B.L.O.O.D.L.I.N.E
SEVENTEEN
เอเดนปิดตาแต่ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้หลับ ผมเดาว่าเขาหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม ผมดูและปฏิบัติต่อเขาเหมือนที่ทำให้โยชิ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาหรือน่าลำบากใจเพราะเขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันผม อาจจะเหนื่อยหน่อยตรงที่ต้องออกแรงยกแขนขาและพลิกตัวเอเดนเนื่องจากเขาตัวใหญ่กว่าโยชิและผมมาโข
หลังจากที่จับคนป่วยกินข้าวกินยาและเช็ดตัวต่อด้วยการใส่เสื้อผ้าเสร็จความอ่อนล้าก็เข้าเล่นงานผม คืนนี้ผมคงต้องอยู่เฝ้าเอเดน ยังไงก็คนรู้จักกันไว้ ไม่เหนือบ่ากว่าแรกก็ช่วยกันไป
“คุณนอนไปเลยแล้วกัน ผมจะลงไปเอาเสื้อผ้าในรถ” ผมหมุนตัวเตรียมเดินไปที่ประตู แต่นึกบางเรื่องขึ้นมาได้เสียก่อนจึงหันหลับไปมองเอเดนที่ลืมตาแล้ว “คุณจะให้ผมนอนที่ไหน”
“ที่นี่ ห้องของฉัน”
ผมมองรอบห้องอีกครั้งแล้วหยุดสายตาที่โซฟาตัวยาว น่าจะพอเป็นที่นอนให้ผมได้ในคืนนี้
“ได้” ผมตอบรับ จากนั้นก็ลงไปเอาเสื้อผ้าที่มีติดรถไว้ยามฉุกเฉิน
คืนนี้คงไม่มีทางเลือกอื่น ผมโทรไปบอกพ่อตั้งแต่ตอนเย็นแล้วว่าจะค้างบ้านเพื่อน พรุ่งนี้ถึงจะกลับ ก่อนจะโทรไปบอกคนงานที่ไร่ว่าให้แจ้งแขกที่มาคุยธุระว่าผมไม่สามารถกลับไปคุยธุระได้ ถ้าสนใจก็ขอให้ค้างที่ไร่สักคืนสองคืนโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
เอเดนกลับไปแล้วตอนที่ผมกลับขึ้นมาบนห้องนอนของเขาอีกครั้ง ผมใช้ห้องน้ำของเขาโดยคิดว่าไม่จำเป็นต้องขออนุญาต
เหนื่อยมาตั้งแต่เมื่อคืนวานที่ขับรถมากรุงเทพ ไหนจะวันนี้ทั้งวัน ผมเพลียเกินกว่าที่จะคิดอะไร ช่วงจังหวะที่กำลังเคลิ้มหลับ อีกคนที่อยู่ร่วมห้องก็ส่งเสียงเรียก ผมปรือตาขึ้นช้าๆ เอียงหน้ามองคนบนเตียง
“ผมคิดว่าคุณหลับไปแล้ว” ผมพูด
“ผมนอนไม่หลับ” เขาว่า ผมถอนหายใจแผ่วเบา เขานอนไม่หลับ แต่ผมอยากหลับจะแย่
เอเดนสบตาผมผ่านความมืด ความอ้างว้างเด็ดเดียวจากดวงตาคู่นั้นหมายถึงอะไร
“คุยเป็นเพื่อนผมสักครู่หน่อยสิ”
คิ้วของผมขมวดด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “ผมง่วงนะคุณ จะมาคุยอะไรกันป่านนี้”
