B.L.O.O.D.L.I.N.E
TWENTY-ONE
YATCH
“แล้วแมวของคุณล่ะ” ตั้งแต่ลงจากเครื่องเหยียบเท้าบนพื้นแผ่นดินนิวยอร์ก ข้าวของกระเป๋าเดินทางทั้งของผมและของเอเดนวางอยู่ตรงหน้ารอให้ชาร์ลมารับ แต่ผมไม่เห็นว่าจะมีแมวของเขาที่เห็นคราวก่อน
“เจ้าแมวนั่น คงกลับไปหาเจ้าของที่แท้จริงแล้วแหละ หึ” เสียงพูดของเขา กลั้วเสียงหัวเราะแต่กลับดูขืนๆ ใบหน้าไม่ได้ยิ้มเหมือนเขาจะเสียใจ
“ถ้าคุณอยากเลี้ยวแมว คุณก็ซื้อใหม่ก็ได้นิ” ผมออกความเห็น เอเดนไม่ได้ตอบอะไร ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าของเขาเรียบนิ่ง ดวงตาสีเขียวเข้มมองไปข้างหน้าตรงถนน ไม่นานก็มีรถยนต์สีดำติดฟิล์มหนาขับมาจอดเทียบฟุตบาท กระจกรถเลื่อนลง รอยยิ้มของชาร์ลเป็นสิ่งที่ผมเห็นเป็นสิ่งแรก
“ไฮยอร์ช การเดินทางปลอดภัยนะ” ชาร์ลพูดกับผมเมื่อผมเข้านั่งในรถ เอเดนนั่งเบาะหน้าข้างชาร์ล เขานิ่งไม่สนใจจะร่วมบทสนทนา
“ปลอดภัยดีทุกอย่าง ผมเพิ่งเคยได้นั่งแบบเฟิร์สคาร์สครั้งแรก สะดวกสบายกว่าที่เคยนั่งมาแต่ราคาน่าขนลุกมาก” ยอร์ชบ่นไม่จริงจัง ค่าตั๋วเครื่องบินเอเดนเป็นคนจ่าย ซึ่งหลังจากที่ผมรู้ว่าเอเดนซื้อตั๋วแบบเฟริสคาร์สผมก็ค้านทันที เพราะราคามันแพงเกินไป แต่เอเดนยืนคำขาดมาว่ายังไงผมก็ต้องนั่งเพราะเขาจะไม่นั่งชั้นอื่น จะจ่ายเงินให้เขาก็ไม่เอา คำสั้นๆที่เขาตอบกลับมาทำเอาผมเลือกเก็บเงินเอาไว้อย่างหมั่นไส้คือ “ผมรวย”
“เรื่องปกติครับ เอเดนมันเป็นคนรักความสะดวกสบาย” ชาร์ลแซวเพื่อนขำๆ เหล่สายตามองคนข้างๆที่นั่งหน้านิ่งมองตรงไปข้างหน้าเท่านั้น ชาร์ลยักไหล่มองผมผ่านกระจกหลังเกี่ยวกับอาการของเอเดน ผมสงสัยว่าเอเดนน่าจะมีเรื่องให้เครียดพอตัว สังเกตได้จากการความเงียบและสีหน้าคิดไม่ตกตลอดการเดินทางที่ผมมักเห็นตลอดเวลา
ตื้ดๆๆ
เสียงโทรศัพท์ของเอเดนดังในจังหวะที่พวกเราทุกคนในรถเงียบ เอเดนหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดรับแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมมองออกไปนอกรถมองวิวทิวทัศน์แทน ผมเพิ่งเคยมานิวยอร์กเป็นครั้งแรก ผมหยิบกล้องขึ้นเพิ่มเช็คความเรียบร้อยเตรียมตัวเก็บภาพถ้าหากว่ามีอะไรน่าสนใจ ผมยังไม่ได้โทรหาโยชิเลย กะว่าถึงที่พักแล้วค่อยโทร
ก่อนมาผมคุยกับโยชิ เขาพูดอะไรแปลกๆเหมือนกับว่าเอเดนเป็นบุคคลอันตรายสำหรับผม ผมน่ะรู้ว่าเอเดนแปลกและเข้าถึงได้ยาก แต่ว่าเขาก็คงไม่ใช่อาชญากรอะไรพวกนั้น และผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ดูแลตัวเองได้ ไม่ใช่หญิงสาวที่จะต้องระวังการถูกล่อลวง แต่ผมก็รับรู้ความห่วงใยจากโยชิ และผมจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับน้องชายว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีจนกว่าจะกลับเมืองไทย
“ทำไม พ่ออย่ามายุ่งเรื่องของผม!” เสียงตะวาดก้องรถดึงความสนใจทั้งจากผมและชาร์ล
“ผมจะบอกอะไรพ่อไว้อย่างนะ ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องของตัวเอง!”
