเกลื่อน...ต่อให้หนีไปนอนห้องรับรองแขกก็ต้องถูกบังคับให้มาลงเอยที่ห้องนี้อยู่ดี...ทำไมผมจะไม่รู้...ก็ผมเคยทำมาแล้วน่ะสิ!




อากาศยามค่ำคืนในหน้าฝนของพระนครช่างเย็นสบายจนอดไม่ได้ที่จะออกมายืนรับลมริมหน้าต่าง...สายฝนโปรยฉ่ำเพิ่งลงเม็ดเมื่อตอนหัวค่ำยิ่งทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงอีก...ผมชอบฟังเสียงฝน...มันช่วยให้ผ่อนคลายโดยเฉพาะเวลาที่มีเรื่องมากมายให้คิด...ยิ่งได้เห็นโต๊ะไม้สักโบราณนั่นพาลให้ผมนึกไปถึงคำพูดของภิกษุหนุ่มที่เพิ่งได้พบ...ถ้าหากทุกอย่างที่เกิดขึ้นถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า...แล้วเวลาของผมที่พระนครยังเหลืออยู่อีกมากน้อยแค่ไหน...โชคชะตาของผมจะถูกลิขิตให้อยู่ที่นี่ต่อ หรือต้องกลับไปยังที่ที่ผมจากมา...คำถามที่ผมคงไม่ได้รับคำตอบจนกว่าจะถึงวันนั้น...วันที่โต๊ะโบราณตัวใดตัวหนึ่งส่งเสียงเรียกขึ้นอีกครั้ง...


ความคิดที่ล่องลอยวุ่นวายเสียจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง...รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อถูกลำแขนแกร่งโอบล้อมเอาไว้จากด้านหลัง...ในมือของเขาถือดอกไม้สีขาวนวลส่งกลิ่นหอม คงเพราะถูกเด็ดมาจากต้นกลิ่นหอมละมุนนั้นเลยจางหายไปบ้าง

"ดอกแก้วยิ่งส่งกลิ่นหอมเมื่อยามฝนโปรย"เสียงนุ่มทุ้มคลอไปกับเสียงฝน...อ้อมแขนที่กระชับแน่นกว่าเก่าจนไม่รู้สึกถึงอากาศเย็นยะเยือกภายนอก

"หน้าฝนปีหน้าต้นแก้วที่ศาลาริมน้ำก็คงออกดอกแล้วสิครับ"

"อยากให้พ่อธีร์ได้เห็น"ลมหายใจอุ่นระเรื่อยอยู่ข้างแก้มก่อนจะฝังจมูกลงบนไหล่ของผม...แว่วเสียงสูดหายใจลึกของคนตัวสูง

"แต่พ่อธีร์หอมกว่าดอกแก้วเสียอีก"คำพูดที่ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

"นธีร์ไม่มีกลิ่นหรอกนะครับ"สายน้ำที่ไหนมันจะไปส่งกลิ่นหอมกัน...หันกลับไปสบกับดวงตาคมที่ส่องประกายระยับ สองมือที่โอบกระชับรอบเอวเปลี่ยนมาวางพาดบนขอบหน้าต่างราวกับกลัวว่าผมจะหนีไปไหน

"แต่นธีร์ของพี่แก้วหอมยิ่งกว่าอะไร"ริมฝีปากหยักได้รูปประทับลงบนหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบาแล้วค่อยระเรื่อยลงมาข้างแก้มก่อนจะฉกชิมความหวานจากริมฝีปาก...ลมหายใจอุ่นคลอเคลียหยอกล้อไม่ห่าง...สองมือโอบรั้งคนตัวสูงให้โน้มลงแนบชิดมากขึ้น ความรู้สึกร้อนวูบแผ่ไปทั่วจนลืมไปว่าอากาศข้างนอกเย็นยะเยือกเพียงใด...รู้สึกตัวอีกทีเมื่อตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับฟูกนุ่มบนเตียงสี่เสากับน้ำหนักของคนตัวสูงที่อยู่ด้านบน...ดวงตาคมส่องประกายระยับอยู่ตรงหน้า แม้เพียงเสี้ยวของความคิดที่อยากละสายตายังทำไม่ได้...ราวกับถูกสะกดให้แน่นิ่งก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะฝังลงที่ข้างแก้มอีกครั้งเพื่อฉกชิมความหอมหวานเป็นครั้งสุดท้าย



"มากกว่านี้เห็นทีจะอดใจไม่ไหว"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่ว่างข้างๆ หากแต่อ้อมแขนยังคงกระชับแน่นไม่ยอมปล่อย แว่วเสียงหอบหายใจสอดประสานคลอกับเสียงฝนด้านนอก

"เรื่องเจ้าพระยาเดโช หากพ่อธีร์ไม่อยากไปเราจะเรียนเจ้าคุณท่านให้"มือใหญ่ยังคงคลอเคลียไล้เรื่อยบนเส้นผม

"ไม่ต้องหรอกครับ อย่างน้อยให้ผมได้ช่วยท่านเรื่องงานบ้างท่านเหนื่อยมามากแล้ว"ได้แต่ซุกหน้าลงบนอกกว้างของอีกฝ่าย...เหตุการณ์เมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ในความคิด

"เราเองก็ไม่อยากให้พ่อไป"ผมรู้เหตุผลนี้ดี แต่ถ้าเป็นงานผมก็ไม่อยากทำให้มันเสียเรื่อง

"มีทั้งเจ้าคุณกับพี่แก้วไปด้วย คงไม่มีอะไรหรอกครับ"ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เจ้าพระยาเจ้าของเรือน หากแต่เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านต่างหาก

"อีกอย่าง...ผมก็ผู้ชายนะครับเรื่องอะไรจะยอมให้ไอ้หลวงหื่นกามนั่นมาทำอะไรรุ่มร่าม"แว่วเสียงหัวเราะเบาจากคนตัวสูง

"เราก็ผู้ชาย พ่อธีร์ยังยอม......โอ๊ยย!"ไม่ต่อยให้หน้าหงายก็บุญเท่าไหร่แล้ววะ เล่นไม่รู้จักเวลา

"มือหนักเช่นนี้เห็นทีคงไม่ต้องเป็นห่วง"ยกมือลูบแขนตัวเองป้อยๆเพราะเพิ่งถูกหมัดเน้นๆเข้าให้ แต่ยังคงหัวเราะออกมาได้

"จะนอนได้รึยังครับ"คนตัวสูงพยักหน้ารับก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่ากลัวหายหรือกลัวโดนต่อยอีกรอบกันแน่



...แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วง คือเรื่องของวันพรุ่งนี้ต่างหาก...ผมได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างราบรื่น ไม่ใช่แค่เรื่องของผมเอง แต่ยังรวมถึงเรื่องการจัดงานเลี้ยงคณะทูต...ใครๆต่างก็รู้ดีถึงกิตติศัพท์ความดื้อรั้นเอาแต่ใจของเจ้าพระยาเดโช...ผมได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้ท่านจะยอมฟังความเห็นจากเจ้าคุณไพศาลบ้าง...ท่านลงแรงกับงานนี้ไปมากจนผมไม่อยากให้มันเสียเรื่องเพียงเพราะความเอาแต่ใจของคนเพียงคนเดียว


...ส่วนเรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่าน...มีทั้งเจ้าคุณไพศาลและหลวงพิสิษฐไปด้วยแบบนี้...เขาคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่าม...



...ถ้าผมไม่ประเมินเขาต่ำเกินไป...


...........................................................................................


มาสายไปสองวัน อย่าเพิ่งลงหวายบ่าวนะเจ้าคะ  :sad4: :sad4: :sad4:
หายไปสองอาทิตย์หวังว่าคุณผู้อ่านยังไม่ลืมพี่แก้วกับน้องธีร์กันนะคะ


กราบแทบอกคุณผู้อ่านทุกท่าน ฝากตอนนี้ด้วยค่า  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 02-09-2014 14:31:54
แปะ เดี๋ยวมาอ่านค่ะ อยู่ข้างนอก อ่านไม่สะดวกเลย

*edit
อื้อหือ กระอักค่ะเมื่ออ่านจบตอน
เอาแต่แรกก่อน มันน่ารัก ละมุนละไม อบอุ่นจริงๆค่ะ บรรยากาศโดยรวม
แต่เรื่องที่เจอหลวงพี่หน้าคุ้นเคยนั้น ดูราวกับเป็นปริศนา บางทีท้ายที่สุดแล้ว
ถ้าน้องธีร์ต้องกลับโลกยุคปัจจุบันเลยจริงๆ พี่แก้วอาจได้หลวงพี่พูดให้เข้าใจได้
หน่วงไปหนึ่งดอก...

ดอกแก้ว - พี่แก้ว ถึงพี่แก้วเป็นผู้ชายแต่ก็ดูเข้ากับดอกแก้วได้ดีอย่างอธิบายไม่ถูก
หรือความรู้สึกเราจะลำเอียง อวยพี่แก้วมากไปหน่อย...ไม่มั้ง555
แต่ตอนนี้ทำเอาเราอยากไปาดอกแก้วมาดมเลย

ฉากพระนายเนี่ย มันละมุนจริงๆนะ รู้สึกว่าพี่แก้วละมุนอ่ะ
มันแบบทำเราเขินทุกที ยิ้มทุกครั้งที่อ่าน แม้จะยังไม่มีอะไรเกินเลยก็ตาม
me\จับน้องธีร์ห่อของขวัญผูกโบว์ถวายพี่แก้ว
เพราะพี่แก้วดูช่างทีความอดทนต่อสิ่งยั่วยวนอย่างน้องธีร์เสียจริง

แต่ตอนต่อไปช่างน่ากลัวนัก มาขึ้นต้นเรื่องความสุข-ความทุกข์
อยู่กับเราไม่นาน มีมามีไป มาเลยค่ะ หน่วงดอกที่สอง...
วันพรุ่งนี้จะเป็นไงเนี่ย ความรู้สึกบอกเลยว่าอาจเป็นชนวนของมาม่าชามใหญ่ของเรื่องอยู่เหมือนกัน
ถ้าไม่นับเรื่องย้อนอดีต-กลับปัจจุบันให้คนอ่านได้พึงระลึกถึงความไม่แน่นอนตรงนี้ไว้เสมอน่ะนะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ แล้วตอนต่อไปจะมาเร็วมั้ยน้า

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 02-09-2014 16:49:51
หวานกันน้ำตาลจืดเลยอ่ะตอนนี้
อยากซุกอกพี่แก้วบ้างอะไรบ้าง :กอด1:

รอร๊อรอรอรอรอครับ
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-09-2014 17:08:34
ดีใจ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 02-09-2014 19:46:29
คิดถึงพี่แก้วใจจะขาด หวังว่าตอนต่อไป หลวงหื่นจะไม่ทำอะไรพ่อธีร์นะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-09-2014 20:08:18
คนแต่งหายไปนานจริงๆ ค่ะ  คิดถึงพ่อธีร์

ชอบฉากหวานๆ แบบนี้  :3123:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 02-09-2014 20:44:59
หวานมาก~  เขินเลย

คนเขียนไปไหนมาเอ่ย คิดถึงมากๆ เหนื่อยไหม นวดให้ นวดๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 02-09-2014 22:32:36
พี่แก้ววววววววววววววน้องคิดถึงงงงง
ยังสติลเป็นผชอบอุ่นของธีร์เสมอออ
ตอนหน้ามีศึกชิงนายแน่เลย
อีตาลูกพระยาเดโชแผลงฤทธิ์แน่ๆ
เผื่อพี่แก้วจะได้บู๊ค่ะ 55555555555555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-09-2014 00:49:33
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: s.mosis ที่ 03-09-2014 11:12:45
โดนลงหวาย 50 ที บัดเดี๋ยวนี้ :m16: :fire:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 07-09-2014 21:33:36
สนุกมากกกกกกกก เราไปอยู่ที่ไหนมาถึงเพิ่งได้อ่าน อ่านรวดเดียวตามทันแล้ว
เรารออยู่นะตะเอง
หัวข้อ: The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 07-09-2014 23:00:45
หวานนนน เหลือเกินนะพี่แก้ว ทำเราเขินตามพ่อธีร์ได้ตลอด ๆ จริง ๆ ผู้ชายคนนี้นี่  :-[
แต่ในความหวาน ก็ยังมีเรื่องอนาคตของทั้งคู่ให้กังวลอยู่ด้วยอ่ะ ฮือ
หลวงพี่ที่ได้พบนี่ เป็นบรรพบุรุษของหลวงพี่ที่อานิดพาน้องธีร์ไปพบหรือเปล่านะ
คนเราฝืนชะตาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ชะตาชีวิตของน้องธีร์ ได้อยู่กับพี่แก้วที่นี้เถอะน้า
รอตอนต่อไปจ้า พี่แก้วปกป้องน้องธีร์จากหลวงหื่นให้ดี ๆ นะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 14-09-2014 01:26:35
 o13 ในที่สุดก็ตามอ่านทัน สนุกมาเลยค่ะ

รอตอนต่อไปน้าา :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: sm37an2j2 ที่ 14-09-2014 01:42:37
รออยู่นะคับ เปนกำลังใจไห้ ถ้ามาเมื่อไหร่ บอกด้วย :mew2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 14-09-2014 14:26:28
บอกได้คำเดียวสนุกมากๆ ชอบภาษา ชอบทุกอย่างเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๕ up ๐๒/๐๙/๕๗ [P.9]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 17-09-2014 01:43:31
กราบสวัสดีมิตรรักผู้ติดตามทุกท่านค่ะ (ใครเค้าติดตามแก มโนป่าว  :mew5:)
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่ยังรอคอยพี่แก้วกับน้องธีร์ไม่หนีกันไปไหนนะคะ อยากบอกว่าดีใจมากที่ยังมีคนติดตามกัน (เห็นยอดวิวเกินหมื่นแทบจุดพลุฉลอง ><')

แจ้งข่าวการอัพตอนต่อไปนะคะ ตอนนี้กำลังปั่นอยู่ใกล้จบตอนแล้วค่า คาดว่าไม่เกินวันอาทิตย์จะมาลงได้
แอบรู้สึกผิดที่เว้นระยะนานไปนิดกว่าจะมาต่อแต่ละตอน แต่สัญญาว่าจะพยายามอัพให้ต่อเนื่องนะคะ :mew2:

สุดท้าย ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่ฝากกันไว้ ถึงจะไม่ได้ตอบแต่ได้อ่านทุกข้อความนะคะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...แจ้งข่าวอัพตอนต่อไปค่ะ...
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกลิงแสดงตัว ที่ 18-09-2014 11:24:57
รออยู่นะคะ
ปล.พี่แก้วน่ารักมากมาย  :o8:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...แจ้งข่าวอัพตอนต่อไปค่ะ...
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 20-09-2014 19:14:13
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...แจ้งข่าวอัพตอนต่อไปค่ะ...
เริ่มหัวข้อโดย: MiniMick00 ที่ 21-09-2014 07:43:01
รอนะคะ สนุกมากคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...แจ้งข่าวอัพตอนต่อไปค่ะ...
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 22-09-2014 06:03:41

ตอนที่ ๒๖...ธาราไหลริน...


"เจ้าคุณท่านได้โปรดฟังกระผมบ้างเถิดขอรับ"น้ำเสียงอ่อนน้อมเอ่ยร้องขอผูู้มีศักดิ์สูงกว่า

"กล่าวเช่นนี้จักหาว่าฉันเป็นตาแก่หัวรั้นมิฟังความใครรึ"หากแต่ถูกตอบกลับด้วยเสียงแข็งกระด้างเจือความไม่พอใจอย่างหนัก

"หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ขอรับ กระผมเพียงขอให้เจ้าคุณท่านรับฟังเหตุผลของทางกระผมบ้าง"

"เรื่องนี้มิใช่การตัดสินใจของฉัน ทูลกระหม่อมทรงมีรับสั่งเช่นนี้ หากเจ้าคุณไพศาลอยากแก้ไขก็ไปกราบทูลเองเถิด"

"กระผมเชื่อว่าหากเจ้าคุณท่านเป็นผู้ทูลให้ทราบโดยตรงท่านต้องรับฟังเป็นแน่ขอรับ"

"คำสั่งมีมาเช่นนี้ จักให้ฉันไปกราบทูลเรื่องใดอีก เรื่องการจัดงานฝ่ายกรมวังก็ทำได้อย่างครบถ้วนมิมีข้อบกพร่อง เห็นทีฝ่ายที่มีปัญหาจักมิใช่ทางฉันเสียกระมัง"

"กระผมมิได้ตำหนิการจัดงานของฝ่ายกรมวังแม้แต่น้อย กระผมเพียงอยากขอให้เจ้าคุณท่านพิจารณาเรื่องสถานที่จัดงานขอรับ"



บทสนทนาที่ดุเดือดราวกับการโต้วาทีชิงแชมป์โลกเริ่มขึ้นได้สักพักและยังไม่มีท่าทีจะจบลงโดยง่าย ด้วยต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้กันเสียที...ฝั่งหนึ่งคือเจ้าพระยาฝ่ายกรมวังผู้รับหน้าที่หัวเรือใหญ่ในการเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากฝรั่งเศส...อีกฝั่งคือพระยาฝ่ายกรมการต่างประเทศผู้มีหน้าที่รับรองแขกโดยตรง


ส่วนผม...นายชลนธีร์...ผู้ชายธรรมดาๆที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับงานนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เพราะคำขอของพระยาไพศาลราชวราการแห่งกรมการต่างประเทศจึงต้องจำใจกลับมาเหยียบเรือนนี้อีกครั้งแม้ไม่เต็มใจนัก...ใครจะอยากกลับมาในเมื่อครั้งแรกนั้นได้รับการต้อนรับที่สุดแสนประทับใจ...ทั้งสายตาเหยียดหยาม คำพูดถากถาง หรือแม้แต่กริยาอาการดูถูกดูแคลนจากเจ้าของเรือน...ซึ่งการมาเยือนของผมในครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่...เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าขึ้นเรือนมาก็ได้รับการต้อนรับด้วยปลายสายตาของเจ้าของเรือน...แถมด้วยคำพูดทักทายที่ช่างน่าประทับใจอย่างประโยคที่ว่า


'ถึงกับต้องยกพวกมาขู่กันเชียวรึ'


ที่ทำให้เจ้าคุณไพศาลหน้าเสียไม่น้อย...และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตลอดการสนทนา ผมจะทำได้เพียงนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัว...แม้บางครั้งอยากจะลุกขึ้นขัดเจ้าของเรือนบ้าง แต่ก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้เพราะคิดว่าคงไม่เป็นผลดีต่อเจ้าคุณไพศาลเองด้วย


"ลานหน้าสระบัวหลวงออกกว้างขวางแลงดงาม ฉันมิเห็นว่ามันจักเป็นปัญหา"เจ้าคุณไพศาลถึงกับจนด้วยคำพูดเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานเสียงแข็ง เพราะไม่ว่าจะยกเหตุผลใดขึ้นมาก็เป็นอันต้องถูกอีกฝ่ายโต้กลับเสียทุกทีไป


"เจ้าคุณท่านขอรับ"คนตัวสูงที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นบ้าง

"เอ็งไม่เกี่ยว นี่มันเรื่องของฝ่ายกรมวังกับกรมการต่างประเทศ"แต่ก็ถูกสวนกลับทันทีด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวของเจ้าพระยาเดโช...โชคดีที่ทั้งเจ้าคุณไพศาลและหลวงพิสิษฐยังใจเย็น ไม่เช่นนั้นคงมีการวางมวยกันตั้งแต่มาถึง

"พ่อแก้วช่วยกระผมเรื่องงานนี้มากอยู่ เจ้าคุณท่านฟังพ่อแก้วเสียหน่อยเถิดขอรับ"เจ้าของเรือนเพียงปรายตามองด้วยสายตาไม่พอใจนัก แต่ยังเงียบไว้เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายพูดต่อได้


"เรื่องสถานที่ กระผมเกรงว่ามิเหมาะสมด้วยเป็นเขตพระราชฐาน ตามกำหนดเดิมเพียงให้คณะทูตเข้าเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงแล้วจึงโปรดเกล้าให้จัดงานเลี้ยงภายในพื้นที่ของกรมการต่างประเทศขอรับ"คุณหลวงหนุ่มอธิบายอย่างนอบน้อมหากแต่มีเหตุผลที่ชัดเจนจนอีกฝ่ายมีสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

"เช่นนั้นข้ามิต้องเตรียมสถานที่ถึงสองแห่งรึ"

"ธรรมเนียมปฏิบัติมีมาแต่โบราณ การรับรองแขกบ้านแขกเมืองมิสมควรจัดภายในเขตพระราชฐานด้วยว่าคณะที่เดินทางมานั้นเป็นเพียงเอกอัคราชทูต มิใช่บุคคลชั้นเจ้านายขอรับ"แม้จะไม่ได้ทำงานสายนี้โดยตรง แต่ความรู้เรื่องงานการต่างประเทศของหลวงพิสิษฐก็ไม่เป็นรองใครเพราะใกล้ชิดเจ้าคุณไพศาลมาตั้งแต่เล็กจึงได้รับการถ่ายทอดความรู้มาเป็นอย่างดี

"อีกทั้งการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของกรมการต่างประเทศ การที่สมเด็จท่านมีรับสั่งให้ฝ่ายกรมวังลงมาช่วยดูแลนั้นถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ด้วยว่างานเลี้ยงครั้งนี้อาจส่งผลต่ออนาคตของสยามประเทศก็เป็นได้ขอรับ"น้ำเสียงนอบน้อมหากแต่ทุกถ้อยคำเชือดเฉือนคนฟังจนหน้าเสีย...ใครๆก็รู้ดีว่างานเลี้ยงทูตในครั้งนี้ขึ้นตรงต่อกรมการต่างประเทศ เพียงแต่พระพุทธเจ้าหลวงทรงโปรดเกล้าฯให้ขุนนางฝ่ายกรมวังบางท่านลงมาช่วยดูแลความเรียบร้อยเพราะเมื่อพูดถึงการจัดงานเลี้ยงหรืองานพระราชพิธีแล้วนั้นจะหาฝ่ายใดทำได้ดีกว่าฝ่ายกรมวังเห็นทีจะไม่มี...แต่การที่ลงมาช่วยงานแล้วถืออำนาจตัดสินเด็ดขาดเพราะถือว่าตนมีศักดิ์สูงกว่านั้น เห็นทีจะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครยอมได้

"เช่นนั้นก็ทำกันเอง จักมาให้ข้าช่วยทำไม"น้ำเสียงแข็งกร้าวไม่พอใจจากเจ้าของเรือนดังก้อง...แม้จะเสียหน้าแต่จะให้ยอมแพ้ก็คงไม่ใช่เจ้าพระยาเดโชเสียล่ะ

"หามิได้ขอรับ เจ้าคุณท่านเชี่ยวชาญการจัดงานพระราชพิธียิ่งกว่าผู้ใด หากขาดเจ้าคุณท่านไปเสีย งานในครั้งนี้เห็นทีจะไม่สำเร็จเป็นแน่"คำพูดยกยอทำเอาเจ้าของเรือนเงียบลงได้บ้าง...ส่วนเจ้าคุณไพศาลเองก็ได้แต่ยิ้มอย่างพึงใจเพราะสติปัญญาของหลวงพิสิษฐช่วยแก้ไขสถานการณ์ตึงเครียดนี้ได้ดีทีเดียว

"เรื่องลานริมสระบัวหลวงนั้น หากเจ้าคุณท่านช่วยกราบทูลให้ทรงทราบ ทูลกระหม่อมต้องทรงเข้าใจเป็นแน่ขอรับ"ปิดท้ายด้วยประเด็นโต้แย้งที่ถกเถียงกันมาเสียนาน...แว่วเสียงถอนหายใจยาวอย่างไม่ค่อยพอใจนักจากเจ้าของเรือน

"ฝ่ายจัดงานพูดมาถึงเพียงนี้ ข้าจักทำอะไรได้"เพราะดื้อแพ่งต่อไปคงไม่มีประโยชน์ เจ้าพระยาผู้สูงศักดิ์จึงยอมยกธงขาวแต่โดยดี

"ขอบพระคุณเจ้าคุณท่านมากขอรับ กระผมแน่ใจว่างานครั้งนี้ต้องสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเพราะมีเจ้าคุณท่านคอยช่วยเหลือ"เจ้าคุณไพศาลรีบสำทับ...เป็นอันว่าการมาเยือนเรือนเจ้าพระยาเดโชในวันนี้ไม่เสียเปล่า เหลือก็แต่รอให้ถึงวันงาน...เพราะปัญหาใหญ่ไม่ได้มีเพียงแค่สถานที่จัดงานแต่ยังรวมไปถึงการรับมือกับคณะทูตจากฝรั่งเศสที่ใครๆก็ต่างรู้ดีว่ากำลังต้องการขยายอำนาจเข้ามาในประเทศสยาม...หากมีข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดคงถูกนำมาเป็นข้อพิพาทเป็นแน่


"เจ้าคุณท่านขอรับ กระผมยังมีเรื่องรบกวนปรึกษาเจ้าคุณท่านอีกเรื่องขอรับ"ดูท่าเจ้าของเรือนจะหงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องมานั่งถกปัญหากันแต่เช้าจนตอนนี้ก็ยังไม่จบ

"มีอะไรก็ว่ามา"น้ำเสียงห้วนตอบกลับ พลางเอนตัวพิงหมอนอิงทรงสามเหลี่ยมข้างกาย

"พ่อแก้ว พ่อธีร์ เราขอปรึกษางานกับเจ้าคุณท่านสักประเดี๋ยว"ได้ยินดังนั้นพวกผมจึงขอตัวลงมารอด้านล่างแทน ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาคุยงานกันต่อไป



"กว่าจะยอมกันได้นะครับ"บ่นอุบทันทีที่ลงมาจากเรือน...เพราะสถานการณ์เมื่อครู่ทำให้ผมอึดอัด อดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าคุณไพศาลขอให้ผมมาด้วยทำไมทั้งที่ผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย แถมยังนั่งเงียบเป็นคนใบ้ตั้งแต่ไปถึง

"เจ้าคุณท่านเป็นคนหัวรั้นแลยังมีศักดิ์สูงกว่า จะให้ยอมฟังผู้น้อยเป็นเรื่องยาก"คนตัวสูงตอบกลับเสียงเรียบ หากแต่มีสีหน้าโล่งใจขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อตอนอยู่บนเรือน

"ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าคุณกับคุณหลวงเลย"หลายครั้งที่นึกอยากแทรกความคิดของตนเองระหว่างบทสนทนา แต่เพราะสถานการณ์ตึงเครียดจนแม้แต่หลวงพิสิษฐเองยังต้องรอจังหวะที่เหมาะสม ผมเองจึงได้แต่นั่งเงียบมาตลอด

"พ่อธีร์ไม่ต้องกังวลไป ขอเพียงเจ้าคุณท่านเปลี่ยนใจก็พอแล้ว"ใบหน้าเจือรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคยราวกับจะปลอบใจ

"แต่ผมสงสัยอย่างนึง"อีกฝ่ายเพียงหันมามองหน้าเป็นเชิงถาม

"ถ้าคนที่รับผิดชอบงานนี้คือฝ่ายต่างประเทศ แล้วทำไมทูลกระหม่อมที่เป็นเสนาบดีกรมวังถึงอนุญาตให้เจ้าพระยาเดโชจัดงานที่ริมสระบัวทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเขตพระราชฐานล่ะครับ"แว่วเสียงอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆแล้วก็ยิ่งสงสัยหนัก

"เพราะเจ้าคุณท่านกราบทูลว่าเป็นคำขอจากกรมการต่างประเทศน่ะซี"ผมได้แต่เบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน

"อันที่จริงการจัดงานริมสระบัวหลวงนั้นสามารถทำได้เพราะเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก เพียงแต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงเพราะอย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าเขตพระราชฐาน หากมีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นความผิดคงไม่พ้นตกมาที่ข้าหลวงฝ่ายกรมการต่างประเทศซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง เจ้าคุณไพศาลท่านจึงไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้"

"แล้วเจ้าพระยาเดโชจะทำแบบนี้ไปทำไมครับ"ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ฟัง

"ความขัดแย้งในหมู่ข้าหลวงมีอยู่ทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่คนดีอย่างเจ้าคุณไพศาล"สีหน้าเป็นกังวลของเขาพาลเอาผมไม่สบายใจตามไปด้วย

"ท่านทั้งสองเคยมีปัญหากันเหรอครับ"

"เห็นว่าอย่างนั้น แต่เจ้าคุณท่านไม่เคยเล่าให้ฟังหรอก มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่"ผมไม่แปลกใจถ้าเจ้าพระยาเดโชจะมีปัญหากับใครต่อใครเพราะลักษณะท่าทางของท่านดูเป็นคนแบบนั้น แต่กับเจ้าคุณไพศาลนี่สิที่แปลก แม้จะได้รู้จักท่านเพียงไม่นานแต่ผมก็พอรู้นิสัยของท่านดี


นั่งรอด้านล่างสักพักเจ้าของเรือนก็ให้บ่าวลงมาตามไปร่วมสำรับกลางวัน...ซึ่งผมก็ดูออกว่าเป็นเพียงแค่คำชวนตามมารยาทเท่านั้น เพราะคนอย่างเจ้าพระยาเดโชคงไม่อยากร่วมวงอาหารกับคนธรรมดาอย่างผมนัก...กลับขึ้นมาบนเรือนเห็นบ่าวไพร่ยกสำรับมาพร้อมสรรพ...เจ้าของเรือนและเจ้าคุณผู้มาเยือนยังคงนั่งอยู่ที่เดิม...แต่ที่สะดุดตาผมกลับเป็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ...ผิวของเธอขาวต่างจากหญิงสาวชาวพระนครทั่วไป ใบหน้าหวานระเรื่อรับกับผมดำยาวถึงกลางหลัง สไบสีม่วงอ่อนตัดกับโจงกระเบนสีน้ำเงินที่เธอสวมอยู่ยิ่งขับให้ผิวขาวของเธอเด่นชัด...หากให้ผมเปรียบเทียบความงามก็คงต้องบอกว่าใกล้เคียงกับคุณพิกุลเลยทีเดียว...หญิงสาวยกมือไหว้หลวงพิสิษฐอย่างนอบน้อมเมื่อได้พบกัน

"พ่อธีร์คงยังมิเคยพบคุณเดือน เธอเป็นภรรยาของพ่อเจษฎ์"คำพูดของเจ้าคุณไพศาลทำเอาผมเกือบแหกปากลั่น...เคยได้ยินมาว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพระยาเดโชแต่งงานแล้ว แต่ไม่คิดว่าภรรยาของไอ้หลวงหื่นกามนั่นจะสวยขนาดนี้...หญิงสาวเจ้าของชื่อเดือนเพียงยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้มหวาน

"นี่พ่อธีร์ เราให้มาช่วยงานราชการพ่อแก้วที่เรือน"กลับเป็นเจ้าคุณไพศาลเสียเองที่เป็นฝ่ายแนะนำ ส่วนเจ้าของเรือนเอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่พวกผมเดินขึ้นมา...สงสัยเถียงกันมาตั้งแต่เช้าจนท่านเหนื่อยจะพูดเสียแล้ว
"พ่อเจษฎ์ไม่อยู่หรือขอรับ"เจ้าคุณผู้มาเยือนเอ่ยถาม เมื่อบนเรือนไร้วี่แววลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพระยาเดโช

"อยู่ที่เรือนแพริมน้ำ ให้บ่าวมันไปตามอีกประเดี๋ยวคงมา"ยังไม่ทันขาดคำดี ร่างสูงใหญ่ของลูกชายเจ้าของเรือนก็โผล่พ้นซุ้มประตูเรือนเข้ามา...ใบหน้าฉายแววไม่พอใจที่ถูกผู้เป็นพ่อตามตัวขึ้นมาบนเรือน เพราะจากที่ได้ยินมาแกชอบใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนแพริมน้ำเสียมากกว่า เหตุเพราะไกลหูไกลตาเจ้าพระยาผู้เป็นพ่อ

"สวัสดีขอรับเจ้าคุณไพศาล สวัสดีหลวงแก้ว...พ่อธีร์ก็มาด้วยรึ"ท้ายประโยคหันมาแสยะยิ้มน่ารังเกียจให้เช่นเคย...เห็นทีมื้อนี้ผมจะกินอะไรไม่ค่อยลงเพราะได้รับเกียรติให้ร่วมวงอาหารกับไอ้หลวงหื่นกามหน้าโหดนี่


...สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ขณะร่วมวงอาหารคือท่าทีของคุณเดือนที่มีต่อสามีของเธอ...เพราะมันดูห่างเหินจนน่าแปลก...ผมเคยได้ยินมาว่าผู้หญิงในสมัยนี้มักถูกจับคลุมถุงชนเรื่องคู่ครอง...แต่อย่างน้อยการได้ใช้ชีวิตร่วมกันทุกวันก็น่าจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาดีขึ้นบ้าง...กรณีของคุณเดือนกลับตรงกันข้าม...ท่าทีของเธอที่มีต่อหลวงเจษฎ์นั้นเฉยชาราวกับคนแปลกหน้า...ส่วนสามีของเธอนั้นก็ไม่ต่างกันเพราะถึงแม้จะมีภรรยาคนสวยนั่งอยู่เคียงข้าง แต่ไอ้หมอนี่กลับนั่งจ้องหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มน่ารังเกียจมาให้จนผมแทบกินข้าวไม่ลง...ยังดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น นอกจากคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างผม...ดวงตาคมปรายมองเป็นระยะหากแต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้มขณะสนทนากับเจ้าพระยาเจ้าของเรือน...


ดูท่าว่าธุระของเจ้าคุณไพศาลกับเจ้าพระยาเดโชยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จท่านยังขอปลีกตัวเพื่อคุยงานกันต่อ ทั้งที่เจ้าของเรือนเองก็ดูไม่ค่อยเต็มใจนักแต่เห็นทีคงเป็นธุระสำคัญที่บ่ายเบี่ยงไม่ได้...คุณเดือนขอตัวลงไปตรวจดูความเรียบร้อยที่โรงครัว ส่วนผมกับหลวงพิสิษฐได้แต่ลงมารอด้านล่างเช่นเคยโดยมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพระยาเดโชตามติดลงมาด้วย

"ได้ยินว่าพ่อธีร์มาอยู่พระนครได้ไม่นาน ได้ออกไปไหนบ้างหรือยัง"วันนี้ไอ้หลวงนี่มาแปลก เกิดนึกอยากคุยกับผมดีๆขึ้นมา

"ไปมาบ้างครับ"ตอบกลับโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย

"วันหลังพี่จะพาพ่อธีร์ไปเที่ยว พ่อธีร์จะได้ชมความงามของพระนครให้เต็มตา"ผมจำได้ว่าผมเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่มีน้องที่ไหนแล้วไอ้คำพูดตีสนิทราวกับรู้จักกันมาสามชาติเศษนี่มันคืออะไรครับ

"รบกวนหลวงเจษฎ์เปล่าๆครับ อีกอย่างช่วงนี้ผมมีงานต้องทำอีกเยอะคงไม่มีเวลา"ได้แต่สาวเท้าตามหลังคนตัวสูงที่เดินนำไปทางศาลาริมน้ำข้างเรือนเพราะดูท่าธุระของผู้ใหญ่ทั้งสองท่านคงยังไม่จบลงง่ายๆ

"ทำแต่งานทุกวันไม่เบื่อรึ ออกไปเที่ยวเล่นพักผ่อนเสียบ้างเถิด"ผมว่าผมก็ปฏิเสธไปชัดเจนแล้วทำไมหมอนี่ยังไม่เข้าใจอีกนะ

"หน้าที่ก็ต้องสำคัญกว่าการเที่ยวเล่นสิครับ หรือหลวงเจษฎ์เห็นแก่เที่ยวมากกว่า"อีกฝ่ายถึงกับยิ้มค้างเมื่อได้ยินคำถาม แต่ยังคงพยายามปั้นแต่งสีหน้าให้เป็นปกติ

"โถ ทำไมพูดเช่นนั้น พี่เองก็ไม่ใช่คนเห็นแก่เที่ยวมากกว่างานเสียหน่อย"ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับเพียงเหลือบมองหลวงพิสิษฐเป็นระยะ...ท่าทีของเขายังคงเป็นปกติ สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ สองเท้ายังคงก้าวตรงไปยังศาลาริมน้ำเบื้องหน้าที่ผมเพิ่งสังเกตว่ามันตั้งอยู่ไม่ไกลจากเรือนแพของลูกชายเจ้าของเรือนมากนัก

"เห็นทีเจ้าคุณพ่อแลเจ้าคุณไพศาลคงมีธุระสะสางกันอีกนาน อย่างไรเสียพี่ขอเชิญพ่อธีร์ไปพักผ่อนที่เรือนแพของพี่ก่อนเถิด"ริมฝีปากหนายกยิ้ม หากแต่ผมไม่คิดว่ามันน่ามองแม้แต่น้อย

"ขอบคุณมากครับแต่ผมว่าศาลานี่ก็เย็นสบายดี ผมไม่รบกวนดีกว่า"ว่าพลางทิ้งตัวลงบนม้านั่งในศาลา

"ปัดโธ่ ศาลาไม้หลังเท่านี้จะไปเย็นสบายเท่าเรือนแพริมน้ำของพี่ได้อย่างไรเล่า"


"เกรงว่าจะเป็นการรบกวนหลวงเจษฎ์เสียเปล่า อีกอย่างศาลานี้ลมโกรกเย็นสบายดี เรากับพ่อธีร์รอที่นี่จะสะดวกกว่า"กลายเป็นคนตัวสูงที่เงียบอยู่นานตอบกลับแทนจนอีกฝ่ายได้แต่นิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ

"ข้าถามพ่อธีร์ เอ็งเกี่ยวอะไรด้วย"น้ำเสียงแข็งกระด้างไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อดังขึ้น ผิดกับท่าทีสุภาพเมื่อครู่ลิบลับ

"เราเพียงเห็นว่าพ่อธีร์ไม่เต็มใจ ไม่ได้มีเจตนาก้าวก่าย"น้ำเสียงเรียบเอ่ยตอบ เหลือบไปเห็นลูกชายเจ้าของเรือนกำมือแน่นด้วยความโกรธ

"อย่าให้มันมากนักหลวงแก้ว พ่อธีร์ยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่เต็มใจ"แล้วไอ้ที่ผมพยายามปฏิเสธเป็นสิบรอบนั่นเขาเรียกว่าเต็มใจหรือไงวะ

"ผมรอที่นี่ดีกว่าครับ ไม่ค่อยชอบที่อุดอู้"คนตัวใหญ่ได้แต่หันกลับมามอง...แววตาแข็งกร้าวด้วยความไม่พอใจที่ถูกตอกกลับจนเสียหน้า

"ปฏิเสธกันถึงเพียงนี้พี่จะว่ากระไรได้"มือใหญ่กำแน่นจนสั่น ก่อนจะหันหลังกระแทกเท้าปึงปังเดินกลับไปที่เรือนของตน...ผมได้แต่ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกก่อนจะลุกมานั่งบนมานั่งฝั่งตรงข้ามข้างคนตัวสูงที่นั่งเงียบตั้งแต่เมื่อครู่

"เป็นอะไรรึเปล่าครับ"ขมวดคิ้วมุ่นพลางมองหน้าอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่านิ่งไปเสียนาน

"ดูท่าหลวงเจษฎ์คงไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น ประกายสั่นระริกในแววตาคมนั้นทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังไม่สบายใจ

"คิดมากไปมั้งครับ ไม่มีอะไรหรอก"พูดเพียงเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวลเพราะรู้ดีว่ามันเป็นอย่างที่เขาว่า...คนอย่างหลวงเจษฎารังสรรคงไม่ยอมหยุดเพียงเพราะคำพูดตรงไปตรงมาของผม...ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่เจ้าคุณไพศาลจะคุยงานเสร็จจะได้รีบกลับกันเสียที


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...แจ้งข่าวอัพตอนต่อไปค่ะ...
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 22-09-2014 06:05:55
นั่งรอที่ศาลาริมน้ำได้ไม่นาน บ่าวผู้หญิงร่างผอมบางก็เดินตรงเข้ามาหา...ท่าทีของเธออ่อนน้อมขัดกับสีหน้าเป็นกังวล

"คุณหลวงเจ้าคะ...คุณเดือน...ให้บ่าวมาเชิญคุณหลวงไปพบที่ท่าน้ำเจ้าค่ะ"ผมได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยิน ผิดกับอีกฝ่ายที่ไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจแม้แต่น้อย

"ไปเถิดพ่อ"ลุกขึ้นยืนพลางหันมามองผมที่ยังมีเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเร่อแปะอยู่กลางหน้าผาก หากแต่ท่าทีอึกอักของบ่าวคนเดิมทำให้เขาชะงักไป

"คุณเดือนเธอขอให้คุณหลวงไปพบตามลำพังเจ้าค่ะ"สีหน้าของเธอเป็นกังวลซึ่งผมเองก็พอเข้าใจได้...การที่สะใภ้ของเรือนให้คนมาเชิญแขกหนุ่มไปพบตามลำพัง ต่อให้เป็นที่รโหฐารก็คงไม่ใช่เรื่องเหมาะสม...คนตัวสูงได้แต่ขมวดคิ้วแน่น ดูท่าเขาเองก็หนักใจไม่แพ้กัน

"เอ็งไปเรียนคุณเดือนว่าประเดี๋ยวข้าจะตามไป"หญิงสาวร่างผ่ายผอมพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับไปทางหน้าเรือน...แว่วเสียงถอนหายใจเบาจากคนตัวสูงยิ่งทำให้ผมสงสัยหนัก

"คุณหลวงรู้จักกับคุณเดือนเหรอครับ"ปากที่ไวกว่าใจโพล่งถามออกไปทันที

"แม่เดือนเป็นลูกสาวคุณพระคนสนิทของเจ้าคุณไพศาล"คำตอบที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ผมอยากรู้นัก

"แล้ว..."อยากถามออกไปตรงๆว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เชิญให้ไปพบสองต่อสอง แต่รู้ว่าไม่ควรเลยได้แต่เงียบไว้

"พ่อธีร์อยากรู้เรื่องอะไรเราจะเล่าให้ฟัง"คนตัวสูงตอบกลับราวกับรู้ความคิดในใจจนผมได้แต่ส่ายหน้าไปมา

"ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัว..."

"ไม่ได้... หากมันทำให้พ่อแคลงใจในตัวเรา ถึงเป็นเรื่องส่วนตัวเราก็ต้องเล่า"น้ำเสียงหนักแน่นกับแววตาจริงจังขัดขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบ...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมสงสัย ถึงความสัมพันธ์ของเขากับสะใภ้ของเรือน

"งั้นก็แล้วแต่คุณหลวง"อีกฝ่ายเพียงยืนทอดสายตาออกไปยังลำคลองสายเล็กที่พาดผ่านตรงหน้า

"เมื่อครั้งยังเล็กคุณพระพ่อของแม่เดือนฝากฝังแม่เดือนกับคุณหญิงสร้อยให้ไปเรียนรู้การบ้านการเรือนจากคุณหญิงท่านแลแม่พิกุล"ผมได้แต่นั่งเงียบขณะที่อีกฝ่ายเริ่มต้นเล่าย้อนไปถึงอดีต

"เธออาภัพนักเพราะเสียแม่ตั้งแต่ยังเล็ก คุณพระท่านก็มีงานราชการต้องดูแลไม่มีเวลาให้เท่าที่ควร ตอนนั้นเราได้พบเธอที่เรือนเจ้าคุณท่านบ่อยครั้ง เธอเป็นเด็กอ่อนน้อมถ่อมตนแลกิริยามารยาทก็งามพร้อมไม่ต่างจากแม่พิกุล"ไอ้ประโยคหลังนี่มันแปลกๆว่าไหมครับ

"คงไม่ใช่ว่าคุณพระท่านอยากได้คุณหลวงไปเป็นเขยอีกคนหรอกนะครับ"ผมยังจำได้ดีว่าเจ้าคุณทั้งสองและคุณหญิงสร้อยอยากให้หลวงพิสิษฐแต่งงานกับคุณพิกุลมากเพียงใด...แว่วเสียงคนตัวสูงหัวเราะเบา ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

"คุณพ่อของเธอหวังให้เธอได้ออกเรือนกับข้าหลวงระดับสูง ในตอนนั้นเราเป็นเพียงขุน แลยังเป็นเพียงญาติห่างๆของเจ้าคุณไพศาลไม่ได้มีฐานันดรสูงส่งเทียบเทียมบุตรชายของเจ้าพระยาเดโชได้"ผมพอเข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อย่อมอยากให้ลูกสาวได้อยู่กับคนดีมีอนาคต แต่ต้องบอกว่าคุณพระท่านคาดการณ์ผิดไปถนัดที่หวังฝากชีวิตของลูกสาวไว้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพระยาผู้สูงศักดิ์

"มัวแต่ห่วงฐานะ ไม่นึกถึงความสุขของลูกสาวบ้างเหรอไง"นึกแล้วอดอึดอัดใจแทนผู้คนในสมัยนี้ไม่ได้ที่พ่อแม่บางคนมัวแต่ยึดติดกับประเพณีคลุมถุงชนจนลืมนึกถึงความสุขของคนสองคนที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันอีกนาน

"แม้ได้ยินเสียงร่ำลือจากคนรอบข้างมาบ้างแต่เริ่มแรกนั้นหลวงแกก็มีท่าทีรักใคร่จริงใจต่อแม่เดือน เห็นว่าไปมาหาสู่ที่เรือนบ่อยครั้งจนกระทั่งคุณพระท่านวางใจยอมยกลูกสาวให้"

"ไปจีบลูกสาวเค้าก็ต้องสร้างภาพเป็นธรรมด๊า"ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง...ผู้ชายไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็เหมือนกัน...ไม่ต้องไปหาตัวอย่างที่ไหนไกล ผมเองก็เคยทำอยู่บ่อย...เขาเรียกว่าช่วงโปรโมชั่นไงครับ...ใครจะไปเผยธาตุแท้ของตัวเองต่อหน้าคนที่ชอบตั้งแต่แรกกันเล่า

"คุณพระท่านทุกข์ใจนักหลังทราบความจริงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยเกรงบารมีเจ้าคุณท่าน"ถ้าเป็นสมัยของผมแต่งงานอยู่กินกันไปถ้าไม่ถูกใจก็แค่หย่ากัน แต่ในยุคนี้เรื่องแบบนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่มีใครยอมรับกันได้

"น่าสงสารคุณเดือนนะครับ"แว่วเสียงคนตัวสูงถอนหายใจยาว

"เธอเคยเป็นเด็กสาวร่าเริง เมื่อพบกันเธอมักมีเรื่องมาเล่าให้เราหัวเราะได้เสมอ แต่หลังจากออกเรือนเธอก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน เห็นแล้วก็อดเวทนาเสียไม่ได้"


สิ่งหนึ่งที่แล่นเข้ามาในความคิดกลับไม่ใช่เรื่องของคุณพระคนสนิทของเจ้าคุณไพศาลกับลูกสาวคนสวยหรือสามีของเธอ...แต่เป็นคำพูดของหลวงพิสิษฐที่พูดออกมาต่างหาก...ท่าทางและน้ำเสียงของเขายามที่พูดถึงคุณเดือนทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ...แปลก...จนอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

"คุณหลวงเคยชอบคุณเดือนเหรอครับ"นัยน์ตาคมคู่นั้นวูบไหวหากแต่เพียงชั่ววินาทีก็กลับมาเป็นปกติ...ชั่ววินาที...ที่ทำให้ใจของผมกระตุกวูบราวกับได้ยินคำตอบโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยออกมา

"อะไรทำให้พ่อคิดเช่นนั้น"คนตัวสูงถามกลับพลางขมวดคิ้วมุ่น...จะไม่ให้ผมคิดได้อย่างไรในเมื่อน้ำเสียงของเขายามเอ่ยถึงลูกสะใภ้ของเจ้าพระยาเดโชช่างต่างจากเวลาเขาพููดถึงผู้หญิงคนอื่น แม้แต่คุณพิกุลเองก็เถอะ

"ผมถามคุณหลวงนะครับ"ผมไม่รู้ว่าควรเรียกอาการนี้ว่าอะไรดี...มันไม่ใช่อาการหึงหวงเพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะหึงไปทำไม...แต่มันเป็นความรู้สึกประหลาดใจมากกว่าที่ได้รู้ว่าเขาเองก็เคยมีคนในใจมาก่อนทั้งที่ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะแม้แต่ผมเองก็เคยมีความรู้สึกชอบใครต่อใคร เพียงแต่มันไม่ใช่ความรัก...แล้วสำหรับเขาล่ะ...มันเป็นเพียงความรู้สึกชอบ...หรือว่า...รัก


...รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าก่อนที่เจ้าของร่างสูงจะก้าวเข้ามาประชิดตัว...ดวงตาคมส่องประกายระยับเช่นเคย...

"หากเรารักแม่เดือนเราคงไม่ยอมให้เธอออกเรือนไปกับชายอื่น"ผมได้แต่ยืนสบตาอีกฝ่ายนิ่ง...คำพูดของเขาชัดเจนหนักแน่นแต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก

"พ่อธีร์"เสียงทุ้มนุ่มเรียกขึ้นคงเพราะเห็นว่าผมเงียบไป

"ครับ"

"เราเคยบอกพ่อธีร์มิใช่รึว่าพ่อธีร์เป็นคนแรกที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนี้"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางแต่กลับทำให้หัวใจของผมเต้นระส่ำ...คำพูดเดียวกันกับวันที่ผมบังเอิญเจอกระดาษที่เรียงร้อยบทกลอนสารภาพความรู้สึกของเขา...บทกลอนที่ผมได้อ่านกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ

"พ่อธีร์ไม่เชื่อเรารึ"ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้จนผมต้องเป็นฝ่ายผงะหนีเพราะกลัวว่าพวกบ่าวที่เดินผ่านมาแถวนี้จะเห็นเข้าเสียก่อน

"ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อนี่ครับ แค่..."แค่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไงครับ

"เราเอ็นดูแม่เดือนเสมือนน้องสาวคนหนึ่งไม่ต่างจากแม่พิกุล เห็นเธอทุกข์ใจเราย่อมเป็นกังวล"อย่าว่าแต่เขาที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก แม้แต่ผมที่เพิ่งได้พบเธอครั้งแรกยังรู้สึกไม่ต่างกัน...นึกด่าตัวเองในใจเป็นสิบรอบที่ถามอะไรไร้สาระออกไปทั้งที่ความจริงแล้วถึงแม้เขาจะเคยรู้สึกแบบนั้นหรือไม่ก็ตาม...มันก็เป็นเพียงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

"หากพ่อธีร์ยังแคลงใจก็ไปพบเธอกับเราเถิด"

"ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น...ก็แค่ถาม"รีบส่ายหน้าตอบทันที...เหลือบไปเห็นคนตัวสูงกลั้นหัวเราะเพราะท่าทีประหลาดของผม

"ตอนนี้ได้คำตอบหรือยังเล่า"แล้วยังน้ำเสียงยียวนนี่อีก

"ได้แล้ว...คุณหลวงก็รีบไปได้แล้วนะครับ ให้คุณเดือนรอนานคงไม่ดี"รอยยิ้มปรายยังคงเจือบนใบหน้าคม ผิดกับผมที่ได้แต่เสมองไปทางอื่นแทน

"รอตรงนี้สักครู่ เสร็จธุระแล้วจะรีบมา"ผมได้แต่ยืนมองตามแผ่นหลังกว้างขณะที่เขากำลังเดินห่างออกไปทุกทีจนลับตา...เคยคิดว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้...จริงอยู่ที่เขาเองเคยเล่าเรื่องราวต่างๆมากมายให้ฟัง ทั้งวีรกรรมในตอนเด็ก หรือแม้แต่เรื่องพ่อแม่ที่เสียไปแล้ว...หลายสิ่งที่เคยเล่าและอีกมากที่ไม่เคยพูดถึง...แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดนั้น...มันก็เป็นเพียงอดีต...อดีตที่เขาเองก็มีสิทธิ์จะเก็บเอาไว้...เหมือนกับที่ผมเองเลือกเก็บอดีตบางเรื่องไว้เพียงคนเดียว...


...เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนเข้ามาประชิดตัวจากด้านหลัง...มือใหญ่เอื้อมมาปิดปากเอาไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะส่งเสียงร้องออกมา ส่วนมืออีกข้างโฉบฉวยข้อมือทั้งสองเอาไว้แน่น...ผมได้แต่เบิกตาโพลงเพราะความตกใจและตื่นกลัวที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน...ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามดิ้นจนสุดแรงทว่าไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายมีกำลังเหนือกว่ามากนัก...ลมหายใจอุ่นพ่นรดต้นคอทำให้รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว...แว่วเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย...และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเสียงนี้มันช่างน่ากลัว

"มิต้องกลัวไปหรอกพ่อ"เสียงแหบต่ำกระซิบเบาที่ข้างหูจนผมต้องเบี่ยงหลบแต่ก็ทำได้ไม่ถนัดนักเมื่ออีกฝ่ายยังคงออกแรงขืนตัวเอาไว้...แม้ไม่เห็นหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่กล้าทำกิริยาห่ามๆภายในเขตเรือนของเจ้าพระยาเดโชนี้เป็นใคร...แต่คงจะดีกว่านี้ไม่น้อยหากตอนนี้มีเพียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าของเรือนเพียงลำพังไม่ได้มีลูกสมุนคุ้นหน้าตามติดมาด้วยอีกสองคน...ผู้ชายสองคนที่ตามติดเจ้านายของมันเมื่อตอนเจอกันที่ตลาด...คนที่ดูถูกพี่สนว่าเป็นเพียงบ่าวไร้ค่าทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำตัวมีค่าไปมากกว่าพี่สนเลยแม้แต่น้อย...สีหน้าและแววตาของพวกนั้นน่ารังเกียจไม่ต่างจากนายของพวกมัน

"อื้อออ!"มันน่าหงุดหงิดที่ผมทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ไม่เป็นศัพท์เมื่อร่างสูงใหญ่ของเขาออกแรงกึ่งดึงกึ่งลากตัวผมหลบไปทางด้านหลังของศาลาที่มีทางเดินเล็กๆทอดยาวไปจนถึงเรือนแพริมน้ำ...แม้พยายามขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายมีถึงสามคน...สิ่งที่ทำได้คือพยายามดิ้นพล่านจนสุดแรงเพราะความกลัวที่เริ่มเกาะกุมข้างในไม่อาจระงับสติและร่างกายให้อยู่เฉยได้...นึกภาวนาในใจขอให้มีใครสักคนผ่านมาเห็นเพราะอย่างน้อยคนพวกนี้ก็น่าจะเกรงบารมีเจ้าของเรือนอยู่บ้าง...แต่คำภาวนาของผมไม่เป็นผลเพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้คือเรือนแพริมน้ำหลังย่อมที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าของเรือนภูมิใจนักหนาว่าสวยงามร่มรื่น หากแต่ในสายตาของผมในตอนนี้...มันช่างน่ากลัว...เพราะผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่


"พวกเอ็งไปเฝ้าด้านหน้าไว้"เสียงทุ้มใหญ่แผดลั่นสั่งลูกสมุนอีกสองคนที่เพียงพยักหน้ารับแต่ยังหันมาแสยะยิ้มน่ารังเกียจให้ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก

"โถๆ หน้าซีดเซียวถึงเพียงนี้ กลัวพี่หรือจ๊ะ"กรอบหน้าคมชัดยื่นเข้ามาใกล้ทว่าผมไม่สามารถเบี่ยงหนีได้เพราะมือหยาบใหญ่ของเขายังคงปิดปากผมเอาไว้แน่น...ร่างสูงใหญ่ขยับประชิดจนผมรู้สึกได้ถึงผนังไม้เย็นเยียบด้านหลัง

"โอ๊ยยยย!"เมื่อเห็นจังหวะจึงกัดเข้าที่มือใหญ่จนสุดแรง...อีกฝ่ายได้แต่ร้องเสียงหลงพลางชักมือกลับ

"ทำเชี่ยไรวะ!"แผดเสียงลั่นใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธ...ความรู้สึกเคารพยำเกรงผู้เป็นพ่อของเขาหายไปจนหมดสิ้น...กับคนห่ามๆไร้มารยาทคงไม่จำเป็นต้องพูดดีใส่กัน...แต่ก็ทำได้เพียงส่งเสียงออกไปเท่านั้นเพราะมือทั้งสองข้ายังถูกรวบเอาไว้แน่นและยังร่างสูงใหญ่ของลูกชายเจ้าของเรือนที่ยืนประจันหน้าอยู่ในขณะนี้...ผมไม่รู้เลยว่าจะหาทางหนีให้พ้นจากคนตรงหน้าได้อย่างไร

"อยู่กันเพียงแค่นี้มิเห็นต้องเสียงดัง"ว่าพลางแสยะยิ้มที่ผมคิดว่าน่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต

"เชี่ยยย ปล่อยกู!"พยายามยกขาทั้งถีบทั้งเตะหวังให้หลุดจากพันธนาการแต่กลับได้ผลตรงกันข้ามเมื่อถูกอีกฝ่ายผลักตัวกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลังพร้อมกับเอื้อมมือมาปิดปากของผมเอาไว้อีกครั้ง

"พ่อธีร์นี่เหลือเกิน พี่รึอุตส่าห์ทำดีต่อพ่อถึงเพียงนี้ยังปฏิเสธกันเสียได้"ไอ้ที่มันทำอยู่เขาเรียกว่าทำดีตรงไหนวะ...ใครช่วยบอกผมที

"ในเมื่อพูดกันดีๆไม่รู้เรื่อง พี่ก็คงต้องใช้กำลัง หึหึ"เสียงหัวเราะต่ำนั่นทำให้ผมขนลุก...ใช้กำลัง...กำลังอะไรวะ...ไอ้หมอนี่คิดจะทำอะไรผม!!


...แม้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่จะมีไม่มากนักเพราะทั้งดิ้น ทั้งถีบ ทั้งเตะ จนแม้แต่ตัวเองก็แทบยืนไม่ไหวแต่ก็ยังรวบรวมแรงที่มียกเท้ากระทืบลงไปที่เท้าของอีกฝ่ายจนสุดแรงจนคนตัวใหญ่ผงะตัวถอยออกร้องโอดโอย...ชั่ววินาทีที่เป็นอิสระ...ผมเบี่ยงตัวมุดหลบร่างสูงใหญ่ของคนตรงหน้าพุ่งตัวตรงไปยังประตูเรือนแพที่อยู่แค่เอื้อม หากแต่อีกฝ่ายรู้สึกตัวคว้าข้อมือของผมเอาไว้ได้ทันจนผมเสียหลักล้มลงไปกองอยู่กับพื้น...ร่างสูงทะมึนขึ้นคร่อมอยู่ด้านบน...ข้อมือทั้งสองข้างของผมถูกรวบเอาไว้แน่นจนเกิดเป็นรอยแดง...แผ่นหลังที่กระแทกกับพื้นเรือนตอนล้มเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบ...สภาพของผมในตอนนี้เรียกได้ว่า...ไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง

"ฤทธิ์เยอะเหลือเกินนะ"

"ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยผมที!"ในเมื่อดิ้นไม่หลุดก็ต้องร้องขอความช่วยเหลือเท่านั้น...ทั้งที่มันไม่ใช่วิสัยของผม...ผมไม่ค่อยขอความช่วยเหลือใครแต่ตอนนี้ผมมองไม่เห็นทางอื่นเลยสักทาง...มันเพียงปล่อยให้ผมแหกปากโวยวายไม่หยุดหย่อน

"ช่วยด้วยโว้ยยยย!...พี่แก้ว...ช่วยธีร์ด้วยยย!"แม้แต่ตัวเองก็ไม่แน่ใจนักว่าตะโกนอะไรออกไปบ้าง เพราะความกลัวที่ก่อตัวข้างในมันทำให้สติที่เคยมีเลือนหายไปเกือบหมด

"พี่แก้วรึ..."น้ำเสียงเย็นเยียบของอีกฝ่ายทำให้ผมเงียบลงทันที...แว่วเสียงหอบหายใจของตัวเองดังไม่ขาด...สีหน้าของหลวงเจษฎ์เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่สาม...เพียงครู่เดียวก่อนจะแสยะยิ้มน่ารังเกียจออกมาเช่นเคย

"หลวงแก้วมันมีดีอะไรถึงได้เป็นที่ต้องตาใครต่อใครนัก ทั้งแม่พิกุล แม่เดือน หรือแม้แต่พ่อธีร์"ถ้าเทียบกับคนตรงหน้า...ต่อให้ยกผู้ชายมาทั้งพระนครผมก็ว่าพวกนั้นดีกว่าเห็นๆ

"ดูอย่างเมียเราสิ กับเรารึแสนเฉยชา ทีกับไอ้หลวงแก้วนั่น..."ผมได้แต่ขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินที่มันพูด...น้ำเสียงแข็งกร้าวดุดันด้วยความไม่พอใจยิ่งทำให้ผมสงสัยหนัก

"มันเองก็คงอยากตีท้ายครัวเราเสียจริง ดูสิ เพียงเราอ้างชื่อแม่เดือนก็รีบแจ้นไปหาเสียแล้ว"ประโยคที่ทำให้ผมเบิกตากว้าง...เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่การจัดฉาก...มันคืออุบายสกปรกของคนตรงหน้าที่อาศัยจุดอ่อนของภรรยาตัวเองมาใช้เป็นเครื่องมือเพียงเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ...จนถึงตอนนี้ผมแน่ใจ...ว่าคุณเดือนเธอมีใจต่อหลวงพิสิษฐไม่ผิดแน่...แต่การใช้ความรู้สึกของคุณเดือนมาเป็นอุบาย โดยเฉพาะจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอเองด้วยแล้ว...

"เลว!!!"แม้แต่คำนี้ยังน้อยไป...ผมเคยเกลียดผู้ชายคนนี้เพราะความเจ้ายศเจ้าอย่าง...เกลียดเพราะความเอาแต่ใจคิดว่าตัวเองต้องได้ในสิ่งที่ปรารถนาทั้งหมด...แต่ในตอนนี้...แม้แต่คำว่าเกลียดมันยังน้อยไป

"แม้ไม่ได้แม่พิกุลมาเป็นเมีย แต่แม่เดือนเองก็งามพร้อมไม่แพ้กัน แลยังพ่อธีร์อีก อยากรู้นักหลวงแก้วจะทำเช่นไร หึหึ"ท้ายประโยคหันมาส่งสายตาน่ารังเกียจให้

"คุณหลวงเค้าไม่ได้วิปริตเหมือนมึงหรอก ไอ้โรคจิต! ปล่อยกูนะโว้ย!"ในเมื่อดิ้นไม่หลุดก็อาศัยโวยวายเอานี่แหละวะ...ผมได้แต่ทิ้งคำถามมากมายเอาไว้เบื้องหลังเพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือทำอย่างไรถึงจะหนีพ้นคนบ้าๆแบบนี้ต่างหาก

"วิปริตรึ! ประเดี๋ยวจะได้รู้ว่าเขาเรียกวิปริตหรือไม่"ริมฝีปากหนายกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี...มือหยาบใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อผ้าป่านตัวบางจนผมสะดุ้งเฮือก...ลมหายใจร้อนพ่นรดต้นคอยิ่งทำให้ผมรู้สึกรังเกียจ หากแต่ไม่สามารถหนีไปไหนได้เมื่อร่างสูงใหญ่ของเขายังคงนั่งคร่อมอยู่ด้านบน...สิ่งที่ทำได้เพียงแค่ดิ้นขลุกขลักไปมา...ความโกรธและความกลัวเริ่มกลั่นตัวออกมาเป็นหยดน้ำใสรื้นอยู่รอบดวงตา...ผมไม่ได้อ่อนแอ...เพียงแต่ไม่มีทางออกต่างหาก

"เชี่ยปล่อยยยย!"มือใหญ่ลากสะเปะสะปะยิ่งทำให้ผมแหกปากลั่นก่อนที่ริมฝีปากหนาจะฝังลงบนไหล่ข้างซ้าย...แรงกดรุนแรงจนผมต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ...เจ็บทั้งตัวที่สะบักสะบอมเพราะพยายามต่อสู้ขัดขืน...ข้อมือที่แดงฉานเพราะถูกบีบเอาไว้แน่น...แต่ที่เจ็บกว่า...คือใจ...ความโกรธ เกลียด กลัวพร้อมกันประดังเข้ามาจนไม่อาจกลั้นน้ำตาที่รื้นอยู่กลับเข้าไปได้...ผมไม่มีเรี่ยวแรงอะไรที่จะไปต่อสู้กับคนๆนี้ได้เลย



(ต่อคอมเม้นท์ล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...แจ้งข่าวอัพตอนต่อไปค่ะ...
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 22-09-2014 06:06:49

"เพล้งงง!"เสียงแก้วตกกระทบพื้นดังจนคนตัวใหญ่ชะงักงัน...ร่างสูงใหญ่ผละออกเงยหน้ามองต้นเสียง เช่นเดียวกับผมที่เหลือบตาขึ้นมอง...คุณเดือนที่กำลังยืนมือไม้สั่นด้วยความตกใจ...สีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด...ร่างแบบบางของเธอสั่นเทิ้ม...บนพื้นมีเศษชามกระเบื้องแตกกระจายเกลื่อนไปหมด

"คุณพี่..."เสียงหวานสั่นเครือหากแต่ผู้ถูกเรียกกลับดูไม่แยแสเท่าไหร่นัก...เขาเพียงปล่อยมือที่รั้งข้อมือของผมเอาไว้พลางลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา...หากแต่ผมคงไม่อยู่รอดูดราม่าฉากใหญ่ระหว่างผัวเมียเพราะทันทีที่เป็นอิสระผมก็รีบดันตัวลุกแล้ววิ่งออกจากเรือนแพหลังนั้นทันที...เหลือบไปเห็นท่าทางตกใจของลูกสมุนสองคนที่ยืนเฝ้าหน้าประตู...แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว...เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้สติของผมหลุดกระเจิง...ความกลัวที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักเกาะกุมอยู่ข้างในจนทำให้ร่างกายสั่นไปหมด...เสื้อผ้าและผมเผ้ายุ่งเหยิงหากแต่ผมไม่สนใจมันสักนิด เพียงแค่สองเท้าที่พยายามวิ่งออกไปให้ไกลเรือนแพนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



"พ่อธีร์"เสียงนุ่มคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังจนผมต้องชะงักฝีเท้า...ร่างกายยังคงสั่นเทิ้มแต่ยังพยายามสูดหายใจลึกทำตัวให้เป็นปกติ...แว่วเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาหากแต่ผมไม่กล้าหันกลับไป

"เรากำลังไปหาที่ศาลา พ่อธีร์รีบร้อนไปไหนรึ"น้ำเสียงของเขายังเป็นปกติขณะเดินเข้ามาใกล้

"ปะ เปล่าครับ"แม้แต่การพยายามสะกดเสียงที่เปล่งออกมาไม่ให้สั่นยังทำได้ยาก

"บ่าวเรือนนี้ประหลาดนัก ให้เราไปรอที่ท่าน้ำเสียนานมิเห็นแม่เดือนจะมา"หากเป็นเวลาปกติผมคงหันกลับไปบ่นเขายาวเหยียดที่ดันตกหลุมพรางของลูกชายเจ้าพระยาผู้สูงศักดิ์เอาง่ายๆ...แต่คงไม่ใช่เวลานี้เพราะสิ่งที่ผมทำได้มีเพียงการพยายามตั้งสติและอารมณ์ของตัวเองให้เป็นปกติ

"พ่อธีร์...เป็นอะไรหรือเปล่า"เมื่อเห็นว่าท่าทีของผมแปลกไปจึงก้าวเท้ามาหยุดยืนตรงหน้าแทน...สายตาคมกริบจดจ้องก่อนจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ

"เกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อธีร์เป็นแบบนี้"หากแต่คำตอบที่ได้คือความเงียบ...ชั่วขณะหนึ่งของความคิด...คำพูดของหลวงเจษฎ์กลับลอยเข้ามา...ความสัมพันธ์ของเขากับลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าพระยาเดโชที่ผมเคยคิดว่ามันไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย...ในเวลานี้มันกลับทำให้ผมหงุดหงิด...คำพูดของไอ้หลวงหื่นนั่นมีอิทธิพลต่อจิตใจในยามนี้ของผมมากนัก...เพียงเพราะชื่อของคุณเดือนเขาถึงยอมปล่อยผมไว้เพียงลำพัง...เพียงเพราะไปหาคุณเดือนผมถึงต้องเจออะไรแบบนี้...ผมรู้ว่าความคิดนี้มันงี่เง่าและเห็นแก่ตัว...แต่ในเวลานี้ผมกลับคิดอะไรนอกเหนือไปจากนี้ไม่ได้เลย

"พ่อธีร์"น้ำเสียงห้วนกว่าเก่าดังขึ้นเมื่อไม่ได้รับคำตอบใด...เขาเพียงยกมือขึ้นหมายจะแตะที่ข้างแก้มของผมเช่นที่เคยทำมาทว่าผมกลับปัดมันออก...มือที่ปัดผ่านปกเสื้อคอจีนจนเปิดออกเผยให้เห็นร่องรอยจากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่แม้แต่ผมเองก็ไม่รู้ตัว...ดวงตาคมเบิกกว้างพร้อมกับมือใหญ่คว้าเข้าที่ปกเสื้อ...มือของเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อได้เห็นรอยแดงบนไหล่ซ้าย

"ใครทำพ่อธีร์"คิ้วดกหนาขมวดมุ่น...มือใหญ่ยังคงคว้าปกเสื้อของผมเอาไว้แน่น

"พ่อธีร์! ใครทำกับพ่อเช่นนี้"น้ำเสียงที่เคยทุ้มนุ่มน่าฟังกลับแผดกร้าวดังลั่น...สองมือจับเข้าที่ไหล่ของผมพลางเขย่าเสียจนตัวโยน...หากเป็นเวลาปกติผมคงตกใจที่ได้เห็นหลวงพิสิษฐโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ...หากแต่ไม่ใช่เวลานี้



...โดยไม่ต้องรอคำตอบ เขาเพียงผละมือออกแล้วสาวเท้ากลับไปยังทางที่ผมเพิ่งวิ่งจากมา...ร่างสูงโปร่งสาวเท้าเร็วขึ้นจนผมอดไม่ได้ที่จะเดินตามไปแม้ไม่อยากกลับไปเหยียบเรือนนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง...แว่วเสียงโวยวายของลูกสมุนทั้งสองด้านหน้าเรือนเมื่อเห็นผู้มาเยือน ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของเขาจะหายลับเข้าไปด้านใน

"หลวงแก้ว!"เสียงแหบต่ำของเจ้าของเรือนแพแผดลั่นจนแม้แต่ผมที่เพิ่งตามมาถึงยังตกใจ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของภรรยาคนสวย...ภาพแรกที่ผมได้เห็นเมื่อก้าวพ้นประตูเรือน คือร่างสูงใหญ่ของหลวงเจษฎารังสรรที่ลงไปนั่งแผ่อยู่บนพื้น...เลือดแดงสดซึมออกมาจากมุมปากจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นปาดมันออก แววตาแข็งกร้าวดุดันจ้องมองคนตัวสูงที่ยืนกำหมัดแน่นอยู่ตรงหน้า...ดวงตาคมจดจ้องอีกฝ่ายไม่วางตาเช่นเดียวกัน

"มันจะมากไปแล้วนะ ข้าจะเรียนเจ้าคุณพ่อ!"ร่างสูงทะมึนหยัดยืนประจันหน้าหากแต่อีกฝ่ายยังคงเฉย...ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจเพราะเพิ่งระเบิดอารมณ์ออกไปเมื่อครู่

"หากหลวงเจษฎ์ไม่หยุดเพียงเท่านี้ เราจะเป็นฝ่ายเรียนเจ้าคุณท่านด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นหลวงเจษฎ์ก็หาข้อแก้ต่างกับเจ้าคุณท่านเองก็แล้วกัน"คำพูดดุดันที่ทำให้ลูกชายเจ้าของเรือนชะงักไปชั่วครู่...หากเรื่องนี้ไปถึงหูเจ้าพระยาเดโช แม้เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเจ้าคุณท่านก็คงไม่อาจลำเอียงปกป้องได้

"มึง!"อารมณ์ที่ปะทุของอีกฝ่ายจนต้องปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของคนตัวสูง...มืออีกข้างง้างหมัดแน่นเตรียมเอาคืนที่เพิ่งโดนไปเมื่อครู่

"พอเถิดเจ้าค่ะ! อย่าให้เรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้เลย เท่านี้ก็อับอายกันมากพอแล้วนะเจ้าคะ"กลายเป็นคุณเดือนที่เข้ามายืนขวางเอาไว้ได้ทัน...ร่างแบบบางของเธอยังคงสั่นเทิ้มด้วยความตกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...หลวงเจษฎารังสรรเพียงปรายตามองภรรยาคนสวยด้วยสีหน้าไม่พอใจ

"ปกป้องกันถึงเพียงนี้ ยังอาลัยอาวรณ์มันอยู่งั้นรึ!"นัยน์ตาหวานฉ่ำเบิกกว้างหากแต่จนด้วยคำพูด ถึงอย่างนั้นก็ยังคงยืนขวางอยู่ตรงหน้าไม่หลบไปไหน...ภาพที่ผมเห็นยิ่งตอกย้ำความคิดที่มีต่อคุณเดือนและหลวงพิสิษฐ...ความคิดโง่ๆที่ไม่ควรเกิดขึ้นแต่ผมไม่สามารถหยุดยั้งมันได้

"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแม่เดือน แต่เป็นสิ่งที่หลวงเจษฎ์กระทำต่อพ่อธีร์ต่างหาก"คนตัวสูงตอบกลับ...แววตาดุดันของหลวงเจษฎ์ปรายตามองผมเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไปสบกับดวงตาคมของอีกฝ่าย

"ข้ายังมิได้ทำอะไรเสียหน่อย ถึงกับต้องวิ่งแจ้นไปฟ้องกันเชียวรึ"น้ำเสียงเย้ยหยันจนคนตัวสูงแทบปรี่เข้าไปประเคนหมัดให้อีกรอบถ้าไม่ติดที่คุณเดือนเธอยังยืนขวางเอาไว้

"พี่แก้ว พอเท่านี้เถิด"ดวงตากลมสวยช้อนมองอีกฝ่ายโดยไม่มีคำพูดใด...เขาเพียงลดมือลงพลางถอนหายใจยาว หากแต่สายตาคมกริบยังจดจ้องที่ตัวปัญหา ก่อนจะหันกลับฉวยข้อมือของผมให้เดินตามออกมา...แว่วเสียงเจ้าของเรือนตะโกนโหวกเหวกตามหลังไม่ขาดปากหากแต่ฝีเท้ายังคงก้าวต่อไม่หยุด...กลับกลายเป็นผมเองที่สะบัดมือนั้นออกจนอีกฝ่ายได้แต่หันมามองด้วยสีหน้าสงสัย

"เจ็บตรงไหนหรือไม่"น้ำเสียงดุดันเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติพลางไล่สายตาสำรวจไปทั่ว...มือใหญ่ยื่นมาฉวยข้อมือของผมอีกรอบเมื่อเห็นว่ามันแดงจนช้ำ

"ผมไม่เป็นไร...เจ้าคุณท่านคุยงานเสร็จรึยังครับ ผมอยากกลับแล้ว"ตอบกลับเสียงเรียบทั้งที่ความรู้สึกข้างในนั้นตีกันวุ่นวายไปหมด...ผมนึกขอบคุณอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ผมรอดพ้นจากเรื่องบ้าๆเมื่อครู่มาได้ ในขณะเดียวกันความโกรธ เกลียดที่มีต่อลูกชายเจ้าของเรือนกลับเพิ่มทวีคูณ...รวมไปถึงความรู้สึกที่มีต่อเรื่องของคนตรงหน้ากับคุณเดือน

"เมื่อครู่ท่านให้บ่าวมาแจ้งว่าให้เรากับพ่อธีร์กลับไปก่อน ประเดี๋ยวเสร็จธุุระจะให้บ่าวเรือนนี้ไปส่ง"สีหน้าของเขายังเป็นกังวล...แม้ผมไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่เรือนแพนั้น เขาเองก็คงเดาได้ไม่ยากนัก

"งั้น...ไปส่งผมที่เรือนก่อนได้มั้ยครับ"เพราะสิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้คือการได้อยู่กับตัวเองแล้วปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยไม่ต้องคิดอะไรอีกเลย

"ไปที่เรือนเราเถิด ให้เราแน่ใจว่าพ่อไม่เป็นอะไร"

"ผมไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากกลับเรือน"ตอบกลับเสียงแข็งจนอีกฝ่ายได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจำใจพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้




...ทันทีที่เรือเข้าเทียบท่าน้ำหน้าเรือนเจ้าคุณจิตราผมก็แทบกระโดดขึ้นจากเรือทันที...หันกลับไปมองคนตัวสูงที่ยังคงนั่งนิ่ง...สีหน้าของเขาเรียบเฉยยากจะคาดเดาอารมณ์เพราะตลอดทางที่กลับมาจนถึงเรือนนี้ทั้งผมและเขาต่างนิ่งเงียบไม่มีแม้บทสนทนาใดๆ

"ขึ้นเรือนไปไหว้คุณหญิงท่านก่อนมั้ยครับ"เพียงแค่คำชักชวนตามมารยาทซึ่งเขาเองก็รู้ดีเพราะเขาเพียงส่ายหน้าตอบกลับเท่านั้น

"ถ้างั้นผมไปนะครับ"


"พ่อธีร์"หันกลับไปสบกับดวงตาคมสวยที่วูบไหวเพราะความไม่สบายใจ...ผมรู้ว่าเขาเองก็รู้สึกแย่ไม่แพ้กัน...แต่ผมในตอนนี้คงไม่มีปัญญาไปดูแลความรู้สึกของใครได้...เพราะแม้แต่ความรู้สึกของตัวเอง...ผมยังดูแลไม่ได้เลย

"ไม่มีอะไร ขึ้นเรือนเถิดพ่อ"เสียงนุ่มเอ่ยตอบก่อนจะหันไปสั่งให้บ่าวพายเรือออก...ผมยืนมองเรือลำเดิมค่อยๆเคลื่อนตัวไกลออกไป...ก่อนจะหันหลังกลับเดินขึ้นเรือนบ้าง





"เฮ้ยยย! ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ"ยังไม่ทันก้าวขาพ้นบันไดเรือน ไอ้ตัวดีก็โพล่งขึ้นเสียงดัง...แชมป์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่กลางเรือนเพียงลำพัง...สีหน้าของมันตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพของผม

"เออ เกือบโดนหมามันฟัดเอา"ตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าห้อง...โชคดีที่คุณหญิงสร้อยไม่อยู่แถวนั้นเพราะผมไม่พร้อมที่จะตอบคำถามยืดยาวที่แกต้องถามแน่นอนถ้าได้เห็นสภาพของผมแบบนี้



...ประตูห้องนอนปิดลงพร้อมกับร่างของผมที่ทรุดลงแทบทันที...ผมไม่รู้เลยว่าไปเอาเรี่ยวแรงและความเข้มแข็งมาจากไหนถึงได้ประคองตัวให้เป็นปกติอยู่ได้นานขนาดนั้น ทั้งที่ความจริงแทบยืนไม่อยู่...ข้อมือแดงช้ำกับร่องรอยบนไหล่ซ้ายยิ่งตอกย้ำภาพเหตุการณ์ที่เรือนแพริมน้ำนั่น...ราวกับความรู้สึกที่ถูกสะกดกลั้นเอาไว้ระเบิดออกมาเป็นหยดน้ำตาใสรื้นไหลไม่หยุดหย่อน...ผมไม่ปฎิเสธเลยว่าเหตุการณ์ตอนนั้นทำให้ผมกลัวมากเพียงใด...ผมเกือบถูกข่มขืน...มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่ใครจะผ่านไปได้ง่าย...หากคุณเดือนไม่เข้ามาเห็น...ตอนนี้ผมจะเป็นอย่างไรบ้าง...ความคิดวนเวียนซ้ำซากที่ผมไม่สามารถไล่ออกไป ทำได้เพียงนั่งกอดตัวเองร้องไห้จนตัวโยน...ผมกลัว...ในขณะเดียวกันผมก็เกลียด...เกลียดคนที่มันทำให้ผมเป็นแบบนี้...เกลียดที่มันทำให้ผมกลายเป็นคนพาล...พาลโกรธใครต่อใครทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย...เกลียดตัวเองที่อ่อนแอดูแลตัวเองไม่ได้


"ธีร์! มึงเป็นอะไรป่าววะ"เสียงไอ้แชมป์ดังขึ้นอีกฝั่งของประตูจนผมสะดุ้งเฮือก...ได้แต่ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลเปรอะไปทั่วพลางสูดหายใจลึก

"กูไม่เป็นไร"พยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเป็นปกติที่สุด...แชมป์ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น...แต่สิ่งที่แชมป์รู้...คือผมไม่ใช่ชลนธีร์คนเดิม

"มึงแน่ใจนะ"

"เออ"

"งั้นมึงเปิดประตูให้กูหน่อย"การโกหกด้วยเสียงย่อมง่ายกว่าการโกหกทางสีหน้าและผมยังไม่อยากให้มันได้เห็นสภาพของผมใน
ตอนนี้

"มึงมีไรป่าวแชมป์"

"ไม่มี แต่เปิดประตูให้กูหน่อย"อีกฝ่ายยังคงยืนยันคำเดิม

"ธีร์ ได้ยินกูมั้ยเนี่ย เปิดประตูหน่อยยยย"ลากเสียงยาวตามนิสัยของมันเวลาดึงดันจะเอาอะไรสักอย่างจนผมยอมแพ้...พยายามปั้นแต่งสีหน้าให้เป็นปกติแม้ไม่มากนักแต่ผมรู้นิสัยมันดี...แชมป์จะไม่ถามถ้าผมไม่เต็มใจเล่า...มือที่เอื้อมไปผลักบานประตูเผยให้เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านนอก ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับแชมป์เลยแม้แต่น้อย...ใบหน้าคมฉายแววกังวลเมื่อได้เห็นดวงตาที่บวมช้ำของผม

"ขอบใจมากนะพ่อแช่ม"ไอ้ตัวดีที่ยืนแอบอยู่ด้านหลังเพียงพยักหน้ารับก่อนจะหันมาสบตากับผม...สีหน้าของมันเป็นกังวลไม่ต่างกันแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามแค่นยิ้มส่งกลับมาราวกับเป็นการให้กำลังใจ


"ผมนึกว่าคุณหลวงกลับไปแล้ว ลืมอะไรเหรอครับ"เป็นอีกครั้งที่ต้องพยายามฝืนตัวเองให้เป็นปกติ...เขาเพียงก้าวเข้ามาด้านในพลางดันประตูไม้สักให้ปิดลง

"คุณ..."ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ร่างสูงโปร่งกลับโถมตัวเข้ามากอดเอาไว้แน่นในขณะที่ผมได้แต่ยืนแข็งทื่อเป็นรูปปั้นเพราะความตกใจ

"รู้สึกอย่างไรทำไมไม่พูดกับเรา เอาแต่ร้องไห้อยู่คนเดียวพ่อรู้ไหมว่าเราเป็นห่วง"มือใหญ่ลูบผมเพียงแผ่วเบายิ่งทำให้ความพยายามของผมลดน้อยลงทุกที...การฝืนตัวเองในเวลาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย...โดยเฉพาะเวลาที่ผมอยู่ต่อหน้าคนๆนี้...ความอ่อนแอเริ่มกลั่นตัวรวมกันเป็นก้อน ดวงตาของผมร้อนผ่าวอีกครั้ง...เพียงแค่เอื้อมมือที่สั่นเทิ้มออกไปกอดอีกฝ่าย กลับทำให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

"ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่แล้ว"เสียงทุ้มนุ่มกระซิบเบาข้างหูยิ่งทำให้ผมสะอื้นจนตัวโยน...เขาเพียงกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นแล้วปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่อย่างนั้น...ราวกับได้ปลดปล่อยความรู้สึกอัดอั้นทั้งหมดออกมา...ทั้งความเกลียด ความกลัว หรือแม้แต่ความสงสัยถูกระบายออกผ่านหยดน้ำตาที่รื้นไหลอาบสองแก้ม...ผมทรุดตัวลงกับพื้นเพราะความเหนื่อยอ่อน...แต่อ้อมแขนที่กระชับอยู่ยังคงตามประคองเอาไว้ไม่ห่าง

"พ่อธีร์"ได้แต่เงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาคู่สวยที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัด...เขาเองก็ทุกข์ใจไม่แพ้กัน



"คืนนี้ไปอยู่กับพี่เถิด ให้พี่แน่ใจว่าพ่อธีร์ไม่เป็นอะไร"มือใหญ่เลื่อนมาเกลี่ยน้ำตาข้างแก้ม...ผมเพียงพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรต่อ...


...


มาแล้วเจ้าค่ะ...เลทไปนิดเลยลงให้ยาวหน่อยชดเชยนะเจ้าคะ  :hao5:
ฝากติดตามตอนนี้ด้วยนะคะ
ตอนต่อไปรออีกแว๊บเน๊อะ จะพยายามรีบมาลงค่า

ปล. ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตาม รักเสมอเจ้าค่ะ  :mew1:
ปล2. ตอนนี้ดราม่าเบาๆ แถมน้องธีร์โหมดดาร์คให้นะคะ

(http://i4.photobucket.com/albums/y133/alexel27/Mobile%20Uploads/image-3.jpg) (http://s4.photobucket.com/user/alexel27/media/Mobile%20Uploads/image-3.jpg.html)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...แจ้งข่าวอัพตอนต่อไปค่ะ...
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 22-09-2014 06:09:43
ไม่เสียแรงที่นอนดึก555

ดราม่าเล็กๆ แต่ทิ้งรอยไว้ในใจน้องธีร์หนักอยู่นะ
นึกออกเลยที่แบบ ความรู้สึกที่ ทำไมเค้าสนใจคนอื่นมากกว่าเรา
แถมยังมีทีท่าว่าอาจจะเป็นคนที่เคยชอบมาก่อน
มันแบบ โอ๊ย ฮือ จะร้องไห้ตามน้องธีร์แล้ว
แล้วยิ่งเจอเหตุการณ์ที่หลวงเจษฎ์โผล่มาทำแบบนี้
โหย มันยิ่งจุก น้อยใจขึ้นมาอ่ะ ฮือ
โชคดีที่แม่เดือนมาเห็นเข้าพอดี
ไม่งั้นน้องธีร์เราแย่แน่ๆ เกือบไปแล้วจริงๆอ่ะ
หลวงเจษฎ์ทุเรศมาก อยากได้น้องธีร์จนหน้ามืดตามัว
แถมของขึ้นตอนน้อธีร์ตะโกนเรียกพี่แก้วให้ช่วย
งี้อาจจะผสมความไม่พอใจส่วนตัวและความอยากเอาชนะไว้ด้วยแน่ๆ
พี่แก้วต้องทำให้น้องธีร์เชื่อนะ คือตอนนี้มีแผลแล้ว
คราวนี้อะไรสะกิดนิดหน่อยนี่อาจมีกู่ไม่กลับอ่ะ
แต่พี่แก้วเท่ค่ะ ชกหลวงเจษฎ์ซะได้เลือดเลย555
บ้านนี้นี่ก็นะ พ่อก็ถือตัวถือยศ โอ๊ย ดีที่หลวงแก้วเค้ามีความรู้ดี รู้จักวิธีพูด
ก็เลยแก้ปัญหาไปได้ ตัวพ่อก็แบบอยู่ในสังคมมานาน ยศสูงด้วย ก็ยังพอรับฟังบ้าง
แต่ตัวลูกนี่ยากเกินเยียวยา
ต่อจากนี้น้องธีร์ก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น พี่แก้วไม่ได้ตัวติดเป็นปาท่องโก๋จะได้ช่วยได้ตลอดเวลา
นี่น้องธีร์ยอมไปค้างด้วย หวังว่าจะเคลียร์กันได้
เราไม่รู้หรอกว่าพี่แก้วรู้สึกเจ็บแค่ไหน แต่เราเจ็บแทนน้องธีร์จริงๆ
มัน2เรื่องติดๆแบบผูกโยงถึงกันอ่ะ
ก็รักนั่นแหละ ไม่งั้นจะเป็นงี้เหรอ เชียร์พี่แก้วนิดๆก็ได้
ก็ไม่ได้อยากให้น้องธีร์ปวดใจขึ้นมาเป็นริ้วๆนานนักหรอก

มาต่อทีนี่ อื้อหือ อ่านไปใจเต้นไป เครียดไป
กลัวน้องธีร์โดนข่มขืนจริงๆนะ
อยากให้ดราม่านี้ผ่านไปเร็วๆ
แต่ดราม่ากลับปัจจุบันยังมีอยู่ทุกชั่วขณะของการดำเนินเรื่องนะ
ยิ่งมีพี่แก้วน้องธีร์มากเท่าไหร่ ยิ่งหน่วงมากเท่านั้น

ตอนต่อไปจะมาต่อเมื่อไหร่คะ รออ่านเลย
เป็นกำลังใจในการแต่งนะคะ

ป.ล.อื้อหือ รูปประกอบน้องธีร์อย่างเท่ ฮือ ชอบบบ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 22-09-2014 08:46:03
โถ พ่อธีร์ ขวัญเอ้ยขวัญมา ไม่เป็นอะไรแล้วน้า  :กอด1:
โชคดีที่คุณเดือนมาพบซะก่อน ส่วนไอ้หลวงเจษฎ์ ไม่อยากพูดถึงมัน เกลียดมันจริง ๆ :beat:
คุณเดือนก็น่าสงสารนะ ต้องมามีสามีแบบนี้ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกน้อยใจของน้องธีร์นะ
ที่พี่แก้วทิ้งตัวเองไว้เพราะชื่อคุณเดือน ทำให้ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ อย่างนี้ เป็นเราก็คงคิดเหมือนกันล่ะ
เอาเถอะ เรื่องอดีตของพี่แก้วกับคุณเดือนจะเป็นยังไง มันก็ผ่านมาแล้ว
แค่ตอนนี้ ใจของพี่แก้วมีเพียงน้องธีร์เท่านั้น พี่แก้วก็ต้องทำให้น้องธีร์เชื่อ และมั่นใจให้ได้นะ
กอดปลอบน้องธีร์อีกทีนึง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Mississippi ที่ 22-09-2014 08:47:20
กลับเรือนไปให้พี่แก้วรักษาใจให้นะจ๊ะพ่อธีร์ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 22-09-2014 10:09:46
หน่วงอะ สงสารธีร์
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 22-09-2014 14:28:03
 และแล้วก็...ปลอบใจพ่อธีร์หน่อยนะพ่อแก้ว พ่อธีร์กำลังเสียขวัญ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-09-2014 15:44:11
น่าจะกระทืบให้หนักกว่านี้น่ะหลวงแก้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-09-2014 21:39:44
กรี้ดดดดดด


ชอบบบบบบบบบบบบบ






 o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-09-2014 21:40:13
 o13



ชอบบบบบบบบบบสุด
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-09-2014 22:12:28
^_____^
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 22-09-2014 23:42:48
ไอ้คนอันธพาล อย่าอยู่เลยมึ๊งงงงงงงงงงง :5779:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกลิงแสดงตัว ที่ 23-09-2014 02:51:33
พ่อธีร์ไปกับพี่แก้วเถอะนะ ไปไวๆมาไวๆด้วยนะ :katai3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 23-09-2014 11:14:22
ไอ้หลวงนี่มันน่านะะะะะะมาทำธีร์ของพี่แก้ว
เดี๋ยวๆเดี๋ยวเจอ
สงสารธีร์อะ คิดมากจนได้ โธหน่วงตามเลย
แต่ตอนพี่แก้วใช้แชมป์นี่โคตรชอบบบบ
เค้าแคร์มากรักมากเลยนะ
ไปไปกลับไปรังรักกะพี่แก้วนะธีร์กร้ากกกก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 23-09-2014 12:54:46
หลวงเจษฎ์แกเลวได้ใจจริงๆ
จีบ(?)เขาไม่ติดก็ตีหัวลากเข้าถ้ำ

พี่แก้วจะ"กอด"ปลอบน้องธีร์เหรอออ? o18

รอฮะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: My_Rain ที่ 25-09-2014 09:52:58
เย่ ตามทันแล้วรีบมาต่อเร็วๆนะคะ  สูัๆ o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: nongshu ที่ 04-10-2014 07:37:35
สนุกมากเลยค่ะ รอติดตามอยุ่นะคะ o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: My_Rain ที่ 05-10-2014 02:26:17
มารอออออออ   :ling2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 08-10-2014 00:41:29

ตอนที่ ๒๗...แก้วกลางนธีร์...





...กฎของกระจกคือสะท้อนสิ่งที่เห็นออกมา...

...กฎของกาลเวลาคือการไม่หมุนวนกลับไป...



...กรอบหน้าคมสะท้อนผ่านบานกระจกเผยให้เห็นร่องรอยจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น...มือใหญ่หยาบกร้านยกขึ้นแตะรอยช้ำที่มุมปากก่อนจะเผลอส่งเสียงออกมาเพราะความเจ็บปวด...ใบหน้าที่สะท้อนออกมานั้นบิดเบี้ยวด้วยความโกรธที่สุมอยู่ภายใน...เจ็บกายยังไม่เท่าไหร่แต่เจ็บใจที่ถูกหยามหน้ากันถึงถิ่นเสียมากกว่า...ที่มากไปกว่านั้นคือเขาไม่สามารถเรียกร้องเอาความจากอีกฝ่ายได้ด้วยรู้แก่ใจดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะใคร...หากเรื่องถึงหูผู้เป็นพ่อ คนที่จะถูกตำหนิคงหนีไม่พ้นตัวเขาเอง...แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจลบล้างความโกรธแค้นที่สุมอยู่ข้างในได้

"ทายาเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ"เสียงหวานของผู้เป็นภรรยาดังขึ้นหากแต่ยิ่งทำให้เจ้าตัวเกิดโทสะ...มือใหญ่ยกขึ้นปัดโถยาที่อีกฝ่ายถืออยู่ในมือจนร่วงหล่นกระจัดกระจาย

"หล่อนไม่ต้องมาแสร้งทำดี อยากกลับไปพร้อมไอ้แก้วเต็มทีล่ะสิ!" ใบหน้าหวานตื่นตระหนกแต่กระนั้นก็ยังไม่ปริปากบ่นอะไร เธอเพียงก้มลงเก็บเศษกระเบื้องที่กระจายเกลื่อนบนพื้นหากแต่อีกฝ่ายรุดเข้ามาฉวยข้อมือของเธอเอาไว้แน่น...แววตาแข็งกร้าวดุดันบ่งบอกอารมณ์ชัดเจน

"เป็นเมียฉันแท้ๆ กลับไปเข้าข้างชายอื่น งามหน้าเสียจริง"แรงบีบที่ข้อมือทำให้เจ้าของร่างเล็กได้แต่นิ่วหน้าเพราะความเจ็บ

"ดิฉันไม่ได้เข้าข้าง แต่สิ่งที่คุณพี่ทำ..."เพราะเหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้ามันช่างน่าอับอายเกินกว่าที่เธอจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้

"นั่นมันเรื่องของฉัน หล่อนเองก็เถอะ แส่ไม่เข้าเรื่อง"เพราะโทสะที่บดบังทำให้ลืมไปจนหมดสิ้นว่าคนตรงหน้าคือภรรยาของตัวเอง...ลืมแม้กระทั่งความรู้สึกของคนตัวเล็กที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด...ลืมแม้แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี


ร่างเล็กขืนตัวออกให้เป็นอิสระหากแต่ดวงตาคมสวยยังคงจดจ้องอีกฝ่ายนิ่ง...หลายครั้งหลายคราที่เธอพยายามมองคนตรงหน้าโดยปราศจากอคติ...สามีผู้ซึ่งเปลี่ยนไปราวกับคนละคนหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน ซึ่งแม้แต่เธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะอะไร...เธอเคยมีความสุขมากกว่านี้...แม้แรกเริ่มมันจะไม่ใช่ความรักแต่เธอเองก็เคยคิดว่าเธอคงรักเขาได้ไม่ยาก...หากแต่การเปลี่ยนแปลงของเขายิ่งทำให้ความคิดนีค่อยๆจางหายไป...คงเหลือไว้เพียงความเคยชินและทนอยู่เช่นนี้เรื่อยมา

"คืนนี้ดิฉันจะขึ้นไปนอนบนเรือนใหญ่ คุณพี่พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ"ท่าทีเฉยชาของเธอกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาเช่นกัน...ร่างเล็กค่อยๆเก็บเศษถ้วยกระเบื้องที่เกลื่อนกลาดบนพื้นก่อนจะลุกเดินออกจากเรือนแพริมน้ำ...ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามองเจ้าของเรือนที่นั่งกำหมัดแน่นเพราะความโกรธ...เจ็บทั้งตัว...แต่ที่เจ็บกว่าคือใจ...ถูกหยามหน้ากันถึงถิ่น หนำซ้ำคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาแท้ๆกลับเข้าข้างอีกฝ่ายจนออกนอกหน้า...ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยได้ทุกอย่างที่ปรารถนา...ทรัพย์สิน เงินทอง ความสุข หรือแม้แต่คู่ชีวิต...หากแต่ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกว่าภรรยาที่ยืนเคียงข้างเขานั้นมีเพียงแค่ตัว...นั่นยิ่งทำให้โทสะในใจเพิ่มขึ้นจนไม่อาจอยู่เฉยได้




"แม่เดือน"เสียงเรียกทำให้เธอต้องชะงักฝีเท้าเมื่อก้าวขึ้นมาบนเรือนใหญ่...หันกลับไปพบเจ้าของเรือนผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของสามี...สีหน้าของท่านไม่สู้ดีนักคงเพราะได้เห็นสภาพของลูกชายตัวเองเมื่อครู่ แต่กระนั้นก็ไม่ได้รู้ความอะไรในเมื่อไม่มีใครยอมปริปาก

"พ่อเจษฎ์ไปมีเรื่องกับใครมาอีกแล้วรึ"คำถามที่ทำให้เธอลำบากใจยิ่งนักเพราะไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่อาจพูดความจริงได้

"ดิฉันไม่ทราบเจ้าค่ะ"ได้แต่ส่ายหน้าตอบ...แว่วเสียงถอนหายใจยาวจากอีกฝ่าย

"ลูกคนนี้ก็เหลือเกิน มีเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน"คนเป็นพ่อมีหรือจะไม่รู้จักนิสัยลูกชายของตัวเอง...แม้พยายามเอ่ยปรามด้วยคำพูดกี่ครั้งก็ไม่เคยฟัง...ตัวท่านเองก็มีงานราชการต้องดูแลไม่ได้มีเวลามาตามสะสางให้ทุกครั้ง

"นี่หล่อนจะไปไหน ไม่ไปดูแลสามีของหล่อนเล่า"นึกขึ้นได้จึงถามออกไปเมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้กลับขึ้นมาบนเรือน ทั้งที่เวลานี้ควรอยู่ดูแลสามีของเธอตามหน้าที่

"ดิฉันบอกคุณหลวงแล้วเจ้าค่ะว่าวันนี้จะนอนบนเรือนใหญ่"ใบหน้าหวานก้มงุดเพราะเกรงว่าจะถูกเอ็ดเข้าที่ไม่ยอมดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านให้ดี หากแต่เจ้าของเรือนเองก็รู้แก่ใจถึงปัญหาของลูกชายและลูกสะใภ้ที่เกิดขึ้นหลังจากแต่งงานไม่นาน...แม้จะเป็นห่วงแต่เรื่องภายในครอบครัวต่อให้ตนเป็นเจ้าของเรือนก็ไม่สมควรเข้าไปก้าวก่าย ถึงกระนั้นก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ด้วยว่าลูกสะใภ้คนนี้ก็ไม่เคยทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องอะไร มีแต่ลูกชายของท่านเองที่คอยแต่จะสร้างปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน

"ฉันรู้ว่าหล่อนเองก็ไม่สบายใจนักเรื่องพ่อเจษฎ์ แต่หล่อนได้ชื่อว่าเป็นสะใภ้เรือนนี้แล้วฉันก็ขอให้หล่อนอดทน"แม้อยากปลอบใจกับสภาพที่ลูกสะใภ้ของตนต้องพบเจอแต่ด้วยนิสัยของเจ้าพระยาผู้สูงศักดิ์ สิ่งที่ทำได้คงเป็นเพียงคำกล่าวคล้ายเตือนสติเสียมากกว่า...หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ด้วยว่าเธอรู้แก่ใจดีว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เธอต้องใช้ความอดทนมากเพียงใด...ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกโล่งใจเพราะแม้ผู้เป็นสามีจะทำตัวเหลวไหลสร้างเรื่องไม่เว้นแต่ละวันแต่เขาเองก็ไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเธอเลยสักครั้ง



เสียงถอนหายใจดังก้องห้องนอนทันทีที่เธอก้าวพ้นประตู...ใบหน้าหวานฉายแววหนักใจไม่ต่างจากทุกวัน หากแต่วันนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้เธอตกใจยิ่งนัก...จริงอยู่ที่เธอรู้ดีถึงนิสัยและรสนิยมของสามีซึ่งเธอเองก็ไม่คิดเข้าไปก้าวก่าย แต่กับเด็กหนุ่มเมื่อกลางวันที่เธอเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรกกลับทำให้เธอเป็นกังวล...รูปร่างหน้าตาที่แตกต่างจากชาวพระนครยังไม่ทำให้เธอติดใจสงสัยมากไปกว่าการที่เขามาเยือนในฐานะคนสนิทของใครคนหนึ่ง...เด็กหนุ่มที่ดูราวกับของมีค่าของใครคนนั้นหากแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอไม่มีโอกาสได้เอ่ยถาม...มือเรียวเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มโปรดบนหัวเตียงก่อนจะพลิกเปิดหน้าที่ถูกคั่นเอาไว้เผยให้เห็นช่อดอกแก้วที่เคยส่งกลิ่นหอมฟุ้งหากแต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงช่อดอกไม้แห้งสีน้ำตาล...ดอกไม้ที่ทำให้เธอระลึกถึงคนสำคัญในอดีตที่ยังคงเด่นชัดในความคิด...แต่ก็เป็นได้เพียงแค่คนในความทรงจำที่เธอไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก...เพราะสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่การตัดสินใจของเธอเพียงคนเดียว



"พี่แก้ว"เสียงหวานที่เอ่ยออกมาแม้สั่นเครือเศร้าหมองหากแต่ใบหน้าหวานยังคงเจือรอยยิ้ม...เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เขาคนนั้นยังคงเป็นแรงผลักดันให้เธอเสมอ



...แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ข้างเธอหรือไม่ก็ตาม...






..............................................................................
.

.

.

.

...ร่างสูงทว่าผอมบางสะท้อนผ่านกระจกไม้บานใหญ่...แม้ดวงไฟสีส้มในห้องไม่ได้ส่องแสงสว่างจ้านักหากแต่ผิวกายขาวเนียนละเอียดโผล่พ้นเสื้อผ้าฝ้ายตัวหลวมยังคงโดดเด่น...ไหล่กว้างสมดุลรับกับลำคอระหง...ริมฝีปากบางได้รูปเจือสีส้มอมชมพูเผยอออกเพียงให้ได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบา...จมูกโด่งรั้นกั้นกลางนัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้ม...กรอบหน้าเรียวรีได้รูปถูกบดบังด้วยเรือนผมดำสนิทยาวละต้นคอ...หยดน้ำใสเกาะพราวตามเรือนผมร่วงหล่นลงบนผิวกายเนียนละเอียดเปียกปอนไปถึงเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อบาง...นิ้วเรียวทาบทับลงบนพื้นกระจกลากเลื่อนอย่างไร้จุดหมาย...เช่นเดียวกับประกายระยับในดวงตาที่หายไปกลับกลายเป็นความเลื่อนลอยว่างเปล่า...



...ร่างผอมบางช่างแปลกตาจนเกือบลืมไปว่าสิ่งที่สะท้อนออกมาคือตัวผมเอง...



นิ้วเรียวลากเรื่อยไปตามโครงร่างสะท้อนในกระจก...ใบหน้านี้เป็นของผม...ริมฝีปาก...จมูก...คาง...แก้ม...ทั้งหมดนี้คือตัวผม หากแต่ประกายหม่นในแววตาที่สะท้อนอยู่ตรงหน้ากลับทำให้ตัวตนของผมเลือนลางไม่ชัดเจน...หยดน้ำเย็นเยียบบนร่างกายยังไม่เทียบเท่าความเย็นที่เกาะกุมอยู่ข้างใน...ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ให้นึกถึงเหตุการณ์นั้น...สัมผัสหยาบกร้านน่ารังเกียจ...เสียงหัวเราะที่ดังก้องในโสตประสาท...แม้ไม่สูญเสียแต่บางสิ่งที่มีกลับสูญหายไป

แว่วเสียงประตูห้องถูกปิดลงหากแต่ความคิดของผมยังคงจดจ่ออยู่กับเงาสะท้อนตรงหน้า...นิ้วมือลากเลื่อนสะเปะสะปะจนมาหยุดอยู่ที่รอยแดงบนไหล่ซ้าย...ร่องรอยที่ไม่ว่าจะพยายามล้างมันให้ออกสักกี่ครั้งก็ยังคงอยู่...

"ปล่อยเนื้อตัวเย็นแบบนี้ประเดี๋ยวได้จับไข้เอาเสียล่ะ"เสียงถอนหายใจดังมาจากจากด้านหลัง...สองมือบรรจงใช้ผ้าเช็ดผมที่เปียกชื้นให้อย่างเบามือ...ผมมองคนตัวสูงผ่านเงาสะท้อนในกระจก...ดวงตาคมจดจ้องบนเรือนผมดำสนิทเพียงชั่วครู่ก่อนที่เขาจะชะงักมือเพราะเหลือบไปเห็นร่องรอยที่เหลืออยู่บนไหล่ข้างซ้าย...นิ้วเรียวเกลี่ยปลายผมออกเผยให้เห็นรอยแดงชัดเจน...ประกายหม่นในดวงตาคมส่องสะท้อนผ่านกระจกบานใหญ่

"หากเราไม่หลงเชื่ออุบายของหลวงเจษฎ์เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น"เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่ว...สองมือของเขาสอดประสานโอบเอวของผมเอาไว้จากด้านหลัง...ใบหน้าคมโน้มลงฝังจมูกโด่งบนไหล่ข้างเดิม...ความรู้สึกผิดที่ส่งผ่านมานั้นผมรับรู้ได้หากแต่ความขัดแย้งในใจกลับมีมากกว่า...คำพูดของหลวงเจษฎ์วนเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

"คุณหลวง"สายตาที่จดจ้องผ่านกระจกบานใหญ่เห็นภาพคนตัวสูงเงยหน้าขึ้นสบตา

"ถ้าไม่ใช่คุณเดือน...คุณหลวงจะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวมั้ย"ประกายวูบไหวในแววตาเหมือนกับที่ผมได้เห็นเมื่อตอนกลางวันส่องสะท้อนออกมาให้เห็น

"ถ้าคนที่เรียกให้คุณหลวงไปหาเป็นเจ้าคุณไพศาลหรือคนอื่น คุณหลวงจะไปมั้ยครับ"ผมรู้ดีว่าคาดคั้นหาคำตอบไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา...แต่เสี้ยวหนึ่งของความคิด...ผมหยุดตัวเองที่กำลังเป็นแบบนี้ไม่ได้

"ทำไมพ่อถามเช่นนี้"คิ้วดกหนาขมวดมุ่น...สองมือที่โอบรอบเอวละออกเพียงเพื่อจับตัวของผมให้หันมาเผชิญหน้า

"พ่อธีร์คิดว่าเราเห็นแม่เดือนสำคัญกว่างั้นรึ"มันไม่ใช่ความคิดแต่เป็นการกระทำต่างหาก...ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าคำพูดของหลวงเจษฎ์มีอิทธิพลต่อความคิดของผมมากเพียงใด...โดยเฉพาะในเวลาที่ผมอ่อนแอมากที่สุด คำพูดและการกระทำเหล่านั้นยิ่งกลับมาทำร้าย...ร่องรอยบนร่างกายยังไม่เทียบเท่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่ข้างใน


แว่วเสียงถอนหายใจยาวเมื่อไม่มีคำตอบใด...เขาเพียงออกแรงดึงมือของผมให้เดินตามไปนั่งลงบนเตียงสี่เสาหลังใหญ่...ดวงตาคมจดจ้องไม่วางตาพร้อมกับสองมือที่จับไหล่ของผมเอาไว้มั่น

"ฟังเรานะพ่อ...ทั่วทั้งพระนครนี้จะหาใครที่เราให้ความสำคัญมากไปกว่าพ่อธีร์หามีไม่"คำพูดหนักแน่นส่งผ่านพร้อมแรงบีบลงบนไหล่ทั้งสอง หากแต่คำพูดนั้นกลับส่งมาไม่ถึงทั้งที่ผมนั่งอยู่ตรงหน้าเขาเพียงแค่เอื้อม...การรับรู้ของผมถูกปิดตายด้วยเหตุการณ์เมื่อกลางวัน...ด้วยสีหน้าของเขาเมื่อผมถามถึงผู้หญิงคนนั้น...ด้วยคำพูดของหลวงเจษฎ์ หรือแม้แต่ท่าทีของคุณเดือนตอนที่เธอเข้ามาขวางเอาไว้

"แต่ก็ไม่สำคัญไปกว่าคนที่พี่แก้วเคยให้ความสำคัญ...ธีร์เข้าใจครับ คนเคยมีความรู้สึกดีๆให้กันมาก่อนยังไงก็ตัดกันไม่ขาด"คำพูดพรั่งพรูจากปากของผมราวกับคนขาดสติ...ผมกำลังพาล...พาลโกรธคนนั้นคนนี้ไปทั่วเพียงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น...ทั้งที่ความจริงแล้ว ตัวผมเองก็ผิด...ผิดที่ประมาทไม่ดูแลตัวเอง

"เรื่องของพี่กับแม่เดือนมันไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อเข้าใจ"วูบหนึ่งที่ได้เห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายหากแต่เขาพยายามสะกดมันเอาไว้...ผิดกับผมที่ในตอนนี้ไม่สามารถเก็บกักอะไรไว้ได้อีกแล้ว

"แล้วมันเป็นแบบไหนครับ คุณเดือนรักพี่แก้วแม้แต่หลวงเจษฏ์ยังรู้ถึงได้ใช้เธอมาเป็นข้ออ้าง"ผมไม่ได้โวยวายเสียงดังเหมือนพวกนางร้ายในละครแต่ทุกคำพูดที่ส่งผ่านกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นจนแม้แต่เขาเองก็รับรู้ได้

"พี่แก้วเองก็เป็นห่วงเธอ ถึงได้รีบไปหาตอนที่บ่าวมาตาม ถ้าพี่แก้วกับคุณเดือนรักกันทำไมถึงยอมให้เธอแต่งงานกับหลวงเจษฎ์"





"เพราะพี่ไม่ได้รักแม่เดือน"คำตอบเพียงสั้นๆที่ทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง...น้ำเสียงหนักแน่นของเขาดึงเอาสติที่หลุดลอยกลับมาตรงหน้า...ผมมองตามคนตัวสูงที่ผละลุกจากเตียงไปหยุดยืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดยาวออกไปด้านนอก...คำตอบนั้นชัดเจน...ที่ยังเหลืออยู่คือความไม่เข้าใจ

"ถ้าพี่รักแม่เดือนเรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นเช่นนี้"ใบหน้าด้านข้างของเขาเรียบเฉย แม้แต่ผมเองก็บอกไม่ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่...ความเงียบที่ปกคลุมยิ่งทำให้ผมอึดอัดแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกไป


"พ่อธีร์..."ชั่วขณะที่เขาหันกลับมา...ผมเห็นประกายหม่นในแววตานั้นชัดเจน

"ที่แม่เดือนตัดสินใจแต่งงานกับหลวงเจษฎ์เป็นเพราะว่าพี่ปฏิเสธเธอ"ได้แต่เบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน...เรื่องทั้งหมดยิ่งซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจเพราะสิ่งที่เคยคิดไว้มันกลับตรงกันข้ามไปหมด

"เพราะพี่เป็นคนทำให้แม่เดือนต้องมาเป็นทุกข์เช่นนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่ถึงไปพบเธอ"เขาเดินกลับมาหยุดยืนตรงหน้า ผมเพียงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่เคยมีรอยยิ้มปรายประดับแต่ตอนนี้มันกลับหายไป

"แต่ถ้าพี่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..."มือใหญ่เอื้อมมาเกลี่ยปลายผมออกเผยให้เห็นรอยแดงช้ำ...ร่องรอยที่ผมเองก็อยากให้มันหายไปเสียที

"ไม่มีใครรู้ได้หรอกครับนอกจากคนที่ทำมัน"กลายเป็นตัวเองที่เป็นฝ่ายปลอบใจ หากแต่คำตอบที่ได้คือร่างสูงที่โถมเข้ามากอดเอาไว้แน่น

"ตอนที่เห็นพ่อธีร์เป็นแบบนั้น ใจพี่จะขาด"เสียงทุ้มต่ำแว่วอยู่ข้างหู อ้อมกอดของเขาช่างแตกต่างจากทุกครั้งเพราะมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจ สองแขนที่โอบรอบนั้นสั่นทว่าแรงที่ส่งออกมากลับทำให้ผมอึดอัด

"พี่แก้ว ธีร์เจ็บ"คนตัวสูงผละออกทันทีราวกับคำพูดนั้นดึงสติของเขาให้กลับมา

"พี่ขอโทษที่ทำให้พ่อธีร์เจ็บ"ผมรู้ดีว่าคำขอโทษนั้นหมายถึงอะไร...ความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์เมื่อกลางวัน โดยที่ผมเองก็เป็นฝ่ายยัดเยียดความรู้สึกนี้ให้กับเขาเช่นเดียวกัน...สิ่งที่ทำได้ เพียงแค่เอื้อมมือออกไปโอบรอบคนตัวสูงเอาไว้ราวกับคำปลอบใจว่าผมไม่เป็นอะไร...มือใหญ่ยกขึ้นลูบผมเพียงแผ่วเบาไล้เรื่อยลงมาประคองแก้มช้อนขึ้นสบกับดวงตาคมสวยหากแต่ประกายหม่นในแววตานั้นยิ่งทำให้ผมใจหาย...ใบหน้าคมโน้มลงประทับริมฝีปากหยักหนาได้รูปเข้ากับริมฝีปากของผม ลมหายใจอุ่นระเรี่ยตรงหน้าเชื่องช้านุ่มนวลจนผมได้แต่หลับตาปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดเป็นฝ่ายควบคุมแทนหากเพียงแค่อึดใจที่สัมผัสอ่อนโยนนั้นเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงรุนแรง...นิ้วเรียวลากเรื่อยสอดเข้าใต้เสื้อผ้าฝ้ายตัวบางดึงเอาสติที่เริ่มหลุดลอยให้กลับมา...ผมได้แต่เบิกตาโพลงกับสัมผัสหนักหน่วงของคนตรงหน้าที่แปลกไปกว่าทุกที...หากเพียงแค่ยกมือทาบลงบนหน้าอกกว้างของอีกฝ่ายทุกอย่างก็หยุดนิ่ง...ใบหน้าคมฉายแววตระหนกชัดเจนเช่นเดียวกันกับผม...สีหน้าของความไม่เข้าใจเพราะสัมผัสที่เขาหยิบยื่นมาเมื่อครู่นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับตัวเขาเลยแม้แต่น้อย



...ร่างสูงผลุดลุกขึ้นยืนจนผมได้แต่มองตาม...



"นอนเถิดพ่อ คืนนี้พี่จะไปนอนที่ห้องรับรองแขก"ไวกว่าความคิดเมื่อผมเอื้อมมือออกไปฉวยมือใหญ่ของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะก้าวหนี...คนตัวสูงเพียงหยุดยืนนิ่งหากแต่ไม่ยอมหันกลับมา...ผมช้อนตามองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกัน...ความรู้สึกรุนแรงเมื่อครู่ยังคงอยู่...สัมผัสที่แตกต่างไปจากทุกครั้งจนชั่วขณะหนึ่งทำให้ผมหวนนึกไปถึงเหตุการณ์นั้น


"ไหนบอกว่าจะอยู่กับธีร์ไงครับ"หากแต่ผมรู้ดีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้เป็นใคร...ความกลัวที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบไม่ได้ทำให้ตัวตนของเขาเลือนลางแต่กลับยิ่งเด่นชัดในความคิด

"คืนนี้เห็นทีจะไม่ได้"

"ทำไมครับ"ความเงียบปกคลุมเพียงชั่วอึดใจก่อนที่เขาจะเอ่ยบางสิ่งออกมา



"ยิ่งได้เห็นพ่อธีร์เป็นแบบนี้พี่ยิ่งอยากครอบครอง พี่ช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนักทั้งที่พ่อธีร์เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมาแท้ๆ"มือหนาที่ถูกเกาะกุมนั้นสั่น ความรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์เมื่อกลางวันรวมไปถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ฉายแววเด่นชัดจนผมเข้าใจได้ในทันที...สิ่งที่ผมทำได้...เพียงแค่ลุกขึ้นสอดแขนประสานโอบรอบตัวเขาเอาไว้จากด้านหลังพลางโน้มหน้าซบลงบนแผ่นหลังกว้างที่ตอนนี้กลับดูเลือนลางในความคิดของอีกฝ่าย

"คนเห็นแก่ตัวเค้าไม่พูดแบบนี้กันหรอกนะครับ"อ้อมแขนที่กระชับแน่นราวกับต้องการส่งผ่านความรู้สึก...ชั่วขณะหนึ่งที่ไหล่กว้างตรงหน้านั้นวูบไหวหากแต่เจ้าของร่างสูงยังคงยืนนิ่ง


"พี่แก้ว"เจ้าของชื่อเพียงหันกลับมาช้าๆให้ผมได้เห็นประกายหม่นในดวงตาคมคู่นั้นชัดเจน...ผมยกมือขึ้นแตะแก้มของอีกฝ่ายที่เอียงซบลงรับสัมผัสนั้น

"เรื่องเมื่อกลางวัน...ขอบคุณมากนะครับที่ทำแบบนั้นเพื่อธีร์"เพียงคำพูดและรอยยิ้มที่ส่งออกไปกลับทำลายกำแพงที่คนตัวสูงก่อกางกั้นตรงหน้า...มือหนายกขึ้นทาบทับมือของผมที่ยังแตะอยู่ข้างแก้ม มืออีกข้างเอื้อมรั้งเอวของผมให้เข้าไปประชิดตัว...ใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย





"คืนนี้อยู่กับธีร์นะครับ"สองแขนของเขาโอบกระชับแน่นกว่าเดิม...เสียงหัวใจเต้นระรัวดังก้องอยู่ข้างหู...หากเพียงเขาได้ยิน...หัวใจของผมเองก็เช่นกัน

"แน่ใจแล้วหรือพ่อ"ใบหน้าร้อนวูบขึ้นมาเมื่อถูกถามซ้ำอีกครั้งแต่ก็เพียงพยักหน้าตอบกลับไป...มือหนายกขึ้นช้อนคางของผมให้เงยขึ้น...ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางก่อนจะประทับลงบนหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบา...สัมผัสอุ่นไล้เรื่อยลงมาหยุดตรงหน้าเผยให้เห็นดวงตาคมส่องประกายระยับห่างเพียงแค่ปลายจมูกกั้น...ใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย...ใกล้...จนผมต้องหลับตาลงเพราะไม่อาจต้านแรงดึงดูดของดวงตาคมสวยคู่นั้น...หากเพียงชั่ววินาทีที่หลับตากลับรับรู้ถึงริมฝีปากอุ่นที่ทาบทับลงมาชัดเจน...สัมผัสเนิบนาบคลอเคลียหยอกล้อ จากแผ่วเบากลายเป็นหนักหน่วงทว่าอ่อนโยนต่างจากเมื่อครู่...สองมือเอื้อมโอบรอบคอคนตัวสูงยิ่งรั้งให้แนบชิด...รู้สึกตัวอีกทีเมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับฟูกนุ่มบนเตียงสี่เสาหลังใหญ่



...ชั่วขณะหนึ่งที่ความกลัวแล่นปลาบเข้ามา...หากแต่เพียงได้สบกับดวงตาคมสวยที่จดจ้องพร้อมรอยยิ้มปรายยิ่งทำให้รับรู้ถึงตัวตนของคนตรงหน้าเด่นชัด...ความกลัวถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้...ริมฝีปากหยักได้รูปพร่ำเอ่ยคำปลอบโยนไม่ขาดเช่นเดียวกับท่อนแขนแกร่งที่โอบรอบกายไม่ห่างหาย...ในห้วงสุดท้ายของความคิด...



...ผมได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวและเสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่วเบาข้างหู หากกลับดังก้องกังวานเด่นชัดในโสตประสาท...น้ำเสียงอ่อนโยนทว่าหนักแน่นส่งผ่านความรู้สึกของคนตรงหน้าให้ผมได้รับรู้...






'พี่รักพ่อธีร์เหลือเกิน...พ่อธีร์ของพี่'


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๖ UP ๒๒/๐๙/๕๗ P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 08-10-2014 00:49:37



...สัมผัสอุ่นจากปลายนิ้วเรียวไล้เรื่อยข้างแก้มปลุกให้ผมค่อยๆลืมตาตื่น...แสงแดดยามสายที่ส่องลอดผ้าม่านโปร่งสีขาวเข้ามาในห้องนั้นสว่างจ้าเสียจนผมต้องหรี่ตาลงกระพริบช้าๆเพื่อปรับสายตาให้ชิน...สิ่งแรกที่รับรู้คือหน้าอกอุ่นที่ใช้หนุนต่างหมอน...ท่อนแขนวางพาดผ่านลำตัวหนาถูกทาบทับด้วยมือใหญ่...ผมเพียงเหลือบตามองคนตัวสูงที่นั่งเอนหลังพิงหัวเตียง...ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางเมื่ออีกฝ่ายก้มลงสบตา

"ตื่นแล้วหรือพ่อ"คำทักทายธรรมดาแต่กลับทำเอาหน้าของผมร้อนวูบเมื่อพาลนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน...ใบหน้าคมเจือรอยยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดีจนผมได้แต่หลุบตาลงต่ำ

"สายป่านนี้แล้วเหรอครับ"เพราะแสงแดดจ้าทำให้นึกขึ้นได้...ตื่นสายป่านนี้เห็นทีจะถูกเจ้าคุณไพศาลบ่นยาว...ผมรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความทุลักทุเล ทั้งเรี่ยวแรงที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมดและยังความรู้สึกเจ็บแล่นริ้วไปทั้งตัวนี่อีก...หากแต่ถูกมือหนารั้งตัวเอาไว้ให้ซบลงกับหน้าอกอุ่นตามเดิม

"วันนี้วันหยุด ตื่นสายเสียบ้างไม่เป็นอะไรหรอก"ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่เคยเห็นคนพระนครตื่นสายกันสักวัน

"เดี๋ยวเจ้าคุณท่านเอ็ดเอานะครับ"

"เจ้าคุณท่านออกไปเรือนใหญ่ เห็นว่าจะกลับมาตอนบ่าย"เจ้าคุณไพศาลก็ช่างเลือกวันได้พอเหมาะเสียจริง

"แล้วป้าชื่นล่ะครับ"เริ่มหาข้ออ้างเพื่อลุกจากเตียง...ความจริงอยากนอนต่ออีกสักพักแต่เพราะความเคยชินกับการเป็นอยู่ที่นี่เลยรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย

"แม่ชื่นทำไมรึ"

"ก็ป้าชื่นแกคงเตรียมสำรับรอ ไม่ลงไปกินเดี๋ยวแกน้อยใจ"พูดให้ถูกคงต้องใช้คำว่าสงสัยมากกว่า

"แม่ชื่นแกรู้ว่าเราไม่ค่อยรับมื้อเช้า อีกอย่างเราก็อิ่มเสียแล้ว"คำตอบที่ทำเอาผมขมวดคิ้วมุ่น

"ยังไม่ได้กินอะไรแล้วอิ่มได้ไงครับ"

"อิ่มอกอิ่มใจ"รู้สึกเหมือนขุดหลุมฝังตัวเองเข้าให้...ใบหน้าที่ร้อนวูบขึ้นมาเรียกเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย

"หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเชียว ร้อนหรือพ่อ"น้ำเสียงนุ่มหยอกล้อหากแต่ผมไม่ตอบอะไร...กลัวว่าจะโดนเล่นมุขอะไรกลับมาอีก...แล้วดูเขาทำเถอะ ถามว่าร้อนไหมแต่ดันกอดผมไว้เสียแน่น



...แต่เอาเถอะครับ...นานๆทีได้ตื่นสายบ้างก็ดีเหมือนกัน...



...ที่สำคัญ...ผมยังลุกไม่ขึ้นต่างหากเล่า!






ผมกลับมาถึงเรือนช่วงบ่ายแก่ๆ ความจริงตั้งใจกลับมาเร็วกว่านั้นแต่เพราะเจ้าคุณไพศาลมาถึงพอดีจึงนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกับท่านต่อสักพักก่อนจะขอตัวลา...วันนี้เป็นวันหยุด ที่เรือนเจ้าคุณจิตราเลยคึกครื้นเป็นพิเศษ เพราะเจ้าของเรือนทั้งสามอยู่กันพร้อมหน้า...หากแต่คนที่ทำให้ผมตกใจจนชะงักฝีเท้าทันทีที่ก้าวพ้นซุ้มประตูกลับกลายเป็นผู้มาเยือนที่นั่งเด่นสง่าบนพื้นยกกลางเรือน...ผมจำใบหน้าหวานระเรื่อนั้นได้แม่นยำเพราะเพิ่งได้พบกันไปเมื่อวาน...ลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าพระยาเดโชกำลังนั่งสนทนากับเจ้าคุณจิตรา คุณหญิงสร้อยและคุณพิกุลอย่างออกรส หากแต่รอยยิ้มปรายระบายบนใบหน้าของเธอเลือนหายไปทันทีที่หันมาสบตา

"อ้ายแช่มมันว่าไปค้างที่เรือนโน้นถึงสองวัน งานทางโน้นมีมากรึ"เจ้าของเรือนถามขึ้นหลังจากผมกล่าวทักทายตามปกติ

"เมื่อวานต้องไปพบเจ้าคุณเดโชแต่เช้า เจ้าคุณไพศาลเลยให้อยู่ค้างที่เรือนครับ"สีหน้าของผู้มาเยือนไม่สู้ดีนักเมื่อได้ยินคำตอบ...ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร

"เช่นนั้นก็ได้พบแม่เดือนแล้วซี"คุณหญิงสร้อยทักขึ้นอย่างอารมณ์ดีพลางหันไปมองหญิงสาวตัวเล็กข้างๆ

"ได้พบแล้วครับ"ผมมองตามเจ้าของชื่อด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเป...ใจหนึ่งนึกสงสารเธอเพราะได้ฟังเรื่องราวจากหลวงพิสิษฐ...ใจหนึ่งก็นึกขอบคุณเพราะถ้าเธอไม่เข้ามาขัดจังหวะเอาไว้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ผมจะเป็นอย่างไรบ้าง...แต่อีกใจ...ผมกลับลังเล...เพราะรู้ดีถึงความรู้สึกของคนตรงหน้า

"เรื่องสถานที่จัดงานได้ความอย่างไรบ้าง"เจ้าของเรือนถามขึ้นจนผมต้องละสายตาจากผู้มาเยือน

"เจ้าคุณท่านว่าจะกราบทูลทูลกระหม่อมเรื่องขอเปลี่ยนสถานที่ให้ครับ"

"ดีจริงเชียว ข้ารึเป็นกังวลเสียหลายวันเกรงว่าเจ้าคุณท่านจะไม่ยอม" คำตอบที่ทำให้เจ้าคุณจิตรายิ้มออกมาได้ทันที...ท่าทีคลายกังวลพาเอาผมโล่งใจตามไปด้วยคงเพราะได้นั่งอยู่กลางวงสนทนาดุเดือดเมื่อวานนี้จึงทำให้เข้าใจสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

"ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวลงไปช่วยงานข้างล่างก่อนนะครับ"เจ้าของเรือนเพียงพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับไปร่วมวงสนทนาต่อ...ชั่วขณะที่กำลังก้าวลงจากเรือน ผมเหลือบไปเห็นดวงตากลมสวยที่จดจ้องมาเพียงครู่...ประกายหม่นในแววตานั้นฉายแววชัดเจน






"ไม่รู้มาก่อนว่าพ่ออยู่เรือนนี้"เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้นด้านหลังขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ริมท่าน้ำหน้าเรือน

"ถ้าไม่รู้ ก็คงไม่มาไม่ใช่เหรอครับ...คุณเดือน"ผมไม่แปลกใจที่เธอหาจังหวะปลีกตัวมาคุยกับผมเช่นนี้...เพราะหากผมเป็นเธอ ก็คงทำแบบเดียวกัน

"เราเพียงมาเยี่ยมเยียนเจ้าคุณท่าน มิได้มาเสียนานตั้งแต่ออกเรือนไปกระมัง"คำโกหกที่ส่งออกมาไม่ได้แนบเนียนอย่างที่เจ้าตัวคิดหากแต่ผมเลือกที่จะเงียบเอาไว้เพราะไม่อยากเถียงกลับให้มากความ

"พ่อเป็นอย่างไรบ้าง"เสียงหวานถามขึ้นอีกครั้ง...ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าใจว่ามันเป็นเพียงคำถามทั่วไปแต่สำหรับผมมันกลับหมายถึงอะไรที่มากกว่านั้น

"สบายดีครับ"หากแต่คำตอบของผมคงไม่ถูกหูคนฟังเท่าไหร่นัก

"เรื่องเมื่อวาน..."

"ผมไม่อยากพูดถึงมัน"รีบตัดบทก่อนที่เจ้าตัวจะได้พูดอะไรต่อ...หันกลับมาสบดวงตาหวานที่ฉายแววตระหนกชัดเจน

"แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณเดือน...ขอบคุณมากนะครับ"แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังมีสีหน้าแบบไหนตอนพูดคำนั้นออกไป...มันอาจจะราบเรียบจนอีกฝ่ายใจหายหรือแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

"เราเองก็ต้องขอโทษแทนหลวงเธอเช่นกัน"ชั่วขณะหนึ่งของความคิด...ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าสงสาร เพราะเธอไม่แม้เพียงต้องอดทนกับชีวิตคู่หากยังต้องออกรับแทนสามีผู้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอะไร จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะทนมีชีวิตแบบนี้ได้นานเท่าไหร่กัน

"คุณเดือนไม่ต้องขอโทษหรอกครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเดือนเลย"ผมมองใบหน้าหวานระเรื่อหากแต่แววตาของเธอช่างเศร้านัก...ยิ่งได้ฟังเรื่องของเธอก็ยิ่งเข้าใจว่าเธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง...แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงที่ว่าเธอเป็นภรรยาของผู้ชายคนนั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

"ได้ยินมาว่าพ่อเป็นคนสนิทของพี่......หลวงแก้ว"เสียงหวานชะงักไปเมื่อกล่าวถึงบุคคลที่สาม...ผมเพียงพยักหน้ารับแทนคำตอบ

"หลวงเธอเป็นเช่นไรบ้างรึ"

"คุณหลวงสบายดีครับ งานยุ่งนิดหน่อยเพราะต้องช่วยเจ้าคุณไพศาลเตรียมงานเลี้ยงท่านทูต"

"เราไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้น"ผมรู้ดีว่าเธอหมายถึงเรื่องไหน...เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากตอบเท่านั้นเอง...เหตุการณ์เมื่อวานสมควรถูกลืมไปเสียโดยไม่มีใครยกขึ้นมาพูดอีก เพราะนั่นจะเป็นการดีต่อทุกฝ่าย

"ถ้าเป็นเรื่องอื่น ผมไม่ทราบครับ"ความเงียบเข้าปกคลุม แว่วเพียงเสียงถอนหายใจยาวของคนตัวเล็ก...นั่นยิ่งทำให้ผมอึดอัด

"ถ้าคุณเดือนไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ ต้องไปช่วยงานที่เรือนบ่าว"ข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นักแต่ก็พอทำให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ดีว่าผมอยากไปให้พ้นจากตรงนี้เสียที

"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"เพียงคำพูดนี้ที่ผมไม่ได้ฝืนพูดออกไป...ผมรู้สึกขอบคุณ...แม้เธอเองไม่ได้ตั้งใจช่วยก็ตาม...ส่วนเรื่องอื่น...ผมไม่ขอรับรู้อะไรอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสามีของเธอหรือแม้แต่เรื่องของเธอกับบุคคลที่เธอเพิ่งเอ่ยถามเมื่อครู่...เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเข้าไปก้าวก่ายแม้แต่น้อย


"พ่อธีร์"หากเสียงหวานที่เรียกขึ้นอีกครั้งทำให้ผมชะงักฝีเท้า แต่ก็เพียงยืนนิ่งไม่หันกลับไปมอง

"ที่เรามาในวันนี้เพียงเพื่อขอโทษพ่อธีร์แลหลวงแก้ว ขอพ่อธีร์อย่าถือโทษโกรธเคืองหลวงเธอเลย"ผมเข้าใจเจตนาของเธอตั้งแต่ที่เห็นเธอบนเรือนในตอนแรก...ผมรู้ว่าเธอไม่ใช่คนเลวร้าย หากแต่สิ่งที่เธอขอ...ผมคงทำให้ไม่ได้...เพราะผมไม่ใช่คนใจกว้างพอที่จะให้อภัยคนที่เคยทำร้ายกันถึงขนาดนี้




...คำตอบของผม...คือการเดินจากมาและไม่หันกลับไปมองเธออีกเลย...
.

.

.

.

.
"มึงรู้จักคุณเดือนเหรอ"ไอ้ตัวดีถามขึ้นเมื่อท้ายที่สุดผมก็มีเวลาได้อยู่กับมันตามลำพังเสียที...เจอหน้ากันตั้งแต่ช่วงบ่ายแถมมันยังทำหน้าเหมือนอยากถามเต็มที ทั้งเรื่องเมื่อวานนี้และยังเรื่องที่มันเห็นผมกับลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าพระยาเดโชยืนคุยกันที่ริมท่าน้ำ แต่จนแล้วจนรอดต่างคนก็ต่างมีงานต้องทำจนมันไม่มีโอกาสได้ถาม

"เพิ่งเจอเมื่อวานตอนไปเรือนเจ้าคุณเดโช"ตอบเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย...สายตาของผมยังคงจดจ้องอยู่ที่เงาสะท้อนของตัวเองผ่านบานกระจกโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน...เงาที่สะท้อนตัวตนของผมชัดเจนผิดกับเมื่อวานลิบลับ

"ตอนแรกที่รู้กูโคตรตกใจอ่ะ ไม่คิดว่าคนอย่างไอ้หลวงนั่นจะมีบุญได้แต่งงานกับผู้หญิงดีๆแบบคุณเดือน"

"เป็นถึงลูกเจ้าพระยาจะหาผู้หญิงดีๆซักคนแต่งงานก็ไม่แปลก"ไอ้ตัวดีพยักหน้ารับเห็นด้วย...แต่ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น ผมก็ไม่เคยคิดว่าคุณเดือนเป็นผู้หญิงแบบที่ว่า...คงเป็นเพราะโชคชะตาหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เธอต้องทนทุกข์แบกรับภาระทั้งตัวเองและสามีอันธพาลของเธอเอาไว้



"แล้วมึง...เป็นไงมั่งวะ เมื่อวานท่าทางไม่ค่อยดี"น้ำเสียงของมันดูลังเลเมื่อถามคงเพราะรู้นิสัยของผมดี...ผมมันเป็นพวกปากหนัก มีปัญหาอะไรไม่ค่อยเล่าให้ใครฟังแม้แต่มันที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม

"ดีขึ้นละ ขอบใจที่เป็นห่วง"

"พูดแบบนี้ไม่คิดจะเล่าให้กูฟังสินะ"เหลือบไปเห็นไอ้ตัวดีนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเตียงสะท้อนผ่านบานกระจกตรงหน้าแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้...ไม่รู้ว่าผมบอกมันไปกี่ครั้งว่าไอ้หน้าแบบนี้ไม่ได้เข้ากับตัวมันเลยสักนิด

"อย่ามางอน ช่วยดูด้วยว่ามันเข้ากับหน้าโหดๆของมึงมั้ย"

"หู๊ยยยย เจ็บ! ใช่ซิ๊ กูมันไม่ใช่คุณหลวงหวานใจมึงนิ่"แล้วไอ้น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่านี่มันไปจำมาจากใครครับ

"อ๊ะๆๆๆๆๆ!"อยู่ดีๆก็โวยวายเสียงดังจนผมสะดุ้งโหยง...รู้ตัวอีกทีมันก็แถมาอยู่ตรงหน้าพลางส่งยิ้มกวนมาให้

"อะไรของมึงเนี่ย"เป็นทีผมขึ้นเสียงบ้างเมื่อมันยกมือขึ้นจับคางของผมให้แหงนขึ้น ส่วนมืออีกข้างจัดการแหวกคอเสื้อที่มันกว้างอยู่แล้วออก

"นี่อะไรครับพี่ธีร์"ไม่รู้ทำไมแต่ผมว่าเสียงหัวเราะมันน่าถีบพิลึก...ผมรีบยกมือดึงเสื้อขึ้นมาปิดรอยบนไหล่ซ้ายตามเดิมก่อนจะใช้เท้ายันไอ้คนขี้สงสัยออกไปให้ห่าง

"กูว่าแล้วววว เมื่อวานกลับมาหน้าเป็นตูด แต่พอวันนี้เสือกอารมณ์ดีซะงั้น"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้ากวนๆเข้ามาจนผมต้องใช้มือยันหน้ามันเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้กว่านี้

"เอาหน้ามึงออกไปไกลๆหน่อยดิ๊ กูเห็นแล้วสยอง"

"ทีกับกูล่ะสยอง สองมาตรฐานนะมึงอ่ะ"

"ก็มึงมันไม่ได้มาตรฐานนี่หว่า"

"ปากคอเราะร้ายขึ้นทุกวันนะครับพี่ธีร์ ใครสั่งใครสอนให้พูดจาแบบนี้กับคนหล่อครับ"สงสัยกวนประสาทมันมากไปหน่อยเลยโดนมันโบกเข้าให้...แต่มีเหรอที่คนอย่างผมจะยอม...ตอนนี้ในห้องนอนเลยเกิดเป็นสงครามย่อมๆแทน



...แต่หากแชมป์รู้ว่ารอยนี้เกิดขึ้นเพราะอะไรมันคงไม่ยิ้มร่าอยู่แบบนี้...หากแชมป์รู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างมันคงไม่ยอมอยู่เฉย เพราะแบบนั้นผมถึงเลือกที่จะไม่เล่าอะไรให้มันฟังแม้จะรู้สึกผิดต่อมันอยู่บ้าง...แต่แชมป์เองก็เข้าใจไม่ผิด เพราะร่องรอยที่เด่นชัดขึ้นกว่าเดิมนี้ถูกทาบทับโดยใครอีกคนราวกับต้องการจะลบรอยเดิมให้หายไป...รอยแดงเด่นชัดบนไหล่ซ้ายที่เมื่อวานเป็นเพียงสิ่งย้ำเตือนให้ผมหวนนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น...หากแต่ตอนนี้กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ผมระลึกถึงเจ้าของริมฝีปากหยักได้รูปและรอยยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี กับเสียงทุ้มนุ่มที่ยังดังก้องในความคิดวนเวียนไม่รู้จบ...


................................................................................................



ก่อนอื่นขอกราบสวัสดีมิตรรักผู้อ่านทุกท่าน ขอโทษที่หายหน้าไปนานเลยค่ะ  :call:

สำหรับตอนนี้จริงๆแล้วอยากตั้งชื่อตอนว่า จับน้องธีร์ผูกโบถวายพี่แก้ว แต่คิดแล้วสงสารน้องธีร์ยังไงก็ไม่รู้  o22

ขอฝากตอนนี้ไว้ด้วยนะคะ...ช่วงนี้คนเขียนเครียดนิดหน่อยค่ะ เพราะรู้สึกว่ายิ่งแต่งภาษาที่ใช้ก็ยิ่งยากขึ้นทุกที
ทำให้บางช่วงบางตอนออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยังไงก็ติชมกันเข้ามาได้นะคะ จะนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป
ส่วนตอนต่อไป รอกันนิดนึงน๊า ขอไปปรับสมองและภาษาให้กลับมาเข้าที่ก่อนแล้วจะรีบมาต่อ แต่สัญญาว่าไม่หนีไปไหนแน่นอนค่ะ  :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: หยาดน้ำค้าง ที่ 08-10-2014 01:25:05
มายืนส่ง(ถวาย)พ่อธีร์ 55555
เจอเรื่องร้ายๆมาก็ต้องปลอบกันแบบนี้สิถึงจะลบรอยได้ 555555
พ่อธีร์ออกเรือน(?)ไปแล้ว ถถถถถ พี่แก้วดูแลพ่อธีร์ดีๆนะ อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกล่ะ

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 08-10-2014 01:39:41
เค้าเล่นจ้ำจี้กันแล้วอ่ะแก!!!!! :impress2:
แล้วถ้ากลับกรุงเทพคราวนี้พี่แก้วจะยอมเร๊ออออออ

คุณเดือนนี่ยังไง?
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-10-2014 01:53:17
เรียบร้อยโรงเรียนหลวงแก้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกลิงแสดงตัว ที่ 08-10-2014 02:43:37
เค้าได้กันแล้ววว >///<
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 08-10-2014 04:28:30
เปิดตอนมาได้อึนมาก หน่วงได้ที่เลย
เรายิ่งเป็นพวกเครียดกับการให้ความสำคัญในด้านเกี่ยวกับแฟนด้วย
คือ อ่านไป กัดปากไป ลุ้นไปสุดๆ ที่พ่อธีร์ถาม พี่แก้วตอนแรกยังไม่ตอบ
เครียดมากตอนอ่าน แม้ช่วงนั้นจะไม่กี่บรรทัดก็เถอะ
แต่พอพี่แก้วบอกแล้ว ก็ได้สติมาพร้อมๆกับน้องธีร์เลย
กลายเป็นว่าสงสารคุณเดือน แล้วยิ่งตอนท้ายที่มาขอโทษถึงเรือนนี่แบบ
โหย สงสารอ่ะ ต้องมาตามล้างตามเช็ดเรื่องหลังบ้านที่ไม่ดีของสามี
แล้วเป็นเรื่องแนวชู้สาวด้วยนะ สงสารจริงๆอ่ะ

และแล้วตอนนี้ก็มาถึงฉากที่ทุกคนรอคอย
คนเขียนผูกโบให้น้องธีร์ แต่น้องธีร์กระโดดขึ้นพานเองเลยค่ะ555
หลวงแก้วเค้าพยายามสงบจิตสงบใจจะไปนอนห้องอื่นแล้ว
น้องธีร์รั้งไว้ พร้อมอ้อน?ให้อยู่ด้วย โอ๊ยยย น้องธีร์แอบอ่อยใช่มั้ย
น้องธีร์รู้ว่าคนอ่านลุ้น เลยรีบถวายตัวให้หลวงแก้ว เพื่อเป็นกำลังใจให้แม่ยก
หลวงแก้วนี่ละมุนเวอร์ได้อีก ฮือ แต่ก็ไม่ทิ้งความกวนเลยจริงๆ
แหมๆอยากจะแซว คนอิ่มอกอิ่มใจ
นี่สงสัยว่าคงทั้งหลงทั้งรักน้องธีร์จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วใช่มั้ย

เจอฉากหวานๆเข้าไป หน่วงขึ้นมาอีกทันที
ทำไมต้องจำได้ตลอดว่าธีร์กับแชมป์อาจจะต้องกลับมายุคปัจจุบันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
หรือเราเครียดและนอยด์ไปเองคนเดียวหว่า

รออ่านต่อนะคะ555 ลงตอนใหม่ปุ๊บ ก็รอตอนต่อไปปั๊บ กร๊ากกก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Mississippi ที่ 08-10-2014 09:25:49
แหล่วๆๆๆๆว่าแล้วว่าเค้าต้องอะโบ๊ะจาม๊ะกัน แค่อ่านชื่อตอนก็จินตนการไปไกลละค่ะเอริ้กกกกกกกกกกกกกกกกก :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 08-10-2014 09:34:27
ว้ายยยย  ในที่สุด... ในที่สุด...  พี่แก้วกับน้องธีร์ก็... อ้ายยย เขินนน  :m3:
ชอบนะคะแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องบรรยายอะไรให้ละเอียดมากมาย
แต่ก็ให้เรารับรู้ได้ว่า พี่แก้วกับพ่อธีร์ เค้าได้มีความสุขร่วมกันแล้ว อ่านแล้วเขิน  :o8:
ชอบที่น้องธีร์ถามพี่แก้วเรื่องคุณเดือนไปตรง ๆ แบบนี้นะ เราไม่ยักรู้สึกว่าน้องธีร์พาลตรงไหน
ดีกว่าเก็บไว้ให้คลุมเครือในหัวใจ มันยิ่งจะทำให้อะไร ๆ แย่ไปกว่าเดิมนะเราว่า
แต่คำตอบของพี่แก้วนี่สิ แหม คนที่รัก คนแรกและคนเดียว คือ น้องธีร์จริง ๆ ด้วย ชอบ ๆ  :m1:
เข้าใจความรู้สึกของพี่แก้วนะ ที่จะยังคงรู้สึกผิดต่อคุณเดือนอยู่ แต่คุณเดือนก็เข้มแข็งดีนะ นับถือเลย
แล้วที่น้องธีร์ ไม่ให้อภัยไอ้หลวงหื่นนั่น ก็ทำถูกแล้ว ใช่เรื่องที่จะยกโทษให้กันได้ง่าย ๆที่ไหน ฮึ
น้องธีร์ จดจำแค่สัมผัสอันอ่อนโยนของพี่แก้วแค่นั้นพอแล้ว เรื่องแย่ ๆ ทิ้งมันไปให้หมดเลยนะจ้ะ
ปล. ชอบชื่อตอนจังเลยค่ะ "แก้วกลางนธีร์" หวานจับใจจริง   :-[
เรื่องภาษา เราคงไม่มีความรู้มากพอจะติชมอะไรคนเขียนได้น่ะคะ แค่อยากบอกให้รู้ว่า
เราได้อ่านเรื่องนี้ทีไร มันให้ความรู้สึกสบายใจทุกทีเลย อ่านเพลิน ชอบมาก ๆ เลยค่ะ
ขอบคุณที่มาต่อแต่ละตอน ยาว ๆ ทุกครั้งเลยด้วยนะคะ รอตอนต่อไปนะจ้ะ


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 08-10-2014 11:55:49
"จับน้องธีร์ผูกโบถวายพี่แก้ว"

ชื่อนี้ถูกต้องแล้วค่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 08-10-2014 21:47:21
 :o8: แหม อารมณ์พลิกเลยนะคะทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 09-10-2014 08:03:27
ทำไรกันอะ  :z1:  ไปไวนะพ่อ กระโดดข้ามขั้น ต้องขอก่อนสิพ่อ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 10-10-2014 16:25:25
พ่อธีร์.... :z10:

.....


......







.....ข้ามีเรื่องจะสารภาพ



.....ข้าหลงรักพ่อธีร์กับหลวงแก้วเข้าเต็มเปาแล้วล่ะ  :hao7: :hao7:

แอร๊ยยยยยย :o8: :impress2: ชอบเรื่องนี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :z13:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 10-10-2014 18:25:56
เดชะบุญที่ได้มาอ่าน 2-3 ตอนทีเดียว ถ้าไปค้างตอนเรือนเจ้าคุณเดโชฯ คงลงแดงตายแน่


แล้วหลวงเจษฯมันจะเลิกรามั้ยเนี่ย  :katai1:


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 12-10-2014 14:02:42
ลบรอยเกลี้ยงเลยค่ะพี่แก้วอร้ายยย
ชอบเวลาอยู่ด้วยกัน พี่แก้วกะพ้อธีร์
โอ๊ยยยสงสารคุณเดือนจัง
นางไม่ร้ายเลยนางน่าสงสารอะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 15-10-2014 17:08:22
ตอนที่ ๒๗.๕...รัศมีจันทร์เจ้า (ครึ่งแรก)






...ยามแรกรักรักนั้นช่างหอมหวล
ดุจแสงนวลของจันทร์เจ้าจรัสฉาย
ทอแสงจ้าอุ่นไอล้อมโอบรอบกาย
ชื่นฤทัยเพียงใกล้ชิดจิตผูกพัน...





...เด็กหญิงตัวเล็กนั่งพับเพียบสงบนิ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้พบเห็นยิ่งนัก ด้วยว่ากิริยามารยาทของเธอเมื่อประเมินด้วยสายตานั้นช่างเรียบร้อยงดงามผิดกับเด็กวัยใกล้เคียงทั่วไป...แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายใต้ท่าทีสงบนิ่งนั้น เธอทั้งเหนื่อยและเมื่อยล้าเพียงใด...ถ้าไม่เพราะถูกผู้เป็นพ่อกำชับไว้เป็นหนักหนาเรื่องกิริยามารยาทเมื่อมาเยือนเรือนของเจ้านาย มีหรือที่เด็กหญิงวัย๑๐ขวบปีอย่างเธอจะยอมอยู่เฉยเช่นนี้ได้

"พ่อยอดมิต้องเป็นกังวลไป แม่พิกุลเองก็ถึงวัยต้องเรียนรู้การบ้านการเรือน ดีเสียอีก คุณหญิงแกได้มีลูกศิษย์เพิ่มขึ้นอีกคน"เจ้าของเรือนกล่าวอย่างอารมณ์ดีเมื่อคุณพระคนสนิทพาลูกสาวเพียงคนเดียวมาฝากฝังให้เรียนรู้กิริยามารยาทและการบ้านการเรือนจากคุณหญิงผู้เป็นภรรยา ด้วยว่าภรรยาของเขานั้นเสียไปเมื่อหลายปีก่อน ส่วนตัวเขาเองก็มีงานราชการที่ต้องรับผิดชอบ ไม่มีเวลาดูแลอบรมลูกสาวที่กำลังเติบโตเป็นสาวได้อย่างเต็มที่

"กระผมต้องรบกวนเจ้าคุณท่านแลคุณหญิงแล้วขอรับ"พระพินิจภักดีกล่าวอย่างนอบน้อม

"รบกวนที่ใดกันเล่า ดีเสียอีกที่แม่พิกุลจักได้มีเพื่อน"คุณหญิงของเรือนรีบสำทับทันที เธอเองก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็กมาตั้งแต่เด็กและยังรู้จักสนิทสนมกับภรรยาของคุณพระเป็นอย่างดีก่อนที่จะเสียชีวิต ในสายตาของเธอเด็กคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกกับหลาน ยิ่งในเวลาที่ลูกสาวคนโตของเธอกำลังจะเข้าไปรับใช้เจ้านายในวังด้วยแล้วยิ่งทำให้เธอเอ็นดูเด็กหญิงคนนี้มากขึ้นอีก

"แม่เดือน เข้ามาใกล้ๆป้าซี"เมื่อถูกเรียกถึงได้ค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหาอย่างนอบน้อม ทั้งที่ตอนนี้เธอรู้สึกชาที่ขาไปหมดเพราะนั่งนิ่งอยู่เสียนาน

"ผิวพรรณงามเหมือนแม่แต่หน้าตากระเดียดไปทางพ่อยอดเสียมากกว่านะเจ้าคะ"คุณหญิงหันไปหาเจ้าของเรือนหลังได้พินิจใบหน้าของเด็กหญิงอย่างใกล้ชิด...เพราะไม่ได้พบกันเสียนานถึงได้ดูแปลกตาไปบ้าง

"ลูกสาวเหมือนพ่อโบราณเขาว่ามีบุญนัก"เจ้าของเรือนตอบกลับผู้เป็นภรรยาพลางส่งสายตาเอ็นดูมาให้ ขณะที่ผู้เป็นพ่อได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความภูมิใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปทำงานเพราะมัวแต่เสียเวลาฝากฝังกันอยู่เสียนาน


"อยู่เรือนท่านอย่าทำให้ท่านลำบากใจเสียเล่า"พระพินิจภักดีกล่าวทิ้งท้ายขณะลงมารอเจ้าของเรือนอยู่ด้านล่าง

"โถ คุณพ่อเจ้าขา ลูกรึจักทำอะไรให้คุณหญิงท่านลำบากใจ"พอลับตาผู้ใหญ่ อาการเกร็งเมื่อครู่ก็หายไปหมดเหลือแต่เพียงใบหน้ายิ้มแย้มสดใสสมวัย

"เป็นเสียเช่นนี้พ่อถึงได้เป็นกังวล"เพราะรู้นิสัยซุกซนของลูกสาวดีถึงได้ปรามไว้...เมื่อครู่ก็กังวลแทบแย่กลัวว่าจะแสดงอาการพิเรนทร์อะไรออกมาหรือเปล่า...ถึงกระนั้นก็ยังอุ่นใจว่าลูกสาวคนสวยจะได้เรียนรู้วิชาการบ้านการเรือนจากคุณหญิงด้วยตัวเองคงช่วยขัดเกลานิสัยได้บ้างไม่มากก็น้อย



...หากแต่คุณพระคงลืมคิดไปว่าของแบบนี้มันต้องใช้เวลา...