“ขอสักสิบนาที” เขาพูดนิ่งๆ น้ำเสียงดื้อดึง ผมกรอกตามองเพดานด้วยความเซ็ง เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเขาควรจะให้ผมได้พักผ่อนบ้าง
“ร้านของคุณเป็นแบบไหน” ผมถามออกไปในที่สุด
เขาคิดก่อนจะตอบ “เป็นร้านสองชั้น เน้นขายไวน์ที่สั่งมาจากทั่วโลกและกำลังจะมีไวน์ของไร่คุณไปอยู่ที่ร้านของผม มีอาหารเสิร์ฟตามแต่ชนิดไวน์ที่สั่ง ร้านสองชั้นขนาดสองบล็อก อยู่ใจกลางกรุงนิวยอร์ค ร้านเปิดเฉพาะช่วงเย็น ลูกค้าที่มาจะต้องโทรจองคิวล่วงหน้า เพราะร้านของผมคิวแน่นยาว”
“ไม่เลวเลย ถ้ามีโอกาสผมอยากไปชิมไวน์ที่ร้านของคุณดูสักครั้ง”
“ไม่เลวงั้นเหรอ?” เขาเลิกคิ้วสูง ตวัดตาจ้องผมคล้ายไม่พอใจ “ร้านผมน่ะเจ๋งที่สุดในนิวยอร์ค ผมใช้เวลาเพียงแค่ห้าปีเท่านั้น ร้านผมก็ขึ้นสู่อันดับหนึ่งร้านไวน์ที่ดีที่สุด มีแต่พวกคนร่ำรวยแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ตอนนี้ผมมีสาขาอยู่สิบสามสาขาทั่วอเมริกา คุณใช้คำดูถูกผมไปหน่อยมั้ง” เขาฉุนขาด ในขณะที่ผมงงว่าตัวเองทำอะไรผิด
“อ่อ ผมขอโทษแล้วกันที่ไม่รู้ว่าร้านของคุณมันสุดยอดแค่ไหน ถ้าคุณพูดพอแล้วผมขอตัวนอนนะ เหนื่อย!” ผมอารมณ์เสียกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของผู้ชายคนนี้ ผมไม่ใช่คนสุภาพนักหรอกถ้าเกิดว่าโมโหแบบสุดๆ ผมก็ผู้ชายคนหนึ่ง เลือดร้อนและแข็งกระด้าง แต่ที่ไม่เคยแสดงออกเพราะวันๆผมอยู่แต่กับครอบครัว ผมอยากเป็นพี่ที่แสนอบอุ่นให้โยชิและเป็นลูกที่ดีของพ่อ เพราะฉะนั้นผมถึงได้พยายามควบคุมตัวเองให้เป็นคนสงบนิ่งและอ่อนโยน
แต่เอเดนกำลังปลุกอีกด้านผมขึ้นมาในทุกๆครั้งที่เราพูดคุยกันเพราะนิสัยแปลกๆขวางหูขวางตาของเขา มันทำให้ผมหงุดหงิดจริงๆเหอะให้ตาย
“คุณทำไร่มากี่ปีแล้ว”
ผมผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างโมโห “คุณต้องการอะไรกันแน่ ผมขอนอนดีๆไม่ได้หรือไง”
“ผมแค่อยากได้เพื่อนคุย” เอเดนพูดหน้าตาย ปรับอารมณ์เร็วยิ่งกว่าสายลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง เขาไม่มีทางหายป่วยในเร็ววันนี้ถ้าหากยังคิดที่จะเปิดหน้าต่างตอนนอน ผมกระแทกตัวนอนลง สองมือใช้หนุนศีรษะ