ผมรู้สึกหน้าชาเล็กน้อยกับคำพูดและน้ำเสียงที่เอเดนใช้พูดกับคนที่เป็นพ่อ ผมไม่ใช่คนดี ก็ผู้ชายทั่วไป ที่เกเร มีหยาบคายบ้างกับเพื่อนฝูง แต่กับพ่อ...ผมไม่เคยทำ
“ฮึ่ย! ชาร์ล ไปที่ปราสาทแทน” เอเดนกระชากเสียงหงุดหงิด กดวางสาย ผมหยุดคิดทุกอย่าง ไม่แม้แต่จะออกความเห็นในความคิด คนเราไม่เหมือนกัน อยู่ในสถานการณ์ที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ผมจะไม่พูดหรือคิดว่าใครควรทำยังไงหรือไม่ควรทำยังไง เพราะเราไม่ได้ยืนอยู่ในจุดเดียวกับเขา มันก็ตอบยากนะ ว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะทำแบบไหนหรือไม่อย่างไร
ผมนั่งเงียบๆปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงที่ดังผ่านสายหูฟัง ไม่ขอรับรู้บรรยากาศรอบนอก และผมคิดว่าเอเดนเองก็คงไม่อยากให้ผมสนใจเท่าไหร่
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
“...”
“อย่าบอกนะว่าพ่อนายรู้เรื่อง”
“กลับบ้านเดี๋ยวก็รู้”
เส้นทางในเมืองกรุงนิวยอร์กเหมือนกับภาพที่ผมเคยเห็นจากอินเตอร์เน็ต ตึกสูงขึ้นติดกับแต่เป็นระเบียบ ที่นี่มีทุกอย่างและเป็นทุกอย่างของโลกก็ได้ เมืองเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ผู้คนต่างรีบเร่งในการใช้ชีวิตไม่ต่างจากกรุงเทพบ้านเรา วุ่นวายและจอแจ แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันมีเสน่ห์มากกับการได้มองคนอื่นดำรงชีวิตในแบบที่เราไม่ได้เป็น
รถเคลื่อนตัวออกจากในกลางเมืองเข้าสู่เส้นทางนอกเมือง ผมหลับตาลงเพื่อพักสายตากระทั่งไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับเพราะอาการของอาการเจ็ทแล็ก
ชายหนุ่มทั้งสองคนเบื้องหน้าหันมองคนที่เบาะหลังพร้อมกัน และเมื่อแน่ใจแล้วว่ายอร์ชหลับไปแล้ว
“งานนี้น่าจะไม่ง่ายแล้วนะ พ่อของนายรู้อะไรบ้าง” ชาร์ลถามหน้าเครียด พ่อของเอเดนไม่ธรรมดา ไม่งั้นไม่ครองตำแหน่งเจ้าของนากินีมาจนถึงทุกวันนี้
“ไม่แน่ใจ แต่เขารู้ว่าฉันพายอร์ชมา และบอกให้กลับไปพักที่บ้าน”
“พูดกันตามจริงเลยวะเอเดน ฉันว่าพ่อนายรู้ว่าตอนนี้เรากำลังจะทำอะไร”
“ถึงรู้ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างต้องดำเนินต่อตามแผน ไม่เปลี่ยนแปลง” นี่มันจะเกินไปหน่อยนะผมว่า ไม่คิดว่าจะยังมีคนอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้ ปราสาทที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าทำให้ผมอดคิดถึงการ์ตูนของวอลท์ ดิสนี่ ต่างกันก็ตรงที่ปราสาทนี่เก่าแก่แบบมีมนต์ขลัง แต่สภาพก็จัดว่าแข็งแรงดีไม่มีจุดชำรุดทรุดโทรมเท่าที่มองสำรวจ