"คุณเดือนเจ้าขา ลงมาเถิดเจ้าค่ะ!"เสียงบ่าวคนสนิทแผดลั่น ลนลานจนพาลจะเป็นลมเอาเสียให้ได้...เหลือกตามองมะขามต้นใหญ่ตรงหน้าที่ยอดด้านบนไหวยุกยิก

"ประเดี๋ยวพลัดตกลงมาบ่าวโดนลงหวายเป็นแน่แท้"ทำอะไรไม่ได้นอกจากบ่นกับตัวเอง...เพราะถูกมอบหมายให้ติดตามมาเป็นบ่าวคนสนิทคอยดูแลลูกสาวของคุณพระ...แม้จะรู้นิสัยใจคอดีแต่ก็ไม่คิดว่าเพียงแค่อาทิตย์แรกก็จะสำแดงฤทธิ์เสียแล้ว

"คุณเดือนเจ้าขา!"ตะโกนเรียกอีกครั้งแต่เพราะไม่ทันระวังถึงได้โดนฝักมะขามที่ถูกโยนมาจากด้านบนตกใส่หน้าผากเข้าให้จนร้องเสียงหลง

"อู้ยยย! บ่าวเจ็บนะเจ้าคะ"แว่วเสียงหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี แต่คนข้างล่างสนุกไปด้วยเสียเมื่อไหร่...ทั้งเจ็บตัว ทั้งกังวล ถ้าคุณหญิงท่านมาเห็นเข้าคนถูกเอ็ดจะเป็นใครได้นอกจากตัวเธอเอง

"ได้มะขามมากแล้ว ลงมาได้แล้วเจ้าค่ะ"

"เสียงดังเสียจริงพี่แย้ม ประเดี๋ยวคุณหญิงท่านได้ยินเข้าได้ถูกเอ็ดกันทั้งคู่"บ่นงึมงำขณะค่อยๆหย่อนขาลงด้วยความระมัดระวัง...เพราะเมื่อครู่เห็นมะขามฝักใหญ่บนต้นจนอดปีนขึ้นมาเก็บเสียไม่ได้...เรื่องปีนต้นไม้นี่ก็ของถนัดนักเพราะหัดปีนตั้งแต่ยังเล็ก

"ระวังนะเจ้าคะคุณเดือน"ยังไม่ทันขาดคำดี เท้าที่เหยียบลงบนกิ่งมะขามใหญ่กลับลื่นพรืดจนตัวเองเสียหลัก หมายจะเอื้อมมือคว้ากิ่งที่อยู่ใกล้ตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว

"โอ๊ยยยย!"ลงมานั่งร้องโอดโอยเสียงดังเพราะก้นกระแทกเข้ากับพื้นเต็มแรงจนปวดไปหมด เดือดร้อนบ่าวต้องรีบเข้ามาประคอง

"ปัดโถ่! บ่าวห้ามก็มิฟัง เจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ"ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเพียงแค่บ่นอุบอิบไม่เป็นภาษา

"ขึ้นเรือนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวไปหายามาใส่ให้นะเจ้าคะ"รีบประคองคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นที่ติดตามเสื้อผ้าออก...โจงกระเบนสีน้ำเงินเปื้อนฝุ่นจนเปลี่ยนสีแล้วยังเสื้อคอกลมติดลูกไม้สีอ่อนนี่อีก เห็นทีคราวนี้จะปิดคุณหญิงท่านยากเต็มที...แต่ก็ต้องรีบกลับขึ้นเรือนเพราะได้ยินเสียงเจ้าของเรือนเรียกมาแต่ไกลจนลืมสำรวจตัวเองอีกครั้งว่ามาลัยดอกมะลิที่คล้องกับผมมวยนั้นหล่นหายตอนที่ตกลงมาจากต้นไม้



"แม่เดือน! ไปเล่นพิเรนทร์อะไรมาเนื้อตัวถึงได้สกปรกมอมแมมเยี่ยงนี้"กลายเป็นคำบ่นจนเกือบติดปากของคุณหญิงเจ้าของเรือนไปเสียแล้วเมื่อได้เห็นสภาพของเด็กหญิงที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมา...ครั้งแรกที่คุณพระคนสนิทพามาฝากฝังก็ดูว่าเรียบร้อยดีแต่เพียงแค่อาทิตย์แรกก็ได้เห็นว่าความจริงแล้วเหมือนท่านรับเลี้ยงลูกลิงตัวเล็กๆเสียมากกว่า...ก็เจ้าหล่อนทั้งซนทั้งแก่นเกินเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันจนบางครั้งคุณหญิงท่านยังเกือบถอดใจ...ยังดีที่เวลาสั่งสอนอะไรยังยอมฟังกัน มิเช่นนั้นคงต้องให้ผู้เป็นพ่อพาไปฝากฝังกับคนอื่นเป็นแน่...จะมีก็แต่เรื่องเล่นซนเกินเด็กทั่วไปนี่ล่ะที่ตักเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง

"เดือนหกล้มเจ้าค่ะคุณหญิง"อ้อมแอ้มแก้ตัวไม่เต็มเสียงแต่มีหรือที่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างคุณหญิงสร้อยจะดูไม่ออก...นึกแล้วก็อดเป็นห่วงลูกสาวตัวเองที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ได้ ด้วยเกรงว่าจะติดนิสัยแก่นแก้วแบบนี้ไปด้วยอีกคน

"ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน ประเดี๋ยวจักสอนร้อยมาลัย"เพราะรู้ว่าบ่นไปอีกฝ่ายก็ไม่ฟังถึงทำได้เพียงถอนหายใจยาว...เห็นทีเรื่องนี้จะสอนกันยาก



"คุณหญิงขอรับ คุณแก้วมาขอรับ"เสียงบ่าวท้วงขึ้นก่อนที่เด็กหญิงจะทันลุกไปไหน...เหลือบไปมองต้นเสียงพร้อมกับคุณหญิงเจ้าของเรือนและลูกสาวคนเล็กที่อายุน้อยกว่ากันเพียงสามปี

"พ่อแก้ว จักมามิบอกกล่าว"เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมายกมือไหว้อย่างนอบน้อม...แม้อายุเพียง๑๕ปีแต่กลับมีบุคคลิกมารยาทดีกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก

"เจ้าคุณไพศาลให้กระผมมารับของจากเจ้าคุณท่านขอรับ"เสียงทุ้มทว่าแหบพร่าเอ่ยตอบ เพราะเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มได้ไม่นานทั้งน้ำเสียงและรูปร่างถึงได้อยู่ในช่วงกำลังเปลี่ยนแปลง

"ให้บ่าวมันมาเอาก็ได้มิเห็นต้องลำบากมาเอง"

"มิได้ขอรับ เอกสารราชการจักให้บ่าวมารับไปคงไม่เหมาะ"เจ้าของเรือนเพียงพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย...แม้อายุเพียงเท่านี้แต่กลับรู้จักช่วยเหลืองานเจ้าคุณผู้รับอุปการะเป็นอย่างดี

"แม่พิกุล แม่เดือน ไหว้พี่เขาเสียซี"สิ้นเสียง ลูกสาวคนเล็กก็รีบวางมือจากมาลัยดอกมะลิตรงหน้าแล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม...เช่นเดียวกันกับเด็กหญิงเจ้าของชื่ออีกคน

"พ่อแก้วจำแม่เดือนได้หรือไม่"คนถูกถามเพียงมองตาม...เด็กหญิงตัวเล็กผิวขาวแต่เนื้อตัวกลับมอมแมม...ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆเมื่อได้เห็นเพราะนึกขันสภาพของคนตรงหน้า

"ลูกสาวคุณพระพินิจหรือขอรับ ได้พบเมื่อครั้งยังเล็กนัก"ดวงตาคมที่จดจ้องมาทำให้เธอหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะเกรงคุณหญิงเจ้าของเรือนอยู่บ้าง

"นั่นถืออะไรมาด้วยเล่าพ่อ"เพราะสังเกตเห็นของในมือผู้มาเยือนจึงถามขึ้น...เจ้าตัวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆคลายมือออกเผยให้เห็นมาลัยดอกมะลิสีขาวนวลวงขนาดไม่ใหญ่นัก...หากแต่เมื่อเจ้าของตัวจริงได้เห็นถึงเพิ่งรู้ตัวรีบยกมือขึ้นจับมวยผมตัวเองเป็นพัลวัน

"เห็นตกอยู่ใต้ต้นมะขามหน้าเรือน สงสัยมีคนทำหล่นไว้ขอรับ"อาการยุกยิกผิดสังเกตจนอีกฝ่ายจับได้...ดวงตาคมชำเลืองมองเพียงเล็กน้อยพลางยกยิ้มบางอย่างเอ็นดูแต่กลับยิ่งทำให้เจ้าของมาลัยหงุดหงิดหนักเพราะเข้าใจว่าถูกแกล้งเข้าให้เสียแล้ว...ดูท่าคุณหญิงสร้อยเองก็รู้ดีเช่นกันเพราะเธอเพียงเหลือบมองเด็กหญิงที่นั่งยุกยิกอยู่ข้างๆแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ต่อความอะไร เพียงแค่ชักชวนผู้มาเยือนให้อยู่รับมื้อกลางวันด้วยกันตามมารยาท





"ขอคืนได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงหวานเจื้อยแจ้วเมื่อคุณหญิงคล้อยหลังลงจากเรือนไปดูแลเรื่องสำรับได้ไม่นาน...ลูกสาวคนเล็กที่นั่งอยู่ด้วยเพียงชะงักมือจากของเล่นตรงหน้า...ส่วนคู่กรณีหันกลับมามองมือเล็กที่แบยื่นออกมา

"อะไรรึ"แสร้งถามทั้งที่รู้ความ แต่เพราะสีหน้าไม่พอใจของเด็กหญิงตัวเล็กเลยนึกสนุกอยากแกล้งขึ้นมา

"มาลัยวงนั้นเจ้าค่ะ"

"ของหล่อนรึ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆอย่างอารมณ์ดี...คนตัวเล็กเพียงพยักหน้ารับ

"ของหล่อนแล้วทำไมถึงมาอยู่ในมือพี่เล่า"

"เดือนทำหล่น ขอคืนได้หรือไม่เจ้าคะ"คิ้วบางขมวดมุ่นเพราะความหงุดหงิด

"มิมีหลักฐาน จักบอกว่าเป็นของหล่อนได้อย่างไร"

"ก็มันเป็นของเดือนนี่เจ้าคะ"ความอดทนเริ่มหมดเพราะความยียวนของคนตรงหน้า...แว่วเสียงหัวเราะเบาจากลูกสาวคนเล็กของเรือนเพราะรู้นิสัยใจคอพี่ชายคนสนิทดี

"พี่ถามเท่านี้มิเห็นต้องขึ้นเสียง"น้ำเสียงแหบกลั้วเสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับมือที่ยื่นมาลัยสีขาวนวลวงน้อยคืนให้เจ้าของ...เด็กหญิงเพียงยกมือไหว้แบบขอไปทีก่อนจะรับมันมาคาดทับบนมวยผมเช่นเดิม

"เล่นอะไรอยู่รึแม่พิกุล"เพราะคนที่เพิ่งต่อปากต่อคำด้วยยังวุ่นอยู่กับมวยผมถึงได้หันมาถามลูกสาวคนเล็กที่นั่งเงียบอยู่นานแทน

"หม้อข้าวหม้อแกงเจ้าค่ะ"เสียงเจื้อยแจ้วตอบกลับพร้อมรอยยิ้มหวาน

"เล่นคนเดียวมิเบื่อรึ"

"อยู่เฉยๆมิมีอะไรให้ทำนี่เจ้าคะ"คนถูกถามส่ายหน้าตอบ กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอไปเสียแล้วเพราะช่วงนี้พี่สาวต้องเตรียมตัวเข้าไปรับใช้เจ้านายในวัง ส่วนผู้เป็นแม่ก็วุ่นวายกับการสอนลูกศิษย์ตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอจึงมักหาอะไรมานั่งเล่นแก้เหงาคนเดียวเสมอ

"เช่นนั้นอยากเรียนหนังสือหรือไม่ พี่จักสอน"ได้ยินแบบนั้นถึงได้วางมือจากของเล่นตรงหน้าหันมายิ้มหวานตาเป็นประกายให้ทันที เพราะคนสนิทของเจ้าคุณไพศาลมาเยี่ยมเยียนทีไรตัวเองเป็นต้องขอให้สอนหนังสือให้ทุกครั้งไป

"แล้วหล่อนเล่า อยากเรียนด้วยกันหรือไม่"หันกลับมาถามอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่อีกฝ่ายรีบส่ายหน้าหวือปฏิเสธ...แค่คุยด้วยยังเถียงกันเสียขนาดนี้ให้มาสอนหนังสือจะไม่ยียวนจนไม่เป็นอันเรียนหรือ

"แล้วกัน มีแต่คนเขาอยากเรียนจักได้มิวิชาความรู้ติดตัว"

"อยากเรียนเจ้าค่ะ แต่มิอยากเรียนกับครูคนนี้"ตอบเสียตรงจนคนฟังชะงักไป

"พี่เดือน!"แม้แต่ลูกสาวเจ้าของเรือนเองยังตกใจจนต้องร้องเรียก

"ประเดี๋ยวต้องเรียนร้อยมาลัยกับคุณหญิงท่านเจ้าค่ะ"เพราะรู้ตัวว่าเสียมารยาทถึงได้อ้อมแอ้มตอบกลับไป...แต่ถ้าจะให้ขอโทษล่ะก็...ไม่มีทางเสียล่ะ...แว่วเสียงหัวเราะเบาจากเด็กหนุ่มถึงได้พอโล่งใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ติดใจกับคำพูดของเด็กหญิงตัวเล็กๆอย่างเธอ

"หัดเรียนร้อยมาลัยแล้วก็อย่าไปทำหล่นที่ไหนอีกเล่า เดือดร้อนคนเก็บได้เขาต้องเอามาคืน"นึกว่าจะสงบศึกกันไปแล้วแต่ยังถูกย้อนเอาเสียได้ แต่เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำเลยได้แต่นั่งหน้ามุ่ยด้วยความหงุดหงิดแทน


...นั่นเป็นการพบกันครั้งแรกที่เธอจำได้...เด็กหนุ่มคนสนิทของเจ้านายของผู้เป็นพ่อ...ท่าทางนิ่งๆแต่เมื่อได้พูดกลับยียวนไม่ยอมใคร แม้แต่กับเด็กหญิงตัวเล็กอย่างเธอ...เพราะไม่ถูกชะตาถึงได้คิดว่าไม่อยากเจอหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เพราะหลังจากนั้นเธอก็ยังต้องพบเด็กหนุ่มคนที่ว่าเป็นประจำ...ถ้าไม่เพราะติดสอยห้อยตามเจ้าคุณไพศาลมาที่เรือนนี้บ้างเป็นบางครั้ง ก็เป็นเจ้าตัวที่มาเองเพราะถูกลูกสาวคนเล็กของเรือนขอร้องให้สอนหนังสือให้เมื่อมีเวลาว่าง...เจ้าคุณผู้เป็นเจ้าของเรือนก็ดูจะเห็นดีเห็นงามไปด้วยที่ลูกสาวคนเล็กจะได้มีวิชาความรู้ติดตัวกับเขาบ้าง...แต่สำหรับเด็กหญิงแก่นแก้วแบบเธอที่ต้องมาเจอกับคนที่ดูเหนือกว่าเช่นนี้...



...นี่ไม่ใช่เรื่องสนุก...



"เป็นอะไรของหล่อน นั่งบิดไปบิดมาน่ารำคาญเสียจริง"คุณหญิงเจ้าของเรือนเอ็ดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นอาการยุกยิกของนักเรียนตัวเล็ก...ห้าเดือนแล้วที่เด็กหญิงตัวน้อยมาเรียนรู้การบ้านการเรือนจากคุณหญิงสร้อย แม้โดยรวมจะดูดีขึ้นกว่าตอนแรกที่มา แต่อาการซุกซนอยู่ไม่สุขเช่นนี้แก้เท่าไหร่ก็ไม่หายเสียที

"เมื่อยขาเจ้าค่ะ"ลูกศิษย์ตัวน้อยอ้อมแอ้มตอบพลางยกมือที่ถือเข็มปักผ้าแกว่งไปมาบิดขี้เกียจ เดือดร้อนคุณหญิงสร้อยต้องร้องปรามเสียงดัง

"วันนี้พอเท่านี้ก่อน ให้หล่อนนั่งนานกว่านี้ประเดี๋ยวได้เอาเข็มแทงใครเข้าให้"ถูกบ่นอีกรอบเลยได้แต่หัวเราะแก้เก้อตอบไป ก่อนจะขอตัวลงไปนั่งเล่นข้างล่างแทนแต่ก็ไม่ลืมที่จะชวนลูกสาวคนเล็กที่วัยใกล้เคียงกันลงไปด้วย



"แม่พิกุลมิเบื่อรึทำแบบเดิมทุกวันๆ"บ่นอุบเมื่อเดินลงมาจากเรือน เพราะปกติไม่เคยต้องทำเช่นนี้มาก่อนถึงได้รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิตประจำวันแบบนี้

"มิเบื่อหรอกจ้ะ พี่เดือนเบื่อรึ"คำถามที่คนฟังรีบพยักหน้ารับทันที

"คุณแม่ท่านสอนว่าเป็นหญิงต้องเรียนรู้การบ้านการเรือนต่อไปภายหน้าเมื่อออกเรือนจักได้ดูแลสามี"

"โถแม่คุณ หล่อนเพิ่งอายุเพียงเจ็ดปี กว่าจักได้ออกเรือนอีกกี่ปีกันเชียว"

"แต่เรียนรู้ไว้ก็มิเสียหายมิใช่หรือจ๊ะ"ท่าทีไร้เดียงสาของคนตัวเล็กกว่าจนเธอต้องยอมแพ้ ไม่อยากต่อปากต่อคำอะไรเพราะอีกฝ่ายก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี...เด็กที่โตมาในกรอบของครอบครัวที่อบอุ่นอย่างพิกุลคงไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอเป็นแน่ เพราะตัวเธอนั้นถูกเลี้ยงมาด้วยพ่อเพียงคนเดียวทำให้ความอ่อนโยนแบบสตรีที่พึงมีขาดหายไปบ้าง การที่ถูกจับมาอยู่ในกรอบเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอ

"ไปเล่นที่ท่าน้ำหน้าเรือนกันเถิด มาแข่งกันใครถึงก่อนคนนั้นชนะ"พูดถึงการบ้านการเรือนเข้าถึงกับหน้ามุ่ย แต่พอคิดถึงเรื่องเล่นซนกลับยิ้มร่าออกมาได้ทันที แต่คนตัวเล็กกว่ายังมีท่าทีอิดออดด้วยกลัวจะถูกผู้เป็นแม่เอ็ดเอาเพราะท่านเคยสั่งห้ามไม่ให้ไปเล่นแถวท่าน้ำตามลำพัง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันได้ท้วงอะไรเพราะถูกอีกฝ่ายกึ่งดึงกึ่งลากให้ตามไปเสียก่อน


สองขาเร่งก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ทันระวังจนสะดุดล้มลงไปกองไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น เดือดร้อนคนตัวเล็กกว่าต้องช่วยฉุดขึ้นมาแต่อีกฝ่ายกลับร้องโอดโอยเพราะแผลถลอกที่หัวเข่า...เลือดแดงสดเริ่มซึมออกมาจากปากแผลจนเจ้าตัวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ

"ประเดี๋ยวพิกุลขึ้นไปตามคุณแม่ให้นะจ๊ะ"พูดจบก็รีบวิ่งกลับขึ้นเรือนไปทันทีเพราะความตกใจ ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งโอดโอยอยู่บนพื้นใกล้กับท่าน้ำ...เจ็บจนน้ำตาซึมออกมาแถมยังทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้คุณหญิงสร้อยลงมาดูอาการ


"แม่เดือน"หันกลับไปมองที่ท่าน้ำเห็นผู้มาเยือนสองคนที่ช่วงหลังกลายเป็นคนคุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี

"เป็นอะไร ทำไมเลือดออกเช่นนี้"เจ้าคุณไพศาลรีบเดินเข้ามาดูอาการเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวนั่งหมดท่าอยู่กับพื้น

"เดือนหกล้มเจ้าค่ะ"พยายามกลั้นน้ำตาเพราะว่าเจ็บแผลจนเริ่มทนไม่ไหว

"พ่อแก้ว พาน้องขี้นเรือนก่อน ของในเรือประเดี๋ยวเราให้บ่าวมันช่วยยกขึ้นไป"เด็กหนุ่มคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆพยักหน้ารับก่อนจะก้มลงประคองอีกฝ่ายให้ยืนขึ้น

"ลุกไหวหรือไม่"คนตัวเล็กส่ายหน้าตอบเพราะเจ็บขาจนลงน้ำหนักไม่ได้ เลือดก็ยิ่งซึมออกมากกว่าเดิมจนตัวเองไม่กล้าก้มลงมอง...เด็กหนุ่มตัวสูงเห็นท่าไม่ดีจึงค่อยย่อตัวลงนั่งตรงหน้ายิ่งทำให้คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร มือหนาก็เอื้อมมาคว้ามือของเด็กหญิงตัวเล็กให้เข้ามากอดไว้ที่คอของตัวเอง

"จับให้มั่นประเดี๋ยวตก"ว่าพลางเอื้อมมือช้อนเข้าที่ขาทั้งสองก่อนจะยกตัวขึ้น...อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวรีบกอดคอคนข้างหน้าเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะตก...น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มเพราะแสบแผลจนทนไม่ไหว แว่วเสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหู

"มิต้องร้อง ประเดี๋ยวทำแผลเสร็จก็หายเจ็บ"คำปลอบใจที่ทำเอาคนข้างหลังพยักหน้ารับทั้งที่ยังร้องไห้อยู่...ยังไม่ทันถึงเรือนดี คุณหญิงสร้อยก็เดินลงมาเสียก่อน ท่าทางร้อนใจเพราะถึงแม้จะคอยบ่นคอยปรามเรื่องความซนของลูกศิษย์ตัวน้อยแต่ในเวลาเช่นนี้ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

"ไปทำอีท่าไหนถึงได้เจ็บตัวเยี่ยงนี้"คุณหญิงเจ้าของเรือนบ่นอุบเมื่อขึ้นมาถึงด้านบน...เด็กหนุ่มตัวสูงค่อยๆย่อตัวลงให้คนข้างบนนั่งลงกับพื้นก่อนจะหันกลับมาดูแผลถลอกที่หัวเข่าของอีกฝ่าย

"แผลไม่ลึกมากขอรับ ล้างแผลแลพันผ้าไว้ประเดี๋ยวก็หาย"หันไปบอกเจ้าของเรือนที่ยืนมองด้วยความเป็นห่วง

"ขอบใจพ่อแก้วมาก"เจ้าของชื่อเพียงพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับมาช่วยดูแผลของเด็กหญิงตัวเล็กอีกครั้ง

"คราวหน้าระวังให้มาก เป็นผู้หญิงแท้ๆเอาแต่วิ่งเล่นซุกซนไม่น่ามองรู้หรือไม่"แม้จะถูกบ่นแต่ก็ไม่มีแรงจะเถียงกลับเพราะมัวแต่พะวงกับแผลที่หัวเข่า ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไรทั้งยังเก็บคำสอนเมื่อครู่มาคิดเสียมากกว่า



...หลังจากพบกันหลายต่อหลายครั้ง นี่คงเป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงตัวเล็กเริ่มมองอีกฝ่ายในทางที่ดีขึ้นมาบ้าง...อย่างน้อยอาการไม่ถูกชะตาโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างเช่นก่อนหน้านั้นก็หายไป...




หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗ UP ๐๘/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 15-10-2014 17:09:09



...ห้าปีผ่าน จากเด็กหญิงตัวเล็กเติบใหญ่เป็นสาวแรกแย้ม แม้กิริยามารยาทจะไม่ได้งดงามเพียบพร้อมเทียบเทียมสาวชาววัง ทว่าด้วยการอบรมสั่งสอนจากครูชั้นดีอย่างคุณหญิงสร้อยก็ทำให้แม่เดือนผู้แก่นแก้วในวัยเด็กเติบโตอย่างงดงามไม่แพ้ลูกสาวบ้านไหน...ทั้งยังใบหน้าสวยหวานและผิวขาวเนียนละเอียดเหมือนผู้เป็นแม่ที่มาจากหัวเมืองเหนือยิ่งทำให้เด็กสาวงามโดดเด่นจนเป็นที่ต้องตาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หลายต่อหลายคน


และถึงแม้จะไม่ต้องมาเรียนการบ้านการเรือนจากคุณหญิงสร้อยทุกวันเหมือนเมื่อครั้งยังเด็กแต่เธอก็ยังแวะเวียนมาหาอยู่เสมอ ด้วยเพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณหญิงยังต้องคอยสั่งสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเติบใหญ่เป็นสาวแรกแย้มเช่นนี้


"นี่อะไรหรือเจ้าคะคุณหญิง"เสียงหวานถามขึ้นเมื่อเห็นคุณหญิงเจ้าของเรือนกำลังง่วนอยู่กับการผสมแป้ง...วันนี้ย้ายที่เรียนจากบนเรือนมาเป็นโรงครัวแทน

"เขาเรียกบุหลันดั้นเมฆ เป็นขนมหวาน ใช้แป้งสองอย่างผสมกับน้ำดอกอัญชันแลน้ำตาลหยอดใส่ถ้วย เอาไปนึ่งจักได้เนื้อขนมสีฟ้า"คุณหญิงสร้อยอธิบายยาวเหยียดขณะที่ลูกศิษย์คนสวยยืนฟังอย่างตั้งใจ

"แล้วไข่นี่ล่ะเจ้าคะ"ถามขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นเครื่องปรุงอื่นๆวางเรียงราย

"ไข่ใช้ทำหน้าบุหลัน มีไข่ กะทิ น้ำตาล มะพร้าวผสมให้เข้ากันหยอดใส่หน้าขนมที่นึ่งไว้"เมื่อเห็นว่าวิธีการทำไม่ได้ยากเกินความสามารถจึงขอลงมือทำเองบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงกลับถูกติจากคุณหญิงท่านสารพัดเพราะถึงแม้วิธีการไม่ได้ซับซ้อนเกินความเข้าใจหากแต่น้ำหนักมือและการกะส่วนผสมนั้นยังห่างชั้น สุดท้ายแล้วบุหลันดั้นเมฆของเธอกลับเหมือนพระจันทร์ข้างแรมเสียมากกว่า ผิดกับของคุณหญิงสร้อยที่ออกมาเป็นพระจันทร์ดวงกลมลอยเด่นกลางเมฆสีฟ้าสด

"ยากแท้เจ้าค่ะ"บ่นอุบเมื่อพยายามอีกครั้งก็ยังออกมาเป็นแบบเดิมจนเจ้าตัวเริ่มถอดใจ

"น้ำหนักมือต้องพอเหมาะเมื่อหยอดขนมครั้งแรก หยอดมากไปมันจักล้นมิสามารถหยอดหน้าขนมได้เหมือนที่หล่อนทำ"เด็กสาวยืนมองเจ้าของเรือนค่อยๆหยอดขนมลงในถ้วยตะไลอย่างเบามือ ทั้งน้ำหนักและปริมาณถูกกะได้อย่างเท่ากันเกือบทุกถ้วย ก่อนจะให้เธอได้ลองทำอีกครั้ง...คราวนี้ออกมาเป็นที่พอใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ยังไม่เทียบชั้นกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นครู


ทำขนมเสร็จก็ถึงเวลาชิม แต่จะให้ทำเองชิมเองเห็นทีจะไม่เหมาะเลยจัดแจงยกถาดขนมเดินขึ้นเรือนใหญ่ที่ลูกสาวคนเล็กของคุณหญิงสร้อยกำลังตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือกับพี่ชายคนสนิทของเธอ...จะเป็นใครที่ไหนได้นอกจากคนสนิทของเจ้าคุณไพศาลที่มักเทียวไปเทียวมาที่เรือนนี้ไม่ขาด หากแต่ตอนนี้เขาเติบโตกลายเป็นหนุ่มใหญ่เข้ารับราชการในกรมธรรมการแถมยังพ่วงด้วยงานด้านการต่างประเทศที่คอยช่วยเหลือเจ้าคุณคนสนิท

"พี่เดือนทำเองหรือจ๊ะ"เสียงหวานเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงวัย๑๒ปีร้องทักเมื่อได้เห็นขนมหน้าตาสะสวยตรงหน้า ขณะที่เจ้าตัวเพียงพยักหน้ารับพลางยิ้มกริ่มเพราะกว่าจะได้ขนมหน้าตาใกล้เคียงกับฝีมือคุณหญิงสร้อยแบบนี้ เธอต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่หลายรอบทีเดียว

"เพิ่งได้ทำเป็นครั้งแรก มิรู้ว่าจักถูกปากหรือไม่"แต่ดูท่าเด็กหญิงตัวเล็กจะไม่สนใจเพราะรีบคว้าเอาขนมชิ้นพอดีคำขึ้นมาใส่ปากเป็นที่เรียบร้อย

"อร่อยมากจ้ะพี่เดือน...พี่แก้วลองชิมดูซีเจ้าคะ"ว่าพลางยื่นถาดขนมตรงหน้าไปให้ทั้งที่ยังเคี้ยวอยู่เต็มปาก...เจ้าของชื่อเพียงยกยิ้มอย่างเอ็นดูน้องสาวตัวเล็กก่อนจะหยิบขนมขึ้นมาชิมบ้าง หากแต่ชิ้นที่หยิบขึ้นมากลับเป็นบุหลันข้างแรมที่เจ้าตัวทำพลาดเสียนี่...คนตัวสูงมองชิ้นขนมในมือพลางหัวเราะออกมาเบาๆจนคนที่ลงมือทำได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจเพราะอุตส่าห์ตั้งใจทำสุดฝีมือยังมาหัวเราะเยาะกันเสียได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยปากชมเพราะรสชาตินั้นต่างจากหน้าตาอยู่มากนัก


"เห็นว่าปีหน้าจักไปเล่าเรียนที่เมืองฝรั่งรึพ่อแก้ว"คำถามของคุณหญิงเจ้าของเรือนที่ทำเอาเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆชะงักมือจากเข็มปักผ้าเพียงเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่งที่เธอรู้สึกใจหายคงเป็นเพราะได้เห็นหน้ากันอยู่บ่อยครั้งจนกลายเป็นความเคยชิน

"ขอรับ เป็นทุนจากมหาวิทยาลัยทางโน้น เจ้าคุณไพศาลท่านเสนอชื่อของกระผมไป ท่านว่าจักได้ศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมของเมืองฝรั่งแลนำความรู้กลับมาสอนชาวสยามต่อไปขอรับ"

"ดีจริงเชียว ไปนานเท่าใดเล่าพ่อ"คุณหญิงสร้อยพยักหน้ารับอย่างอารมณ์ดี ส่วนหนึ่งเพราะเอ็นดูชายหนุ่มที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กดุจลูกหลานคนหนึ่งเช่นกัน

"รวมเวลาเดินทางก็เกือบสองปีได้ขอรับ"เพราะต้องเดินทางด้วยเรือโดยสารขนาดใหญ่จึงทำให้กินเวลามากกว่าที่ควรจะเป็น

"พี่แก้วไม่อยู่นานเช่นนี้ใครจักสอนหนังสือพิกุลเล่าเจ้าคะ"ลูกศิษย์ตัวน้อยบ่นอุบทันทีที่ได้ยิน ตั้งแต่เล็กมาก็ได้พี่ชายคนสนิทคอยสอนวิชาความรู้ให้ พอรู้ว่าต้องห่างไปถึงสองปีจึงอดน้อยใจไม่ได้

"สองปีมินานหรอก ดีเสียอีกพี่ไปเรียนกลับมาจักได้สอนภาษาของเมืองฝรั่งให้แม่พิกุล"ได้ยินแบบนั้นถึงได้ยิ้มร่าพยักหน้ารับด้วยความดีใจแทน

"แล้วจักไปเมื่อใดรึ"คุณหญิงสร้อยยังคงถามต่อ ความจริงท่านพอรู้ความจากเจ้าคุณผู้เป็นสามีมาบ้างแต่เมื่อมีโอกาสได้พบเจ้าตัวจึงได้ถามไถ่อีกครั้ง

"เข้าหน้าฝนปีหน้าขอรับ ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกนานนัก"



บทสนทนาของคุณหญิงสร้อยและผู้มาเยือนยังคงดำเนินต่อไป หากแต่เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆกลับรู้สึกใจหายอย่างน่าประหลาด...ความรู้สึกที่ก่อเกิดในใจนั้นยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ว่าเธอนั้นเสียดายเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นพี่ชายคนสนิทที่เห็นกันมาแต่เล็ก...หรือเธอกำลังเสียใจเพราะความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆกันแน่




"หลบมาอ่านหนังสือคนเดียวอีกแล้วนะเจ้าคะ"เสียงหวานดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนตัวสูงที่กำลังมีสมาธิจดจ่อกับหนังสือเล่มหนาตรงหน้า...ชายหนุ่มละสายตาขึ้นมองเด็กหญิงตัวเล็กที่ตอนนี้เติบโตเป็นสาวเต็มตัว...เสื้อคอกลมติดลูกไม้ที่เคยสวมเมื่อครั้งยังเป็นเด็กกลับกลายเป็นสไบสีกลีบกุหลาบตัดกับโจงกระเบนสีเขียวเข้มคาดทับด้วยเข็มขัดนาคเส้นโต...ผมมวยสูงที่เคยคาดทับด้วยมาลัยดอกมะลิสีขาวนวลก็กลับยาวสยายเลยบ่าลงมา...ใบหน้าหวานระเรื่อรับกับผิวขาวเนียนละเอียดที่ได้มาจากฝั่งแม่...เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้พินิจคนตรงหน้าอย่างจริงจัง...ดวงตาคมสบกับดวงตาหวานภายใต้แพขนตายาว ริมฝีปากหยักยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะปิดหนังสือเล่มหนาลงแล้ววางไว้ข้างตัว...หญิงสาวเหลือบมองหน้าหนังสือที่ถูกคั่นเอาไว้ด้วยอะไรบางอย่าง

"นั่นอะไรหรือเจ้าคะ"แม้จะโตเป็นสาวแรกแย้มแต่ความซุกซนอยากรู้อยากเห็นก็ยังคงอยู่...คนถูกถามเพียงเปิดหน้าหนังสือขึ้นอีกครั้งก่อนจะหยิบช่อดอกไม้แห้งที่ถูกทับเอาไว้ใช้แทนที่คั่นหนังสือ

"ดอกแก้วน่ะ"ดอกไม้แทนตัวเจ้าของร่างสูงตรงหน้า...กลีบดอกขาวนวลส่งกลิ่นหอมฟุ้งที่เธอเองได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

"พี่แก้วต้องไปเมืองฝรั่งจริงหรือเจ้าคะ"ถามขึ้นอีกครั้งหากในใจกลับวูบไหวอย่างประหลาด คนถูกถามเพียงพยักหน้ารับช้าๆแทนคำตอบ

"ไปเสียนาน กลัวว่าจักลืมเมืองสยามเสียกระมัง"ใบหน้าหวานงอง้ำเพราะความน้อยใจเรียกเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย

"จักลืมได้เช่นไร ที่ไปเล่าเรียนก็เพื่อนำความรู้กลับมาสั่งสอนชาวสยามให้ก้าวหน้ามิแพ้เมืองอื่นเขา"ถึงจะตอบแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นสักนิด...เพราะใจจริงแล้วเธอไม่อยากให้ไปต่างหาก

"ไปอยู่เมืองฝรั่งเห็นทีคงลำบากน่าดู ไหนจักต้องเรียนแลยังความเป็นอยู่มิเหมือนชาวสยามอีก"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

"แม่เดือนเองอยู่ทางนี้ก็ตั้งใจเล่าเรียนจากคุณหญิงท่านให้มาก ภายหน้าออกเรือนไปสามีของหล่อนจักได้ภูมิใจว่ามีภรรยาที่เพียบพร้อม"ดวงตาหวานเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยิน

"ออกเรือนหรือเจ้าคะ"เพราะไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน...ยิ่งเป็นคำพูดจากคนตรงหน้าด้วยแล้วยิ่งทำให้หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

"ก็ใช่น่ะซี เมื่อพี่กลับมาป่านนั้นแม่เดือนคงออกเรือนไปแล้วกระมัง"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางพลางนึกไปถึงเด็กหญิงแก่นแก้วตัวเล็กที่เคยปีนต้นมะขามเล่นจนพลัดตกลงมาหากตอนนี้กลับเติบโตใกล้วัยที่จะออกเรือนไปกับคนที่เหมาะสม

"เดือนมิได้นึกถึงเรื่องนั้นเลยเจ้าค่ะ"ให้พูดตามตรงก็เพิ่งมาเริ่มคิดตอนที่อีกฝ่ายพูดออกมานี่ล่ะ

"ถึงเวลานั้นคุณพระท่านคงเลือกคนที่เหมาะสมไว้ให้"และตัวเขาเองก็มั่นใจว่าคนอย่างพระพินิจภักดีย่อมต้องเลือกคนที่ดีที่สุดเพื่อจะมาเป็นสามีของลูกสาวเพียงคนเดียวของท่าน

"แล้วพี่แก้วเล่าเจ้าคะ"คิ้วดกหนาขมวดมุ่น มองหน้าคนตัวเล็กแทนคำถาม

"ก็...เมื่อใดพี่แก้วจักออกเรือน ปีนี้ก็ครบ๒๐ปีแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ"

"เห็นทีคงอีกนาน กว่าจักกลับมาจากเมืองฝรั่งก็อีกตั้งสองปี ที่สำคัญ..."น้ำเสียงทุ้มนุ่มเงียบไปเพียงอึดใจหากยิ่งทำให้อีกฝ่ายใจจดจ่อรอฟัง


"พี่ยังมิเคยพบหญิงใดที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้นเสียที"ชั่วขณะหนึ่งที่ความเงียบเข้าปกคลุม แว่วเพียงเสียงหัวใจของเธอเองที่กระตุกวูบจนเผลอนึกไปว่ามันหล่นหายไปที่ใดหรือเปล่า...ความรู้สึกที่ก่อเกิดในใจจนถึงตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน หากแต่คนตรงหน้ากลับไม่มีท่าทีเหมือนกันเลยสักนิด...ทั้งที่อยู่ใกล้กันมาตั้งแต่เด็ก แม้ไม่ได้ใกล้ชิดถึงขั้นพบหน้ากันทุกวันแต่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชายคนแรกที่เข้ามาวนเวียนในชีวิตของเธอได้นานขนาดนี้


ยังไม่ทันได้ท้วงอะไรคุณหญิงสร้อยก็ให้บ่าวมาตามกลับขึ้นเรือนเสียก่อน หากแต่คนตัวเล็กยังคงอิดออดไม่ยอมกลับขึ้นเรือนทันทีจนอีกฝ่ายสงสัย

"มีอะไรรึ"

"เดือน..."ได้แต่อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี...คนตัวสูงเพียงนั่งมองอาการแปลกๆของเด็กสาวตรงหน้า

"เดือนขอดอกแก้วดอกนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ"สูดหายใจลึกรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดออกไป หากคำตอบที่ได้รับเป็นเพียงเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย

"ดอกไม้แห้งเช่นนี้หล่อนจักเอาไปทำอะไร"

"เดือนอยากได้เจ้าค่ะ ที่เรือนคุณพ่อก็มิมีต้นแก้วเสียด้วย เดือนชอบกลิ่นดอกแก้วเจ้าค่ะ"บ่ายเบี่ยงไม่ตอบตามตรงว่าใจจริงแล้วอยากได้ไว้เป็นที่ระลึกเผื่อวันหน้าจะไม่ได้เจอกันอีกนาน

"ดอกแก้วนี้พี่เก็บไว้เสียนานแล้ว มิมีกลิ่นหรอก เอาไว้วันหลังจักเก็บมาให้ใหม่"

"แต่เดือนอยากได้ดอกนี้เจ้าค่ะ"ยังคงยืนยันคำเดิมจนอีกฝ่ายยอมแพ้

"แปลกคนนักเชียว"แม้ไม่ค่อยเข้าใจคนตัวเล็กนักแต่ก็ยังยื่นดอกแก้วในมือส่งให้ไป สำหรับเขามันก็เป็นแค่ดอกแก้วที่ถูกเก็บมาใช้ต่างที่คั่นหนังสือแต่สำหรับอีกคนที่ได้รับกลับมีความหมายมากกว่านั้น


ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนความดีและความบริสุทธิ์ กลับกลายเป็นตัวแทนของใครบางคน...ใครคนหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นเธอเองก็ไม่อาจรู้ได้...หากเมื่อรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเธอที่คอยมองตามอีกฝ่ายเรื่อยมา แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกจากเธอฝ่ายเดียวก็ตาม...ถึงอย่างนั้นก็ยังหวังอยู่ลึกๆว่าวันหนึ่งเมื่อเขากลับมา...เขาจะหันกลับมามอง...และได้เห็น...ว่ายังมีใครอีกคนที่ยืนรออยู่ตรงนี้


...ไม่ว่ามันจะเป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ตาม....


...


ตอนแทรกของคุณเดือนกับพี่แก้วค่ะ ขอแบ่งเป็นสองตอนเพราะเรื่องยาวมากจบในตอนเดียวไม่ไหว :z3:
ตอนนี้จะบอกที่มาที่ไปของคุณเดือนกับพี่แก้วแล้วก็หลวงเจษฎ์ค่ะ
ใครคิดถึงน้องธีร์รอกันอีกแป๊บน๊า ช่วงนี้น้องธีร์เก็บตัวค่ะ ใช้พลังงานเยอะไปหน่อย :hao7: :hao7: :hao7:(ทำอะไรนะ 555)

ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ รักผู้อ่านทุกคนค่า  :mew1:

ปล.เผื่อใครนึกภาพไม่ออกเลยนำรูปขนมบุหลันดั้นเมฆมาให้ดูค่ะ

(http://www.viteetam.com/wp-content/uploads/2012/09/food60.jpg)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 16-10-2014 13:06:26
โอ๊ย ฮาบุหลันข้างแรม555 อยากชิมดูบ้างแฮะ บุหลันดั้นเมฆ
ไม่คิดว่าเป็นชื่อขนมไทย เพราะเคยเจอเป็นชื่อร้านอาหาร
แล้วมันให้ความรู้สึกชื่อแบบจีนๆไงไม่รู้

พี่แก้วนี่กวน เกรียนแต่เด็ก ฮือ นี่แหละสเน่ห์พี่แก้ว
นิ่ง หล่อ แต่กวนและเกรียน แล้วยิ่งคิดถึงเวลาหวานๆใส่น้องธีร์
เขินๆและดีงาม

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-10-2014 14:26:33
ถ้าไม่ใช่นิยายวาย มันคงเป็นเรื่องโรแมนติกน่าดู
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 16-10-2014 14:31:09
อดีตของพี่แก้วกับคุณเดือน โห ไม่คิดนะเนี่ย ว่าคุณเดือนจะเคยเป็นเด็กแก่นแก้วขนาดนั้น
ส่วนคุณพิกุลนี่สิ เรียบร้อยน่ารักตั้งแต่เด็ก จนโตเป็นสาวก็ไม่เปลี่ยนไปเลย
พี่แก้ว สมัยละอ่อน ก็ไม่ต่างจากพี่แก้วของน้องธีร์ในปัจจุบันเลย น่ารักที่สุดอ่ะ
ถึงจะกวนได้โล่ แต่ก็อบอุ่นใจดี ให้ความรู้สึกถึงผู้ชาย ที่สามารถเป็นที่พึ่งพาได้ ตั้งแต่วัยเยาว์เชียว  :-[
ไม่แปลกใจเลย ที่จะทำให้คุณเดือนเกิดความรู้สึกพิเศษต่อพี่แก้วขึ้นมาได้
คุณเดือนน่าสงสารนะ จากเด็กผู้หญิงแก่นแก้วสดใส กลับต้องมาใช้ชีวิตอย่างขมขื่นใจ
เพราะเลือกสามีผิดแท้ ๆ เลย แต่ก็ทำให้รู้ว่า เพราะอย่างนี้สินะ ปัจจุบันคุณเดือนถึงได้เข้มแข็งนัก
อ่านตอนนี้แล้ว ยิ่งทำให้หลงรักพี่แก้วของน้องธีร์มากขึ้น ๆ ไปอีกไม่รู้กี่เท่า ผู้ชายในฝันเลย  :m1:
รู้สึกดีใจกับน้องธีร์จัง ที่เป็นคน ๆ เดียว ที่สามารถกุมหัวใจของพี่แก้วคนนี้เอาไว้ได้
ปล. 1 ตอนนี้ไม่มีน้องธีร์เลย แต่ไม่เป็นไร ยอมให้น้องธีร์ได้พักก่อนก็ได้ เผื่อต้องใช้พลังงานในคืนอื่น ๆ อีกอ่ะนะ อิอิ :haun5:
ที่สำคัญ ก็ยังอยากรู้จักพี่แก้วสมัยยังละอ่อนต่ออีกด้วยจ้า
ปล. 2 ขนมน่าทานจังเลยค่ะ แปลกด้วย เพิ่งเคยเห็น เคยได้ยินชื่อครั้งแรกเลยนะเนี่ย ขอบคุณสำหรับภาพ และความรู้ใหม่ ๆ ด้วยนะคะ
รอตอนต่อไปจ้า เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  ชอบเรื่องนี้มาก ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 16-10-2014 20:54:01
พี่แก้วช่างมีอารมณ์ขันนัก น่ารัก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 17-10-2014 00:38:47
ย้อนอดีตพี่แก้ว  มาดูสิธีร์มาเร็ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 17-10-2014 08:44:44
ไปอ่านตอนที่ ๒๗ ซ้ำอีกรอบ เขินยิ่งกว่าอ่านครั้งแรกอีกอ่ะ
พี่แก้วกับน้องธีร์ ทำอะไรกับหัวใจของเราคะเนี่ย  :-[
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 17-10-2014 10:44:11
โถ่...พ่อธีร์โดนสูบพลังงานไปขนาดนั้นเลยหรอ  :laugh:



ปล ถามคนเขียนครับว่า มีโครงการจะรวมเล่มตีพิมพ์หรือเปล่าครับ?
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 17-10-2014 20:37:38
โถ่...พ่อธีร์โดนสูบพลังงานไปขนาดนั้นเลยหรอ  :laugh:



ปล ถามคนเขียนครับว่า มีโครงการจะรวมเล่มตีพิมพ์หรือเปล่าครับ?


ขอบคุณที่ติดตามพี่แก้วกับน้องธีร์มาตลอดเลยค่ะ

ตอนนี้ยังไม่มีโครงการรวมเล่มนะคะ เพิ่งแต่งเรื่องแรกยังไม่พอใจภาษาตัวเองเท่าไหร่ค่า  :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: itim_holiday ที่ 18-10-2014 01:24:54
โอ๊ย~  ชอบน้องธีร์กับพี่แก้วจัง อัพไวๆ นะคะ :katai4:  (อ่านรวดเดี๋ยวยี่สิบเจ็ดบท รู้สึกค้างสุดๆ~) :katai1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 20-10-2014 20:57:11
ตอนที่ ๒๗.๕...พิสิษฐวรเวทย์ (ครึ่งหลัง)






...แต่รักแรกแทรกลึกในดวงจิต
สุดจะคิดหักใจให้เปลี่ยนผัน
หยั่งรากลึกฝังตรึงเป็นนิรันดร์
แม้โศกศัลย์ด้วยรักนั้นมิสมใจ...






...เป็นเวลาเกือบสองปีนับตั้งแต่เขาออกเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนที่เมืองฝรั่ง...แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่ก็ทำให้เขาได้ความรู้เพิ่มเติมมากมาย ทั้งด้านภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างจากชาวสยามโดยสิ้นเชิง...ด้านความเป็นอยู่นั้นแม้ในตอนแรกที่ไปถึงจะลำบากอยู่ไม่น้อยแต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเขาเองก็ปรับตัวได้จนกลายเป็นคุ้นเคยในที่สุด...แต่ถึงอย่างนั้นจิตใจก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้กลับมายังสยามประเทศ...บ้านเกิดเมืองนอนของเขาเอง...

"การเดินทางเป็นเช่นไรบ้างรึ"เจ้าคุณเจ้าของเรือนเอ่ยถามหลังจากที่คนสนิทเพิ่งกลับมาถึง...เกือบสองปีที่ท่านไม่ได้พบหน้า จะมีก็เพียงการติดต่อผ่านทางจดหมายเป็นบางครั้งบางคราว

"ราบรื่นดีขอรับ เจ้าคุณท่านสบายดีหรือไม่ขอรับ"แม้ไม่ได้พบหน้ากันเกือบสองปีแต่ท่าทีสุภาพนอบน้อมก็ไม่เคยเปลี่ยน จะมีก็เพียงรูปร่างหน้าตาที่ดูคมชัดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

"เราสบายดี กลับมาเหนื่อยๆไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด"แม้มีเรื่องมากมายอยากถามแต่ก็ต้องละเอาไว้เพราะรู้ว่ากว่าจะเดินทางกลับมาถึงต้องใช้เวลานานเพียงใด...เขาเองก็คงเหนื่อยล้าจากการเดินทางอยู่ไม่มากก็น้อย

"ได้ยินมาว่าจะย้ายไปอยู่ที่เรือนริมแม่น้ำหรือขอรับ"เพราะได้ยินมาจากบ่าวในเรือนถึงได้ถามขึ้น...เมื่อตอนที่ออกเดินทางเขาจำได้ว่าเจ้าคุณท่านกำลังให้คนเร่งสร้างเรือนทรงฝรั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่นึกว่าจะเสร็จเร็วเช่นนี้

"เรือนนี้จะยกให้พ่อเทพเขา"เจ้าของชื่อคือลูกชายคนโตที่เพิ่งออกเรือนไปได้ไม่นาน เจ้าคุณไพศาลเลยคิดจะยกเรือนฝั่งพระโขนงหลังนี้ให้เป็นเรือนหอ เพียงแค่รอให้เรือนทรงฝรั่งสร้างเสร็จก็จะย้ายไปพร้อมคุณหญิงและบ่าวผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน

"ไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด วันพรุ่งจะพาไปพบเจ้าคุณจิตรา แกบ่นถึงพ่อแก้วไม่ขาดปาก"ดูท่าว่าจะไม่ได้มีเพียงเจ้าของเรือนกับคุณหญิงผู้เป็นภรรยาที่ตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของเขา เพราะแม้แต่เจ้าคุณคนสนิทอีกท่านเองก็คอยไตร่ถามความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายอยู่ไม่ขาด




...เรือนไม้สักทรงโบราณของเจ้าคุณจิตรายังคงเหมือนเดิมที่เคยเห็นเมื่อสองปีก่อน หากแต่ที่เปลี่ยนไปเห็นจะมีเพียง...ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณท่านที่ตอนนี้เติบใหญ่เป็นสาวสะพรั่งและยังพร้อมด้วยกิริยามารยาทนอบน้อมอ่อนหวาน...แต่ในสายตาของเขาเธอเองก็เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่คอยรบเร้าให้เขาสอนหนังสือให้อยู่ร่ำไป


...หากแต่คนที่ทำให้เขาสะดุดตาตั้งแต่ขึ้นไปถึงด้านบนของเรือนกลับกลายเป็นลูกศิษย์คนสวยของคุณหญิงสร้อยที่วันนี้มาเรียนวิธีทำอาหารสูตรชาววังที่คุณหญิงท่านรับปากว่าจะสอนให้...ท่าทีสงบเรียบร้อยผิดกับเด็กหญิงตัวเล็กแก่นแก้วที่เขาได้พบในครั้งแรก...หรือแม้แต่เมื่อสองปีก่อน อีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็กสาววัยแรกแย้มที่ยังคงมีความซุกซนแบบเด็กๆ...แต่เมื่อได้พบกันอีกครั้งเธอกลับกลายเป็นสาวงามเพียบพร้อมด้วยกิริยามารยาทและความรู้เรื่องการบ้านการเรือนที่ถูกถ่ายทอดมาจากคุณหญิง...ดวงตาหวานเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นเขาในครั้งแรก...เรียวปากบางยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีพร้อมยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท...เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นงามพร้อมเพียงใด

"แม่เดือนหรือนี่ แทบจำไม่ได้เสียแล้ว"เสียงทุ้มนุ่มทักทายพร้อมยกมือรับไหว้

"ห่างพระนครไปเพียงสองปีก็ลืมกันแล้วหรือเจ้าคะ"ทั้งวิธีการพูดจาก็เปลี่ยนไปจากเดิม...สำหรับแม่พิกุลนั้นแม้จะเติบโตเป็นสาวงามสะพรั่งเพียงใดแต่ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กที่คอยเรียกชื่อเขาเจื้อยแจ้วก็ยังคงอยู่ ผิดกับอีกคนที่ในตอนนี้กลับไม่เหลือภาพเด็กหญิงจอมแก่นคนเดิมเลยสักนิด

"นั่นซีนะ เห็นทีพี่คงแก่แล้วกระมัง"คำตอบที่เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนบนเรือนไม่ขาด...เวลาเพียงสองปีทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป...จะมีก็แต่...ดวงตาหวานฉ่ำที่คอยทอดมองมาทางเขาเสมอ ที่เขารู้สึกว่ายังคงเป็นเหมือนเดิม

"ได้ยินมาว่าพ่อแก้วได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหลวงรึ"เจ้าคุณจิตราถามขึ้นบ้างหลังจากได้ยินมาหนาหูจากผู้ใหญ่ในกรมธรรมการที่อีกฝ่ายสังกัดอยู่

"เพิ่งได้ทราบเรื่องเมื่อก่อนกลับมาเช่นกันขอรับ"

"อวยยศเป็นอะไรรึ"เจ้าของเรือนยังคงถามต่อ

"หลวงพิสิษฐวรเวทย์ขอรับเจ้าคุณท่าน"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับอย่างยินดี

"อายุเพียงเท่านี้ได้เป็นถึงหลวงแล้ว อีกไม่นานก็คงได้เป็นคุณพระหรือพระยากระมัง"คุณหญิงสร้อยรีบสำทับบ้าง...ท่านเองก็ภูมิใจในตัวชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย

"กระผมไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นเลยขอรับคุณหญิง"แม้ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเป็นเวลานาน ถูกรายล้อมด้วยภาษาและวัฒนธรรมชาติตะวันตกที่แตกต่าง...วัฒนธรรมที่หล่อหลอมให้คนในชาติทะเยอทะยานและเชื่อมั่นในตนเอง หากแต่ค่านิยมเหล่านั้นกลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนของคนตรงหน้าได้...ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนยังคงมีให้เห็นอยู่เสมอตั้งแต่เมื่อก่อนเรื่อยมาจนตอนนี้





"ยังชอบมานั่งเล่นที่ท่าน้ำเหมือนเคยนะเจ้าคะ"เสียงหวานดึงสติที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยให้กลับมา...คนตัวเล็กที่เพิ่งเดินมาถึงทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม...เรียวปากบางแย้มน้อยๆยิ่งทำให้น่ามองขึ้นอีก

"พี่ชอบมองแม่น้ำ เพราะแม่น้ำให้ความรู้สึกเย็นสบาย"แม้ท่าน้ำหน้าเรือนของเจ้าคุณจิตราจะเป็นเพียงคลองสายเล็กๆแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน...สายน้ำไหลเอื่อยพาใจให้ล่องลอยคิดเรื่่องต่างๆที่ผ่านเข้ามา เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขามักมานั่งใช้ความคิดที่ริมน้ำเสมอ

"แม่เดือนมีอะไรรึ"นึกขึ้นได้จึงถามกลับไป เหลือบไปเห็นถาดขนมในมือคนตัวเล็กกว่า

"คุณหญิงท่านสอนเดือนทำขนม อยากให้พี่แก้วได้ชิมเจ้าค่ะ"ว่าพลางยื่นขนมหวานหน้าตาสะสวยมาให้ตรงหน้า

"เสน่ห์จันทน์รึ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางก่อนจะยื่นมือออกไปหยิบขึ้นมาชิมสักชิ้น...อยู่ต่างบ้านต่างเมืองมาเสียนานไม่ได้ทานอาหารไทยสักมื้อ ยิ่งขนมหวานยิ่งไม่ต้องพูดถึง ก็ทางโน้นมีแต่ขนมฝรั่งแถมไม่ถูกปากเจ้าตัวอีกต่างหาก

"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"คิ้วบางขมวดมุ่นเพราะเห็นใบหน้าบูดบึ้งของอีกฝ่าย...ดวงตาคมกลอกไปมาอยู่นานแต่ก็ไม่ยอมตอบคำถามจนคนทำเริ่มใจเสียกลัวว่าจะไม่ถูกปาก...หากเพียงครู่ที่หันกลับมาสบตาก็เห็นรอยยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี คนตัวเล็กถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกแกล้งอีกแล้ว

"รสชาติดี หน้าตาก็ดีไม่เหมือนคราวก่อน"น้ำเสียงหยอกล้อพาให้นึกไปถึงบุหลันข้างแรมที่เจ้าตัวเคยทำ แม้จะดีใจอยู่ลึกๆที่อีกฝ่ายยังจำได้หากแต่ใบหน้าหวานกลับงอง้ำเพราะถูกล้อเข้าให้อีกครั้ง

"พี่ล้อเล่น โกรธพี่รึ"ตั้งใจจะหยอกเล่นเสียหน่อยแต่คนตรงหน้ากลับไม่นึกสนุกไปด้วย

"แม่เดือน"เรียกขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังเงียบอยู่

"เสน่ห์จันทน์ของแม่เดือนอร่อยนัก พี่ไม่เคยได้กินเสน่ห์จันทน์ที่รสชาติดีเช่นนี้มาก่อน จะให้พี่กินหมดนี่ก็ยังได้"บ่นยืดยาวจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา...ช่างหาวิธีมาง้อเสียจริง

"พอแล้วเจ้าค่ะ เดือนไม่โกรธแล้วเจ้าค่ะ"เสียงหวานกลั้วเสียงหัวเราะพาให้อีกคนยิ้มตาม...แม้จะโตเป็นสาวงามเพียบพร้อมแต่เขาก็ยังคงเห็นตัวตนของเด็กแก่นแก้วคนเดิมซ่อนอยู่ภายใน...เด็กหญิงตัวเล็กที่เขานึกเอ็นดูเมื่อครั้งยังเด็กไม่ได้หายไปไหนเพียงแค่ถูกบดบังด้วยมารยาทและท่วงท่าสง่างามตามกรอบของสังคมที่ตีล้อมเอาไว้

"คุณพระท่านสบายดีหรือไม่"มัวแต่หยอกล้อกันเสียนานจนเกือบลืมถามถึงผู้ใหญ่อีกท่าน

"สบายดีเจ้าค่ะ วันก่อนท่านยังถามว่าเมื่อไหร่พี่แก้วจะกลับ"

"ฝากเรียนท่านว่าวันหลังพี่จะไปหา ไม่ได้พบกันเสียนานแล้ว"ได้ยินแบบนั้นถึงได้เผลอยิ้มกว้างออกมาเมื่อจะได้มีโอกาสพบกันอีกครั้งในวันข้างหน้า

"แต่วันนี้เห็นทีต้องกลับก่อน"เจ้าตัวพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้าคุณไพศาลเพิ่งลงมาจากเรือน...เพราะวันนี้จะพากันไปดูเรือนริมแม่น้ำที่กำลังเร่งสร้างจึงต้องรีบกลับ

"แล้วพบกันวันหน้านะแม่"อีกฝ่ายเพียงยกมือไหว้ลา ใบหน้าหวานเจือรอยยิ้มระเรื่อ ก่อนจะหันไปกล่าวลากับเจ้าคุณอีกท่านที่เพิ่งเดินมาถึง



...เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่ได้พูดคุยกลับเติมเต็มความรู้สึกตลอดเวลาสองปีที่ไม่ได้พบหน้า...หญิงสาวเพียงยืนมองเรือลำน้อยค่อยๆเคลื่อนออกจากท่าน้ำจนลับตาไปในที่สุด...




"พ่อแก้วดูสนิทสนมกับแม่เดือน"เจ้าคุณไพศาลทักขึ้นขณะกำลังยืนมองคนงานเร่งสร้างเรือนไม้ทรงฝรั่งที่ตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างใกล้แล้วเสร็จ

"กระผมเพียงถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไปขอรับ"เจ้าตัวเพียงยกยิ้มบาง เพราะสำหรับเขามันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น หากแต่คำพูดถัดมาของเจ้าคุณท่านกลับยิ่งทำให้สงสัย

"แล้วแม่พิกุลเล่า"คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเมื่อได้ยิน

"แม่พิกุลทำไมหรือขอรับ"

"สนิทสนมกันดีหรือไม่"

"กับแม่พิกุลก็เห็นกันมาตั้งแต่ยังเล็กย่อมสนิทสนมกันเป็นธรรมดาขอรับ"แว่วเสียงถอนหายใจเบาจากอีกฝ่ายยิ่งทำให้หลวงพิสิษฐสงสัยหนัก

"เจ้าคุณท่านมีอะไรหรือขอรับ"

"พ่อแก้วจำท่านเจ้าคุณเดโชได้หรือไม่"เขาเงียบลง พยายามนึกไปถึงชื่อที่อีกฝ่ายพูดถึง เพราะห่างบ้านไปนาน อีกทั้งชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูนี้จึงต้องใช้เวลานานกว่าจะนึกออก

"เจ้าพระยาเดโชศรีวิศาลสังกัดกรมวัง"เจ้าคุณไพศาลเพียงพยักหน้ารับ แต่เขาเองก็ไม่เห็นว่าเจ้าคุณแห่งกรมวังที่ว่าจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราได้

"ปีก่อนเจ้าคุณท่านให้คนมาทาบทามแม่พิกุลให้ลูกชายคนโตของท่าน พ่อแก้วก็รู้จักหลวงเจษฏ์มิใช่รึ"จะว่ารู้จักเขาก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเคยพบกันไม่กี่ครั้งแต่ดูจากภายนอกแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ติดที่การพูดจาวางอำนาจเหมือนผู้เป็นพ่อเท่านั้น

"ตอนที่ท่านให้คนมาทาบทาม เจ้าคุณจิตราแกถามแม่พิกุล แต่เธอกลับบอกว่า..."เจ้าคุณไพศาลเงียบไปเพียงอึดใจ หันมามองคุณหลวงคนสนิทที่ยืนรอฟังอย่างจดจ่อ

"ให้ออกเรือนกับหลวงเจษฎ์สู้ให้เธอออกเรือนไปกับพ่อแก้วเสียดีกว่า"

"อะไรนะขอรับ!"เสียงทุ้มนุ่มตวัดดัง ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจหากคำตอบที่ได้เป็นเพียงการพยักหน้ารับจากอีกฝ่ายเท่านั้น

"ทำไมแม่พิกุลพูดเช่นนั้นเล่าขอรับ"แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจมากกว่าคือการที่เด็กสาวเรียบร้อยที่อยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์เรื่อยมากล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่ถึงสองท่าน

"เธอคงไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงอย่างไรถึงตอบเช่นนั้น"ดูท่าเจ้าคุณไพศาลเองก็เข้าใจสถานการณ์ดีทีเดียว

"แต่นั่นถือเป็นการหักหน้าเจ้าคุณท่าน พ่อแก้วก็รู้ว่าเจ้าคุณเดโชท่านเป็นคนอย่างไร"เจ้าตัวเพียงพยักหน้ารับ แม้ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ก็พอได้ยินชื่อเสียงเรื่องความเจ้ายศเจ้าอย่างของเจ้าคุณท่านนี้มาหนาหูนัก

"เจ้าคุณจิตราแกมาปรึกษาเรื่องนี้ เราเองก็เห็นว่าเหมาะสม"

"อะไรที่ว่าเหมาะสมหรือขอรับ"ใบหน้าคมสงบนิ่งหากแต่ความกังวลในใจกลับเพิ่มขึ้นทุกขณะ

"เรื่องที่จะให้แม่พิกุลออกเรือนไปกับพ่อแก้ว"แว่วเสียงหัวใจตัวเองกระตุกวูบ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกออกไป

"เจ้าคุณท่านขอรับ..."แต่ท่าทีลำบากใจนั่นต่างหากที่ทำให้เจ้าคุณไพศาลรู้

"พ่อแก้ว ฝ่ายหญิงเขาพูดมาเช่นนี้ หากพ่อแก้วปฏิเสธแล้วทางโน้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"ใจหนึ่งก็นึกสงสารน้องสาวคนสนิท แต่ก็ลำบากใจยิ่งนักเพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน โดยเฉพาะกับคนที่ตนเอ็นดูประหนึ่งน้องสาวแท้ๆ

"เจ้าคุณเดโชเองก็ปักใจว่าแม่พิกุลหมั้นหมายกับพ่อแก้วอยู่ก่อน เป็นเช่นนี้ท่านจะหาว่าทางโน้นโกหกเสียอีก"ดูท่าว่าหลวงพิสิษฐกำลังถูกตีล้อมจากรอบด้าน...ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ หากแต่สำหรับเขานั้นมันยากนักที่จะตัดสินใจ

"กระผมคิดว่าไม่สมควรขอรับ"น้ำเสียงเรียบตอบกลับจนเจ้าคุณไพศาลต้องขมวดคิ้วแน่นเพราะบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด

"หากเจ้าคุณท่านอยากให้แม่พิกุลออกเรือนเพียงเพราะเกรงคำครหานินทา แล้วความสุขของแม่พิกุลไม่สำคัญหรือขอรับ"ชั่วขณะหนึ่งที่เขาเห็นประกายวูบไหวในแววตาอ่อนโยนของอีกฝ่าย

"เจ้าคุณท่านก็เห็นด้วยว่าที่แม่พิกุลพูดเช่นนั้นเพียงเพราะต้องการบ่ายเบี่ยงแต่หากการบ่ายเบี่ยงต่อชายคนหนึ่งทำให้เธอต้องออกเรือนไปกับชายอีกคนกระผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง"น้ำเสียงราบเรียบสม่ำเสมอเอ่ยต่อ เขาเพียงแค่อยากอธิบายเพราะตนก็เข้าใจเหตุผลของหญิงสาวดี

"แม่พิกุลเองก็เพิ่งจะครบ๑๕ปียังมีโอกาสได้พบคนที่ดีอีกมาก กระผมเห็นว่าควรให้เวลาเธออีกสักหน่อยหากแม่พิกุลมีใจให้กระผมจริง กระผมเองก็ยินดีที่จะแต่งงานกับเธอขอรับ"ท้ายสุดแล้วเขาได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจยาวจากเจ้าคุณคนสนิท...เพราะจนด้วยคำพูด...เพราะสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง

"เราเข้าใจพ่อแก้ว แต่เจ้าคุณจิตราเองก็เป็นคนมีหน้ามีตาในวงสังคม หากมีใครพูดถึงเรื่องนี้แม่พิกุลก็ไม่พ้นตกเป็นฝ่ายเสียหาย"

"กระผมเชื่อว่าเจ้าคุณจิตราต้องนึกถึงความสุขของแม่พิกุลก่อนเป็นแน่ขอรับ หากเจ้าคุณท่านลำบากใจกระผมจะเป็นคนเรียนเจ้าคุณจิตราด้วยตัวเอง"สมกับที่เป็นคนสนิท ตั้งแต่เล็กจนโตหากยืนกรานอะไรแล้วย่อมหาเหตุผลที่หนักแน่นมาหักล้างได้เสมอ แม้แต่เรื่องนี้ท่านเองก็ถึงกับจนปัญญาจะหาข้อโต้แย้งอะไรต่อ ทำได้เพียงแค่รับปากว่าจะพูดกับเจ้าคุณเพื่อนสนิทให้
.

.

.

.
...ถนนสายเล็กพาดผ่านแบ่งตลาดสองฟากฝั่งออกจากกันชัดเจน...ขนาบข้างเรียงรายด้วยร้านค้าหลากหลาย ทั้งของกิน ของใช้ หรือแม้แต่เครื่องประดับสวยงาม...ตลาดในช่วงสายคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บ้างก็ออกมาจับจ่ายใช้สอย บ้างก็มาเดินดูของสวยงามที่เปิดขายเรียงรายสองฝั่งถนน เสียงผู้คนจอแจมีตั้งแต่บ่าวไพร่ไล่ไปจนถึงระดับเจ้านาย


...ดวงตาคมทว่าหวานฉ่ำของหญิงสาวร่างเล็กส่องประกายวิบวับ ไม่ว่าจะหันไปมองทางใดก็ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก เพราะไม่มีโอกาสได้ออกมาเปิดหูเปิดตานอกเรือนสักเท่าไหร่ พอสบโอกาสถึงได้ออกอาการดีใจเป็นเด็กน้อยเช่นนี้...อีกคนเองก็ดูท่าอารมณ์ดีไม่แพ้กันเพราะเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่อยู่บนเรือ...เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของสองสาวที่เดินนำหน้าพลางชี้ชวนกันให้ดูร้านนั้นร้านนี้เรียกรอยยิ้มปรายจากคนตัวสูงที่เดินตามหลังได้มากทีเดียว...

"ถ้าไม่ได้พี่แก้วเห็นทีวันนี้พิกุลจะไม่ได้ออกมา"เสียงหวานของหญิงสาวตัวเล็กกว่าดังขึ้น ใบหน้าหวานหันมาส่งยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี...เพราะอยากออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างแต่ติดที่ผู้เป็นพ่อปรามเอาไว้ถึงได้เดือดร้อนคนตัวสูงต้องอาสาพาออกมา ไม่เช่นนั้นก็คงไม่พ้นต้องอุดอู้อยู่กับเรือนเหมือนทุกวัน

"วันนี้พี่แก้วไม่ต้องเข้ากรมหรือเจ้าคะ"หญิงสาวตัวสูงกว่าถามกลับแต่คำตอบที่ได้เป็นเพียงการส่ายหน้าตอบจากอีกฝ่ายเท่านั้น

"คุณเดือนมาดูทางนี้ซีเจ้าคะ งามเสียจริงเจ้าค่ะ"บ่าวคนสนิทรีบชักชวนเจ้าของชื่อให้เข้าร้านเครื่องประดับที่มีทั้งสร้อย แหวน กำไลประดับด้วยอัญมณีหลากสี หากแต่คนตัวเล็กกว่ากลับไม่ได้ตามไปด้วยเพียงลดจังหวะฝีเท้าลงมาเดินขนาบข้างชายหนุ่มเท่านั้น...ดวงตาหวานฉ่ำเหลือบมองคนตัวสูงเป็นพักๆจนอีกฝ่ายสังเกตเห็น

"มีอะไรรึ"

"พิกุลยังไม่ได้ขอบคุณพี่แก้วเจ้าค่ะ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางอย่างรู้ทัน

"เรื่องอะไรเล่า"หากเพียงอยากแกล้งคนข้างๆอีกสักหน่อย

"ก็เรื่องที่พี่แก้วเรียนเจ้าคุณพ่อ...เรื่องแต่งงาน"ท้ายประโยคลดเสียงลงเหมือนกำลังพึมพำกับตัวเอง

"หากพี่ไม่เรียนเจ้าคุณท่านหล่อนจะทำอย่างไรรึ"คนตัวเล็กหน้ามุ่ยเพราะรู้ตัวว่ากำลังถูกหยอกเข้าให้

"พิกุลก็ต้องแต่งงานกับพี่แก้วน่ะซีเจ้าคะ"หลวงพิสิษฐเพียงหัวเราะเบากับคำตอบ

"แล้วหล่อนไม่อยากแต่งงานกับพี่รึ"เพราะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็กถึงได้หยอกล้อเป็นเรื่องปกติ

"โถพี่แก้ว พิกุลเห็นพี่แก้วตั้งแต่จำความได้กระมัง จะให้พิกุลแต่งงานกับพี่ชายตัวเอง พิกุลทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ"ใบหน้าหวานหลุบต่ำ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นก็เบาเสียจนแทบไม่ได้ยินแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้ง่ายเมื่ออยู่กับคนข้างๆ...เพราะสนิทใจมากกว่าผู้ชายคนไหน...เพราะเชื่อใจ...เพราะเคารพรัก

"ทำไม่ได้แต่ก็เรียนเจ้าคุณท่านไปแบบนั้น เดือดร้อนพี่ต้องแก้ตัวให้เป็นพัลวันรู้หรือไม่"น้ำเสียงเรียบตอบกลับจนอีกฝ่ายหน้าเจื่อนลงทันที เพราะไม่รู้ว่าคนตัวสูงเพียงแค่แหย่เล่นหรือว่าจริงจัง หากเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย

"แกล้งพิกุลอีกแล้วนะเจ้าคะ"คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาหวานจ้องเขม็งไปยังตัวการที่ยืนยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี

"คราวหลังก็เรียนท่านไปตามตรง เจ้าคุณท่านรักหล่อนเสียอย่างกับอะไร หากหล่อนไม่เต็มใจมีหรือท่านจะบังคับให้ออกเรือนไปกับชายอื่น"

"พิกุลไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ อีกฝ่ายเป็นถึงลูกเจ้าพระยา..."พูดยังไม่ทันจบประโยคดี คนที่กำลังเอ่ยถึงก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน...รูปร่างสูงใหญ่เห็นเด่นมาแต่ไกลขนาบข้างด้วยคนสนิทอีกสองคน...ท่วงท่าการเดินมีอำนาจจนคนรอบข้างต้องหลีกหลบให้...เพียงหันมาสบตาก็เดินตรงเข้ามาหาทันที

"มาซื้อของหรือจ๊ะแม่พิกุล"น้ำเสียงแหบต่ำทว่าดุดัน...คนตัวเล็กยกมือไหว้ตามมารยาทอย่างนอบน้อมหากแต่ดวงตาคมกริบกลับจ้องปราดไปที่คนตัวสูงข้างๆแทน

"พ่อแก้วรึนี่ ได้ยินว่าไปอยู่เมืองฝรั่งมาเสียนาน เพิ่งกลับมารึ"หลวงพิสิษฐเพียงพยักหน้ารับ...ดวงตาคมจดจ้องกลับหากแต่ช่างเรียบเฉย

"กลับมาไม่ทันไรก็ได้อวยยศเป็นหลวงเสียแล้ว น่าชื่นชมนัก เห็นทีฉันต้องเรียกพ่อว่าหลวงแก้วแล้วซี"หากน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ากำลังถูกชมสักนิดเพราะแม้ใบหน้านั้นยังยิ้มแย้มทว่าดวงตาคมแข็งกร้าวกลับจดจ้องอีกฝ่ายนิ่ง...ดูท่าคนตัวสูงใหญ่ยังคงติดใจเรื่องที่ถูกปฏิเสธจากหญิงสาวตรงหน้าจนพาลไปถึงอีกคน แต่ยังไม่ทันได้ปะทะคารมกันต่อเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อเหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนที่เดินมาสมทบ...สายตาแข็งกร้าวเมื่อครู่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้มองพลางยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี...ส่วนคนที่ตกเป็นเป้าสายตาเพียงเหลือบมองก่อนจะยกมือไหว้ตามมารยาท...แม้ไม่เคยพบหน้าหากแต่รู้จักอีกฝ่ายดีเพราะได้ยินเรื่องของน้องสาวคนสนิทมาบ้าง

"นี่ใครรึ"น้ำเสียงเปลี่ยนไปจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง

"พี่เดือน ลูกสาวคุณพระพินิจเจ้าค่ะ"เป็นแม่พิกุลที่แนะนำให้ เจ้าของชื่อเพียงหลุบตาลงต่ำเพราะถูกจดจ้องไม่วางตา

"ช่างงามแท้"แถมวาจาเกี้ยวพาจนออกนอกหน้ายิ่งสร้างความอึดอัดให้อีกฝ่าย...แม้แต่คนรอบข้างเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน



การพบกันครั้งแรกสร้างความลำบากใจให้หญิงสาวไม่น้อย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะชายคนนั้นเคยมีใจให้น้องสาวคนสนิทของเธอถึงขั้นให้ผู้ใหญ่มาทาบทามสู่ขอ...หากแต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เธอกังวลใจคือคนที่ยืนอยู่ข้างเธอในตอนนี้...ใบหน้าคมเรียบเฉยไม่แสดงท่าทีใด...ไม่มีแม้คำพูดโต้แย้งเมื่อเธอถูกเกี้ยวพาต่อหน้า...เธอเพียงลอบมองคนตัวสูง นึกหวังเพียงจะได้เห็นท่าทีไม่พอใจของอีกฝ่ายบ้าง...แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่คิดแบบนี้ก็ตาม
.

.

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕ UP ๑๕/๑๐/๕๗ P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 20-10-2014 20:57:52
.

.
"แม่เดือนน่ะหรือขอรับ"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นบนเรือนไม้สักแบบไทยแท้ของพระยาไพศาลราชวราการ หลังจากที่เจ้าของเรือนบอกเรื่องที่ได้ยินมาจากคุณพระคนสนิท...คนถูกถามเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเล่าต่อ

"เห็นว่าเทียวไปเทียวมาที่เรือนไม่ขาด"เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด...ท่าทีของหลวงเจษฎารังสรรค์ที่มีต่อแม่เดือนวันนั้นทำให้เขาไม่รู้สึกแปลกใจนักเมื่อได้ยินว่าคุณหลวงหนุ่มแสดงตัวชัดเจนว่ามีใจต่อลูกสาวของคุณพระคนสนิทของเจ้าคุณท่าน

"แล้วคุณพระท่านคิดเห็นอย่างไรเล่าขอรับ"

"ถึงจะบอกว่าสุดแท้แต่แม่เดือน แต่ดูท่าแกก็เห็นดีด้วยไม่น้อย"เพราะฐานะครอบครัวและตำแหน่งหน้าที่เพียบพร้อม ใครเลยจะไม่ยินดีที่ลูกสาวตนอาจมีวาสนาได้เป็นถึงลูกสะใภ้เจ้าพระยา

"พระพินิจแกมาปรึกษา แกว่ากลัวแม่เดือนจะตกเป็นที่ครหาเพราะเจ้าคุณเดโชท่านเคยให้คนมาทาบทามแม่พิกุล"เจ้าคุณไพศาลเล่าต่อ

"แต่เรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานมากแล้วนะขอรับ"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าเห็นด้วย

"เราเองก็บอกแกไปเช่นนั้น ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าแม่เดือนจะว่าอย่างไร หากแม่เดือนตอบตกลงเห็นทีจะได้มีงานมงคลในเร็ววันนี้"หากแต่สิ่งที่ทำให้หลวงพิสิษฐเป็นกังวลมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือเขาไม่รู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร...เขาเคยถามน้องสาวคนสนิทถึงเหตุผลที่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมแต่งงานกับอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเพียงเพราะเธอไม่ได้มีใจให้กับชายคนนั้น ไม่ใช่เพราะนิสัยใจคอแต่อย่างใด...แม้ภายนอกไม่ได้ดูเป็นคนเลวร้าย จะมีก็เพียงการพูดจาและท่าทีวางอำนาจ...แต่ลึกๆแล้วเขากลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นมีอะไรมากกว่าที่แสดงออกมาให้เห็น...ถึงอย่างนั้น นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปก้าวก่ายเพราะหากฝ่ายหญิงตกลงยินยอมก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี
.

.

.

.
"คุณหญิงท่านสอนเสร็จแล้วรึ"เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถาม...เป็นอีกวันที่ทั้งสองมาเยือนเรือนของเจ้าคุณจิตรา...คนหนึ่งมาเพื่อเรียน ส่วนอีกคนเพียงติดตามเจ้าคุณคนสนิทมาทำธุระ...พอมีเวลาว่างถึงได้หลบมาหามุมสงบนั่งอ่านหนังสือเหมือนทุกทีแต่กลับพบคนตัวเล็กนั่งเหม่ออยู่ที่ท่าน้ำหน้าเรือนเสียก่อน

"ประเดี๋ยวตอนบ่ายคุณหญิงท่านจะออกไปธุระกับแม่พิกุลเจ้าค่ะ"เสียงหวานตอบกลับ หากแต่สีหน้าไม่สู้ดีนัก...ดวงตาคู่สวยทอดยาวออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า


"มีเรื่องไม่สบายใจหรือแม่"หลวงพิสิษฐนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองคนตัวเล็กที่นิ่งเงียบตั้งแต่เมื่อครู่...คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงเสียงถอนหายใจยาวจากอีกฝ่าย

"หนักใจอะไรเล่าให้พี่ฟังได้หรือไม่"

"ทำไมตอนนั้นพี่แก้วถึงเรียนเจ้าคุณท่านเรื่องแม่พิกุลไปแบบนั้นหรือเจ้าคะ"คำถามที่ทำเอาคนฟังขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่เห็นว่าเรื่องของเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังไม่สบายใจอยู่ตรงไหน

"เพราะพี่รู้ว่าแม่พิกุลเองก็คิดเช่นเดียวกัน"ถึงอย่างนั้นก็ยังตอบกลับไป

"แล้วถ้าหากแม่พิกุลเต็มใจออกเรือนไปกับพี่แก้วเล่าเจ้าคะ"คนตัวเล็กถามต่อ...ใบหน้าหวานหันกลับมาสบเข้ากับดวงตาคมวาววับตรงหน้า

"พี่เห็นแม่พิกุลมาตั้งแต่ยังเล็กย่อมรู้นิสัยแลความคิดของเธอดี ที่แม่พิกุลเรียนเจ้าคุณท่านเช่นนั้นเพราะเธอเพียงต้องการบ่ายเบี่ยงไม่ใช่เพราะพี่แต่อย่างใด"หากแต่ที่เขากล้าปฏิเสธเจ้าคุณจิตรานั้นไม่ได้เป็นเพราะน้องสาวคนสนิทเพียงเหตุผลเดียว แต่ยังรวมไปถึงความรู้สึกของเขาเองอีกด้วย

"หนักใจเรื่องหลวงเจษฎ์รึ"ชั่วขณะหนึ่งที่เขาได้เห็นดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเพียงนิดเพราะความตกใจ...ใบหน้าหวานเจือความกังวลฉายแววชัดเจน

"หลวงเธอให้คนมาทาบทามกับคุณพ่อเมื่อวานนี้เจ้าค่ะ"คำตอบที่หลวงพิสิษฐไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นักหลังจากที่ได้ฟังเจ้าคุณไพศาลเล่าเมื่อคราวก่อน

"แล้วหล่อนคิดเห็นเช่นใดเล่า"

"เดือนไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่คุณพ่อท่านก็เห็นควร"

"คุณพระท่านย่อมอยากฝากฝังหล่อนกับคนที่เหมาะสม แต่ท้ายที่สุดแล้วคนตัดสินใจก็คือหล่อนเองนะแม่เดือน"เพราะเป็นความต้องการของผู้เป็นพ่อถึงได้หนักใจ...ทั้งที่ตัวเองนั้นไม่ได้มีความรู้สึกใดต่อบุคคลที่กำลังพูดถึงอยู่แม้แต่น้อย จริงอยู่ที่เขาเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่เคยคิดไว้...ทั้งการปฏิบัติตัวต่อเธอนั้นก็ถือว่าให้เกียรติ ไม่เคยล่วงเกินหรือฉวยโอกาส...หากแต่หัวใจของเธอกลับอยู่ที่ใครอีกคน...ใครคนนั้นที่เธอได้แต่หวัง ว่าเขาจะตอบรับความรู้สึกนั้นกลับมาบ้าง...โดยเฉพาะในเวลาที่สถานการณ์บีบบังคับให้เธอต้องตัดสินใจอย่างในตอนนี้

"แล้วถ้าเดือนเรียนคุณพ่อว่าเดือนอยากแต่งงานกับพี่แก้วเหมือนที่แม่พิกุลทำเล่าเจ้าคะ"ดวงตาคู่สวยจดจ้องจริงจัง...เพราะอยากรู้ถึงความคิดของคนตรงหน้า...เพราะคาดหวังว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นคำตอบที่เธอเฝ้ารอ

"พูดอะไรเช่นนั้น! ใครมาได้ยินเข้าหล่อนเองที่จะเป็นฝ่ายเสียหาย"เสียงทุ้มนุ่มตวัดดังเพราะความตกใจ

"เดือนพูดจริงเจ้าค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นพี่แก้วจะทำอย่างไรเจ้าคะ"ชั่วขณะหนึ่งที่หลวงพิสิษฐได้เห็นเด็กหญิงแก่นแก้วจอมดื้อรั้นคนเดิมมายืนอยู่ตรงหน้า...น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังแม้ดวงตาคู่สวยนั้นสั่นระริกเพราะความกลัว...หากเขารู้ความคิดของแม่พิกุลเพราะเติบโตมาด้วยกัน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ความคิดของคนตรงหน้า...ดวงตาคู่สวยที่มักมองมาที่เขาเสมอตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย...ใบหน้าหวานระเรื่อที่เอียงอายเมื่อได้พูดคุย...หรือแม้แต่สีหน้าดีใจเมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้งหลังจากห่างกันไปถึงสองปี...เขารู้มาตลอดถึงสิ่งที่คนตัวเล็กพยายามเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยถามเพราะตนก็คิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะเก็บทุุกอย่างเอาไว้เช่นนี้


...หากแต่ตอนนี้เขากำลังถูกคาดคั้น...ด้วยแววตาจริงจัง...ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น...และด้วยท่าทีที่ผิดแปลกไปจากหญิงสาวคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก


"ฟังพี่นะแม่เดือน"น้ำเสียงเรียบจนน่าใจหายดังขึ้นทำลายความเงียบโดยรอบ...นัยน์ตาคมฉายแววลำบากใจไม่ต่างกัน

"เรื่องหลวงเจษฎ์หากหล่อนไม่เต็มใจก็เรียนคุณพระท่าน อย่างไรเสียท่านก็คงไม่ฝืนใจหากหล่อนไม่เห็นดีด้วย ส่วนเรื่องเมื่อครู่..."เขาเงียบลงเพียงอึดใจ เหลือบมองหญิงสาวที่ยืนกลั้นใจรอฟังคำตอบ



"พี่จะถือเสียว่าแม่เดือนไม่ได้พูดออกมาก็แล้วกัน"



ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างทันทีที่ได้ยิน...รับรู้ถึงลมหายใจของตัวเองที่ติดขัดราวกับกำลังจมดิ่งลงสู้พื้นน้ำเบื้องล่าง...ทั้งเย็นเยียบและเจ็บปวด...เธอไม่รู้เลยว่าใช้ความกล้ามากมายเพียงใดที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา...แต่สิ่งที่ได้รับ กลับเป็นการปฏิเสธที่แนบเนียนราวกับต้องการรักษาน้ำใจ...หลวงพิสิษฐที่เธอรู้จักนั้นอ่อนโยนและใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างเสมอ...หากแต่ในเวลาเช่นนี้ ให้เธอได้ยินคำปฏิเสธตรงๆยังจะดีเสียกว่าคำพูดรักษาน้ำใจแต่กลับเชือดเฉือนความรู้สึก

"ที่พี่แก้วพูดเช่นนี้เพราะพี่แก้วมีใครในใจอยู่แล้วหรือเจ้าคะ"เสียงหวานสั่นเครือ รับรู้ได้ว่ามือของตัวเองสั่นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่

"พี่ไม่ได้มีใคร"เขาไม่ได้โกหก...การที่เขาปฏิเสธไม่ใช่เพราะมีความรู้สึกให้กับคนอื่น แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นให้กับคนตัวเล็กตรงหน้าต่างหาก

"แล้วทำไม..."หยดน้ำตารื้นขึ้นบนดวงตาคู่สวย เรียวปากบางที่เอื้อนเอ่ยสั่นระริกเพราะความรู้สึกเย็นเยียบข้างใน

"แม่เดือน"หากแต่น้ำเสียงเรียบของอีกฝ่ายกลับทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง...หลวงพิสิษฐจดจ้องคนตรงหน้าไม่วางตาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย...เขาหนักใจที่ต้องเห็นอาการแบบนี้...เสียใจที่ไม่อาจตอบรับความรู้สึกจนชั่วขณะหนึ่งพาลคิดไปว่าเขากำลังเห็นแก่ตัวอยู่หรือไม่ที่เลือกความรู้สึกของตัวเองมากกว่าคนตรงหน้า...หากแต่ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่อาจคิดกับคนตรงหน้าเป็นอื่นไปได้นอกจากน้องสาวจอมแก่นแก้วที่เขานึกเอ็นดูเมื่อครั้งยังเด็ก...หากเขาเลือกที่จะตอบรับ วันหนึ่งเธอก็ต้องเสียใจที่ต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน...เมื่อถึงวันนั้น เขาคงรู้สึกผิดจนไม่อาจให้อภัยตัวเองเลยก็เป็นได้

"วันหนึ่งหล่อนจะได้พบ คนที่เขารักหล่อนและหล่อนก็รักเขา พี่เชื่อเช่นนั้น"คำพูดที่ส่งผ่านราวกับคำอวยพรแต่กลับทำให้น้ำตาที่รื้นรอบดวงตาหวานฉ่ำไหลลงอาบแก้ม...หากถามถึงคนที่เธอรักนั้นเธอได้พบกับเขาเมื่อนานมาแล้ว แต่เป็นเธอเองต่างหากที่ไม่ใช่คนที่เขารัก...ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่มีให้คนตรงหน้าก็ไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

"เดือนได้พบคนที่เดือนรักแลรอเขามาจนถึงวันนี้ แล้วพี่แก้วเล่าเจ้าคะ เมื่อไหร่จะได้พบคนที่พี่แก้วรัก คนที่พี่แก้วรอ"เสียงหวานปนเสียงสะอื้นราวกับเด็กน้อยยิ่งทำให้หลวงพิสิษฐลังเล ใจหนึ่งเขาอยากยื่นมือออกไปซับน้ำตาที่ไหลอาบพวงแก้มเนียนระเรื่อเพื่อปลอบใจ...หากแต่อีกใจก็รู้ดีว่ามีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็กที่เคยขี่หลังเขาเมื่อตอนหกล้มได้แผลในตอนเด็กอีกแล้ว

"หากเบื้องบนกำหนดให้พี่ได้พบกับคนนั้น วันหนึ่งพี่ก็จะได้พบ แม่เดือนเองก็เช่นกัน"รอยยิ้มปรายประดับบนใบหน้าคมหยุดน้ำตาที่รื้นไหลของคนตรงหน้า...เธอเพียงยืนนิ่งมองชายหนุ่ม...เขา...ผู้ซึ่งหนักแน่นและซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเอง...ไม่ต่างอะไรจากเธอที่เลือกบอกความรู้สึกที่มีออกไปอย่างชัดเจน...แม้ความรู้สึกของคนสองคนจะสวนทางและไม่มีวันมาบรรจบ...แต่อย่างน้อยต่างฝ่ายก็ได้รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย...ไม่ใช่เธอที่เสียใจเพียงคนเดียว...เขาเองก็รู้สึกผิดไม่ต่างกัน เพราะสำหรับหลวงพิสิษฐแล้วนั้น ผู้หญิงตรงหน้าช่างเพียบพร้อม ทั้งหน้าตา กิริยามารยาท หากใครรู้เข้าคงหาว่าเขาโง่ยิ่งนักที่มองข้ามคนตัวเล็กตรงหน้านี้ไป...แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือก...



...เลือกที่จะทำตามหัวใจตัวเอง...





...งานแต่งงานของลูกสาวพระพินิจภักดีถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมเกียรติ ด้วยว่าที่ลูกเขยของคุณพระนั้นเป็นถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพระยาเดโชศรีวิศาล ขุนนางใหญ่แห่งกรมวัง...แขกเหรื่อที่มาล้วนเป็นข้าราชการสังกัดกรมต่างๆและคุณหญิงคุณนายอีกหลายท่าน...เสียงจอแจของผู้คนอื้ออึงไปทั่วสร้างสีสันให้กับเรือนไม้ทรงไทยหลังใหญ่...หากแต่คนที่ดีใจที่สุดคงหนีไม่พ้นพระเอกของงาน...ใบหน้าคมยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีคอยต้อนรับแขกเหรื่อที่แวะเวียนเข้ามาอวยพรไม่ขาด...ผิดกับลูกสาวของพระพินิจภักดีที่แม้ในวันนี้แต่งองค์ทรงเครื่องงามพร้อมจนใครต่อใครพากันออกปากชมไม่ขาดแต่แววตาของเธอกลับหม่นหมอง แม้รอยยิ้มบนใบหน้าจะพอกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนได้บ้างแต่ก็ไม่อาจตบตาคนใกล้ชิดที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กได้

"พี่เดือนดูเศร้าเสียจริงเจ้าค่ะ"ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราได้แต่ยืนมองเจ้าสาวคนสวยทักทายแขกเหรื่อ ขณะที่คนตัวสูงข้างๆยังคงยืนนิ่งหากแต่ดวงตาคมจดจ้องไปยังที่เดียวกัน

"ทำไมพี่เดือนถึงไม่ปฏิเสธเล่าเจ้าคะพี่แก้ว"แม้แต่แม่พิกุลเองก็ดูออกเช่นกันว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย

"เธอว่าเป็นความต้องการของคุณพระท่าน"หากความจริงแล้วถ้าเธอตั้งใจจะปฏิเสธก็ย่อมทำได้ แต่เธอกลับเลือกทำตามที่ผู้เป็นพ่อเห็นสมควรและเขาเองก็รู้ดีว่าเธอตัดสินใจเช่นนี้เพราะอะไร

"แล้วจะมีความสุขหรือเจ้าคะ อยู่กับคนที่ไม่ได้รัก"ยังไม่ทันได้รับคำตอบก็ถูกเจ้าคุณผู้เป็นพ่อเรียกตัวไปทักทายแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเสียก่อน เหลือเพียงคนตัวสูงที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม...ดวงตาคมจดจ้องเจ้าสาวคนสวยจนเจ้าตัวหันมาเห็นจึงเดินเข้ามาหา...ยิ่งได้มองใกล้ๆก็ยิ่งได้เห็นว่าวันนี้คนตัวเล็กตรงหน้านั้นงามพร้อมเพียงใด

"นึกว่ากลับไปเสียแล้วเจ้าค่ะ"น้ำเสียงหวานไม่ต่างจากใบหน้าถามขึ้น

"รอเจ้าคุณไพศาลท่านคุยกับท่านเจ้าคุณเดโช ประเดี๋ยวก็คงกลับ"อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับ...หลังผ่านเหตุการณ์นั้นก็แทบไม่ได้พบหน้า เพราะทั้งเธอและเขาก็ต่างบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงที่จะไปเรือนเจ้าคุณจิตราด้วยกันทั้งคู่

"จริงซี พี่ยังไม่ได้อวยพรให้แม่เดือน"ดวงตาคู่สวยเงยสบกับดวงตาคมส่องประกายระยับ...ริมฝีปากหยักประดับรอยยิ้มบาง

"พี่ขอให้แม่เดือนพบแต่ความสุขในชีวิตคู่ หากมีปัญหาอะไรขอให้อดทน อย่างไรเสียหล่อนก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาแล้ว"คำว่า'ภรรยา'จากปากของหลวงพิสิษฐ์ทำเอาหัวใจของอีกฝ่ายกระตุกวูบ ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังปั้นแต่งรอยยิ้มหวานส่งกลับไป...เพราะนี่เป็นทางที่เธอได้เลือกแล้ว...แม้ไม่ได้ทำตามหัวใจตัวเองอย่างที่หวังไว้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้ทำตามความต้องการของผู้เป็นพ่อที่เลี้ยงเธอมาเพียงลำพัง...สิ่งที่เธอต้องทำหลังจากนี้ คือก้าวต่อไปข้างหน้า แม้ว่าในตอนนี้เธอยังไม่สามารถทิ้งความรู้สึกต่างๆเอาไว้เบื้องหลังได้ก็ตาม



...ภาพของหนุ่มสาวที่ยืนเคียงกันท่ามกลางแขกเหรื่อมากมายบนเรือนกลับตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่ง...หลวงเจษฎารังสรรค์ยืนมองหญิงสาวผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นภรรยากำลังยืนคุยกับชายหนุ่มอีกคนที่เขาไม่นึกถูกชะตานัก เพราะยังติดใจเรื่องลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตรา แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเสียหน้าไม่น้อย...เขาเองก็พอได้ยินมาบ้างว่าสองคนนี้สนิทสนมกันตั้งแต่เด็กหากแต่สีหน้าและท่าทีของภรรยาคนสวยที่มีต่ออีกฝ่ายกลับทำให้เขานึกสงสัยในความสัมพันธ์



...แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้...ความรู้สึกของภรรยาของตนเองที่มีต่อชายหนุ่มอีกคน...เมื่อเขาบังเอิญไปพบเข้ากับช่อดอกแก้วที่ถูกคั่นไว้ในหนังสือเล่มโปรดของเธอ


...ดอกแก้วที่ผู้เป็นภรรยาเฝ้ามองทุกคืนโดยที่เธอไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจดจ้องจากอีกฝ่ายมาโดยตลอด...


...ดอกแก้วที่ทำให้ความเกลียดชังก่อเกิดในใจ...


...ดอกแก้วที่เป็นตัวแทนของผู้ชายคนนั้น...



................................................................................




"แอบอู้งานมานั่งถ่ายมิวสิคอะไรตรงนี้ครับ"ภาษาที่แปลกหูดึงความคิดเรื่อยเปื่อยของเขาให้กลับมา...หันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบนพื้นท่าน้ำเล็กข้างศาลาไม้แปดเหลี่ยมของเรือนไม้ทรงฝรั่งหลังใหญ่

"ว่าอะไรนะพ่อ"แม้พักหลังจะเริ่มชินกับคำพูดแปลกๆของอีกฝ่ายแต่ก็ยังมีบางคำที่ไม่เข้าใจเอาเสียเลย อย่างคำพูดเมื่อครู่เป็นต้น

"ก็...ที่มานั่งเหม่อแบบนี้ สมัยผมเค้าเรียกว่าถ่ายมิวสิคน่ะ"คนข้างๆพยายามอธิบายแต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเขาเลยยกธงขาวยอมแพ้

"ช่างมันเถอะครับ"ได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงตก ใครว่าอุปสรรคทางภาษามีแต่เฉพาะกับภาษาต่างประเทศ แค่ภาษาไทยด้วยกันเองเมื่อผ่านกาลเวลาเป็นตัวแปรก็ทำให้คนไม่เข้าใจกันเสียแล้ว

"ว่าแต่ออกมานั่งทำอะไรครับ ปล่อยให้ผมนั่งทำงานอยู่ในห้องคนเดียวตั้งนาน"เพราะบอกว่าจะออกมาสูดอากาศข้างนอกแต่เห็นว่าหายไปนานเลยออกมาตาม

"คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ"ว่าพลางทอดสายตามองเจ้าพระยาสายใหญ่ที่ถูกฉาบด้วยแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเย็น

"ชอบออกมานั่งริมแม่น้ำจริงๆนะครับ"สำหรับเด็กหนุ่มพลัดถิ่่นอย่างชลนธีร์คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวพระนครจะผูกพันกับแม่น้ำเพราะชีวิตของชาวพระนครในสมัยนี้ต่างก็พึ่งพาแม่น้ำลำคลองกันแทบทุกคน...แต่สำหรับหลวงพิสิษฐแล้วนั้น คำถามของคนข้างๆกลับทำให้เขานึกถึงใครอีกคนที่เคยถามแบบนี้เช่นกัน...ดวงตาคมเบิกกว้างเพียงครู่ก่อนจะโปรยยิ้มบางให้กับผืนน้ำเบื้องหน้า

"เราชอบมองแม่น้ำ เพราะสายน้ำให้ความรู้สึกเย็นสบาย"คำตอบที่เหมือนกันกับตอนนั้นหากแต่เวลานี้ความหมายของเขากลับเปลี่ยนไป...เพราะสายน้ำที่อยู่ข้างเขาในเวลานี้ให้ความรู้สึกเย็นสบายมากกว่าแม่น้ำสายไหนที่เขาเคยได้เห็น...สายนทีเพียงหนึ่งเดียวที่ไหลวนกลับมาจากที่แสนไกลจนได้มาพบกันในที่สุด...แม้ว่าในวันหน้านทีสายนี้อาจต้องไหลคืนกลับไปยังที่ที่จากมา...นึกถึงคำพูดของตัวเองในวันนั้นที่พูดกับหญิงสาวที่ท่าน้ำหน้าเรือน



...หากเบื้องบนกำหนดให้ได้พบกัน วันหนึ่งก็จะได้พบ...



ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางเมื่อมองคนข้างๆ...กรอบหน้าด้านข้างต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น ดวงตาคมสวยทอดยาวออกไปไกลพร้อมรอยยิ้มปรายประดับเพราะกำลังชื่นชมความงามของสองฝั่งเจ้าพระยา

"ได้พบแล้ว"เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วจนอีกฝ่ายหันกลับมามอง

"อะไรนะครับ"หากคำตอบที่ได้มีเพียงมือหนาที่เอื้อมมากุมมือของคนตัวเล็กกว่าเอาไว้

"พ่อธีร์ของพี่"แม้ไม่ค่อยเข้าใจอาการแปลกๆของคนตัวสูงนักแต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไร เพียงปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่ มีเพียงเสียงลมโชยโบกคลอกับเสียงน้ำไหลเอื่อยของเจ้าพระยาสายใหญ่เบื้องหน้า...และสองมือที่เกาะกุมสอดประสาน...ดวงตาคู่สวยสบเข้ากับดวงตาคมของอีกฝ่าย...ราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ และหากเป็นไปได้...


...เขาก็อยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ตลอดไป...


.................................................................................................


ตอนของพี่แก้วบ้างนะคะ  :mew1:

ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่ติดตาม ตอนหน้ากลับเข้าเนื้อเรื่องหลักแล้วค่า
น้องธีร์กำลังจะกลับมาทวงตำแหน่งคืนหลังจากปล่อยให้พี่แก้วฉายเดี่ยวมาสองตอน (มีแอบมาแย่งซีนตอนจบด้วย)

ยังไงก็ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕(ครึ่งหลัง) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 20-10-2014 21:03:07
กรี๊ด แปะค่า เดี๋ยวมาอ่าน

*edit
อืมม สงสารแม่เดือนนะ เพราะคนที่แต่งงานไปด้วยนี่ไม่ใช่ว่าจะดีน่ะสิ
ชอบพี่แก้วตอบกลับตรงประเด็น ไม่มีอ้อมค้อม จะได้เรื่องจบๆไป
ตอนหน้าก็ลุ้นอีก...น้องธีร์ต้องกลับยุคปัจจุบันมั้ยอ่ะ
กลัวนะ ลุ้นๆกันต่อไป เฮ้อ
อ่านเรื่องนี้ไม่ว่าจะหวานแค่ไหน มันก็ปนขมอยู่ตลอด ก็รู้อยู่ลึกๆ
ว่าน้องธีร์มาจากโลกปัจจุบันน่ะสิ

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕(ครึ่งหลัง) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 20-10-2014 22:02:07
เวรกรรมของแม่เดือนจริงๆ  :เฮ้อ:



พี่แก้วก็หวานซะ... :impress2:


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕(ครึ่งหลัง) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 23-10-2014 16:53:34
สงสารแม่เดือน แต่ทำยังไงได้เนอะ ก็คนเขาไม่ได้รัก
เขารอรักพ่อธีร์ นายเอกของเราต่างหากกกก >w<
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕(ครึ่งหลัง) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 23-10-2014 22:37:48
สงสารคุณเดือนนนนนแต่เลือกไม่ได้จริงๆ
คนเค้าไม่ได้รัก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕(ครึ่งหลัง) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-10-2014 22:58:32
รักเอย.  :sad11:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕(ครึ่งหลัง) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-10-2014 01:56:53
สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕(ครึ่งหลัง) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 24-10-2014 05:23:17
พี่แก้วออกมาเคลียร์ตัวเอง คนอ่านหายสงสัยแล้ว คนเราถ้าไม่ได้รักทำยังไงก็ไม่รักเนอะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕(ครึ่งหลัง) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 25-10-2014 17:58:40

ตอนที่ ๒๘...เส้นขนานของกาลเวลา...




ห้องนอนสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตาสว่างจ้าเพราะหลอดไฟนีออนทรงกลมบนเพดานสูง...สัมผัสนุ่มกับกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆของผ้าปูที่นอนสีครีมลอยมาเตะจมูก...กลิ่นของน้ำยาซักผ้าที่คุ้นเคย...มือคว้าเอาผ้านวมผืนหนาเข้ามาซุกไว้แน่นเพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศจนเหลือเพียงเปลือกตาที่ปิดสนิทโผล่พ้นผ้านวมผืนหนานั้น...สติที่เริ่มลางเลือนเพราะความง่วงพาให้ร่างกายเหนื่อยล้าจมดิ่งลงสู่ความมืด...หากเพียงชั่วอึดใจกลับต้องลืมตาโพลงเพียงเพราะรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป


ผมรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางหันไปมองรอบตัว...ห้องนอนของผม...ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่?!


สองขาก้าวลงบันไดด้วยความรีบร้อน...ทีละขั้น...ทีละขั้น...ขณะที่ความสับสนในใจเพิ่มมากขึ้นทุกที...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?!...ผมจำได้ว่าเมื่อคืนยังฟาดฝีปากกับไอ้ตัวดีตามปกติแถมยังบ่นอุบที่มันนอนดิ้นเบียดผมแทบตกเตียง...แล้วทำไมตอนนี้ผมถึงกลับมาอยู่ที่บ้านของอานิด...แล้วไอ้แชมป์ล่ะ...ไอ้แชมป์หายไปไหน?!


"ตื่นแล้วเหรอธีร์"คำทักทายที่ผมมักได้ยินเป็นปกติดังขึ้น...หากในเวลานี้กลับทำให้ผมสับสน...อานิดนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยมีป้าเพ็ญกำลังยกถาดอาหารเช้าเข้ามาให้...ใบหน้าของแกเปื้อนยิ้มเมื่อหันมาทักทาย


...นี่มันเป็นปกติเกินไปแล้ว!...


"มาทานมื้อเช้ากับอาก่อนแล้วค่อยไปเรียนนะลูก"ผมค่อยๆสาวเท้าเข้าไปหาอานิดที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์จากไอแพดคู่ใจของแกระหว่างรอป้าเพ็ญตั้งโต๊ะ

"อานิด"เจ้าของชื่อเพียงละสายตาจากตัวหนังสือในไอแพดขึ้นมามอง แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร อีกเสียงก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

"ดูท่าวันนี้พายุจะเข้า ธีร์ตื่นแต่เช้าได้"ผมหันกลับไปมอง...อาต้นที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนในสภาพพร้อมไปทำงาน...น้ำเสียงกลั้วหัวเราะแซวขึ้นอย่างอารมณ์ดีเพียงแต่ผมขำไม่ออก ได้แต่ยืนมองอาต้นที่เดินผ่านหน้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

"เป็นอะไรน่ะเราทำหน้าอย่างกับเห็นผี"ให้ผมเจอผีตอนนี้ยังดีกว่า เพราะเหตุการณ์ตรงหน้าตอนนี้มันยิ่งกว่าเหลือเชื่อ...ผมจำไม่ได้ว่ากลับมาที่นี่ได้อย่างไร...เพราะเท่าที่จำได้


...ผมยังไม่ได้ยินเสียงเรียกจากโต๊ะไม้สักตัวนั้น...


"อาต้นกลับจากเชียงใหม่เมื่อไหร่ครับ"อีกหนึ่งข้อสงสัยเพราะผมจำได้ว่าอาต้นแกย้ายไปประจำสาขาที่เชียงใหม่เห็นว่าต้องไปอยู่นานแต่ทำไมถึงได้กลับมาเร็วแบบนี้

"พูดอะไรของธีร์ อาต้นเค้ากลับมาตั้งสองเดือนแล้วนะ"

"สองเดือน?!"ใครก็ได้บอกผมทีนี่มันเรื่องบ้าอะไร...ผมกำลังฝันใช่ไหม...ใช่แล้ว ผมต้องฝันอยู่แน่ๆ...ผมคงคิดถึงอานิดกับอาต้นมากไปถึงได้เป็นแบบนี้...ตั้งสติ สูดหายใจลึกๆครับไอ้ธีร์

"ธีร์ เป็นอะไรน่ะ ตบหน้าตัวเองทำไม"น้ำเสียงตระหนกของอานิดดังขึ้นอีกครั้งจนผมต้องลืมตามอง...ผมยังยืนอยู่ที่เดิมท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของบุคคลทั้งสามในบ้าน...รู้สึกชาขึ้นมาบนใบหน้าเพราะเมื่อครู่ออกแรงมากไปหน่อย...ใครเป็นคนบอกนะว่าทำแบบนี้แล้วจะตื่น...แม่ง เจ็บตัวฟรีไปสิครับ

"แชมป์ล่ะครับอา...แชมป์ไปไหน"หันซ้ายหันขวามองหาไอ้ตัวดี...ถ้าผมกลับมาที่นี่ได้ มันก็ต้องกลับมากับผมสิ

"แชมป์ไม่ได้มานี่นะธีร์ เดี๋ยวก็ไปเจอกันที่มหาลัยแล้ว ธีร์มีอะไรรึเปล่าลูก"ผมได้แต่ส่ายหน้าตอบแต่ความคิดมันกลับตีกันยุ่งเหยิงไปหมด...มหาวิทยาลัย...ผมต้องไปเรียน...แล้วที่ทำเรื่องดรอปไว้คราวก่อนล่ะ!?

"งั้น...ธีร์ไปอาบน้ำก่อนนะครับ"ทางเดียวที่จะรู้ความจริงได้คือต้องไปเจอไอ้แชมป์...ถึงมันออกจะดูเป็นตรรกะที่ไร้สาระไปหน่อยก็เถอะ...แต่ลำพังผมคนเดียวในสภาพนี้คงไม่เข้าใจอะไรไปอีกนาน


ชั่วขณะที่กำลังก้าวขาขึ้นบันได...เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างอานิดและอาต้นพอดี...เสียงนั้นไม่ดังนักคงเพราะกลัวว่าผมจะได้ยิน...หากแต่ผมยังพอจับใจความได้

"ตั้งแต่กลับมาก็เป็นแบบนี้ตลอดเลย ไม่เป็นอะไรแน่เหรอคะคุณ"

"ให้เวลาแกหน่อยเถอะคุณ เรื่องมันเพิ่งผ่านมาไม่นาน ผมว่าแกก็ดีขึ้นมากแล้วนะตอนนี้"เท้าที่ก้าวออกชะงักกึก


...ตั้งแต่กลับมา...ให้เวลา...ดีขึ้นมาก...


คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ...ผมกลับมาได้ยังไง...กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่...แล้วก่อนหน้านี้ผมเป็นอย่างไรบ้าง...แล้วทำไม...



...ทำไมผมถึงจำอะไรไม่ได้เลย...



ฝีเท้าที่ชะงักลงอีกครั้งเมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน...ผมต้องรีบไปหาไอ้แชมป์แม้ผมไม่รู้ว่าจะได้คำตอบอะไรจากมันบ้างแต่มันก็เป็นคนเดียวที่ผมนึกออกในตอนนี้...หากแต่บางอย่างกลับวูบเข้ามาในความคิด รู้ตัวอีกทีผมก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องทำงานของอาต้น หัวใจเต้นระรัวราวกับจะกระโดดออกมาข้างนอก...มือที่เอื้อมออกไปเปิดประตูด้วยความลังเล...ชั่วขณะหนึ่งที่ความกลัวฉายแววเด่นชัดแต่ความอยากรู้อยากเห็นกลับมีมากกว่า


...ประตูห้องที่เปิดออก พร้อมกับสายตาที่สอดส่องเข้าไปข้างในเพียงเสี้ยวนาที...และเป็นอีกเสี้ยวนาทีที่ผมพาร่างตัวเองวิ่งกลับลงมาข้างล่างอีกครั้ง...

"โต๊ะในห้องทำงานอาต้นหายไปไหนครับ!"แผดเสียงดังลั่นปนกับเสียงหอบจนเจ้าของบ้านทั้งสองชะงักมือจากอาหารเช้าตรงหน้า...สีหน้าตกใจของอานิดฉายออกมาชัดเจนก่อนจะหันกลับไปมองอาต้นราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ

"โต๊ะอะไรเหรอธีร์"แม้พยายามปั้นแต่งสีหน้าให้เป็นปกติหากแต่ผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไปของอาทั้งสอง

"ก็โต๊ะไม้สักที่อาต้นเอามาจากบ้านลุงกิตติ"ภาพที่ผมเห็นในห้องนั้น...คือห้องทำงานโล่งๆที่มีเพียงโซฟาตัวยาวที่อาต้นมักใช้ต่างเตียงเวลาอยู่ทำงานจนดึกกับชั้นหนังสือเรียงรายติดผนัง...หากแต่โต๊ะไม้สักคุ้นตาที่เคยตั้งเด่นอยู่มุมห้องกลับหายไป

"ไม่มีนี่ ห้องอาไม่เคยมีโต๊ะแบบที่ธีร์ว่าหรอกนะ"คำโกหกคำโตถูกส่งผ่านพร้อมรอยยิ้มของอาต้นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด

"มีสิครับ มันเคยอยู่ในห้องทำงาน"ยืนยันเสียงแข็ง...ถึงตอนนี้ผมจำไม่ได้ว่ากลับมาที่นี่ได้ยังไง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดเสียหน่อย

"ไม่มีหรอกธีร์ อาว่าธีร์จำผิดแล้วล่ะ"เป็นอานิดที่ช่วยสำทับเข้าอีกแรง

"แต่ว่า..."

"นี่ก็สายมากแล้ว อาว่าธีร์รีบไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่านะลูก เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน"อานิดรีบขัดขึ้นก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อ แววตาจริงจังถูกซ่อนไว้ภายใต้รอยยิ้มปรายบนใบหน้า



...นี่มันแปลกจนเกินไป...



ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วขับรถไปมหาวิทยาลัยทันที...ไม่มีประโยชน์ที่จะคาดคั้นเอาคำตอบจากอาทั้งสองเพราะไม่ว่าจะพยายามถามเท่าไหร่คำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้...อาต้นกับอานิดกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง


"รีบมาทำไมแต่เช้าวะ ไหนบอกวันนี้เรียนบ่าย"เสียงทักทายเป็นปกติของเพื่อนสนิททั้งสองดังขึ้นเมื่อผมเดินเข้าโรงอาหารมา...คำถามที่ผมต้องขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง...เอาเข้าจริงผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทุกวันนี้ผมต้องเรียนอะไรบ้าง

"ไอ้โจ๊ก...ไอ้ต่อ"

"เรียกไมวะ กลัวลืมชื่อเหรอ"ไอ้โจ๊กเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวขึ้นมายักคิ้วกวนให้ ส่วนไอ้ต่อยังนั่งก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความในโปรแกรมแชทจากมือถือของมัน

"มึง...ไอ้แชมป์ล่ะ"สีหน้าของไอ้สองคนเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อถูกถามถึงบุคคลที่สาม...ไอ้ต่อละสายตาจากมือถือตรงหน้าขึ้นมามอง

"อยู่ที่เดิมมั้ง"

"ที่เดิม?...ที่ไหนวะ"

"ก็ที่เดิมไง"ผมชักหงุดหงิด ก็แล้วไอ้ที่เดิมที่มันว่ามันคือที่ไหนล่ะโว้ย



ผมเดินตามทางเท้าผ่านหน้าโรงอาหารคณะเภสัชมุ่งตรงไปยังตึกสถาปัตย์ที่อยู่ค่อนข้างไกลจากโรงอาหารกลางที่พวกไอ้ต่อนั่งอยู่...สุดท้ายมันก็ยอมบอกว่าไอ้แชมป์อยู่ที่ไหนเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของผม...แต่พอรู้ก็ยิ่งแปลกใจ...คนอย่างไอ้แชมป์น่ะเหรอจะมาหมกตัวอยู่ในที่แบบนั้น...สองขาเร่งก้าวผ่านตึกสถาปัตย์เลี้ยวไปด้านหลัง จำนวนนักศึกษาที่เดินผ่านเริ่มบางตาลงเพราะส่วนใหญ่มักชุมนุมกันอยู่หน้าตึกแทน...เดินต่อมาได้สักพักถึงได้เห็น สระบัวกว้างกินพื้นที่หลังตึกสถาปัตย์กับตึกศิลปกรรมที่อยู่ติดกัน...บริเวณโดยรอบร่มรื่นเพราะต้นราชพฤกษ์สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านบังแสงแดด...ผมไม่ค่อยได้เดินมาแถวนี้บ่อยนักเพราะส่วนใหญ่มีแต่เด็กศิลปกรรมและเด็กสถาปัตย์ที่มาหามุมสงบวาดงานส่งอาจารย์...ถึงอย่างนั้นตอนนี้ผมก็เห็นเพียงกลุ่มนักศึกษาไม่กี่คนจับจองพื้นที่...พยายามสอดส่ายสายตามองหาไอ้ตัวดีจนเห็นหัวเกรียนๆของมันโผล่พ้นต้นราชพฤกษ์ต้นใหญ่...ผมค่อยๆสาวเท้าเข้าไปทางด้านหลัง แอบเห็นมันกำลังวาดรูปยุกยิกไม่จริงจังมากนัก คงไม่ใช่งานที่ต้องใช้ส่งอาจารย์

"แชมป์"เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงก่อนจะหันกลับมามอง

"เชี่ยยย มาเงียบๆตกใจหมด"แชมป์เป็นอีกคนที่ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่ได้เห็นผม และนั่นยิ่งทำให้ผมสงสัย

"ทำอะไรของมึง"ถามขึ้นเมื่อเห็นมันพยายามซุกกระดาษวาดรูปไว้ด้านหลัง...ท่าทางมันหลุกหลิกชอบกล

"ป่าวววว แล้วมึงอ่ะมาทำอะไรแถวนี้"ผมไม่ตอบอะไรเพียงแค่ทิ้งตัวลงนั่งข้างมันแทน

"มึง...กูกำลังฝันอยู่ใช่มั้ยวะ"คำถามที่ทำเอามันขมวดคิ้วมุ่น

"ที่กูกลับมาที่นี่ แล้วมึงอยู่ตรงนี้ ไอ้โจ๊ก ไอ้ต่อ คนที่บ้านกู...มันคือความฝันใช่มั้ย"คนข้างๆยังคงเงียบ...สีหน้ามันหม่นลงเล็กน้อย

"ใช่มั้ยแชมป์"ขึ้นเสียงดังเมื่อไม่ได้รับคำตอบ

"มึงไม่ได้ฝัน"เพียงคำพูดสั้นๆที่ทำให้ผมเงียบกริบ...น้ำเสียงของมันช่างเรียบเฉยผิดกับไอ้ตัวดีที่ผมรู้จัก

"แล้วกูกลับมาได้ไง กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมกูจำอะไรไม่ได้เลย"

"เรื่องบางเรื่่องมึงไม่ต้องไปจำมันหรอกธีร์ รู้แค่ว่าตอนนี้มึงอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว"ผมยกมือคว้าหมับเข้าที่ไหล่มันทั้งสองข้าง...แม้แต่มันเองก็แปลกไปจนน่าใจหาย...ไอ้คนที่มันเคยดื้อแพ่งบอกผมว่าจะไม่ยอมกลับมา แต่ตอนนี้กลับมีท่าทีสงบนิ่งราวกับเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น

"มึงเป็นอะไรไป ไหนมึงบอกว่ามึงจะอยู่กับคุณพิกุลไง"ชื่อของบุคคลที่สามคงไปสะกิดใจมันเข้ามันถึงได้ปัดมือของผมออกแล้วนั่งเอนหลังพิงโคนต้นราชพฤกษ์ต้นใหญ่แทน

"แล้วมึงรู้มั้ยว่าอาต้นเอาโต๊ะไปไว้ที่ไหน เมื่อเช้ากูเข้าไปดูในห้องแต่มันไม่อยู่แล้ว"คำตอบที่ได้รับมีเพียงเสียงถอนหายใจยาวกับเปลือกตาที่ปิดลงช้าๆของมัน

"เชี่ยแชมป์! กูถามว่ามึงรู้มั้ยว่าโต๊ะอยู่ที่ไหน"เพราะอารมณ์ที่ปะทุถึงขีดสุดถึงได้ตะโกนออกไปเสียงดัง...ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน...ร้อนรน...เดือดพล่าน ถึงกับพาลใส่คนอื่น

"โต๊ะนั่น...ไม่อยู่แล้ว"คำตอบเพียงสั้นๆแต่กลับเหมือนถูกใครเอาค้อนปอนด์มาฟาดใส่...ตอนนี้หัวของผมหนักอึ้งไปหมด...ความสับสนและไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครให้คำตอบกับผมได้

"มึงหมายความว่าไง"ชั่วขณะหนึ่งที่แชมป์ลืมตา...ผมเห็นแววตาโศกของมันชัดเจน

"กูหมายความว่า...โต๊ะนั่นไม่อยู่แล้วและเราจะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีก"คำพูดเน้นย้ำ ช้าและชัดเจนฝังลึกลงไปข้างใน...ทั้งตัวชาไปหมดจนแทบไร้ความรู้สึก

"มึงว่าอะไรนะ"แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมายังสั่นจนน่าใจหาย

"ธีร์...ฟังกูนะ สิ่งที่มึงควรทำตอนนี้ คือลืมมันไปซะแล้วกลับมาใช้ชีวิตแบบที่มึงเคยเป็น...มึงเข้าใจกูใช่มั้ย"จะให้ผมเข้าใจอะไร...ในเมื่อสิ่งที่มันพูดมาไม่มีเหตุผลเลยสักนิด...อยู่ดีๆผมก็กลับมาอยู่ในโลกปัจจุบันโดยที่ผมหาสาเหตุไม่ได้และไม่มีใครอยากพูดถึงมัน...ทุกคนทำตัวเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่ไอ้คนตรงหน้า...ท่าทีของมันเวลาพูดถึงเรื่องนั้นเฉยเมยราวกับไม่ใช่เรื่องของมันเอง...ทั้งๆที่มันก็เป็นคนหนึ่งที่ควรเสียใจไม่น้อยไปกว่าผม

"ใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็น"ผมทวนคำที่มันเพิ่งพูดออกมาซ้ำอีกครั้ง...แบบที่เคยเป็นเหรอ...แบบไหนล่ะ?...ผมเคยมีชีวิตแบบไหนมาก่อน แม้แต่ตอนนี้ตัวผมเองยังจำแทบไม่ได้

"ธีร์"ได้ยินเสียงมันเรียกชื่อกับสายตาที่ช้อนมองเมื่อผมยันตัวลุกขึ้นยืน...ร่างกายชาไปหมดจนแทบไม่รู้สึกถึงมือของมันที่ฉวยข้อมือของผมเอาไว้...ผมเหลือบมองคนที่ยังนั่งอยู่บนพื้น มืออีกข้างของมันถือกระดาษวาดรูปที่ลงเส้นดินสอไว้เพียงหยาบๆแต่ก็พอดูออกว่าเป็นภาพใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวผมยาวประบ่าที่มีดวงตาหวานฉ่ำ...ใบหน้าที่ผมเองก็คุ้นเคย

"มึงบอกให้กูลืม แล้วมึงล่ะลืมได้มั้ย"เจ้าตัวก้มลงไปมองภาพวาดในมือของตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมสะบัดมืออีกข้างของมันออก

"มึงจะไปไหน"เสียงตะโกนตามหลังขณะที่ผมก้าวเท้าห่างออกไปทุกที...ในหัวของผมขาวโพลน...มันว่างเปล่าจนน่าใจหาย...ทั้งความคิดของผม...และโลกที่ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้





"อ้าวธีร์ ลืมของเหรอลูก"

"อานิด โต๊ะตัวนั้นอยู่ที่ไหนครับ"ผมยิงคำถามใส่คนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นทันทีที่กลับมาถึง ไม่แม้แต่จะตอบคำถามที่เจ้าตัวถามขึ้น...อานิดนิ่งไปทันทีก่อนจะปิดนิตยสารที่กำลังอ่านอยู่ลง

"ธีร์พูดเรื่องอะไร อาไม่เข้าใจ"

"อานิดอย่าโกหกธีร์เลยครับ อาเอาโต๊ะตัวนั้นไปไว้ที่ไหน"เพราะร้อนรนจนอยู่เฉยไม่ได้...ความกลัวที่แทรกลึกอยู่ข้างในยิ่งทำให้สติที่ควรมีขาดหาย...กลัว...ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง...ทั้งที่อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่ารอบตัวของผมในตอนนี้มันเหมือนจริงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

"ธีร์ อา..."

"อานิดครับ ธีร์ขอร้อง บอกธีร์ได้มั้ยว่าโต๊ะตัวนั้นอยู่ที่ไหน"คว้าเอามือเล็กๆของอาขึ้นมาจับเอาไว้แน่น...รับรู้ได้ว่ามือของเธอสั่น

"จะหาโต๊ะตัวนั้นไปทำไม"แว่วเสียงถอนหายใจเบาจากอีกฝ่าย หากแต่สายตาที่ส่งมานั้นกลับสงบนิ่ง

"ธีร์..."ผมให้คำตอบไม่ได้ เพราะรู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่อาไม่อยากได้ยินที่สุด

"จะกลับไปอีกใช่มั้ย"กลายเป็นน้ำเสียงเรียบของเธอที่ทำให้ผมเบิกตากว้างแทน

"อานิดรู้"

"ทำไมอาจะไม่รู้ ธีร์ต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าคนทางนี้เป็นห่วงธีร์มากแค่ไหน"

"ธีร์รู้แต่ธีร์..."ได้แต่หลุบตาลงต่ำเมื่อสบกับดวงตาแข็งกร้าวของอีกฝ่าย

"แต่ธีร์เลือกคนทางนั้นมากกว่า"ผมได้แต่ขมวดคิ้วแน่น...อานิดรู้ทุกอย่าง...ทุกอย่างที่ผมไม่เคยเล่า

"ทำไมล่ะธีร์ ที่นี่คือโลกของธีร์นะ ที่ของธีร์คือที่นี่ ธีร์จะไปไหนอีก"เสียงหวานตวัดห้วนด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูงไม่ต่างกัน หากแต่คำถามนั้นยิ่งทำให้ผมลังเล...ที่ของผม...โลกของผม...ที่ที่ผมควรอยู่...ที่นี่...กรุงเทพมหานครในปีพ.ศ.๒๕๕๗...แต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้น

"ถ้าธีร์อยากรู้ว่าโต๊ะตัวนั้นอยู่ที่ไหน อาก็จะบอก"หันกลับไปสบดวงตาแข็งกร้าวทันทีที่ได้ยิน...อานิดกำลังไม่พอใจ...แต่เหนือสิ่งอื่นใด...ผมยังอยากรู้




"อาเผามันทิ้งไปแล้ว"




เพียงคำตอบเดียวที่ทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง...ไม่มีแม้เสียงทักท้วงหรือคำถามใดหลุดออกจากปาก...เนื้อตัวของผมเริ่มชา...ในหัวขาวโพลนว่างเปล่า...ผมเพียงปล่อยมือจากอานิดหากสายตายังคงจดจ้อง...ความรู้สึกเดิมที่เลือนหายไปนานกลับมาอีกครั้ง



...ความรู้สึกของการสูญเสีย...



"อานิดล้อธีร์เล่นใช่มั้ยครับ"เจ้าของชื่อได้แต่ส่ายหน้า...แววตาของเธอจริงจังเกินกว่าที่ผมจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ว่ามันเป็นเพียงคำโกหก


"ธีร์จะไปไหนน่ะ!"เสียงตวาดห้วนดังไล่หลังกลับไม่สามารถหยุดสองเท้าที่กำลังก้าวออกไปได้...ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังไปที่ไหน รู้เพียงอย่างเดียวคือผมไม่อยากอยู่ที่นี่...ผมไม่ได้โกรธอานิด เพราะผมเข้าใจดีว่าอานิดรู้สึกอย่างไร...หลายครั้งที่อานิดต้องร้องไห้เพราะเป็นห่วงผม ตั้งแต่ตอนที่เสียพ่อกับแม่...ตอนที่ผมหายตัวไปเป็นเดือนๆโดยไม่บอกกล่าว...หรือแม้แต่ในฝัน อานิดก็ยังร้องไห้เพราะผมอยู่เสมอ...ผมรู้ว่าที่อานิดทำไปเพราะความเป็นห่วง...เพราะความรักที่มีให้ผมเหมือนลูกชายแท้ๆ...เพียงแต่ผมไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกเสียใจนี้ได้




ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง...บ้านของผม...บ้านที่เคยมีแต่เสียงหัวเราะของเด็กชายตัวเล็กที่วิ่งวนไปรอบบ้านอย่างอารมณ์ดีในวันที่พ่อของเขาได้หยุดอยู่บ้านหลังจากทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาให้...เสียงบ่นแกมดุของแม่เพราะกลัวว่าจะหกล้มจนเจ็บตัว...เสียงของคนในบ้านที่หัวเราะให้กับความซุกซนอารมณ์ดีของเด็กชายตัวน้อย...หากแต่ตอนนี้ตรงหน้ากลับมีเพียงตัวบ้านที่ว่างเปล่า...ผมไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกเลยนับตั้งแต่ย้ายไปอยู่กับอานิดเพราะแกพยายามบ่ายเบี่ยงเสมอ...มีเพียงบางครั้งที่ผมมาหยุดยืนอยู่หน้ารั้วบ้าน...ยืนมองตัวบ้านหลังใหญ่โดดเด่นหากแต่เงียบเหงาจนน่าใจหาย...ทุกครั้งที่ได้มองบ้านหลังนี้ มันทำให้ผมพาลนึกไปถึงความสุขที่เคยได้อยู่กันพร้อมหน้า ความสุขเพียงชั่วครู่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นเพียง...สิ่งที่เคยมีอยู่...บ้านหลังนี้ทำให้ผมเข้าใจคำว่าสูญเสีย...บ้าน...ที่กักเก็บทั้งเสียงหัวเราะ...และน้ำตาของผมเอาไว้มากมาย


...และในตอนนี้ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างอะไรจากวันนั้น...วันที่ผมรับรู้ว่าคนสำคัญในชีวิตได้จากไปตลอดกาล...


รูปถ่ายของพ่อและแม่ยังคงวางอยู่บนหลังตู้โชว์ในห้องนั่งเล่น...ใบหน้าของพ่อดูเคร่งขรึมทว่าดวงตาของท่านกลับอ่อนโยน ผิดกับแม่ที่ยิ้มหวานละมุนอยู่เคียงข้าง...ผมส่งยิ้มบางให้กับคนในรูปก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ...รูปที่ถูกถ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์นั้นเพียงไม่กี่วัน...

"ธีร์คิดถึงพ่อกับแม่"คำพูดราวกับเด็กน้อยเวลาต้องการอ้อนขออะไรสักอย่าง

"ทำไมทุกคนทิ้งธีร์ไปหมดเลยครับ"ภาพของพ่อและแม่ในความคิดของผมยังเด่นชัดแม้เวลาผ่านไปถึงหกปีแล้วก็ตาม

"ทั้งพ่อ...แม่...แล้วก็..."ชั่วขณะหนึ่งของความคิด...ภาพของใครอีกคนกลับลอยซ้อนเข้ามาแทนที่...ริมฝีปากหยักได้รูปคลี่ยิ้มบางอย่างอารมณ์ดียามหยอกล้อ...ดวงตาคมภายใต้แพขนตาหนาส่องประกายระยับสะกดให้ยิ่งจ้องมอง...ท่อนแขนแกร่งที่คอยดึงรั้งเอาไว้ไม่ยอมห่าง...และคำพูดหวานซึ้งชวนเลี่ยนแต่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ...ภาพของคนตรงหน้าชัดเจนราวกับอยู่เพียงแค่เอื้อมหากแต่คำพูดของอานิดเมื่อครู่กลับมาตอกย้ำความจริงอีกครั้ง...



...ผมจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว...



ความสูญเสียที่กลับมาอีกครั้งรุนแรงไม่ต่างจากครั้งแรก...แม้ไม่ใช่คนในครอบครัว...แต่ก็ถือเป็นคนสำคัญ...คนที่ทำให้ตัวตนที่พร่าเลือนของผมเมื่อผ่านความสูญเสียใครครั้งแรกกลับมาชัดเจนอีกครั้ง...คนที่อยู่ในสถานที่ที่ผมไม่ควรอยู่หากแต่กลับรู้สึกว่ามันเป็นบ้านอีกหลัง...คนที่ทำให้ผมค้นพบ...ที่ของผม...


ผมค่อยๆทรุดตัวลงนั่งพิงตู้โชว์ในห้องนั่งเล่น...มือยังคงกอดรูปถ่ายของพ่อกับแม่เอาไว้แน่นแต่ความคิดกลับล่องลอยไปถึงใครอีกคน...ยังไม่ทันได้บอกลา...เจอหน้ากันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ผมเองก็จำไม่ได้...เขาจะรู้ไหมว่าผมหายไปไหน...แล้วเขาจะรู้ไหม...ว่าผมจะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกแล้ว...



...ไม่ได้กลับไปอีก...ไม่ต่างอะไรกับตายจากกัน...



...แบบนี้ให้ตายจากกันยังดีเสียกว่า...
.

.

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๗.๕(ครึ่งหลัง) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 25-10-2014 17:59:21
.

.

.

"...ธีร์"


"...ธีร์"


"พ่อธีร์"


ลืมตาโพลงเพราะเสียงเรียก...ภาพแรกที่เห็นคือดวงตาคมส่องประกายระยับห่างแค่เอื้อม ยิ่งทำให้ตกใจรีบผลุดลุกขึ้นนั่งจนอีกฝ่ายผงะถอย...หัวใจเต้นระรัวเมื่อมองสำรวจไปรอบๆ



...ห้องทำงานที่เรือนเจ้าคุณไพศาล...



"หลับไปเสียนาน เหนื่อยหรือพ่อ ขึ้นไปนอนบน..."คำพูดขาดหายเพราะตัวผมที่โถมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น...อีกฝ่ายชะงักไปก่อนจะทาบมือหนาลงบนหลังเพียงแผ่วเบา

"เป็นอะไรรึ"ส่ายหน้าตอบแต่น้ำตากลับไหลออกมาเอาดื้อๆ

"พ่อธีร์"เรียกซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่ายังเงียบอยู่

"คิดถึง"แว่วเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝ่าย

"หลับไปเพียงชั่วยามเดียวก็คิดถึงกันเสียแล้วรึ"พยักหน้ารับแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือเพราะความอบอุ่นตรงหน้าคอยเตือนสติให้รับรู้การมีอยู่...นี่ต่างหากคือความจริง

"แล้วกัน คิดถึงเสียจนร้องไห้เชียวหรือพ่อ"เพราะน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุดจนเสื้อของอีกฝ่ายเปียกชุ่มถึงได้รู้ตัว...มือหนายกขึ้นปาดหยดน้ำตาข้างแก้ม...ตั้งแต่ได้พบคนๆนี้ ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปกี่ครั้งกัน ทั้งที่หลังจากเรื่องพ่อและแม่ก็ไม่เคยร้องไห้ออกมาอีกเลยแท้ๆ

"ฝันร้ายน่ะครับ"แถมยังเป็นฝันที่เหมือนจริงจนน่าใจหายทั้งที่พยายามปลุกตัวเองกี่ครั้งก็ยังไม่ยอมตื่นจนเกือบจมดิ่งลึกลงไปกับความฝันนั้น...ถ้าเขาไม่เรียกเอาไว้เสียก่อน

"เล่าให้เราฟังได้หรือไม่"ยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองบ้างเมื่อเริ่มรู้สึกว่าสภาพตัวเองตอนนี้คงย่ำแย่เต็มที

"ฝันถึงบ้าน"อีกฝ่ายเพียงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้...ดวงตาคมยังคงจดจ้องรอฟังเรื่องราว

"ฝันว่ากลับไปที่บ้าน...บ้านที่ไม่ได้กลับไปนานแล้ว"คำพูดวกวนจนแม้แต่ตัวเองยังต้องขมวดคิ้วแน่น แม้ความฝันนั้นติดตาแต่การเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

"กรุงเทพน่ะหรือพ่อ"ส่ายหน้าตอบอีกครั้งก่อนจะเล่าต่อ

"บ้านที่เคยอยู่กับพ่อและแม่ก่อนที่ท่านจะเสีย"เพียงได้ยินประโยคนั้น มือหนาก็เอื้อมมากุมมือของผมเอาไว้...เพราะเข้าใจความรู้สึก...เพราะเคยเกิดขึ้นกับตัวเองเช่นกัน...ความรู้สึกของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ในกรณีของผมอยู่ในช่วงเวลาที่สามารถจดจำความเจ็บปวดทุกอย่างได้แม่นยำ

"ฝันเห็นอาที่ดูแลผมแทนพ่อกับแม่...เห็นเพื่อนสนิท...แล้วก็...ฝันถึงคุณหลวง"นัยน์ตาคมฉายแววประหลาดใจ

"ฝันถึงเราว่าอย่างไรเล่า"

"ฝันว่า...จะไม่ได้เจอคุณหลวงอีกแล้ว"ราวกับภาพความฝันเมื่อครู่ฉายวนซ้ำอีกครั้ง...มองภาพตัวเองนั่งกอดเข่าอยู่ในบ้านเพียงลำพัง...มือที่ถือรูปถ่ายของพ่อกับแม่แต่ความคิดกลับสะท้อนภาพของคนตรงหน้า...ตัวตนที่ชัดเจนหากแต่เอื้อมเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเพราะความฝันที่เหมือนจริงจนน่าใจหาย


มือหนาของอีกฝ่ายบีบแน่นราวกับเตือนสติให้รับรู้...ความคิดที่จดจ่ออยู่กับภาพเมื่อครู่ถูกดึงกลับมาสู่ปัจจุบันทันที

"ฝันร้ายเท่านั้น ลืมมันเสียเถิด"เสียงทุุ้มนุ่มเอ่ยเบาราวกำลังปลอบใจ แม้ใบหน้าคมยังประดับรอยยิ้มเช่นที่เคยเป็นหากเพียงดวงตาคู่สวยนั้นที่ฉายแววหม่น...เพราะเขาเองก็รู้ดีไม่ต่างกัน



...เงื่อนไขของผม...


...เงื่อนไขของเวลา...



การใช้ชีวิตอยู่ที่พระนครเป็นเวลานานขนาดนี้ทำให้ผมหลงลืม...เศษเสี้ยวบางส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ ณ เวลาปัจจุบัน...กรุงเทพมหานครในปีพ.ศ.๒๕๕๗...ณ ที่นั้น ตัวตนของผมยังคงอยู่...ครอบครัว...เพื่อน...คนรู้จัก...ทุกอย่างยังคงดำเนินไปเช่นเดียวกับเวลาในพระนคร...หากเพียง ณ ที่นั้น ในตอนนี้...เหลือเพียงชื่อ กับความเป็นกังวลถึง'ชลนธีร์'ที่ไม่มีใครรู้ว่าหายไปอยู่ที่ไหน...อยู่สุขสบายดีหรือไปตกระกำลำบากอย่างไร...การรับรู้ของคนทางนั้นถูกปิดตาย...เช่นเดียวกับคนฝั่งนี้...มีบ้างที่ผมหวนนึกถึงที่ที่จากมา...เป็นห่วงคนที่อยู่เบื้องหลัง...หากแต่ความสุข ความสบายใจเมื่อได้อยู่ที่นี่ทำให้ผมลืมตัว...ลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม...ลืมไปว่า...วันหนึ่ง...ผมอาจจะต้องกลับไป...




"แปลกจริง ไม่เคยเห็นเอ็งเข้าห้องพระ"เสียงนุ่มละมุนของคุณหญิงเจ้าของเรือนดังขึ้นเรียกสติที่จดจ่อต่อองค์พระพุทธเบื้องหน้าให้หันกลับไปมอง...คุณหญิงสร้อยเพิ่งก้าวพ้นธรณีประตูห้องพระเข้ามาก่อนจะนั่งลงพับเพียบกราบองค์พระอย่างนอบน้อม

"ไม่บอกเสียล่วงหน้าจะได้ร้อยมาลัยไว้ให้ เอ็งจะได้เอามาถวายพระท่าน"

"ไม่เป็นไรครับ ผมแค่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย"จำไม่ได้แล้วว่านั่งอยู่ในห้องพระบนเรือนท่านนานเท่าไหร่ รู้เพียงสายตาที่จดจ้ององค์พระเบื้องหน้ากับเปลวเทียนที่ถูกจุดไว้... เปลวเทียนที่วูบไหวไปมาเหมือนใจที่ไม่สงบนิ่ง

"มีเรื่องให้กังวลใจรึ"ผู้อาวุโสกว่ามีหรือจะไม่รู้...การที่ผมผู้ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในห้องพระนี้แม้แต่ครั้งเดียวกลับมานั่งอยู่ที่นี่ย่อมสร้างความแปลกใจให้ท่านไม่น้อย

"สวดมนต์เสียหน่อย ช่วยให้สบายใจขึ้น"เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไรถึงได้ยื่นหนังสือสวดมนต์เล่มบางมาให้...หนังสือที่เป็นเพียงแผ่นกระดาษร้อยด้วยเชือกเข้าเป็นเล่มถูกเขียนด้วยลายมือวิจิตรบรรจง

"คุณหญิง...เคยต้องอยู่ห่างบ้านนานๆมั้ยครับ"คำถามที่ทำเอาคนกำลังพนมมือตั้งจิตลดมือลงแล้วหันกลับมามอง...ดวงหน้าละไมแม้มีร่องรอยบอกอายุยิ้มอ่อนโยน

"เคยซี...ถึงที่นี่จะเป็นบ้าน แต่ก็ไม่ใช่บ้านเกิด"เกือบลืมคิดไปว่าคุณหญิงเองก็ต้องมีครอบครัวอีกฝั่งเช่นเดียวกัน

"ได้กลับไปเยี่ยมคนที่บ้านบ้างมั้ยครับ"หากแต่คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงการส่ายหน้าช้าๆของอีกฝ่าย

"ไม่ได้กลับเสียนานแล้ว เป็นหญิงหากออกเรือนมาก็ต้องอยู่กับสามี มีหน้าที่ดูแลเรือนแลบ่าวไพร่ให้สามี มีบ้างที่ญาติทางโน้นจะมาหาแต่ก็นับครั้งได้...เอ็งคิดถึงบ้านรึ"ท้ายประโยคลงด้วยคำถามที่ทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบ เพียงแค่พยักหน้ารับตอบกลับ

"เอ็งกับอ้ายแช่มมาอยู่ที่นี่เสียนาน จะลากลับไปเยี่ยมบ้านบ้าง ข้ากับเจ้าคุณท่านก็ไม่ว่ากระไรหรอก"หากคุณหญิงยังไม่รู้ว่าการกลับไปในความหมายของท่านกับผมมันต่างกัน

"ผม...ไม่รู้ว่าตัวเองอยากกลับไปรึเปล่า"เพราะการเดินทางข้ามเวลาในแต่ละครั้งยิ่งทำให้ผมกลัว...กลัวว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก...กลัวว่าวันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงความฝัน...กลัว...ว่าความฝันนั้นจะเป็นจริง

"ดูท่าจะมีปัญหากับทางบ้านล่ะซี"คนไม่รู้ย่อมมองตามสิ่งที่ควรจะเป็น...รอยยิ้มละไมของผู้อาวุโสให้ความรู้สึกสบายใจ...ชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังนั่งคุยกับแม่...แม่ที่มักจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและคอยฟังผมเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้เสมอ

"ขึ้นชื่อว่าครอบครัวอย่างไรเสียก็ยังเป็นครอบครัว เป็นสายเลือด ต่อให้มีปัญหาอยากตัดขาดกันเพียงใดแต่สายเลือดอย่างไรเสียก็ตัดไม่ขาด"ผมอยากบอกคุณหญิงสร้อยเหลือเกินว่าแม้แต่คุณหญิงสร้อยเองก็เป็นสายเลือดเช่นเดียวกัน...สายใยถักทอเชื่อมโยงระหว่างผมไม่ได้ผูกยึดเพียงคนทางโน้นหากแต่คนทางนี้เองก็ผูกพันไม่น้อยไปกว่ากัน...สายใยเส้นบางหากเหนียวแน่นยากจะใช้อะไรมาตัดให้ขาด...และไม่ใช่แค่ผม...แชมป์เองก็เช่นเดียวกัน...แม้ไม่ได้ผูกพันกันด้วยสายเลือดแต่สายใยเกี่ยวโยงบางเบาระหว่างมันกับลูกสาวคนเล็กของคุณหญิงสร้อยเองก็พันผูกแน่นหนาไม่น้อยไปกว่ากัน...ผมเพียงพนมมือก้มลงกราบแทบตักคุณหญิงผู้ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัว...เป็นผู้มีพระคุณ...เป็นผู้ให้ทั้งที่ไม่รู้แม้แต่หัวนอนปลายเท้าของผม...นั่นเป็นการแสดงความเคารพ...แสดงความขอบคุณ...และแสดงความรักเพียงอย่างเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้

"เอ็งนี่ประหลาดนักเชียว"แม้จะบ่นแบบนั้นแต่มือที่ลูบผมอย่างอ่อนโยนกลับแตกต่าง

"สอนผมสวดมนต์หน่อยนะครับ ผมไม่ค่อยได้สวด"ผู้อาวุโสกว่าเพียงพยักหน้ารับก่อนที่ผมจะหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มบางขึ้นมาเปิดดู



...บทสวดเนิบนาบหากแต่ไพเราะน่าฟังของคุณหญิงสร้อยช่วยให้จิตใจของผมสงบลงได้บ้าง...ความคิดฟุ้งซ่านวนเวียนถึงโลกทั้งสองถูกดึงกลับมาจดจ่ออยู่ที่องค์พระพุทธและเปลวเทียนวูบไหวตรงหน้า...จิตที่มั่นคงระลึกถึงคนทางโน้นพร้อมภาวนา...'ขออย่าได้เป็นกังวล'...คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมอธิษฐานได้ในตอนนี้...หากแต่ชั่วขณะหนึ่งกลับระลึกถึงความฝันที่เพิ่งผ่านมา...ความฝันที่เหมือนจริงจนน่าใจหาย...ฝัน...ที่ผมภาวนาขอให้มันไม่เกิดขึ้น...


...ไม่ได้กลับมาอีก...ไม่ต่างอะไรกับตายจากกัน...


...ไม่ว่าอย่างไหน...ก็เจ็บปวดทั้งนั้น...

...


ใกล้จบแล้วค่ะ ใจหายนิดๆเพราะตอนแรกไม่คิดว่าจะแต่งได้ยาวขนาดนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกที่ได้แต่งเลย แต่พอแต่งแล้วก็ได้รู้ตัวเองว่ายังมีข้อผิดพลาดและต้องแก้ไขอีกมาก

ยังไงก็ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้น้องธีร์ พี่แก้ว พี่แชมป์ คุณพิกุล และคนแต่งด้วยนะคะ
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 25-10-2014 18:13:04
อื้อหือ ทำเอาหัวใจจะวาย
ตะกอนความกลัวของเราก็ถูกปลุกปั่นให้ขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นจนมองลำบาก
ตามความคิดระลึกได้ว่าตัวเองมาจากไหนของน้องธีร์ไปด้วย
น้ำตาแอบซึมนิดๆไปแล้ว
ทางออกของเรื่องนี้ ส่วนนึง(อาจจะเป็นส่วนใหญ่)ที่ไม่น่ากำหนดเองได้
คงต้องแล้วแต่พรหมลิขิตแล้วล่ะ

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-10-2014 18:34:36
กังวลใจ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 25-10-2014 18:58:56
เอาแล้ว.....

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 26-10-2014 23:16:07
สงสารธีร์น่ะ ถ้าไม่กลับมาหาคนทางนี้อีก

ไม่อยากให้แยกจากกันจริงๆ เอาใจช่วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 27-10-2014 19:51:23
ตอนที่อานิดบอกเผาไปแล้วนี่แบบ
เงิบพอๆกับธีร์เลย
คือจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนี่โคตรแย่
อยากรู้ตอนจบว่าจะอย่างไงมากกก
เพราะพระนครกับกทมไม่ใช่ใกล้ๆ
จะแบบย้อนเวลาไป-มามันก็ไม่ใช่
โอ้ยยยยยยยยยเครียดแทนธีร์กะพี่แก้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 27-10-2014 21:58:32
อื้อหื้อ...อ่านไปเครียดไป ยกมือขึ้นปาดเหงื่อรอบเบ้าตาอันเขียวช้ำ :m29: :m26:
เกือบร้องไห้อ่ะคนเขียน มันดูโหวงๆเหวงชอบกล :o11:

ใกล้จบแล้วเหรอเนี่ย...แต่ก็ขอให้จบแบบแฮปปี้นะคะ :oni1: :a11: :a3:
เรื่องนี้สนุกมากๆ o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 29-10-2014 16:16:18
ไม่อยากเศร้าเลยค่ะ เป็นไปได้ไหม.   . .
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-10-2014 16:47:48
ชักจะกังวลกับตอนจบเสียแล้วซิ :mew2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 29-10-2014 21:21:42
มาดันๆๆๆๆ เผื่อคนแต่งมาอัพต่อ อิอิ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 31-10-2014 00:21:51

ตอนที่ ๒๙...สิ่งที่ค้างในใจ...




เสียงไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดเพราะใครบางคนลงฝีเท้าหนักบนพื้นเรือนปลุกให้ผมตื่นขึ้นในเช้าอีกวัน...ยกแขนปัดป่ายไปข้างตัวเพื่อบิดขี้เกียจถึงได้รู้สึกว่าที่นอนข้างๆนั้นว่างเปล่า...ยังไม่ทันได้ตั้งคำถาม...ประตูไม้แบบบานพับของห้องนอนก็ถูกเปิดออกดัง'ปึง!' พร้อมเสียงบ่นยาวตามหลังมาไม่ขาด...รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่น้ำหนักตัวระดับน้องๆหมีควายโถมลงมาทับ

"โอ๊ย!"ร้องสิครับ...คนเพิ่งตื่น แถมเมื่อคืนยังมีเรื่องให้คิดจนดึกดื่นกว่าจะหลับลงได้ก็เกือบเช้าแล้ว

"กูหนัก!"โวยวายเสียงดังพร้อมทั้งมือและเท้าที่ทั้งผลักทั้งถีบไอ้น้องหมีที่ตอนนี้ทำตัวเป็นหมีโคอาล่าเกาะต้นยูคาลิปตัสแน่นหนึบ...แว่วเสียงตัวการหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีจนต้องลืมตาขึ้นมอง

"ไอ้แชมป์! ลงไปเลยนะมึง"ไอ้ตัวดียิ้มเผล่อยู่ตรงหน้า แต่ท่าทางของผมกับมันตอนนี้สิ ไม่อยากจะอธิบาย...เอาเป็นว่าผมรีบถีบมันลงจากตัวไปนั่งบนที่นอนข้างๆแทนก็แล้วกัน

"เจ้าคุณท่านให้หา"เสียงกวนกลั้วเสียงหัวเราะดังขึ้นขณะผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง...ได้ยินแบบนั้นเลยจัดการโบกหัวมันไปสักทีจนมันร้องโอดโอย

"แค่เจ้าคุณให้หาต้องปลุกกูแบบนี้เลยนะ"คนถูกบ่นยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ

"เปล่า กูมีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วย"แล้วไอ้หน้ายิ้มกริ่มอารมณ์ดีเกินเหตุนี่มันอะไรวะ

"ตกลงเจ้าคุณเรียกหรือมึงมีอะไรจะเล่าให้ฟัง?"

"ทั้งสองอย่าง"

"งั้นกูไปหาเจ้าคุณท่านก่อน"ตั้งท่าจะลุกแต่ดันถูกมันดึงคอเสื้อจนเกือบหงายหลังกลับมานั่งปุบนเตียงเหมือนเดิม

"อะไรอีกวะ ให้เจ้าคุณท่านรอนานเดี๋ยวก็โดนด่า"คนอย่างเจ้าคุณจิตราถึงจะใจดีแต่บทจะดุขึ้นมาใครก็ไม่กล้าหือ

"มึงไม่ต้องรีบ เจ้าคุณท่านลงไปใส่บาตรอีกซักพักกว่าจะขึ้นมา"

"สรุป จะให้ฟังที่มึงเล่าก่อน?"ผมเลิ่กคิ้วถามอย่างรู้ทันในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับรัวๆ

"ว่า..."

"ก็..."แล้วดูมันครับ พอผมตั้งใจฟังดันทำอ้ำๆอึ้งๆจนน่าหงุดหงิด

"ไม่เล่างั้นกูไปอาบน้ำละ"

"เฮ้ยยย! เล่าๆ ฟังกูก่อน"แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ถูกกระชากลงมานั่งบนเตียงตามเดิม...คราวนี้ผมหันไปกอดอกมองหน้ามันนิ่ง คนเพิ่งตื่นยังไม่เต็มตาแต่โดนดึงแล้วดึงอีกเป็นใครก็หงุดหงิด

"คุณพิกุลอ่ะ"เถียงกันมานานถึงได้ยอมเปิดปากเล่าซักที

"เจ้าคุณท่านให้คุณพิกุลเลื่อนเวลากลับเข้าวังไปอีกหน่อย"คนเล่ายิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี...ไม่ผิดจากที่ผมคาดนักเพราะเรื่องที่ทำให้แชมป์ร่าเริงจนเกือบเป็นบ้าได้มีอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง...หนึ่งในนั้นคือลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณท่านกับคุณหญิงสร้อย

"หืม...ทำไมวะ"แต่จะว่าไปก็แปลก เพราะเท่าที่ผมรู้มา คุณหญิงสร้อยท่านอยากให้คุณพิกุลรีบกลับเข้าวังอย่างกับอะไร...ก็เพราะเรื่องลูกสาวคนเล็กของท่านกับไอ้ตัวดีข้างๆผมนี่ล่ะที่เป็นปัญหา ถึงขั้นที่คุณหญิงสร้อยเคยเมินไอ้แชมป์อยู่หลายวัน แต่ช่วงหลังเริ่มดีขึ้นบ้างคงเพราะท่าทีสำรวมไม่ยุ่มย่ามของเพื่อนผมและการวางตัวของคุณพิกุล...แต่เรื่องจะให้ยอมรับ...เห็นทีจะเป็นไปไม่ได้

"เจ้าคุณท่านถามเมื่อเช้า พอคุณพิกุลบอกอีกสามวันต้องกลับเข้าวังท่านก็สงสัยเพราะตอนแรกบอกว่าจะอยู่นานกว่านี้"

"อ้าว แล้วคุณหญิงสร้อยแกไม่ว่าอะไรเหรอ"

"แกก็คงอยากเถียง แต่เจ้าคุณท่านว่ามางี้คุณหญิงแกจะไปขัดได้ไง"จริงอย่างที่มันว่า สุดท้ายการตัดสินใจย่อมตกอยู่กับผู้เป็นใหญ่ของเรือน เจ้าคุณจิตราเองก็คงไม่รู้เหตุผลของคุณหญิงถึงได้บอกแบบนั้น เป็นใครก็ไม่อยากให้ลูกสาวไปอยู่ห่างตัวแม้จะด้วยหน้าที่แต่ถ้ายืดเวลาออกไปได้ผู้เป็นพ่อมีหรือจะไม่ทำ

"แค่นี้ ต้องมาปลุกกันเสียงดัง"ผมแกล้งบ่นเพราะเห็นหน้ายิ้มเผล่ของมันแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ แอบเห็นมันหน้าจ๋อยลงทันที

"มึงอ่ะ ไม่ดีใจกับกูเลยเหรอวะ"แล้วดูมันครับ ทำเสียงน้อยอกน้อยใจเป็นเด็กๆ

"ก็ดีแล้ว"พอเห็นว่าผมยกยิ้มให้ถึงได้ยิ้มออกมาได้บ้าง...สำหรับแชมป์ การได้อยู่ใกล้ๆคนที่มันรักคงเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้



ผมไม่ได้เล่าถึงความฝันนั้นให้แชมป์ฟัง เพราะผมรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มร่าเริงของมันที่เห็นอยู่ทุกวันแฝงไว้ด้วยความกังวลใจไม่ต่างกัน...หลายครั้งที่ผมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากคนที่นอนอยู่ข้างๆ...สีหน้าวิตกราวกับคนไม่มีทางออก หรือแม้แต่ท่าทีไม่สบายใจที่มันพยายามซุกซ่อนเอาไว้...ทั้งผมและมันไม่ได้แตกต่างกันเพียงแต่เราเลือกที่จะไม่พูดออกมาเพราะรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างเป็นกังวล...แม้มันเคยพูดถึงการตัดสินใจแต่ลึกๆแล้วผมก็รู้...ว่ามันกลัว...กลัวว่าสิ่งที่มันตั้งใจ สิ่งที่มันคาดหวัง...ในวันหนึ่งอาจเปลี่ยนไป



...แชมป์เองก็ไม่รู้เช่นกัน...ว่ามันจะทำได้อย่างที่มันเคยพูดไว้หรือเปล่า...




ผมลุกไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก่อนจะเดินออกมาที่โถงกลางเรือนที่มีเจ้าของเรือนกับแขกคุ้นหน้าอีกสองท่านนั่งรออยู่...ยกมือไหว้ทักทายผู้มาเยือนตามมารยาท สงสัยว่าวันนี้จะมาคุยธุระอีกเช่นเคย

"เจ้าคุณท่านมีอะไรเหรอครับ"

"เรื่องงานเลี้ยงท่านทูตน่ะ"คำตอบของเจ้าของเรือนทำเอาผมกับไอ้แชมป์หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก

"มีปัญหาอะไรอีกเหรอครับ"ต้องใช้คำว่า'อีก'เพราะตั้งแต่เริ่มต้นมาก็มีปัญหานั่นนี่คอยกวนใจท่านตลอด หากแต่คำตอบที่ได้เป็นเพียงการส่ายหน้าช้าๆจากผู้อาวุโสกว่าเท่านั้น

"ข้าว่าจะให้เอ็งสองคนร่วมด้วย"

"เอ๊ะ!"เป็นอีกครั้งที่ผมสองคนได้แต่มองหน้ากันไปมาสลับกับเจ้าคุณท่าน

"แต่งานใหญ่ขนาดนั้น แล้วพวกผมก็แค่คนนอกไม่ได้มีหน้าที่อะไรเกี่ยวข้อง"รีบปฏิเสธออกไปทันที จริงอยู่ว่าพวกผมเคยช่วยท่านรับแขกมาบ้างตอนงานบุญวันเกิดคุณพิกุล แต่นั่นก็เพียงงานเล็กๆไม่ได้เป็นทางการใหญ่โตเหมือนงานเลี้ยงรับรองทูตฝรั่งเศสที่จะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า

"เอ็งสองคนลงแรงกับงานนี้มากอยู่ จะมาบอกว่าเป็นคนนอกได้อย่างไร"น้ำเสียงเจ้าคุณจิตราฟังดูไม่ค่อยพอใจนัก เหลือบไปเห็นเจ้าคุณไพศาลยังคงนั่งเงียบหากแต่ใบหน้าท่านยิ้มละไมเช่นเดียวกับคนสนิทของท่าน

"พวกผมไม่ได้ทำอะไรมากเลยครับ จะไปเกะกะเปล่าๆ อีกอย่างท่านเจ้าคุณเดโชเองก็คงไม่ค่อยพอใจนัก"อีกหนึ่งปัญหาสำคัญเพราะผมจำได้ดีเรื่องที่เจ้าคุณแห่งกรมวังไม่ยอมให้หลวงพิสิษฐเข้าร่วมงานทั้งที่เขาเองก็เป็นคนช่วยจัดการเรื่องต่างๆ

"หากจัดงานในเขตพระราชฐานก็ถูกของเจ้าคุณเดโชท่าน แต่นี่ย้ายมาจัดที่กรมแล้วข้าไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหา"

"แต่..."

"ไปเถิดพ่อ พ่อแช่มเองก็รู้ภาษาจะได้ช่วยกัน ในพระนครหาคนรู้ภาษานี้ยากนัก"กลายเป็นเจ้าคุณผู้มาเยือนแทรกขึ้นแทนจนผมกับไอ้แชมป์ที่กำลังสรรหาข้ออ้างสารพัดเงียบลงทันที

"ประเดี๋ยวเอ็งสองคนออกไปกับหลวงพิสิษฐ ให้หลวงแกช่วยดูเรื่องเสื้อผ้าให้เรียบร้อย"ยังไม่ทันได้ตอบรับ เจ้าของเรือนก็สั่งการเสร็จสรรพ หันไปมองเจ้าของชื่อที่วันนี้แต่งตัวค่อนข้างสบายด้วยเสื้อคอจีนสีน้ำเงินเข้มกับโจงกระเบนสีน้ำตาล ใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนอย่างทุกวัน
.

.

.

เพราะงานเลี้ยงที่เป็นทางการพวกผมถึงต้องวุ่นวายหาเสื้อผ้ากันใหม่ จะให้ใส่ชุดเดิมๆที่มีอยู่ก็คงใช้ไม่ได้เกรงว่าจะเสียหน้าไปถึงเจ้าคุณทั้งสอง...คนรับหน้าที่เลยต้องพาพวกผมมาถึงตลาด แต่ตลาดที่ว่าไม่ได้เหมือนกับตลาดสดที่พี่สนเคยพาผมไปเพราะที่นี่เป็นตรอกใหญ่ที่มีร้านค้าเรียงรายอยู่สองฟาก...ร้านรวงส่วนใหญ่เป็นตึกแถวก่อด้วยไม้สร้างเรียงต่อกันเป็นแนวยาว มีทั้งร้านเครื่องประดับสำหรับสตรี ร้านเสื้อผ้า หรือแม้แต่ร้านกาแฟ...กลางตรอกเป็นถนนที่มีรถลากวิ่งสวนกันไปมาแต่ก็เพียงเชื่องช้าเท่านั้นเพราะรถลากที่นี่เขาใช้คนลาก...ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่มีทั้งไทย จีน ฝรั่ง ที่สามารถแยกแยะได้โดยง่าย อย่างชาวสยามการแต่งตัวก็เหมือนกับที่พวกผมได้เห็นกันเกือบทุกวัน ผู้ชายบางคนสวมเสื้อ บ้างไม่สวม ผู้หญิงก็มีตั้งแต่นุ่งเพียงผ้าสไบคาดอกไปจนถึงระดับเจ้านายที่สวมเสื้อลูกไม้แขนพองห่มทับด้วยสไบสีหวานชวนมอง...ส่วนคนจีนสังเกตได้จากสีผิวและใบหน้าที่ทำให้ผมหันไปแซวไอ้แชมป์บ่อยๆเพราะหน้ามันเองก็ไม่ได้ต่างกัน(แต่ก็ถูกมันแขวะกลับว่าหน้าผมต่างจากมันเสียเมื่อไหร่)...แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นผู้หญิงชาวยุโรปที่แต่งตัวเหมือนหลุดออกมาจากนิทานแฟนตาซีที่ผมเคยได้ดูสมัยเด็กๆ...ชุดเดรสลูกไม้ยาวที่มีกระโปรงฟูฟ่องเหมือนสุ่ม บ้างถือร่มลูกไม้เข้ากับชุด บ้างก็สวมหมวก ท่วงท่าการเดินงามระหงจนพวกผมเผลอเหลียวมองตามหลายต่อหลายครั้ง...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นย่านชุมชนใหญ่ในสมัยพระนครที่ทำเอาผมตื่นตาตื่นใจจนแทบลืมจุดประสงค์ที่มาเสียสนิท


"ต้องซื้อชุดใหม่เลยเหรอครับ"ไอ้ตัวดีถามขึ้นเมื่อคนเดินนำหน้าพามาหยุดยืนอยู่หน้าร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง ด้านหน้าเป็นตู้โชว์กั้นด้วยกระจกใสกรอบด้วยไม้ ภายในมีหุ่นตั้งโชว์สวมชุดสูทแบบสากลสองแบบ หน้าตาก็เหมือนกับสูททั่วๆไปในสมัยของผม

"งานเลี้ยงใหญ่จัดที่กรมต้องแต่งให้เรียบร้อย"ว่าพลางเดินนำเข้าไปด้านในที่มีเจ้าของร้านยืนรอต้อนรับลูกค้า...ผมเองไม่ค่อยสันทัดเรื่องการซื้อขายในสมัยนี้เท่าไหร่เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่คนตัวสูงแทน...เห็นเจ้าของร้านยืนมองหน้าผมกับไอ้แชมป์สลับกันไปมาคงกำลังกะไซส์เสื้อผ้าให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านหลัง

"ถ้ารู้ว่าต้องออกงานกูใส่สูทมาจากบ้านแล้ว"ไอ้แชมป์ยื่นหน้าเข้ามากระซิบเบาจนผมหลุดหัวเราะกับความคิดเพี้ยนๆของมัน ขืนทำจริงมีหวังได้แตกตื่นกันทั้งเรือน



เจ้าของร้านหายไปสักพักก่อนจะกลับมาพร้อมชุดสูทสีดำในมือสองชุด ท่าทีสุภาพนอบน้อมตามประสาคนทำงานด้านบริการซึ่งผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในสมัยปัจจุบัน...สิ่งที่แตกต่างที่สุดที่ผมสังเกตได้คือรอยยิ้ม...ชาวพระนครมักมีรอยยิ้มเจือบนใบหน้าเสมอแม้แต่กับคนแปลกหน้า ที่นี่ทุกคนสามารถยิ้มให้กันอย่างไม่เคอะเขิน...ไม่เหมือนกรุงเทพในสมัยของผมที่ต่างคนต่างรีบเร่งจนบางครั้งลืมมองรอบๆตัวไปเสียสนิท...ภาพผู้คนโดยสารบนรถไฟฟ้าต่างก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคมในปัจจุบัน ต่างกับที่นี่...พระนครที่ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ใดๆแต่กลับทำให้ผู้คนใกล้ชิดกันมากกว่า...ผมได้รับรอยยิ้มเป็นมิตรจากผู้คนรอบข้างเพียงแค่เดินสวนกันทั้งที่ผมไม่รู้จักคนพวกนั้นมาก่อน หรือแม้แต่พ่อค้าแม่ค้าบางคนที่เชื้อเชิญให้ลองชิมขนมที่ตนวางขายโดยไม่คิดสตางค์...ความมีน้ำใจและโอบอ้อมอารีมีให้เห็นจนชินตา จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าหากในปัจจุบันเราจะกลับมาทำแบบที่บรรพบุรุษเราเคยทำกันไว้บ้างก็คงจะดีไม่น้อย


ผมเดินเข้าไปลองเสื้อในห้องด้านหลัง...การใส่สูทเป็นอะไรที่ง่ายกว่าการแต่งกายในสมัยนี้มากนัก...ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินออกมาจากห้องพร้อมชุดสูทสีดำแบบเต็มยศ ข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวตีเกล็ดด้านหน้าเพื่อเพิ่มรายละเอียด...ยืนหมุนอยู่หน้ากระจกสองสามรอบเพราะไม่ได้แต่งแบบนี้เสียนานจนรู้สึกแปลกตาตัวเองไปบ้าง พอดีกับที่ปลายสายตาเหลือบไปเห็นคนที่ยืนรออยู่ด้านนอก

"ใส่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มนุ่มถามขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาดูใกล้ๆ

"หลวมไปนิด แต่ไม่มีปัญหาครับ"น่าแปลกที่เจ้าของร้านสามารถกะไซส์ของผมได้ใกล้เคียง แม้จะหลวมไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไหร่นัก...ผมยืนมองตัวเองหน้ากระจกไม้บานสูงอีกครั้ง พยายามจัดการผูกหูกระต่ายที่พาดอยู่รอบคอแต่เพราะไม่ได้แต่งแบบนี้นานเกินไปถึงได้ค่อนข้างทุลักทุเล...มือสองข้างพยายามจับปลายหูกระต่ายตวัดไปมาพยายามนึกถึงวิธีผูกที่พ่อเคยสอน แต่ดูท่าว่าปมที่ผูกเสร็จก่อนกลับกลายเป็นปมที่หัวคิ้วของตัวเอง...แว่วเสียงหัวเราะเบาจากคนข้างๆก่อนที่มือหนาจะยื่นมาจับปลายโบว์ทั้งสองฝั่งแล้วตวัดไปมาให้อย่างคล่องแคล่ว

"ลืมไปว่าอยู่ต่างประเทศมาตั้งนาน"เพราะปกติไม่ค่อยได้เห็นชาวพระนครแต่งตัวตามแบบสากลบ่อยนักแต่สำหรับเขาที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศแถบนั้นมาก่อนการผูกหูกระต่ายของชุดสูทคงไม่ใช่เรื่องยาก...เจ้าตัวเพียงยกยิ้มบาง สายตายังจดจ่อกับมือที่ตวัดปลายโบว์ไปมาอย่างไม่เร่งรีบ...ผมช้อนตามองดวงตาคมสวยใต้แพขนตาหนาที่อยู่ห่างไปไม่มากนัก...ใบหน้าที่ผมเห็นจนชินตา...จนพาลนึกไปว่าหากวันหนึ่งผมไม่ได้เห็นอีกแล้ว...ผมจะเป็นอย่างไร

"มองเสียขนาดนี้พี่ก็อายเป็นนะพ่อ"ชั่วขณะที่ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มน้อยๆพร้อมมือที่ละออกจากปกเสื้อ...ดวงตาคมตวัดขึ้นมองเพียงครู่จนผมต้องเป็นฝ่ายละสายตาหันกลับไปมองตัวเองผ่านกระจกไม้บานสูงแทน...คำเรียกแทนตัวเองว่า'พี่'ให้ได้ยินบ่อยครั้งตั้งแต่'วันนั้น'ยังไม่ชินหูนัก...แม้ต่อหน้าเจ้าคุณไพศาลหรือบ่าวคนอื่นๆในเรือนเองเขาก็เปลี่ยนมาใช้คำนี้แทนจนบางครั้งสังเกตได้ว่าเจ้าคุณท่านส่งสายตามีนัยยะมาให้ หากแต่ผู้อาวุโสกว่าเลือกที่จะเงียบไว้และไม่ถามอะไรต่อ...แต่สำหรับผมแล้วการเรียกแทนอีกฝ่ายด้วยชื่อยังเป็นอะไรที่ไม่คุ้นชินนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกสายตาคาดคั้นจนต้องอ้อมแอ้มเรียกออกไปอยู่บ่อยครั้ง

โบว์หูกระต่ายถูกผูกอย่างเรียบร้อย พอดีกับที่แชมป์เดินออกมา...สูทของมันไม่ได้ต่างจากผมมากนักเพียงแต่เพิ่มเสื้อกั๊กข้างในที่เจ้าตัวดูจะชอบใจเป็นพิเศษ เห็นมันหมุนตัวไปมาหน้ากระจกแล้วยกมือขึ้นเสยผมเกรียนๆของตัวเองแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้...คนตัวสูงข้างๆเองก็เช่นกัน




จัดการเรื่องเสื้อผ้าเสร็จไอ้ตัวดีก็เริ่มอิดออดขอเดินเที่ยวต่อไม่ยอมกลับเรือนทันที เพราะตัวมันเองไม่ได้มีโอกาสออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ่อยนัก...ผมเหลือบมองคนตัวสูงที่พามาเพราะเกรงใจ ไม่รู้ว่าเขาต้องรีบกลับไปทำธุระกับเจ้าคุณไพศาลต่อหรือเปล่า หากแต่อีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าปฏิเสธทั้งยังอาสาพาเดินดูโดยรอบ


"คิดอะไรอยู่หรือพ่อ"เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วขัดกับเสียงจอแจของผู้คน หากแต่ที่ทำให้สะดุ้งสุดตัวคือปลายนิ้วอุ่นที่แตะสัมผัสหลังมือเพียงแผ่วเบาราวกับเจ้าของเรียวนิ้วนั้นไม่จงใจ...แม้เดินอยู่เคียงข้างแต่ใจกลับลอยไปที่ไหนเสียได้

"เปล่าครับ"ทำได้เพียงส่ายหน้าตอบเพราะแม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังเป็นกังวลเรื่องอะไรอยู่...แชมป์ยังคงเดินนำหน้า มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบตัว ใบหน้าของมันเปื้อนยิ้มตามประสาคนอารมณ์ดี ส่วนหนึ่งคงเพราะข่าวดีเรื่องลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตรา

"กังวลเรื่องงานเลี้ยงรึ"

"งานใหญ่ขนาดนั้น ธีร์กลัวว่าจะทำอะไรให้เจ้าคุณท่านขายหน้า"งานเลี้ยงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หากแต่อีกส่วนที่กังวล...ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร...ยิ่งใกล้วันงานหัวใจกลับยิ่งโหวงหวิวอย่างประหลาด ทั้งเรื่องความฝันวันนั้นก็ยังรบกวนจิตใจไม่จางหาย

"ไม่ต้องกังวลไป คิดเสียว่าเป็นงานเลี้ยงทั่วไป"คำปลอบโยนและรอยยิ้มบางที่ได้เห็น ได้ยินจนชินกลับไม่สามารถข่มความไม่สบายใจข้างใน...เมื่อหันไปสบเข้ากับ...ดวงตาคมวาวโรจน์แข็งกร้าวของใครบางคนเบื้องหน้า...ร่างสูงใหญ่ที่ไม่ได้เห็นอีกเลยนับแต่วันที่เกิดเรื่องวันนั้น...ใบหน้าคมดุดันที่ขยับเข้าใกล้มาทุกขณะเรียกให้ตัวเองยกมือขึ้นจับข้อแขนของคนข้างๆอย่างลืมตัว...แม้แต่แชมป์ที่เดินนำหน้าอยู่ก็ชะงักฝีเท้ากึก...ภาพของหลวงเจษฎารังสรรและคนสนิทอีกสองคนเดินตรงเข้ามาใกล้ยิ่งทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ...ความอึดอัดลอยวนจนเผลอกลั้นลมหายใจ คนที่ยืนอยู่ใกล้รับรู้ถึงกับเบี่ยงตัวเข้าขวางเอาไว้อีกฝั่งอย่างแนบเนียน...หากแต่ใบหน้าดุดันนั้นเพียงเฉียดเข้าใกล้แล้วผ่านไปเสมือนคนไม่เคยรู้จัก...มีเพียงดวงตาดำขลับแข็งขึงที่เหลือบมองเพียงปลายสายตา...เท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้มือที่จับแขนคนข้างๆสั่นระรัว เพราะความกลัวที่มองไม่เห็นแต่รับรู้ได้...ความกลัวที่ผมเคยสัมผัสด้วยตัวเอง...ความกลัว...ที่มีต่อคนตัวสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านไปไม่นาน

"แปลก ไม่เข้ามาหาเรื่องเหมือนทุกที"พอได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของคนข้างๆถึงได้พรูลมหายใจยาวอย่างโล่งอก...อีกฝ่ายเพียงเหลือบมองใบหน้าของผมที่ตอนนี้มันคงซีดเซียวจนผิดวิสัย...มือหนายกขึ้นทาบทับมือที่จับข้อแขนของเขาแน่น

"ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่ทั้งคน"เพราะรอยยิ้มปรายเรียกสติถึงได้รู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนจอแจในตลาด และสายตากวนพิลึกของไอ้แชมป์ที่ส่งมาพร้อมรอยยิ้มกริ่มตามแบบของมันถึงได้รีบละมือออกทันที

"ม่ะ ไม่ได้กลัวซักหน่อย"รีบสาวเท้าเดินนำหน้าแล้วลากแขนไอ้ตัวดีที่ยังยิ้มเผล่ให้เดินตาม...แว่วเสียงหัวเราะเบาตามหลัง

"หลวงพิสิษฐหวงมึงออกนอกหน้าขนาดนี้ กูว่าถ้าจับมึงใส่หีบล็อคกุญแจได้แกคงทำไปแล้ว"ไม่ต้องรอให้มันได้กวนอะไรต่อผมก็จัดการประเคนนิ้วกลางให้มันเป็นรางวัลไปเรียบร้อยโทษฐานปากเสียไม่ดูเวล่ำเวลา...แล้วใครมันจะไปยอมถูกจับยัดลงหีบวะ...อึดอัดตายชัก...


หากเมื่อผมเหลียวกลับไปมองถึงได้เห็น...ดวงตาคมที่มองตามแผ่นหลังของคนตัวสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่...สายตาของความไม่เข้าใจและเป็นกังวล...ถูกอย่างที่หลวงพิสิษฐว่ามันแปลก...แปลกที่คนแบบนั้นเลือกจะเดินผ่านหน้าพวกผมไปราวกับคนไม่เคยรู้จักซึ่งผิดวิสัยอันธพาลของเจ้าตัว...แม้เรื่องราวในวันนั้นจบลงที่ความเกรงกลัวต่อบารมีของผู้เป็นพ่อ แต่คนอย่างเขามีหรือจะยอมอยู่เฉยไม่เอาความทั้งที่ตัวเองก็โดนตอกหน้ากลับไปไม่ใช่น้อย...คนอย่างหลวงเจษฎารังสรรไม่เคยรามือจากสิ่งที่เขาชัง...นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมรู้



"วันนี้เจ้าคุณท่านกลับเรือนใหญ่ พี่อยากให้พ่อธีร์มาอยู่ด้วย"ใบหน้าคมโน้มเข้ากระซิบใกล้เมื่อเดินกลับมาถึงรถลากที่รออยู่ทำเอาผมชะงักฝีเท้า

เหลือบมองไอ้ตัวดีที่เพิ่งกระโดดขึ้นนั่งรอบนรถลาก"แล้วแชมป์ล่ะครับ?"

เจ้าของชื่อส่งสายตาสงสัยแทนคำถาม หากแต่คนตัวสูงเพียงยกยิ้มบางถามคนบนรถแทน

"กลับคนเดียวได้หรือไม่พ่อ นึกขึ้นได้ว่างานยังไม่เสร็จดีเห็นทีต้องขอตัวพ่อธีร์ไปช่วยก่อน"แล้วผมไปตอบตกลงตอนไหนถึงได้หันไปคุยกับไอ้แชมป์เสร็จสรรพแบบนี้เล่า!

"ไม่มีปัญหาครับคุณหลวง ฝากไอ้ธีร์ด้วยนะครับ"ตอบรับกันเป็นลูกคู่ เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะมึง

"บอกตอนไหนกันครับว่าจะไป"ตวัดสายตากลับไปมองคนที่ยืนประชิดตัวหลังจากรถของไอ้ตัวดีเคลื่อนตัวออกไปได้ไม่นาน

"พ่อธีร์ไม่ได้บอก...แต่พี่อยากให้ไป...ไม่ได้รึ"ท้ายประโยคยังยื่นหน้าเข้ามากระซิบเสียใกล้จนหน้าร้อนวูบขึ้นมา ดีที่คนรอบข้างไม่ได้สังเกตเห็นอาการแปลกๆของผมไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้คิดว่าผมไข้ขึ้นหรือไม่ก็เมาอากาศที่มันร้อนอบอ้าวนี่ แถมคนจงใจแกล้งหยอกดูท่าจะพออกพอใจเสียเต็มทีถึงได้ยืนยิ้มกริ่มอารมณ์ดีมองหน้าผมไม่วางตา...สุดท้ายก็เลยต้องจำใจบวกสมยอมอีกนิดหน่อยตามคนตัวสูงกลับมาถึงเรือนริมแม่น้ำของเจ้าคุณไพศาลจนได้
.

.

.
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๘...๒๕/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 31-10-2014 00:22:26
"ตายแล้วคุณหลวง! ลงไปทำอะไรเจ้าคะ!"แล้วก็ไม่ต้องตกใจหรอกครับถ้าป้าชื่นแกจะโวยวายเสียงดังจนลมแทบจับแบบนี้ เพราะผมเองก็มีอาการไม่ต่างจากแกเท่าไหร่หลังจากที่กลับมาถึงเรือนแล้วถูกคนตัวสูงชวนมานั่งเล่นที่ท่าน้ำเล็กข้างศาลาได้ไม่นาน อยู่ดีๆพ่อคุณเขาก็นึกสนุกจัดแจงถอดเสื้อกระโดดตูมลงน้ำหน้าตาเฉยจนผมได้แต่อ้าปากค้างเพราะไม่เคยเห็นหลวงพิสิษฐในสภาพแบบนี้มาก่อน...ภาพผู้ชายผิวสีเข้มสวย ตัวสูง หน้าตาดีราวกับพระเอกในวรรณคดีไทยพร้อมรอยยิ้มละไมที่ได้เห็นกันทุกวันแทบหายวับไปกับตา

"อากาศมันร้อน เล่นน้ำเสียหน่อยชื่นใจดี...แม่ชื่นลงมาเล่นด้วยกันซี!"ใบหน้าคมหันไปส่งยิ้มยียวนให้บ่าวคนเก่าแก่ของเจ้าคุณท่านที่พ่วงตำแหน่งพี่เลี้ยงคนสนิทของเขามาตั้งแต่ยังเล็ก

"ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะเจ้าคะ...คุณธีร์ก็อีกคนไม่ช่วยกันห้ามเสียบ้าง"แล้วทำไมคนถูกบ่นถึงกลายเป็นผมไปได้ล่ะครับป้าชื่น

"อย่าไปว่าพ่อธีร์เขาเลย ดูสิ ชวนลงมาเล่นน้ำด้วยกันก็ไม่ยอม"คนในน้ำบ่นอุบเพราะพยายามหลอกล่ออยู่นานแต่ผมก็ไม่ยอมลงไปสักที เพียงแค่นั่งหย่อนขาแช่น้ำมองอีกฝ่ายลอยคออย่างสบายอารมณ์เท่านั้น

"ใครเขาจะเล่นเป็นเด็กเหมือนคุณหลวงกันเล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวไปหาผ้ามาให้ผลัด แล้วอย่าอยู่นานนักนะเจ้าคะจะจับไข้เอาได้"เห็นป้าชื่นแกส่ายหน้าอย่างอ่อนใจก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในเรือน บ่นเสียยืดยาวแต่สุดท้ายก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

"ป้าชื่นนี่รักคุณหลวงเหมือนลูกเลยนะครั..."



'ซ่าาาาา!'



แม่ง...เหมือนโดนสาดน้ำสงกรานต์ไม่มีผิด


"คุณหลวง!"แถมตัวการยังลอยคอหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีที่แกล้งผมได้สำเร็จ

"ไหนๆก็เปียกแล้ว ลงมาเล่นน้ำด้วยกันเถิดพ่อ"มือหนาเอื้อมขึ้นจับแขนให้ผมสะดุ้งเฮือกพร้อมออกแรงดึง

"บอกแล้วไงครับว่าไม่เล่น เปียกหมดแล้วเห็นมั้ย"ปากก็เถียง ตัวยังต้องคอยขืนเอาไว้เพราะดูท่าคนตัวสูงไม่ยอมรามือง่ายๆ

"เอาแต่นั่งดูจะไปสนุกอะไรเล่า"จากที่เป็นคนนั่งดูเฉยๆกลายเป็นถูกรบเร้าไม่หยุดหย่อน...สองมือพยายามปัดป่ายสุดกำลังแต่มีหรือจะสู้แรงคนตัวใหญ่กว่าได้



'ตูมมม!'



สุดท้ายเลยถูกดึงลงมาร่วมด้วยแบบไม่สวยเท่าไหร่นัก...พอโผล่พ้นน้ำได้ก็รีบผวาเกาะบ่าคนตัวสูงทันที...ไม่ใช่ว่าผมว่ายน้ำไม่เป็นแต่เพราะน้ำในแม่น้ำมันไม่ได้ใสเหมือนน้ำในสระ ไม่รู้ความลึก ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง นั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกโหวงหวิวจนต้องยึดคนข้างๆเป็นที่พึ่ง

"กลัวรึ"เสียงทุ้มนุ่มดังข้างหู...ไม่ต้องถามก็น่าจะรู้คำตอบเพราะสองมือที่คล้องคอเขาเอาไว้แน่น...ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางพร้อมวาดแขนโอบรอบเอวของผมเอาไว้เพื่อช่วยพยุงตัว

"เล่นอะไรเป็นเด็กๆ"แม้โดนบ่นแต่ก็ยังหัวเราะร่วนจนผมเริ่มหงุดหงิด

"ทำไมชอบแกล้งครับ"ขมวดคิ้วถามเสียงดุแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่เกาะอยู่

"พ่อธีร์น่าแกล้งนี่"น้ำเสียงยียวนกลั้วเสียงหัวเราะเรียกให้ผมวักน้ำใส่หน้าเข้าให้สักที อีกฝ่ายสะดุ้งเผลอปล่อยมือที่เกาะท่าน้ำจมหายไปกับผืนน้ำเบื้องล่างหากแต่มือที่รั้งเอวของผมเอาไว้ดึงให้ผมดำดิ่งตามลงไปด้วย...ผมทะลึ่งตัวโผล่พ้นผิวน้ำแต่กลับไร้วี่แววคนตัวสูง...สองมือเกาะท่าน้ำเล็กเอาไว้แน่นพลางสอดส่ายสายตา

"คุณหลวง..."ใจที่เริ่มกระสับกระส่ายจนต้องร้องเรียกหากแต่ผืนน้ำเบื้องหน้ายังสงบนิ่ง

"ม่ะ...ไม่ตลกนะครับ คุณหลวง!"ค่อยๆปล่อยมือจากท่าน้ำเพราะความเป็นห่วงที่มีมากกว่าแล้วทิ้งตัวลงใต้น้ำอย่างกล้าๆกลัวๆ...แม้เจ้าพระยาในเวลานี้ยังใสสะอาดแต่ทัศนวิสัยใต้น้ำก็ไม่ได้กระจ่างใสเหมือนน้ำในสระ...สิ่งที่ทำได้ เพียงแค่ปัดป่ายมือไปมาพยายามมองหาทว่าไม่เป็นผล...สุดท้ายก็ต้องโผล่ขึ้นมาเกาะท่าน้ำเดิมพลางหอบเอาอากาศเข้าปอด...ความกังวลใจเพิ่มมากขึ้น ตั้งใจผละมือออกแล้วดำลงไปดูอีกครั้ง หากแต่ท่อนแขนแกร่งที่ตวัดโอบรอบตัวเอาไว้จากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเฮือก

"เฮ้ยยย!"เผลอร้องออกมาเสียงดังทว่าเจ้าของท่อนแขนที่โอบกระชับเพียงหัวเราะเบาอย่างพึงใจ

"เป็นห่วงพี่รึ"น้ำเสียงทุ้มดังแผ่วชิดหูจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น

"เล่นบ้าอะไรเนี่ย! นึกว่าจมน้ำตายไปแล้วนะครับ"ตวัดเสียงดังด้วยความไม่พอใจ แต่คนถูกดุไม่มีทีท่าสลด ยังคงส่งยิ้มยียวนมาให้เหมือนทุกที

"โถพ่อ แม่น้ำนี้พี่ว่ายเล่นตั้งแต่เล็กจะไปจมได้อย่างไร"เอ๊อ! ผมผิดเองครับ ผิดที่เป็นห่วง ลืมไปเสียสนิทว่าคนแถวนี้โตมากับน้ำไม่ใช่เด็กเมืองกรุงแบบผม

"พี่แกล้งหยอกพ่อเล่น โกรธพี่รึ"สงสัยแสดงออกทางสีหน้ามากไปหน่อยจนอีกฝ่ายสังเกตได้ มือหนายื่นมาประคองแก้มให้หันกลับไปสบดวงตาคมที่ส่องประกายระยับกลมกลืนกับรอยยิ้มสวย...นึกจะโกรธก็โกรธไม่ลง

"อย่าเล่นแบบนี้อีกนะครับ ธีร์ไม่ชอบ"ได้แต่มุ่ยหน้าตอบกลับไป เพราะความรู้สึกเมื่อครู่มันน่ากลัว...กลัว...ว่าจะสูญเสีย

"พี่ดีใจที่พ่อธีร์เป็นห่วง"หากแต่รอยยิ้มตรงหน้าทำให้ผมลืมความกลัวเมื่อครู่ไปหมดสิ้น...มือใหญ่ยังคงประคองแก้มไม่ห่าง...ใบหน้าคมโน้มเข้าใกล้โดยที่ผมไม่สามารถถอยหนีไปไหนได้เพราะหลังที่พิงชิดขอบท่าน้ำ...ริมฝีปากหยักสวยได้รูปห่างเพียงคืบเรียกให้ผมค่อยๆปรือตาลง...แม้บรรยากาศโดยรอบไม่ได้เงียบสงัดแต่ยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังระรัว ราวกับรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่เคลื่อนเข้ามาใกล้...ใกล้...จนแทบแนบสนิท...




"คุณธีร์! บ่าวนึกว่าจะช่วยกันห้าม ลงไปกับเขาด้วยหรือเจ้าคะ!"หากแต่เสียงแหวลั่นของป้าชื่นทำให้ต่างฝ่ายสะดุ้งสุดตัวแล้วผละออกจากกันทันที หันกลับไปมองต้นเสียงที่โหวกเหวกอยู่หน้าเรือนเพราะมองไม่เห็นคนที่นั่งอยู่ริมท่าน้ำเหมือนเคยก่อนจะเดินลงมาตามพร้อมผ้าพับใหญ่ในมือ แกถอนหายใจพรืดพลางส่ายหน้าเมื่อได้เห็น...คนสองคนในน้ำที่กำลังหัวเราะร่วนกับท่าทีเป็นกังวลเกินเหตุของแก...ถึงอย่างนั้นก็ทำใจโกรธไม่ลงเพราะถูกลูกอ้อนของคนตัวโตในน้ำหยอกล้อเสียจนป้าชื่นแกยิ้มออกมาได้
.

.

.

.

เพราะเป็นตัวต้นเหตุให้ผมต้องลงไปเปียกด้วย หน้าที่จัดการผมยาวละต้นคอที่ใช้เวลานานกว่าคนปกติกว่าจะแห้งนี่เลยกลายเป็นของคนขี้แกล้งไปโดยปริยาย...ร่างสูงที่นั่งเอนหลังพิงหัวเตียงยังไม่ยอมสวมเสื้อเพราะบ่นว่าร้อน โดยมีผมนั่งซ้อนอยู่ด้านหน้า สองมือของเขาใช้ผ้าบรรจงเช็ดผมที่เปียกชื้นให้อย่างเบามือไล่ลงมาถึงหยดน้ำพราวที่เกาะตามแผ่นหลัง

"พรุ่งนี้ต้องเข้าไปช่วยเจ้าคุณท่านที่กรมเหรอครับ"ถามขึ้นเพราะได้ยินเขาคุยกับป้าชื่นเมื่อครู่เรื่องที่เจ้าคุณไพศาลขอตัวให้ไปช่วยดูแลความเรียบร้อยของบริเวณจัดงาน

"ท่านให้ไปช่วยจดบันทึกรายละเอียดปลีกย่อย เห็นว่าหลวงวิเศษณ์เองก็งานล้นมือ"ดูท่าว่างานใหญ่โตนี้จะไม่ได้มีแค่คนรอบข้างของผมที่วิ่งวุ่น เพราะหลายครั้งที่หลวงพิสิษฐถูกดึงตัวจากกรมไปช่วยเนื่องจากคนในกรมการต่างประเทศเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน

"คงเป็นงานใหญ่มากเลยสิครับ"

"งานนี้เป็นงานสำคัญที่อาจส่งผลต่อสยามประเทศ หากมีข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดเขาจะเอามาเป็นข้อต่อรองได้...ทางนั้นเขาอยากได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงของเรา เจรจากันมาหลายต่อหลายครั้งแต่ฝั่งเรายังไม่ยอม"ผืนดินของประเทศใครจะไปยอมยกให้กันง่ายๆ...เพียงแต่ผมเองก็รู้ดีว่า แม้บรรพบุรุษของเราพยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาผืนแผ่นดินไทยให้คงอยู่หากแต่สิ่งที่ประเทศเล็กๆอย่างเราทำได้ คือเพียงประคับประคองไม่ให้ทั้งประเทศต้องสูญเสียความเป็นเอกราชให้กับมหาอำนาจฝั่งตะวันตก...หลวงพิสิษฐยังไม่ล่วงรู้ ว่าในวันข้างหน้าเราต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศสตามที่ทุกคนเป็นกังวล แต่เป็นเพราะถูกบีบบังคับด้วยกำลังทหารไม่ใช่เพราะการเจรจาทางการฑูตแต่อย่างใด...การส่งเรือรบเข้ามาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา อู่ข้าวอู่น้ำของพระนคร...ข่มขู่ด้วยกำลังว่าจะปิดน่านน้ำไทย รวมถึงหลายชีวิตที่ต้องบาดเจ็บล้มตาย ทำให้สยามไม่สามารถขัดขืนข้อเสนอของฝรั่งเศสได้...เราเพียงต้องยอมสละอวัยวะบางส่วนเพื่อรักษาชีวิต...รักษาเอกราชของไทยให้คงอยู่ตราบจนถึงลูกหลาน

"เป็นอะไรหรือพ่อ"เสียงทุ้มดึงความคิดที่หดหู่ของผมให้กลับมา...มือหนาที่กำลังเช็ดปลายผมให้ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปนาน

"คิดอะไรนิดหน่อยครับ"ผมไม่ได้บอก...ความจริงที่อาจทำให้หัวใจของคนฟังแตกสลาย...ความรักในชาติบ้านเกิดของเขามีไม่น้อยไปกว่าใคร แม้ไม่ได้ทำงานสายนี้โดยตรงแต่ได้ชื่อว่าเป็นชาวสยามย่อมไม่มีใครยินดีกับการสูญเสีย...แว่วเสียงถอนหายใจเบา มือหนาละจากปลายผมเปียกชื้นเปลี่ยนมาสอดประสานโอบเอวของผมเอาไว้

"หลังเสร็จงานนี้พี่คงต้องกลับไปทำงานที่กรมตามเดิม เจ้าคุณเสนาบดีท่านจะออกว่าราชการที่หัวเมืองทางใต้เห็นว่าจะให้พี่ตามไปด้วย"

"ไปนานมั้ยครับ"เพราะเคยชินกับการอยู่ด้วยกันจนเกือบลืมไปว่าเขาเองก็ยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ถึงอย่างนั้นก็ยังใจหายเมื่อคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายไปหลายวัน

"หนึ่งเดือนได้กระมัง ต้องไปหลายที่เพราะสมเด็จท่านมีดำริจะสร้างโรงเรียนตามหัวเมืองใหญ่ให้พวกเด็กๆนอกพระนครมีที่เล่าเรียน"แต่อันนี้มันก็นานกว่าที่คาดไว้ไปหน่อย

"ป่านนั้น...ธีร์อาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วก็ได้นะครับ"



...ความเงียบก่อตัวอีกครั้งจนคนที่นั่งซ้อนหลังรู้สึกได้...ความจริงที่ว่าผมไม่ใช่คนของที่นี่กลับมาตอกย้ำทั้งตัวเองและความคิดของคนที่นั่งอยู่ด้วย...ตั้งแต่วันที่เปิดปากเล่าความจริงเรื่องที่มาของผมให้ฟังจนถึงวันนี้ เขาไม่เคยถามถึงมันอีกเลย หากแต่ผมรู้ดีว่ามันยังคงติดค้างอยู่ราวกับแผลเป็นที่ไม่มีวันหาย...คนตัวสูงพรูลมหายใจยาวก่อนโน้มตัวลงอิงหน้าผากกับไหล่ของผม

"พี่อยากอยู่กับพ่อธีร์"ริมฝีปากหยักแตะพรมลงบนลาดไหล่ไล่ลงถึงกลางหลังเชื่องช้านุ่มนวลทว่าลมหายใจอุ่นของเจ้าตัวกลับทำให้ร้อนวาบขึ้นมา สัมผัสได้ถึงปลายจมูกกับเรือนผมดำสนิทไล้เรื่อยสะเปะสะปะ นิ้วเรียวลากไล้ทั่วแผ่นหลังเพียงแผ่วเบาเรียกให้ผมผวาหนีอย่างลืมตัว หากแต่คนตัวสูงยังรั้งเอวของผมเอาไว้

"ธีร์ ก็อยู่นี่แล้วไงครับ"ทำได้เพียงกลั้นเสียงตอบกลับไปเพราะสัมผัสโหวงหวิวจากคนข้างหลัง

"พี่หมายถึง...อยู่ให้นานกว่านี้"เพียงครู่เดียวริมฝีปากนุ่มก็ละออกพร้อมอ้อมแขนแกร่งกระชับตัวผมให้ขยับเข้าใกล้จนแผ่นหลังเปลือยเปล่าแนบชิดกับหน้าอกอุ่น เรือนผมดำสนิทระเรี่ยอยู่ข้างแก้มเมื่อใบหน้าคมเกยคางลงบนลาดไหล่ รู้สึกถึงลมหายใจร้อนจากคนตัวสูงรินรดต้นคอ




"พี่รักพ่อธีร์...อยู่ที่นี่กับพี่ตลอดไปได้หรือไม่"หากน้ำเสียงที่เอ่ยราวเสียงกระซิบกลับทำให้หัวใจกระตุกวูบ...คำว่ารักได้ยินเพียงบางเบาทว่าหนักแน่นย้ำเตือนลงในความรู้สึก...มันไม่ใช่คำถามแต่เป็นการร้องขอ...การร้องขอที่ผมเองก็อยากตอบรับ...ผมเบือนหน้ากลับไปหา เอื้อมมือโอบรั้งอีกฝ่ายแนบแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปเสียตอนนี้

"ธีร์ก็อยากอยู่กับพี่แก้ว...ธีร์รักพี่แก้วนะครับ"เสียงที่ตอบกลับไม่ได้ดังไปกว่าคนตัวสูงเมื่อครู่ หากแต่คนที่รับรู้ตอบรับด้วยอ้อมแขนแกร่งที่กระชับกลับมา...มือหนาลูบหลังปลอบโยนก่อนจะเลื่อนขึ้นแนบข้างแก้มให้ผมผละออกจากบ่ากว้างที่ซบอยู่เพียงครู่ สบเข้ากับดวงตาคมสวยหากประกายในดวงตากลับวูบไหวไม่มั่นคง มีเพียงริมฝีปากหยักนั้นยังคงยกยิ้มบางให้เช่นที่เคยเป็น...

สองมือของผมประคองใบหน้าได้รูปของคนตรงหน้าก่อนจะโน้มตัวลงทาบทับริมฝีปากลงบนรอยยิ้มอ่อนโยนนั้น ไออุ่นระเรื่อยข้างแก้มให้รับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักค่อยๆเผยอรับสัมผัสของผมเชื่องช้า นุ่มนวล แล้วเปลี่ยนเป็นหนักหน่วง...ปลายลิ้นอุ่นชื้นแทรกลึกฉกชิมความหวานของกันและกันเนิ่นนาน...จูบของผมกับเขาหลอมรวมความรู้สึกทุกอย่างเข้าด้วยกัน...ทั้งความสุข...ความเจ็บปวด...ความโหยหากันและกันอย่างไม่จบสิ้น...และ...




...ความรัก...




...ชั่วขณะที่ท่อนแขนแกร่งยังโอบกระชับตัวผมเอาไว้ไม่ห่าง...สองมือสอดประสานแน่นราวกับเป็นหนึ่งเดียว...ผมยังหวัง...


...ให้ความรักของเขาเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้...ให้ผมได้อยู่ที่นี่...กับคนในอ้อมแขนนี้...นานเท่าที่ใจต้องการ...



...



หวานปนขื่นเล็กๆนะคะตอนนี้ ให้น้องธีร์อยู่กับพี่แก้วอีกหน่อย  :hao5:

ขอบคุณทุกกำลังใจและการติดตาม ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ :call:


edited:

ฝากเพลงให้ฟังกันค่ะ คนแต่งใช้เพลงนี้เป็นตัวแทนน้องธีร์ให้พี่แก้ว
เพราะรู้สึกว่าพี่แก้วเป็นผู้ชายที่ใช้สายตาเยอะมากจริงๆ  :o8:

http://youtu.be/_Ti8Jp7rY_E (http://youtu.be/_Ti8Jp7rY_E)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 31-10-2014 00:55:19
ช่วงท้ายตอนนี่มันอะไร เง้อ หน่วงหนัก
แถมคนเขียนยังใช้คำว่า "ให้น้องธีร์อยู่กับพี่แก้วอีกหน่อย"
กรีดร้อง หมายความว่ายังไงค้า
อย่าให้ต้องเตรียมทิชชูเอาไว้สั่งน้ำมูกตอนจบเรื่องน้า

กรี๊ดมากกับ "มองเสียขนาดนี้ พี่ก็อายเป็นนะพ่อ"
อื้อหือ เรียกแทนตัวเองว่าพี่
คนอ่านดิ้นค่ะ เขินแทนน้องธีร์ที่แอบโดนแซว

หลวงเจษฎ์ไม่น่าไว้ใจจริงๆ วันงานต้องมีเรื่องแหง
ศึกหลายด้าน ทั้งภายนอก(หลวงเจษฎ์)
และภายใน(น้องธีร์เป็นคนกรุงเทพ)
เครียดล่วงหน้าไปแล้วค่า

จริงๆมันก็หน่วงนิดๆตั้งแต่ตอนที่แล้วนะ เรื่องเป็นคนกรุงเทพ
มาตอนนี้ยิ่งตอกย้ำหลายจุด อื้อหือ ที่เคยทำเป็นลืมนี่ไม่ได้ผล
ยังไงก็รออ่านต่ออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-10-2014 01:50:27
คิดถึงอนาคตแล้วใจมันเศร้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 31-10-2014 08:25:31
ง่ะ.เฮ้อ.. จะหวานก็ไม่หวาน จะขมก็ไม่ขม เสียดใจจัง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Mississippi ที่ 31-10-2014 08:39:28
หน่วงๆสุดๆ คนแต่งอย่าใจร้ายเลยค่ะ ฮือออออออออออออออออ :o12:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Linyu_ta ที่ 31-10-2014 14:18:17
งื้ออออออออออ เค้าหน่วง เค้าอึดอัด เค้าฟินนนน คือทั้งสุขทั้งเศร้า ทั้งหวานทั้งขมปนเปกันไปหมด คิดอยากหยุดเวลาให้คุณหลวงกับพ่อธีร์จริงๆ สงสารทั้งคู่  :sad4:

เพิ่งได้มีโอกาสอ่านเรื่องนี้เมื่อคืน อ่านแบบหยุดไม่ได้ ไม่อยากนอน ไม่อยากทำงานเลย มาทำงานก็แอบอู้มาอ่านอีกต่างหาก 5555555555555
ชอบนิยายเรื่องนี้ๆมากเลยค่ะ เราเป็นคนชอบอ่านนิยายแนวไทยๆอย่างนี้อยู่แล้วด้วย ยิ่งเป็นย้อนยุคปนประวัติศาสตร์แบบนี้ยิ่งชอบ อ่านไปก็เคลิ้มไป เหมือนได้กลับไปรัชกาลที่5เหมือนพ่อธีร์

อยากจะให้ถึงตอนที่พ่อธีร์ได้อยู่กับคุณหลวงเร็วๆ (หวังว่าคนเขียนจะไม่ใจร้ายให้เขาสองคนแยกกันน้าาา  :o12:) ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา หรือต้องกังวลกับอะไร แต่ไม่ได้อยากให้จบเร็วๆนะคะคนเขียน อย่าเข้าใจเราผิดน้าา คือยังอยากอ่านอีกเรื่อยๆเลย (อยากได้เป็นเล่มด้วยแล่ะ อิอิ) แต่ก็ยังมองหาทางออกให้พ่อธีร์ไม่เจอเลยว่าจะหยุดเวลาอยู่แค่ตอนนี้ยังไง จะต้องทำยังไงถึงจะได้อยู่กับคุณหลวง  :เฮ้อ:

อ่านเรื่องเดียวได้หลายอารมณ์ดีเหลือเกิน ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 01-11-2014 03:27:54
ฮื้อ สงสาร ฮึก ไม่เอา ส่ายหน้า :ling3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 01-11-2014 11:31:41
ไม่ได้อ่านมานานหลายตอน พี่แก้วววว  กรี๊ดดดดด
สมใจพี่แล้วสินะ  :hao6: :hao6: :hao6:
ระบมไม่พ่อธีร์
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 01-11-2014 13:30:05
โอ้ยยยยยยยยยยยมันหวานไม่สุด
มันหน่วงๆอยู่ด้วย กรี๊ดดดดดด
อยู่ต่อเลยได้ไหม
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 02-11-2014 13:02:31
กรี๊ดดดดด อ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนถึงตอนล่าสุดเลยค่ะ

ชอบนิยายภาษาแบบนี้ กลิ่นอายแบบโบราณพีเรียด อ่านไปก็ฟินไปหน่วงไป

อยากให้พี่แก้วได้อยู่กับพ่อธีร์ทุกชาติเลย ถ้าน้องธีร์ย้อนกลับไปอยู่อดีตไม่ได้แล้ว แนะนำให้คุณหลวงพี่แก้วมาเกิดในยุคปัจจุบันนะคะ แล้วจีบกันใหม่ 555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 02-11-2014 17:14:56
รู้สึกหน่วงๆถ้าต้องจากเป็นกับคนที่เรารัก

พี่แก้วก็ช่างแกล้งน้องธีร์เสียกระไรน่ะเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 03-11-2014 04:36:54
พี่แก้วนี่ช่างหยอดเสียจริงนะเจ้าคะ

หากจับน้องธีร์กลืนกินเสียทั้งตัวได้คงทำไปแล้วสินะเจ้าคะ

อ้ายเจษฏ์นั่นก็ไม่น่าไว้ใจนัก พี่แก้วต้องระวังให้ดีนะเจ้าคะ ข้าน้อยกลัวนักว่ามันจะหาโอกาสในงานเลี้ยงนี้เพื่อกลั่นแกล้งพี่แก้วและน้องธีร์

//รู้สึกอินมาก ๆ ค่ะ หลงรักนิยายเรื่องนี้เข้าเต็มเปาเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 03-11-2014 21:55:19
จากกันทั้งยังรักคงร้าวรานเพราะความคิดถึงกัน
ขอให้เป็นการจากเพื่อกลับมาพบกันใหม่ทีเถอะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 03-11-2014 23:51:10
หื้ออออออออออ ตอนนี้ ช่วงท้ายๆคือชอบคือฟินคือดีงาม :hao6:

ว่าแต่ :m29: :m26:...คนเขียนจะเอามาม่ามาแจกไหมอ่ะ ข้าน้อยไม่เอาาาาาานะะะะะะะะะะะะ  :katai4: :z3:
ขอความสุขแบบนี้เรื่อยๆได้ไหมมมมม :mew2:

**พิมพ์ไปก็ลุ้นตอนหน้าไป** โอ้ยยยยย รักหลวงแก้วกับพ่อธีร์อย่างยิ่งไม่อยากให้จบ :o12: :sad4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 07-11-2014 23:49:20

ตอนที่ ๓๐...งานเลี้ยง...




ในที่สุดวันที่ข้าหลวงแห่งกรมการต่างประเทศทั้งหลายรอคอยก็มาถึง เพราะนั่นหมายความว่าหลังจากวันนี้ ชีวิตการทำงานของพวกเขาจะกลับมาสู่ภาวะปกติ ไม่ต้องคอยวิ่งวุ่นจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างที่ทำกันมาตลอดทั้งเดือน...งานเลี้ยงรับรองคณะทูตจากประเทศฝรั่งเศสที่กำลังจะเกิดขึ้นในค่ำวันนี้กลายเป็นที่จับตามองจากข้าราชการทุกฝ่าย ไม่เพียงแค่กรมการต่างประเทศที่เป็นผู้รับผิดชอบ แม้แต่เหล่าเจ้านายชั้นสูงเองก็ให้ความสำคัญไม่ต่างกัน เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศก็เป็นได้...ถึงกระนั้นงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ก็ถูกตระเตรียมไว้อย่างเพียบพร้อมสมเกียรติเรียกว่าแทบจะหาช่องโหว่มาติติงกันไม่ได้เลยทีเดียว


และหนึ่งในหัวเรือใหญ่ของงานในวันนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพระยาจิตรานุวัตร ข้าหลวงคนสำคัญแห่งกรมการต่างประเทศ ที่ตอนนี้กำลังออกอาการกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดพื้นเรือนจนคนรอบข้างพาลเข้าหน้ากันไม่ติด

"ใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะ งานเขาก็ตระเตรียมเพียบพร้อมไม่มีปัญหาอะไรมิใช่หรือเจ้าคะ"แม้แต่คุณหญิงผู้เป็นภรรยาที่พยายามเงียบอยู่นานยังอดรนทนไม่ได้ต่ออาการกระวนกระวายของสามีจนต้องเอ่ยปรามออกไป

"ฉันอยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันเรียบร้อยจริงดังที่เขาว่ากันหรือเปล่า"กระนั้นน้ำเสียงร้อนรนของเจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง

"เมื่อคืนอยู่โยงจนดึกดื่นเจ้าคุณก็ว่าเรียบร้อยดีมิใช่หรือเจ้าคะ...นี่ก็เพิ่งย่ำรุ่งดิฉันว่าเจ้าคุณไปพักผ่อนเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ คืนนี้ยังมีเรื่องให้เหนื่อยอีกมากนัก"คุณหญิงเองก็เป็นกังวลไม่ต่างกัน แต่กังวลเรื่องที่สามีไม่ยอมหลับยอมนอนตั้งแต่เมื่อคืนเอาแต่กระสับกระส่ายจนไม่เป็นอันทำอะไร...ส่วนเรื่องงานเลี้ยงรับรองปล่อยให้เจ้าคุณท่านกังวลเพียงคนเดียวคนอื่นก็พาลนั่งไม่ติดกันไปด้วยแล้ว

"จะให้ฉันหลับลงได้อย่างไรเล่าแม่สร้อย อีกไม่กี่ชั่วยามงานก็จะเริ่มแล้ว"ไม่กี่ชั่วยามที่เจ้าของเรือนว่าคือตั้งแต่เช้ายันค่ำ หากเพราะคนกำลังวิตกถึงได้คิดว่ามันเป็นเวลาเพียงไม่นาน

"เอ็งสองคนน่ะ เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วรึ!"สุดท้ายไม่รู้จะไปลงกับใครก็ต้องมาลงที่ผมกับไอ้แชมป์ทุกที...ทั้งที่เมื่อคืนตั้งใจว่าวันนี้จะตื่นสายเสียหน่อยเพราะงานเริ่มตอนหัวค่ำแต่กลับถูกเจ้าของเรือนให้คนไปปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางให้มานั่งดูแกเดินวนไปเวียนมาบนโถงเรือนจนผมกับไอ้แชมป์แทบจะหลับพิงกัน...พอถูกถามถึงได้สะดุ้งโหยงตอบกลับแทบไม่ทัน

"เรียบร้อยแล้วครับ!"พร้อมใจกันประสานเสียงดัง ส่วนคนถามก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ



อันที่จริงผมกับแชมป์เราแทบไม่ต้องเตรียมตัวอะไร เสื้อผ้าก็มีพร้อมจากที่วันนั้นออกไปซื้อกัน หน้าที่อะไรในงานหรือก็ไม่มี...สำหรับแชมป์อาจจะมีบ้างเพราะมันพูดฝรั่งเศสได้ ส่วนผมถ้าไม่คิดจะพูดไทยกับอังกฤษก็ลาขาดกันเลยครับ...จนถึงตอนนี้ก็ยังสงสัยว่าเจ้าคุณท่านจะให้ผมไปร่วมงานด้วยทำไมทั้งที่เป็นงานใหญ่โตขนาดนั้น...แต่ถามท่านกี่ทีก็ได้คำตอบเดิมคือ'ให้ไปช่วยกัน'...ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าคุณท่านจะให้ไปช่วยอะไร เดี๋ยวตอนค่ำไปถึงงานก็คงได้รู้เอง



ในที่สุดเจ้าคุณท่านก็ยอมแพ้กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องเสียทีเมื่อเห็นว่าการนั่งกระวนกระวายอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร...แว่วเสียงคุณหญิงสร้อยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกพลางโบกไม้โบกมือให้ผมกับไอ้แชมป์แยกย้ายกันไปได้ก่อนที่แกจะตามหลังเจ้าคุณท่านเข้าห้องไป

"เจ้าคุณจิตรายังตื่นเต้นขนาดนี้ กูล่ะทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ"ไอ้ตัวดีบ่นขึ้นบ้าง ส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย

"กลับไปนอนให้เต็มตื่นก่อนดีกว่า กูว่าคืนนี้ยังอีกยาวไกล"ยกมือตบบ่ามันสองสามทีก่อนจะยันตัวลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้อง...ฟ้าเพิ่งสางยังมีเวลาให้พวกผมนอนอีกนาน ถ้าไม่ถูกใครทะลึ่งมาปลุกอีกรอบซึ่งผมก็หวังว่าคงไม่มี
.

.

.

.

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีเอาตอนเที่ยง...พระอาทิตย์ดวงโตสาดแสงจ้าอยู่กลางหัวพอดิบพอดี...ไอ้แชมป์ยังนอนแผ่หราอยู่ข้างๆ เห็นมันหลับสบายเลยไม่ได้ปลุก...ผมลุกออกมาข้างนอก ตั้งใจจะไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแต่เหลือบไปเห็นลูกสาวคนสวยของเจ้าคุณท่านนั่งอยู่ที่โถงกลางเรือนเสียก่อน

"ตื่นแล้วหรือพ่อธีร์"เสียงหวานส่งมาทักทายเมื่อหันมาพบ...คุณพิกุลกำลังนั่งแกะสลักแตงโมลูกใหญ่ให้เป็นดอกไม้ลวดลายสวยงามโดยมีพี่บุญมีเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ...ผมทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นเรือนใกล้ๆพลางท้าวคางมองมือเล็กของเธอที่บรรจงตวัดปลายมีดไปมาอย่างสนอกสนใจ

"พ่อแชมป์ยังไม่ตื่นรึ"ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณท่านถามขึ้นอีกครั้งแต่สายตายังคงจดจ่อกับงานฝีมือตรงหน้า

"ยังครับ เดี๋ยวบ่ายว่าจะไปปลุก"หากแต่คำตอบของคนตัวเล็กมีเพียงรอยยิ้มหวานชวนมองเท่านั้น




ช่วงหลังๆมานี้ทุกครั้งที่ผมได้พบคุณพิกุลมักมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในใจ...มันคือความสงสัยในอนาคตของเธอ...หลังจากที่ผมหาข้อมูลเรื่องของเจ้าคุณจิตราเมื่อตอนที่กลับไปยังกรุงเทพมหานครคราวก่อน ผมมีโอกาสสืบค้นประวัติของลูกสาวคนเล็กของท่านมาบ้างเพราะถูกไอ้ตัวดีรบเร้า...สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ คือการที่เธอใช้บั้นปลายชีวิตอยู่ในวังและไม่มีประวัติการสมรส...มันแปลกที่คนอย่างเจ้าคุณจิตราและคุณหญิงสร้อยจะยอมให้ลูกสาวคนสวยใช้ชีวิตเพียงลำพัง ทั้งที่ในตอนนี้คุณหญิงแกดูพยายามเป็นพิเศษที่จะหาคนที่เพียบพร้อมเหมาะสมมาเป็นลูกเขย...ส่วนเรื่องของเธอกับแชมป์ ผมแทบไม่รู้อะไรเลยเพราะปกติพวกผมสองคนไม่ค่อยได้คุยกันเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่เท่าที่สังเกตได้ทุกอย่างยังคงดูราบรื่นดีในความคิดของผม...สายตาของคนสองคนที่คอยลอบมองกันและกันทุกครั้งที่พบหน้าทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาเมื่อได้เห็น...ความสุขเล็กๆน้อยๆภายใต้ขอบเขตที่มีกลับเติมเต็มความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย...เพียงแต่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานสักเท่าใด...คุณพิกุลเองยังมีหน้าที่ในวัง แล้วยังเรื่องคู่ครองที่พ่อแม่ตั้งความหวัง...อนาคตของคนทั้งสองยังน่าเป็นห่วง




...ไม่ต่างอะไรกับอนาคตของผม...




"แชมป์บอกว่าคุณพิกุลไม่ต้องรีบกลับเข้าวังแล้วเหรอครับ"คนตัวเล็กยกยิ้มบางเมื่อได้ยินคำถาม

"เจ้าคุณพ่อท่านอยากให้อยู่นานสักหน่อย ข้าหลวงนางในก็ยังอยู่รับใช้อีกหลายคน เราคิดว่าจะขอหม่อมท่านอยู่ต่ออีกสักเดือนหนึ่ง"ใบหน้าหวานระเรื่อเจือแววดีใจเมื่อพูดถึงและผมก็รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร...ติดก็ตรงที่ปัญหาสำคัญ

"แล้วคุณหญิง.......ไม่ว่าอะไรเหรอครับ"คำพูดที่ขาดหายไปชั่วครู่พร้อมกับมือเรียวเล็กละออกจากผลแตงโมตรงหน้า ก่อนที่เธอจะปรายสายตามองพี่บุญมีที่ยังนั่งเงียบหากแต่หูตาหลุกหลิกคอยแอบฟัง

"เอ็งลงไปบอกป้าน้อยให้เตรียมสำรับเย็นเฉพาะของข้ากับคุณแม่ ไม่ต้องทำมากนักเพราะเจ้าคุณพ่อท่านต้องไปร่วมงานเลี้ยง"คนรับคำสั่งมีท่าทีลังเล ใจหนึ่งเพราะความอยากรู้อยากเห็นตามประสาบ่าวไพร่ อีกใจก็ไม่อยากขัดคำสั่งผู้เป็นนาย แต่เพียงแค่เหลือบมองสายตาเย็นเยียบของลูกสาวเจ้าของเรือนแล้วก็ต้องจำใจข่มความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วรีบคลานเข่าลงจากเรือนทันที

"คุณแม่ท่านก็ไม่สบายใจนักหรอก พ่อธีร์ก็รู้..."น้ำเสียงหวานดังขึ้นอีกครั้งหลังบ่าวคนสนิทคล้อยหลังลงจากเรือน...แว่วเสียงถอนหายใจเบาจากคนตัวเล็กบ่งบอกให้รู้ว่าเธอเองก็กังวลใจไม่ต่างจากผู้เป็นแม่ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เธอคาดหวังกับสิ่งที่ผู้เป็นแม่ต้องการนั้นมันขัดแย้งกันเสียจนไม่รู้จะหาทางลงเอยได้อย่างไร

"แล้ว...คุณพิกุลจะทำยังไงต่อไปครับ"ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเพียงนิดพร้อมรอยยิ้มบางเบาที่เหือดหาย

"เราจะทำอะไรได้หรือพ่อ เราเป็นหญิง มีหน้าที่ทำตามความต้องการของพ่อแม่...ถึงแม้นั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ"กลับกลายเป็นผมเองที่ถอนหายใจยาวเพราะความหนักใจ...ภายใต้ใบหน้าหวานเจือรอยยิ้มสวยของคนตรงหน้ากลับซ่อนความทุกข์ใจเอาไว้หนักหนา...ทุกข์ เพราะไม่มีทางออก...ทุกข์ เพราะขนบธรรมเนียมประเพณีที่ขีดกั้น



...ทุกข์...เพราะความรัก...



"เราขออะไรพ่อธีร์อย่างหนึ่งได้หรือไม่"เสียงหวานเรียกสติของผมให้กลับมาจดจ่อที่คนตัวเล็กตรงหน้าอีกครั้ง

"อะไรเหรอครับ"ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยนั้น...ดวงตากลมโตหวานฉ่ำส่องประกายระยับราวกับเธอกำลังตัดสินใจบางอย่าง

"แม้เราจะไม่รู้ว่าพ่อสองคนมาจากที่ใด แต่ในวันหน้าหากเจ้าคุณพ่อแลคุณแม่ตัดสินใจยกเราให้ชายอื่น...เมื่อถึงเวลานั้น......"น้ำเสียงราบเรียบสะดุดเพียงครู่ยิ่งเร่งเร้าให้ผมกลั้นหายใจรอฟัง







"เราขอให้พ่อธีร์พาพ่อแชมป์กลับไป"


ดวงตาของผมเบิกกว้าง...จ้องลึกเข้าไปยังดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้แข็งขึงนิ่งเงียบราวกับกระจกเงาที่สะท้อนเข้าไปไม่ถึงตัวตนของเธอ

"แต่แชมป์บอกว่าจะไม่ไปไหนนะครับ"คำพูดย้ำเตือนสติคนฟังเรียกรอยยิ้มบางเบา ทว่ามันกลายเป็นรอยยิ้มหวานชวนมองแต่กลับเศร้าจนน่าใจหาย

"เราถึงขอร้องพ่อธีร์...เพราะเรารู้ดีว่าพ่อแชมป์ไม่มีทางยอมทำเช่นนั้น"คำตอบของผมคือความเงียบ...เพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะไปตัดสินใจแทนแชมป์ได้เลย และถึงผมตัดสินใจได้ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอย่างแชมป์จะยอมทำตามง่ายๆ...ความดื้อรั้นเอาแต่ใจของมันไม่ต่างจากนิสัยของผมเอง...โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้ที่ผมคิดว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว แม้ในใจลึกๆจะเป็นห่วงคนสองคนมากเพียงใดก็ตาม

"พ่อธีร์อาจคิดว่าเราใจร้ายใจดำที่ตัดสินใจเช่นนี้ แต่วันหนึ่งพ่อธีร์จะเข้าใจ..."

"ผมไม่เข้าใจหรอกครับ...แชมป์รักคุณพิกุลมากนะครับ ถ้ามันรู้ว่าคุณพิกุลผลักไสมันแบบนี้จะให้มันคิดยังไงครับ"ชั่วขณะหนึ่งที่ความไม่เข้าใจก่อเกิดจนเผลอส่งเสียงดังออกไปอย่างลืมตัว...คนตัวเล็กยังคงนิ่งเงียบ มีเพียงรอยยิ้มหมองเจือบนใบหน้ายิ่งทำให้ผมสงสัย

"แล้วพ่อธีร์จะให้พ่อแชมป์ทนเห็นเราออกเรือนไปกับชายอื่นรึ..."เสียงหวานเอ่ยตัดอารมณ์ที่พุ่งพล่านของผมให้เย็นลงจนนิ่งสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจทิ้งช่วงหนักเพราะคำพูดที่พรั่งพรูด้วยอารมณ์ของตัวเองเมื่อครู่

"ไม่ว่าใครก็อยากสมหวังในความรักด้วยกันทั้งนั้นล่ะพ่อ แต่หากไม่สมหวังแล้วยังต้องทนเห็นคนที่เรารักตกเป็นของคนอื่น...เป็นพ่อธีร์จะทนได้หรือ"ความเงียบก่อเกิดอีกครั้งพร้อมกับมือของตัวเองที่กำแน่นจนสั่น...คำพูดของเธอพาลให้นึกไปถึงเรื่องของตัวเอง...เพียงเพราะความสงสัยเรื่องหลวงพิสิษฐกับคุณเดือนยังทำให้ผมร้อนรนจนอยู่เฉยไม่ได้ แล้วถ้าหากวันหนึ่งต้องเห็นเขาออกเรือนไปกับคนอื่นจริงๆ...ผมจะทนได้อย่างที่คุณพิกุลถามอย่างนั้นหรือ

"เราเองหากต้องออกเรือนก็ด้วยความจำใจ แต่หากต้องทนเห็นคนที่รักเป็นทุกข์อยู่เรื่อยไปเพราะการกระทำของตนแล้ว...เราก็ทนไม่ได้เช่นกัน..."น้ำเสียงเรียบทว่าหนักแน่นช่วยให้ความกระจ่าง...หญิงสาวตรงหน้าแม้จะเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆแต่กลับเข้มแข็งไม่แพ้ใคร...การตัดสินใจที่ทำให้ผมเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเธอเองก็เจ็บปวดไม่น้อย...เพียงแต่เธอเลือกที่จะรับความเจ็บปวดนั้นเอาไว้เพียงลำพังไม่ยอมให้คนที่เธอรักได้เห็น...



...นั่นเป็นเหตุผลที่เธอขอร้องให้ผมพาแชมป์ไปจากที่นี่...เมื่อเวลานั้นมาถึง...


...เพียงแต่ผมเองก็ไม่รู้ว่า...เมื่อเวลานั้นมาถึง...ผมจะเข้มแข็งพอที่จะพามันออกไปจากตรงนี้หรือเปล่า...





แชมป์ตื่นขึ้นมาเอาตอนคล้อยบ่ายใกล้เย็นเมื่อถึงเวลาที่พวกผมต้องเตรียมตัว...ได้ยินเสียงเจ้าคุณจิตราบ่นยาวเหยียดไม่ขาดปากเพราะความกังวลใจจนไอ้ตัวดีต้องรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัว...ชุดสูทที่พวกผมคุ้นเคยถูกสวมใส่อย่างไม่ยากเย็นนัก...ผมยาวละต้นคอของผมถูกรวบไว้ครึ่งหนึ่งแล้วเก็บลูกผมระเกะระกะด้วยน้ำมันใส่ผมที่หยิบยืมมาจากเจ้าคุณท่านเผยให้เห็นกรอบหน้าที่มักถูกปกปิดเอาไว้...โบว์หูกระต่ายที่ดูจะเป็นปัญหาเมื่อตอนลองเสื้อกลับถูกผูกเข้าอย่างง่ายดายด้วยความช่วยเหลือของแชมป์...ส่วนของมันเป็นเนคไทลายขวางที่เจ้าตัวดูจะชื่นชอบเป็นพิเศษเพราะทำให้ชุดสูทสีดำทะมึนดูมีสีสันขึ้นมาได้บ้าง...ใบหน้าของแชมป์ปราศจากซึ่งความกังวลตามนิสัยไม่ค่อยคิดอะไรมากของมัน...ผิดกับผมที่ยังมีเรื่องให้กังวลใจไม่จบสิ้น...ทั้งเรื่องงานเลี้ยงใหญ่โตที่กำลังจะเกิดขึ้น และเรื่องที่เพิ่งได้ยินจากลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณท่าน



"มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะ"น้ำเสียงห้วนของแชมป์ดังขึ้นขณะที่พวกผมนั่งอยู่บนรถม้าคันใหญ่ที่เจ้าคุณจิตราเตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้...เจ้าคุณท่านอยู่บนรถม้าอีกคันที่นำหน้าพร้อมทั้งหลวงวิเศษณ์คนสนิทที่มารอตั้งแต่บ่าย

"เปล่า...ไม่ได้เป็นอะไร"ไอ้ตัวดีหรี่ตาเรียวเล็กมองอย่างคาดคั้น สีหน้าเจือความสงสัยเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เงียบตั้งแต่ตอนที่มันตื่นจนถึงตอนนี้

"เครียดเรื่องงานเลี้ยงมั้ง..."สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ต้องบ่ายเบี่ยงเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของอีกฝ่าย...ผมยกมือขึ้นตบบ่ามันสองสามทีขณะที่รถม้ายังคงมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง...แชมป์ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะมันเองก็รู้นิสัยของผมดี...เรื่องอะไรที่ผมไม่อยากเล่าต่อให้มันคาดคั้นให้ตายผมก็ไม่ยอมพูด...
.

.

.

.
แต่ความกังวลใจเมื่อได้พูดคุยกับคุณพิกุลเมื่อตอนเที่ยงราวกับถูกลมพัดปลิวหายไปทันทีเมื่อรถม้าคันใหญ่เคลื่อนเข้ามาหยุดหน้าตึกทำการของกรมการต่างประเทศ...เสียงพูดคุยจอแจจากด้านในดังออกมาถึงหน้ามุกเรียกความสนใจจากพวกผมสองคนได้เป็นอย่างดี...ทหารยามสองนายในชุดราชการเต็มยศยืนประจำการอยู่ด้านหน้าเพื่อดูแลความเรียบร้อยของผู้ร่วมงาน...ใบหน้าขึงขังบึ้งตึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อเจ้าคุณจิตราที่วันนี้อยู่ในชุดสูทแบบสากลเดินผ่าน ตามติดด้วยหลวงวิเศษณ์ที่สง่างามไม่แพ้กัน และผมกับไอ้แชมป์ที่ดูจะเข้ากับชุดแบบสากลนี้มากที่สุด


...พวกผมเดินตามโถงทางเดินที่ทอดยาวไปยังประตูไม้ประดับกระจกลวดลายสวยงามเบื้องหน้าที่เปิดกว้างออกเผยให้เห็นบรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยง...ภาพตรงหน้าทำเอาลมหายใจของผมขาดช่วงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระคนตระหนก...ดวงไฟสีส้มส่องสว่างภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวางให้ความรู้สึกอบอุ่น...โต๊ะไม้ตัวยาวทอดตัวเต็มความกว้างของพื้นที่ห้องจัดเลี้ยงเรียงรายด้วยอาหารนานาชนิดที่ถูกปรุงแต่งทั้งรสชาติและหน้าตาอย่างสุดฝีมือประดับประดาด้วยงานแกะสลักผักผลไม้หน้าตาสวยงาม...ขวดวิสกี้ชั้นเลิศถูกวางเรียงไว้อีกมุมหนึ่งรายล้อมด้วยแก้วรูปทรงแตกต่างกันตามแต่การใช้งาน...บริกรหนุ่มนับสิบในชุดราชปะแตนแบบไทยแท้ยืนเรียงรายประจำจุดเพื่อคอยอำนวยความสะดวกแก่แขกที่มาร่วมงานเรียกคำชมจากผู้มาเยือนไม่ขาดปากด้วยประทับใจกับรูปแบบงานที่แสดงถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวสยามอย่างชัดเจน...เสียงเพลงบรรเลงเนิบนาบจากเครื่องดนตรีไทยดังคลอกับเสียงผู้คนยิ่งสร้างสีสันให้กับงานเลี้ยงได้เป็นอย่างดี

"อ้ายแช่ม...เอ็งมากับข้า ข้าจะพาไปพบท่านทูต"ไอ้ตัวดีสะดุ้งสุดตัวเมื่อเจ้าคุณจิตราเรียกหาเพราะมัวแต่ชื่นชมความงดงามของภาพตรงหน้าอย่างลืมตัว...มันเพียงเดินตามหลังเจ้าคุณท่านและหลวงวิเศษณ์ไปอีกฝั่งที่มีชายชาวยุโรปสี่ห้าคนยืนจับกลุ่มคุยกับชายวัยกลางคนตัวสูงใหญ่ที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา...ท่าทีนอบน้อมของคนรอบข้างทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเขาคือท่านทูตฝรั่งเศส บุคคลสำคัญของงานในวันนี้...เจ้าคุณไพศาลเองก็อยู่ร่วมวงสนทนานั้นด้วย...ท่านดูแปลกตาไปมากคงเพราะชุดสูทที่สวมใส่ ใบหน้าของท่านยังคงเปื้อนยิ้มหากแต่แฝงไปด้วยความนอบน้อมเมื่อพูดคุยกับแขกเหรื่อ


ผมสอดส่ายสายตามองหาคนสนิทของเจ้าคุณไพศาลด้วยความเคยชินจนไปสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งที่คุ้นตากำลังยืนสนทนากับชายหนุ่มชาวยุโรปสองสามคนอย่างออกรส...หลวงพิสิษฐอยู่ในชุดสูทสีดำสนิท ด้านในเป็นเสื้อเชิ๊ตคอตั้งสีขาวคาดทับด้วยโบว์เส้นเล็กสีดำไขว้กันตรงปกเสื้อแล้วกลัดด้วยกระดุมเม็ดบน...เรือนผมดำสนิทของเจ้าตัวถูกเสยเรียบไปด้านหลังอย่างเรียบร้อยเผยให้เห็นกรอบหน้าคมชัด...ดวงตาคมส่องประกายระยับยามพูดคุยเช่นเดียวกับสีหน้าอมยิ้มนิดๆชวนมอง...ในมือของเขาถือแก้วทรงสูงที่บรรจุของเหลวสีทองระเรื่อไว้เกือบเต็ม

ร่างสูงโปร่งที่คุ้นตาแต่กลับดู...'เท่ห์ชิบหาย'...ในความคิดของผม คงเพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่บวกกับบุคคลิกโดดเด่นทำเอาผมได้แต่ยืนจดจ้องจนอีกฝ่ายรู้สึกตัวจึงปรายสายตากลับมามอง...ริมฝีปากหยักยกยิ้มกว้างเมื่อสบตาก่อนจะหันไปขอตัวจากคู่สนทนาแล้วเดินตรงเข้ามาหา

"เพิ่งมาถึงหรือพ่อ...ทำไมมายืนอยู่คนเดียวเล่า"ร่างสูงโปร่งก้าวมายืนประชิดตัวจนผมเผลอผงะถอยเล็กน้อยเพราะความตกใจ...มัวแต่ยืนมองอีกฝ่ายจนเกือบไม่ได้ฟังคำถาม

"เอ่อ...เจ้าคุณจิตราพาไอ้แชมป์ไปพบท่านทูตน่ะครับ"เมื่อตั้งสติได้จึงตอบกลับไปแล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นสายตาของคนตรงหน้าที่จดจ้องไม่วางตา

"มีอะไรครับ"หากแต่ดวงตาคู่สวยยังคงมองปราดตั้งแต่หัวจรดเท้า

"วันนี้พ่อธีร์หล่อเสียจริง"คำว่า'หล่อ'ที่ผมเคยสอนเขาเมื่อตอนงานบุญวันเกิดคุณพิกุลถูกนำมาใช้อีกครั้ง แต่คราวนี้กลับทำให้หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อมันออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูปที่ยกยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี

"หล่ะ...หล่ออะไรกันล่ะครับ"นึกอยากเขกกระโหลกตัวเองสักทีสองที แค่เขาชมว่าหล่อก็เขินจนไปไม่เป็นแล้วไอ้ธีร์เอ๊ย! นี่ผมกลายเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้มไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?

"มาทางนี้เถิด พี่จะแนะนำคนของคณะทูตให้รู้จัก"คนตัวสูงหัวเราะเบากับท่าทีประหลาดของผมก่อนจะยื่นมือมาฉวยข้อมือของผมให้เดินตามไปอีกฝั่งที่มีชายหนุ่มกลุ่มเดิมยืนล้อมวงกันอยู่...ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนยิ้มพร้อมยกมือขึ้นทักทายเมื่อหลวงพิสิษฐแนะนำผมให้รู้จักในฐานะผู้ช่วยคนสนิท


"หลุยส์กับปิแอร์เป็นผู้ติดตามมากับคณะทูตเพื่อศึกษางาน อายุน่าจะไล่เลี่ยกับพ่อธีร์กระมัง"ผมผงกหัวรับเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้...หลุยส์เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่...ผมยาวประบ่าสีน้ำตาลอ่อนถูกรวบไว้อย่างหลวมๆเป็นหางม้าด้านหลัง เขามีดวงตาสีเดียวกับเรือนผม สีหน้าเจือรอยยิ้มบางตลอดเวลา...ส่วนปิแอร์นั้นตัวเล็กกว่าผมนิดหน่อย ผมซอยสั้นสีเข้ม ดวงตาคมโตทว่าเว้าลึก จมูกโด่งตามแบบชาวยุโรปแต่ปลายเชิ่ดรั้นบ่งบอกว่าเป็นเด็กดื้อพอตัว ดูจากภายนอกแล้วหลุยส์น่าจะอายุมากกว่าเพราะท่าทางสุขุมเป็นผู้ใหญ่ ผิดกับคนตัวเล็กที่ติดจะหัวเสียเล็กน้อยเมื่อได้พูดคุยกัน


หลังจากฝากฝังผมกับหนุ่มฝรั่งเศสทั้งสองคนเรียบร้อย หลวงพิสิษฐก็ขอปลีกตัวไปพบเจ้าคุณไพศาลที่เรียกหา ปล่อยให้ผมยืนอยู่กับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้พบกัน

"ผมเพิ่งมาสยามเป็นครั้งแรก"ภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆของหลุยส์เรียกให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยในครั้งแรกที่ได้ยิน

"แล้วคุณชอบมั้ยครับ"คนถูกถามยิ้มร่าก่อนจะพยักหน้ารับ ส่วนคนตัวเล็กข้างๆเพียงผงกหัวเล็กน้อยหากแต่สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์

"ผมชอบมากแต่ปิแอร์บ่นว่าร้อน อากาศที่นี่ไม่เหมือนฝรั่งเศส ที่นั่นอากาศเย็นสบายตลอดปี"อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ชายหนุ่มตัวเล็กออกอาการหงุดหงิด แม้จะเข้าสู่หน้าฝนได้ระยะหนึ่งแล้วแต่ในบางวันอากาศก็ยังร้อนอบอ้าว สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศเขตร้อนแบบนี้คงหัวเสียเป็นธรรมดา

"ได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างรึยังครับ"

"เมื่อสามวันก่อนพวกผมไปวัดมา มันสุดยอดมาก ผมไม่เคยเห็นอะไรที่สวยงามขนาดนี้มาก่อน"ท่าทีตื่นเต้นของหลุยส์ทำเอาผมเผลอยิ้มกว้างออกมา...ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน วัดไทยก็ยังคงเป็นที่ดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

"ผมชอบภาพที่เขาวาดบนฝาผนัง เห็นเขาว่ามันบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของสยาม...น่าเสียดายที่ผมดูไม่ออกเพราะมันไม่เหมือนภาพวาดของพวกเราแต่ผมคิดว่ามันงดงามมาก"กลายเป็นคนตัวเล็กอย่างปิแอร์เปิดปากเล่าเพราะดูท่าว่าหัวข้อสนทนานี้จะดึงดูดใจเขาอยู่บ้าง

"บรรพบุรุษของเราบอกเล่าเรื่องราวผ่านภาพและตัวอักษรเพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เราผ่านอะไรมาบ้างน่ะ"

"ผมอิจฉาคุณนะ ประเทศคุณมีทั้งทรัพยากร ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม หรือแม้แต่ผู้คนที่นี่ก็ใจดี...ทุกอย่างมันดู...สวยงามไปหมด"ท่าทีชื่นชมของหลุยส์กับศีรษะที่ผงกขึ้นลงอย่างเห็นด้วยของปิแอร์บ่งบอกให้รู้ว่าเขาสองคนประทับใจเมืองสยามมากเพียงใด นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ชาติตะวันตกหลายชาติอยากได้สยามเป็นเมืองขึ้น เพราะสิ่งที่เรามีเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ

"ไม่เห็นต้องอิจฉาเลยครับ...สยามเป็นเพียงประเทศเล็กๆไม่ได้มีกำลังทัดเทียมมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศส......"คนฟังยกยิ้มอย่างพึงใจเมื่อได้รับคำเยินยอ


"แต่สิ่งหนึ่งที่เรามี...คือความสำนึกรักชาติบ้านเมืองและพร้อมจะปกป้องรักษาประเทศนี้เอาไว้ให้ลูกหลานเหมือนอย่างที่บรรพบุรุษของเราเคยทำมา"หากแต่ประโยคถัดมาทำเอาสองหนุ่มหุบยิ้มแทบจะทันที...ใบหน้าเปื้อนยิ้มของผมแฝงด้วยน้ำเสียงจริงจัง...ประโยคบอกเล่าธรรมดาที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าถึงแม้เราจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมตกเป็นอาณานิคมของใครโดยง่าย


ชั่วขณะหนึ่งที่ความเงียบปกคลุมวงสนทนา...ผมรับรู้ได้ถึงความอึดอัดที่ลอยวนเวียนอยู่รอบตัวผมและชายหนุ่มอีกสองคนตรงหน้า...หากแต่เสียงหัวเราะแก้เก้อของหลุยส์ที่ดังขึ้นช่วยประคับประคองบทสนทนาที่ติดขัดให้ไหลลื่นต่อไปโดยง่าย...เขาชวนคุยเรื่องสถานที่เที่ยวต่างๆเพื่อเบี่ยงประเด็น ซึ่งผมเองก็ให้คำตอบได้เท่าที่เห็นมาเพราะสยามในเวลานี้กับประเทศไทยในยุคของผมมีอะไรหลายอย่างที่แตกต่าง ถึงอย่างนั้นสองหนุ่มก็ดูพออกพอใจไม่น้อยแถมยังขอให้ผมเป็นไกด์พาเที่ยวเมื่อมีโอกาส


บรรยากาศภายในงานยังคงครึกครื้นไปด้วยผู้คนและเสียงเพลง...ผมเห็นไอ้แชมป์เดินตามหลังเจ้าคุณจิตราไปทางโน้นทีทางนี้ทีคอยทำหน้าที่เป็นล่ามให้เจ้าคุณท่านแล้วก็อดเหนื่อยแทนไม่ได้...ด้านหลวงวิเศษณ์เองก็คอยตามประกบเจ้าคุณไพศาลไม่ห่าง...เหลือบไปเห็นคนตัวสูงยืนคุยกับผู้ใหญ่ในกรมการต่างประเทศด้วยท่าทีนอบน้อม ใบหน้าคมเจือรอยยิ้มอ่อนโยน


ผมขอตัวจากหลุยส์และปิแอร์เพื่อออกมายืนรับลมริมระเบียง...ลมเย็นพัดเอื่อยให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าบรรยากาศคึกคักภายในงาน...พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นทอแสงนวลส่องสว่างให้เห็นภาพตัวเมืองพระนครโดยรอบ ยิ่งได้วิสกี้ชั้นเลิศในแก้วที่ถืออยู่ยิ่งช่วยขับอารมณ์ได้เป็นอย่างดี



หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๒๙...๓๑/๑๐/๕๗ UP P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 07-11-2014 23:50:27

ขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับภาพบรรยากาศตรงหน้า กลับรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวเมื่อกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคน...ผมเหลียวกลับเข้าไปมองในห้องจัดงานที่ยังคงพลุกพล่านด้วยผู้คน หากแต่สายตาแข็งกร้าวดุดันที่จดจ้องไม่วางตากลับโดดเด่น...ใบหน้าขึงขังของหลวงเจษฎารังสรรที่ผมจดจำได้ดีปรากฎขึ้นที่มุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง แม้ถูกรายล้อมด้วยข้าหลวงอีกสามสี่คนแต่สายตาคมกริบยังปราดมองมาทางนี้นิ่ง...หากเพียงเสี้ยววินาทีที่ใบหน้าบูดบึ้งแปรเปลี่ยน ริมฝีปากหนายกยิ้มทันทีที่สบตา...รอยยิ้มที่แฝงความหมายบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ


...รอยยิ้มที่ผมรู้ว่า...มันไม่ใช่เรื่องดี


ผมรีบหันหลังกลับ...ทอดสายตาออกไปด้านนอกพลางสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติ...มือที่จับราวระเบียงแน่นจนสั่นน้อยๆเพราะความตระหนก...ผมเกลียดสายตานั้น...เกลียดใบหน้า...เกลียดท่าทีและการแสดงออก...และในขณะเดียวกัน


...ผมก็กลัว...


มือหนาทิ้งน้ำหนักลงบนไหล่ข้างซ้ายจนผมสะดุ้งโหยงยกมือขึ้นปัดมันออกเพราะปฏิกริยาตอบโต้จากร่างกาย สายตาตวัดมองจ้องจนคนข้างหลังผงะถอยเล็กน้อย

"คุณหลวง!"คนถูกเรียกขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ

"เป็นอะไรหรือพ่อ ท่าทางไม่สู้ดีนัก"เมื่อเห็นว่าไม่ใช่คนที่คิดไว้ถึงได้พรูลมหายใจยาวอย่างโล่งอก หันกลับไปมองยังมุมเดิมในห้องจัดเลี้ยง...คนตัวสูงใหญ่ยังคงยืนอยู่เพียงแต่สายตาเปลี่ยนไปจดจ่อกับคู่สนทนาตรงหน้าแทน

"เปล่าครับ"ทำได้เพียงส่ายหน้าตอบเมื่อถูกคาดคั้นด้วยสายตาคมกริบ หลวงพิสิษฐยังคงมองด้วยความสงสัยแต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบใดเขาก็เพียงขยับเข้ามายืนข้างๆพลางเอนหลังพิงขอบระเบียง

"เบื่อแล้วรึถึงได้ออกมายืนตรงนี้คนเดียว"

"ออกมาสูดอากาศแป๊บนึงน่ะครับ"คนตัวสูงเพียงปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะยกแก้ววิสกี้ในมือขึ้นดื่ม ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเขา ดวงตาคมทอดยาวไปยังจุดๆเดียวกันกับที่ผมเพิ่งละสายตาหากแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย

"เจ้าคุณจิตราท่านว่าหากพ่อเบื่ออยากกลับเรือนก่อนท่านก็ไม่ว่ากระไร"

"แล้วเจ้าคุณท่านล่ะครับ"

"เห็นทีต้องอยู่จนกว่างานจะเลิก พ่อแช่มเองก็ต้องอยู่ช่วยท่าน"ใจหนึ่งผมก็อยากกลับเรือนเสียทีเพราะตัวเองก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรต้องทำ บวกกับนิสัยไม่ชอบเข้าสังคมมากนักทำให้งานเลี้ยงน่าตื่นตาตื่นใจในวันนี้สามารถดึงดูดความสนใจของผมได้แต่เพียงช่วงแรกเท่านั้น

"หากพ่อธีร์อยากกลับพี่จะไปส่ง"

"อ้าว แล้วคุณหลวงไม่ต้องรอกลับพร้อมเจ้าคุณไพศาลเหรอ"

"ประเดี๋ยวท่านให้คนของทางกรมไปส่งที่เรือน หลวงวิเศษณ์เองก็ยังอยู่ พี่กลับไปสักคนคงไม่เป็นปัญหา"

ผมเพียงพยักหน้ารับก่อนตอบกลับ "ถ้างั้นกลับเลยก็ได้ครับ"ก่อนจะเดินตามคนตัวสูงเข้าไปในงานอีกครั้งเพื่อร่ำลาผู้ใหญ่บางท่านที่คุ้นหน้ากันเป็นอย่างดีรวมไปถึงเจ้าคุณจิตราและเจ้าคุณไพศาล...ได้ยินไอ้แชมป์บ่นอุบหาว่าผมทิ้งมันหนีกลับก่อนทั้งที่มันเองก็อยากกลับเต็มทนแต่ก็ต้องอยู่ช่วยงานเจ้าคุณท่าน...หลุยส์กับปิแอร์เองก็บ่นเสียดายเพราะเพิ่งได้พบคนที่คุยกันถูกคอ ถึงอย่างนั้นก็ยังกำชับหนักหนาเรื่องที่ผมสัญญาว่าจะพาทั้งสองคนไปเที่ยวรอบๆพระนคร


หลังจากร่ำลาคนรู้จักเสร็จสิ้นผมก็เดินตามหลวงพิสิษฐมุุ่งตรงไปยังทางออก...หากแต่ยังไม่ทันก้าวถึงประตูหน้างาน ร่างสูงทะมึนของคนที่ไม่อยากพบมากที่สุดกลับตรงเข้ามายืนขวางทาง ดวงตาดำขลับแข็งขึงขัดแย้งกับริมฝีปากหนาที่ยกยิ้มให้

"จะกลับกันแล้วรึ"น้ำเสียงดุดันทว่าใบหน้ายังคงเจือรอยยิ้มประหลาด...ผมไม่ได้ตอบอะไรเพียงเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางตามหลังด้วยคนตัวสูงที่ปรายตามองอีกฝ่ายชั่วครู่ แว่วเสียงหัวเราะต่ำดังตามหลังทำเอาผมชะงักฝีเท้ากึก หากแต่มือหนาที่แตะข้อแขนเพื่อเรียกสติพาให้ผมรีบเดินออกจากงานทันที



"วันนี้พระจันทร์งามนัก ออกไปเดินเล่นก่อนกลับสักครู่ดีหรือไม่พ่อ"คงเพราะเห็นสีหน้าไม่สบายใจนักเขาถึงได้เอ่ยปากชวน ผมเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ดวงโตทอแสงนวลสวยก่อนจะพยักหน้ารับ
.

.

.

.
ถนนเส้นใหญ่หน้ากรมการต่างประเทศในเวลานี้กลับเงียบเหงา นานๆถึงจะเห็นรถม้าวิ่งผ่านหน้าไปสักคันหรือสองคัน แต่ยังมีพระจันทร์เต็มดวงช่วยส่องสว่างทางเดินทอดยาวออกไปเบื้องหน้าที่ตอนนี้มีเพียงเงาของผมกับคนตัวสูงพาดผ่าน...ผมก้มมองเงาทั้งสองที่ความสูงเหลื่อมล้ำกันไม่มากนัก ระยะห่างเพียงคืบถูกกั้นกลางด้วยแสงจันทร์สว่างจ้าเผยให้เห็นเงาของคนตัวสูงกว่ายกมือขึ้นทาบทับกับเงาของผมพร้อมๆกับความรู้สึกอุ่นซ่านที่มือ...ใบหน้าคมด้านข้างเจือรอยยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดี มือหนาที่เกาะกุมกระชับแน่นให้ผมขยับเข้าใกล้จนไหล่ทั้งสองแตะสัมผัส

"อยากทำแบบนี้มานานไม่มีโอกาสเสียที"ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มน้อยๆพร้อมมือที่กระชับแน่น

"เดินจับมือเนี่ยนะครับ"คนตัวสูงพยักหน้ารับทำเอาผมขมวดคิ้วมุ่น...ก็แค่เดินจับมือ...ทีอะไรต่อมิอะไร'มากกว่านั้น'ก็ทำมาแล้ว...ว่าแต่...แบบนี้เขาเรียกข้ามขั้นไปไกลลิบเลยสินะครับ!

"หน้าแดงเชียว เป็นอะไรรึ"เผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนหน้าร้อนวูบขึ้นมา...เพ้อเจ้อใหญ่แล้วไอ้ธีร์เอ๊ย!

"ม่ะ...ไม่มีอะไรครับ...แต่ว่าถ้าใครมาเห็นเข้าจะแย่เอานะครับ"รีบส่ายหน้ารัวสะบัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมหากแต่อีกฝ่ายยังคงขืนเอาไว้ แว่วเสียงหัวเราะเบาจากคนตัวสูงคงเพราะท่าทางแปลกๆของผม

"เห็นก็ดีน่ะซี เขาจะได้รู้ว่าพี่รักของพี่มากจนไม่อยากปล่อยให้ห่างตัว"

"จะบ้าเหรอคุณหลวง!"หันไปแยกเขี้ยวใส่ให้สักที เกิดมีใครมาเห็นเข้าจริงๆมีหวังได้ถูกโบยกันบ้างล่ะ

"กลัวอะไรเล่าพ่อ ดึกดื่นป่านนี้ไม่มีใครเขาออกมาเดินกันหรอก"ไอ้ท่าทีไร้กังวลเกินเหตุนี่บางทีก็น่าหมั่นไส้...ถึงตอนนี้จะดึกมากแล้วและไม่มีใครอย่างที่เขาว่าแต่ผมก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ติดที่อีกคนยังดื้อดึงกุมมือผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายก็เลยต้องยอมเดินไปทั้งแบบนี้นั่นล่ะ



"จริงซี...อีกไม่นานงานภูเขาทองก็จะเริ่มแล้ว อยากไปหรือไม่พ่อ"

"เมื่อไหร่ครับ"พูดถึงเรื่องเที่ยวล่ะหูตาแพรวพราวขึ้นมาเลยครับ...จำได้ว่าเขาเคยพูดถึงงานภูเขาทองให้ฟังว่าจัดกันใหญ่โตถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนจนผมอยากไปให้เห็นกับตา

"อีกสองอาทิตย์ เอาไว้ใกล้ถึงวันแล้วจะบอกอีกทีจะได้ไปขออนุญาตเจ้าคุณท่าน"

"พาแชมป์ไปด้วยนะครับ มันคงชอบอะไรแบบนี้"นึกไปถึงไอ้ตัวดีที่คงชอบอกชอบใจถ้าได้เห็นศิลปะสมัยโบราณกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

"ก็ให้พ่อแช่มพาแม่พิกุลไปซี รายนั้นคงดีใจที่จะได้ไปเที่ยว"ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางอย่างรู้ทันทำเอาผมอ้าปากค้าง

"คุณหลวงรู้ได้ไง..."

"โถพ่อ...พี่ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ได้เห็นสายตาของพ่อแช่มแลแม่พิกุลพี่ก็ดูออก"อย่างไอ้แชมป์เป็นใครก็ดูออก แต่สำหรับคุณพิกุลที่แม้แต่ผมที่อยู่เรือนเดียวกันยังใช้เวลาตั้งนานสองนานกว่าจะรู้ว่าคุณพิกุลรู้สึกอย่างไร หรือคงเป็นเพราะเขากับคุณพิกุลโตมาด้วยกันถึงได้รู้นิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี

"แต่คุณหญิงคงไม่ยอมให้คุณพิกุลไปหรอกครับ"น้ำเสียงหม่นของผมเรียกให้คนข้างๆปรายตามองเพียงครู่ ดูท่าเขาเองก็เข้าใจปัญหานี้เช่นกัน

"พี่จะไปขออนุญาตคุณหญิงท่านให้ ไปด้วยกันสี่คนคุณหญิงท่านคงไม่ว่ากระไร"

"จริงเหรอครับ"คนตัวสูงเพียงพยักหน้ารับอย่างอารมณ์ดี

"คุณหลวงนี่...น่ารักจริงๆเลยนะ"เพราะคำพูดเมื่อครู่ถึงได้ยิ้มกว้างออกมา ใจอยากให้ถึงวันงานภูเขาทองเสียวันนี้พรุ่งนี้เพราะอยากออกไปเที่ยวเต็มที

"น่ารัก...แล้วรักหรือไม่เล่า"แต่พอเจอมุขหยอดกลับมาแบบนี้เล่นเอาแทบสะดุด

"ก็......"เหลือบมองสายตาคาดคั้นรอฟังคำตอบจากอีกฝ่ายแต่ยังไม่ตอบอะไรจนได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดเล็กๆของเขาถึงได้หลุดหัวเราะออกมา

"รักสิครับ...ไม่รักพี่แก้วแล้วธีร์จะรักใคร"แสร้งเบียดไหล่เข้ากับไหล่กว้างของอีกฝ่ายแต่กลับถูกมือหนารวบเอวรั้งเข้าใกล้...ใบหน้าคมโน้มลงขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่แล้วผละออกทันที แว่วเสียงหัวเราะเบาจากคนตัวสูงขณะที่ผมรีบยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองอย่างลืมตัว

"นี่มันกลางถนนนะครับ!"

"ก็พ่อธีร์น่ารักนี่ พี่อดใจไม่ไหว"คนฉวยโอกาสยังคงลอยหน้าลอยตายกยิ้มกวนจนน่าหมั่นไส้ นึกอยากฟาดพลั่กเข้าให้สักที แต่ยั้งเอาไว้ทันเพราะเกิดเจ้าตัวเปลี่ยนใจไม่ยอมพาไปเที่ยวขึ้นมา ผมก็แย่สิครับ!




ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ ร่างสูงที่เดินเคียงข้างกลับชะงักฝีเท้ากึก...รอยยิ้มปรายบนใบหน้าเลือนหาย ดวงตาคมภายใต้คิ้วดกหนาที่ขมวดมุ่นจดจ้องไปเบื้องหน้าเรียกให้ผมหันไปมองตาม...บนทางเดินห่างออกไปไม่ไกลนักปรากฎร่างทะมึนสองร่างยืนพิงหลบเข้ากับเงาของต้นไม้ใหญ่ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง...ผมมองเห็นหน้าของทั้งสองคนไม่ชัดนักเพราะถูกคาดทับด้วยผ้าดำเผยให้เห็นเพียงประกายตาดุดันส่องสะท้อนกับแสงจันทร์เบื้องบน

"พวกเอ็งเป็นใคร!"ท่าทีไม่น่าไว้ใจเรียกให้คนตัวสูงส่งเสียงดัง ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย แว่วเพียงเสียงหัวเราะต่ำชวนขนลุกจนผมเบียดตัวเข้าหาคนข้างๆอย่างลืมตัว มือหนายังคงเกาะกุมมือของผมแน่น

"เรากลับกันเถิดพ่อ"เสียงทุ้มนุ่มเบาราวเสียงกระซิบเรียกให้ผมหันหลังตั้งท่าจะเดินกลับไปทางเดิมแต่ต้องชะงักนิ่งเมื่อประจันหน้าเข้ากับใครอีกคนที่ยืนขวางเอาไว้...ท่าทางการแต่งกายเหมือนกับสองคนด้านหน้าไม่มีผิด

"พวกเอ็งต้องการอะไร เงินทองรึ!"เพราะท่าทีของทั้งสามทำให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากพวกโจรที่คอยดักปล้นผู้คนในยามวิกาลเช่นนี้...หลวงพิสิษฐเหลียวซ้ายทีขวาทีอย่างระแวดระวังขณะที่สองคนด้านหลังค่อยขยับเข้าใกล้


เพียงชั่ววินาทีที่ร่างทะมึนพุ่งเข้ามาหา พร้อมกับตัวผมที่ถูกเหวี่ยงไปอีกทางจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้นโดยมีร่างสูงโพกผ้าดำพุ่งปราดเข้ามาติดๆ

"เฮ้ยยยย!"เพราะความตกใจถึงได้ยกขาขึ้นถีบสุดแรงจนอีกฝ่ายทรุดลงกับพื้นตัวงอร้องโอดโอย แต่ก็เพียงชั่วครู่ก่อนที่มันจะยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตาแข็งขึงจดจ้องอาฆาต ขณะที่ผมทำได้เพียงถดตัวหนีพลางปัดมือสะเปะสะปะกับพื้นทางเดินจนสะดุดเข้ากับกิ่งไม้ขนาดพอเหมาะ...ผมรีบฉวยมันขึ้นชี้ตรงไปข้างหน้าหวังข่มขวัญคู่ต่อสู้ แต่กลับได้ยินเพียงเสียงหัวเราะดังไร้ซึ่งความเกรงกลัว

"หัวเราะเชี้ยไรของมึงวะ!"ความกลัวระคนตระหนกจนมือที่กำท่อนไม้เริ่มสั่น...ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ๒๐ยังไม่เคยเจอโจรแบบจังๆสักครั้งแต่ดันมาเจอครั้งแรกเอาตอนอยู่พระนครนี่...มันชักจะบ้าบอกันไปใหญ่แล้ว!


โดยไม่รอคำตอบผมจัดการฟาดไม้ในมือเข้าที่ข้อพับของคนที่ยืนอยู่จนมันล้มลงยกมือกุมหัวเข่าตัวเองแน่น แล้วตามเข้าไปซ้ำที่แขนและลำตัวไม่ยั้ง...มือที่ยกขึ้นปัดป้องและเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังอยู่ไม่นานก่อนที่มันจะแน่นิ่งไปตรงหน้า ผมจำไม่ได้ว่าลงแรงไปกี่ครั้งเพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังยืนหอบหายใจเหนื่อย หากแต่เสียงโหวกเหวกด้านหลังเรียกความสนใจให้ผมรีบหันกลับไปมอง


หลวงพิสิษฐยังคงถูกล้อมหน้าล้อมหลังโดยพวกมันสองคนที่เหลืออยู่...ชุดสูทที่สวมใส่ยับเยินหลุดลุ่ยเช่นเดียวกับใบหน้าด้านข้างที่มีรอยฟกช้ำขึ้นเป็นจ้ำบ่งบอกสภาพของเขาได้เป็นอย่างดี...ร่างสูงโพกผ้าดำปราดเข้าหาพลางเงื้อหมัดแน่นพุ่งไปยังเป้าหมายหากแต่คนตัวสูงเบี่ยงตัวหลบได้ทันแล้วสวนกลับด้วยหน้าแข้งหนักๆจนคู่ต่อสู้ทรุดตัวงอ...เมื่อเห็นพวกตัวเองพลาดท่าอีกคนข้างหลังก็รีบเข้ามาล็อคแขนของเขาเอาไว้แน่น...ผมเลยฉวยโอกาสตอนที่มือของมันไม่ว่างพุ่งเข้าไปหาแล้วฟาดไม้เข้าที่หลังดังพลั่ก เห็นมันสะดุ้งจนตัวโยนปล่อยมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ก่อนที่ผมจะเข้าไปกระหน่ำซ้ำเหมือนไอ้คนก่อนหน้า มันร้องจ้าเพราะความเจ็บปวดพลางบิดเร่าๆอยู่บนพื้น



...ร่วงไปสอง...เหลืออีกหนึ่ง...



ร่างสูงทะมึนหยัดยืนเต็มความสูงหลังถูกเตะเข้าที่ชายโครง ดวงตาขึงขังฉายแววโกรธจัด มือใหญ่ล้วงเข้าไปในผ้าคาดเอวเผยให้เห็นโลหะสีเงินคมกริบส่องประกายวาววับกับแสงจันทร์เบื้องบน...มีดสั้นขนาดพกพาถูกกำแน่นในมือที่สั่นด้วยความโกรธ ก่อนจะพุ่งปราดเข้ามาหาคนตัวสูงที่ยืนขวางอยู่...หลวงพิสิษฐเบี่ยงตัวหลบอีกครั้งจนอีกฝ่ายเสียหลักเซไปด้านหลัง มันพยายามประคองตัวยืดตรงพลางตวัดปลายมีดไปมาอย่างน่าหวาดเสียวก่อนจะพุ่งปลายมีดเข้าหาเป้าหมายอีกครั้งซึ่งคราวนี้เฉียดไปเพียงคืบ...คนตัวสูงฉวยโอกาสคว้าข้อมือบิดกลับจนมันร้องโอดโอยปล่อยมีดในมือหล่นลงพื้นหากแต่ยังกำหมัดอีกข้างอัดเข้าที่หน้าท้องของเขาอย่างจังจนเจ้าตัวทรุดลงกุมหน้าท้องตัวเองแน่นเป็นจังหวะเดียวกับผมที่ฉวยโอกาสตอนมันยืนหันหลังให้ฟาดไม้ในมือเข้าที่หัวมันสุดแรง...ร่างสูงทะมึนยืนโงนเงนเพียงครู่ก่อนจะล้มครืนร่างกระแทกพื้นเสียงดัง


"พี่แก้ว!"ผมรีบโยนไม้ในมือทิ้งแล้วปรี่เข้าไปหาคนที่นั่งนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ...เลือดสีแดงสดไหลซึมที่หางคิ้วแถมด้วยรอยฟกช้ำตามใบหน้าและลำตัว

"พ่อธีร์! เป็นอะไรหรือเปล่า"ทั้งที่ตัวเองถูกรุมจนแทบลุกไม่ขึ้นแต่ก็ยังยื่นมือออกมาจับหน้าจับตัวของผมเพื่อสำรวจให้ทั่ว...สีหน้าเป็นกังวลของเขาเรียกให้ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะพยุงร่างของคนตัวสูงให้ยืนขึ้น



ชั่ววินาทีที่สายตามองเลยบ่าคนตัวสูงไปทางด้านหลัง แสงสะท้อนสีเงินวาววับของโลหะคมกริบสะท้อนเข้าตาจนได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ...พวกมันคนแรกที่ผมจัดการยืนห่างไปไม่กี่ก้าว ผ้าสีดำที่ปกปิดใบหน้าเอาไว้หลุดลุ่ยเผยให้เห็นใบหน้าแข็งขึงที่ผมจดจำได้ดี...มันคือหนึ่งในคนสนิทของหลวงเจษฎารังสรรที่คอยตามติดนายของมันไปเกือบทุกที่...แม้แต่ในวันนั้นที่เรือนแพริมน้ำ...ในมือของมันกระชับมีดพกที่หล่นเมื่อครู่เอาไว้แน่น...ความกลัวแล่นปราดจนชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นปลายมีดสีเงินพุ่งเข้าหาแผ่นหลังของคนตัวสูงที่ผมประคองอยู่


"พี่แก้วระวัง!"เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวเหลียวหลังกลับไปมอง เป็นจังหวะเดียวกับสติที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดเรียกให้ผมเบี่ยงตัวเข้าขวางพลางกอดคนตัวสูงตรงหน้าเอาไว้แน่น...หัวใจกระตุกวูบเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้...ความกลัว...ความเจ็บปวด...หรือแม้แต่ความตาย...ทุกสิ่งดูเลวร้าย...หากแต่มันยังน้อยกว่าความสูญเสีย...



...ชั่วขณะหนึ่งของความคิด...



...ผมจะไม่ยอมเป็นฝ่ายสูญเสียอีกแล้ว...








เสียงโลหะกระทบกับพื้นอีกครั้งพร้อมกับที่ผมค่อยๆลืมตา...ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าคมของคนตัวสูงที่โปรยยิ้มบางเหมือนเคย...ความรู้สึกวูบโหวงก่อเกิดเมื่อสัมผัสเข้ากับของเหลวอุ่นๆใต้ฝ่ามือ



...แต่กลับไม่เจ็บปวด...



ผมเบิกตากว้าง...ยกมือที่ประคองช่วงเอวของอีกฝ่ายขึ้นดู ของเหลวสีแดงเปรอะเปื้อนไปทั่ว เพียงผละออกจากร่างสูงตรงหน้าก็ได้เห็น...รอยเลือดสีแดงสดแผ่ขยายบนเสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวเป็นวงกว้างพร้อมกับร่างที่ทรุดลงตรงหน้า...แว่วเพียงเสียงหอบหายใจเบาของเขากับมือที่แดงฉานสั่นเทิ้มของตัวเอง


"พี่แก้ว!!"


เสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่ปลายมีดวาววับจะพุ่งแทงเข้าที่ตัว เขาเพียงเบี่ยงหลบไปอีกทางเพื่อเอาตัวเข้าขวางเอาไว้...ปลายมีดแหลมแทงทะลุช่วงเอวจนมิดด้าม โลหิตอุ่นไหลหยดลงบนพื้น หากแต่ท่อนแขนแกร่งยังโอบกระชับร่างของผมเอาไว้แน่น...มือหนายกขึ้นทาบทับข้างแก้มของผมที่ซีดเผือดเพราะสติที่ขาดหาย...ริมฝีปากหยักยังคงยกยิ้มบางขัดกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าคม

"ไม่เป็นอะไรใช่ไหมพ่อ"เสียงทุ้มแหบพร่าเบาราวเสียงกระซิบปนกับเสียงหอบหายใจ ดวงตาคมที่เคยส่องประกายระยับค่อยๆปรือลงพร้อมกับศีรษะที่ฟุบลงบนไหล่...มือหนาที่ประคองข้างแก้มละออกร่วงลงบนพื้นไร้เรี่ยวแรง...ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของตัวเองดังกึกก้อง



"ม่ะ ไม่!!!...พี่แก้ว!"



สองมือเขย่าร่างสูงตรงหน้าระรัวพร้อมส่งเสียงเรียกไม่ขาดปาก...ตัวต้นเหตุทั้งสามที่ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกรีบประคับประคองพรรคพวกวิ่งหนีหายไปในความมืดนานแล้ว...เหลือเพียงตัวผมที่ยังนั่งประคองร่างสูงที่นอนแน่นิ่ง...ความโกรธ เกลียด กลัว ก่อเกิดจนกลั่นตัวรวมกันเป็นหยดน้ำตาใสไหลลงอาบแก้ม




...น้ำตาที่ไหลริน...ไม่ต่างจากโลหิตแดงฉานที่ฉาบลงบนพื้น...







..................................โปรดติดตามตอนต่อไป..............................................




วิ่งหลบแม่ยกพี่แก้วก่อนนะเจ้าคะ :o12: (คาดว่าจะโดนรุมทำร้าย)
ตอนนี้มาแบบยาวๆ ไม่อยากตัดเพราะเดี๋ยวจะเสียอรรถรสค่ะ

ฝากตอนนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะเจ้าคะ กราบ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 08-11-2014 00:45:40
กรี๊ด คนเขียนทำร้ายหนักค่ะ
มายาว ไม่ตัดก่อนหน้า ตัดตอนนี้ก็กรีดร้องนะคะ
แต่เราเชื่อว่าพี่แก้วจะไม่เป็นไรมาก
เพราะจำได้ว่าตอนที่น้องธีร์ไปหาคนรู้จักในยุคปัจจุบัน
ก็ยังมีรูปพี่แก้วนี่นา แล้วก็ไม่ทีเรื่องอะไรใหญ่โตเล่าซะด้วย
แสดงว่าน่าจะไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวก็หาย
แต่ลึกๆก็กลัวว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นเหมือนกันนะ

เปิดตอนมาก็หน่วงด้วยเรื่องคุณพิกุลก่อนเลย
แถมย้อนไปเรื่องข้อมูลคุณพิกุลเท่าที่รู้มาจากปัจจุบัน...
พ่อแชมป์ของเราคงไม่ได้อยู่ที่พระนครยาวนานแน่นอน
ว่าแล้วคนอ่านก็เครียดกันไป

อ่านไปต้องหยุดอ่านเป็นระยะๆ
ลุ้นทุกจังหวะที่เปลี่ยนฉากประมาณนั้น555

แอบคิดไปคิดมา หรือบั้นปลาย พี่แก้วจะออกบวช
ไปอยู่กับหลวงพ่อที่เคารพ ที่หน้าเหมือนหลวงพ่อที่กรุงเทพ
หลวงพ่อที่กรุงเทพก็เลยรู้ๆอะไรอยู่แล้ว

จะว่าไปก็แอบคิด(อีกแล้ว)
ว่าในยุคปัจจุบัน พี่แก้วอาจมาเกิดใหม่เป็นใครซักคนมั้ย
แต่คงไม่...เพราะไม่มีเกริ่นๆมาก่อน
แต่นั่นจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้พี่แก้วน้องธีร์ได้รักกันอยู่ด้วยกัน
แบบไม่ต้องกลัวอยู่ลึกๆแบบนี้อ่า
นี่คือมโนหนักเพื่อปลอบใจตัวเองล่วงหน้าไว้ก่อน555

รออ่านต่ออยู่นะค้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 08-11-2014 01:20:59
พี่แก้วคะะะะ!!!

ไอ้พวกนั้นนี่ควรเอาเรื่องได้แล้วนะคะ เลว เลวมาก เลวมากถึงมากที่สุด

แค่พี่แก้วกับน้องธีร์เองก็ลุ้นจะตายอยู่แล้ว เจอพวกนี้ไปนี่ระทึกเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 08-11-2014 01:31:58
ไม่นะไม่ๆๆๆ พี่แก้วต้องไม่เป็นอะไร   :ling1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 08-11-2014 05:15:07
โถพี่แก้วของน้องอย่าเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-11-2014 13:07:28
โอ้ย ลุ้น
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 08-11-2014 21:35:39
ใครก็ด้ายยยยยยยยย ช่วยพี่แก้วด้วยยยยย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 08-11-2014 21:39:40
กรี๊ดดดดดดดไอ้โจรไร้สมองงงง
นายสั่งอะไรก็ทำหรอออออ
โอ้ยยยยยยพี่แก้วววว เจ็บจนาดนั้นยังหวงธีร์
ธีร์ต้องชอคมากแน่ๆอยู่ในเหตุการ์ณงี้
พี่แก้วอย่าเป็นอะไรนะะะ ลุ้นมากกกกค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 08-11-2014 22:46:37
โอ้ยยยย ไอ้เจษฎา จะจองเวรจองกรรมกันอีกนานไหมมมม ไอ้ตัวร้าย อ้ายเลวววว (อินขั้นสุด)

ต้องไม่เป็นไรนะพระเอกเรา กริ้ดดด
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 08-11-2014 23:04:03
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :z3: :z3: :z3: :z3: :a5: :a5: :a5: o22 o22
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 11-11-2014 11:44:16
รอคอยนิยายแบบนี้มานานนนนนนนแล้ว ขอบคุณที่ทำให้การรอคอยสิ้นสุดลง

สนุกมากกกกก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 13-11-2014 16:57:00
คุณหลวงถูกแทง!!! โอ้ยย แล้วใครจะมาช่วยน้องธีร์พาคุณหลวงไปหาหมอล้ะเนี่ยยย
ค้างมากเลยค่ะคนแต่ง  :serius2:

รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 14-11-2014 23:44:04


ตอนที่ ๓๑...ภาวนา...




'...พลั่ก!...'


บทสนทนาตึงเครียดจบลงด้วยฝ่ามือหยาบหนาที่ฟาดลงบนหน้าของคู่สนทนาจนขึ้นเป็นริ้วแดง ขณะที่คนถูกกระทำได้แต่ยกมือกุมใบหน้าของตัวเองหากแต่ไม่กล้าปริปากบ่นแม้สภาพของตัวเองก่อนหน้าก็ย่ำแย่เต็มที...ตามตัวมีรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้าย คราบเลือดเกรอะกรังบนหน้าผากและมุมปาก...ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกซ้ำรอยเดิมเข้าให้โดยร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

"อ้ายพวกโง่! ข้าบอกให้ไปสั่งสอนให้มันเข็ดหลาบ ใครใช้ให้พวกเอ็งเอามีดไปแทงมัน!"เสียงแหบต่ำแผดลั่นด้วยความโมโหหลังได้ฟังรายงานจากผู้ใต้บัญชาเรื่องที่สั่งให้ไปจัดการ แต่กลับผิดแผนกลายเป็นเหตุการณ์ใหญ่โตจนไม่อาจข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ได้ถึงขั้นลงไม้ลงมือ

"พวกมันยอมให้สั่งสอนง่ายเสียเมื่อไหร่เล่าขอรับ คุณหลวงก็เห็นว่าพวกกระผมถูกทำร้ายกลับมาถึงเพียงนี้"แม้ถูกตำหนิแต่ก็ยังบ่ายเบี่ยงเรียกร้องความเห็นใจจากผู้เป็นนาย

"เอ็งก็เลยเอามีดไปแทงมันเช่นนั้นรึ! เกิดมันตายขึ้นมาได้ฉิบหายกันหมดล่ะคราวนี้!"ทั้งความโกรธที่พุ่งพล่านระคนความหวาดระแวงกลัวความผิดยิ่งเร่งเร้าให้แผดเสียงดังจนคนฟังพากันก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา

"แล้วมันเห็นหน้าพวกเอ็งหรือไม่!"คำถามที่ทำเอาผู้ใต้บัญชาหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก แม้ไม่แน่ใจนักแต่สายตาของเด็กหนุ่มที่จดจ้องในตอนนั้นยังคงติดตา ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าบอกความจริงเพราะกลัวถูกผู้เป็นนายบันดาลโทสะใส่อีกรอบ

"ม่ะ...ไม่เห็นหรอกขอครับ...มืดเสียขนาดนั้นแลพวกกระผมเองก็ปิดหน้าปิดตากันอย่างดี"ได้ยินดังนั้นถึงเบาใจลงบ้างหากยังไม่วางใจเสียทีเดียว

"พวกเอ็งรีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าแล้วปิดปากให้เงียบ หากข้ารู้ว่าใครมันปากโป้ง มันผู้นั้นจะได้ตายก่อนไอ้แก้ว!"สิ้นเสียง ลูกสมุนทั้งสามก็รีบแจ้นออกจากเรือนกันแทบไม่ทัน คงเหลือไว้เพียงร่างสูงใหญ่ยืนกำหมัดแน่นจนมือไม้สั่น...จริงอยู่ว่าเขาโกรธแค้นอีกฝ่ายจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกแต่การแก้แค้นที่อาจส่งผลเสียกลับมาถึงตัวย่อมไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เพราะหากเรื่องนี้แดงขึ้นมา แม้แต่บารมีของผู้เป็นพ่อก็คงไม่อาจคุ้มหัวเขาได้



'โครม!'


เสียงแปลกปลอมดังอยู่นอกตัวเรือนเรียกให้เจ้าของเรือนแพสะดุ้งเฮือกหันควับไปมองต้นเสียง เท้าค่อยๆก้าวไปยังประตูไม้บานใหญ่ก่อนจะเปิดมันออกด้วยความร้อนใจ...ดวงตาแข็งกร้าวเบิกกว้างเมื่อได้เห็น...ร่างบอบบางยืนปิดปากกลั้นเสียงจนตัวสั่น...บนพื้นมีแจกันไม้ลวดลายสวยงามที่เคยตั้งเด่นอยู่หน้าเรือนกลิ้งขลุกขลักอันเป็นต้นเหตุของเสียง...ดวงตาหวานฉ่ำมีน้ำคลอเต็มหน่วยหากแต่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้




"แม่เดือน!"




.............................................................................................
.

.

.

.

ไม่รู้ว่าผมมานั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และมาที่นี่ได้ยังไง...ใครสักคนคงพาผมมาที่นี่...ใครสักคนที่ได้ยิน เสียงกรีดร้องที่มันดังก้องจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด นอกจากเสียงสะอื้นของตัวเองและปากที่พร่ำเรียกชื่อของใครบางคนไม่ขาด...ร่างกายของผมชาวาบจนแทบไร้ความรู้สึก ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดเมื่อใครสักคนพยายามทำแผลบนใบหน้า หากแต่รสเฝื่อนลิ้นกับกลิ่นคาวจางๆในปากบ่งบอกสภาพของร่างกายได้เป็นอย่างดี...เลือดสีแดงสดไหลซึมจากปากแผลบนโหนกแก้มและแขนซ้ายถูกใครสักคนใช้ผ้าซับจนเลือดซึมติด...ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เจ็บเท่ากับตอนที่ได้เห็นรอยเลือดเปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้า...เลือด...ที่ไม่ใช่ของตัวเองแต่กลับทำให้ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงจนแทบยืนไม่อยู่


แว่วเสียงจอแจล่องลอยไกลละลิบ...บทสนทนาทั้งไทยและอังกฤษผสมปนเปจนฟังไม่เป็นศัพท์...ใครบางคนกำลังพูดกับผมด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจแต่ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ


ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ผมได้ยินเสียงหนึ่งที่คุ้นเคย...น้ำเสียงอบอุ่นทว่าร้อนรนจนผิดสังเกตดังแข่งกับเสียงภายนอก


"เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร..."


หากแต่เสียงคุ้นเคยนั้นกลับดังแผ่วในความคิด...ภาพตรงหน้าช่างพร่ามัวเช่นเดียวกับโสตประสาทที่ไม่รับรู้เรื่องราวอะไร


...นอกจากเสียงกรีดร้องของตัวเองในตอนนั้น...


"พ่อธีร์..."


"พ่อธีร์!"


รู้สึกตัวอีกทีเมื่อรับรู้ถึงแรงเขย่าที่หัวไหล่...ผมไล่มองตามมือที่มีริ้วรอยบ่งบอกอายุไปจนหยุดที่ใบหน้าอ่อนโยนทว่าฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

"เจ้าคุณ..."เจ้าคุณไพศาลยืนขมวดคิ้วแน่นอยู่ตรงหน้า หลังทราบข่าวท่านก็รีบออกจากงานตรงมาที่นี่ทันที...ผมเหลียวมองบรรยากาศโดยรอบ...ห้องโถงของเรือนไม้ทรงฝรั่งหลังใหญ่ส่องสว่างด้วยดวงไฟสีส้มนวล...ข้างกายมีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาทอประกายสีฟ้าเหมือนท้องทะเล ในมือของเขาถือถาดอุปกรณ์ทำแผล หากแต่เพียงลุกออกไปเมื่อผู้อาวุโสกว่ามาถึง

"เราถามว่าเกิดอะไรขึ้น"คำถามที่พาลให้นึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ราวกับหนังฉายซ้ำ...ร่างสูงโปร่งที่ทรุดลงต่อหน้าโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย ลมหายใจของเขารวยรินขาดช่วงแต่น้ำเสียงแหบพร่ายังคงแสดงความห่วงใย...เบื้องหลังภาพนั้น...คือคมมีดสีเงินส่องประกายน่ากลัว

"ว่าอย่างไรเล่าพ่อ..."คำถามของผู้อาวุโสกว่าดังขึ้นเป็นครั้งที่สามพร้อมแรงบีบหนักที่หัวไหล่เพื่อเรียกสติ...สติที่มันหลุดลอยหายไปตั้งแต่เหตุการณ์ตอนนั้น

"เลือด...เลือดเต็มไปหมดเลยครับ"ภาพในความคิดเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงเปรอะเปื้อนไปทั่ว ทั้งมือของผมเองก็ฉาบฉานไปด้วยสีเดียวกัน...ความกลัวส่งผลต่อร่างกายจนสั่นเทิ้มควบคุมไม่ได้ ดวงตากลอกไปมาพยายามสลัดภาพน่ากลัวให้หายไป ริมฝีปากถูกกัดจนห้อเลือดอันเป็นที่มาของรสเฝื่อนแปลกๆในปาก...แต่สิ่งเดียวที่ยังชัดเจน...คือใบหน้าเปื้อนยิ้มที่หลับตาพริ้มซบลงบนไหล่...ความอบอุ่นยังคงทิ้งร่องรอยบนฝ่ามือแดงฉานราวกับผมยังคงกอดเขาเอาไว้แน่น


"คุณหลวง!...คุณหลวงจะเป็นอะไรมั้ยครับ!"ผู้อาวุโสกว่าผงะเล็กน้อยเมื่อผมเอื้อมมือขึ้นรั้งแขนที่วางพาดบนบ่าแล้วเขย่าจนสุดแรง...แว่วเพียงเสียงถอนหายใจยาวและสีหน้าหนักใจของอีกฝ่าย

"ใจเย็นก่อนเถิดพ่อ...หมอเขากำลังเร่งช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เราเองก็หวังว่าพ่อแก้วจะไม่เป็นอะไร"ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอ่อนโยนแต่กลับฉายแววร้อนรนและกังวลอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกผิดก่อเกิดเพียงเพราะได้เห็นท่าทีเป็นห่วงของอีกฝ่าย...ในตอนนั้น...หากผมปฏิเสธแล้วขอให้เขาพากลับเรือนทันทีหลังออกจากงานก็คงไม่ต้องพบเจอไอ้พวกนั้น...และหากวันนั้นไม่เกิดเรื่องที่เรือนแพ...เรื่องทั้งหมดคงไม่จบลงแบบนี้

"ผม...ผมขอโทษครับ...ผมผิดเอง...ผมขอโทษ..."คำพูดที่พรั่งพรูราวกับคนไร้สติเรียกให้เจ้าคุณไพศาลทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ สองมือยึดบ่าที่สั่นเทิ้มของผมเอาไว้มั่น

"ตั้งสติหน่อยซีพ่อ...มันเป็นเหตุสุดวิสัยไม่มีใครเขาโทษพ่อหรอก"

"ไม่...มันเป็นความผิดของธีร์...ธีร์ผิดเอง..."ได้ยินเพียงเสียงของตัวเองดังวนเวียนจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น...ชายสัญชาติยุโรปวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางยกมือขึ้นซับหยาดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก


"เป็นอย่างไรบ้างหมอ"เจ้าคุณไพศาลที่ยังควบคุมอารมณ์ได้ดีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ

"บาดแผลฉกรรจ์ทำให้เสียเลือดมากจนหมดสติ"คนตัวใหญ่ตอบกลับด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งหู ใบหน้าของเขาดูอิดโรยเพราะการรักษาที่ยาวนาน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เทียบเท่าสีหน้าเป็นกังวลของเจ้าคุณแห่งกรมการต่างประเทศ

"ปลอดภัยดีแล้วหรือ"กลับกลายเป็นคนถูกถามที่ถอนหายใจยาว

"ยังวางใจไม่ได้ ต้องรอให้ฟื้นเสียก่อน...เจ้าคุณกลับไปก่อนเถิด วันพรุ่งค่อยมาใหม่"

"ผมขออยู่เฝ้าคุณหลวงที่นี่ได้มั้ยครับ!"หากแต่คำถามของผมที่แทรกขึ้นเรียกให้เจ้าของเรือนละสายตาจากเจ้าคุณไพศาลทันที...ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนภายใต้ริ้วรอยจางๆบนใบหน้าพินิจสารรูปของผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเป็นกังวล

"กลับไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด ทางนี้มีคนคอยดูแล วันพรุ่งพ่อจะมาเช้าหน่อยก็ได้"

"แต่..."

"เชื่อหมอเถิดพ่อธีร์ พ่อเองก็เจ็บไม่น้อย กลับไปพักผ่อนเสียก่อนแลวันพรุ่งค่อยมาพร้อมเรา"เจ้าคุณไพศาลเองก็ช่วยสมทบเข้าอีกแรงจนผมไม่รู้จะเถียงอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะกล่าวลาเจ้าของเรือน...ความเป็นห่วงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อไม่ได้รับการยืนยันใดๆ ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ผมทำได้...ก็เพียงแค่รอ...


"พ่อไม่ต้องเป็นกังวล หมอเบ็นเขามีฝีมือเลื่องชื่อนัก เราเชื่อว่าพ่อแก้วจะไม่เป็นอะไร"ผู้อาวุโสกว่าเพียงยกมือขึ้นตบบ่าเบาๆเป็นเชิงปลอบใจก่อนที่ท่านจะก้าวขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าเรือนพลางกำชับให้ผมรีบกลับไปพักผ่อน...ผมยกมือไหว้ลาคนบนรถม้าที่ทอดสายตาอ่อนโยนลงมองแล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถม้าอีกคันที่จอดรออยู่ด้านหลังที่เจ้าคุณท่านเตรียมไว้
.

.

.

"ไอ้ธีร์!"เสียงแหวดังลั่นทันทีที่ร่างของผมก้าวพ้นซุ้มประตูเรือนด้านบน...เจ้าของเรือนทั้งสามเองก็รีบผุดลุกขึ้นยืนด้วยความเป็นห่วง...แชมป์เป็นคนแรกที่ปรี่เข้ามาหา มันจับผมยกแขน หมุนตัว สำรวจสารรูปที่ตอนนี้คงย่ำแย่เต็มที...ชุดสูทยับยู่ยี่เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดที่ไม่ใช่ของตัวเอง...รอยแผลถลอกบนโหนกแก้มและแขนซ้ายให้ความรู้สึกเจ็บแปลบเป็นระยะ...ผมเผ้ายุ่งเหยิงผิดกับสภาพตอนออกไปจากเรือนเมื่อเย็น...ทั้งยังดวงตาที่ปวดตุบๆจนเริ่มพร่ามัว...ร่างของผมยืนโงนเงนไปตามแรงของแชมป์จนมันต้องลากตัวให้มานั่งพักบนโถงกลางเรือน...เหลือบไปเห็นสายตาเป็นกังวลของทั้งเจ้าคุณจิตรา คุณหญิงสร้อยและคุณพิกุลอยู่ไม่ไกล

"พ่อแก้วเป็นอย่างไรบ้าง"เจ้าของเรือนเป็นฝ่ายยิงคำถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงร้อนรน

"อ้ายธีร์...ข้าถามว่าพ่อแก้วเป็นอย่างไรบ้าง!"แต่เพราะสติที่ไม่อยู่กับตัวทำให้เจ้าคุณท่านต้องถามซ้ำอีกรอบด้วยเสียงดังกว่าเดิม

"ผม...ผมไม่รู้ครับ"

"แล้วหมอเขาว่าอย่างไรเล่า!"ผมนั่งนิ่ง พยายามนึกไปถึงคำพูดของหมอฝรั่งที่บอกเจ้าคุณไพศาล...เสียงล่องลอยไกลละลิบจนแทบฟังไม่เป็นศัพท์เพราะในหัวตอนนั้นมีแต่เรื่องของคนตัวสูงเต็มไปหมด

"หมอบอกว่า...ต้องรอให้ฟื้นก่อน...มั้งครับ"แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ได้ยินมาถูกหรือไม่

"ผมว่าให้มันไปพักก่อนเถอะครับ ท่าทางมันเองก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่"แชมป์ยังคงประคองตัวผมเอาไว้เมื่อพยายามดึงผมให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

"นั่นซีเจ้าคะ คนเพิ่งผ่านเรื่องร้ายมาคงขวัญเสียไม่น้อย...เอ็งพามันไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน ประเดี๋ยวข้าไปเอาลูกประคบมาให้ เอ็งเอาประคบตามรอยฟกช้ำไม่กี่ชั่วยามก็จะดีขึ้น"คุณหญิงสร้อยรีบปรามก่อนจะหันมาสั่งไอ้แชมป์ยืดยาว ขณะเจ้าคุณท่านเพียงถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนั่ง



"ไม่รู้เคราะห์กรรมอะไรของพ่อแก้วถึงต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้นะเจ้าคะ"น้ำเสียงเป็นกังวลของคุณหญิงสร้อยดังไล่หลังขณะที่ผมกำลังเดินตรงไปยังห้องนอน

"อยากรู้นักว่าใครมันกล้าทำเรื่องเช่นนี้"หากแต่เสียงห้วนของเจ้าคุณจิตราทำเอาผมชะงักฝีเท้านิ่ง...ภาพชายตัวสูงสีหน้าแข็งขึง ในมือกำมีดพกส่องประกายสีเงินเอาไว้แน่นวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง...เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังก้องจนผมต้องสะบัดหัวตัวเองแรงๆเพื่อไล่ความคิดเหล่านั้นให้หายไป

"มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะ"ผมส่ายหน้าตอบคำถามของแชมป์และมันไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงแค่ประคองตัวผมให้เดินมาจนถึงห้องนอน



ทันทีที่แชมป์ปล่อยมือ ร่างของผมก็ทรุดฮวบลงกับพื้น...เรี่ยวแรงที่เคยมีกลับหายไปหมด ได้ยินเสียงไอ้ตัวดีร้องลั่นด้วยความตกใจก่อนจะถลาเข้ามายึดไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้แน่น

"ไอ้ธีร์!"แรงเขย่าจนตัวโยนเรียกให้สายตาที่เหม่อลอยสบเข้ากับดวงตาเรียวรีของมัน...แชมป์ยังคงเรียกชื่อผมไม่ขาดปากราวกับกำลังเรียกสติที่หายไปให้กลับมา


"ธีร์มึงได้ยินกูมั้ย...ไอ้ธีร์!"แม้สบตากันแต่ภาพที่สะท้อนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่ภาพของแชมป์...แววตาของผมว่างเปล่ามองเห็นเพียงภาพเรือนลางและเสียงเรียกดังไกลละลิบ


"มึงฟังกูนะธีร์...กูรู้ว่ามึงรู้สึกยังไง แต่มันจะไม่เป็นแบบนั้น มึงได้ยินมั้ย มันจะไม่เป็นแบบที่มึงคิด หลวงพิสิษฐจะไม่เป็นอะไร...มึงได้ยินกูมั้ยธีร์!"



"กู......กลัว......"สิ้นเสียง ไอ้ตัวดีก็โผเข้ามากอดผมเอาไว้แน่น...ความรู้สึกของผมมีเพียงแชมป์เท่านั้นที่รู้ดี...ผมไม่ได้ขวัญเสียจากเหตุการณ์เมื่อครู่...ไม่ได้กลัวถูกทำร้าย...ไม่ได้กลัวความเจ็บปวด หรือแม้แต่ความตาย...หากแต่สิ่งที่ผมกลัว


...คือความสูญเสีย...



"กูรู้ว่ามึงกลัว...แต่มันจะไม่เป็นแบบนั้น หลวงพิสิษฐรักมึงจะตายห่า เค้าไม่ทิ้งมึงไปไหนหรอก"แชมป์รู้ดี...ว่าชลนธีร์ในตอนนี้อ่อนแอเหลือเกิน...และแชมป์ก็รู้ดี ว่ามันต้องพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้ผมกลับไปเป็นแบบตอนนั้น...ตอนที่ผมเสียพ่อและแม่

"ตอนนี้มึงต้องเข้มแข็งเข้าใจมั้ย...ถ้ามึงเป็นอะไรไปอีกคนแล้วเค้าฟื้นขึ้นมาไม่เห็นมึง เค้าจะรู้สึกยังไงวะ!"คำพูดเตือนสติคำแล้วคำเล่าถูกส่งผ่าน...แววตาที่ว่างเปล่าเหม่อลอยกลับมาจดจ่อที่ภาพตรงหน้าอีกครั้ง...ใบหน้าของแชมป์...เสียงของมัน...มือที่ยังเขย่าร่างของผมไปมาเรียกให้รู้สึกตัว...ผมยกมือขึ้นบีบมือของมันเอาไว้แน่น

"แชมป์...กู...ขอบคุณ"รับรู้ถึงแรงบีบที่มือตอบกลับมา...สีหน้าของมันยังคงเป็นกังวลแต่ยังยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นภาพสะท้อนตัวเองในแววตาของผม...ไม่ว่าเมื่อไหร่ แชมป์ก็ยังเป็นคนเดียวที่สามารถดึงผมกลับมาได้เสมอ แม้ในเวลาที่ผมอ่อนแอที่สุด...อย่างเช่นตอนนี้

"ไปอาบน้ำแล้วนอนซะ...ดูสภาพตัวเองตอนนี้ดิ พรุ่งนี้ถ้าหลวงพิสิษฐฟื้นมาเจอมึงแบบนี้ได้ช็อคตายห่า โทรมชิบหาย"

"เชี้ยมึงอย่าแช่งดิ!"มันหัวเราะเมื่อเห็นว่าผมมีแรงต่อปากต่อคำได้บ้าง ก่อนจะไล่ให้ผมไปอาบน้ำ พอกลับมามันก็จัดการประคบรอยฟกช้ำตามตัวให้ตามที่คุณหญิงสร้อยสั่ง...ผมเพิ่งมารู้ตัวตอนถูกมือหนักๆของมันกดลูกประคบลงกับผิวว่าสภาพของผมเองก็สะบักสะบอมไม่แพ้กัน


...แต่ยังน้อยกว่านักเมื่อเทียบกับคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่ที่เรือนหมอในตอนนี้...
.

.

.

.

.

"ฟื้นหรือยังเล่าหมอ"เจ้าคุณจิตราถามขึ้นทันทีที่มาถึงเรือนหมอเบ็นตอนบ่ายแก่ๆ...ระหว่างทางเจ้าคุณท่านเล่าให้ฟังว่าหมอเบ็นเป็นหมอฝีมือดีชาวอังกฤษที่ติดตามคณะทูตมายังสยามเมื่อหลายปีก่อน เขาเปิดเรือนเป็นโรงหมอคอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านและข้าราชการหลายต่อหลายคนในละแวกใกล้ๆจนได้รับพระราชทานยศหลวงบริบาลเวชสาส์นจากสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง...ซ้ำยังบอกว่าพวกผมโชคดีที่จุดเกิดเหตุห่างจากเรือนของเขาไม่มากนักทำให้พาตัวหลวงพิสิษฐส่งถึงมือหมอได้ทันเวลา

"เพิ่งฟื้นเมื่อครู่นี้เองแต่ยังอ่อนเพลียนักเพราะเสียเลือดไปมาก"เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นรอยยิ้มบางเจือบนใบหน้าของอีกฝ่าย...ท่าทีของเขาดูคลายกังวลลงมากกว่าเมื่อคืนมากนัก

"ขอพวกฉันเข้าไปดูอาการได้หรือไม่"เจ้าคุณจิตรายิ้มกว้างพลางเร่งเร้า ไม่ต่างอะไรจากสีหน้าของเจ้าคุณไพศาล ไอ้แชมป์...และตัวผมเอง...เจ้าของเรือนเพียงพยักหน้ารับก่อนจะผายมือให้ผู้อาวุโสทั้งสองเดินนำเข้าไปก่อนตามด้วยไอ้แชมป์และผมเป็นคนสุดท้าย



"เขาเรียกหาแต่พ่อธีร์"สำเนียงแปร่งหูดังพอให้ได้ยินเพียงสองคนทำเอาผมชะงักฝีเท้า...หันกลับไปมองใบหน้าอ่อนโยนเจือริ้วรอยที่ส่งยิ้มบางอยู่ด้านหลัง

"ท่าทางจะเป็นห่วงพ่อมาก"สิ่งที่ทำได้ เพียงแค่ค้อมตัวลงเล็กน้อยเป็นการตอบรับก่อนจะเดินตามหลังไอ้แชมป์เข้าไปด้านใน



หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๐...๐๗/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 14-11-2014 23:46:38



ห้องรักษาถูกกั้นด้วยฉากไม้แบบบานพับ...ได้กลิ่นยาและสมุนไพรคละคลุ้งจนน่าเวียนหัว...ภายในห้องมีชายชาวสยามสองคนที่คาดว่าเป็นผู้ช่วยของหมอเบ็นกำลังยืนผสมยาอยู่ด้านหน้าฉากกั้นก่อนจะละมือเดินออกไปเมื่อเห็นผู้มาเยือน...พวกผมเดินอ้อมไปอีกฟากหนึ่งของห้อง เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งนอนเหยียดยาวสงบนิ่งบนเตียงไม้หลังใหญ่...ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าหากแต่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวรอบช่วงเอว...บนใบหน้าและตามลำตัวมีรอยฟกช้ำขึ้นเป็นจ้ำ รวมไปถึงรอยแตกที่หางคิ้ว...ลมหายใจราบเรียบสม่ำเสมอแผ่วเบาเช่นเดียวกับเปลือกตาที่ปิดสนิท

"พ่อแก้ว"น้ำเสียงอ่อนโยนจากเจ้าคุณคนสนิทเรียกให้เจ้าของชื่อค่อยๆปรือตาขึ้น...ดวงตาคมภายใต้แพขนตาหนากระพริบช้าๆก่อนจะเบือนหน้ามองข้างเตียง...วินาทีนั้น...ผมรับรู้ถึงเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังโครมครามราวกับมันอยากกระโดดออกมาอยู่ข้างนอก ความอึดอัดทั้งมวลที่สะสมปลิวหายไปในทันทีที่ได้เห็นดวงตาคมคู่นั้นส่องประกายวาววับอยู่ตรงหน้า

"เป็นอย่างไรบ้าง"เจ้าคุณไพศาลยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้ามีสีเลือดฝาดของคนบนเตียงเป็นสัญญาณบ่งบอกให้คลายกังวล...หลวงพิสิษฐยังคงนิ่งเงียบเพราะยังไม่รู้สึกตัวเต็มที่ มีเพียงดวงตาคมไล่มองคนข้างเตียงทีละคน...จนมาหยุดที่ผมเป็นคนสุดท้าย...ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆก่อนจะละสายตามาที่เจ้าคุณคนสนิทอีกครั้ง

"ไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ"น้ำเสียงของเขาแหบพร่าจนแทบฟังไม่เป็นศัพท์

"ทำเขาตกอกตกใจกันไปหมด"

"กระผมขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงขอรับ"คนตัวสูงพยายามยกมือขึ้นพนมจนเจ้าคุณไพศาลต้องรีบปรามเอาไว้ให้เขานอนนิ่งๆตามเดิม

"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะพ่อ"

"อ้าว! ทำไมไปขอบคุณพระขอบคุณเจ้าล่ะครับ ต้องขอบคุณคุณหมอสิถึงจะถูก"กลายเป็นไอ้แชมป์ที่แหวกบทสนทนาเรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างเพราะความซื่อของมัน มีเพียงเจ้าคุณจิตราที่หันไปถลึงตาใส่จนมันรีบยกมือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน

"ทะลึ่งนักเอ็งนี่ ลามปามถึงพระถึงเจ้า ประเดี๋ยวเถอะเหาจะกินกบาลเอา"คนถูกดุทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน



"พ่อแก้วฟื้นแล้วจะกลับเรือนได้เมื่อใดเล่าหมอ"เจ้าคุณคนสนิทเงยหน้าขึ้นถามหมอเบ็นที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียง

"เชิญเจ้าคุณออกไปคุยกันข้างนอกเถิด คุณหลวงเพิ่งฟื้นให้พักผ่อนอีกเสียหน่อยจะดีกว่า"คนถูกถามเพียงถอนหายใจเบาก่อนจะผายมือไปทางประตูบานเดิม

"พักผ่อนเถิดพ่อ วันพรุ่งเราจะมาใหม่"คนบนเตียงยกยิ้มรับก่อนที่เจ้าคุณทั้งสองจะเดินนำออกไปด้านนอกโดยมีไอ้ตัวดีเดินตามหลัง...ส่วนผม ยังคงยืนอ้อยอิ่งมองคนตรงหน้าไม่วางตา ทั้งยังไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกเช่นไร ทั้งดีใจและเป็นห่วงในคราวเดียวกัน...ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่าควรให้เขาได้พักผ่อนอีกสักหน่อย


หากเพียงแค่หันหลังกลับ มือหนาก็ฉวยเข้าที่ข้อมือของผมจนต้องชะงักฝีเท้า...แรงบีบที่ข้อมือแผ่วเบาราวกับเขาเพียงแตะสัมผัสแล้วออกแรงดึงให้ผมขยับเข้าใกล้...ประตูห้องรักษาถูกปิดลงคงเหลือเพียงผมและคนป่วยอยู่ในห้องตามลำพัง...ผมทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นที่ว่างข้างเตียงพลางพินิจใบหน้าคมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ อีกทั้งผ้าพันแผลรอบเอวก็มีเลือดซึมออกมาให้เห็น

"เจ็บมากมั้ยครับ"คนถูกถามเพียงแค่ยกมือขึ้นแตะรอยช้ำที่ปลายคางจนผมนิ่วหน้าเพราะความเจ็บแล่นปราดขึ้นมา...มือหนาชะงักเพียงครู่แล้วเลื่อนลงมากุมมือของผมเอาไว้ตามเดิม

"เห็นหน้าพ่อธีร์พี่ก็หายเจ็บแล้ว"ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆแต่สีหน้าของเขายังดูอิดโรยนัก

"เจ็บขนาดนี้ยังพูดเล่นได้อีกนะครับ"ผมดึงมือกลับ ตั้งใจจะให้เขาพักผ่อนต่อเพราะเห็นท่าทางอ่อนเพลียหากแต่เขายังคงขืนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

"อยู่กับพี่อีกสักครู่เถิด"เสียงแหบพร่าเรียกให้ผมอยู่ต่อ...ใบหน้าคมแม้มีสีเลือดฝาดแต่ยังซีดเซียวนัก เช่นเดียวกับมือเย็นชืดที่เกาะกุมอยู่...คนบนเตียงดูไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับเขยื้อนตัวแต่ถึงอย่างนั้นดวงตาคู่สวยก็ยังทอประกายระยับ...แววตาที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงลมหายใจของคนตรงหน้า

"อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ"คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเมื่อได้ยินหากเพียงครู่ก็คลายออก

"แล้วพ่อธีร์จะให้พี่ยอมให้พวกนั้นทำร้ายพ่อหรือ"

"แต่ธีร์เป็นห่วง ถ้าคุณหลวงเป็นอะไรขึ้นมา..."คำพูดของผมขาดหายเมื่อมือหนากระชับแน่นขึ้น ความอุ่นปลาบแผ่ซ่านทั้งที่มือของเขาเย็นเยียบเช่นเดียวกับดวงตาคมที่สะกดให้ผมนิ่งเงียบ

"พี่รู้ว่าพ่อธีร์เป็นห่วง...พี่เองก็เป็นห่วงพ่อไม่น้อยไปกว่ากัน พ่อธีร์ไม่คิดหรือหากพ่อเป็นคนที่นอนอยู่ที่นี่ตอนนี้ พี่จะรู้สึกเช่นไร"เสียงนุ่มทว่าแหบพร่าพยายามเค้นคำพูดยาวเหยียดอย่างยากลำบาก

"พี่ต่างหากที่ต้องบอกพ่อธีร์ว่าอย่าทำเช่นนั้นอีก"สีหน้าไม่พอใจของคนบนเตียงเรียกให้ภาพเหตุการณ์เดิมกลับมาฉายวนอีกครั้ง...ภาพของตัวเองที่พยายามเอาตัวเข้าบังคมมีดวาววับ...สติที่รับรู้เพียงว่าจะไม่ยอมสูญเสียคนตรงหน้าไม่ว่าตัวเองจะเป็นยังไงก็ตาม

"หากมีใครสักคนต้องตาย...ขอให้เป็นพี่เถิด...โอ๊ย!"คนตัวสูงร้องลั่นเมื่อผมยกมือข้างที่ว่างขึ้นปิดปากเขาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น...มือที่พลาดไปโดนรอยช้ำที่มุมปากจนอีกฝ่ายเผลอส่งเสียงออกมาแทน

"ทำไมชอบพูดแบบนี้ครับ อยากตายมากเหรอไง"ครู่เดียวจากที่เขานิ่วหน้าเพราะความเจ็บกลายเป็นรอยยิ้มมุมปากเมื่อผมละมือออก ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเบาได้ไม่นานแล้วก็กลับมาขมวดคิ้วแน่นตามเดิมเพราะกระเทือนไปถึงแผลที่เอว

"แล้วพี่ตายหรือไม่เล่า ก็ยังอยู่ดีให้พ่อธีร์บ่นปาวๆเช่นนี้"เพิ่งฟื้นได้ไม่เท่าไหร่ก็ยียวนเหมือนเดิมจนผมได้แต่ส่ายหน้าปลง

"มีแรงเถียงแบบนี้เดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วนะครับ"

"ลุกขึ้นมาทำอย่างอื่นก็ได้นะพ่อ"คนบนเตียงส่งสายตาพราวระยับจนผมแทบอยากฟาดพลั่กเข้าให้สักรอบถ้าไม่ติดที่ผ้าพันแผลที่
เอวคอยเตือนสติเอาไว้เลยทำได้แค่แยกเขี้ยวใส่ ส่วนอีกฝ่ายได้แต่ลอยหน้าลอยตาซีดเซียวจนน่าหมั่นไส้


ยังไม่ทันได้เถียงอะไรกันต่อ เจ้าคุณจิตราก็เปิดประตูเข้ามาตามพอดี...ผมกล่าวลาคนป่วยพร้อมกำชับให้เขาพักผ่อน ตั้งใจไว้ว่าวันพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่ ถึงจะถูกยียวนกวนประสาทยังไงก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี เจ้าคุณไพศาลเองก็ยังบอกว่าหมอเบ็นบอกว่าอาการยังไม่น่าวางใจนักเพราะแผลที่ถูกแทงนั้นลึกมากต้องคอยดูกันอย่างใกล้ชิด แต่ถ้าไม่มีปัญหาอะไรพอแผลปิดสนิทดีแล้วถึงจะยอมให้กลับเรือนได้ ตอนนี้ยังต้องให้อยู่ที่เรือนหมอแกไปก่อนเพราะไม่อยากให้แผลกระทบกระเทือน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพอโล่งใจได้บ้างหลังได้เห็นเขาฟื้นขึ้นมา

.

.

.

.

"ผมมีเรื่องอยากขอร้องเจ้าคุณครับ"ผู้อาวุโสทั้งสองหันมามองพร้อมกันหลังกลับมาถึงเรือนได้ไม่นาน วันนี้คุณหญิงสร้อยท่านลงครัวแสดงฝีมือด้วยตัวเอง เจ้าคุณไพศาลจึงอยู่รอร่วมสำรับเย็นเหมือนเช่นเคย

"คือ......"ท่าทีอ้ำอึ้งทำให้เจ้าของเรือนออกอาการหงุดหงิดด้วยว่าท่านเป็นคนตรงไม่ชอบอะไรอ้อมค้อม ส่วนเจ้าคุณผู้มาเยือนเพียงนั่งรอฟังเงียบๆ

"ถ้าคุณหลวงกลับเรือนแล้ว...ผม...ผมขอไปช่วยดูคุณหลวงได้มั้ยครับ"จะว่าเป็นห่วงก็เป็นห่วง แต่อีกใจก็กลัวโดนเจ้าคุณท่านสงสัยเอาถึงได้ออกอาการอึกอักแบบนี้...ผมเหลือบมองเจ้าคุณจิตราที่นั่งขมวดคิ้วแน่นต่างจากอีกคนที่ยังคงนิ่งเงียบไม่แสดงสีหน้าใด

"เอ็งจะไปทำไม ทางโน้นเขาก็มีบ่าวไพร่คอยดูแลไม่ขาด"

"ก็......"จะพูดยังไงดีวะไอ้ธีร์...คิดสิคิด...จะบอกว่าเป็นห่วงก็ไม่ได้ออกนอกหน้าไป...กลัวหลวงพิสิษฐ์ตาย? เดี๋ยวก็ได้โดนถีบลงจากเรือน อยู่ดีๆไปแช่งคนสนิทเขา...แล้วผมจะบอกว่าอะไรดีวะเนี่ย!

"ถ้าพ่อธีร์อยากไปก็ไปเถิด ดีเสียอีกพ่อแก้วจะได้มีเพื่อน ให้นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในห้องประเดี๋ยวจะเบื่อเอา"กลายเป็นเสียงสวรรค์จากเจ้าคุณไพศาลที่ทำให้ผมไม่ต้องคิดหาข้ออ้างอะไรต่อ เจ้าคุณท่านเพียงอมยิ้มน้อยๆพลางส่งสายตามีนัยยะมาให้...สายตา...ที่ผมเริ่มรู้สึกว่ามันแปลกไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ผมกลับบอกไม่ถูกว่ามันหมายความถึงอะไร

"จะไม่เป็นการรบกวนเจ้าคุณหรือ"เจ้าของเรือนยังคงไม่แน่ใจหากแต่อีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าเบาๆ

"รบกวนอะไรกันเล่า พ่อธีร์เองก็ไปที่เรือนบ่อย ให้ไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อแก้วสักพักไม่เห็นจะเป็นอะไร"ได้ยินแบบนั้นเจ้าคุณจิตราถึงได้เอาแต่มองหน้าผมสลับกับผู้มาเยือนไปมาอย่างชั่งใจก่อนจะพรูลมหายใจยาว

"เอ้า! เจ้าของเรือนเขาอนุญาตแล้ว ข้าจะไปขัดอะไรได้ เอ็งไปอยู่เรือนโน้นก็อย่าเกียจคร้านหากเจ้าคุณเขามีงานอะไรให้ช่วยได้ก็ช่วย เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่"ผมฉีกยิ้มกว้างรีบรับคำแข็งขัน...แต่คำพูดเจ้าคุณท่านมันทะแม่งๆนะครับ เริ่มไม่แน่ใจว่าผมขอไปดูแลคนป่วยหรือถูกส่งตัวเข้าหอกันแน่วะเนี่ย?!...เหลือบไปเห็นไอ้ตัวดีนั่งปิดปากกลั้นหัวเราะอยู่ไม่ไกล ท่าทางมันน่าถีบพิลึก




"กูนึกว่าพ่อเจ้าสาวอวยพรคืนวันส่งตัวเข้าหอซะอีก"ยังไม่ทันขาดคำ ไอ้ตัวดีก็แกว่งปากแซวตั้งแต่ก้าวขาเข้าห้องนอน ผมเลยจัดการโบกมันไปสักทีให้มันหายคิดถึง

"เชี่ย! เขินแรงตลอด"คนถูกกระทำยกมือขึ้นลูบหัวเกรียนๆของตัวเองพลางบ่นอุบ แล้วผมเขินอะไรวะ...ไม่ได้เขินสักหน่อย ไอ้นี่พูดจาเลอะเทอะ

"แหม่ เป็นห่วงถึงขนาดต้องขอตามไปดูแลที่เรือน นี่ถ้าคุณหลวงหายดีไม่รีบยกขันหมากมาขอมึงเลยเหร๊อ อะไรจะรักกันขนาดน้านนนนน"ผมปล่อยให้แชมป์พล่ามของมันไปตามประสาแล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิบนเตียงแทนจนไอ้ตัวดีที่บ่นยาวเหยียดไปเรื่อยหันมามองก่อนจะหุบปากฉับ

"เป็นอะไรอีกวะ"คำถามที่ผมทำได้เพียงถอนหายใจยาว...จะว่าดีใจก็ดีใจอยู่แต่มันกลับมีความรู้สึกแปลกๆซ้อนขึ้นมา...ไอ้ความรู้สึกหน่วงหนึบเหมือนมีใครเอาหินมาวางทับไว้ ถึงได้เห็นเขาลืมตาฟื้นขึ้นต่อหน้าความรู้สึกนี้มันก็ยังไม่หายไป นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเอ่ยปากขอไปดูแลเขาที่เรือนทั้งที่รู้ว่าเจ้าคุณจิตราเองก็คงสงสัยไม่น้อย


ผมเป็นห่วง...ในขณะเดียวกัน...ผมก็กลัว...กลัวอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น


"ธีร์! เป็นอะไรอีกเนี่ย"ผมเพียงไหวไหล่ตอบแชมป์ที่ตอนนี้มานั่งอยู่ข้างๆ เห็นมันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ




"เออ แล้วเรื่องคนร้าย...มึงเห็นหน้ามันรึเปล่าวะ"


หากแต่ความกังวลเมื่อครู่กลับหายวับเมื่อได้ยินคำถามของมัน ความรู้สึกชาวาบแล่นปราดขึ้นมาแทนที่จนมือไม้เย็นเยียบ...ดวงตาของผมแข็งกร้าวเมื่อสบเข้ากับดวงตาเรียวรีของแชมป์จนมันได้แต่ห่อไหล่ด้วยความตระหนก


"เห็น..."

"ใครวะ...มึงรู้จักเหรอ"คำตอบของผมมีเพียงเสียงแค่นหัวเราะหึในลำคอ...คนๆนั้น...รู้จักเสียยิ่งกว่าอะไร ทั้งที่ตั้งแต่แรกก็ไม่เคยมีความคิดอยากรู้จักด้วยเลยสักนิด


"ใครวะธีร์"ไอ้ตัวดียื่นหน้าเข้ามาถามอย่างกล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปนาน


"มึงไม่ต้องรู้หรอกว่ามันเป็นใคร......."คนฟังขมวดคิ้วมุ่นตามนิสัยอยากรู้อยากเห็นของมัน





"...แต่กูไม่ปล่อยมันไว้แบบนี้แน่..."




........................................โปรดติดตามตอนต่อไป................................................



พี่แก้วปลอดภัยแล้ว (จริงเร้อออออ :ruready)

ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามกันนะคะ รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิม
แต่ตอนหน้าขอเวลานานหน่อยเพราะมีภารกิจค่า
อาจจะกลับมาต่อได้ต้นเดือนหน้าเลย แต่จะพยายามลงให้เร็วกว่านั้น(ถ้าทำได้)

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 15-11-2014 00:46:42
มาม่าต้มเปื่อยรึยังคะ อยากยกลงแล้วต้มน้ำตาลแทนแล้วจ้าาา55555

ขออนุญาตจิ้มก่อนนะคะ ปั่นงานเสร็จแล้วจะมาฟินเจ้าาา ^_^ +ค่า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-11-2014 02:23:39
รอดูพ่อธีร์จะจัดการยังไง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 15-11-2014 09:24:33
ผู้ใหญ่เหมือนจะรู้เลยยย
แต่ธีร์จะโหดละนะมาทำพี่แก้วแบบนี้
ดีใจที่คุณหลวงปลอดภัยค่าาา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Mississippi ที่ 15-11-2014 10:17:03
หน่วงอ่ะค่าาาาาาาาาาาาาาา อย่าทำร้ายพี่แก้วกับพ่อธีร์ไปมากกว่านี้เลยยยย ให้เค้ารักกันอย่างแฮปปี้เอนดิ้งเถอะนะเจ้าคะ บ่าวขอร้องงงงงงงงงงง :heaven
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 15-11-2014 12:54:31
เฮ้อ โชคดีที่ใกล้เรือนหมอนะนั่น
ตอนแรกกลัวมาก เพราะสมัยนั้นเครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย
หากช้าไปนิด มันจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าในยุคปัจจุบันมาก
พี่แก้วนี่ ยังมีแรงมาเล่น จะทำอะไรน้องธีร์ล่ะ ฮุๆๆ
เจ้าคณไพศาลต้องจับความรู้สึกหรือสายตาหรืออะไรก็แล้วแต่ได้แน่เลย
ยังดีที่ไม่กีดกัน แต่ทางเจ้าคุณจิตรานี่สิ ถ้าระแคะระคายขึ้นมา ต้องแย่แน่ๆ
แล้วน้องธีร์หน่วงอะไรอ่า พาเอาคนอ่านเครียดไปด้วยเลย งื้อ

เกือบลืม แม่เดือนจะโดนอะไรมั้ย
แต่อยากให้หลวงเจษฎ์โดนอะไรซะบ้าง
อยากให้คนอื่น หรืออย่างน้อยก็เจ้าคุณทั้งสองรู้ว่าเป็นฝีมือหลวงเจษฎ์อ่ะ
คนเขียนช่วยจัดด้วยนะคะ ฮึ่มๆ

รออ่านต่อนะคะ ทำไมจะหายไปนาน ดิ้นๆๆ
แต่ชอบที่เวลามาต่อทีแต่ละตอนยาวได้ใจ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 15-11-2014 17:53:10
ชลนธีร์นี่สายโหดนะรู้ยัง พวกเอ็งเจอดีแน่!! //ยังไงไม่รู้ ขู่ไว้ก่อน
 :fire:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 16-11-2014 16:02:03
เจ้าคุณไพศาลไม่กีดกันสะด้วยยย 
ว่าแต่งพ่อทีหนึบๆอะไรอีกละเนี้ย ไม่ขอมาม่าเเล้วนะคะ
ใจหานยังไงไม่รู้ อยากกินน้ำตาลแล้วค่า 
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 17-11-2014 09:21:25
จะทำอะไรละนั่น :hao4:  อย่าทำให้พี่แก้วเขาเป็นห่วงสิธีร์
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 17-11-2014 10:08:20
แง้!! มาม่ากับไอ่หลวงหื่นกามยังไม่จบง่ายๆใช่มั้ยคะ? ฮือออ สงสารน้องธีร์กับคุณหลวง
ถึงจะมาม่า แต่ขอรสหวานด้วยได้มั้ยคะ? อย่าเอารสเผ็ดเลย เค้าน้ำตาจะไหล 5555
รอติดตามค่ะ ว่าสิ่งที่น้องธีร์คาใจมันคืออะไรกันนะ???  :katai1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 20-11-2014 00:02:04
พ่อธีร์ใจเย็นๆ พี่แก้วไม่สบายอยู่เดี๋ยวไปช่วยไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 21-11-2014 00:19:56
เล่นให้หนักเลยค่ะ คนนิสัยแบบนี้ท่าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้
แต่เตรียมหลักฐานไปดี ๆ ด้วยน่อ เดี๋ยวจะโดนเสยกลับจนหงายเงิบ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 03-12-2014 04:09:27
ยังไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 03-12-2014 08:40:35
คิดถึงคุณหลวงกับน้องธีร์
เมื่อไหร่คนเขียนจะมาต่อน้าาา
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 03-12-2014 14:41:36
พี่แก้วปลอดภัยแล้ว ดีใจจัง เหมือนเจ้าคุณไพศาลจะรู้ความสัมพันธ์ของพี่แก้วกับน้องธีร์แล้วเลยนะ
แล้วก็ไม่คัดค้านด้วย ค่อยยังชั่วหน่อย ว่าแต่น้องธีร์ คิดจะทำอะไร ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ๆนะ
ต้องคิดถึงคนที่รักเราเอาไว้ให้มาก ๆ รู้ไหม  ขอให้เรื่องนี้อย่ามีดราม่าเลยนะคะ
อยากให้พี่แก้วน้องธีร์ ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปจังเลย
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: soullmate ที่ 08-12-2014 00:44:01
กริ๊ดดดดดด พี่แก้วของธีร์   อย่าดราม่า มากนะค่ะ จิร้องไห้ 
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: soullmate ที่ 08-12-2014 00:46:29
กริ๊ดดดดดด พี่แก้วของธีร์   :hao5: :hao5: อย่าดราม่า มากนะค่ะ จิร้องไห้   :sad11:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Chk~a ที่ 09-12-2014 22:57:53
ติดใจพี่แก้ววว ว

หายไวๆนะ ธีร์เล่นงานให้หนักเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 10-12-2014 12:21:14
มารอพี่แก้วน้องธีร์จ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 10-12-2014 22:34:56
ตอนที่ ๓๒...สับสน...



ถึงจะพูดกับแชมป์ไปแบบนั้น แต่เอาเข้าจริงผมก็ยังไม่รู้หรอกครับว่าผมจะทำอะไรคนอย่างหลวงเจษฎารังสรรได้ นอกเสียจากบอกความจริงกับเจ้าคุณทั้งสองแล้วให้กฎหมายเป็นตัวตัดสินความผิดของมัน

แต่ความตั้งใจที่จะเอาเรื่องคนผิดของผมกลับถูกพับเก็บใส่กรุเอาไว้เมื่อผมได้กลับไปที่เรือนหมอเบ็นอีกครั้งหลังจากเกิดเหตุการณ์ในคืนนั้นได้ห้าวัน...อาการของหลวงพิสิษฐยังไม่ดีขึ้นมากนักแต่ก็ไม่ได้แย่ลงกว่าเดิม...ร่างสูงโปร่งยังคงนอนนิ่งบนเตียงเพราะบาดแผลยังไม่ปิดสนิทดี มีเพียงดวงตาคู่สวยที่ส่องประกายสดใสกว่าวันแรกและน้ำเสียงแหบพร่าที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ



...ผมหมายถึง...คำหยอกล้อและมุขหวานเลี่ยนที่เจ้าตัวถนัดนั่นแหละครับที่กลับมาเป็นปกติ...



"เจ้าคุณเสนาบดีท่านฝากมาขอบใจที่พ่อแก้วช่วยเหลือเรื่องงานเลี้ยงแลยังว่าให้พ่อรีบรักษาตัวให้หายโดยเร็ว"เพราะงานเลี้ยงรับรองทูตที่ผ่านไปด้วยความราบรื่นและได้รับคำชมจากอาคันตุกะไม่ขาดปากพาให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต่างโล่งใจไปตามๆกัน แม้แต่คนนอกที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเขายังได้รับความดีความชอบจนเจ้าคุณเสนาบดีแห่งกรมการต่างประเทศต้องฝากคำขอบคุณมากับเจ้าคุณคนสนิท

"กระผมฝากกราบขอบพระคุณเจ้าคุณเสนาบดีท่านด้วยขอรับ"เจ้าคุณไพศาลยิ้มรับอ่อนโยน หลังเสร็จงานจากกรม ท่านและเจ้าคุณจิตราก็รีบตรงมาที่นี่ทันที ส่วนผมที่กลายเป็นคนว่างงานหลังเสร็จงานเลี้ยงทูตก็มารับหน้าที่ดูแลคนป่วยต่อ เจ้าคุณทั้งสองจึงไม่แปลกใจนักที่เห็นผมคอยป้วนเปี้ยนอยู่ที่เรือนหมอทุกวัน

"หมอเบ็นว่าอาการพ่อแก้วดีขึ้น อีกไม่นานคงกลับเรือนได้"

"กระผมก็หวังเช่นนั้นขอรับ รบกวนหมอเบ็นเสียหลายวันแล้ว"ดูเอาเถอะครับคนเรา โดนแทงอาการสาหัสเป็นตายเท่ากันแต่ยังเกรงใจหมออยู่อีก

"จริงซี...ว่าจะถามพ่อแก้วแลพ่อธีร์ตั้งแต่วันก่อน...เรื่องคนร้าย..."หากแต่คำพูดถัดมาของเจ้าคุณท่านพาให้บรรยากาศในห้องอึมครึมลงถนัดตา...คนป่วยยังคงนอนนิ่ง มีเพียงดวงตาคมที่ปรายมองสบเข้ากับผมที่ยืนอยู่ไม่ไกล แม้แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังมีสีหน้าแบบไหน

"คืนนั้นพ่อทั้งสองพอจะเห็นหน้าคนร้ายบ้างหรือไม่"เจ้าคุณไพศาลขมวดคิ้วมุ่นเพราะเรื่องสำคัญที่เพิ่งนึกขึ้นได้ ไม่ต่างจากผมที่ยืนกำมือแน่นจนสั่น เพราะทุกครั้งที่ใครสักคนเอ่ยถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ภาพของใครคนหนึ่งมักลอยเข้ามาในความคิดเสมอ...คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด คนที่ทำให้ความโกรธเกลียดค้างคาในใจของผมจนไม่สามารถให้อภัยได้



ดวงตาคมของคนบนเตียงชำเลืองมอง...ปากที่ไวกว่าความคิดกำลังจะตอบรับแต่ไม่เร็วไปกว่าเสียงแหบพร่าของเจ้าตัว



"ไม่เห็นขอรับ"หากแต่มันเป็นคำตอบที่ทำให้ผมหงุดหงิดเพราะความไม่เข้าใจ

"จำลักษณะท่าทางไม่ได้เลยรึ"เจ้าคุณจิตราเป็นฝ่ายซักไซร้บ้างแต่คนป่วยยังคงยืนยันคำตอบเดิม



...คำตอบ...ที่ผมไม่เข้าใจ...



"เจ้าคุณครับ"หลังจากยืนมองหลวงพิสิษฐสลับกับเจ้าคุณทั้งสอง ผมจึงตัดสินใจที่จะบอกความจริง เพราะสำหรับผม มันไม่ใช่เรื่องที่ควรปิดบัง...คนทำผิดควรถูกลงโทษ แม้จะเป็นลูกท่านหลานเธอหรือคนใหญ่คนโตมาจากไหนก็ไม่มีข้อยกเว้น...โดยเฉพาะ...คนเลวๆแบบมัน

"ผมรู้......"

"กระผมขอคุยกับพ่อธีร์ตามลำพังสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ"แต่กลับเป็นอีกครั้งที่ถูกขัดจังหวะ...เจ้าคุณจิตราชะงักไปเพียงครู่ขณะกำลังตั้งใจฟัง ไม่ต่างจากผมที่หันไปจดจ้องอีกฝ่าย สีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่แม้แต่ปรายตามองมาทางนี้ และก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรเสียงพรูลมหายใจเบาของเจ้าคุณไพศาลก็ดังขึ้นเสียก่อน

"เช่นนั้นเราออกไปรอข้างนอกเถิด ว่าจะถามหมอเบ็นเรื่องพ่อแก้วเสียหน่อย"เจ้าคุณท่านยังมีท่าทีสงบนิ่งต่างจากผู้อาวุโสอีกท่านที่ยืนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพียงแค่เดินตามหลังเจ้าคุณไพศาลออกไปจากห้อง




"ทำไมถึงไม่บอกครับ"ทันทีที่ประตูปิดลงผมก็รีบยิงคำถามใส่อีกฝ่ายทันที

"ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พี่เองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว"ใบหน้าคมนิ่งเฉย มีเพียงเสียงถอนหายใจเบาให้ได้ยินและมันยิ่งทำให้ผมสติแตก

"เกือบตายนี่ยังเรียกว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอครับ!"อารมณ์ที่คุกรุ่นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายตื่นตระหนก เขายังคงนอนหลับตานิ่งราวกับเบื่อหน่ายเรื่องพวกนี้เต็มที ผิดกับผมที่เป็นเดือดเป็นร้อนจนอยู่เฉยไม่ได้

"จะปกป้องคนแบบนั้นไปทำไม หรือคุณหลวงกลัวบารมีเจ้าคุณเดโช?"

"พี่ไม่ได้กลัว..."

"แล้วทำไมถึงไม่บอกล่ะครับ"ผมทรุดตัวลงนั่งบนพื้นที่ว่างบนเตียง จับมือของคนข้างๆขึ้นมากุมเอาไว้แน่น ผมกำลังร้องขอให้เขาทำในสิ่งที่ควรทำ



...หากแต่คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ...



"ถ้าคุณหลวงไม่พูด ธีร์จะเป็นคนบอกเจ้าคุณท่านเอง!"ผมยื่นคำขาดพร้อมผละลุกจากเตียงตั้งใจจะเดินออกไปบอกความจริงกับเจ้าคุณทั้งสองให้มันจบเรื่องไปเสียที แต่กลับถูกมือหนาของอีกฝ่ายเอื้อมมารั้งเอาไว้

"อย่าเชียวพ่อ!"ทั้งยังน้ำเสียงร้อนรนของเขายิ่งทำให้ผมฉุนขาด

"พี่แก้วเป็นอะไร ทำไมถึงปกป้องคนผิดทั้งที่มันทำกับพี่แก้วขนาดนี้!"ผมสะบัดข้อมือที่ถูกฉวยเอาไว้อย่างลืมตัวจนมือหนาที่เกาะกุมกระตุกวูบ คนบนเตียงนิ่วหน้าเพราะแรงเหวี่ยงกระเทือนไปถึงแผลที่เอว

"พี่ไม่ได้ปกป้อง...แต่หากพี่พูดไป เรื่องที่เรือนแพวันนั้นก็จะแดงขึ้นมาแลคนที่เสียหายก็คือพ่อธีร์...พ่ออยากให้คนอื่นเขารู้เรื่องน่าอับอายวันนั้นหรือ"ถึงแม้สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บที่แล่นริ้วจากบาดแผลแต่ดวงตาคมกริบยังคงสงบนิ่ง

"มันต่างหากที่ควรจะต้องอาย ไม่ใช่ธีร์!"

"แต่พี่ไม่ยอม...พี่จะไม่ยอมให้ใครพูดถึงพ่อธีร์ให้เสื่อมเสีย"ให้ตายสิหลวงพิสิษฐ จะมานึกปกป้องชื่อเสียงอะไรเอาตอนที่ตัวเองถูกทำร้ายจนใกล้ตายแบบนี้วะ!

"ธีร์ก็ไม่ยอมให้คนผิดลอยนวลแบบนี้เหมือนกัน"

"แล้วพ่อคิดว่าหากพูดไปเรื่องมันจะจบเพียงเท่านี้รึ!"ความคิดที่สวนทางจบลงด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างจากคนที่นอนอยู่บนเตียง...นับเป็นครั้งที่สองหลังจากเกิดเรื่องที่เรือนแพที่ผมได้เห็นท่าทีดุดันของอีกฝ่าย...ดวงตาคมวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจเหมือนสายตาของเขาในวันนั้นจนผมเองที่กลายเป็นฝ่ายเงียบลง

"แม้เอาผิดกับหลวงเจษฎ์ได้ใช่ว่าจะจบเรื่อง ซ้ำยังยิ่งโหมไฟให้แรงขึ้นเสียอีก พ่อเองก็รู้ว่าหลวงเจษฎ์เป็นเช่นไร มีหรือที่คนอย่างเขาจะยอมอยู่เฉยไม่ระรานต่อ"ยิ่งคนป่วยแผดเสียงดังเท่าไหร่ใบหน้าคมก็ยิ่งบูดเบี้ยวเพราะแผลที่ถูกกระทบกระเทือนจากการระเบิดอารมณ์ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดเมื่อเห็นว่าผมยังคงยืนกำมือแน่นจนสั่น

"เจ้าคุณเดโชท่านมีอำนาจมากเพียงใดพ่อธีร์ก็รู้ มีหรือที่ท่านจะไม่ปกป้องลูกชายตัวเอง...แล้วอย่างไรเล่า เอาผิดเขาก็ไม่ได้ซ้ำยังยิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โตให้เขากลับมาทำร้ายเอาอีกรึ"

"ที่พูดมาทั้งหมด...สรุปว่าพี่แก้วเองก็กลัวบารมีเจ้าคุณเดโชสินะ"ดวงตาคมเบิกกว้างก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาวอีกครั้ง...ใบหน้าคมหมองลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามอธิบายให้ฟังเลยสักนิด

"ลำพังตัวพี่เองให้เจ็บกว่านี้พี่ก็ทนได้...แต่คนที่พี่เป็นห่วงก็คือพ่อธีร์ พ่อก็เห็นแล้วทั้งเรื่องที่เรือนแพแลยังคืนงานเลี้ยง เขาเกรงกลัวใครเสียที่ไหน หากเขานึกทำอะไรพ่อธีร์ขึ้นมาอีกจะให้พี่ทำอย่างไรเล่า...พ่อธีร์อยากเห็นพี่ขาดใจตายเสียตรงนี้รึ"หากแต่น้ำเสียงแหบพร่าเว้าวอนนี้ต่างหากที่เรียกสติของผมให้กลับมา ผมมองสำรวจร่างสูงที่นอนนิ่งบนเตียงอีกครั้ง...ผ้าพันแผลสีขาวยิ่งย้ำเตือนถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น...ปลายมีดคมกริบที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเลแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เพียงพลั้งมือหากแต่จงใจให้ถึงชีวิต และคนที่นอนอยู่ที่นี่ตอนนี้อาจเป็นผมถ้าเขาไม่เอาตัวเข้าขวางเอาไว้...หรือไม่...ผมอาจไม่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ก็เป็นได้


"เชื่อพี่สักครั้งเถิดพ่อ ถือเสียว่าพี่ขอ"ผมเงียบ...เป็นความเงียบที่ผมไม่สามารถเถียงอะไรได้ต่อ ถึงอย่างนั้นความขัดแย้งในใจยังคงไม่หายไป...จะปล่อยให้คนผิดลอยนวลต่อไปแบบนี้โดยไม่เอาความอะไรผมก็ทนไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดผมเองก็เข้าใจ...แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ!




คำขอร้องของคนป่วยยังไม่ได้การตอบรับใดเมื่อเจ้าคุณทั้งสองกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเพื่อกล่าวลา...สีหน้าของท่านคลายกังวลลงมากเมื่อได้ยินจากหมอเบ็นว่าคนป่วยจะได้กลับเรือนภายในสี่หรือห้าวันนี้ แต่ยังคงกำชับให้ดูแลกันอย่างใกล้ชิดเพราะบาดแผลอาจติดเชื้อได้ทุกเมื่อ

"ประเดี๋ยวเอ็งกลับเรือนไปก่อน ข้าต้องไปธุระกับเจ้าคุณไพศาล"เจ้าคุณจิตราหันมาบอกผมหลังจากร่ำลาคนป่วยแต่กลับทำให้คนบนเตียงสงสัยในท่าทีรีบร้อนของผู้อาวุโสทั้งสอง เพราะยามปกติหลังเสร็จงานในกรมหากมีธุระต้องทำต่อนั่นหมายถึงเรื่องสำคัญ

"มีงานด่วนหรือขอรับ"

"ไม่ใช่งานด่วนอันใดหรอก...เจ้าคุณเสนาบดีท่านเพียงฝากของกำนัลไปขอบคุณเจ้าคุณเดโชที่ท่านช่วยเหลือให้งานเลี้ยงสำเร็จลุล่วง"ชื่อของบุคคลที่สามที่เพิ่งถูกพูดถึงเรียกให้ผมหันกลับไปมองคนที่นอนขมวดคิ้วมุ่นส่งสายตาคมกริบมาให้ราวกับล่วงรู้ความคิด...หากแต่เขายังไม่ทันได้ออกปากห้ามผมก็ดันโพล่งออกไปเสียก่อน

"ให้ผมไปด้วยนะครับ!"แม้แต่เจ้าคุณทั้งสองก็มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยิน ท่านเองก็พอรู้มาบ้างว่าผมไม่เป็นที่ถูกชะตาของเจ้าคุณเดโชเท่าไหร่นักและผมก็มักบ่ายเบี่ยงเสมอเมื่อถูกชักชวนให้ไปเยือนเรือนหลังใหญ่นั้น

"ดีเหมือนกัน เอ็งเคยปรึกษางานกับเจ้าคุณท่านมาบ้างก็ควรไปขอบคุณท่านเสียหน่อย ภายหน้าหากมีงานอะไรท่านจะได้ช่วยเหลือ"หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสองมองหน้ากันไปมาอย่างครุ่นคิด สุดท้ายก็เป็นเจ้าคุณจิตราที่ตอบตกลง...เพียงแต่ท่านยังไม่รู้ ว่าผมไม่ได้หวังให้เจ้าคุณผู้สูงศักดิ์คนนั้นมาเอ็นดูรักใคร่หรือแม้แต่นึกอยากได้ความช่วยเหลืออะไรในภายหลัง และสิ่งที่ผมต้องการก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าของเรือนที่ผมกำลังจะไปเยือนแม้แต่น้อย



ผมแค่อยากเห็น...น้ำหน้าของคนผิด...สีหน้าของมันตอนที่เห็นผมไปถึงเรือนพร้อมเจ้าคุณทั้งสอง



และผมก็อยากให้มันได้เห็น...สภาพของผมหลังผ่านเหตุการณ์ในคืนนั้น...บาดแผลที่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าและลำตัว...ร่องรอยของความเกลียดชังที่มีคนแบบนั้นบงการอยู่เบื้องหลัง



"พ่อธีร์..."น้ำเสียงเป็นกังวลเรียกให้เท้าที่กำลังก้าวออกจากห้องชะงักไปเพียงครู่ ผมหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง ใบหน้าคมส่ายไปมาช้าๆราวกับคำทักท้วงไม่ให้ผมทำอะไรก็ตามที่กำลังคิดอยู่

"พี่แก้วไม่ให้ธีร์บอกเจ้าคุณท่าน...ธีร์ก็จะไม่บอกครับ...พี่แก้วไม่ต้องเป็นห่วง"สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ผมเข้าใจดี...เพียงแต่สิ่งที่ผมรับปาก...คือการไม่บอกความจริงกับเจ้าคุณทั้งสอง



...แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะปล่อยให้คนผิดลอยนวลอยู่แบบนี้โดยที่ผมไม่คิดจะทำอะไร...




.................................................................................................



...ภาพที่ผมคิดเอาไว้ไม่ผิดไปจากสิ่งที่เห็นในตอนนี้นัก...ทั้งสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเห็นผู้มาเยือน...ท่าทีร้อนรนที่พยายามซุกซ่อนไม่ให้ใครได้เห็น หรือแม้แต่ดวงตาที่เคยแข็งขึงดุดันคอยหลบสายตาทั้งจากผู้อาวุโสทั้งสองและสายตาเย็นเยียบของผมที่จดจ้องไม่ลดละ...หลวงเจษฎารังสรรในเวลานี้ไม่ต่างอะไรจากวัวสันหลังหวะเพราะความผิดที่ติดตัวสะท้อนออกมาจากท่าทีของเขาอย่างเห็นได้ชัด

"ได้ยินว่าหลวงพิสิษฐเจ็บหนัก เป็นอย่างไรบ้างรึ"แม้แต่เจ้าของเรือนที่เคยตั้งแง่กับหลวงพิสิษฐไว้มากยังมีท่าทีอ่อนลงเมื่อได้ยินข่าวคราว

"ปลอดภัยดีแล้วขอรับ แต่ยังต้องรักษาตัวอีกนานเพราะถูกทำร้ายหนักนักขอรับ"คนถามเพียงถอนหายใจยาวเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากปากเจ้าคุณไพศาลก่อนจะเหลือบมองมาทางผมที่นั่งอยู่ด้านหลัง เพราะรอยแผลบนใบหน้ายังคงเด่นชัดจนท่านอดถามออกมาไม่ได้

"แล้วเอ็งเล่า เป็นอย่างไรบ้าง"

"ผมไม่เป็นอะไรมากครับ ดีที่ได้คุณหลวงช่วยเอาไว้...ไม่งั้นคงแย่"ท้ายประโยคเพียงปรายสายตาเย็นเยียบมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าของเรือนที่พยายามข่มสติให้นิ่งหากแต่ความร้อนรนที่ฉายออกมาจากนัยน์ตาดุดันนั้นกลับปิดไม่มิด

"ไม่เป็นอะไรมากก็ดี แต่ฉันสงสัยนักว่าใครมันกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ถนนหน้ากรมแม้เป็นเวลาดึกดื่นแต่ก็ใกล้เขตพระราชฐานนัก พวกมันไม่เกรงกลัวอาญาบ้างรึ!"เสียงบ่นของเจ้าของเรือนพาให้คนนั่งข้างๆสะดุ้งโหยง...ดวงตาคมกลอกไปมาไม่กล้าสบตาใครยิ่งเรียกรอยยิ้มเย็นจากผมที่นั่งอยู่ไม่ไกล

"นั่นสิครับ...ใครมันช่างกล้า"ยิ่งได้เห็นสีหน้าร้อนรนผมยิ่งได้ใจ หากแต่คำพูดของหลวงพิสิษฐยังคอยเตือนสติอยู่เสมอ...คนตรงหน้าอันตรายเกินกว่าที่ผมจะเอาตัวเข้าไปปะทะด้วย ทั้งบารมีของผู้เป็นพ่อที่คุ้มหัวและยังมีผู้ติดตามของมันที่พร้อมจะทำทุกอย่างตามที่ผู้เป็นนายสั่ง

"กระผมได้ประสานไปทางกรมกองตระเวนหัวเมืองแล้ว คาดว่าไม่นานจะติดตามเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้เป็นแน่ขอรับ"เจ้าของเรือนเพียงพยักหน้ารับคำของเจ้าคุณผู้มาเยือน ผิดกับลูกชายที่นั่งเงียบหลุบตาต่ำเมื่อได้ยินว่าทางการกำลังเร่งสอบสวนหาคนผิด



"แม่เดือนไม่อยู่หรือขอรับ ตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้พบหน้า"คำถามของเจ้าคุณจิตราเรียกให้ผมสอดส่ายสายตาไปรอบตัวเรือน...จริงอย่างที่ว่าเพราะปกติลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าคุณเดโชมักคอยดูแลความเรียบร้อยบนเรือนใหญ่เสมอหากสามีของเธออยู่ด้วย แต่วันนี้กลับไม่ได้พบตั้งแต่ขึ้นเรือนมา

"แม่เดือนไม่ค่อยสบาย นอนซมตั้งแต่คืนงานเลี้ยงโน่นล่ะ จนป่านนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น"เจ้าของเรือนถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าเป็นกังวล

"ให้หมอมาดูอาการหรือยังขอรับ"ผู้มาเยือนถามต่อด้วยความเป็นห่วง เพราะสำหรับท่านแล้วคุณเดือนก็เหมือนลูกเหมือนหลานที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก

"ทั้งหมอไทยหมอฝรั่งยังหาสาเหตุไม่ได้ ถามอะไรรึก็ไม่ยอมพูดจาเอาแต่นอนซมอยู่ในห้อง"

"เช่นนั้น กระผมขอเข้าไปเยี่ยมแม่เดือนสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ"สีหน้าของเจ้าคุณจิตราไม่สู้ดีนักเมื่อได้ฟังอาการป่วยประหลาดที่เจ้าคุณเดโชว่า หากแต่เจ้าของเรือนยังไม่ทันได้ตอบอะไร ผู้เป็นลูกชายที่นั่งเงียบอยู่นานก็โพล่งขึ้นเสียงดังเสียก่อน

"อย่าเลยขอรับ!"ทั้งน้ำเสียงร้อนรนยิ่งทำให้คนรอบข้างสงสัย

"กะ...กระผมคิดว่าควรให้แม่เดือนได้พักผ่อนขอรับ...เพิ่งจะให้บ่าวยกยาเข้าไปให้เมื่อครู่...เห็นทีจะหลับไปเสียแล้วขอรับ"ผมหรี่ตามองอาการของคนตัวใหญ่ที่พยายามข่มเอาไว้ให้เป็นปกติ เจ้าคุณทั้งสองเพียงพยักหน้ารับคำ ผิดกับผมที่ยังคงจดจ้องอีกฝ่ายด้วยความสงสัย...น่าแปลกที่อยู่ดีๆคุณเดือนล้มป่วยแถมยังเป็นวันเดียวกับที่เกิดเรื่องขึ้นกับผมและหลวงพิสิษฐ มันเหมาะเจาะเกินกว่าที่ผมจะคิดได้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แล้วยังเรื่องที่หลวงเจษฎ์มีท่าทีร้อนรนตอนที่เจ้าคุณท่านขอเข้าไปดูอาการอีก อดคิดไม่ได้ว่าคุณเดือนเธอจะรู้เรื่องอะไรเข้าจนถึงขั้นถูกลงไม้ลงมือหรือเปล่า



เมื่อไม่ได้เข้าไปเยี่ยมไข้คนที่ท่านเอ็นดูเหมือนลูกหลาน เจ้าคุณทั้งสองจึงขอลากลับหลังเสร็จธุระโดยมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าคุณเดโชรับอาสาลงไปส่งที่หน้าเรือน



หากแต่เพียงชั่วครู่ที่ผมแหงนหน้ามองหน้าต่างแบบบานพับบนเรือนใหญ่ เงาของใครคนหนึ่งที่ผมจำได้ดีก็ปรากฎขึ้น...รูปร่างบอบบางดูซีดเซียวลงกว่าครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบ ใบหน้าหวานระเรื่อตอนนี้กลับอิดโรยหม่นหมอง...คุณเดือนที่ยืนลอบมองพวกผมผ่านหน้าต่างไม้ในห้องนอนสะดุ้งสุดตัวเมื่อสบตาเข้ากับผมที่ยืนขมวดคิ้วแน่นก่อนที่เงาร่างบอบบางของเธอจะหลบหายไปทันที

"มีอะไรรึพ่อธีร์"เจ้าคุณไพศาลชะงักฝีเท้าหันกลับมามองก่อนจะไล่สายตาตามผมขึ้นไปยังบานหน้าต่างที่ตอนนี้ว่างเปล่าเหลือเพียงผ้าม่านโปร่งสีขาวนวลปลิวเอื่อยเพราะแรงลม

"เปล่าครับ"ผมตอบกลับสีหน้าสงสัยของผู้อาวุโสกว่าทว่ารู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบของใครอีกคนที่จดจ้องไม่วางตา...หลวงเจษฎารังสรรยืนนิ่งอยู่ข้างรถลากคันใหญ่ที่มีเจ้าคุณจิตราขึ้นไปนั่งคอยอยู่ก่อนหน้า...ใบหน้าขึงขังจับจ้อง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมตวัดสายตามองกลับไม่ลดละ...สีหน้าของเขาแม้แฝงไปด้วยความหวาดระแวงทว่ายังคงแข็งกร้าวน่ากลัวไม่เคยเปลี่ยน...ผมกำมือแน่นพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ให้เผลอปราดเข้าไปต่อยหน้ามันสักทีสองทีให้หายแค้น ถึงอย่างนั้นสายตาที่เคยหลบเลี่ยงคนตัวใหญ่ตรงหน้าเสมอยังคงจดจ้องไม่ยอมแพ้

"ไปเถิดพ่อธีร์"หากแต่เสียงทุ้มของเจ้าคุณไพศาลเรียกสติให้กลับมาก่อนที่ผมจะพาตัวเองตามผู้อาวุโสกว่าขึ้นไปนั่งบนรถลาก ลูกชายเจ้าของเรือนเพียงกล่าวลาพร้อมยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อมขัดกับแววตาดุดันที่ยังคงมองมาที่ผม...แววตาที่ผมเคยคิดว่ามันน่ากลัวแต่ในตอนนี้ผมกลับไม่เกรงกลัวเลยสักนิด เพราะคนที่ควรละอายต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่ผม...แต่เป็นมันต่างหาก...



วงล้อรถเริ่มหมุนวนเมื่อรถลากคันใหญ่ออกตัว พร้อมกับความคิดของผมที่วนเวียนไม่ต่างกัน



ผมควรจะปล่อยเรื่องทั้งหมดให้จบลงแบบนี้หรือ?...ในขณะที่ใครบางคนยังคงนอนซมเพราะบาดแผลที่ถูกทำร้ายอย่างหนัก ซ้ำยังมีใครอีกคนที่ล้มป่วยแบบน่าสงสัยว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องเดียวกันทั้งที่เธอเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยแม้แต่น้อย แต่ตัวต้นเหตุกลับยังใช้ชีวิตสุขสบายตามปกติ จริงอยู่ที่ท่าทีหวาดระแวงนั่นทำให้เห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้สบายใจนักแต่ก็เป็นเพราะเกรงกลัวความผิดเท่านั้น ไม่ใช่เพราะสำนึกในบาปบุญคุณโทษอะไร


แต่คำพูดของหลวงพิสิษฐเองก็มีน้ำหนักไม่น้อย ถ้าผมบอกความจริงให้เจ้าคุณทั้งสองทราบเพื่อจับตัวคนผิดมาลงโทษ ถึงตอนนั้นผู้เป็นพ่อคงไม่ยอมให้ลูกชายเพียงคนเดียวตกเป็นจำเลย ท่านเองก็คงใช้อำนาจเส้นสายช่วยเหลือจนพ้นคดีได้ไม่ยากและยิ่งสร้างความเคียดแค้นให้อีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก สุดท้ายเรื่องอาจไม่ได้จบลงแค่ใครบางคนต้องเจ็บตัวแต่มันอาจร้ายแรงกว่านั้น



...แล้วผมควรทำยังไงดีวะเนี่ย!!!?...




"วันพรุ่งพ่อจะไปที่เรือนหมอเบ็นแต่เช้าเลยหรือไม่"เจ้าคุณไพศาลถามขึ้นเมื่อมาถึงเรือนได้ไม่นานท่านก็ขอตัวกลับโดยมีผมเดินตามลงมาส่งที่ท่าน้ำ สีหน้าของท่านดูสดใสขึ้นมากหลังจากเป็นกังวลอยู่หลายวันเพราะเป็นห่วงอาการของคุณหลวงคนสนิท

"ไปครับ คงออกไปพร้อมเจ้าคุณท่านเลย"เพราะเรือนหมออยู่ห่างจากกรมไม่มากนัก ผมเลยติดสอยห้อยตามเจ้าคุณจิตราไปด้วยทุกวัน จะได้ไม่รบกวนบ่าวที่เรือนต้องไปส่งให้เสียเวลาอีกรอบ

"เราขอบใจพ่อธีร์มากที่ช่วยดูแลพ่อแก้ว เราเองก็วุ่นวายแต่กับงานในกรมไม่มีเวลาไปดูแล ได้พ่อธีร์มาช่วยเราค่อยเบาใจ"ผมรู้ดีว่าท่านเป็นห่วงหลวงพิสิษฐอยู่ไม่น้อยแต่เพราะงานราชการล้นมือทำให้บางวันต้องอยู่โยงที่กรมจนดึกดื่นไม่มีแม้แต่เวลาแวะมาเยี่ยมไข้คนสนิท




"เราขอฝากพ่อแก้วด้วยนะพ่อ"




ผู้อาวุโสยิ้มอ่อนโยน แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ประหลาดในความคิดของผม...ดวงตาคมภายใต้ริ้วรอยบนใบหน้าของท่านแฝงความหมายบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ...รู้เพียงอย่างเดียวว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

"คะ...ครับ...เจ้าคุณท่านไม่ต้องเป็นห่วง"ได้แต่อ้อมแอ้มตอบกลับไปเพราะยังไม่แน่ใจในคำพูดของอีกฝ่ายนัก...ไม่อยากคิดไปถึงขั้นที่ว่าท่านสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับคนสนิทของท่าน เพราะหากเป็นเช่นนั้นเจ้าคุณไพศาลคงไม่กล้าฝากฝังให้ผมดูแล...ก็สังคมสมัยนี้มันเปิดกว้างเหมือนยุคของผมเสียเมื่อไหร่ แม้เจ้าคุณท่านเป็นคนใจดีมีเมตตาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีเมตตาไปเสียทุกเรื่่อง




หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๑...๑๔/๑๑/๕๗ UP P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 10-12-2014 22:35:33


ผมบอกลาเจ้าคุณไพศาลก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนเรือน...แชมป์นั่งอยู่ในห้องนอน กำลังตั้งอกตั้งใจวาดภาพด้วยแท่งถ่านเล็กๆที่มันเคยบอกว่าใช้งานได้ถนัดกว่าปากกาขนนกที่คนสมัยนี้เขาใช้กันมากนัก จนถึงตอนนี้ภาพที่มันวาดนับรวมกันได้เป็นสิบๆภาพเพราะมันมักใช้เวลาว่างมานั่งขีดเขียนสิ่งที่มันพบเห็นออกมาเป็นภาพวาดเสมอ

"หลวงพิสิษฐไม่ยอมปล่อยตัวเหรอ กลับมาซะมืด"ยังไม่ทันก้าวขาพ้นประตู ไอ้ตัวดีก็แกว่งปากแซวเสียก่อน มันละมือจากภาพวาดเงยหน้าขึ้นมายกยิ้มกวน

"พ่อมึงสิ! กูไปธุระกับเจ้าคุณท่านมา"พอได้ยินผมโวยวายก็หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี

"ธุระที่ไหนวะ"

"เรือนเจ้าคุณเดโช"หากแต่เสียงหัวเราะกวนของแชมป์เงียบลงทันทีที่ได้ยินคำตอบ

"นึกยังไงถึงไป ปกติกูเห็นมึงแทบไม่อยากหายใจร่วมกับไอ้หลวงนั่น"มันหรี่ตาเรียวรีมองตามหลังผมที่เดินมาทิ้งตัวนั่งบนเตียงด้วยความสงสัย

"ไปดูน้ำหน้าคน"ไอ้ตัวดีเงียบไปเพียงครู่ ก่อนจะเบิกตากว้างราวกับเพิ่งนึกอะไรออก มันรีบวางแท่งถ่านลงแล้วจัดแจงเช็ดมือที่เลอะเขม่าจนดำเป็นปื้นก่อนจะปราดตัวเข้ามานั่งข้างๆ

"มึงอย่าบอกนะว่า..."นิ้วชี้ป้อมๆของมันยื่นมาตรงหน้าอย่างรู้ทันเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมพยักหน้ารับแทนคำตอบ

"เชี่ย! แค่จีบมึงไม่ติดแค่นี้ถึงกับจะฆ่ากันเลยเหรอวะ!"เสียงสบถดังลั่นทำให้ผมต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากมันเอาไว้เพราะกลัวคนจะแตกตื่นกันทั้งเรือน ก็เสียงมันเบาเสียที่ไหน เกิดใครได้ยินเข้าได้กลายเป็นเรื่องกันพอดี

"มันไม่ใช่แค่นั้นอ่ะดิ..."ผมเงียบ...เริ่มลังเลว่าจะเล่าทุกอย่างให้มันฟังดีไหม ไอ้แชมป์มันเป็นพวกใจร้อน เกิดมันรู้เรื่องแล้วทำอะไรบุ่มบ่ามขึ้นมา ดีไม่ดีคนที่โดนจับจะกลายเป็นมันเสียก่อน

"มึงมีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าให้กูฟังใช่มั้ย"คนถูกปิดปากคาดคั้นอย่างรู้ทัน มันเพียงปัดมือของผมออกแล้วจ้องหน้านิ่งรอฟังคำอธิบาย...เรื่องราวที่ผมไม่เคยคิดจะเล่าให้ใครฟัง แต่เพราะกำลังสับสนจนหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเล่าให้มันฟังอาจจะได้ไอเดียอะไรดีๆ หรือถ้าไม่ ผมก็สบายใจขึ้นมาหน่อยที่ได้ระบายอะไรออกไปบ้าง

"สัญญากับกูก่อนว่าถ้ารู้เรื่องแล้วจะไม่ทำอะไรบ้าๆ"แม้ไม่แน่ใจนักแต่มันก็ยังพยักหน้ารับ

"มึงสัญญาแล้วนะ"

"เชี่ย กูไม่ใช่เด็กสามขวบ พูดครั้งเดียวรู้เรื่องเว้ย! มึงอย่ามาลีลา มีอะไรจะเล่าก็เล่ามา"ไอ้ตัวดีเริ่มหงุดหงิดเพราะอยากรู้เรื่องเต็มที



ผมมองหน้ามันอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเล่าทุกอย่างให้มันฟัง...ทั้งเรื่องที่เรือนแพวันนั้น เรื่องที่หลวงพิสิษฐต่อยหน้าไอ้หลวงนั่นจนล้มคว่ำ หรือแม้แต่เรื่องในคืนงานเลี้ยงท่านทูต...แชมป์นั่งอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงในตอนแรก ก่อนที่คิ้วหนาๆของมันจะขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเรื่องที่หลวงเจษฎ์ทำกับผมที่เรือนแพ สีหน้าขุ่นเคืองแสดงให้เห็นชัดเจน และยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อมันก็แทบกระโจนลงจากเตียงตั้งท่าจะพุ่งไปที่ประตูทันที ยังดีที่ผมรู้ทันคว้าคอเสื้อด้านหลังมันเอาไว้ได้เสียก่อน

"มึงจะไปไหน!"นั่นไง สัญญากับกูเป็นเรื่องเป็นราวพอเอาเข้าจริงก็เป็นซะแบบนี้

"ปล่อยกู! กูจะไปต่อยแม่งอีกซักที"แล้วมึงช่วยลดความเลือดร้อนลงหน่อยได้มั้ยวะ ตัวอย่างกับหมีดันดิ้นพล่านไม่หยุดอีก กูเหนื่อยครับ!

"ไหนมึงสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรบ้าๆ"

"นั่นมันก่อนที่กูจะรู้ว่ามันเหี้ยแบบนี้ไง! มึงก็ด้วย รู้ว่าเป็นมันแล้วทำไมไม่ให้ตำรวจลากตัวมันเข้าคุกไปเลยวะ ปล่อยแม่งไว้ทำไม"มาเป็นชุด...ช่วยเว้นจังหวะหายใจหน่อยครับ กูได้ยินแล้วจะขาดใจแทน

"โอ๊ย! มึงอยู่เฉยๆฟังกูก่อนดิ"ผมออกแรงกระชากจนตัวมันปลิวลงมานั่งแหมะบนเตียงอีกครั้งได้สำเร็จแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ แชมป์กำลังโกรธ เป็นอารมณ์ที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนักเพราะปกติมันมักอารมณ์ดีแบบเกินเหตุอยู่เสมอ

"ต่อให้แจ้งตำรวจพ่อมันก็ใช้เส้นสายช่วยได้อยู่ดี มึงเข้าใจรึยังว่าทำไมกูถึงไม่บอก"

"อ้าว! แล้วมึงจะปล่อยมันไว้แบบนี้เหรอไง!"ไอ้ตัวดียังคงโวยวายต่อ

"กูก็ไม่อยากปล่อย ถึงได้เล่าให้มึงฟังนี่ไง"ผมขึ้นเสียงแข่งจนมันเป็นฝ่ายเงียบลงแล้วรอฟังแทน

"คนอย่างมันใช้กฎหมายไม่ได้ผลหรอก พ่อมันใหญ่แค่ไหนมึงก็รู้ แค่ดีดนิ้วเป๊าะเดียวแม่งก็พ้นผิดละ ดีไม่ดีส่งคนมาตามฆ่ากูอีก"ผมปล่อยมือที่รั้งตัวมันเอาไว้ออกเมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนลง คิ้วดกหนาของมันพันกันยุ่งเหยิงขณะกำลังใช้ความคิดตามให้ทันคำพูดของผม

"หลวงพิสิษฐบอกให้กูปล่อยให้เรื่องมันจบ แต่กูไม่อยาก เค้าเจ็บขนาดนั้นจะให้กูปล่อยคนทำผิดไว้เฉยๆกูทำไม่ได้ว่ะแชมป์"

"มึงคิดถูกแล้วที่ไม่ยอม แต่กูก็เข้าใจหลวงพิสิษฐ เค้าคงเป็นห่วงกลัวมันจะทำเหี้ยอะไรใส่มึงอีก"น้ำเสียงของมันกลับมาเป็นปกติ มีเพียงสีหน้าที่ยังคงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

"ถ้าจะเอาคืนก็ต้องทำกันเองนี่แหละวะ"ผมพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง





"กูนึกออกละ"หลังจากเงียบไปนาน ในที่สุดแชมป์ก็คลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มของมันเจ้าเล่ห์จนผมอดหวั่นใจไม่ได้ว่ามันกำลังคิดจะทำอะไรแผลงๆจนเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาหรือเปล่า

"อะไรวะ?"มันหันมามองพลางยักคิ้วกวนอย่างอารมณ์ดี

"มึงอยู่เฉยๆ เดี๋ยวกูจัดการเอง"

"มึงจะทำอะไร?"แชมป์ไม่ยอมตอบ ยิ่งทำให้ผมสงสัย

"ไอ้แชมป์!"จนผมต้องขึ้นเสียงใส่นั่นแหละ มันถึงยอมพูด

"ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก เอาแค่ให้มันอยู่ไม่เป็นสุขก็พอ หึหึ"ผมล่ะเกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ของมันจริงๆ เพราะเวลามันหัวเราะแบบนี้ทีไรได้มีเรื่องวุ่นวายตลอด ยกตัวอย่างเช่น ตอนมันโยนที่ทับกระดาษบนโต๊ะทำงานของอาต้นเล่นจนพวกผมมาโผล่ที่พระนครนี่ไงล่ะครับ...ถึงเรื่องนั้นจะไม่ได้มาจากความคิดแผลงๆของมันก็เถอะ

"แล้วกูต้องทำยังไงมั่ง"ผมถามขึ้นแต่มันกลับส่ายหน้าหวือ

"ตอนนี้ที่มึงควรทำคือดูแลคุณหลวงหวานใจมึงก็พอนะพ่อธีร์จ๋าาาาา"คนกำลังเครียดเสือกกวนตีน โบกแม่งให้เลยครับ!

"โอ๊ย! ลงไม้ลงมือตลอด เดี๋ยวหัวกูกระทบกระเทือนขึ้นมาไอ้ที่คิดไว้ว่าจะเอาคืนไอ้หลวงเจษฎ์นั่นยังไงหายหมดกูไม่รับผิดชอบนะเว้ย"ยังครับ ยังกวนไม่เลิก

"พอๆ กูซีเรียส...มึงไปเฝ้าไข้หลวงพิสิษฐทุกวันเหมือนเดิมแค่นั้นก็พอ"เห็นผมยกมือตั้งท่าจะโบกให้อีกรอบล่ะรีบซีเรียสขึ้นมาเลยนะมึง

"อ้าว แล้วจะไม่ให้กูทำอะไรเลยเหรอ"จะให้ผมปล่อยมันไปจัดการเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองคนเดียว ผมก็ทำไม่ได้หรอกครับ นี่มันปัญหาของผม ที่เล่าให้มันฟังก็แค่อยากได้ความคิดอะไรดีๆจากมันบ้าง ไม่ใช่ผลักภาระไปให้มันเสียทั้งหมด

"มึงไปถึงเรือนมันขนาดนั้นมันต้องรู้อยู่แล้วว่ามึงรู้ตัวคนผิด ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมันต้องโบ้ยให้เป็นความผิดมึงชัวร์ เพราะงั้นมึงควรอยู่เฉยๆ ไปเฝ้าหลวงพิสิษฐที่เรือนหมอให้คนอื่นเค้าเห็นว่ามึงไม่ได้ออกไปไหน ที่เหลือ...พี่แชมป์จัดการเองครับน้อง"ไอ้ที่บ่นมายืดยาวนั่นผมก็พอเข้าใจ แต่ไม่ได้ช่วยให้ผมไว้ใจมันมากขึ้นเลยครับให้ตายสิ

"เชื่อมือกูเหอะน่า ระดับนี้แล้วไม่ถึงตายหรอก หึหึ"

"ถ้าถึงตายมึงก็เข้าคุกก่อนมันแล้วล่ะ"แถมยังไม่มีพ่อเป็นเจ้าพระยามาพามันออกจากคุกอีกต่างหาก

"แหงสิ ถ้ามันตายมันจะไปเข้าคุกได้ไง ก็ต้องเป็นกูอยู่แล้วครับ!"คำพูดติดตลกของแชมป์เรียกเสียงหัวเราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันของผม คิดไม่ผิดจริงๆที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังเพราะมันทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาก ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมันก็ทำให้ผมอดระแวงอยู่ลึกๆไม่ได้ ก็ไอ้ความคิดพิสดารไม่เหมือนชาวบ้านเขานี่แหละครับที่ทำให้ผมกลัว แถมมันยังไม่ยอมบอกอีกต่างหากว่าไอ้วิธีที่มันคิดได้นั่นมันคืออะไรแล้วจะให้ผมยอมปล่อยมันไปจัดการคนเดียวได้ยังไงเล่า!



...มันก็ต้องแอบตามไปดูกันบ้างล่ะวะ!...
.

.

.

.

.

"ว่าอย่างไร..."เสียงทุ้มนุ่มดังเรียบขัดกับแววตาคาดคั้นจริงจัง...ผมกำลังถูกสอบสวนครับ ไม่ใช่จากเจ้าหน้าที่ที่ไหนแต่เป็นคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงนี่ล่ะ ตั้งแต่ก้าวขาเข้าห้องมาก็ถูกยิงคำถามใส่ไม่ยั้งอย่างกับผมเป็นจำเลยที่ถูกเบิกตัวขึ้นศาลแล้วถูกทนายฝั่งโจทก์ซักไซร้จนหมดทางสู้ แถมไม่มีผู้พิพากษาคอยห้ามทัพอีก

"พ่อธีร์..."ส่วนเรื่องที่เป็นคดีกันอยู่ตอนนี้ก็คือ...

"ธีร์บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร คุณหลวงจะถามซ้ำทำไมหลายๆรอบครับ"ก็เรื่องที่ผมไปเรือนเจ้าพระยาเดโชศรีวิศาลเมื่อวานนั่นแหละที่ทำให้เขาถามซ้ำไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตั้งแต่ผมมาถึงเรือนหมอ จนถึงตอนนี้ที่ผมกำลังนั่งเช็ดตัวให้ คนป่วยก็ยังถามย้ำคำเดิมไม่หยุดหย่อน

"เชื่อได้เสียเมื่อไหร่ ดูซี เมื่อวานพี่ห้ามไม่ให้ไปยังไม่ยอมฟัง"หลวงพิสิษฐตีหน้าเครียด คิ้วดกหนาของเขาขมวดมุ่นเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ

"ถ้าไม่ไปจะได้เห็นเหรอครับว่าหน้ามันซีดขนาดไหนตอนที่เห็นเจ้าคุณท่านเดินขึ้นเรือน"นึกถึงหน้าของหลวงเจษฎารังสรรเมื่อวานแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้ แต่ก็เพียงไม่นานเมื่อถูกสายตาคมกริบมองปรามจนผมหยุดหัวเราะแทบทันที

"เพราะอย่างนี้เมื่อวานถึงได้รบเร้าขอตามเจ้าคุณท่านไปด้วยซีนะ"โดนจับได้เลยตีเนียนไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไล่มือที่ถือผ้าชุบน้ำอุ่นไปตามหัวไหล่และต้นแขนของคนป่วย...แว่วเพียงเสียงถอนหายใจเบาของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปนาน

"เมื่อวานพี่ขออะไรพ่อธีร์ลืมไปแล้วรึ"ผมไม่ได้เป็นโรคความจำเสื่อมจะไปลืมไปยังไงว่าเขาขอร้องไม่ให้ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหลวงเจษฎ์ แถมยังไม่ให้ผมบอกความจริงเรื่องคนร้ายกับเจ้าคุณทั้งสองอีก แต่ผมไม่ได้ผิดสัญญาเสียหน่อย

"ธีร์ก็ไม่ได้ทำอะไรที่คุณหลวงห้ามนี่ครับ"เพราะผมไม่ได้ทำทั้งสองอย่างที่ว่ามา...ก็แค่...ไปดูให้เห็นกับตาเท่านั้นเอ๊งงง...แต่ดูท่าคนฟังจะไม่ปลื้มกับคำตอบเท่าไหร่เพราะเขาดันส่งสายตาแกมดุมาให้แทน

"ธีร์รู้ครับว่าคุณหลวงเป็นห่วง..."ร่างสูงโปร่งของเขากระตุกวูบเมื่อผมเผลอเช็ดไปโดนรอยแผลบนต้นแขนที่ยังไม่หายดีจนผมชะงักมือแทบไม่ทัน

"รู้ว่าพี่เป็นห่วงแต่ก็ยังทำ...อย่างนี้เขาเรียกว่ารั้น"โดนดุเข้าให้เลยได้แต่นั่งหน้างอไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย หลวงพิสิษฐที่รับรู้ถึงอาการมึนตึงของผมเพียงถอนหายใจเบาก่อนจะยกมือแตะลงบนข้างแก้มเรียกให้ผมหันกลับไปมอง ดวงตาคมส่องประกายระยับหากแต่วูบไหวด้วยอารมณ์ที่โอนอ่อนลงมากนัก

"ที่พี่เป็นห่วง เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับพ่อธีร์ตอนนี้พี่จะไปช่วยได้อย่างไรเล่า...ลำพังตัวพี่เองเรี่ยวแรงจะขยับตัวหรือก็ไม่มี พ่อธีร์ยังจะให้พี่นอนเป็นกังวลเช่นนี้ทุกวันอีกรึ"ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ รู้ดีว่าเขาเป็นห่วงผมยิ่งกว่าอะไรเพราะทั้งสีหน้าและแววตาที่แสดงออกมันชัดเจนจนผมอดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ที่กลายเป็นตัวต้นเหตุให้คนเจ็บมีเรื่องให้กังวลเพิ่มขึ้นอีก

"คุณหลวงก็รีบหายซักทีสิครับ นอนอยู่เฉยๆแบบนี้ทุกวันไม่เบื่อเหรอไง"ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องหลังจากตกอยู่ในบทสนทนาตึงเครียดมานานเกินไป...คนฟังเพียงยกยิ้ม มือหนาละออกจากแก้มเลื่อนลงมากุมมือของผมเอาไว้แทน

"ไม่เบื่อหรอก...มีพ่อธีร์คอยดูแลแบบนี้พี่จะเบื่อได้อย่างไร"แล้วไอ้มุขหวานเลี่ยนแบบนี้ต่อให้นอนเจ็บขยับตัวไม่ค่อยจะไหวก็ไม่เป็นอุปสรรคสินะ

"พ่อธีร์เล่าเบื่อหรือไม่ที่ต้องมาดูแลพี่ทุกวันเช่นนี้"นอกจากมุขหวานเลี่ยนแล้วยังมีลูกอ้อนแถมให้อีก เมื่อกี้ยังดุผมอยู่เลย เปลี่ยนอารมณ์ไวเหลือเกินนะหลวงพิสิษฐ

"ต้องมาที่เรือนหมอแต่เช้าทุกวันแบบเนี้ย มันก็น่าเบื่ออยู่นะครับ..."ผมลอยหน้าลอยตาตอบ เหลือบไปมองคนบนเตียงหน้าเจื่อนลงแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ มือที่เกาะกุมมือของผมละออกเพราะอารมณ์น้อยอกน้อยใจของเจ้าตัว



"แต่พอเห็นหน้าพี่แก้ว ธีร์ก็หายเบื่อขึ้นมาเลยล่ะครับ"นึกว่าหยอดเป็นคนเดียวหรือไง อยู่ด้วยกันบ่อยเข้าผมก็ซึมซับอารมณ์แบบนี้ของเขามาเหมือนกัน...แว่วเสียงคนบนเตียงหัวเราะเบาเมื่อได้ยิน


"เช่นนั้นพี่คงต้องทนเจ็บอีกนานให้พ่อธีร์ได้เห็นหน้าพี่ทุกวันแล้วกระมัง"ดวงตาคมพราวระยับพร้อมมือที่กระชับแน่นขึ้นเรียกให้หน้าผมร้อนวาบ...เจอแบบนี้เข้าไปผมคงต้องยอมแพ้...เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือกว่าชลนธีร์ก็มีหลวงพิสิษฐวรเวทย์นี่แหละ...ไม่รู้ไปเรียนมาจากสำนักไหนถึงได้ช่างหยอดช่างล้อไม่ยอมใครจริงๆ




................................โปรดติดตามตอนต่อไป....................................


หายไปนาน อย่าเพิ่งลงหวายบ่าวนะเจ้าคะ  :sad4:
เพิ่งกลับมาจากภารกิจทัวร์ทั่วไทยค่ะ ถึงขั้นแบกคอมไปด้วยว่าจะแต่งต่อให้เร็วขึ้นแต่ไม่มีเวลาเลยจริงๆ (เค้าขอโทษ  :o12:)

มาถึงตอนที่ ๓๒แล้ว ถือว่ามาไกลมากจริงๆค่ะ อีกไม่เกิน๕ตอนก็จะจบแล้ว (ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ถ้าพี่แก้วจ่ายใต้โต๊ะงามๆคนแต่งคงต้องเซอร์วิสพระเอกให้มีโมเม้นเยอะอีกหน่อย ฮ่าๆ)

ตอนหน้าพี่แชมป์เค้าจะออกโรงเองแล้วค่ะ พี่แชมป์บอกว่าเรื่องเยอะหนักเดี๋ยวพี่แชมป์จัดการเอง ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาหรือจะยิ่งเพิ่มปัญหาให้เค้าล่ะเนี่ย  :mew5:

ยังไงก็ฝากตอนนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตาม รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิมค่ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: soullmate ที่ 10-12-2014 23:40:04
อิฉันก้อมิเบื่ออออออ ..... :hao5: :hao5: :hao5: >>>อ๊ายยยยย  อยากรู้ว่าแชมป์จะทำอาราย.... เมื่อไหร่พี่แก้วจะหาย  โอ้ยยยย รออยู่นะค่ะ  สู้ๆๆๆๆ  :impress2: o13 :-[ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-12-2014 00:11:30
รอดูแผนการณ์ของพ่อแช่ม ว่าจะสร้างความสะใจให้เราได้มากแค่ไหน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 11-12-2014 05:20:02
คาดว่าพี่แชมป์จะทำให้วุ่นวายกว่าเก่าแต่ก็ดีกว่าปล่อยคนผิดลอยนวล
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 11-12-2014 07:37:57
มาต่อแล้ววว เย้ๆๆ คิดถึง พ่อธีร์กับพี่แก้วจุม รอดูความวุ่นวายที่พ่อแช่มจะก่ออย่างใจจดใจจ่อเลยยยจ้าา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 11-12-2014 08:06:42
พี่แก้วนี่นะ ขนาดเจ็บ ๆ ยังหวานได้ขนาดนี้ นี่ถ้าหายป่วยนะคง... อุ้ย เขินแทนน้องธีร์  :-[
ว่าแต่ แม่เดือนโดนทำร้ายร่างกายสินะ น่าสงสารจัง อยากให้แม่เดือนได้หลุดพ้นจากคนเลว ๆ นั่นจริง ๆ
เข้าใจความรู้สึกน้องธีร์นะ แต่ก็เข้าใจเหตุผลของพี่แก้วด้วย ก็จริงอย่างที่พี่แก้วว่าจริง ๆ
ดีแล้วที่น้องธีร์เล่าเรื่องทั้งหมดให้แชมป์ฟัง ดีกว่าเก็บเรื่องกลุ้มไว้คนเดียว
แล้วอย่างนี้ แชมป์จะทำอะไร หวังว่าจะไม่ทำอะไรเสี่ยง ๆ ให้เป็นอันตรายอะไรนะ
ใกล้จบแล้วเหรอเนี่ย ไม่อยากเลยอ่ะ อยากอ่านฉากหวาน ๆ เยอะ ๆ กว่านี้อีกค่ะ
เพราะฉะนั้นนะ พี่แก้วน้องธีร์ จ่ายใต้โต๊ะงาม ๆ ให้คนเขียน เพื่อแฟนคลับหน่อยน้าาา
หวังว่าเรื่องจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งนะคะคนเขียนจ๋า  :impress:
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 11-12-2014 08:12:32
มาต่อซะที ดีจายยยยยยยสู๊ดดดด 2คนนี้หวานขึ้นนะเนี่ย น่าร๊ากกกกกกกกกกกก ฟินฝุดๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 11-12-2014 09:25:24
แหม...นี่ขนาดป่วยนะคุณหลวง  :impress2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 11-12-2014 15:21:09
นี่ขนาดป่วยนะคะพี่แก้ววววว
หยอดเหมือนสบายดี5555555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 11-12-2014 22:50:33
รอชมแผนการพ่อแช่มค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 12-12-2014 19:32:05
ตอนนี้ขอชูป้ายไฟ เชียร์ทีมพี่แชมป์ค่าาา
ต้องจัดให้อยู่หมัดเลยนะคะ คนที่มีอำนาจแล้วมารังแกผู้น้อยเนี่ย!!
อยากรู้จักว่าพี่แชมป์จะจัดการยังไง
คุณหลวงหายไวๆนะคะ จะได้กลับมาดูแลน้องธีร์ (หลังจากให้น้องธีร์ดูแลมาเต็มๆ 2 ตอน)
รอติดตามนะคะ ไม่อยากให้จบเลยง่าาา  :ling1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: uefaza ที่ 13-12-2014 21:32:43
มาตามอ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกมากๆเลย ทำเอาเราไม่ได้อ่านหนังสือสอบเลยทีเดียว  :hao7: อ่านไปก็นึกไปว่าจะจบแบบไหน ได้แต่ลุ้นไม่ให้จบเศร้า คนแต่งอย่าใจร้ายน้า  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๒...๑๐/๑๒/๕๗ UP P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 01-01-2015 15:03:28
The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษ วันปีใหม่...

หมายเหตุ : เนื้อหาในตอนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักนะคะ ผู้แต่งเพียงแต่งออกมาเพื่อสนองนี๊ดตัวเองเพราะอยากได้อะไรหวานๆในช่วงวันปีใหม่บ้าง  :hao5:


..............................................................................



๓๑ ธันวาคม รัตนโกสินทร์ศก
พระนคร, สยามประเทศ


วันสิ้นปีที่ใครหลายคนพากันตื่นเต้นวุ่นวายกับการจัดงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาถึง...วันสิ้นปีที่หนุ่มสาวในประเทศไทยสมัยพ.ศ.๒๕๕๗ดูจะมีความสุขกันเป็นพิเศษเพราะส่วนใหญ่มักใช้เวลาหมดไปกับการอยู่กับคนที่ตัวเองรัก ครอบครัว หรือออกไปเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนฝูง...วันสิ้นปีที่ผม...ชลนธีร์ เตชะวณิช เคยใช้ชีวิตทั้งกับพ่อแม่ ญาติสนิท หรือแม้แต่ออกไปกินเหล้าเมาข้ามปีกับเพื่อนๆตั้งไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีที่ผ่านมา

แต่ใครจะไปคิด ว่าวันที่ ๓๑ ธันวาคมของปีนี้...ผมกลับมานั่งแกร่วอยู่ที่ท่าน้ำหน้าเรือนไม้ทรงไทยหลังงามของพระยาจิตรานุวัตร ข้าหลวงคนสำคัญของกรมการต่างประเทศ พร้อมกับไอ้ฐิติกรณ์ ธนกิจนุกูล โดยไม่มีวี่แววของการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ให้เห็นเลยสักนิด...


ก็วันขึ้นปีใหม่สมัยนี้ มันตรงกับวันที่ ๑ มกราคม ซะที่ไหนกันเล่า!!!


"เบื่อสัด..."เสียงบ่นรอบที่สิบของวันที่ผมได้ยินจากคนที่นั่งท้าวคางกับขอบที่นั่งของท่าน้ำใหญ่หน้าเรือน ดวงตาเรียวรีของมันเหม่อลอยไปยังคลองสายเล็กเบื้องล่างราวกับไม่ได้มองมันเสียนานทั้งๆที่ตัวเองก็ใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนนี้นานจนเกือบลืมบ้านจริงไปแล้ว

"ปกติกูไม่ค่อยตื่นเต้นกับวันปีใหม่เท่าไหร่หรอกนะ...แต่ปีนี้มัน...น่าเบื่อไปมั้ยวะ"คนขี้บ่นก็ยังบ่นไม่ยอมหยุด ผมเหลือบสายตากลับไปมองความเป็นไปรอบๆตัวเรือน เห็นพี่สนแกยืนก้มๆเงยๆอยู่แถวซุ้มต้นมะลิข้างเรือนใหญ่ คงกำลังรดน้ำพรวนดินอย่างที่แกเคยทำอยู่บ่อยๆ...ครู่หนึ่งก็เห็นพี่บุญมีเดินผ่านหน้าแกไปพร้อมถาดสำรับของหวานในมือมุ่งหน้าขึ้นเรือน...อีกฟากไอ้มิ่งกำลังหอบกระจาดมะม่วงลูกโตที่เพิ่งเก็บได้จากต้น คงเอาไปให้ป้าน้อยที่โรงครัวคิดเมนูของหวานหรือไม่ลูกสาวคนเล็กของเรือนก็อาจจะลงมาโชว์ฝีมือเอง

บรรยากาศรอบตัวของผมในวันนี้เรียกได้ว่า...ปกติโดยสิ้นเชิง...แหงล่ะ! ก็สำหรับคนพวกนั้น วันนี้มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้นเองนี่ครับ

"ถ้าตอนนี้กูอยู่บ้านคงได้ชวนพวกไอ้โจ๊กไอ้ต่อไปหาที่เคาท์ดาวน์ถึงไหนต่อไหนละ"และถ้าผมยังอยู่กับมันตอนนั้นพวกมันก็คงยกพวกกันมาลากตัวผมถึงบ้านให้ออกไปหาเหล้ากินฉลองปีใหม่เหมือนทุกปีแล้วเหมือนกัน

"มึงบ่นไปก็ไม่มีใครเค้ามาจัดงานปีใหม่ฉลองให้มึงหรอก"

"กูบ่นเฉยๆ...มึงนี่แม่ง ไม่เข้าใจกูเล้ย!"ใครบอกว่าผมไม่เข้าใจ เอาจริงๆผมก็เบื่อ ถึงผมไม่ใช่คนใส่ใจกับเทศกาลสำคัญเท่าไหร่นักแต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นจนชินทุกๆวันสิ้นปี คือภาพผู้คนที่กำลังตื่นเต้นกับการเฉลิมฉลอง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของคนรอบตัว และบรรยากาศชื่นมื่นอบอวลด้วยความสุขปกคลุมฟุ้งไปทั่ว


ผมไม่ใช่คนใส่ใจกับเทศกาลสำคัญ...แต่บรรยากาศความสุขแบบนั้นต่างหากที่ทำให้ผมคิดถึง...




"มานั่งทำอะไรกันอยู่ตรงนี้เล่าพ่อ"เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้นพร้อมกับเรือพายที่เพิ่งเข้าเทียบท่า...เจ้าคุณผู้มาเยือนยิ้มละไมทักทายพวกผมที่นั่งหายใจทิ้งกันอยู่จนสะดุ้งโหยงลุกขึ้นมายืนต้อนรับกันแทบไม่ทัน ท่าทีลุกลี้ลุกลนทำเอาผู้อาวุโสหลุดหัวเราะเบาไม่ต่างจากคนสนิทที่ก้าวเท้าขึ้นท่าน้ำตามหลังท่านมาติดๆ ใบหน้าคมอมยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีขณะยกมือขึ้นรับไหว้ผมกับแชมป์

"เดี๋ยวผมไปเรียนเจ้าคุณจิตราให้นะครับว่าเจ้าคุณท่านมาหา"เจ้าคุณไพศาลยิ้มรับก่อนเดินตามแชมป์ไปทางเรือนใหญ่ เหลือเพียงคุณหลวงคนสนิทที่ชะงักฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้เดินตามไปด้วย

"ไม่ขึ้นไปบนเรือนด้วยกันหรือพ่อ"

"เพิ่งลงมาเมื่อกี้เองครับ"เพราะนั่งอ้อยอิ่งมองความ'ปกติ'บนเรือนใหญ่มาตั้งแต่เช้าจนเริ่มเบื่อ ถึงได้ชวนกันลงมานั่งเล่นริมท่าน้ำได้เพียงครู่คนถามก็มาถึงเรือนพอดี

"เช่นนั้นรอพี่สักครู่ พี่ขึ้นไปไหว้เจ้าคุณท่านประเดี๋ยวจะลงมาหา"ผมพยักหน้ารับคำแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเดินขึ้นเรือนไปเพียงลำพังพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงที่วันนี้ไม่ได้สวมชุดราชการเช่นที่เห็นบ่อยครั้งแต่เป็นเพียงเสื้อคอตั้งแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนกับโจงกระเบนสีเข้ม ถึงอย่างนั้นก็ยังคงสง่างามเช่นเคย



นั่งรอที่ท่าน้ำได้ไม่นานเจ้าตัวก็เดินลงมาจากเรือนใหญ่พร้อมกับแชมป์แต่ไอ้ตัวดีดันขอตัวเดินเลี่ยงไปทางโรงครัว คงไปหาอะไรทำแก้เบื่อตามประสาคนอยู่ไม่สุขแบบมัน เหลือเพียงคนตัวสูงที่เดินตรงเข้ามาหาที่ท่าน้ำ...ใบหน้าคมเจือรอยยิ้มบางก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

"วันนี้มีธุระที่ใดหรือไม่พ่อ"ผมขมวดคิ้วมุ่นมองหน้าคนที่เพิ่งตั้งคำถาม

"ปกติถ้าไม่ได้ไปช่วยงานคุณหลวงที่เรือน ธีร์ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ"นอกจากอยู่ช่วยงานพวกพี่สนกับมิ่งแล้ว ชีวิตประจำวันของผมก็แทบไม่ได้ทำอะไร แค่นั่งๆนอนๆอยู่ที่เรือนนี้กับไอ้แชมป์เท่านั้นแหละ...เจ้าตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วจะมาถามผมทำไมวะ?

"เช่นนั้นไปที่เรือนกับพี่ได้หรือไม่"หลวงพิสิษฐ์ยังคงยกยิ้มบางให้ผมสงสัยหนักกว่าเดิม

"มีอะไรเหรอครับ"

"วันนี้เจ้าคุณท่านจะกลับเรือนใหญ่"ข้ออ้างที่ผมมักได้ยินเสมอเมื่อเจ้าตัวหาเรื่องชวนไปที่เรือนทั้งที่ไม่มีงานอะไรให้ทำถูกยกมาอ้างอีกครั้ง แต่จะเรียกว่าข้ออ้างก็ไม่ใช่เสียทีเดียวเพราะพักหลังมานี้เจ้าคุณไพศาลท่านกลับไปที่เรือนใหญ่บ่อยๆ ท่านเพิ่งได้หลานชายน่ะครับ กำลังเห่อหลานชายคนแรกจนเทียวไปเทียวมาระหว่างสองเรือนไม่ขาด คุณหลวงลูกชายท่านเองก็เป็นห่วงไม่อยากให้ผู้เป็นพ่อต้องเดินทางไปกลับตอนกลางคืนถึงได้รบเร้าให้อยู่ค้างด้วยเสมอ...วันนี้ก็เหมือนกัน

"แล้วคุณหลวงไม่ไปกับเจ้าคุณไพศาลล่ะครับ ให้ท่านไปคนเดียวไม่เป็นห่วงเหรอ"

"โถพ่อ เจ้าคุณท่านยังแข็งแรงนักจะให้พี่เป็นห่วงอย่างไรเล่า ประเดี๋ยวพ่อเทพเขาก็ให้คนจากเรือนมารับที่นี่ หากพี่ไปด้วยท่านได้รบเร้าขอกลับเรือนริมน้ำเสียอีกเพราะไม่อยากอยู่รบกวนลูกชายท่าน"คนตัวสูงหัวเราะเบาอย่างรู้ทัน ก็ปกติพอเขายกเรื่องเจ้าคุณท่านไปเรือนใหญ่ขึ้นมาทีไรผมต้องตอบกลับแบบนี้ทุกที...ไม่ได้หาข้ออ้างไม่ไปหรอกครับ แต่เป็นห่วงกลัวเจ้าคุณไพศาลท่านเดินทางไปไหนมาไหนเพียงลำพังเพราะปกติมักมีคนตัวสูงนี่ติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ

"ก็เพราะคุณหลวงไม่ยอมไปด้วยน่ะสิ หลวงเทพถึงต้องให้คนมารับเจ้าคุณท่านเองเพราะเป็นห่วง"ผมลอยหน้าลอยตาตอบแบบคนไม่ยอมแพ้ หากแต่ประโยคถัดมาของเขากลับทำให้ผมเงียบกริบ


"เจ้าคุณท่านอยากพบหน้าหลานชาย...พี่เองก็อยากอยู่กับคนของพี่บ้าง ไม่ได้เชียวหรือ"ก็แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะเว้ย!?


"คะ...คนของคุณหลวง ที่ไหนกันล่ะครับ"ปากยังเถียงแต่หน้านี่ร้อนไปถึงหูแล้วครับไอ้ธีร์ แถมเจ้าตัวยังดูพออกพอใจที่ได้แกล้งผมอีกต่างหากเพราะเขาเอาแต่นั่งยิ้มกริ่มไม่หุบ

"ก็คนตรงหน้าพี่นี่อย่างไร...หรือพ่อธีร์จะบอกว่าไม่ใช่"เงียบครับเงียบ...เจอแบบนี้ไม่รู้จะเถียงอะไรต่อเลยได้แต่เอาความเงียบเข้าสู้ซะเลย

"ไปเถิดพ่อ...พี่ให้แม่ชื่นเตรียมสำรับเย็นไว้รอ หากพ่อไม่ไปแม่ชื่นเขาจะน้อยใจเอาเสียอีก"น้ำเสียงนุ่มกลั้วเสียงหัวเราะเบายังคงชักแม่น้ำทั้งห้าหาข้ออ้างพาตัวผมไปที่เรือนให้ได้...ไม่อยากจะบอกเลยว่าผมจนปัญญาปฏิเสธตั้งแต่ข้อแรกที่อ้างมาแล้วล่ะครับ ไม่ต้องยืดยาวมาจนถึงเรื่องป้าชื่นหรอก

"เล่นดักไว้ทุกทางแบบนี้ ถ้าบอกว่าไม่ไปก็ไม่ได้แล้วสินะครับ"สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้คนเจ้าคารมทุกที






บรรยากาศช่วงบ่ายคล้อยที่เรือนทรงยุโรปของเจ้าคุณไพศาลเองก็ไม่ได้ต่างจากที่เรือนเจ้าคุณจิตรามากนัก ทั้งยังบ่าวไพร่บนเรือนที่มีจำนวนน้อยกว่ายิ่งทำให้เรือนนี้ดูเงียบเหงาขึ้นไปอีก...อันที่จริงก็เงียบสงบเป็นปกตินั่นแหละครับ แต่เพราะความคิดของผมที่เอาแต่ยึดติดว่ามันเป็นวันสิ้นปีที่ควรจะมีแต่เสียงหัวเราะเฮฮาและบรรยากาศชื่นมื่นเลยพาให้ยิ่งอึมครึมหนักกว่าเก่า...คงมีแต่ป้าชื่นที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่เห็นผมมาที่เรือนเพราะแกกลัวว่าสำรับที่เตรียมไว้จะเป็นหม้าย ก็ป้าชื่นแกขนทำกับข้าวเสียเยอะแยะ ถ้าผมไม่ยอมมาเห็นทีจะกลายเป็นลาภปากพวกบ่าวไพร่บนเรือนไปแทน


หลังสำรับเย็นผมก็พาร่างตัวเองออกมานั่งตากลมที่ศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนเหมือนทุกที...ลมเอื่อยยามเย็นพัดโชยให้ผืนเจ้าพระยาเบื้องหน้ากระเพื่อมไหวสะท้อนแสงอาทิตย์สีทองส่องประกายระยิบระยับชวนมอง...ทั้งยังกลิ่นดอกโมกหอมกรุ่นที่ขึ้นอยู่ข้างศาลายิ่งทำให้ผ่อนคลาย...ดอกโมกสีขาวนวลคล้ายกับดอกแก้วหากแต่กลิ่นหอมละมุนฟุ้งยังสู้กลิ่นหอมหวานของดอกแก้วไม่ได้

"เมื่อไหร่ต้นแก้วจะออกดอกนะครับ"ผมท้าวคางมองต้นแก้วเขียวครึ้มพลางบ่นลอยๆจนคนข้างๆทอดสายตามองตาม

"เข้าหน้าฝนปีหน้ากระมัง"แต่คำว่า'ปีหน้า'ของเขาทำเอาลมหายใจของผมสะดุด

"แล้วปกติคุณหลวงทำอะไรตอนวันปีใหม่เหรอครับ"คำถามที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องดอกแก้วเมื่อครู่แม้แต่น้อยจนคนฟังยังอดขมวดคิ้วตามอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงกระทันหันของผมไม่ได้

"ปีใหม่รึ...ยังอีกตั้งหลายเดือน"สำหรับเขายังอีกหลายเดือนนัก แต่สำหรับผม...มันเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น...ให้ตายสิ! เวลาแค่ร้อยกว่าปีมันทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดที่วันปีใหม่ก็ยังไม่ตรงกันเลยเหรอวะ?!



"พ่อธีร์...เป็นอะไรหรือ พี่เห็นพ่อธีร์เงียบเสียตั้งแต่เมื่อตอนสำรับเย็น"เพราะอารมณ์อึมครึมของผมมันคงชัดเจนเสียจนคนข้างๆอดถามขึ้นมาไม่ได้

"เปล่าครับ"ไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ จะว่าผมงี่เง่าก็คงไม่ผิด ก็นี่มันเป็นวันสิ้นปีที่ช่างเงียบเหงาและราบเรียบเกินกว่าสิ้นปีไหนๆที่ผมเคยผ่านมา...ความจริงผมควรพอใจที่อย่างน้อยผมก็ได้ใช้เวลาในวันนี้กับคนข้างๆและก็คงอยู่โยงไปจนถึงวันขึ้นปีใหม่เพราะอย่างไรเสียเขาก็คงไม่ยอมปล่อยผมกลับเรือนง่ายๆ...แต่ทำไมผมยังรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ล่ะเว้ย!



"เมื่อครู่พ่อธีร์ถามพี่เรื่องวันขึ้นปีใหม่..."เมื่อเห็นผมไม่ตอบอะไรเขาเลยวกกลับเข้าเรื่องเดิมแทนคงเพราะไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมไปมากกว่าเก่า

"พี่ไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอกพ่อ ก็ไปวัดทำบุญเหมือนเช่นชาวพระนครคนอื่นเขาแลกราบขอพรจากเจ้าคุณไพศาลท่านเท่านั้น"เสียงทุ้มนุ่มอธิบายให้ฟัง ซึ่งสิ่งที่เขาเล่ามาก็ไม่ได้ต่างจากกิจกรรมในวันปกติของคนในสมัยนี้นัก

"แล้วพ่อธีร์เล่า...คนกรุงเทพเขาทำอะไรกันบ้างหรือ"ดวงตาคมส่องประกายระยับเมื่อถามถึงเรื่องในอนาคต

"วันปีใหม่สมัยผมเค้าเริ่มนับกันตั้งแต่คืนสิ้นปีครับ"คิ้วดกหนาของหลวงพิสิษฐขมวดมุ่นทันทีด้วยความสงสัย

"คืนสิ้นปีรึ"

"ใช่ครับ...พอถึงคืนสิ้นปีทุกคนก็จะออกไปหาที่ฉลองกัน บางคนก็ไปกินข้าวกับครอบครัวหรือคนสำคัญ ไม่ก็ไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อน...แล้วพอใกล้ถึงเที่ยงคืนพวกเราก็จะคอยนับถอยหลังให้ถึงวันปีใหม่น่ะครับ"ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดให้คนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกันเข้าใจได้มากที่สุด...เพราะถ้าในสมัยที่ผมจากมาแค่บอกว่า countdownคำเดียวทุกคนก็พยักหน้าเข้าใจกันหมด

"พ่อธีร์ก็ทำเช่นนั้นรึ...พี่หมายถึง...อยู่กับครอบครัว คนสำคัญ หรือเพื่อน"คนขี้สงสัยยังถามต่อ เพราะสำหรับเขาแล้วนี่คงเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เจ้าตัวเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

"ตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่ธีร์จะฉลองปีใหม่กับพ่อแม่ตลอด...แต่พอท่านเสียส่วนใหญ่จะออกไปกับเพื่อนน่ะครับ"

"แล้วคนสำคัญเล่า"ดวงตาคู่สวยจดจ้องราวกับคาดคั้นเอาคำตอบ...สำหรับผมแทบไม่เคยอยู่ฉลองเทศกาล
แบบนี้กับคนสำคัญที่ว่าสักครั้ง...จะมีก็ปีที่แล้วที่แพมชวนไปฉลองปีใหม่หลังจากเริ่มคบกันได้ไม่นาน ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยนับว่าเป็นการฉลองเทศกาลกับคนสำคัญจริงจัง เพราะสำหรับผมแล้ว แพมก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเคยมีช่วงเวลาดีๆด้วยแต่ไม่ใช่คนที่ผมผูกพันถึงขั้นตัดขาดไม่ได้

"ไม่มีหรอกครับ"และถ้าจะมีก็คงเป็นปีนี้...ที่คนสำคัญของผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยต่างหาก!

"เช่นนั้น...วันขึ้นปีใหม่ปีหน้าพ่อธีร์มาอยู่กับพี่ซี จะได้ถือว่าอยู่กับคนสำคัญ"คนไม่รู้ยังคงยกยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้ ถึงอย่างนั้นก็ช่วยให้ก้อนเมฆที่ครึ้มอยู่ในใจของผมจางลงไปได้บ้าง

"หลงตัวเองอีกแล้วนะครับหลวงพิสิษฐ"ผมหัวเราะเบาให้กับความมั่นอกมั่นใจเกินเหตุของคนข้างๆ แต่ปากยังคงหนักเกินกว่าจะให้บอกออกไปว่าสำหรับผมแล้ว มันคือตอนนี้ต่างหากที่ผมได้ใช้เวลาร่วมกับคนสำคัญในวันพิเศษ

"แล้วกัน...พ่อธีร์ไม่นับพี่เป็นคนสำคัญเลยหรือ ทั้งที่พี่เองให้ความสำคัญกับพ่อถึงเพียงนี้"แล้วไอ้คำพูดน้อยอกน้อยใจเป็นเด็กๆนี่ใครเขาสอนมากันครับหลวงพิสิษฐ



สุดท้ายบทสนทนาที่ศาลาริมน้ำก็จบลงที่ทั้งผมและเขาเอาแต่เถียงกันเรื่องคนสำคัญหรือไม่สำคัญจนผมเกือบลืมเรื่องที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวไปเสียสนิท ถ้าไม่ติดที่คืนนั้นผมดันทะลึ่งตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกแล้วไม่สามารถข่มตาหลับต่อได้จนต้องพาตัวเองลงมานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกชั้นล่างของเรือนเพราะไม่อยากรบกวนคนกำลังหลับสบาย


ไฟสีส้มนวลถูกเปิดขึ้นให้ความสว่างแก่ห้องรับแขกขนาดใหญ่ของเรือน...ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาไม้ทรงฝรั่งตัวยาวพลางทอดสายตามองนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้นเรือนโตที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก...เข็มของนาฬิกาชี้บอกเวลา ๕ทุ่ม๕๐นาที...อีกแค่๑๐นาทีที่ชีวิตของผมจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ขณะกำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาร้อยกว่าปีก่อนที่ผมจะเกิด นับเป็นเรื่องแปลกและคงไม่มีใครเคยพบเจอเรื่องแบบนี้ นอกจากผมกับแชมป์และละครหลังข่าวที่ผมเคยดูหลายๆเรื่อง...ปีที่ผ่านมาผมผ่านเรื่องอะไรต่ออะไรมามากมายหลายอย่าง...ทั้งการเดินทางข้ามเวลาจนได้มานั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้...การได้พบกับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของผมในอดีต ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกอีกโลกที่ผมไม่เคยรู้จัก มีเพื่อนแท้ที่คอยเป็นห่วงเป็นใยคอยตามหาพวกผมเวลาที่หายตัวไปหลายๆอาทิตย์...หรือแม้แต่...การได้พบกับคนสำคัญที่สุดในชีวิตรองจากพ่อกับแม่...คนที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบหากยังคงใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน...คนที่ใครบางคนกำหนดเส้นทางของทั้งผมและเขาให้ได้โคจรมาพบกันในที่สุด...คนสำคัญที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยไม่ว่าจะปีนี้หรือปีไหนๆ และเป็นคนที่ทำให้ผมนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้มาอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้

"เอาวะ อย่างน้อยก็ยังทันเคาท์ดาวน์"ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองราวกับคนบ้า...ผมไม่ได้ใส่ใจกับการเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้เท่าไหร่หรอกครับ แต่สิ่งที่ผมให้ความสำคัญ คือการนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ต่างหากเพราะผมถือว่ามันเหมือนการที่ผมกำลังก้าวขาทีละก้าวเข้าไปสู่สิ่งใหม่ๆของปีถัดไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือร้ายมันก็เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผมเสมอ


"๑๐...๙...๘..."เข็มของนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงของผมที่เริ่มนับถอยหลังเพียงลำพังภายในห้องนั่งเล่นกว้างขวาง...จะว่าเหงามันก็เหงาชะมัดเพราะนอกจากจะต้องมานั่งนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่คนเดียวแล้ว คนสำคัญที่นึกอยากอยู่ด้วยก็ดันนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างบนนี้เอง...ชีวิตใครจะรันทดเท่าชลนธีร์คนนี้คงไม่มีแล้วล่ะครับ!


"๕...๔...๓(๓)...๒(๒)...๑(๑)"หากแต่เสียงทุ้มนุ่มที่ดังคลอกับเสียงนับถอยหลังของตัวเองเรียกให้ผมหันกลับไปมองทันที...ร่างสูงโปร่งคุ้นตาที่เข้ามายืนประชิดด้านหลังโซฟาโดยที่ผมไม่รู้ตัว...ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางยิ่งส่งให้นัยน์ตาคู่สวยส่องประกายระยับชวนมอง...รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อตอนที่ใบหน้าคมโน้มลงใกล้แทบแนบสนิทจนได้ยินประโยคถัดมาชัดเจนกว่าเก่า



"สวัสดีปีใหม่นะพ่อ"คำพูดที่ทำเอาผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนสงสัย


"คุณหลวง!...ทำไม?"นั่นสิครับทำไม...ทำไมเขาถึงรู้?!

"หากนับตามพวกฝรั่ง วันนี้เป็นวันปีใหม่ไม่ใช่หรือ คนกรุงเทพเขาก็คงถือเอาตามพวกฝรั่ง ไม่เช่นนั้นพ่อธีร์คงไม่ลงมานับเลขอยู่ลำพังแบบนี้"

"เอ๊ะ?!"ไม่ต้องส่องกระจกดูก็รู้ว่าตอนนี้บนหน้าของผมมีเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเร่อแปะอยู่...หลวงพิสิษฐเพียงหัวเราะเบากับท่าทีประหลาดของผม ก่อนจะเดินอ้อมโซฟาตัวยาวมายืนเต็มความสูงอยู่ตรงหน้าจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง

"พ่อธีร์นี่ก็จริงเชียว ไม่บอกพี่ให้รู้เสียบ้าง"น้ำเสียงแกมดุหากแต่ใบหน้ายังคงยิ้มอ่อนโยน

"ก็ธีร์..."ธีร์กลัวว่าคุณหลวงจะมองว่าไร้สาระ...อยากพูดแบบนี้แต่สุดท้ายก็กลืนมันกลับเข้าไปเสียหมดเหลือเพียงความเงียบเพราะยังตกใจไม่หาย

"ขึ้นไปข้างบนเถิด...พี่มีของจะให้"ยังไม่ทันได้ตอบรับอะไรก็ถูกจูงมือตามขึ้นไปบนห้องเสียก่อน...ผมไม่ได้ตกใจที่เขารู้วันหรอกครับเพราะเจ้าตัวเองก็บอกไปแล้วเรื่องการนับวันตามแบบสากลที่เขาก็คงรู้ดีหลังจากไปใช้ชีวิตต่างประเทศมาถึงสองปี...แต่ที่ผมสงสัย...คือคนที่ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรกับวันปีใหม่ของพวกชาวตะวันตกจนถึงกับเข้านอนแต่หัวค่ำเป็นปกติแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกเพียงเพื่อลงมาบอกสวัสดีปีใหม่กับผม...นั่นต่างหากที่ทำให้ผมแปลกใจ


"เผลอหลับไปครู่เดียว ตื่นขึ้นมาไม่เห็นพ่อธีร์เสียแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเย็นพ่อธีร์ถามพี่เรื่องวันขึ้นปีใหม่"เผลอหลับไปครู่เดียวของเขาคือการที่เจ้าตัวหลับสนิทตั้งแต่สองทุ่มแล้วนอนนิ่งอยู่ท่าเดิมจนผมนึกว่าจะตื่นอีกทีเอาตอนสายของอีกวันโน่นล่ะครับ

"แต่ถึงพ่อธีร์ไม่บอก พี่ก็ตั้งใจมอบสิ่งนี้ให้พ่อในวันนี้แต่แรกเพราะเกรงว่าพี่คงรอให้ถึงวันขึ้นปีใหม่ของชาวสยามไม่ไหว"หลวงพิสิษฐละมือออกจากข้อมือที่จับจูงแล้วเอื้อมไปเปิดลิ้นชักของตู้หัวเตียงก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวอ้างถึงออกมาถือเอาไว้

"ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันขึ้นปีใหม่จากพี่ก็แล้วกัน"ใบหน้าคมประดับรอยยิ้มชวนมองพร้อมกับมือหนาที่วางทาบทับลงบนฝ่ามือของผมหากแต่คราวนี้กลับสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของวัตถุเย็นเยียบในมือ...ผมยกมันขึ้นดู...วัตถุทรงกลมร้อยโซ่ห้อยสีทองต้องแสงไฟจนส่องประกายวิบวับ เมื่อกดสลักด้านบนให้เปิดออกถึงได้เห็น...หน้าปัดของนาฬิกาพกที่ตอนนี้บอกเวลาว่าเลยเที่ยงคืนของวันใหม่มาได้ไม่นาน...เข็มวินาทีหมุนวนจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ...เชื่องช้าแต่กลับน่าฟัง

"นาฬิกาพก?"ผมมองวัตถุสีทองในมือที่เปิดอ้าสลับกับใบหน้าคมของเจ้าของเดิมสลับไปมา...ทั้งความตกใจ ประหลาดใจฉายออกมาทางสีหน้าของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด...แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้...ผมดีใจ...ทั้งที่มันก็เป็นเพียงของชิ้นเล็กๆดูโบราณในสายตาของผม แต่กลับมีคุณค่าเมื่อถูกหยิบยื่นจากคนตรงหน้า

"พี่ซื้อไว้ตั้งแต่คราไปเล่าเรียนที่เมืองฝรั่ง ตั้งใจว่าจะมอบให้แก่คนสำคัญ...รอมาหลายปีนึกว่าจะไม่มีโอกาสได้ให้ใครเสียแล้ว"คำว่า'คนสำคัญ'มันเป็นคำสั้นๆที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผมนะครับ...โดยเฉพาะคนสำคัญในความหมายของคนตรงหน้านี่...คนสำคัญที่เขานึกถึงตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร ถึงอย่างนั้นก็ยังให้ความสำคัญถึงขนาดที่ซื้อของแทนใจมาเก็บไว้...สำหรับผม ไม่รู้จะเรียกมันว่าความโชคดีหรือความยินดีที่ได้เป็นคนๆนั้นสำหรับเขาทั้งที่ตัวเองก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีข้อดีโดดเด่นอะไร


"แล้วทำไมต้องนาฬิกา...ทำไมต้องวันปีใหม่ครับ?"แต่ก็ยังสงสัยไม่หายอยู่ดี...ของแบบนี้หากเขานึกจะให้เมื่อไหร่ก็ทำได้ ไม่เห็นต้องรอให้ถึงวันพิเศษหรือเทศกาลไหนๆ เพราะถ้าเป็นผมนึกอยากจะให้ของใครขึ้นมาสักชิ้น ผมก็คงไม่รอจนถึงวันสำคัญ...ก็สิ่งของและบุคคลต่างหากที่สำคัญกว่าเทศกาลพวกนั้นเป็นไหนๆ

"นาฬิกาเป็นเครื่องชี้บอกเวลา...สำหรับพี่การให้นาฬิกาในวันขึ้นปีใหม่..."



"นั่นหมายถึงเวลาของพี่ทั้งหมดในปีนี้...เป็นของพ่อธีร์คนเดียวอย่างไรเล่า"



ไม่ต้องรอให้เขาอธิบายอะไรยืดยาว เพียงแค่คำพูดนั้นก็ทำเอามือที่ถือสิ่งนั้นสั่นจนแทบปล่อยมันให้ร่วงไปเสีย หากแต่มือหนาที่ยื่นมาประคองซ้อนเอาไว้คงรับรู้ถึงได้ประสานเข้าจนผมกำวัตถุในมือแน่น...ดวงตาที่เบิกกว้างเพราะคำพูดเมื่อครู่สบเข้ากับนัยน์ตาคู่สวยส่องประกายระยับตรงหน้าที่สามารถดึงความสนใจไว้ได้เสมอ เช่นเดียวกับริมฝีปากหยักเจือรอยยิ้มปรายเกือบทุกเวลา

"ต่อจากนี้ไม่ว่าพ่อจะไปอยู่ที่ใด ต้องกลับไปยังที่ที่พ่อจากมาหรือไม่ พี่ขอให้พ่อธีร์ระลึกเอาไว้ทุกคราที่ได้มองนาฬิกาเรือนนี้...ว่าพี่จะออกตามหาและรอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อธีร์ เช่นเดียวกับเข็มของนาฬิกาที่ไม่ว่าจะเดินไปข้างหน้าสักกี่ครา ท้ายสุดแล้วก็ยังเวียนมาบรรจบยังจุดเดิม"เคยได้ยินคำว่า ดีในจนน้ำตาแทบไหลไหมครับ?...ผมกำลังเป็นแบบนั้นเพราะไม่มีคำพูดใดที่สามารถอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้เลย...มันไม่ใช่เพราะคำพูดหวานซึ้งชวนเลี่ยนนั่น หรือแม้แต่สิ่งของที่ผมกำลังถืออยู่ในมือ...แต่เป็น...ความรู้สึกของคนตรงหน้าที่ส่งผ่านออกมาต่างหาก...เขา ผู้ซึ่งรับรู้ทุกเงื่อนไขของผมแต่ยังเลือกที่จะจับมือของผมเอาไว้ เลือกที่จะรอคอยทั้งที่รู้ดีว่าในวันข้างหน้าผมอาจต้องกลับไปยังที่ที่จากมา เลือกที่จะให้ความสำคัญทั้งที่รู้ดีว่าต้องพบกับแรงกดดันมากมายเพียงใด...ทั้งกฎเกณฑ์ของสังคม...ฐานะที่เป็นอยู่ หรือแม้แต่...ช่วงเวลาที่แตกต่าง...


และคำตอบของผม...คงมีเพียงสองมือที่เอื้อมออกไปโอบรั้งคนตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้...สองมือเปล่าที่ไม่มีพลังทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีแม้แต่ความมั่นใจว่าจะกอดคนตรงหน้านี้ได้อีกนานแค่ไหน...รู้เพียงแต่ว่า ตราบใดที่ผมยังคงอยู่ที่นี่...ผมจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ไปไหนอีกเลย


"ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณ ที่เห็นธีร์สำคัญขนาดนี้...ธีร์...ไม่มีอะไรจะให้พี่แก้วเลย"และผมรู้ดีว่าต่อให้หาของขวัญชิ้นใหญ่โตขนาดไหน มันก็คงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมได้รับ

"ก็พ่อธีร์อย่างไรเล่า...ของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับพี่"คนถูกกอดเพียงกระชับอ้อมแขนตอบกลับราวกับว่าเขากำลังรับเอาของขวัญชิ้นสำคัญที่ว่ามากอดเอาไว้แน่น ยิ่งทำให้ผมเขินหนักกว่าเก่าจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาเพียงแค่อิงหัวซบลงกับบ่ากว้างไม่ยอมขยับไปไหน



...ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้ปีใหม่ปีนี้สำคัญยิ่งกว่าปีไหนๆ...


คำขอบคุณที่ผมพูดกับตัวเองเพียงลำพังในขณะที่อ้อมแขนแกร่งยังตระกองกอดไม่ยอมห่าง...สำหรับผม การมีคนสำคัญอยู่ข้างๆไม่ว่าจะเป็นวันใดก็มีความหมายทั้งนั้น...แต่การได้อยู่กับคนสำคัญในวันสำคัญแบบนี้...มันเกินกว่าคำว่า'มีความหมาย'ไปไกลมากนัก...ผมไม่ปฏิเสธว่าผมมีความสุข...และผมอยากให้ทุกคนมีความสุขเช่นเดียวกับผม



...สวัสดีปีใหม่นะครับ..:)


...............................................................





"แล้วทำไม...กูต้องมานั่งหงอยในคืนสิ้นปีคนเดียวแบบนี้ล่ะโว้ย!!! T[]T"" ----- แชมป์




.................................................................................


มาช้ายังดีกว่าไม่มา...สวัสดีปีใหม่นะคะมิตรรักแฟนนักอ่านทุกท่าน  :mew1:
ตั้งใจไว้ว่าจะลงตั้งแต่เมื่อคืนแต่ไม่สามารถทำให้จบได้เลยต้องเลื่อนมาเป็นวันนี้แทน (ยังเป็นวันที่ ๑อยู่ไม่ถือว่าช้าไปเนอะ)

ปีใหม่ปีนี้ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยเงินทองกันทุกคนเลยค่า
คนแต่งเองก็ไม่มีของขวัญอะไรจะให้นอกจากตอนพิเศษตอนนี้ ถือเป็นการขอบคุณสำหรับทุกการติดตามมาโดยตลอด

รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิมไม่ว่าจะปีนี้หรือปีไหน...ดีใจที่เราได้โคจรมาเจอกัน

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘ ค่ะ  :mew1:

หมายเหตุ : ตอนหลักตอนหน้ารอกันอีกแป๊บน๊า ใกล้เสร็จแล้วค่า :)

หมายเหตุที่ ๒ : สำหรับวันขึ้นปีใหม่ไทยในสมัยของพี่แก้ว ตรงกับวันที่ ๑ เมษายนของทุกปีค่ะ พี่แก้วแกเลยใจร้อนรีบเอาของขวัญให้น้องธีร์ซะก่อน กลัวน้องธีร์หนีกลับกรุงเทพ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-01-2015 17:58:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 01-01-2015 18:22:36
ซึ้งโคตรๆๆๆๆ  :กอด1:


สวัสดีปีใหม่ครับ
หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 02-01-2015 00:09:14
หวาน ซึ้ง มาก ๆ เลยพี่แก้ว ดีใจกับน้องธีร์จริง ๆ เลย มีคนรักที่รักน้องมากขนาดนี้  :m1:

"นาฬิกาเป็นเครื่องชี้บอกเวลา...สำหรับพี่การให้นาฬิกาในวันขึ้นปีใหม่..."

"นั่นหมายถึงเวลาของพี่ทั้งหมดในปีนี้...เป็นของพ่อธีร์คนเดียวอย่างไรเล่า"
ความหมายลึกซึ้งกินใจเหลือเกินค่ะพี่แก้ว ทำไมไม่มีใครมาพูดอย่างนี้กับเราบ้าง  :ling1:

อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ แค่ตอนนี้ ได้ใช้เวลาทุกวินาทีให้มีค่ามากที่สุด
ร่วมกับคนสำคัญของเรา ก็ถือเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดแล้วล่ะเนอะ น้องธีร์พี่แก้ว

สุขสันต์ปีใหม่ ๒๕๕๘ คนเขียนด้วยนะคะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ ตลอดปีและตลอดไปเลยจ้า
ขอบคุณมากค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: soullmate ที่ 02-01-2015 00:26:02
 :hao5: :hao5: อ๊ายยยย "เวลาของพี่ทั้งหมดในปีนี้ เป็นของพ่อธีร์คนเดียว" โอ้ยยยย หวาน อยากมีบ้างเลย ฟินๆๆจิกหมอนรอ มีแชมป์โผล่มาให้ตลกนิดๆๆ  :impress2: ขอบคุนนะคร้าา รออยุ่น้า❤❤❤
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 02-01-2015 00:44:51
น้ำตาคลอเลยละค่ะ มันซึ้งจัง อ๋อยยย......(ขนาดตอนพิเศษนะเนี่ย5555 ตอนหลักจะเป็นยังไงน้า อย่ามาม่าเลยน้าตัว)

สุขสันต์วันปีใหม่ย้อนหลังนะคะ มีความสุขมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 02-01-2015 02:05:08
พ่อแก้ว พ่อทำข้าน้ำตาซึม  :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 02-01-2015 11:20:46
สวัสดีปีใหม่คนเขียนและตัวละครทุกคนค่าา
เป็นบทนิยายซึ้งๆของปีใหม่เลย
ทั้งสองคนเหมือนจะไม่หวาน แต่หวานมากกกก
ไม่ได้หวานจากการกระทำหรือคำพูดชวนเลี่ยนนะคะ (ถึงคุณหลวงจะชอบพาเลี่ยนก็เถอะ 5555+)
เรารู้สึกว่ามันหวานด้วยความรู้สึกอ่ะ เป็นกลิ่นอายหวานๆซึ้งๆอบอุ่นๆอ่ะค่ะ
ยังคิดถึงน้องธีร์และคุณหลวงตลอดนะคะ

ปล.พี่แชมป์น่าสงสาร เดี๋ยวเค้าไปเรียกคุณพิกุลมาจับผูกโบว์เป็นของขวัญวันปีใหม่ให้นะคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-01-2015 11:52:05
คิดถึงจังเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 03-01-2015 00:44:15
สวัสดีปีใหม่คนแต่งจ้า
พี่แก้วอบอุ่นเสมอต้นเสมอปลาย น่ารักที่สุดเลย
หัวข้อ: .The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 03-01-2015 13:00:12
พี่แก้ว อบอุ่นอ่อนโยนเหลือเกิน พระเอกแห่งปีเลยอ่ะ ปลื้ม ๆ  :o8:

สวัสดีปีใหม่พี่แก้ว น้องธีร์ พี่แชมป์ คุณพิกุล แล้วก็คนเขียนด้วยนะคะ
มีความสุขมาก ๆ นะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 05-01-2015 15:21:32
ตอนที่ ๓๓...เอาคืน...(Champ's Vision)




ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเกลียดใครเท่ามันมาก่อน ถึงผมจะเป็นพวกอารมณ์ร้อน ทำอะไรไม่ค่อยคิด หรือเคยมีเรื่องชกต่อยตามประสาวัยรุ่นอยู่บ้าง แต่คู่กรณีของผมทุกคนพอจบเรื่องก็จบกันทั้งนั้น ไม่เคยเก็บมาเป็นแค้นฝังหุ่นให้รกสมอง...แต่สำหรับหลวงเจษฎารังสรรถือเป็นข้อยกเว้น เพราะถึงแม้ตอนนี้ผมยังไม่ได้ลงมือทำอะไรแต่ผมก็มั่นใจว่าต่อให้มันตายไปตอนนี้ผมก็คงไม่เลิกเกลียดมันง่ายๆ
 

ครั้งแรกที่ผมกับมันได้พบกัน คือตอนที่มันมาหาเจ้าคุณจิตราที่เรือนนั่นแหละครับ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่นึกถูกชะตาเท่าไหร่นัก คนอะไรวะ เป็นถึงลูกเจ้าพระยามีหน้ามีตาในสังคมแต่ทำตัวไร้มารยาทสิ้นดี ทั้งน้ำเสียงและสายตาเหยียดหยันดูถูกราวกับผมเป็นเพียงบ่าวไพร่ หรือแม้แต่เรื่องที่มันด่าพี่สนที่ตลาดนั่นก็อีก ไม่อยากจะคิดว่าถ้าผมอยู่ด้วยในวันนั้นคงได้วางมวยกันสักตั้งสองตั้งไปแล้ว


แต่ที่หนักที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่ไอ้ธีร์เล่าให้ผมฟังเมื่อหลายวันก่อน...ผมพอรู้มาบ้างว่ามันคิดยังไงกับธีร์แต่ไม่คิดว่ามันจะกล้าทำเรื่องชั่วๆถึงขนาดวางแผนลากเพื่อนผมไปข่มขืนพอไม่สำเร็จก็ให้พวกลูกน้องตามมาเอาคืน นี่มันยิ่งกว่าละครหลังข่าวที่ม๊าผมชอบดูอีก...ผมหมายถึงความเลวของมันเมื่อเทียบกับพวกตัวร้ายในละครน่ะ...เพราะงั้นผมถึงไม่ลังเลที่จะกระโจนเข้าไปช่วยธีร์เรื่องนี้แม้แต่น้อย...หนึ่ง เพราะมันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผม...สอง และการที่เพื่อนสนิทของผมที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายปากหนักที่สุดยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังด้วยสีหน้าวิตกจริตผิดวิสัยของมัน มีหรือที่ผมจะยอมอยู่เฉยได้...และสาม ผมเกลียดขี้หน้าไอ้หลวงเจษฎ์นั่น



...ทั้งหมดที่ว่ามาข้อสี่มีน้ำหนักมากที่สุดครับ...นั่นคือ...มันเคยจีบคุณพิกุลไงเล่า!!



"จะไปไหนแต่เช้าวะ?"ธีร์ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จในตอนเช้า ท่าทางมันงัวเงียพิลึกเพราะเพิ่งตื่นแต่ก็ยังอดถามไม่ได้เพราะปกติเวลานี้ผมต้องนอนน้ำลายยืดอยู่บนเตียงและเป็นมันที่ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวออกไปหาคุณหลวงหวานใจของมันแทน

"ไปตลาด"หน้ามุ่ยๆแบบคนเพิ่งตื่นนอนของมันยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีก

"ไปทำอะไรของมึง"ผมยักคิ้วกวนแทนคำตอบ แต่ธีร์ไม่ใช่คนโง่ เพราะการที่ผมแหกตาตื่นก่อนทั้งที่ปกติมันต้องเป็นคนลากผมลงจากเตียงแทบทุกวัน ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ

"เรื่องที่คุยกันวันก่อนเหรอ"สุดท้ายมันก็รู้ได้ด้วยตัวเองอยู่ดี

"แล้วทำไมต้องตลาด?"คนเพิ่งตื่นยังถามเซ้าซี้ แหงล่ะ ปกติมันต้องออกไปช่วยงานหลวงพิสิษฐที่เรือนเจ้าคุณไพศาลเกือบทุกวันเลยไม่ได้อยู่รับรู้ชีวิตประจำวันที่เรือนนี้ของผม ว่าเวลาที่ผมเบื่อๆไม่มีอะไรทำ ผมมักติดสอยห้อยตามพี่สนหรือไม่ก็มิ่งไปตลาดตอนเช้าเสมอ ถึงได้รู้ว่าไอ้คู่กรณีของธีร์มันเพิ่งจะมาเป็นขาใหญ่อยู่แถวตลาดนั้นได้ไม่นาน หลายครั้งที่ผมเห็นมันกับลูกน้องคนสนิทเดินกร่างท่ามกลางพวกชาวบ้าน หรือไม่ก็ไปสุมหัวอยู่ที่ร้านยาดองคอยแซวสาวๆชาวพระนครที่เดินผ่านไปมาให้ชาวบ้านเขาเอือมระอากันไปทั่ว ผมถึงได้ออกปากขอจัดการเรื่องนี้แทนเพราะเทียบกันแล้วผมเข้าถึงตัวมันได้ง่ายกว่าธีร์มากนัก

"มึงอย่าทำอะไรบ้าๆนะแชมป์"ธีร์ลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าก่อนจะหันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง

"ทำไม? มึงคิดว่ากูจะเอามีดไปแทงมันกลางตลาดงี้?"แซวเล่นแค่นี้ถึงกับยื่นมือมาดีดหน้าผากผมดังแป๊ะ! ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าธีร์มันเป็นประเภทปากว่ามือถึง แต่หลังๆมานี้มือมันถึงบ่อยเพราะมันดันเขินบ่อย ความซวยมันเลยมาตกที่ผมเพราะต้องเจ็บตัวบ่อยกว่าเดิม

"ถึงกูจะเกลียดขี้หน้ามัน แต่กูก็ไม่ได้เลวเหมือนมันถึงขั้นจะฆ่ากันให้ตายนะเว้ย"พอโดนสวนกลับเข้าถึงเงียบลงได้...ธีร์เป็นพวกคิดมากเป็นห่วงคนอื่นเกินเหตุเสมอ ด้วยความที่มันเป็นเด็กมีปมเรื่องพ่อกับแม่มันเลยกังวลไปหมดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับคนใกล้ตัว นี่ก็คงเป็นห่วงกลัวว่าผมจะโดนไอ้หลวงเจษฏ์นั่นทำอะไรเข้าล่ะสิ

"กูรู้ว่ามึงไม่ทำอะไรแบบนั้น แต่กูเกรงใจ...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึงเลยนะแชมป์ มึงไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้"

"กูไม่เกี่ยวแต่กูอยากเสือกเพราะกูไม่ชอบหน้ามัน เหตุผลแค่นี้พอมั้ยสัด"เกรงใจไม่เข้าเรื่องด่าแม่งให้สักที มันก็เพื่อนสนิทผม มีคนมาทำร้ายแล้วจะให้ผมอยู่เฉยได้ยังไงวะ

"พอๆ เลิกไร้สาระแล้วไปอาบน้ำได้ละ ชักช้าเจ้าคุณท่านไม่รอต้องพายเรือไปเรือนหมอเองนะมึง"ถูกว่าซ้ำหลายรอบเข้ามันเลยหน้างอใส่ แต่ก่อนออกจากห้องยังไม่วายยกมือขึ้นบีบไหล่ผมเป็นเชิงปรามอีกรอบ...จะย้ำทำไมนักหนาเนี่ย หน้ากูเหมือนฆาตกรโรคจิตคิดแต่จะฆ่าหั่นศพคนหรือไง?



ผมเดินลงจากเรือนใหญ่ตั้งใจจะชวนพี่สนหรือไม่ก็มิ่งให้ไปเป็นเพื่อนแต่ยังไม่ทันเดินถึงเรือนบ่าวก็เจอพี่สนแกก้มๆเงยๆอยู่แถวท่าน้ำหน้าเรือนเสียก่อน

"ทำอะไรอยู่อ่ะพี่...เฮ้ยยย!"ยังไม่ทันได้คำตอบก็แหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจ ก็พี่แกเล่นหันกลับมาพร้อมมีดพร้าเล่มเบ้อเร่อในมือที่ตวัดผ่านหน้าผมไปนิดเดียว

"อ้ายแช่ม! มาไม่ให้สุ้มให้เสียงประเดี๋ยวได้ถูกฟันเข้าให้"พี่สนไม่ได้ตั้งใจหรอกครับ แต่ผมดันทะลึ่งเข้าไปถามประชิดตัวให้แกตกใจเล่นเท่านั้นเอง

"แหย่เล่นแค่นี้จะฟันกันเลยเหรอพี่ โหดว่ะ!"พี่สนส่ายหน้าอย่างระอาเต็มทีเพราะถูกผมแกล้งบ่อยเข้าจนเริ่มชิน

"เอ็งมีอะไรรึ"

"ว่าจะชวนพี่ไปตลาด อยู่เรือนเบื่อๆไม่มีอะไรทำ"คนตัวสูงใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่ไหลย้อยตามใบหน้า แม้จะเป็นเวลาเช้าที่แดดยังไม่จัดนักแต่เพราะต้องทำงานใช้แรงเหงื่อถึงได้โทรมกายแบบนี้

"รอข้าถางหญ้าตรงนี้ประเดี๋ยว เสร็จแล้วจะพาไป ไม่ได้ถางเสียนานหญ้าขึ้นรกไปหมดแลยังตำแยนี่อีก เกิดใครเผลอไปถูกเข้าได้คันคะเยอกันบ้างล่ะ"ผมพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนจะสะดุดเข้ากับคำพูดของแก เหลือบไปเห็นหญ้าขึ้นรกอย่างที่แกว่าแซมด้วยต้นตำแยใบหยักที่ผมเคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยเห็นของจริงสักที ก็ผมมันเด็กโตในเมืองไอ้เรื่องต้นไม้ใบหญ้านี่ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่...แต่เดี๋ยวนะ!...ตำแยเหรอ?

"ตำแยนี่ มันโดนแล้วคันใช่ป่ะพี่สน"

"ก็ใช่น่ะซีวะ ข้าถึงต้องมาถางทิ้ง เกิดคุณหญิงท่านลงมาเห็นว่าท่าน้ำหญ้าขึ้นรกเช่นนี้ล่ะเอ็งเอ๊ย มีหวังพวกข้าถูกเอ็ดจนหูชา"ผมยกยิ้มหลังความคิดบางอย่างผุดพรายขึ้นในหัว...อยู่พระนครนี่ก็ดีเหมือนกันเว้ย เครื่องไม้เครื่องมือรอบตัวไปหมด

"เดี๋ยวผมทำให้เอง พี่ไปพักเถอะ เสร็จแล้วผมไปเรียกนะ"ว่าพลางเอื้อมมือไปฉวยมีดพร้าเล่มโตจากมือแกมาถือไว้แทน แต่พี่สนยังคงยืนนิ่งส่งสายตาแปลกๆมาให้

"ผีเข้ารึเอ็ง ปกติให้ช่วยทำอะไรมีแต่อิดออด"

"ผมเห็นพี่เหนื่อยเลยอยากช่วย ดูดิ๊เหงื่อออกเต็มไปหมดแล้ว ไปๆ เดี๋ยวผมทำเองพี่ไปพักเถอะ"ถึงจะแคลงใจอยู่บ้างแต่แกก็ยอมเดินเลี่ยงกลับไปทางเรือนบ่าวแต่โดยดี...ผมเหลือบมองต้นตำแยบนพื้นอีกรอบ ถ้าใครเดินผ่านมาเห็นคงนึกว่าผมผีเข้าอย่างที่พี่สนว่า ก็ตอนนี้ผมดันยืนหัวเราะอยู่คนเดียวอย่างกับคนบ้า

"ก่อนจะได้เอาคืนกูต้องลงแรงก่อนสินะ"แล้วก็บ่นลอยๆกับตัวเองอีกต่างหากเมื่อเห็นว่ายังเหลือหญ้าที่ต้องถางอีกบาน...หรือผมจะบ้าจริงๆวะเนี่ย!



กว่าจะถางหญ้าตรงท่าน้ำเสร็จก็เล่นเอาหอบเหมือนกันครับ ถึงพักหลังมานี้ผมจะทำงานใช้แรงบ่อยแต่ก็ไม่ชินสักที พี่สนแกก็คงเป็นห่วงเห็นเดินมาดูตั้งไม่รู้กี่รอบ กว่าจะเสร็จก็เกือบสายโน่นล่ะ แถมยังต้องกลับขึ้นไปอาบน้ำใหม่เพราะแค่งานถางหญ้าก็เล่นเอาผมเหงื่อชุ่มได้เหมือนกัน


"ว่าแต่เอ็งมาตลาดทำไมรึ"คนพามาถามขึ้นเมื่อผมมาถึงที่หมาย วันนี้ตลาดริมน้ำยังคงคึกคักเหมือนเดิมทั้งที่สายมากแล้ว พี่สนบอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันพระชาวบ้านเขาเลยออกมาจับจ่ายซื้อของกันมากกว่าปกติ

"พาพี่มากินยาดองของโปรดไง"ผมฉีกยิ้มกว้าง ความจริงพวกผมมาที่นี่กันเป็นประจำอยู่แล้วครับ แต่ทุกครั้งพี่แกมักเป็นฝ่ายชวนก่อนส่วนผมก็จะตอบรับเสมอเพราะอยู่ที่เรือนก็ไม่มีอะไรให้ทำ แต่วันนี้ผมกลับเป็นคนชวนมาแกก็ย่อมสงสัยเป็นธรรมดา

"พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก เอ็งเอาสักหน่อยไหมวะ"คิดไม่ผิดที่ยกเรื่องนี้มาอ้างกับคอยาดองแบบพี่สนเพราะดูท่าแกจะดีอกดีใจเป็นพิเศษ

"เมาแต่เช้าไม่ไหวว่ะ เดี๋ยวผมไปนั่งเป็นเพื่อนแล้วกัน"คนพลุกพล่านแบบนี้ถ้าคิดจะหาเป้าหมายก็ต้องไปที่ที่มันชอบครับ



แล้วผมก็คิดไม่ผิดจริงๆ เพราะยังไม่ทันเดินถึงซุ้มยาดองดีก็ได้ยินเสียงโวยวายที่มักได้ยินอยู่บ่อยๆลอยมากระแทกหูเสียก่อน

"แม่ลำดวนจ๋า...ของพวกพี่ได้หรือยังจ๊ะ ให้คุณหลวงเจษฎ์เธอรอนานประเดี๋ยวเธอไม่พอใจแม่ลำดวนจะเสียลูกค้าคนสำคัญเอานะจ๊ะ"น้ำเสียงยืดยานของลูกสมุนตัวเล็กที่นั่งข้างนายของมันบ่งบอกว่าพวกมันคงเมาได้ที่กันมาสักพักแล้ว เหลือก็แต่ผู้เป็นนายที่ยังนั่งหลังตรงไม่แสดงอาการใด มีก็เพียงรอยยิ้มบนใบหน้าแข็งขึงนั้นที่ผมว่ามัน'น่าหมั่นไส้ชิบหาย'

"เกิดเป็นนายมันดีเช่นนี้ล่ะวะอ้ายแช่ม งานการไม่ต้องทำแต่มีกินมีใช้ไปทั้งชาติ"พี่สนบ่นเสียงเบาเพราะกลัวว่าใครจะได้ยินเข้าแล้วจะซวย

"รวยเงินทองแต่ทำตัวไม่มีประโยชน์ สู้ไม่มีอันจะกินแต่ทำประโยชน์ให้ตัวเองกับคนรอบข้างไม่ดีกว่าเหรอวะพี่"ผมตอบกลับโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาเพราะสายตายังคงจดจ้องกับกลุ่มเป้าหมายตรงหน้า เกือบฆ่าคนตายขนาดนั้นยังมีหน้ามานั่งกินเหล้าเมายาสบายใจ ถ้าไม่เลวก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะครับ...พี่สนเพียงตอบรับคำของผมก่อนจะหันไปสั่งยาดองสูตรประจำของแกกับแม่ลำดวนคนสวยที่ยืนประจำซุ้ม แต่วันนี้หน้าตาเธอบูดบึ้งผิดปกติคงเพราะเจอไอ้ลูกค้าเรื่องมากคอยโหวกเหวกสั่งนู่นสั่งนี่ไม่ขาดปาก

"รอประเดี๋ยวนะพี่ ฉันเอาของหลวงเจษฎ์ไปให้เสียก่อน ประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องเอาอีก"เสียงหวานบ่นอุบขณะกำลังยกถาดของเหลวสีอำพันไปส่งให้ลูกค้าขาใหญ่ที่ยังโวยวายกันไม่เลิก วันนี้ลูกค้าแน่นร้านพวกมันเลยไม่ทันสังเกตเห็นผมกับพี่สนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ผมหรี่ตามองท่าทีของคนทั้งสามที่กำลังรื่นเริงกับบทสนทนาและแก้วยาดองที่วางเกลื่อนบนโต๊ะโดยไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่าสายตาคนรอบข้างเขาเอือมระอาพวกมันมากแค่ไหน...ถ้าเป็นเวลาปกติเจอแบบนี้ผมคงลากพี่สนไปที่อื่นแทนเพราะผมมันพวกขี้รำคาญ แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือการนั่งทนฟังเสียงโหวกเหวกของพวกมันเพราะยังไม่มีจังหวะดีๆให้เข้าประชิดตัว...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเอาใบตำแยที่หยิบติดมือมาโปรยใส่พวกมันให้เหมือนเอฟเฟคหิมะในหนังรักโรแมนติกอยู่หรอก ติดที่ว่าผมคงจะโดนรุมกระทืบเสียก่อนเลยหยุดความคิดเพี้ยนๆเอาไว้เท่านั้นดีกว่า


นั่งรอจนเกือบหลับกว่าพวกมันจะร่ำสุรากันเสร็จ ไอ้ตัวหัวหน้าก็นำทีมลูกน้องอีกสองคนให้ลุกเดินออกจากร้านฝ่าฝูงชนมุ่งตรงไปแถวท้ายตลาด เห็นแบบนั้นผมเลยรีบลุกพรวดจนพี่สนแกสะดุ้งโหยง

"พี่อยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวผมมา"ไม่รอให้พี่สนได้ถามอะไรผมก็รีบเดินตามพวกมันไปทันที โชคดีที่หลวงเจษฎ์ตัวสูงใหญ่เลยสังเกตเห็นได้ง่าย แถวท้ายตลาดนี่ก็ถิ่นพวกมันเหมือนกันครับ เพราะอะไรก็ตามที่เขาเรียกว่าอบายมุขในยุคนี้มันมารวมอยู่ที่ท้ายตลาดกันเกือบหมด เห็นหลังมันไวๆตรงไปทางวงตีไก่วงใหญ่ที่มีชาวบ้านหลายสิบคนยืนมุงดู เสียงโห่ร้องป้องปากตะโกนดังเซ็งแซ่น่าหนวกหู แต่พอเห็นหลวงเจษฎารังสรรเข้าชาวบ้านแถวนั้นก็รีบแหวกทางให้มันแทบไม่ทัน...คนตัวใหญ่แทรกตัวเข้าไปอยู่แถวหน้าสุดโดยมีลูกสมุนอีกสองคนตามประกบซ้ายขวาอย่างกับพวกมาเฟีย ส่วนผมที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรแถวนี้เลยต้องอาศัยลูกมุดแทรกผ่านฝูงชนที่ยืนล้อมเป็นวงเข้าไปยืนประชิดตัวจนได้ในที่สุด พวกมันไม่ทันสังเกตเห็นเพราะมัวแต่สนใจไก่ชนสองตัวในวงล้อมที่กำลังตีปีกเข้าหากันดังพรึ่บพรั่บ ยิ่งเสียงเชียร์ดังมากเท่าไหร่ความรุนแรงก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งความรุนแรงมีมากเท่าไหร่ก็เรียกความสนใจจากพวกมันได้มากขึ้นไปอีก


ช่องว่างในการระวังตัวที่ลดลงเป็นจังหวะให้ผมจัดการยัดใบตำแยที่เก็บมาเสียเต็มกำมือเข้าไปใต้เสื้อมันได้ไม่ยาก ยิ่งคนเบียดเสียดมากเท่าไหร่ใบตำแยคันคะเยอก็ยิ่งถูไถกับผิวหนังของเจ้าตัวมากเท่านั้น แต่ดูท่ามันยังไม่รู้สึกตัวเพราะมัวแต่ลุ้นกับไก่โต้งตัวใหญ่ในวง ผมเลยรีบหลบฉากออกมาด้านนอก...แต่เพียงแค่หลุดออกมานอกวงก็ได้ยินเสียงโวยวายที่คุ้นหู...เสียงโหวกเหวกของมันที่แหวกวงชาวบ้านที่ยืนรายล้อมจนแตกกระเจิง เรียกให้ลูกสมุนอีกสองคนรีบปราดเข้าไปดูอาการแปลกๆของผู้เป็นนายที่ยกไม้ยกมือ สะบัดตัวไปมา ปากก็ร้องเร่าไม่หยุดหย่อน...ภาพตรงหน้าเรียกเสียงหัวเราะจากผมได้ดีทีเดียวเพราะภาพผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังเต้นแร้งเต้นกาบิดตัวไปมาร้องโวยวายนั่นน่าตลกสิ้นดี แต่ก็ต้องรีบวิ่งกลับมาหาพี่สนเพราะกลัวมันจะหันมาเห็นเข้าเสียก่อน น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ดูอาการเพี้ยนๆของมันนานอีกนิด


"เอ็งไปไหนมาวะอ้ายแช่ม"พี่สนยกแก้วค้างเอาไว้เมื่อเห็นผมวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงโต๊ะ

"ไปเดินเล่นมา พี่เสร็จยัง กลับกันเถอะ"

"ประเดี๋ยวซีวะ เพิ่งมาถึง เอ็งจะรีบไปไหน"ผมไม่ตอบคำถามแต่กลับฉวยมือพี่แกให้ลุกตามจนแก้วยาดองในมือแทบกระฉอก ได้ยินเสียงแกบ่นอุบเพราะยังไม่ทันได้ลิ้มรสยาดองของโปรดเต็มที่ก็ถูกผมลากตัวมาที่ท่าน้ำเสียแล้ว

"ออกมาข้างนอกนานเดี๋ยวคุณหญิงบ่น นี่ก็สายมากแล้ว รีบกลับเหอะพี่"เพราะเห็นสายตาคาดคั้นจากพี่สนเลยต้องแถไปแบบสีข้างแทบไหม้ แต่ก็ดูจะได้ผลเพราะเมื่อยกชื่อคุณหญิงมาอ้างพี่แกก็รีบพยักหน้าเห็นด้วยแล้วพาผมกลับทันที


...ปฎิบัติการแรกสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี...ดีเสียจนผมนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวระหว่างทางกลับเรือนจนพี่สนแกว่าผมเป็นบ้าเลยล่ะครับ...ก็มันตลกนี่หว่า ได้เห็นมันกระโดดโหยงเหยงเป็นเป้าสายตาชาวบ้านให้ได้อับอาย ป่านนี้มันคงรู้ตัวแล้วว่าโดนอะไรเข้าไป แต่ไอ้เรื่องตามหาคนลงมือนี่ฝันไปเถอะมึง...กูไม่โง่อยู่รอให้จับได้หรอกครับ...


วันนั้นทั้งวันผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แถวโรงครัว ไม่ได้ตะกละลงไปหาอะไรกินนะครับ แต่ไปคุยกับป้าน้อยต่างหาก เพราะในเรือนนี้จะหาใครรู้เรื่องชาวบ้านมากไปกว่าป้าน้อยคงไม่มี โดยเฉพาะเรื่องที่คนเขาพูดถึงกันที่ตลาดป้าแกรู้เกือบทุกเรื่องเลยทีเดียว...ป้าน้อยเล่าว่าหลวงเจษฎารังสรรกับพวกชอบไปสุมหัวอยู่แถวตลาดตามที่ผมเข้าใจ แต่ก็เพิ่งไม่นานมานี้เอง แกว่าก่อนหน้ามันชอบไปเตร็ดเตร่แถวตลาดใหญ่กลางเมืองแต่ดันไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตแถวนั้นเลยต้องระเห็จมากร่างละแวกเรือนเจ้าคุณจิตราแทน นอกจากกินเหล้าเมายาแล้วก็ยังมีเรื่องการพนันอีกอย่างที่มันให้ความสนใจเป็นพิเศษ เห็นว่ามีไก่ชนตัวเก่งเลี้ยงไว้ที่เรือน พอเอามาตีกับไก่ของชาวบ้าน พวกนักพนันก็เทเงินลงฝั่งมันกันเกือบหมดเพราะไก่ของมันขึ้นชื่อว่าโหดเหมือนเจ้าของ

"ไอ้โต้งของหลวงเจษฎ์น่ะรึ เคยเห็นซีวะ"มิ่งทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับ ตอนนี้ผมมานั่งดูมันผ่าฟืนอยู่ท้ายโรงครัว ท่าทางคล่องแคล่วผิดกับผมที่พยายามฝึกไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จสักที

"ตัวมันใหญ่แลอึดอีกต่างหาก แต่หลวงแกไม่ค่อยเอามาชนบ่อยนัก แกว่าไอ้โต้งมันมีราคา"มิ่งว่าพลางเงื้อขวานขึ้นเหนือหัวก่อนจะฟันฉับลงบนท่อนไม้จนขาดเป็นสองท่อน

"แบบนี้ไปตีกับใครก็ชนะหมดเลยสิวะ"

"หากเป็นวงที่ท้ายตลาดก็ยังไม่มีใครสู้ได้ เห็นว่าอีกสามวันหลวงแกจะพาไอ้โต้งไปตี เอ็งอยากเห็นหรือไม่เล่า"ถึงไอ้มิ่งจะไม่ใช่พวกติดพนันแต่มันก็เคยแอบไปดูเขาตีไก่กันอยู่บ้าง มันว่านานๆทีไปยืนเชียร์แก้เบื่อแต่ไม่ได้ลงเงินพนันอะไรกับเขาหรอกเพราะลำพังเงินทองของมันก็ไม่ได้มีมากมาย


ความคิดแผลงๆในหัวผมเริ่มทำงานอีกครั้ง...อีกสามวันผมถึงจะได้เจอมัน แต่จะให้เอาใบตำแยไปยัดเสื้อมันเหมือนเดิมอีกก็น่าเบื่อไป...มันต้องมีอะไรน่าสนุกกว่านั้นสิวะ!


"หลบมานั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้เล่าพ่อ"เสียงหวานคุ้นหูดังขัดความคิดที่กำลังตีกันยุ่งเหยิง ถ้าเป็นคนอื่นผมคงหันไปด่าเข้าให้ ก็คนกำลังใช้สมองแต่ดันมาขัดจังหวะเสียได้ แต่กับคนนี้...ให้ตายผมก็ด่าไม่ลง

"คุณพิกุล...มีอะไรให้แชมป์รับใช้เหรอครับ"เจ้าของชื่อยืนยิ้มหวานอยู่หน้าศาลาไม้สักข้างเรือนโดยไม่ยอมเดินเข้ามา พักหลังมานี้แม้บรรยากาศตึงเครียดของผมกับคุณหญิงสร้อยจะลดลงไปมากแต่ลูกสาวคนสวยของท่านก็ยังวางตัวดีเยี่ยมเช่นเคย ไอ้เรื่องที่จะให้อยู่กันตามลำพังในที่ลับตาคนนี่เลิกคิดไปได้เลยครับ หรือแม้ในสถานการณ์แบบนี้เธอก็ยังเว้นระยะห่างพอสมควร ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะแค่ได้เห็นหน้าเธอทุกวันแบบนี้ก็ดีมากพอแล้ว

"วันนี้เราลงครัวทำขนม ทำไว้เสียมากคุณแม่ท่านเลยให้เอามาแบ่ง"มัวแต่มองหน้าคนสวยเพลิน ไม่ทันมองถาดขนมสีหวานในมือของเธอ...คนตัวเล็กวางถาดขนมหน้าตาสวยงามสีออกม่วงอมฟ้าเหมือนสีสไบที่เธอห่มวันนี้ลงบนโต๊ะ

"สีสวยจังครับ"สวยทั้งขนมทั้งคนทำเลยด้วย

"เขาเรียกขนมช่อม่วง รสไม่หวานจัดพ่อแชมป์คงชอบ"ผมรีบพยักหน้ารับ อันที่จริงจะหวานมากหวานน้อยผมก็ชอบทั้งนั้นแหละขอให้เป็นฝีมือคุณพิกุลอะไรผมก็กินได้...ผมนั่งท้าวค้างมองหน้าคนตัวเล็กเสียเพลินจนสังเกตเห็นว่าแก้มเนียนของเธอขึ้นสีระเรื่อเพราะถูกจดจ้อง ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำแต่ใบหน้าหวานยังเจือรอยยิ้มชวนมอง...สุดท้ายเลยต้องกระแอมขัดจนผมสะดุ้งโหยง

"เราต้องกลับขึ้นเรือนก่อน อย่าลืมชิมขนมเล่าพ่อ"ใบหน้าหวานยังยิ้มระเรื่อก่อนเธอจะหันหลังกลับขึ้นเรือนโดยที่ผมได้แต่นั่งท้าวคางมองตามตาไม่กระพริบ...แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ววะ ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เห็นหน้ากันทุกวัน แถมวันดีคืนดียังมีบุญได้กินขนมฝีมือคนตัวเล็กอีก...ให้ไอ้แชมป์อยู่แบบนี้ไปจนแก่ตายก็ยอมครับ!



...แล้วกูมัวแต่นั่งเพ้อถึงคุณพิกุลแบบนี้เมื่อไหร่จะได้หาแผนการเอาคืนแผนต่อไปล่ะเว้ย!...



"ใบตำแย?!"ไอ้คนต้นเรื่องเบิกตาโตเกือบเท่าไข่ห่านหลังได้ยินวีรกรรมเมื่อเช้านี้...ธีร์กลับมาถึงเรือนเอาตอนหัวค่ำ พอเจอหน้ามันก็รีบลากตัวผมเข้ามาสอบปากคำในห้องทันที ส่วนผมก็แค่ยักคิ้วกวนตอบคำถามของมันตามประสาคนอารมณ์ดีที่ได้แกล้งคนไปเมื่อเช้าแถมยังมีบุญได้กินขนมช่อม่วงฝีมือคุณพิกุลอีก

"คิดได้นะมึง...แล้วมันเป็นไงวะ"คนถามส่ายหน้าปลงแต่สีหน้าอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

"โดนใบตำแยจะเป็นยังไงได้วะ...ก็คันอ่ะดิ หึหึ"นึกสภาพไอ้หลวงเจษฏ์กระโดดโหยงเหยงแหกปากโวยวายเมื่อกลางวันแล้วก็ขำเป็นบ้า เสียดายที่ไม่ได้อยู่ดูนานกว่านั้นเพราะมันคงตลกพิลึก

"แล้วมันไม่รู้ตัวเหรอ เข้าไปใกล้ขนาดนั้น"

"กูเป็นใครครับ...ระดับนี้แล้วไม่มีพลาดอ่ะ"ท่าทางมั่นใจเกินร้อยของผมทำเอาธีร์ถอนหายใจยาวด้วยความระอา เดี๋ยวส่ายหน้าเดี๋ยวถอนหายใจ ตกลงไอ้ที่ผมทำไปมันนับเป็นความดีความชอบบ้างหรือเปล่าครับ

"มึงนี่นะ...แล้วจะเอายังไงต่อ"ปากก็บ่นปาวๆว่าไม่อยากให้ผมเข้ามายุ่งแต่สีหน้ามันสะใจพิลึกตอนที่รู้ว่าคู่กรณีของมันโดนอะไรไปบ้าง

"อีกสามวันมันจะเอาไก่ชนตัวเก่งไปตีที่ท้ายตลาด"นึกไปถึงไอเดียเด็ดที่เพิ่งคิดได้เมื่อกลางวันแล้วก็เผลอยิ้มเผล่ออกมาจนคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

"มึงคงไม่คิดจะไปฆ่าไก่มันหรอกนะแชมป์"

"ก็คิดนะ ฆ่าทิ้งแล้วเอามาทำต้มข่าไก่แดกแม่ง......ถุ้ย! ความคิดมึงนี่มีแต่ติดลบ"วันก่อนก็กลัวผมจะไปฆ่าไอ้หลวงเจษฏ์ วันนี้กลัวผมจะไปฆ่าไก่มันอีก เจริญล่ะมึงความคิด ผมออกจะเป็นคนดีไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแม้แต่มดสักตัวยังไม่เคยบี้


...นั่นก็เวอร์ไปครับ...


"ฆ่าไก่มันทิ้งไปก็เท่านั้น สู้ทำให้มันเสียหน้าแถมเสียตังค์จนหมดตัวดีกว่า"ไอ้ธีร์ยิ่งทำหน้าเป็นหมางงเข้าไปใหญ่ จนเมื่อผมอธิบายแผนที่วางไว้ให้ฟังนั่นล่ะ มันถึงกับอ้าปากค้างแถมยังถามผมซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ มัวแต่ปอดแหกแล้วแผนที่วางไว้มันจะไปสำเร็จได้ยังไงกันเล่า!


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 05-01-2015 15:22:49


สามวันถัดมาผมยังคงนอนเอกเขนกอยู่ที่เรือนเจ้าคุณจิตราเหมือนเคย วันนี้ธีร์ไม่ได้ออกไปไหนเพราะมันต้องเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าย้ายเข้าห้องหอ เอ๊ย! ผมหมายถึงย้ายไปอยู่เรือนเจ้าคุณไพศาลชั่วคราวเพราะต้องไปดูแลหลวงพิสิษฐที่จะกลับเรือนในวันพรุ่งนี้ เห็นว่าอาการดีขึ้นมากจนต่อปากต่อคำกับมันได้เป็นฉากๆ แต่ผมว่าต่อให้คุณหลวงเจ็บเจียนตายมันก็เถียงไม่ชนะอยู่ดี...ก็คนอย่างชลนธีร์เคยเถียงชนะใครเขาบ้างล่ะครับ

"มึงจะไม่ไปดูจริงเหรอวะ"ธีร์ละมือจากกองเสื้อตรงหน้าหันมาถามผมที่ยังนอนกระดิกเท้าอ่านหนังสือเล่มหนาอยู่บนเตียง ท่าทีสบายอารมณ์คงขัดหูขัดตามันไม่น้อยเพราะตอนแรกมันรบเร้าจะตามไปตลาดด้วยให้ได้แต่ผมไม่ยอม ขืนไปให้ไอ้หลวงเจษฎ์มันเห็นแผนก็แตกกันพอดีสิครับ...สุดท้ายผมเลยตัดใจไม่ไปมันเสียเลยถึงแม้อยากจะไปดูน้ำหน้ามันสักหน่อยก็เถอะ

"ไอ้มิ่งมันไปดู เดี๋ยวมันก็กลับมาบอก"ท่าทางมันหงุดหงิดพิลึกคงเพราะอยากไปดูให้เห็นกับตา แต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อมิ่งกลับมาถึงเรือนแล้วรีบตรงดิ่งมาที่ห้องนอนของพวกผมทันที...สีหน้ามันตื่นเต้นน่าดูตอนที่เปิดประตูเข้ามา ส่วนธีร์ก็ทำหน้าอยากรู้อยากเห็นเต็มทีจนผมต้องเอาเท้าสะกิดให้มันระงับความเสือกไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต

"เป็นไงมั่งวะ"ผมตีเนียนถาม ความจริงเมื่อเช้ามันก็มาชวนแต่ผมบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากให้ธีร์ตามไปด้วย ได้แต่บอกให้มันไปดูแล้วกลับมารายงานให้ฟังโดยใช้เหตุผลว่าผมสนใจ ทั้งที่ความจริงผมไม่รู้กติกากีฬาชนไก่บ้าบอนี่แม้แต่น้อย

"ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะโว้ย!"คนเพิ่งมาถึงตบหน้าแข่งตัวเองฉาดใหญ่ด้วยความตื่นเต้น

"ไอ้โต้งแพ้ราบคาบเชียวล่ะ ถูกไอ้ขุนศึกของพ่อจอมต้อนเสียไม่เป็นท่าแลสภาพยังย่ำแย่เต็มที"มิ่งเล่าเหตุการณ์เป็นฉากๆ เริ่มตั้งแต่ตอนที่หลวงเจษฎ์มันพาไอ้โต้งเข้าไปในวง ท่าทางของไอ้โต้งที่ป้อแป้ผิดวิสัยจนพวกนักพนันที่ลงเงินฝั่งนั้นวิตกกันเป็นแถว จนสุดท้ายก็แพ้กลับไปแบบไม่มีทางสู้ด้วยสภาพสะบักสะบอมขนหลุดร่วง ไม่ต่างจากหน้าของเจ้าของที่แหกยับเยินจนเหลือเพียงสองนิ้วเพราะคุยโวกับชาวบ้านเขาไปทั่วว่าไก่ของมันเป็นที่หนึ่งในละแวกนั้น

"หลวงเจษฎ์แกหน้าซีดเสียอย่างกับไก่ต้ม แลยังเสียอัฐไปมากโขเพราะมั่นใจหนักหนาว่าไก่แกต้องชนะ"ดูท่ามิ่งเองก็สะใจอยู่ไม่น้อยเพราะมันเล่าไปหัวเราะไปเมื่อนึกไปถึงหน้าของหลวงเจษฎ์ในตอนนั้น

"หลวงแกยังโวยวายอีกว่าไอ้โต้งมันถูกวางยาถึงได้ไม่มีเรี่ยวแรง อาละวาดเสียลั่นตลาดเชียวล่ะ"

"โดนวางยาเหรอวะ"ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่มิ่งเล่า ธีร์เองก็พยายามเก็บอาการแต่ดูก็รู้ว่ามันสะใจไม่แพ้กัน

"ข้าก็ว่าแปลกนัก ปกติไอ้โต้งมันมีฝีมือแต่วันนี้กลับสิ้นท่า บุญของข้าที่ไม่ได้ลงอัฐพนันกับเขา ไม่เช่นนั้นข้าคงหมดตัวเป็นแน่"สีหน้าของมิ่งเจือแววประหลาดใจยิ่งทำให้ผมหัวเราะไม่หยุด...โดนวางยาเหรอ...ก็ใช่น่ะสิ! ถ้ามันไม่โดนยามันจะป้อแป้กลับมาแบบนี้เหรอครับ...แต่ก็ต้องยอมรับว่าแผนนี้สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่ามันจะสำเร็จ...เพราะการที่ผมลงทุนไปหาต้นเทียนหยดที่เขาว่ากันว่ามันมีพิษทำให้ท้องร่วง เอามาผสมกับข้าวเปลือกแล้วฝากบ่าวสักคนบนเรือนของหลวงเจษฎ์เอาไปให้นายมันโดยอ้างว่าเป็นยาบำรุงชั้นดีที่ไก่ตัวไหนได้กินแล้วก็ยิ่งมีเรี่ยวแรง ไปตีกับใครเขาก็ชนะ


ทั้งหมดที่ว่ามานี้คงพังไม่เป็นท่า หากหลวงเจษฎารังสรรไม่ใช่คนโลภ มันก็คงไม่สนใจข้าวเปลือกธรรมดาๆที่ได้มาจากใครก็ไม่รู้ที่มันไม่เห็นแม้แต่หน้า และมันก็คงไม่เอาไปให้ไก่มันกินจนออกอาการขนาดนี้...เพียงแต่ผมเดาไม่ผิดว่าคนอย่างมันถ้าเห็นช่องทางไหนที่จะคดโกงได้มันก็จะทำ...ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น...เสียทั้งเงิน เสียทั้งหน้า แถมยังต้องพาไก่มันไปรักษาอีกล่ะมั้ง


ส่วนผมกับธีร์...ก็นั่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังจนมิ่งมันทำหน้างงใส่เข้าให้ไงเล่า!


"กูเพิ่งรู้ว่ามึงเรียนโทพฤกษศาสตร์"เพื่อนตัวดีได้ทีแขวะกลั้วเสียงหัวเราะไม่หยุดหลังมิ่งขอตัวลงไปทำงานที่โรงครัวต่อจนผมต้องยกมือโบกมันเข้าให้ คนทำดีไม่มีชมดันมาแขวะกันได้

"ทะลึ่งละ...แผนนี้ได้มาเพราะคุณพิกุลเลยนะเว้ย"แต่คนกำลังหัวเราะร่ารีบหุบปากฉับ สีหน้าของมันเปลี่ยนจากคนอารมณ์ดีเป็นตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินชื่อของลูกสาวเจ้าคุณจิตราเข้ามาเกี่ยวข้อง

"มึงบอกคุณพิกุลเหรอ!"ธีร์แหกปากเสียงดังพร้อมมือที่เขย่าตัวผมจนหัวสั่นหัวคลอน ผมเลยรีบปัดมือมันออกก่อนที่จะเวียนหัวไปมากกว่านี้

"บ้าดิ!...กูไม่ได้บอก..."เห็นมันทำหน้าสงสัยแถมสายตาคาดคั้นแล้วก็อดขำไม่ได้...เฉลยให้มันหายกังวลหน่อยก็แล้วกันครับ

"ก็วันก่อนกูไปนั่งเล่นที่ท่าน้ำเล็ก กะไปหาที่สงบใช้ความคิดซักหน่อยแต่ดันไปเห็นต้นอะไรไม่รู้สีม่วงๆเหมือนขนมที่คุณพิกุลทำให้กิน กูเลยเก็บไปให้เค้าดู นึกว่าเค้าใช้ไอ้ต้นนี้ทำสีขนมเพราะกูเคยได้ยินมาว่าคนสมัยนี้เค้าใช้สีจากธรรมชาติ...แต่เค้าบอกไม่ใช่ ต้นนี้มันมีพิษกินแล้วท้องร่วง กูเลยได้ไอเดียนี่ไง...เห็นมะ! มึงต้องขอบคุณคุณพิกุลเค้านะเว้ย ถ้าเค้าไม่ทำขนมให้กูกินกูคงคิดแผนนี้ไม่ออกหรอก"ผมร่ายยาวเหยียดจนไอ้ธีร์ส่ายหน้าปลง

"ก็พยายามโยงเข้าหากันจนได้เนอะ"แน่นอนสิครับ เรื่องนี้ผมยกความดีความชอบให้คนตัวเล็กเต็มๆถึงแม้ทั้งหมดนั่นจะเกิดขึ้นเพียงเพราะผมหาเรื่องเข้าไปคุยกับเธอโดยยกเรื่องขนมมาอ้างเท่านั้น

"ป่านนี้ไอ้หลวงเจษฏ์คงโมโหน่าดู"คำพูดของธีร์ดึงผมที่กำลังยิ้มร่าเพราะมัวแต่นึกถึงลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตราให้กลับมาสู่บทสนทนาอีกครั้ง...สีหน้าของมันเป็นกังวลไม่น้อยเพราะรู้ฤทธิ์เดชของคู่กรณีดี

"อาละวาดบ้านพังแน่มึง...ช่วงนี้คงต้องปล่อยไปก่อน ขืนทำอะไรตอนนี้มันรู้ตัวแน่"เสียทั้งเงิน เสียทั้งหน้าแบบนั้น ไม่อยากจะคิดถึงบ่าวคนที่ผมฝากข้าวเปลือกนั่นไปให้เลยว่าจะโดนหนักขนาดไหน...แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะผมคงไม่โง่เดินดุ่มๆเอาไปให้มันเองกับมือหรอกครับ



"แชมป์..."แล้วไอ้น้ำเสียงส่อแววดราม่าของมึงนี่มันคืออะไรวะ?

"ขอบใจนะ...เรื่องของกูแท้ๆแต่กูกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย เดือดร้อนมึงต้องทำโน่นทำนี่ตลอด"ทำมาเป็นซึ้งนะไอ้ธีร์ นี่ผมต้องหาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มเหมือนในหนังหรือเปล่าครับเนี่ย

"ถ้ากูไม่ช่วยมึงแล้วจะให้กูไปช่วยใครวะ...มึงเลิกขอบคุณกูเถอะ กูจำไม่ได้แล้วว่ามึงขอบคุณกูมากี่ครั้ง"ธีร์เป็นเด็กดื้อเสมอเวลามีปัญหาเพราะมันเอาแต่คิดว่ามันต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง บ่อยครั้งที่ผมเห็นความสับสนและเป็นกังวลฉายออกมาจากสีหน้าเรียบเฉยเวลาที่มันหาทางออกไม่ได้ บ่อยครั้งที่มันหงุดหงิดตัวเองจนใครก็เข้าหน้าไม่ติด...ถึงอย่างนั้นธีร์ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ...ตั้งแต่รู้จักกันมาผมแทบไม่เคยเห็นมันร้องไห้ ถ้าไม่นับเรื่องหยุมหยิมตอนเด็กๆก็มีแค่ตอนที่พ่อกับแม่มันเสีย...และอีกครั้ง...คือคืนวันนั้นที่หลวงพิสิษฐถูกทำร้ายปางตาย...สำหรับธีร์...การสูญเสียคนสำคัญเป็นเรื่องใหญ่และละเอียดอ่อน...แต่เพราะแบบนี้ถึงทำให้มันเข้มแข็งและพร้อมที่จะจัดการกับใครก็ตามที่ทำร้ายคนสำคัญของมัน


...และผมเองก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเพราะผมรู้ดีว่าถ้ากลับกลายเป็นผมที่มีปัญหา ธีร์เองก็คงกระโจนเข้ามาช่วยโดยที่ผมไม่ต้องร้องขอเช่นกัน
.

.

.

.

.
ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหมครับว่าวิธีเอาคืนหลวงเจษฏารังสรรในแบบของผมไม่ใช่การทำร้ายร่างกายจนถึงชีวิต...แต่เป็นการทำให้มันใช้ชีวิตลำบากขึ้นอีกหน่อย...และมันก็เป็นอย่างที่ผมว่า เพราะหลังจากวันนั้นผมยังคอยตามป่วนประสาทจนมันอยู่ไม่เป็นสุข...วันดีคืนดีผมก็เห็นมันกระโดดโหยงเหยงอยู่ริมท่าน้ำที่ตลาดเพราะเจอรังมดแดงที่ผมแอบหย่อนเอาไว้ในเรือ...อีกวันมันก็ยืนก่นด่าพวกเด็กผมจุกท้ายตลาดที่ผมจ้างไปป่วน ทั้งยังโห่แซวเรื่องที่ไก่มันแพ้พนันจนชาวบ้านแถวนั้นพากันหัวเราะครืน...หรือวันที่มันได้ลิ้มรสยาดองผสมบอระเพ็ดที่ผมเอาไปฝากลูกน้องมันถึงเรือน แต่ลูกน้องมันดันรู้หน้าที่รีบหิ้วไปฝากลูกพี่ให้ได้ขมคอกันถ้วนหน้า...ยังไม่รวมถึงนกสาริกาเสียงหวานลูกรักของมันที่ถูกจับใส่กรงแขวนไว้หน้าเรือนแพ ผมก็แอบไปเปิดกรงให้เพราะเห็นว่าอยู่ในกรงแคบๆมันน่าสงสารจะตาย

ชีวิตของหลวงเจษฎารังสรรเรียกได้ว่าปั่นป่วนจนกลายเป็นความหวาดระแวง...หลายครั้งที่ผมเห็นมันเดินหันรีหันขวางมองคนรอบข้างด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หรือแม้แต่อารมณ์หงุดหงิดของเจ้าตัวที่พาลลงกับลูกน้องคนสนิทเมื่อมันพยายามตามสืบว่าใครเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ แต่จนแล้วจนรอดลูกน้องของมันก็ไม่มีปัญญาหาตัวคนผิดจนถูกหลวงเจษฎ์บันดาลโทสะเข้าให้ บางครั้งผมก็นึกสงสารคนสนิทของมันที่คอยเดินตามหลังนายต้อยๆ ทำทุกอย่างตามคำสั่งแม้นั่นอาจหมายถึงเรื่องชั่วช้า แถมยังเป็นที่รองมือรองเท้าเวลาที่นายของพวกมันของขึ้นอีกต่างหาก...แต่แล้วผมก็คิดได้ว่า ชีวิตของทุกคนมันมีทางเลือกกันทั้งนั้น และการที่พวกมันไม่เลือกเดินออกมาทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่เรื่องดี นั่นแปลว่าพวกมันเองก็เลวไม่แพ้นายของพวกมันนักหรอกครับ

และการที่ผมยังอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนถึงทุกวันนี้ทั้งที่พวกมันควรรู้ตัวคนทำตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพราะผมมีฝีมือเลิศเลอเหมือนสายลับในหนังฮอลลีวู๊ดหรือเรียนวิชานินจามาจากสำนักไหน...โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่าผมเก่งแถมหล่อและฉลาดมากอีกต่างหาก...แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ!...ความจริงก็คือ...สิ่งที่ทำให้ผมรอดพ้นสายตาของพวกหลวงเจษฎ์มาได้ทุกครั้ง มันคือสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า...'สุรา'...หรือยาดองในสมัยนี้ที่คนเขานิยมกันนั่นแหละ...นับเป็นโชคดีที่พวกนั้นจัดว่าเป็นพวกขี้เมาอันดับต้นๆ แม้ไม่ได้ดื่มกันจนเมามายแต่หลายครั้งที่สติของพวกมันขาดหายจนกลายเป็นช่องโหว่ให้ผมทำอะไรได้ตามใจโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันระวัง กว่าจะรู้ตัวผมก็เผ่นแน่บกลับมานอนตีพุงสบายใจที่เรือนเรียบร้อย...อีกอย่างพวกมันเองก็มีเรื่องกับชาวบ้านเขาไปทั่วตั้งแต่คนใหญ่คนโตไล่ลงมาถึงเด็กตัวเล็กๆที่วิ่งเล่นอยู่ในตลาด เรียกได้ว่าศัตรูของมันมีอยู่รอบทิศ พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ยากนักที่จะจับมือใครดม


ส่วนคุณชายชลนธีร์ที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นพยาบาลดูแลคนป่วยอยู่ที่เรือนเจ้าคุณไพศาลก็ยังหาข้ออ้างกลับมาที่เรือนบ่อยครั้ง แถมมาแต่ละทีผมต้องกลายร่างเป็นเลขาส่วนตัวคอยรายงานผลให้มันฟังแบบละเอียดยิบ...มีครั้งหนึ่งที่ผมไม่ยอมเล่าเพราะมัวแต่ขำกับท่าทางประหลาดของหลวงเจษฎ์เลยโดนมันโบกเข้าให้จนความจำแทบเสื่อม วันต่อมายังแอบตามไปที่ตลาดจนผมไม่กล้าลงมือเพราะกลัวพวกนั้นสงสัย...ถึงปากมันจะบอกให้ผมจัดการแต่คนอย่างธีร์ปล่อยวางได้ที่ไหน ยิ่งเป็นเรื่องของตัวเองด้วยแล้ว ถ้าผมไม่ห้ามเอาไว้แต่แรกคงได้กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยจนเรื่องมันวุ่นวายหนักกว่าเดิม

"ไอ้เจิมบอกว่าพรุ่งนี้หลวงเจษฎ์กับเจ้าคุณเดโชจะไปงานบวชลูกชายข้าหลวงในกรม"เป็นอีกวันที่ธีร์ขอกลับมาที่เรือนเจ้าคุณจิตรา และก็เหมือนกับทุกครั้งที่มันต้องลากผมเข้ามาสอบปากคำในห้องถึงผลงานที่ท่านชายแชมป์คนนี้เพิ่งแสดงฝีมือไป

"ไอ้เจิม...ใครวะ?"คนฟังมีสีหน้าสงสัย เรียวนิ้วที่กำลังเคาะโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ของมันชะงักกึกก่อนจะหันมามองผมที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ข้างเตียง

"คนขายปลาที่ตลาด มันสนิทกับบ่าวที่เรือนเจ้าคุณเดโช เห็นชอบก๊งเหล้าด้วยกันบ่อยๆ"

"หื้ม! เดี๋ยวนี้มีสายนะมึง...ไม่ธรรมดา"ผมยักคิ้วกวนให้เจ้าของน้ำเสียงแดกดันที่ผมถือว่าเป็นคำชมสักที...ไอ้เจิมมันไม่ใช่สายสืบให้ผมหรอกครับ ผมแค่หลอกถามมันบ้างเพราะเจอกันบ่อย มันเองก็ถูกชะตาผมไม่น้อยเพราะเห็นว่าผมเป็นคนเฮฮา ดูไม่มีพิษมีภัยแถมเข้ากับคนง่ายเสียเหลือเกิน

"มันไม่อยู่เรือนแล้วมึงจะทำยังไง"คนขี้สงสัยยังถามต่อ

"ยังไม่รู้...มึงล่ะ มีไอเดียอะไรดีๆบ้างมั้ย"ผมส่ายหน้าตอบเพราะยังคิดไม่ตก สารพัดวิธีที่ผมสรรหามาจัดการคนอย่างหลวงเจษฎารังสรรจนถึงตอนนี้ต้องเรียกได้ว่า หมดมุขโดยสิ้นเชิงครับ โดยเฉพาะเวลาที่เจ้าตัวมันไม่อยู่เรือนด้วยแล้ว จะให้ผมตามไประรานมันถึงงานบวชชาวบ้านเขาก็ใช่เรื่อง



"ก็มีนะ...แต่ไม่ได้ทำกับเจ้าตัว"ธีร์บอกเสียงเรียบ หลังใช้ความคิดอยู่นานคิ้วที่ขมวดยุ่งเป็นปมของมันก็คลายออกพร้อมกับไอเดียที่ผุดพรายขึ้นมาในหัว

"ไม่ได้ทำกับเจ้าตัว แล้วมันจะไปได้อะไรวะ"แต่กลายเป็นผมที่ขมวดคิ้วยุ่งแทนเพราะความสงสัย

"ได้ความสะใจ"รอยยิ้มเย็นของมันเรียกให้ผมหนาววาบไปทั้งตัว...ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของมัน ธีร์เป็นคนไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์ กับคนไม่สนิทหากมันไม่พอใจอะไรก็เพียงปิดปากเงียบ หรือถ้าเป็นพวกผม ไอ้โจ๊ก ไอ้ต่อที่สนิทถึงขั้นเล่นหัวกันได้ มันก็จะแหกปากด่าตรงๆเสียมากกว่า...อ้อ! ยังมีหลวงพิสิษฐอีกคนเพราะผมเห็นมันเขินหน้าดำหน้าแดงบ่อยๆเวลาอยู่กับคุณหลวง...แต่ไอ้รอยยิ้มเย็นยะเยือกแบบนี้ผมแทบไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง

"ยังไงวะ?"

"เอาเป็นว่า มึงช่วยเตรียมของให้กูอย่างนึงแล้วพรุ่งนี้ไปด้วยกัน...ที่เหลือกูจัดการเอง"คำตอบที่ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจให้ผมแม้แต่น้อย แถมเจ้าตัวยังไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านั้นทั้งที่ผมพยายามง้างปากมันอยู่นาน สุดท้ายธีร์ก็ยังยืนยันคำเดิมคือให้ผมช่วยเตรียมอุปกรณ์ให้และรอมันมาหาที่เรือนตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น



...ว่าแต่...มันจะเอาเลือดหมูไปทำอะไรของมัน คงไม่ได้นึกอยากกินต้มเลือดหมูขึ้นมาตอนเช้าๆหรอกนะครับ...



ผมเดินลงมาส่งธีร์ที่ท่าน้ำหน้าเรือน ก่อนกลับมันยังกำชับหนักแน่นไม่ให้ผมแอบไปที่เรือนเจ้าพระยาเดโชเพียงลำพังและให้รอจนกว่ามันจะมาหาที่เรือนพรุ่งนี้ แต่ถึงมันไม่ย้ำผมก็ต้องรอมันอยู่ดีเพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่าไอ้แผนการที่มันว่าคืออะไร...บอกให้มันค้างที่นี่มันก็ไม่ยอม คงกลัวว่าจะไม่มีคนดูแลหลวงพิสิษฐ แต่ก็ดีแล้วล่ะครับเพราะขืนมันนอนค้างที่นี่มันก็คงเอาแต่เป็นห่วงคนที่อยู่อีกเรือนจนนอนไม่หลับกันพอดี

กำลังจะกลับขึ้นเรือนแต่สายตาของผมดันเหลือบไปเห็นลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตรานั่งอยู่ที่ศาลาไม้สักข้างเรือนเสียก่อน...ใบหน้าหวานฉ่ำโปรยยิ้มบางจนผมเผลอยิ้มตามเมื่อได้เห็น...มือเรียวเล็กกำลังจับจีบดอกบัวตูมสีชมพูอมเขียวดอกใหญ่เชื่องช้าทว่ายิ่งทำให้จีบบัวเรียงตัวอย่างปราณีต...ผมชอบมองเวลาคุณพิกุลทำงานฝีมือเพราะสีหน้าของเธอมักอมยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขเสมอ ทั้งการเคลื่อนไหวก็ดูอ่อนหวานนุ่มนวลไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ผมก็ยังยืนยันว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ช่างเพียบพร้อมยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนที่ผมเคยได้พบมา...แม้แต่ม๊าของผมเองก็เถอะ...โธ่! ก็ม๊าผมมีเชื้อจีนเกือบเต็มร้อยแกเลยติดนิสัยทำอะไรรีบเร่งเสมอ ไอ้ความปราณีตอ่อนช้อยแบบหญิงไทยสมัยนี้จะหาในตัวม๊าของผมนี่แทบไม่มีหรอกครับ...แต่ถึงอย่างนั้นแกก็ยังเป็นผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในโลกอยู่ดี

"พ่อแชมป์..."สะดุ้งโหยงเพราะกำลังยืนยิ้มค้างคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หันไปมองเจ้าของเสียงหวานที่เพิ่งเรียกชื่อผมเมื่อครู่

"คะ คุณพิกุล...ทำไมวันนี้ลงมานั่งข้างล่างล่ะครับ"ได้แต่ยกมือลูบหัวเกรียนๆของตัวเองแก้เก้อเมื่อถูกคนตัวเล็กจับได้ว่ายืนแอบมองอยู่เสียนาน

"อยู่บนเรือนทุกวัน เปลี่ยนลงมานั่งข้างล่างบ้างท่าจะดี"มือเรียวเล็กวางดอกบัวตูมที่ถูกจับจีบเสร็จเรียบร้อยลงบนพานทองเหลือง ใบหน้าหวานเจือรอยยิ้มระเรื่ออย่างคนอารมณ์ดี

"จีบบัวไว้ใส่บาตรพรุ่งนี้เหรอครับ"ผมขยับเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าศาลา ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากกว่านี้หรอกครับ กลัวแม่เขาลงมาเห็นแล้วจะโดนเฉดหัวออกจากบ้านเสียก่อน

"วันพรุ่งเราจะไปถวายเพลที่วัด คุณแม่ท่านอยากทำบุญ"

"อยากไปด้วยจังเลย"ผมบ่นลอยๆอย่างลืมตัวจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะเบาเพราะนึกตลกในท่าทางประหลาดของผม...แต่ภาพของคนตัวเล็กที่ยกมือขึ้นบังริมฝีปากบางของตัวเองเอาไว้กลับยิ่งน่ามอง

"ก็ไปซี...กำลังนึกว่าจะไปชวนอยู่พอดีเพราะยังหาคนช่วยถือของไม่ได้"

"โหย อย่าเลยครับ เดี๋ยวคุณหญิงท่านเอ็ดเอา"ผมรีบส่ายหน้าหวือเมื่อนึกถึงหน้าดุๆของคุณหญิงสร้อย ถึงแม้พักหลังท่านจะเมตตาผมขึ้นมาอีกหน่อยแต่ความจริงที่ว่าผมรักลูกสาวคุณหญิงก็ยังคงฝังใจท่านไม่หาย

"ไม่เอ็ดหรอก เราเรียนคุณแม่แล้วท่านไม่เห็นว่ากระไร"ผมแทบอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำตอบจากคุณพิกุล...สงสัยพรุ่งนี้พายุจะเข้าครับ ก็การที่คุณหญิงสร้อยยอมให้ผมเข้าใกล้ลูกสาวท่านเกินสิบเมตรเนี่ยมันเรียกว่าเหลือเชื่อ

"คุณหญิงท่านไม่สบายรึเปล่าครับ"ถามแบบไม่ใช้สมองเลยถูกค้อนขวับเข้าให้

"ก็แล้วพ่อแชมป์จะไปด้วยกันหรือไม่เล่า"

"ป่ะ...เอ๊ย! พรุ่งนี้ไม่ได้ครับ!"กำลังจะตอบรับแล้วเชียวดันนึกไปถึงเรื่องที่คุยกับไอ้ธีร์ขึ้นมาได้เสียก่อน เห็นคนตัวเล็กมีสีหน้าแปลกใจที่อยู่ดีๆผมก็แหกปากลั่น

"มีธุระหรือพ่อ"โอ๊ย ไอ้แชมป์เอ๊ย! อยากไปใจจะขาด โอกาสแบบนี้แทบมีหนึ่งในล้าน แล้วทำไมไอ้หนึ่งในล้านมันจะต้องมาเกิดเอาพรุ่งนี้ด้วยวะเนี่ย!

"ต้องไปข้างนอกกับธีร์น่ะครับ"ใบหน้าหวานหม่นลงเล็กน้อยเมื่อผมปฏิเสธ เพราะเธอเองก็คงคิดเหมือนกันว่าโอกาสที่ได้ใช้เวลาร่วมกันของผมกับเธอนั้นช่างน้อยแสนน้อย แต่พอมีโอกาสผมก็ดันไม่ว่างเสียอีก

"เอาไว้คราวหน้าถ้าคุณพิกุลจะไปวัดอีก แชมป์จะไปช่วยถือของนะครับ จะไปทุกวันจนกว่าคุณพิกุลจะเบื่อหน้าเลย"พอเห็นใบหน้าหวานนั้นหมองลงผมถึงได้รีบแก้ตัวยาวเหยียด ไม่รู้ทำไมแต่ผมว่าอย่างคุณพิกุลเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าเป็นไหนๆ...คนตัวเล็กนิ่งไปเพียงครู่ก่อนที่เรียวปากบางนั้นจะกลับมาเจือรอยยิ้มหวานเหมือนเคย

"หากมีธุระก็ไปทำก่อนเถิด วันพระไม่ได้มีหนเดียว เอาไว้วันหน้าค่อยไปก็ได้"ผมรีบพยักหน้ารับจนหัวแทบหลุด เรียกเสียงหัวเราะเบาจากคนที่เพิ่งนั่งหน้ามุ่ยเมื่อครู่ออกมาได้...เท่านี้ก็เพียงพอให้ผมอารมณ์ดีไปทั้งวัน เพราะสำหรับผมแล้ว...รอยยิ้มของคนตรงหน้ามีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมด



...หากแต่ผมควรไปทำบุญกับคุณพิกุล ถ้าผมรู้ว่านั่นจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้ใกล้ชิดคนที่ผมรัก...
.

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนพิเศษวันปีใหม่...[UP P.14]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 05-01-2015 15:23:50
.

.
ธีร์มาหาผมที่เรือนในเช้าวันถัดมาตามที่มันว่าไว้ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังบ่นอุบถึงความยากลำบากในการตีเนียนหาข้ออ้างออกมาข้างนอก เพราะตอนนี้หลวงพิสิษฐอาการดีขึ้นมากจนกลายเป็นมันที่ขยับตัวไปไหนมาไหนได้ยาก ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่าคุณหลวงเขาหวงเพื่อนผมจนแทบจับมันยัดใส่หีบล็อคกุญแจไปแล้วถ้าแกทำได้

"สรุปว่ามึงให้กูเอาเลือดหมูมาทำซากอะไรวะ?"ผมเหลือบมองถังไม้ขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงสดจนน่าขนลุกสลับไปมากับคนที่นั่งประจันหน้ากันบนเรือที่ผมทำหน้าที่เป็นฝีพาย...ธีร์เลือกใช้การเดินทางโดยเรือมากกว่าเกวียนแม้ระยะทางระหว่างสองเรือนค่อนข้างห่างกัน มันบอกว่าวิธีนี้ทำให้สามารถไปถึงเรือนแพของไอ้หลวงเจษฎ์ได้ง่ายกว่า ซึ่งผมก็รู้ดีจากที่เคยไปจัดการเรื่องนกสาริกาที่เรือนนั้นเมื่อหลายวันก่อน

"เค้าเรียกว่า...ปฏิบัติการเลือดสาดครับมึง"เจ้าตัวยกยิ้มเย็นแต่สายตายังคงชื่นชมความงามของสองฝั่งคลองอย่างสบายอารมณ์ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งอ้าปากหวอเมื่อได้ยินแผนการของมันที่ผมเข้าใจได้ในทันที

"เอาจริง?"คนถูกถามพยักหน้ารับมั่นใจ

"เถื่อนไปมั้ยวะ"เทียบกับสารพัดวิธีที่ผมเคยทำมาทั้งหมดแล้ว นั่นมันกลายเป็นเรื่องเด็กๆไปเลยทีเดียว

"กับคนเถื่อนๆมันก็ต้องใช้วิธีเถื่อนๆน่ะถูกแล้ว หรือมึงจะให้กูเอาตุ๊กตาบาร์บี้ไปชี้หน้าด่ามันว่าเลว"โดนกวนเข้าให้จนผมแทบยกไม้พายขึ้นโบกหัวมันแทนมือที่ไม่ว่าง...คนอย่างธีร์ไม่ค่อยเกลียดใครหรอกครับ...แต่ถ้ามันเกลียดใครแล้ว ต่อให้ทำดีแทบตายมันก็ไม่ญาติดีด้วยเด็ดขาด แล้วยิ่งคนที่มันเกลียดแถมยังทำร้ายคนสำคัญของมันปางตายอย่างหลวงเจษฎารังสรรด้วยแล้ว ผมก็ไม่แปลกใจนักที่คนอย่างชลนธีร์จะผูกใจเจ็บจนต้องหาวิธีเอาคืนแบบนี้...และผมก็เคยบอกไปแล้ว ว่าผมพร้อมที่จะร่วมวงช่วยมันเสมอไม่ว่าวิธีของมันจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม...ถ้าไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตายนะครับ


ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมาถึงเรือนแพของเป้าหมาย...ผมพาเรือเข้าเทียบริมตลิ่งโดยอาศัยร่มเงาของมะขามต้นใหญ่ที่ขึ้นถัดจากเรือนแพเป็นที่กำบัง พลางสอดส่ายสายตาดูความเป็นไปรอบตัวเรือนที่ตอนนี้เงียบเชียบ ทั้งยังหน้าต่างทุกบานที่ปิดสนิทยิ่งทำให้คำพูดของไอ้เจิมมีน้ำหนักมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ประมาทรอดูลาดเลาไปอีกสักพัก

"เงียบขนาดนี้คงไม่อยู่อย่างที่ไอ้เจิมว่า"ธีร์พยักหน้ารับหงึกหงักหลังพยายามชะเง้อมองบรรยากาศรอบตัวเรือนบ้าง ก่อนที่มันจะคว้าถังไม้บรรจุของเหลวสีแดงสดที่วางอยู่ข้างตัวตั้งใจจะปีนขึ้นบนขอบตลิ่ง หากแต่ผมฉวยข้อมือมันเอาไว้ได้ทัน

"เดี๋ยวๆ...กูไปเอง"คนถูกขัดหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะคราวนี้มันคงอยากจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองหลังจากให้ผมฉายเดี่ยวมาหลายรอบ

"มันไม่อยู่แล้วมึงจะกลัวอะไร"

"นายมันไม่อยู่แต่บ่าวมันยังอยู่เต็มเรือนนะเว้ย มึงเคยมาที่นี่กี่ครั้ง ไอ้พวกนั้นมันจะไม่เคยเห็นหน้ามึงเลยเหรอไง"ผมรีบดึงแขนมันให้นั่งลงแล้วกระโดดขึ้นไปบนขอบตลิ่งแทน...ธีร์ยังคงหน้ามุ่ยเพราะไม่สบอารมณ์แต่ไม่ได้เถียงอะไรต่อ ผมเลยรีบฉวยโอกาสคว้าถังไม้ในมือมันมาถือเอาไว้แทน

"มึงรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูมา"

"ระวังตัวนะมึง"แม้ยังหงุดหงิดไม่หายที่ถูกขัดแต่ก็ยังอดเป็นห่วงผมไม่ได้...ผมยกมือโบกไปมาเป็นเครื่องหมายว่าไม่ต้องเป็นห่วงก่อนจะย่องเข้าไปใกล้เรือนแพตรงหน้าอย่างเงียบเชียบที่สุด...แว่วเสียงบ่าวสองสามคนคุยกันอยู่ไม่ไกลจนต้องชะงักฝีเท้า รอจังหวะให้ทุกสิ่งรอบตัวเงียบลงอีกครั้งแล้วจึงก้าวเข้าใกล้จนมาหยุดอยู่ข้างชานเรือนฝั่งริมน้ำ


เพียงเสี้ยววินาทีที่ไร้ซึ่งความลังเลใจ ผมจัดการละเลงชานเรือนด้วยของเหลวในมือจนพื้นไม้สีน้ำตาลอ่อนกลายเป็นแดงฉาน สีแดงของเลือดไหลนองทั่วพื้นซึมหยดลงไปยังพื้นน้ำเบื้องล่างทั้งยังสาดกระเซ็นเปรอะไปถึงผนังและกรอบประตู หากมีร่างของใครสักคนนอนแผ่หราอยู่ตรงนั้นมันคงกลายเป็นฉากหนึ่งในหนังฆาตกรรมที่สมบูรณ์แบบไปแล้ว แต่เพียงเท่าที่เห็นก็สยดสยองไม่ต่างกัน...กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนผมต้องรีบพาตัวเองหลบกลับมาที่โคนมะขามต้นเดิมโดยไม่อยู่รอชมผลงานให้นานกว่านั้น ธีร์ยังคงนั่งรออยู่บนเรือหากแต่ชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มที

"เป็นไงมั่งวะ"ผมเพียงไหวไหล่ตอบคำถามมันแล้วรีบกระโดดลงเรือโดยเร็วเพราะได้ยินเสียงคนดังมาจากด้านหลัง ธีร์เองก็รู้งานถึงได้รีบออกแรงพายเรือให้ออกห่างจากเรือนแพนั้นโดยเร็วที่สุด

"ยังไงของมึงเนี่ยแชมป์"คนต้นคิดรบเร้าถามอีกครั้งเมื่อมันพายเรือออกมาไกลจากจุดเดิมพอสมควร เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมพรูลมหายใจยาวเพราะกลิ่นคาวเลือดติดจมูกจนน่าเวียนหัว

"สยองสัด...กูนึกว่ากำลังดูหนังฆาตกรโรคจิตไล่ฆ่าเหยื่อ"สีแดงฉานบนชานเรือนเมื่อครู่ยังติดตา...ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเจ้าของเรือนมันมาเห็นเข้าจะมีสีหน้าแบบไหนเพราะขนาดคนลงมือเองแบบผมยังแทบแย่

"แล้วมึงแน่ใจนะว่าไม่มีใครเห็น"คราวนี้ผมส่ายหน้าหวือ

"แม่งเงียบอย่างกับป่าช้า ป่านนี้เจ้าของเรือนมันคงกำลังรำหน้านาคที่งานบวชเพลินแล้วมั้ง...ไว้มันกลับมาเห็นสภาพก่อนเถอะมึง มีนอนไม่หลับกันก็งานนี้"นึกภาพไอ้หลวงเจษฎ์กำลังรำหน้านาคแบบวัยรุ่นสมัยผมแล้วก็หัวเราะครืนออกมาพร้อมกัน...ธีร์เองก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมากเมื่อในที่สุดมันก็ได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเองเสียทีหลังจากถูกผมห้ามแล้วห้ามอีกมาหลายครั้ง


...สำหรับพวกผมสองคน...นี่เป็นเรื่องน่าสนุก...


แต่หากผมเอะใจสักนิดว่าบานหน้าต่างที่แง้มออกเพียงนิดมีเงาของใครบางคนยืนหลบมุมคอยดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่...ผมก็คงไม่ลงมือทำเรื่องบ้าบอนั่น...และเรื่องราวหลังจากนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น...


...เหตุการณ์ที่ทำให้ผมนึกเสียใจทุกครั้ง...ว่าผมควรตัดสินใจไปทำบุญกับคุณพิกุล ได้ใช้เวลาอยู่กับเธอ ได้มองหน้า สบตา ได้เห็นรอยยิ้มจากดวงหน้าหวานฉ่ำ...ก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีกเลย 



.......................................โปรดติดตามตอนต่อไป........................................


หวานๆรับปีใหม่ไปแล้ว ได้เวลากลับสู่โลกแห่งความจริงค่า  :hao5:

ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตาม รักผู้อ่านทุกท่านเสมอค่ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๓...๐๕/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 06-01-2015 01:54:59
ห๊ะ แชมป์เป็นอะไรหรอ ใจไม่ดีแล้วนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๓...๐๕/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 06-01-2015 08:23:20
ทิ้งท้ายไว้น่ากลัวจังเลยอ่ะ ฮือออ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๓...๐๕/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-01-2015 19:13:07
ใจไม่ดีแล้้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๓...๐๕/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 12-01-2015 14:58:34
 :katai1:
ไม่นะ!! ใครแอบดูอยู่ล่ะนั่น?
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๓...๐๕/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 17-01-2015 18:17:22

ตอนที่ ๓๔...โอกาส...




...สามสิ่งในชีวิตที่เมื่อผ่านไปแล้วไม่อาจเรียกให้หวนคืน...คือคำพูด...เวลา...และโอกาส...



สำหรับใครบางคนอาจมีโอกาสย้อนวันเวลากลับมายังที่ที่ตนไม่เคยได้พบเห็น...กลับมาใช้ชีวิต...ใช้เวลา และใช้โอกาสเพื่อสร้างความทรงจำและสิ่งดีๆ...หากแต่การตัดสินใจผิดพลาดเพียงเสี้ยววินาที นั่นอาจหมายถึงโอกาสที่หลุดลอยไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...ไม่ว่าจะพยายามเรียกคืนช่วงเวลานั้นสักเพียงใดก็ตาม
.

.

.

.

"ระวังนะเจ้าคะคุณหลวง"น้ำเสียงร้อนรนของบ่าวคนสำคัญดังขึ้นเมื่อพยายามประคองร่างสูงโปร่งของคนเจ็บที่เพิ่งกลับมาถึงเรือนหลังจากพักรักษาตัวที่เรือนหมอเป็นเวลาหลายวัน...สำหรับคนไม่เหลือแม้แต่พ่อและแม่อย่างเขา หลังจากคุณหญิงของเรือนเสียไป สิ่งที่เรียกได้ว่าครอบครัวคงมีเพียงเจ้าคุณผู้มีพระคุณกับหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายในตอนนี้ ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งบ่าว ทั้งแม่ครัว หรือแม้แต่พี่เลี้ยงคอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก

"นอนเสียข้างล่างไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ เดินขึ้นลงบันไดบ่อยเข้าจะกระเทือนถึงแผลเอาได้"ทั้งยังความเป็นห่วงเป็นใยเหมือนลูกหลานยิ่งทำให้เขาไม่รู้สึกว่าขาดอะไรแม้แต่น้อย

"อยากนอนบนห้องมากกว่า แม่ชื่นไม่ต้องกังวลไป เราไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว"แต่บางทีเจ้าหล่อนก็กังวลเกินเหตุไปหน่อย...เธอละมือออกจากร่างสูงเมื่อประคองอีกฝ่ายมาจนถึงเตียงพลางถอนหายใจยาวเพราะจนใจจะขัดความดื้อรั้นของเจ้าตัว

"เช่นนั้นบ่าวจะนอนเฝ้าที่นี่ หากว่าคุณหลวงต้องการเรียกใช้อะไรเจ้าค่ะ"ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นห่วงเกินกว่าจะปล่อยให้เจ้าของห้องอยู่ตามลำพังทั้งที่ยังเจ็บแบบนี้ไม่ได้

"ลำบากแม่ชื่นเสียเปล่า ให้พ่อธีร์เขาอยู่แทนก็ได้"หลวงพิสิษฐว่าพลางเหลือบมองคนถูกพาดพิงที่ยังยืนกอดหอบผ้าเงียบเชียบอยู่ข้างเจ้าคุณเจ้าของเรือน...ตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จาเพียงคอยลอบมองอาการของคนป่วยอยู่ห่างๆเพราะถูกบ่าวคนสำคัญรับหน้าที่คนดูแลไปชั่วขณะ

"จะให้คุณธีร์นอนพื้นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ พื้นเรือนแข็งเยี่ยงนี้ประเดี๋ยวก็ปวดหลังเอา"เมื่อคำนึงถึงสถานะของเจ้าตัว แม้ไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์ใดแต่ก็ไม่ใช่บ่าวไพร่ที่จะให้มานอนบนพื้นเรือนแบบนี้ถึงได้หันไปค้อนขวับเจ้าของห้องเข้าให้ เดือดร้อนคนถูกพาดพิงที่เงียบอยู่นานต้องรีบห้ามทัพเพราะเกรงว่าจะเถียงกันไม่จบ

"ธีร์นอนได้ครับป้าชื่น...อยู่เรือนโน้นก็นอนพื้นออกบ่อย ไม่เป็นไรหรอกครับ"แม้ว่านั่นจะเป็นคำโกหกคำโตก็ตาม

"จะดีหรือเจ้าคะ"ถึงอย่างนั้นคนสูงวัยกว่าก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี

"เจ้าตัวเขาว่านอนได้ก็ให้เขานอนเถิด แม่ชื่นเองก็มีงานล้นมือ พ่อธีร์เขาถึงได้อาสามาดูแลพ่อแก้วจะได้แบ่งเบาภาระแม่ชื่นอีกทาง"เมื่อหาข้อสรุปไม่ได้ เจ้าของเรือนถึงต้องออกปากเอง ใบหน้าอ่อนโยนภายใต้ริ้วรอยจางๆยิ้มละไมให้ผู้มาเยือนด้วยความเอ็นดูเหมือนทุกครั้ง...รอยยิ้ม...ที่ชลนธีร์คิดเสมอว่ามันแปลก

"เช่นนั้นก็สุดแท้แต่เจ้าคุณท่านเจ้าค่ะ"เมื่อเป็นคำพูดจากผู้เป็นใหญ่สูงสุดในเรือนมีหรือที่เธอซึ่งเป็นเพียงบ่าวจะกล้าขัด

"มาถึงเหนื่อยๆ นอนพักก่อนเถิดพ่อ ประเดี๋ยวตอนบ่ายจะให้บ่าวยกสำรับขึ้นมาให้"สุดท้ายถึงได้หันไปบอกคนป่วยด้วยเห็นท่าทีอิดโรยจากการเดินทาง ทั้งยังบาดแผลลึกที่ยังไม่หายดีนั่นอีก...หลวงพิสิษฐเพียงรับคำก่อนเอนตัวลงนอนบนเตียงโดยมีคนข้างๆคอยประคองไม่ห่าง...ท่าทีเก้ๆกังๆของเด็กหนุ่มเมื่อถูกสายตาของผู้อาวุโสทั้งสองจดจ้องเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าคุณท่านได้ไม่น้อย แต่กลับยิ่งทำให้คนที่ตกเป็นเป้าสายตาประหม่าจนแทบทำอะไรไม่ถูก

"แม่ชื่น...ลงไปชงชาแลหาของว่างให้เราที ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า หิวเสียแล้ว"เมื่อเห็นว่าบ่าวคนเก่าแก่ยังยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนถึงได้กระแอมท้วงจนอีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัวเพราะมัวแต่เป็นกังวลอาการของคนป่วย...เจ้าของชื่อเพียงค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินตามหลังเจ้าคุณท่านออกมาอย่างเสียไม่ได้





"เจ้าคุณท่านเจ้าคะ"หากแต่เสียงเรียกให้เจ้าของเรือนชะงักฝีเท้าหันกลับไปมองแทนคำถาม แม่ชื่นเพียงเหลือบมองภาพคนสองคนในห้องผ่านบานประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก

"ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ดีแน่หรือเจ้าคะ"สำหรับคนที่ใช้ชีวิตมานานพอสมควรย่อมดูออกเป็นธรรมดาว่าความสัมพันธ์ของคนสองคนในห้องนั้น เป็นมากกว่าเจ้านายกับผู้ช่วยหรือแม้แต่คนสนิท หากด้วยฐานะของตนที่เป็นเพียงบ่าวถึงไม่สามารถก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผู้เป็นนายได้


เจ้าของเรือนเพียงเหลือบมองภาพของคนสองคนผ่านบานประตูนั้นเช่นกัน ใบหน้าอ่อนโยนยกยิ้มจนคนที่ยืนค้อมตัวด้วยความเคารพยิ่งสงสัย

"แม่ชื่นเลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กเคยเห็นเขาให้ความสำคัญกับใครเท่าคนนี้หรือไม่เล่า"หากบ่าวไพร่บนเรือนยังดูออก มีหรือที่ผู้อาวุโสอย่างเจ้าคุณไพศาลจะไม่ล่วงรู้...คนสนิทที่ท่านเลี้ยงมากับมือตั้งแต่เจ้าตัวยังจำความไม่ได้ ใบหน้าคมเข้มชวนมองทั้งยังท่าทีสุภาพอ่อนน้อมทำให้หลวงพิสิษฐเป็นที่โปรดปรานทั้งกับผู้ใหญ่หลายท่านที่พบเห็น หรือแม้แต่สาวน้อยสาวใหญ่ในพระนครเองต่างพากันชื่นชมไม่ขาดปากจนได้ยินถึงหูเจ้าคุณท่านอยู่บ่อยครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยเห็นว่าหลวงคนสนิทจะให้ความสำคัญหรือสนอกสนใจหญิงใดเป็นพิเศษ...นึกว่าเป็นเพราะเจ้าตัวเอาแต่สนใจกับงานราชการจนไม่เป็นอันคิดถึงเรื่องรักใคร่ แต่พอได้พบกับเด็กหนุ่มท่าทีประหลาดคนนั้น ทั้งยังเรื่องที่หลวงพิสิษฐว่าเจ้าตัวมีคนในใจเมื่อตอนที่เจ้าคุณท่านหมายมั่นให้ออกเรือนกับลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณจิตรานั้นก็ยิ่งทำให้แน่ใจ...คราแรกนั้นนับเป็นความทุกข์หนักอก ด้วยว่าตำแหน่งหน้าที่การงานหรือแม้แต่ชื่อเสียงของท่านเองก็ใหญ่โตไม่น้อย ทั้งยังกฎเกณฑ์ของสังคมที่ตีกรอบให้ความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นเรื่องผิดแผก หากแต่เมื่อได้เห็น ภาพของคนสองคนครั้งแล้วครั้งเล่า ความคิดที่ว่าก็ค่อยๆเลือนหาย บรรยากาศอบอุ่นที่ปกคลุมยามคนทั้งสองอยู่ใกล้กันทำให้ท่านเผลอยิ้มกับตนเองหลายต่อหลายครั้ง...ทั้งยังเรื่องในคืนงานเลี้ยงที่หลวงพิสิษฐถูกทำร้ายปางตาย...ท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนราวกับคนเสียสติของเด็กหนุ่มในคืนนั้นยิ่งทำให้เจ้าคุณไพศาลแน่ใจ ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกฉาบฉวยที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วจางหาย แต่มันคือความมั่นคงที่คนทั้งสองมีให้ต่อกัน...ความรู้สึก ที่ไม่ถูกแบ่งแยกทั้งจากฐานะ ชาติกำเนิด หรือแม้แต่เพศ

"เขาเป็นคนดี แม่ชื่นก็เห็น"สายตาของเจ้าคุณไพศาลที่เหลือบมองคนในห้องเรียกให้บ่าวคนสนิทปรายสายตาจดจ้องตาม...ภาพของเด็กหนุ่มที่ขยับผ้าแพรผืนใหญ่ห่มให้คนบนเตียงอย่างระมัดระวังเพราะกลัวพลาดไปถูกแผล ทั้งยังสายตาของคนป่วยที่จดจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา

"แต่เขาเป็นชายนะเจ้าคะ"หากแต่คนที่เลี้ยงดูมากับมือยังปล่อยวางไม่ได้

"แล้วอย่างไรเล่า...เขาไม่ทำให้พ่อแก้วของแม่ชื่นทุกข์ใจก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ"

"หากใครรู้เข้า เห็นทีจะเป็นทุกข์กันหมดน่ะสิเจ้าคะ"คราวนี้เจ้าคุณไพศาลถอนหายใจยาวก่อนจะเอื้อมมือไปปิดบานประตูห้องนอนลงอย่างเบามือที่สุด

"เป็นทุกข์เพราะคำพูดของคนนอกหรือจะทุกข์เท่าคนใกล้ตัวไม่เข้าใจ...แม่ชื่นอยากให้เป็นอย่างไหนเล่า"คำพูดตัดบทก่อนที่เจ้าของเรือนจะเดินลงบันไดไป ทิ้งให้คนฟังยืนเงียบครุ่นคิดเพียงลำพัง




..........................................................................................





"จะทำอะไรน่ะพ่อ"คนป่วยเหลือบมองด้วยสีหน้าสงสัย หลังจากจัดแจงให้เขานอนพักพร้อมห่มผ้าให้เรียบร้อย ก็ได้เวลาหันมาจัดการเรื่องของตัวเองบ้าง ผมลากเอาเสื่อกับหมอนที่ป้าชื่นแกเตรียมไว้นอนเฝ้าไข้ในตอนแรกออกมากองไว้ข้างเตียง แต่สงสัยต้องลงไปขอฟูกมาปูทับเสียหน่อยเพราะลำพังแค่เสื่อหลังคงเดี้ยงน่าดู

"ปูที่นอนไงครับ"

"ใครว่าพี่จะให้พ่อธีร์นอนพื้นเล่า...ขึ้นมานอนบนนี้ด้วยกันเถิด"ไม่พูดเปล่ายังยกมือตบเตียงดังปุๆอีกต่างหาก เห็นผมเป็นแมวหรือไงนะ

"ไม่ได้ครับ เกิดธีร์นอนดิ้นไปโดนแผลขึ้นมาจะทำยังไง"ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ถึงผมไม่ใช่คนนอนดิ้นนักก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงให้คนป่วยอาการหนักขึ้นมาหรอกครับ

"โถพ่อ เตียงออกกว้างเช่นนี้ ทำเหมือนกับพ่อไม่เคยนอนไปได้"คนบนเตียงยกยิ้มกวนจนผมนึกอยากฟาดหมอนที่ถืออยู่ใส่เจ้าตัวเข้าให้ ยังดีที่ยั้งไว้ได้ทัน

"ถ้าอยากให้ขึ้นไปนอนบนเตียง ก็ต้องรีบหายนะครับ จนกว่าจะถึงตอนนั้น...ธีร์จะนอนข้างล่างนี่ล่ะ"ยังยืนยันคำเดิมพร้อมปูผ้าบนเสื่อให้เรียบร้อย ส่วนคนตัวสูงก็ได้แต่นอนหน้ามุ่ยเพราะถูกขัดใจ ที่เขาว่าคนป่วยมักขี้อ้อนเป็นพิเศษสงสัยจะจริง

"พอพี่หายดี พ่อธีร์ก็ขอกลับไปอยู่เรือนโน้นเสียอีกกระมัง..."ขี้อ้อนไม่พอยังขี้น้อยใจแถมประชดประชันด้วย...ผมผละจากที่นอนชั่วคราวบนพื้นขึ้นไปนั่งข้างๆคนที่นอนไม่สบอารมณ์อยู่บนเตียง...เห็นสีหน้าเรียบเฉยของเจ้าตัวแถมไม่ยอมสบตาด้วยยิ่งเรียกรอยยิ้มกริ่มได้เป็นอย่างดี

"ถึงกลับไปอยู่เรือนโน้น เดี๋ยวก็ถูกคนบางคนลากมาที่นี่จนได้น่ะแหละ หรือไม่จริงครับ...หลวงพิสิษฐ"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้าไปยักคิ้วกวนใกล้ๆ เจ้าของชื่อที่เบือนหน้าหนีไปอีกทางเลยสบโอกาสเอื้อมมือมาคว้าตัวจนแทบเสียหลัก ก่อนจะฝังจมูกลงบนแก้มซ้ายของผมจนร้อนผ่าวขึ้นมา พร้อมเสียงหัวเราะเบาตามประสาคนอารมณ์ดีที่ได้เอาคืน

"โอ๊ย!"ตามด้วยเสียงร้องโอดโอยเพราะถูกผละออกด้วยความตกใจจนกระเทือนถึงแผลที่เอวอีกฝ่ายเข้าให้ เดือดร้อนผมต้องรีบเข้าไปดูอาการอีกรอบเพราะกลัวว่าแผลจะเปิดขึ้นมา

"เล่นไม่รู้จักเวลา เจ็บตัวเลยเห็นมั้ย"แต่คนถูกบ่นกลับไม่มีท่าทีสลดแม้แต่น้อย ซ้ำยังยกยิ้มหวานมองผมไม่วางตา

"เจ็บ...แต่ได้กำไร ถือว่าคุ้มนะพ่อ"แถมด้วยคำพูดยียวนที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้งนี่อีก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรถึงได้ละมือออกแล้วจัดแจงห่มผ้าให้ตามเดิม ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเพราะรับรู้ถึงดวงตาพราวระยับที่จดจ้องอยู่

"กลายเป็นคนฉวยโอกาสแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ"คนป่วยเพียงหัวเราะเบาเมื่อเห็นว่าผมเริ่มหน้ามุ่ยบ้างหลังจากโดนแกล้งซ้ำแล้วซ้ำอีก

"ตั้งแต่...ได้พบพ่อธีร์กระมัง"สุดท้ายก็กลายเป็นผมที่ต้องยอมแพ้เหมือนเคย ก็อย่างที่แชมป์มันว่าอยู่บ่อยๆ คนอย่างผมเคยเถียงชนะใครเขาที่ไหน กรณีของแชมป์คือมันกวนประสาทเกินกว่าที่ผมจะต่อปากต่อคำด้วย...แต่กับหลวงพิสิษฐ...เห็นทีจะเป็นเพราะคำพูดหยอกล้อไม่อายปากของเจ้าตัวเขานี่ล่ะครับ ที่ผมยอมแพ้




กว่าจะส่งคนป่วยให้เข้านอนได้ก็ปาไปบ่ายแก่ๆเพราะเจ้าตัวเอาแต่อิดออดว่าไม่ง่วงบ้างล่ะ อยากคุยกับผมมากกว่านอนพักบ้างล่ะ หรือแม้แต่ลากผมไปนอนอยู่ข้างๆทั้งที่ถูกบ่นเรื่องแผลที่ยังไม่หายสนิท สุดท้ายเจ้าตัวก็ผลอยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาฝรั่งที่หมอเบ็นจัดไว้ให้ ผมเลยถือโอกาสลงมายืดเส้นยืดสายข้างล่างเพราะไม่ชอบอุดอู้อยู่แต่ในห้องโดยไม่ลืมหยิบหนังสือบนชั้นในห้องนอนของเขาติดมือลงมาอ่านเล่นไปพลางๆ


ในยุคที่ไม่มีแม้แต่เครื่องมือสื่อสารหรืออำนวยความสะดวกใดๆอย่างพระนคร หนังสือเห็นจะเป็นสื่อบันเทิงเพียงอย่างเดียวที่ผมสามารถหาเสพย์ได้ แต่น่าแปลกที่ระยะเวลาเกือบสองเดือนที่ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่โดยปราศจากอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ทั้งหลายกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกเป็นสุขกับชีวิตที่สงบราบเรียบแบบนี้ มากกว่าชีวิตยุ่งเหยิงวุ่นวายที่ทุกอย่างดูเร่งรีบอย่างในกรุงเทพมหานคร ความสุขที่ผมพบได้เพียงแค่นั่งมองเจ้าพระยาผืนใหญ่ตรงหน้าเป็นชั่วโมงโดยไม่ลุกไปไหน ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนสองฟากฝั่ง เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของชาวพระนคร หรือแม้แต่เด็กตัวเล็กๆที่จับกลุ่มกันกระโดดน้ำเสียงดังลั่น



ความสุขสงบที่ไม่มีเรื่องอื่นให้เป็นกังวล...นอกเสียจากเรื่องของใครบางคนที่ผมยังต้องจัดการ



ผมไม่ได้บอกหลวงพิสิษฐเรื่องที่ผมกับแชมป์วางแผนกันไว้เพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวต้องออกปากห้าม ที่สำคัญผมไม่อยากให้เขาเป็นห่วง เพราะเพียงแค่วันที่ผมไปเยือนเรือนเจ้าคุณเดโชครั้งนั้น เจ้าตัวก็ถึงกับสอบปากคำผมยาวเหยียดทั้งที่ผมยังไม่ทันลงมือทำอะไร...สิ่งที่ผมกับแชมป์ตกลงกันมีเพียงผมกับมันเท่านั้นที่รู้...ความจริงผมไม่อยากรบกวนแชมป์เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาของมัน แต่เมื่อมองจากสภาพรอบตัว ผมก็ต้องยอมรับว่าแชมป์สามารถทำทุกอย่างได้ง่ายกว่าผมมากนัก


วันแรกที่มันลงมือ ผมเป็นห่วงมันจนไม่เป็นอันทำอะไร ได้แต่นั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่เรือนหมอเบ็นจนคนป่วยยังสงสัย จนมันสาธยายสิ่งที่มันทำให้ฟังตอนเย็นวันนั้นถึงพอโล่งใจได้บ้างว่ามันปลอดภัยดี และมันก็ทำให้ผมสะใจไม่น้อยที่รู้ว่าคนอย่างหลวงเจษฎารังสรรถูกเพื่อนผมทำอะไรให้บ้าง...แม้แต่วันก่อนหน้าที่จะย้ายมาอยู่เรือนนี้ชั่วคราว ผมยังได้เห็นสีหน้าของมิ่งที่เล่าเรื่องไก่ชนตัวเก่งของหลวงเจษฎ์ที่พ่ายไม่เป็นท่าหลังจากเจ้าของมันคุยโวไปทั่วตลาดว่าไก่ชนของมันฝีมือชั้นหนึ่งหาใครเทียบยาก


ยิ่งได้รับรู้ว่าคนที่ผมเกลียดถูกเอาคืนครั้งแล้วครั้งเล่าผมยิ่งสะใจ แต่มันคงจะดีกว่านี้หากผมเป็นคนลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่ต้องยืมมือใคร ผู้ชายคนนั้นยังคงเป็นคนอันตรายเกินกว่าที่แชมป์หรือใครจะรับมือได้ ทั้งชื่อเสียงและบรรดาศักดิ์ของผู้เป็นพ่อ หรือแม้แต่นิสัยเหี้ยมโหดของเจ้าตัว ยังไม่รวมถึงลูกน้องของมันที่รายล้อมส่งให้หลวงเจษฎารังสรรเป็นคนที่ผมไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง...ถึงอย่างนั้น การที่แชมป์ลงมือสำเร็จถึงสองครั้งติดๆกันก็ทำให้ผมได้เห็น ว่าผู้ชายคนนั้นยังมีช่องโหว่อีกมากให้พวกผมลงมือ แต่หากพลาดพลั้งขึ้นมา คนที่ต้องมารับกรรมทั้งหมดคือแชมป์ เพราะแบบนี้ผมถึงได้เป็นห่วง


"ของว่างเจ้าค่ะคุณธีร์"เสียงเรียกของป้าชื่นดึงความคิดที่ลอยฟุ้งของผมให้กลับมาหยุดอยู่ที่ขนมหน้าตาสะสวยตรงหน้า พร้อมกับน้ำใบเตยกลิ่นหอมเตะจมูกที่วางเคียงกัน

"ขอบคุณครับป้าชื่น แต่วันหลังให้บ่าวยกมาก็ได้จะได้ไม่รบกวนป้าชื่นนะครับ"ผมว่าพลางยกน้ำใบเตยขึ้นจิบ สำหรับผม ป้าชื่นไม่ได้เป็นเพียงบ่าวเหมือนคนอื่นๆ เพราะความอาวุโสและเรื่องที่แกเป็นคนดูแลหลวงพิสิษฐมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งยังเจ้าคุณไพศาลเองก็ให้ความสำคัญกับป้าชื่นมากกว่าบ่าวคนอื่นในเรือน ด้วยว่าแกเป็นคนเก่าแก่ของคุณหญิงท่าน ผมเลยให้ความเคารพแกเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเสียมากกว่า

"รบกวนอะไรกันเล่าเจ้าคะ ว่าแต่คุณธีร์ลงมานั่งที่ศาลาแบบนี้ คุณหลวงหลับแล้วหรือเจ้าคะ"

"ได้ยาฝรั่งของหมอเข้าไป หลับสนิทเลยครับ"ผู้อาวุโสกว่าเพียงยกยิ้มก่อนขยับเข้ามาใกล้แต่ไม่ยอมนั่งลง จนผมต้องบอกให้แกนั่งได้นั่นแหละ ผมหยิบขนมขนาดพอดีคำในจานขึ้นมาชิมตามด้วยน้ำใบเตยรสหวานติดลิ้น จนเริ่มสังเกตว่าป้าชื่นแกเอาแต่นั่งอมยิ้มมองหน้าผมไม่วางตา

"ป้าชื่น...มีอะไรรึเปล่าครับ"พอถามกลับไปแกถึงกับสะดุ้งโหยงคงเพราะมัวแต่มองหน้าผมเพลิน

"ไม่มีเจ้าค่ะ...ของว่างถูกปากคุณธีร์หรือไม่เจ้าคะ"เจ้าตัวรีบส่ายหน้าตอบก่อนจะเปลี่ยนเรื่องมาที่ขนมในจานแทน

"อร่อยมากครับ...ผมไม่ค่อยได้กินขนมอร่อยๆแบบนี้ สงสัยต้องรบกวนป้าชื่นทำให้บ่อยๆ"ได้ทีเลยหยอดป้าชื่นกลับให้แกได้ยิ้มเขินบ้าง ผมไม่ค่อยได้ทานขนมไทยบ่อยนัก อย่างที่รู้ๆกันว่าขนมไทยสมัยนี้หาที่รสชาติเหมือนสมัยก่อนได้ยาก ทั้งสีและกลิ่นส่วนใหญ่ก็ใช้สิ่งสังเคราะห์ไม่ได้มาจากธรรมชาติ ทั้งยังวิธีการทำก็ไม่ละเอียดอ่อนเหมือนที่คนสมัยก่อนเขาทำกัน พอมาอยู่ที่นี่เลยกลายเป็นว่าผมติดใจขนมไทยหลายชนิดจนแทบลืมรสชาติของพวกเค้กหรือขนมอบแบบตะวันตกไปเสียสนิท

"คุณธีร์ก็ชมบ่าวเกินไป ขนมพวกนี้ใครๆในสยามเขาก็ทำกันได้เจ้าค่ะ"

"แต่ผมชอบขนมที่ป้าชื่นทำนี่ครับ"ว่าพลางหยิบขนมอีกชิ้นเข้าปากเป็นการยืนยันคำพูด เห็นป้าชื่นแกยิ้มกว้างไม่ยอมหุบแล้วผมก็อดยิ้มตามออกมาไม่ได้

"คุณธีร์นี่ล่ะก็ บ่าวเห็นไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่นึกว่าจะปากหวานเยี่ยงนี้นะเจ้าคะ"แต่คราวนี้ป้าชื่นแกทำเอาผมแทบสำลัก ก็ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครบอกว่าผมปากหวานเลยสักคน ส่วนใหญ่มักโดนหาว่าหน้าตาไม่รับแขกเสียมากกว่า แม้แต่กับแพมตอนที่คบกันก็มักบ่นเสมอว่าผมเป็นพวกไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ปล่อยให้เธอคอยเดาอารมณ์เอาเองจนบางครั้งกลายเป็นเจ้าตัวที่หงุดหงิด...ที่ป้าชื่นแกบอกว่าผมปากหวานเนี่ย...สงสัยจะติดมาจากใครบางคนล่ะมั้ง

"คุณหลวงเธอก็ปากหวานเหมือนคุณธีร์นี่ล่ะเจ้าค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโตหากนึกอยากได้อะไรเป็นต้องมาอ้อนขอเอากับบ่าวทุกที เพราะเจ้าคุณท่านดุนักเจ้าค่ะ"แล้วป้าชื่นแกอ่านใจผมออกเหรอครับ ถึงได้พูดถึงคนที่ว่าขึ้นมาแบบนี้

"ป้าชื่นคงรักคุณหลวงมากเลยนะครับ"

"บ่าวเองไม่มีลูกหลานที่ไหน มีโอกาสได้เลี้ยงคุณหลวงตั้งแต่ยังเล็กนับว่าเป็นบุญของบ่าวเจ้าค่ะ คุณหลวงเธอเป็นคนดีมีน้ำใจ เจ้าคุณท่านยังว่ามีคนมาชมให้ท่านฟังบ่อยนักเจ้าค่ะ"ผมท้าวคางฟังแกเล่า แม้แกไม่ได้บอกว่ารักอีกฝ่ายมากขนาดไหนแต่ผมก็พอดูออก หลังจากได้เห็นท่าทีเป็นห่วงเป็นใยตั้งแต่ตอนที่หลวงพิสิษฐกลับมาถึงเรือน หรือแม้แต่สีหน้ายิ้มแย้มตอนที่แกกำลังเล่าให้ฟังอยู่นี่ก็เช่นกัน

"เห็นคุณหลวงเธอเติบโตมีหน้าที่การงานดีพร้อมบ่าวก็ดีใจ...จะมีก็แต่..."ท้ายประโยคที่ขาดหาย แกเพียงเหลือบตามองผมที่กำลังตั้งใจฟังแทน

"เรื่องคู่ครองนี่ล่ะเจ้าค่ะ"หากแต่คำพูดถัดมากลับทำให้ผมนิ่งสนิท ความรู้สึกชาวาบเข้ามาแทนที่จนเผลอเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น...ความรู้สึก...เหมือนตอนที่ได้รู้ว่าเจ้าคุณจิตราหวังจะได้คนๆนั้นไปเป็นเขยโดยที่ผู้ใหญ่ฝั่งเขาก็เห็นดีด้วย

"ป้าชื่น...อยากให้คุณหลวงออกเรือนเหรอครับ"ปากที่ไวกว่าความคิดยิ่งทำให้ผมตอกย้ำตัวเองเข้าไปอีกว่าผมนี่มันโง่ชะมัดที่ถามออกไปแบบนั้น...ใครบ้างจะไม่อยากเห็นลูกเห็นหลานตัวเองแต่งงานมีครอบครัว...ถึงป้าชื่นแกจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆก็เถอะ

"ใครบ้างจะไม่คิดเล่าเจ้าคะ"เจ้าตัวว่าตามความคิดผมเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน แถมยังถอนหายใจยาวให้ผมยิ่งรู้สึกหน่วงหนักขึ้นไปอีก

"บ่าวเองก็เคยนึกอยากเห็นคุณหลวงเธอเป็นฝั่งเป็นฝากับคนที่เพียบพร้อมเจ้าค่ะ..."คำพูดของป้าชื่นแต่ละคำราวกับค้อนปอนด์ที่ฟาดลงบนตัวผมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบจมดิน ผมรู้สึกเหมือนตัวเล็กลงเหลือแค่สองนิ้วแล้วล่ะครับ


"แต่ตอนนี้ เพียงได้เห็นคุณหลวงเธอมีความสุขกับคนที่เธอเลือก...บ่าวก็ดีใจแล้วเจ้าค่ะ"หากแต่คำพูดถัดมากลับทำให้หัวใจกระตุกวูบ...ดวงหน้าละไมภายใต้ริ้วรอยจางๆยกยิ้มบางให้ผมที่นั่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ สีหน้าของผู้อาวุโสแม้ไม่ได้แสดงออกถึงความยินดีอย่างสุดซึ้งแต่ก็ไม่ได้บึ้งตึงเช่นคนไม่พอใจ...แค่นั้นผมก็พอเดาออกว่าความหมายของคำพูดนั้นคืออะไร...เพียงแต่ว่า...ผมไม่ทันตั้งตัวเท่านั้นเอง

"คนที่เลือก...เหรอครับ"คำพูดลอยๆหลุดจากปากคล้ายคนไม่ได้สติ ป้าชื่นเพียงลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะเดินเข้าเรือนโดยไม่ตอบคำถาม มีเพียงสีหน้าประหลาดใจของผมที่ทำให้แกชะงักฝีเท้าเพียงชั่วครู่


"บ่าวเชื่อว่าคุณหลวงเธอเลือกคนไม่ผิดเจ้าค่ะ"คำพูดทิ้งท้ายก่อนที่แกจะเดินลับหายไป ปล่อยให้ผมนั่งเงียบกับบทสนทนาเมื่อครู่ตามลำพัง


สำหรับผม...นั่นถือเป็นการยอมรับ...แม้ดูจากสีหน้าท่าทางของป้าชื่นมันจะไม่ใช่การยอมรับด้วยความเต็มใจนัก แต่รอยยิ้มละไมของแกก็ทำให้ผมรู้ ว่าแกเองก็ไม่ได้รังเกียจ...มันน่าดีใจนะครับที่ได้รู้ว่าเราเป็นที่ยอมรับของใครสักคน ในเรื่องที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็เป็นไปได้ยากแบบนี้...และถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป...ผมคิดว่าเจ้าคุณไพศาลเองก็เช่นกัน...เพราะคำพูดแปลกๆของท่านในวันนั้น...ผมยังคงจำได้ดี...




...................................................................................................




เวลาที่พระนครแต่ละวันยังคงผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกับชีวิตประจำวันของคนที่นี่ แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด ทั้งที่ผมเคยคิดว่า การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับใครสักคนทุกวันๆมันอาจทำให้ความรู้สึกของคนสองคนเริ่มเปลี่ยนแปลง ความเบื่อหน่าย ชินชาอาจเข้ามาแทนที่ความรู้สึกวูบไหวในช่วงแรกจนกลายเป็นความเคยชินและจืดจางไปในที่สุด แต่ผมกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะทุกวันที่ผ่านผมคอยแต่เฝ้าภาวนาให้ผมได้เห็นรุ่งอรุณของพระนครในวันถัดไป และรอยยิ้มของใครบางคนที่ผมอยากเห็นทุกครั้งเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมา


ชีวิตประจำวันของผมแทบไม่ได้ออกไปไหน งานภูเขาทองที่หลวงพิสิษฐเคยรับปากว่าจะพาไปดู ผมก็ไม่ได้ไป หรือแม้แต่งานราชการหัวเมืองที่เจ้าคุณเสนาบดีเคยวางตัวให้เขาติดตามไปด้วยก็ต้องหาคนอื่นไปแทนเพราะเจ้าตัวยังไม่หายดี หลายครั้งที่เขาคอยรบเร้าให้ผมออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้างเพราะกลัวว่าผมจะเบื่อ ผมก็เอาแต่ปฏิเสธ จะมีก็แต่ขอกลับไปที่เรือนเจ้าคุณจิตราบ่อยครั้งเพราะเรื่องที่เคยตกลงกับแชมป์เอาไว้...ไอ้แชมป์นี่ก็ตัวดี ปกติเห็นมันปากมากคอยหาเรื่องแซวคนนั้นคนนี้ แต่พอเป็นเรื่องหลวงเจษฎารังสรรมันกลับปิดปากเงียบ เดือดร้อนผมต้องคอยตามไปง้างปากมันถึงเรือนให้มันเล่าให้ฟังอยู่เสมอ...จนกระทั่งวันที่มันไม่รู้จะสรรหาวิธีไหนมาเอาคืนไอ้หลวงเจษฎ์แล้วนั่นล่ะ มันถึงยอมถามความเห็นจากผมเสียที


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๓...๐๕/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 17-01-2015 18:18:50



"วันพรุ่งต้องไปที่เรือนโน้นอีกแล้วหรือพ่อ"เจ้าของห้องถามขึ้นหลังได้ยินผมขออนุญาตเจ้าคุณท่านกลับไปที่เรือนเจ้าคุณจิตราเป็นวันที่สองติดๆกันที่โต๊ะอาหาร...เจ้าตัวยังคงกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงอ่านหนังสือเล่มหนาเช่นที่เคยทำเหมือนทุกวัน อาการของเขาดีขึ้นมากจนเกือบหายเป็นปกติ ถึงอย่างนั้นทั้งเจ้าคุณไพศาลและป้าชื่นก็ยังคอยห้ามไม่ให้เจ้าตัวลุกเดินไปไหนบ่อยนัก ยิ่งเดินขึ้นลงบันไดแต่ละครั้งเป็นต้องได้ยินเสียงป้าชื่นแกบ่นยาวทุกครั้งไป

"มีธุระกับแชมป์น่ะครับ"ผมอ้อมแอ้มตอบเมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยกับแชมป์เมื่อตอนบ่าย...หลังจากให้มันเป็นฝ่ายลงมือคนเดียวมานาน นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้จัดการไอ้หมอนั่นด้วยตัวเองเสียที และตั้งใจไว้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน เพราะสำหรับผม การตามจองเวรใครสักคนไม่ใช่เรื่องน่าสนุก แม้คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ผมเกลียดนักหนาก็ตาม อีกอย่างตอนนี้ชีวิตของมันก็ปั่นป่วนไม่เป็นท่าหลังจากถูกแชมป์ตามรังควานไม่หยุดหย่อน

"ธุระสำคัญรึ ต้องไปถึงสองวัน"คนถามละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้าเหลือบมองผมที่นั่งท้าวค้างอยู่กับโต๊ะไม้สัก มืออีกข้างหมุนที่ทับกระดาษเล่นโดยไม่ใส่ใจกับมันมากนัก

"ก็...สำคัญครับ"ไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่เนียนไปตามน้ำ...เจ้าตัวเพียงขมวดคิ้วมุ่นมองด้วยความสงสัยก่อนจะปิดหนังสือในมือลงแล้วลุกเดินมาหาผมแทน

"ไม่ไปไม่ได้รึ"ผมชะงักมือที่หมุนที่ทับกระดาษเล่นก่อนเหลือบมองเจ้าของร่างสูงที่ตอนนี้พิงตัวลงกับขอบโต๊ะ

"มีอะไรรึเปล่าครับ ปกติเห็นอยากให้ธีร์ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกจะแย่"

"ข้างนอกที่ว่าไม่ได้หมายถึงเรือนโน้นเสียหน่อย"แล้วไอ้สีหน้าไม่สบอารมณ์แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะครับ

"อ้าว แล้วทำไมถึงไม่อยากให้ไปเรือนโน้น"

"กลัวว่าไปแล้วจะไม่อยากกลับมาน่ะซี"คราวนี้ผมหลุดหัวเราะพรืด สงสัยเจ้าตัวคงกลัวว่าหายดีแล้วผมจะรีบเผ่นกลับไปอยู่กับไอ้แชมป์...อันที่จริงผมก็เคยคิดแบบนั้นบ่อยๆ ไม่ใช่ไม่อยากอยู่กับเขาหรอกครับ แต่ผมเกรงใจเจ้าคุณไพศาลท่าน ที่ขอมาก็เพียงแค่มาดูแลคนป่วยชั่วคราวแต่ตอนนี้เขาเองก็แทบหายเป็นปกติแล้ว ผมเลยไม่รู้ว่าจะอยู่ทำอะไรต่อ


เสียงหัวเราะของผมคงเรียกความสงสัยจากเจ้าตัวได้ไม่น้อยเมื่อเขาเอาแต่ยืนขมวดคิ้วมุ่น

"กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง"ผมว่าพลางหมุนที่ทับกระดาษในมือเล่นอีกครั้ง นึกตลกกับคำพูดของเขา หากแต่มือของผมกลับถูกหยุดเอาไว้ด้วยมือหนาที่ยื่นมาสอดประคองข้างใต้ พร้อมกับดวงตาคมที่คราวนี้ดูจริงจังผิดกับเมื่อครู่


"ก็เรื่องของพ่อธีร์ น่ากลัวน้อยเสียที่ไหน"ลมหายใจของผมสะดุดกึกเมื่ออยู่ดีๆน้ำเสียงของเขากลายเป็นเคร่งเครียดไม่แพ้ดวงตาที่จดจ้อง...สายตา...ที่หยุดอยู่บนที่ทับกระดาษในมือ...นั่นทำให้ผมเข้าใจความหมายได้ในทันที


นานเท่าไหร่แล้วที่ผมกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง...นานเท่าไหร่ที่ผมไม่ได้ยินเสียงเรียกจากโต๊ะตัวนี้ หรือแม้แต่ที่เรือนเจ้าคุณจิตรา...นานเท่าไหร่...ผมเองก็จำไม่ได้...รู้แต่ว่ามันนาน...นานจนผมเกือบลืมไปแล้วเพราะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลานั้น เรื่องราวที่ทำให้ผมเป็นกังวลมากกว่าเรื่องสำคัญที่สุดที่ผมควรระลึกถึงตลอดเวลา


"คนทางบ้านพ่อธีร์คงเป็นห่วงพ่อน่าดู"นิ้วเรียวไล้วนอ้อยอิ่งอยู่บนหลังมือของผม เช่นเดียวกับสายตาที่ยังคงจดจ้องอยู่ที่เดิม...คำว่า'คนทางบ้าน'พาลให้ผมนึกไปถึงหน้าของอานิดและอาต้น หลังจากฝันร้ายคราวนั้น ผมก็ไม่เคยฝันถึงอานิดอีกเลย อาจเป็นเพราะทางนี้มีเรื่องให้ผมเป็นกังวลมากจนแทบนอนไม่หลับ แต่ผมไม่เคยลืม...สีหน้าของอานิดในตอนนั้นที่พูดถึงโต๊ะไม้สักโบราณ แววตาแข็งกร้าวจริงจังของแกที่ทำให้ผมนึกกลัว...กลัวว่าวันหนึ่งอานิดจะลุกขึ้นมาทำอย่างที่แกพูดในความฝัน...กลัวว่าโต๊ะตัวนั้นจะหายไป...ที่สำคัญ...ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากอานิดเผาโต๊ะตัวนั้นขึ้นมาจริงๆ...ถ้าเป็นแบบนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผมกับแชมป์...ผมต้องกลับไป...หรือติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต...ผมไม่สามารถรู้ได้เลย

"แล้วถ้าธีร์ต้องกลับไปจริงๆ...คนทางนี้จะเป็นห่วงธีร์บ้างมั้ยครับ"ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ละสายตาจากมือที่ประคองอยู่กลับมาสบตา ดวงตาคมพราวระยับหากแต่ฉายแววหม่นเหมือนทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ พร้อมกับมือหนาที่เอื้อมมาโน้มศีรษะของผมให้อิงเข้ากับตัว

"หากไม่เป็นห่วงพี่จะถามพ่อเช่นนี้รึ"ลมหายใจอุ่นระเรื่อยอยู่ใกล้ๆเมื่อเขาโน้มลงฝังจมูกลงบนเรือนผมยาวละต้นคอของผม





"พี่ขออะไรพ่อธีร์อย่างหนึ่งได้หรือไม่"

"อะไรเหรอครับ"

"ย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้เสียด้วยกันกับพี่ได้หรือไม่พ่อ"



คำขอที่ทำเอาผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เพราะหากเป็นเวลาปกติ ผมคงอดยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีไม่ได้...ก็คำขอของเขามันช่างเหมือนกับ



...คำขอแต่งงาน...



หากยังไม่ทันได้ตอบอะไร เจ้าตัวก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน...คำตอบ...ที่ทำให้ลมหายใจของผมสะดุดนิ่ง ไม่ต่างจากดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ...คำตอบที่เฉลยทุกคำถามในใจผมให้กระจ่าง


"จะหาว่าพี่เห็นแก่ตัวพี่ก็ยอม...แต่พี่อยากอยู่กับพ่อธีร์ ในวันที่สิ่งนี้ส่งเสียงเรียกพ่ออีกครา"หลวงพิสิษฐปรายตามองวัตถุในมือก่อนเลื่อนสายตาขึ้นสบกันอีกครั้ง








"แลหากพ่อธีร์บอกพี่คำเดียวว่าไม่อยากไป...พี่จะไม่ยอมปล่อยมือพ่อธีร์เป็นอันขาด"








น้ำเสียงเน้นย้ำหนักแน่นจนผมแทบปล่อยวัตถุในมือให้ร่วงไปเสีย ติดที่มือหนาของคนข้างๆยังคงกระชับซ้อนมันเอาไว้...ผมเหลือบตามองคนตัวสูงที่ตอนนี้เอาแต่จดจ้องวัตถุทรงเหลี่ยมในมือ นัยน์ตาคมสั่นระริกของเขายิ่งทำให้ผมหนักใจ

สองครั้งที่ผมเดินทางข้ามเวลาโดยที่ผมไม่สามารถยับยั้งหรือฝืนความต้องการของตัวเองได้...หนึ่งครั้งที่ผมหายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เขาไม่มีแม้แต่โอกาสได้เอ่ยปากท้วงอะไร




ไม่มี...แม้แต่โอกาสได้บอกลา...




"แล้วถ้า...พี่แก้วไม่สามารถหยุดมันได้ล่ะครับ"


ร่างสูงตรงหน้าทรุดลงนั่งคุกเข่าพร้อมมือหนาที่แตะลงข้างแก้ม ทำให้ผมได้เห็น...ใบหน้าคมเข้มเจือรอยยิ้มปราย และดวงตาคู่สวยที่จดจ้องแม้มันดูหม่นหมองนัก




"หากพี่ไม่สามารถหยุดยั้ง...ก็ขอให้พี่ได้เห็นว่าพ่อธีร์กำลังจากไปที่ใด...ไม่ใช่หายไปโดยที่พี่ไม่รู้ความอันใดเลย"




สิ้นเสียง...ผมเพียงปล่อยวัตถุต้นเหตุในมือแล้วโผเข้าหาร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่ลังเล...น้ำหนักที่โถมทับเรียกให้อีกฝ่ายนิ่วหน้าเพราะความเจ็บแล่นปลาบถึงแผลที่ช่วงเอว...ถึงอย่างนั้นสองมือของเขาก็ยังโอบรอบตัวผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยไปไหน...มือหนายกขึ้นลูบผมเพียงเบาๆหากแต่รับรู้ได้ว่ามันสั่น...สั่น...จนน่าใจหาย

"พี่แก้ว..."เจ้าของมือชะงักเล็กน้อยราวกับรอฟังคำตอบ...คำตอบที่เบาราวเสียงกระซิบเพราะผมกำลังซบหน้าลงบนไหล่กว้างของเจ้าตัว











"ถ้าวันนั้นมาถึง...อย่าปล่อยมือธีร์นะครับ"








...



เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงเรียกรอยยิ้มของผมได้ทุกครั้งที่นึกถึง...แม้ไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากความโล่งอกเสียทีเดียว แต่ผมก็ยังยิ้มได้...คำพูดของเขาในวันนั้นเหมือนเครื่องย้ำเตือนให้ผมรับรู้...ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากผม



...หากผมไม่เอ่ยปาก...



ทุกอย่างยังคงผ่านไปด้วยดี...ทั้งเรื่องแผนการที่ออกไปจัดการกับแชมป์ ที่สุดท้ายมันก็เป็นฝ่ายลงมือเองอีกครั้งเพราะความคิดมากเกินเหตุ ถึงผมไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็เลือกที่จะไม่โต้แย้งอะไร เพราะอย่างน้อยผมก็ได้มีส่วนร่วมในแผนการนั้นไม่มากก็น้อย...หรือแม้แต่ความเป็นไปบนเรือนเจ้าคุณไพศาล ที่ดูเป็นปกติจนเหลือเชื่อหลังจากที่ผมมีโอกาสได้คุยกับป้าชื่นในวันนั้น...ท่าทีของเจ้าของเรือนหรือแม้แต่ป้าชื่นที่ยังเอ็นดูผมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่ตัวต้นเหตุเองก็ดูจะเอาอกเอาใจผมจนเกินเหตุอยู่บ่อยครั้ง


และมันคงจะดีกว่านี้...หากไม่มีใครบางคนมาเยือนถึงเรือนเจ้าคุณไพศาลในวันหนึ่ง...ใครบางคนที่ผมไม่รู้จักแต่กลับสามารถทำให้หัวใจที่กำลังลอยละล่องจมดิ่งลงสู่ความมืดได้ในชั่วพริบตา...ใครคนนั้น ที่พูดกับผมเพียงประโยคสั้นๆที่ท่าน้ำใหญ่หน้าเรือน แต่กลับทำให้ทั้งตัวผมชาวาบราวกับคนไร้ความรู้สึก


"ใครมาหาหรือพ่อ"เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามหลังจากที่ผมกลับมาถึงห้องนอน...คำพูดที่ลอยผ่านโสตประสาทแต่กลับไม่รับรู้...รู้เพียงมือของตัวเองที่กำแน่นจนสั่น

"พ่อธีร์..."เจ้าตัวยังถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร...ผมเหลือบมองคนที่นั่งพิงหัวเตียงพลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย...สีหน้า...ของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยตั้งแต่แรก ไม่มีแม้แต่ความเป็นกังวล เพียงแค่ถามเพราะความอยากรู้


"พี่แก้ว..."เจ้าของชื่อเพียงเหลือบมอง และตัวผมที่พยายามข่มอารมณ์ทั้งหมดให้เป็นปกติ




...ทั้งที่ข้างในมันเดือดพล่านจนแทบควบคุมไม่อยู่...




"พรุ่งนี้...ธีร์กลับไปนอนที่เรือนโน้นนะครับ"



เพราะคำพูดของใครคนนั้น...ที่ทำให้ผมรู้ว่า...ผมไม่ควรคิดเข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป




'หลวงเจษฎ์ให้มาเรียนคุณว่า เพลานี้เพื่อนของคุณอยู่กับหลวงเธอ...หากอยากพบ ให้คุณไปหาที่ท้ายตลาดคืนวันพรุ่งตาม
ลำพัง...หลวงเธอจะรออยู่ที่นั่น'





.......................................โปรดติดตามตอนต่อไป.................................................




Author's Talk :

หายไปสองอาทิตย์...ไม่สบายเจ้าค่ะ เป็นไข้นอนซมต้องให้น้องธีร์มาดูแล (พี่แก้วง้างมือเตรียมตบ)
พอดีขึ้นก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาถึงได้มาปั่นให้จบตอน

ตอนนี้อยากให้หวาน...แต่อ่านแล้วมันก็ไม่หวาน :mew5: (ทำไมล่ะ นี่เค้าพยายามหวานที่สุดแล้วนะ)
ตอนหน้าจะเป็นยังไง...ติดตามกันด้วยนะเจ้าคะ


รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิม...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๔...๑๗/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-01-2015 01:55:58
ถึงจะดีใจที่ตอนนี้ยังไม่เจออะไรที่สะเทือนใจแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีีนี้ โล่งใจไปตอนนึงต้องลากความกังวลต่อไปตอนหน้าอีก กลัวว่าแชมป์จะเป็นอะไรมาก
ดีใจแทนธีร์ที่ผู้ใหญ่ฝั่งหลวงแก้วรับรู้และก็ยอมรับในความสัมพันธ์ครั้งนี้
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๔...๑๗/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 18-01-2015 08:24:51
พี่แชมป์ทำพลาดซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๔...๑๗/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 18-01-2015 09:11:10
 :a5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๔...๑๗/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 18-01-2015 22:56:13
เอ้ยยยย ทำไมเรื่องมันกลับตาลปัตรขนาดนี้เนี่ยยย
ให้พี่แก้วกับน้องธีร์หวานกันนานๆหน่อยได้ไหม? อีคุณหลวงหื่นกามบ้า!!!
อย่าให้เกิดอะไรอีกเลยนะคะ เพราะพี่แก้วยังไม่หายดี น้องธีร์ต้องแย่แน่ๆเลย
 :m31:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๔...๑๗/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 31-01-2015 20:41:32

ตอนที่ ๓๕...วิกฤต...



บรรยากาศวังเวงแผ่ปกคลุมโดยรอบ เช่นเดียวกับลมหนาวที่พัดโชยให้ขนลุกอยู่บ่อยครั้ง...ตลาดสดในยามค่ำคืนมีสภาพไม่ต่างจากเมืองร้าง แผงลอยของพวกพ่อค้าแม่ค้ายังคงวางเกลื่อนหากแต่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใด...ยิ่งเป็นฝั่งท้ายตลาดยิ่งไม่ต้องพูดถึง เสียงโหวกเหวกและบรรยากาศครึกครื้นของพวกนักพนันในตอนกลางวัน เวลานี้กลับเงียบเชียบและว่างเปล่า มีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องกันระงมและแสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุในมือที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิตในละแวกนี้

เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้มาเยือนตลาดริมน้ำในเวลาแบบนี้ ที่หากเป็นเวลาปกติผมคงไม่นึกอยากเฉียดกายเข้าใกล้แม้แต่น้อย แต่เมื่อมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ...ผมก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเช้า...ผมกลับไปที่เรือนเจ้าคุณจิตราตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดีเพื่อไปดูให้แน่ใจ ว่าข้อความที่ผมได้รับมานั้นไม่ใช่เรื่องโกหก...ผมเลือกถามเอากับไอ้มิ่งที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าเรือนพอดี ถึงได้ความว่าแชมป์มันไม่ได้กลับเรือนตั้งแต่เมื่อคืนวาน โดยที่มิ่งเองก็ไม่รู้ว่ามันหายตัวไปไหน แม้แต่พี่สนที่ช่วงหลังตัวติดกับมันบ่อยๆยังนึกสงสัย เพราะปกติแชมป์ไม่ใช่คนเหลวไหลถึงขั้นออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่แล้วไม่ยอมกลับมานอนที่เรือน...ตอนแรกพวกพี่สนแกนึกว่าไอ้แชมป์ไปอยู่กับผม แต่พอเห็นผมมาที่เรือนตอนเช้า ทั้งพี่สนทั้งไอ้มิ่งถึงได้จับผมนั่งสอบปากคำอยู่นานสองนาน...แต่ผมก็ยังปิดปากเงียบเพราะรู้ดีว่ามันอาจส่งผลถึงความปลอดภัยของคนที่หายตัวไป




"มาแล้วรึ"


น้ำเสียงแหบต่ำที่ไม่ได้ยินมาเสียนานดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าดังสวบสาบเข้ามาใกล้เมื่อผมเดินมาหยุดยืนหน้าเพิงไม้ขนาดย่อมที่พวกนักพนันใช้แทนวงเหล้า วงไพ่ หรือวงอบายมุขอะไรก็ตามแต่ที่คนพวกนั้นจะคิดได้ ผมหรี่ตามองเงาร่างสูงใหญ่โดดเด่นท่ามกลางความมืด แม้ไม่เห็นหน้าแต่ก็รู้ได้ในทันทีว่ามันคือคนที่เรียกผมมาถึงที่นี่

"เพื่อนกูอยู่ที่ไหน"ความโกรธพุ่งพล่านเพียงแค่ได้เห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า...หลวงเจษฎารังสรรกำลังสาวเท้าเข้าใกล้ กรอบหน้าคมชัดส่องสะท้อนแสงตะเกียงในมือเผยให้เห็นรอยยิ้มเหยียดที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าตัว

"หน้าตาหรือก็งาม ทำไมพูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลยเล่าพ่อ"คนตัวใหญ่จิ๊ปากอย่างไม่พอใจขัดกับสีหน้าอารมณ์ดีหนักหนา...ดีเสียจนผมอยากพุ่งเข้าไปปล่อยหมัดตรงใส่หน้ามันสักทีสองทีให้หายโมโห...แต่ที่ทำได้ คือการยืนกำหมัดแน่นจนรู้สึกถึงปลายเล็บที่จิกลงบนฝ่ามือของตัวเอง

"กูถามว่าเพื่อนกูอยู่ไหน!"

"ไม่ได้พบกันเสียนาน มาถึงก็เอาแต่ถามหาคนอื่น ไม่คิดถึงพี่เจษฏ์คนนี้บ้างหรือจ๊ะ"เสียงแหบต่ำกลั้วเสียงหัวเราะยังกวนประสาทไม่เลิก

"คิดถึงเรื่องชั่วๆที่มึงทำน่ะสิ"ผมแค่นหัวเราะตอบกลับไปบ้าง

"โถๆๆ คนอย่างพี่น่ะรึจะไปทำเรื่องชั่วช้าที่ใดได้"

"อย่านึกว่ากูไม่รู้เรื่องคืนงานเลี้ยงทูต"วูบหนึ่งที่ดวงตาแข็งขึงเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก หากเพียงชั่วครู่ก็ข่มอารมณ์กลับเป็นปกติตามเดิม...ริมฝีปากหยักหนาเหยียดยิ้มอย่างไม่แยแส

"เรื่องที่หลวงแก้วถูกทำร้ายสาหัสน่ะรึ...พี่เองก็อยากรู้เสียจริงว่าใครมันกล้าคิดร้ายกับคนอย่างหลวงแก้วได้"เสียงหัวเราะร้ายยิ่งทำให้ผมโกรธจนตัวสั่น...แต่ยังระลึกได้ว่าสาเหตุที่ผมมาถึงที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะต้องการกระชากหน้ากากของคนตรงหน้า แต่เป็นเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านั้น

"มึงอย่ามาลีลา บอกมาว่ามึงเอาเพื่อนกูไปไว้ที่ไหน"


เพียงครู่เดียวที่มันปรายตามองไปทางเพิงไม้ด้านหลัง พร้อมกับแสงนวลของตะเกียงอีกดวงที่สว่างวาบขึ้นมา เงาร่างของคนสามคนก็ปรากฎสู่สายตาไม่ไกลนัก สองคนที่ขนาบข้างผมจำได้ดีเพราะมันคือคนสนิทของไอ้หลวงเจษฎ์ที่ลงมือในคืนงานเลี้ยง...และคนตรงกลางที่ผมแทบไม่ต้องเรียกความจำจากสมองส่วนไหน เพราะเพียงแค่แว่บเดียวที่เห็น ผมก็จำได้ทันที

"ไอ้แชมป์!"สภาพของแชมป์ที่ถูกหิ้วปีกทั้งสองข้างทำเอาลมหายใจของผมสะดุดกึก...ศีรษะมันฟุบลงทำให้ผมเห็นหน้าไม่ชัดนัก ก่อนที่หนึ่งในลูกสมุนของหลวงเจษฏ์จะดึงศีรษะที่ฟุบลงให้แหงนขึ้น แสงสว่างจากตะเกียงส่องให้เห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้า ทั้งเสื้อผ้ายังสกปรกมอมแมม หรือแม้แต่ช่วงตัวที่งองุ้มไร้เรี่ยวแรง...แชมป์พยายามปรือตามองอย่างยากเย็นเพราะแผลบวมปูดใกล้ขอบตา ก่อนจะส่งเสียงแหบพร่าออกมาเบาๆ



"ธีร์..."



ภาพตรงหน้าเรียกให้ผมก้าวขาออกไปหาโดยไม่ลังเล เป็นจังหวะเดียวกับที่มือหยาบใหญ่เอื้อมมาคว้าแขนเอาไว้...แรงกระชากทำเอาตัวผมเซไปอีกทาง ทั้งยังแรงกดมหาศาลบนต้นแขนที่เรียกให้ผมนิ่วหน้าเพราะความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมา ผมตวัดสายตาขึ้นมอง พยายามสะบัดตัวให้เป็นอิสระแต่กลับไม่เป็นผลเมื่อมันยังคงขืนแรงเอาไว้ ทั้งยังดวงตาคมกริบที่วาวโรจน์ผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ

"นึกอยากแก้แค้น แต่กลับส่งอ้ายลูกเจ๊กเด็กเมื่อวานซืนมาแบบนี้ พ่อธีร์ดูถูกพี่เกินไปกระมัง"

"มึงรู้ได้ยังไง"คนตัวสูงใหญ่ระเบิดหัวเราะลั่นเรียกให้ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

"ฟ้ามีตากระมัง พี่ถึงไม่ได้ไปร่วมงานบุญกับเจ้าคุณพ่อแลได้เห็นว่าอ้ายเด็กเวรคนนี้มันทำอะไรกับเรือนแพของพี่บ้าง"ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจยิ่งเรียกให้มันเหยียดยิ้มเย็นราวกับผู้ชนะ


สิ่งที่พวกผมทำในวันนั้น มันคือความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย...ความประมาทเลินเล่อกลายเป็นเหตุให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้...ผมควรเตือนสติแชมป์ หรือไม่ ก็ควรดื้อดึงสักนิดที่จะลงมือเอง เพราะอย่างน้อยหากมีใครสักคนที่ต้องรับผลของการกระทำในวันนั้น...คนๆนั้นมันควรจะเป็นตัวผมเอง


แม้ยังตกตะลึงกับคำตอบที่ได้รับแต่ก็ยังพยายามแค่นหัวเราะกลับโดยไม่เกรงกลัวไอ้คนตัวสูงใหญ่ตรงหน้า

"แต่ไอ้เด็กเวรที่มึงว่าก็ทำชีวิตของมึงปั่นป่วนมาเป็นเดือนๆโดยที่มึงจับไม่ได้...แบบนี้เค้าเรียกว่าโง่รึเปล่าวะ!"แล้วก็สำนึกได้ว่าไม่ควรไปกวนประสาทมันเลย เมื่ออีกฝ่ายฟาดฝ่ามือหนาเข้าที่ใบหน้าผมเต็มๆจนชาวาบไปทั้งซีกหน้า ความรู้สึกปวดหนึบที่มุมปากและรสเฝื่อนจากของเหลวข้างในค่อยๆแผ่ซ่าน...หากยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไร มือหนาก็คว้าเข้าที่ปลายคางบังคับให้แหงนขึ้นสบกับสายตาขึงขังของมัน

"พูดอะไรระวังปากบ้าง พ่อธีร์ก็รู้ว่าพี่อารมณ์ร้อน เกิดพี่พลั้งมือหนักกว่านี้ เห็นทีพ่อจะได้ไปนอนโรงหมอเป็นเพื่อนหลวงแก้วเสียอีกคน"ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มล้อ แรงบีบตรงปลายคางยังคงย้ำแน่นจนผมอึดอัด


"มึงจะเอายังไง!"เมื่อความอดทนถึงขีดสุดจนต้องตะเบ็งเสียงใส่คนตรงหน้าอย่างร้อนรน...มันเพียงปรายตามองยังร่างปวกเปียกที่ถูกหิ้วปีกทั้งสองข้างของไอ้แชมป์

"ถามได้ดี...พ่อว่าพี่ควรทำอย่างไรกับอ้ายคนที่มันปั่นป่วนชีวิตของพี่ดีเล่า"

"เรื่องนี้เป็นความคิดกูคนเดียว...มันไม่เกี่ยว!"

"กว่าจะได้ตัวมันมาพี่ต้องลงแรงไปตั้งเท่าไหร่ คิดว่าออกรับแทนเพื่อนแล้วพี่จะปล่อยมันไปรึ"

"ถ้ามึงอยากแก้แค้น..."ผมเหลือบมองสายตาเป็นกังวลของแชมป์เพียงครู่ "ก็มาลงกับกู ปล่อยมันไปซะ"


สิ้นเสียง...รอยยิ้มเย็นก็ปรากฎบนใบหน้าของอีกฝ่ายราวกับเจ้าตัวพอใจในคำตอบนักหนา แว่วเสียงไอ้แชมป์ออกปากท้วงทั้งที่ตัวมันเองยังไม่มีแรงแม้แต่จะขืนตัวออกจากไอ้สองคนที่จับมันเอาไว้

"กับพ่อธีร์น่ะรึ...เอ พี่ควรจะทำอย่างไรดีน้อ"มือหยาบใหญ่ออกแรงบีบแน่นตรงปลายคางพร้อมกับใบหน้าแข็งขึงที่ขยับเข้าใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจดังฟืดฟาด ทั้งตัวผมสั่นเทิ้ม ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่เป็นความโกรธ ความเกลียดที่มีต่อคนตรงหน้า...อารมณ์ที่พุ่งพล่านเรียกให้ผมล้วงมือเข้าในผ้าคาดเอวจนสัมผัสกับปลายวัตถุเย็นเยียบที่หยิบติดมือมา หากเป็นระยะประชิดตัวแบบนี้ผมคงจัดการอะไรได้ไม่ยาก แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสภาพน่าเป็นห่วงของแชมป์กลับทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิด และสิ่งเดียวที่ทำได้...คือการยืนหลับตานิ่งไม่โต้ตอบ

"ปล่อยมันไปก่อน แล้วมึงอยากทำอะไรก็ทำ"เสียงหัวเราะต่ำน่ารังเกียจดังก้องข้างหูก่อนที่ลมหายใจอุ่นร้อนจะผละออก พร้อมกับแรงกระชากที่ต้นแขนจนตัวผมปลิวตามแรงของคนตัวสูงใหญ่



หลวงเจษฎารังสรรลากตัวผมมาถึงเพิงไม้ด้านหลัง มือหยาบหนาออกแรงเหวี่ยงจนร่างของผมกระแทกลงกับพื้น...ความเจ็บแปลบแล่นปราดขึ้นบนหัวไหล่ ทั้งยังรอยแดงช้ำบนมุมปากจากการระเบิดอารมณ์เมื่อครู่...ยังไม่ทันได้ขยับตัวหรือแม้แต่ส่งเสียงใด ร่างสูงใหญ่ก็ขยับเข้าประชิดตัวอีกครั้ง เงาดำทะมึนที่หยัดยืนอยู่เบื้องหน้าเรียกให้ผมถดตัวหนีตามสัญชาติญาณทันที

"มึงจะทำอะไร"

"พ่อธีร์พูดเองว่าหากพี่นึกอยากแก้แค้นให้ทำกับพ่อ"เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังขึ้นเมื่อมันเห็นว่าแผ่นหลังของผมชนเข้ากับเสาไม้พอดี...ผมมองผ่านร่างสูงใหญ่ไปด้านหลังก่อนตวัดสายตากลับมาจดจ้องที่มันอีกครั้ง

"กูบอกให้ปล่อยเพื่อนกูไปก่อน"ภาพของแชมป์ที่ยังถูกยึดตัวไว้โดยคนสนิททั้งสองของมันเรียกให้ผมท้วงขึ้น หากแต่คนฟังเพียงเหลือบมองแล้วไหวไหล่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

"ไม่ต้องกังวลไป รอให้พี่เสร็จธุระกับพ่อเสียก่อน พี่ถึงจะปล่อยมัน"คำว่า'ธุระ'ของมันทำเอาหนาววาบไปทั้งตัว สมแล้วที่ผมเรียกมันว่าไอ้หลวงหื่นกาม ก็สีหน้าของมันตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากสรรพนามที่ใช้เรียกมันเลยสักนิด...แม่งเอ๊ย! นี่มันคิดจะเอาผมให้ได้เลยใช่ไหมวะ!

"พ่อธีร์นี่น๊า...หากว่าง่ายแบบนี้ตั้งแต่แรก พี่คงไม่ต้องลงแรงให้เหนื่อย...หลวงแก้วเองก็ไม่ต้องมาเจ็บตัวเช่นนี้"คำสารภาพที่หลุดจากปากอย่างง่ายดายเพียงเพราะเห็นว่าตนกำลังได้เปรียบเรียกให้ผมกำหมัดแน่น ทั้งความโกรธ ความสงสัยก่อเกิดจนต้องแผดเสียงลั่นถามออกไปอีกครั้ง


"มึงเกลียดอะไรหลวงพิสิษฐนักหนาถึงได้ตามจองเวรเค้าไม่เลิก!"หากแต่เสียงตวาดห้วนที่ตอบกลับทำเอาผมสะดุ้งเฮือก

"ตามจองเวรรึ!...ข้าต่างหากที่ต้องถาม!"ทั้งยังใบหน้าดุดันที่ขยับเข้าใกล้ทุกขณะ ริมฝีปากหนาของมันเม้มเข้าหากันแน่นจนเห็นสันกรามนูนเด่น ดูเหมือนว่าตัวมันเองก็กำลังพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่น้อย

"ไม่ว่าหญิงใดในพระนครที่ข้าหมายปองเป็นต้องมีไอ้แก้วมาเกี่ยวข้อง...คราแม่พิกุลก็หนหนึ่ง แลยิ่งกับแม่เดือน......เป็นเอ็งจะรู้สึกเยี่ยงไรหากหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียเอาแต่พร่ำเพร้อถึงชายอื่นทุกค่ำคืน ถึงขนาดร่ำไห้กับของแทนใจอ้ายผู้ชายคนนั้นให้ข้าเห็นตำตา!"คำพูดพรั่งพรูราวกับคนสิ้นสติทำเอาผมประหลาดใจไม่น้อย ไอ้เรื่องความรู้สึกของคุณเดือนที่มีต่อหลวงพิสิษฐผมก็พอได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ไม่เคยนึกว่ามันจะหยั่งรากลึกลงในความคิดของคนตัวสูงใหญ่ตรงหน้าจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา


วูบหนึ่งที่ผมได้เห็นแววตาโศกของหลวงเจษฎารังสรรยามเอ่ยถึงคนที่ได้ชื่อว่าภรรยา...หากเพียงครู่เดียวก็กลับมาจดจ้องด้วยสีหน้าขึงขังเช่นเคย


"เมียข้าน่ะโง่ รู้ทั้งรู้ว่าไอ้แก้วมันไม่ได้รักแต่ยังพร่ำเพ้อถึงมันไม่ขาด..."รอยยิ้มเย็นเหยียดบนมุมปาก


"แต่กับเอ็งที่มันรักนักหนา...อยากรู้จริงเชียวว่าไอ้แก้วมันจะทำอย่างไรหากได้รู้ว่าของรักของมันมีตำหนิ...เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ เห็นทีจะตรอมใจก็ครานี้"เสียงหัวเราะต่ำพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ปราดขึ้นคร่อมอยู่เหนือตัว...แขนทั้งสองของมันราวกับกรงขังที่กันไม่ให้ผมขยับหนีไปไหน...ราวกับย้อนภาพเหตุการณ์ที่เรือนแพในวันนั้นให้กลับมาอีกครั้ง


หากแต่คราวนี้...ผมคงไม่รอให้ใครมาบังเอิญเห็นเข้าหรือปาฏิหาริย์ใดที่ช่วยให้รอดพ้นจากคนตรงหน้า...ผมค่อยๆล้วงมือเข้าใต้ผ้าคาดเอวอีกครั้งเมื่อร่างสูงใหญ่ของมันทาบทับอยู่ด้านบน...สัมผัสของวัตถุเย็นเยียบกระชับอยู่ในมือพร้อมกับลมหายใจที่สะดุดเพียงครู่...เสียงของแชมป์ยังดังโหวกเหวกอยู่ไม่ไกลขณะที่เจ้าตัวพยายามดิ้นพล่านเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ




...เอาวะ!...ตายเป็นตาย...






'โครม!'



'พลั่ก!'




ดวงตาแข็งขึงของคนตรงหน้าเบิกกว้าง ไม่ต่างอะไรจากมือของผมที่ชะงักนิ่งอยู่ที่เดิม...ใบหน้าดุดันหันกลับไปมองทางต้นเสียง เพื่อพบกับ


ร่างของลูกน้องมันทั้งสองคนที่ร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น


และร่างของไอ้แชมป์...ที่ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายถูกประคับประคอง โดยชายร่างสูงใหญ่สองคนที่ปกปิดหน้าด้วยผ้าดำ เหลือเพียงดวงตาคมกริบที่จ้องเขม็งมาทางผม


"พวกเอ็งเป็นใคร!"น้ำเสียงดุดันแผดลั่นด้วยโทสะ หากยังไม่ทันได้ตอบอะไร หนึ่งในสองคนนั้นก็ตั้งท่าพุ่งเข้ามาทางนี้ทันที

"พามันหนีไปก่อน!"ผมรีบสวนกลับทันควันจนคนตัวสูงใหญ่ที่ปกปิดหน้าชะงักฝีเท้า พลางหันซ้ายหันขวาราวกับกำลังตัดสินใจ...ทั้งเสียงโวยวายของแชมป์เองทำให้มันลังเลไม่น้อย


...ผมไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นเป็นใคร...รู้แต่ว่า...พวกมันไม่ได้มาร้าย


ผมเหลือบมองร่างปวกเปียกของแชมป์ที่ถูกประคองเอาไว้ สีหน้ามันกังวลอย่างเห็นได้ชัดเพียงแต่สภาพของมันในตอนนี้คงไม่สามารถช่วยอะไรใครได้


"ไปสิโว้ย!"


เป็นอีกครั้งที่ผมแผดเสียงลั่นจนไอ้โม่งสองคนนั้นสะดุ้งโหยง ก่อนที่มันจะลากตัวไอ้แชมป์ที่ยังโวยวายไม่หยุดปากให้หลบหายไปในความมืดอย่างลังเล

ผมถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก โดยลืมนึกไปเสียสนิทว่ายังมีไอ้ตัวหัวหน้ายังยืนโดดเด่นอยู่ไม่ไกล...ใบหน้าดุดันตวัดกลับมาพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ปรี่เข้ามาหา เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมตวัดปลายวัตถุที่กระชับอยู่ในมือออกไปด้วยความตระหนก



"โอ๊ย!!"



เสียงร้องดังลั่นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ผงะถอย ดวงตาเหลือกลืมด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าในมือของผม คือปลายโลหะสีเงินที่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีแดงฉานส่องสะท้อนกับแสงตะเกียงจนเกิดเป็นเงาวิบวับ...มือหยาบใหญ่ยกขึ้นกุมหน้าท้องของตัวเองก่อนจะแบออกเพื่อพบว่า ทั้งมือของมันกลับถูกฉาบฉานด้วยสีเดียวกัน

"พ่อธีร์..."น้ำเสียงดุดันเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอ่อนยวบ ปลายมีดที่ตวัดถูกช่วงตัวเพียงถากๆหากแต่พอทำให้ความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมา

"จะ...ใจเย็นก่อนเถิดพ่อ...มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน"หลวงเจษฎารังสรรระล่ำระลักจนแทบฟังไม่เป็นศัพท์ขณะที่ผมขยับเข้าใกล้...สองมือที่กระชับด้ามมีดสั่นระรัวด้วยความตกใจไม่แพ้กันหากแต่พยายามข่มสติเอาไว้ให้เป็นปกติ

"มึงจำได้มั้ย...คืนนั้นที่มึงสั่งให้ลูกน้องของมึงไปแทงหลวงพิสิษฐ"ร่างสูงใหญ่ถอยกรูดจนมาถึงลานกว้างหน้าเพิงไม้...ผมเหลือบมองลูกน้องทั้งสองของมันที่ยังนอนแน่นิ่งไม่ได้สติ พลันภาพเหตุการณ์ในคืนวันนั้นก็ย้อนกลับมาในความคิดอีกครั้ง...ความโกรธ เกลียด กลัวพุ่งสูงเพียงเพราะนึกไปถึงรอยเลือดแดงฉานที่ฉาบลงบนพื้น กับเสียงกรีดร้องของตัวเองดังกึกก้อง

"แผลแค่นี้...มึงยังเจ็บได้ไม่ถึงครึ่งของเค้าด้วยซ้ำ"สายตาของผมเย็นเยียบไม่ต่างอะไรจากน้ำเสียง...โทสะที่บดบังทำเอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแทบปลิวหาย...ชั่วขณะหนึ่งที่ผมอยากปราดเข้าไปฝังปลายมีดลงบนร่างของมันเหมือนอย่างที่มันเคยทำ หากแต่สติที่เหลืออยู่เพียงนิดคอยเตือนให้รับรู้



...ว่าผมจะไม่ยอมกลายเป็นคนเลวแบบมัน...



ร่างสูงใหญ่งองุ้มพร้อมกับสองมือที่กุมช่วงท้องของตัวเองเอาไว้แน่น...รอยแผลถากๆจนเสื้อขาดวิ่นไม่ได้ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตหากแต่พอทำให้ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจนใบหน้าของเจ้าตัวบิดเบี้ยว...ดวงตาที่เคยแข็งขึงตอนนี้ฉายแววของความกลัวระคนตระหนกเมื่อเห็นว่าปลายมีดคมกริบยังจ่ออยู่เบื้องหน้า

"พี่ยอมแล้ว...พ่อธีร์จะเอาอะไร พี่ยอมทุกอย่าง ขออย่างเดียว...อย่าทำอะไรพี่เลยนะพ่อ"มือหยาบใหญ่ยกขึ้นโบกเคว้งคว้างทั้งยังเสียงหอบหายใจหนักที่ทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวเองก็เจ็บอยู่ไม่น้อย น้ำเสียงอ่อนยวบผิดกับตอนแรกยิ่งเรียกสายตาเยียบเย็นให้มองสภาพน่าสมเพชของคนตรงหน้า


...กลัวตาย...แต่ไม่เคยนึกถึงคนอื่น...


"กูไม่ทำอะไรมึงหรอก...เพราะคนอย่างมึง ซักวันกรรมจะตามสนองเอง"ดวงตาของมันเหลือกลืมขึ้นมองอย่างลังเลว่าผมจะไม่ทำอะไรอย่างที่พูดไว้จริงหรือเปล่า


"กลับไปซะ...ให้เรื่องทั้งหมดมันจบที่นี่...แต่ถ้ามึงยังไม่จบ กูจะไปบอกเจ้าคุณเดโชพ่อของมึงถึงเรื่องชั่วๆที่มึงทำ...อยากรู้เหมือนกันว่าทั้งเรื่องหลวงพิสิษฐกับเรื่องวันนี้ พ่อของมึงยังปกป้องมึงได้อยู่มั้ย!"เสียงตวาดดังลั่นพร้อมกับปลายมีดที่พุ่งเข้าหาจนทั้งร่างของมันผวา มือหนายกขึ้นปัดป้องด้วยความตระหนก แต่ผมเพียงหยุดปลายโลหะคมกริบห่างจากใบหน้าของมันแค่คืบ


หลวงเจษฎารังสรรหอบหายใจระรัว มันรีบพยักหน้ารับคำก่อนพยายามประคองตัวเข้าไปหาลูกน้องอีกสองคนที่ยังนอนสลบอยู่ไม่ไกล



หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๔...๑๗/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 31-01-2015 20:43:37




แต่เพียงเสี้ยวนาทีที่ผมหันหลัง ร่างสูงใหญ่กลับโถมเข้าหา มือหนาฉวยเข้าที่ข้อแขนแล้วออกแรงบิดจนผมร้องลั่น แรงบีบหนักหน่วงทำให้ผมเผลอปล่อยมีดพกในมือร่วงลงพื้น พร้อมกับที่คนด้านหลังยกเท้าเตะมันให้ออกห่าง  ท่อนแขนตวัดเข้ารัดรอบคอจนลมหายใจของผมสะดุด เสียงหัวเราะต่ำของมันดังก้องเมื่อเห็นว่าผมพยายามดิ้นจนสุดแรง

"คิดจะขู่ข้า...เอ็งรู้จักข้าน้อยเกินไปกระมัง"แรงผลักรุนแรงจนร่างของผมล้มลงกระแทกพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่มันกระโจนตามลงมานั่งคร่อมเอาไว้ มือหยาบใหญ่คว้าเข้าที่คอแล้วออกแรงบีบจนผมแทบสำลัก

"พ่อข้าเป็นถึงเจ้าพระยา เอ็งนึกว่าเพียงเรื่องอ้ายแก้วแลเพื่อนของเอ็งจะทำอะไรคนอย่างข้าได้รึ...ข้าจะบอกอะไรให้...ต่อให้ฆ่าเอ็งเสียตรงนี้ พ่อข้าก็หาทางช่วยให้ข้าพ้นผิดจนได้!"รอยยิ้มเย็นเหยียดบนมุมปากพร้อมกับแรงกดมหาศาลรอบคอจนลมหายใจของผมขาดห้วง ทำได้เพียงยกมือปัดป่ายในอากาศแล้วคว้าเข้าที่ข้อมือของอีกฝ่ายเพื่อพยายามขืนมันออก


"ป...ปล่อย..."เรี่ยวแรงของผมเริ่มหดหาย ทั้งมือที่พยายามขืนเอาไว้กลับสั่นระรัว ใบหน้าขึงขังของคนตรงหน้าจริงจังเกินกว่าจะมองเป็นเรื่องล้อเล่น...วูบหนึ่งที่ความกลัวแล่นปราดขึ้นมาพร้อมกับสติที่เลือนลางลงทุกขณะ ลมหายใจที่ขาดหายจนก่อเกิดความทรมานกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำใสไหลรื้น...ดวงตาพยายามปรือมองภาพตรงหน้าหนักอึ้งทั้งยังพร่ามัว





...ผมกำลังจะตาย...










"ไอ้ธีร์!!"

หากแต่เสียงคุ้นหูทว่าล่องลอยอยู่ไกลละลิบเรียกสติให้ผมเหลือกตาขึ้นมองอีกครั้ง


ภาพของแชมป์ที่กลับหัวกลับหางจนดูบิดเบี้ยวไม่ต่างจากร่างของมันที่ยังงองุ้มไม่เป็นปกติ...ในมือกระชับท่อนไม้ขนาดพอเหมาะเอาไว้มั่นกำลังพุ่งตรงเข้ามา



'พลั่ก!'



และก็เป็นท่อนไม้ในมือของมันที่ฟาดเข้าเสยคางของหลวงเจษฎารังสรรเต็มแรง มือหยาบหนาที่เกาะกุมตรงคอละออกพร้อมกับความทรมานที่ลอยหายไปเรียกให้ผมผวาจนลืมตาโพลง...ร่างกายหอบเอาอากาศเข้าปอดราวกับคนไม่เคยหายใจ ผมเหลือบมองภาพตรงหน้าที่พร่ามัวเพราะถูกบดบังด้วยหยดน้ำตา...ใบหน้าดุดันที่แหงนหงายเพราะแรงกระแทก...หากเพียงครู่เดียว ร่างสูงใหญ่กลับโงนเงนล้มตึงลงนอนแผ่หราบนพื้นจนเกิดเสียงดังปนกับเสียงหอบหายใจทั้งของผมและไอ้แชมป์


...แล้วทุกอย่างก็เงียบสงบ...


"ไอ้เหี้ย! ทำเพื่อนกู!"แชมป์ที่ตั้งท่าจะปรี่เข้าไปซ้ำอีกรอบกลับชะงักมือเมื่อเห็นว่าร่างสูงใหญ่ตรงหน้านอนแน่นิ่ง ดวงตาของมันเบิกโพลงราวกับคนตื่นตระหนกแต่กลับเลื่อนลอย...ผมรีบยันกายลุกขึ้นขยับเข้าใกล้ด้วยความสงสัย...เพียงแรงฟาดที่ปลายคางคงไม่สามารถทำให้คนตัวสูงใหญ่อย่างหลวงเจษฎารังสรรสิ้นสติได้


...หากไม่มี...


...หินก้อนนั้น...ที่ดันอยู่ผิดที่ผิดทางตอนที่ร่างสูงใหญ่นั้นล้มลง


...ก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นที่กระแทกเข้าที่ท้ายทอยของมันจนร่างทั้งร่างแน่นิ่ง...


"มึงอย่ามาสำออย! โดนแค่นี้ทำเป็นสลบ มึงลุกขึ้นมาสิวะ"ไอ้ตัวดีที่ไม่รู้เรื่องอะไรยังคงโวยวายจนผมต้องรีบคว้าแขนมันเพื่อเรียกสติเมื่อเหลือบไปเห็นว่าลูกน้องอีกสองคนของมันเริ่มขยับตัว...พวกมันพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งพลางสะบัดศีรษะไปมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมลากไอ้แชมป์ให้วิ่งหนีก่อนที่พวกมันจะหันมาเห็นเข้า


สองขาที่ก้าวออกอย่างทุลักทุเลโดยทิ้งความสงสัยเรื่องหลวงเจษฎารังสรรเอาไว้เบื้องหลัง ไม่นานนักพวกผมก็มาหยุดยืนตรงท่าน้ำใหญ่หน้าตลาด เหลือบไปเห็นไอ้แชมป์หยุดยืนก้มหน้าพลางหอบหายใจจนตัวโยน ใบหน้าของมันบวมช้ำจากการถูกทำร้ายหนัก เช่นเดียวกับร่องรอยฟกช้ำตามเนื้อตัว

"กูบอกให้มึงหนีไปไง"คนถูกบ่นเพียงตวัดสายตาขุ่นเคืองขึ้นมอง มันพยายามยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแต่เพราะความเจ็บจากบาดแผลเรียกให้มันยกมือขึ้นกุมหน้าท้องตัวเองอีกครั้ง

"ถ้ากูหนี ป่านนี้มึงตายห่าไปแล้ว!...เลิกได้มั้ยวะธีร์ นิสัยห่วงคนอื่นจนลืมตัวเองแบบเนี้ย ไม่นึกถึงกูก็นึกถึงคนอื่นที่เค้าเป็นห่วงมึงบ้างเหอะ"ไอ้ตัวดีบ่นยาวพลางหอบหายใจถี่ สีหน้าของมันโกรธจัดแบบที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนัก

"เออ...ขอบใจ...แล้วไอ้สองคนนั้นมันไปไหนแล้ววะ มึงรู้มั้ยว่ามันเป็นใคร"ผมเลือกที่จะไม่เถียงอะไรต่อ พอดีกับที่นึกถึงไอ้โม่งสองคนนั้นขึ้นมาได้...แชมป์เพียงแค่นหัวเราะใส่ก่อนเดินนำไปยังท่าน้ำที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีเรือพายจอดรอเทียบท่า เช่นเดียวกับร่างสูงใหญ่สองร่างบนเรือที่นั่งนิ่งราวกับกำลังรอพวกผมอยู่นาน หากแต่เมื่อเพ่งมองใบหน้าทั้งสองผ่านความมืดยามค่ำคืน ผมก็แหกปากร้องลั่นออกมาทันที



"พี่สน...ไอ้มิ่ง!"



เจ้าของชื่อรีบยกมือเป็นสัญญาณให้ผมหุบปากเสียเพราะเกรงว่าลูกน้องของหลวงเจษฏ์จะตามมาได้ยินเข้า ขณะที่ไอ้แชมป์พยายามรุนหลังให้ผมก้าวลงเรือ

"มากันได้ไงวะ"ไอ้มิ่งที่ทำหน้าที่เป็นฝีพายพยักเพยิดไปทางพี่สนที่นั่งอยู่หัวเรืออีกฝั่ง

"อ้ายมิ่งมันมาเล่าให้ข้าฟังเรื่องที่เอ็งถามหาอ้ายแช่ม มันว่าท่าทางเอ็งไม่สู้ดีนักมันเลยชวนข้าลอบตามเอ็งมา...เอ็งนี่ก็จริงเชียว กล้าออกมาพบหลวงเจษฎ์เพียงลำพัง ไม่กลัวตายบ้างหรือวะ"คำถามของพี่สนทำเอาผมเงียบลงทันที...เพียงเพราะเป็นห่วงไอ้แชมป์จนลืมนึกไปถึงเรื่องอื่น สุดท้ายเลยต้องเดือดร้อนทั้งพี่สนทั้งไอ้มิ่งที่ตามมาช่วย

"ขอบคุณพวกพี่มากนะ ถ้าไม่ได้พวกพี่ผมคงแย่"

"มาขอบอกขอบใจอะไรกันเล่า พวกเอ็งก็เพื่อนข้า มีปัญหาแล้วข้าจะไม่ช่วยได้อย่างไรวะ"มิ่งที่ประคองฝีพายรีบตอบรับ

"ว่าแต่...หลวงเจษฎ์เธอไม่อาละวาดเอารึตอนที่เอ็งไปช่วยมันออกมา"ไอ้แชมป์เพียงไหวไหล่ให้พี่สนที่นั่งประจันหน้ากันอยู่

"อาละวาดอะไร แค่โดนฟาดเบาๆเสือกสำออยสลบ สงสัยกลัวโดนหนักกว่านี้ หึหึ"เสียงหัวเราะร่วนของแชมป์ช่างต่างจากผมที่ยังนั่งเงียบ


ภาพของคนตัวสูงใหญ่ที่ล้มตึงนอนแน่นิ่งวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ดวงตาที่เบิกโพลงดูล่องลอยผิดวิสัย ทั้งที่น้ำหนักมือของแชมป์ไม่ได้รุนแรงหากแต่แรงกระแทกที่ท้ายทอยคงทำให้หมดสติ...ความกังวลใจก่อเกิดเพียงครู่ด้วยเพราะไม่รู้อาการของมัน...


"ธีร์..."


"อ้ายธีร์!"

เสียงเรียกของพี่สนทำเอาผมสะดุ้งโหยง หันกลับไปมองคนตัวสูงใหญ่ที่นั่งจ้องหน้าผมด้วยความสงสัย

"อะ...อะไรพี่ เรียกซะดังเลย"พี่สนแกได้แต่ส่ายหน้าปลงคงเพราะเรียกผมอยู่นานแต่ผมดันไม่สนใจ

"ข้าถามว่า...จะให้อ้ายมิ่งมันไปส่งที่เรือนเจ้าคุณไพศาล หรือจะกลับไปที่เรือนกับพวกข้า"

แต่พอเจอคำถามนี้ทำเอาความกังวลเรื่องหลวงเจษฎารังสรรลอยหายไปทันทีเมื่อนึกได้ว่ายังมีเรื่องอื่นให้กังวลมากกว่า...ผมเหลือบมองไอ้แชมป์ที่ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ ทั้งพี่สนกับไอ้มิ่งเองก็นั่งเงียบรอฟังคำตอบ


"กลับกับพวกพี่แหละ พรุ่งนี้ค่อยไปเรือนโน้น"หลังใช้ความคิดสักพักถึงได้หันไปบอกฝีพายที่นั่งอยู่ด้านหลัง

ก็ถ้ากลับไปเรือนเจ้าคุณไพศาลในสภาพแบบนี้ สงสัยได้โดนสอบปากคำยาวแถมด้วยคำบ่นสารพัดอีกแน่ๆ...ผมยังไม่อยากให้คนป่วยเป็นกังวล...ถึงแม้วันพรุ่งนี้ที่กลับไปจะไม่ได้โดนบ่นน้อยไปกว่ากันก็เถอะ...


.......................................โปรดติดตามตอนต่อไป...............................................



มาแบบสั้นๆหน่อยนะเจ้าคะ  :mew2:
ตอนนี้เป็นตอนที่แต่งยากที่สุดแล้วค่ะ เพราะปกติไม่ถนัดดราม่าเลยจริงๆ
(ดราม่าไม่ถนัดจีบกันทั้งเรื่องเลยได้มั้ย #เสียงจากธีร์)
จับน้องธีร์มาบู๊นิดๆพอเป็นพิธีว่าผมก็บู๊เป็นนะคร้าบ(ได้ข่าวว่ายังไม่ทันได้บู๊เลย)

ยังไงก็ฝากตอนนี้ไว้ด้วยนะคะ รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิม
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๕...๓๑/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 01-02-2015 13:45:17
ดีนะที่พี่สนกับพี่มิ่งตามมาช่วย ไม่งั้นไม่อยากจะนึกเลย เฮ้อ
ไอ้หลวงเจษฎ จะตาย หรือ จะสติฟั่นเฟือนหรือเปล่านั่น
จะเป็นแบบไหน ก็ถือว่าผลกรรมตามทันนั่นแหละนะ
แต่กลัวแชมป์กับธีร์ ต้องโดนลงโทษนี่สิ  โทษหนักแน่ ๆ ด้วย กลัวจัง  :ling3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๕...๓๑/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 02-02-2015 09:34:34
โอ้ววว แจ็คพ็อต อิหลวงหื่นกามดันมาเห็นซะได้
เกือบซวยแล้วมั้ยน้องธีร์ ทำอะไรคนเดียว ไม่ยอมปรึกษาใครแบบนี้
เดี๋ยวให้พี่แก้วจับขังไว้แต่ในเรือนเลยหนิ!!
ว่าแต่บู๊กันขนาดนี้ จะมีปัญหาอะไรตามมาไหมเนี่ย?
เพราะท่าทางหลวงหื่นกามนั่นก็เจ็บไม่น้อย
พระยาเดโชไม่ยอมแน่เลย ลูกชายโดนทำร้ายขนาดนั้น

คิดถึงพี่แก้วจัง พาร์ทนี้ไม่มีบทเลย 5555
รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๕...๓๑/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-02-2015 11:30:39
 :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๕...๓๑/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-02-2015 12:27:10
โล่งใจไปที แต่สั้นไปหน่อยอะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๕...๓๑/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 02-02-2015 13:28:28
บอกได้แค่ว่า โดนซะบ้างก็ดี
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๕...๓๑/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 10-02-2015 02:12:47

ตอนที่ ๓๖...ผิดที่ใคร...



หลวงพิสิษฐยังนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะไม้สักเหมือนเมื่อสิบนาทีก่อน มือหนาจรดปลายปากกาขนนกค้างบนกระดาษเอกสารเอาไว้จนน้ำหมึกซึมเปื้อนเป็นวงกว้าง สายตาคมกริบจดจ้องทั้งยังสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ ยิ่งทำให้คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอย่างผมรู้สึกหนาวๆร้อนๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

"เรื่องมัน...ก็เป็นอย่างที่ธีร์เล่าไป"ได้แต่ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อเมื่อถูกกดดันด้วยสายตาคู่เดิม ท่าทางเดิมๆ และความเงียบจนน่าอึดอัดที่ปกคลุมอยู่ตอนนี้

ไอ้ที่คิดไว้ตอนแรกมันไม่ได้ต่างจากความเป็นจริงเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อตอนบ่ายที่ผมกลับมาถึงชนิดที่ว่ายังไม่ทันก้าวขาพ้นประตูเรือนริมน้ำของเจ้าคุณไพศาลดี เสียงร้องดังลั่นของป้าชื่นก็ดังขึ้นทันทีที่หันมาเห็นสภาพของผม อันที่จริงก็แค่รอยฟกช้ำตรงมุมปากกับรอยถลอกตามเนื้อตามตัวนิดหน่อย แต่ป้าชื่นแกเล่นโวยวายเสียอย่างกับใครตาย พอได้ยินไปถึงชั้นบนเท่านั้นล่ะ คนป่วยที่นั่งทำงานอยู่ในห้องนอนจึงรีบผลุนผลันลงมาดู

แต่เชื่อเถอะครับว่าอาการตกอกตกใจของป้าชื่นยังไม่น่ากลัวได้ถึงครึ่งของสายตาเยียบเย็นของเขาที่มองปราดมาในครั้งแรก บรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมห้องนั่งเล่นจนผมได้แต่เสมองไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพราะไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากให้ผมตามขึ้นไปบนห้องด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนน่าขนลุก ลงเอยด้วยการนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงสี่เสาหลังใหญ่ให้อีกฝ่ายจับหน้าจับตัวหมุนไปมาสำรวจสภาพจนทั่ว

แถมพอถูกคาดคั้นหนักเข้า ไอ้คำแก้ตัวที่เตรียมมาเสียดิบดีอย่างเช่นว่า 'หกล้มหน้าฟาดกับพื้นจนปากแตก' หรืออะไรเทือกนั้นเป็นอันต้องตกไปทันทีเพราะเจ้าของห้องดันตาดีสังเกตเห็นรอยช้ำรอบต้นคอของผมอีกต่างหาก...จะให้บอกว่าไปช่วยงานป้าน้อยในครัวแล้วถูกเชือกกล้วยรัดคอเอาก็ดูตลกพิลึก สุดท้ายเลยต้องจำใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังแบบเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงแผนการป่วนประสาทของไอ้แชมป์ก่อนหน้านี้ที่เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด


...แล้วทุกอย่างก็ลงเอยอย่างที่เห็น...


"เอ่อ...คุณ..."

"พี่เคยบอกพ่อธีร์ว่าอย่างไรรึ"ยังไม่ทันได้เรียก อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นจนผมรีบหุบปากฉับ ทำได้เพียงชำเลืองมองคนตัวสูงที่ตอนนี้วางปากกาขนนกในมือเสียทีหลังจากถือมันค้างอยู่เป็นสิบนาทีได้

"ก็..."ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาเขี่ยที่นอนเล่น อาการเหมือนเด็กดื้อแล้วถูกพ่อแม่ดุไม่มีผิด


หลวงพิสิษฐพรูลมหายใจยาวก่อนผละจากโต๊ะไม้สักที่นั่งทำงานอยู่เมื่อครู่แล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ใบหน้าคมเรียบเฉย ทั้งยังไม่ยอมพูดอะไรด้วยแม้สักคำทำเอาผมได้แต่เหลือบมอง พยายามนึกสรรหาคำพูดดีๆเพื่อทำลายบรรยากาศชวนอึดอัด แต่จนแล้วจนรอดก็ทำได้เพียงอ้าปากแล้วหุบฉับลงอยู่อย่างนั้นเป็นนานสองนาน

"เหตุใดถึงไม่ยอมบอกพี่"สุดท้ายก็กลายเป็นคนข้างๆที่ถามขึ้นทำลายความเงียบนั้นเสียเอง

"ธีร์ไม่อยากให้คุณหลวงเป็นห่วง แล้ว...คุณหลวงก็ยังไม่หายดี"แล้วถ้าบอกก็ได้ถูกสั่งห้ามหรือไม่ก็ขอตามไปด้วยน่ะสิ

"แลเป็นเช่นนี้พี่ไม่เป็นห่วงหรือพ่อ"

"แต่ธีร์ก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่ครับ"

"เจ็บขนาดนี้ยังว่าไม่เป็นอะไรอีกรึ!"น้ำเสียงตวัดห้วนจนผมสะดุ้งสุดตัว ดวงตาคู่สวยวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจเมื่อเขากวาดสายตามองรอยช้ำรอบต้นคอที่ตอนนี้กลายเป็นสีม่วงเข้ม ไล่เรื่อยลงมาตามเนื้อตัวที่มีแต่แผลถลอกและวกกลับมาหยุดอยู่ที่มุมปากบวมช้ำจนห้อเลือด

"จะให้พี่ขาดใจตายเสียให้ได้หรืออย่างไร"คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเป็นปมเรียกให้ผมเอื้อมมือออกไปแตะมือใหญ่ของอีกฝ่ายทันที ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นหลวงพิสิษฐโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และครั้งนี้ที่ผมเป็นต้นเหตุเต็มๆ


ผมถอนหายใจยาวเหยียดก่อนอิงศีรษะลงบนไหล่กว้างของคนข้างๆ แรงบีบลงบนมือหนาเรียกให้อีกฝ่ายกระชับตอบกลับมาเพียงแผ่วเบา อาการ'อ้อน'ที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนักถูกนำมาใช้หากแต่ไม่ใช่การอ้อนเพราะอยากได้สิ่งของใด เพียงแค่อ้อนขอให้อีกคนคลายอารมณ์ขุ่นมัวลงเท่านั้นเอง

"แล้วคุณหลวงจะให้ธีร์ทำยังไง...เป็นคุณหลวง ถ้าเพื่อนตกอยู่ในอันตราย คุณหลวงจะไม่ไปช่วยเหรอครับ"คนถูกถามเบือนหน้าหนีไปมองนอกหน้าต่างยิ่งทำให้ใจเสีย คราวก่อนถึงจะโกรธยังไงก็ยังออกปากว่า ไม่ใช่นั่งเงียบเป็นสิบนาทีอย่างเมื่่อครู่นี้

"เรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นแต่แรกหากพ่อธีร์ไม่ดื้อดึงทำตามใจ"

"ธีร์รู้ว่าคุณหลวงโกรธ แต่ถ้าจะให้ธีร์ปล่อยคนผิดไปแบบนั้น...ธีร์ก็ทำไม่ได้"ผมอธิบาย ไม่ใช่เพื่อแก้ตัวแต่เพื่อให้เข้าใจ

"คุณหลวงไม่ให้ธีร์บอกเจ้าคุณท่าน ไม่ถือสาเอาเรื่องคนอย่างมัน ทั้งที่มันทำกับคุณหลวงขนาดนี้...แล้วจะให้ธีร์อยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลยเหรอครับ"

"แต่พ่อก็ไม่ควรทำอะไรเกินตัว หากพ่อแช่มไปช่วยไว้ไม่ทันจะเป็นเช่นไร...พ่อธีร์ไม่คิดบ้างรึ"คนถูกเถียงสวนทันควัน มือข้างที่ว่างกำแน่นอยู่บนหน้าขา ดูก็รู้ว่ากำลังข่มอารมณ์เพียงใด

"ใช่ว่าพี่ไม่โกรธไม่เกลียดเขา แต่ที่พี่ไม่ถือสาเอาความเป็นเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของพ่อธีร์ต่างหาก แลพ่อธีร์มาทำเช่นนี้ จะไม่ให้พี่โกรธพ่อได้อย่างไรเล่า"พูดเสียขนาดนี้จะให้เอาอะไรไปต่อปากต่อคำได้ ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาว่ามามันจริงไปหมดทุกอย่าง ที่ทำได้ ก็เพียงสอดประสานปลายนิ้วเข้ากับเรียวนิ้วยาวของอีกฝ่ายแล้วเกาะกุมไว้เพียงเบาๆ



ศีรษะอิงไหล่แนบเนิ่นนานกว่าหลวงพิสิษฐจะหันกลับมามองเมื่อเห็นว่าผมไม่เถียงอะไรต่อ แว่วเสียงถอนหายใจก่อนเขาจะละมือที่ถูกเกาะกุมแล้วเปลี่ยนมาโอบรอบตัวผมเอาไว้แทน น้ำเสียงตวัดห้วนเมื่อครู่ถูกปรับให้กลับมาทุ้มนุ่มเป็นปกติ

"สัญญากับพี่ ว่าจะไม่ทำการใดที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก"ผมเพียงพยักหน้ารับทั้งที่ยังอิงหน้าอยู่กับไหล่กว้างนั้นโดยไม่ขัดขืน ไม่แม้แต่จะโต้แย้งอะไร เพราะผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้คนข้างๆเป็นกังวลมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทั้งเรื่องที่เจ้าตัวเองต้องมาเจ็บปางตายแล้วยังเรื่องวุ่นวายที่ผมกับไอ้แชมป์ร่วมกันก่อนี่อีก

"แลหากมีอะไรต้องรีบบอกให้พี่รู้ ห้ามปิดบังเข้าใจหรือไม่"น้ำเสียงคาดคั้นหนักกว่าเมื่อครู่เพียงนิดเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาคู่สวยที่จดจ้องอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ สายตาเยียบเย็นเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเหมือนเดิมเรียกให้ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนยวบไม่ต่างกัน



"ครับ...ธีร์สัญญา"





"แลเรื่องหลวงเจษฏ์ที่พ่อธีร์เล่าให้พี่ฟัง...เขาเป็นเช่นไรบ้างรึ"ราวกับนึกอะไรได้บางอย่าง...หลวงพิสิษฐตั้งคำถามที่เรียกภาพเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฉายวนซ้ำในหัวอีกครั้ง...ภาพของคนตัวสูงใหญ่ที่ล้มครืนลงตรงหน้า ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจหากแต่แน่นิ่งจนน่ากลัว...วินาทีนั้น ผมไม่มีแม้แต่สติที่จะเข้าไปสำรวจร่างบนพื้นว่ามันยังหายใจดีอยู่หรือไม่เพราะมัวแต่เป็นห่วงกลัวว่าไอ้ลูกน้องของมันสองคนจะตื่นขึ้นมาเอาเรื่อง ทำได้เพียงทิ้งความกังวลใจเอาไว้เบื้องหลัง




"ธีร์ไม่รู้ครับ"




....................................................................................



คำตอบของคำถามนั้นมาเยือนถึงเรือนเจ้าคุณไพศาลในวันรุ่งขึ้น เมื่อตอนที่บ่าวสักคนเข้ามาแจ้งหลวงพิสิษฐว่ามีแขกมาขอพบ...ตอนแรกผมเข้าใจว่าคงเป็นผู้ใหญ่ในกรมของเขาสักคนที่มาเยี่ยมเยียนคนเจ็บเหมือนเช่นทุกที แต่เมื่อได้เห็นร่างแบบบางในชุดสไบสีหวานที่ยืนรออยู่ตรงศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนกลับทำเอาหัวใจของผมกระตุกวูบ


"แม่เดือน"


เจ้าของชื่อน้อมตัวพุ่มมือขึ้นไหว้เจ้าของเรือนอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายเองก็ยกมือรับไหว้เช่นกัน

"ไม่ได้พบกันเสียนาน คุณหลวงสบายดีไหมเจ้าคะ"

"พี่สบายดี...เชิญขึ้นเรือนก่อนเถิดแม่"ดวงตากลมโตไล่สำรวจร่างสูงโปร่งที่เบี่ยงตัวหลบเชื้อเชิญให้ตนขึ้นเรือน ก่อนระบายยิ้มบางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอาการดีขึ้นมากจนเกือบหายเป็นปกติ

"ดิฉันคงอยู่ไม่นาน คุยเสียตรงนี้ก็ได้เจ้าค่ะ"หากแต่ท่าทีการพูดจาของเธอทำเอาผมแปลกใจไม่น้อย...ผมจำได้ว่าเมื่อพบกันครั้งแรกการพูดคุยของสองคนนี้ดูสนิทสนมกันพอตัว หรือแม้แต่ครั้งนี้ที่คนตัวสูงยังคงใช้คำแทนตัวว่า'พี่' ในขณะที่อีกฝ่ายกลับเลี่ยงไปใช้ภาษาที่ห่างเหินมากกว่านั้น

"ถ้างั้น ผมจะไปบอกป้าชื่นให้เอาน้ำมาให้นะครับ"แต่เพราะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริง จึงทำได้เพียงขอตัวแล้วปล่อยให้ผู้มาเยือนคุยธุระกับอีกคนตามลำพัง

และผมก็คงเดินกลับขึ้นเรือนไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะเสียงหวานนั้นเรียกเอาไว้ "อยู่ด้วยกันก่อนเถิด...เรามีเรื่องต้องพูดกับพ่อธีร์เช่นกัน"


ผมชะงักฝีเท้าก่อนจะหันกลับมาสบกับดวงตากลมโตที่เพิ่งสังเกตว่ามันบวมช้ำผิดวิสัย รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆแต่ก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้...หลวงพิสิษฐเหลือบมองผมครู่หนึ่งอย่างชั่งใจก่อนเอ่ยปากถามถึงธุระของคนตัวเล็กที่ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย เพราะการที่ลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าพระยาเดโชผู้ซึ่งไม่เคยเหยียบย่างมาที่นี่เลยสักครั้งกลับมาเยือนเรือนริมน้ำของเจ้าคุณไพศาลด้วยตัวเองย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ

"ดิฉันมีเรื่องต้องแจ้งให้คุณหลวงแลพ่อธีร์ทราบเจ้าค่ะ......


....เรื่องหลวงเจษฎ์"


เสียงหวานเว้นจังหวะเพียงครู่ ริมฝีปากอิ่มกดเม้มเข้าหากันจนกลายเป็นเส้นตรง ทั้งยังมือขาวที่ถือกระเป๋าสานใบน้อยประสานกันไว้เบื้องหน้าบิดไปมาราวกับเจ้าตัวอึดอัดเต็มที ไม่ต่างจากตัวผมที่ยืนนิ่งแต่กลับรับรู้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงจนเผลอกลั้นลมหายใจ

"หลวงเธอ...ถูกทำร้ายอาการสาหัสเจ้าค่ะ"

ไม่ผิดจากที่คิดเมื่อคำบอกเล่าจากปากของเธอเป็นเรื่องเดียวกับที่ผมกังวลมาตลอดสองวันที่ผ่านมา...แต่ที่ว่าสาหัสน่ะ...สาหัสขนาดไหนล่ะ...หัวแตก แผลที่ถูกแทง หรือสาหัสกว่านั้น?...เหลือบมองคนตัวสูงข้างๆที่ยังมีสีหน้าราบเรียบเป็นปกติ ต่างเพียงแค่คิ้วดกหนาที่ขมวดมุ่นน้อยๆ

"เกิดอะไรขึ้นหรือแม่"

"สองคืนก่อน พ่อยศแลพ่อเชิดพาหลวงเธอกลับมาที่เรือน ดิฉันถามเท่าใดก็ไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น...บอกเพียงแต่ว่า...ถูกพ่อธีร์แลพวกทำร้ายเอาเจ้าค่ะ"

"ไม่จริง!...ผมแค่ป้องกันตัว"เสียงตวัดห้วนอย่างลืมตัว...ไอ้สองคนนั้น...สลบไม่รู้เรื่องรู้ราวยังมีหน้ามาโยนความผิดให้คนอื่น อยากรู้นักถ้ามันได้เห็นว่านายของมันทำอะไรผมไว้บ้างมันยังจะพูดแบบนี้กันอยู่ไหม

คนตัวสูงปรายสายตามองเป็นเชิงปรามให้ผมเย็นลงก่อน มือหนาวาดไพล่หลังพลางยืดตัวตรงก่อนถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเช่นเคย

"สาหัสที่แม่เดือนว่า เป็นถึงขนาดไหนหรือ"

"หมอฝรั่งที่มาดูอาการว่าลำพังบาดแผลตามตัวไม่สาหัสนัก มีก็แต่...ศีรษะถูกกระแทกรุนแรงเข้าที่สำคัญ...แลเมื่อฟื้นขึ้นมาเมื่อเช้านี้........"

ใบหน้าหวานหลุบลงต่ำพร้อมกับลมหายใจของผมที่สะดุดนิ่ง




"หลวงเธอก็ขยับตัวไม่ได้อีกเลยเจ้าค่ะ"




ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด ร่างทั้งร่างของผมชาวาบ คำว่า'สาหัส'ที่คุณเดือนว่ามันรุนแรงกว่าที่คิดไว้ในตอนแรกมากนัก ภาพของคนตัวสูงใหญ่ที่กระโจนเข้าบีบต้นคอด้วยสีหน้าเคียดขึ้งฉายวนในความคิด แรงกดรุนแรงในตอนนั้นเรียกให้ความร้อนปร่าขึ้นมาที่รอยช้ำรอบต้นคอจนหายใจติดขัด หากแต่เพียงครู่ร่างสูงใหญ่กลับโงนเงนล้มตึง ดวงตาเหลือกลืมราวจดจ้องทว่าเลื่อนลอยว่างเปล่า สติขาดหาย


...และตื่นมาอีกครั้งเพื่อพบว่าตัวเองขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้อีกแล้ว...


...แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่าสาหัสของจริง...


"ไม่มีทางรักษาให้หายเลยหรือ"หลวงพิสิษฐเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่น้อยเมื่อเห็นว่าดวงตากลมโตของคุณเดือนมีน้ำคลอเต็มหน่วย  หากเธอเพียงส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบแม้รู้ดีว่ากิริยาเช่นนี้เป็นการเสียมารยาทแต่เพราะไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำพูดใดได้ มือขาวยกขึ้นเกลี่ยหยดน้ำใสไม่ให้ไหลลงอาบแก้มพลางสูดหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์

"เช่นนั้น...ที่แม่เดือนมาในวันนี้..."ราวกับนึกอะไรออก ร่างสูงโปร่งขยับกายเพียงนิดแต่เพียงพอที่จะทำให้ตัวผมที่ยืนแข็งเป็นหินกลายเป็นฝ่ายอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตาคมกวาดมองรอบตัวเผื่อว่าจะมีใครตามติดคนตัวเล็กเพื่อมาพาตัวผมไป เพราะการที่ลูกชายเจ้าพระยาคนใหญ่คนโตบาดเจ็บหนักขนาดนี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะไม่ถือสาเอาความ ดีไม่ดีผู้เป็นพ่อจะให้คนมาลากตัวไปลงโทษก่อนจะถึงมือทางการเสียด้วยซ้ำ

คนตัวเล็กยกยิ้มน้อยๆราวกับล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย ร่างแบบบางเหยียดกายตรงอีกครั้ง คราบหยดน้ำตาใสถูกปัดออกจนแห้งเหือดเหลือเพียงแววตาราบเรียบจริงจัง

"ที่ดิฉันมาในวันนี้เพียงเพื่อมาแจ้งให้คุณหลวงแลพ่อธีร์ทราบ...เพลานี้เจ้าคุณเดโชตามเสด็จทูลกระหม่อมอยู่ที่เมืองจันทบุรี ตามกำหนดจะกลับถึงพระนครในอีกสามวันเจ้าค่ะ"

"แม่เดือนหมายความว่าอย่างไร"คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ หากเพียงครู่ดวงตาคมกลับเบิกกว้างเพราะคำพูดถัดมาของผู้มาเยือน


"ดิฉันอยากให้พ่อธีร์หนีไปเสียก่อนที่เจ้าคุณท่านจะกลับมาเจ้าค่ะ"


"เอ๊ะ!"แม้แต่ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ได้แต่มองหน้าลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าพระยาเดโชที่สบดวงตาหวานกลับมาแน่นิ่ง ไม่เหลือเค้าของหยาดน้ำตาโศกเศร้าเมื่อครู่แม้แต่น้อย

"หากเจ้าคุณท่านทราบความ พ่อธีร์คงไม่พ้นต้องโทษหนัก...ทางเดียวที่พอจะทำได้ คือพ่อธีร์ต้องหนีไปเจ้าค่ะ"

"แต่ผมไม่ได้ทำ...มันเป็นอุบัติเหตุ"ผมกลอกตาไปมาอย่างคนคิดอะไรไม่ออก จริงอยู่ที่ผมเป็นส่วนหนึ่งให้หลวงเจษฏารังสรรต้องมีสภาพอย่างที่คุณเดือนว่า แต่สิ่งที่เจ้าตัวมันทำก่อนหน้านั้นก็เรียกได้ว่าเลวร้ายไม่ต่างกัน


หากอาการในตอนนี้ของมันเรียกว่าสาหัส...สภาพของผมในคืนนั้นก็สาหัสไม่แพ้กัน


"พ่อธีร์ก็รู้ชื่อเสียงของเจ้าคุณท่านดี มีหรือที่ท่านจะยอมปล่อยให้คนที่ทำร้ายลูกชายท่านพ้นผิดโดยง่าย แม้พ่อธีร์ไม่ตั้งใจ แต่ท่านก็ต้องหาทางเอาผิดจนได้"คำตอบของคุณเดือนทำเอาผมนึกขำ ตลกสิ้นดีที่แม้แต่ในสมัยนี้คนใหญ่คนโตก็ยังมีอำนาจค้ำฟ้า ถึงขั้นว่าจะเอาผิดใครก็ทำได้โดยไม่ต้องสอบสวนหาความจริงกันเชียวหรือ และต่อให้สืบสาวราวเรื่องรู้ว่าไม่ใช่แค่ฝ่ายผมฝ่ายเดียวที่ผิด ก็ยังจะหาทางต้อนให้จนมุมจนได้เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่สามารถลุกขึ้นมาตอบโต้อะไรได้สินะ

"พ่อยศแลพ่อเชิดเล่า ป่านนี้ไม่ร้องแรกแหกกระเชอให้เขารู้กันไปทั่วแล้วหรือ"

"คุณหลวง..."ผมตวัดสายตามองคนที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเมื่อเห็นเขามีท่าทีเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย แม้แต่คนเที่ยงตรงรักความถูกต้องอย่างเขายังโอนอ่อนตาม แล้วคนที่มีส่วนสร้างเรื่องแบบผมล่ะ จะเถียงอะไรได้

"เพลานี้ยังไม่มีใครล่วงรู้อาการของหลวงเจษฎ์เจ้าค่ะ ดิฉันให้บ่าวเฝ้าหน้าห้องเอาไว้แลไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม"หลวงพิสิษฐเพียงครางเบาในลำคอราวรับคำหากแต่ไม่ตอบอะไรมากไปกว่านั้น ใบหน้าคมฉายแววครุ่นคิดหนัก ผิดกับผมที่ตอนนี้เหมือนคนพิการทางความคิดเพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มืดแปดด้าน ใครเลยจะคาดคิดว่าการแก้เผ็ดเล็กๆน้อยๆของผมกับแชมป์จะลงเอยด้วยเรื่องราวใหญ่โตอย่างที่เห็น ซ้ำยังทำให้คนข้างกายเป็นกังวลหนักกว่าเก่าทั้งที่เพิ่งสัญญากับเขาว่าจะไม่ทำอะไรให้อีกฝ่ายยุ่งยากใจอีก


ผลพวงของการกระทำและความโกรธเคืองเชื่อมต่อโยงใยตั้งแต่แรกเริ่ม จนตอนนี้กลายเป็นปมแน่นหนาที่ไม่รู้จะหาทางคลายมันออกได้อย่างไร


"แม่เดือน...หลวงเจษฐ์เป็นสามีของหล่อน เหตุใดหล่อนถึงทำเช่นนี้"คำถามของหลวงพิสิษฐไม่ต่างจากสิ่งที่ผมนึกอยู่เท่าไหร่นัก...คนเป็นภรรยาที่สามีถูกทำร้ายเสียจนสาหัสขนาดนั้น นอกจากจะไม่ถือสาเอาความ ซ้ำยังชี้ทางออกให้ตัวต้นเหตุ ไม่ว่าใครก็สงสัยด้วยกันทั้งนั้น

ทว่าคำตอบของเธอ คือรอยยิ้มลางเลือนบนใบหน้าหวานปนโศกที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ ดวงตากลมสวยปรายมองมาทางผมเพียงครู่ก่อนเบือนสายตากลับไปหาคนถามที่ยังยืนขวางอยู่เบื้องหน้า

"เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นดิฉันเองก็มีส่วน...หากดิฉันยอมบอกความจริงเสียตั้งแต่แรกว่าหลวงเธอคือคนร้ายที่ทำร้ายคุณหลวง เรื่องราวคงไม่บานปลายถึงเพียงนี้"

"คุณเดือนรู้..."กลายเป็นผมที่โพล่งออกไปอย่างลืมตัว

นึกไปถึงวันที่ไปเยือนเรือนเจ้าคุณเดโชหลังจากเกิดเรื่อง ร่างแบบบางมีสีหน้าอิดโรยที่หลบอยู่หลังม่านโปร่งบนห้องนอน ดวงตาหม่นที่สบกันเพียงครู่ก่อนเธอจะหลบหาย...เพราะแบบนี้ถึงไม่กล้าเผชิญหน้า...เพราะเธอรู้...ความจริงทั้งหมด

"ครานั้นเราไม่มีทางเลือกเพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นสามี...แต่ครานี้ ขอให้เราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องบ้างเถิดพ่อ"แววตาจริงจังช่างขัดกับเสียงหวานน่าฟังยิ่งนัก เห็นทีนี่จะไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายสำหรับคุณเดือนเช่นกัน เธอเสี่ยงเหลือเกินที่ทำแบบนี้...หากเจ้าคุณเดโชทราบว่าลูกสะใภ้คนสวยเป็นคนคาบข่าวมาบอกให้ผมไหวตัวทัน แทบไม่อยากนึกว่าเธอต้องเจอกับอะไรบ้าง



หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๕...๓๑/๐๑/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 10-02-2015 02:13:22


"ดิฉันขอคุยกับพ่อธีร์ตามลำพังสักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ"ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ผู้มาเยือนเอ่ยขออนุญาตอีกครั้ง เหลือบมองคนตัวสูงที่มีสีหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่เมื่อครู่ หากเขาเพียงผ่อนลมหายใจเบาแล้วรับคำ

"เสร็จธุระแล้ว ตามพี่ขึ้นไปบนห้องนะพ่อ"ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆราวฝืนใจ ก่อนจะหันไปยกมือรับไหว้คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ๆแล้วเดินกลับขึ้นเรือนทันที


ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็น...ดวงตาคู่สวยของคุณเดือนที่ปรายมองตามจนกระทั่งแผ่นหลังกว้างนั้นลับหาย สายตาที่สื่อความหมายบางอย่างที่ผมเข้าใจดี


...ความอาลัย...


หากเพียงครู่ที่ร่างแบบบางหันกลับมา ใบหน้าซีดเซียวยิ่งเด่นชัดเมื่อเธอขยับเข้าใกล้ให้ผมสังเกตเห็นรอยบวมช้ำรอบดวงตา...กว่าจะปั้นแต่งสีหน้าให้เป็นปกติได้ ไม่รู้ว่าผ่านการร้องไห้มากี่ครั้งกัน

"เรามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องพ่อธีร์"เสียงหวานเอ่ยขึ้นเมื่อหลวงพิสิษฐลับตาไปได้ไม่นาน

"อะไรครับ"



"เราขอให้พ่อธีร์...อโหสิให้หลวงเจษฎ์เถิด"



ลมหายใจสะดุดนิ่งอีกครั้งเมื่อสิ่งที่เธอขอเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยนึกถึง ไม่สิ...ต้องเรียกว่าลืมนึกถึงไปต่างหาก...'อโหสิ' ใครๆก็พูดได้แต่ทำกันง่ายเสียเมื่อไหร่...ร่องรอยรอบต้นคอและตามร่างกายก็มีให้เห็น ไหนจะความเกลียดชังที่ฝังลึกตั้งแต่แรกเริ่มอีกล่ะ...กี่ครั้งแล้วที่ทั้งร่างกายและจิตใจถูกมันทำร้าย กี่ครั้งที่ชีวิตต้องปั่นป่วนไม่เป็นสุข แม้แต่คนรอบข้างเองก็พลอยเป็นทุกข์หนัก ทั้งแชมป์ ทั้งคนที่เพิ่งเดินจากขึ้นเรือนไปเมื่อครู่นี้

หรือแม้แต่...คนที่กำลังยืนขอร้องผมตรงหน้านี้ก็เถอะ

บางทีผมก็อยากถาม...เธอไม่เจ็บ ไม่ทรมานหรือ ที่ต้องทนอยู่กับสามีจอมอันธพาลทั้งที่เธอเองก็ไม่ได้นึกรักอะไรในตัวชายคนนั้น...แล้วตอนนี้ เธอจะดีใจบ้างไหมที่สามีผู้ซึ่งเอาแต่สร้างปัญหาต้องกลายเป็นคนพิการ ไม่สามารถลุกขึ้นมาลงไม้ลงมือแผดเสียงโวยวายใส่เธอได้อีกแล้ว

เพราะสำหรับผม สิ่งที่เกิดขึ้นแม้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเบื้องลึกในจิตใจ ผมไม่ได้รู้สึกสงสารอะไรผู้ชายคนนั้น มันสาสมแล้วกับสิ่งที่มันทำมาทั้งหมด ทั้งกับตัวผมเองหรือใครก็ตามที่มันเคยกระทำให้คนเหล่านั้นเจ็บช้ำ


...ไม่เลยสักนิดเดียว...


"เรารู้ว่าพ่อธีร์ชังหลวงเธอนัก...แต่เพลานี้หลวงเธอก็ได้รับกรรมที่ก่อแล้ว"เสียงหวานสั่นเครือยิ่งเรียกความจำในคืนนั้นให้กลับมา...วินาทีที่ผมจรดปลายมีดจ่อเบื้องหน้าคนที่กลัวตายจนลนลาน น้ำเสียงเยียบเย็นของตัวเองที่เอ่ยกับคนชั่วหนึ่งคนอย่างไม่แยแส



"กูไม่ทำอะไรมึงหรอก เพราะคนอย่างมึง ซักวันกรรมจะตามสนองเอง"



แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากผลพวงของการกระทำของตัวเอง จะนับว่าเป็นเพราะกรรมของคนที่ก่อเอาไว้ได้ไหมนะ

"เรื่องที่เกิดขึ้น ผมเองก็ต้องขอโทษคุณเดือน...แต่ที่จะให้อโหสิ......"สายตาหลุบต่ำลงมองพื้นอย่างคนชั่งใจ...ที่ผมขอโทษ เพราะผมรู้ดีว่าต่อจากนี้ภาระหนักอึ้งในการดูแลสามีคงไม่พ้นตกอยู่ที่เธอผู้เป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียวโดยที่ผมมีส่วนก่อให้เกิดภาระนั้น...แต่เรื่องที่เธอขอร้องมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกผิดเสียเมื่อไหร่

"พ่อธีร์อย่าได้เป็นกังวล เราไม่เคยถือโทษโกรธพ่อแม้แต่น้อย...แต่หากพ่อธีร์นึกอยากขอโทษ ขอให้อโหสิต่อหลวงเธอเถิด ไม่ใช่เพื่อตัวหลวงเธอแต่เพื่อตัวพ่อธีร์เองต่างหาก...อย่าให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กลายเป็นเวรกรรมติดตามตัวทั้งพ่อธีร์แลหลวงเธอไปในภายหน้าเลยนะพ่อ"


จนถึงตอนนี้ผมได้รู้แล้ว ว่าจิตใจของคนตรงหน้าช่างงดงามสูงส่งยิ่งนัก ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเธอไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยแม้แต่น้อยแต่กลับต้องกลายเป็นผู้รับผลของการกระทำทั้งหมด การกระทำที่เกิดจากความอยากเอาชนะของสามีตนเอง ความเข้าใจผิด โกรธแค้น ความเกลียดชัง หรืออะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดเรื่องราวต่างๆ



"ผม..."



ความเงียบโรยตัวปกคลุมเพียงอึดใจ มือไม้ทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่นน้อยๆ นับเป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลยสำหรับผม...หากเพียงครู่เดียวที่ตัดใจเอ่ยคำนั้นออกมาให้คนฟังพอมีรอยยิ้มบางเบาระบายบนใบหน้าโศกได้บ้าง...คำพูดที่ราวกับปลดปล่อยทุกอย่างที่สุมอยู่ในอกทั้งของตัวเองและคนรอบข้าง




"ผมอโหสิให้เขา..."



.........................................................................................




บานประตูห้องนอนถูกเปิดออกเผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างของเจ้าของห้องที่ยืนสงบนิ่งหน้าโต๊ะไม้สักตัวงาม...เจ้าตัวสะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงประตูไม้ปิดลงก่อนหันกลับมามองด้วยสีหน้าลำบากใจหนักหนา สีหน้าที่ผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักสำหรับคนมีไหวพริบในการแก้ปัญหาได้เกือบทุกเรื่องอย่างหลวงพิสิษฐ...หากแต่ไม่ใช่เรื่องที่กำลังเกิดในขณะนี้

"แม่เดือนกลับไปแล้วหรือ"เสียงทุ้มนุ่มถามขึ้นเมื่อผมก้าวเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย หากแต่คำตอบของผม คือการเอื้อมสองมือออกไปโอบรอบเอวของคนตรงหน้าแล้วซุกหน้าลงบนลาดไหล่กว้างราวกับกำลังหาที่พึ่งพิง

"ธีร์จะทำยังไงดีครับ"แว่วเสียงคนถูกกอดถอนหายใจยาว มือหนายกขึ้นลูบเรือนผมยาวละต้นคออย่างอ่อนโยนอย่างที่เคยทำ ก่อนวาดท่อนแขนแกร่งโอบรั้งตัวผมแนบแน่นจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างกัน

"ธีร์ไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น คุณหลวงก็รู้ใช่มั้ยครับ"

"พี่รู้...คนดี พี่รู้ว่าพ่อไม่ได้ตั้งใจ"ยิ่งได้ยินคำปลอบโยน มือที่โอบรอบเอวสอบก็ยิ่งสั่น ความกลัวก่อเกิดทั้งที่ไม่เคยเป็นเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้า อ้อมกอดที่คอยปกป้องดูแลแม้ตัวเองต้องบาดเจ็บเจียนตายมาแล้ว

"บอกความจริงกับเจ้าคุณเดโชท่านไม่ได้เหรอครับ บอกท่านว่าลูกชายท่านทำอะไรเอาไว้บ้าง ท่านเป็นผู้ใหญ่ น่าจะฟังความกันบ้าง"คนตัวสูงผละออกเพียงนิด มือหนายึดบ่าทั้งสองของผมเอาไว้มั่น ดวงตาคู่สวยทว่าหม่นแสงจดจ้องยิ่งทำให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้าหนักใจเพียงใด

"คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะพ่อ ลูกชายถูกทำร้ายถึงเพียงนี้จะให้มีกะจิตกะใจฟังความอันใดหรือ...แลยิ่งเป็นเจ้าคุณเดโชด้วยแล้ว......."ดวงตาคู่สวยหลุบลงต่ำก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคนั้นจบหากแต่พอให้ผมเข้าใจได้ด้วยตัวเอง...ใช่สิ...คนอารมณ์ร้อนอย่างเจ้าพระยาเดโชศรีวิศาล ผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่ารักและตามใจลูกชายอย่างกับอะไร ลองมาเกิดเรื่องเช่นนี้เห็นทีจะมีแต่โมโหจนเลือดขึ้นหน้าไม่ฟังความใครให้เสียเวลา

"แล้วจะให้ธีร์ทำยังไง...จะให้ธีร์หนี...แล้วจะหนีไปไหน ธีร์ไม่รู้จักใครที่นี่ ไปไหนก็ไม่เป็นนอกจากเรือนนี้กับเรือนเจ้าคุณจิตรา...แล้วถ้าหนี...เมื่อไหร่จะได้กลับมา ต้องรอนานขนาดไหนกว่าเจ้าคุณท่านจะหายโกรธ ต้องไปอยู่ไกลบ้าน ไกลคนรู้จัก......ไกลคุณหลวง...อีกนานเท่าไหร่ครับ"เสียงสั่นระร่ำระลักอย่างคนหมดหนทาง ทั้งดวงตาที่กลอกไปมาราวคนไม่มีสติ หากเพียงครู่ทุกอย่างกลับสงบนิ่งเมื่อมือหนาโอบรั้งตัวผมเข้าไปแนบชิดอีกครั้ง และครั้งนี้มันหนักหน่วงจนกลายเป็นความเจ็บปวด...เพียงแต่ไม่รู้ว่าที่เจ็บคือตัว...หรือหัวใจ...เมื่อคิดว่าจะต้องจากอ้อมอกนี้ไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้



...จะได้พบกันอีกไหมหรือต้องจากไกลชั่วนิรันดร์...หากเป็นเช่นนั้นสู้ตายจากกันไม่ดีกว่าหรือ...



"พ่อธีร์..."เสียงทุ้มนุ่มสั่นเครือเช่นเดียวกับมือหนาที่ลูบหลังปลอบโยนแผ่วเบา ต่างจากอ้อมกอดหนักหน่วงยิ่งนัก





"...หนีไปกับพี่..."





หากแต่เป็นเพราะคำพูดสั้นๆที่ทำเอาหัวใจแทบหล่นหาย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกปนประหลาดใจ ทำได้เพียงผละออกจากอ้อมแขนแกร่งแล้วจดจ้องดวงตาคู่สวยคู่นั้นแทน

"อ...อะไรนะครับ"แม้เสียงของตัวเองยังสั่นไม่ต่างกัน มือหนาเข้าประคองข้างแก้มอ่อนโยน ที่หากเป็นเวลาปกติคงหวานแสนหวาน ไม่หวานปนขื่นอย่างที่รู้สึกอยู่เช่นนี้

"หนีไปกับพี่ก่อนที่เจ้าคุณเดโชท่านจะทราบความ พาพ่อแช่มไปเสียด้วยกัน"น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังเกินกว่าจะฟังเป็นเรื่องล้อเล่น เสี้ยวหนึ่งของความคิด ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านยากจะหาคำใดมาอธิบาย ผิดกับอีกเสี้ยวหนึ่งที่ความกังวลใจเกาะกินจนเหลือจะกล่าว

"ต...แต่คุณหลวงยังไม่หายดี...แล้วยังงานของคุณหลวงอีก"ดวงหน้าคมส่ายไปมาราวกับต้องการปัดเป่าความกังวลใจให้หายสิ้น ริมฝีปากหยักฝืนยิ้มอ่อนโยนกว่าครั้งไหน...อ่อนโยน...จนแม้แต่คนได้มองยังนึกเจ็บ

"ลืมคำพี่แล้วหรือคนดี...พี่จะไม่ยอมปล่อยมือนี้ หากพ่อธีร์ไม่เอ่ยปาก"มือหนาประคองซ้อนมือของผมก่อนใบหน้าคมโน้มลงจรดริมฝีปากหยักบนหลังมือเพียงแผ่วเบา...คำพูดย้ำเตือนคำสัญญาในคืนนั้นหนักแน่นชัดเจนเสียเต็มตื้นจนแทบล้น ดวงตาร้อนผะผ่าวกลั่นทั้งอารมณ์และความรู้สึกรวมตัวเป็นหยดน้ำใสรื้นรินโดยรอบ...เพียงหยาดเดียวที่ร่วงหล่น ปลายนิ้วหัวแม่มือที่คอยประคองกลับปัดป่ายให้เหือดหาย

"ขอเพียงได้อยู่กับพ่อธีร์ ให้พี่ไปอยู่ที่ใด ทำอะไร หรือให้เจ็บเจียนตายพี่ก็ทนได้"หากเพียงหยาดเดียวยังไม่เพียงพอ สายน้ำตาร่วงหล่นลงพร้อมเสียงสะอื้นหนักและความอบอุ่นของหน้าอกกว้างที่โผเข้าหา มือหนาที่ลูบหลังปลอบโยนกลับไม่ช่วยให้ดวงตาที่ร้อนผ่าวแห้งเหือดกลับยิ่งเปียกปอนจนชุ่มไปถึงเสื้อผ้าป่านเนื้อบางของอีกฝ่าย...ความรู้สึกผิดเกาะกินจิตใจยิ่งกว่าตอนที่ได้ฟังข่าวร้ายจากปากของคุณเดือน...ผิดที่ทำให้เขาต้องเป็นทุกข์...ผิดที่การกระทำแต่กลับกลายเป็นเขายังคอยยื่นมือมาประคองเอาไว้ยามใกล้ล้ม...ผิดเหลือเกินที่เขาให้ความสำคัญกับคนธรรมดาคนหนึ่งมากขนาดนี้


...ผิด...จนนึกเห็นแก่ตัวไม่อยากปล่อยอ้อมกอดนี้ให้ห่างตัวอีกเลย...



"แล้วจะไปเมื่อไหร่ครับ"คำถามของคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งยามถูกอ้อมแขนแกร่งตระกองกอดเอาไว้แนบอก

"วันพรุ่งกลับไปลาคนที่เรือนโน้นเสีย...เราจะออกเดินทางกันตอนค่ำ"

วินาทีนั้น...ผมไม่รู้หรอกว่าต้องออกเดินทางไปที่ไหน...ไปอยู่ที่ใด...ต้องลำบากลำบนมากน้อยขนาดไหน...รู้เพียงแต่ว่า หากยังมีคนในอ้อมแขนนี้อยู่เคียงข้าง ต่อให้ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลอีกกี่ร้อยกี่พันเส้นทาง



...ผมก็ยอม...



........................................โปรดติดตามตอนต่อไป.......................................


ตอนหน้าจบแล้ว(มั้ง)คะ  :-[

ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามกันเหมือนเดิม
รักผู้อ่านทุกท่านเสมอค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๖...๑๐/๐๒/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 10-02-2015 05:22:35
จะจบแบบไหนเนี่ย หวังว่าน้ำตาคงไม่ท่วมจอนะ
ขอสมน้ำหน้าไอ้คุณเจษ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๖...๑๐/๐๒/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-02-2015 05:50:04
 :hao5: จะจบแบบไหนหนอ  :m31: ชังน้ำหน้านักบ้านนั้นสร้างปัณหาให้ตลอด จะให้ธีร์กับเพื่อนอยู่ที่นี้อย่างสงบสุขไม่ได้หรือไร
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๖...๑๐/๐๒/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 10-02-2015 19:26:55
จะจบแล้วเหรอ อย่าจบแบบเศร้ามากนะคะ สงสารพี่แก้ว สงสารพ่อธีร์ พ่อแชมป์ สงสารคนอ่านด้วย

ตอนนี้ถ้าเลือกหนีจริงก็เสียดายคนดีๆแทนที่จะได้ช่วยชาติ  แต่ถ้าไม่หนีก็จะสู้อำนาจพระยาได้เหรอ
หัวข้อ: The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๖...๑๐/๐๒/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 10-02-2015 21:10:59
พี่แก้วววววจ๋า  พี่แก้วคนดีของน้องธีร์  รักพี่แก้วจังเลย
ตอนหน้าจะจบแล้วเหรอคะ  กลัวอ่ะ ไม่เอาดราม่าน้า   :ling3:
ให้พี่แก้วน้องธีร์  แชมป์กับคุณพิกุล ได้ครองคู่กันด้วยเถอะ เพี้ยง ๆ  :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๖...๑๐/๐๒/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 10-02-2015 22:04:40
 :z3:
โอ้ยยย เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วอ่ะ
ถ้าจะหนี จะหนีไปที่ไหน ในเมื่อพี่แก้วก็ไม่มีญาติที่ไหนด้วย?
ตายๆ งานนี้จะจบแบบไหนคะเนี่ย รอลุ้นมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๖...๑๐/๐๒/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 15-02-2015 18:48:26
ตอนที่ ๓๗...การจากลา...(๑)




รุ่งเช้าของพระนครยังคงสดใสอย่างที่เคยเป็น...ลมเอื่อยหอบน้ำค้างยอดหญ้าพัดพาให้เย็นฉ่ำ แดดยามเช้าทอแสงอ่อนโอบล้อมฉากบ้านเมืองให้สว่างกระจ่างตา งดงามยิ่งกว่าเมืองไหนที่เคยได้เห็น เสียงนกการ้องร่ำยามโผบินออกหากินดังแว่วทั่วคุ้งแควคล้ายสัญญาณบอกเวลาเริ่มต้นวันใหม่


บรรยากาศอบอุ่นอ่อนโยนต่างจากใจที่ร้อนรุ่มของทั้งตัวเองและใครอีกหลายคนบนเรือนพระยาจิตรานุวัตร


ข่าวการร่ำลากลับบ้านอย่างกระทันหันของผมและแชมป์ดังไปถึงท้ายเรือนอย่างรวดเร็วเมื่อพี่บุญมีกลายเป็นหนึ่งในผู้รู้เห็นตอนที่ผมกราบลาเจ้าของเรือนทั้งสองที่ชานเรือน ทำเอาทั้งพี่สนและไอ้มิ่งถึงกับแอบมาเกาะขอบบันไดรอฟังข่าวจนถูกเจ้าของเรือนไล่ตะเพิดวิ่งหนีกลับโรงครัวกันแทบไม่ทัน ส่วนคนที่ออกอาการมากที่สุดเห็นทีจะหนีไม่พ้นลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณท่านและคุณหญิงสร้อยที่เมื่อทราบความก็ถึงกับมือไม้อ่อนจนถูกเข็มร้อยมาลัยแทงที่นิ้วจนได้เลือดเข้าให้ ทั้งยังสีหน้าไม่สู้ดีนักสังเกตได้จากใบหน้าหวานที่ก้มงุดเห็นเพียงดวงตาหวานฉ่ำรื้นหยดน้ำตา


ไม่ต่างจากสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างผมในตอนนี้




ย้อนกลับไปเมื่อตอนมาถึงเรือนเมื่อรุ่งสาง ไอ้ตัวดีที่เปิดประตูห้องนอนออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าแช่มชื่นสมชื่อที่คนแถวนี้เรียกมันดูประหลาดใจไม่น้อยที่ได้เห็นดวงตาบวมช้ำผิดปกติของผม จนเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด สีหน้าชื่นมื่นกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันควัน ทั้งยังโวยวายเสียลั่นเมื่อผมบอกถึงทางออกที่ทั้งคุณเดือนและหลวงพิสิษฐเป็นคนแนะนำ เจ้าตัวเอาแต่ดื้อแพ่งส่ายหัวส่ายหน้าไม่ยอมอยู่ท่าเดียว ซ้ำยังด่าทอตัวต้นเหตุที่ทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้แม้ว่ามันจะกลายเป็นคนพิการขยับตัวไปไหนไม่ได้อีกแล้ว จนเมื่อผมขึ้นเสียงตวาดใส่อย่างหมดความอดทนถึงได้ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นราวกับคนสิ้นสติ แล้วถามผมซ้ำไปซ้ำมาเพียงแค่ว่า


...ไม่ไปไม่ได้หรือ...




"แลจะไปกันเมื่อใดเล่า"คุณหญิงสร้อยได้แต่เอนกายอิงหมอนขวานพลางถอนใจยาวหลังจากที่ผมแจ้งให้ทราบโดยให้เหตุผลว่าจากบ้านมานานเกินไปจนคนที่บ้านเป็นห่วงขอให้กลับไป ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ออกปากห้ามด้วยรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าใครต่างก็ต้องกลับ'บ้าน'ด้วยกันทั้งนั้น

"คืนนี้ครับ แต่ว่าจะไปกราบลาเจ้าคุณไพศาลท่านก่อน"

"ประหลาดนักพวกเองนี่ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป"ใบหน้าอ่อนโยนภายใต้ริ้วรอยจางๆดูไม่ค่อยพอใจนักเมื่อเห็นว่าพวกผมรีบร้อนจากไปอย่างกระทันหัน โดยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าอมทุกข์ของลูกสาวคนเล็กที่นั่งก้มหน้างุดอยู่เบื้องหลัง

"ไฮ้..แม่สร้อยนิ่ มันจะกลับบ้านไม่ได้ไปทำตัวเหลวแหลกที่ใดเสียหน่อย"พอถูกเจ้าคุณปรามเข้าก็หน้าเจื่อนได้แต่ยกพัดไม้หอมในมือโบกไปมาดับความร้อนใจแทน

"ไปกราบลาเจ้าคุณเขาเสียก็ดี เขาเมตตาพวกเอ็งมากโข หากไม่ลาสิเขาจะได้หาว่าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ"ผมได้แต่ค้อมตัวรับคำเจ้าคุณท่านที่มีสีหน้าเสียดายไม่น้อยไปกว่าภรรยาเมื่อรู้ว่าต้องเสียผู้ช่วยฝีมือดีมีความรู้อย่างไอ้แชมป์ไปอีกคน

"ไปแล้วก็อย่าลืมกลับมาเยี่ยมเยียนกันบ้างเล่า"ทั้งยังกำชับหนักหนายิ่งทำให้ผมหนักใจเป็นเท่าทวี

เจ้าคุณท่านจะรู้ไหมนะว่าการลาจากครั้งนี้อาจหมายถึงการลาจากชั่วชีวิตหรืออย่างน้อยก็เป็นหลายปีจนท่านอาจลืมหน้าพวกผมไปแล้วก็ได้หากได้กลับมาพบกันอีกครั้ง...ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย ยิ่งหันไปมองรั้วรอบขอบเรือนไม้สักทรงไทยหลังงามก็ยิ่งเรียกความทรงจำในช่วงเวลาที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่...เสียงบ่นแกมดุของคุณหญิงสร้อยเมื่อพวกผมทำตัวกระโดกกระเดกไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อครั้งที่มาถึงในตอนแรกหรือแม้แต่ตอนทำบุญวันเกิดลูกสาวคนเล็กของท่าน น้ำเสียงทรงอำนาจของเจ้าคุณจิตรายามสั่งงาน เสียงหวานชวนฟังของคุณพิกุล หรือแม้แต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของบ่าวทุกคนบนเรือนที่พออยู่กันนานเข้าก็เหมือนเป็นพี่น้อง เป็นญาติสนิท...ทุกเสียงยังฝังลึกในความทรงจำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้


ผมกราบลาเจ้าคุณท่านอีกครั้งเมื่อท่านตั้งท่าเตรียมตัวไปเข้ากรม มือหยาบกร้านเพราะงานหนักลูบศีรษะอ่อนโยนยามโน้มกราบแทบตักยิ่งทำให้หนักใจ...หากผมจากไปแล้วเจ้าคุณเดโชมาตามตัวถึงเรือน เจ้าคุณท่านจะรู้สึกอย่างไรหนอที่ได้รู้ว่าคนที่ท่านเมตตาให้ที่อยู่ที่กินกลายเป็นคนร้ายที่ทำให้ลูกชายเจ้าพระยาคนสำคัญเจ็บตัวจนสาหัสถึงเพียงนั้น โดยที่พวกผมไม่มีโอกาสได้อยู่แก้ต่างในความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้น...ท่านจะผิดหวังจนถึงขั้นชังน้ำหน้าไม่อยากเห็น ไม่อยากเอ่ยชื่อพวกผมให้ใครได้ยินอีกเลยหรือไม่...จนตอนนี้ผมได้แต่หวัง ให้สายใยบางเบาของความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขช่วยดลจิตดลใจให้ความเกลียดชังเหล่านั้นลดน้อยลง



เจ้าคุณจิตรากลับเข้าห้องไปแล้ว พร้อมกับลูกสาวคนเล็กที่ผลุนผลันลงจากเรือนหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน แว่วเสียงคุณหญิงสร้อยแกบ่นตามหลังด้วยเพราะไม่ค่อยได้เห็นกิริยารีบร้อนเช่นนี้บ่อยนัก หากยังไม่ทันได้บ่นอะไรยืดยาว ไอ้คนข้างๆผมก็รีบกราบลาคุณหญิงท่านแล้วรีบรุดลงจากเรือนทันที...ผมเหลือบมองสีหน้ากังวลใจของคุณหญิงสร้อยที่แสดงออกชัดเจนจนแม้แต่พัดไม้หอมในมือที่โบกไหวไปมาก็ปิดบังไม่มิด หากไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยเพราะแกเองก็รู้ดีว่าใกล้เวลาที่พวกผมต้องกล่าวคำลาเต็มที...แม้แต่กับลูกสาวคนเล็กของแกเองก็เช่นกัน

"คุณหญิงครับ"เสียงเรียกให้คุณหญิงเจ้าของเรือนเบือนหน้ากลับมามองอีกครั้งพร้อมกับตัวผมที่ขยับเข้าใกล้ แต่ก็ไม่ใกล้ไปกว่าขอบพื้นยกตรงชานเรือนที่แกนั่งอยู่...ความรู้สึกเต็มตื้นที่มีต่อผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าเอ่อล้นจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่

"เป็นกระไรของเอ็ง ทำหน้าเหมือนคนจะร่ำไห้"แม้ไม่มีหยดน้ำตาไหลรื้นอย่างที่เจ้าตัวว่าหากแต่ความรู้สึกข้างในกลับไม่ต่าง...เพราะสำหรับผม คุณหญิงสร้อยเป็นยิ่งกว่าคุณหญิงเจ้าของเรือนที่ให้ที่อยู่ที่กิน แต่เป็นผู้มีพระคุณในแทบทุกด้าน...คนที่คอยสั่งสอนเมื่อยามไม่รู้ ปลอบโยนเมื่อยามอ่อนแอ ทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าตัวเองนั้นมีความสำคัญต่อตัวผมเพียงใด...คำปลอบโยนในคืนนั้นที่ห้องพระยังคงแจ่มแจ้งในความคิด มือเรียวที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลายามลูบผมแผ่วเบาในคืนนั้นยังแผ่ซ่านความอบอุ่นจวบจนตอนนี้...ตอนที่ผมพนมมือนิ่งแล้วก้มลงกราบแทบตักแกอีกครั้งด้วยใจที่สำนึกในบุญคุณทั้งหมดที่เคยได้รับ

"ผมขอบคุณ...ทุกอย่างที่คุณหญิงเคยสั่งสอน บุญคุณที่คุณหญิงเคยเมตตาที่แม้ชาตินี้ผมก็คงชดใช้ไม่หมด"มือที่พนมก้มหน้าแทบตักทำให้ไม่เห็นสีหน้าของคนฟัง หากได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจเบาและสัมผัสอุ่นที่วางทาบบนศีรษะ

"ข้าไม่เคยนับบุญคุณกระไรกับเอ็งหร๊อก กับเอ็งข้าก็นึกเอ็นดูประหนึ่งลูกหลาน...เอ็งเป็นคนดีมีน้ำใจนัก จะกลับไปอยู่บ้านหรือที่ใดก็ขอให้นำความดีนี้ติดตัวเอ็งไปทุกที่...เท่านี้ข้าก็ดีใจมากแล้ว"สิ้นเสียงอ่อนโยน ผมเพียงละมือออกแนบหน้าลงบนตักนิ่มของคุณหญิงสร้อยแทน มืออุ่นยังคงไล้ลูบบนศีรษะอย่างเอ็นดูโดยไม่มีทีท่ารังเกียจแม้ผมยังกอดก่ายค้างอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน


ผมกราบแทบตักคุณหญิงท่านอีกครั้งก่อนหอบผ้าผ่อนเดินลงจากเรือน หากยังไม่ทันพ้นบันไดขั้นสุดท้ายดี เสียงคุ้นหูของแชมป์และเสียงหวานปนโศกของใครอีกคนกลับดังแทรกขึ้นเสียก่อน

"คุณพิกุลฟังแชมป์ก่อนนะครับ...ฟังแชมป์นะครับ"
ในศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนปรากฏร่างของเจ้าของเสียงคุ้นหู คนหนึ่งกำลังวอนขอ ทั้งมือไม้ที่ยื้อยุดไม่ให้คนตัวเล็กกว่าเดินหนี ใบหน้าหวานเปื้อนน้ำตาไหลรื้นจากดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้แดงช้ำเสียจนผมนึกสงสาร

"แชมป์ไม่อยากไปนะครับ...แชมป์ไม่อยากไปจากคุณพิกุลนะครับ"เสียงเว้าวอนของแชมป์ที่พยายามฉวยข้อมือคนตัวเล็กที่คอยแต่ยกมือปัดป้องเจ็บปวดจนแทบหลั่งน้ำตาไม่ต่างกัน ในเวลานี้สายตาของมันมีเพียงคนตัวเล็กที่ร่ำไห้ตรงหน้าโดยไม่สนว่าจะมีใครผ่านมาเห็นเข้าแล้วเอาไปรายงานให้เจ้าของเรือนได้ดุด่าเหมือนครั้งก่อนๆหรือไม่

"แลเหตุใดต้องไปเล่า!"เสียงหวานตวัดห้วนปนเสียงสะอื้นตัดพ้อเสียจนเสียดแทงความรู้สึกแม้กับคนที่บังเอิญได้ยินเข้าอย่างผม

"ถ้าแชมป์ยังอยู่ ทั้งเจ้าคุณ คุณหญิงหรือแม้แต่คุณพิกุลจะมีปัญหา...แชมป์ไม่อยากเป็นตัวปัญหาให้คุณพิกุลนะครับ"

"ปัญหาอันใด...ปัญหาว่าไม่รักกันแล้วถึงจะไปจากกันอย่างนั้นหรือ!"

"ไม่ใช่นะครับคุณพิกุล...แชมป์ไม่เคยไม่รักคุณพิกุลนะครับ จะให้แชมป์ไปสาบานที่ไหนก็ได้"สองแขนของมันรวบร่างแบบบางของลูกสาวคุณหญิงสร้อยไว้แนบอก เสียงสะอื้นปานขาดใจได้ยินดังจนผมนึกหวั่นว่ามันจะดังขึ้นไปถึงหูผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่บนเรือนหรือไม่ หากยังพอโล่งอกเมื่อมองขึ้นไปด้านบนแล้วพบว่าทุกอย่างยังคงสงบนิ่ง

"คุณพิกุลอย่าร้องนะครับ...อย่าร้องไห้เพราะคนอย่างแชมป์เลยนะครับ"ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผู้ชายป่วนประสาทอย่างนายฐิติกรณ์ที่วันๆเคยเอาแต่กวนคนโน้น แหย่คนนี้ให้ถูกด่าตามหลังนับครั้งไม่ถ้วน มาถึงตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ชายอ่อนโยนที่ดึงรั้งคนที่มันรักเอาไว้แนบแน่น ทั้งยังคอยลูบหัวลูบหลังปลอบให้อีกฝ่ายหยุดเสียงสะอื้นจนตัวโยน

"ที่แชมป์ต้องไปเพราะจำเป็น แต่อย่าบอกว่าที่แชมป์ไปเพราะไม่รักคุณพิกุลเลยนะครับ เท่านี้แชมป์ก็เสียใจมากแล้ว อย่าให้แชมป์ต้องเสียใจไปมากกว่านี้เลยนะครับคนดี"

"ไม่ไปไม่ได้หรือพ่อ"สองมือของมันยึดไหล่คนในอ้อมแขนให้เงยหน้าขึ้นสบตา ใบหน้าของมันเปื้อนยิ้ม...ยิ้มที่บรรจงปั้นแต่งอย่างยากเย็นเพื่อให้ดูสดใสที่สุดในสายตาของอีกฝ่าย

"คุณพิกุลฟังแชมป์นะครับ...แชมป์รักคุณพิกุล...ต่อให้แชมป์ไปอยู่ที่ไหน แชมป์ก็ยังรักคุณพิกุลไม่เปลี่ยน"ดวงตาคู่สวยของคนตัวเล็กพราวด้วยหยดน้ำตาทว่าเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำสารภาพจากใจของอีกฝ่าย...คำสารภาพรักหวานแสนหวานที่คนฟังคงไม่เคยได้ยินมาก่อน หากกลับไม่สามารถเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าโศกนั้นได้แม้แต่น้อย

"แชมป์สัญญา ว่าแชมป์จะกลับมาหาคุณพิกุล...กลับมาหาหัวใจของแชมป์...คุณพิกุลรอแชมป์นะครับ"คำสัญญาของมันยิ่งเรียกเสียงสะอื้นจากคนในอ้อมแขน...มือเรียวเล็กกำแน่นลงบนหน้าอกจนเสื้อของแชมป์ยับย่น หากเพียงครู่เดียวที่ร่างเล็กดูบอบบางนั้นผละออกให้เห็นดวงตาแดงก่ำอาบหยดน้ำตา...คุณพิกุลไม่ได้ให้คำตอบใด เพียงแค่ปล่อยมือจากอีกฝ่ายแล้วเดินหนีไปทางท้ายเรือนทันที


เพียงครู่เดียวที่ผมได้เห็น สีหน้าเปื้อนทุกข์ของคนตัวเล็กเมื่อเธอเดินผ่าน ไม่ต่างอะไรจากคนที่ถูกทิ้งให้ยืนนิ่งโดยไม่ได้รับคำตอบ ดวงตาเรียวรีของมันแดงก่ำ ต่างตรงที่ไม่มีน้ำตา แต่ผมรู้ดีว่าข้างในมันกำลังร่ำไห้ปานขาดใจเช่นกัน


แชมป์เพียงปรายสายตามองเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามาหา หากแต่สายตาของมันในตอนนี้คงไม่เห็นภาพใดนอกจากภาพของคนตัวเล็กที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่

"กูอยากด่ามึงนะที่แอบฟัง...แต่ตอนนี้กูไม่มีอารมณ์ว่ะ"แชมป์แค่นยิ้มยากเย็นส่งมาก่อนที่มันจะเดินผ่านหน้าผมไป


หากเพียงมันจะรู้...ผมเองก็ไม่มีอารมณ์แซวมันให้ถูกด่ากลับมาเช่นกัน



ผมลากไอ้แชมป์ที่ตอนนี้มีสภาพคล้ายคนไร้วิญญาณไปร่ำลาพวกป้าน้อยที่โรงครัว พอไปถึงทั้งบ่าวน้อยบ่าวใหญ่ก็แทบกรูกันเข้ามาถามไถ่ โดยที่พวกผมก็ให้เหตุผลเดียวกับที่บอกเจ้าคุณจิตราและคุณหญิงสร้อย...ป้าน้อยแกบ่นไม่ขาดปากว่าต่อไปนี้คงไม่ต้องขนทำกับข้าวให้เยอะแยะเผื่อไอ้แชมป์ที่กินจุเสียจนบางวันข้าวที่หุงไว้ไม่พอให้บ่าวคนอื่นๆ...พี่ชดกับพี่บุญมีเองก็มีสีหน้าหมองเมื่อพวกผมตอบไม่ได้ว่าจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ แกว่าขาดพวกผมไปคงเหงาหู ไม่มีคนคอยคุยฟุ้งเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง(ซึ่งผมว่าน่าจะหมายถึงไอ้แชมป์คนเดียวมากกว่า)

และที่ขาดไม่ได้ก็คือพี่สนกับไอ้มิ่ง สองเสือคู่ทุกข์คู่ยากของผมกับไอ้แชมป์มาตั้งแต่สมัยไหน ไอ้มิ่งมันโวยวายเสียลั่นโรงครัวที่พวกผมรีบไปแบบกระทันหัน ส่วนพี่สนแกเพียงเดินเข้ามาบีบไหล่ผมเบาๆทั้งยังถามถึงเหตุผลด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก...แน่นอนว่าผมไม่ได้บอกความจริง แต่เพียงแค่ผมกำชับเรื่องคืนนั้นไม่ให้แกปริปากบอกใครที่แกกับไอ้มิ่งมาช่วย เท่านั้นพี่สนก็พอจะรู้ว่าเรื่องในคืนนั้นมีส่วนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

กว่าจะร่ำลากันเสร็จก็สายโด่ง พี่สนแกอาสาจะพายเรือไปส่งพวกผมสองคนที่เรือนเจ้าคุณไพศาลให้ แกว่าอย่างน้อยยังได้นั่งคุยกันระหว่างทาง...ผมหันกลับไปมองเรือนไม้สักทรงไทยหลังงามเบื้องหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนก้าวลงเรือ ราวกับกำลังซึมซับภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำเพราะไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่...อาจจะเป็นเดือน เป็นปี หรือหลายๆปี แต่ไม่ว่าจะนานเพียงใดผมก็ยังภาวนา ขอให้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง กลับมาเพื่อได้ยินเสียงบ่นของคุณหญิงสร้อยและสีหน้าเคร่งขรึมทว่าแววตาอ่อนโยนของเจ้าคุณจิตรา กลับมากินขนมไทยที่งามทั้งหน้าตาและรสชาติไม่แพ้คนทำอย่างคุณพิกุลและกับข้าวรสจัดจ้านของป้าน้อยที่ทำเอาคนไม่ทานรสจัดแบบผมยังติดใจ กลับมาตั้งวงยาดองเป็นเพื่อนพี่สนกับไอ้มิ่ง หรือกลับมาทำงานอะไรก็ได้ตามแต่ที่เจ้าของเรือนจะไหว้วานให้ทำ



...อะไรก็แล้วแต่...ขอแค่ให้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง...



........................................................................................



เจ้าคุณไพศาลในชุดข้าราชการเต็มยศนั่งรอในห้องนั่งเล่นพร้อมคุณหลวงคนสนิทอยู่ก่อนแล้วเมื่อผมและไอ้แชมป์มาถึง หลวงพิสิษฐบอกว่าเจ้าคุณท่านยังไม่ยอมเข้ากรมเพราะรอที่จะร่ำลาพวกผมเสียก่อน ทั้งที่คนตัวสูงเองก็แจ้งให้ทราบแล้วว่ากว่าพวกผมจะออกเดินทางกันก็ตอนค่ำ แต่เพราะวันนี้เจ้าคุณไพศาลมีงานด่วนกว่าจะกลับมาถึงเรือนก็คงดึกดื่นเต็มทีถึงได้ยอมอยู่รอพบหน้ากันเสียตั้งแต่ตอนนี้

สำหรับผม...การกล่าวคำลาต่อเจ้าคุณไพศาลเป็นเรื่องยากเย็นกว่าตอนเจ้าคุณจิตรามากนัก ด้วยเพราะท่าน'รู้'อะไรบางอย่าง สังเกตได้จากสายตาอ่อนโยนทอดมองมายังผมที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าสลับกับคุณหลวงคนสนิทที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวเดี่ยวข้างๆอย่างชั่งใจ

"เหตุใดถึงได้รีบร้อนนักเล่า"คำถามของเจ้าของเรือนมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจเบา

"ที่บ้านมีเรื่องด่วนนิดหน่อยครับ"ผมเลี่ยงไม่สบสายตาผู้อาวุโสกว่าเมื่อคำโกหกคำโตถูกส่งออกไป

"แลเมื่อใดจะกลับมาอีกหรือพ่อ"ความอาลัยถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งเรียกให้ผมกำชายเสื้อในมือเสียจนยับย่น ทั้งโกรธตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้เรื่องราวบานปลายถึงเพียงนี้ ทั้งละอายที่ต้องโกหกผู้ใหญ่อีกหลายๆท่าน ทั้งเสียดายที่ต้องจากบุคคลอันเป็นที่รัก...ทั้งที่เรือนโน้น...หรือแม้แต่คนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าขณะนี้

"ผมไม่รู้ครับ"คำตอบเพียงสั้นๆที่ทำเอาผู้อาวุโสได้แต่เหลือบตามองท่าทีของคนสนิทที่ยังปั้นแต่งสีหน้าให้เรียบเฉยอยู่ได้ ถึงกระนั้นก็จนด้วยคำพูดเมื่อไม่มีใครต่อความใด มีเพียงความเงียบโรยตัวปกคลุมบรรยากาศน่าอึดอัดในห้องนั่งเล่น กับเสียงพัดลมทองเหลืองแบบโบราณที่ครางหึ่งยามส่ายไปมา



หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๖...๑๐/๐๒/๕๘ UP P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 15-02-2015 18:49:18


สุดท้ายเจ้าของเรือนก็กลายเป็นผู้ทำลายความเงียบนั้นเสียเอง...ลมหายใจพรูออกหนักหน่วงราวกับกำลังระบายความอัดอั้นภายใน

"เอาเถิด...หากเสร็จธุระทางโน้นก็กลับมาเยี่ยมเยียนกันเสียบ้าง คนที่นี่เขารอต้อนรับพ่อทั้งสองอยู่เสมอ"ผมได้แต่ก้มหน้ารับคำเจ้าของเรือนแบบไม่เต็มเสียงนัก...ดูเอาเถอะ ขนาดตอนร่ำลายังนึกอาลัยกันถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับอีกฝ่าย เป็นญาติหรือก็ไม่ใช่ ก็แค่เด็กที่มาช่วยงานเพียงไม่กี่เดือนแต่กลับได้รับความเมตตาจนหาที่เปรียบไม่ได้

"เราให้บ่าวเตรียมห้องหับให้พ่อแช่มเอาไว้ ไปพักผ่อนกันเสียก่อนเถิด ค่ำนี้ต้องเดินทางอีกไกล"เจ้าคุณท่านเหลือบมองนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้นเรือนใหญ่เพียงครู่ก่อนเอ่ยตัดบทเมื่อเห็นว่าตอนนี้สายเต็มที


ผมกราบลาผู้อาวุโสอีกครั้งก่อนลุกจากห้องนั่งเล่น ตั้งใจจะไปหาป้าชื่นที่โรงครัวหลังเรือนเสียหน่อย หากยังไม่ทันพ้นประตูดี ขาเจ้ากรรมก็ดันชะงักนิ่งเพียงเพราะได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้าของเรือนกับคุณหลวงคนสนิท

"ใกล้หายดีแล้วซีนะพ่อแก้ว"

"ขอรับ อีกไม่นานคงกลับไปทำงานได้ตามเดิมขอรับ"น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยตอบผู้อาวุโส หากดวงตาคู่สวยกลับหลุบลงต่ำไม่กล้าสบตา

"วันก่อนเราได้พบเจ้าคุณเสนาบดี ท่านบ่นไม่ขาดปากว่าขาดพ่อแก้วไปเสียคนงานการในกรมก็ไม่สู้จะเดินหน้านัก"แม้เป็นเพียงหลวงไม่ได้มีหน้าที่สำคัญอะไร แต่เพราะความดีและความสามารถของเจ้าตัวทำให้กลายเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจเจ้าคุณเสนาบดีแห่งกรมธรรมการจนได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงการออกว่าราชการครั้งล่าสุดของเจ้ากรมผู้ซึ่งออกปากเจาะจงขอให้หลวงพิสิษฐเป็นผู้ติดตาม หากเพียงเพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้ไม่สามารถร่วมเดินทางไปด้วยได้

"เราเองก็เห็นใจท่าน พ่อแก้วถูกขอตัวมาช่วยงานทางนี้เสียนาน พอเสร็จงานกลับถูกทำร้ายจนต้องพักยาว...เอ้า! ไม่ต้องหรอกพ่อ ยังไม่หายดีประเดี๋ยวก้มประเดี๋ยวเงยจะไปกระเทือนแผลเข้าอีก"เจ้าของเรือนยังไม่ทันจบเรื่องเก่าดีกลับต้องออกปากห้ามเสียก่อน เมื่อคนสนิทยอบตัวลงช่วยสวมรองเท้าหนังมันปลาบที่วางเทียบอยู่หน้าเรือน หากคนถูกห้ามไม่ยอมฟังกลับลงไปนั่งคุกเข่าข้างกายให้ผู้อาวุโสยึดบ่ากว้างเพื่อทรงตัวเสียอีก


ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็น สีหน้าระบายยิ้มอ่อนโยนของเจ้าคุณไพศาลยามทอดมองลงยังร่างสูงโปร่งด้วยความเอ็นดูและเมตตายิ่ง

"เป็นบุญของเราแท้ๆที่ได้พ่อแก้วมาดูแลประหนึ่งลูกหลาน ทั้งผู้ใหญ่ในกรมยังออกปากชมว่าเรามีคนดีมีฝีมือแลยังน้ำใจงามอยู่กับตัว ต่อไปภายหน้าเห็นทีจะได้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นถึงคุณพระหรือพระยาเลยเทียว"คำชื่นชมไม่ขาดปากกลับไม่ทำให้คนฟังมีสีหน้ายินดีสักนิด เจ้าตัวยังคงก้มหน้าสนอกสนใจรองเท้าหนังมันปลาบราวกับมันเป็นของวิเศษหนักหนา

"กระผมไม่เคยนึกถึงขั้นนั้นหรอกขอรับ เพียงเจ้าคุณท่านเมตตา ดูแลกระผมมาจนเติบใหญ่เยี่ยงนี้ก็นับเป็นบุญคุณล้นพ้นของกระผมแล้วขอรับ...จากนี้หากมีสิ่งใดที่กระผมทำให้เจ้าคุณท่านเดือดเนื้อร้อนใจ กระผมกราบขออภัยเจ้าคุณท่านเสียตรงนี้ ขอเจ้าคุณท่านยังเมตตาแลให้อภัย เท่านี้กระผมก็ดีใจมากแล้วขอรับ"น้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนกล่าวพร้อมมือหนาที่พนมก้มลงกราบแทบเท้าจนแม้แต่ผู้อาวุโสยังได้แต่ยืนเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ

"อะไรกันพ่อแก้ว...พูดเสียอย่างกับจะลาจากเราไปที่ใด"หากคนถูกถามไม่ตอบอะไร ยังคงจรดปลายมือค้างไว้เช่นนั้น เนิ่นนานเสียจนเจ้าคุณท่านต้องโน้มลงแตะหัวไหล่เพียงแผ่วเบาให้อีกฝ่ายลุกขึ้นเสียที

"เอาแต่ก้มกราบอยู่เช่นนี้ ประเดี๋ยวเราก็ไปทำงานสายกันพอดี"เพราะคำพูดแกมหยอกของเจ้าคุณไพศาล คนตัวสูงถึงได้ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี มือหนายกขึ้นไหว้ลาอีกครั้งก่อนยืนทอดสายตาอาลัยมองตามแผ่นหลังของผู้อาวุโส แม้กระทั่งตอนที่เจ้าคุณท่านลับตาไปนานแล้ว ร่างสูงโปร่งก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

เพียงได้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ยืนอยู่ ผมก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ความรักและภักดีต่อเจ้าคุณไพศาลสำหรับเขามันยิ่งใหญ่นัก ทั้งบุญคุณที่เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ มีหน้าที่การงานมั่นคง เป็นที่รักใคร่วางใจของผู้ใหญ่หลายต่อหลายท่าน หรือแม้แต่นึกฝากฝังชีวิตในบั้นปลายให้เขาดูแล

หากแต่เขากำลังทำลายความคาดหวังนั้น เพียงเพราะการกระทำที่ขาดการยั้งคิดของผมเอง...นึกไปถึงหน้าของผู้อาวุโสเมื่อกลับเรือนมาแล้วพบว่าคนสนิทที่ดูแลมาตั้งแต่เล็กประหนึ่งลูกหลานหายตัวไป...เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าคุณท่านจะเสียใจมากเพียงใด ท่านจะโกรธ เกลียด จนพาลมาลงที่ตัวต้นเหตุอย่างผมหรือไม่...แล้วต่อจากนี้ใครจะเป็นคนดูแลท่าน...เรือนหลังใหญ่โตกว้างขวางเพียงนี้ หากท่านต้องอยู่ตัวคนเดียว มีเพียงบ่าวไพร่คอยรับใช้ แต่ไม่มีลูกหลานหรือแม้แต่คนสนิทที่เคยนึกฝากฝังชีวิตบั้นปลาย...ท่านจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือ...



"ยังไม่ขึ้นไปพักผ่อนกันอีกหรือ"ความคิดฟุ้งซ่านถูกหยุดไว้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน...ร่างสูงโปร่งของหลวงพิสิษฐที่มาหยุดยืนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆเหมือนที่เขาเคยทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากแต่วันนี้มันกลับหม่นหมองจนน่าใจหาย

"ว่าจะไปลาป้าชื่นก่อนน่ะครับ"ได้แต่อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เจ้าตัวเพียงรับคำก่อนทิ้งท้ายว่าหลังเสร็จธุระแล้วให้ตามขึ้นไปข้างบน ส่วนตัวเขาจะขึ้นไปเก็บข้าวของที่จำเป็นก่อนออกเดินทางเสียก่อน


ผมไล่ไอ้แชมป์ที่มีสภาพไม่ต่างจากคนไร้วิญญาณให้ตามหลังบ่าวขึ้นไปบนห้องรับรองแขกที่เจ้าคุณไพศาลเตรียมไว้ให้ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังโรงครัวเพื่อบอกลาป้าชื่น...แกไม่ตอบอะไรแต่กลับดึงผมเข้าไปกอดเสียแน่น ทั้งยังสีหน้าเสียดายเต็มที ปากก็ว่าผมจะทิ้งแกไปบ้างล่ะ ทั้งยังตั้งใจแน่วแน่จะลงมาส่งพวกผมคืนนี้ เดือดร้อนผมต้องรีบออกปากห้ามแล้วให้เหตุผลว่าไม่อยากรบกวนเวลานอนของแก ทั้งยังโกหกคำโตว่าเมื่อเสร็จธุระทางบ้านแล้วจะรีบกลับมาหาแกทันที เท่านั้นล่ะถึงยอมปล่อยมือที่กอดผมเอาไว้แน่นได้


กลับขึ้นมาบนห้องนอนหลังจากร่ำลาป้าชื่นเสร็จ...เจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังหยิบนู่นจับนี่อยู่หน้าตู้เสื้อผ้าไม้สักเข้าชุดกับเครื่องเรือนอื่นๆในห้องเพียงหันกลับมามองแล้วส่งยิ้มบางให้

"เราจะไปที่ไหนกันครับ"ผมวางหอบผ้าในมือลงบนเตียงก่อนทิ้งตัวลงนั่งตาม

"เมืองพิษณุโลก...พี่มีคนรู้จักอยู่ที่นั่น"

"ใครเหรอครับ"ได้แต่ตีหน้ายุ่งถามคนที่ยังยืนหันหลังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของ เพราะนอกจากเจ้าคุณไพศาลซึ่งเป็นญาติห่างๆฝั่งแม่แล้ว ผมก็ไม่เคยได้ยินว่าเขามีญาติอยู่ที่ไหน

"เป็นชาวบ้านที่ได้พบเมื่อครั้งติดตามเจ้าคุณเสนาบดีออกว่าราชการเมื่อสองปีก่อน ครานั้นได้เขาคอยช่วยเหลืองานหลายอย่าง ถึงขั้นนับเป็นสหายกันเลยเทียว"ใบหน้าคมอมยิ้มน้อยๆเมื่อนึกไปถึงบุคคลที่ว่า ดูท่าแล้วคงสนิทกันมากพอตัว


เจ้าตัวเก็บของเสร็จก็วางหอบผ้าที่มีขนาดไม่ต่างจากของผมนักลงบนปลายเตียง ก่อนกลับไปนั่งทำงานที่กองค้างเอาไว้บนโต๊ะไม้สักตัวงาม กองเอกสารเกลื่อนกลาดที่เขาใช้เวลาตลอดหนึ่งเดือนจัดการทว่าจำนวนกลับไม่ลดน้อยลงสักนิด มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นจนตอนแม้แต่โต๊ะไม้สักตัวใหญ่โตยังแทบไม่มีพื้นที่ว่าง

"งานยังไม่เสร็จเหรอครับ"คนตัวสูงที่กำลังก้มหน้าก้มตาขีดเขียนเอกสารด้วยปากกาขนนกชะงักมือทันทีเมื่อได้ยินคำถาม ดวงตาคู่สวยส่องประกายหม่น ทั้งยังสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์

"เอกสารของกรมการต่างประเทศ พี่ก็ช่วยเท่าที่ทำได้ แลเมื่อจากไปแล้วจะได้ไม่เป็นภาระแก่เจ้าคุณท่านมากนัก"ยิ่งได้เห็นท่าทีตั้งอกตั้งใจของคนตรงหน้า ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเกาะกินหนักหน่วงราวกับใครเอาป้ายคำว่า'เห็นแก่ตัว'มาถ่วงไว้ที่คอ ป้ายขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นแต่กลับหนักอึ้งเสียจนปวดหนึบไปถึงข้างใน

"คุณหลวงแน่ใจแล้วเหรอที่ทำแบบนี้"

"ทำอะไรหรือ"คนถูกถามเพียงละสายตาขึ้นมอง ใบหน้าคมเจือรอยยิ้มบางอย่างคนไม่เข้าใจในคำถาม

"ก็ที่...จะหนีไปด้วยกัน"ท้ายประโยคนั้นเบาจนเกือบกลายเป็นเสียงกระซิบเมื่อผมก้มหน้าลงไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย หากเพียงครู่พื้นที่นอนข้างตัวกลับยวบลงด้วยน้ำหนักตัวของเจ้าของห้อง ใบหน้าคมโน้มลงไล่ต้อนสายตาที่หลุบต่ำให้สบเข้ากับดวงตาคู่สวย

"เหตุใดถึงถามเช่นนี้...ไม่อยากอยู่กับพี่แล้วหรือ"

"เปล่าครับ...แต่..."ท้ายประโยคขาดหายเพียงเพราะนิ้วเรียวที่สอดประสานมือของผมเอาไว้ มืออีกข้างโอบโน้มศีรษะให้อิงเข้ากับบ่ากว้างของเจ้าตัวก่อนลูบเรือนผมยาวละต้นคออ่อนโยน

"มีเรื่องกังวลใจอะไร บอกพี่ได้หรือไม่"ผมไม่ตอบ ได้แต่ถอนหายใจยาวระบายความอัดอั้นข้างในแทน

"หรือพ่อธีร์กลัวว่าพี่จะพาไปตกระกำลำบาก"

"ไม่ใช่นะครับ!...คือ...ธีร์ต่างหากที่กลัวคุณหลวงจะลำบาก"รีบผละออกจากบ่ากว้างที่อิงอยู่แล้วส่ายหน้าเป็นระวิงทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มถามเมื่อเจ้าตัวกำลังเข้าใจผิดไปไกล ผมน่ะมันตัวต้นเหตุ จะให้ไปลำบากลำบนที่ไหนก็คงต้องก้มหน้ารับชะตากรรม แต่กับคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเขาที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง ไหนจะเรื่องที่ได้ยินเขาคุยกับเจ้าคุณไพศาลเมื่อครู่อีก จะให้ผมทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินไม่สนใจมันก็เกินไปหน่อย


หลวงพิสิษฐกลั้นหัวเราะเสียงเบาเมื่อเห็นอาการร้อนรนของผม มือหนากุมมือทั้งสองของผมเอาไว้แน่น

"โถพ่อ เรื่องเล็กเท่านี้จะกังวลไปใย ได้อยู่กับพ่อธีร์พี่หรือจะกลัวลำบาก"

"แต่......"กำลังจะเถียงต่อกลับต้องหุบปากฉับเมื่อสบเข้ากับสายตาคมแกมดุของอีกฝ่าย

"หากพี่จะเปลี่ยนใจมีเพียงเหตุผลเดียว นั่นคือพ่อธีร์ไม่อยากอยู่กับพี่แล้ว เข้าใจหรือไม่"สุดท้ายเลยได้แต่พยักหน้าเออออตามแต่คนตัวสูงจะว่า


หลวงพิสิษฐเพียงผ่อนลมหายใจเบาทั้งใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยน มือหนารวบตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้หลวมๆก่อนพรมจูบลงบนขมับ ไล่เรื่อยมาถึงหน้าผาก ข้างแก้มและปลายจมูก ก่อนริมฝีปากได้รูปละออกอย่างแสนเสียดาย

"คืนนี้ต้องเดินทางอีกไกล นอนพักเอาแรงเสียก่อนเถิด.......เอ หรือต้องให้พี่ช่วยกล่อมนอนดีหนอ"เกือบจะซึ้งอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เจอสายตากะลิ้มกะเหลี่ยตอนท้ายประโยคนั่น ทั้งยังปลายนิ้วหัวแม่โป้งที่ไล้วนบนหลังมือแผ่วเบาแต่กลับทำเอาหน้าร้อนวูบขึ้นมานี่อีก

"บ...บ้า!"สุดท้ายเลยได้แต่ตะโกนใส่จนหน้าดำหน้าแดงแล้วมุดตัวเข้าใต้ผ้าแพรสีสดอย่างรวดเร็ว แว่วเสียงหัวเราะเบาตามประสาคนได้แกล้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะท้าวแขนคร่อมบนพื้นที่นอนตรงหน้าจนยุบยวบ พร้อมสัมผัสนุ่มจากริมฝีปากหยักโน้มประทับลงข้างแก้มที่ถูกผ้าแพรผืนใหญ่คลุมเสียแทบมิด

"นอนเสียเถิดคนดี พี่อยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน"ทั้งยังเสียงกระซิบแผ่วข้างหูและปลายนิ้วเรียวที่ลูบแขนลูบหลังราวกับกำลังกล่อมยิ่งทำให้ผ่อนคลาย ทำให้ผมเลือกทิ้งความกังวลใจไว้เบื้องหลังแล้วปรือตาลงช้าๆเมื่อสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือของอีกฝ่ายยังคลอเคลียไม่ห่าง จนเมื่อเขาเห็นว่าผมนิ่งไปถึงได้ละมือออกก่อนจะลุกกลับไปทำงานที่ค้างไว้ตามเดิม



....................................โปรดติดตามตอนต่อไป.....................................


ลงฉลองUserใหม่เจ้าค่ะ เปลี่ยนยูสใหม่แต่ยังรักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะ  :hao7:

ตอนนี้ยาวมากจนต้องแบ่งเป็น2ตอนเพราะถ้าลงรวดเดียวคนอ่านคงตาแฉะกันเสียก่อน


แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ...รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิม กราบบบบบ >___<

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๑) ๑๕/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 15-02-2015 19:20:40
สงสารทุกคนเลย  :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๑) ๑๕/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-02-2015 19:21:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๑) ๑๕/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 15-02-2015 19:26:26
 :sad4: :o12: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๑) ๑๕/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-02-2015 19:50:06
ยิ่งอ่านยิ่งกลัว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๑) ๑๕/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 15-02-2015 19:56:52
อยากรู้อย่างเดียว จบแบบสวยงามป่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๑) ๑๕/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 15-02-2015 21:11:57
ลงแบบยาวๆเลยค่ะ
จุดๆนี่ไม่กลัวตาแฉะ อยากรู้จะเป็นยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๑) ๑๕/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 16-02-2015 00:43:46
ไม่นะ......เอาน้ำตาล เอาน้ำตาลลลล
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๑) ๑๕/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 16-02-2015 16:44:39
อ่านเรื่องนี้แล้วมีความสุข ให้ความรู้สึกเย็นใจดี เหมือนอ่านเรื่องทวิภพเวอร์ชั่นวาย
อยากให้จบแบบมีความสุขอ่ะ อย่าเศร้าเลยนะ สงสารทั้งสองคู่ เป็นกำลังให้คนเขียนน๊าาา   :กอด1:
                       

                                               
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 16-02-2015 20:45:40

ตอนที่ ๓๗...การจากลา(๒)




ค่ำแล้ว...และเป็นค่ำคืนที่อากาศเย็นฉ่ำยิ่งกว่าคืนไหน ลมต้นฤดูหนาวหอบเอาไอเย็นปกคลุมทั่วบริเวณ ทั้งยังไอน้ำจากผืนเจ้าพระยาสายใหญ่ คลอกลิ่นดอกราตรีหอมกรุ่นที่ขึ้นครึ้มข้างเรือนโชยผ่านบานหน้าต่างบนชั้นสองของตัวเรือนให้คนที่ยืนรับลมสูดเอากลิ่นหอมฟุ้งนั้นให้ชื่นใจ...หากเพียงแค่ลมหนาวและกลิ่นราตรีกลับไม่ช่วยดับความร้อนรุ่มภายในได้แม้เพียงนิด


ยิ่งใกล้เวลาออกเดินทาง ความหนักหน่วงถ่วงจิตใจก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี แม้จะออกมายืนข้างหน้าต่างรับลมเย็นหมายจะให้ช่วยดับความร้อนใจแต่กลับยิ่งทำให้ร้อนรนหนักกว่าเก่า...เสียงลมหายใจพรูออกหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่ายามยืนทอดสายตามองผืนน้ำดำครึ้มเบื้องล่างเรียกความสนใจจากอีกคนที่อยู่ในห้องได้เป็นอย่างดี

"เขาบอกว่าถอนหายใจทีนึงอายุจะสั้นลง มึงเล่นถอนรัวๆแบบนี้ปีหน้าคงตายห่า"ถึงจะโดนบ่นแต่ยังไม่วายทิ้งลมหายใจหนักอีกสักรอบก่อนหันกลับมามองต้นเสียงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในห้องรับรองแขกที่เจ้าคุณไพศาลท่านเตรียมไว้ให้

"เครียดอะไรวะ หลวงพิสิษฐลงทุนพามึงหนีขนาดนี้มึงน่าจะดีใจ"ไอ้ตัวดีว่าก่อนมันจะเป็นฝ่ายถอนหายใจเสียเอง

"กูสิ...จะได้กลับมาเจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้"เสียงบ่นอุบอิบของมันไม่ได้ดังไปกว่าเสียงลมด้านนอกนัก เมื่อเจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขี่ยพื้นที่นอนเล่น ทั้งยังรอยคล้ำใต้ตาที่บ่งบอกได้ว่ามันคงไม่ได้นอนมาตั้งแต่เช้าเพราะเอาแต่คิดเรื่องที่ว่า

"กู...เห็นแก่ตัวรึเปล่าวะแชมป์"

"เรื่องอะไรวะ"มันขมวดคิ้วมุ่นถาม"เรื่องหลวงพิสิษฐเหรอ"

"เขายังไม่หายดี...งานในกรมอีก ไหนจะเรื่องเจ้าคุณไพศาล"ผมร่ายยาวความอัดอั้นให้อีกฝ่ายฟังหากแต่มันเพียงส่ายหน้าไปมา

"ถ้าเขาไม่พามึงหนี แล้วมึงกับกูจะมีปัญญาไปไหนได้ รู้จักใครหรือก็เปล่า ให้ไปกันเองมีหวังโดนหลอกไปขายถึงไหนต่อไหน"

"มันก็ใช่...แต่..."

"พอเถอะธีร์...คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาเสียสละเพื่อมึงขนาดนี้มึงน่าจะดีใจ"แชมป์ลุกขึ้นมายืนประชิดตัว มือขาวๆของมันเอื้อมมาผลักศีรษะผมเบาๆราวกับจะบอกให้เลิกคิดมากเสียที...แต่เรื่องแบบนี้มันเลิกกันได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่มายืนใช้ความคิดอยู่ตรงนี้เป็นนานสองนาน



ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ร่างสูงโปร่งของคนที่กำลังพูดถึงก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี หลวงพิสิษฐที่อยู่ในชุดเสื้อคอจีนสีหม่นกับโจงกระเบนสีคล้ายกัน มองเผินๆเหมือนกับพวกชาวบ้านที่ผมเห็นแถวตลาด แต่เพราะใบหน้าคมเข้มชวนมองนั่นที่ทำให้เขาดูโดดเด่นแม้แต่งกายด้วยชุดธรรมดาแบบนี้

"ได้เวลาแล้ว ไปกันเถิดพ่อ"เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเบาราวเสียงกระซิบเรียกให้พวกผมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าต่างพากันหยิบข้าวของแล้วเตรียมออกเดินทาง

"พี่ให้คนมาคอยอยู่ที่ท่าน้ำ เขาจะพาเราไปส่งที่ท่าเรือ"คนเดินนำหน้าอธิบายความที่เคยบอกผมก่อนหน้าให้แชมป์ฟัง เขาบอกว่ากว่าจะเดินทางไปถึงพิษณุโลกก็ใช้เวลาเกือบสองวันเพราะต้องนั่งทั้งเรือแล้วต่อด้วยเกวียนอีกไกลพอสมควร แต่หากถามถึงเส้นทางว่าผ่านตรงไหนบ้างผมก็คงต้องบอกว่าผมไม่รู้ เพราะในสมัยของผมการเดินทางไปพิษณุโลกแค่ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ไม่ได้ลำบากเหมือนอย่างที่เจ้าตัวกำลังอธิบายยาวเหยียดนี่






หากยังไม่ทันถึงบันไดชั้นที่สองของเรือนดี สองขาที่ก้าวตามคนตัวสูงข้างหน้ากลับชะงักนิ่ง...ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หันกลับไปมองไอ้แชมป์ที่เดินตามหลังซึ่งมีสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน มันเพียงเอื้อมมือกระตุกแขนผมเบาๆ คิ้วหนาของมันขมวดแน่นเป็นปมไม่ต่างจากตัวผมที่ยืนนิ่งจนแม้แต่คนตัวสูงด้านหน้าก็สังเกตได้


"มีอะไรหรือพ่อ"


ไวเท่าความคิดเมื่อผมฉวยข้อมือไอ้ตัวดีข้างๆออกวิ่งไปอีกทางตรงข้ามกับบันไดชั้นสองโดยไม่สนว่าเสียงฝีเท้าที่ลงหนักจะได้ยินไปถึงบ่าวคนไหนบนเรือนหรือไม่...จุดหมายคือประตูไม้สักแบบบานพับที่ตั้งโดดเด่นอยู่สุดโถงทางเดิน...ประตูห้องนอนที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี หากในตอนนี้กลับทำให้หัวใจเต้นระส่ำเมื่อเอื้อมมือออกไปผลักบานประตูนั้นให้เปิดออก




...เพราะเสียงนั้น...



...เสียง...ที่ไม่ได้ยินมานานจนเกือบลืมไปแล้ว....



...เสียง...ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่...



...เสียงกังวานใสดั่งแก้วกรีดร้องก้องในหู และแสงสว่างเรืองรองส่องประกายสดใสตรงหน้า...



...บนโต๊ะไม้สักตัวงามตัวนั้น...




"พ่อธีร์!"


หากแต่เสียงทุ้มนุ่มที่แผดลั่นกลับดึงเอาสองขาที่กำลังก้าวเข้าใกล้ให้ชะงักลง ร่างสูงโปร่งที่วิ่งกระหืดกระหอบตามหลังหยุดยืนหน้าประตูห้อง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นแสงเรืองรองบนโต๊ะไม้สักก่อนเบือนกลับมาสบเข้ากับสายตาแน่นิ่งของผม

"ธีร์..."แม้แต่แชมป์เองก็เอื้อมมือแตะต้นแขนคล้ายคำถาม สีหน้าของมันดูลังเลเมื่อมองมาที่ผมสลับกับคนตัวสูงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพียงครู่เดียวมันก็ผละออกแล้วถูกแทนที่ด้วยแรงบีบหนักหน่วงจากเจ้าของห้องที่ปราดเข้ามายืนประชิดตัวแทบทันที

"พ่อธีร์...ฟังพี่...ฟังพี่เถิดพ่อ"สองมือคว้าเข้าที่หัวไหล่แล้วออกแรงเขย่าเสียจนตัวโยนคล้ายเรียกสติ สายตาของผมที่จดจ้องเพียงแสงสว่างขาวนวลตรงหน้ากระตุกวูบก่อนเบือนกลับมาสบกับดวงตาคู่สวยที่ฉายแววร้อนรนชัดเจน

"พี่แก้ว..."

"ไปเถิดพ่อ...เรือมาคอยอยู่ที่ท่านานแล้ว ให้เขารอนานเขาจะว่าเอาได้"ริมฝีปากหยักบรรจงยกยิ้มน้อยๆทั้งที่สองมือสั่นเสียจนน่าใจหาย


เพียงได้เห็นรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าคมที่รักแสนรัก ความรู้สึกเต็มตื้นก็ตีล้นจนแทบตอบรับโดยไม่ต้องคิด...หากแต่เสียงกังวานบาดลึกทั้งยังแสงสว่างจ้าที่ปลายสายตายังคงร้องเรียกไม่ขาด



...เสียงที่ร้องเรียกเอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้กลับมาแทนที่หัวใจตรงหน้า...



...แสงสว่างที่สาดส่องราวกับกำลังเตือนสติว่านี่ไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ เหมือนที่ผมเคยเชื่อมาตลอดว่าความบังเอิญไม่มีในโลกนี้...ทุกอย่างถูกกำหนดจากใครบางคนเอาไว้แล้วไม่ว่าสุดท้ายผมจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม...ไม่เช่นนั้น...สิ่งนี้คงไม่แผดเสียงลั่นในเวลาแบบนี้



ผมกำลังยิ้ม...ยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ...ยิ้มที่ไม่ได้บรรจงปั้นแต่งให้สวยงามเหมือนครั้งไหนๆ...หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองเจ็บปวดแทบขาดใจ

"ธีร์กำลังจะไปครับ"สิ้นเสียง...ทั้งตัวกลับถูกรวบเอาไว้แนบอกกว้าง ท่อนแขนแกร่งตระกองกอดแนบแน่นจนรับรู้ถึงจังหวะหัวใจของอีกฝ่ายที่กำลังร้องร่ำเต้นระรัวและเดือดพล่านไม่ต่างจากสองมือที่โอบรอบกาย

"อย่าไปเลยคนดี...หากเจ้าทิ้งพี่แลพี่่จะอยู่อย่างไร"เสียงทุ้มนุ่มอ้อนวอนดังแผ่วข้างหูทำเอาคนฟังเจียนขาดใจไม่แพ้กัน...นึกอยากเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ เก็บกักเขาเอาไว้กับตัวไม่ปล่อยไปไหนเหมือนที่เขากำลังทำอยู่ แต่จะให้ทำได้อย่างไรในเมื่อมันคือการฉุดดึงตัวเขาให้ตกต่ำไปด้วยกัน

"พี่แก้วยังมีงาน มีเจ้าคุณท่านที่ต้องดูแล...อย่าให้ธีร์เป็นคนเห็นแก่ตัวพาพี่แก้วไปลำบากที่ไหนเลยนะครับ"

"แลหากพี่นึกเห็นแก่ตัวขอให้พ่อธีร์อยู่กับพี่เล่า...เจ้ายังจะไปจากอกพี่อีกหรือ"ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับคำถามนั้น

"พี่แก้วที่ธีร์รู้จักไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวนี่ครับ...พี่แก้วคนนั้นมีทั้งความรับผิดชอบ ขยันทำงานจนเป็นที่รักของใครต่อใคร แล้วยังกตัญญูรู้คุณคนที่เลี้ยงดูมาอีก...ธีร์รู้จักพี่แก้วที่เป็นแบบนั้น...รักพี่แก้วที่เป็นแบบนั้น"สองมือที่โอบรอบแผ่นหลังกว้างกำแน่นจนเสื้อของเขายับย่น ทั้งพยายามสูดหายใจลึกครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ ถึงอย่างนั้นก็ยังกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงหล่นไม่ได้


หลวงพิสิษฐไม่ได้ตอบอะไร แต่เพราะสัมผัสอุ่นชื้นที่กระทบเข้ากับหัวไหล่ทำให้ผมรีบผละออกจากอ้อมแขนแข็งแรงนั้นทันที...ดวงตาคู่สวยรื้นหยาดน้ำใส น้ำตาเพียงหยดเดียวที่กลิ้งหล่นบนใบหน้าคมเข้มที่สงบนิ่ง แม้ไม่มีเสียงสะอื้นแต่กลับรับรู้ว่าข้างในเขากำลังร่ำไห้ไม่ต่างกัน



ผู้ชายเข้มแข็งคนนี้ที่แม้ถูกทำร้ายสาหัสยังฝืนยิ้มได้ แต่เพียงแค่คำบอกลากลับทำให้น้ำตาร่วงหล่นเป็นสาย



ดวงหน้าคมเอียงซบรับสัมผัสจากมือของผมที่เอื้อมขึ้นแนบแก้ม ปลายนิ้วหัวแม่มือปัดป่ายเพียงเบาๆหมายให้หยดน้ำตานั้นเหือดหาย ทั้งที่สองแก้มของตัวเองก็ร้อนผ่าวด้วยหยาดน้ำใสไม่ต่างกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังบรรจงปั้นแต่งรอยยิ้มสวยส่งไปให้

"เดี๋ยวธีร์ก็กลับมา...เหมือนทุกครั้งไงครับ"หากใบหน้าคมกลับส่ายไปมาราวกับรู้คำตอบดี

"พี่รู้ว่าพ่อธีร์จะไม่กลับมา...พี่รู้..."ทั้งยังเสียงนุ่มสั่นเครือจนผมชะงักปลายนิ้วที่เกลี่ยข้างแก้ม...สองมือประคองมือหนาแนบลงที่อกข้างซ้ายของตัวเอง เสียงหัวใจแผดลั่นคงได้ยินไปถึงอีกฝ่ายเมื่อเขายกมืออีกข้างขึ้นเกาะกุม

"ธีร์รักพี่แก้วนะครับ...ต่อให้ธีร์ไปอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร แต่พี่แก้วก็ยังอยู่ตรงนี้กับธีร์"มือของหลวงพิสิษฐยังสั่นแม้ตอนที่เลื่อนขึ้นประคองใบหน้าของผมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา ดวงหน้าคมโน้มเข้าใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจหนักหน่วงเมื่อเขาอิงหน้าผากแนบลงบนหน้าผากของผมให้ได้เห็นแววตาโศกวาววับด้วยหยาดน้ำใสชัดเจน ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะทาบทับลงบนเรียวปากบางของตัวเองแผ่วเบาทว่าบาดลึกยิ่งในความรู้สึก ถึงกระนั้นก็ยังเอียงหน้ารับสัมผัสนั้นแนบแน่น เพียงครู่เดียวก่อนที่เขาค่อยๆละออก


"คนดี...พี่รักเจ้ายิ่งกว่าอะไร หากเจ้าไม่กลับมาแล้ว พี่คงทำได้เพียงแค่รอ"เสียงทุ้มนุ่มสั่นเครือกระซิบแผ่วชิดริมฝีปาก สองมือของเขายังประคองใบหน้าไม่ห่าง ทั้งยังพยายามปัดป่ายหยดน้ำตาให้เหือดหาย

"แลหากชาตินี้พี่ไม่มีวาสนา ก็ขอให้ชาติหน้าพี่ได้พบ ได้รักเจ้าเหมือนที่พี่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...ขอให้ถือคำนี้เป็นคำสัญญา"
คำตอบของผม มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาและสองมือที่เอื้อมโอบหาความอบอุ่นเป็นครั้งสุดท้าย...อ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้ว่า ต่อให้ร่ำลาใครต่อใครก็ไม่เจ็บเจียนตายเท่าบอกลาคนตรงหน้า...คนที่พยายามดึงรั้งตัวผมเอาไว้แนบอกให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้



"ธีร์..."

เสียงเรียกของแชมป์ราวกับเตือนสติให้ผมค่อยๆผละจากอ้อมแขนแข็งแรง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นตัวเอกของหนังดราม่าสักเรื่องเมื่อสองมือยังคงแตะสัมผัสกับมือหนาตรงหน้าหากแต่มันกลับยิ่งไกลออกไปทุกที...ในสายตามีเพียงร่างสูงโปร่งสมส่วน ใบหน้าคมเข้มที่ตอนนี้เศร้าหมองเต็มทีกับดวงตาคู่สวยที่จดจ้องอย่างแสนเสียดาย...หากเมื่อมืออีกข้างแตะสัมผัสเข้ากับวัตถุเย็นเยียบถึงได้รับรู้ว่ามันถึงเวลา


"ผม...ฝากลาคุณพิกุลด้วยนะครับ"คำฝากลาของแชมป์สั่นเครือไม่ต่างกัน...คนตัวสูงพยักหน้ารับช้าๆก่อนที่มันจะก้าวมายืนเคียงข้าง สองมือของมันประคองซ้อนวัตถุในมือของผม พร้อมกับที่แสงขาวนวลเย็นตาแผดจ้าส่องสว่างเสียจนไม่อาจฝืนสายตาให้มองภาพตรงหน้าต่อไปได้อีก



สิ่งสุดท้ายที่ได้เห็น...คือร่างสูงโปร่งที่ทำท่าขยับเข้าใกล้หากเพียงต้องชะงักลง ในขณะที่ตัวผมทำได้เพียงส่งยิ้มบางเบาให้เขาก่อนหลับตาลงอีกครั้ง...ซึมซับเอาภาพตรงหน้าฝังลงบนอกข้างซ้าย...ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ








...รอธีร์นะครับพี่แก้ว...วันหนึ่งธีร์จะกลับมา...





........................................................................







ผมกลับมาแล้ว...ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวกว้างขวางที่ไม่ได้กลับมาเหยียบนานนับเดือน...ดวงตากระพริบถี่เพื่อปรับสภาพให้คุ้นชิน ทั้งยังเพื่อปัดไล่หยดน้ำที่รื้นรอบขอบตาให้แห้งเหือด...ภาพตรงหน้ายังคงพร่าเลือน มีเพียงความมืดที่โรยตัวปกคลุมนอกหน้าต่างกับแสงไฟนีออนสีขาวนวลส่องสว่างเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาดึกดื่นเพียงใด...หากยังไม่ทันได้มองรอบกายถ้วนถี่กลับต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงแหวลั่นของคนข้างๆ


"ธีร์...โต๊ะนั่น!"ผมรีบตวัดสายตากลับไปมองยังตำแหน่งที่คุ้นเคยแต่กลับต้องเบิกกว้างแม้แสงสว่างเมื่อครู่ทำให้หัวหมุนขนาดไหน เพียงเพราะสิ่งของบางอย่างที่มันเคยตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น


เวลานี้มันกลับว่างเปล่า!


เช่นเดียวกับน้ำหนักของวัตถุในมือที่เคยถ่วงหนักเย็นเยียบให้รับรู้ถึงการกลับมา ผมก้มลงมองสองมือของตัวเองที่ว่างเปล่าไม่ต่างจากบรรยากาศในห้อง สองมือที่แบออกสั่นน้อยๆไม่ต่างจากหัวใจที่สั่นไหว

ไวเท่าความคิด เมื่อผมรีบวิ่งพรวดพราดลงบันไดโดยมีไอ้แชมป์ตามหลังมาติดๆ...สายตาสอดส่ายหาคนที่ควรรู้เรื่องนี้ดีที่สุด ทั้งโต๊ะกินข้าว ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่ห้องครัว ทุกที่กลับเงียบเชียบไม่มีแม้สัญญาณของสิ่งมีชีวิตใด

แต่เพียงแค่ได้ยิน เสียงโหวกเหวกแว่วดังมาจากด้านนอกจนต้องรีบสาวเท้าตามออกไป เพียงเพื่อให้ร่างทั้งร่างทรุดฮวบราวกับคนไร้เรี่ยวแรง


เมื่อได้เห็น...


แสงเพลิงสว่างโชติช่วงตรงริมรั้วหน้าบ้าน กับเงาร่างของคนคุ้นเคยสองสามคนที่ยืนล้อมโดยรอบ

"ธีร์!"เสียงตะโกนลั่นผ่านอากาศคุ้นหูยิ่งนักเมื่อเงาของใครคนหนึ่งเบือนหน้ากลับมาแล้วรีบถลาเข้าหา

"ธีร์กลับมาแล้วเหรอลูก!"หากแต่เสียงและแรงฉุดรั้งของอานิดกลับไม่กระทบเข้าแม้โสตประสาท เมื่อสิ่งที่รับรู้มีเพียงแสงเพลิงแดงฉานกับวัตถุสีดำวูบไหวอยู่ตรงกลางคล้ายเชื้อไฟ แม้ไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่าสิ่งที่กำลังมอดไหม้ในกองเพลิงตรงหน้า...คือสิ่งที่ผมรักแสนรัก...

"ธีร์อย่า!"อานิดออกแรงดึงแขนจนสุดแรงเมื่อผมปรี่เข้าใกล้ทุกขณะ หัวใจเต้นระรัวดังก้องจนแทบกระเด็นออกมานอกอก ขณะเดียวกันก็เจ็บแปลบเหมือนถูกใครเอามีดมากรีดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"อานิดทำแบบนี้ทำไมครับ...ทำแบบนี้ทำไม!"ผมดิ้นพล่านให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย หากเพียงต้องชะงักลงเพียงเพราะน้ำเสียงคุ้นหูของใครอีกคนดังแทรกขึ้นมา

"อาเป็นคนทำเอง"สายตาที่เหลือบมองอีกด้านของกองเพลิง ร่างสูงสมส่วนยืนโดดเด่นในเงามืดมองเห็นเพียงด้านข้างจากแสงไฟที่วูบไหว ใบหน้าสงบนิ่งแต่สายตากลับจดจ้องดุดัน

"อาต้น!"

"ธีร์! อาห้ามแล้วแต่อาต้นเขาไม่ฟัง"สองมือเล็กๆของอานิดกระตุกเร่าบนต้นแขน หากผมเพียงสะบัดมือนั้นออกอย่างไม่ใยดี ไม่สนใจแม้คนที่เกาะเกี่ยวอยู่จะมีศักดิ์เป็นถึงน้องของพ่อหรือใครก็ตาม


เพียงเพราะได้ชื่อว่าเป็นคนทำลายสิ่งของเพียงอย่างเดียวที่ผมหวงแหนที่สุดในชีวิต


"ทำไม...ทำไมต้องทำแบบนี้!"ผมแผดเสียงลั่นพร้อมกับเรี่ยวแรงที่หดหายจนทั้งร่างทรุดฮวบลงกับพื้น จ้องมองเพียงเปลวเพลิงลุกโชนตรงหน้า แสงสว่างสีแดงสาดส่องส่งไอร้อนแผ่กระจาย หากยังไม่ร้อนเท่าใจของตัวเอง

"ก็ในเมื่อ'ไอ้นี่'มันเป็นต้นเหตุ อาก็แค่ทำลายมันทิ้งซะจะได้จบๆเรื่องกันไป"น้ำเสียงเย็นเยียบไม่แยแสของอาต้นเรียกให้ผมตวัดสายตาจดจ้อง ใจหนึ่งอยากลุกพรวดเข้าไปเขย่าตัวเขาแรงๆเพื่อระบายความโกรธ หากแต่สองขากลับไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังแรงดึงรั้งของอานิดที่ยังไม่ยอมปล่อยไปไหน

"เราก็เหมือนกันแชมป์ หายตัวไปเป็นเดือนๆรู้ไหมว่าที่บ้านเขาเป็นห่วงกันขนาดไหน"อาต้นเบนความสนใจไปที่คนยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ ดวงตาเรียวรีของมันไหวระริกแต่กลับเลื่อนลอยคล้ายคนไม่มีสติ ไม่มีแม้คำตอบรับหรือทักท้วงใดๆหลุดจากปากที่เม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง



หากเพียงปลายสายตาเหลือบไปเห็น วัตถุทรงเหลี่ยมคุ้นตาที่กำลังมอดไหม้อยู่บนพื้น ทั้งร่างกลับทะลึ่งพรวดจนอานิดผงะถอย มือที่เอื้อมออกสู่กองเพลิงตรงหน้าเรียกเสียงร้องทั้งจากคนที่ดึงรั้ง หรือแม้แต่ป้าเพ็ญที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ...ความร้อนปร่ากระทบกับฝ่ามือแต่ยังฝืนคว้าก้อนสี่เหลี่ยมดำเมี่ยมเอาไว้แน่น

"ทำอะไรน่ะธีร์!"อานิดที่ตั้งสติได้รีบปัดมันออกทันทีแล้วกระชากข้อมือของผมพลิกขึ้นดูเพื่อพบว่ามันแดงฉานไปด้วยรอยพุพอง ถึงอย่างนั้นสายตาของผมยังจดจ้องเพียงก้อนสี่เหลี่ยมที่กลิ้งหลุนๆลงบนพื้นสองสามรอบ ขอบของมันมีรอยไหม้จนดำเมี่ยมคล้ายก้อนถ่าน ทั้งยังรูปทรงบิดเบี้ยวเพราะถูกไฟลามเลีย มีเพียงแค่รอยสลักบนวัตถุนั้นที่ยังพอเห็นลางเลือนที่หากใครได้เห็นเป็นครั้งแรกคงไม่สามารถอ่านตัวหนังสือปราณีตบรรจงบนนั้นออก


แต่ผมกลับจำได้ดีทุกตัวอักษร...ไม่ใช่เพราะมันเป็นชื่อของตัวเอง หากเป็นเพราะเจ้าของลายมือสวยที่ตั้งใจสลักเสลาทีละตัวอักษรลงบนพื้นไม้อย่างยากเย็นถึงขั้นเลือดตกยางออก ทั้งรอยยิ้มอบอุ่นยามเมื่อเขาลงแรงไปกับมัน หรือใบหน้าคมเข้มชวนมองฉายแววดื้อดึงเมื่อผมร้องห้าม...นึกได้แค่นั้นสองมือก็ผวาเข้าตะครุบวัตถุบนพื้นเอาไว้อีกครั้ง แว่วเพียงเสียงหวีดร้องของอานิดและน้ำเสียงดุดันของอาต้นร้องร่ำอยู่ไกลละลิบ เมื่อสายตาจดจ้องแค่ก้อนสี่เหลี่ยมดำมะเมื่อมที่ประคองอยู่ในมือ

"เจ็บมือหรือลูก มาให้อาดูแผลก่อน"คนร้องเรียกคงเข้าใจว่าเพราะความเจ็บจากแผลที่มือเลยทำให้น้ำตาร่วงหล่นเป็นสาย แต่คนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดีอย่างแชมป์กลับทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง มือขาวๆของมันปัดป่ายทั่วใบหน้าตัวเองพลางสูดหายใจลึกก่อนเอื้อมมาแตะที่หัวไหล่ของผมแล้วออกแรงบีบหนักจนมือไม้สั่น


นอกจากแชมป์แล้วใครจะรู้ ว่าแผลที่มือยังเจ็บได้ไม่ถึงเสี้ยวของความรู้สึกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อความหวังเดียวที่จะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้งกลับมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ท่ามกลางเปลวไฟลุกโชนตรงหน้า...ภาพความทรงจำต่างๆไหลวนในความคิดราวน้ำป่าไหลทะลัก ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา หากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคงมีเพียง...ใบหน้าของใครบางคนที่คิดถึงทั้งที่เพิ่งบอกลากันได้ไม่นาน






ที่ใจมันเจ็บเพราะรู้ดีว่า...ผมจะไม่ได้เห็นใบหน้านั้นอีกแล้ว...ชั่วชีวิต










..........................................................................








ลมเย็นเอื่อยพัดโชยกระทบใบหน้าให้รู้สึกหนาววูบขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง เพียงแค่เสื้อยืดแขนสั้นตัวบางคงไม่อาจกันลมฤดูหนาวที่หอบไอเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่ว หากสายตายังทอดยาวออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ที่ถูกฉาบด้วยแสงสีส้มจากพระอาทิตย์ดวงโตลอยระเรี่ยริมขอบฝั่ง แว่วเสียงเครื่องยนต์จากเรือใหญ่น้อยดังแข่งกันไม่ขาด คลอเสียงผู้คนพูดคุยจอแจอยู่ไม่ไกลนัก


ริมเจ้าพระยายามเย็นที่สวนสันติชัยปราการในปีพ.ศ.๒๕๕๗ แม้ไม่พลุกพล่านด้วยผู้คนแต่ก็ไม่เงียบสงบเหมือนบางแห่งที่เพิ่งจากมา...สถานที่ ที่เก็บกักความทรงจำเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่กลับยาวนานยิ่งในความรู้สึก


กว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง และก็เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ผมเอาแต่ปิดปากเงียบไม่ตอบคำถามของใครต่อใครที่คอยคาดคั้นหาคำตอบ...ไม่มีใครรู้ว่าตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมาพวกผมหายตัวไปอยู่ที่ไหน และผมก็ไม่สนใจที่จะรู้ความเป็นไปของคนที่นี่ในช่วงเวลาเหล่านั้น ถึงแม้อานิดจะพยายามอธิบายเสียยืดยาวเรื่องที่แกปรึกษาอาต้นถึงข้อสงสัยเรื่องโต๊ะไม้สัก จนกระทั่งอาต้นตัดสินใจลงมากรุงเทพเพื่อจัดการปัญหาที่ว่าในแบบของแก...ผมก็เพียงฟังมันแค่พอผ่านหู


ความโกรธที่พุ่งพล่านในคืนนั้นแทบดับวูบลงเมื่อเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ความจริงที่ว่าโต๊ะตัวนั้นถูกอาต้นเผาทิ้งจนไม่เหลือซากยังคงอยู่ หากแต่ผมเข้าใจอาทั้งสองดี เพราะความรักและความเป็นห่วงทำให้ทั้งอาต้นและอานิดตัดสินใจทำแบบนี้ ซึ่งถ้าเป็นผม ก็อาจตัดสินใจแบบเดียวกันหากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนสำคัญในชีวิต


ผมกลับมาใช้ชีวิตที่เรียกได้ว่า'เกือบ'เป็นปกติ เพราะถึงแม้ทุกวันจะหมุนผ่านไปด้วยความราบรื่นอย่างที่คนรอบตัวผมอยากให้เป็น หากแต่บางครั้งความคิดกลับเวียนวนไปถึงช่วงเวลาที่เต็มตื้นไปด้วยความทรงจำต่างๆ ภาพของเรือนทั้งสองหลังที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั้งนายและบ่าว เสียงพูดคุยจอแจของผู้คนที่ตลาด วัดวาอารมที่ผมเคยมีโอกาสได้ไปกราบไหว้ เรื่องราวทั้งร้ายและดีที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้น



และใครคนหนึ่งซึ่งผมคิดถึงยิ่งกว่าใคร



เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูที่ผมเคยได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่าหายไปพร้อมกับเปลวเพลิงที่เผาไหม้โต๊ะไม้สักตัวนั้น จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า ความจริงแล้วมันคือเสียงที่คอยร้องเรียกให้ผมกลับไปหา หรือเป็นเพียงเสียงครวญของใครคนนั้นที่ระบายความรู้สึกผ่านโต๊ะไม้สักตัวงามจนมันซึมซับเอาความโศกเศร้าของเขาเอาไว้นานนับร้อยปี...แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเสียใจกับการหายไปของเสียงนั้นเหมือนในวันแรกๆ...เพราะสำหรับผม...ความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับคนๆนั้นยังคงเด่นชัด หลายครั้งที่ใบหน้าคมเข้มที่คิดถึงลอยวนเวียนอยู่ในความคิดทั้งยามหลับและยามตื่น ภาพคนตัวสูงที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้ เสียงหัวเราะของเขา หรือแม้แต่สัมผัสอบอุ่นจากมือหนาคู่นั้นยังคงชัดเจนยิ่งในความรู้สึก ราวกับมันหยั่งรากฝังลึกลงบนหน้าอกข้างซ้ายที่แม้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่มันก็ยังคงอยู่




...ผู้ชายคนแรกและคนสุดท้ายที่ผมรักยังคงยืนเคียงข้างอยู่ตรงนี้แม้ผมไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวตน...




...แต่ผมเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันจางหายไปจากความคิด...





...ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ...







..................................อวสา



























"เดี๋ยว!!!"


ยังไม่ทันได้พิมพ์ 'น' ตัวสุดท้ายก็ได้ยินเสียงแหวลั่นแสบแก้วหู


ว่าแต่...ทำไมเสียงมันทุ้มๆนุ่มๆฟังสบายหูแปลกๆก็ไม่รู้นะคะ






"อุ่ย! คุณหลวง..."


นั่นไง! ก็ว่าเสียงมันน่าฟังพิลึก...ถึงกับออกโรงเองเลยวุ้ย



"ไม่ได้ จบแบบนี้ไม่ได้!"

"ล...แล้วจะให้จบยังไงล่ะเจ้าคะ"

เจอหน้าเหี้ยมๆกับบรรยากาศอึมครึมเข้าไป ถึงกับลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยเป็นแม่มณีโดยไม่คิดเลยเจ้าค่ะ


"อย่างไรก็ไม่รู้หล่อน แต่จบแบบนี้ไม่ได้!"


"ก...ก็มันจบแล้ว"


"แต่เราไม่ยอม!"

พูดเบาๆเค้าก็ได้ยิน ตัวเองจะตะโกนทำไม ฮือออ



"ธีร์ก็ไม่ยอม!"

นั่น...ไม่มาคนเดียว พาตัวแสบมาป่วนด้วยอีก แล้วอะไรคือการที่ผู้ชายสองคนมายืนทะมึนต่อหน้าหญิงสาวตัวเล็ก(?) บอบบาง(?) และไม่มีทางสู้แบบนี้เล่า!!


"น...น้องธีร์..."


"เจ๊จบแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ยอม!"


"โอยยยย ก็มันจบแล้ว จะเอาอะไรอี๊กกกกก"


"ไม่ได้! ผมไม่ยอม ผมเป็นพระเอกนะ!"


"ไม่ใช่แล้วพ่อธีร์ พี่ต่างหากที่เป็นพระเอก"


"ไม่ใช่! ธีร์ต่างหากที่เป็นพระเอก"


"เดี๋ยวค่ะคุ๊ณณณณณ! สรุปว่าที่ไม่ให้จบนี่คือจะเถียงกันว่าใครพระใครนาง งี้?"


"ไม่ใช่!"


พร้อมใจกันประสานเสียงจนหน้าอิชั้นเล็กลงเหลือสองขีด


"ใครพระใครนางไม่รู้ รู้แต่เจ๊จบแบบนี้ไม่ได้อ่ะ!"


"อ...อ้าว! ก็เจ๊ไม่มีอะไรจะเขียนแล้วอ่ะ มันจบแล้ว"
พยายามไกล่เกลี่ยสุดชีวิต


"ไม่ได้อ่ะ มันผิด ผิด ผิดมากด้วย!"


"ล...แล้วจะให้เจ๊ทำยังไงคะลูก"


"ทำยังไงก็เรื่องของเจ๊ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้"
เอาล่ะเหวย พูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว


"จบแบบนี้ก็ดีออกนะน้องธีร์"


"ดีออกเลยเจ๊! ดีมากกกกก"
รู้สึกเหมือนโดนด่า


"พี่แก้วดูสิครับ ทำไมเจ๊ใจร้าย"
นั่นแน่ะ! มีฟ้องค่ะคุณผู้อ่าน เด็กมันฟ้องงงงง


"ใช่! หล่อนใจร้าย เราก็ไม่ยอม"
โถคุณหลวง ด่าบ่าวขนาดนี้ บ่าวนี่ก้มหน้ารับชะตากรรมเลย


"ล...แล้วคุณหลวงจะเอายังไงล่ะเจ้าคะ"


"เราให้โอกาสแก้ตัวใหม่"
แก้ตัวอะไรฟระ! จะให้บ่าวแก้ตัวอะไร บ่าวเป็นแค่ชะนีไม่มีทางสู้นะ #ร้องไห้หนักมาก


"ใช่! ธีร์ให้โอกาสเจ๊แก้ตัว"
แล้วทำไมพระนางคู่นี้มันถึงได้ดุนักฟระเนี่ยยยย


"งั้น......."
เหลือบมองผู้ชายสองคนที่ยืดกอดอกคาดคั้น


"งั้น......."
ยัง...ยังไม่เลิกมอง อย่ามองเค้าแบบนั้นเซ่! เค้ากลัว  :ling3:


"งั้น....."

"เจ๊!...หล่อน!"


"โอ๊ยๆ พอเจ้าค่ะ!


งั้น...ก็รอติดตามบทสรุปของ The Timeless Tide ใน 'ปัจฉิมบท' เอาละกันเน้ออออออออ





/me* พิมพ์เสร็จแล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว   :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-02-2015 21:59:09
 :pig4:
หัวข้อ: .The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 16-02-2015 22:09:45
แงงงงง   :monkeysad:  กลับไปไม่ได้แล้วอ่ะน้องธีร์  อาต้นใจร้ายที่สุดเลย ฮือออ
พี่แก้ว ต้องเฝ้ารอน้องธีร์อย่างทุกข์ทรมานใจแค่ไหนเนี่ย สงสารพี่แก้วจังเลยอ่ะ
คำสัญญาของพี่แก้ว หรือว่า พี่แก้วจะมาเกิดใหม่ได้พบกับน้องธีร์ในชาตินี้นะ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พอคิดไปว่า พี่แก้วยังคงรอคอยน้องธีร์กลับไปหา
รอจนตราบสิ้นอายุขัยแล้ว ก็ยิ่งเศร้ามากเลย พี่แก้วจ๋า  :mew6:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 16-02-2015 22:13:45
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 17-02-2015 00:32:16
ใช่ เราไม่ยอม!!!! เจ๊อ้าาาา แล้วก็ไม่ยอมให้พระเอกกลับชาติมาเกิดแล้วจำความไม่ได้แล้วต้องเริ่มความสัมพีันธ์กันไหมนะคะ ไม่เอาไม่ยแมมมมมมม!!!! เก๊าอยากได้หวานๆอ๊าาา นี่ผ่านวาเลนไทน์ไม่กี่วันเอง จบเริ่ดๆหวานๆเต๊อะะะน้าาาา(อ้อนวอนสุดชีวิตุ55555)

ชอบค่ะ สนุกมากก^^
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 17-02-2015 03:51:30
 :m20:   ไม่ยอมจบแบบไม่ได้เจอไม่ได้ครองรักกันสินะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 17-02-2015 04:11:18
โล่งอก นึกว่าจะจบแบบแยกจากกันซะแล้ว
จะรอภาคต่อไปน๊า แต่เราไม่เอาแบบพระเอกมาเกิดใหม่แล้วจำนายเอกไม่ได้นะ = =
เราไม่ชอบเลยทีกลับมาแบบ จำไม่ได้ หรือลืมไปแล้ว
เราสงสารอีกคนที่จำได้ เอางี้ถ้าจำไม่ได้ ขอให้จำไม่ได้ทั้งสองคนเลยนะคะ
เราจะได้ไม่ต้องสงสารอีกคนหนึ่ง (เริ่มคิดไปไกล T^T)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: minnin ที่ 18-02-2015 01:12:27
อ่านรวด้ดียวเลยเศร้าอ่าาาา แล้วคนทำผิดก็ยังไม่รับโทษเลยไปหลวงเจษไรนั้นนะ สงสารพี่เเก้วกับน้องธี
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: vivisama ที่ 18-02-2015 03:16:39
ถ้ามาเกิดใหม่แล้วเจอกันเราสงสารพีแก้วอ่ะ เพราะพี่แก้วต้องรอธีร์ตลอดชีวิต แต่ธีร์รอพี่แก้วแค่แป๊บเดียวเอง(ช่องว่างของกาลเวลาสินะ) คิดว่าถ้ามาเกิดใหม่แล้วรอให้พี่แก้วโตธีร์นี้ต้องแก่แน่เลย ฮ่า แต่นักเขียนจะเขียนอย่างไงเราก็จะรออ่านจ้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 19-02-2015 19:33:49
หน่วงจนมาเจอทอล์ค55555555555555555555

สนุกมากกกกกกกกกกกกกกก ก.ไก่ล้านตัว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 24-02-2015 19:03:56
บ่าวก็ไม่ยอมเจ้าค่าาา
อย่าจบแบบนี้เลยน้า ขอร้องงง T.T
ขอแบบแฮปปี้ๆหน่อยเนอะ สงสารคุณหลวงน้องธีร์กับพี่แชมป์แม่พิกุลอ่าา
ยิ่งตอนคุณหลวงบอกลาน้องธีร์แล้ว น้ำตาซึมตามเลยค่ะ
อย่าทำร้ายคุณหลวงที่แสนดีเลยนะคะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 24-02-2015 22:33:40
 :o12: รอเจ้าค่ะะะะะะะะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 26-02-2015 21:45:17

ตอนที่ ๓๘...ปัจฉิมบท...



รถเก๋งป้ายแดงสีดำขลับเคลื่อนผ่านประตูรั้วเข้าสู่ตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนจะหยุดลง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ากระหืดกระหอบของชายวัยกลางคนรูปร่างผ่ายผอมที่เดินตรงเข้ามาหา เขาเอื้อมมือออกหมายเปิดประตูฝั่งคนขับหากเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูรถฝั่งนั้นถูกเปิดออกจากด้านใน

"เพิ่งถึงบ้านครับอานิด...อ๊ะ! ขอบคุณครับลุงเติม"ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งทว่าผอมบางก้าวลงจากรถทั้งที่มือยังถือโทรศัพท์แนบหู เขาเพียงหันมาขอบคุณคนสวนของบ้านที่ช่วยรับถุงพลาสติกที่เจ้าตัวหอบหิ้วกลับมาจนเต็มมือ ก่อนหันกลับไปสนใจกับคู่สนทนาในโทรศัพท์ต่อ

"เสาร์นี้เหรอครับ ธีร์ขอดูก่อนได้มั้ย ไม่แน่ใจว่ามีงานที่ไหนรึเปล่า"คิ้วเข้มได้รูปของเจ้าตัวขมวดน้อยๆพลางนึกไปถึงตารางงานของตัวเองที่ช่วงนี้เรียกได้ว่ารัดตัวจนแทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปทำอย่างอื่น

"ได้ครับ แล้วธีร์จะโทรบอกอีกที...คิดถึงอานิดนะครับ"น้ำเสียงนุ่มกล่าวตอบไปยังปลายสายก่อนตัดบทสนทนาแล้วหมุนตัวกลับมาหาคนข้างหลังที่ตอนนี้หอบหิ้วของพะรุงพะรัง เมื่อเห็นว่าตอนที่ขับรถเข้าบ้านมาเห็นว่ามีรถเก๋งสีขาวคุ้นตาอีกคันจอดอยู่ก่อนหน้า

"แชมป์มาเหรอครับลุงเติม"

"ครับคุณธีร์ มาได้สักพักแล้วครับ"เจ้าตัวเพียงยกยิ้มบางรับคำก่อนเดินเข้าตัวบ้าน ทักทายแม่บ้านคนสนิทที่ออกมาต้อนรับทั้งยังรับช่วงหอบหิ้วสัมภาระต่อจากลุงเติมคนสวน



"ว่าไงมึง งานที่แกลเลอรี่หายยุ่งแล้วหรือไงถึงมีเวลามาหากูได้"เจ้าของบ้านเดินตรงมายังห้องนั่งเล่นที่มีแขกคนคุ้นเคยนั่งรออยู่ก่อนหน้า คนถูกถามเลยรีบเด้งผึงขึ้นจากโซฟายาวที่ตัวเองนอนเอกเขนกรอจนเกือบหลับ ใบหน้าขาวซีดยุ่งเหยิงนิดๆ ทั้งยังดวงตาเรียวรีที่สะโหลสะเหลเต็มทีบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงอดนอนมาอีกเช่นเคย

"ยุ่งชิบหาย...ยิ่งใกล้วันเปิดกูแทบไม่ได้นอน"คำตอบที่ทำเอาอีกฝ่ายเลิ่กคิ้วมองเล็กน้อย เขาเพียงทิ้งตัวนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันพลางยกมือขึ้นคลายกระดุมเสื้อเชิ๊ตสีครีมที่สวมอยู่

"กูแวะเอานี่มาให้...มึงจะชวนอานิดไปด้วยก็ได้นะ"ผู้มาเยือนว่าพร้อมยื่นซองกระดาษสีทองที่พิมพ์ชื่อของเขาแบบเต็มยศเอาไว้หรา

"การ์ดแต่งงาน?"พอแซวเข้าหน่อยก็ถูกมือขาวๆที่เอื้อมมาผลักศีรษะเขาเบาๆโทษฐานที่กวนประสาทไม่รู้จักเวลา

"พ่อมึงสิ! บัตรเชิญไปงานเปิดแกลเลอรี่กูเนี่ย อังคารหน้านะมึงมาให้ได้"เห็นสีหน้ายุ่งๆของไอ้ตัวดีแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ รู้ดีอยู่ว่ามันไม่มีทางเป็นการ์ดแต่งงานอย่างที่เขาแซวเล่น ก็ตอนนี้เจ้าตัวมันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที่ไหน...หรือจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า...มันไม่คิดจะชายตาแลหญิงอื่นเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่องตอนนั้นเสียมากกว่า

"ไว้เสร็จงานแล้วจะรีบไป...เออมึง...เสาร์นี้ว่างมั้ย"พยักหน้ารับคำหงึกหงักแล้วก็รีบถามออกไปเพราะนึกอะไรได้บางอย่าง

"มีอะไร...จะชวนกูกินเหล้า?"

"คิดแต่เรื่องแดกนะมึงเนี่ย...อานิดชวนไปงานวันเกิดลุงกิตติ ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ"ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าปลง นี่เขาดูเป็นไอ้ขี้เมาที่เอาแต่ชวนเพื่อนกินเหล้าตอนมีเวลาว่างไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่จำได้เขาแทบไม่เคยชวนใครดื่มก่อนด้วยซ้ำ มีก็แต่คนตรงหน้านี่ล่ะที่พอว่างปุ๊บก็รีบบึ่งรถมาหาเขาที่บ้านเพื่อชวนกันตั้งวงอยู่เนืองๆ

"ไม่เอาอ่ะ...ไปบ้านนั้นทีไรกูเกร็งจนทำอะไรไม่ถูกทุกที"นึกแล้วฐิติกรณ์ก็ขยาด ใช่ว่าไม่รู้จักคุ้นเคยกับครอบครัวท่านทูตกิตติ แต่เพราะไม่เคยชินกับการวางตัวให้อยู่ในกรอบในเกณฑ์ถึงได้รู้สึกเกร็งจนเครียดทุกครั้งที่ได้พบหน้ากัน แล้วนี่เป็นถึงงานวันเกิดซึ่งเขาแน่ใจว่ามันต้องใหญ่โตสมฐานะท่านทูต ไหนจะแขกเหรื่อที่เป็นผู้ใหญ่ในวงการเดียวกันอีก

"โตเป็นควายแล้วยังจะมากลัว...ไปเหอะ อานิดบอกว่าพี่อิงกับพี่อาร์มเพิ่งกลับมาด้วย"แต่พอได้ยินชื่ออีกสองคนเท่านั้นล่ะ คนถูกชวนก็แทบหูตั้งหางกระดิกทันที...พี่อิงกับพี่อาร์มที่ว่าเป็นลูกชายของท่านทูตกับคุณหญิงอรที่ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ฝรั่งเศสทั้งคู่ ฐิติกรณ์จำได้ดีว่าตอนเด็กๆเขาชอบติดสอยห้อยตามเพื่อนสนิทกับครอบครัวไปหาท่านทูตกิตติบ่อยๆเพื่อจะไปหาลูกชายทั้งสอง เพราะทั้งพี่อิงและพี่อาร์มมักมีของเล่นเจ๋งๆมาแบ่งเขาเสมอ ยิ่งเพราะเป็นลูกคนเดียวด้วยแล้วเขาก็ยิ่งรักและเคารพสองคนที่ว่าราวกับเป็นพี่ชายแท้ๆ เสียดายที่ตอนนี้ทั้งสองคนทำงานอยู่ต่างประเทศเลยไม่มีโอกาสได้พบกันมาหลายปี

"มึงนี่แม่ง ชอบเอาพี่อิงกับพี่อาร์มมาอ้างว่ะ...แต่กูไปไม่ได้อ่ะ ใกล้วันงานที่แกลเลอรี่ยิ่งยุ่ง ตอนนี้กูก็แทบขยับตัวไม่ได้แล้วเนี่ย"ฐิติกรณ์บ่นอย่างหัวเสียเมื่อนึกไปถึงรายการที่ต้องเตรียมก่อนงานเปิดแกลเลอรี่ของตัวเองที่ยาวเหยียดเป็นหางว่าว ก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่างพลางส่งสายตาเป็นประกายให้เจ้าของบ้านที่นั่งเอนหลังพิงโซฟาอยู่ข้างๆ

"เอางี้! มึงชวนพี่อิงกับพี่อาร์มมางานกูดิ"คนถูกรบเร้าเลยได้แต่ขมวดคิ้วน้อยๆอย่างชั่งใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายแถมไอ้ตัวดียังได้มีโอกาสได้พบพี่ชายที่(มันคิดเอาเองว่า)พลัดพรากกันมาหลายปี สุดท้ายก็เลยยอมตอบตกลง

"เอางั้นก็ได้ ไว้จะลองชวนดู"
ตกปากรับคำกันเรียบร้อยผู้มาเยือนก็ขอตัวกลับเพราะยังมีธุระต้องทำอีกหลายที่ เจ้าของบ้านถึงได้มีโอกาสพักผ่อนจริงจังเสียทีหลังจากโหมงานหนักมาทั้งวัน




ร่างสูงโปร่งเดินขึ้นมาถึงห้องนอนตัวเองบนชั้นสองก่อนจะวางกระเป๋าเอกสารและโทรศัพท์มือถือที่พกติดตัวลงบนโต๊ะทำงาน เขาค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตออกแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า ตั้งใจจะเข้าไปอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นก่อนที่จะออกมาจัดการกับเอกสารที่หอบหิ้วกลับมาทำที่บ้าน หากแต่ต้องชะงักฝีเท้าอยู่แค่หน้าประตูห้องน้ำเมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นวัตถุคุ้นตาที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง สองเท้าเปลี่ยนเป็นสาวเข้าใกล้เตียงนอนก่อนทิ้งตัวลงจนที่นอนยุบยวบตามน้ำหนัก มือเรียวเอื้อมออกไปหยิบวัตถุที่แต่เดิมเป็นทรงเหลี่ยมหากแต่ตอนนี้กลับบิดเบี้ยวแทบไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งยังรอยไหม้สีกระดำกระด่างที่เจ้าตัวพยายามเช็ดทำความสะอาดแต่ยังคงทิ้งคราบให้เห็น


เกือบสี่ปีแล้วนับจากเหตุการณ์ในวันนั้น จนถึงตอนนี้ที่หลายสิ่งรอบตัวเขาเปลี่ยนแปลงไป เขาเติบโตขึ้น เรียนจบมหาวิทยาลัยอย่างที่ตัวเองตั้งใจไว้แม้จะช้ากว่าเพื่อนๆไปหนึ่งปี เข้าทำงานในสถานทูตของประเทศหนึ่งแถบยุโรปโดยได้รับความช่วยเหลือจากลุงกิตติ...อย่างว่า สมัยนี้เส้นสายเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่าจะเป็นวงการไหน ถึงอย่างนั้นเขาก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ไม่ให้เสียชื่อคนฝากฝังหรือแม้แต่ชื่อของพ่อของเขาเอง...เขากลับมาอยู่ที่บ้านเดิมของพ่อและแม่ บ้านหลังใหญ่โตที่มีเพียงเขากับคนงานในบ้านไม่กี่คนเพราะตัวเองไม่ชอบความวุ่นวาย...ถึงแม้จะเหงาไปบ้างแต่กลับไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีอาทั้งสองที่มาเยี่ยมเยียนไม่ขาด ไหนจะมีเพื่อน ทั้งเพื่อนใหม่ที่ทำงานหรือเพื่อนสมัยเรียนอย่างแชมป์ โจ๊ก ต่อ ที่ยังคงติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้



ยิ่งไปกว่านั้น...ยังมีใครอีกคน...ที่แม้ไม่ได้อยู่เคียงข้างแต่หากเมื่อใดที่นึกถึงกลับทำให้หัวใจอบอุ่นขึ้นมาได้ทุกครั้ง ใบหน้าอ่อนโยนและเสียงทุ้มนุ่มที่เคยกระซิบแผ่วข้างหู จนถึงตอนนี้เขาก็ยังจดจำทุกสิ่งเกี่ยวกับคนๆนั้นได้แม่นยำ



"คิดถึงนะครับ"



เรียวปากบางประดับรอยยิ้มเอื้อนเอ่ยกับวัตถุในมือเหมือนที่เคยทำอยู่ทุกวัน ก่อนที่เขาจะวางมันลงแล้วตรงดิ่งเข้าห้องน้ำไป




คำว่าคิดถึง...ผ่านมากี่ปีก็ยังคงหมายความเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน



..................................................................................................




งานวันเกิดของท่านทูตกิตติไม่ได้ใหญ่โตด้วยจำนวนแขกเหรื่ออย่างที่ชลนธีร์คิดไว้ แต่ก็ไม่เล็กด้วยตำแหน่งหน้าที่ของผู้ร่วมงานแต่ละคน...เขาจำไม่ได้แล้วว่ายกมือไหว้ทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ไปกี่ครั้งตั้งแต่ก้าวผ่านรั้วบ้านมาจนถึงห้องโถงใหญ่ แต่คนสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าของวันเกิดที่ตอนนี้ยืนโดดเด่นอยู่กลางห้องพร้อมคุณหญิงผู้เป็นภรรยา

"ตาธีร์! ไม่เจอกันนานเปลี่ยนไปมากเลยนะเรา"เจ้าของชื่อยิ้มบางๆรับคำคุณหญิงอร...ชลนธีร์จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันเห็นทีจะเป็นเมื่อปีก่อนตอนที่เพิ่งเรียนจบ เพราะหลังจากเริ่มทำงานเขาก็แทบไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียนคุณหญิงและท่านทูตอย่างที่เคยทำ อย่าว่าแต่คุณหญิงอรเลย แม้แต่อานิดเองเขาก็กลับไปหานับครั้งได้

"งานที่สถานทูตเป็นยังไงบ้าง"

"ก็ดีครับลุงกิตติ แต่ก็ยุ่งมากจนไม่มีเวลาเหมือนกัน"หรือเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเขาถึงได้หัวหมุนกับจำนวนงานและเอกสารมากมายก่ายกองขนาดนี้ก็ไม่รู้ได้

"ทำไปสักพักเดี๋ยวก็ชิน"ท่านทูตปลอบใจกลั้วเสียงหัวเราะเบาคงเพราะตนเคยผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มาก่อนถึงได้รู้ซึ้งเป็นอย่างดี



"พี่อิงกับพี่อาร์มไปไหนล่ะครับ"ยืนคุยทักทายกับเจ้าของงานได้สักพักถึงได้ออกปากถามหาลูกชายอีกสองคน นึกไปถึงตอนเด็กๆที่เคยวิ่งเล่นกับพี่ชายทั้งสอง อ้อ! พ่วงไอ้ตัวดีอย่างฐิติกรณ์ที่ชอบติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกคน จนถึงตอนนี้ก็เกือบสิบปีเข้าไปแล้วที่พวกเขาไม่ได้พบกัน

"เห็นคุยกับเพื่อนๆอยู่ที่สวนหน้าบ้านน่ะ ธีร์ออกไปหาสิ เจ้าสองคนนั้นบ่นคิดถึงจะแย่แล้ว"เมื่อคุณหญิงอรเปิดไฟเขียว เขาจึงขอตัวออกไปหาพี่ชายทั้งสองแล้วปล่อยให้อานิดและอาต้นยืนคุยกับเจ้าของงานแทน





บรรยากาศด้านนอกเองก็ครึกครื้นไม่ต่างจากข้างใน หากแต่ดูเป็นกันเองมากกว่าเมื่อบรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่แถวนี้เป็นเพียงลูกหลานของคนใหญ่คนโตที่ยังอายุไม่มากนัก...ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้ตามมุมต่างๆของสวนกว้างเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แขกผู้ร่วมงาน ทั้งยังไฟสีเหลืองนวลที่ประดับตามต้นไม้พุ่มสูงยิ่งส่งให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายมากกว่าบทสนทนาตึงเครียดของพวกผู้ใหญ่ด้านใน


ชายหนุ่มเดินผ่านซุ้มเครื่องดื่มจนมาหยุดยืนกลางสวนกว้าง พยายามมองหาลูกชายทั้งสองของท่านทูตก่อนสะดุดตาเข้ากับกลุ่มผู้ชายสี่ถึงห้าคนที่กำลังยืนคุยกันอย่างออกรสอยู่อีกด้านหนึ่งของสวน แม้ไม่ได้พบกันนานหลายปีแต่เขาก็ยังจำใบหน้าของพี่ชายทั้งสองได้ดี


หากยังไม่ทันได้ก้าวเข้าใกล้ ใครคนหนึ่งในกลุ่มนั้นกลับโบกมือลาเพื่อนร่วมวงที่เหลือแล้วเดินจากไปเสียก่อน


เพียงครู่เดียวที่ชลนธีร์เผลอมองตามแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ๊ตสีน้ำทะเลของคนที่เพิ่งเดินจาก เขากลับขมวดคิ้วมุ่นเมื่อความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดตีตื้นขึ้นมาจนเผลอกลั้นลมหายใจ แต่เพราะความคิดที่ว่าหมอนั่นอาจเป็นลูกหลานของใครสักคนที่ทำงานในสถานทูตเหมือนๆกัน เพราะเท่าที่เห็นในงานนี้ก็มีคนที่เขาคุ้นหน้าอยู่หลายคน บางคนคุ้นเคยจนถึงขั้นพูดคุยทักทายกันก็มี พอดีกับที่เสียงเรียกของคนที่กำลังตามหาดังขึ้น ถึงได้ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท

"ธีร์! ธีร์รึเปล่านั่น"

"พี่อิง พี่อาร์ม!"เรียวปากบางฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นชายหนุ่มคุ้นหน้าสองคนเดินปรี่มาแต่ไกล ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะโผเข้ามากอดแทบทั้งตัว

"เฮ้ย ไม่เจอกันนานโตขึ้นขนาดนี้แล้ว"ทั้งยังมือหนาที่วางแปะบนศีรษะแล้วออกแรงขยี้เสียจนผมของเขาแทบเสียทรง แม้ออกปากท้วงแต่คนตัวสูงใหญ่ก็ยังไม่ยอมหยุด

"พี่อิงอย่าแกล้งน้อง ไม่ใช่เด็กๆกันแล้วนะ"จนเมื่อคนข้างๆบ่นขึ้นนั่นล่ะ คนตัวสูงถึงได้ยอมปล่อยมือให้คนที่เพิ่งบ่นเป็นฝ่ายโถมเข้ามากอดบ้าง จนชายหนุ่มอดนึกไม่ได้ว่าตอนนี้พี่ชายทั้งสองเห็นเขาเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ไปแล้วหรือเปล่า

"เป็นยังไงบ้าง เห็นคุณพ่อบอกว่าเพิ่งเริ่มทำงานที่สถานทูตเหรอ"ผู้เป็นพี่เริ่มเปิดประเด็นก่อน อิงทัศน์เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ อายุเพิ่งผ่านเลขสามไปได้ไม่กี่ปีหากแต่ดูเด็กกว่าอายุจริง เพราะใบหน้าขาวคมมักเจือด้วยรอยยิ้มตามประสาคนอารมณ์ดีเสมอ ส่วนอรรถนนท์คนน้องปีนี้อายุครบ๓๐พอดิบพอดี แม้ใบหน้าจะละม้ายคล้ายกันแต่ต่างที่รูปร่างของอรรถนนท์นั้นเล็กกว่าผู้เป็นพี่ ถึงอย่างนั้นก็ยังสูงสมส่วนตามมาตรฐานชายไทย

"คิดยังไงถึงได้ทำงานสถานทูตนะเรา งานหนักจะตาย ตัวอย่างก็มีให้เห็นทั้งพ่อเราพ่อพี่"คนพี่ยังคงบ่นไม่หยุดปากโดยไม่เปิดโอกาสให้คนถูกถามได้ต่อความอะไรสักนิด

"เอ๊! พี่อิงนี่ยังไง น้องมันเรียนมาทางนี้ก็ต้องทำงานด้านนี้สิ ใครจะไปเหมือนอาร์มกับพี่ มีพ่อเป็นทูตแต่ดันแหกคอกไปทำอย่างอื่น"ส่วนคำบ่นของคนน้องก็เรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้เป็นอย่างดี สองคนนี้ ตั้งแต่เด็กจนอายุเข้าเลขสามกันทั้งคู่แต่ยังชอบเถียงกันเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน


"ว่ายังไงเรา ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีมีอะไรมาอัพเดทให้พวกพี่ฟังบ้าง"สุดท้ายพอเบื่อจะเถียงกันถึงได้หันมาสนใจเขาเสียที แต่พอเจอคำถามนี้จากอรรถนนท์ คนไม่ค่อยพูดอย่างชลนธีร์ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ด้วยว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้มีอะไรที่น่า'อัพเดท'ให้พี่ชายทั้งสองคนฟังเลยสักนิดนอกจากเรื่องงานที่ยุ่งเสียจนหัวหมุน กับเรื่องที่เขาเพิ่งย้ายกลับเข้าไปอยู่บ้านเดิม ยังมีเรื่องที่เขาวางแผนเรียนปริญญาโทเพื่อต่อยอดความรู้อีก แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตเพราะตอนนี้เขายังสนุกกับงานที่ทำอยู่

"ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ วันๆธีร์ทำแต่งาน"

"อายุยังน้อยอย่าเพิ่งบ้างานเลยธีร์ ยังมีเวลาให้บ้าอีกเยอะ!"อิงทัศน์แซวเล่นกลั้วเสียงหัวเราะจนคนฟังได้แต่ยิ้มแห้ง มันก็จริงอย่างที่คนตัวสูงใหญ่ว่า แต่ถ้าเขาไม่บ้างานเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นดี

"เอาแต่โหมงานแบบนี้แล้วจะมีเวลาหาแฟนได้ไง"

"โธ่พี่อาร์ม ธีร์ไม่ซีเรียสหรอกครับ"คนถูกถามได้แต่ส่ายหน้าปลง เพราะสำหรับเขา คำว่า'แฟน'เป็นอะไรที่ไกลตัวนัก หรือจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยต่างหาก

"ได้ยังไงวัยรุ่น...รู้มั้ยตอนพี่อิงอายุเท่าเรานะ คุณพ่อพี่ปวดหัวแทบทุกวันเพราะเดาไม่ถูกว่าคนไหนกันแน่ที่จะมาเป็นสะใภ้"ได้ที ผู้เป็นน้องชายเลยจัดการยกเรื่องพี่ชายตัวเองมาเผาจนคนถูกพาดพิงสะดุ้งโหยง

"เสน่ห์แรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ"ชายหนุ่มยิ้มแซว แต่ก็ไม่แปลกใจนักเพราะระดับคุณอิงทัศน์ พิศาลวรกิจ ที่มีดีทั้งหน้าตาและฐานะครอบครัว จะมีสาวๆเข้ามารุมล้อมบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติ

"เสน่ห์แรงไม่เท่าไหร่ พี่แกเล่นพาผู้หญิงทุกคนที่ควงเข้าบ้านด้วยนี่สิ ตอนนั้นคุณแม่แทบจะซดยาหอมแทนน้ำเปล่าเลยล่ะ"เมื่อเห็นว่าน้องชายไม่หยุดปากเสียที เจ้าตัวถึงได้แต่กระแอมขัดเป็นระยะ

"ก็คุณพ่อพี่สอนไว้ว่าคบใครให้จริงใจเปิดเผย ต้องให้เกียรติเขาจะไปทำเล่นๆกับเขาไม่ได้"

"พี่อิงก็เลยให้เกียรติทุกคนเลยสินะ"

"ก็...พอดีช่วงนั้นมีหลายคนไปหน่อย"พี่ชายตัวโตได้แต่ยิ้มแก้เก้อยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเป็นพัลวันจนชลนธีร์ได้แต่อมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางแก้ตัวน้ำขุ่นๆของอีกฝ่าย

"เยอะจนพี่ตกใจตอนที่พี่อิงบอกว่าจะแต่งงานเลยล่ะ"

"นั่นสิครับ ตอนธีร์ได้ยินว่าพี่อิงจะแต่งงานนึกว่าเจ้าสาวจะเป็นสาวฝรั่งเศสซะแล้ว ที่ไหนได้..."เขาไม่ได้ต่อท้ายประโยคจนจบ เพียงแค่เหลือบสายตามองอีกฝั่งของสวนกว้าง หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งท่าทางทะมัดทะแมงที่กำลังยืนคุยกับคุณหญิงคุณนายในงานดูโดดเด่นยิ่งกว่าใคร ใบหน้าฉายแววมั่นใจเต็มเปี่ยมประดับรอยยิ้มยามสนทนา หรือแม้แต่ท่าทางคล่องแคล่ว ทั้งยังดีกรีความรู้ระดับด๊อกเตอร์จากประเทศอังกฤษ

"ต้องแบบพี่เบนซ์นี่แหละที่จะเอาคนอย่างพี่อิงอยู่"แม้แต่อรรถนนท์ยังพยักหน้าเห็นด้วย สำหรับเขา พี่สะใภ้คนนี้แม้ไม่ใช่คนสวยโดดเด่น หากแต่ความรู้ ความสามารถและบุคคลิกความเป็นผู้นำแบบนี้ต่างหากที่เขารู้สึกว่าช่างเหมาะเจาะกับพี่ชายคนโตยิ่งกว่าอะไร

"สงสัยจะจริงอย่างที่พี่อาร์มว่า ตอนนั้นก็รีบแต่งปุบปับจนคุณหญิงอรยังตกใจเลยนี่ครับ"

"ก็...พอเจอคนที่ใช่พี่ก็ไม่อยากรออะไรแล้วล่ะ...เราเองก็เถอะ เดี๋ยววันนึงพอเจอคนที่ใช่ก็จะเข้าใจเอง"


รอยยิ้มกริ่มของอิงทัศน์กลับทำเอาชายหนุ่มเงียบกริบ พี่ชายตัวโตก็คงพูดไปเรื่อยเมื่อเห็นว่าเขายังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน...แต่ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายเล่า ในเมื่อเขาเองก็เคยมีความรู้สึกแบบที่ว่ามาก่อน...เพียงแต่'คนที่ใช่'สำหรับเขา ในเวลานี้คือคนที่ปรากฎตัวเพียงแค่ในความคิด แต่กลับไม่สามารถเอื้อมมือออกไปหาได้ ทั้งที่บางทีในความฝัน คนๆนั้นอยู่ใกล้เพียงปลายจมูกกั้นแท้ๆ หากแต่เมื่อลืมตา ภาพตรงหน้ากลับเลือนหายราวกับฝุ่นควันลอยฟุ้งในอากาศ



ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ พยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้หายไป ตอนนี้เขาอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดใหญ่โต จะมัวแต่คิดเรื่องเดิมๆอยู่ได้อย่างไร...หากเพียงปลายสายตาเหลือบไปเห็นซองกระดาษสีทองที่เหน็บอยู่ในกระเป๋ากางเกง เจ้าตัวก็พลันนึกไปถึงเรื่องที่เพื่อนสนิทฝากฝังขึ้นมาได้ทันที

"จริงสิ...วันอังคารนี้พี่อิงกับพี่อาร์มมีธุระที่ไหนรึเปล่าครับ"

"อังคารนี้เหรอ...ก็ว่างอยู่นะ ธีร์มีอะไรรึเปล่า"อรรถนนท์เป็นคนถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย พอดีกับที่ชายหนุ่มยื่นซองจดหมายสีทองออกไปให้

"ไอ้แชมป์มันฝากมาชวนพี่อิงกับพี่อาร์มไปงานเปิดแกลเลอรี่ของมันแถวสาธรน่ะครับ"

"ไอ้เด็กแสบนั่นน่ะนะเปิดแกลเลอรี่ เดี๋ยวนี้หันมาเอาดีด้านเป็นศิลปินแทนแล้วหรือเนี่ย เมื่อก่อนยังเคยบ่นเย้วๆอยากจะเป็นตำรวจอยู่เลย"อิงทัศน์ว่าพลางหัวเราะพรืด สำหรับเขา ความทรงจำเกี่ยวกับบุคคลที่ว่าคงมีเพียงวีรกรรมแสบซนที่เจ้าตัวเคยสร้างไว้บ่อยครั้งเมื่อมาหาพวกเขาสองคนที่บ้าน ทั้งยังเสียงแหลมแสบแก้วหูที่เด็กชายหน้าตี๋เคยประกาศกร้าวว่าโตขึ้นเขาจะเป็นตำรวจคอยพิทักษ์ประชาชนอะไรเทือกนั้นอีก แต่จะว่าไปให้หมอนั่นมาเอาดีด้านนี้คงจะดีกว่ามาก เพราะเขาเองก็นึกภาพไอ้เด็กตัวแสบในเครื่องแบบตำรวจไม่ออกเลยจริงๆ

"มันบอกให้ธีร์มาลากพี่สองคนไปให้ได้เพราะมันคิดถึงพวกพี่จะแย่"

"ฮะๆ เอาสิ ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว อีกอย่างพี่ก็อยากเห็นฝีมือมันเหมือนกัน"อรรถนนท์ตอบกลั้วเสียงหัวเราะเบาพลางพลิกซองจดหมายในมือที่มีชื่อของเขาสองคนเขียนเอาไว้ด้วยปากกาหมึกซึม

"ชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะครับ แชมป์มันคงอยากให้มีคนไปเยอะๆ"ชลนธีร์เอ่ยเสียงนุ่มเมื่อเหลือบมองกลุ่มชายหนุ่มสามสี่คนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาจำได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่พี่ชายทั้งสองยืนคุยอยู่ก่อนจะปลีกตัวออกมาหา...ขาดก็แต่...ผู้ชายคนนั้นที่เดินหนีไปเสียก่อนที่เขาจะได้เห็นหน้า

"พวกนั้นมันไม่สนใจงานศิลปะเท่าไหร่หรอก ถ้าชวนไปกินเหล้าล่ะไม่แน่"คนเป็นพี่ยกยิ้มกวนก่อนปรายสายตามองตาม ก็เจ้าพวกนั้นที่เรียนด้วยกันมาทั้งกับเขาและน้องชาย มีแต่พวกหัวสมัยใหม่คิดแต่เรื่องงานกับเรื่องเที่ยวทั้งนั้น ไอ้เรื่องงานศิลปะเห็นทีจะเข้าไม่ถึง ตัวเขาเองก็เถอะ ถ้าไม่ติดว่าคนชวนเป็นน้องชายตัวแสบอีกคน จ้างให้เขาก็ไม่ยอมไปหรอก


"เอ...แต่หมอนั่นอาจจะอยากไปก็ได้นะ"ราวกับนึกอะไรได้เมื่ออรรถนนท์โพล่งขึ้นคล้ายลืมตัว แต่กลับเรียกความสงสัยจากคนฟังได้ไม่น้อย

"ใครเหรอครับ"

"เพื่อนสนิทพี่สมัยเรียนที่โน่นน่ะ เพิ่งกลับไปก่อนธีร์จะมาแป๊บเดียว"คำพูดของชายหนุ่มร่างโปร่งทำเอาชลนธีร์นึกไปถึงแผ่นหลังกว้างคุ้นตาที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ เห็นทีจะเป็นคนนั้นที่อรรถนนท์พูดถึง

"นั่นสิ ถ้าเป็นหมอนั่นคงสนใจ เห็นอาร์มบอกว่าสนใจพวกงานศิลปะ โดยเฉพาะของเก่าของโบราณนี่ชอบนัก"อิงทัศน์เองก็พยักหน้าสนับสนุนความคิด

"อย่าเรียกว่าสนใจเลยพี่อิง ต้องเรียกว่าหมกมุ่นเลยล่ะ ไม่งั้นคงไม่ตามตื๊อคุณพ่อขอซื้อเรือนริมน้ำอยู่ทุกวันแบบนี้หรอก"


หากแต่คำตอบของอรรถนนท์ทำเอาอีกฝ่ายที่กำลังตั้งใจฟังเพลินๆหลุดร้องเสียงหลงอย่างลืมตัว


"ลุงกิตติจะขายเรือนริมน้ำหลังนั้นเหรอครับ!"ราวกับถูกใครดึงเอาสติออกจากตัวเสียดื้อๆเมื่อทั้งร่างของเขาชาวาบเพียงแค่ได้ยินประโยคนั้น แม้แต่พี่ชายทั้งสองก็สะดุ้งโหยงหลังได้ยินเสียงแหวลั่นจากเจ้าตัว

"เห็นท่านก็เปรยๆว่าจะขายเพราะหมอนั่นบอกว่าจะซื้อไปอยู่เอง ไม่ได้เอาไปทำอะไรที่ไหน...แต่ก็แปลกนะ ปกติใครมาติดต่อขอซื้อ คุณพ่อก็ปฏิเสธไปทุกที มีแต่หมอนี่แหละที่คุณพ่อยอมใจอ่อน...ไม่รู้ถูกใจอะไรกันนักหนา เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งแท้ๆ"คำพูดยืดยาวของอรรถนนท์กลับไม่เข้าหูสักนิด เมื่อความคิดหลุดลอยออกจากตัวเพียงเพราะได้ยินเรื่องเรือนริมน้ำหลังนั้น...เรือนโบราณที่เขาเพียรพยายามขออนุญาตเจ้าของตัวจริงไปดูให้เห็นกับตาหลายต่อหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดทั้งจังหวะและโอกาสก็ไม่เอื้ออำนวยสักที ขนาดวันนี้ที่เขาตั้งใจจะลองขออนุญาตดูอีกครั้งแต่กลับมาได้ยินเรื่องนี้เข้าเสียก่อน...ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย เมื่อตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรในเรือนหลังนั้นแม้แต่น้อยแต่กลับรู้สึกหวงแหนเพียงได้รู้ว่ามันกำลังจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่น...คนที่เขาไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จัก แต่กลับกำลังจะได้เรือนหลังงามที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเขากับใครอีกคนไปครอบครอง


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 26-02-2015 21:46:49

"พี่ธีร์!"


ความคิดเวียนวนกลับถูกหยุดลงด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กพร้อมมือขาวเรียวที่เกาะเกี่ยวเข้าบนต้นแขน...ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวก่อนหันไปมองเจ้าของเสียงหวานที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างกาย ใบหน้าหวานระเรื่อเคลียด้วยผมยาวดัดเป็นลอน ความสูงของเธอแม้สวมรองเท้าส้นสูงแล้วแต่ก็ได้เพียงหัวไหล่ของเขาเท่านั้น

"ตวง!...ตฤณ!"ไม่ใช่แค่คนตัวเล็กคนเดียว แต่ยังมีเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินตามมาด้านหลัง...เขาฉีกยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้เห็นเจ้าของชื่อทั้งสองคนปรากฏตัวตรงหน้าโดยลืมไปเสียสนิทว่ากำลังเป็นกังวลเรื่องอะไรอยู่

"ลงมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วลุงเอกไม่ได้มาด้วยเหรอ"ใบหน้าหวานระเรื่อส่ายไปมาแทนคำตอบ



ตวงกับตฤณเป็นลูกของลุงเอก หรือคุณเอกภพ เตชะวณิช ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเขา ยังมีพี่ต้น พี่ชายคนโตอีกหนึ่งคนที่เขาได้ยินจากอานิดว่าตอนนี้กำลังบินไปดูงานที่ต่างประเทศ...แต่การได้มาพบสองคนพี่น้องในเวลาแบบนี้นับว่าแปลกนัก เพราะทั้งตวงและตฤณเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ทั้งคู่ ด้วยว่าภรรยาของลุงเอกมีธุรกิจโรงแรมอยู่ที่นั่น ทำให้สองคนพี่น้องเลือกอยู่กับผู้เป็นแม่ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้นจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยเพราะไม่ชอบความวุ่นวายของเมืองหลวง

"ปิดเทอมแล้วเลยชวนตฤณลงมาหาคุณพ่อค่ะ แต่วันนี้คุณพ่อติดงานด่วนเลยให้ตวงกับตฤณมาแทน"หญิงสาวตอบฉะฉานถึงหน้าที่ที่ผู้เป็นพ่อฝากฝัง...ตวงเป็นลูกสาวคนรอง อายุ๒๒ เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ผิวขาวได้จากทั้งพ่อและแม่ แต่เครื่องหน้ากลับคมสวยเหมือนคนไทยแท้ๆคงเพราะได้ความงามมาจากคุณย่า ส่วนตฤณที่เพิ่งจะพ้นวัย๒๐ไปได้ไม่กี่วันเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบาง หน้าตาคล้ายพี่สาว นั่นหมายความว่าค่อนไปทางหวานมากกว่าจะให้ชมว่าหล่อ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ชอบบ่นบ่อยๆเวลาที่ใครบอกว่าเขาหน้าเหมือนผู้หญิง

"อานิดบอกว่าพี่ธีร์อยู่ข้างนอกตวงเลยออกมาหาค่ะ...แล้วนี่..."เสียงหวานยังเจื้อยแจ้วแต่กลับสะดุดลงเมื่อหันไปพบกับคู่สนทนาอีกสองคนที่ยืนอยู่ก่อนหน้า

"พี่อิงกับพี่อาร์มลูกชายลุงกิตติไง ตวงจำไม่ได้แล้วมั้ง ตอนนั้นที่เจอกันเรายังเพิ่งไม่กี่ขวบเอง"หญิงสาวส่ายหน้าตอบทั้งยังรู้สึกละอายขึ้นมา เพราะครอบครัวของตนกับท่านทูตกิตติเองก็รู้จักมักคุ้นกันดี เพียงแต่ลูกชายทั้งสองที่ใช้เวลาเกินกว่าครึ่งชีวิตอยู่ต่างประเทศ ทำให้เธอลืมหน้าพี่ชายทั้งสองไปเสียสนิท

"สวัสดีค่ะพี่อิง...พี่อาร์ม"ถึงอย่างนั้นก็ยังยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท

"น้องตวงจำพี่ไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ครั้งก่อนที่พี่เจอเราเพิ่งตัวเท่านี้เองมั้ง"อิงทัศน์ว่าพลางทำท่าประกอบ เขาลดมือเทียบความสูงต่ำกว่าสะโพกของตนลงมาเล็กน้อย เพียงแค่นั้นก็ทำเอาเจ้าตัวยิ้มเขินเสียจนหน้าแดงก่ำ

"ส่วนเจ้าตฤณยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนั้นยังเพิ่งหัดเดินอยู่เลย"แม้แต่เด็กหนุ่มอย่างตฤณเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งรับ สำหรับเขา ความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายทั้งสองมีเพียงการรับรู้ว่าท่านทูตกิตติมีบุตรชายสองคนเท่านั้น หากแต่ไม่เคยพบหน้าหรือได้พบเมื่อครั้งยังจำความไม่ได้ตามที่อีกฝ่ายว่า

"ตวงมาขัดจังหวะรึเปล่าคะ...พอดีลุงกิตติบอกให้มาตามพวกพี่เข้าไปหา"ได้ยินแบบนั้นอรรถนนท์จึงรีบส่ายหน้าตอบทันที

"ไม่หรอกค่ะ พอดีธีร์กำลังชวนพวกพี่ไปงานเปิดแกลเลอรี่ของเพื่อนสนิทมันน่ะ"คำตอบของชายหนุ่มกลับทำเอาคนตัวเล็กตาลุกวาวเป็นประกาย ทั้งยังมือเรียวที่เกาะเกี่ยวเอาแขนของชลนธีร์เอาไว้อีกครั้งอย่างลืมตัว

"เพื่อนพี่ธีร์เปิดแกลเลอรี่ด้วยเหรอคะ...ตวงอยากไปดูจังเลยค่ะ ให้ตวงไปด้วยได้มั้ย"

"ชอบงานศิลปะเหมือนกันเหรอเรา หื้ม"สองมือออกแรงกระตุกเร่าจนแม้แต่ชลนธีร์เองยังแปลกใจ เขาจำได้ว่าน้องสาวคนนี้เรียนด้านบริหารเพราะลุงเอกและภรรยาอยากให้ช่วยรับช่วงกิจการต่อ แต่ไม่เคยรู้ว่าคนตัวเล็กยังสนใจด้านงานศิลปะอีกด้วย

"ชอบค่ะ...กำลังคิดอยู่ว่าอยากเรียนต่อด้านนี้...นะคะพี่ธีร์ ให้ตวงไปด้วยนะคะ"ทั้งยังดวงตาคู่สวยที่ส่องประกายวาววับอย่างกระตือรือร้นเต็มที จนแม้แต่น้องชายที่ยืนเงียบอยู่นานยังต้องออกปากท้วงด้วยกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท

"พี่ตวง...เอาไว้เราไปดูที่อื่นกันก็ได้ เกรงใจพี่ธีร์เขา"

"เกรงใจอะไรกันล่ะ ไปกันหลายคนสิดี เพื่อนพี่มันก็อยากให้คนไปดูงานของมันเยอะๆอยู่แล้ว"จนเมื่อชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆพลางโบกมือไปมาเป็นเชิงว่าไม่มีปัญหาอะไรนั่นล่ะ อีกฝ่ายถึงได้เงียบลง

"ถ้าอย่างนั้น วันอังคารนี้พี่จะไปรับที่บ้านนะครับ จะได้ไปพร้อมกัน"พอได้รับคำยินยอมจากปากเจ้าตัว หญิงสาวถึงรีบพยักหน้ารัวรับทันที ก่อนจะหันไปชวนน้องชายที่ติดจะปากหนักอยู่ไม่น้อยให้ไปเสียด้วยกัน

"ไปเถอะน่าตฤณ ลงมากรุงเทพทั้งทีจะอยู่แต่บ้านกับเดินห้างมันน่าเบื่อจะตาย"ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังมีท่าทีลังเลเพราะความเป็นคนขี้เกรงใจของตน

"ไปเถอะตฤณ...ลุงเอกจะได้ไม่เป็นห่วงด้วย เดี๋ยวจะหาว่าพี่พาลูกสาวแกไปไหนต่อไหน"แต่พอยกผู้เป็นพ่อมาอ้าง สุดท้ายเลยต้องจำใจตกปากรับคำอย่างเสียไม่ได้

"ขอบคุณนะคะพี่ธีร์"หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างพลางยกมือไหว้ขอบคุณอีกสักรอบ ต่อให้ดีใจขนาดไหนก็ยังคงไม่ลืมมารยาทที่ถูกสอนสั่งมาตั้งแต่เล็ก ทั้งยังเรียกรอยยิ้มจากพี่ชายอีกสามคนได้เป็นอย่างดีเมื่อเห็นท่าทีนอบน้อมของอีกฝ่าย



"พี่ว่าเราเข้าไปหาคุณพ่อกันดีกว่า ให้ผู้ใหญ่ท่านรอนานคงไม่ดี"เมื่อเห็นว่าหมดปัญหาเรื่องงานเปิดแกลเลอรี่ อิงทัศน์ถึงได้ท้วงขึ้นเมื่อนึกได้ว่าผู้เป็นพ่อให้หญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าออกมาตามพวกเขาไปพบ...หากแต่ชลนธีร์ที่เดินตามหลังกลับชะงักฝีเท้าลงเสียดื้อๆ ก่อนเอ่ยปากเรียกลูกชายคนเล็กของท่านทูตกิตติให้หันมามองเป็นเชิงถาม


"พี่อาร์ม...อย่าลืมชวนเพื่อนพี่คนนั้นไปด้วยกันนะครับ"เสียงนุ่มเรียบของน้องชายเอ่ยเบาจนเจ้าของชื่อได้แต่พยักหน้ารับแบบไม่ค่อยเข้าใจนัก


อันที่จริงชลนธีร์ไม่ได้สนใจหรอกว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของอรรถนนท์หรือใครก็ตาม แต่เพียงเพราะเขาอยากเห็น...คนที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของเรือนริมน้ำหลังนั้น หรือไม่ ก็อาจจะหาโอกาสพูดคุยให้หมอนั่นเปลี่ยนใจแล้วหันไปมองหาเรือนโบราณหลังอื่นแทน เพราะสำหรับเขา เรือนหลังนั้นมีคุณค่ามากยิ่งกว่าการเป็นแค่ของเก่าสำหรับนักสะสมบางคน




คุณค่า...ทางจิตใจที่ไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้



..........................................................................................






เย็นวันอังคารมาถึงอย่างรวดเร็วเหมือนกับใจที่ร้อนรนของชายหนุ่ม...ชลนธีร์มาถึงแกลเลอรี่ของเพื่อนสนิทตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินดีเพียงเพราะถูกเจ้าของแกลเลอรี่รบเร้าให้มาช่วยเตรียมงาน เช่นเดียวกับโจ๊กและต่อที่บ่นอุบตั้งแต่มาถึงเพราะทั้งสองคนเองก็วุ่นวายกับงานในกองถ่ายไม่น้อย แต่เพราะขึ้นชื่อว่างานของเพื่อนสนิทถึงได้ยอมตกปากรับคำมาช่วยเตรียมงานตั้งแต่เนิ่นๆ


แกลเลอรี่ของฐิติกรณ์ไม่ได้ใหญ่โตนัก เจ้าตัวเพียงทุ่มงบส่วนตัวที่พอมีดัดแปลงอาคารสองชั้นแถวสาธรซึ่งมีชื่อพ่อของเขาเป็นเจ้าของให้กลายเป็นแกลเลอรี่แสดงภาพวาดและภาพถ่ายฝีมือของตัวเอง หากแต่ในงานเปิดตัวครั้งแรก เขาเลือกที่จะแสดงชุดภาพวาดสีน้ำมันที่เขาเพียรใช้เวลาทุ่มเทแรงกายและแรงใจสรรสร้างผลงานอยู่เกือบสี่ปี จนออกมาเป็นชุดภาพวาดที่แขวนเรียงรายทั่วแกลเลอรี่ ภายใต้แนวความคิด 'A Siam daydream...ฝันเฟื่องเรื่องสยาม' ที่คนสนิทหลายต่อหลายคนได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินแนวคิดแปร่งหูขัดกับบุคลิกของเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง มีก็แต่ชลนธีร์ที่รู้ดีกว่าใครถึงที่มาของมัน ทั้งยังมีภาพวาดชิ้นสำคัญสามภาพที่เจ้าของผลงานปิดเงียบไม่ยอมให้ใครได้เห็นจนกว่าจะถึงวันเปิดตัว...ภาพที่ถูกคลุมด้วยผ้าใบสีขาวถูกแขวนเอาไว้ด้านในสุดของห้องจัดแสดง ซึ่งแม้แต่ชลนธีร์ที่เป็นเพื่อนสนิทก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ชมก่อนใคร โดยที่เจ้าตัวเอาแต่อ้างคำเดิมซ้ำๆว่า 'เดี๋ยวมึงก็เห็นเอง' แต่ที่น่าแปลกคือเจ้าของผลงานยังกำชับว่าหนึ่งในสามภาพนั้นคือของขวัญที่จะมอบให้เขาหลังจากจบงานโดยที่เจ้าตัวไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด


"เอ้า! ชนให้เชี่ยแชมป์มันหน่อย ในที่สุดฝันที่จะมีแกลเลอรี่เป็นของตัวเองก็เป็นจริงสักที"เสียงโหวกเหวกของโจ๊กดังทะลุกลางวงสนทนา หลังเจ้าของแกลเลอรี่กล่าวเปิดงานเสร็จแล้วปล่อยให้แขกเหรื่อเดินชมภายในตามอัธยาสัย เจ้าตัวรีบยกแก้วแชมเปญสีทองอร่ามในมือขึ้นสูงเรียกให้เพื่อนๆอีกสามคนทำตามบ้าง เสียงแก้วกระทบกันดังกังวานใสคลอเสียงหัวเราะของชายหนุ่มทั้งสี่ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปีก็ยังคงสนิทสนมกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

"ขอบใจพวกมึงมากที่มาช่วย แล้วนี่ได้เดินดูงานกันบ้างรึยังวะ"ทั้งโจ๊กและต่อส่ายหน้าพรืด เอาเข้าจริงพวกเขาก็ไม่ค่อยสันทัดกับงานศิลปะพวกนี้สักเท่าไหร่ ที่มาก็เพราะเห็นว่าเป็นงานของเพื่อนสนิท แต่ไหนๆมาแล้วก็เลยขอปลีกตัวไปเดินชมบรรยากาศเสียหน่อยเพื่อไม่ให้เสียโอกาส

"แล้วมึงไม่ไปกับพวกมันล่ะ"พอคล้อยหลังสองคนนั้น เจ้าของงานถึงได้หันมาถามอีกคนที่ยังยืนยิ้มกริ่มอยู่ข้างๆ หากแต่เจ้าตัวเพียงส่ายหน้าไปมา

"ตอนนี้คนเยอะ เอาไว้เดินดูตอนหลังเลิกงาน"ถึงจะบอกไปอย่างนั้นแต่เขาก็ได้เห็นผลงานของเพื่อนสนิทผ่านตามาบ้าง มีเพียงภาพสำคัญที่เจ้าของงานอ้างถึงที่เขายังไม่มีโอกาสเข้าไปชม หากแต่เพราะตอนนี้คนพลุกพล่านเขาจึงเลือกอยู่แถวๆด้านนอก รอจังหวะให้คนซาลงกว่านี้เสียก่อน เพราะสำหรับเขาคงใช้เวลามากกว่าคนอื่นในการดื่มด่ำกับศิลปะตรงหน้า ด้วยว่าภาพทุกภาพล้วนมีความหมายเกี่ยวข้องกับตัวเองเช่นกัน



"พี่อิง พี่อาร์ม!"ปลายสายตาเหลือบไปเห็นพี่ชายทั้งสองคนที่เพิ่งมาถึงกำลังเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาหาจนชายหนุ่มเผลอร้องเรียกเสียงดัง อิงทัศน์และอรรถนนท์ที่มาในชุดสูทสีดำดูภูมิฐานสมฐานะลูกชายทั้งสองของท่านทูตกิตติยกยิ้มกว้าง เช่นเดียวกับเจ้าของงานที่ออกอาการดีใจเกินกว่าเหตุ

"โหพี่อิง พี่อาร์ม ทำไมหล่อแบบนี้ครับ!"ทั้งยังน้ำเสียงยียวนเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าของชื่อได้เป็นอย่างดี

"ว่าไงไอ้แสบ! ไม่ได้เจอกันนาน เผลอแป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มมีแกลเลอรี่เป็นของตัวเองแล้วนะ"ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนพี่รีบปรี่เข้ามาหาพร้อมวาดมือกอดคอคนที่ได้ชื่อว่าน้องชายต่างสายเลือดเสียแน่น

"พี่อิงก็พูดเกินไป แค่แกลเลอรี่เล็กๆเอง"ฐิติกรณ์หัวเราะร่วนทั้งที่ถูกรั้งตัวเอาไว้ แต่ยังไม่ลืมทำหน้าที่เจ้าภาพที่ดี ฉวยแก้วแชมเปญจากบริกรที่เดินผ่านให้กับแขกที่เพิ่งมาถึงทั้งสอง

"แล้วไม่ทราบว่าคุณฐิติกรณ์จะให้เกียรติพาพวกผมเดินชมแกลเลอรี่เล็กๆนี้ได้หรือไม่ล่ะขอรับ"อรรถนนท์คนน้องเอ่ยแซวกลั้วเสียงหัวเราะ

"โถๆๆ ลูกชายท่านทูตอุตส่าห์ให้เกียรติมาร่วมงานถึงสองคนแบบนี้ กระผมจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะขอรับ"คนถูกแซวไม่ยอมแพ้ ยียวนกลับด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ร่วมวงสนทนาได้เป็นอย่างดี

"อ้าวธีร์ แล้วน้องตวงกับน้องตฤณล่ะ ไหนบอกว่ามาด้วยกัน"อิงทัศน์ที่สังเกตเห็นก่อนถามขึ้น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของชื่อยืนอยู่กับเพื่อนเพียงสองคน

"เออใช่ มึงบอกว่าพาน้องมาด้วย กูยังไม่ได้เจอเลย"เจ้าของงานเองก็ดูสงสัยไม่น้อย เพราะเมื่อตอนมาถึงเขาเห็นว่าเพื่อนสนิทไม่ได้มาเพียงลำพังหากแต่มีชายหญิงคู่หนึ่งตามติดมาด้วย แต่เพราะกำลังยุ่งเรื่องเตรียมงานจึงไม่มีเวลาเข้าไปทักทาย เห็นเพียงหลังไวๆของหญิงสาวผมยาวกับเด็กหนุ่มตัวไล่เลี่ยกัน

"เมื่อกี้มัวแต่ช่วยไอ้นี่อยู่ ธีร์เลยบอกให้น้องเดินเล่นดูงานกันไปก่อนครับ"ชลนธีร์โบ้ยไปให้เจ้าของงาน อีกสองคนเลยได้แต่พยักหน้ารับเป็นอันรู้กัน


หากแต่ยังไม่ทันที่เจ้าของแกลเลอรี่จะได้เริ่มนำแขกกิตติมศักดิ์ทั้งสองเดินชมงาน ชายหนุ่มร่างโปร่งก็คลับคล้ายนึกอะไรได้บางอย่าง ดวงตาคู่สวยกลอกไปมาอย่างลังเลด้วยไม่แน่ใจว่ามันเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่าพี่ชายคนสนิททำท่าจะเดินตามหลังเจ้าภาพของงานเข้าไปด้านใน เสียงนุ่มก็ดันเอ่ยเรียกขึ้นอย่างลืมตัว

"พี่อาร์มครับ!"เพียงเท่านั้นก็พอให้เจ้าของชื่อชะงักฝีเท้าแล้วหันมามอง

"มีอะไรเหรอธีร์"

"คือ...เพื่อนพี่คนนั้น เขามาด้วยรึเปล่าครับ"ดวงหน้าได้รูปฉายแววกระอักกระอ่วนจนคนถูกถามได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น

"มาสิ เพิ่งมาถึงพร้อมกันนี่ล่ะ...อ๊ะ! นั่นไง"หากเพียงครู่เดียวที่สายตาของอรรถนนท์มองผ่านไหล่ของชายหนุ่มไปด้านหลังก่อนร้องทักเสียงดังจนเจ้าตัวเหลียวมองตาม

"กันต์...ไอ้กันต์!...วะ ไอ้นี่ หูหนวกหรือไง"อรรถนนท์บ่นอุบเมื่อคนที่ตนเรียกไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงของเขาสักนิด ซ้ำยังเดินหายเข้าไปด้านในของแกลเลอรี่ให้ชลนธีร์ได้เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของผู้ชายตัวสูงในชุดสูทสีเข้มที่เพิ่งลับหายไปหลังผนังของห้องจัดแสดงผลงาน


แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้สองขาของเขาก้าวตามออกไปโดยไม่สนใจคู่สนทนาที่ยืนสงสัยอยู่ไม่น้อย เพียงเพราะในความคิดที่ติดอยู่เรื่องเดียว




...เรื่องเรือนริมน้ำหลังนั้น...




