ตอนที่ 11คนปกติทั่วไปไม่ว่าจะเพศไหนๆ ผมก็คิดว่าพวกเขาย่อมชอบความสุขสบาย ไม่มีใครหรอกที่อยากลำบาก ใช่...ไม่มีใคร ผมเชื่อมาตลอดชีวิตตัวเองว่ามันเป็นแบบนั้น แต่พูดจริงๆ ตั้งแต่ได้มารู้จักกับพี่ทอง...ผมก็ได้เจอมนุษย์อีกประเภทหนึ่งที่ถ้าพูดตามประสาชาวบ้านภาคเหนือก็ต้องยกคำว่า ‘ง่าวต๋าย’ ให้กับเขา
ผมรู้จักคำนี้ดีเลยครับ เพราะเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตที่มักจะแชทคุยกันในเว็บบอร์ดบ่อยๆ เป็นคนภาคเหนือ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าหรือได้ยินเสียง แต่พวกเราก็สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง เพื่อนในโลกออนไลน์ของผมคนนี้มักจะพิมพ์ศัพท์เหนือแบบออริจินอลมาให้ผมได้เรียนรู้เสมอ อย่างเช่นคำว่า ‘ง่าวต๋าย’ เนี่ย มันหมายถึงโง่สุดๆ ครับ โง่แบบโง่มากๆ อ่ะ
แล้วทำไมผมถึงต้องใช้คำนี้กับมนุษย์ประเภทพี่ทองน่ะเหรอครับ...หึ! ถ้าคุณได้มาเห็นบ้านหลังเล็กที่อย่าเรียกว่าบ้านเลยครับ เพราะกระท่อมปลายนาของเงาะป่ากับรจนายังดูหรูหรากว่า เขารวยนะครับ ผมย้ำอีกทีว่าเขารวย เนื้อที่บ้านสิบกว่าไร่ อากงเป็นคนใหญ่คนโตในกรมตำรวจ เตี่ยขายรถ ม๊าขายทอง ไม่นับรวมตากับยายที่เป็นพวกตระกูลเก่า สมบัติเก่าเยอะ แต่มาดูบ้านที่เขาใช้นอนเฝ้าเดซี่แทบทุกคืนสิ ผมยังคิดว่าที่นอนของเดซี่น่าอยู่กว่าเยอะ
บ้านหลังเล็กหลังนี้เป็นเหมือนส่วนเกินของพื้นที่บริเวณรอบๆ ไม่ต้องใช้สถาปนิกมือหนึ่งมาออกแบบเพราะพี่ทองร่างแบบเอง ไม่ต้องมีทีมวิศวกรมือดีมากำกับการก่อสร้างเพราะพี่ทองกับเตี่ยของเขาช่วยกันทำขึ้นมา เอาง่ายๆ คือทุกอย่างถูกแฮนเมดบายพี่ทองล้วนๆ ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาตินั่นตินี่หรอกครับ ถ้าไม่ใช่ว่าคืนนี้ต้องมานอนที่นี่เพราะพี่ทองบอกว่าคืนพระจันทร์เต็มดวงเดซี่จะนอนไม่หลับ
เออ...เดซี่นี่เป็นวัวหรือตัวอะไรวะ -_-
“มึงไปอาบน้ำก่อนดิ เดี๋ยวค่ำกว่านี้น้ำเย็นแล้วอาบไม่ได้ไม่รู้นะ” พี่ทองบอกพลางหันไปผ่าฟืนต่อเพื่อใช้ก่อไฟทำกับข้าวเย็นนี้
เฮ้อ...ผมล่ะไม่เข้าใจเขาจริงๆ ดูสังขารสิครับ หัวก็แตก หลังก็ยอก ยังจะทำตัวเหมือนคนสุขภาพดีอยู่ได้
แล้วนี่ผมจะบอกให้เลยนะว่าบ้านแฮนเมดหลังนี้มันไม่มีไฟฟ้า เพราะฉะนั้นอะไรที่ใช้ไฟฟ้าได้จะหมดประโยชน์เมื่ออยู่ที่นี่ไปทันที แต่ห้องน้ำดีหน่อยที่ไม่ต้องถึงขนาดไปตักน้ำจากบ่อน้ำมาใส่ตุ่ม แต่มันก็มีแค่ฝักบัวที่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นนั่นแหละครับ ไม่พอแค่นั้น ส่วนของห้องครัวน่ะ แม้แต่เตาแก๊สก็ยังไม่มี ถึงต้องลำบากลำบนผ่าฟืนมาก่อไฟกันเอง สภาพห้องนอนนี่ก็...พอทำใจได้อยู่บ้าง เพราะอย่างน้อยก็มีฟูกอยู่บนแคร่ล่ะครับ ขืนให้นอนบนไม้แข็งๆ ไปถึงเช้า ผมคงได้หลังยอกตามพี่ทองพอดี
ผมเดินไปสะกิดไหล่พี่ทอง พอเขาหันมาก็เริ่มสื่อสารด้วยวิธีที่คุ้นเคยทันที
‘พี่ไปนั่งพักเถอะ ผมทำให้เอง’ เห็นสภาพแล้วสงสาร เงื้อขวานขึ้นผ่าแต่ละทีก็ดูลำบากลำบนเหลือเกิน
“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูทำได้”
‘เถอะน่า ไว้หายค่อยโชว์แมนอีกที แต่ตอนนี้ไปพักก่อน เดี๋ยวก็ปวดหลังขึ้นมาอีก’
“มีคนนวดให้แล้วจะกลัวไร ^^”
‘กลัวหน่อยก็ดี เพราะถ้าพี่บ่นปวดขึ้นมาผมจะซัดให้หลังหักเลย’
“เห็นว่ากูไม่สู้ล่ะขู่ใหญ่”
ผมหัวเราะเบาๆ กับใบหน้าบึ้งตึงของพี่ทอง ‘แล้วทำไมไม่สู้’
“เตี่ยสอนว่าคนกลัวเมียเป็นคนที่ทำอะไรก็เจริญ ยิ่งถ้ากราบเช้ากราบเย็นได้ก็ยิ่งดี”
ผมรู้แล้วล่ะว่าไอ้นิสัยเพี้ยนๆ นี่พี่ทองได้มาจากใคร -_-
‘ใครเมียพี่’
“เดซี่มั้ง”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะแย่งขวานมาถือไว้ ในขณะที่พี่ทองโวยวายดังลั่น
“มันอันตรายนะ! เกิดไปเฉี่ยวโดนผิวเข้าจะว่าไง”
‘แล้วมันโดนไหมล่ะ’
พี่ทองทำหน้ายุ่งใส่ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วผลักหน้าผากผมแรงๆ จนแทบหงายหลัง แต่ดีที่ตั้งตัวได้ทัน ไม่งั้นก็ได้นอนมองฟ้าไปแล้ว
“ชอบบอกว่ากูทำอะไรไม่คิด มึงก็ไม่ได้ต่างจากกูหรอกชงโค”
ผมทำแค่ยักไหล่ แล้วนั่งลงแทนที่พี่ทอง เขาเลยยิ่งดูหงุดหงิดเข้าไปอีก แถมก่อนจะเดินหนีไปก็ยกเท้าขึ้นมาเตะที่กลางหลังผมอีกต่างหาก แต่ก็ไม่ได้เจ็บอะไรหรอกครับ เพราะเขาเตะเบาๆ เท่ากับแรงสะกิด
“ชงโค เดี๋ยวเตี่ยจะเอาหมูมาให้ ถ้าเขาถามถึงกูบอกว่ากูไปเก็บผักบุ้งนะ” พี่ทองตะโกนมา ผมเลยชูมือโอเคไปให้ แล้วผักบุ้งที่เขาว่านี่ก็ไม่ได้อยู่ไกลครับ แปลงผักบึงน้ำใสหลังกระท่อมปลายนานี่เอง เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึง
เมนูเย็นนี้ที่พี่ทองอยากกินคือผัดผักบุ้งไฟแดงกับหมูสามชั้นย่างไฟแรงๆ กินกับข้าวต้มที่ผมยังไม่มั่นใจเลยว่าไม่มีหม้อหุงข้าวแล้วจะทำออกมาได้ดีไหม
ทั้งๆ ที่บ้านใหญ่อันแสนสะดวกสบายของเขาก็อยู่ไม่ไกล ปั่นจักรยานรุ่นคุณป้าจ่ายตลาดไปแค่ไม่กี่นาทีก็ถึง แต่ทำไมพวกเราถึงต้องมาทำกินกันเองให้ลำบากนักก็ไม่รู้ -*-
ผ่าฟืนเสร็จแล้ว กำลังจะเอาหญ้าสดที่เพิ่งไปเก็บมากับพี่ทองเมื่อตอนสี่โมงเย็นไปให้เดซี่ เสียงมอเตอร์ไซค์ฮ่างพ่วงข้างด้วยที่นั่งสำหรับผู้โดยสารเหมือนรถส่งน้ำแข็งก็ดังมาแต่ไกล พร้อมกับชายร่างใหญ่วัยกลางคนที่ขี่กินลมพร้อมกับร้องเพลงควายหายของลุงสุรพลมาตามทาง
‘ชะชะช่า ใครวะ ขโมยควายไป ชวนคิด แค้นเป็นฟืนไฟ ผมไม่อาจฝืน ชะชะช่า ใครลักรีบเอามาคืน ถ้ารู้ตัวเป็นโดนปืน รีบคืนเร็วไว’
เสียงเพลงลอยมาตามลมปนเสียงเร่งเครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซค์รุ่นล้าสมัย แล้วการแต่งตัวนั่นมันอะไร...แนววินเทจเหรอ =[]=
“อาทองงงงงงงงงงงงงงงงงง อั้วเอาหมูที่แม่อั้วหมักให้ลื้อด้วยสูตรพิเศษมาส่งงงงงงง”
นี่ถ้าพี่ทองไม่บอกไว้ก่อนว่าเตี่ยของเขาจะเอาหมูมาให้ล่ะก็...ผมคงคิดว่าเป็นลุงคนสวน -*-
ทันทีที่กวาดมองรอบบริเวณแล้วไม่เห็นลูกชาย เตี่ยของพี่ทองก็หันกลับมาสนใจผมในทันที
“ลื้อเห็นอาทองรึเปล่า”
พี่ทองให้ผมบอกเตี่ยของเขาไปว่าเขาไปเก็บผักบุ้ง แต่ไม่รู้ว่าเขาลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าผมพูดไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะบอกเตี่ยของพี่ทองได้ยังไง
เอาล่ะ ผมต้องยกมือไหว้สวัสดีก่อน แล้วจากนั้นค่อยชี้โบ้ชี้เบ้ไปที่บึงหลังบ้านก็แล้วกัน
“อ่า...อั้วรู้จักลื้อ ลื้อพูดไม่ได้ใช่ไหมอาชงโค ไม่เป็นไรๆ อั้วแค่เอาหมูมาให้ ที่นี่สวยใช่ไหม ฝีมืออั้วเอง” ไหนพี่ทองบอกว่าเป็นฝีมือเขา เตี่ยแค่มาช่วยจับค้อนส่งให้เขาตอกตะปูก็เท่านั้น เออ แต่เห็นสองคนนี้แล้วผมก็แยกไม่ออกล่ะครับว่าคนไหนพูดจริง คนไหนโม้ -_-
“อาม่าอยากเจอลื้อนะ พรุ่งนี้ไปหาม่าด้วย เพราะเมียอั้วบอกกับม่าว่าลื้อเป็นแฟนอาทอง”
ห่ะ =[]= ทำไมม๊าไปบอกอย่างนั้นล่ะ ผมกับพี่ทองเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ!!
“ลื้อไม่ต้องทำหน้าตกใจ เมียอั้วสอนมาดี อั้วไม่ว่าหรอก เพราะอั้วเข้าใจในสไตล์ของลูกชาย ม่าก็ไม่ว่า เพราะตั้งแต่อาทองเกิดมา ม่ายังไม่เคยขัดใจสักครั้งเลย สบายใจได้ๆ” เตี่ยของพี่ทองพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ยื่นหม้อที่เต็มไปด้วยเนื้อหมูหมักอยู่ข้างในให้ผมพร้อมกับตบลงที่ไหล่ผมเบาๆ ในขณะที่ผมทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ กลับไป
“ว่าแต่...นมเล็กไปนะ ลื้ออยากทำนมไหม”
พ่นไฟ!! ผมอยากพ่นไฟ! อะไรทำให้เตี่ยถามผมแบบนี้!!!
“นมเดซี่ยังใหญ่กว่าของลื้ออีกนะชงโค ระวังจะสู้เดซี่ไม่ได้ แล้วจะหาว่าอั้วไม่เตือน”
เหยยย พี่ทองชอบคนนมใหญ่เหรอ =_=;
“เอาไง สนใจไหม อั้วมีหมอมือดีแนะนำ รับรอง...เป๊ะ เลขาอั้วก็ไปทำ...” เตี่ยยังพูดไม่ทันจบ เสียงของพี่ทองก็ตะโกนมาจากข้างหลังขัดจังหวะเข้าซะก่อน
“เตี่ยยยยยยยยยยยยยยยย นี่หาลูกค้าไปทำนมอีกแล้วใช่ไหม หยุดเลยนะหยุดเลยยยยยย”
พี่ทองวิ่งทักๆ เข้ามาพร้อมกับตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักบุ้งแกว่งอยู่ที่แขนข้างหนึ่ง ใบหน้าขาวๆ แดงเล็กน้อย และใบหูข้างขวาก็ยังมีสายคล้องผ้าปิดจมูกคล้องไว้
“ทำดีอั้วก็อยากแนะนำต่อ”
“ดีบ้าอะไร เลขาเตี่ยน่ะนมเบี้ยวไปข้าง จำไม่ได้เหรอ! ฮะ...ฮัดเช้ย!” พี่ทองทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะสวมมงกุฎดอกผักบุ้งไว้บนหัวผม จมูกแดงๆ ทำให้ผมต้องอุ้มหม้อใส่เนื้อหมูไว้ด้วยมือข้างเดียว แล้วควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงเพื่อเอามาเช็ดจมูกให้เขา
“ใช้งานหนักเกินไปมันก็เลยเบี้ยวไง ไม่เกี่ยวกับหมอ”
พี่ทองไม่ได้สนใจที่เตี่ยของเขาพูดเลยสักนิด หันมาจัดมงกุฎดอกผักบุ้งให้ผมพร้อมๆ กับจามไปด้วย
‘ใส่ผ้าปิดจมูกไว้สิ’
“ไม่เอา เดี๋ยวไม่หล่อ”
‘ตอนนี้ก็ไม่หล่ออยู่แล้ว น้ำมูกก็ไหล จมูกก็แดง ไม่ได้เหมือนฉากในหนังที่พระเอกทำหรอกนะ ใส่เถอะ เดี๋ยวก็เป็นหนักหรอก’
พี่ทองทำหน้ายุ่ง ก่อนจะหันไปค้อนใส่เตี่ยของเขาที่กำลังทักทายเดซี่อย่างสนิทสนมเป็นกันเองอยู่ “เพราะเตี่ยคนเดียวเลย สเปิร์มไม่แข็งแรงผมถึงได้เกิดมาอ่อนแอแบบนี้”
“อะไรก็โทษอั้ว ลื้อหล่อได้ขนาดนี้ไม่ใช่เพราะสเปิร์มไม่แข็งแรงของอั้วรึไง”
“ไม่ใช่ดิ ผมหล่อได้เพราะไปฝังตัวอยู่ที่ผนังรังไข่ของม๊าต่างหาก ^^”
“ลื้อเป็นเด็กที่เกิดมาจากท้องวัว รู้ไว้ซะด้วย”
“ผมจะฟ้องม๊าว่าเตี่ยว่าม๊าเป็นวัว”
พวกเขาเถียงอะไรกันผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ...แต่ที่สัมผัสได้ก็คงมีแค่ความรักความอบอุ่นของพ่อลูกคู่นี้ เป็นความรู้สึกที่ตลอดชีวิตของผมไม่เคยสัมผัสถึง
ไม่ต้องเป็นพ่อที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องเป็นพ่อที่ดีกว่าใคร จะบ้า จะเพี้ยน หรือแต่งตัวสไตล์ไหนก็ช่าง แค่เป็นพ่อที่รักผม...เท่านั้นผมก็พอใจแล้ว แต่ทำไม...คนเราถึงได้รับไม่เท่าเทียมกัน...
ภาพที่ผมกับพ่อยืนคุยเป็นกันเองเหมือนเตี่ยกับพี่ทองแบบนี้...คงไม่มีวันเกิดขึ้นจริงในชีวิต
“อั้วไปละ เย็นนี้ต้องไปส่งน้ำแข็ง”
เอ๋! นั่นรถส่งน้ำแข็งจริงๆ เหรอ!
“เมื่อไหร่เตี่ยจะเลิกทำพาร์ทไทม์ซะที ไปช่วยม๊าเฝ้าร้านบ้างสิถ้าว่างนักน่ะ”
“ใครบอกว่าว่าง ไม่ว่างเว้ย แต่เมียเจ้าของบ้านที่เอาน้ำแข็งไปส่งมันสวยถูกใจอั้วนี่หว่า ฮ่าๆๆ ไปละ”
เป็นคำตอบที่ชัดเจน แต่พี่ทองก็ไม่ได้ทำทีว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เลยสักนิด กลับเป็นผมเองที่มองตามมอเตอร์ไซค์ฮ่างคันเก่าไปจนลับตา เพราะประโยคที่เตี่ยพูดก่อนไปเมื่อกี้ทำให้ไม่สบายใจเลย
‘พี่จะไม่ห้ามเตี่ยหน่อยเหรอ...ม๊าจะเสียใจนะถ้ารู้เรื่องนี้’
“เตี่ยกับม๊าเขาไม่ทะเลาะกันด้วยเรื่องแค่นี้หรอก อยู่กินด้วยกันมานาน นิสัยของอีกฝ่าย ต่างคนก็ต่างรู้ดี ไม่จำเป็นต้องไปกังวล กูโตมาจนป่านนี้นิ้วสิบนิ้วยังนับกิ๊กของเตี่ยได้ไม่หมด แต่ก็แค่นั้นล่ะ เตี่ยรู้ขอบเขตของตัวเอง ถ้าเกินเมื่อไหร่ม๊าก็จัดการได้เอง ไม่ต้องห่วง ม๊าน่ะเข้มแข็งมากนะ เพราะฉะนั้นก็เลิกทำหน้าไม่สบายใจได้แล้ว”
เข้มแข็ง...ก็ไม่ใช่จะร้องไห้ไม่เป็นนี่นา ผมอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ แต่เมื่อได้รู้จักกันแล้ว...ก็ไม่อยากให้ม๊าต้องเป็นเหมือนแม่ของผม แม่ที่แอบร้องไห้หลังจากที่คิดว่าผมหลับไปแล้วทุกคืน...ร้องไห้เพราะพ่อ...มีคนอื่น
“กูถึงได้บอกไงว่ามึงน่ะใจดีเกินไป...ไม่ต้องเก็บเอาปัญหาของคนอื่นมาใส่หัวตัวเองหรอก แต่ละคนก็มีทางแก้ปัญหาของตัวเอง ชีวิตถ้าไม่ได้ใช้...แล้วมันจะเป็นชีวิตได้ยังไง จริงไหม”
‘แต่บางทีปัญหาก็แก้คนเดียวไม่ได้ เพราะอย่างนั้นถึงได้มีคำว่า ‘ช่วย’ เกิดขึ้นบนโลกไง’
“มันก็จริง แต่อย่าลืมนะว่า ช่วย จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ร้องขอ หรือผู้ให้ได้รับการตอบรับจากผู้ร้องขอเท่านั้น เพราะไม่อย่างนั้น...คำว่าช่วย มันจะกลายเป็นคำว่าเสือกไป”
งั้นตอนนี้...ผมเสือกเรื่องครอบครัวของเขาเหรอ?
“อย่าทำหน้าอย่างนั้น กูไม่ว่า มึงนี่บทจะคิดมากก็คิดมากซะกูปวดหัว”
‘ก็พี่พูดอย่างนี้ออกมาทำไม มันเหมือนว่าผมอ้อมๆ ว่าผมเสือก’
“ก็แค่อธิบายไง อธิบายอ่ะ ไม่ได้ว่า”
ผมขี้เกียจตอบโต้กับเขา ก็เลยถือหม้อมาวางไว้บนแคร่หน้าบ้าน พี่ทองยกเตาอั่งโล้ออกมาข้างนอกไว้ก่อนแล้ว เดี๋ยวก็คงจะทำอาหารกันที่นี่แหละครับ ไม่กลับเข้าไปในครัวหรอก เพราะครัวเล็ก ยืนด้วยกันสองคนก็เบียดจะแย่
“ชงโค โกรธเหรอ” พี่ทองเดินเข้ามาสมทบ เขาวางตะกร้าผักบุ้งลงแล้วคว้ากะละมังไปจากมือผมที่ยื่นส่งไปให้
ผมส่ายหน้า ก่อนจะลงมือทุบกระเทียมเพื่อเตรียมทำผัดผักบุ้งไฟแดง ส่วนพี่ทองก็ทำได้แค่ล้างผักล้างตะแกรงที่จะใช้ย่างหมูให้นั่นแหละครับ เพราะสกิลการทำอาหารของเขาไม่ค่อยมี เก่งแต่กินอย่างเดียว
กว่าจะได้กินก็ปาไปเกือบทุ่ม แต่ผมว่ามันก็คุ้มนะ เพราะอาหารที่พวกเราทำน่ะอร่อยมาก หรือจะด้วยว่าหิวมากๆ ก็ไม่รู้แหละ สรุปโดยรวมคือดี คืออิ่ม แถมอากาศดีไม่แพ้ต่างจังหวัดเลยสักนิด เอาง่ายๆ ที่นี่เป็นพื้นที่จำลองชีวิตบ้านไร่ที่มีชายหนุ่มเลี้ยงวัวอาศัยอยู่เพียงลำพังเลยล่ะครับ ลมก็เย็น ฟังเสียงนกร้องก็เพลินดี ทั้งยังโรแมนติกยิ่งกว่าดินเนอร์ใต้แสงเทียนในโรงแรมหรูๆ เพราะใต้แสงเทียนของที่นี่ ก็สวยไม่แพ้กัน...ยิ่งรอยยิ้มของคนที่นั่งบนแคร่กินข้าวอยู่ตรงข้ามกัน
“แสงสลัวแล้วน่ารักว่ะมึง” มีแต่คำพูดนี่แหละที่ไม่เคยสวยเลย -*-
‘พี่ก็โคตรหล่อเลย’
“ทำอะไร แสงไม่พอ มองไม่เห็น”
‘ผมบอกว่าพี่โคตรหล่อ’
“ก็บอกว่ามองไม่เห็นไง มานั่งใกล้ๆ ดิ”
เทียนก็เพิ่งจุดเล่มใหม่ สว่างกว่าเมื่อกี้อีก หรือพี่ทองตาบอดในความมืด -*-
ผมขยับเข้าไปนั่งใกล้พี่ทองอีกนิด ในขณะที่เขาก็ขยับเข้ามาเช่นกัน แต่เห็นรอยยิ้มกวนตีนบนใบหน้าของเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าไอ้ที่มองไม่เห็นน่ะ พูดไปอย่างนั้นเอง -*-
‘ตาบอดในความมืดหรือไง สว่างขนาดนี้ยังมองไม่เห็น’
“บอดเพราะความรักต่างหาก แล้วถ้ารู้ว่าสว่าง จะขยับมาทำไม ^^”
สำหรับคำถามของพี่...มันยังมีเหตุผลอื่นอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่ว่าผม...อยากนั่งใกล้ๆ
“โห แก้มมีกลิ่นหมูปิ้งด้วย ดอกชงโคจะไม่หอมก็คราวนี้แหละมั้ง”
จะไม่ให้มีกลิ่นหมูปิ้งได้ไง ก็นั่งปิ้งหมูให้พี่จนหมดหม้ออ่ะ ยังจะมาล้อผมอีก -*-
“ชงโค...กูถามได้รึเปล่าวะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่ทอง ก่อนจะพยักหน้าทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคำถามของเขาคืออะไร
“ทำไมถึงอยู่บ้านคนเดียว...พ่อแม่ไปไหน”
เป็นคำถามที่ผมรู้คำตอบดี...แต่ก็ไม่เคยตอบคำถามนี้กับใคร ไม่เคยแม้แต่จะพิมพ์หรือใช้ภาษามือตอบคำถามเหล่านี้...เพราะผมไม่อยากให้บทสนทนามันต้องจบลงด้วยคำว่า ‘เสียใจด้วยนะ โชคร้ายจริงๆ ไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้เลย’
เป็นประโยคแพทเทิร์นที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ใครหลายๆ คนมักจะใช้แสดงความเห็นใจ แต่กลับใช้บ่อยจนผมแยกไม่ออกว่า...เห็นใจจริงๆ หรือแค่ตามมารยาท เพราะแม่ของบิ้วก็พูดแบบนี้ในวันแรกที่พ่อพาเข้ามาอยู่ในบ้าน
“อยู่ต่างจังหวัดเหรอ หรือต่างประเทศ” พี่ทองถามต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้กระตุ้นจะเอาคำตอบมากนัก
‘พี่โง่มากนะ ตอนที่พี่ไปอยู่กับผม พี่ก็เห็นผมจุดธูปไหว้รูปของแม่ทุกคืน แล้วพี่ยังคิดไม่ออกอีกเหรอว่าแม่ผมไปไหน’
“เฮ้ มึงโกรธเหรอ” พี่ทองมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ ก่อนมือข้างหนึ่งจะวางลงบนไหล่ของผมเบาๆ “กูขอโทษ กูอยากรู้จักมึงให้มากขึ้น แต่กูแค่ไม่รู้จะเริ่มถามยังไงเท่านั้นเอง... บอกได้ไหมว่าแม่เสียไปตอนไหน...แล้วกูก็ไม่เห็นรูปของพ่อเลย พวกเขา...เสียไปพร้อมกันใช่ไหม ชงโค...”
ผมไม่ควรพาลใส่เขา...ใช่ ไม่ควร เพราะเป็นผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดเรื่องที่คิดว่าจะทำให้คนฟังเสียใจได้ยังไง แต่ก็เลี่ยงที่จะไม่ถามไม่ได้ ในเมื่อยังไงก็อยากรู้จักให้มากขึ้น
“แค่อยากรู้...ว่ามึงเริ่มอยู่คนเดียวอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผมมองหน้าพี่ทอง ก่อนจะเสมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ตอนนี้พระจันทร์กลมโตกำลังส่องแสงสีนวล
‘แม่ตายตอนผมอยู่ปอสี่ แล้วผมก็อยู่คนเดียวมาตั้งแต่ตอนนั้น’
พี่ทองยกมือขึ้นลูบหัวผม เป็นความอบอุ่นที่จะได้รับเสมอเมื่อถูกมือของเขาสัมผัส
“แล้วพ่อล่ะ”
‘ผมไม่มีพ่อ’
“ชงโค...”
‘ไม่เคยมี แล้วพี่ก็ไม่ต้องมาสงสารผม ชีวิตผมมีแค่แม่เท่านั้น...ไม่เคยต้องการพ่อ’
พี่ทองไม่ได้พูดอะไรพักใหญ่ แค่ลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น แต่หลังจากที่ปล่อยให้ระหว่างเรามีแต่ความเงียบ เขาก็พูดเสียงกลั้วหัวเราะออกมาว่า “กูไม่สงสารหรอก แค่หาผ้าเช็ดมือ”
แล้วผมก็รู้ได้ทันทีว่าผ้าเช็ดมือนั่นน่ะจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากหัวของผม อี๋ ไอ้พี่ทองเอามือที่จับหมูปิ้งมาลูบหัวผมอ่ะ!! สกปรกจริงๆ
“เฮ้ยๆ อย่าตีนะเว้ย ถ้าตีกูจับจูบจริงๆ นะ” พี่ทองลอยหน้าลอยตาพูด ในขณะที่ผมเงื้อมือค้างกลางอากาศไว้
ว่าแต่...พี่ทองคิดจริงๆ เหรอว่านี่เป็นคำขู่
ถ้าเขาคิดอย่างนั้นผมก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาคิดผิด...เพราะผมไม่ใช่คนขี้อายอะไรเลย แถมยัง...กล้าได้กล้าเสียอีกต่างหาก
เพียะ!
“มึงนี่มัน!” พี่ทองยิ้มเหี้ยม ชี้หน้าผมได้ไม่เท่าไหร่ก็ดึงตัวผมไปนั่งบนตักแล้วก้มหน้าลงต่ำ ก่อนจะปิดปากของผมด้วยริมฝีปากได้รูปของเขา แล้วตอนนี้...อุ่นอะไรก็ไม่เท่ากับความอุ่นจากริมฝีปากของเขาอีกแล้ว...
“อื้อ!” ผมส่งเสียงท้วงเมื่อพี่ทองกัดริมฝีปากล่างของผมเข้าอย่างจัง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ พร้อมกับที่ริมฝีปากถูกถอนออกไป
“ชอบความรุนแรงไม่ใช่ไง พอทำรุนแรงใส่บ้างก็ร้อง ไม่ไหวเลยเด็กคนนี้”
‘พี่ก็ผู้ใหญ่รังแกเด็ก นิสัยไม่ดี’
“ทีตัวเองตีเอาตีเอานี่ยังไม่ว่าเลยสักคำ โดนทำกลับบ้างล่ะทำงอน”
‘ผมต้องใช้ปากกินข้าวนะ พี่ไม่รู้หรอกว่าการมีแผลในปากน่ะเจ็บแค่ไหน’
“ก็ไม่รู้น่ะสิ สุขภาพในช่องปากดีมาตั้งแต่เกิด”
‘เดี๋ยวได้รู้เพราะปากดีอย่างนี้ไง’
กึก!
“โอยยยยย ไอ้เอ็กอ้า!”
ร้อง ร้องเลย ร้องเข้าไป พี่จะได้รู้ซะบ้างว่าคนโดนกัดปากมันเป็นยังไง แถมปากดีอย่างนี้กัดให้หลุดเลยดีไหม จะได้เข็ด! แต่แล้วด้วยความใจโหดของพี่ทอง เขาก็ดีดหน้าผากผมอย่างแรงเสียงดัง ปึก! น้ำตาซึมเลยคราวนี้ เพราะมันแรงมากจริงๆ จนต้องยอมปล่อยเขา แล้วยกมือถูหน้าผากเพื่อบรรเทาความเจ็บของตัวเอง
“ชงโค! เห็นไหม เห็นไหม! มันบวมหมดแล้ว กูกัดมึงเลือดยังไม่ออกขนาดนี้เลย ปากใช้การไม่ได้อย่างนี้จะเอาที่ไหนไปจูบมึงอีกหา!”
นี่พี่ไม่ได้กังวลเรื่องจะกินข้าวเลยใช่ไหม เรื่องจูบนี่เรื่องใหญ่กว่าปากท้องเหรอครับคุณทองคำเอก -_-
‘เรื่องของพี่ดิ ไม่เกี่ยวกับผม’
“ให้มันได้อย่างนี้!”
ผมหัวเราะกับหน้าบึ้งๆ ของพี่ทอง เพราะยิ่งมองยิ่งโคตรตลก ปากเขาบวมมาก แล้วพอหน้าบึ้งก็ยิ่งเหมือนเป็ดแก่ๆ เข้าไปทุกที แต่เห็นแก่ความรู้สึกผิดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจเพียงน้อยนิด ผมไปหายามาใส่ให้เขาดีกว่าครับ ไม่งั้น...พรุ่งนี้เช้าคงทรมาน
มอออออออออ มอออออออออออออ มอออออออออออออออออ
เสียงโทรศัพท์สุดคลาสสิคของพี่ทองดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมมองหน้าจอมือถือของเขาที่วางอยู่ใกล้มือผม ก่อนจะหยิบขึ้นมาแล้วส่งให้กับเขา
“กูไม่รับ” พี่ทองบอกเสียงเข้ม จากหน้าที่บึ้งอยู่แล้วกลับบึ้งยิ่งกว่าเดิมอีก
ผมวางมือถือของพี่ทองลงแล้วกดปิดเสียง เพราะเสียงของเดซี่ตัวจริงยังน่าฟังกว่าเสียงที่ดังจากโทรศัพท์มาก
‘เขาอุตส่าห์โทรหา ก็รับหน่อย’
“อยากให้รับจริงๆ ใช่ไหม” พี่ทองถามพร้อมกับที่สายตาของเขาจ้องมองมา “ไม่แคร์เลยเหรอ ถ้ากูจะรับสายนิลตอนที่เราอยู่ด้วยกัน”
‘เขาอาจจะมีเรื่องสำคัญ อาจจะกำลังเดือดร้อน ไม่งั้นคงไม่โทรหาพี่หรอก’
พี่ทองมองผมอีกแค่ไม่นาน ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วตัดสินใจรับสายของพี่นิลที่โทรเข้ามาเป็นครั้งที่ห้า ในขณะที่ผมเก็บถ้วยเก็บจานไปพลางๆ
“ว่าไงนิล ผมอยู่ที่บ้าน ใช่ นิลมีธุระอะไรรึเปล่า พรุ่งนี้เหรอ ผมไม่ว่างหรอก ไอ้ดีนก็อยู่กับนิลอยู่แล้ว ให้มันพาไปสิ อืม นิลมีเรื่องแค่นี้ใช่ไหม ผมเหรอ...อยู่กับชงโค ใช่สิ ที่บ้านของผม อืม งั้นผมวางแล้วนะ นิลก็นอนได้แล้วล่ะ ครับ ไว้ผมโทรบอกไอ้ดีนให้ก็แล้วกัน”
พี่ทองคุยเสร็จก็มาช่วยผมเก็บข้าวของไปแช่ไว้ เพราะมืดๆ อย่างนี้คงล้างลำบาก แต่ที่แปลกไปคือท่าทีของเขา... เขาแค่บอกให้ผมไปอาบน้ำพร้อมกับยื่นไฟฉายมาให้แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น และตอนที่กำลังเดินสวนกันระหว่างทางไปห้องน้ำ...เขาก็ไม่พูดกับผมเช่นกัน
เป็นอะไรของเขา...หรือโกรธที่ผมบอกให้รับโทรศัพท์ ไม่น่า...พี่ทองคงไม่น้อยใจด้วยเรื่องไร้สาระอะไรอย่างนั้นหรอกมั้ง
ช่างเถอะ พรุ่งนี้คงหายเองแหละ เขาไม่เคยโกรธนานอยู่แล้ว ผมอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนดีกว่าเพราะพูดตรงๆ นะว่า วันนี้เหนื่อยเหมือนเอาชีวิตสิบวันมารวมกันเสียอีก -*-
..............................................To be continue............................................
ตอนนี้เรื่อยๆ มาเรียงๆ จริงๆ แถมยังมาดึก อะเหยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
กำลังปูทางไว้ เพื่อพาชงโคไปตามฝัน

่ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นค่าาา
**แก้คำผิด