ตอนที่ 38วันนี้เป็นวันสุดท้าย...ผมคงมาส่งพ่อได้เท่านี้ พี่ทองพอเขาเสร็จจากงานที่โรงพยาบาลก็มาอยู่กับผมที่วัดตลอด แต่เราก็ไม่ได้อยู่ใกล้กัน ไม่ค่อยได้คุยกันด้วยซ้ำ เพราะผมกำลังเตรียมตัวบวชให้กับพ่อ ที่จริงผมตั้งใจบวชให้กับทุกคนที่ผมได้สูญเสียพวกเขาไป พ่อทั้งสองคนและแม่ของผม แค่หวังว่าพวกท่านที่อยู่ทางนั้นจะได้รับบุญกุศลที่ผมตั้งใจจะส่งไปให้ถึง
ครอบครัวของพี่ทองมากันครบทุกคน น้องพลอยตัวน้อยๆ เข้ามาไหว้ผม พนมมืออย่างน่ารัก พอจะเรียกผมว่าอาซ้อก็ถูกม๊าดุซะยกใหญ่ น่าเอ็นดูมาก ครอบครัวของลุงพิภพ ลูกน้องในบริษัทของพ่อ เพื่อนของพ่อ พี่โน พี่ปลื้ม พี่หมอโปรด รวมถึงเพื่อนๆ ของผมก็มางานด้วย พี่ดีนทราบข่าวเขาก็มาเหมือนกัน พาน้องดิวมากราบศพ พูดคุยกับผมเพียงเล็กน้อยแล้วก็รีบกลับ
ผมยืนสำรวมมองไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ในมุมหนึ่ง ข้างๆ มีโบจัง ยืนเหม่อมองอยู่ด้วย
“เณรว่า..จะไปได้ไกลถึงสวรรค์รึเปล่านะ ควันนั่นน่ะ”
“ต้องถึงอยู่แล้ว”
“สวรรค์จะเป็นยังไงนะ...อยากรู้จัง ไม่เคยมีใครกลับมาบอกด้วย”
ผมหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่เพิ่งเห็นว่าซีดเซียวมากๆ ของเพื่อนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกคนนี้ ก่อนจะมองเลยไปยังแมวที่ยืนตาแดงก่ำอยู่ข้างๆ หลิน มือเล็กนั้นถูกมือใหญ่กุมไว้แน่น
“เลิกกันแล้วเหรอ” ผมหันกลับมามองโบจัง
“อืม”
“เจ็บไหม”
“อืม”
“แล้วทำไมถึงปล่อยไป”
“เขามีสิทธิ์ที่จะเจอคนที่ดูแลเขาได้ ไม่เกี่ยวกับว่าผมจะปล่อยหรือไม่ปล่อย”
“ไม่รักแล้วเหรอ”
“อืม”
“โกหกคนที่นุ่งผ้าเหลืองน่ะบาปกว่าเดิมหลายเท่านะ”
โบจังหัวเราะ ละสายตาจากท้องฟ้ามองมาทางผมแล้วผงกหัวให้เล็กน้อย
“ผมแค่ไม่รู้ว่าจะได้อยู่มองท้องฟ้าสีสวยๆ นี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ผมกำลังจะตาบอด และอีกไม่นานก็คงจำใครไม่ได้ ผมเคยเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ และไม่อยากทำตัวเป็นพระเอกเลย แต่การที่ต้องให้ใครสักคนมาทนอยู่กับคนที่ไม่มีอนาคตอย่างผม คงจะเป็นบาปมากเกินไป”
“ป่วยเหรอ” ผมถามอย่างสงบ แม้ในใจจะรู้สึกตกใจกับคำพูดของเพื่อน
“ผมเหมือนคนป่วยเหรอครับ”
“บอกมาเถอะ มีหมอเก่งๆ ที่รู้จักอยู่หลายคน เขาอาจจะช่วยได้”
“หมอเจ้าของไข้ยังบอกผมไม่ได้เลยว่ารักษาแล้วจะหาย มันอยู่ในจุดที่อันตรายเกินไป แล้วนับวันก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้ของผม เริ่มใช้การไม่ได้แล้ว อีกไม่นานก็คงต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย ผมอยู่มาได้เกือบปี แต่ไม่รู้ว่าจะยังโชคดีอยู่ต่อไปได้อีกสักกี่เดือน” โบชี้มือไปที่ศีรษะของตัวเอง ผมมองเขาแล้วรู้สึกใจหาย
แมวคงไม่รู้เรื่องนี้...เพราะคนอย่างโบ ไม่มีวันบอกหรอก และผมก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าครอบครัวของโบจะรู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่า ผมอาจจะเป็นคนแรกก็ได้ที่รู้ความลับของเขา
เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ มีอะไรผิดปกติก็แค่กลบเกลื่อนด้วยความเงียบของตัวเอง
“ผมแค่อยากจะบอกใครสักคนก่อนที่ผมจะพูดไม่ได้ เณรเป็นเพื่อนที่ผมสนิทด้วยที่สุดในคณะ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เพราะฉะนั้น ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้ด้วย อย่างน้อยในวันที่ผมจากไป ผมก็หวังจะให้มีใครสักคนส่งผม แมวอาจจะร้องไห้บ้าง แต่คงไม่มากเท่าในวันที่เขายังรักผมอยู่หรอก”
ชีวิต...มีแต่เรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ คนข้างๆ หรือแม้แต่ตัวผมเองนั้น ก็ไม่รู้จะอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่โบทำนั้นจริงๆ แล้วมันถูกต้องไหม แต่สำหรับผม ผมว่าโบก็มีทางออกสำหรับความรักของตัวเอง เขาไม่ใช่ไม่เจ็บ ไม่ได้ทำตัวเป็นพระเอก แต่การให้คนรักนั่งเรือที่กำลังจะล่มไปด้วยกัน ให้จากกันทั้งที่ยังรักมันคงน่าทรมานใจกว่า
“บอกคนรักหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ”
“ยังไงเขาก็ต้องรู้อยู่แล้ว ผมปิดไม่ได้ตลอดหรอก แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้แมวเอาความสงสารมาปนกับความรัก ผมกับแมวคบกันมานาน นานจนเราไม่รู้ว่า มันคือความเคยชินที่มีกัน หรือระหว่างเรายังคงมีความรักอยู่กันแน่ แล้วในเมื่อตอนนี้มีผู้ท้าชิงขึ้นมาแล้ว ผมก็อยากให้แมวได้เลือก สุดท้ายคนที่อยู่ข้างแมวจะไม่ใช่ผมก็ไม่เป็นไร เพราะผมก็เป็นแบบนี้ เณรอย่าทำหน้ากังวลใจกับเรื่องของผมเลย ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น แม้กระทั่งชีวิตมีเกิดก็ต้องมีดับสูญ ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ น่ะ ช่วยให้จิตใจดีขึ้นเยอะ”
นี่คงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดของโบเลยก็ว่าได้
“ผมพูดมากใช่ไหม...พูดเผื่อไว้ ในวันที่ผมจะพูดไม่ได้อีก แต่วันนี้ผมพูดมันออกมาจนหมดแล้ว คงไม่มีอะไรติดค้าง”
“โยมเพื่อนยังมีเรื่องที่ติดค้างไม่ได้บอกกับคนสำคัญของโยมนะ”
“คำว่ารักของผม...คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ” โบหันมองไปทางหลินที่กำลังเช็ดน้ำตาให้แมว เขามองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด คงเพราะที่ตรงนั้น...คงเป็นเขาที่เคยยืนมาก่อน
คงไม่มีใครผิดเลย แมวไม่ผิดที่เลือกหลิน และหลินก็ไม่ผิดที่ยื่นมือเข้ามาดูแลแมวน้อยที่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนรักถึงเมินเฉยตัวเอง ส่วนโบ...เขาก็ไม่ผิด ผมว่าทุกคนมีสิทธิ์เลือกในการดำเนินชีวิต เลือกที่จะทำหรือไม่ทำ เลือกที่จะพูดหรือไม่พูด ผมไม่สามารถเอาบรรทัดฐานของตัวเองไปชั่งน้ำหนักถูกผิดของใครได้ ในเมื่อผมไม่ได้มองในมุมเดียวกับพวกเขา ผมถึงกะเกณฑ์การกระทำของพวกเขาไม่ได้ว่าควรต้องทำอย่างนั้น ไม่ควรทำอย่างนี้
“รู้จักหมอที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง เขาคงมีเพื่อนที่เชี่ยวชาญที่จะช่วยโยมเพื่อนได้ แต่เขาบอกว่าจะไม่กลับมาเมืองไทยอีกจนกว่าจะครบปี เพราะฉะนั้น...ต้องไปหาเขานะ ไปให้เขารักษา แล้วกลับมา สร้างความทรงจำดีๆ ด้วยกันเหมือนเดิม”
ผมคงช่วยโบได้เท่านี้ แต่ผมเชื่อว่าหมอคนนั้นน่ะ...เขาจะต้องช่วยได้แน่ๆ วิทยาการทางการแพทย์ก้าวล้ำไปไกลมากในต่างประเทศ เขาจะต้องหาวิธีที่จะรักษาเพื่อนของผมได้ ผมมั่นใจ
“ผมควรจะไปใช่ไหม ความจริงผมกลัวความตายมากเลยนะ ผมกลัวที่จะต้องไปในที่ที่ผมไม่รู้จัก ถ้ามันพอจะมีทางรักษา...ผมก็จะไป”
“ส่งประวัติการรักษาของโยมเพื่อนไปให้เขา เขาจะช่วยได้”
โบพยักหน้า เขาส่งยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก มันคงดีที่ผมจะได้เห็นเพื่อนคนนี้ยิ้มให้อีกครั้ง
ในวันนี้...ผมเรียนรู้แล้วว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปได้ดั่งใจคนเราไปซะหมด มีทั้งสมหวังและผิดหวังคละเคล้ากันไป อาจจะไม่มีใครคอยขีดเส้นให้มันเป็นไปอย่างนี้ ผมว่ามันคงเป็นเพราะผลจากการกระทำของทุกๆ คนเอง กระทบน้อยกระทบมาก ก็อยู่ที่ความคิดของแต่ละคน รับได้มากน้อยแค่ไหน และจะดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไปยังไง...ก็อยู่ที่การเลือกของตัวเองทั้งนั้น
จากนี้ไป...ผมจะมีความสุขครับพ่อ อยู่ทางนั้นก็หวังว่าจะมีความสุขนะครับ ถ้าเจอแม่กับพ่อแท้ๆ ของผม ก็ฝากบอกพวกเขาด้วยนะว่า...ลูกชายของพวกเขาจะมีความสุขและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ให้ถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป จะได้ไม่ต้องมีอะไรให้นึกเสียใจในภายหลังอีก
.
.
.
เหมือนนานมากแล้วกับเรื่องในวันนั้น วันที่ผมได้สูญเสียคนสำคัญไป หวนนึกไปแล้วก็ยังคงคิดถึง ความเศร้าเกาะกินใจเพียงน้อยนิด อ่า...คงจะเป็นเวลาที่ทำให้ความรู้สึกสูญเสียเบาบางลงได้
สองเดือนกับการที่จะต้องเริ่มต้นชีวิตของตัวเองกับน้องชายที่อายุห่างกันเพียงหนึ่งเดือนมันค่อนข้างยากนิดหน่อย แต่ก็ราบรื่นดี เพราะผมกับบิ้วก็ไม่ใช่เด็กที่จะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมครอบครัวลุงพิภพก็รับเป็นผู้ปกครองให้พวกเราสองพี่น้อง แต่บิ้วดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าพี่ตั้มเท่าไหร่ คงเพราะถูกพี่ตั้มดุบ่อยๆ เรื่องกลับบ้านดึกก็เป็นได้ ส่วนแม่ของบิ้วก็ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แม้ข้อหาที่ว่าจ้างจิตแพทย์จะไม่หนักเท่าไหร่ แต่การแทงคนตายก็ดูจะหนักเอาการ บิ้วไปเยี่ยมแม่บ่อยๆ ในขณะที่ผมไปเพียงแค่ครั้งเดียวก็ไม่ไปอีกเลย เพราะคุณน้าไม่ต้องการเห็นหน้าผม ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่
“แมวเหมียว ไม่กินเยอะๆ แล้วเมื่อไหร่จะอ้วน ตัวนิดเดียวกอดไม่อุ่นเลย” หลินว่ายิ้มๆ ผลักหัวแมวไปหนึ่งที
วันนี้ผมนัดกินข้าวกับเพื่อนทั้งสองคน หลังจากที่ตรากตรำอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อเตรียมสอบแอดมิชชั่นในปีหน้า พี่ทองก็เลยบอกว่าออกไปเที่ยวบ้าง เครียดมากๆ หน้าจะแก่ ผมก็เลยต้องนัดแนะเพื่อนออกมาเดินห้าง แล้วก็หาของอร่อยๆ ทานกัน