รอบๆปราสาทมีแต่ต้นสนสูงใหญ่หนาแน่นเต็มพื้นที่ แต่บริเวณตรงกลางได้รับการจัดให้เป็นสวนอย่างมีระเบียบ มีน้ำพุที่เป็นรูปปั้นนางฟ้าอยู่ตรงกลางน่าชมต่างจากรูปปั้นที่ประดับอยู่ตามตัวปราสาท รูปปั้นงูอ้าปากอย่างดุร้าย ตรงบริเวณท้องของงูมีสัญลักษณ์บางอย่างที่เลือนรางอยู่ทุกตัว
ผมพยายามที่จะมองให้เป็นศิลปะ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็น่ากลัวน่าเกลียดไม่เหมาะแก่การนำมาประดับที่อยู่อาศัย
“คุณเป็นพวกเชื้อเจ้าเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจ อเมริกาไม่มีกษัตริย์ปกครองประเทศ นั่นหมายความว่าเอเดนไม่น่าใช่เจ้าชาย แต่ว่าปราสาทเบื้องหน้าทำให้ผมต้องคิดใหม่
“หึหึ” เอเดนแค่หัวเราะแต่ไม่ตอบ ผมอยากถามต่อแต่ก็ไม่อยากจะเสียมารยาท ได้แต่เดินตามหลังตรงไปที่ประตูของปราสาท ชาร์ลขอตัวเอารถไปเก็บแล้วจะตามมาที่หลัง
วูบ~!
ผมห่อไหล่หนีความหนาวของลมที่พัดมาหนึ่งระลอก แดดแสงสุดท้ายดับลงทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในปราสาท ห้องโถงกว้างขวาง ประตูโค้งเดินแยกไปตามทางทั้งฝั่งซ้ายขวาและตรงกลางเบื้องหลังของบันไดที่จะนำพาไปยังชั้นที่สองสามและสี่
รอบตัวมีแต่ความเงียบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงก้าวเดินที่ดังกึกก้องสะท้อนให้ได้ยินชัดเจน ผมไม่เห็นใครนอกจากเรา ปราสาทใหญ่ขนาดนี้เป็นไปได้เหรอคนอยู่อาศัยจะน้อยจนหาแทบไม่ได้
“คุณอยู่กับพ่อคุณแค่สองคนในปราสาทที่ใหญ่โตขนาดนี้หรอกเหรอ” อดไม่ได้จึงต้องถามออกไป
“ผมไม่ชอบความวุ่นวาย พ่อของผมก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นคนรับใช้จะอยู่ในที่ที่ควรอยู่ไม่ออกมาเผล้นพล่านถ้าหากไม่มีใครเรียกใช้งาน”
เอเดนเดินไปที่ประตูตรงกลางหลังบันได ผมหันมองข้างหลัง ไม่มีวี่แววว่าชาร์ลจะตามมา
บานประตูเลื่อนเปิดโดยที่เอเดนไม่ได้สัมผัสมันแม้เพียงนิด หรือไม่ผมก็ไม่ทันมอง ทางเดินมืดสลัว มีเพียงโคมไฟริบรี่สี่ส้มให้ความสว่าง ผมคิดว่าตัวเองอาจจะหลุดเข้ามาในอดีต สมัยนี้วิวัฒนาการก้าวไกล ต่อให้ชอบความคลาสสิกโบราณยังไงแต่ก็ควรใช้ไฟนีออนเพื่อให้ความสว่างและปรับเปลี่ยนให้มันทันสมัยมากกว่านี้เพื่อความสะดวกในการพักอาศัย ไหนชาร์ลบอกว่าเอเดนชอบความสะดวกสบายไง ผมยอมรับว่าตกใจมากกับสถานที่ที่เข้ามาอาศัยอยู่ชั่วคราว
ถ้าไม่เห็นกับตาคงไม่เชื่อว่าจะตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองนิวยอร์ก
ก๊อกๆๆ
เอเดนเคาะประตูทีห้องๆหนึ่ง จากนั้นประตูก็เปิดออกด้วยตัวเองอีกครั้ง บางทีผมอาจจะเข้าใจผิด ปราสาทหลังนี้น่าจะติดเครื่องมือทันสมัยที่ช่วยในการเปิดประตูอะไรทำนองนั้น
ในห้องมีผู้ชายวัยห้าสิบนั่งหลับตาฟังเสียงเพลงบรรเลงของโมสาทอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจเอเดนและผมที่เข้ามารบกวน
“พ่อ ผมพาเขามาแล้ว”
ผมหันมองเอเดนทันที พามาแล้วหมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ
พ่อของเอเดนลืมตามองลูกชายของเขาก่อนจะเลื่อนสายตามาที่ผม เขาจ้องผมอยู่นานมากจนผมรู้สึกเกร็ง ดวงตาของเขาเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างจากผม และไม่สามารถหลบสายตาได้ราวกับถูกยึดด้วยเข็มหมุด ผ่านไปร่วมสิบนาทีพ่อของเอเดนถึงจะลายตากลับไปหาลูกชาย ผมกระพริบตาถี่ๆไล่อาการเมื่อยล้า ช่วงเลานั้นผมลืมกระพริบตานานเป็นสิบนาทีได้อย่างไร
“พาเขาไปพักที่ห้องรับรองแขกชั้นสองปีกซ้ายข้างๆห้องนอนของอาซา พ่อให้คนเตรียมห้องเอาไว้แล้ว”
ผมมองหน้าพ่อของเอเดนอีกครั้งที่เขาชื่อๆหนึ่งออกมา ชื่อเดียวกับแฟนของโยชิ จะใช่คนเดียวกันเหรอ อาจจะไม่ คนเราชื่อซ้ำกันได้ โดนเฉพาะฝรั่งที่ใช้ชื่อซ้ำกันเป็นเรื่องปกติ
พ่อของเอเดนกลับมาให้ความสนใจผมอีกรอบ “สวัสดี ฉันชื่อจอร์ช เสตรนเบิร์ก เป็นพ่อของเอเดน”
ผมรีบยกมือไหว้แบบตกใจ “สวัสดีครับผมชื่อยอร์ช”
“จะมาดูร้านไวน์ของเอเดนใช่ไหม” คุณจอร์ชถามนิ่งๆแต่ดูเป็นมิตร
“ครับ รบกวนด้วยนะครับ”
“ที่นี่อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่ ฉันชอบแบบบรรยากาศเก่าๆเลยไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมาก แต่อะไรที่ควรเปลี่ยนใหม่ก็เปลี่ยน”
ผมพยักหน้าเข้าใจ เพราะภายในห้องนี้ดูจะทันสมัยอย่างที่ควรเป็นแตกต่างจากตัวอาคารและทางเดิน ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เว้นแต่โคมไฟเท่านั้นที่ดูเหมือนเป็นของเก่า
“ไม่มีอะไรแล้วผมจะพาเขาไปพักนะ” เอเดนพูดขึ้นสั้นๆ ไม่รอให้คุณจอร์ชตอบก็เดินออกไปเลย ดูคุณจอร์ชจะไม่ถือสาในความไม่มีสัมมาคารวะของลูกตัวเอง ทำไม่ใส่ใจแล้วยิ้มบางๆให้ผม
“ตามสบายนะ”
ผมเดินออกจากห้องที่น่าจะเป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวองคุณจอร์ช เอเดนยืนอยู่อยู่ไม่ไกล เขาเดินนำผมกลับไปทางเดินแล้วขึ้นบันไดไปที่ห้องที่คุณจอร์ชบอกว่าเตรียมไว้ให้
“พักห้องนี้ไปก่อน มีอะไรกดปุ่มสีแดงปุ่มนี่แล้วเรียกคนรับใช้ได้” เอเดนชี้นิ้วให้เห็นปุ่มสีแดงขนาดเท่าเหรียญสิบของไทยข้างๆสวิตช์ไฟ “เรียกใช้ได้ทุกอย่าง ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง”
ผมเลิกคิ้วสงสัย เอเดนถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ข้อความของที่นี่ก็คือ ห้ามเดินเผล้นพล่านโดยไม่ได้รับอนุญาต ห้ามออกไปไหนคนเดียวโดยไม่มีฉันพาไป อยากได้อะไรเรียกคนรับใช้เอา หรือไม่ก็โทรไปที่ห้องฉันเบอร์0011”
“อืม” แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็คงต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้
“ผมจะย้ำอีกครั้งว่าคุณต้องทำตามที่บอกอย่างเคร่งครัด ห้ามออกไปไหนไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม ห้ามออกจากห้องโดยเด็ดขาด!” เอเดนเน้นคำจริงจัง จากที่ไม่ได้อะไรก็เริ่มจะสงสัยจนอยากรู้
“มีอะไรอย่างนั้นเหรอ”
“ที่บอกคือให้ทำตาม ไม่ได้ให้ถาม เข้าใจนะ ตอนนี้ก็นอนพักไปก่อน อีกสักชั่วโมงผมจะเอาอาหารเย็นมาให้ทาน เชิญพักผ่อนตามสบาย”
“เอเดน” ผมเรียกเอเดนที่กำลังจะเดินออกจากห้องที่กลายเป็นห้องผมชั่วคราว เขาหันมามองเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
“ความจริงแล้ว...ผมไปเช่าโรงแรมอยู่ก็ได้นะ”
ผมว่าที่นี่ไม่น่าอยู่สักเท่าไหร่ในความคิดของผม ผมไม่ได้อยากจะยุ่มย่ามในบ้านหลังนี้ และก็ไม่ได้คิดอยากจะเที่ยวเล่นชมอะไรให้มากมาย แต่ก็ไม่อยากอยู่อย่างอึดอัด มานิวยอร์กทั้งที่ก็อยากได้ทั้งสุขกายและสบายใจ
“ผมก็อยากจะทำอยู่เหมือนกันแหละ แต่พ่อผมอยากให้คุณมาพักที่นี่ ถ้าคุณอยากออกไปอยู่ข้างนอก คุณก็ไปบอกท่านเอาเอง” เอเดนพูดเสียงแข็งหน้ากระด้างก่อนจะปิดประตูตัดบทสนทนา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่มาที่นี่
ก่อนจะนอนหลับพักผ่อนผมโทรหาโยชิ แต่ติดต่อไม่ได้เหมือนกับว่าปิดเครื่องหรือไม่ก็แบตเตอรี่หมด ผมจึงโทรหาพ่อแทนเพื่อบอกให้รู้ว่าผมมาถึงแล้วอย่างปลอดภัยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมไม่ได้เล่าให้พ่อฟังถึงความแปลกประหลาดของเอเดนและพ่อของเขาร่วมไปถึงเรื่องของปราสาทที่ผมพักอาศัยอยู่ คงไม่มีอะไร ผมแค่คิดไปเอง
หลับได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตู ลืมตามองดูว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้อง เอเดนยืนกอดอกมองผม มีคนรับใช้เป็นเด็กผู้ชายที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับโยชิเลื่อนรถเข็นที่ใช้เสิร์ฟอาหารตามโรงแรมเข้ามาในห้อง ผมผุดลุกขึ้นนั่งด้วยสติที่ไม่เต็มร้อย
“ไปล้างหน้าแล้วมากินข้าว”
ผมลุกออกจากเตียงทำตามที่เอเดนสั่ง อาหารที่ทานก็เป็นอาหารฝรั่งทั่วๆไปอย่างขนมปังปิ้ง สปาเก็ตตี้ ซุปเห็ดอะไรเถือกนั้น ผมหิวผมก็กินโดยไม่ได้ใส่ใจว่าอาหารตรงหน้ามีอะไรบ้าง เอเดนรอผมกินข้าวนิ่งๆ ระหว่างนั้นผมก็ชวนเขาคุยไปด้วย
“พ่อคุณดูไม่แกเท่าไหร่เลยเนอะ อายุเท่าไหร่ผมถามได้ไหม” คุณจอร์ชน่าจะแก่กว่าพ่อผมถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว พ่อผมอายุห้าสิบต้นๆ ผมจึงคาดเดาว่าพ่อของเอเดนน่าจะห้าสิบปลายๆ แต่ใบหน้าและผิวหนังดูจะเด็กกว่าพ่อผมเสียอีก
“ไม่รู้สิ ไม่ได้สนใจ” เอเดนตอบแบบขอไปที ผมมองจ้องเขาอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก หลายครั้งที่ผมขัดใจในสิ่งที่เอเดนทำหรือสิ่งที่เขาเป็น เขาดื้อและหัวรั้นยิ่งกว่าเด็กหัวโจกในตัวเมืองบางคนที่ผมเคยเห็น
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจอย่างลืมตัว เอเดนตวัดสายตาแข็งๆมองผม
“ถอนหายใจทำไม” เขาถาม
“คุณไม่อยากรู้เหตุผลหรอก” ผมจำได้ขึ้นใจ เขาไม่ชอบให้ใครไปสอน และผมก็ไม่คิดจะทำให้โดนว่าซ้ำสอง
“พูดมา” เขาสั่ง ผมไม่ฟัง ก้มหน้าทานอาหารจนหมดเกลี้ยง อิ่มแล้วก็รู้สึกสบายจนอยากจะนอนพัก
“ฉันคงไปทำอะไรให้นายไม่พอใจสินะ พูดออกมาสิ” เอเดนยกมือกอดอก ขายกไขว้ห่างสีหน้าจริงจัง
“แน่ใจน่ะว่าอยากฟัง” ผมถามซ้ำ เขาพยักหน้า
ในเมื่อเขาอยากฟังก็คงไม่มีอะไรต้องเกรงใจ “บอกตามตรงนะเอเดน ผมไม่ชอบที่คุณทำต่อพ่อคุณเท่าไหร่ ผมให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นที่หนึ่งไม่ว่าจะพ่อผมหรือโยชิ บุคคลในครอบครัวคือคนที่เราควรทำดีด้วยมากที่สุด ผมไม่เคยพูดจาตวาดตะคอกใส่พ่อ เวลาคุณพูดกับพ่อในรถผมคิดว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรทำสักเท่าไหร่ และให้ท่าทีไม่ใส่ใจเรื่องในครอบครัวอีก เรื่องนี้ผมรับไม่ได้” ผมพูดตรงไปตรงมา ไหนๆก็จะต้องทำธุรกิจร่วมกัน คุยเปิดอกกันไปเลย จะได้รู้ว่าไปรอดหรือไม่รอด
“หึ พูดได้ดีนี่” เอเดนหัวเราะหยันแบบไม่เต็มใจ ดูท่าว่าคำพูดผมคงเข้าไปถึงแกนกลางสมองของเขา ผมอดอยากจะสั่งสอนเขาไม่ได้ พยายามทำใจเย็น
“คุณต้องรักคนในครอบครัวคุณให้มาก เพราะพวกเขาจะเป็นคนที่คุณพึ่งพาและไว้ใจได้มากที่สุด”
“คุณไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ” สีหน้าของเขาดูแคลนความคิดของผมมาก
“ใช่ ผมไม่รู้ ไม่รู้หรอกว่าคุณมีปัญหาอะไรกับน้องชายของคุณคุณถึงไม่ชอบเขา” ผมจำได้ที่เขาเคยพูดเหมือนกับว่าไม่ชอบน้องชายตัวเอง “ทั้งยังไม่รู้ว่าคุณกับพ่อคุณเป็นยังไง แต่คุณรู้ไหมสิ่งที่เดียวรู้ก็คือ”
เอเดนหันสายตามองไปทางหน้าต่าง ทำเป็นไม่สนใจ ผมพูดต่ออย่างไม่แคร์ว่าเขาจะรับรู้หรือไม่ อารมณ์ของคนเป็นพี่ที่ชอบสั่งสอนกำเริบไม่รู้จักเวล่ำเวลาจริงๆ
“สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือ ถ้าเรารักและหวังดีกับใครสักคน เขาจะรักและหวังดีกับเราตอบแทน หรือต่อให้ไม่เป็นอย่างนั้น แต่ผมก็ถือว่าผมทำดีที่สุดแล้ว เพราะสุดท้ายแล้ว ผมเชื่อว่าคนที่ไม่เคยใส่ใจในความรักและความหวังดีของคุณอื่นเขาเหล่านั้นจะต้องนึกเสียใจในวันที่ทุกอย่างสายไป และเมื่อนั้นพวกเขาจะได้บทเรียนราคาแพงและสิ่งที่เราให้ก็ไม่ได้สูญเปล่า”
ผมพยายามที่จะมองโลกในแง่บวกนับตั้งแต่ที่เสียแม่ไป การมองโลกในแง่ดีไม่ใช่การกระทำที่โง่งมและไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนต่อโลก แต่มันหมายความว่าคุณเลือกที่จะหยิบความสุขแทนความทุกข์ต่างหาก คิดเยอะทุกข์เยอะ คิดน้อยทุกข์น้อย
“คนดีมักอายุไม่ยืน”
“หึ คนชั่วที่อายุยืนก็ไม่ได้หมายความว่ามีค่าไปกว่ากัน”
ผมต้องตาตอบกับเอเดนอย่างไม่ลดละ จนสุดท้ายเอเดนก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไป แต่ก็ไม่ลืมกำชับอีกครั้งว่าห้ามผมออกจากห้องจนกว่าเขาจะมาปลุกในตอนเช้า
ร้านไวน์ของเอเดนกว้างขวางพอสมควร ตกแต่งหรูหราต่างจากปราสาทที่เขาอาศัยอยู่ นึกถึงปราสาทหลังนั้นแล้วขนก็แทบลุก เอเดนปลุกผมออกมาตั้งแต่เช้าแล้วมาฝากท้องที่ร้านอาหารข้างนอกแทน ผมเพิ่งรู้ว่าความจริงแล้วปราสาทของเอเดนไม่ได้อยู่ในนิวยอร์ก แต่อยู่รอบนอกที่ไม่ไกลนัก จัดเป็นพื้นที่หวงห้ามที่ใครก็ห้ามเข้านอกจากคนที่มีผ่นตราประทับของตระกูลสเตรนเบิร์ก
และเมื่อวานชาร์ลก็นอนพักที่ปราสาทหลังนั้น เช้านี้เราเลยออกมาพร้อมกันสามคน เอเดนพาผมเที่ยวชมร่านไวน์ของเขทั่วทุกซอกทุกมุม เปิดไวน์หลายขวดให้ผมได้ลิ้มชิมรสตั้งแต่ราคาไม่กี่สิบดอลล่าไปจนถึงราคาหลักหมื่น
จากนั้นเขาก็พาผมไปต่างเมืองที่อยู่ใกล้ๆเพื่อเที่ยวชมโรงบ่มไวน์ที่เขาซื้อต่อมาเป็นของตัวเอง ผมศึกษาดูงานด้วยความตั้งใจ มีหลายเรื่องที่ผมไม่รู้และกะว่าจะทำไปปรับใช้ที่ไร่ของตัวเอง เรียนรู้งานไปก็ชิมไวน์ไปด้วยจนผมเริ่มจะเมา เอเดนจึงให้พักเรื่องงานไว้แค่นั้น เขาพาผมกลับที่ปราสาท ผมไม่รู้ว่าตัวเองดื่มไปเยอะขนาดไหน เพลินจนไม่รู้ตัวว่าเมา
“เอเดน ไหวไหม” เอเดนปลุกผมให้ได้สติ เขานั่งย่อตัวอยู่ตรงประตูฝั่งข้างคนขับที่ผมนั่ง ผมลืมตามองไปรอบๆอย่างเชื่องช้า ชาร์ลไม่อยู่แล้ว ใช่ ผมจำได้ เขาบอกว่าเขาจะกลับบ้านของเขา และตอนนี้ผมอยู่ที่หน้าปราสาทของเอเดน
ผมก้าวขาลงจากรถ แต่พอยืนทรงตัวก็เซไปหาเอเดน ดีที่เขารับผมไว้ทันและช่วยประคองผมไว้
“ผมไม่คิดว่าคุณจะคออ่อน”
“ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน”
เขาพาผมขึ้นห้องนอน ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เอเดนนั่งลงมองผมอย่างใช้ความคิด ผมมองสบตาตอบเบลอๆ ผมคงเมาจริงๆไม่งั้นไม่มีทางเห็นว่าใบหน้าของเอเดนเลือนเข้ามาใกล้หรอก ใกล้จนเหมือนห่างกันไม่ถึงคืบแล้วคาค้างไว้อยู่อย่างนั้น
“ไม่ ฉันไม่รู้สึกอะไรกับนายทั้งนั้น ฉันไม่ได้อยากได้ความรักจากนาย ไม่มีวัน ”
เสียงพูดของเอเดนเบาเหลือเกินจนจับใจความไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรกับผม
กรี๊ดดดด!!!
ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง
ซี่ๆๆ ซีดดดดดด
“เสียงอะไร” ผมผุดลุกขึ้นนั่ง ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากข้างนอก เสียงกรีดร้องเงียบไปเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นน ผมนั่งนิ่งรอฟังเสียง เอเดนสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ผมออกจากห้อง
ตึก!!!
เสียงเหมือนอะไรสักอย่างกระแทกกับตัวปราสาท ผมมองไปที่ประตูอย่างกังวล เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ยาวนานและโหยหวน อีกเสียงที่แทรกปนกันอยู่คือเสียงอะไรสักอย่างที่คล้ายกับเสียงของงู ผมลุกขึ้นไปยืนอยู่หน้าประตูเพื่อฟังเสียง จะได้ทนข่มตานอนต่อก็คงเป็นไปไม่ได้ เสียงดังขนาดนี้ไม่โง่ก็ต้องรู้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลข้างนอก
เกิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้น แล้วเสียงงูอีกเล่า
อ๊ากกก เฮือก!
คราวนี้เสียงผู้ชาย ผมยืนกำมือแน่นชั่วใจว่าจะออกไปดีไหม เผื่อว่ามีคนอยากได้ความช่วยเหลือเล่า ผมจะไม่ออกไปช่วยอย่างนั้นเหรอ คำตอบคือผมทนอยู่เฉยไม่ได้ ลองกดโทรศัพท์เข้าห้องของเอเดนแต่ไม่มีคนรับสาย
“หรือว่า...” เขาจะตกอยู่ในอันตราย
ผมเปิดประตูออกจากห้อง เดินไปที่ห้องของเอเดน ประตูไม่ได้ล็อค ผมเปิดเข้าไปดู เอเดนไม่ได้อยู่ข้างในนั่นทำให้ผมกังวลเพิ่มขึ้น เสียงงูชัดหูว่ามาจากชั้นสาม ผมค่อยๆเดินขึ้นไปดู เสียงหายไปแล้ว ผมมองรอบตัวระแวดระวัง ประตูบานใหญ่แบบสองบานเปิดอ้าไว้เล็กน้อย มีเสียงครืดคราดดังมาจากด้านใน
ผมออกแรงดันประตูให้เปิดออกกว้าง สิ่งที่เห็นทำให้ผมผงะถอยหลังไปสองก้าว สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สีเงินสะท้อนแสงเลื้อยพันอยู่กับเสาต้นใหญ่ ลำตัวของมันยิ่งกว่าอนาคอนด้และมันมีสองหัว ผมขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้จนมันหันมาเห็นผม ทันที่ที่สบตากับมันตาผมก็พร่ามัว อยู่ๆภาพบางอย่างก็ซ้อนทับขึ้นมา ภาพบางอย่างที่ผมลืมไป หมายความว่ายังไง ภาพของผู้ชายที่ชื่ออเล็กซ์กับเอเดนที่อยู่ในร่างของหมาป่ากับงู
ใช่...ผมไม่ได้สติหลอนจากอาการบาดเจ็บ ผมเคยเห็นมันกับตาและเอเดนเป็นคนสั่งให้อเล็กซ์สะกดจิตผม
พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา พวกเขาไม่ใช่
ปึก!
ร่างของงูตัวใหญ่เลื้อยลงสู่พื้นตรงเข้ามาหาผมอย่างคุกคาม แววตามาดร้ายสีเขียวมรกตจับจ้องผมวาวโรจน์ แววตาที่เหมือนของเอเดนไม่ผิดเพี้ยนตอกย้ำให้รู้ว่ามันคือความจริง
ซีๆๆ ซีดด
“อะ เอเดน...นายใช่ไหม นายเป็นงูใช่ไหม!?”
………
เสร็จ ณ เวลา 02:35 AM เพราะฉะนั้นยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ ได้โปรดให้อภัย พรุ่งนี้เย็นจะมาแก้
เหอะๆๆ พี่ยอร์ชคงจะบอกว่า กูไม่น่านึกเป็นห่วงมันจนต้องออกจากห้องไปดูเลย
อย่าหงุดหงิดที่พี่ยอร์ชไม่ฟังเอเดนแล้วอยู่ในห้องนะคะ ถ้าพี่ยอร์ชไม่ออกเรื่องก็ไม่เดินนะตัวเธอ ฮ่าๆๆ
ตามนิสัยพื้นฐานที่เป็นคนจิตใจดีและนึกเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง พี่ยอร์ชก็ต้องเลือกออกไปดูสถานการณ์เผื่อเข้าช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว
ตอนนี้ไม่รู้ว่าแต่งให้งงกันหรือไม่ ถ้างงก็ถามมานะ ถ้าอยากรู้ว่าพ่อเอเดนรู้เรื่องได้ยังไง ตอนหน้าเฉลยนะ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป