อาเมนลงจากรถแวนสีขาวมุกคันหรูหลังจากที่มันจอดสนิทลงที่หน้าคฤหาสน์ใหญ่โต สถานที่ๆเขาเติบโตขึ้นมา หลังจากที่รถติดอยู่บนทางด่วนนานเกือบสองชั่วโมงในช่วงเวลาเร่งด่วนของกรุงเทพฯ นี่ขนาดทางด่วนยังทำเอาเขาประสาทจะเสียขนาดนี้ เขามองฟ้าสีส้มจางๆด้านนอก เขาเพิ่งเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯเมื่อบ่ายของวันนี้นี่เอง หลังจากที่ลูกน้องคนสนิทของเขารายงานเรื่องบางเรื่องที่ทำเอาใจเขาร้อนรนจนนั่งแทบไม่ติดตลอดวัน
เป็นเอกยืนรอเขาอยู่ที่บันไดหน้าบ้านเหมือนที่เขาคิด อาเมนยกมือห้ามปรามไม่ให้ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมากนัก เอาเข้าจริง จากการที่เขาจากกรุงเทพฯและบ้านหลังนี้ไปนานเกือบครึ่งปี อาเมนแทบจะจำชีวิตของเขา ณ ที่นี่แบบชัดเจนไม่ได้เลยสักนิด มันมีทั้งความทรงจำในวัยเยาว์ที่แสนสุข ในขณะเดียวกัน ความทรงจำอันแสนขื่นขมในที่แห่งนี้ก็ทำให้เขาอยากวิ่งหนี และเขาก็ทำ เขาออกวิ่งไปไกลแสนไกล ไร้แก่นสาร แทบลืมว่าตัวเองคือใคร สุดท้ายเชียงใหม่ก็ดึงเขากลับไป ที่ๆมีใครบางคนคือที่ๆเขาคิดว่าจะลงหลักปักฐาน เขามีความสุขกับชีวิตที่นั่นกับรอยยิ้มของใครบางคน แต่ดูเหมือนว่าอะไรๆจะดูไม่เข้ารูปเข้ารอยและฉุดเขากลับมาจนได้
“พ่อเป็นไงบ้าง" อาเมนเอ่ยถามเป็นเอกที่ก้าวเดินตามเขาแบบก้าวต่อก้าว "บอกอินทัชหรือยัง" เขาถามถึงน้องชายคนเดียวของเขา อินทัช น้องชายที่ครั้งหนึ่งในสมัยเยาว์วัย พวกเขาเคยสนิทสนมและเล่นหัวกันมาตลอด กระทั่งเติบโตขึ้น แน่นอน...อาเมนก็ยังเป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้ของน้องชายเสมอ เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งของจังหวะชีวิตเขาได้หลงผิด ทำตัวน่ารังเกียจ สร้างกำแพง สร้างอาเมนอีกคนขึ้นมาบดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
แต่กระนั้น...ไม่ว่าเมื่อไหร่ อินทัชก็ยังเป็นคนเดียวที่อาเมนห่วงใยตลอดเวลาจากหัวใจ...
อินทัชเคารพและรักอาเมนเหนือสิ่งอื่นใด อาเมนคือพี่ชายของเขา...และนั่นเป็นสิ่งที่อาเมนภูมิใจ จะว่าไปมันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขามีความสุขในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ก็เป็นไปได้
“ยังเลยครับ ผมรายงานคุณอาเมนคนแรก ยังไม่ได้บอกคุณอินเพราะไม่แน่ใจ"
“โอเค ยังไม่ต้องบอกอะไรอิน" อาเมนนิ่งคิด "หมอนั่นยังตั้งใจเรียนอยู่ อย่าเพิ่งลากมายุ่งอะไรวุ่นวายตรงนี้"
“ครับ"
อาเมนยังไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าการสละตำแหน่งผู้สืบทอดของเขา ทำให้อินทัชต้องขึ้นมาดำรงตำแหน่งต่อจากบิดา แต่ตอนนี้อาเมนชักไม่แน่ใจเท่าไหร่แล้ว...ว่าเขาสามารถที่จะหายตัวไป และปล่อยให้พ่อกับอินทัชดำเนินการเรื่องราวที่เหลือไว้เบื้องหลังได้หรือเปล่า
“คุณหมอนีน่ารออยู่ที่ห้องรับรองแล้วครับ" เป็นเอกว่า
“นีน่ารีบไหม ฉันขอเปลี่ยนชุดก่อน"
“เดี๋ยวผมเรียนคุณหมอเธอให้ครับ"
“อืม"
อาเมนทอดถอนหายใจ เขาก้าวเข้าไปในบ้าน มองบรรยากาศเย็นชาราวกับถูกแช่แข็งที่เขาเติบโตขึ้นมาตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ เขานึกรังเกียจมันขึ้นในใจ แต่กระนั้น...เขาในวันนี้ก็ช่างต่างจากเขาในวันวานมากนัก อาเมนรู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำอะไรที่เอาแต่ใจได้อีกแล้ว เขาต้องเรียนรู้ในการเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้องเรียนรู้เพื่อไม่ทำให้ใครต่อใครเจ็บปวดอีกครั้ง...
อาเมนขึ้นไปเปลี่ยนชุดในห้องนอน ข้าวของของเขายังถูกจัดเรียงอยู่ที่เดิม เช่นเดียวกับการทำความสะอาดที่ถูกทำเป็นประจำจนน่าแปลกใจ ราวกับว่ามันกำลังรอคอยใครกลับมาอยู่นั่นแหละ เขาเปลี่ยนเสื้อเชิ้ตกางเกงแสล็ค เป็นเสื้อยืดกับกางเกงผ้าธรรมดา ล้างหน้าล้างตาเอาความอิดโรยออกไปเสียหน่อย ในใจประหวัดคิดไปถึงใครบางคนที่เขาผลุนผลันออกมาโดยไม่ได้บอกกล่าวและไม่ได้แวะไปหาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเมษาจะโกรธอะไรเขาไหม
ไม่อยากให้เมษาโกรธ แต่ถ้าโกรธ เขาก็คงดีใจมากเหมือนกัน
มาเฟียหนุ่มก้าวลงจากบันไดก่อนเดินไปยังห้องรับรอง เมดสาวยืนถือถาดน้ำชาและของว่างทุลักทุเลอยู่ตรงหน้า เขาเอื้อมมือไปเปิดประตูให้ เธอผลกหัวขอบคุณ เขาได้แต่ส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร และนึกขำตัวเองว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงนึกว่าเธอช่างเกะกะเป็นแน่
ด้านในเป็นเอกนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งซ้าย ในขณะที่คุณหมอนีรนารถนั่งอยู่ที่โซฟากลาง เธอเป็นผู้หญิงรูปร่างปราดเปรียว ใบหน้ารูปไข่ได้รูปถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูคมน่าพิศ ผมสีเข้มถูกรวบตึงเป็นหางมาที่ช่วงบ่า เธอสวมชุดแคชชวลทับด้วยสูทร่วมสมัย รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าทันทีที่อาเมนเดินเข้าไปในห้อง
“อาร์ม!” เสียงหวานร้องทักเขา อาเมนยกมือตอบหน่อยๆ เขารู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียจากหลายๆปัญหา รวมถึงงานก่อสร้างที่เขากำลังดำเนินการอยู่
นีน่ากระเถิบตัวให้บนโซฟามีที่นั่ง เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของอาจารย์แพทย์นนทรี แพทย์ประจำตระกูลคนเก่าของครอบครัวเขา เขาและนีน่า รวมถึงอินทัชเติบโตมาพร้อมกัน นีน่ารู้จักเขาดี ไม่ว่าอาเมนจะเป็นคนแบบไหน นีน่ารู้ทั้งหมดว่าตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่มเป็นเช่นไร ปัจจุบันคุณอาหมอนนทรีปลดเกษียณ นีน่าซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณอาหมอจึงรับช่วงต่อในฐานะแพทย์ประจำตระกูลของเขา
“หวัดดีนีน่า" อาเมนยกยิ้มเล็กๆ
“อาร์มเพิ่งมาถึงเหรอ หน้าตาดูเหนื่อยมากเลย" นีน่าเรียกเขาว่าอาร์ม ชื่อเล่นของเขาที่น้อยคนนักจะรู้ และเขาไม่เคยบอกใคร มันน่าตลกจะตายไป
“อืม...เพิ่มลงเครื่องน่ะ ดีเลย์ด้วย นีน่ารอนานไหม"
“สักชั่วโมงสองชั่วโมงน่ะ แต่ไม่เป็นไร เราไม่มีงานต่อหรอก" นีน่าเจื้อยแจ้ว "อาร์มเถอะ ไม่ได้เจอเลย แค่เฟซไทม์มันไม่พอหรอกนะ ทำให้เรากับอินเป็นห่วงอยู่ได้" นีน่าตัดพ้อ อาเมนได้แต่แสร้งหัวเราะแก้เก้อไปงั้น
เอาจริงๆเขาก็ดีใจกับการมีนีน่าและอินทัชอยู่ในชีวิตเขา เพราะอย่างน้อย สองคนนี้คือสิ่งยืนยันเดียวว่าเขาคือสิ่งที่มีชีวิต...และเขามีชีวิต
“เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกันไหมล่ะ" อาเมนเลิกคิ้ว
“เอาสิ แต่เดี๋ยวคุยกันก่อนนะ" นีน่าพยักหน้ารับ ก่อนที่เธอจะปรับโหมดเป็นจริงจังขึ้นมา
คุณหมอสาวนั่งประจันหน้ากับอาเมน สีหน้าเธอติดกังวลแปลกๆ แต่กระนั้นเธอก็พยายามทำใจดีสู้เสือเพื่อที่จะบอกกล่าวในสิ่งที่เธอตรวจพบ และเพื่อเป็นกำลังใจให้อาเมนด้วยกำลังของเธอเอง นีน่ารู้ดีว่าเพื่อนของเธอแม้ว่าจะดูแข็งกระด้างมากแค่ไหน แต่กับคนที่เขาห่วงใย อาร์มของเธอจะอ่อนแอมากเป็นพิเศษ มากกว่าที่ใครจะคาดคิดได้
“อาร์ม อย่าตกใจนะ" นีน่ากุมมืออาเมนเอาไว้
อาเมนถอนหายใจเบาๆ แล้วพยักหน้า
“นีน่าบอกเราเถอะ"
“ภาวะหัวใจล้มเหลว" คุณหมอคนสวยเม้มปากแน่น "คุณลุงหัวใจวายเมื่อคืนก่อนนี้...อาร์มรู้ใช่ไหม"
“อืม...”
“โชคดีที่ส่งโรงพยาบาลทันและปั๊มหัวใจกลับขึ้นมาได้ แต่มันไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้วอาร์ม ด้วยอายุของคุณลุงด้วย ด้วยความเสี่ยงที่เราตรวจพบด้วย คุณลุงจะเจอสภาวะเครียดไม่ได้อีกแล้ว อาการจะกำเริบเมื่อไหร่ก็ได้"
“......” อาเมนนิ่งอึ้ง เขาพอจะรับรู้มาบ้างจากเป็นเอก แต่พอได้ฟังจากปากนีน่าเอง หัวใจเขากลับเต้นแรงมากขึ้นไปอีก
“นีน่าไม่อยากให้คุณลุงทำงานอีกแล้ว"
“......” อาเมนจ้องหน้านีน่านิ่ง รู้ดีว่าเธอจะพูดอะไรต่อไป
“อาร์มกลับมาได้ไหม กลับมาทำงาน มาสานต่อเหมือนที่เคยทำ"
“อาร์มคือความหวังของคุณลุงนะ อาร์มกลับมาเถอะ" นีน่าน้ำตาคลอ "คุณลุงก็คิดถึงอาร์ม ถึงคุณลุงจะแข็งไปบ้าง แต่เขาก็รักอาร์ม อาร์มก็รู้ดีนี่"
“......”
“กลับมาเถอะนะ...อย่าจากไปไหนแล้วต้องมานั่งรอฟังข่าวจากที่ไกลๆเลยนะ คนเราน่ะ เวลามีไม่มากหรอก อาร์มจะนึกเสียใจทีหลังนะ"
มาเฟียหนุ่มหลุบตานิ่ง นีน่าพูดถูกทุกคำพูด อาเมนเองก็ปฏิเสธไม่ออก เขาถึงได้แต่นั่งเงียบเช่นนี้ แต่กระนั้นก็เถอะ...เขากลับโหยหาที่ห่างไกลที่ว่ามากกว่า หนีไปไกลๆ กับอ้อมกอดอุ่นๆและรอยยิ้มของใครบางคน ที่ต่อชีวิตของเขาให้ยังมีความหมายชนิดวันต่อวัน
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เมษากลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเขาได้มากเช่นนี้
“ขอบใจมากนะนีน่า ถ้าไม่มีนีน่าคงแย่น่าดู" อาเมนยิ้มบางๆ
“อาร์มเถอะ หนีนีน่าไปตั้งนาน แถมยังไม่ยอมบอกอีกว่าไปอยู่ที่ไหน" นีน่าโอด
“โธ่...ระดับนีน่า ถ้าจะตามหาเรา นีน่าเจอตั้งแต่วันแรกแล้ว"
คุณหมอสาวได้แต่ยิ้มเผล่
“ก็นะ...ถ้าอาร์มไม่อยากรู้ นีน่าก็ไม่อยากเจ๋อหรอก" เธอว่า "ว่าแต่อาร์ม...มีแฟนยังเนี่ย ไม่ใช่! เอาใหม่ คนแบบอาร์มน่ะ แฟนคงไร้สาระใ่ช่ไหมล่ะ"
อาเมนหัวเราะหึ
“แต่หนีออกไปท่องโลกตั้งนาน อาร์มต้องถูกใจใครมาบ้างแหละ" นีน่าชี้หน้าเพื่อนรักอย่างคาดโทษ
อาเมนหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหัว
“ไม่มีได้ยังไง!” นีน่าฮึดฮัด
“เปล่าสักหน่อย" อาเมนยิ้ม "ก็มี...”
“เหรอ" หญิงสาวตาลุกวาว "น่ารักไหมอาร์ม!? เป็นคนยังไง อาร์มชอบคนแบบไหนนีน่ายังนึกไม่ออกเลยอ่ะ อยากเจอจังเลย แล้ว---”
“เป็นคนน่ารักมากเลยล่ะนีน่า"
“จริงเหรอ?” นีน่าอมยิ้ม มองหน้าเพื่อนแล้วก็รู้ว่าพูดจริง "เสือยิ้มยากแบบอาร์มนีน่าเดาไม่ถูกเลย"
“แต่เขายังตอบรับเราครึ่งๆกลางๆอยู่" อาเมนบอกไปตามจริง "ถ้าเขามั่นใจในตัวเราแล้ว เราจะพานีน่าไปเจอนะ"
“โห...พูดงี้ยิ่งอยากรู้" นีน่าโอด "เอาเถอะ ไปกินข้าวกันเถอะอาร์ม นีน่ามีเรื่องจะคุยกับอาร์มเยอะแยะเลย"
“เอาสิ...งั้นเดี๋ยวเราขับรถไปให้ไหมนีน่า"
“ได้เลย นีน่าจอดรถทิ้งไว้ที่บ้านอาร์มแหละ"
ทั้งคู่ตกลงปลงใจที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในซอยทองหล่อสำหรับมื้อเย็น หลังจากรับประทานอาหารร่วมกับบทสนทนาดีๆร่วมกันแล้ว อาเมนจึงขับรถกลับบ้าน จากนั้นจึงร่ำลานีน่าและรอจนเมอร์ซีเดส เบนซ์คันหรูของคุณหมอคนเก่งเคลื่อนออกไปจากรั้วบ้าน จากนั้นเขาจึงเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ชายหนุ่มล้วงกระเป๋า แหงนหน้ามองไปบนฟ้า แล้วถอนหายใจเบาๆ
“เอก ไปพักผ่อนได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะแวะไปดูอาหารพ่อ แล้วจะเข้านอนแล้วเหมือนกัน" อาเมนว่าเรียบๆกับลูกน้องตนเองเช่นนั้น ก่อนที่เขาจะสาวเท้าเข้าไปในบ้าน
ชายหนุ่มค่อยๆเดินขึ้นบันไดด้วยอาการคิดไม่ตก เขาหยุดยืนอยู่ตรงพื้นที่ชานพักชั้นสอง ไฟในบ้านค่อยๆหรี่สลัวเนื่องจากเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกแล้ว เขามองไปรอบๆ ก่อนตัดสินใจที่จะไม่เดินไปยังปีซ้ายซึ่งเป็นห้องนอนของเขา แต่เดินไปยังปีกขวาซึ่งเป็นห้องนอนของบิดาแทน
อาเมนพยักหน้ารับบอร์ดี้การ์ดของบิดาที่โค้งทักทายจนลำตัวขนานกับพื้น เขาค่อยๆเปิดประตูออกอย่างเบามือ ภายในห้องนอนนั้น นางพยาบาลสาวนั่งเฝ้าอยู่ที่โซฟาตรงมุมห้อง เธอรีบลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้อาเมนอย่างกริ่งเกรง เขาถอนหายใจเบาๆแล้วส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร ก่อนที่จะสาวเท้าไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียง
ภายในห้องไม่ได้มืดสนิทนัก มีแสงไฟสลัวจากโคมไฟ รอบเตียงมีเครื่องมือทางการแพทย์อะไรหลายอย่างที่อาเมนไม่รู้จัก บิดาของเขาหลับสนิทอยู่บนเตียงกว้าง ใบหน้าของชายชราดูซูบโทรมไปถนัดตา ดูไม่เหมือนเจ้าพ่อธุรกิจขนส่งผู้ซึ่งน่ายำเกรงเสมอ เขาเองก็แทบจำไม่ได้กับภาพของบิดาที่ผอมและอ่อนเพลียเช่นนี้
ความรู้สึกบางอย่างจุกขึ้นมาจนอาเมนเกือบจะเบือนหน้าหนี เขาทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงข้างเตียง ฝ่ามือหนาค่อยๆเอื้อมสัมผัสฝ่ามือของบิดา ฝ่ามือเหี่ยวกร้านเย็นเฉียบ เขานึกสะท้อนอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้ปริปากอะไรออกไป
เขานั่งอยู่เช่นนั้นจนฝ่าเท้าชาแทบไม่รู้สึก อาเมนนิ่ง...คิด...แล้วสุดท้ายจึงลุกขึ้นช้าๆ เขาไม่ได้กำชับอะไรนางพยาบาลที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแลพ่อของเขา เขาคิดว่าในระยะเวลาอีกไม่กี่วัน บิดาก็คงจะแข็งแรงดังเดิม แต่อาการก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป หัวใจวายเฉียบพลัน...ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ไม่มีใคร...แม้กระทั่งพ่อ ที่จะรู้ว่าอาการมันจะมาเมื่อไหร่...
อาเมนปิดประตูลง เขาเอนแผ่นหลังพิงประตูห้อง และถอนหายใจอย่างอ่อนแรง
ในฝ่ามือหนามีกระป๋องเบียร์ยี่ห้อดัง บุหรี่มวนแล้วมวนเหล้าถูกจุดขึ้นสูบ ชายหนุ่มเจ้าของห้องนอนนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย หลังจากหมดเบียร์ไปสองกระป๋อง เขาเริ่มรู้สึกมึนนิดหน่อยจึงคิดจะลุกไปอาบน้ำเข้านอน แต่กระนั้น เขาก็ยังบังคับตัวเองไม่ได้เสียที จึงทำได้เพียงแค่เลื่อนนิ้วไล่ไปตามหน้าจอไอโฟน มองดูรายชื่อคนสองคนสลับกันไปมา...
อินทัช
เมษา
อาเมนหลุดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าวันนี้เขาถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้ง ไม่ได้นับเลยด้วยซ้ำ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ชายหนุ่มจ้องเหม่อลอยไปยังจุดดวงไฟในที่ไกลๆ นึกอยากจะหนีและออกเดินทางอีกรอบ แต่เขาคงไม่มีโอกาสที่จะทำมันได้อีกแล้ว
สุดท้ายเขาจึงกดโทรออกหาน้องชายที่อยู่คนละซีกโลก...
อาเมนรอจนกระทั่งสัญญาณเกือบจะดับไป แต่ในจังหวะนั้นเองอินทัชก็รับโทรศัพท์ด้วยเสียงงัวเงีย อาเมนเอ่ยทักทายน้อง พร้อมกับที่เขาได้ยินเสียงตุบตับของอะไรบางอย่าง พร้อมกับเสียงหวานของแหม่มสาวคนหนึ่งดังลอดมาจากกระบอกโทรศัพท์
“นี่มึงเพิ่งตื่นเหรอ?” อาเมนถามปลายสาย เขาได้ยินเสียงหาววอดของน้องชาย ที่นั่นจะเที่ยงวันอยู่แล้วให้ตายเถอะ
(ฮ้าวว...พี่อาร์มเหรอ)
“เออสิ" เขาแค่นยิ้ม ไม่ได้นึกจะว่าอะไรอินทัชมันหรอก "กูโทรมาเช็คมึงเฉยๆว่าตายยัง"
(โหย พี่อาร์ม อะไรวะ...) อินทัชโอดมาตามสาย (มาแช่งคนเขาเฉย อินสบายดีเว้ย)
“กูนึกว่าติดโรคตายไปแล้ว นี่ทำไมมึงเพิ่งตื่น" เขาได้ยินเสียงหัวเราะของน้องชายดังมาตามสายพร้อมกับเสียงเลื่อนประตูครืดคราด
(วันนี้ไม่มีเรียนน่ะพี่อาร์ม เมื่อคืนอินไปปาร์ตี้มา กลับมาก็เกือบเช้าแล้ว เหนื่อยเป็นบ้า)
“ระวังตัวด้วยล่ะมึง" อาเมนจุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นสูบ
(ไม่ต้องห่วงพี่ วันก่อนเพิ่งซื้อถุงยางมาโหลหนึ่ง) ไอ้อินหัวเราะอย่างนึกชอบใจมาตามสาย นั่นทำให้อาเมนนึกถึงเขาในสมัยเรียนอยู่ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกภาพตัวเองเป็นคนเช่นนี้ไม่ออก อินทัชไม่ค่อยมีอะไรเหมือนเขาหรอก ในขณะที่เขาทำตัววางมาดไปวันๆ อินทัชเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นๆได้ง่ายๆไม่ว่าจะฐานะอะไร เพศไหน อายุเท่าไหร่ มันเป็นเด็กห่ามๆที่มีจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างเหลือเชื่อ ครึ่งหนึ่งมันเคยช่วยเหมาซื้อของคุณยายที่นั่งขายของบนสะพานลอยแถวสีลม ช่วงนั้นมันเพิ่งกลับมาจากอเมริกา เป็นช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ของมันพอดี วันนั้นมันกลับมาบ้านแล้วมาร้องห่มร้องไห้กับเขา นึกสงสารคนที่ด้อยโอกาสกว่าตนเองเสมอ... (ว่าแต่โทรมามีเรื่องอะไรด่วนเปล่าพี่อาร์ม หรือคิดถึงอิน) อินทัชหัวเราะคิกคัก
“ส้นตีนเหอะ" อาเมนกระตุกยิ้ม
(แหนะๆ คิดถึงอินแน่เลย) อินทัชเย้ามาตามสาย (เห้ย แต่อินคิดถึงพี่อาร์มนะ นี่พี่อาร์มกลับมาทำงานยัง)
“ยัง" อาเมนตอบไปตามตรง
(งั้นมาหาอินที่นี่หน่อยดิ คิดถึงพี่อาร์มว่ะ แพ็คมาม่ามาให้ด้วยลังหนึ่ง)
“เดี๋ยวกูจะกลับไปทำงานแล้ว"
(มาหาก่อนเด้)
“ไม่ได้แล้วว่ะ กูเกเรมานานแล้ว สงสารพ่อ" อาเมนถอนหายใจ "ว่าแต่มึงเหอะ...”
(อะไรพี่?)
“อีกกี่ปีจบวะ" อาเมนถาม ว่าพลางสูบบุหรี่เข้าไปคำใหญ่
(ปี...ไม่ดิ เหลืออีกสองเทอมเองนี่หว่า นี่จะจบแล้ว)
“เออ...ดี รีบๆกลับมานะ จะได้มาทำงาน"
(พี่อาร์มก็ทำอยู่ อินไม่รีบหรอก) ฝ่ายน้องตอบปัด อาเมนคิ้วกระตุก
“กวนตีนแล้วมึง"
(อ้าว...ก็อาร์มยังอยากไปภาษาอยู่เลย)
“ภาษาสเปนน่ะนะ" อาเมนถามกลับ
(อืม)
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจออกมาโดยไร้คำพูด
“งั้นก็เรียนเถอะ แต่อย่าทิ้งเวลาไปมากนัก กูก็ไม่ได้จะทำที่นี่ให้ตลอดไปนะอิน"
(อะไรของพี่อาร์มน่ะ พูดเหมือนว่าจะไม่รับช่วงต่อจากพ่อซะงั้น) อินทัชถามด้วยเสียงแปลกใจ
“ก็ว่าจะอย่างนั้น" อาเมนบอกออกไปในที่สุด
อินทัชยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกมาก ที่แน่ๆคือน้องชายของเขายังไม่รู้ว่าเขาหนีไปเชียงใหม่เป็นเดือนๆ ไม่ติดต่อที่บ้าน นีน่าเองแม้จะติดต่อกับอินทัชอยู่เป็นระยะๆ แต่เธอก็ไม่ได้เล่าเรื่องเหล่านี้ เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่ควรพูดไหม มันเป็นเรื่องในครอบครัวของอาเมน อีกอย่าง...ถ้าเด็กอย่างอินทัชรู้เรื่องนี้เข้า มีแต่จะบินกลับมาตามหาพี่ชายไม่เป็นอันเรียนแน่นอน
สิ่งที่อินทัชเข้าใจนั่นมีเพียงแค่พี่ชายตนเองลาพักร้อนไปต่างแดนเป็นเดือนๆ ปัจจุบันก็ยังสานงานบริษัทต่ออยู่ดี
“บริษัทเป็นของมึงนะอิน" อาเมนว่า ปลายสายเงียบ เขาก็เงียบเช่นกัน
(...พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยพี่อาร์ม) น้ำเสียงอินทัชแปร่งปร่า (มันเป็นของพี่อาร์มต่างหาก ที่พูดเนี่ย อินไม่ได้อิจฉาหรือจะตัดพ้อน้อยใจพ่อหรอกนะ)
(แต่มันเป็นของพี่อาร์มมาตลอด พี่อาร์มก็รู้ เรารู้กันอยู่แล้ว)
“มันเป็นของมึงด้วยอิน"
(ก็ใช่) อินทัชไม่ปฏิเสธ (แต่อินทำคนเดียวทั้งหมดไม่ได้หรอกถ้าไม่มีพี่อาร์ม อินไม่ได้อยากจะทำมันสักหน่อย)
(พูดง่ายๆคืออินไม่ได้มีแพสชั่นกับงานสายนี้ขนาดนั้นหรอกนะ)
อาเมนได้ยินเสียงน้องชายถอนหายใจเบาๆ
“...แต่มึงคงต้องทำนะอิน"
(จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็คงอีกนาน อินไม่กลับไปตอนนี้หรอก แล้วถ้าไม่ใช่พี่อาร์มแล้วใครจะช่วยพ่อล่ะ) คำถามของน้องชายทำให้อาเมนชะงักงัน (พี่อาร์ม อินบอกตรงๆนะ อินไม่ใช่ลูกรักพ่อ พี่อาร์มก็รู้ดี ใครๆก็รู้ดี พี่เป็นเอกก็รู้ พี่นีน่าก็รู้ ป้ามลก็รู้...เขารู้กันทั้งบ้าน ทั้งบริษัท)
(คนที่พ่อหวัง คนที่พ่ออยากจะฝากทุกอย่างไว้ ก็มีแต่พี่อาร์มนั่นแหละ)
พวกเขาเงียบใส่กันอีกครั้ง อาเมนตระหนักรู้ดีในเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ และเพราะไอ้ความคาดหวังบ้าๆนี่แหละ ทำให้เขาต้องทำเรื่องเลวร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้...เขาก็แค่ต้องการจะถอยตัวเองห่างออกมาเสียมากกว่า...
“แต่ถึงอย่างนั้น มึงก็ต้องกลับมา แต่ระหว่างนั้นกูจะดูแลมันให้"
(พี่อาร์มแปลกๆนะว้อย อินกลัวนะ) น้องชายทำเสียงขนลุก (นี่ไปเจออะไรกระแทกหัวมาหรือเปล่า หรือ......)
“อะไร" อาเมนขมวดคิ้ว
(เออ ช่างเหอะ...ยังไงอินคงไม่กลับไปปีหน้าหรอกนะพี่อาร์ม)
อาเมนขยี้บุหรี่ดับลง เขาไม่เคยคิดจะบังคับใจน้องชายอยู่แล้ว...สักครั้งนั่นแหละ "เออ เรื่องของมึง ตั้งใจเรียนแล้วกัน กูรอไปรับปริญญามึงอยู่นะเว้ย"
“ไม่ต้องห่วงน่าพี่อาร์ม--- เห้ย อินต้องไปแล้ว มีคนมาหาที่ห้อง ไว้เดี๋ยวคุยกันนะพี่"
(อืม)
หลังจากที่น้องชายกดตัดสาย อาเมนได้แต่นั่งจ้องเบอร์โทรศัพท์ของคนบางคนเงียบๆอยู่อีกนานหลายนาที เขาร่ำจะกดโทรออกไปหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้าย...ก็ทำได้แค่ปิดหน้าจอลง เพราะเขาจนคำพูด และไม่รู้จริงๆว่าจะพูดอะไรดีกับเมษาตอนนี้
อนาคตของเขาอยู่ตรงหน้า หลีกหนีไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่อาเมนรู้สึกกลัว เขาอ่อนแอเหลือเกิน
ชายหนุ่มได้แต่ซบหน้าลงกับฝ่ามือ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาสาบานว่าจะไม่มีอะไรเริ่มต้น เขาจะไม่ทำให้เมษาต้องเสียใจด้วยการต้องรู้จักคนแบบเขา พวกเขาจะไม่มีวันรู้จักกัน แต่ก็แค่นั้น เพราะเวลาไม่เคยย้อนกลับไปได้ และมันไม่เคยมีจริง และตอนนี้...
เขาเจ็บปวดเหลือเกิน
tbc.
อีกสองตอนก็จะจบบริบูรณ์แล้วนะคะ จากนั้นจะมีตอนพิเศษอีกสองตอน ซึ่งยังไม่แน่ใจจะลงในบอร์ดไหม อาจจะลง1ตอนนะคะ แต่ขอเป็นช่วงหลังจากนี้ไปหน่อย
หลังจากลงSide Story ชุดนี้จบ จะขอหายตัวไปสักพักนะคะ สะสางหนังสือ ตอนนี้กำหนดการจัดส่งยังเหมือนเดิมคือราว1เดือนหลังปิดโอนนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไรจะแจ้งแต่เนิ่นๆไม่ต้องกังวลนะคะ ยังไงตอนนี้เนื้อหาก็เกือบครบกระบวนความแล้ว เหลือไม่ถึง 10% เท่านั้น ส่วนปกพี่กราฟิกจะส่งมาแบบสมบูรณ์คืนนี้ เดี๋ยวเอามาให้ดูกันเน้อ
หนังสือโอนได้ถึงวันที่ 29 กันยายน 2557 นี้นะคะ ใครมีปัญหาโอนไม่ได้ในระยะกำหนดติดต่อทางแฟนเพจเพื่อแจ้งได้ค่ะ ถ้ามีเหตุผลจริงๆจะอนุโลมให้โอนเลทได้นะคะ นิยายชุดนี้ ล่ารักหัวใจมาเฟีย คงไม่ได้วางขายที่ไหนนะคะ เป็นความตั้งใจของไคลี่เองที่จะทำเองและเก็บไว้เป็นความทรงจำด้วยตนเอง
ใครสนใจหนังสือ สามารถดูรายละเอียดการโอนเงินได้ที่
https://www.facebook.com/notes/kyliewonderland01/detail01/295470910630051 หรือจะลิ้งค์นี้ก็ได้นะคะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43505.0ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ พอหนังสือเสร็จ น่าจะมีเวลาเขียนเรื่องใหม่แล้วล่ะค่ะ ขอรวบรวมวัตถุดิบทางความคิดแล้วเจอกันนะคะ
ปล. ส่วน รักชาชา ที่มีคนถามมา คิดว่าคงทำหนังสือโดยให้ สนพ. จัดการน่ะค่ะ เดี๋ยวว่ากันอีกทีนะจ๊ะ