อ่า...ผมลืมบอกไปใช่ไหมครับ โบลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วก็บินไปรักษาตัวได้เดือนกว่าๆ แล้ว และก็เป็นเดือนกว่าๆ ที่ผมไม่เห็นรอยยิ้มของแมวเลย
“ชงโคจ๋า โบจังติดต่อมาบ้างรึเปล่าจ้ะ” แมวน้อยทำเสียงหงอยๆ ในขณะที่หลินก็หันมารอคำตอบจากผมเช่นกัน
ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ไปส่งโบที่สนามบิน และก็อย่างที่คิดคือครอบครัวของโบไม่รู้เรื่องอาการป่วยเลย พ่อแม่ของโบเป็นนักธุรกิจกันทั้งคู่ และนานๆ ครั้งถึงจะกลับมาที่บ้านที คงมีแต่เงินที่โอนเข้าบัญชีในธนาคารทุกเดือนเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกได้ว่าโบยังมีผู้ปกครองอยู่
“ไม่เลย” โบเงียบหายไปจริงๆ แต่ที่ยืนยันได้ว่ายังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดีคือข้อความแชทจากเพื่อนทางเว็บบอร์ดของผม เขาบอกว่าโบจังได้เข้ารับการรักษาแล้ว อาจจะมีค่าใช้จ่ายบ้างแต่ก็ไม่มากจนเกินไป เพราะเพื่อนของเขายินดีที่จะออกค่าใช้จ่ายให้ในบางส่วน ผมมารู้ทีหลังว่าเพื่อนทางเว็บบอร์ดตอนนี้เขาทำงานอยู่ศูนย์วิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลกๆ ที่คุยด้วยลำบาก แต่ที่นั่นคงมีเพื่อนที่เขาสามารถคุยภาษาเดียวกันได้อยู่เต็มไปหมด
“มันจะไปก็ไม่ลาพวกเราสักคำ นึกอยากจะไปก็ไปอย่างนี้ ไม่สนใจเลยว่าพวกเราจะเป็นห่วงมันมากขนาดไหน” หลินพูดขึ้นด้วยแววตาโกรธหน่อยๆ ผมรู้ว่าหลินสนิทกับโบมาก แต่ก็อยากถามหลินเหมือนกันนะว่า กับแมวน่ะ...ถึงขั้นไหนแล้ว
ผมไม่รู้หรอกว่าสองคนนี้คบกันจริงๆ รึเปล่า แต่ความสนิทสนมที่เห็น...มันก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าโบกับแมวคงจะเลิกกันแล้วอย่างที่โบว่าจริงๆ
“ถ้าร้องไห้ จะโกรธจริงๆ นะ” หลินพูดเสียงเข้ม กดมือลงบนหัวของแมวที่รีบก้มหน้า ยกมือปิดตาไว้
“เดี๋ยวโบก็กลับมา คงไปไม่นานหรอก”
“ทำไมมีแต่ชงโคจ๋าที่รู้ล่ะ ทำไมแมวรู้ไม่ได้ จะไปก็ไม่บอกกันเลย ไปทำอะไร อยู่ที่ไหน แล้วจะอยู่ยังไง แมวเป็น...”
“แมวเลิกกับโบไปแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้คนที่แมวควรจะแคร์ก็คือหลินนะ” ผมพูดสวนขึ้นก่อนที่แมวจะทันได้บอกว่าแมวเป็นอะไรกับโบ... มันน่าลำบากใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาเห็นเพื่อนคนหนึ่งร้องไห้ ในขณะที่เพื่อนอีกคนก็มีแววตาที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“ขอโทษ แมวแค่เป็นห่วงโบ...ก็ถึงเราจะเลิกกันไปแล้ว แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกัน เพื่อน...ห่วงเพื่อนไม่ได้เหรอ”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว หยุดร้องไห้ซะ” หลินดึงแมวเข้าไปใกล้ กดหัวให้ซบลงที่อกของตัวเอง “ตอนนี้ผู้ชายของแมวก็คือผม ไม่ต้องไปเป็นห่วงคนอื่น”
แบบนี้...แย่แน่ๆ แมวน่ะ...ลืมโบจังไม่ได้หรอก ผมไม่รู้ว่าความรักระหว่างพวกเขาจะยังคงมีอยู่ไหม แต่การที่ยกให้ใครเป็นคนสำคัญมาตลอดหลายปี มีความทรงจำดีๆ ร่วมกันมา อีกทั้ง...ความผูกพันธ์ที่เป็นกำแพงกั้นไม่ให้หลินแทรกเข้าไปได้อย่างนี้... เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีคนอื่นมาแทนที่ได้ในเวลาอันสั้น ก็หวังว่า...ในวันที่โบกลับมา แมวจะเลือกได้สักทีว่าควรวางหัวใจของตัวเองไว้ที่ใคร
ความผูกพันธ์น่ะ...น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดเลยนะครับ
มื้ออาหารนี้จบลงด้วยบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจ เพราะผมเชื่อว่าสักวันมันจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่ มีแต่ต้องก้าวต่อไปเท่านั้นถึงจะได้เห็นโลกในมุมที่กว้างกว่าเดิม นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดตั้งแต่ที่ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น
อ่า...ชีวิตใหม่ กับผู้ชายคนเดิม
ผมคงเป็นพี่ที่แย่สำหรับน้อง ที่มักจะปล่อยให้บิ้วอยู่เฝ้าบ้าน แล้วตัวเองก็มาอยู่กับแฟน คิดๆ ไปแล้วก็เหมือนเด็กใจแตก แต่บิ้วไม่เหงาหรอก เพราะมีพี่ตั้มมาอยู่เป็นเพื่อน แถมที่บ้านก็มีพวกพี่ๆ ที่ทำงานบ้านให้ คนสวน คนรถ อยู่กันเหมือนเป็นครอบครัว ส่วนบ้านเรือนไทยของผม วันไหนรู้สึกไม่สบายใจ หวนคิดถึงคนที่จากไป ผมก็จะไปนอนที่นั่น เพราะมันให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แม้คนงานในบ้านจะไม่ค่อยมีใครเฉียดเข้ามาใกล้ตั้งแต่ที่รู้ว่ามีศพฝังอยู่ใต้ต้นชงโคก็ตาม คงคิดกันไปเองว่าจะมีพลังงานที่มองไม่เห็นคอยวนเวียนอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่สำหรับผม...ผมกลับพบว่าที่นี่อบอุ่นมากกว่าที่ไหนๆ ก็เพราะ...มันเป็นที่ที่มีความทรงจำมากมาย ทั้งดีและร้ายที่เกิดขึ้น
ความจริงผมก็คิดนะว่าเป็นพ่อแท้ๆ ของผมรึเปล่านะที่ชักนำพี่ทองมาที่นี่ ให้เดซี่ชอบดอกชงโคจนเขาต้องแอบปีนกำแพงขึ้นมาขโมย ฮ่าๆๆ ที่จริงพี่ทองน่ะ พอรู้ว่าพ่อแท้ๆ ของผมถูกฝังไว้ที่นี่ เขาก็หน้าซีดหน่อยๆ แล้วรีบไปหาดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ต้นชงโคที่เคยขึ้นไปปีนเล่น นอบน้อมอย่างนี้พ่อของผมทั้งสองคนคงต้องรักต้องหลงมากแน่ๆ เลย ^^
“ชงโค เดี๋ยวเอาถ้วยมาใส่ต้มยำกุ้งนะ พี่ทำไว้หม้อใหญ่เลย”
ผมกลับมาถึงหอพักของพี่ทองก็เจอพี่ยิมที่โผล่หน้ามันเยิ้มมาทักทาย พี่ยิมย้ายมาอยู่กับพี่โนได้หลายเดือนแล้วครับ เมื่อสองเดือนก่อนที่ผมกลับมาอยู่กับพี่ทองที่นี่ก็เจอพี่ยิมแล้ว เห็นเป็นคนนิ่งๆ อย่างนี้ แต่ที่จริงเก่งงานบ้านงานเรือนสารพัด เป็นผู้หญิงห้าวๆ ที่ไม่ค่อยพูดมาก แต่ถึงคราวรบก็ไม่ขลาดนะครับ
เคยมีครั้งหนึ่งที่พี่นิล หญิงสาวที่ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่ายังคงมีชีวิตอยู่ บุกมาที่หอ แต่เป้าหมายไม่ใช่พี่ทองคำเอกที่ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เจ้าหล่อนจงเกลียดจงชังถึงได้มองเมินพี่ทองไปแบบไม่สนใจใยดี ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ความซวยไปตกที่พี่โนที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่พี่นิลพึ่งได้ การตามตื้อที่ไม่ธรรมดา มาเช้ามาเย็นจนพี่ยิมทนไม่ไหว เปิดฉากเล่นงิ้วกันไปสองสามรอบ ผู้หญิงนิ่งๆ นี่แรงเยอะมากนะครับ ตบพี่นิลทีปลิวกระเด็นไปเป็นหลา ผมก็ยืนแอบเชียร์ ไม่สิ ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้าไปห้าม แต่คิดว่าถ้าพี่ยิมเสียเปรียบก็จะเข้าไปช่วย ส่วนพี่โนที่กลับมาทันเห็นเหตุการณ์เพราะเลิกงานเย็นพร้อมพี่ทอง ก็เข้ามาห้ามศึก ผลปรากฎคือโดนลูกหลง ถูกหน้าแข้งฟาดเข้าก้านคอเข้าให้จนเดินคอเอียงไปหลายวัน หญิงสาวผู้นี้คาราเต้สายดำ ถึงว่าพี่โนไม่ค่อยกล้าหือเท่าไหร่ ผมมองเห็นรูปจำลองของน้องเพชรรำไรเลย น้องสาวพี่ทองก็เก่งคาราเต้เหมือนกัน ได้แชมป์ระดับประเทศรุ่นเยาวชนด้วย ไปทำให้โกรธคงจะไม่ดีล่ะครับ แหะๆ
ผมโยนกระเป๋าไว้บนเตียง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น แล้วหยิบถ้วยไปใส่ต้มยำกุ้งตามที่พี่ยิมบอก ผมอยู่ที่นี่ไม่เหงาเลยนะ มีเพื่อนคุย แล้วก็สนุกมากด้วย พี่ยิมเรียนจบแล้ว ตอนนี้ก็ทำงานออกแบบให้กับบริษัทครอบครัวของตัวเองครับ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศบ่อย ทำให้เวลาว่างๆ ผมก็สามารถมาคุยเล่นด้วยได้
“เอากุ้งไปเยอะๆ ให้ไอ้โนมันกินแต่เห็ดก็พอ”
สงสัยพี่ยิมยังโมโหไม่หาย ยิ่งรู้ว่าพี่โนเคยมีอะไรกับพี่นิลด้วยแล้ว เจ้แกยิ่งปรี๊ดครับ ได้ยินพี่โนมาคร่ำครวญกับพี่ทองว่าถูกไล่ให้นอนข้างล่างเตียงประจำ แต่ก็สมควร อยากเจ้าชู้ดีนัก ถึงจะเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็เถอะ ผมว่าเรื่องแบบนี้ผู้หญิงเขาก็รับได้ยากนะ เอาตรงๆ ผู้ชายแมนๆ อย่างผมยังรับไม่ค่อยได้เลย
“พี่ยิม แล้วเดี๋ยวนี้คนนั้นมาอีกไหม”
พี่ยิมคงรู้ว่าคนนั้นที่ผมพูดหมายถึงใคร ถึงได้ทำหน้าเซ็งๆ เบะปากหน่อยๆ
“เมื่อเช้าก็มา แต่ไอ้โนมันออกไปโรงพยาบาลแล้ว นี่พูดตรงๆ ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านเท่านี้เลย คิดว่ามารยาหญิงจะใช้ได้ทุกครั้งหรือไง แต่ก็คงมีคนโง่อย่างไอ้โนนั่นแหละที่ทำท่าจะตกหลุมอยู่รำไร” พี่ยิมบอกเสียงห้วนๆ
“เฮ้ๆ ใครโง่ครับคุณ ผมรู้หรอกว่าผู้หญิงแบบไหนถึงจะเอามาเป็นแม่ของลูก” เสียงของพี่โนดังขึ้นที่ประตู มีพี่ทองยืนทำหน้ากวนๆ อยู่ข้างหลัง
“โง่ไม่โง่ก็เคยหลวมตัวเสียบไปแล้วไม่ใช่รึไง”
“อย่าขุดมาพูดได้ไหม เรื่องมันตั้งแต่ไอ้ทองยังมีเมียเป็นผู้หญิงแล้วนะ เออ โทษทีว่ะเพื่อน แต่ยิมเข้าใจไหมว่าเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว”
“รู้ไงว่าผ่านมานานแล้ว จะแก้ตัวทำไม ร้อนตัวเหรอ”
“เมนไม่มาไงวะ แปรปรวนจริงๆ ท้องใช่ไหมเนี่ย”
“ปากรนหาที่ไอ้โน”
“ไม่ท้องก็เก่งแล้ววะ กูปล่อยในตลอด อิอิ” พี่โนหันไปหัวเราะคิกคักกับพี่ทองโดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าพี่ยิมกำลังเดินไปหยิบไม้เบสบอลที่ปกติไม่มีอยู่ในห้องของพี่โน แต่ตอนนี้ มีวางพิกชั้นหนังสือประมาณสี่ไม้ -_-
“ไหนลองพูดอีกที ขาอ่อนฉันยังไม่เคยได้เห็น มาพูดจาหยาบคายอย่างนี้เหรอ!”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคนกะล่อนอย่างพี่โนจะอ่อนกว่าพี่ทอง เพราะพี่ทองกับผมก็เคยเห็นเวลาที่เปลือยกันมาแล้ว ถึงจะยังไม่ได้อะไรมากขนาด... เออ ช่างเถอะ แต่พี่โนนี่ยังเลยครับ แม้แต่จูบนี่ผมก็ยังสงสัยเลยว่าพวกเขาจะได้ทำกันรึเปล่า
พี่โนกระโดดหลบข้างหลังพี่ทองทันที พี่ยิมก็เลยยอมลดไม้ลงแล้วเดินกลับมาหาผมที่กำลังควานหาแต่กุ้งใส่ถ้วยแทน
“ชงโค เฮียบอกกี่ทีแล้วว่าไม่ให้ใส่ขาสั้นออกจากห้อง”
ก็รู้ว่าบอกแล้วผมไม่ฟัง จะบอกทำไมบ่อยๆ ล่ะ พี่ทองนี่ยิ่งแก่ยิ่งขี้บ่น
“ขาน้องสวยออก โชว์นิดโชว์หน่อยจะเป็นไรไป” พี่ยิมพูดขึ้น
“ก็ไม่ชอบ รู้ว่าหวงก็ยังจะทำอยู่ได้”
ผมอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าพี่ทองที่บึ้งตึงยิ่งกว่าหมียักษ์ในห้องนอนของพวกเราซะอีก
“มากินข้าวได้แล้วน่า อารมณ์เสียมากๆ แก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ มีเมียเด็กกว่าต้องฟิตนะครับ รู้ไหม” ผมขยิบตาให้พี่ทองที่ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ ในขณะที่พี่โนกำลังพุ่งถลาเข้ามาหา
“ชงโคของพี่น่าร๊ากกกกกกกกที่สุดดดดดดด”
“ไอ้โน!” พี่ยิมเรียกเสียงเข้ม พี่โนเบรกเอี๊ยดแล้วรีบไปประจบเอาใจพี่ยิมทันที
“จ๋า ล้อเล่นจ้าล้อเล่น มาๆ ไอ้ทอง มากินข้าว ยืนทำหน้าเก๊กอยู่ได้ ต่อหน้าแฟนไม่ต้องเก๊กมากก็ได้นะเว้ย”
ไม่จริงหรอกครับ...พี่ทองน่ะถ้าอยู่กันสองคนเขาจะน่ารักมาก แต่ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยจะชอบทำตัวเก๊กๆ ขรึมๆ อย่างนี้แหละ
นั่งทานต้มยำกุ้งฝีมือพี่ยิมกันไปจนอิ่ม ผมก็ช่วยพี่ยิมล้างจาน อยู่เล่นไพ่กันอีกนิดหน่อยก็กลับห้องมาพร้อมพี่ทอง เขาแยกตัวไปอาบน้ำ ในขณะที่ผมมายืนรับลมเย็นๆ ที่ระเบียง หอพักที่อยู่ไกลจากความวุ่นวายในเขตตัวเมืองอย่างนี้ก็ดีนะครับ รู้สึกสงบใจดี
“วันนี้ไปเที่ยวไหนมาบ้างหืม”
ผมตกใจเล็กน้อยที่ถูกสวมกอดจากข้างหลัง ได้กลิ่นแชมพูและครีมอาบน้ำที่พี่ทองใช้ประจำ แก้มเย็นๆ ของเขาก็แนบกับแก้มของผมจนผมต้องเอียงคอเล็กน้อย
“ไปเดินดูของกับเพื่อน แล้วก็กินข้าวด้วยกัน เฮียล่ะ วันนี้ที่โรงพยาบาลเป็นไงบ้าง”
“ก็วุ่นวายเหมือนเดิม”
“อืม”
“เบื่อไหม ถ้าเบื่อก็ไปที่บ้านได้นะ อาม่ารอชงโคไปเป็นลูกมือทำขนมอยู่”
“ไม่เบื่อ ว่าแต่อาม่ารอผมเหรอ ไม่เห็นเฮียบอกเลย”
“อาม่าเพิ่งโทรมาตอนกลางวัน”
“อ๋อ แล้วเฮียเมื่อไหร่จะว่าง” ที่จริงถ้าผมไม่มาอยู่ด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นหน้าเขาบ่อยๆ รึเปล่าเลย
“ทำไม?”
“ก็ไม่ทำไม”
“เหงาอะดิ”
“อืม”
“อยู่ด้วยกันทุกวันอย่างนี้ยังเหงาอีกเหรอ”
“ไม่ได้ทุกเวลาซะหน่อย”
“เด็กขี้เหงา”
“ถ้าวันไหนผมไม่เหงา เฮียจะเสียใจ”
พี่ทองหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มผม “กล้าทำให้เสียใจเหรอ”
“ไม่กล้า อื้อออ อย่าสิ ผมยังไม่ได้อาบน้ำ”
“งั้นถ้าอาบแล้ว...คืนนี้...ทำได้รึเปล่า”
“พรุ่งนี้ผมจะไปหาอาม่า ว่าจะไปช่วยม๊าที่ร้านด้วย เดซี่ก็คงอยากเจอผม แล้วผมจะไปรับน้องพลอยที่โรงเรียน น้องเพชรจะให้ไปเป็นเพื่อนซื้อหนังสือด้วยนะ อีกอย่าง...”
“โอเคๆ สรุปคือไม่ได้ แต่ก็...เลี่ยงได้เลี่ยงไปนะ ถ้าถึงทีเฮียเมื่อไหร่ ทั้งคืนก็จะไม่ยอมปล่อยหรอก หึหึ”
นะ...น่ากลัว T_T
“เฮียหื่นอ่ะ”
“น้อยกว่าชงโคไหมครับ เด็กอะไรไม่รู้ ชอบยั่วตลอดเลย แล้วเสื้อคอกว้างนี่ก็ใส่เข้าไปเถอะ มันสอดมือเข้าไปง่าย ไม่รู้รึไง”
ผมเกร็งตัวขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อถูกนิ้วเย็นๆ ของพี่ทองสัมผัสเข้าที่ยอดอก แถมมืออีกข้างของเขาก็ไล้ไปตามขาของผม
“อ้ะ...เฮีย อย่าแกล้งได้ไหม” ผมจับมือเขาไว้ นิ้วเย็นๆ นั่นยังคงดึงยอดอกของผมเบาๆ
“ไม่ได้แกล้ง ลงโทษต่างหาก ก็รู้ว่าไม่ชอบให้แต่งตัวแบบนี้ แล้วทำไมถึงยังทำ อยู่ในห้องเฮียไม่ว่า แต่อย่าใส่ออกไปข้างนอก เข้าใจไหม”
“ไม่-เข้า-ใจ อื้ออออ เจ็บนะ”
“เจ็บหรือเสียว”
ผมกำลังคิดหาคำด่า แต่ความคิดก็หยุดชะงักเมื่อเห็นพี่โนกับพี่ยิมยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ที่ระเบียงข้างๆ
“ดาวสวยเนอะ” พี่ยิมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าผมมองไปทางพวกเขา พี่ทองยอมปล่อยตัวผมเมื่อถูกผมหยิกแรงๆ เข้าที่แขน เขาทำเพียงแค่เลิกคิ้วมองคนสองคนที่ขัดจังหวะ
“อ่า...สวยครับ -///-”
น่าอายจริงๆ ทำไมพี่ทองถึงต้องทำเรื่องบ้าๆ นี่ที่ระเบียงด้วยนะ ผมคงมองหน้าพี่ยิมกับพี่โนได้ไม่เต็มตาแน่ๆ เลย นับจากนี้ T_T
“ฟ้าครึ้มอย่างนี้ มีดาวที่ไหนสักดวง”
พี่ทองพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะดึงแขนผมให้เดินตามเข้ามาในห้อง พี่ทองเลื่อนกระจกพร้อมกับดึงม่านปิดตาม
“หน้าแดงหมดละ ทั้งๆ ที่ยั่วเฮียเก่งแท้ๆ ไปอาบน้ำได้แล้วไป เดี๋ยวเฮียต้องทำงาน คืนนี้นอนไปก่อนเลยนะ”
“ครับ”
ผมปล่อยให้พี่ทองดึงตัวเข้าไปจูบ เขากัดริมฝีปากล่างของผมเบาๆ แล้วก็ผละออก ขยิบตาให้แล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ในขณะที่ผมยังคงเคลิ้มไปกับจูบของเขาอยู่เลย
ไม่ยุติธรรม...
นานกว่านี้ไม่ได้เหรอ...
ผมยังไม่หายคิดถึงเลย
นอนก่อนอีกแล้ว
ถ้าผมบอกว่า...อยากให้นอนพร้อมกัน จะงี่เง่ามากไปรึเปล่านะ
แต่เขาต้องทำงานนี่นา
อดทนก็ได้...
................................................To be continue........................................................
ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความคิดเห็นค่า แล้วก็ขอบคุณคุณ FUKU ที่อุตส่าห์ส่งข้อความมานะคะ ยินดีมากเลยค่ะ
มันมีการไทม์สคิปเป็นช่วงๆ แต่คงไม่เร็วไปนะคะ ขอบคุณที่ยังคงตามอ่านจินตนาการของเราค่ะ คงใกล้จบแล้ว และก็ดีใจที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ แฮ่ๆ แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าวันพฤหัสค่ะ
http://ask.fm/TCHONG_K << ถามได้ค่า