“โอเค เมื่อกี้คุณถามว่าอะไร” คุยให้มันจบๆไป ถ้าผมทนไม่ไหวเมื่อไหร่ก็แค่หลับหนีการสนทนาไปเท่านั้น ไม่เห็นยาก
“ผมถามว่าคุณทำไร่มากี่ปี”
“หมายถึงอายุไร่หรือจำนวนปีที่ผมเริ่มทำงานในไร่”
“ทั้งสองก็ได้”
“ถ้าไร่ก็ประมาณเจ็ดแปดปีได้ ผมยังจำตอนที่พ่อเริ่มทำไร่ใหม่ๆได้ ผมช่วยพ่อตั้งแต่ถากดินถางหญ้า และไม่อีกปีต่อมาตอนที่ไร่เป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์โยชิก็เกิด”
ผมหยุดช่วงเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น ผมได้น้องชายที่น่ารักน่าเอ็นดู แต่ต้องเสียแม่ไปเพราะร่างกายอ่อนแอระหว่างที่คลอดโยชิ ผมแย่ที่เคยคิดว่าเพราะน้องแม่ถึงต้องจากไป แต่พ่อก็พูดให้ผมได้เข้าใจ พ่อว่าโยชิไม่ผิด ไม่มีใครผิด ไม่ช้าไม่นานคนเราก็ต้องตายทุกคนเป็นสัจธรรมที่เลี่ยงไม่ได้ เมื่อแม่จากไปแล้ว เราอาจจะเสียใจ แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือเราต้องคิดถึงความทรงจำดีๆเกี่ยวกับแม่เอาไว้และมีความสุขกับมันเพื่อที่แม่จะไม่ต้องเป็นกังวล ยังไงแม่ก็อยู่กับเราเสมอ อยู่ในใจ
ผมโชคดี พ่อว่าอย่างนั้น เพราะผมมีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ จำได้ว่าแม่ป้อนข้าวป้อนยา อาบน้ำให้ผม กอดผมแน่นเวลาผมร้องไห้หรือมีเรื่องเสียใจ แม่ดูแลผมดี วันเกิดแม่ก็จะถือเค้กมาให้ผม แต่กับโยชิ น้องไม่มีวันที่จะมีความทรงจำเหล่านั้นกับแม่ได้ เพราะอย่างนั้นน้องน่าสงสารที่สุด ตั้งแต่นั้นมา พ่อกับผมต่างก็มอบความรักดูแลเอาใจใส่โยชิให้มากที่สุดจะได้ทดแทนในส่วนที่แม่
“ตอนนั้นคุณอายุเท่าไหร่”
ผมหลุดจากภวังค์ “คุณว่าไงนะ”
“ผมถามว่าตอนที่คุณเริ่มถางหญ้าน่ะอายุเท่าไหร่”
ตอนนี้ผมยี่สิบหก ตอนนั้นก็คงสัก “อ่อ ก็น่าจะสักแปดหรือไม่ก็เก้าขวบ ผมไม่แน่ใจ ฮาวววว” ผมอ้าปากหาวเบาๆ
“ถ้าผ่านมานานขนาดนี้ ไร่คุณควรจะก้าวหน้ากว่าที่เป็น” เอเดนกำลังวิจารณ์คิดรู้สึกอย่างนั้น
“ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันควรจะต้องก้าวหน้ามากขนาดไหน จะต้องเป็นที่หนึ่งในประเทศไหม...”
“ใช่ มันควรต้องเป็นอย่างนั้น หรือไม่ก็ ถ้าเป็นผม ไร่ของคุณดังไปไกลถึงต่างประเทศแล้ว” เขาเอ่ยขัดได้อย่างไร้มารยาท และนั้นเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาจะได้พูดในค่ำคืนนี้
“นั่นมันก็เรื่องของคุณ แต่สำหรับผมแล้ว ผมพอใจที่เราเป็นอยู่กันแค่นี้ เติบโตแค่นี้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตผมกับคนในครอบครัวไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าไร่เราไปไกลได้แค่ไหน แต่สำคัญที่ว่าเรามีความสุขกับมันมากขนาดไหนต่างหาก คุณอาจจะเป็นคนที่ต้องการเป็นที่หนึ่ง ยิ่งใหญ่ ก้าวหน้าเหนือใครๆ แต่อย่าเอาความคิดของคุณมาวัดความสุขของผม ถ้าคุณทำแบบนั้นแล้วมีความสุขก็ทำไป ความสุขกับการที่ต้องแข่งขันกับคนอื่น ต้องได้ดีกว่าคนอื่น ถ้านั้นคือความสุขที่แท้จริงของคุณก็ทำไปเลย ไม่มีใครว่าแต่อย่างมายัดเหยียดให้ผม เพราะความสุขของผมคือการที่ผมได้อยู่กับคนที่รักแค่นั้น อย่างอื่นไม่สำคัญ” ผมพูดยาวเหยียดไม่หยุดพักให้เอเดนได้พูดแทรก
เขาจ้องผมเขม็ง ผมรู้เขาไม่พอใจ แต่ช่างปะไร
“ผมถามจริงๆเถอะ ความสุขของคุรคืออะไรกันแน่”
“...” เอเดนเงียบ
“แล้วคุณอยากรู้ไหมว่าความสุขของผมคืออะไร ความสุขของผมไม่ใช่การทำให้ไร่เป็นที่หนึ่งในประเทศหรือโลก แต่ความสุขของผมก็การทำให้คนที่ผมรักมีความสุข นั่นก็คือพ่อและโยชิน้องชายของผม ความสุขของผมคือการได้อยู่กับคนที่ผมรัก ทำดีต่อเขา รักและดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด นั่นคือความสุขของผม ก็ใช่ ที่ว่าหน้าที่การงานที่สำคัญ แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะแย่อะไรนักหนากับการที่ผมและพ่อของผมดูแลพัฒนาไร่มาได้เพียงเท่านี้ ผมทำเพราะผมมีความสุขที่จะทำ ไม่ใช่ทำเพราะอย่างได้ดีกว่าใครๆ คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม” ผมหอบเล็กน้อยกับการพูดไปใส่อารมณ์ไป
เอเดนหันหน้าหนีผมไม่พึงพอใจที่จะรับฟัง ผมคิดถูกคิดผิดที่จะร่วมงานกับเขา เราไม่น่าจะทำธุรกิจด้วยกันรอดเพราะวิสัยทัศของเขา จะต้องนำพาปัญหามาให้ผมในภายหลัง
ผมตวัดผ้าห่มคลุมโปง จบแล้วสำหรับหน้าที่ในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นคนเฝ้าไข้หรือคนคุยแก้นอนไม่หลับ พรุ่งนี้ผมจะตื่นขึ้นมาแต่เช้าแล้วขับรถกลับบ้านไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น
เสียงขยับตัวและเสียงเสียดสีของเนื้อผ้าไม่สามารถทำลายนิทรารมย์ของคนที่กำลังนอนหลับฝันดี แสงจากโทรศัพท์สว่างวาบก่อนจะดับแสงเมื่อแนบเข้ากับหู
“ว่าไงบ้าง ยังไม่ตายสินะ ไม่เป็นไร ฉันไม่ต้องการรู้อะไรจากอเล็กซ์อีก เพราะตอนนี้ฉันเปลี่ยนแผนใหม่แล้ว เราจะกลับอเมริกากันเมื่อฉันหายดี และเราขะมุ่งหน้าไปเม็กซิโกเพื่อจัดการตามแผนใหม่” ดวงตาสีเขียวเข้มสะท้อนแสงยามมองจดจ้องคนที่นอนหลับบนโซฟา
“อืม...” คนที่กำลังหลับสบายพลิกตัวนอนตะแคงเข้าหาผนัง
ประกายสีมรกตวูบไหวเกิดความคิดที่ว่าเสียงของตนทำให้อีกคนรำคาญ “แค่นี้ก่อนละกัน ไว้คุยกันพรุ่งนี้ ติ๊ด”
แสงจากโทรศัพท์สว่างวาบอีกครั้งก่อนจะดับลงเมื่อมันถูกปิดโดยเจ้าของ เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจของอีกคนที่อยู่ในห้อง
จู่ๆหัวใจที่ด้านชามานานก็เต้นแรงขึ้น มือยกขึ้นกุมที่หน้าอกข้างซ้าย เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีชีวิตที่รู้สึกว่าไม่เหงาในยามค่ำคืน
‘ความสุขของผมคือการได้อยู่กับคนที่ผมรัก ทำดีต่อเขา รักและดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด นั่นคือความสุขของผม’
หยุดความคิดบ้าๆนั่นซะ!
“หึ ในเมื่อพวกนายรักกันมาก ก็ช่วยแสดงให้ฉันเห็นหน่อยแล้วกันว่าน้องชายของนายจะรักนายมากที่นายรักเขาหรือเปล่า” Yoshi
วันหยุดเรียนเปรียบเสมือนเวลาที่มีค่าที่สุดในช่วงเวลานี้ที่จะได้หายใจหายคอได้อย่างสะดวก อาซารู้เรื่องคนในแอชยูที่มีท่าทีแปลกๆต่อผม เขาแค่บอกให้ผมอยู่เฉยๆอย่าไปใส่ใจ จะไม่มีอันตรายเกิดกับผมอย่างแน่นอน เพราะคนพวกนั้นรู้แค่ว่าผมสนิทกับพวกของอาซา แต่ไม่รู้ว่าผมเองก็คือนากินีที่ยังไม่อาจกลายร่าง
“อรุณสวัสดิ์อเล็กซ์” ผมเดินมาเจอกับอเล็กซ์ตรงบันได ผมและเขากำลังจะลงไปข้างล่างด้วยกันทั้งคู่
“อรุณสวัสดิ์โยชิ” เขาทักทายผมกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดูสดใสขึ้น อาการเจ็บปวดและบาดแผลค่อยๆดีขึ้นตามลำดับการรักษา
“คุณดูโอเคขึ้นมากเลยนะ”
“ต้องขอบคุณพวกคุณมากที่ช่วยชีวิตผมไว้” เขาพูดอย่างนอบน้อม
“นั่นเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำอยู่แล้ว เพราะคุณช่วยรักษาความลับของอาซาเอาไว้”
“นั่นเป็นหน้าที่ของผม”
เขายกมือแตะที่หน้าอกของตัวเองที่มีปานรูปประหลาดเฉกเช่นเดียวกับที่ผมมีปานรูปงู ของอเล็กซ์เป็นปานที่เขาได้มาพร้อมหน้าที่ในการเก็บความลับของอาซาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ อย่างน้อยก็พวกที่คิดไม่ดี
อาซากับพรรคพวกนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ผมเดินไปนั่งข้างอาซาตามความเคยชิน อเล็กซ์นั่งลงข้างๆฟรินน์เพราะเหลือที่ว่างเพียงที่เดียว เช้านี้ผมยังไม่เห็นจูเลียตกับปารีสเลย
“สองสาวหายไปไหนเหรอ” ผมถาม
“ไปนวดผ่อนคลายนะ เห็นบ่นว่าปวดเมื่อยเนื้อตัวเพราะช่วงนี้ออกแรงบ่อยเลยขอตัวไปพักผ่อนบ้าง” เวสตันบอกขณะอ่านหนังสือพิมพ์
“หิวไหม” อาซาถาม ผมส่ายหน้าก่อนจะหันไปถามอเล็กซ์บ้าง
“อเล็กซ์หิวไหมครับ”
“ไม่ครับ” อเล็กซ์ส่ายหน้า
อาซาขยับตัวนั่งหลังตรงจากที่แรกเอนหลังสบายๆ ใบหน้าของเขาจริงจังยามที่จ้องหน้าอเล็กซ์ ฟรินน์เหลือบมองมาทางเราเป็นระยะ
“คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าอาซา” อเล็กซ์ถามด้วยใบหน้าและน้ำเสียงสุภาพ ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่สอนมวยในค่าย เพราะตอนนั้นเขาดูโหดและเย็นชา
“ผมแค่อยากรู้เรื่องที่โยชิสะกดจิต” ผมหูผึงด้วยความอยากรู้ไม่แพ้ใครในบ้าน
“ผมคิดว่าคุณจะถามเรื่องหัวใจของคุณเสียอีก”
“เรื่องนั้นผมรู้ดีอยู่แล้ว คุณจะช่วยบอกเรื่องการสะกดจิตโยชิอีกครั้งได้หรือไม่”
ผมเลื่อนมือเกาะกุมมือของอาซา บอกไม่ถูกว่าผมรู้สึกอย่างไร อาซาอยากให้การสะกดจิตคลาย ผมเองก็ต้องการเช่นนั้น แต่พอลองนึกดูว่า ถ้าการสะกดจิตคลายตัวผมจะต้องกลายร่างเป็นงู ก็เกิดความกังวล ท้องไส้ปั่นป่วนราวกับมีเกลียวคลื่นตีวนอยู่ในท้อง ถ้าผมเปลี่ยนเป็นนากินี มันจะเปลี่ยนไปตลอดกาล และถ้าเป็นเช่นนั้น ชีวิตผมจะเป็นอย่างไร ผมกังวลและก็กลัวการเปลี่ยนแปลง
“ก็อย่างที่รู้ๆกัน สัญญาณการกลับคืนร่างเกิดตอนที่โยชิยังเด็กไม่ว่าจะเป็นความผูกพันจึงไม่กลัวงู และสามารถพูดคุยกับงูรู้เรื่องโดยใช้ภาษาพาเซล แต่นั่นไม่ใช่เรื่องปกติของมนุษย์ทั่วไป” อเล็กซ์เลื่อนสายตามองจ้องผม “พ่อกับพี่ชายของคุณจึงได้เสาะหาวิธีการรักษาจนมาเจอพ่อของผมเข้า พ่อของคุณเราเรื่องทั้งหมดให้พ่อผมฟัง พ่อจึงขอให้เขาพาคุณไปหา และเมื่อเจอคุณ พ่อจึงรู้ว่า...คุณคือใคร”
“พวกมนุษย์กลายร่างต่อให้ตายไปแล้ว เกิดใหม่ก็จะระลึกเรื่องในอดีตถ้าหากกลายร่างกลับเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง เป็นเรื่องปกติธรรมดา” เวสตันพูด เขาพับหนังสือพิมพ์วางบนโต๊ะเรียบร้อย ขาเปลี่ยนขึ้นไขว่ห้าง สองมือประสานบนหัวเข่า
อเล็กซ์พยักหน้ายืนยันว่าเวสตันพูดถูกต้อง “พ่ออยากจะไถ่โทษ เลยทำการถอนคำสาปให้กับนาย แต่จะได้ผลหรือไม่ก็ต้องรอลุ้นตอนที่รู้ว่าคุณตกหลุมรักอาซาอีกครั้งและรับรู้ว่าเขาคืออะไร”
“แต่ที่ไม่เกิดอะไรเพราะผมถูกสะกดจิตใช่ไหม ผมจำที่คุณบอกได้” ทุกอย่างซับซ้อนจนผมมึนงง
“ใช่แล้ว เพราะพ่อจำเป็นต้องสะกดจิตให้คุณกลัวงู อยู่ห่างจากงู ผิดกั้นความสามารถของคุณเอาไว้ตามคำขอของคนในครอบครัวคุณ ทุกอย่างในตัวคุณจึงถูกปิดกั้นไปด้วย” อเล็กซ์มีสีหน้าหนักใจ
“หมายความว่า จะรู้หรือไม่ว่าคำสาปถูกถอนออกไปหรือยังก็ต้องคลายการสะกดจิตเสียก่อน” อาซาสรุป
“อืม” อเล็กซ์พยักหน้า “นั่นคือขั้นตอนแรกที่คุณจะต้องทำ”
“แล้วเราต้องทำยังไงให้โยชิกลัวขนาดที่การสะกดจิตจะเสื่อมได้” ฟรินน์ที่นั่งฟังเงียบๆถามในสิ่งที่ผมก็อยากรู้
“ก็คงเป็นวิธีเดียว” เวสตันมองหน้าผมให้กำลังใจ
อาซาเบี่ยงตัวหันหาผมทั้งตัว ผมกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเข้าใจว่าอาซาต้องการให้ผมทำอะไร วิธีแก้คือทำให้ผมกลัวงูมากๆ กลัวจนแทบขาดใจตายแล้วการสะกดจิตจึงจะสบาย เพราะฉะนั้นความหมายเดียวก็คือ ผมจะต้องเผชิญหน้ากับงู
“ฉันต้องทำแบบนั้นจริงเหรอ” ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอ
“ไม่ต้องกังวลน่าโยชิ พวกฉันจะไม่รุนแรงกับนายมาก สัญญา” ฟรินน์ชูสามนิ้วเหมือนลูกเสือให้คำมั่น แต่รอยยิ้มกว้างของเขากำลังแสดงให้เห็นว่าเขาสนุกสนานกับเรื่องของผมพอตัว
“แค่อาซาคนเดียวไม่ได้เหรอ” ผมต่อรอง ยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่าผมสามารถยอมรับอาซาในตัวตนที่แท้จริงตอนเป็นงูได้ แต่กับคนอื่น ไม่มีวันที่ผมจะชินและหายกลัว
“ไม่ได้หรอก” เขาสั่นหัว “เดี๋ยวนี้นายไม่กลัวฉันด้วยซ้ำ ใช้ฉันคนเดียวนายไม่มีทางหายแน่ๆ”
แล้วไม่หายไม่ได้เหรอ เป็นคนปกติไม่ได้เหรอ คำถามเหล่านี้ผมได้แค่เก็บไว้ในใจ
ไม่เกินสองชั่วโมงต่อมา ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะทดสอบผม แต่ผมไม่พร้อม มือเย็นเชียบเหมือนถูกแช่ในน้ำแข็ง ผมกลั้นหายใจเมื่อทั้งสามคนกลายร่างเป็นงูต่อหน้า เริ่มแรกเขาบอกว่าจะเริ่มจะตัวเล็กๆขนาดเท่างูปกติ แต่ต่อให้เล็กมากกว่านี้มันก็น่ากลัวในความคิดผม
สวบ!
ผมขยับก้าวถอยหลังทันทีที่ฟรินน์ในร่างงูสีเงินขยับเลื้อยเข้าหาผมอย่างรวดเร็วแต่เขาหยุดกลางคัน เขากำลังลองเชิงว่าผมจะทำอย่างได้ ซึ่งบอกเลยว่าผมไม่คิดจะทำอะไรทั้งนั้นนอกจากวิ่งหนี
“วันหลังได้ไหม ฉันคิดว่าวันนี้ฉันไม่พร้อม” ไม่ต้องพยายาม เสียงของผมก็ย่ำแย่เกินฟัง ทั้งสั่นและแตกพร่า
ข้างในตัวผมสั่นสะท้าน ผมคิดว่าผมสามารถเผชิญได้กับทุกอย่าง ผมมีความกล้ามากพอที่จะต่อสู้เอาตัวรอดจากนักเลงอันธพาล หรือยืนต่อหน้าหมาป่าตัวใหญ่ที่ผมเคยเจอในตรอกร้านขายหนังสือ แต่ไม่ใช่กับงูทั้งสามตัวที่ชูคอสูงเตรียมพร้อมพุ่งเข้าใส่ผมอย่างไม่ลังเล
“ยิ่งไม่พร้อมเนี่ยแหละเหมาะที่สุดแล้ว” อเล็กซ์ที่ยืนอยู่ตรงชานบันไดบ้านบอก ผมหันหลังมองด้านหลังของตัวเอง เป็นทางออกไปที่ประตู บริเวณรอบบ้านก็มีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ไม่มีที่ให้หนีหรือหลบซ่อน “อย่าช้าอยู่เลย เริ่มได้แล้ว”
ผมเริ่มอยากให้อเล็กซ์เจ็บหนักจนลุกไม่ได้ก็ตอนนี้
สีหน้าของผมบิดเบี้ยวตามการขยับตัวของฟรินน์และเวสตัส ส่วนอาซาอยู่นิ่งๆ แต่แววตาของเขาจ้องผมไม่ปล่อย
ซี่ๆๆๆ ซู่ววว!
“เฮือก ไม่!!!” ผมขยับเท้าออกวิ่งหนีทันทีที่เวสตันเลื้อยพุ่งเข้ามาหาผมไม่ทันให้ตั้งตัว เสียงสวบสาบดังใกล้เข้ามา ต้นไม้ที่ขึ้นถี่ทำให้การหลบหนีของผมเป็นไปอย่างยากลำบาก ผมพยายามสั่งให้ขาหยุดนิ่งและหันไปเผชิญหน้ากับอสรพิษที่กำลังไล่ล่าผมอย่างเอาเป็นเอาตาย สะกดจิตตัวเองว่าพวกนั้นคือเพื่อน พวกเขาไม่มีทางทำร้ายผม แต่ขาและจิตใจไม่ทำตามคำสั่ง ผมเอี้ยวหลังไปมอง มีเพียงฟรินน์และเวสตันตามผมมา อาซาหายไปไหน
ฟี่!!!!
ฟรินน์ที่เร่งเข้ามาใกล้ชูคอสูงแยกเขี้ยวคล้ายจะฉก ผมสะดุ้งตกใจร่างเกร็งก่อนจะหุนหันกลับหลังหันเตรียมวิ่งหนี แต่คิดไม่ถึงว่าโดนขวางหน้าด้วยร่างยาวสีดำ ผมเบรกขาสองข้างกะทันหัน หัวใจแทบหยุดเต้น
“ไม่! หยุดเถอะ ฉันกลัวแล้ว!!!”
แต่พวกเขาไม่หยุด ผมสะดุดล้มรีบเปลี่ยนทิศทาง อากาศรอบตัวคล้ายจะหมดลงทุกที เสียงในหัวตอบสนองต่อเสียงร้องของอสรพิษ บอกว่าผมต้องหนี ต้องหนีให้ถึงที่สุด ไม่งั้นผมจะต้องตาย
ผมวิ่งเต็มฝีเท้า แทบจะควบคุมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
…………………….
กราบขออภัยคนที่ฟินกับคู่พี่เมื่อตอนที่แล้ว ความร้ายกาจของเอเดนไม่อาจหยุดได้แต่เพียงเท่านี้ ฮ่าๆๆๆ
สงสารน้องโยชิ ก็อย่างที่อเล็กซ์บอก ไม่มีทางที่โยชิจะเลิกกลัวงูจนกว่าจะคลายการสะกดจิตได้ เรามาเอาใจช่วยโยชิกันเถอะ
ป.ล. ริริแก้ไขเนื้อหาบางประโยคที่กำกวมทำให้ผู้อ่านสับสนในตอนที่14แล้วนะคะ ไม่ต้องย้อนไปอ่านก็ได้ เพราะในตอนนี้อธิบายใหม่ให้เข้าใจแล้ว
ป.ล.2 หากมีคำผิดขออภัย ไม่มีเวลาตรวจทานเลยค่ะ หากใครพบเจอช่วยบอกทีนะคะ ขอบคุณค่ะ
สุดท้ายก่อนจาก...ใครอ่านอยู่อย่าลืมทักทายแสดงความคิดถึงหรือความคิดเห็นให้กันบ้างนะคะ ขอกำลังใจนิสสสสนึง