สองเท้าก้าวตามทางเดินขนาบข้างด้วยผนังสีขาวเรียงรายด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือของเพื่อนสนิทที่ตนตั้งใจจะเดินชมผลงานเมื่อหลังงานเลิก หากตอนนี้กลับมีสิ่งอื่นรบกวนจิตใจมากกว่า...ภาพวาดของฐิติกรณ์ภาพแล้วภาพเล่าแล่นผ่านสายตาโดยที่เจ้าตัวไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ทั้งภาพผู้คนในตลาด วัดวาอาราม ภาพความเป็นอยู่ของบ่าวในโรงครัว หรือวิถีชีวิตของชาวพระนครในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงถูกถ่ายทอดผ่านเส้นสายลายมือของเจ้าของผลงาน แต่กลับดึงดูดสายตาของชายหนุ่มได้ไม่เท่าแผ่นหลังกว้างสมดุลปกคลุมด้วยชุดสูทสีเข้มที่ค่อยเคลื่อนตัวผ่านฝูงชนอย่างรวดเร็ว ราวกับเจ้าตัวพยายามหลบหลีกคนเดินตามหลังอย่างเขาเสียเต็มที


หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ...เขาอยากเห็นหน้าของคนที่กำลังจะกลายมาเป็นเจ้าของคนใหม่ของเรือนริมน้ำหลังนั้น อยากพูดคุย อย่างน้อยก็เพื่อโน้มน้าวให้ใครอีกคนเปลี่ยนใจ ทั้งที่รู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์อะไรในเรือนหลังนั้นแม้แต่น้อย หากแต่เขายังนึกเสียดาย ถ้าเรือนทรงฝรั่งหลังนั้นต้องตกอยู่ในมือของใครคนอื่น ไม่ใช่คนในเชื้อสายของเจ้าคุณท่าน แต่กลับเป็นใครที่เขาไม่รู้จัก


เขาไม่อยากยอม และไม่คิดจะยอม...หากการโน้มน้าวเจ้าของคนปัจจุบันเป็นเรื่องยาก ทางเดียวที่มีก็คือการโน้มน้าวคนที่สนใจมันอย่างคนตรงหน้านี้เท่านั้น


สองเท้าที่ก้าวตามชะงักลงเมื่อคนข้างหน้าหยุดยืนตรงหน้าภาพวาดสามภาพที่ถูกแขวนเอาไว้สุดโถงทางเดินของแกลเลอรี่ เรียวปากบางขยับเพียงนิดตั้งใจเอ่ยเรียกเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกล หากแต่สายตากลับสะดุดอยู่ที่ภาพวาดตรงหน้าจนแม้แต่ตัวเองยังเผลอกลั้นหายใจอย่างลืมตัว




ภาพสามภาพที่เจ้าของผลงานแอบปิดเงียบไม่ยอมให้ใครได้เห็นแม้แต่ตัวเขาที่เป็นเพื่อนสนิท...แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นภาพผู้หญิงเพียงคนเดียวที่กุมหัวใจของคนวาดเอาไว้แม้เวลาพ้นผ่านมาถึงสี่ปี...ดวงหน้านวลเนียนก้มลงเพียงนิดหากแต่พอได้เห็นริมฝีปากสีสดที่ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี มือเรียวเล็กเอื้อมออกหมายปลิดดอกมะลิสีขาวนวลตรงหน้า สไบสีกลีบบัวยิ่งขับให้ผมยาวตรงดำสนิทดูโดดเด่น ทั้งยังดวงตากลมโตหวานฉ่ำยามจ้องมองพุ่มดอกมะลิขาวนวลดูทรงเสน่ห์ทั้งที่ให้ดูอย่างไรหญิงสาวในภาพก็ไม่น่ามีอายุเกิน ๒๐ปี


หากภาพที่สองกลับแตกต่าง...เรือนไม้สักทรงไทยหลังใหญ่โตโดดเด่นอยู่กลางผืนผ้าใบ รั้วรอบขอบระแนงถูกลงสีอย่างปราณีตบรรจง ทั้งใต้ถุนสูงเปิดโล่งให้เห็นแสงสว่างลอดด้านใต้ จั่วด้านหน้าเรือนเองก็งดงามอ่อนช้อยตามเอกลักษณ์ของเรือนไทยโบราณ ยิ่งได้พิศดูก็ยิ่งรู้ว่าเจ้าของผลงานถ่ายทอดฝีมือผ่านผ้าใบผืนใหญ่ออกมาเป็นเรือนไทยหลังงามได้ไม่ผิดเพี้ยนจากต้นฉบับแม้กระเบียดนิ้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้มกว้างจากคนที่ยืนมองอย่างลืมตัวเมื่อนึกได้ว่า ในที่สุดเรือนหลังนี้ก็กลับมาสวยโดดเด่นอีกครั้งแม้เป็นเพียงแค่ภาพวาดก็ตาม


แต่สิ่งที่ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มกระตุกวูบราวคนลืมหายใจกลับเป็นภาพสุดท้ายที่แขวนโดดเด่นอยู่ตรงกลาง...ภาพวาดที่เจ้าตัวแน่ใจว่าศิลปินผู้สรรสร้างหมายมั่นจะยกภาพนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับเขาอย่างที่มันเคยว่าไว้


โต๊ะไม้สักโบราณลวดลายงดงามตั้งโดดเด่นอยู่กลางภาพ ขาโต๊ะทั้งสี่สลักเสลาลวดลายอ่อนช้อย บนโต๊ะมีกองเอกสารวางเกลื่อน ทั้งยังปากกาขนนกแท่งยาวที่วางทาบอยู่ด้านบน...หากแต่สิ่งที่โดดเด่นกว่านั้นกลับกลายเป็น...ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า...คนหนึ่งสวมชุดข้าราชการสมัยโบราณเต็มยศ เสื้อราชประแตนคอตั้งสีขาวแขนยาวกับผ้าม่วงผูกโจงสีเข้มยิ่งเสริมให้คนในภาพดูงามสง่า รูปร่างสูงสมส่วน ผมรองทรงเสยเรียบเผยให้เห็นกรอบหน้าคมเข้มตามแบบชาวสยาม ดวงตาคมสวยหากแต่อ่อนโยนด้วยรอยยิ้มปรายประดับบนริมฝีปากหยักได้รูป...กับอีกคน...ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ราวกับมาจากคนละยุคคนละสมัย รูปร่างสูงโปร่งทว่าผอมบาง ผมยาวละต้นคอถูกจับเสยทัดหูโดยมือหนาของอีกคนในภาพ สองมือของคนตัวเล็กกว่าประคองวัตถุไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเอาไว้อย่างทะนุถนอมราวของมีค่า ที่หากสังเกตให้ดีจะเห็นตัวอักษรสลักเสลาอยู่บนนั้น ตัวหนังสือบรรจงตวัดปลายหางที่อ่านได้เป็นคำสั้นๆว่า...'ชลนธีร์'...กรอบหน้าได้รูปโน้มลงเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยวาวใสราวลูกแก้วจดจ้องเพียงวัตถุในมือ ต่างจากดวงตาคมของคนตัวสูงกว่าที่จดจ้องเพียงใบหน้านวลของคนตรงหน้า...สายตา...ที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักและอาทร


เช่นเดียวกับสายตาของชายหนุ่มเจ้าของชื่อที่สลักเสลาอยู่บนวัตถุไม้ทรงเหลี่ยมที่กำลังยืนจดจ้องภาพตรงหน้าชนิดที่ว่าเจ้าตัวแทบลืมหายใจ ดวงตาคู่สวยพราวระยับหากแต่สั่นระริกด้วยความรู้สึกเต็มตื้นจนเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากบางของตนอย่างลืมตัว...ภาพตรงหน้างดงามเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดใด แม้ฝีไม้ลายมือของศิลปินผู้สร้างสรรผลงานไม่ได้เหนือชั้นเทียบเทียมศิลปินชั้นแนวหน้า แต่กลับงดงามด้วยความหมายล้นเปี่ยม


หากเพียงครู่เดียวที่ชายหนุ่มสะดุดห้วงลมหายใจ ภาพแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับเข้ามาแทนที่ ความคิดจดจ่อต่อภาพวาดงดงามถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริง สองเท้าค่อยๆขยับเข้าหาจนมาหยุดอยู่ด้านหลังร่างสูงสมส่วนนั้นเพียงแค่เอื้อม


"คุณกันต์ใช่มั้ยครับ"

เสียงนุ่มเอ่ยเรียกเจ้าตัวตามที่ได้ยินจากพี่ชายคนสนิทเมื่อครู่  หากแต่เจ้าของชื่อยังคงยืนนิ่งจนชลนธีร์เริ่มลังเล

"ผมเป็นน้องชายของพี่อาร์ม...ได้ยินมาว่าคุณกำลังจะซื้อเรือนริมน้ำของลุงกิตติ"ทั้งที่ร่ายยาวเป็นเรื่องเป็นราวแต่คนฟังกลับไม่มีทีท่าสนใจสักนิด เจ้าของร่างสูงเพียงไหวไหล่เล็กน้อยหากยังคงยืนนิ่งหันหลังให้จนคนถามเริ่มหงุดหงิด


ไอ้หมอนี่...มารยาทมีหรือเปล่านะ คนเขาถามเสียขนาดนี้ยังยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาคุยกัน


"คือผมแค่อยากถามว่าคุณสนใจเรือนโบราณหลังอื่นบ้างไหม พอดีผมรู้จักอยู่หลายที่ ถ้ายังไงผมแนะนำให้ได้นะครับ...เพราะเรือนของลุงกิตติหลังนั้น..."โน้มน้าวเสียยืดยาวกลับสะดุดอยู่ที่ท้ายประโยคเพียงเพราะไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาอ้าง...จะบอกว่าหวงก็ดูไม่สมเหตุสมผลในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรือนนั้น...หรือจะบอกว่าต้องการซื้อต่อก็จะเป็นการโกหก ในเมื่อเขาไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นแม้แต่น้อยเพราะยังนึกอยากให้เรือนหลังนั้นตกเป็นมรดกของลูกหลานตัวจริงของเจ้าของเรือน...แล้วควรจะบอกว่าอะไรดีล่ะ





"คงไม่ได้หรอกครับ"



หากเพียงประโยคสั้นๆด้วยเสียงทุ้มนุ่มจากคนตรงหน้ากลับทำเอาดวงตาคู่สวยที่กลอกไปมาเพราะครุ่นคิดหาเหตุผลเบิกกว้างอย่างตกใจ ดวงหน้าเรียวยาวสะบัดขึ้นจดจ้องแผ่นหลังกว้างสมดุล ที่หากตั้งใจมองอย่างจริงจังมันช่างคุ้นแสนคุ้น



ไม่ต่างจากน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ได้ยินเมื่อครู่



"ผมไม่คิดจะซื้อเรือนหลังอื่น ต้องเป็นเรือนหลังนี้เท่านั้น"



ร่างสูงโปร่งหันกลับมาเผชิญหน้า สบดวงตาคมวาววับเข้ากับดวงตาคู่สวยที่สั่นระริกเพราะความตกตะลึง หากใบหน้าคมกลับไม่สะทกสะท้านยังคงประดับรอยยิ้มบางบนมุมปาก




รอยยิ้ม...ที่เหมือนคนในภาพวาดด้านหลังไม่ผิดเพี้ยน




"ค...คุณ..."


"ภาพนี้สวยดีนะครับ...คนวาดเขาเอาต้นแบบมาจากไหนกันนะ แปลกดี"


ดวงตาคมปรายมองภาพด้านหลังเพียงครู่ หากแต่ไม่สามารถดึงความสนใจของชายหนุ่มให้ละสายตาไปจากผู้พูดได้ ลมหายใจของเขาสะดุดนิ่งราวคนลืมวิธีหายใจ ทั้งยังสติรับรู้ที่หล่นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้



"...คุณหลวง..."



เสียงนุ่มสั่นเบาราวเสียงกระซิบหลุดจากเรียวปากบางอย่างเลื่อนลอยเรียกให้คิ้วดกหนาของคนตรงหน้ายกขึ้นเล็กน้อย



"คุณหลวงหรือ...เอ...มีคนเคยเรียกผมแบบนี้เหมือนกันนะ..."



สองเท้าขยับเข้าใกล้จนประชิดตัวคนที่กำลังยืนนิ่ง มีเพียงหัวใจที่เต้นระรัวกับสีหน้าตกตะลึงเมื่อใบหน้าคมโน้มเข้าหา ก่อนส่งเสียงกระซิบเบาข้างหู



"เมื่อนานมาแล้ว... "


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ตอนที่ ๓๗(๒) ๑๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 26-02-2015 21:47:29


เพียงคำพูดสั้นๆที่ทำเอาทำนบน้ำตาที่เก็บกักมาตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้นพังครืน หยดน้ำใสรื้นรอบขอบตาก่อนร่วงหล่นเป็นสายอย่างไม่อายสายตาสงสัยของคนรอบข้าง และยิ่งไหลรินไม่หยุดหย่อนเมื่อมือหนาของคนตรงหน้าเอื้อมออกแตะสัมผัสปลายนิ้วหัวแม่โป้งลงบนแก้มเนียน เกลี่ยปัดป่ายหยาดน้ำอุ่นร้อนหมายให้เหือดหาย


"ร้องไห้ทำไมครับ...ไม่ดีใจที่ได้เจอพี่หรือ"

ใบหน้าคมโน้มเข้าใกล้อีกครา หากเพียงแค่เชยปลายคางมนให้เงยขึ้น กลับถูกร่างโปร่งตรงหน้าโถมเข้าหาอย่างไม่ลังเล สองมือเอื้อมโอบแผ่นหลังกว้างแนบแน่นเหมือนครั้งสุดท้ายที่เคยได้สัมผัส และยิ่่งแนบแน่นกว่าเมื่ออีกฝ่ายโอบรั้งเอวบางของตนกลับมาเช่นกัน ลมหายใจอุ่นระเรี่ยอยู่ข้างหูยามคนตัวสูงเอื้อนเอ่ยเพียงคำพูดหนึ่งซึ่งเขารอฟังมานานแสนนาน







"คิดถึงเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่"


สี่ปีที่เขารอคอยอย่างไร้จุดหมาย...สี่ปีที่เฝ้าถามตัวเองว่าเขากำลังรออะไรอยู่...สี่ปีที่นึกสงสัยว่าคนที่เขากำลังรอคอยจะโศกเศร้าเสียใจเพียงใด จะเฝ้าคร่ำครวญต่อหน้าโต๊ะตัวนั้นให้เขาหวนคืนกลับไปหาสักกี่ครั้งกี่หน...สำหรับเขา เวลาสี่ปีจะว่าสั้นก็แสนสั้น จะว่านานก็นานจนความหวังแทบดับสิ้น...แต่สำหรับอีกคนเล่ามันนานตราบชั่วชีวิตเลยหรือไม่

หากคำถามเหล่านั้นกลับไม่สำคัญอีกแล้ว เมื่อได้กลับมาอยู่ในอ้อมแขนนี้อีกครั้ง อ้อมกอดที่ตนโหยหายิ่งกว่าสิ่งไหน น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่อยากได้ยินยิ่งกว่าเสียงของใครในทุกเช้ายามลืมตาตื่น มือหนาที่แตะสัมผัสให้อุ่นซ่านไปถึงหัวใจที่เคยเย็นเยียบ ลมหายใจระเรี่ยคลอเคลียที่บ่งบอกถึงการมีตัวตน ทั้งยังดวงตาคมสวยที่ส่องสะท้อนภาพของเขาเพียงคนเดียว...เท่านี้ก็เพียงพอให้ช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมากลายเป็นเพียงตัวเลขของศักราชที่ผันผ่าน และเขาได้แต่ย้ำคำสัญญากับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าต่อให้เวลาจะหมุนผ่านไปอีกสักกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี



...เขาจะไม่ยอมปล่อยมือคู่นี้ให้ห่างจากกายอีกเลย...



...ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจ...









"อยู่นี่เองไอ้กันต์ ให้เดินตามหาซะทั่วงาน...อ้าวธีร์...เอ๊ะ! สองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ"น้ำเสียงเจือความสงสัยของพี่ชายตัวสูงที่เพิ่งเดินมาถึงเรียกเสียงหัวเราะเบาจากคนสองคนที่ยืนเคียงกันไม่ห่าง ดวงตาคู่สวยวาววับด้วยหยาดน้ำตาปรายมองทางต้นเสียงเพียงครู่ ถึงได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของพี่ชายทั้งสอง และสีหน้าตกตะลึงจนอ้าปากค้างของเจ้าของภาพวาด ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างเพ่งมองเจ้าของร่างสูงสมส่วนสลับกับผลงานของตัวเองที่แขวนอยู่ด้านหลัง หากเพียงครู่ก็กลับกลายเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างปิดไม่มิด


"รู้จักครับ"


คำตอบพร้อมมือหนาของคนข้างๆที่สอดประสานเข้ากับมือของเขา ทั้งยังดวงตาคู่สวยที่สบกันนิ่งเนิ่นนาน เช่นเดียวกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ประสานเป็นเสียงเดียวกันในประโยคสุดท้าย



"เมื่อนานมาแล้ว..."







หากแม้นเบื้องบนกำหนดให้คู่เคียง...เพียงกาลเวลาคงมิอาจกั้น
หากแม้นเจ้าเอ่ยคำรักให้พี่ได้ยินสักครา...พี่จักตามหาเจ้าจนพบ
แม้นกาลเวลากั้นกลาง...แต่มิอาจกั้นหัวใจของพี่ที่มีเพียงเจ้า

...สายน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจของพี่...
...สายนทีเพียงหนึ่งเดียวที่พี่จักตามหา...




................................................................................................




เสียงฝีเท้าลงส้นดังเป็นจังหวะเชื่องช้าไม่เร่งรีบเมื่อเจ้าของรองเท้าหนังมันปลาบกำลังดื่มด่ำกับผลงานที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองทีละภาพผ่านผืนผ้าใบเรียงรายตามผนังห้องจัดงานที่ตอนนี้ว่างเปล่าร้างผู้คน รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าขาวซีดที่ดูอิดโรยมากกว่าตอนเริ่มงานมากนัก เพราะความเหนื่อยล้าสะสมจากการเตรียมงานมาทั้งสัปดาห์ แต่ก็คุ้มค่าเมื่อได้รับเสียงตอบรับและคำชมจากผู้ร่วมงานมากมาย


กว่าสี่ปีที่เขาเพียรพยายามสร้างสรรค์ผลงานนับร้อยชิ้น บ้างถูกใจ บ้างก็ถูกทิ้ง แต่วันนี้คงเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด


และยิ่งสุขไปกว่าความสำเร็จที่ได้รับเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำ ภาพคนสองคนที่ยืนเคียงกันราวกับผลงานชิ้นสำคัญของตนมีชีวิตขึ้นมาตรงหน้า รอยยิ้มกว้างของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เขาไม่ได้เห็นมานานแสนนานถูกส่งผ่านมาถึงเจ้าของผลงานอย่างเขาเช่นกัน ความรู้สึกเต็มตื้นเอ่อล้นจนพาลให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยไปหมดสิ้นเหลือแต่ความยินดีต่อสิ่งที่ได้เห็น เมื่อได้รู้ว่า...



...การรอคอยของใครบางคนสิ้นสุดลงแล้ว...



คงมีเพียงตัวเขาที่ยังยืนโดดเดี่ยวอยู่ด้านในสุดของโถงจัดงาน รอยยิ้มหม่นบนใบหน้าขาวซีดยามตรึงสายตาจดจ่อเพียงผลงานชิ้นสำคัญอีกหนึ่งชิ้นที่มีคุณค่าต่อจิตใจยิ่งกว่าภาพไหนๆ...ใบหน้านวลเนียนของคนในภาพราวกำลังยกยิ้มให้ ริมฝีปากบางสีสดพาลให้นึกถึงยามที่เจ้าตัวเอื้อนเอ่ยเจรจาด้วยเสียงหวานแสนหวาน ทั้งยังมือเรียวเล็กที่เคยมีโอกาสแตะสัมผัสเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่าความอุ่นซ่านกลับฝังลึกให้จดจำจนถึงทุกวันนี้


"ไอ้ธีร์มันได้เจอคุณหลวงของมันแล้วนะครับ"

เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบากับภาพวาดตรงหน้า หากแต่ประโยคถัดมากลับทำได้เพียงพูดกับตัวเองในใจ


...แล้วคุณพิกุลของแชมป์ล่ะครับ...ตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน...


ภายใต้ความยินดีต่อความสุขสมหวังของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกลับแฝงไว้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตัวเอง จริงอยู่ที่เขาไม่เคยคาดหวังให้ความฝันลมๆแล้งๆของเขาเป็นจริงขึ้นมา แต่เมื่อได้เห็นคนสองคนที่ยืนเคียงกันไม่ห่าง ความหวังที่เคยริบหรี่แทบดับลงก็กลับวูบไหวโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ตนจะรู้แก่ใจดีว่ากรณีของเขาช่างต่างจากชายหนุ่มอีกคนราวฟ้ากับเหว


...บอกให้เขารอแล้วก็ไม่กลับไปหา เขาจะพาลฝังใจจนไม่อยากพบกันอีกทั้งชาตินี้ ชาติหน้าเลยหรือไม่...


คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวทั้งที่สายตายังจดจ้องราวกับหวังให้คนในภาพกลับมาตอบคำถามเหล่านั้นด้วยตัวเองเสียที


...จะโกรธ จะเกลียดกันก็ไม่ว่า ขอแค่ได้กลับมาพบหน้ากันก็พอ...




"พี่แชมป์รึเปล่าคะ"หากแต่เสียงหวานปานน้ำผึ้งกลับเรียกให้ดวงตาเรียวรีที่จดจ่อเพียงภาพวาดงามงดเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขารีบหันกลับมองเจ้าของเสียงรวดเร็วจนแม้แต่คนร้องทักเมื่อครู่ยังสะดุ้งโหยง

ชายหนุ่มไล่สายตาตั้งแต่ปลายรองเท้าส้นสูงสีครีมเรื่อยขึ้นมายังรูปร่างบอบบางภายใต้ชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม มือเรียวเล็กถือกระเป๋าใบย่อมกับแผ่นพับแสดงลำดับผลงานในแกลเลอรี่ ลำคอยาวระหงสมดุลกับไหล่ขาวเนียนที่โผล่พ้นชุดเดรสยาวคลุมเข่า ใบหน้าหวานระเรื่อเคลียผมยาวดัดเป็นลอนฉายแววตระหนกเพียงครู่ก่อนฉีกยิ้มหวานฉ่ำ

"เห็นพี่ธีร์บอกว่าพี่แชมป์เป็นคนวาดภาพพวกนี้ทั้งหมดหรือคะ"คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงการพยักหน้ารับน้อยๆจากเจ้าของผลงานอย่างลืมตัว ทั้งยังสีหน้าตกตะลึงจนคนถูกมองเริ่มทำตัวไม่ถูก

"อุ๊ย! ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ...คือตวงเป็นลูกของลุงเอก คุณลุงของพี่ธีร์น่ะค่ะ...พอดีตวงสนใจงานด้านนี้เลยขอให้พี่ธีร์พามา"แต่เพราะความคิดที่ว่าอีกฝ่ายไม่เคยรู้จักตนมาก่อนถึงได้มองตนด้วยสายตาแปลกๆแบบนี้ จึงเริ่มด้วยการแนะนำตัวพอเป็นพิธี

"อ่อ...ครับ"ชายหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้งโดยไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าหวานตรงหน้าแม้วินาทีเดียว...เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่แล่นเข้ามาเรียกให้เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นอย่างลืมตัว



...คล้าย...คล้ายกันมากเหลือเกิน...



คล้ายกันจนครู่หนึ่งเผลอคิดไปถึงใครบางคนที่เป็นต้นแบบของภาพวาดด้านหลัง...เผลอแม้กระทั่งตอนที่เอื้อมมือขาวซีดออกไปหมายจะจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้โดยไม่รู้ตัว






"พี่ตวง...พี่ธีร์บอกว่าจะกลับแล้วนะ"


หากแต่อีกเสียงที่แทรกเข้ามากลับทำให้หัวใจกระตุกวูบราวถูกใครผลักตกจากที่สูงจนมือที่เอื้อมออกชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เสียงนุ่มที่แทรกขึ้นไม่ได้คุ้นหูสักนิด แม้แต่รูปร่างผอมบางทว่าขาดส่วนโค้งเว้าตามแบบสตรีที่กำลังก้าวเข้าใกล้ก็ไม่เคยผ่านตาเขามาก่อน หรือจะเป็นริมฝีปากอิ่มสีสดกับดวงหน้าใสขึ้นสีระเรื่อที่ดูละม้ายคล้ายหญิงสาวคนข้างๆ เขาก็ไม่เคยเห็น


มีเพียง...สายตาคู่นั้น...ดวงตากลมโตวาวใสราวลูกแก้วที่ไหวระริกยามจ้องมองมาที่เขา จะด้วยความเกรงใจ ลังเล หรือไม่ไว้ใจอะไรก็ตามแต่ หากมันช่างคุ้นแสนคุ้นเหมือนเคยได้สบกับดวงตาหวานฉ่ำคู่นี้ที่ไหนสักแห่งเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ดวงตาคู่สวยที่คอยหลบสายตาพลางกลอกไปมาราวกับอึดอัดที่ตกเป็นเป้าสายตาเสียเต็มที ทั้งยังมือเรียวเล็กที่เอื้อมออกกระตุกแขนหญิงสาวข้างกายไม่แรงนักเพื่อเร่งให้อีกฝ่ายรีบบอกลา

"เดี๋ยวก่อนสิ พี่ยังคุยกับพี่แชมป์ไม่เสร็จเลย"แต่กลับถูกแหวกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจของเจ้าของแขนเรียวขาว จนเจ้าตัวได้แต่ยืนหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

"คนนี้คือ..."ทว่าสำหรับคนที่ตกอยู่ในภวังค์กลับทำได้เพียงหลุดปากถามคล้ายคนละเมอเมื่อสายตายังคงจดจ้องเพียงคนที่เพิ่งมาใหม่

"นี่ตฤณ น้องชายของตวงเองค่ะ"หญิงสาวยิ้มหวานก่อนแนะนำ เจ้าของชื่อเลยจำใจยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ในใจรู้สึกประหม่าไม่น้อย...จะให้รู้สึกดีได้อย่างไรเล่า ก็เล่นมองเขาเสียจนแทบทะลุปรุโปร่งไปถึงไหนต่อไหน รู้จักกันมาก่อนหรือก็ไม่เคย

"ตวงมีเรื่องอยากถามพี่แชมป์เยอะเลย แต่วันนี้ตวงต้องรีบกลับแล้วค่ะ...ถ้าพรุ่งนี้ตวงจะแวะมาใหม่ พี่แชมป์จะสะดวกมั้ยคะ"เสียงเจื้อยแจ้วของคนตัวเล็กแว่วผ่านหูโดยที่คนถูกถามไม่ได้ใส่ใจฟังเท่าไหร่นัก เมื่อสำนึกรับรู้มีเพียงเด็กหนุ่มคนข้างๆที่เอาแต่เสมองไปทางนั้นทีทางนี้ทีราวกับเขาไม่มีตัวตน


"พี่แชมป์คะ"

"ค...ครับ...น้องตวงว่ายังไงนะครับ"ฐิติกรณ์สะดุ้งสุดตัวพาลให้คนถามชะงักตามไปด้วย มือขาวซีดยกขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติ

"ตวงบอกว่า ถ้าพรุ่งนี้ตวงจะมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับงานด้านนี้ พี่แชมป์จะสะดวกมั้ยคะ"

"อ๋อ...สะดวกครับ"

"ถ้างั้นตวงขอตัวก่อนนะคะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันค่ะ"หญิงสาวยิ้มหวานพลางยกมือไหว้ลาอย่างนอบน้อม เช่นเดียวกับคนตัวเล็กอีกคนที่ยืนเคียงข้าง หากแต่ใบหน้าหวานกลับงอง้ำคล้ายคนไม่เต็มใจ



หลังร่ำลา สองพี่น้องก็ขอตัวกลับ เหลือเพียงใครคนหนึ่งที่ยังยืนมองตามแผ่นหลังบางภายใต้ชุดสูทสีเทาราวถูกสะกด ภาพในความคิดมีเพียงใบหน้าหวานระเรื่อที่ผิดแผกจากเด็กหนุ่มทั่วไป...หากเพียงครู่กลับสะดุ้งสุดตัวเมื่อนึกอะไรขึ้นได้


"ชิบหาย!"


คำสบถดังโพล่งจนเกิดเป็นเสียงสะท้อนก้องภายในโถงจัดงาน โชคดีที่ไม่มีผู้ร่วมงานท่านอื่นอยู่ใกล้ๆไม่เช่นนั้นคงได้ตกอกตกใจกันไปหมด...ชายหนุ่มยกมือขาวซีดขึ้นตบแก้มตัวเองสองสามทีราวเรียกสติ ก่อนเบือนหน้ามองยังภาพวาดสวยเบื้องหลังที่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ารอยยิ้มละไมของคนในภาพคลับคล้ายกำลังส่งยิ้มเยาะมาให้

"โธ่ คุณพิกุล...ทำไมต้องแกล้งแชมป์แบบนี้นะครับ"

เสียงทุ้มบ่นอุบ ทั้งแข้งขายังอ่อนแรงจนแทบทรุด อารมณ์ลิงโลดดีใจเมื่อครู่ถูกแทรกด้วยความหนักใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำได้เพียงแค่บ่นกับภาพผลงานไร้ชีวิตของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาทั้งยังโทษฟ้าโทษดินไม่จบสิ้น




...โกรธกันถึงเพียงนี้ แล้วคนดีจะให้แชมป์ทำยังไงล่ะครับ...





...ก็อ้ายแช่มมันไม่เคยจีบผู้ชาย!...





........................................จบบริบูรณ์..............................................




จบลงแล้วสำหรับเรื่องนี้...ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่า 'ขอบคุณ' ให้กับมิตรรักนักอ่านทุกท่านที่ยังคอยติดตาม The timeless tideจนมาถึงปัจฉิมบทตอนนี้ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ สำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกการติดตาม

สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งโดยใช้ตัวละครที่เป็นคนไทย แถมตัวเอกยังเป็นนักศึกษาอีกต่างหาก ซึ่งเอาจริงๆแล้วผู้แต่งก็เลยวัยนี้มานานพอสมควร(จะไปบอกเขาทำไมว่าแก่แล้ว ฮา) เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่ผิดพลาดเกี่ยวกับเนื้อหาก็ขอน้อมรับไว้ ณ ที่นี้ค่ะ ส่วนข้อมูลสมัยรัชกาลที่๕ ผู้แต่งได้ทำการค้นคว้ามาพอสมควรแต่ยังเรียกได้ว่าห่างไกลจากคำว่าแตกฉานอีกไกลมาก แต่เพราะสนใจสภาพสังคมและวัฒนธรรมในสมัยนั้นถึงได้คิดว่าอยากลองแต่งแนวพีเรียดแบบนี้ดู ถ้าข้อมูลตรงไหนที่ผิดพลาดก็ต้องขอภัยมา ณ ที่นี้(อีกแล้ว) เช่นกันนะคะ

สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไรจะมอบให้ค่ะ มีแต่คำว่าขอบคุณ และ ขอบคุณ (คิดคำอื่นไม่ออกแล้ว) และหวังว่าจะได้พบกันใหม่เร็วๆนี้ถ้าโอกาสเอื้ออำนวย

*กราบแทบอก* :call:

ปล. ขอบคุณเป็นทางการไปมั้ยอ่ะ แบบว่าเขิน 555
ปล.ที่สอง...อยากรู้กันล่ะซี่ว่าพี่แก้วจำน้องธีร์ได้ยังไง XD จะปล่อยเอาไว้ให้เป็นปริศนาหรือว่าพี่แก้วจะมาเฉลยด้วยตัวเองดีนะ *ถามพี่แก้วแล้วบอกว่าขอตัดสินใจอีกแป๊บช่วงนี้งานรัดตัว*

 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 26-02-2015 22:23:37
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย จบได้สวยมาก น้ำตาซึมเลย ฮือๆ ดีใจที่ได้เจอกัน ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ  :mew4: :mew1: :mew2: :-[ :impress2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Mississippi ที่ 26-02-2015 22:27:23
กรี๊ดดดดด คนแต่งน่าร้ากที่ซู้ดดดดดด :katai2-1:
แอบอยากได้ตอนพิเศษตอนที่คุณหลวงมาโลกปัจจุบันอ่ะค่ะ อิอิ
หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 26-02-2015 22:31:24
พี่แก้วน้องธีร์ ในที่สุดก็ได้ครองคู่กัน ดีใจจังเลย  :m1:
พี่แก้วทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับน้องธีร์ได้จริง ๆ รักพี่แก้วที่สุด

ส่วนคู่แชมป์กับคุณพิกุลนี่สิ โหยยย มันต้องอย่างนี้สิ
คุณพิกุลโกรธมาก ชาตินี้เลยขอเกิดเป็นผู้ชาย มันก็สมใจสาววายอย่างเราน่ะสิ
แล้วยังจำแชมป์ไม่ได้ซะอีก แชมป์ไม่เคยจีบผู้ชาย ไม่เป็นไรน่า
ขอคำปรึกษาหลวงพิสิษฐได้นะจ้ะ อยากอ่านคู่แชมป์กับตฤณต่อจังเลย

ขอบคุณคนเขียน สำหรับเรื่องที่ทำให้เราประทับใจมาก ๆ เรื่องนี้จริง ๆ ค่ะ
สนุกมากกกก แล้วยิ่งให้จบด้วยความสุขแบบนี้ ยิ่งขอบคุณมาก ๆ เลย  :pig4: :L1:

ปล. พี่แก้วมาเฉลยหน่อย จำน้องธีร์ได้ยังไง หรือความจริงคือ พี่แก้วไม่เคยลืมน้องธีร์เลย
พี่แก้วเร่งเคลียร์งานด่วน ๆ คนอ่านรอพี่แก้วอยู่น้าาา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 26-02-2015 22:44:14
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด จบแล้ว.... :o12:
แต่จบดีงาม เราชอบเราปลื้มเราหลง น้ำตาไหลพรากตอนฉากเจอกัน
อิอิ
ติดใจคู่พี่แช่มด้วย อยากอ่านต่อออออ ดีแล้วที่คุณพิกุลกลับชาติมาเป็นชาย โอ้ยยยปลื้ม5555  :mew4: :mew3:
 
ปล.ปลื้มนิยายเรื่องนี้มากฮร่ะะะ  o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 26-02-2015 22:52:03
อยากรู้ค่ะ ว่าพี่แก้วจำธีร์ได้ยังไง  รอพี่แก้วมาเฉลยนะคะ   :กอด1:

รอคู่พี่แชมป์กับคุณพิกุลด้วย   :L2:   :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 26-02-2015 23:21:06
ให้พี่แก้วมาเฉลยเลยค่า อยากรู้ใจจะขาด

ส่วนแชมป์อยากรู้วิธีจีบผู้ชาย ก็ลองปรึกษาเพื่อนธีร์ดูสิ

อยากอ่านตอนพิเศษด้วยจังเลยค่า  :impress2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-02-2015 23:53:02
ขอบคุณจริงๆค่ะ ปลื้มปริ่มอยู่ตอนนี้เขียนไม่ค่อยออก กำลังซาบซึ้งอยู่กลับต้องมาฮาแตกกับแชมป์
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-02-2015 00:39:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ploysure ที่ 27-02-2015 00:47:04
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆแบบนี้
เคยหยุดอ่านไปพักนึงค่ะ แต่ไม่ใช่เพราะไม่ชอบนะคะ ชอบมากๆๆ ..เป็นเด็กมอหกชีวิตต้องสู้น่ะค่ะ  :katai1:
แต่เห็นว่าอัพตอนจบแล้วก็เลยเข้ามาอ่านค่ะ

น้ำตาไหลไปหลายรอบเลยค่ะ ตั้งแต่ตอนที่จากกับคุณหลวงแล้ว จะขาดใจตามเลยค่ะ เศร้ามาก  :sad4:
ยิ่งพอตอนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้จริงๆค่ะ มีความสุขมากๆๆๆเลย
แชมป์นี่ก็น่าสงสาร เพราะเหมือนว่าไม่ได้รักกับคุณพิกุลแบบเปิดเผยมาตั้งแต่แรก ใกล้ชิดกันมากก็ไม่ได้
แต่พอเห็นตอนปัจจุบันนี่รู้สึกเหมือนแชมป์เลยค่ะ คุณพิกุลคงจะโกรธมากจริงๆ 55

ขอบคุณสำหรับนิยายที่น่าประทับใจแบบนี้นะคะ เป็นคนชอบอ่านนิยายแนวนี้บ้างค่ะ
ยอมรับเลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะไม่ลืมเลยค่ะ รู้สึกทุกอย่างมันใช่หมด ตัวละครทุกตัวผูกพันกัน เราก็รู้สึกผูกพันด้วยค่ะ หลงตัวละครเรื่องนี้เลยจริงๆ
(โดยเฉพาะพี่แก้วของหนู  :o8: )

ปล.อยากรู้ว่าทำไมคุณหลวงถึงกลายเป็นพี่กันต์ไปได้ แล้วจำธีร์ได้ยังไง แล้วคุณหลวงกับคุณพิกุลในอดีตนี่เค้าต้องรอกันจนหมดลมหายใจเลยหรอคะ แล้วสรุปเรื่องหลวงเจษฎ์นี่เค้าตัดสินกันยังไง รู้สึกอยากรู้ไปหมดเลยค่ะ  :ling1:
ปล.2 จะมีเป็นหนังสือไหมคะ ชอบเรื่องนี้ค่ะ อยากได้เก็บไว้จังค่ะ นะคะๆๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 27-02-2015 04:28:40
คุณพิกุลเจ้าขา ถึงเกิดเป็นชายจะมิโดนบังคับให้หมั่นหมายกับผู้ใด หรือหากโดนจับไปดูตัวแล้วจะปฏิเสษได้ แต่คุณพิกุลลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ อันผู้ชายกับผู้ชาย มิใช่ว่าผู้ใหญ่ท่านจะยอม มากไปกว่าหญิงชายที่ฐานะต่างกันนะเจ้าคะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-03-2015 03:17:43
พูดเรยว่าไม่หลับไม่นอน อ่านจนจบ เป้นอะไรที่ปลื้มปริ่มมากกกก!!

แร้วอยากรู้เรื่องราวตอนต่อไปอีก อยากให้มีมากกว่า ชอบภาษาของคนเขียน

มันทำให้คิดภาพออก มันทำให้รู้สึกแบบนั้นจิงๆ แต่งมาให้อ่านอีกน้า จะรอติดตามมม
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 01-03-2015 16:53:26
ขอตอนพิเศษด่วนๆ อยากรู้เรื่องพี่กันต์?กับน้องธีร์อีก
จบดี๊ดีค่ะ พ่อแช่มคงได้จีบผู้ชายแน่ๆ 555555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 01-03-2015 20:20:35
อยากรู้ค่ะ ว่าพี่แก้วจำพ่อธีร์ได้ยังไง เฉลยเถอะค่าาา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 01-03-2015 20:53:50
ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง คุณหลวงกับธีร์
แต่แอบขำแชมป์ตอนท้าย ทำไงดีล่ะแบบนี้
คุณพิกุลกลายเป็นผู้ชายไปซะแล้ว
เริ่มจีบใหม่โลด สู้เพื่อรัก 555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 01-03-2015 22:21:16
อยากรู้ว่าทำไมคุณหลวงจำด้ายยยยย ขอตอนพิเศษหน่อยค่ะ #ทำตาปริบปริบ -..-*
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 09-03-2015 01:05:15
ละทำไมคุณหลวงกลายมาเป็นพี่กันต์สะได้
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
ทำภาคต่อได้มั้ยคะ รู้สึกว่ายังไม่พออออ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ปัจฉิมบท...๒๖/๐๒/๕๘ UP P.16
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-03-2015 01:19:39
ไม่มีเพิ่มอีก จิงๆอ่อ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ประกาศจากผู้แต่ง ๐๙/๐๓/๕๘ หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 09-03-2015 22:54:42


...ประกาศจากผู้แต่ง...

สำหรับใครที่รอตอนพิเศษของพี่กันต์อยู่ พี่กันต์แอบฝากมากระซิบว่า...

มีให้อ่านแน่นอนค่า :) แต่ตอนนี้พี่กันต์ติดภารกิจ กว่าจะว่างก็เดือนหน้านู้น

เลยฝากเรามาอ้อนแม่ยกทั้งพี่แก้ว น้องธีร์ น้องแชมป์และพี่กันต์แถวๆนี้

ว่าให้รอกันหน่อยนะคร้าบ เอาไว้พี่แกจะรีบเคลียร์งานมาเล่านิทานให้ฟังแบบยาวๆ


สำหรับคนแต่งเองก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามและคิดถึงนิยายเรื่องนี้นะคะ
ช่วงนี้ติดภารกิจอาจจะไม่ค่อยได้เข้ามาในเล้าบ่อยนัก
ยังไงก็สามารถติดตามและพูดคุยกันได้จากเฟสบุคอีกหนึ่งช่องทางค่ะ
(น้องธีร์ชอบไปป่วนในนั้นบ่อยๆ XD)

สุดท้ายนี้อยากบอกว่า...รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิมนะค้า :)
[/color]
หัวข้อ: The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ..ประกาศจากผู้แต่ง ๐๙/๐๓/๕๘ หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 10-03-2015 00:11:57
รอพี่กันต์น้องธีร์ ได้เสมอจ้า  :o8:

แหม่ แต่เอาจริง ๆ เราชินกับชื่อ พี่แก้วน้องธีร์ มากกว่านะเนี่ย แหะ ๆ

ขอบคุณคนเขียนมากจ้า  :กอด1:

ปล. ขอรอพี่แชมป์น้องตฤณ พ่วงไปด้วยเลยได้ไหมอ่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ประกาศจากผู้แต่ง ๐๙/๐๓/๕๘ หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-03-2015 01:08:13
จะรอต่อปายยยย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ประกาศจากผู้แต่ง ๐๙/๐๓/๕๘ หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-03-2015 02:53:44
รอได้เสมอ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ประกาศจากผู้แต่ง ๐๙/๐๓/๕๘ หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 10-03-2015 04:50:35
นานแค่ไหนก็จะรอค่าา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ประกาศจากผู้แต่ง ๐๙/๐๓/๕๘ หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 13-03-2015 14:09:29
ขอบคุณมากนะฮะที่แต่งเรื่องดีๆ และสนุกมากๆให้ได้อ่าน
แม้จะทิ้งช่วงไปบ้างแต่ก็ได้อ่านจนจบ
สารภาพว่าบทหลังๆนี่ทำให้น้ำตาร่วงหน้าคอมพ์กันเลยทีเดียว รันทดไปกับคู่รักทั้งสองคู่
ที่ประทับใจมากๆคือความกตัญญูรู้คุณของพี่แก้วที่กล่าวแอบลากับท่านเจ้าคุณ น้ำตารื้นกันไปเลย
ประทับใจมากๆฮะ ขอบอก แลสงสารคุณเดือนเป็นที่สุด ขอเอาใจช่วยเธอให้ประสบความรักที่แท้จริงกับคนที่คู่ควรก็แล้วกันนะฮะ
เพราะคุณหลวงเธอมีพ่อธีร์ในหัวใจไปแล้ว
รออ่านตอนพิเศษนะฮะ ขอบคุณคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ประกาศจากผู้แต่ง ๐๙/๐๓/๕๘ หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-03-2015 02:17:33
เมื่อไหร่จะเมษานะ เห้ออออ!!
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ประกาศจากผู้แต่ง ๐๙/๐๓/๕๘ หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 18-03-2015 09:59:23
ขอบคุณครับ



ชอบมาก  o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...ประกาศจากผู้แต่ง ๐๙/๐๓/๕๘ หน้า ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-03-2015 03:54:35
ดันนนนนนนนนนนน!!
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Netimefii ที่ 20-05-2015 01:21:57
เพิ่งอ่านจบ
ชอบมากกก
มีครบทุกรสเลย ทั้งสุขและเศร้า  :sad4: :sad4:
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ อย่างนี้มาให้อ่านจ้า   o13 o13
ปล. ขอตอนพิเศษบ้างเน้ออ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-05-2015 01:35:11
รอจ้า
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 21-05-2015 20:54:18

The Timeless Tide...Side Storyที่ ๑...กันตวิชญ์




มีคนเคยบอกว่า...เรื่องบางเรื่อง เราไม่จำเป็นต้องใช้ความทรงจำเพื่อจดจำเรื่องราวต่างๆ หากแต่เป็นหัวใจที่ยึดมั่นเพียงเรื่่องใดเรื่องหนึ่ง หรือคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับใครบางคน...เท่านั้นก็พอ...




เด็กชายตัวเล็กกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมหนึ่งของสวนสวยหน้าบ้านหลังใหญ่...ดวงตากลมโตส่องประกายวาววับยามจดจ่อตัวหนังสือตรงหน้า บางคราก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยศัพท์บางคำยังยากเกินกว่าความสามารถของเด็กวัย๕ขวบอย่างเขานัก ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ละความพยายามเพราะสิ่งที่กำลังทำอยู่คือสิ่งที่ตนรัก

"น้องกันต์ทำอะไรอยู่จ๊ะ"เสียงหวานของมารดาดังขัดจังหวะให้เด็กชายตัวน้อยละสายตาจากหนังสือสีสันสดใสขึ้นมอง ถาดขนมหวานจานใหญ่ถูกวางลงตรงหน้าพร้อมน้ำใบเตยกลิ่นหอมเตะจมูก และผู้เป็นมารดาที่นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

"หืม...อ่านหนังสืออีกแล้วหรือลูก"คนถูกถามเพียงยิ้มรับก่อนปิดหนังสืออ่านเล่นสำหรับเด็กลง โดยไม่ลืมคั่นหน้าที่อ่านถึงเอาไว้ ดวงตาคู่สวยวาววับยามจดจ้องขนมหวานสีฟ้าสดตรงหน้า ทั้งยังรอยยิ้มหวานประดับบนริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้ม

"อันนี้อะไรหรือครับ หน้าตาแปลกจัง"เสียงเล็กเจื้อยแจ้วถามพร้อมมือที่เอื้อมออกฉวยขนมหน้าตาสะสวยขึ้นมอง

"เขาเรียกบุหลันดั้นเมฆจ้ะ คุณยายทำเองเลยนะ"ไม่ทันขาดคำมารดา มือน้อยๆก็จัดการส่งขนมที่ว่าเข้าปากพลางเคี้ยวตุ้ย

"อร่อยจังเลยครับ...คุณยายชอบทำขนมอร่อยๆให้น้องกันต์กินตลอดเลย"เด็กชายตัวเล็กว่าทั้งที่ขนมยังเต็มปากเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้เป็นแม่...ไม่บ่อยนักที่เธอจะมีโอกาสใช้เวลาอยู่กับลูกชาย เพราะหน้าที่การงานของตนเองและสามีรัดตัวยิ่งนัก ทำให้เด็กชายตัวน้อยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับผู้เป็นยายเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่เคยบ่นหรือออกอาการน้อยใจแม้แต่น้อย เพราะวันหนึ่งๆกลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือหรือรบเร้าให้คุณยายเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง

"อร่อยก็ทานเยอะๆนะลูก คุณยายจะได้ดีใจ"มือเรียวเอื้อมออกลูบผมเด็กน้อยอ่อนโยนพลางนึกไปถึงคำพูดของมารดาตนที่เป็นผู้เลี้ยงดูหลานชายเกือบทุกวัน...ท่านว่าท่านเอ็นดูหลานคนนี้นักเพราะว่านอนสอนง่าย ไม่ซุกซนเกินงามเหมือนเด็กวัยเดียวกันทั่วๆไป ทั้งยังขยันเรียนขยันอ่าน สมชื่อ'กันตวิชญ์'ที่ผู้เป็นยายตั้งให้เมื่อตอนเกิด อันมีความหมายว่า'ผู้มีความรู้เป็นที่น่าพอใจ'...ที่สำคัญยังสนอกสนใจเรื่องเล่าสมัยก่อนจากปากคนเฒ่าคนแก่อย่างท่าน หรือแม้แต่เรื่องอาหารการกินก็เช่นกัน...จะมีเด็กน้อยสักกี่คนในสมัยนี้ที่ชอบทานขนมไทยจนถึงกับส่ายหน้าให้ขนมฝรั่งหลายต่อหลายชนิดที่ทั้งพ่อและแม่เพียรซื้อมาฝาก หรือแม้แต่ของเล่นราคาแสนแพงก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้เท่ากับหนังสือเล่มหนาๆสักเล่มสองเล่มที่เจ้าตัวนั่งอ่านได้ทั้งวันก็ไม่เบื่อ

"คุณแม่...เมื่อวานน้องกันต์ฝันเห็นเพื่อนอีกแล้วครับ"เสียงแหลมเจื้อยแจ้วหลังยกน้ำใบเตยแก้วใหญ่ขึ้นจิบจนเกือบหมด

"เพื่อนคนไหนครับ...ใช่นนท์กับใหญ่รึเปล่า"หญิงสาวคาดเดา เท่าที่จำได้ลูกชายของเธอมีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน ที่เจ้าตัวเคยพูดถึงบ่อยๆก็เห็นจะมีเพื่อนร่วมห้องอย่างนนท์กับใหญ่นี่ล่ะ



หากแต่เด็กชายกลับส่ายหน้า ทั้งยังดวงตาคมที่ส่องประกายวิบวับ

"ม่ายช่าย...เพื่อนในฝัน น้องกันต์ฝันเห็นทุกวันเลย"

"ทุกวันเลยหรือครับ...เอ๊ ผู้ชายหรือผู้หญิงกันนะ"ผู้เป็นมารดาหัวเราะเสียงเบาด้วยความเอ็นดู เด็กวัยนี้หากจะมีจินตนาการเกินจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก สำหรับบางคนอาจถึงขั้นจินตนาการว่าตนมีเพื่อนเล่นในชีวิตจริงเสียด้วยซ้ำ

"ผู้ชายครับ...เขามาเล่นกับน้องกันต์ด้วย เขาบอกว่าคิดถึงน้องกันต์ทุกวันเลย"

"แล้วเพื่อนของน้องกันต์คนนี้เขาชื่ออะไรล่ะครับ"หญิงสาวถามอย่างใคร่รู้ แสดงท่าทีสนใจในเรื่องราวของลูกชายเต็มที

"เขาไม่ยอมบอกครับ..."เด็กน้อยทำแก้มป่องอย่างไม่สบอารมณ์นัก หากเพียงครู่ก็กลับยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี






"แต่เขาบอกว่า...ชื่อของเขาแปลว่าสายน้ำ"




...........................................................................................







"ไอ้กันต์!"เสียงโหวกเหวกของเพื่อนสนิทที่ป้องปากตะโกนเรียกจากอีกฟากของสนามฟุตบอลในมหาวิทยาลัยเรียกให้เจ้าของชื่อละสายตาจากเกมส์การแข่งขันตรงหน้ากลับไปมอง ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มผิวขาวตัวไม่สูงนักก็เดินปรี่เข้ามาหาแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกายทันที

"เลิกเล่นแล้วหรือไง"เจ้าของชื่อส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบให้ผู้มาใหม่...บอสเป็นเพื่อนสนิทร่วมคณะของเขาตั้งแต่ตอนปี๑ จนถึงตอนนี้ก็เกือบสี่ปีเข้าไปแล้ว

"ไม่ไหว...เล่นมาชั่วโมงนึงแล้ว"เจ้าตัวว่าพลางขยับเสื้อบอลชุ่มเหงื่อที่สวมอยู่เพื่อระบายความร้อน ใบหน้าคมพราวไปด้วยหยดน้ำจากขวดที่เขาเพิ่งหยิบมาล้างหน้าเมื่อครู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูที่วางอยู่ไม่ไกลขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาให้เรียบร้อย

"มึงมีอะไรรึเปล่า มาหากูถึงนี่"คนตัวสูงว่าพลางเหลือบมองเพื่อนสนิทในชุดนักศึกษาที่ยังจดจ่อสายตาไปที่ลูกบอลกลมๆในสนาม

"ไอ้ปั้นชวนแดกเหล้าเย็นนี้ ร้านหลังม. อ๊ะๆ! ห้ามเบี้ยวนะคร้าบ"ราวกับรู้ทันเมื่อบอสหันมาชี้หน้าคาดโทษก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้บอกปฏิเสธ เขารู้ดีว่าคนอย่างกันตวิชญ์ไม่ชอบงานสังสรรเท่าไหร่นักเพราะไม่ว่าจะชวนสักกี่ครั้งเจ้าตัวก็พาลหาเรื่องเบี้ยวได้แทบทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้พวกเขานัดรวมตัวกันเพราะใกล้ช่วงสอบปลายภาคเทอมสุดท้ายในชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยเต็มที ถึงได้ถือโอกาสผ่อนคลายก่อนเข้าสู่ช่วงเครียดที่กินเวลานานเป็นอาทิตย์

"กินแต่เหล้าทุกวัน ไม่เบื่อกันบ้างหรือไง"คนถูกรบเร้าว่าพลางส่ายหน้าปลง จัดแจงพาดผ้าขนหนูผืนเล็กไว้บนบ่าก่อนเอื้อมมือหยิบกระเป๋าเป้ข้างตัวขึ้นสะพาย ตั้งใจจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องชมรมสักหน่อยเพราะตอนนี้ทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเหนียวเหนอะหนะ

"เออ พวกกูแดกทุกวัน มึงก็เบี้ยวได้ทุกวัน เพราะงั้นวันนี้ห้ามโว้ย! ไปๆ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกไอ้ปั้นรออยู่หน้าตึกคณะ"บอสรีบรุนหลังอีกฝ่ายให้ออกเดินเสียทีเพราะเกรงว่าเจ้าตัวจะหาเรื่องชิ่งเหมือนทุกครั้ง...คนตัวสูงข้างหน้าจึงทำได้เพียงถอนหายใจปลงพลางเหลือบตามองไปยังคนรบเร้าไม่ขาดปาก



หากไม่ทันได้ระวัง ร่างสูงสมส่วนก็กระแทกเข้ากับใครบางคนที่เดินสวนมาดังพลั่กจนอีกคนเสียหลักเกือบล้ม...โชคยังดีที่มือหนาเอื้อมออกคว้าต้นแขนขาวของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทัน

"อ๊ะ! ขอโทษครับ"เสียงทุ้มนุ่มกล่าวขอโทษที่ไม่ระวังก่อนค่อยๆปล่อยมือที่เกาะกุมออก สายตาคมปราดมองคู่กรณีตรงหน้าแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย



...เด็กมัธยม?...



เด็กชายตัวเล็กผิวขาวซีด ส่วนสูงก็เพียงเท่าหน้าอกของเขาเท่านั้น ดูอย่างไรก็ไม่น่าเกินม.๔หรือม.๕ ชุดนักเรียนที่สวมอยู่ปักตราโรงเรียนมัธยมชายล้วนชื่อดังซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก...หากแต่ที่สะดุดตาคงเป็น ดวงตาคู่สวยที่ชำเลืองมองมา ตากลมโตส่องประกายวาววับแต่กลับเจือความเหงาและเศร้าโศกน่าประหลาด ทว่าคุ้นเคยยิ่งในความคิดของคนตัวโตกว่า เขาขมวดคิ้วมุ่นพลางเรียกความทรงจำที่มีว่าเคยเห็นเด็กตรงหน้านี้มาก่อนหรือไม่ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

"ไอ้กันต์! ไปจ้องน้องเขาแบบนั้น เขากลัวมึงจะแย่แล้วเห็นมั้ย"น้ำเสียงคุ้นหูของเพื่อนสนิทดังขึ้นจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยงราวคนหลุดจากภวังค์ หากสายตายังจดจ้องร่างเล็กเบื้องหน้าที่ยืนกอดกระเป๋าหนังสีดำแนบอก ไหล่บางทว่าสมดุลค้อมลงเล็กน้อยยิ่งทำให้เด็กชายดูตัวเล็กลงกว่าเดิม

"พี่ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะที่มันซุ่มซ่าม...แล้วนี่น้องเจ็บตรงไหนรึเปล่า"บอสว่าพลางขยับตัวเข้าใกล้ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้าตอบ

"มาหาใครรึเปล่า บอกพี่ได้นะ เผื่อพี่รู้จัก"เจ้าตัวยังคงทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีถามเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน มหาวิทยาลัยนี้แม้ใหญ่โตและมีหลายคณะก็จริง แต่สำหรับคนกว้างขวางอย่างบอส เขารู้จักทั้งเพื่อนและรุ่นน้องอยู่หลายคณะ ยังไม่รวมแฟนสาวที่มีดีกรีเป็นถึงเดือนคณะมนุษยศาสตร์ ที่เมื่อเอ่ยชื่อสาวเจ้าก็ต้องพ่วงมาด้วยชื่อของบอสแทบทุกทีไป

"ผมมาหา..."เสียงแหบพร่าตอบกลับเบานัก แต่เพียงครู่ที่ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อมองเลยไปด้านหลัง ก่อนที่เสียงเบาแผ่วเมื่อครู่กลับดังขึ้นชัดเจนจนคนข้างๆเหลือบมองตาม

"พี่อาร์ม!...เอ่อ ขอตัวก่อนนะครับ"ท้ายประโยคยังหันกลับมาค้อมตัวให้สองหนุ่มตรงหน้าตามประสาเด็กมารยาทดี ก่อนที่ร่างเล็กจะก้าวออกวิ่งไปหานักศึกษาหนุ่มอีกคนที่ชะงักฝีเท้ารอเมื่อได้ยินเสียงเรียก

"อ๋อ ไอ้อาร์ม"

"มึงรู้จักเหรอ"คนตัวสูงที่ปรายสายตาจดจ้องแผ่นหลังบางหันกลับมาถามเพื่อนสนิทที่พยักหน้ารับหงึกหงัก

"'ถาปัตย์ปีเดียวกับพวกเรานี่ล่ะ พ่อมันเป็นทูต คนก็เลยรู้จักกันหมด"

"กูไม่เห็นจะรู้จัก"

"ก็วันๆมึงทำอะไรบ้าง นอกจากเตะบอลกับเข้าห้องสมุด"บอสส่ายหน้าปลง เขายกมือขึ้นตบบ่าคนตัวสูงสองสามทีก่อนจะเร่งให้อีกฝ่ายรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะตอนนี้เย็นมากแล้ว เกรงใจเพื่อนฝูงที่นั่งรออยู่หน้าตึกคณะ ป่านนี้ไม่รู้บ่นไปถึงไหนต่อไหน



ชั่วขณะที่สองขายาวก้าวออกเดินอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาคมกริบปรายมองไปยังแผ่นหลังบางเมื่อครู่ เด็กชายในชุดนักเรียนเดินเคียงกับหนุ่มในชุดนักศึกษาที่เพื่อนสนิทของเขาบอกว่าเป็นถึงลูกทูต ดวงตาเจือแววโศกตอนนี้กลับส่องประกายวิบวับ เช่นเดียวกับเรียวปากบางสีสดประดับรอยยิ้มน้อยๆยามพูดคุยกับคนตัวสูงกว่าข้างกาย


หากเพียงครู่ที่เด็กชายตัวเล็กหันกลับมาสบเข้ากับดวงตาคมกริบของคนที่ยังอยู่ในชุดเสื้อบอลเปียกชุ่ม ใบหน้าติดหวานทว่ายังอ่อนวัยนักฉายแววตระหนกเล็กน้อยคงเพราะรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตา...เพียงแค่นั้นที่ทำให้ชายหนุ่มนึกถามตัวเองในใจว่าเด็กคนนั้นมีอะไรน่าติดใจนักหนา เขาถึงไม่อยากละสายตาไปแม้วินาทีเดียว...แต่ให้ทำอย่างใจคิดก็ได้ไม่นานนักเมื่อเสียงเร่งเร้าของบอสยังคงดังไม่ขาด เจ้าตัวเลยได้แต่สะบัดศีรษะน้อยๆเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วเดินจากไปทันที


ตอนนั้นเขาไม่เคยรู้...ว่าวันหนึ่งเขาจะมีโอกาสได้รู้จักกับชายหนุ่มในชุดนักศึกษาที่เดินเคียงข้างเด็กชายคนนั้นจนถึงขั้นนับเป็นเพื่อนสนิท




เช่นเดียวกับดวงตาสวยปนโศกคู่นั้นที่ค่อยๆลางเลือนไปตามกาลเวลาจนเขาหลงลืมไปในที่สุด



...






กรุงเทพมหานครในตอนนี้เปลี่ยนไปจากภาพที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งอดีตไม่มากก็น้อย ตึกสูงใหญ่ขึ้นเรียงรายขนาบสองฝั่งสายตา รถราติดแน่นบนท้องถนนแทบทุกสาย ทั้งยังอากาศร้อนอบอ้าวจนน่าอึดอัดผิดกับที่ที่จากมาลิบลับ


เกือบ๖ปีที่เขาใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนทั้งเพื่อศึกษาต่อและเข้าทำงานเป็นอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีเพียงพ่อและแม่ที่เดินทางไปหาอยู่บ่อยครั้งในช่วงแรกๆแต่นั่นก็เพียงพอให้คลายความเหงาลงได้มาก...หากในตอนนี้คำว่า'เหงา'คงไม่มีผลต่อจิตใจเท่าไหร่นัก เมื่อเขาตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิดเป็นการถาวร เขาเพิ่งตอบรับคำเชิญจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองหลวงให้ไปเป็นอาจารย์พิเศษของคณะรัฐศาสตร์ แม้ได้ค่าตอบแทนไม่มากเท่าตอนอยู่ต่างประเทศ หากแต่ความสุขและความสบายใจที่ได้กลับมาใช้ชีวิตในบ้านเกิดเมืองนอนย่อมดึงดูดใจได้มากกว่าจำนวนเงินในบัญชีที่ได้รับ


"อยากไปไหนก่อนรึเปล่า หรือว่าจะกลับคอนโดเลย"ชายหนุ่มหน้าคมทว่าผิวขาวจัดที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นสารถีขับรถมารับเขาถึงสนามบินถามขึ้น...อรรถนนท์กลับมาถึงเมืองไทยก่อนเขาได้ไม่นาน เพียงแต่เป็นการกลับมาในระยะเวลาอันแสนสั้นเมื่อเจ้าตัวยังคงยืนยันที่จะใช้ชีวิตในต่างแดน

"ไม่รู้จะไปไหนน่ะสิ ไม่ได้กลับมากี่ปีแล้วนะ ๒...ไม่สิ เกือบ๓ปี"คนตัวสูงว่าพลางทอดสายตามองหมู่ตึกสูงเรียงรายเต็มสองฟากถนน บรรยากาศแออัดคับคั่งมีให้เห็นโดยรอบจนบางครั้งทำให้เขานึกหงุดหงิด เขาไม่ชอบเมืองหลวง ตรงกันข้ามกลับชอบความเงียบสงบในแถบชานเมืองหรือต่างจังหวัดเสียมากกว่า ชอบบรรยากาศเย็นสบายของสายลมยามเช้าที่หอบเอาน้ำค้างยอดหญ้าพัดพาให้เย็นฉ่ำ วิถีชีวิตของชาวบ้านที่ยังคงความเป็นไทยให้เห็นอยู่บ้างไม่เหมือนเมืองหลวงที่เขากำลังติดแหง่กอยู่บนถนนแบบนี้

"ถ้างั้น...ไปเป็นเพื่อนหน่อย"หากคำชักชวนของคนที่นั่งประจำที่คนขับทำเอาเจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

"ไปไหน?"

"พอดีมีธุระนิดหน่อย ตอนแรกคุณพ่อจะให้พี่อิงไปแต่พี่อิงไม่ว่าง...นี่ก็ใกล้เวลานัดแล้วล่ะ"ลูกชายคนเล็กของท่านทูตกิตติว่าพลางยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา บ่ายสามโมงแล้ว ใกล้เวลานัดของเขาเต็มทีและเมื่อดูจากสภาพการจราจรที่คับคั่งแบบนี้ เห็นทีหากย้อนไปส่งคนข้างๆก่อนคงไม่ทันเวลา ถึงได้ออกปากชวนให้ไปเสียด้วยกัน

"ธุระของแก จะเอาฉันไปด้วยทำไม"

"ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอกน่า...แค่นัดผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้าน คุณพ่อท่านอยากปรับปรุงอะไรนิดหน่อย"

"ไม่คิดว่าฉันจะเหนื่อยจากการเดินทางบ้างหรือ จากปารีสมากรุงเทพไม่ใช่แค่สองสามชั่วโมงนะ"คนตัวสูงส่ายหน้าปลง มีอย่างที่ไหนอาสามารับเขาถึงที่แล้วจะพาไปตะลอนที่อื่นต่อทั้งที่เขาเพิ่งนั่งเครื่องเป็นสิบชั่วโมงกลับมาแท้ๆ...เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้เหนื่อยนักหรอกแต่เพราะเกรงใจคนข้างๆต่างหาก ถ้ารู้แต่แรกว่าหมอนี่มีธุระเขาก็คงบอกปฏิเสธไม่ให้มารับแล้วโบกแทกซี่กลับคอนโดเองไปแล้ว

"เออน่า! รับรองแกต้องชอบ ฉันเอาหัวเป็นประกันเลย"หากแต่น้ำเสียงดึงดันและดวงตาพราวระยับของอรรถนนท์เริ่มทำให้เขาลังเล...สำหรับเขา สิ่งที่เรียกได้ว่า'ชอบ'ในชีวิตนี้มีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง และคนข้างๆก็รู้ดีเสียด้วยว่ามันคืออะไรบ้าง คิดได้แบบนั้นถึงได้ยอมตอบตกลงแม้ในใจยังสงสัยอยู่มากก็ตาม
.

.

.

.

.

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 21-05-2015 20:55:17


เรือนไม้เก่าแก่ทรงยุโรปตั้งโดดเด่นท่ามกลางความศิวิไลซ์ของริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาราวกับว่ามันอยู่ผิดที่ผิดทาง ตัวเรือนแต่เดิมคงเป็นสีฟ้าออกเทาทว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่านทำให้สีสันจืดจางลงไปมาก หลังคาสีน้ำเงินเข้มนั่นก็ดูกระดำกระด่างจากแดด ลม และฝนฟ้า แต่เมื่อมองให้ถี่ถ้วนแล้วก็ให้นึกไปถึงเมื่อครั้งที่เรือนนี้เพิ่งสร้างเสร็จใหม่คงดูโดดเด่นงดงามยิ่งกว่าเรือนไหนในละแวกเดียวกันเป็นแน่


ร่างสูงโปร่งชะงักนิ่งทันทีที่ก้าวลงจากรถ เพื่อนสนิทของเขาพูดถูกว่าเขาจะต้องถูกใจมันไม่มากก็น้อย เขายืนพินิจตัวเรือนใหญ่โตตรงหน้าอยู่นานสองนาน ทั้งตกตะลึงในความงดงามตามแบบไทยแท้เจือความศิวิไลซ์จากชาติตะวันตก ทั้งตื่นเต้นระคนดีใจที่ความงดงามในอดีตยังคงหลงเหลือมาถึงปัจจุบันให้เขาได้ชื่นชม

แต่ที่แปลกที่สุดคงเป็น...จังหวะหัวใจที่กระตุกวูบเมื่อได้เห็นเรือนนี้ในครั้งแรก ทั้งที่ตัวเองก็ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์และเห็นเรือนเก่ามามากนัก แต่ไม่เคยมีที่ไหนที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจได้เท่าภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้...สองขาก้าวยาวอย่างร้อนรนด้วยว่าอยากสำรวจด้านในเต็มแก่ แต่กลับไม่สามารถทำได้อย่างใจนึกเมื่อเจ้าของตัวจริงหยุดยืนพูดคุยกับผู้รับเหมาที่มารออยู่ก่อนหน้า จึงทำได้เพียงเดินวนไปเวียนมาคล้ายหนูติดจั่น ทั้งใจที่ร้อนรนกระสับกระส่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นจนคนที่มาด้วยยังสังเกตเห็น

"ตกลงตามที่คุณพ่อว่าไว้นะครับ"อรรถนนท์กล่าวตัดบทหลังปรึกษาเรื่องการปรับปรุงซ่อมแซมตัวเรือนได้ไม่นาน เมื่อเห็นว่าคนข้างๆเริ่มออกอาการหงุดหงิดเต็มที

"ได้ครับคุณอาร์ม ผมจะรีบให้ช่างเข้ามาดำเนินการทันที เดือนหน้าก็คงเสร็จครับ"หัวหน้าผู้รับเหมารับคำก่อนขอตัวพาลูกน้องเดินสำรวจตามจุดที่ต้องซ่อมแซม


"เป็นยังไง...ถูกใจล่ะสิ"เจ้าของเรือนเดินปรี่เข้ามาหา เมื่อครู่ตอนยืนคุยงานเขาสังเกตเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของคนที่พามาแล้วก็อดแซวขึ้นไม่ได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทคนนี้ถูกใจพวกของเก่าของโบราณขนาดไหน ยิ่งเป็นเรือนเก่าอายุนับร้อยปีแบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่เห็นอาการของคนตัวสูงก็พอจะเดาได้

"ไม่เห็นแกเคยบอกว่าเป็นเจ้าของเรือนเก่าแบบนี้"ดวงตาคมปรายมองรอบตัวเรื่อยไปจนถึงตัวเรือนชั้นบน หน้าต่างแบบบานพับเรียงรายเป็นแนวยาวหากแต่ปิดสนิทยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ในใจผู้มาเยือนให้พุ่งสูง

"มรดกตกทอดจากฝั่งคุณพ่อน่ะ ท่านเคยจะยกให้ฉันกับพี่อิง แต่ก็อย่างที่แกเห็น...ไม่มีใครอยู่ไทยสักคน"สำหรับสถาปนิกหัวสมัยใหม่อย่างอรรถนนท์ เขามองเรือนหลังนี้เป็นเพียงมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษเท่านั้น หลายครั้งที่เขาเคยแนะนำให้ผู้เป็นพ่อขายมันเสียเพราะเห็นว่ามีคนติดต่อขอซื้อเข้ามาหลายรายด้วยมูลค่าที่สูงลิบ แต่กลับถูกปฏิเสธทุกทีไปด้วยว่าผู้เป็นพ่อยังนึกหวงแหนสมบัติอันงดงามที่ตกทอดมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แม้ไม่ได้เข้ามาอยู่เองแต่ก็ยังให้คนเข้ามาดูแลความเรียบร้อย ทั้งยังปรับปรุงซ่อมแซมอยู่เนืองๆไม่ให้สภาพของมันทรุดโทรมไปมากกว่าที่ควรจะเป็น

"ขอเข้าไปดูข้างในได้ไหม"น้ำเสียงตื่นเต้นของคนตัวสูงทำเอาอีกฝ่ายพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบาง อรรถนนท์รีบไขกุญแจประตูแบบสองบานพับด้านหน้าเรือนที่คล้องโซ่เอาไว้แน่นหนาออก ก่อนปัดป่ายมือหาสวิตช์ไฟที่ถูกวางระบบใหม่ทั้งหมดเมื่อไม่นานมานี้


ทันทีที่แสงไฟสีส้มนวลส่องสว่าง พลันความรู้สึกอุ่นซ่านก็แล่นลึกเข้าถึงหัวใจของชายหนุ่ม เขายกมือขึ้นลูบต้นแขนที่ตอนนี้ขนลุกซู่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งอบอุ่นและคุ้นเคยในคราเดียวกัน สายตาคมกริบปราดมองรอบห้องนั่งเล่นกว้างขวางคล้ายนักสำรวจ เก้าอี้หวายจัดวางเรียงเป็นชุดใช้ต่างโซฟาดูแล้วก็รู้ว่าเป็นของเก่าแก่ มีเพียงเบาะนวมที่วางรองด้านบนเท่านั้นที่คลับคล้ายจะถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่ที่สีสันและลวดลายดูร่วมสมัยมากกว่า...ถัดไปไม่ไกลนัก นาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้นเรือนโตวางโดดเด่น เข็มของมันหยุดเดินไปนานแล้วทั้งยังมีคราบฝุ่นจับให้เห็นรางๆ

"เครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นของเดิม มีบางชิ้นที่คุณพ่อให้ช่างทำขึ้นมาใหม่เพราะของเดิมผุพังจนซ่อมไม่ได้"เจ้าของเรือนว่าขณะเดินนำหน้า เขาจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรือนนี้ได้บ้าง เนื่องจากผู้เป็นพ่อมักมอบหมายหน้าที่ดูแลการซ่อมแซมอยู่เสมอเพราะเจ้าตัวเรียนด้านนี้มาย่อมรู้จักโครงสร้างภายในของตัวอาคารเป็นอย่างดี

"สภาพยังดีอยู่เลย...ตั้งแต่สมัยไหนนะ"คนตัวสูงหันมองรอบทิศอย่างสนอกสนใจ ทั้งจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวผิดปกติยังทำให้เขารู้สึกแปลกไม่หาย

"ต้นรัชกาลที่๕ เป็นของเจ้าคุณ...เอ...เจ้าคุณอะไรนะ"อรรถนนท์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนึกไปถึงชื่อเจ้าของเรือนที่แท้จริง หากแต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก


"...เจ้าคุณไพศาล..."


"เออใช่! เจ้าคุณไพศาล......เดี๋ยวนะกันต์...แกรู้ได้ยังไงวะ?"คนตัวเล็กกว่าสะบัดสายตามองทันทีด้วยความประหลาดใจ เมื่ออยู่ดีๆชื่อของเจ้าคุณเจ้าของเรือนก็หลุดออกจากริมฝีปากหยักของคนข้างๆคล้ายเลื่อนลอย หากแต่ร่างสูงสมส่วนยังคงยืนนิ่ง มีเพียงนิ้วเรียวยาวที่ยื่นออกไปทางผนังด้านหลังชุดเก้าอี้หวายให้อีกฝ่ายมองตาม


ภาพถ่ายสีขาวดำขนาดไม่ใหญ่นักล้อมด้วยกรอบไม้อย่างดีแขวนโดดเด่นอยู่บนนั้น ปรากฎภาพของชายวัยกลางคนดูแล้วอายุน่าจะประมาณสัก๕๐ปี สวมเครื่องแบบราชการสมัยก่อนเต็มยศ ผมสีดอกเลาล้อมกรอบใบหน้าคมสัน ทว่าดวงตากลับอ่อนโยนคล้ายคนกำลังอมยิ้ม มุมขวาด้านล่างปรากฎลายมือตวัดปลายสวยงามบ่งบอกชื่อของคนในภาพเอาไว้ชัดเจน



...พระยาไพศาลราชวราการ...



"ภาพนี้...มีมาตั้งแต่แรกเลยหรือ"ชายหนุ่มยืนจดจ้องภาพถ่ายตรงหน้าไม่วางตา รอยยิ้มอ่อนโยนของคนในภาพช่างอบอุ่นนัก ดูท่าเจ้าคุณท่านนี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่คงเป็นที่รักของลูกหลานและคนใกล้ชิดเป็นแน่

"รูปนี้คุณปู่ให้ร้านขยายจากรูปเดิมแล้วให้เอามาแขวนไว้ ท่านว่าจะได้ระลึกถึงเจ้าคุณท่าน"คนตัวสูงเพียงพยักหน้ารับทว่าไม่ยอมละสายตาจากภาพตรงหน้า หากเพียงครู่ก็ต้องเดินตามเจ้าของเรือนเมื่อถูกชักชวนให้สำรวจห้องอื่นๆต่อ


"ห้องนี้น่าจะเป็นห้องทำงาน...เครื่่องเรือนเก่ามีพวกโต๊ะกับตู้หนังสือ แต่ถูกย้ายออกไปหมดเพราะซ่อมไม่ได้แล้ว"อรรถนนท์ร่ายยาวหลังเปิดประตูแบบบานพับออกเผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมโล่งตาขนาดไม่กว้างนัก ผนังทั้งสามด้านมีหน้าต่างแบบสองบานพับซึ่งหากเปิดออกทั้งหมดคงทำให้ทั้งห้องสว่างไสวโดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้า


แม้ทั้งห้องโล่งโจ้งไร้เครื่องเรือน แต่ในสายตาคนตัวสูงที่เพิ่งได้เห็นมันเป็นครั้งแรก เขากลับนึกภาพห้องทำงานในสภาพเดิมได้ราวกับเห็นภาพซ้อนทับ...ฝั่งนั้นเคยมีชั้นหนังสือวางเรียงเป็นแนวยาวแน่นขนัดด้วยหนังสือปกหนาสีสันต่างกัน ทั้งหนังสือเรื่องการบ้านการเมืองหรือแม้แต่นิยายบางเล่มที่เจ้าของห้องเดิมให้ความสนใจ ฝั่งตรงข้ามประตูเคยมีโต๊ะทำงานตัวโตตั้งโดดเด่นแถมยังมีเก้าอี้หวายปูเบาะนุ่มท่าทางนั่งสบายวางเคียงกัน...ยิ่งไปกว่านั้น...ราวกับได้ยินเสียงหัวเราะเบาจากที่ไหนสักแห่งดังคลออยู่ข้างหู เสียงทุ้มนุ่มฟังสบายกับเสียงหัวเราะคิกคักกังวานใส...รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังยืนยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดีทั้งที่ความจริงตรงหน้ามันช่างว่างเปล่า



เจ้าของเรือนยังคงทำหน้าที่พาเดินชมทั่วเรือนอย่างไม่เร่งรีบ เช่นเดียวกับคนเดินตามหลังที่กำลังดื่มด่ำกับตัวเรือนงดงามเบื้องหน้า ทั้งห้องนอนของพระยาเจ้าของเรือนที่ยังคงสภาพเหมือนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ห้องทำงานของเจ้าคุณท่าน หรือแม้แต่ห้องรับรองแขกหลายต่อหลายห้องที่ผ่านตา

แต่ที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ คงเป็นเมื่อตอนมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูแบบสองบานพับของห้องที่อยู่สุดโถงทางเดินบนชั้นสอง บานประตูสีฟ้าออกเทาปิดสนิทอยู่ตรงหน้ากลับเรียกความสนใจของคนที่จ้องมองมันได้มากกว่าห้องไหนๆ...มือหนาเอื้อมเปิดประตูห้องนั้นออกอย่างถือวิสาสะโดยไม่ถามเจ้าของตัวจริง แต่อรรถนนท์กลับไม่ติดใจอะไร ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเขาหลงใหลในของเก่าของโบราณพวกนี้มากขนาดไหน

"นี่ห้องใคร?"เสียงทุ้มนุ่มถามเพียงสั้นๆเรียกให้อรรถนนท์ยืนขมวดคิ้วมุ่นใช้ความคิด ตอนนี้ทั้งเขาและคนตัวสูงก้าวเข้ามาหยุดยืนในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวาง เครื่องเรือนเก่าแก่บางชิ้นวางโดดเด่นเหมือนเมื่อตอนที่ยังถูกใช้งาน เตียงสี่เสาหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องใกล้ๆกับหน้าต่างที่หากเปิดออกจะสามารถมองเห็นภาพเจ้าพระยาสายใหญ่เบื้องล่างชัดเจน ผนังอีกฝั่งของห้องเรียงรายด้วยชั้นหนังสือถูกคลุมทับด้วยผ้าขาวผืนใหญ่ใช้กันฝุ่น

"ห้องนอนคนสนิทของเจ้าคุณ...จำชื่อไม่ได้แล้วแต่เป็นหลวงมั้ง คุณพ่อเคยเล่าให้ฟัง"คำตอบของเจ้าของเรือนไม่ได้ช่วยไขความกระจ่างมากนัก เมื่อสิ่งที่อรรถนนท์ได้ยินมาจากผู้เป็นพ่อเกี่ยวกับเจ้าของห้องเดิมมีไม่มากเท่าเรื่องราวของพระยาเจ้าของเรือนที่เขาเองก็เพียงฟังผ่านหูแล้วลืมเลือนไปบ้างตามกาลเวลาเช่นกัน

ดวงตาคมปราดมองรอบห้องทั้งที่หัวใจยังเต้นระส่ำ ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดตีตื้นจนขนลุกชันไปทั้งตัว ทั้งเตียงสี่เสาหลังใหญ่ หน้าต่างแบบสองบานพับฝั่งหัวเตียง หรือแม้แต่ชั้นหนังสือวางเรียงราย...ราวกับเคยเห็นภาพตรงหน้ามาก่อนจากที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้ว

ครู่หนึ่งที่สายตาสะดุดลงตรงพื้นที่ว่างฝั่งตรงข้ามกับประตู...ดวงตาคมสวยกลับเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นภาพคล้ายซ้อนทับของภาพในอดีต ภาพของผู้ชายสองคนที่ยืนเคียงกัน แม้เลือนรางหากยังพอเห็นว่าคนหนึ่งตัวผอมบาง ผิวขาว ใบหน้าติดหวานดูคล้ายมีเชื้อจีนผสม ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆเช่นเดียวกับดวงตาคู่สวยที่ส่องประกายวิบวับยามจดจ้องคนตัวสูงกว่าที่อยู่ในชุดราชการแบบโบราณเต็มยศ หากแต่เขาเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างสมดุลกับผมรองทรงที่ถูกเสยเรียบเท่านั้น...เบื้องหลังคนทั้งสอง...สิ่งของหนึ่งที่ตั้งโดดเด่นดึงดูดสายตา แต่เพียงชั่วครู่ที่กันตวิชญ์สะบัดศีรษะแรงๆราวกับพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ภาพทั้งหมดก็พลันหายไป

"ตรงนั้น...เคยมีอะไรอยู่ใช่มั้ยอาร์ม"นิ้วเรียวยาวชี้ออกไปยังเบื้องหน้าเรียกให้คนข้างๆปรายสายตามองตาม พื้นที่่ว่างโล่งหน้าชั้นหนังสือที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่น่าจะมีอะไรอยู่ตรงนั้น

"ไม่รู้สิ...ถ้ามีก็คงถูกย้ายออกตอนซ่อมเรือนครั้งก่อน...แต่คงไม่มีหรอกมั้ง"อรรถนนท์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เมื่อนึกไปถึงเครื่องเรือนหลายต่อหลายชิ้นที่ถูกขนย้ายออกไปตอนปรับปรุงเรือนครั้งก่อนๆ บางชิ้นถูกยกกลับมาวางที่เดิม บางชิ้นที่ไม่สามารถซ่อมแซมให้ใช้งานได้ก็ถูกขายต่อหรือยกให้คนที่สนใจพวกของเก่าโดยไม่คิดราคา

"มีสิ...มันเคยอยู่ตรงนั้น"เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วคล้ายคนละเมอยามสายตาจดจ่อไปยังพื้นเรือนโล่งโจ้งตรงหน้า เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นคืออะไร...รู้แค่เพียงมันเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเจ้าของห้อง...สิ่งสำคัญที่เรียกทั้งรอยยิ้มและความเจ็บปวดในคราวเดียว เหมือนกับความรู้สึกปวดหนึบถ่วงจิตใจของเขาในตอนนี้ มันวูบโหวงจนน่าใจหาย ขณะเดียวกันก็อบอุ่นเต็มตื้นจนรับรู้ถึงจังหวะหัวใจที่ดังระรัว





"อาร์ม...พรุ่งนี้พาฉันไปพบพ่อแกหน่อยได้ไหม...ฉันอยากได้เรือนหลังนี้"





ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าทำไม...มันคล้ายความลุ่มหลง หลงใหล หรือผูกพัน เขาเองก็ตอบไม่ได้ รู้เพียงแต่เขาอยากได้เรือนหลังนี้...อยากเป็นเจ้าของ...อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่...ที่ที่ความอบอุ่นแผ่ซ่านเพียงแค่ได้เหยียบย่างเข้ามาในก้าวแรก



เขาหลงรัก...โดยที่ไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นจากอะไร


........................................................................................



หายหน้าไปนาน คิดถึงกัน(ต์)บ้างมั้ยน๊าาาาา  :hao7:
แต่คนแต่งยังคิดถึงทุกท่านเหมือนเดิมนะเจ้าคะ *ยิ้มหวานกลบเกลื่อนที่หายไปหลายเดือน*

ที่หายไปนานเพราะเป็นช่วงปรับเปลี่ยนอะไรในชีวิตหลายอย่างเลยค่ะ ทั้งงานใหม่ วงจรชีวิตใหม่ ทำให้ไม่มีเวลามาลงแรงกับนิยายเต็มตัวเหมือนเดิม แต่เพราะตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะต้องมาลงตอนพิเศษนี้ให้ได้ก็เลยต้องมาตามสัญญา แต่อาจจะมาได้ไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน ยังไงก็อดใจรอกันนิดนึงนะเจ้าคะ :hao5:

สำหรับตอนพิเศษนี้กะไว้คร่าวๆว่าแบ่งเป็น๓ตอน หรืออาจจะเพิ่มเป็น๔ถ้าไม่สามารถจบให้ลงภายในตอนที่๓ได้

ยังไงก็อยากให้ทุกท่านคอยติดตามและให้กำลังใจกันเหมือนเดิมนะคะ :call:

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า
...Novemberist...
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-05-2015 21:13:33
ดีจัง อย่างน้อยก็ได้กลับมาพบกันในชาตินี้(ของกันต์) แม้ว่าจะน่าเศร้าอยู่บ้างเมื่อนึกถึงการรอคอยของคุณหลวง(เมื่อชาติก่อน)
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 21-05-2015 21:19:08
 :mew2:
มาช้าดีกว่าไม่มาค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: apisaraa ที่ 21-05-2015 21:22:30
 :hao3: เคยเจอตั้งแต่สมัยมหาลัยแล้ววว

รอpart2ค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: minnin ที่ 21-05-2015 22:07:24
เเบบว่าขอเป็นภาคต่อเลยได้ไหมอ่ะค่ะ คึคึ #โลภมาก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-05-2015 22:09:58
ดีใจหลายๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 21-05-2015 22:13:53
ิรอตอนหน้าครับ 


ดีใจมากที่ได้อ่านต่อ
 

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 22-05-2015 01:28:45
คิดถึงมากค่า รอพาร์ทต่อค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 22-05-2015 12:54:20
ขอบคุณฮะที่ยังมาอัพเรื่องนี้ รอๆตอนพิเศษอยู่เหมือนกัน
อ่านตอนนี้แล้วขนลุกเลยอ่ะ ตอนเห็นรูปเจ้าคุณไพศาล นึกถึงความใจดีของท่าน
รออ่านตอนพิเศษต่อๆไปนะฮะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Netimefii ที่ 22-05-2015 22:35:08
รอรอรอ    :katai5:
ขอบคุณตอนพิเศษจ้าา  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: pharam8 ที่ 26-05-2015 21:20:26
สนุกมาก รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 26-05-2015 21:35:53
ขอบคุณมาก ๆๆๆ สำหรับตอนของพี่กัน ยิ่งอ่านยิ่งชอบเรื่องนี้จริง ๆ
อ่าน ๆ ไป ชักอยากให้เป็นภาค 2 ยาว ๆ ของพี่กันน้องธีร์ ในยุคปัจจุบันเลย
ถึงจะเป็นพี่กัน แต่ก็ยังรู้สึกถึงความเป็นตัวตนของพี่แก้วอยู่ดี
ผู้ชายที่แสนอบอุ่น อ่อนโยน ผู้มีความรักแท้มั่นคงต่อน้องธีร์ :o8:
อ่านตอนพี่กันกลับไปที่เรือนเจ้าคุณไพศาลแล้วแบบ ซึ้งจัง
เหมือนพี่แก้วได้กลับมาบ้านอบอวลไปด้วยความสุขของตนจริง ๆ
ยิ่งตอนพี่กันน้องธีร์ เคยได้เจอกันมาก่อนด้วยนี่แบบ พรหมลิขิตชัด ๆ
คือ คนเป็นเนื้อคู่กันแล้วไม่แคล้วกันอ่ะ ไม่ว่าภพชาติไหน โรแมนติคเหลือเกิน  :m1:
ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ รอพี่กันน้องธีร์ ได้เสมอจ้า  :L1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-05-2015 23:42:48
ดีใจจังที่ได้อ่านอีกครั้ง รออีกน้า อย่าหายไปอีกน้อว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: iiizo ที่ 28-05-2015 15:50:37
รอตอนพิเศษอยู่น้า
มาต่อไวไวนะจ้ะ :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Tikking7 ที่ 28-05-2015 17:27:36
 :call: :hao3: :hao3: :hao3:มาปูเสื่อรออิเจ้มาต่อ ...
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ploysure ที่ 28-05-2015 19:10:12
อยากอ่านต่อแล้ว

 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...Side Story:กันตวิชญ์ P.17
เริ่มหัวข้อโดย: wipcream09 ที่ 30-05-2015 06:39:29
อ่านรวดเดียวแบบไม่ได้นอนเลยค่ะ
เพ้อมากๆ ตอนนี้ เพ้อหาพี่แก้ววว กร๊ากกกกกก
ทำไมเราเพิ่งเจอนิยายเรื่องนี้ ฮือออออ
ซึ้งมากเลยค่า ชอบช่วงที่อยู่พระนครมาก
บรรยากาศสมัยนั้นน่าหลงใหลมากๆ
เรือนไทยริมแม่น้ำโรแมนติกไปอีกแบบนะคะ  :o8:

ชอบความผูกพันของธีร์กับคุณสร้อย เจ้าคุณจิตรา
ชอบทุกอย่างเลยค่ะ ไม่รู้จะบรรยายยังไงTT
พี่แก้วละมุนมากๆ พูดออกมาแต่ละคำ อ่านไปเขินไป
จะบ้าแทนน้องธีร์ค่ะ ผู้ชายอะไรหวานขนาดนี้ ฮือ อยากด้ายยยยยยยยยยยย

ช่วงตอนจบน้ำตาไหลทุกตอนเลยค่ะ ยิ่งตอนธีร์เห็นภาพวาดของแชมป์นี่พรากรัวๆๆๆ คิดถึงพี่แก้วววววววว
ตอบจบปริ่มมาก โฮรวววว ทำไมอบอุ่นแบบนี้ /ทึ้งหัว

คิดถึงเหลือเกินพ่อธีร์ของพี่  << ประโยคนี้อ่านกี่ครั้งก็จะละลายตายอ่ะค่ะ อยากจะสไลด์ลงเจ้าพระยาจริงๆ  :o12: :o12: :sad4: :hao5:
จริงๆก็แอบสงสารพี่แก้วนะคะ น้องธีร์รอสี่ปี แต่พี่แก้วต้องรอจนถึงอีกชาตินึง โอยยย แค่คิดก็ปวดหัวใจแทน เขาจะคิดถึงน้องธีร์มากขนาดไหน  :hao5:
แต่ยังไงก็เจอกันแล้วนะค้า ฮืออออออออ รู้สึกชีวิตคอมพลีท

ชอบตอนพิเศษพี่กันมากค่ะ แอบเจอน้องธีร์สมัยเอ๊าะๆมาก่อนนะเนี่ย กรี๊ดดดดดดด เด็กม.ปลาย วัยกำลังน่าเคี้ยว  :hao6: พี่กันนี่แย่จริง ลืมน้องได้ไงคะ :ruready

ขำพ่อแช่มมากค่ะ คุณพิกุลคงโมโห นี่แหน่ะ อวตารมาเป็นเด็กหนุ่มเสีย เด็ดมาก  :hao6: สู้นะคะแช่มคุง เอาใจช่วยค่ะ 5555555555

อีกอย่างที่ชอบคือบรรยากาศตอนมาดูเรือนไม้กับอาร์ม อ่านแล้วรู้สึกจะขนลุกตามพี่กันค่ะ แต่ถ้าเป็นอาร์ม เดินเข้าไปแล้วเพื่อนตาลอยๆ พูดพึมพัมแบบนี้คงน่ากลัวแน่ๆ555555 ซื้อเร็วๆนะคะพี่กัน จะได้พาน้องธีร?มาแต่งเข้าหอซะที รอมาทั้งชาติแล้ว  :-[

ขอบคุณผู้เขียนมากนะค้าที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน เป็นเรื่องหนึ่งที่จะยกขึ้นหิ้งเลยค่ะ  o13
คือภาษาดีมากๆ แง มันดูไท๊ยไทย นึกว่าคนโบราณมาเอง อ่านแล้วบางทีก็เริ่มมึนๆ เกรงว่าจักนำคำโบราณไปพูดกับเพื้อนฝูง ชักจะติดแล้วค่ะ  :z3:

อยากให้มีรวมเล่มจังค่ะ  :mew6: จะรอตอนพิเศษต่อไปนะค้าาา สู้ๆค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 31-05-2015 20:33:43


The Timeless Tide...Side Story ๒...กันตวิชญ์


(http://i4.photobucket.com/albums/y133/alexel27/Mobile%20Uploads/image_1.jpg) (http://s4.photobucket.com/user/alexel27/media/Mobile%20Uploads/image_1.jpg.html)


คืนนั้นกันตวิชญ์ฝัน...จะว่าเป็นฝันดีเขาก็เรียกได้ไม่เต็มปาก หรือจะเป็นฝันร้ายก็ไม่ใช่เสียทีเดียว...เขาฝันเห็นเรือนริมน้ำทรงยุโรปหลังนั้นเมื่อครั้งยังโดดเด่นงดงาม ตัวเรือนภายนอกสีฟ้าหม่นออกเทาทว่าสดใส เบื้องหลังคือเจ้าพระยาสายใหญ่เงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...ตรงหน้าของเขาคือบานประตูแบบสองบานพับของตัวเรือนชั้นล่างที่เขาเคยเดินผ่านเมื่อตอนกลางวัน หากแต่ตอนนี้ทั้งเรือนกลับเปิดโล่ง แสงแดดอ่อนๆส่องลอดบานหน้าต่างยังความสว่างไสวให้ทั้งตัวเรือนโดยไม่ต้องพึ่งแสงไฟจากหลอดนีออน


สองขายาวก้าวเดินผ่านห้องนั่งเล่นกว้างขวาง เหลือบไปเห็นนาฬิกาโบราณแบบตั้งพื้นที่ตอนนี้ลูกตุ้มของมันแกว่งไกวเป็นจังหวะ ทั้งตัวนาฬิกาก็กลับเหมือนของใหม่ อีกด้านของห้อง พัดลมทองเหลืองตัวโตกำลังส่ายไปมาส่งเสียงครางหึ่งๆ แว่วเสียงพูดคุยจอแจดังอยู่ไกลละลิบจากท้ายเรือน หากแต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจนัก ยังคงออกเดินตามทางที่ตนเคยเดินผ่านก่อนหน้าราวกับภาพฉายซ้ำ...ผ่านห้องทำงานชั้นล่าง ตู้ โต๊ะยังวางเรียงรายเหมือนใหม่ เรื่อยขึ้นไปจนถึงชั้นบน โถงทางเดินทอดยาวจนสุดทางและประตูไม้แบบสองบานพับสีฟ้าหม่นยังคงโดดเด่น


ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าจนมาหยุดยืนหน้าประตูบานเดิม ริมฝีปากหยักเม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรงคล้ายคนกำลังชั่งใจ มือหนาเอื้อมออกไปเบื้องหน้าแตะสัมผัสบานประตูค้างไว้เช่นนั้น ก่อนตัดสินใจผลักมันให้เปิดออกเพียงแผ่วเบา ทว่าประตูไม้กลับเปิดออกกว้างสาดแสงสว่างจ้าจากด้านในจนเขาต้องหลับตาลง


เพียงครู่เดียวที่แสงสว่างบาดตาหม่นลง ดวงตาคมก็กระพริบถี่อีกครั้ง...ภาพแรกที่เห็น คือเตียงสี่เสาที่ดูราวกับของใหม่ ฟูกนอนปูทับด้านบนคลุมด้วยผ้าแพรเพลาะสีน้ำเงินเข้มเงาวับ ชั้นหนังสือที่เคยถูกคลุมทับด้วยผ้าขาวตอนนี้กลับตั้งโดดเด่นเรียงรายด้วยหนังสือเล่มหนาจนแน่นขนัด ด้านข้างหน้าต่างฝั่งหัวเตียงมีกระจกเงาบานสูงกรอบด้วยไม้สลักลวดลายงดงามส่องสะท้อนเงาของชายหนุ่มที่ยืนตกตะลึงอยู่เบื้องหน้า


แต่ที่ทำให้ลมหายใจขาดห้วงคงเป็นสิ่งที่วางโดดเด่นอยู่ข้างกระจกเงาบานนั้น...โต๊ะไม้สักตัวงามตั้งเด่นอวดลวดลายสลักปราณีตบรรจงบนขาทั้งสี่ พื้นไม้เงาเรียบบ่งบอกถึงฝีมือของช่างผู้สร้างสรร ด้านบนมีกองเอกสารวางเกลื่อนและปากกาขนนกด้ามยาว หากแต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดเห็นทีจะเป็น...ที่ทับกระดาษทรงสี่เหลี่ยมหน้าตาธรรมดาแต่กลับดึงดูดความสนใจคนมองได้มากกว่าเครื่องเรือนเก่าแก่ชิ้นอื่นๆ


มือหนาเอื้อมออกหมายหยิบวัตถุทรงเหลี่ยมขึ้นดู เป็นจังหวะเดียวกับมือขาวเรียวของใครบางคนฉวยของสิ่งนั้นไว้ได้ก่อน...ชายหนุ่มไล่สายตาตามท่อนแขนขาวไปจนถึงไหล่กว้างสมดุลภายใต้เสื้อคอตั้งแบบโบราณ กรอบหน้าเรียวรีได้รูป ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆ จมูกโด่งรั้นกั้นกลางดวงตาคู่สวยและผมยาวละต้นคอสีนกกาเคลียใบหน้า ยิ่งทำให้กันตวิชญ์เบิกตากว้างเมื่อนึกได้ว่าคนๆนี้คือคนเดียวกับที่เขาเห็นภาพซ้อนเมื่อตอนกลางวัน...เด็กหนุ่มหน้าติดหวานเจ้าของเสียงหัวเราะกังวานใสราวแก้วกำลังยืนห่างเขาออกไปเพียงแค่เอื้อมทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาแม้แต่น้อย...ดวงตาคู่สวยจดจ้องเพียงวัตถุในมือที่เจ้าตัวกำลังหมุนมันไปมา แต่เพียงครู่ก็ชะงักมือแล้วเบือนหน้ากลับไปมองฝั่งประตู...ริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้างพลางส่งเสียงนุ่มน่าฟัง



'คุณหลวง'



กันตวิชญ์ไล่สายตามองตามคนที่ถูกเรียกแล้วก็ยิ่งเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง เมื่อผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องนั้นราวกับภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกไม่ผิดเพี้ยน ต่างเพียงเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายเป็นชุดราชการสมัยก่อน เสื้อราชประแตนสีขาวสะอาดตา ผ้าม่วงนุ่งโจงสีเข้ม ทั้งทรงผมเสยเรียบไปด้านหลังเผยให้เห็นกรอบหน้าเด่นชัดที่ไม่ว่าจะมองอย่างไร...นั่นก็คือตัวเขา...


'ธีร์คิดถึงคุณหลวงนะครับ'


เสียงนุ่มดังแผ่วบอกกับคนตัวสูงที่ยืนยิ้มปรายตรงหน้า มือหนาเอื้อมออกแนบแก้มขาว ทั้งสายตาที่ทอดมองยิ่งอ่อนโยนนัก


'แต่ธีร์กลับไปหาคุณหลวงไม่ได้แล้ว...กลับไปหาพี่แก้วไม่ได้อีกแล้ว'


สิ้นเสียงกังวานใส ภาพเด็กหนุ่มตรงหน้ากลับเลือนหาย เหลือเพียงคนตัวสูงในชุดราชการที่ยกมือค้างราวแตะลงบนอากาศ ดวงตาคมฉายแววหม่น ทั้งใบหน้ายังเศร้าหมองผิดกับเมื่อครู่ เขาขยับเข้าใกล้โต๊ะไม้สักก่อนทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าราวคนหมดเรี่ยวแรง



'พ่อธีร์...พ่อธีร์ของพี่'



กันตวิชญ์ได้แต่ยืนตัวสั่นมองภาพตรงหน้า ท่อนแขนแกร่งดูอ่อนแรงยามพาดลงกับโต๊ะตัวใหญ่ ใบหน้าคมฟุบลงทาบทับนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน มีเพียงแผ่นหลังกว้างไหวระริกให้พอรับรู้ว่าเจ้าของร่างสูงกำลังร่ำไห้

เท่านั้นก็พอให้คนที่ยืนมองรู้สึกอึดอัดคล้ายหายใจไม่ออก ความรู้สึกหนักหน่วงถ่วงหน้าอกข้างซ้ายเจ็บแปลบเป็นระลอกจนต้องยกมือขึ้นเกาะกุม...เจ็บจนเผลอนึกไปว่ากำลังมองภาพตัวเองในตอนนี้...เจ็บจนดวงตาร้อนผะผ่าวกลั่นตัวเป็นหยดน้ำตาไหลลงอาบสองแก้ม...เจ็บจนแทบพยุงตัวให้ยืนต่อไม่ไหว

ทำไมภาพตรงหน้าทำให้เขาเจ็บเหลือเกิน...ทำไมเขาถึงทรมานเพียงได้เห็นการจากลาของคนสองคนที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน...เพราะหนึ่งในนั้นมีใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาอย่างนั้นหรือ...เพียงแค่ความเหมือนภายนอกสามารถทำให้หัวใจเจ็บเจียนขาดใจได้เหมือนกันด้วยหรือ



ชั่วขณะที่เขาเอื้อมมือออกหมายแตะปลอบโยนอีกฝ่าย พลันใบหน้าคมเข้มเหมือนกันราวส่องกระจกกลับหันมา สบดวงตาหม่นแสงเข้ากับดวงตาที่ตกตะลึง ริมฝีปากหยักของคนตรงหน้าขยับน้อยๆคล้ายพึมพำแต่ยังพอให้จับใจความได้



'เหตุใดจึงไม่กลับไปหาเขา...จะให้เรารอไปถึงเมื่อใด'



เสียงทุ้มนุ่มแฝงแววดุดัน แม้ได้ยินไม่ถนัดนักแต่กันตวิชญ์ยังพอจับกระแสความขุ่นเคืองในน้ำเสียงนั้นได้


หากเพียงแค่คิดจะเอ่ยปากถาม พลันแสงสว่างจ้าแสบตาก็สาดเข้าจนเขาต้องหลับตาลง ภาพในหัวหมุนคว้างบิดเบี้ยวกินเวลายาวนาน...ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเพื่อพบว่า...เขากำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มในคอนโดของตัวเอง...ใบหน้าคมเหลียวมองรอบตัว ห้องนอนมืดมิดเห็นเพียงเค้าโครงของเฟอนิเจอร์ลางๆจากแสงจันทร์ด้านนอก มือหนายกขึ้นลูบหน้าตัวเองสองสามครั้งราวเรียกสติ


...ฝัน...



...ก็แค่ฝัน...



แต่ทำไมเหมือนจริงจนความรู้สึกปวดหนึบที่อกด้านซ้ายยังคงอยู่ หัวใจเต้นรัวแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น ทั้งดวงตายังร้อนผ่าวแสบพร่าเหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนัก


ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างพลางสูดหายใจลึก...หลายสิ่งถาโถมเข้ามาโดยที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้...ผู้ชายสองคนนั้นเป็นใคร มีตัวตนอยู่จริงหรือเป็นเพียงจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมา...แล้วทำไมคนๆนั้นถึงให้ความรู้สึกเหมือนกับตัวเขาไม่ผิดเพี้ยน


'เหตุใดจึงไม่กลับไปหาเขา...จะให้เรารอไปถึงเมื่อใด'


เสียงแผดกร้าวยังก้องอยู่ในหู...'เขา'ที่ว่าคือใครกัน? ใช่เด็กหนุ่มตัวผอมบางคนนั้นหรือไม่? แล้วจะให้กลับไป...กลับไปที่ไหนกันล่ะ?...แล้วผู้ชายคนนั้นกำลังรอ...เขารออะไรอยู่?



"บ้าชิบ!"



เสียงสบถกับตัวเองเมื่อในหัวมีแต่คำถามคำแล้วคำเล่า...เห็นทีต้องเริ่มจากต้นเหตุของเรื่องแล้วล่ะมั้ง...



...................................................................................




ท่านทูตกิตติยังดูแข็งแรงนักแม้อายุเลยผ่านเลข๕มาได้หลายปีแล้ว ใบหน้าของท่านอ่อนโยนเจือรอยยิ้มบางเกือบตลอดเวลา ยิ่งเมื่อได้อยู่ต่อหน้าผู้มาเยือนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดี่ยวด้านข้างในห้องนั่งเล่นกว้างขวางของบ้าน

"เป็นเพื่อนเจ้าอาร์มหรือเรา"เจ้าของบ้านถามขึ้นหลังกล่าวทักทายกันพอเป็นพิธี

"ใช่ครับ แต่เรียนคนละคณะ"ท่าทีนอบน้อมผิดจากนักเรียนนอกหัวสมัยใหม่หลายคนที่เคยได้พบทำให้ท่านทูตนึกถูกชะตาชายหนุ่มตรงหน้าอยู่มากนัก ทั้งมารยาทในการเข้าหาผู้ใหญ่ก็ดีเยี่ยม ดูท่าคงถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างดี

"เห็นอาร์มบอกว่าเราอยากได้เรือนริมน้ำหลังนั้นหรือ" ไม่รอช้าเมื่อผู้อาวุโสกว่าเข้าประเด็นสำคัญทันที จริงอยู่ที่ท่านเป็นคนใจเย็น แต่ก็ไม่ใช่คนอ้อมค้อมยืดยาดให้มากความ

"ครับ...ผมศึกษาเรื่องเรือนเก่ามาบ้าง เห็นเรือนของคุณลุงหลังนั้นแล้วถูกใจเลยอยากขอซื้อต่อ"

"พ่อหนุ่ม...เรือนหลังนั้นน่ะเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของลุง พ่อหนุ่มคงไม่คิดว่าลุงจะขายมันให้กับพวกนักสะสมของเก่าเพียงเพื่อให้เขาเอาไปอวดชาวบ้านว่ามีของดีอยู่กับตัวหรอกนะ" ท่านทูตกิตติส่ายหน้าน้อยๆพลางถอนหายใจเบา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านถูกทาบทามขอซื้อต่อเรือนริมน้ำหลังนั้นเพียงเพราะว่ามันเป็น'ของเก่า'ที่มีคุณค่าคู่ควรแก่การเก็บสะสม แต่กลับไม่มีใครมองเห็นความงามที่แท้จริงที่ผ่านกาลเวลานับร้อยๆปีของมันได้อย่างถ่องแท้สักราย แม้แต่คนตรงหน้าที่ท่านนึกถูกชะตาไม่น้อยเมื่อตอนพบกันก็เถอะ ฟังจากคำพูดแล้วก็คงไม่ต่างจากนักสะสมของเก่าพวกนั้นสักเท่าไหร่


หากแต่คำตอบของคนตัวสูงกลับทำเอาผู้อาวุโสประหลาดใจไม่น้อย

"ผมทราบดีครับว่าเรือนหลังนั้นมีความสำคัญต่อคุณลุงมาก ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับพวกที่หลงใหลของเก่าบางประเภทที่ขนซื้อเพียงเพราะอยากเก็บสะสม...ผมชอบเรือนหลังนั้นจริงๆครับ ถ้าคุณลุงจะกรุณาขายให้ ผมตั้งใจว่าจะย้ายเข้าไปอยู่ทันที"ทั้งยังแววตามุ่งมั่นจริงจังยามตอบคำถามนั่นอีก

"ที่ว่าอยากได้...เพราะจะซื้อไว้อยู่เองอย่างนั้นหรือ"นัยน์ตาอ่อนโยนภายใต้ริ้วรอยจางๆส่องประกายบางอย่างที่แม้แต่คนถูกมองก็ไม่อาจเข้าใจ

"ใช่ครับ...คุณลุงอาจจะมองว่าผมแปลกถ้าผมจะบอกว่าผมรู้สึก'คุ้นเคย'กับเรือนหลังนั้น...ผมหลงรัก...ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเป็นของเก่า แต่เป็นเพราะความรู้สึกอบอุ่นสบายใจเมื่อผมได้เห็นมัน"ท่านทูตกิตติเพียงยิ้มบางกับสิ่งที่ได้ยิน ท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีย่อมมองออกว่าสิ่งที่คนตรงหน้าพูดล้วนออกมาจากใจทั้งสิ้น แต่จะให้ตอบตกลงในทันทีก็เห็นว่าเป็นการด่วนตัดสินใจไปเสียหน่อย เพราะอย่างไรเสียเรือนหลังนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่บรรพบุุรุษของท่านเหลือไว้ให้ลูกหลาน

"เอาเป็นว่าลุงจะรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาก็แล้วกัน...แต่ตอนนี้เราไปทานข้าวกันก่อนเถอะ คุณหญิงแกให้คนตั้งโต๊ะรอไว้นานแล้ว"ผู้อาวุโสกว่าชิงเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าผู้เป็นภรรยาให้เด็กในบ้านเข้ามาตามไปร่วมโต๊ะอาหาร แต่ดูท่าว่าความสนใจในตัวเรือนริมน้ำของชายหนุ่มยังไม่จบลงแค่นั้น เพราะเมื่อท่านนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะที่ประจำเขาก็ถามคำถามต่อทันที

"คุณลุงครับ...เห็นอาร์มบอกว่าเจ้าคุณเจ้าของเดิมท่านอยู่กับคนสนิท คุณลุงพอจะทราบประวัติท่านบ้างไหมครับ"คำถามที่ทำให้ท่านทูตกิตติคิ้วมุ่นอย่างนึกสงสัย ไม่ต่างจากคุณหญิงอรและลูกชายอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหาร

"แปลกนะ...ปกติเขามีแต่คนอยากรู้ประวัติเจ้าของเรือน มีแต่เรานี่ล่ะที่อยากรู้เรื่่องของคนอาศัย...เอ ไม่สิ...ยังมีอีกคน...รายนั้นแทบสอบประวัติกันเลยล่ะ"ผู้อาวุโสกว่าหัวเราะเบาเมื่อนึกไปถึงใครอีกคนที่เคยถามคำถามเดียวกันเมื่อหลายปีก่อน คำถามที่ท่านเองก็เกือบลืมไปเสียแล้วหากไม่ถูกเรียกความจำขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้

"ใครหรือครับ"ดวงตาคมส่องประกายวาววับ นึกสงสัยไม่น้อยที่ยังมีใครอีกคนอยากรู้ในเรื่องเดียวกันกับเขา

"ลูกชายเพื่อนสนิทของลุงเอง เคยมาถามเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อน ลุงก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก ก็ตอบเท่าที่ได้ยินมา"ดวงหน้าอ่อนโยนของท่านทูตอมยิ้มน้อยๆยามนึกถึงใครบางคนที่ว่า แต่เพียงครู่กลับเหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง

"อ้อ! อาร์ม...วันเกิดปีนี้พ่อว่าจะจัดงานที่บ้าน ฝากเราไปชวนธีร์ด้วยล่ะ คุณนิดเขาว่าช่วงนี้น้องงานยุ่ง ได้เรากับเจ้าอิงช่วยรบเร้าอีกแรงเดี๋ยวก็ใจอ่อน"



เพียงได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม มือที่จับช้อนอยู่กลับชะงักค้างกลางอากาศ ชื่อคุ้นหูที่ติดใจเจ้าตัวตั้งแต่ในฝันคราวก่อนถูกเอ่ยออกจากปากคนใกล้ตัวของเขาอีกครั้ง หากเพียงเขาไม่รู้เลยว่าเจ้าของชื่อนั้นกับคนในฝันมีความเกี่ยวข้องกันบ้างหรือเปล่า แน่ล่ะ คนชื่อซ้ำกันมีเป็นร้อยเป็นพันคน แต่ถ้าเกิดเป็นคนเดียวกันขึ้นมาล่ะก็ เห็นทีจะเป็นเรื่องตลกร้ายเรื่องหนึ่งในชีวิตของเขาเลยทีเดียว



...ธีร์...



ชื่อธรรมดาที่ติดหูไม่รู้ลืม...เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องบ้าบอที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่เกี่ยวข้องอะไรกับคนชื่อนี้...ยิ่งไปกว่านั้น...


...มันเกี่ยวข้องอะไรกับเขาบ้างหรือไม่...



...




น่าแปลกที่ความฝันของกันตวิชญ์ไม่ได้จบลงเพียงแค่วันแรกที่เขาก้าวเข้าไปเหยียบเรือนริมน้ำหลังงาม หากแต่ยังคงตามวนเวียนในความคิดของชายหนุ่มแทบทุกค่ำคืน...ต่างกันก็ตรงที่เขาไม่ได้เป็นเพียงบุคคลที่สามอีกต่อไปในความฝันนั้น ภาพที่เห็นราวกับถูกถ่ายทอดผ่านสายตาของใครคนหนึ่ง ใครบางคนซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนไม้ทรงฝรั่งริมน้ำที่เขานึกอยากได้

ภาพเหตุการณ์ฉายสลับไปมาขาดความต่อเนื่องยิ่งทำให้ชายหนุ่มสับสน เขาได้เห็นพระยาเจ้าของเรือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ใบหน้าอ่อนโยนภายใต้ริ้วรอยจางๆมักส่งยิ้มมาทางนี้เสมอ ทั้งยังน้ำเสียงเรียบเรื่อยยามเอ่ยเรียกเจ้าของดวงตาคู่สวยที่ถ่ายทอดภาพตรงหน้าอย่างเด่นชัดราวกับมองมันด้วยตาของตัวเอง...ชื่อคุ้นหูอีกหนึ่งที่ติดอยู่ในความคิดไม่รู้ลืม


...พ่อแก้ว...


หากเพียงครู่ที่ภาพเจ้าคุณตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นภาพของศาลาริมน้ำทรงแปดเหลี่ยม พร้อมมือหนาของเจ้าตัวที่กำลังบรรจงขีดเขียนตัวหนังสือด้วยปากกาขนนก ลายมือเรียงร้อยเป็นระเบียบสวยงามเช่นเดียวกับเอกสารแผ่นอื่นๆที่กองอยู่ด้านข้าง ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงกังวานใสของใครบางคน

'ผิดแล้วครับ...คำนี้แปลว่าการจัดการบริหารต่างหาก'
สายตาคมปราดมองเจ้าของนิ้วชี้เรียวยาวที่ยื่นออกมาขัดจังหวะของปลายปากกาขนนก ไล่ตามข้อมือขาวเรื่อยขึ้นมาจนถึงไหล่กว้างสมดุลภายใต้เสื้อผ้าป่านตัวบาง ลำคอเคลียด้วยผมยาวสีนกกาพลิ้วตามแรงลมเอื่อย ปลายคางเรียวรี ริมฝีปากบางยกมุมยิ้มน้อยๆ จมูกโด่งรั้น จนมาหยุดอยู่ที่ดวงตาคมสวยส่องประกายวิบวับ


'พักก่อนมั้ยครับ นั่งทำมาตั้งแต่เช้าแล้ว'เสียงนุ่มน่าฟังยังคงเอ่ยต่อ เพียงแค่นั้นมือหนาที่จับปากกาขนนกก็ค่อยคลายออกแล้ววางลง ทั้งยังฉวยโอกาสทิ้งตัวลงหนุนนอนอิงตักอุ่นของคนตัวเล็กกว่าจนแว่วเสียงท้วงทักขึ้นมาไม่เบา

'ที่บอกว่าให้พัก ไม่ได้หมายความแบบนี้นะครับ...คุณหลวง...'ปากคอยบ่นทว่านิ้วเรียวกลับกดลงข้างขมับของคนบนตัก นวดคลึงเบาๆหมายช่วยให้ผ่อนคลาย เรียกรอยยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดีของอีกฝ่ายได้ไม่น้อย


แต่เพียงครู่ที่มือหนาเอื้อมออกคว้าข้อมือของอีกคนมากุมเอาไว้แนบอกจนรับรู้แม้จังหวะหัวใจของคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้ม

'รักพี่บ้างหรือไม่คนดี'น้ำเสียงติดจะอ้อนเอ่ยถาม สัมผัสได้ว่ามือเรียวที่เกาะกุมอยู่กระตุกน้อยๆ

'จ...จะมาถามอะไรตอนนี้เล่า!'ดวงตาคมเปิดกว้างจดจ้องพร้อมรอยยิ้มยั่วเมื่อเห็นอาการลนลานของอีกฝ่าย ใบหน้าขาวเบือนหนีไปอีกทางไม่ยอมสบตาทั้งยังพยายามดึงมือหนาที่เกาะกุมออก

'บอกให้พี่ชื่นใจหน่อยซี' ยิ่งได้เห็นเรียวปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรงยิ่งอยากแกล้งให้ได้อายมากกว่าเดิม แต่จนแล้วจนรอดคนปากแข็งก็ยังไม่ยอมตอบคำถามเสียที

'ปล่อยได้แล้วครับ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า'ทั้งยังพยายามบ่ายเบี่ยงหันมองซ้ายทีขวาทีด้วยความหวาดระแวง คนนอนหนุนตักยิ่งได้ใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายออกอาการ เอื้อมมือโน้มคอคนที่นั่งอยู่ให้ก้มลงจนใบหน้าติดหวานอยู่ห่างเพียงคืบ ปลายผมยาวเคลียแก้มใสถูกปัดขึ้นทัดหูให้ได้เห็นดวงตาคู่สวยชัดเจนกว่าเคย

'อยากให้ปล่อยก็ตอบพี่มาก่อนซี' รอยยิ้มยั่วยิ่งส่งให้หน้าขาวๆขึ้นสีระเรื่อ จะหันหนีไปทางอื่นก็ทำไม่ได้เพราะน้ำหนักมือที่โน้มลงจนแทบชิด

'ทำไมชอบแกล้งครับ'

'มิได้แกล้งเสียหน่อย ก็พ่อธีร์ไม่ตอบพี่เสียที ไม่สงสารคนรอฟังบ้างรึ' น้ำเสียงทุ้มนุ่มคาดคั้นจริงจังขัดกับแววตาส่องประกายซุกซนจนคนถูกแกล้งทำได้เพียงระบายลมหายใจอ่อน

'ป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีกหรือไง'

'รู้ว่ารักหรือไม่รักเล่า'

'ก็ถ้าไม่รักจะยอมให้ทำแบบนี้มั้ยล่ะครับ' คนตัวเล็กกว่าหน้ามุ่ยเรียกเสียงหัวเราะพึงใจจากคนที่จดจ้องอยู่ เพียงชั่วครู่ที่ริมฝีปากหยักได้รูปโฉบเข้าแตะสัมผัสเรียวปากบางที่อยู่ห่างแค่คืบให้คนด้านบนสะดุ้งสุดตัว พยายามขืนตัวออกอีกครั้งแต่กลับไม่เป็นผล สุดท้ายเลยได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายฉกชิมความหวานจากริมฝีปากบางจนพอใจแล้วจึงละออก

'พี่ก็รัก' หากเป็นคำพูดสั้นๆนั่นต่างหากที่ทำเอาใบหน้าขาวแดงซ่านอีกครั้ง

'ป...ปล่อยได้แล้วน่า' คนขี้แกล้งยอมปล่อยมือแต่โดยดีทั้งที่เสียงหัวเราะเบายังลอยมาให้ได้ยิน



เขากำลังยิ้ม...ยิ้มกับภาพความสุขตรงหน้า...เช่นเดียวกับร่างสูงสมส่วนที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มปรายทั้งที่เจ้าของร่างไม่รู้สึกตัว เพราะความฝันประหลาดนั้นเรียกเอารอยยิ้มและความอุ่นซ่านในหัวใจของชายหนุ่มทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดจากอะไร...รู้เพียงแต่ว่าคนในฝันนั้นกำลังมีความสุขและถูกส่งผ่านมาถึงตัวเขายามลืมตาตื่นขึ้นมา


หลายวันที่รอยยิ้มปรายประดับบนใบหน้าคมในยามเช้ากลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของวันทั้งวัน...หลายครั้งที่เขาเผลอนึกไปถึงใบหน้าของใครหลายคนที่ปรากฎในความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกครั้งต้องมีใบหน้าติดหวานของใครคนหนึ่งรวมอยู่ด้วยเสมอ...เจ้าของดวงตาคู่สวยส่องประกายวาววับยามจดจ้อง ริมฝีปากบางขยับเพียงนิดยามเอื้อนเอ่ยคำพูดให้ได้ยิน หรือแม้แต่ท่าทางน่าเอ็นดูยามถูกกระเซ้าเย้าแหย่...หากจะบอกว่าเขาเริ่มเกิดความรู้สึกบางอย่างกับคนในฝันคนนั้นทั้งที่ไม่เคยได้พบกันมาก่อนก็คงจะไม่ผิดนัก


แต่ก็มีอีกหลายครั้ง...ที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกปวดหนึบในหน้าอกข้างซ้าย เมื่อภาพในความฝันนั้นคือการจากลาของคนสองคน...ความอบอุ่นของคนตัวเล็กกว่าในอ้อมกอดยังคงเด่นชัด ทั้งยังสายน้ำตาที่ร่วงหล่นจนเปียกชุ่มบ่ากว้างของตน สองมือที่เกาะกุมค่อยละออกเพียงช้าๆราวกับต้องการประวิงเวลาให้นานขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจนึกเมื่อท้ายที่สุดภาพความฝันนั้นก็หลงเหลือเพียงตัวเขาที่ยืนโดดเดี่ยวกลางห้องนอนกับมือที่เอื้อมออกคว้าได้เพียงความว่างเปล่า...ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้นไร้เรี่ยวแรง อ้อมกอดอบอุ่นของคนที่ติดอยู่ในความคิดกลับถูกแทนที่ด้วยความเย็นเยียบ ทำได้เพียงประคองสองแขนเข้าโอบรอบตัวพลางสะอื้นจนตัวโยน...น่าแปลกที่คนเข้มแข็งอย่างเขา หรือแม้แต่เจ้าของสายตาคมกริบที่ถ่ายทอดภาพความฝันนั้น กลับกลายเป็นอ่อนแอเพียงเพราะการจากไปของใครคนหนึ่ง


ทั้งยังคำพูดที่เจ้าตัวเฝ้าย้ำกับตัวเองวันแล้ววันเล่า จนแม้แต่คนที่ได้เห็นจากในความฝันยังจำได้ทุกถ้อยคำไม่ผิดเพี้ยน


'ชาตินี้พี่คงไม่มีวาสนา หากเกิดชาติหน้าขอให้พี่ได้พบเจ้าอีกครา...เมื่อถึงเพลานั้นพี่จะไม่ยอมปล่อยเจ้าห่างจากอกพี่อีกเป็นอันขาด'


'คิดถึงเหลือเกิน'


'พ่อธีร์ของพี่'



......................................โปรดติดตามตอนต่อไป..................................................



แต่งไปน้ำตาซึมไป สงสารพี่แก้วเหลือเกินเจ้าค่ะ (เอ๊ะ! ได้ยินเสียงใครบ่นใจร้ายหรืออะไรเทือกนั้น)
ตอนหน้ารออีกสักพักนะเจ้าคะ กำลังพยายามบิ้วอยู่ อีกไม่นานเกินรอค่า

รักผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิม แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า(ที่คาดว่ายังจบไม่ลง)ค่ะ  :bye2:

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 31-05-2015 20:57:12
รอค่า

ชอบเรื่องแนวย้อนยุคมาก

แต่งได้สนุกมาค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 31-05-2015 21:05:46
สงสารพี่แก้ว  :hao5: ได้แต่คิดถึงข้ามภพข้ามชาติเลยนะนั่น

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-05-2015 21:10:31
อยากอ่านตอนเจอกันแล้วอ่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 31-05-2015 22:20:59
 :sad4: :sad4: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: wipcream09 ที่ 31-05-2015 22:26:39
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
ยิ่งอ่านตอนพิเศษยิ่งสงสารพี่แก้ว จริงๆแล้วพี่กันต์กับนธีร์โชคดีนะคะ
พี่กันต์เกิดมาก็เหมือนค่อยๆทำความรู้จักกับอดีตของตัวเองอีกครั้ง
ส่วนน้องธีร์ รอมาสี่ปี แต่พี่แก้วรอมาเป็นชาติเลย โฮรววววววววววววว เจ็บปรวดดดดดดดด
อยากจะเข้าไปกอดพี่แก้ววว ไม่เป็นไรนะค้าาาา  :hao5: :hao5:

พาร์ทฝันถึงฉากสวีทนี่อยากเข้าไปสิงร่างพี่แก้วแทนพี่กันต์จริงๆ โฮรววว
อยากจิฟัดน้องธีร์  :hao7: :hao7: :hao7:

ขอบคุณสำหรับนิยายค่าาาาาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Netimefii ที่ 31-05-2015 22:42:14
รอค่าา  :z10: :z10:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 31-05-2015 23:12:29
เพิ่งได้มีโอกาสมาตามอ่าน สนุกมากเลยค่ะ
ปกติไม่ชอบอ่านพีเรียด เพราะเชื่อแน่ว่ายังไงก็ต้องมีเศร้า
แต่เรื่องนี้ถึงเศร้าก็ยอมทน เพราะสนุก และน่ารักจริงๆ ค่ะ
พี่แก้วช่างเป็นผู้ชายที่อบอุ่น พ่อธีร์ก็น่ารักเสียเหลือเกิน
ตอนจากกัน คนอ่านใจจะขาดเสียให้ได้ สงสารสุดๆ
รอตอนต่อไปนะคะ อย่าทำร้ายพี่แก้วนักเลย 55555
ท่านเห็นน้ำตาในเลขห้าของเราหรือไม่  :hao5:
ปล.ชอบภาษามากเลยค่ะ นุ่มนวล อยากให้คนไทยกลับมาใช้ภาษาแบบนี้เสียเหลือเกิน  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 01-06-2015 00:08:09
กำลังซึ้งเลย  :katai5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-06-2015 00:37:05
แง๊ๆๆ เอาอีกกก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-06-2015 14:06:32
รออีกนิดน่ะจะได้เจอกันแล้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: nam151238 ที่ 01-06-2015 15:52:41
น้ำตาซึมได้ทั้งตอน 
รอ รอ รอ รีบมาต่อเร็วๆ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: apisaraa ที่ 01-06-2015 19:33:51
หน่วงแทนพี่กันต์จริงๆ  :sad4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: iiizo ที่ 01-06-2015 20:59:18
 :hao5: :hao5: :hao5:
มาต่อเสียทีเถอะแม่เอ้ย ใจพี่นี่จิขาดแล้วเอ๊ยยยยยยยยยยยย :o12: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: d_ploy_d ที่ 05-06-2015 18:26:52
รอออออ คิดถึงพี่แก้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: nam151238 ที่ 05-06-2015 22:17:34
เมื่อไรจะมาจ๊ะพ่อแก้ว  :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: wipcream09 ที่ 16-06-2015 04:22:52
แวะมาทักท้ายพี่แก้วค่าาา
คิดถึงงงงง แง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 16-06-2015 13:02:12
สวัสดีจ้าคนเขียน เราเพิ่งได้อ่านเรื่องนี้จบ เป็นนิยายวายที่ใช้ภาษาได้งดงามมาก ไหลลื่น อ่านแล้วไม่สะดุดุ แถมยังรู้สึกละมุนไปทุกบทบรรยายที่คนเขียนต้องการสื่อออกมา เราอ่านแล้วรู้สึกหลงรักบรรยากาศในเรื่องจนอยากย้อนกลับไปอยู่กับพ่อตัวเอกเราทั้งหลายเลย
นอกจากนี้ตัวละครแต่ละตัวทำให้เราอินได้สุดๆ เขินสุด ฟินสุด ก้พ่อธีร์กับพี่แก้วเนี่ยแหละ ฮาสุด เศร้าสุด เกลียดสุด ก็มาครบทุกอารมณ์เลย

เดี๋ยวนี้พูดกันตามตรงว่าหานิยายใช้ภาษาสวย เนื้อเรื่องดีแบบนี้อ่านได้ยากแล้ว อ่านแล้วให้ความรู้สึกรักความเป็นไทย ความเรียบง่าย ชีวิตที่ยังไม่ฟุ้งเฟ้อกับเทคโนโลยีอย่างยุคปัจจุบันเลย

สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่ารักคนเขียนมาก ที่แต่งนิยายคุณภาพครบเครื่องแบบนี้มาให้คนอ่านได้เสพกัน จะติดตามนิยายเรื่องต่อๆไปของคนเขียนนะจ๊ะ
รักพี่แก้ว รักพ่อธีร์ รักอ้ายแช่ม รักคุณพิกุล และทุกตัวละครที่ทำให้นิยายเรื่องนี้สมบูรณ์ค่ะ

 :mew1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๒) P.18 [๓๑/๕/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: SuPeRDonGDanG ที่ 16-06-2015 22:51:25
พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย
ประทับใจมากกกกกกก ไม่เคยอ่านวายสไตล์นี้มาก่อน
สำนวนภาษา การดำเนินเรื่องในสมันก่อน ถึงไม่เป๊ะ แต่ก็ทำให้เรารู้สึกถึงมันได้
ขอบคุณคนแต่งที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่านกันนะคะ
อยากบอกว่า "อยากอ่านตอนพิเศษ ชีวิตหลังจากที่เขากลับมาเจอกันอีกครั้งจะเป็นยังไง" ไม่อยากจินตนาการเอง อยากอ่านมากกกกกกก ให้พี่กันต์ หรือ ธีร์ มาเล่าก็ได้นะ >////<

พี่แก้ว เลี่ยนได้ใจ ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องพาไปสมัครงานกับไชยาไม่ก็กุ้งนะ พระเอกลิเกขนาดแท้ 555 แต่อ่านทีไรยิ้มตามตลอดเลย กับบทเกี้ยวพาราสีของคุณหลวงเนี่ย ><

มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 21-06-2015 00:36:20

The Timeless Tide...Side Story: กันตวิชญ์ ๓...


(http://i4.photobucket.com/albums/y133/alexel27/Mobile%20Uploads/image_4.jpg) (http://s4.photobucket.com/user/alexel27/media/Mobile%20Uploads/image_4.jpg.html)


"ตากันต์หรือนี่...เข้ามาใกล้ๆยายหน่อยสิลูก"มือเรียวเล็กเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของกาลเวลายื่นออกตรงหน้าเมื่อคนตัวสูงก้มกราบลงแทบเท้าหญิงชราผู้ได้ชื่อว่าเป็นยาย ใบหน้าอ่อนโยนเจือรอยยิ้มทว่าดวงตากลับมีน้ำคลอเต็มหน่วยด้วยความปลื้มปิติ...กี่ปีกันแล้วที่ท่านไม่ได้พบหน้าหลานชายคนโปรด ทั้งคิดถึง ทั้งห่วงใย จนสุดท้ายเจ้าตัวก็กลับมาเยี่ยมเยียนท่านเสียที

"คุณยายยังดูแข็งแรงดีนะครับ"กันตวิชญ์ว่าพลางยกมือขึ้นเกาะกุมมือเล็กๆที่แนบอยู่ข้างแก้ม เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าตลอดการใช้ชีวิตในต่างแดนหลายปีที่ผ่านมา คุณยายเป็นหนึ่งในบุคคลที่เขานึกถึงบ่อยที่สุด เพราะถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก ความผูกพันย่อมก่อเกิดจนเกือบเทียบเท่าผู้เป็นพ่อและแม่เสียด้วยซ้ำ

"ก็ตามสภาพนะลูกเอ๊ย แก่ตัวลงทุกวันจะให้แข็งแรงไปมากกว่านี้ก็คงไม่ได้"หญิงชรายิ้มรับก่อนดึงตัวหลานชายคนโปรดขึ้นมานั่งเคียงกันบนโซฟา

"กลับมาอยู่บ้านเราเสียที ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนานๆยายคิดถึง"

"ถ้าอย่างนั้นผมจะมาหาคุณยายบ่อยๆ ให้คุณยายเบื่อหน้าผมเลยดีไหมครับ"ชายหนุ่มอมยิ้มแซวผู้อาวุโสที่ยังลูบผมลูบแก้มเขาไม่ยอมหยุด

"ให้มันจริงเถอะพ่อคุณ กลัวว่าจะทำงานลืมวันลืมคืนเหมือนคนอื่นๆเขาเสียมากกว่า"น้ำเสียงตัดพ้อของผู้เป็นยายเรียกรอยยิ้มกว้างจากชายหนุ่มได้ไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ

"โธ่...ใครจะไปลืมคุณยายได้ล่ะครับ"หลานชายคนโปรดได้ทีกอดผู้อาวุโสพลางซบหน้าลงบนตักคล้ายกำลังอ้อน หากเป็นเด็กชายตัวน้อยๆคงเป็นภาพที่น่าเอ็นดู แต่กับชายหนุ่มตัวสูงใหญ่แบบนี้ ภาพที่ออกมาเลยดูน่าขันเสียมากกว่า ส่วนผู้เป็นแม่เมื่อเห็นว่ายายหลานกำลังอยู่ในช่วงรำลึกความหลังจึงขอตัวออกไปเตรียมของว่างในครัวแทน



"กลับมาคราวนี้พายัยแหม่มที่ไหนมาเป็นหลานสะใภ้ของยายหรือเปล่านี่"คนเป็นยายเอ่ยแซวทั้งที่มือยังลูบศีรษะคนที่นอนซุกซบอยู่บนตักไม่ยอมลุกขึ้นเสียที

"ไม่มีหรอกครับ...ผมรู้ว่าคุณยายไม่ชอบ"คนตัวสูงอมยิ้ม เขารู้ดีว่าคุณยายเป็นคนหัวโบราณยิ่งกว่าใคร ไอ้เรื่องจะให้ไปลงเอยกับคนต่างชาติต่างศาสนา ถึงเจ้าตัวไม่เคยเอ่ยห้ามแต่เขาก็รู้ดีว่าไม่ใช่สิ่งที่ท่านพอใจนัก

"ที่ไม่มีเพราะเขาไม่ชอบหรือเราไม่แล"

"โธ่คุณยาย อยู่ที่นู่นผมทำแต่งานจะเอาเวลาที่ไหนไปจีบสาวล่ะครับ" ถูกดักคออย่างรู้ทันทำได้เพียงอ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก

"ก็เป็นเสียงอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่ยายจะได้อุ้มเหลนกัน"

"จนกว่าจะหาคนสวยและใจดีแบบคุณยายได้ล่ะมั้งครับ"

"ไม่ต้องมาทำเป็นปากหวานหร้อก ยายล่ะอยากเห็นเสียจริงคนที่ทำให้พ่อหลานตัวดีของยายตกหลุมรักได้" คำตอบติดตลกเรียกรอยยิ้มจากผู้อาวุโสแต่กลับพาให้คนพูดนึกไปถึงหน้าของใครบางคนที่วนเวียนอยู่ในความคิดมาหลายวัน...สวยและจิตใจดีอย่างนั้นหรือ...ใครคนนั้นจะให้ชมว่าสวยคงเป็นไปไม่ได้ แต่หากพูดถึงความดี...เท่าที่ได้เห็นก็ดีไม่น้อยไปกว่าใคร...แต่นี่เขากำลังเพ้อเจ้อเกินไปหรือเปล่า ก็คนที่กำลังนึกถึงอยู่นั่นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ดีไม่ดีอาจเป็นเพียงแค่ความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นเพราะเอาแต่หมกมุ่นเรื่องเรือนริมน้ำหลังนั้นก็เป็นได้


"เป็นอะไรหรือลูก...ถอนหายใจเสียดัง"เสียงผ่อนลมหายใจยาวจากคนตัวโตบนตักทำเอาผู้เป็นยายชะงักมือที่ลูบผมนุ่มแล้วเอ่ยถาม

"คุณยาย...เคยฝันเรื่องเดิมๆซ้ำๆกันบ้างไหมครับ"

"โถ นึกว่าเรื่องอะไร...เคยสิลูก คนเราเวลาให้ความสนใจกับเรื่องอะไรมากเข้าก็เก็บไปฝันได้เหมือนกันนั่นล่ะ"

"แล้วถ้าในฝันนั้น ผมเหมือนไม่ได้เป็นตัวเองแต่กลับเป็นใครอีกคนล่ะครับ มันเหมือนกับ...ใครคนนั้นอยากให้ผมได้เห็นอะไรบางอย่าง"ร่างสูงสมส่วนหยัดตัวขึ้นนั่งหลังตรงให้ผู้เป็นยายทอดสายตาอ่อนโยนมองตาม

"อะไรบางอย่างที่เราว่า หมายถึงอะไรล่ะตากันต์"

"ผมก็อธิบายไม่ถูก...เหมือนผมได้เห็นชีวิตของเขา...แต่บางทีก็เหมือนได้เห็นตัวเอง......ในอดีต..."ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดวกวนของตัวเอง ผิดกับผู้อาวุโสที่ยังคงนั่งนิ่งมีเพียงรอยยิ้มบางอย่างเอ็นดู

"ได้เห็น...แล้วรู้สึกเหมือนอย่างที่เขารู้สึกด้วยไหม" แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะยากต่อการอธิบายแต่เรื่องเดียวที่ชัดเจนจนแม้แต่คนถูกถามทำได้เพียงพยักหน้ารับ

"ถ้ารู้สึกก็แสดงว่าเราผูกพันกับสิ่งนั้น"

"แต่ผมไม่รู้จักเขา ไม่รู้จักใครสักคน แล้วผมจะไปผูกพันกับคนพวกนั้นได้ยังไงกันครับ" คิ้วดกหนาพันกันยุ่งเมื่อเจ้าตัวยังคงใช้ความคิด ผู้เป็นยายจึงทำได้เพียงเอื้อมมือออกลูบผมอีกฝ่ายอ่อนโยนหมายให้ผ่อนคลาย

"วันนี้ไม่รู้จักไม่ได้หมายความว่าวันก่อนเราจะไม่เคยรู้จักพวกเขานี่ลูก"

"ผมไม่เข้าใจครับคุณยาย" หญิงชราทำได้เพียงระบายลมหายใจอ่อนทั้งที่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม

"กันต์เชื่อหรือเปล่าว่าคนเราไม่ได้เกิดมาแค่ชาติเดียว แต่เราเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ" คนฟังยังนั่งนิ่ง คนหัวสมัยใหม่แบบเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องที่ว่ามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เริ่มฝันประหลาดนั้น เขาก็คิดเพียงว่ามันอาจเป็นความเพ้อเจ้อของตัวเองที่หมกมุ่นกับเรื่องเรือนหลังนั้นมากเกินไป

"ที่หลานฝันอาจเป็นเพราะใครบางคนอยากให้หลานเห็นอะไรบางอย่าง...และที่หลานรู้สึกก็อาจเป็นเพราะหลานเคยมีความหลังฝังใจกับเรื่องนั้นโดยที่หลานไม่รู้ตัวก็เป็นได้" ชายหนุ่มทำได้เพียงใช้ความคิดตามคำพูดของผู้เป็นยาย...คำพูดที่ฟังดูเหนือธรรมชาติและยากจะหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆมาอธิบายได้ หากแต่เป็นคำพูดที่เขาเองก็ไม่สามารถหาข้อแก้ต่างใดมาโต้แย้งได้เช่นกัน

"แล้วผมควรจะทำยังไง ถึงจะสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้ล่ะครับ" เพราะภาพความฝันที่ฉายวนสลับไปมาไม่ต่อเนื่องจนแม้แต่เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก สติรับรู้เพียงอย่างเดียวนั่นคือความสุขอบอุ่นที่แผ่ซ่านยามได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของใครต่อใคร กับความรู้สึกเจ็บแปลบยามได้เห็นการจากลาและน้ำตาของใครคนหนึ่ง

"ยายก็ตอบกันต์ไม่ได้หรอกว่าควรต้องทำอะไร แต่ถ้าหลานบอกว่าใครคนนั้นอยากให้หลานได้เห็น ทำไมไม่ลองตั้งจิตอธิษฐานดูล่ะ บางทีจิตที่มั่นคงของเราอาจทำให้เราได้พบคำตอบที่ตามหาก็ได้นะ" ผู้อาวุโสทำได้เพียงให้คำแนะนำ เพราะเธอเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่หลานชายพูดถึงจะเป็นอย่างที่เธอเข้าใจหรือไม่ แต่เพียงครู่ที่รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะขบขันคล้ายกับว่าเธอนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างจนเผลอหลุดปากพูดกับตัวเองเบาๆ




"ดูท่าว่าชาติที่แล้วพ่อแก้วของยายจะไปสาบานอะไรกับใครไว้ล่ะสิท่า เขาถึงได้ตามมาทวงสัญญาแบบนี้"





เสียงบ่นพึมพำของคนแก่กลับไม่สะดุดหูคนฟังได้เท่ากับชื่อคุ้นเคยที่เขาได้ยินมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มือหนาเอื้อมคว้ามือเหี่ยวย่นที่ลูบผมตัวเองแล้วออกแรงเขย่าเสียจนผู้เป็นยายยังแปลกใจ

"เมื่อกี้...คุณยายเรียกผมว่าอะไรนะครับ!"

"อะไรกัน ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาไม่กี่ปี ลืมไปแล้วหรือว่ายายชอบเรียกเราว่าอะไร" เสียงหัวเราะเบาของหญิงชราไม่ได้คลายความสงสัยให้อีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขายังคงนั่งขมวดคิ้วมุ่นพยายามเรียกความจำในวัยเด็กหรือแม้แต่หลายปีก่อนที่เขาจะไปศึกษาต่อ จนผู้อาวุโสทนเห็นอาการตึงเครียดของหลานชายไม่ไหวต้องออกปากเฉลยเสียเอง

"ตอนเด็กๆยายชอบเรียกเราว่า'พ่อแก้ว'... ก็เราน่ะเปรียบเหมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่หรือแม้แต่ยายเองก็เถอะ ดูซิ ผ่านมาไม่กี่ปีก็ลืมเสียแล้ว เมื่อก่อนยังอ้อนให้ยายเรียกอยู่บ่อยๆแท้ๆ"

"พ่อแก้ว...หรือครับ" ภาพความทรงจำในวัยเด็กแทรกเข้ามาในความคิดทว่าเลือนลางจนแทบจำไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนจนน่าตกใจ นั่นก็คือชื่อเรียกที่เหมือนกันของเขากับใครอีกคน


เขาเคยถูกเรียกด้วยชื่อที่ฟังดูล้าสมัยแบบนี้...เช่นเดียวกับใครคนนั้นที่ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ต่างกัน...ความคล้ายคลึงของเขากับใครคนนั้นเริ่มชัดเจนจนน่าตกใจ


...พ่อแก้ว...



...คุณหลวง...



...ธีร์...



สามสิ่งที่ติดค้างในความคิดมาตลอดหลายสัปดาห์...แล้วจะมีวันที่เขาได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้บ้างหรือไม่


........................................................................................



กันตวิชญ์สบโอกาสกลับมาเยือนเรือนริมน้ำหลังงามอีกครั้งหลังจากลองขออนุญาตเจ้าของตัวจริงอย่างท่านทูตกิตติที่ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไร ท่านว่าอยากจะไปเมื่อไหร่ก็ให้บอกเพราะท่านไม่ใช่คนหวงสมบัติอะไรนัก ดีเสียอีกที่ยังมีคนหนุ่มไฟแรงให้ความสนใจเรือนเก่าแก่แบบนี้อยู่บ้าง แต่เรื่องจะให้ตัดสินใจขายสมบัติชิ้นสำคัญแบบนี้คงต้องดูกันอีกนาน

วันนี้เขามาเพียงลำพังเหตุเพราะเพื่อนสนิทอย่างอรรถนนท์ติดธุระกระทันหัน แต่สำหรับชายหนุ่มนั่นถือเป็นการดีที่เขาจะได้มีเวลาชื่นชมความงามของเรือนริมน้ำได้เต็มที่ ทั้งยังเรื่องสำคัญที่เจ้าตัวตั้งใจเอาไว้แน่วแน่

ชายหนุ่มไขกุญแจโซ่คล้องประตูด้านหน้าที่ได้รับมาจากอรรถนนท์ก่อนก้าวเข้าไปยืนกลางห้องนั่งเล่นกว้างขวาง สายตาจดจ่อเพียงภาพถ่ายสีขาวดำของเจ้าของเรือนที่แขวนเด่นอยู่บนผนัง สบเข้ากับสายตาอ่อนโยนของคนในภาพแล้วก็ให้หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วหยิบพวงมาลัยดอกมะลิกลิ่นหอมติดจมูกที่เจ้าตัวตั้งใจเลือกขึ้นมาพนมมือแนบอก

"ผมมากราบเจ้าคุณครับ...ผมรู้ว่าเจ้าคุณรักเรือนหลังนี้มาก ผมเอง...ก็รักเรือนหลังนี้เช่นกันครับ...ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นลูกหลานในตระกูล แต่ผมก็ตั้งใจจะดูแลรักษาเรือนหลังนี้ให้ดีที่สุด...หากเจ้าคุณเห็นว่าผมคือคนที่เหมาะสม ผมขอให้เจ้าคุณช่วยดลจิตดลใจคุณลุงกิตติให้พิจารณาเรื่องการขายเรือนหลังนี้ด้วยเถอะครับ"
ร่างสูงสมส่วนทรุดตัวลงคุกเข่าก่อนก้มกราบหน้าภาพถ่ายด้วยความเคารพยิ่ง กันตวิชญ์วางพวงมาลัยกลิ่นหอมฟุ้งไว้บนโต๊ะวางแจกันลายครามที่ตั้งอยู่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นสบกับดวงหน้าอ่อนโยนของคนในภาพอีกครั้งด้วยหวังให้เจ้าของเรือนได้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเขา ก่อนที่จะเดินจากห้องนั่งเล่นขึ้นไปยังชั้นบนของเรือนจนมาหยุดอยู่หน้าบานประตูสีฟ้าอมเทาของห้องสุดโถงทางเดิน

มือหนาเอื้อมผลักบานประตูไม่แรงนักหากแต่รับรู้ได้ถึงแรงลมเอื่อย บานหน้าต่างรอบด้านเปิดกว้างจนทั้งห้องสว่างไสว เห็นทีช่างที่ถูกจ้างมาคงเปิดทิ้งเอาไว้เมื่อตอนเข้ามาซ่อมบำรุง...ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบห้องที่เขาได้เห็นเพียงครั้งเดียวแต่กลับจดจำรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนเมื่อนึกไปถึงความฝันประหลาดนั้น

ร่างสูงสมส่วนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงสี่เสาหลังใหญ่ไล้มือไปตามแนวของผ้าแพรเพลาะสีสดปูทับฟูกนอน เรื่อยจากปลายเตียงขึ้นมาจนถึงหมอนนุ่มด้านบน แล้วจึงละออกเพื่อหยิบสิ่งของอีกหนึ่งอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจนำมามอบให้กับเจ้าของห้องเดิม


ช่อดอกแก้วสีขาวนวลถูกวางไว้กลางหมอนตัดกับสีน้ำเงินสดของผ้าแพรที่ปูทับส่งกลิ่นหอมจางๆ


"ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับเรือนหลังนี้ หรือแม้แต่...เกี่ยวข้องอะไรกับตัวผม..." เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยแผ่วเบาคล้ายพึมพำกับตัวเองทั้งที่สายตาจดจ่อเพียงช่อดอกแก้วสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้า

"แต่ถ้าสิ่งที่ผมได้เห็น คือสิ่งที่คุณอยากให้ผมรับรู้......หรือมันเป็นสิ่งที่...ผมควรจะรู้..." ท้ายประโยคสะดุดลงเพียงเพราะวูบหนึ่งเขาคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันไร้สาระสิ้นดี หากเพียงครู่ก็กลั้นลมหายใจแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคง

"ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ขอให้ผมได้เห็นเรื่องราวทั้งหมด...ทำให้ผมเข้าใจทีนะครับว่าทำไมผมถึงได้ฝันแบบนั้น...อะไรที่คุณติดค้างหรืออยากให้ผมช่วย...บอกผมทีนะครับ...


...คุณหลวง..."


ชื่อเรียกสุดท้ายหลุดออกจากริมฝีปากหยักเพียงแผ่วเบา จนถึงตอนนี้เขาค่อนข้างแน่ใจ ว่าเจ้าของห้องเดิมนี้เป็นคนเดียวกับเจ้าของสายตาคมกริบที่ถ่ายทอดภาพความฝันประหลาดให้เขาได้เห็นไม่ผิดแน่...แต่เรื่องที่ยังสงสัยนั่นคือ...ทำไมต้องเป็นเขา?...เพียงเพราะเขาให้ความสนใจในเรือนหลังนี้ เพราะความผูกพันที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ หรือเพราะใครคนนั้นเกี่ยวพันกับตัวเขาอย่างที่คุณยายว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน เขาก็ต้องการจะรู้ความจริงทั้งหมด ดีกว่าคอยคาดเดาแบบไม่รู้สาเหตุแบบนี้ไปเรื่อยๆจนอยู่ไม่เป็นสุข


แรงลมวูบโบกผ่านบานหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้ากระทบกับใบหน้าคมของคนที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียง โชยกลิ่นดอกแก้วหอมติดจมูกจนชายหนุ่มนึกสงสัยว่าช่อดอกแก้วช่อน้อยที่วางอยู่ตรงนี้สามารถส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้องได้เพียงนี้เชียวหรือ
.

.

.

.

.


สายหมอกปกคลุมรอบกายบดบังวิสัยทัศน์ให้พร่าเลือน หากเพียงครู่ภาพตรงหน้ากลับเด่นชัด...กันตวิชญ์พบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงากรอบไม้บานใหญ่ภายในห้องนอนห้องเดิม ทว่าเงาในกระจกที่ควรส่องสะท้อนภาพของตนกลับกลายเป็นใครอีกคนที่คุ้นเคย...เจ้าของใบหน้าคมเข้มและริมฝีปากหยักที่ยกยิ้มน้อยๆกำลังยืนจดจ้องมาที่ตัวเขาราวกำลังเผชิญหน้ากัน...เวลานี้ความตื่นตระหนกเหมือนครั้งแรกเลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงความสงสัยใคร่รู้และคำถามมากมายที่เจ้าตัวต้องการคำตอบ

"คุณหลวง" เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วพร้อมมือที่เอื้อมออกสัมผัสบานกระจก เช่นเดียวกับคนตรงหน้าที่ทำกริยาเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน แต่แล้วก็ต้องแปลกใจจนรีบชักมือกลับเมื่อสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่อยู่...กันตวิชญ์ยกแขนทั้งสองขึ้นดูก่อนไล้มือไปตามคอปกเสื้อ ไล่สายตาก้มสำรวจตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดวงตาคมเบิกกว้างยามเงยขึ้นสบกับเงาในกระจกอีกครั้ง



...ไม่ใช่ใครอีกคนที่เขาเข้าใจ...แต่เป็นตัวเขาเองต่างหาก!...



"นี่มัน..." สีหน้าตกตะลึงส่องสะท้อนเด่นชัด เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นตัวเองในสภาพแบบนี้ เสื้อราชประแตนสีขาวสง่าตัดกับผ้าม่วงนุ่งโจงสีเข้ม ผมรองทรงเสยเรียบไปด้านหลังที่ตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยนึกทำทรงล้าสมัยแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ทั้งยังรองเท้าหนังมันปลาบสวมทับถุงน่องขาวทึบนี่อีก

ชายหนุ่มหมุนตัวสำรวจตนได้เพียงครู่ พลันแว่วเสียงคุ้นหูดังแผ่ว เสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีเรียกให้เขาหันซ้ายหันขวาไปทั่วห้องเพื่อมองหาต้นเสียง ก่อนมาหยุดที่ภาพสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ ดวงตาคมจดจ้องเงาร่างของตัวเองที่กำลังยืนขมวดคิ้วมุ่น


'คนที่ตามหาก็อยู่ตรงหน้านี้แล้วอย่างไร' คล้ายคนพูดกำลังกระซิบติดใบหู หากแต่คำพูดถัดมากลับเจือความเศร้าโศกจนแม้แต่คนได้ยินยังสัมผัสได้



'แต่คนที่รออยู่เล่า ป่านฉะนี้จะเป็นเยี่ยงไรบ้างหนอ'



"คนที่รออยู่..." ป่วยการจะหาที่มาของเสียงเมื่อท้ายสุดเจ้าตัวกลับรับรู้ได้ว่าเสียงทุ้มนุ่มเจือความโศกนั้นแท้จริงแล้วมันดังก้องมาจากเบื้องลึกของจิตใจตน...ร่างสูงสมส่วนยังคงยืนจดจ้องเงาร่างของตัวเองในกระจก คำถามมากมายไหลวนอยู่ในความคิดจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเริ่มจากตรงไหน

'อยากเห็นเช่นนั้นหรือ...อยากรับรู้ความทุกข์ของเราเช่นที่เรารู้สึกหรือ' คล้ายคำตอบรับโดยที่เขายังไม่ต้องเอ่ยถาม ทำได้เพียงพยักหน้าให้เงาร่างของตัวเองในกระจก หวังเพียงให้ใครคนนั้นช่วยไขข้อข้องใจให้กระจ่างเสียที

'หลับตาซี...แลพ่อจะได้เห็นเช่นเราเห็น...รู้สึก...เช่นที่เรารู้สึก' น้ำเสียงอ่อนโยนชักจูงให้ชายหนุุ่มเหลียวมองรอบกายอีกครั้งอย่างลังเลด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นั้นคืออะไร...วิญญาณ...ความนึกคิด หรือเพียงความฟุ้งซ่านที่เจ้าตัวสร้างขึ้น...ทว่าความใคร่รู้กลับมีมากกว่า...มากเสียจนเจ้าตัวค่อยผ่อนลมหายใจช้าๆแล้วปิดเปลือกตาลง มือหนาทั้งสองข้างกำแน่นสั่นระริกเพราะความกลัว...กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น...กลัวในสิ่งที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้


แต่เพียงครู่ที่ความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นแผ่ซ่าน รับรู้เพียงเสียงหัวใจเต้นดังระรัวอยู่ในอกพร้อมกับภาพความทรงจำของใครบางคนที่หลั่งไหลเข้าสู่ห้วงความคิด...เหตุการณ์เรียงร้อยผันผ่านในแต่ละวันเรียกให้ใบหน้าคมที่หลับตาพริ้ม บ้างขมวดคิ้วแน่นคล้ายอึดอัด บ้างผ่อนลมหายใจยาวหรือแม้แต่รอยยิ้มปรายแต่งแต้มบนริมฝีปากหยัก...ราวกับว่าเขากำลังซึมซับเอาความทรงจำของใครคนนั้นจนหลอมรวมเข้ากับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

"เจ้าคุณท่าน...ผมขอโทษที่ทำให้เจ้าคุณท่านเป็นห่วง" เสียงทุ้มนุ่มพึมพำแผ่วเบาทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท น้ำเสียงเจือความสำนึกผิดเมื่อภาพในความทรงจำคือบุคคลที่ได้ชื่อว่าผู้มีพระคุณที่กำลังก้มลงลูบศีรษะตนอย่างเอ็นดู สีหน้าอ่อนโยนยามทอดสายตามองคนเบื้องล่างทั้งรักใคร่และเอ็นดูประหนึ่งลูกหลานแท้ๆ แต่ผิดที่ตัวเขาเองที่เลือกทำตามหัวใจมากกว่าความถูกต้องที่ควรจะเป็น


"แม่ชื่นคิดถึงเขา...เราเองก็คิดถึงเขาไม่น้อยไปกว่าแม่ชื่นหรอก" สองมือกำแน่นจนสั่นยามได้ยินบ่าวคนสนิทเอ่ยถึงใครบางคนกับพวกทาสในโรงครัวให้เข้าหูในเย็นวันหนึ่งเมื่อเขากลับมาถึงเรือน


"ดูเอาเถอะ...ดอกพิกุลที่เคยแย้มบานบัดนี้กลับเหี่ยวเฉาใกล้ร่วงโรย ต่างอะไรกับตัวพี่กันเล่า" ดวงหน้าหวานระเรื่อทว่าหม่นหมองเวียนเข้ามาในความคิดจนคนมองอดอุทานออกมาด้วยความเห็นอกเห็นใจไม่ได้...ต่างกันตรงไหนเล่า เมื่อเขาและเธอก็รู้สึกเช่นเดียวกัน...ความรู้สึกของคนที่รอ...รอแม้ไม่รู้ว่าจะได้พบเจออีกเมื่อใด


"กลับมาหาพี่ไม่ได้หรือ...กลับมาให้พี่กอด ให้พี่ได้เห็นหน้าอีกครั้งไม่ได้หรือ" ความคิดท้ายสุดหยุดลงที่ใบหน้าของใครคนหนึ่ง...ใครคนนั้นที่วนเวียนอยู่ในความทรงจำวันแล้ววันเล่า ทว่ากลับเป็นได้เพียงแค่ความทรงจำเมื่อความเป็นจริงตรงหน้ามีเพียงตัวเขาที่ยืนอยู่โดดเดี่ยว ความรู้สึกเจ็บปลาบแล่นลึกเข้าหน้าอกข้างซ้ายพร้อมกับเปลือกตาที่ค่อยๆลืมขึ้นมองภาพตรงหน้าที่พร่ามัว สายน้ำตาร่วงหล่นอาบสองแก้มจนร้อนผ่าว ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนต้องยันมือเข้ากับบานกระจกตรงหน้า


จนถึงตอนนี้เขาหมดสิ้นซึ่งข้อสงสัย...เหตุใดถึงต้องเป็นเขาที่เห็นภาพเหล่านั้น...เหตุใดถึงได้ผูกพันกับเรือนหลังนี้ตั้งแต่ได้เห็นเพียงครั้งแรก...และเหตุใดถึงได้รู้สึกราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต


'ดวงจิตดวงเดียวกัน...วิญญาณดวงเดียวกัน ไฉนเลยจะไม่รู้สึกเช่นเดียวกัน'


คล้ายเสียงตะโกนก้องจากเบื้องลึกให้ได้ยิน ดวงหน้าคมตวัดจ้องเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง ไล่มองสำรวจร่างสูงสมส่วนของตัวเองที่ยังอยู่ในสภาพเดิมหากแต่รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป...ไม่สิ...บางอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามาต่างหาก...บางอย่างที่เจ้าตัวให้คำจำกัดความเพียงสั้นๆว่า...ความทรงจำ...

ความทรงจำทั้งของตัวเองและใครอีกคนที่เขาเคยเป็นเมื่อครั้งอดีตหลอมรวมจนไม่อาจแยกจากกันได้อีก จิตสำนึกรับรู้เพียงใบหน้าของใครคนหนึ่งที่เขาเฝ้ารอมาทั้งชีวิต ใครคนนั้นที่เป็นทั้งคนสำคัญและส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ขาดหาย


'...ชลนธีร์...'



'พ่อธีร์ของพี่แก้ว'



'...พ่อธีร์ของพี่...'
.

.
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 21-06-2015 00:36:58
.

.


"......"


"...กันต์..."


"ไอ้กันต์!"

แรงเขย่าบนต้นแขนและเสียงเรียกกึ่งตะโกนปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์...ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าคุ้นเคยของเพื่อนสนิทที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นพิจารณาร่างที่กำลังนอนทอดตัวยาวของเขาด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มดีดตัวผึงขึ้นสำรวจรอบตัวเพื่อจะพบว่าเขาเผลอหลับไปบนเตียงสี่เสาหลังใหญ่ในห้องนอนห้องเดิมเป็นเวลานานพอสมควร สังเกตได้จากแสงตะวันอมส้มที่ส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามาให้รู้ว่าเป็นเวลาเย็นย่ำเพียงใด

"โทรหาตั้งหลายรอบก็ไม่รับ นึกว่าหายตัวไปไหน ที่แท้ก็มาแอบหลับอยู่ที่นี่"ลูกชายเจ้าของเรือนบ่นอุบหากแต่คนฟังยังไม่ตื่นเต็มสติดีนัก ดวงตาคมยังคงมองรอบกายด้วยความงุนงง น่าแปลกที่คนอย่างเขาจะมาเผลอหลับอยู่ในที่แบบนี้...แต่มาคิดอีกที...จะเรียกว่าแปลกที่ก็คงไม่ได้ ในเมื่อครั้งหนึ่งห้องนี้มันเคยเป็นห้องของเขาเอง

"ที่มหาวิทยาลัยเขาใช้งานหนักหรือไงถึงได้เหนื่อยจนหลับไปแบบนี้" อรรถนนท์ว่าพลางเดินไล่ปิดบานหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ลงทีละบานจนหมดเหลือเพียงแสงไฟสีส้มนวลจากหลอดนีออนบนเพดานเหนือศีรษะ

"กี่โมงแล้วอาร์ม"หากแต่คำตอบที่ไม่ได้ตรงกับที่อีกฝ่ายถามนักทำเอาสถาปนิกหนุ่มพ่นลมหายใจยาวก่อนยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเรือนหรูที่สวมอยู่

"๕โมง๑๕...เย็นนี้มีนัดทานข้าวกับคุณพ่อไม่ใช่เหรอ"คนตัวสูงที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงพยักหน้ารับน้อยๆเมื่อนึกไปถึงนัดทานอาหารเย็นที่บ้านของท่านทูตกิตติ ตอนแรกตั้งใจว่าเสร็จจากธุระที่เรือนนี้แล้วจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อยแต่เมื่อดูจากเวลาตอนนี้เห็นทีคงไม่ทัน

"แกจะกลับบ้านเลยไหม ว่าจะขอติดรถไปด้วย วันนี้ฉันไม่ได้เอารถมา"

"ไม่รู้จะติดดินไปถึงไหนนะคุณกันตวิชญ์...จะไปก็รีบลุกได้แล้ว ขืนออกช้ากว่านี้รถติดตายชัก แกก็รู้ว่าการจราจรในกรุงเทพสาหัสขนาดไหน"อรรถนนท์ส่ายหน้าให้กับความติดดินของเพื่อนสนิทคนนี้สักที มีอย่างที่ไหนเป็นถึงลูกชายคนเล็กของนักธุรกิจชื่อดัง ทั้งยังดีกรีปริญญาโทจากเมืองนอกเมืองนาแต่กลับทำตัวธรรมดาจนน่าใจหาย ไอ้เรื่องที่ไม่ชอบขับรถไปไหนมาไหนนี่ก็เรื่องหนึ่งล่ะ

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากสารถีจำเป็น คนตัวสูงจึงค่อยลุกเดินตามหลังเพื่อนสนิทไปโดยไม่ลืมที่จะเหลียวมองห้องนอนคุ้นตาด้านหลังประตูนั้นอีกครั้ง เครื่องเรือนส่วนใหญ่ยังถูกคลุมไว้ด้วยผ้ากันฝุ่น ช่อดอกแก้วสีขาวนวลยังคงวางอยู่บนเตียงเช่นเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปเห็นทีจะเป็นตัวเขาเสียล่ะมั้ง




"ไหวแน่นะกันต์ ทำไมดูท่าทางเพลียๆ"ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหลังพวงมาลัยหันมาถามคนข้างๆเมื่อรถจอดติดอยู่บนถนนได้สักพัก ท่าทีเหนื่อยอ่อนของอีกฝ่ายทำเอาอรรถนนท์ประหลาดใจไม่น้อย ทั้งดวงตายังบวมช้ำคล้ายคนอดนอน ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เจ้าตัวไปเผลอหลับอยู่ที่เรือนริมน้ำตั้งนานสองนานนั่นอีก

"เมื่อคืนนอนไม่พอมั้ง"ได้แต่ตอบส่งๆไปทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้สึกเช่นกันว่าพลังงานในร่างกายตอนนี้มันหดหายจนแทบพยุงตัวไม่อยู่ เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้งทำได้เพียงอิงศีรษะเข้ากับเบาะหนังสีดำปล่อยให้ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถลอยกระทบใบหน้า ถึงอย่างนั้นความคิดในหัวกลับไม่นิ่งสงบตาม จิตใจยังคงวนเวียนคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งระลึกได้ เรื่องราวในอดีตที่ส่งผลต่อตัวเองในปัจจุบันเพราะใครบางคนที่ตนอยากพบหน้า

คิดแล้วก็ให้นึกขำอยู่ในใจ อยากพบอยากเห็นหน้า แล้วจะให้ไปตามหาที่ไหนกัน ไม่ใช่แค่โลกใบนี้ที่กว้างใหญ่เกินไป แต่ยังมีเรื่องของเวลามาข้องเกี่ยว เขาไม่รู้เลยว่าคนๆนั้นยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับเขาตอนนี้หรือไม่ หรืออาจจะกลายเป็นตาแก่อายุ๖๐ ไม่ก็เด็กน้อยวัยหัดคลาน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะให้เขาทำอย่างไรกันล่ะ


"น้ำมันหมดเหรอ"ความคิดฟุ้งซ่านหยุดลงเมื่อเห็นว่าอรรถนนท์กำลังหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันข้างทาง หากแต่อีกคนกลับส่ายหน้าแล้วพารถเก๋งคันโตมาจอดอยู่หน้าร้านกาแฟด้านในแทน

"ติดนานเข้าชักง่วง ได้กาแฟสักแก้วคงดี...แกเอาสักหน่อยไหม"เจ้าของรถหันมาถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายออกอาการเพลียไม่ต่างกัน

"ดีเหมือนกัน...ลาเต้เย็นนะ"สิ้นเสียง อรรถนนท์ก็รีบผลุนผลันลงจากรถทันทีปล่อยให้คนข้างๆนั่งหลับตานิ่ง ความอ่อนเพลียสะสมตั้งแต่เมื่อช่วงกลางวันยังคงไม่หายไป...แต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของคนที่เพิ่งลงจากรถไปดังขึ้นพร้อมแรงสั่นเบาๆในช่องวางของข้างกระปุกเกียร์

"ลืมโทรศัพท์เสียได้นะไอ้นี่"กันตวิชญ์บ่นพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา ปล่อยให้เสียงเรียกเข้าแผดก้องอยู่ไม่นานก่อนจะเงียบลง


ชายหนุ่มพ่นลมหายใจเมื่อเห็นว่าคงไม่มีอะไรมาขัดจังหวะการพักสายตาของเขาอีกแล้ว หากเพียงชั่วครู่โทรศัพท์เครื่องเดิมกลับแผดเสียงดังอีกครั้ง ดูท่าว่าคนที่โทรเข้ามาคงมีธุระสำคัญถึงได้เพียรโทรหาเจ้าของเครื่องครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เช่นนี้...ดวงตาคมปรือขึ้นมองคล้ายคนถูกขัดใจ ทว่าเพียงครู่เดียวก็กลับเบิกกว้างเมื่อเหลือบไปเห็นชื่อเจ้าของสายที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ




...Cholnatee...





เรียวคิ้วหนาได้รูปขมวดมุ่นพร้อมจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นระส่ำเพียงได้เห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสว่างวาบอยู่ตรงหน้า...ความคิดล่องลอยไปถึงชื่อใครคนนั้นที่ติดอยู่ในความทรงจำ ทว่าเพียงครู่เดียวก็นึกขึ้นได้


ไม่สิ...ไม่น่าใช่...อาร์มเองก็มีคนรู้จักชื่อนี้เช่นกัน เขาจำได้ว่าเคยได้ยินชื่อนี้เมื่อตอนพบกับท่านทูตกิตติเป็นครั้งแรก...ไม่ใช่คนเดียวกันหรอก...เรื่องบังเอิญแบบนั้นมันไม่มีทางเกิดขึ้น...


...ไม่ใช่หรอกน่า...


คนที่เขาเพิ่งจดจำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องได้ คนที่เขาหมายมั่นนึกอยากรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร หรือยังมีชีวิตอยู่หรือไม่...คนที่ตัวเขา'ในอดีต'เคยรักแสนรัก...คนๆนั้น...จะมาปรากฎตัวให้เห็นได้ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ


...มันจะตลกเกินไปหน่อยแล้ว...


เสียงหัวเราะเบาจากเจ้าตัวดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมเป็นรอบที่สาม หากแต่คราวนี้หางตากลับเหลือบไปเห็นรูปภาพประจำตัวของคนที่โทรเข้ามาโผล่พ้นช่องเก็บของตรงกระปุกเกียร์เพียงเสี้ยว มือหนาเอื้อมออกหยิบเครื่องมือสื่อสารอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกับจังหวะหัวใจที่เต้นระรัว ทั้งที่ตามปกติแล้วเขาไม่เคยถือวิสาสะรับสายให้คนอื่นเลยแม้สักครั้ง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ที่ภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฎใบหน้าของคนที่เขานึกถึงมาตลอด

มือที่ประคองเครื่องมือสื่อสารนั้นสั่นเทิ้ม กันตวิชญ์ไม่รู้เลยว่าเขากำลังมีสีหน้าแบบไหนตอนที่เลื่อนนิ้วกดรับสายของใครอีกคนอย่างลืมตัวก่อนยกมันขึ้นประคองแนบหูให้ได้ยินเสียงของปลายสายที่ตอบกลับมาไม่ดังนัก


'สงสัยคุณสถาปนิกคงจะยุ่งอยู่ล่ะสิท่ากว่าจะรับสายได้' ประโยคล้อเลียนคลอเสียงหัวเราะดังมาตามสาย ผิดกับคนฟังที่ได้แต่นั่งตัวตรง ดวงตาคมสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียงนุ่มน่าฟังที่อยากได้ยินมานานแสนนาน ความคิดถึงแทรกลึกจนไม่อาจกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้คล้ายคนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

'พี่อาร์ม...พี่อาร์มครับ...ฮัลโหล ยังอยู่ไหมเนี่ย' ปลายสายดูท่าหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ แว่วเสียงบ่นถึงปัญหาเรื่องสัญญาณหรืออะไรสักอย่างที่คนฟังไม่อาจจับใจความได้เพราะความคิดที่จดจ่อเพียงใบหน้าติดหวานของเจ้าของเสียง ตอนนี้กำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่นะ กำลังยิ้ม หัวเราะ หรือกำลังหัวเสียเพราะเขาไม่ตอบอะไรกลับไปหรือเปล่า

'เดี๋ยวธีร์โทรไปใหม่แล้วกันนะครับ' สิ้นเสียงนุ่ม สัญญาณก็ถูกตัดไปพร้อมกับประตูรถฝั่งคนขับที่ถูกเปิดออกและร่างสูงโปร่งของอรรถนนท์ที่แทรกตัวเข้ามา


"อ่ะ! ลาเต้เย็นไม่หวาน"แก้วกาแฟสีอ่อนถูกยื่นมาจ่อตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจนักเมื่อเจ้าของรถกำลังวุ่นอยู่กับการหาที่วางแก้วของตัวเองและเอื้อมไปรัดสายเข็มขัดนิรภัยให้กระชับ แต่เพียงครู่ที่ใบหน้าขาวของอรรถนนท์หันกลับมามองอาการนิ่งค้างของคนข้างๆที่ไม่มีทีท่าจะยื่นมือออกมารับกาแฟในมือของเขาแม้แต่น้อย

"เป็นอะไรของแก...แล้วนั่นใครโทรมาเหรอ"สถาปนิกหนุ่มเอียงคอมองคล้ายสงสัยเมื่อเห็นว่าในมือของเพื่อนสนิทยังถือโทรศัพท์เครื่องที่เป็นของเขาค้างเอาไว้

"กันต์...ไอ้กันต์!"ระดับเสียงที่ดังกว่าปกติทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก เหลือบตามองคนข้างๆที่ส่งสายตาแกมดุมาให้ หากยังไม่ทันได้พูดอะไร โทรศัพท์เครื่องเดิมในมือกลับส่งเสียงร้องอีกครั้งพร้อมภาพหน้าจอและชื่อที่ปรากฎเป็นคนๆเดิม

"เอ่อ..."คนตัวสูงทำได้เพียงยื่นโทรศัพท์เครื่องสีดำส่งคืนเจ้าของแล้วรับแก้วกาแฟในมือของอีกฝ่ายมาถือไว้ เหลือบไปเห็นเจ้าของเครื่องตั้งท่าจะถามอะไรสักอย่างแต่กลับเปลี่ยนใจกดรับสายที่ดังค้างมาได้สักพักแทน


"ว่าไงครับสุดหล่อ"น้ำเสียงหยอกล้อของเพื่อนสนิททำเอาชายหนุ่มมองตาม ใบหน้าอมยิ้มของอรรถนนท์ยามรับสายบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี แต่เพียงครู่ที่ใบหน้าขาวคมนั้นกลับขมวดคิ้วน้อยๆแล้วเหลือบมองตัวเขาที่นั่งเงียบอยู่นาน

"พี่กดรับแล้วไม่พูดเหรอ"คล้ายผู้พูดกำลังคาดคั้นเขาอยู่เลยทำได้เพียงกระแอมในลำคอเบาๆแล้วเสตาไปมองนอกหน้าต่างแทน

"สงสัยสัญญาณไม่ดีมั้ง แล้วเราล่ะมีอะไรถึงได้โทรหาพี่ตั้งหลายรอบ"อรรถนนท์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักเมื่อเห็นคนว่าคนข้างๆไม่มีท่าทีผิดปกติ หารู้ไม่ว่าเขากำลังตั้งใจฟังบทสนทนาถึงขั้นอยากได้ยินเข้าไปถึงเสียงของคนปลายสายแม้จะรู้ว่านั่นเป็นเรื่องเสียมารยาทก็ตาม

"แล้วกัน มาไม่ได้เหรอเนี่ย...แบบนี้กว่าพี่จะได้เจอเราก็งานวันเกิดคุณพ่อเลยน่ะสิ...

...ไม่ได้นะธีร์ วันนี้เบี้ยวได้แต่งานวันเกิดห้ามเด็ดขาด พี่ไม่ได้เจอเรามากี่ปีแล้วฮะ ไม่คิดว่าพี่จะคิดถึงน้องชายคนนี้บ้างรึไง"

สถาปนิกหนุ่มกรอกเสียงกลับไปยังปลายสายยาวเหยียด แม้บทสนทนาดูเหมือนเจ้าตัวไม่พอใจนักแต่กันตวิชญ์รู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเขาเพียงแค่หยอกคนในโทรศัพท์เล่นเท่านั้นเมื่อน้ำเสียงที่ส่งไปกลั้วเสียงหัวเราะเบาอย่างอารมณ์ดี

"โอเคตามนั้น...ไว้เจอกันเสาร์หน้านะสุดหล่อ แค่นี้ก่อนนะพี่กำลังขับรถอยู่...บายครับ" โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมถูกวางไว้ในช่องใส่ของเมื่อเจ้าของกดวางสายเสร็จก่อนที่เจ้าตัวจะออกรถเพื่อไปติดอยู่บนถนนเส้นเดิมอีกครั้ง

"เมื่อกี้...มีคนโทรมาแต่พอรับแล้วมันไม่มีสัญญาณน่ะ"คนตัวสูงว่าเสียงเรียบทั้งที่สายตายังจดจ้องไปยังด้านนอกกระจก อีกฝ่ายเพียงรับคำในลำคออย่างไม่ใส่ใจมีแต่เขาที่ยังรู้สึกผิดไม่หายที่ถือวิสาสะกดรับสายของคนอื่น

"ใครโทรมาเหรออาร์ม...เขามีธุระสำคัญอะไรรึเปล่า"แม้ฟังดูละลาบละล้วงแต่เพราะความอยากรู้ที่มีมากกว่าถึงได้ตัดสินใจถามออกไป โชคดีที่เพื่อนสนิทอย่างอรรถนนท์ไม่ติดใจสงสัยเมื่อเจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ

"ธีร์น่ะ...ลูกชายเพื่อนสนิทคุณพ่อที่เคยเล่าให้ฟังไง ตอนแรกฉันชวนน้องมาทานข้าวด้วยเย็นนี้แต่ดันติดงานด่วนมาไม่ได้ นี่ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เจอกันเลย กี่ปีแล้วก็ไม่รู้"

"แกชวนเขามาทานข้าวด้วยกันเหรอ!"น้ำเสียงร้อนรนพร้อมใบหน้าคมเข้มที่หันกลับมาทันทีทำเอาเจ้าของรถสะดุ้งโหยง

"เอ่อ...แล้วเขา...มาไม่ได้เหรอ"พอรู้สึกตัวว่าเผลอออกอาการมากเกินไปถึงได้พยายามลดระดับเสียงลง

"ฮื่อ...ช่วงนี้งานยุ่งมั้ง เห็นคุณพ่อบอกว่าเพิ่งเข้าทำงานในสถานทูตได้ไม่นานคงต้องทำผลงานมากหน่อย...

...จะติดอะไรนักหนาวะเนี่ย"โชคดีที่การจราจรในกรุงเทพช่วงนี้เรียกได้ว่าสาหัส สารถีจำเป็นอย่างอรรถนนท์ถึงไม่ได้ใส่ใจในบทสนทนามากไปกว่าไฟท้ายรถคันข้างหน้าที่ขึ้นสีแดงโร่เป็นแนวยาว

"ค่อยๆขับไปเดี๋ยวก็ถึงน่า"ปากบอกปลอบใจอย่างคนใจเย็น แต่ใครจะรู้ว่าหัวใจกำลังเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ เมื่อนึกถึงโอกาสที่อาจได้พบคนๆนั้นแต่กลับพลาดไปอย่างน่าเสียดาย



...อีกนิดเดียวแท้ๆ...





"แล้วงานวันเกิดคุณพ่อวันเสาร์หน้าว่ายังไง...จะมาด้วยรึเปล่า"คิ้วดกหนาที่ขมวดมุ่นเมื่อเจ้าตัวกำลังใช้ความคิดเรื่อยเปื่อยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจางประดับบนใบหน้ายามนึกถึงบทสนทนาของสองพี่น้องที่ได้ยินผ่านหู กันตวิชญ์เพียงเหลือบมองสองข้างทาง รถราแน่นขนัดเริ่มเคลื่อนตัวคล่องขึ้นมาบ้างแล้วเช่นเดียวกับลมหายใจที่ติดขัดค่อยผ่อนคลายลงจนเป็นปกติ อาการลนลานคล้ายคนสติหลุดเมื่อครู่กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง มีเพียงน้ำเสียงราบเรียบที่ตอบกลับให้คนข้างๆได้ยินไม่ดังนัก


"ไปสิ...ต้องไปแน่ๆ"


รอยยิ้มบางเบาส่องสะท้อนกระจกรถด้านข้างมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่ได้เห็น ทั้งยังพร่ำบอกกับตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้พยายามข่มความยินดีนี้เอาไว้ก่อน



...ไม่เป็นไร...วันนี้ไม่ได้พบ วันหน้าก็ต้องได้พบ...



...รอมาได้ทั้งชีวิตแล้วกับอีกแค่ไม่กี่วันมันจะเป็นไรไป...




................................โปรดติดตามตอนต่อไป...............................................



กราบสวัสดีอีกครั้งหลังจากหายหน้าไป...เอ่อ...๒๑วันพอดิบพอดี  :hao7:
คาดว่าถ้าครบหนึ่งเดือนอาจมีแจ้งคนหายก็เป็นได้ #ยัง!

ตอนนี้ลงฉลองยอดวิวผ่าน50,000วิวด้วยความปลื้มปริ่มค่ะ ดีใจที่อย่างน้อยก็ยังมีคนเข้ามาอ่านบ้างถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก และหวังว่าจะอยู่เป็นเพื่อนกันต่อไปจนกว่าจะถึงวันที่นิยายเรื่องนี้ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์นะคะ

เดินทางมาจนถึงตอนที่๓แล้ว ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามกันอยู่เหมือนเดิม (แอบเห็นนะว่าไปกดไลค์ในแฟนเพจแต่ไม่เห็นมีใครมาคุยกับเค้าบ้างเลย เค้าก็เหงาเป็นนะ #กระซิกๆ)

ไว้พบกันใหม่ตอนจบนะคะ สำหรับวันนี้กราบลาไปหาพี่แก้วกับน้องธีร์ก่อนแล้วค่าาาาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-06-2015 01:55:01
  :ling2: อีกนิดเดียว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: tiktok ที่ 21-06-2015 06:02:30
สนุกและน่าติดตามมากคะรอลุ้นตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 21-06-2015 07:39:08
อีกนิดก็จะเจอกันแล้ว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mississippi ที่ 21-06-2015 07:51:38
เค้าจะเจอกันแล้วววว ง่อวววววววววววววววววววว
ปล อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงเพลง ดั่งฝันฉันใดเลยค่ะ ได้อารมณ์มาก โฮ่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :heaven
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: apisaraa ที่ 21-06-2015 08:57:13
เศร้าจัง ถึงตอนอวสานจะได้เจอกันแล้วแต่ ชาติที่แล้วคุณหลวงจะรู้สึกยังไง รอทั้งชีวิต หน่วงสุด
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 21-06-2015 09:31:14
รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


 :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 21-06-2015 10:54:35
รออีกนิดเนอะพ่อแก้ว...

เดี๋ยวเขอแล้วคงไม่ยอมแยกจากกันแน่ๆ

ชอบนิยายแบบนี้จังคะ

ปล.มาต่อเร็วๆนะคะนั่งรออยู่
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: papanoy ที่ 21-06-2015 13:18:37
สงสารพี่แก้วจัง ทรมานกับการรอคอยมานานมากสินะ อยากให้เจอกันเร็วๆ จะได้มีความสุขกันซะที

อ่านเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกเย็นใจทุกครั้ง คนเขียนใช้ภาษาได้ดี อ่านแล้วลื่นไหล อินไปกับเนื้อเรื่อง อ่านแบบมีความสุข

ขอบคุณคนเขียนมากกกก  :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 21-06-2015 17:14:29
พี่แก้วคงทรมาณมากเลยสินะ เดี๋ยวก็จะได้เจอกันแล้ว
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Netimefii ที่ 21-06-2015 19:46:15
สู้นะพี่แก้ว รออีกนิดจะได้เจอกันแล้ว   :m1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-06-2015 19:59:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: SuPeRDonGDanG ที่ 22-06-2015 10:19:44
จะได้เจอกันแล้ว อยากอ่านตอนพิเศษชีวิตหลังจากที่เจอกันในปัจจุบัน ไม่รู้คนแต่งจะใจดีแต่งให้อ่านไหมคะ
ไม่อยากมโนเองเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: SuPeRDonGDanG ที่ 27-06-2015 09:14:09
คิดถึงพี่แก้ว  :ling3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 27-06-2015 13:01:55
จะจบจริงๆแล้ว ลื่นไหล อ่านสบายตา อ่านแนวนี้ทีไรวางไปลงทุกที ขอบคุณคนแต่งมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: knightprince ที่ 16-07-2015 02:00:12
OMG!!!ต้องบอกก่อนว่าเคยตามเรื่องนี้อยุ่พักนึง จนสุดท้ายรอคอยตอนต่อไปไม่ไหว
เลยรอให้แต่งจบ เพิ่งได้เวลาย้อนคิดถึงเรื่องนี้ อยุ่ดีๆก็อยากอ่าน ไล่อ่านใหม่ตั้งแต่ตอนแรก
เพิ่งจบยันตอนล่าสุด พูดเลยว่าตอนจบเรื่องน้ำตาท่วม ตาบวมไปหมด เสียทิชชุ่ไปหลายแผ่น
แต่สุดท้ายก็ได้เจอกัน สมหวัง ชอบทั้งสไตล์การเขียน ทั้งเนื้อเรื่อง จัดได้ว่าเป็นนิยายดีๆเรื่องนึงที่คงไม่ลืมแน่นอน
ขอบคุณคนแต่งที่ทำให้ได้เจอพี่แก้ว พ่อธีร์ อ้ายแช่ม รึแม้แต่ภาคแบ่งร่างอย่างพี่กันต์ ชอบเรื่องนี้มาก ให้ตายก็เขียนมาไม่หมดอะคะ
สุดท้าย รอตอนจบของพี่กันต์นะคะ อยากอ่านเรื่องแชมป์กะตฤนด้วยอะ ถ้าคนเขียนจักกรุณาข้าน้อย
ยังอยากติดตามงานเขียนอยุ่คะ รักคนเขียนน้าาา อิอิ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(๓) P.19 [๒๑/๖/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: SuPeRDonGDanG ที่ 17-07-2015 13:57:44
I miss u P'Keaw
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(จบ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 25-07-2015 01:18:08

The Timeless Tide...Side Story : กันตวิชญ์ (จบ)


(http://i4.photobucket.com/albums/y133/alexel27/Mobile%20Uploads/IMG_3019.jpg) (http://s4.photobucket.com/user/alexel27/media/Mobile%20Uploads/IMG_3019.jpg.html)



เป็นเวลาสามสี่วันมาแล้วที่สถาปนิกหนุ่มอย่างอรรถนนท์สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเพื่อนสนิท...หลายครั้งที่เขาเอ่ยปากเรียกหรือเริ่มบทสนทนาอะไรสักอย่างแต่กลับไม่ได้รับคำตอบใดคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง อาการเหม่อลอยมีให้เห็นบ่อยครั้งจนแม้แต่คนใกล้ตัวอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้...แต่ทุกครั้งเจ้าตัวก็เพียงสะดุ้งน้อยๆเมื่อถูกดึงสติกลับมาแล้วตอบกลับเพียงแค่ว่า


'ไม่ได้เป็นอะไร'


ไม่ใช่แค่ตัวเขาที่รู้สึก แม้แต่พี่ชายคนโตอย่างอิงทัศน์เองก็สังเกตได้เพียงแค่ใช้เวลากับชายหนุ่มในเย็นวันหนึ่งที่ร้านอาหารกึ่งผับหรูย่านใจกลางเมือง เมื่อสองคนพี่น้องนัดแนะเพื่อนฝูงนักเรียนนอกออกมาสังสรรค์และถือโอกาสชักชวนมาร่วมงานวันเกิดของผู้เป็นพ่อไปในตัว

"พี่ว่าจะให้คุณพ่อรับรองแขกผู้ใหญ่ในบ้าน ส่วนด้านนอกก็จัดเป็นค็อกเทลปาร์ตี้ให้พวกเด็กๆได้ผ่อนคลายกัน"พี่ชายคนโตของบ้านกล่าวสรุป

"แล้วอย่างพวกผมยังนับเป็นเด็กอยู่ไหมครับพี่อิง"หนึ่งในชายหนุ่มถามแกมหยอกเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมวง

"พวกแกสี่คนอายุรวมกันก็เกินร้อยไปหลายปีแล้วยังจะกล้าถามอีกนะรัชต์"อิงทัศน์ได้แต่ปรายตามองเจ้าของชื่อพลางส่ายหน้าปลง ยิ่งทำให้นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอย่างรัชตะถูกเพื่อนโห่แซวเสียงดังแต่เจ้าตัวกลับไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนยังคงหัวเราะร่าเพราะรู้ว่า'พี่ใหญ่'ของกลุ่มเพียงหยอกเล่นเท่านั้น

"ว่าแต่งานวันเกิดของท่านทูตทั้งทีทำไมถึงจัดที่บ้านล่ะครับ ปกติผมเห็นเขาจัดกันในโรงแรมใหญ่โต"หนุ่มร่างท้วมท่าทางอารมณ์ดีพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้านอาหารชื่อดังอย่างธาวินอดถามขึ้นไม่ได้

"คุณพ่อท่านว่าจัดที่บ้านดูเป็นกันเองมากกว่าน่ะ ท่านอยากได้งานเล็กๆจะได้ดูแลกันได้ทั่วถึง"

"ระดับท่านทูตกิตติผมว่าจัดที่บ้านหรือที่โรงแรมก็คงไม่เล็กหรอกมั้งพี่"รัชตะยิ้มแซวทำเอาเพื่อนร่วมวงพยักหน้าเห็นด้วยกันเป็นแถว

"เอาน่า...คุณพ่อท่านอยากได้แบบนั้นก็ตามใจท่านหน่อย ว่าแต่พวกแกว่างกันหรือเปล่า"อรรถนนท์กล่าวตัดบทก่อนเอ่ยชักชวนเพื่อนฝูงที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบรับกันทั้งนั้น เหลือเพียงแต่คนตัวสูงที่นั่งอยู่ด้านในสุดที่ยังคงจดจ้องแก้วไวน์ทรงสูงในมือนานสองนานราวกับว่ามันเป็นของวิเศษนักหนา

"เป็นอะไรของมัน"แว่วเสียงบ่นของรัชตะอยู่ไม่ไกลจนเพื่อนร่วมวงต่างหันมามองเป็นตาเดียว ธาวินเองก็ตั้งท่าจะเอื้อมมือไปสะกิดเรียกหากแต่ถูกอรรถนนท์ที่นั่งอยู่ข้างๆห้ามเอาไว้เสียก่อน

"ปล่อยมัน ช่วงนี้ใจลอยพิกลสงสัยมีเรื่องให้คิด"สถาปนิกหนุ่มพ่นลมหายใจหนักก่อนหันไปชักชวนเพื่อนเริ่มบทสนทนาอื่นต่อด้วยเกรงว่าอาการแปลกๆของคนตัวสูงจะทำให้เสียบรรยากาศ มีก็เพียงพี่ชายคนโตอย่างอิงทัศน์ที่ยังคงปรายสายตามองเป็นระยะ จนเมื่ออีกฝ่ายขอตัวไปเข้าห้องน้ำนั่นล่ะถึงได้สบโอกาสเดินตาม
 


"กันต์..."อิงทัศน์ออกปากเรียกเมื่อคนตัวสูงเดินเลี่ยงออกมายืนรับลมตรงระเบียงด้านนอก ใบหน้าคมด้านข้างแม้เรียบเฉยหากแต่คนเป็นพี่ยังสังเกตได้ถึงอาการผิดปกติ


...กันตวิชญ์คนนี้เงียบขรึมจนเกินไป...


"เป็นอะไรหรือเปล่า ช่วงนี้ดูแปลกไปนะ"

"เปล่าครับ"แต่คำตอบก็ยังคงเหมือนทุกครั้ง หนุ่มใหญ่ร่างสูงจึงทำได้เพียงถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นวางบนไหล่ของอีกฝ่าย ออกแรงตบเบาๆสักสองสามทีแล้วลงน้ำหนักค้างเอาไว้

"แกก็เหมือนน้องชายพี่คนหนึ่ง ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็บอกพี่ได้"ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงพยักหน้ารับน้อยๆก่อนทอดสายตามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงแทน เห็นแบบนั้นอิงทัศน์จึงทำได้เพียงยืนเคียงข้าง ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเพราะรู้ดีว่าคาดคั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ เขารู้จักนิสัยของกันตวิชญ์ดีพอที่จะรู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังมีเรื่องให้คิดแต่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดปากเล่าให้ใครฟัง


...คงต้องรอจนกว่าเจ้าตัวจะจัดการปัญหาได้ด้วยตัวเองนั่นล่ะถึงจะกลับมาเป็นกันตวิชญ์คนเดิม...
.

.

.

เกือบล่วงเข้าวันใหม่กว่าที่มื้ออาหารค่ำของบรรดาหนุ่มนักเรียนนอกจะจบลง ถึงอย่างนั้นรัชตะกับธาวินยังออกปากชวนเพื่อนฝูงไปท่องราตรีต่อด้วยกันตามประสาหนุ่มโสดอารมณ์ดี หากแต่สามคนที่เหลือกลับปฏิเสธ สุดท้ายสองพี่น้องอย่างอิงทัศน์และอรรถนนท์ถึงได้อาสามาส่งชายหนุ่มผู้เงียบขรึมตลอดทั้งคืนเหมือนเช่นทุกครั้ง


ร่างสูงสมส่วนทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวทันทีที่กลับถึงห้อง มือหนายกขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่สวมอยู่พร้อมกับระบายลมหายใจอ่อน ดวงตาคมจดจ้องเพียงเพดานด้านบนนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ทั้งที่ความคิดในหัวยังคงวนเวียน

"เหมือนคนบ้าไม่มีผิด"ได้แต่บ่นพึมพำเพราะรู้ตัวดีว่าไม่กี่วันมานี้เขาออกอาการแปลกๆให้คนรอบข้างสังเกตเห็นมากเพียงใด แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ไม่สามารถจัดการเรื่องที่เป็นกังวลได้



...ทั้งคิดถึงทั้งสับสน...คงเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง...



เกิดมาจนอายุ๓๐ปียังไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้สักครั้ง คนรักที่เรียกได้ว่ารักจริงน่ะก็เคยมีแต่ไม่เคยมีใครทำให้กระวนกระวายได้แบบนี้สักคน...ใช่สิ จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่กำลังนึกถึงเลยสักเรื่องนอกจากเรื่องราวในอดีตที่ตัวเองจดจำได้...แต่เพียงแค่ความทรงจำเหล่านั้นมันเพียงพอให้เขาเดินหน้าต่อไปหรือ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีใจที่ได้รับรู้ว่าใครคนนั้นมีตัวตน และเขาก็ไม่ปฏิเสธว่ายังรักคนๆนั้นอย่างหมดหัวใจ แม้ว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีประสบการณ์ตกหลุมรักผู้ชายด้วยกันสักครั้งก็เถอะ


แต่เหนือกว่าความยินดีที่ได้รู้ว่าคนที่รอคอยอยู่ใกล้แค่เอื้อม คือความกลัวแผ่ซ่านจนไม่อาจข่มใจให้เป็นสุขได้ จริงอยู่ที่เขาอยากพบคนๆนั้นจนนึกอยากไปหาเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่กับอีกฝ่ายที่เขาไม่รู้แม้แต่ความคิด ไม่รู้ว่าเวลาที่ผ่านมาหลายปีทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไม่รู้ว่าในโลกของคนๆนั้น ความคิดของคนๆนั้น ยังมีเขาอยู่บ้างหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากพบกันอีกครั้งคนๆนั้นยังจำเขาได้หรือไม่



...ลืมพี่หรือยังหนอคนดี เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้ยังมีพี่อยู่ในใจเจ้าบ้างไหม...



คำถามที่เขาคอยเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆแต่กลับไม่มีคำตอบ ถึงอย่างนั้นคำว่า'คิดถึง'ยังคงไม่จางหาย แม้ทุกวันที่ผ่านไปเขายังอยู่กับคำว่าไม่รู้ แต่ก็ยังอยากพบ อยากเห็นแม้เสี้ยวหน้า อยากสบตาคมสวยคู่นั้น ได้มองรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากบาง...ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นอาจไม่ได้มีเพื่อเขาอีกแล้วก็ตาม...



.........................................................................



ร่างสูงสมส่วนภายใต้เสื้อยืดคอปกสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีเข้มและรองเท้าผ้าใบคงดูโดดเด่นสำหรับคนที่เดินผ่านไปมาในสถานทูตไม่น้อย สังเกตได้จากสายตาหลายคู่ที่จับจ้อง ทั้งเสียงกระซิบกระซาบของหญิงสาวรอบข้างที่ลอยผ่านมาเข้าหู หากแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจเมื่อยังมีเรื่องอื่นให้เป็นกังวลมากกว่า...ชายหนุ่มยกมือกระชับแว่นกันแดดสีชาพร้อมกับสองขาที่ก้าววนไปมาอยู่กลางโถงทางเดิน ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว เจ้าหน้าที่สถานทูตหลายคนเริ่มทยอยลุกจากที่นั่งเมื่อถึงเวลาพักกลางวัน แต่กับคนที่รอคอยยังไม่มีวี่แววจะได้พบจึงทำได้เพียงเดินวนไปเวียนมาไม่เป็นสุข

เพราะความคิดถึงทำให้กันตวิชญ์ไม่ลังเลที่จะต่อสายตรงไปหาเพื่อนสนิทกลางดึกคืนนั้น ใช้เพียงคำพูดลอยๆไม่กี่คำเพื่อหลอกถามอรรถนนท์ถึงสถานที่ทำงานของคนที่เขาอยากพบ สถาปนิกหนุ่มเองก็ดูไม่ติดใจสงสัยถึงได้ยอมบอกแต่โดยดี แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าหากได้พบกันเขาควรทำตัวเช่นไร


...ควรเดินเข้าไปหาดีไหม หรือคอยมองอยู่ห่างๆเท่านั้น และหากนึกอยากเข้าไปคุยด้วยเล่า จะเริ่มต้นอย่างไรดี...



...ฟุ้งซ่าน...



ในหัวมีแต่เรื่องฟุ้งซ่านเต็มไปหมด



"อยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ"ทว่าเสียงนุ่มคุ้นหูที่ได้ยินกลับทำเอาสองขาชะงักนิ่ง หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อนึกไปถึงคนที่กำลังเดินมาทางด้านหลัง หากเพียงตัดสินใจจะหันกลับไปเผชิญหน้า อีกเสียงหนึ่งกลับดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

"แล้วแต่ธีร์เลยค่ะ พราวทานอะไรก็ได้"แม้ไม่ได้หันไปมองก็รู้ดีว่าหญิงสาวเจ้าของเสียงหวานนั้นกำลังโต้ตอบกับใครอีกคนที่เขาเฝ้ารอ สองขายาวจึงทำได้เพียงก้าวหลบไปยืนหลังกำแพง สายตาคมลอบมองชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินผ่านหน้าโดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนเฝ้าดูอยู่


ใบหน้าที่ติดอยู่ในความทรงจำนั้นยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รูปร่างหรือก็สูงโปร่งออกจะมีน้ำมีนวลกว่าเก่า ผมที่เคยยาวระต้นคอตอนนี้ถูกตัดให้สั้นลงถึงอย่างนั้นก็ยังยาวเคลียแก้มขาว ดวงตาสวยปนโศกและรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากบางนั้นก็เหมือนเดิม...ผิดไปก็ตรงที่



...รอยยิ้มนั้นไม่ได้มีให้กับเขา...



เพราะเจ้าตัวกำลังยิ้มหวานขณะผายมือให้คนด้านข้างเดินผ่านบานประตูไปก่อน แว่วเสียงขอบคุณจากหญิงสาวตัวเล็ก ผมยาวเคลียไหล่ ท่าทีอ่อนน้อมเมื่อโน้มศีรษะลงเล็กน้อยยามเดินผ่านหน้า ก่อนที่ชายหนุ่มร่างโปร่งจะเดินตามออกไปเคียงคู่กัน เสี้ยวหน้าที่นึกถึงแสดงอาการดีใจยามพูดคุย ไม่ต่างจากหญิงสาวข้างๆที่กำลังหัวเราะเมื่อถูกหยอกล้อ ทั้งยังเอื้อมมือเรียวเล็กออกไปผลักไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

ท่าทีขัดเขินแบบนั้นทำเอาหัวใจของกันตวิชญ์แทบหล่นหาย คำพูดที่นึกเตรียมมาแต่ต้น ความกังวลสารพัดกลับถูกแทนที่ด้วยอาการปวดหนึบตรงหน้าอกข้างซ้าย...เขาไม่รู้หรอกว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร อาจเป็นเพื่อนร่วมงาน คนสนิท หรือมากกว่านั้น หากแต่สิ่งเดียวที่เขารับรู้...คือสองคนนั้นเหมาะสมกันเหลือเกิน...


...เหมาะสม...จนเขาทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆแล้วหันหลังกลับไปทันที...


...............................................................................................



ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่กันตวิชญ์เอาแต่นั่งทอดสายตามองเจ้าพระยาสายใหญ่เบื้องหน้าจากศาลาแปดเหลี่ยมของเรือนไม้เก่าแก่หลังเดิม รู้ตัวอีกทีเมื่อตอนที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงแผดเสียงร้องจนเจ้าตัวสะดุ้งน้อยๆก่อนจะหยิบมันขึ้นดูเพื่อพบว่าปลายสายที่โทรเข้ามาคือเพื่อนสนิทคนเดิม

'อยู่ไหนของแก' กันตวิชญ์ปรายสายตามองรอบตัว หากเขาบอกไปว่าอยู่ที่นี่จะทำให้เจ้าของบ้านไม่พอใจหรือเปล่านะ อยู่ดีๆก็ถือวิสาสะเข้ามานั่งใจลอยอยู่ในเขตรั้วบ้านเขาแบบนี้

"มีอะไรหรือเปล่า"สุดท้ายเลยได้แต่บ่ายเบี่ยงถามถึงธุระกลับไปแทน

'คุณพ่อท่านอยากพบเลยให้โทรมาถามว่าเย็นนี้ว่างไหม'

"คุณลุงมีธุระด่วนหรือ"เสียงทุ้มตอบกลับไปไม่ใส่ใจนัก ตั้งใจเอาไว้ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเขาคงขอเลื่อนนัดเป็นวันพรุ่งนี้แทนเพราะตอนนี้เขายังไม่มีอารมณ์พบปะใครเอาเสียเลย

'จะว่าด่วนก็คงไม่ด่วน แต่แกคงอยากให้มันด่วน'

"อย่ามาเล่นลิ้นน่า"คนตัวสูงขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบามาตามสาย ก่อนที่สถาปนิกหนุ่มจะเอ่ยคำเฉลยจนคนฟังแทบลุกพรวดพราดจากม้านั่ง

'คุณพ่อท่านอยากคุยเรื่องเรือนริมน้ำ เห็นเปรยๆว่าเกือบใจอ่อนแล้วอะไรนี่ล่ะ'

"ล้อกันเล่นหรือเปล่าอาร์ม!"

'ถ้าอยากรู้ก็มาที่บ้านสิ ท่านชวนมาทานมื้อเย็นด้วย...ดูซิ ตั้งแต่รู้จักแกวันๆก็เอาแต่ถามถึง ไม่รู้ถูกใจอะไรแกนัก ฉันเป็นลูกชายแท้ๆยังไม่ถามหาขนาดนี้...'ชายหนุ่มเพียงปล่อยให้ปลายสายบ่นแกมหยอกโดยไม่โต้ตอบอะไรเมื่อความคิดจดจ่อเพียงแค่เรื่องเรือนหลังงามตรงหน้า...ความกังวลเมื่อครู่ปลิวหายไปทันทีเมื่อมีเรื่องสำคัญให้คิดถึงมากกว่า ชั่วขณะหนึ่งที่เขาหวนนึกถึงภาพถ่ายขาวดำที่แขวนโดดเด่นกลางห้องนั่งเล่นกว้างขวางกับคำอธิษฐานจิตเมื่อหลายวันก่อน รูปภาพนั้นนิ่งเฉยไร้ชีวิตหากแต่คนตัวสูงกลับนึกไปถึงรอยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนโยนของผู้มีพระคุณล้นเหลือในอดีตชาติ...ดวงตาคู่สวยปราดมองประตูเรือนที่ลงกลอนแน่นหนาพร้อมกับที่ริมฝีปากหยักขยับเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ก่อนที่สองขายาวจะรีบก้าวไปให้ถึงรถเก๋งที่จอดอยู่แล้วขับออกไปทันที



'ขอบพระคุณขอรับเจ้าคุณท่าน'
.

.

.

.

สิ่งที่หวังไว้แม้ยังไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจแต่ก็เรียกได้ว่าไม่สูญเปล่า เมื่อเย็นวันนั้นกันตวิชญ์ได้รับคำยืนยันจากท่านทูตกิตติเรื่องการตัดสินใจขายมรดกชิ้นสำคัญ ชายหนุ่มจับกระแสบางอย่างได้ในน้ำเสียงของผู้อาวุโสยามเอ่ยถึงเรือนริมน้ำหลังนั้น ทั้งยังท่าทีโอนอ่อนเมื่อเขาเปรยเรื่องราคาหรือแม้แต่สีหน้ายินดียามเขาอาสาเป็นผู้รับผิดชอบค่าซ่อมบำรุงเรือนเสียเองหากท่านยอมตกลงขาย นั่นทำให้กันตวิชญ์ค่อนข้างแน่ใจว่าอีกไม่นานเขาคงได้สมบัติชิ้นสำคัญมาไว้ในครอบครอง

ชายหนุ่มเผลอนึกไปถึงวันที่ตนได้เป็นเจ้าของเรือนหลังนั้นโดยสมบูรณ์ เขาอยากปรับปรุงอะไรอีกหลายอย่าง ทั้งห้องทำงานชั้นล่างที่ตอนนี้โล่งโจ้งไร้เครื่องเรือน ห้องนั่งเล่นกว้างขวางแต่เหลือเพียงชุดโซฟากับนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้น หรือแม้แต่สวนด้านหน้าที่เคยเต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับส่งกลิ่นหอมฟุ้งหากแต่ตอนนี้กลับโล่งเตียนเพราะขาดคนดูแล ยังมีศาลาริมน้ำนั่นอีก...เอ๊! ตรงนั้นเคยมีต้นแก้วปลูกเอาไว้นี่นา สงสัยต้องไปหาต้นแก้วพันธุ์ดีมาลงไว้เหมือนเดิมเสียแล้ว เวลาแขกไปใครมาจะได้กลิ่นหอมของดอกแก้วให้ชื่นใจ

กันตวิชญ์ชอบดอกแก้ว...จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็กเขาชอบเด็ดช่อดอกแก้วสีขาวนวลที่ปลูกอยู่ริมรั้วบ้านมาให้คุณยายใส่ขวดโหลหล่อน้ำแล้วเอามาวางไว้หัวเตียงเสมอเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆช่วยให้เขาหลับฝันดี...เขาเคยนึกสงสัยว่าทำไมถึงได้ติดใจกลิ่นหอมของมันนัก จนมาวันนี้ถึงได้เข้าใจ


...เพราะดอกแก้วคือดอกไม้แทนตัวเขาเองเมื่อครั้งอดีต...ดอกไม้...ที่เป็นตัวแทนของความดีและความบริสุทธิ์ เหมือนอย่างที่ตัวเขาเคยเป็น และจวบจนตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น...






'หน้าฝนปีหน้าต้นแก้วที่ศาลาริมน้ำก็คงออกดอกแล้วสิครับ'



แว่วเสียงคุ้นหูดังแทรกในความคิด...เสียงของใครคนหนึ่งที่เคยถามเอาไว้ในคืนฝนโปรย ในมือประคองช่อดอกแก้วโชยกลิ่นหอมอ่อนๆให้พอชื่นใจ หากยังหอมไม่เท่าเจ้าของมือเรียวในอ้อมกอด กลิ่นกายหอมเหมือนเด็กน้อยชวนให้หลงใหลที่ไม่ว่าจะสัมผัสสักกี่ครั้งก็ไม่เคยพอ



'อยากให้พ่อธีร์ได้เห็น'



เขายังจำคำตอบในคืนนั้นได้ดี ตั้งใจเอาไว้แน่วแน่ว่าจะดูแลต้นแก้วต้นนั้นให้เติบใหญ่ออกดอกงดงาม ใจนึกไปถึงรอยยิ้มหวานของใครคนนั้นยามได้เห็นช่อดอกไม้ขาวนวลผลิออกแซมประดับใบเขียวครึ้ม อยากได้ยินแม้น้ำเสียงระคนตื่นเต้นที่จะได้เห็นมัน

แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่มีโอกาส เพราะในวันที่ต้นแก้วต้นนั้นผลิดอก กลับกลายเป็นเขาที่ยืนมองมันเพียงลำพัง คนที่เคยตั้งตารอไม่เคยหวนกลับมา เช่นเดียวกับต้นแก้วต้นนั้นที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาไม่ต่างอะไรกับตัวเขา



...จนถึงตอนนี้ คนดียังอยากเห็นมันอยู่ไหมหนอ หากพี่คิดจะปลูกต้นแก้วไว้ที่เดิมอีกครั้ง เจ้าจะตั้งตารอให้มันผลิดอกเช่นที่เคยบอกพี่หรือไม่...



.................................................................................................




งานวันเกิดของท่านทูตกิตติถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตไม่ผิดคำที่หนุ่มนักเรียนนอกอย่างรัชตะเคยว่าไว้...สวนสวยหน้าบ้านถูกประดับด้วยไฟจนสว่างไสว ทั้งยังคลาคล่ำด้วยแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน เสียงพูดคุยจอแจดังไม่ขาดเมื่อต่างคนต่างจับกลุ่มสนทนา เช่นเดียวกับชายหนุ่มทั้งห้าที่จับจองพื้นที่ในมุมหนึ่งของสวนเพื่อพูดคุยเรื่องต่างๆหลังจากเข้าไปอวยพรเจ้าของวันเกิดเป็นที่เรียบร้อย คงมีเพียงคนตัวสูงที่ออกอาการแปลกๆตั้งแต่มาถึง ใบหน้าคมนิ่งเฉยไม่มีแม้รอยยิ้มประดับ หากแต่สายตาคมกลับวูบไหวคล้ายคนกำลังกังวลใจอะไรสักอย่างจนแม้แต่คนใกล้ชิดยังสังเกตได้

อิงทัศน์และอรรถนนท์ทำได้เพียงลอบมองท่าทีของเพื่อนสนิท ไม่มีใครออกปากถามเพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าคำตอบที่ได้รับคงเป็นคำพูดเดิมๆที่ไม่ได้ช่วยไขความกระจ่างอะไร ถึงอย่างนั้นก็ยังคอยส่งสายตาเป็นห่วงมาให้เป็นระยะทั้งที่คนถูกจดจ้องไม่รับรู้ด้วยซ้ำ

"เห็นแกบอกว่ามีคนอยากแนะนำให้รู้จัก"หากคำถามของธาวินทำเอาชายหนุ่มหลุดจากความคิดแล้วหันมาสนใจเพื่อนร่วมกลุ่มอีกครั้ง

"ลูกชายเพื่อนสนิทคุณพ่อน่ะ แต่ยังไม่เห็นเลยสงสัยยังมาไม่ถึง"สายตาคมอดชำเลืองมองตามอรรถนนท์ที่หันซ้ายแลขวาไปรอบๆไม่ได้ แม้เหตุการณ์ที่สถานทูตในวันนั้นทำเอาเจ้าตัวเสียความมั่นใจไปไม่น้อยแต่กลับไม่ทำให้ความคิดถึงและอยากพบหน้าหดหายลง...เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากได้พบกันซึ่งหน้าเขาควรมีปฏิกิริยาแบบไหนดี ควรทำเป็นไม่รู้จักหรือส่งรอยยิ้มหวานเช่นที่เคยทำเมื่อครั้งอดีต แล้วถ้าเป็นอย่างหลัง...คนๆนั้นจะยังส่งยิ้มกลับมาให้เหมือนเคยหรือเปล่า

"อ้อ! ที่เคยเล่าว่าสนิทกัน"

"อย่าเรียกว่าสนิทเลย ธีร์น่ะ เหมือนน้องชายคนเล็กของบ้านมากกว่า ตอนเด็กๆก็ชอบงอแงขอมาเล่นที่บ้านนี้ พอตอนจะกลับก็ร้องไห้ไม่ยอมกลับอีกต่างหาก"อิงทัศน์หัวเราะเบาพาให้คนฟังนึกไปถึงภาพเด็กชายตัวน้อยที่คอยวิ่งตามหลังพี่ชายทั้งสอง ทั้งยังน้ำเสียงออดอ้อนผู้เป็นพ่อเมื่อรู้ว่าถึงเวลาต้องกลับบ้าน เพียงแค่นั้นรอยยิ้มบางก็ปรากฏบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว

"มีไอ้อาร์มเป็นน้องชายคนเดียวไม่พอหรือไงครับพี่อิง"รัชตะเอ่ยแซวพร้อมข้อศอกที่ถองเบาๆเข้าที่เอวของคนตัวสูงใหญ่

"ไอ้นี่น่ะมันแสบ พูดอะไรก็ไม่ฟัง ไม่เหมือนธีร์หรอก"

"อ้าวพี่อิง เผากันแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ ตอนเด็กๆพี่เองก็แสบใช่ย่อยเหมือนกันล่ะน่า"แว่วเสียงหัวเราะดังจากเพื่อนร่วมวง ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนเป็นเรื่องในวัยเด็กของสองหนุ่มเจ้าของบ้านแทน


กันตวิชญ์ยังปรายสายตามองเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจบทสนทนาตรงหน้าเท่าไหร่นัก เพียงครู่หนึ่งสายตาก็สะดุดอยู่ที่ประตูบ้าน เมื่อคนที่กำลังเดินเข้ามาคือคนที่นึกถึงแทบตลอดเวลา ร่างสูงโปร่งติดผอมบางอยู่ในชุดสูทสีควันบุหรี่ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวในปลดกระดุมเม็ดบนทำให้ดูไม่เป็นทางการมากนัก เรือนผมดำสนิทเคลียแก้มใสเช่นเดียวกับนัยน์ตาสวยปนโศกสีเดียวกัน ริมฝีปากบางยกยิ้มนิดๆยามกล่าวทักทายคนที่เดินผ่าน ในมือประคองกล่องของขวัญขนาดไม่ใหญ่นัก


ชายหนุ่มเหลียวมองจนอีกฝ่ายเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้าน พยายามเพ่งสายตาดูว่าคนที่คิดถึงมาพร้อมใครอีกคนที่เขานึกหวั่นใจหรือเปล่า หากเพียงมองให้ดีกลับพบว่าเจ้าตัวมาเพียงลำพัง เท่านั้นก็พอให้เขาระบายลมหายใจบางเบาอย่างโล่งอก หันกลับมาหาเพื่อนร่วมกลุ่มอีกครั้งก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงเช่นเดิม ดูท่าว่าสองพี่น้องอย่างอิงทัศน์และอรรถนนท์ยังให้ความสนใจในบทสนทนากับเพื่อนฝูงมากกว่าจึงไม่ทันสังเกตเห็นคนที่พวกเขาเอ่ยถึงเมื่อครู่ มีเพียงกันตวิชญ์ที่สายตาจดจ่ออยู่กับประตูบ้านบานใหญ่เนิ่นนานราวกับรอคอยอะไรสักอย่าง


จนเมื่อร่างโปร่งของคนที่นึกถึงโผล่พ้นประตูออกมา ใบหน้าติดหวานหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง พลันสายตาคู่งามเวียนมาหยุดตรงหน้าคล้ายสบตากัน เมื่อนั้นชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วหันหลังกลับในทันที หัวใจเต้นแรงรัวจนกลบเสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมวงยามที่ปลายหางตามองเห็นว่าคนที่คิดถึงกำลังเดินตรงมาทางนี้



...ตื่นเต้น...



ใช้คำนี้ก็คงไม่ผิดนัก



หากยังไม่ทันได้คิดอะไร แรงสั่นเบาๆในกระเป๋ากางเกงกลับเรียกสติของเจ้าตัวกลับคืน มือหนาล้วงเข้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูชื่อคนโทรเข้า เมื่อเห็นว่าเป็นมารดาของตนก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเพราะปกติคุณแม่ไม่เคยโทรหาเวลานี้ถ้าไม่มีเรื่องด่วนจริงๆ

"ครับคุณแม่"เสียงทุ้มตอบกลับเป็นจังหวะเดียวกับที่อรรถนนท์สังเกตเห็นคนที่ยืนชะเง้อคอมองหาอยู่ด้านหลัง ทว่าคำตอบของมารดากลับทำเอาลมหายใจแทบสะดุดจนเผลอลืมเรื่องที่กำลังกังวลอยู่จนหมดสิ้น





'กันต์! รีบมาที่โรงพยาบาลเร็วๆนะลูก...คุณยายหกล้ม'




มือที่ประคองโทรศัพท์ไหววูบ ทั้งดวงตาเบิกกว้างจนแม้แต่เพื่อนร่วมกลุ่มยังสังเกตได้ เขารู้สึกถึงแรงเขย่าเบาๆบนต้นแขนจากธาวิน สีหน้าสงสัยของรัชตะ หรือแม้แต่เรียวคิ้วที่ขมวดน้อยๆของอิงทัศน์

"ฉันกลับก่อนนะ คุณยายเข้าโรงพยาบาล"เพียงแค่ประโยคทิ้งท้ายสั้นๆก่อนที่เขาจะรีบร้อนเดินออกจากบ้านไปทันที ทิ้งความกังวลให้คนอยู่เบื้องหลัง ไม่เว้นแม้แต่คนมาใหม่ที่อรรถนนท์เพิ่งพามาแนะนำให้รู้จัก


...รีบร้อน...จนไม่ทันสังเกตเห็นสายตาคู่งามที่มองตามแผ่นหลังกว้างของตัวเอง

...ร้อนรน...จนลืมความตื่นเต้นระคนตระหนกที่รบกวนจิตใจมาหลายวัน

...เร่งรีบ...จนพลาดโอกาสได้สบดวงตาสวยปนโศกที่ตนเฝ้านึกถึง



...เพียงเพราะคนสำคัญอีกคนที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร...


....................................................................................


หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(จบ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 25-07-2015 01:19:15




ชายหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบไปตามทางเดินในโรงพยาบาลจนมาหยุดอยู่หน้าห้องผู้ป่วย ริมฝีปากหยักระบายลมหายใจเหนื่อยอ่อนก่อนเอื้อมมือออกผลักบานประตูเข้าไปด้านใน เหลือบไปเห็นมารดานั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว กับร่างแบบบางของหญิงชราบนเตียงคนไข้

"คุณยาย!"น้ำเสียงร้อนรนเรียกให้ผู้อาวุโสเบือนหน้าจากบานหน้าต่างกลับมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ

"ตากันต์...ไหนแม่เราว่าวันนี้ไปงานวันเกิดไงลูก"ขายาวสาวเท้าเข้าหาทรุดลงข้างเตียงคนไข้ มือหนาประคองแขนบอบบางของคนบนเตียงลูบไล่ไปมาด้วยความเป็นห่วง

"คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ!"หากหญิงชราเพียงระบายลมหายใจอ่อนแล้วส่งยิ้มเอ็นดูมาให้แทน

"ยายไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกลูก ดูซิ รีบร้อนมาจนเหงื่อแตกพลั่กเชียว"มือเรียวเล็กยกขึ้นเกลี่ยปอยผมชื้น ทั้งยังไล่ซับหยาดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าคม

"แม่ทิพย์นี่ก็จริงเชียว เรื่องเล็กแค่นี้ต้องโทรไปบอก"แต่ยังไม่วายส่งสายตาแกมดุให้ลูกสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกล เดือดร้อนอีกฝ่ายรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

"โธ่คุณแม่ ทิพย์ตกใจนี่คะ อยู่ดีๆเด็กที่บ้านก็โทรมาบอกว่าคุณแม่ล้ม ทิพย์ถึงได้บอกลูกให้รีบมา"หญิงชราจึงทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมาด้วยรู้ดีว่าที่ลูกสาวทำไปเพราะความเป็นห่วง ใบหน้าซูบตอบผินมองหลานชายที่ยังคงประคองสองมือของเธอเอาไว้



"กันต์มาก็ดีแล้ว แม่จะออกไปคุยกับหมอสักหน่อย ฝากคุณยายด้วยนะลูก"ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ เหลียวมองผู้เป็นแม่ลุกออกไปจากห้องแล้วจึงกลับมาสนใจคนบนเตียงผู้ป่วย สายตาคมไล่มองตามเนื้อตัวเผื่อว่ามีอะไรผิดปกติ

"ดูทำหน้าเข้า...ยายแค่ล้มในห้องนั่งเล่น ฟกช้ำหน่อยเดียวทำเป็นเรื่องใหญ่โตกันไปหมด"

"เขาก็เป็นห่วงคุณยายกันน่ะสิครับ"

"จะขอกลับบ้านแม่ทิพย์เขาก็ไม่ยอม บอกให้อยู่ดูอาการสักคืน"ผู้อาวุโสขมวดคิ้วน้อยๆคล้ายถูกขัดใจ ก็เตียงที่ไหนจะไปนอนสบายเท่าเตียงในห้องนอนของตัวเองกัน

"ดีแล้วล่ะครับ ให้หมอเขาตรวจให้ละเอียดเผื่อว่าเจ็บตรงไหนอีก"

"จะไปเจ็บตรงไหนได้ ก็เจ็บตรงที่ล้มน่ะซี"คำพูดติดตลกทั้งยังยกขาที่ขึ้นรอยเขียวช้ำให้ดูทำเอาบรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่ลดลงได้บ้าง

"โธ่ ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ มาเดี๋ยวผมนวดให้ คุณยายจะได้หายปวด"อาการเอาอกเอาใจด้วยกลัวว่าผู้เป็นยายจะรบเร้าขอกลับบ้านอีก มือหนาไล่บีบนวดคลายความปวดเมื่อยตามตัวจนผู้อาวุโสค่อยผ่อนลมหายใจยาวแล้วทิ้งตัวลงนอน





"แล้วเรื่องที่เล่าให้ยายฟังคราวก่อน...ได้คำตอบหรือยังลูก"หากคำถามของผู้อาวุโสกลับเรียกความกังวลให้กลับมาอีกครั้ง มือหนาที่ลงน้ำหนักชะงักนิ่งจนแม้แต่คนที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงต้องผินหน้ามอง

"ได้แล้วครับ"เสียงทุ้มแผ่วเบายิ่งทำให้คนฟังสงสัยนัก

"คนที่เคยเล่าว่าฝันถึง...รู้หรือยังว่าเขาเป็นใคร"

"...ครับ..."

"ได้พบกันแล้วหรือยัง"ราวกับถูกคาดคั้นเมื่อผู้อาวุโสนึกสงสัยในอาการของหลานชาย ยิ่งใบหน้าคมก้มลงไม่ยอมสบตาเธอก็ยิ่งมองว่าแปลกนัก

"พบแล้วครับ...แต่...เขาคงไม่อยากเจอผมหรอก"

"ทำไมคิดแบบนั้นล่ะลูก"

"ก็...."เห็นท่าทีอึกอักของชายหนุ่ม ผู้เป็นยายจึงพยายามยันตัวลุกขึ้นเอนหลังพิงหมอนหนุน สายตาอ่อนโยนจ้องมองหลานชายของเธอก่อนระบายลมหายใจอ่อน

"เพราะเรื่องนี้หรือเปล่า หลายวันมานี้เราถึงเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์"ไม่ใช่แค่ที่ตาเห็น แต่ยังได้ยินจากปากลูกสาวของเธอมาหลายครั้งหลายคราถึงอาการแปลกๆของหลานชายคนโปรด ตั้งใจจะถามไถ่ให้รู้ความแต่กลับไม่มีโอกาสเสียที ไม่นึกว่าจะต้องมาพูดคุยกันที่โรงพยาบาลในสถานการณ์เช่นนี้



"กันต์...ถึงยายจะไม่รู้อะไรเรื่องของคนที่กันต์ว่า แต่คิดว่ายายรู้จักหลานของยายดีทีเดียวนะ"มือเรียวเล็กทาบทับบนมือหนาที่วางค้างไว้บนท่อนแขนค่อยลูบเบาๆคล้ายปลอบใจ

"ยายเลี้ยงกันต์มากับมือ ตั้งแต่เด็กหลานเป็นคนมั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องให้สำเร็จเสมอ อะไรที่กันต์สงสัยก็พยายามหาคำตอบมาจนได้...แล้วทำไมเรื่องนี้กันต์ถึงดูลังเลนักล่ะลูก"

"ผมไม่ได้ลังเล...ผมแค่..."



...กลัว...



"เขาบอกเราหรือว่าเขาไม่อยากเจอ"ชายหนุ่มส่ายหน้า แววตาหม่นลงจนผู้อาวุโสยังสังเกตได้

"ดูสิ เขายังไม่ทันได้พูด เราก็คิดเองเออเองเสียแล้ว ไม่เหมือนตากันต์ที่ยายรู้จักเอาเสียเลย"

"คุณยาย..."คนตัวสูงช้อนตามอง หากในสายตาของเธอตอนนี้กลับมองว่าเขาเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กที่สูญเสียความมั่นใจ เพียงเพราะใครบางคนที่มีอิทธิพลต่อความคิด

"อยากรู้อะไรก็ไปถามเจ้าตัวเขาซี ถ้าเขาไม่อยากเจอไม่อยากคุยเราจะได้รู้ตัวเราเองว่าควรทำยังไงต่อ"

"แต่..."ท่าทีอึกอักขัดใจหญิงชรายิ่งนัก น้อยครั้งเหลือเกินที่เธอจะเห็นอาการ'ไปไม่เป็น'ของหลานชายอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้ ปกติออกจะเป็นคนมั่นใจ ทำอะไรมีสติเสมอแท้ๆ

"ไม่พูด ไม่ถาม แล้วก็มานั่งทุกข์ใจแบบนี้ พาลให้คนรอบข้างเขาไม่เป็นสุขไปด้วยนะลูก"

"ผมขอโทษครับ"ใบหน้าคมโน้มลงซบบนมือเรียวเล็ก ไม่ใช่ไม่รู้ว่าช่วงนี้ตัวเองแสดงอาการอะไรบ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจัดการความรู้สึกนี้อย่างไรดีมากกว่า ก็ในเมื่อคนๆนั้นน่ะ...





"เป็นคนสำคัญล่ะซี"ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำนั้น เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นยายที่ยังคงยิ้มอ่อนโยนไม่เปลี่ยน

"คนที่ว่า...เขาเป็นคนสำคัญใช่ไหม เราถึงกลัวจนไม่กล้าทำอะไรแบบนี้"ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้ารับอย่างจนใจ

"ก็ถ้าเขาเป็นคนสำคัญ แล้วเราจะยอมอยู่เฉยด้วยความไม่รู้แบบนี้หรือ"

"ผมควรทำยังไงดีครับ"ลมหายใจแผ่วถูกระบายออกจากริมฝีปากหยัก อาการหนักอกหนักใจยังมีให้เห็น ดูเหมือนว่าคำพูดของผู้อาวุโสที่พร่ำบอกเมื่อครู่ไม่ได้เข้าหัวเลยสักนิด

"ตอนนี้หลานเป็นทุกข์เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แล้วถ้าหลานรู้มันจะต่างกันสักเท่าไหนเชียว"

"แล้วถ้าเขาลืมผมไปแล้วอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ..."

"เราก็แค่เสียใจ...กันต์รับความเสียใจนี้ไม่ได้หรือ"ชายหนุ่มนึกอยากส่ายหน้าตอบไปเสีย สำหรับตัวเขา ความเสียใจเพียงครั้งเดียวในอดีตกลับกินเวลาเกือบทั้งชีวิต แล้วจะให้มารับรู้ความรู้สึกแบบนั้นอีกในชาติภพนี้ เขาจะรับมันไหวได้อย่างไรกัน

"เสียใจครั้งเดียว ดีกว่าทรมานไปทั้งชีวิตนะลูก หรือว่ากันต์อยากอยู่กับความไม่รู้แบบนี้ไปจนตาย"หากคำพูดถัดมาของคุณยายกลับคล้ายเรียกสติให้ลืมตาตื่น



ต่างกันตรงไหนเล่า ตัวเขาตอนนี้กับในอดีต...เฝ้ารอด้วยความไม่รู้ ใช้ชีวิตด้วยความหวังว่าวันหนึ่งคนๆนั้นอาจหวนคืนมาทั้งที่รู้ดีว่าแทบไม่มีโอกาส ต่างทั้งเวลา ต่างทั้งตัวตน  แม้อยากกระซิบถ้อยคำหวานหูสักกี่ครั้ง อยากโอบรั้งร่างอุ่นเอาไว้แนบอก แต่ก็ทำได้เพียงในความคิดเมื่อใครคนนั้นไม่มีวันรับรู้


แต่ตอนนี้ คนๆนั้นอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อม หากนึกอยากเอ่ยคำพูดสักคำเขาก็คงได้ยิน นึกอยากเอื้อมมือออกไปสัมผัสแก้มเนียนเขาก็คงรู้สึก แล้วถ้าหากไปยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คงได้เห็น ได้รับรู้ถึงการมีอยู่


นี่อย่างไรเล่าความแตกต่าง...นี่อย่างไร เหตุผลที่เขายังยืนอยู่ตรงนี้ เหตุผลที่เขาจดจำเรื่องราวในอดีตได้...ก็เพราะต้องการให้ใครคนนั้นรับรู้ ต้องการที่จะเอ่ยคำพูดที่ค้างคามาตั้งแต่อดีตให้ใครคนนั้นได้ยินไม่ใช่หรือ




รอยยิ้มบางผุดพรายบนใบหน้าคมให้คนได้เห็นอดอมยิ้มตามอย่างเอ็นดูไม่ได้ ดวงตาคู่สวยส่องประกายวาววับยามจับจ้องเจ้าของมือเรียวเล็ก ชายหนุ่มประคองสองมือของคุณยายกระชับแน่น ซุกซบใบหน้าลงคล้ายกำลังเรียกกำลังใจที่หดหายให้กลับคืน



"ถ้าเขาสำคัญกับชีวิตเรา ก็ทำให้เขารู้สิลูก"



"ขอบคุณนะครับคุณยาย"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มคนบนเตียงจนถูกมือเรียวตีแปะเข้าให้ที่ต้นแขนนั่นล่ะถึงได้ยอมผละออก

"ดูทำเข้า เล่นอะไรเป็นเด็กๆ"เสียงดุไม่จริงจังนักเพราะรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า กันตวิชญ์อดหัวเราะตามท่าทีของคุณยายไม่ได้ แต่เพียงครู่กลับเหมือนนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ร่างสูงหยัดตัวยืนหากยังเกาะกุมมือเล็กของผู้เป็นยายเอาไว้มั่น

"คืนนี้ผมจะมานอนเป็นเพื่อน...แต่ตอนนี้...เดี๋ยวผมมานะครับ"พูดจบก็ยกมือนั้นขึ้นแนบแก้มสักทีก่อนผละออกไปอย่างรีบร้อน ทิ้งให้ผู้อาวุโสมองตามพลางส่ายหน้าน้อยๆเมื่อเห็นอาการของหลานชาย



"บทจะรีบก็รีบเสียเหลือเกินพ่อคนนี้"
.

.

.

.
งานเลี้ยงวันเกิดของท่านทูตกิตติยังไม่เลิกราเมื่อชายหนุ่มกลับมาที่้บ้านของเพื่อนสนิทอีกครั้ง สังเกตได้จากแสงไฟสว่างจ้าด้านใน ทั้งยังเสียงดนตรีคลอเบาให้ได้ยิน เพียงเท่านั้นก็ทำให้สองขายาวก้าวเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว สายตาคมสอดส่ายพยายามมองหาคนคุ้นเคย รีบร้อนจนไม่สนใจแล้วว่าหากคนๆนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าเขาควรทำอย่างไร

เพราะความคิดถึงมีมากกว่า...เพราะคำพูดเตือนสติของคุณยายทำให้รู้ว่าคนๆนั้นสำคัญต่อเขาเพียงใด...สำคัญจนนึกไปว่า หากเขากลายเป็นคนที่ถูกลืมแล้วก็ช่างมัน ขอแค่ได้อยู่ในสายตาของคนๆนั้นสักครั้งเขาก็พอใจ


"อ้าวกันต์ กลับมาทำไมวะ"อรรถนนท์ที่เดินเข้ามาหาขมวดคิ้วน้อยๆอย่างสงสัย หากยังไม่ทันได้ถามอะไรก็ถูกมือหนาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนทันที

"อาร์ม...น้อง...น้องนายน่ะ!"น้ำเสียงร้อนรนจนคนฟังแทบจับใจความไม่ได้

"น้องอะไรของแก แล้วนี่คุณยายเป็นยังไงบ้าง เห็นพี่อิงบอกว่าเข้าโรงพยาบาลหรือ"กันตวิชญ์เพียงพยักหน้ารับ หากความสนใจของเขากลับอยู่ที่เรื่องอื่น

"พ่อธีร์...ไม่ใช่สิ......ธีร์ล่ะอาร์ม"เผลอเรียกชื่่อติดปากจนแม้แต่เจ้าตัวยังสะดุ้งน้อยๆ พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ

"ธีร์น่ะเหรอ...กลับไปแล้วล่ะ แกมีอะไรกับน้องหรือเปล่า"คำตอบของอรรถนนท์ทำเอาใบหน้าคมเจื่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว มือหนายังกระชับต้นแขนของเพื่อนสนิท ตั้งใจจะถามอะไรต่อแต่กลับถูกอีกฝ่ายแทรกขึ้นมาเสียได้

"พูดถึงธีร์...เอ้านี่!"ซองจดหมายสีทองถูกยื่นมาตรงหน้าแบบไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์นัก กันตวิชญ์ก้มมองของที่เพื่อนสนิทถืออยู่แล้วขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ชื่อบนซองก็เป็นชื่อของอิงทัศน์กับอรรถนนท์แล้วเจ้าตัวจะเอามาให้เขาทำไมกัน

"น้องฝากมาชวน...งานเปิดแกลลอรี่ของเพื่อนสนิทธีร์น่ะ"

"ชวนฉัน?"คนตัวสูงตีหน้ายุ่ง เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่ออยู่ดีๆคนที่เขานึกถึงกลับเอ่ยปากชวนให้ไปร่วมงานของเพื่อนสนิท

"ตอนแรกเขาให้มาชวนเพื่อนๆน่ะ ฉันเลยบอกไปว่าพวกนั้นมันไม่สนใจงานศิลปะเท่าไหร่หรอก"สถาปนิกหนุ่มร่ายยาวเมื่อนึกไปถึงบทสนทนากับน้องชายเมื่อตอนหัวค่ำโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของคนฟัง




"แต่พอเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อกำลังจะขายเรือนริมน้ำให้แกเท่านั้นล่ะ น้องก็เลยบอกให้ชวนแกไปด้วย สงสัยเห็นว่าแกสนใจของเก่าของโบราณแล้วจะพาลชอบพวกงานศิลปะไปด้วยล่ะมั้ง"




หากเพียงประโยคถัดมากลับทำเอาดวงตาคมเบิกกว้าง มือหนาจับบนต้นแขนของอีกฝ่ายลงน้ำหนักเสียจนคนถูกกระทำยังนิ่วหน้า

"ไอ้กันต์ เป็นอะไรของแก"อรรถนนท์ท้วงขึ้นจนคนตัวสูงยอมปล่อยมือในที่สุด

"เขาชวน...เพราะรู้ว่าฉันกำลังจะซื้อเรือนหลังนั้นหรือ"น้ำเสียงนุ่มถามกลับหากสีหน้ายังคล้ายคนตกตะลึง

"ไม่รู้สิ แต่ธีร์น่ะชอบเรือนหลังนั้นมาก เคยขอให้คุณพ่อพาไปดูตั้งหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที ตอนที่รู้ว่าคุณพ่อจะขายน้องก็ดูตกใจนะ คงเสียดายแทนล่ะมั้ง"



รอยยิ้มบางปรากฏอย่างปิดไม่มิดเมื่อนึกไปถึงใบหน้าของใครอีกคนที่คิดถึง...สีหน้าตระหนกตอนที่รู้ว่าเรือนหลังนั้นกำลังจะตกเป็นของคนอื่นจนถึงกับออกปากชวนทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นั่นพอให้คิดเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่านะ ว่าคนๆนั้นกำลังนึก'หวงแหน'เรือนหลังนั้นเหมือนที่เขารู้สึกเช่นกัน...และหากมันเป็นความหวงแหน แสดงว่าเขายังเห็นความสำคัญของเรือนหลังนั้นใช่หรือไม่



"ยังไม่ลืมหรือนี่"


...คนดียังไม่ลืมพี่ใช่ไหม...




"บ่นอะไรของแก"เสียงทุ้มของอรรถนนท์เรียกสติ มีเพียงรอยยิ้มค้างประดับบนใบหน้าคมจนคนมองตามยังขนลุก ชายหนุ่มเพียงส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบ มือหนาเอื้อมออกรับซองจดหมายมาถือเอาไว้แน่น



"ตกลงไปใช่ไหม"



คำตอบรับ...มีเพียงใบหน้าคมที่พยักรับด้วยความยินดี






และยิ่งกว่ายินดี...เมื่อในวันนั้นเขาได้พบคำตอบที่เฝ้ากังวลมาแสนนานยามได้เห็นใบหน้าที่คิดถึง ท่าทีร้อนรนยามเจ้าตัวรีบเดินตามหลังผ่านภาพวาดเรียงร้อยเหตุการณ์ในอดีตภาพแล้วภาพเล่าในแกลลอรี่...สายตา ที่จดจ่อเพียงแผ่นหลังของเขาที่พยายามหลบหลีกผู้คนจนมาหยุดยืนอยู่กลางโถงใหญ่สุดทางเดิน...สีหน้าตกตะลึง ยามได้เห็นผลงานชิ้นสำคัญของเพื่อนสนิท...รูปภาพนั้น...ภาพของเขาทั้งสองคนที่ยืนเคียงกันประดับทั้งรอยยิ้มและความอบอุ่นเผื่อแผ่มาถึงตัวเขาที่ยืนมอง



...และริมฝีปากบางสั่นระริกยามเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่แสนคิดถึง...







"คุณกันต์ใช่ไหมครับ"






...จบบริบูรณ์...





แหม่...พระเอกเรานี่คิดเองเออเองตั้งแต่ชาติก่อนยันชาตินี้เลยนะเจ้าคะ (น่าจับมาลงหวายซะนี่)

จบแล้วจริงจังค่ะสำหรับเรื่องนี้ บางช่วงบางตอนอาจมีติดขัดไม่ลื่นไหลบ้างต้องขออภัยล่วงหน้า
เพราะตอนพิเศษของพี่กันต์ครึ่งหลังๆเริ่มแต่งหลังจากร้างมือไปหลายเดือน พอกลับมาต่อมันก็ไม่ค่อยจะติด :hao4:
แต่เพราะว่าอยากให้เรื่องนี้จบโดยสมบูรณ์ถึงได้เคี่ยวเข็ญตัวเองทุกๆวันจนมาถึงวันนี้ในที่สุด *จุดพลุ*

มาถึงตอนนี้ก็ต้องบอกว่า'ขอบคุณ'เป็นรอบที่ล้านแปดเห็นจะได้ ><
ขอบคุณมิตรรักนักอ่านทุกท่านที่ยังรอติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอด
ขอบคุณที่รักและอินไปกับนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณที่เอ็นดูพี่แก้ว น้องธีร์ พี่แชมป์ พี่กันต์ (แอบเห็นมีแฟนคลับพี่สนกับมิ่งด้วย *ปลาบปลื้ม*)

แล้วพบกันใหม่เมื่อมีโอกาสนะคะ ช่วงนี้คงต้องพักเรื่องยาวเอาไว้ก่อน ไม่ชอบความรู้สึกของการรอคอยอีกแล้ว
ถ้ามีเรื่องหน้าก็อยากแต่งให้จบแล้วทยอยลงทีเดียวจะได้ไม่ต้องลุ้นมาก  :hao7:

สำหรับวันนี้ ขอบคุณ และ สวัสดีค่า *กราบ*

ปล. ใครรอพี่แชมป์น้องตฤณ คนเขียนอยากแต่งมากค่ะแต่ยังไม่มีไอเดีย เอาไว้มีความคืบหน้าประการใดจะรีบมาแจ้งให้ทราบเน้อ

ปล.ที่๒. ตอนนี้มีโปรเจคเรื่องสั้นกำลังอยู่ในระหว่างถ่ายทำ หวังว่าจะเสร็จในเร็ววันนี้ อยากให้ติดตามกันเหมือนเดิมนะคะ


 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(จบ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-07-2015 01:47:44
กว่าจะได้เจอกันมันเป็นอย่างไรต่อ ขอเพิ่มเถอะค่ะ รอมานานเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(จบ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 25-07-2015 01:50:52
แปะไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(จบ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 25-07-2015 02:49:10
ตอนจบเหมือนเริ่มต้นใหม่เลยค่ะ ชอบเรื่องนี้ค่ะ เป็นคนชอบนิยายแนวทวิภพมากๆ แต่นานๆครั้งถึงจะเจอคนแต่งถูกใจ
อ่านแล้วมีความสุขค่ะ ถ้ามีโอกาสอยากให้กลับมาเขียนเรื่องอีกนะคะ จะรอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(จบ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: MiMic ที่ 25-07-2015 05:07:59
รักเรื่องนี้มากๆค่ะ รอติดตามผลงานต่อๆไปของคนเขียนนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(จบ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 25-07-2015 11:37:13
และแล้วก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ปลื้มค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...กันตวิชญ์(จบ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-07-2015 12:01:38
งื้อ ออ อ!! ไม่อ้าวไม่ให้จบ จะเอาอีกกกTT
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: SuPeRDonGDanG ที่ 25-07-2015 15:05:45
จบแล้ว จบแล้วจริงๆหรอคะ
ขอตอนพิเศษอีกได้ไหม มันเหมือนไม่สุดอะค่ะ
อยากอ่านชีวิตในปัจจุบันของกันต์และธีร์ พิเศษไม่กี่ตอนก็ได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 26-07-2015 20:25:52
ขอบคุณครับ  ชอบมาก



ขอตอนพิเศษได้มั้ยครับ   :hao5:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 26-07-2015 22:22:12
พี่แก้วสมหวังไปแล้ว

แล้วพี่แช่มคนดี หาทางจีบหนุ่มน้อยได้ยังเอ่ย มาชี้แจงแถลงไขสัก5-6ตอนซิ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 26-07-2015 22:40:30
ในที่สุดพี่แก้วก็สมหวัง ได้เจอพ่อธีร์ที่เฝ้ารอ :กอด1:

ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุกๆให้อ่านนะคะ  จะดีมากถ้ามีต่อตอนพิเศษอีกนิดนะคะ  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 28-07-2015 14:45:21
สนุกมาก
อยากอ่านภาคแชมป์กับตฤณบ้าง
คุณพิกุลโกรธข้ามภพข้ามชาติเลย
ส่วนคุณแก้วก็มโนเองทุกชาติเลย 555555
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 29-07-2015 17:54:56
ดีงามมากกกกกกกกก ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆ สนุกๆ ให้ได้อ่านนะจ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: boworange ที่ 30-07-2015 00:38:17
 :กอด1:  จบแล้ว
สนุกมากๆๆแอบร้องไห้ด้วย  :hao5:
เรื่องนี้มีครบทุกรสชาติจริงๆ  o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 31-07-2015 12:34:04
 o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 03-08-2015 20:10:34
เขียนดีจังเลย บทสรุปทำได้อย่างน่าประทับใจ พิเศษ 3 กันต์ยิ่งทำให้สมบูรณ์
ชอบตอน "การจากลา" มาก เศร้าครบถ้วนดี ดึงอารมณ์ให้อินตามมากๆเลยค่ะ
และตอนปัจฉิมบท ก็มาปิดสวยๆ ทำคนอ่านอิ่มใจ คลาดกันไปมาให้ได้ลุ้น ดี๊ดี
แม่พิกุลกลับชาติมาเอาคืนเจ้าแชมป์ได้เข้าท่าที่สุดด้วย อิอิ
รออ่านเรื่องอื่นๆของคุณนะคะ (+1)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 09-08-2015 01:24:13
 :pig4:

ชอบมากเลยๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 12-08-2015 20:49:31
หลงรักพี่แก้วของพ่อธีร์ซะแล้ว ผู้ชายอะไรเกรียนได้แบบหน้าตายมาก
ชอบนิยายแนวนี้มากเลย เพิ่งได้อ่าน A moment in Siam จบแล้วตาม
มาด้วยเรื่องนี้ ภาษาดีมากเลยนะสำหรับเรา ถึงจะแอบสงสารพี่แก้ว
ตอนรอพ่อธีร์ที่จะกลับไปจนสิ้นอายุขัย เราว่าเป็นการรอที่น่าสงสารเป็นที่สุด
แต่การตัดสินใจของพ่อธีร์ ก็ดีมากเพื่อไม่ให้พี่แก้วต้องมาพบกับเรื่องที่ตนได้ทำไว้
เหมือนความรู้สึกแบบนิยายจบคนไม่จบ
เราอยากมีเรื่องพ่อแช่มกับคุณพิกุลต่อด้วนนะ คุณพิกุลแค้นฝั่งหุ่นมาก
เกินมาอีกชาติเป็นผู้ชายซะงั้นเราละขำตอนแชมป์บอกว่า ตั้งแต่เกินมาไม่เคยจีบผู้ชายเลย
เราว่ามันเป็นนิยายอีกเรื่องที่เราชอบมาก ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่เขียนมาให้เราอ่าน
ขอบคุณมุมมองของตัวละคร ขอบคุณทุกตัวละครที่ทำให้นิยายเรื่องนี้สนุก
ขอบคุณคนเขียนมากๆ หวังว่าจะได้ติดตามผลงานให้เรื่องต่อไป

สุดท้ายถ้าไม่ทำเรื่องพ่อแช่มกับน้องตฤณเป็นเรื่องยามก็ทำมาเป็น Side Story ก็ได้นะ 555 แอบโลภ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 15-08-2015 21:56:55
ยังไม่อยากให้จบเลยอยากให้เพิ่มอีกหน่อยว่าจะลงเอยยังไง ชอบนิยายแนวนี้มาก อ่านไปจินตนาการตามไป มีความสุขมาก :impress2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 15-08-2015 23:54:36
เป็นนิยายที่ดีมากเรื่องหนึ่งเลยค่ะ ชอบมากๆ

แต่อยากให้มาต่ออีกอ่ะ 555555

ขอบคุณมากๆนะคะที่แต่งอะไรดีๆแบบนี้ให้อ่าน  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: befol2e ที่ 18-08-2015 22:00:25
ง่าาาา ไม่อยากให้จบเลยค่ะ!
ยังอยากติดตามเรื่องราวของพี่กันต์กับน้องธีร์ต่อจังเลย
อยากเห็นพี่กันต์เสี่ยวใส่น้องธีร์ค่ะ ฮ่าาาาา

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆเลอค่าแบบนี้นะคะ
จะรอติดตามผลงานนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 21-08-2015 07:47:00
ประทับใจมากมายยยย
ไม่รู้ว่าพลาดเรื่องนี้ไปได้ไง
สนุกมากกกกกกกกก ครบรสเลย
หวานละมุน ตลกฮา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Chrysan ที่ 23-08-2015 00:40:20
ตามหาเรื่องแนวนี้มานาน
อบอุ่นมาก ฉากเรียกน้ำตาก็ไหลพรากเลยทีเดียว
เรื่องนี้หลวงเจษฯเป็นตัวร้าย
แต่เรากลับเกลียดอาทั้งสองเป็นที่สุด
ไม่เข้าใจกันบ้างเลย

ชาติที่แล้วคุณหลวงต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างทรมานแค่ไหนกันนะ
แค่คิดน้ำตาก็จะไหล
ขอบคุณคำสาบานคำสัญญาที่จะกลับมาเจอกัน
แม่พิกุลช่างแสบ คงแค้นพ่อแช่มมาก 5 5 5
คู่นี้ต้องมีภาคต่อนะ

คิดถึงคุณหลวง  :L1: พ่อธีร์ตลอดไป
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Lovelyjess ที่ 24-08-2015 13:03:07
อ่านรวดเดียวจบ สุดท้ายก็ happy ending
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: loveryuichi ที่ 26-08-2015 00:29:46
ประทับใจมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย

เสียน้ำตาไปเป็นโอ่ง นั่งร้องไห้ติดกันหลายชั่วโมงเลยค่ะ :o12:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 27-08-2015 00:52:36
จบสวยค่ะ แต่กว่าจะอ่านจบเสียน้ำตาไปหลายโอ่งเลย :hao5:

หวังว่าจะมีโอกาสอ่านตอนของแชมป์นะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: REDMOON ที่ 27-08-2015 09:05:07
สนุกมาก ๆๆๆ ค่ะ 

 o13 o13 o13

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 27-08-2015 22:47:27
ขอบคุณครับ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-08-2015 22:53:52
ขอบคุณจ๊ะ  มีความสุขที่ได้อ่านเรื่องนี้นะ

เคยตามอ่านอยู่พักหนึ่งแล้วหายไป กลับมาอ่านจนจบแล้วนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: veeveevivien ที่ 02-09-2015 21:04:02


เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้เหมือนกัน เราชอบทวิภพอยู่แล้วด้วย

น่ารักมากค่ะ รัก คุณหลวงแก้ว กับพ่อธีร์ มากกกกก

อิ่มเอมกับบรรยากาศแบบไทย ๆ ดีค่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 03-09-2015 14:24:08
สนุกมากกกกกกกกก ชอบแนวนี้ค่ะ ภาษาสวย เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจ ถ้ามี อีบุ๊ค จะอุดหนุนนะค่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Zyse ที่ 03-09-2015 15:54:10
อ่านวันเดียวจบ  :o8: :o8: :o8:

ในที่สุด คุณหลวงกับพ่อธีร์ ก็จะได้มีความสุขซักที :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

แต่!!!

ทำไมแชมป์กับตฤณ :z3: :z3: :z3:

คุณพิกุลแกล้งพ่อแชมป์ใช่มิคะ :katai1: :katai1: :katai1:

อยากอ่านตอนพี่แชมป์กับน้องตฤนมากกกกกกกกกกกกกกค่ะ  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 06-09-2015 01:45:39
คือมันดีมากๆๆๆๆๆๆ
หาอ่านนิยายที่ภาษาดี ลื่นไหล พล็อตเรื่องสนุกแบบนี้ได้ยากมากๆเลยค่ะ
ของคุณคนแต่งด้วยนะคะ คุณเก่งจริงๆ

ระหว่างที่อ่านตอนของกันต์เราเศร้ามากๆเลยค่ะ
เพราะได้รับรู้ว่า คุณหลวงกับพิกุล จะต้องรอคนที่รักอย่างไม่มีจุดหมายอย่างชั่วชีวิต
แต่ว่าธีร์กับแชมป์กลับได้มีความรักในอีก4ปีต่อมา(ถึงจะเป็นคนที่มาเกิดใหม่ก็เถอะ)
สงสารคุณหลวงกับพิกุลจริงๆ (เราร้องไห้ไม่หยุดเลยค่ะพอคิดแบบนี้)
เวลาอ่าน เราก็จินตนาการตามไปว่าคุณหลวงจะเศร้า จะทรมานแค่ไหนกันนะ

ใจจริงอยากให้เรื่องจบที่ว่า โต๊ะไม้อีกตัว(ที่เป็นมรดกของทางฝั่งครอบครัวธี)
ยังไม่ได้หายไปไหน แต่ธีตามหาจนเจอ แล้วก็ได้กลับไปอยู่กับคุณหลวงเหมือนเดิม
คุณหลวงก็จะได้ไม่ต้องทรมานใจจนตาย T T
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 13-09-2015 18:02:55
ม่ายเอาาาาาา อยากอ่านอีกๆๆๆๆ เขียนดี เนื้อเรื่องสนุกจนไม่อยากให้จบ อยากเห็นไอ้เเช่มจีบผู้ชาย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Chungchom ที่ 17-09-2015 17:14:09
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนเริ่มใหม่ คือค้าง คือต้องการตอนต่อไปค่ะ!!!
คือยังไงต่อคะ!!!!  (รุนแรงและก้าวร้าวมาก 55555555)
ต้องการตอนต่อไปค่าาาาาาา

พ่อแช่มกับแม่พอกุลล่ะเจ้าคะ ยังต่ออออออ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 30-09-2015 01:11:14
สุดท้ายก็ตาบวมจนได้ พี่แก้วนางน่าสงสารจริง คนรอมันทรมานมากแน่ๆ แต่งอีกได้มั้ยคะ อยากจิเห็นพี่แก้วนางหวานๆกับน้องธีร์ละเกิน ร้องไห้จนตาบวมเลย โคตรจะประทับใจเรื่องนี้ ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 26-10-2015 17:58:36
สนุกมากครับ เป็นเรื่องที่ดีงามที่สุดเรื่องหนึ่งที่ผมเคยอ่านเลย
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ) P.19 [๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 28-10-2015 12:19:04
เราเคยอ่านไปแล้วรอบนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว แต่อยากกลับมาอ่านอีก  แต่หาเรื่องไม่เจอเพราะลืมเม้น....โทดจ้า
อ่านถึงตอนพ่อธีร์จากมาแล้วน้ำตาไหลอะถึงจะจบสวยแต่ว่า สงสารคุณหลวงชีวิตหลังไม่มีพ่อธีร์จะเป็นยังไง
นอยหลายวันกินข้าวไม่ลงไม่มีจิตใจทำอะไร เรียนไม่รู้เรื่องเลย (อาการหนักมาก)  หายแล้วเลยกลับมาอ่าน เป็น
นิยายเรื่องแรกที่เม้นยาวแบบนี้  ขอบคุณคนเขียนมากๆเลย  :L2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบบริบูรณ์)...[๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 07-11-2015 21:08:57
สุดยอด สนุกอ่าน3รอบก็ไม่เบื่อ :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบบริบูรณ์)...[๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: nookik ที่ 11-11-2015 04:05:35
ชอบมากเลยค่ะ ฟินมากกกก

อ่านยาวๆไปรวดเดียว แต่ยังไม่อยากให้จบเลย ชอบบบบบมากกก >////<

ขอบคุณผู้แต่งมากๆเลยนะคะที่แต่งเรื่องได้น่าติดตามจนเราติดงอมแงม (ฮา)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบบริบูรณ์)...[๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmieri ที่ 13-11-2015 19:00:31
สนุกมากๆเลยค่ะ หลงรักพี่แก้วกับน้องธีร์เข้าเต็มเปา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบบริบูรณ์)...[๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 13-11-2015 22:19:52
เรื่องนี้...ตัดสินใจนานมาก ว่าจะอ่านดีไหม กลัวตอนจบ ^^
สุดท้ายก็ตัดสินใจอ่าน แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ สนุกมากคะ
ขอบคุณคนแต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบบริบูรณ์)...[๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 14-11-2015 18:07:40
นี่มันทวิภพภาคนิยายวายนี่นา 555
สงสารคุณหลวงจนร้องไห้ไปหลายตอนเลยทีเดียว
คงทรมานมากๆกับการรอคอยที่ไม่รู้จะถึงเมื่อไหร่
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบบริบูรณ์)...[๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 17-11-2015 10:21:39
สนุกมากกก ลุ้นมากกก พี่แก้วกะพ่อธีร์ จนมาเปน พี่กันย์กะน้องธีย์

ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายสนุกๆ ดีๆนะคะ

ปล.รออ่านตอนพิเศษ ของพี่กันย์กะน้องธี และ พี่แชมป์กะน้องตฤน นะคะ อยากเห็นโมเมนท์แบบปัจตุบันบาง คงจะฟรุ้งฟริ้วน่ารัก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบบริบูรณ์)...[๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 23-11-2015 13:41:48
อ่านตอนจบไปฟังเพลงนี้ไป อินมาก

https://www.youtube.com/watch?v=xCbLZ52Epw4
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(จบบริบูรณ์)...[๒๕/๗/๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 24-11-2015 03:28:55
โอ้ยยย พึ่งอ่านจบ จะบอกว่าตาบวมมาก 5555
เป็นคนที่ไม่กล้าอ่านแนวพีเรียด เพราะไงต้องดราม่าแน่
แต่ตัดสินใจอ่านเรื่องนี้ ไม่ผิดหวังเลยยยยย ชอบโครต
น่ารักซึ้งเศร้าสนุกสงสาร มาทุกอารมณ์ อ่านแล้วปริ่มมาก
อยากอ่านตอนของอ้ายแช่มบ้างง สงสารเหมือนกัน
ส่วนพี่แก้วพ่อธีร์ ไม่มีอะไรจะพูด เพราะแบบปริ่มสุดๆ ชอบมากกขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมานะ o13
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 26-11-2015 15:19:41


The Timeless Tide...Special...วันลอยกระทง



ดวงหน้าติดหวานกำลังมุ่นหัวคิ้วน้อยๆเมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพผู้คนเบียดเสียด ทั้งตัวยังชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวยิ่งทำให้เจ้าของร่างโปร่งต้องยกมือขึ้นขยับคอเสื้อยืดสีขาวตัวบางเพื่อระบายความอึดอัด

หากเพียงครู่เดียวกลับสะดุ้งสุดตัวเมื่อสัมผัสเย็นเยียบแตะเข้าที่ข้างแก้ม พอยกมือขึ้นจับถึงได้รู้ว่าเป็นขวดน้ำเย็นที่อยู่ในมือของใครอีกคน

"ร้อนหรือ" เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับเปิดขวดน้ำแล้วส่งให้อีกฝ่ายดื่ม

"ไม่ชอบที่คนเยอะๆน่ะครับ" คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้า สำหรับเขา อากาศที่ว่าร้อนของเมืองไทยยังไม่น่าหงุดหงิดเท่าผู้คนที่เบียดเสียดอยู่รอบตัวตอนนี้ "เห็นแล้วเวียนหัว"

"วันเทศกาลแบบนี้ที่ไหนก็คนเยอะทั้งนั้น" กันตวิชญ์เปรยเสียงเรียบก่อนเหลียวมองรอบตัว แม้จะยืนอยู่บนที่สูงลมพัดโกรกเย็นสบาย แต่เมื่อนึกถึงจำนวนคนมหาศาลที่เบียดเสียดตลอดทางกว่าจะขึ้นมาถึงแล้วก็นึกรำคาญใจอยู่บ้าง

"บอกแล้วว่าไม่ต้องมา...ท่าน้ำหน้าเรือนยังดูเข้าท่ากว่าอีก" แต่คงไม่น่ารำคาญใจเท่าคนที่นั่งกระพือเสื้อไล่ความร้อนอยู่ข้างๆนี่หรอก

"ก็ไม่ได้จะพามาลอยกระทงเสียหน่อย" กันตวิชญ์ยิ้มบางขณะยกมือเกลี่ยปอยผมชื้นเหงื่อของคนที่กำลังมีสีหน้าสงสัยขึ้นทัดหู ก่อนเจ้าตัวจะเหลือบตามองยอดเจดีย์ทองที่ส่องสะท้อนแสงไฟ ด้านบนระโยงระยางด้วยเชือกร้อยกระดาษสามเหลี่ยมมาบรรจบกันตรงยอด ด้านล่างฐานเจดีย์ถูกพันล้อมด้วยผ้าแดงคล้ายถูกห่ม พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่เดินสวนกันขวักไขว่ บ้างกำลังเขียนชื่อลงบนผ้าแดงห่มฐานเจดีย์ บ้างก็นั่งสวดมนต์ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต แต่ก็ยังมีอีกมากที่ยืนชื่นชมความงามของเมืองหลวงยามค่ำคืนจากมุมสูง


"เคยบอกไว้ว่าจะพามางานภูเขาทองยังไงล่ะ"


สิ้นเสียงทุ้มนุ่ม เสียงพรูลมหายใจอ่อนจากอีกคนก็แว่วให้ได้ยิน เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าคนที่นั่งหมดแรงบนเก้าอี้ยาวเมื่อครู่ลุกมายืนอยู่ข้างเขาเสียแล้ว

"แต่งานภูเขาทองที่พี่แก้วอยากพาธีร์มา คงไม่เหมือนแบบนี้สินะครับ" คนตัวเล็กกว่าพูดถูก เอาเข้าจริงสภาพที่เขาเห็นตอนแรกที่มาถึงก็ออกจะ 'ผิดคาด' ไปมากโข เริ่มจากรถราบนถนนที่แน่นขนัดตลอดเส้นทาง พอมาถึงปากทางเข้าวัดสระเกศยังต้องตกใจกับจำนวนผู้คนเบียดเสียดจนเดินสวนกันแทบไม่ได้ ทั้งสองฝั่งข้างทางยังเรียงร้ายด้วยซุ้มขายอาหารเป็นแนวยาวยิ่งบีบให้ทางคนเดินแคบลงอีก กว่าจะมาถึงประตูวัดได้ก็เล่นเอาเหงื่อโทรมกันทั้งคู่ ยังไม่รวมทางเดินขึ้นเขาจนมาถึงฐานเจดีย์ นึกมาถึงตรงนี้ก็ไม่แปลกใจนักที่คนข้างๆจะออกอาการหงุดหงิด

"ช่วยไม่ได้ ก็งานที่พี่อยากพาเราไปเห็นมันไม่มีโอกาสแล้วนี่นะ" กันตวิชญ์ได้แต่ยิ้มอ่อนกับตัวเอง นึกไปถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเด็กหนุ่มเมื่อครั้งที่เขายังเป็นใครอีกคน แต่เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้ทำอย่างใจนึก พอมาตอนนี้อยากทำอะไรเพื่อชดเชยสิ่งที่เคยขาดไปบ้าง แต่ทั้งเวลาและสถานที่ก็กลับไม่เอื้ออำนวยเสียอีก คิดได้แบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยที่เห็นว่าอีกคนไม่สนุกไปด้วย


ดูเหมือนคนตัวเล็กกว่าจะรับรู้ได้...ชลนธีร์เหลือบมองคนที่ยืนนิ่งไปนาน มือขาวเอื้อมออกกระชับมือหนาของอีกฝ่ายให้พอรู้สึกตัวก่อนส่งยิ้มบางกลับไปให้คล้ายคำขอโทษกลายๆ

"ไหนๆก็มาแล้ว...ลงไปเดินเล่นข้างล่างกันดีกว่าครับ" พูดจบก็ออกแรงกระตุกมือที่เกาะกุมให้อีกฝ่ายเดินตามไปยังบันไดวนลงไปด้านล่าง หากแต่ถูกขืนแรงเอาไว้ให้ต้องหันมามองแทนคำถามอีกครั้ง

"ขึ้นมาถึงบนนี้ทั้งที ไหว้พระเสียก่อนสิ" รอยยิ้มปรายกลับมาประดับบนใบหน้าคมเข้มเช่นเคยให้คนได้เห็นพอใจชื้น พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วจับจูงมือกันไปถึงฐานเจดีย์ เลือกเอามุมที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนักก่อนทิ้งตัวลงคุกเข่าเคียงกัน สองมือประนมก้มกราบพระบรมสารีริกธาตุแล้วตั้งจิตอธิษฐาน น่าแปลกที่ความหงุดหงิดใจเมื่อครู่ลอยหายไปจนหมด อาจเป็นเพราะลมเย็นด้านบนพัดโกรกอยู่เนืองๆ หรือเพราะได้รู้เหตุผลของคนตัวสูงที่พาเขามาถึงที่นี่ หรือจะเป็นแค่เพราะมีใครบางคนคนั่งอยู่เคียงข้าง ชลนธีร์เองก็ไม่รู้แน่เหมือนกัน



สักการะพระบรมสารีริกธาตุกันเสร็จก็พากันเดินลงมายังบริเวณงานด้านล่าง หากลงมาได้เพียงครึ่งทาง เจ้าของมือขาวก็ออกแรงดึงแขนเบาๆเมื่อหันไปเจอสิ่งที่น่าสนใจกว่า

"อะไรหรือ"

"ลอยเทียนกันมั้ยครับ" กันตวิชญ์มองเลยไปยังบ่อปูนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่นักด้านหลังเมื่อได้ยินคำชักชวน

"เอาสิ" เมื่อเห็นว่าจำนวนคนไม่เบียดเสียดมากนักถึงได้ตอบตกลง คนตัวเล็กกว่าจึงผละมือออกเพื่อต่อแถวซื้อเทียนจากโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เพียงครู่เดียวก็เดินกลับมาพร้อมเทียนหอมแกะเป็นลายดอกไม้สองอัน อันหนึ่งสีชมพู ส่วนอีกอันหนึ่งสีม่วง

"ของพี่แก้ววันเสาร์ สีม่วงนะครับ" ว่าพลางยื่นเทียนหอมสีม่วงให้คนตัวสูงกว่าที่ยืนคอยอยู่ริมสระ รอจนคนตัวสูงจุดเทียนของตัวเองก่อนแล้วค่อยหันมาจุดเทียนสีชมพูบ้าง

"แปลกดี เมื่อก่อนไม่เห็นมีแบบนี้" แว่วเสียงทุ้มนุ่มบ่น คนที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอธิษฐานอยู่ถึงได้หลุดขำออกมาเบาๆ

"เวลาเปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยนครับ เดี๋ยวนี้อะไรขายได้เขาก็ทำกันทั้งนั้น"

"นั่นสินะ...อะไรๆก็การตลาด แม้แต่ความเชื่อ ความศรัทธาก็ยังขายได้" กันตวิชญ์ว่าพลางหย่อนเทียนหอมอันเล็กลงในบ่อปูนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเทียนหลากสี บ้างส่องแสงไฟระยิบระยับบ้างก็ดับไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นภาพที่สวยชวนมองจนอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพเอาไว้

กดชัตเตอร์ไปได้เพียงสองสามรูปแล้วก็หันจุดโฟกัสไปที่คนตัวบางข้างๆแทน โครงหน้าเรียวรีได้รูปส่องสะท้อนกับแสงเทียนเป็นสีนวลระเรื่อ ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆยามเจ้าตัวก้มลงหย่อนเทียนหอมลงบนผืนน้ำแล้วจดจ้องแสงเทียนที่วูบไหว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นว่าเขากำลังถือเครื่องโทรศัพท์หันเข้าหานั่นล่ะถึงได้มุ่นคิ้วน้อยๆคล้ายไม่พอใจ

"ไม่เห็นมีอะไรน่าถ่ายเลย" ชลนธีร์ไม่ชอบถูกถ่ายรูป และกันตวิชญ์ก็รู้นิสัยข้อนี้ของคนรักดี เพียงแต่บางทีเขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบบันทึกภาพของคนตัวบางในอิริยาบถต่างๆ ถึงแม้จะต้องแลกมาด้วยเสียงบ่นแทบทุกครั้งก็ตาม

"ลงไปเดินเล่นงานข้างล่างกันดีกว่า" ว่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องโดยการเอื้อมมือไปเกาะกุมข้อมือเรียวแล้วออกแรงดึงให้ลุกขึ้นยืนเคียงกันโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ออกปากบ่น




ลานวัดด้านล่างถูกเปลี่ยนสภาพเป็นงานมหรสพขนาดย่อม มีตั้งแต่ชิงช้าสวรรค์ติดหลอดไฟหลากสี รวมไปถึงเกมส์และโชว์แปลกๆตามแต่งานวัดทั่วไปพึงจะมี ซึ่งส่วนใหญ่ก็สามารถเรียกความสนใจจากผู้มาร่วมงานได้เป็นอย่างดีสังเกตได้จากจำนวนคนที่เข้าแถวรอ

"อยากดูอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า" เพราะจำนวนคนที่มากขึ้น กันตวิชญ์จึงต้องเปลี่ยนตำแหน่งมาเดินซ้อนด้านหลังอีกฝ่ายแทน มีเพียงมือหนาที่ยังเกาะเกี่ยวไม่ยอมปล่อยเพราะเจ้าตัวคอยให้เหตุผลว่า 'กลัวจะหลง'

"ไม่รู้สิครับ เยอะแยะจนลายตาไปหมด"

"ถ้าอย่างนั้นไปปาโป่งกันดีกว่า" หากคำตอบกลับทำเอาคนข้างหน้าชะงักฝีเท้าแล้วเหลือบมองด้วยสีหน้าสงสัย

"สมัยโน้นมีปาโป่งด้วยหรือไง"

"สมัยโน้นไม่มี แต่สมัยนี้ตอนเด็กๆก็เคยเล่น" คนตัวสูงว่ากลั้วเสียงหัวเราะ เห็นทีคนรักคงติดภาพเขาเมื่อก่อนจนลืมไปแล้วว่าชาติภพนี้เขาก็มีชีวิตวัยเด็กเหมือนคนอื่น

"ถ้างั้นก็แสดงฝีมือให้ดูหน่อยนะครับ" พอรู้ตัวว่าเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อก็ได้แต่กระแอมบอกแบบไม่เต็มเสียงนัก ทั้งใบหน้าติดหวานยังขึ้นสีระเรื่อให้คนได้เห็นนึกเอ็นดู


คนตัวเล็กกว่าเดินนำมาจนถึงซุ้มปาลูกโป่ง ยืนมองรางวัลที่ส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตาแขวนเรียงรายอยู่ด้านบน อันที่จริงไม่มีตัวไหนเข้าตาเขาหรอก แต่เพราะอยากเห็นฝีมือคนข้างๆเลยสุ่มเลือกเอาตุ๊กตานกฮูกสีเทาตัวใหญ่ที่อยู่ทางขวาแล้วส่งสายตาท้าทายให้อีกฝ่ายแสดงฝีมือ

แล้วมีหรือที่คนถูกท้าจะไม่รับคำ แต่เพราะร้างมือจากการละเล่นพวกนี้ไปนาน กว่าที่คนยืนลุ้นจะได้ตุ๊กตามาไว้ในอ้อมแขนก็เล่นเอาธนบัตรใบย่อยเกือบหมดกระเป๋ากางเกง ถึงกระนั้นกันตวิชญ์ก็ไม่นึกเสียดายเท่าไหร่เมื่อได้เห็นสีหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่าย ทั้งยังเสียงโห่แซวเมื่อเขาปาลูกดอกพลาดเป้า และเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างในที่สุดยามได้กอดของรางวัล

สำหรับคนตัวสูง...แค่นั้นก็ถือเป็นรางวัลของเขาแล้วเหมือนกัน



ดูท่าว่าอารมณ์ของคนถูกพามาจะดีขึ้นทันตาเห็น เพราะหลังจากนั้นก็เอาแต่ออกปากชี้ชวนให้แวะร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมให้เขาเสียเงินให้กับเกมส์อะไรอีกเพราะเจ้าตัวบ่นว่าเปลือง มีก็แต่ของกินที่ถือเต็มสองมือนี่ล่ะที่ไม่บ่น ก็ตั้งแต่มาถึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันทั้งคู่ แถมในงานยังมีขนมหน้าตาแปลกที่หาทานได้ยากเต็มทีในสมัยนี้ สุดท้ายเลยกลายเป็นคนตัวสูงที่ต้องช่วยหอบหิ้วของฝากเอาไว้เต็มมือแทน

"นั่งชิงช้าสวรรค์กันไหม" ชลนธีร์เงยหน้ามองตามคำชักชวนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเมื่อคนตัวสูงพามาหยุดตรงหน้าชิงช้าสวรรค์ที่เมื่อตอนมาถึงยังเห็นว่าคนรอคิวกันยาวเหยียด แต่ตอนนี้กลับไม่มีคนคงเพราะเวลาล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มแล้ว

"มันดู...ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นะครับ" คนตัวสูงเหลือบมองตามแล้วก็นึกเห็นด้วย ทั้งกระเช้าเหล็กนั่นก็เล็กกว่าที่เขาเคยนั่งมา ต่อให้อยากขึ้นไปนั่งคู่กันก็คงจะทำไม่ได้ เช่นนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

"ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเลยดีไหม" ว่าพลางฉวยข้อมือขาวมาเกาะกุมไว้อีกครั้ง "กลับไปลอยกระทงกันดีกว่า"

คราวนี้คนตัวเล็กกว่ารีบพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มกว้าง ปล่อยให้อีกคนจูงมือฝ่าฝูงชนที่ตอนนี้บางตาลงกว่าเมื่อตอนมาถึงมากนักออกจากวัดไป


.......................................................................................



ริมแม่น้ำเจ้าพระยาค่ำคืนนี้ช่างคึกคัก แว่วเสียงผู้คน เสียงประทัดมาแต่ไกล ทั้งผืนน้ำก็ยังถูกแต่งแต้มด้วยดวงประทีปนับร้อยนับพัน ท้องฟ้ามืดสนิทสว่างวาบเป็นระยะด้วยพลุไฟหลากสี ส่งให้เจ้าพระยาค่ำคืนนี้งดงามยิ่งกว่าคืนไหนๆ

ท่ามกลางสีสันและความพลุกพล่าน...เรือนโบราณทรงฝรั่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำกลับเงียบสงบ มีเพียงแสงไฟสีส้มนวลส่องสว่างจากบนเรือนและท่าน้ำเล็กด้านข้างที่ถูกต่อเติมใหม่จนได้ระดับเดียวกับผืนน้ำ

สองร่างนั่งเคียงคู่อยู่ริมท่า ต่างคนต่างประคองกระทงใบตองของตัวเอง สบตากันเพียงครู่แล้วจึงก้มลงตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมาต่อพระแม่คงคาถึงสิ่งที่ได้ล่วงเกินต่อผืนน้ำ ขอให้ความทุกข์ ความโศกเศร้า ลอยไปกับกระทง ทั้งยังเผื่อแผ่ไปถึงใครอีกคนที่อยู่เคียงข้าง เหมือนกับกระทงทั้งสองที่ลอยเคียงคู่ราวกับถูกพันผูกไว้ไม่ให้ห่างกัน



"วันนี้ขอบคุณมากนะครับ" เสียงนุ่มดังขึ้นเมื่อย้ายตัวขึ้นมานั่งบนศาลาแปดเหลี่ยมข้างเรือนได้สักพัก สายตายังทอดมองดวงประทีปจุดน้อยๆลอยล่องกลางผืนน้ำ แผ่นหลังพิงแผงอกกว้างใช้ต่างหมอนหนุนที่ดูท่าว่าคนถูกเอาเปรียบก็ไม่นึกบ่น

"หืม...เรื่องอะไรหรือ"

"ก็...ที่พาไปเที่ยว" อ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับยิ่งทำให้คนข้างหน้าเบียดตัวเข้าหาจนคล้ายกับทั้งร่างจมหายไปกับแผงอกกว้าง

"นึกว่าไม่ชอบเสียอีก"

"ก็แค่ไม่ชอบคนเยอะ...แต่ก็...สนุกดี" อ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มเสียงนักจนคนฟังต้องโน้มใบหน้าคมลงมาให้ได้ยินใกล้ๆ

"ไว้ปีหน้าจะพาไปที่อื่น...เอาที่คนไม่เยอะ ธีร์จะได้ไม่หงุดหงิด...ดีไหม" ใบหน้าติดหวานพยักรับ ทั้งรอยยิ้มบางยังจุดประกายที่มุมปาก อันที่จริงเขาอยากบอกอีกคนว่าเพียงได้นั่งมองผืนน้ำกับพลุไฟหลากสียามค่ำคืนแบบนี้ก็ทำให้ความหงุดหงิดจางหายไปหมดแล้ว แต่เพราะไม่อยากให้คนฟังได้ใจถึงได้นั่งเงียบไม่มีปากเสียงเช่นนี้



"แล้วเมื่อกี้อธิษฐานอะไรหรือครับ"

"อธิษฐานเหมือนทุกปี" อ้อมแขนกระชับแน่นแทนคำตอบ ชลนธีร์ยังจำไ้ด้ถึงวันลอยกระทงที่พระนครคราวก่อน คราวที่เขาคาดคั้นเอาคำตอบที่พอได้ยินแล้วก็ให้รู้สึกอุ่นวาบกลางหัวใจ



'ขอให้พี่ได้อยู่กับพ่อธีร์ตลอดไป'



"ปีนี้ก็สมหวังแล้วสิครับ" ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆหากแต่พยายามเบือนหน้าหลบไม่อยากให้คนด้านหลังได้เห็น

"อยากให้สมหวังทุกๆปี คนดีทำให้พี่ได้มั้ยครับ" จมูกโด่งรุกไล่บนแก้มขาวเพียงครู่ก็ละออกแล้วแนบใบหน้าคมลงมาแทน

"ใครจะไปรู้ล่ะครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต"

"ถ้าอนาคตของธีร์ยังมีพี่อยู่ด้วย พี่ก็สัญญาว่าจะทำให้มันเป็นจริง" เสียงทุ้มนุ่มดังข้างหูชวนให้ใจสั่นพิลึก

"ตกลงว่าธีร์กำลังพูดอยู่กับคุณกันตวิชญ์หรือหลวงพิสิษฐกันแน่นะ...เจ้าสำบัดสำนวนขนาดนี้"

"จะคนไหนก็เหมือนกันนั่นล่ะ" น้ำเสียงนุ่มดังแผ่วเจือแววขบขัน "รักชลนธีร์คนนี้คนเดียวเหมือนกัน"

หากคนฟังไม่นึกตลกตามไปด้วย ใบหน้าขาวเบือนหนี ทว่าในสายตาของคนจดจ้องกลับได้เห็น ริ้วแดงซ่านบนปรางนวล...มือหนาละออกจากเอวบางเปลี่ยนเป็นเชยคางมนให้คนขี้อายยอมเงยหน้าขึ้นสบตา ก่อนประทับริมฝีปากหยักลงบนหน้าผาก แตะแผ่วเบาราวสัมผัสปุยนุ่นแล้วผละออก สอดแขนรั้งร่างคนรักเข้าแนบอกแล้วตระกองกอดไว้เช่นนั้น รับรู้ถึงอ้อมแขนผอมที่โอบกระชับตอบกลับมาทั้งที่ใบหน้ายังซุกซบกับอกกว้าง รับรู้ถึงไออุ่นของคนตรงหน้า รับรู้ถึงคำตอบของคำรักที่เขาเพิ่งหยิบยื่นให้

หากเพียงเรื่องเดียวที่กันตวิชญ์และหลวงพิสิษฐไม่ล่วงรู้

คือคำอธิษฐานต่อพระแม่คงคาของใครอีกคน

...ที่ขอให้ได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไปเช่นเดียวกัน...


..............................………...............................





มาช้ายังดีกว่าไม่มา~ (อ้างงงง)
สุขสันต์วันลอยกระทงย้อนหลังนะเจ้าคะมิตรรักนักอ่านทุกท่าน หายไปน๊าน-นาน กลับมามีแค่ตอนพิเศษเล็กๆน้อยๆ แต่ความคิดถึงไม่น้อยตามนะคะ :)

คิดถึงผู้อ่านทุกคน แต่ตอนนี้โหมงานหนักมากค่ะ แทบจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น พอมีวันหยุดก็ได้แต่นอนซ่อมร่าง รู้สึกชีวิตลำบากขึ้นนิดหน่อย (เพราะไม่มีเวลาเขียนนิยายนี่ล่ะ มันคันไม้คันมือ)

แล้วพบกันในวันหน้านะคะ *กราบบบบ*



หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: veeveevivien ที่ 26-11-2015 17:30:42


คุณหลวงยังปากหวานเหมือนเดิมเลยยยย

สั้นนนนนไปนะคะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 26-11-2015 18:18:06
มีรวมเล่มไหมครับ ชอบมาก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 26-11-2015 23:12:38
คุณหลวงนี่ไม่เปลี่ยนเลย ธีร์ยังน่ารักเหมือนเดิม  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-11-2015 02:54:22
คู่นี้เขาหวานเขามความสุขไปแล้ว แล้วเพื่อนแชมป์ล่ะเป็นเช่นไรบ้างหนอ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 27-11-2015 14:01:57
ชอบบบบ :katai4:
ได้โปรดด มาเคลียร์เรื่องพี่แชมป์ด้วยเถิดพ่อ 5555555
สงสารอ้ายแช่มเกินนน อยากให้สมหวังบ้าง :mew2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 27-11-2015 14:28:58
ละมุนมากค่ะ อยู่ด้วยกันไปนานๆเลยนะพ่อธีร์ของพี่แก้ว :กอด1:

รอตอนของแชมป์อยู่น้าาา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 27-11-2015 19:27:38
น่ารักเสมอนะพี่แก้งของน้องธีร์ 5555

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: SuPeRDonGDanG ที่ 27-11-2015 19:38:48
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด ตอนพิเศษ
คิดถึงพี่แก้วกับพ่อธีร์มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ
ขอบคุณที่แต่งตอนนี้ให้อ่านนะคะ


พี่แก้วยังปากหวานเหมือนเดิมเลย อยากอ่านเวลาสองคนนี้สวีทกันเยอะๆ ><

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-11-2015 01:13:01
คิดถึงจับใจ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 30-11-2015 00:26:16
โอยยยยย สำลักความหวาน กรีดร้องมากรักเรื่องนี้เหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 30-11-2015 19:58:13
กรี๊ดดดดด คุณหลวงของบ่าว คิดถึงเหลือเกินเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 30-11-2015 22:09:04
อ่านกี่ครั้งก็น่ารักมากๆคู่นี้ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Netimefii ที่ 01-12-2015 19:35:32
หวานกันจริงงงง  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 01-12-2015 21:04:07
นึกว่าตาฝาด  :a5:
คุณหลวงกับน้องธีร์ยังหวานเหมือนเดิม :hao7:

//แอบรอแชมป์อยู่นะคะ นักเขียนมีแผนจะเขียนเรื่องของแชมป์ไหมคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 01-12-2015 21:56:45
 :กอด1:

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 02-12-2015 12:08:42
รออ้ายแช่มคุณพิกุลเอ้ยน้องตฤณด้วยนะคะ. คู่นี้ถ้าจะหิน 555
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 07-12-2015 17:13:12
ชอบครับ อ่านได้เรื่อย ๆ ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: nuper ที่ 10-12-2015 16:43:38
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ค่ะ สนุกดี งุงิๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: gloyjai ที่ 22-12-2015 12:00:21
อ่านรวดเดียวจบ ไม่หลับไม่นอน  ปกติไม่ค่อยชอบอ่านแนวนี้เท่าไหร่ แต่อยากบอกว่า หลงรักพี่แก้วกับน้องธีร์มาก แอร๊ยยยยย    :o8: :mew2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 09-01-2016 04:39:44
อ่านแล้วแฮปปี้มาก เรื่องดีดีแบบนี้ไม่รู้พลาดมาได้อย่างไร อ่านแล้วอบอุ่นใจ แม้บางจังหวะจะหน่วงๆ ไปบ้าง แต่ดีใจท่คนแต่งไม่ใจร้ายกับพ่อแก้ว ถึงจะนานไปหนึ่งช่วงชีวิต แต่พ่อแก้วก็สมหวังละน้าาาา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: torae ที่ 24-01-2016 10:08:06
ประทับใจมากค่ะ
ให้ความลุ่มลึกทางอารมณ์ ละมุนละเมียด รู้สึกปิติอบอุ่นในอก
พล็อตไหลลื่น ผูกเรื่องดี มีเหตุและผลสอดคล้องกลมกลืนกันทั้งเรื่อง
ตัวละครมีมิติ บรรยายดี ภาษาโอเคมากๆไม่ติดขัดใดๆ สามารถเร้าอารมณ์โดยการปูเรื่องไปเรื่อยๆไปจนถึงไคลแมกซ์และค่อยคลายปมโดยไม่รู้สึกถูกบังคับหรือกระชากให้คล้อยตาม ได้อรรถรสมากๆค่ะ
ชื่นชมมากนะคะ หาแนวอย่างนี้อ่านยาก และที่ทำให้ประทับใจได้แบบนี้ยิ่งยากเพราะกลมกล่อมเหลือเกิน ขอแสดงความขอบคุณกับผลงานดีเยี่ยมนี้อีกครั้งค่ะ ขอบคุณมากค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 25-01-2016 14:55:03
จบแล้วววววววว

ไม่อยากให้จบเลย นิยายสนุกมากและภาษาก็สวยมากด้วยเช่นกัน อ่านแล้วน้ำตาซึมทุกตอนเลยยย  :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Lili405 ที่ 01-02-2016 08:38:45
เจอเรื่องนี้จากกระทู้แนะนำนิยาย ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกก รักเลย ยกให้เป็นหนึ่งในนิยายในดวงใจไปเลยค่ะ
เป็นเรื่องที่ขอใช้คำว่า 'สวยงาม' มากๆ
ภาษาสวย อ่านง่าย คำผิดแทบไม่มีเลย กลอนก็เพราะ ตอนนึงก็ยาวจุใจ
ที่สำคัญ ชอบพี่แก้วกับพ่อธีร์มาก ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกอินและรักตัวละครมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนจากกันนี่น้ำตาซึม แต่พอมาเจอกันอีกรอบที่แกลลอรี่ล่ะพ่อคุณเอ๊ยยย บ่าวนี่บ่อน้ำตาแตกเลยเจ้าค่ะ
มันดีงามจริงๆ แล้วก็อ้ายแช่มกับคุณพิกุลนี่มาเหนือมาก โดนใจสาววายค่ะ 555555

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: RainS ที่ 17-02-2016 22:36:52
อ่านจบนานแล้ว มาตามอ่านอีกรอบ รักเรื่องนี้มาก ทำเราตาบวมเลย ทำไมน้าาา คนเขียนไม่ทำหนังสือT_T
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: jennyha ที่ 24-02-2016 02:59:10
นิยายสนุกสำนวนดีมากๆๆเลยยย เป็นอีกเรื่องที่ควรอ่านน
สนุกน่าตื่นเต้นและน่าติดตามมม
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 21-04-2016 10:42:10
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุนนะคับคนแต่งเป็นนิยายที่น่ารักมากกกกก
ชอบพี่แก้น้องธีร์  อยากอ่าแชมป์ กับ น้องตฤน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[ตอนพิเศษ] วันลอยกระทง...[๒๖.๑๑.๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Novemberist ที่ 28-05-2016 11:02:11
 ปุกาดดดดด~ เพิ่งจะมีเวลาเข้ามาโปรโมทจริงจัง ต้องกราบขออภัยมิตรรักนักอ่านทุกท่านที่มาบอกข่าวเอาป่านนี้ค่ะ T-T
ขออนุญาตโปรโมทนิยายเรื่องนี้ ฉบับรวมเล่ม ค่า~
พิมพ์กับ สนพ.อั่งเปาบุ๊คส์ นะคะ รายละเอียดตามนี้โลด!


(http://i4.photobucket.com/albums/y133/alexel27/Mobile%20Uploads/image.jpeg) (http://s4.photobucket.com/user/alexel27/media/Mobile%20Uploads/image.jpeg.html)


1. กำหนดเปิดจองและวางแผง
- เปิดจองระหว่างวันที่ 5 พฤษภาคม ถึง 5 มิถุนายน 2559
- ส่งทางไปรษณีย์สำหรับผู้จอง ตั้งแต่วันที่ 5-10 กรกฎาคม 2559 (เรียงลำดับตามวันที่แจ้งโอน)
- รับหนังสือที่ร้าน That's Y | Manga Tsukii สำหรับผู้จอง ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม – 5 กันยายน 2559 (โปรดตรวจสอบสภาพภายนอกของหนังสือรวมถึงเช็กของแถมทันทีเมื่อรับสินค้า ณ ร้านหนังสือที่ท่านจอง สนพ.อั่งเป่าบุ๊กส์และร้านที่รับจองขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับเปลี่ยนหนังสือ/ของแถมในภายหลัง ยกเว้นหนังสือมีตำหนิอันเกิดจากการพิมพ์ เช่น หน้าหาย หน้าว่าง หน้าสลับ หน้าซ้ำ เป็นต้น)
- วางแผงและสั่งซื้อทางไปรษณีย์ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม
.
№② The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...(2 เล่มจบ)
ราคา :
✿ [Set A] ชุดละ 720 บาท
✿ [Set B] ชุดละ 820 บาท (+กล่องสะสม)
ของแถมรอบจอง :
1. ที่คั่นลายการ์ตูน SD 2 ใบ
2. ที่คั่นลายหน้าปก 2 ใบ*
3. มินิโนเวลตอนพิเศษ


รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดตามได้จาก https://www.facebook.com/angpaobooks/ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 28-05-2016 17:23:30
ในที่สุดก็รวมเล่มแล้ว เป็นเรื่องที่รอคอยมาก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gottomon ที่ 11-06-2016 21:52:21
ในที่สุดก็อ่านจบ ขอเม้นรวมรวดเดียวเลยนะคะ
สนุกมากจริงๆ เกือบจะพลาดแล้วเชียว แต่พอได้อ่าน
ถึงตอนที่พ่อธีร์ของพี่แก้วย้อนกลับไปในอดีต คือติดมากกก
เพราะสนุกมากและธีร์ดูร่าเริงกว่าตอนปัจจุบัน ซึ่งหม่นๆ อึมๆมาก
พี่แก้วคือหยอดนักมาก มีความยียวนกวน... อะไรก็ว่ากันไป
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: CChompu ที่ 15-06-2016 00:35:52
ได้มาอ่านเรื่องนี้เพราะอ่านเจอคนแนะนำว่าเรื่องนี้คนเขียนทำการบ้านมาดีเรื่องอดีต
แต่พออ่านจบแล้ว มันไม่ใช่เลยค่ะ!!!
มันไม่ใช่แค่ทำการบ้านมาดี แต่ภาษาดี พลอตดี เขียนดี ตัวละครดี ทุกอย่างคือดี
เศร้าก็เศร้าสุด หน่วงก็หน่วงสุด หวานก็หวานสุด แต่เอาจริงคือหน่วงปนหวานทั้งเรื่อง

มันดีงามไปหมดเลยค่ะ ชอบตัวละครทุกตัวเลยค่ะ อ่านแล้วเชื่อในการกระทำของตัวละคร
ทุกตัวละครเหมือนมีชีวิตจริงๆ มีเหตุผลในการกระทำ

ชอบคุณหลวงมากค่ะ พี่แก้วของน้องธีร์คือหวานที่สุด รักที่สุด ห่วงที่สุด แล้วก็เจ็บที่สุด
บอกเลยว่าร้องไห้แบบจริงจังมากกับการจากลาของคนทั้งสอง (หัวเราะ)
น้องธีร์ก็น่ารักมาก ชอบตอนแชมป์แซวแล้วเขินรุนแรงทำร้ายร่างกายเพื่อนตลอด
อ่านไปยิ้มไปกับความธรรมชาติของตัวละคร ความหวานของเรื่อง ความละมุนของเรื่อง

 o13 :-[ :impress2:

ตามกดไลค์แฟนเพจแล้วนะคะ
เสียดายเพิ่งได้อ่านเลยจองหนังสือรอบพรีไม่ทัน #เสียใจหนักมาก
ติดตามผลงานต่อนะคะ อยากอ่านของแชมป์ด้วยค่ะ /ยิ้มหวาน/
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 21-06-2016 11:24:43
สนุกมากกกกกกกกกกกกก o13
อยากอ่านอีก :hao5:
อยากอ่านตอนแชมป์จีบน้องตฤนด้วย :hao7:
รอเรื่องต่อไปนะคะ อย่าหยุดเขียนนิยายนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Sisne ที่ 23-07-2016 11:17:03
ชอบมากเลยค่า จะอุดหนุนหนังสือนะคะ ><
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: zaads ที่ 21-09-2016 13:38:30
ชอบเรื่องนี้หนักมากค่ะ อ่านไปเขินไป พี่แก้วละมุนมากก หุบยิ้มไม่ได้เลย :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 07-10-2016 10:39:59
ตามมาอ่านจนจบ สนุกมาก นึกว่าธีร์จะย้อนกลับไปอยู่กับคุณหลวงซะอีก กว่าจะผ่านสมัยนั้นมาได้คุณหลวงคงระทมใจจนเหลือจะเอ่ย ดีนะกลับมาเจอกันชาตินี้ ขอบคุณแต่ง นิยายสนุก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: namkang ที่ 18-11-2016 22:37:53
พึ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ชอบมากๆเลยค่ะ ฮื้ออออแอบเสียดายที่ซื้อbox set มาเก็บไม่ทัน ไรท์แต่งสนุกมากๆๆ จะติดตามผลงานไรท์อีกนะคะ  :mew1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: up2goo ที่ 21-11-2016 11:08:34
ธีร์กลับมา ใช้เวลาทนคิดถึงพี่แก้วไม่กี่ปี
แต่พี่แก้วต้องทนคิดถึงพ่อธีร์จนสิ้นอายุขัยในภพนั้นเลยนะ

โถถถ ...... พี่แก้วของน้อง TT^TT
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 27-11-2016 21:24:25
ชอบๆมากๆเลย ขอบคุณคัฟ :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Silver Fish ที่ 18-12-2016 22:13:26
ดีงาม ชอบมากเลย อ่านรวดเดียวจบ ฮืออออ และแล้วก็อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 09-01-2017 18:36:39
มีคนแนะนำว่าให้มาอ่านเรื่องนี้ แล้วเราก็ได้เพิ่งมาติดใจอ่านนิยายแนวพีเรียด เลยไม่คิดที่จะลังเลอ่าน
พอได้อ่านแล้วไม่ทำให้ผิดหวังเลย ทั้งภาษา ทั้งตัวละคร ทั้งเนื้อเรื่อง คนเขียนเก่งมากที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่อิงประวัติศาสตร์ได้ดีขนาดนี้ ถือว่าทำการบ้านได้ดีมากเลยทีเดียว
ยอมรับว่าเรามาอ่านเรื่องนี้ช้าไป และเราประทับใจกับเรื่องนี้มากจริงๆค่ะ เราอินกับมันมาก คือต้องอ่านให้จบจะอ่านๆหยุดๆไม่ได้ อ่านไปก็ลุ้นไป สงสารคุณหลวง ความรักของคุณหลวงมีแต่การรอคอย ตอนที่ธีร์กลับมาในยุคปัจจุบันครั้งแรก และก็กลับไปในยุคของอดีตอีกครั้ง ชอบกลอนคุณหลวงที่แต่งให้ธีร์ มันมีทั้งความเศร้าและมีความคิดถึง คือเรื่องนี้มีอารมณ์ความรู้สึกครบรสจริงๆ พอสุดท้ายทุกอย่างมันลงตัวมาก จบได้ดีจริงๆ เราแอบน้ำตาซึมเลย
ขอบคุณคนเขียนที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของคุณหลวงและธีร์ได้ดีขนาดนี้ ถ้ามีโอกาสก็จะซื้อหนังสือเรื่องนี้เก็บไว้ค่ะ ชอบมาจนลืมไม่ลง :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: zleep ที่ 27-02-2017 01:08:10
เป็นนิยายแนวพีเรียดอีกเรื่องที่ประทับใจมากๆเลยค่ะ
ประทับใจกับตัวละครทุกตัว ถึงแม้จะปวดใจกับการที่ต้องเห็นทั้งธีร์และแชมป์ต้องอยู่กับความทรงจำมาถึงสี่ปีและการรอคอยอย่างไม่มีจุดหมาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด เห็นใจคุณหลวงและคุณพิกุลที่สุดแล้วค่ะ ต้องใช้ชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตเพื่อรอคอยที่จะได้เจอกันอีกครั้ง เราว่าการรอคอยมันทรมานมากๆเมื่อไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆเรื่องนี้นะคะ ตอนที่ธีร์ต้องกลับมาโลกปัจจุบันแล้วไม่สามารถกลับไปหาคุณหลวงได้อีกทำเราน้ำตาแตกเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Peridot_Garnet ที่ 01-03-2017 05:35:20
เพิ่งได้มาตามอ่าน รวดเดียวจบเลยค่ะ

รักพี่แก้วของพ่อธีร์ ม๊ากมาก

แลติดใจคุณพิกุลแก้เผ็ดอ้ายแช่มด้วยค่ะ

สนุกและน่าติดตามมากค่ะไรท์
สำนวนและข้อมูลประวัติศาสตร์ก็ทำการบ้านมาดีอ่านแล้วกลมกลืนมากเลยค่า

กลอนก็สวย ติดตาติดใจมากมาย ขอบคุณงานดีๆที่มีมาให้อ่านกันนะคะ ชอบแนวนี้มาก เขียนออกมาได้สนุกด้วย
มอบมงดอกแก้วให้เจ้ของธีร์ค่ะ.  :laugh:

จะรอตอนพิเศษให้ชุ่มชื่นหัวใจนะคะ ฮ่าๆๆ แบบว่าโดนคนแต่งทรมานทรกรรมพี่แก้วมาทั้งชีวิตเอาปานนั้น ขอแบบสวีทหวานอ่ะค่ะ ฮ่าๆๆ

อ้อ! รออ้ายแช่มด้วยจ้า

 o13

ปล กำลังคิดว่าแม่ชื่นเอย เจ้าคุณเอย คนอื่นๆ เอยคงคิดถึงนายเอกและพระเอก(เรื่องในอนาคต)ตัวดีกันน่าดูเลยนะคะ

อีกอย่าง พี่สนกับมิ่งนี่วาร์ปมาเป็นโจ๊กกับต่อรึเปล่าคะเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: anuyasha ที่ 03-03-2017 02:35:22
น่ารักมากเลยค่ะ ยินดีกับพ่อแก้ว ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นเป็นยังไง รอจนแก่เลยมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 23-03-2017 12:32:37
บังเอิญเจอคนในทวิตแนะนำไว้ ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ ประทับใจมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคะ น้ำตาหมดตัวกันทีเดียว 55555  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 23-03-2017 20:14:54
เสียดายที่มาเจอนิยายเรื่องนี้ช้าไป
หวังว่าผู้แต่งจะได้เข้ามาอ่านเม้นของเรา
จะได้มีกำลังใจแต่งเรื่องดีๆแบบนี้ต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Aomampapeln ที่ 26-04-2017 02:15:15
ครั้งแรกที่อ่านไม่ได้คอมเม้น..ขอคอมเม้นอ่านรอบสองนะคะ ขอชมเลยค่ะภาษาที่ใช้อ่านเข้าใจง่ายไม่ใช้คำศัพท์ที่ยากไป อ่านแล้วเพลินมากเลยคะอ่านรวดเดียวจบเลย เรื่องนี้เป็นนิยายในดวงใจอีกเรื่องที่ชอบมากๆๆๆ อยากอ่่านไปเรื่อยๆไม่อยากให้จบเลยคะ เหมียวหลงรักพ่อธีร์กับคุณหลวงมาก..หยอดกันไปหยอดกันมา ละลายย  :o8: ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะคะ  :pig4: :pig4:
ปล.แอบอยากรู้เรื่องของแชมป์เหมือนกันค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: mymicky ที่ 01-05-2017 13:06:55
ไม่ได้อ่านนิยายแล้วน้ำตาไหลพรากแบบนี้มานานแล้ว... ㅠㅠ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ รักหวานๆของคน 2 คน แล้วก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปบ้านเมืองเราในอดีตนะคะ... ความสุขและวิถีชีวิตของคนยุคเก่า เป็นเสน่ห์ ที่น่าเสียดายจริงๆ ที่สมัยนี้หายากเต็มที

ภาษาสวยมาก อ่านแล้วไม่สะดุดเลย แถมเรื่องราวทุกตอน มีเหตุมีผล เลยรู้สึกอิน อ่านแล้วหยุดไม่ได้ แบบนี้

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 19-05-2017 16:27:32
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหนูไฉไล ที่ 21-05-2017 23:07:10
ที่จริงจะพีคมากกว่านี้ ถ้าพี่แก้วตามน้องธีร์มาแต่ไปโผล่ที่ไหนซักที่ ซุ่มชุบตัวแล้วมาปรากฎตัว มันจะละมุนกว่ามาก

พอให้พ่อแก้วมาเกิดเป็นกัณฑ์ คำถามคือ ช่วงเวลาของพ่อแก้วในชาตินั้นที่หายไป มันปวดร้าวขนาดไหน จุดจบยังไง พอมันหายไป เลยไม่พีคมากพอ ที่จริงควรจะเพิ่มโมเม้นต์ของพี่แก้วหลังจากธีร์หายไป ไม่กลับมาแล้ว จนถึงความเจ็บปวดก่อนตาย แรงอธิษฐานที่เข้มข้นมากพอที่ทำให้ระลึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ชาติของพ่อแก้วได้ ถ้าได้แบบนี้มันจะพีคมาก จะดูสมเหตุสมผลกว่านี้

อ่านนิยายเรื่องนี้มานานมาก เหมือนจะอ่านไปได้ถึงตอนพ่อเจษฏ์ออกมาแรก ๆ แล้วก็ไม่ได้อ่านต่อ ด้วยสาเหตุอะไรไม่รู้ แต่วันนี้ครึ้มอกครึ้มใจ อ่านแรก ๆ คุ้น ๆ เลยอ่านจนจบ ก็ได้แต่นึกเสียดายที่ตอนจบไม่ค่อยกลมกล่อมเท่าไร ขาดเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างไปเยอะ แต่ก็ยังสนุกอยู่ และลุ้นว่าจะมาเจอกันได้อย่างไร หรืออย่างแม่พิกุลก็อีก มันหายไปเลยเรื่องราวหลังจากนั้น ที่จริง ถ้ามีจะพีคมาก (จะพูดทำไมหลายที)

ขอบคุณคนแต่งจ้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Pikata ที่ 13-06-2017 09:58:52
คุณหลวง พ่อธีร์ :m1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: huoan ที่ 01-07-2017 09:38:23
ผู้เขียนใช้ภาษา และสำนวนดีมากครับ
ชอบทั้งกลอนที่แต่ง รวมถึงการผูกเนื้อเรื่อง

การเล่าเรื่องโดยใช้ตัวละครสำคัญทุกตัว
ไม่ว่าจะเป็นตอนของคุณเดือน คุณหญิงสร้อย ...
เป็นการเพิ่มบทให้กับเรื่องได้อย่างสมบูรณ์

ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า
คุณพิกุล เป็นอย่างไรบ้าง ทำไมถึงทำกับพ่อแชมป์ได้

นอกจากจะเป็นเรื่องสละสลวยที่ชวนละมุนละไมแล้ว
ต้องขอชื่นชมผู้แต่งอีกครั้ง ที่ทำให้คนอ่านหลงรักตัวละครได้ถึงเพียงนี้

 o13  :o8:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jaochewan.L ที่ 05-07-2017 11:54:22
ยังอยากอ่านเรื่องของตฤณกับแชมป์อยู่นะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 20-07-2017 15:43:01
อ่านรวดเดียวจบเลย
สนุกมากค่ะ ชอบแนวนี้จังเลย
อ่านแล้ววางไม่ลง
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Maylita ที่ 09-08-2017 02:12:24
 :mew6: :mew6: จบแล้ว ดีใจในที่สุดก็ได้เจอกัน
พ่อคุณทูนหัวของบ่าว ทำเอาใจแทบสลาย มาชาตินี้คุณหลวงโคตรน่าร้ากกกกกกก
นี่แอบกัดกระพุ้งแก้มเวลาพระ-นายเขาสวีทกันด้วยล่ะค่ะท่านผู้ชม 555

ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆและน่ารักนะคะ ขอบคุณค่ะ
ปล.ขอเปิดประตูมิติหาผู้ชายดีๆแบบคุณหลวงบ้าง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 11-09-2017 13:33:21
นึกว่าจะต้องห่างกันไปเลยให้ธีร์ต้องทนรับความเจ็บปวดคนเดียว
อยากให้คนเขียนทำภาคสอง หรือตอนพิเศษบ้างงง
อยากรู้ว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 13-09-2017 03:34:25
เพิ่งเห็นว่ามีรวมเล่ม  :katai4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 16-09-2017 13:32:40
รักเรื่องนี้ค่ะ
ชอบเรื่องราว
ชอบภาษา
ชอบความอบอุ่นของพ่อแก้วและพ่อธีร์
มาต่อภาค 2 นะค่ะ
โด้โปรดดดดดด

ขอบคุณคนเขียนนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: SIRINN ที่ 24-09-2017 16:33:09
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fragrant ที่ 28-09-2017 19:21:03
ปกติเราไม่ค่อยอ่านแนวพีเรียตเท่าไหร่ อาจจะเพราะหาอ่านยาก แต่พอได้มมาอ่านที สนุกมากเลยค่ะ เราอินไปกับทุกๆฉากและทุกความรู้สึกของตัวละคร แอบสารภาพว่าตอนพ่อธีร์กับคุณหลวงต้องจากกันเราน้ำตาหยดเลย มันพีคไปอีกในความรู้สึกเรา ฮือ ดีใจที่นักเขียนไม่ตัดจบแบบนั้น ดีนะมีมาต่อ ไม่งั้นเราจะเฟลไปสิบวัน ขอบคุณที่ทำให้แฮปปี้นะคะ จะตามไปอ่านในเล่มต่อเลย ให้กำลังใจคนแต่ง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: mink2538 ที่ 12-11-2017 21:07:23
รู้สึกเหมือนเจอเรื่องนี้ช้าไป
พอได้ ได้อ่านแล้ว รู้สึกรักตัวละครทุกตัวมาก
ไม่อยากให้จบเลยจริงๆ
ขอบคุณนักเขียนที่แต่งนิยายดีๆอย่างนี้มาให้อ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-01-2018 15:47:08
ชอบๆ น่ารักดี  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 18-01-2018 22:02:03
สุดยอดคัฟ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: แมว ที่ 19-01-2018 16:02:20
สนุกกากค่ะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 22-01-2018 13:24:55
คิดถึงการรอคอยของพี่แก้วในชาตินั้นแล้วเจ็บปวดจริงๆ...
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 24-01-2018 09:12:28
2-3 วันมานี้โหมอ่านอย่างจริงจัง แบบวางไม่ลงเลยค่ะ ยกเว้นตอนชาร์จแบต
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 30-01-2018 17:21:34
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 01-02-2018 15:02:05
งื้ออออ สนุกมากเลยยย ชอบแนวพีเรียดมากก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 10-02-2018 23:02:36
ชอบแนวพีเรียด ย้อนเวลามากหายุตั้งนาน ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: แมว ที่ 08-03-2018 19:28:58
ช่วงนี้อินกับแนวนี้มากค่ะ นี่กลับมาอ่านอีกรอบ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 15-03-2018 22:11:27
เพิ่งได้อ่านจบค่ะ มัน-ดี-มาก ดีจริงๆค่ะ   :m1:  ปกติไม่ค่อยอ่านแนวพีเรียด แต่ประทับใจเรื่องนี้มาก หวานละมุนเหลือเกิน ตอนพี่แก้วจีบพ่อธีร์นี่ก็พลอยเขินไปกับเขาด้วย บ้าบอ  :m13:  ส่วนคู่พ่อแช่มกับแม่พิกุลก็แทรกอยู่ในนิยายวายได้อย่างกลมกล่อมไม่รู้สึกแปลกแยกเลย น่ารักมากกก ทั้งเรื่องอ่านแล้วรู้สึก slowlife ได้อย่างน่าอิจฉาเหลือเกิน ช่วงพาร์ทบีบหัวใจก็ทำเอาใจแกว่งไปด้วยจริงๆ  ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: DarkCat_BK ที่ 17-03-2018 01:09:19
เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ชอบมากค่ะ เราเป็นคนชอบนิยายยากมากก ภาษาดี อ่านไปคิดภาพตามออกเลยค่ะมีความสุขมาก><
พี่แก้วกัพ่อธีร์หวานเหลือเกินน แชมป์ก็รักพิกุลแบบไม่เกี่ยวกับเพศแม้ว่าจะเป็นชาย เป็นรักที่สวยงามทั้ง2คู่เลยค่ะ :o8: ไม่รู้ไปอยู่ไหนมาถึงได้มาเจอนิยายดีๆช้าขนาดนี้ ประทับใจมากค่ะ/// ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4: :pig4:
**จะมีรีปริ๊นมั้ยคะ อยากได้แบบรวมเล่มมากTT
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 10-06-2018 08:13:00
กว่าจะได้รักกันนี่ ต้องฝ่าอุปสรรคมากมายและเดินทางยาวนาน
ตอนพิเศษละเมียดละไมมาก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ji_tem22 ที่ 05-10-2018 15:34:40
เป้นนิยายที่ดีมากเลยอ่ะ..ถึงจะมาอ่านช้าแต่ก็รุ้สึกดีที่ได้อ่านมันคือดีมากๆอยากให้มีภาคสอง
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 06-10-2018 01:29:13
ได้กลับมาอ่านอีกรอบก็ยังคงยกให้เป็นนิยายอีกเรื่องในดวงใจเลย นับถือในพลังแห่งรักของคุณแก้วกับธีร์ ได้รักกันแล้วนะคะ  อยากอ่านตอนพิเศษเลย :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 23-12-2018 22:22:48
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ชอบอ่าน ที่ 20-04-2019 20:22:16
สนุกมาก อบอุ่นมากๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 03-05-2019 17:48:44
 :-[
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 11-05-2019 14:24:35
สนุกมากๆ ค่ะ
รักพี่แก้ว  :impress2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 12-05-2019 09:53:13
ขอบคุณค่ะ ภาษาสวยมากเลย ชอบมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 27-05-2019 17:45:09
ปรบมือให้ากเขียนเลยค่ะ เราชอบอ่านมากกกกกก สำนวนการเขียนแบบบเอาใจไปเล้ยยย รักกเป็นกำลังใจและสนับสนุนให้นีกเขียนนะคะ เราชอบแนวแบบนี้มากกกกหายากกว่าไรอื่น ให้หัวใจเลย :haun4: :impress2:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 25-12-2019 15:31:27
สุขใจมาก​ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ​ สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ​
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: กรุ๊ปเลือดวะวายยยย ที่ 18-05-2020 08:14:13
อยากให้ทำพาร์ทของแชมป์บ้าง ทำภาคสองต่อเลยก็ดีนะ :call:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 25-11-2020 16:23:57
 :z13:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nutanichar ที่ 10-12-2020 10:41:37
 :mew1: สนุกมากค่ะ เราเพิ่งเข้ามาอ่าน ขอโทษที่คอมเม้นตอนสุดท้าย คือมันดีมากกกกก รักคุณหลวง รักทุกตัวละคร ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nutanichar ที่ 10-12-2020 10:42:21
 :mew1: สนุกมากค่ะ เราเพิ่งเข้ามาอ่าน ขอโทษที่คอมเม้นตอนสุดท้าย คือมันดีมากกกกก รักคุณหลวง รักทุกตัวละคร ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 11-07-2021 17:10:57
รักเลยเรื่องนี้ ชอบอ่านแนวพิเรียด สงสารตอนที่ต้องจากลา ยินดีที่พี่แก้วและพ่อธีร์ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งสนุกมากค่ะขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายดีๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: ......The Timeless Tide......[[ยังไม่มีชื่อไทยจ้าาาา]]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 08-12-2021 18:10:24
เลวว่ะ ต่อต้านอาทั้งๆที่อาแสนจะรักจะดีด้วย แต่ทีกับแฟนผู้หญิงที่ไร้สาระ ตามใจมันเข้าไปถึงขนาดจะขาดสอบเพื่อพามันไปดูหนัง คนอย่างนี้ไม่สมควรมีความสุขในชีวิต
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 11-12-2021 23:12:10
โคตรชอบ รักนิยายเรื่องนี้มากครับ  ชอบจริงงๆๆ
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: momoo1108 ที่ 12-12-2021 18:36:05
อยากให้ทำเป็นซีรีย์เลยค่ะ  ชอบมากกกก
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...แจ้งข่าวอัพตอนต่อไปค่ะ...
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 14-12-2021 21:28:54
พ่อแม่บางคนมัวแต่ยึดติดกับประเพณีคลุมถุงชนจนลืมนึกถึงความสุขของคนสองคนที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันอีกนาน
ใช่ เหมือนคอกผสมพันธุ์สัตว์ แล้วแต่เจ้าของว่าอยากให้ตัวไหนคู่ไหนผสมพันธุ์กัน
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 13-03-2022 15:16:11
กลับมาอ่านอีกรอบเพราะความคิดถึง และยังคงประทับใจเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 21-04-2022 21:25:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 10-01-2024 22:48:55
ตามกลับมาอ่านจนได้คิดถึงพ่อธีร์ :กอด1: