บทที่ 4 พี่ชาย พี่สาว และแก๊งโทระซึกิ
หลังจากผ่านขบวนต้อนรับอันน่าตกใจ ผมก็ได้พบกับพี่ชายและพี่สาวที่ห้องรับแขก บางทีผมอาจจะทำตัวถูกที่ถูกทางกว่านี้ ถ้าทั้งสองคนนั้นไม่.......
“หวา ผิวขาวจังเลย เนียนกว่าฉันอีกเนอะ พี่ไทจิ”อายากะ พี่สาวผมพูดพร้อมกับดึงแก้มผมสองข้างจนผมปวดแก้มไปหมด
“ใช่ ขาวน่ากิน เอ้ย! ขาวเกินไปแล้ว ไม่เคยออกแดดเลยรึไงวะเนี่ย” ไทจิ พี่ชายผมก็เอาแต่ลูบแขนผมพร้อมทำหน้าตาน่ากลัวนั่น เรื่องแบบนี้มันดำเนินมามากกว่ายี่สิบนาทีแล้วที่ทั้งสองคนเอาแต่วิจารณ์รูปร่างหน้าตาผม ตาสวยคมบ้างล่ะ ริมฝีปากน่าจุ๊บบ้างล่ะ แก้มนิ้มนิ่มบ้างละ เอวบางร่างน้อย น่ากอดบ้างล่ะ แถมไม่พูดเปล่า จับทุกอย่างที่พูดเลยด้วย ถ้าจะบอกว่าตอนนี้ผมถูกพี่ชายและพี่สาวกำลังลวนลามอยู่ละก็ ถูกต้องเลยล่ะ
“ผะ...ผมเจ็บแก้มครับ อย่าดึงครับ ...อะ...อย่าลูบครับ ไม่ได้ครับ”
พอผมห้ามตรงนี้ ก็ไปตรงนั้น สองคนนี้มืออย่างกะปลาหมึก โว้ย เมื่อไหร่พ่อจะมาสักทีวะ ทำไมทิ้งผมให้อยู่กับคนประหลาดแบบนี้เนี่ย
“เรียกพี่สาวสิจ๊ะ พี่อายากะ แล้วจะปล่อย”เธอพูดยิ้มๆ แล้วดึงแก้มผมเล่นต่อไป
“ใช่ๆ เรียกพี่ชายด้วย พี่ไทจิไง”แล้วจะมาลูบขาผมทำไมวะ ขนลุกโว้ยยยยยย
“ครับๆ พี่อายากะ พี่ไทจิ ปล่อยผมก่อนเถอะครับ”ถ้าไม่ปล่อยคราวนี้ผมจะโกรธจริงๆด้วยนะ
“แหมน่ารัก”แล้วพี่สาวคนสวยก็หอมแก้มผมไปฟอดนึง
“น่ากิน เอ้ย! น่ารัก”แล้วพี่ไทจิก็ตามมาอีกฟอด
ผมนั่งเช็ดแก้มอย่างมึนๆ เมื่อทั้งสองกลับไปนั่งอย่างเป็นปกติอีกครั้ง
“ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปอีกนะเนี่ย เนอะ พี่ไทจิ”
“ใช่ พี่ร่ำๆ จะบินไปหาตั้งหลายรอบ ถ้าไม่ติดว่าคุณแม่ไม่ยอมอะนะ”
ผมมองพี่ชายและพี่สาวสุดสยองของผมสองคน
พี่ไทจิ เป็นคนที่สูงมาก ราว 185 เซนติเมตร จมูกโด่งอย่างกับสันเขื่อน ดาวตานิดุกว่าผมอีก คิ้วเข้มเฉียงขึ้นอย่างคนที่อารมณ์เสียตลอดเวลา ผมสีน้ำตาลเข้มหวีไปด้านหลังเพื่อเก็บผมให้เรียบร้อย แต่ก็มีปล่อยๆ ลงมาข้างหน้าบ้าง เขาถือว่าหล่อมากคนนึง ถ้าไม่ติดไอนิสัยมือปลาหมึกนั่นน่ะนะ
ส่วนพี่อายากะ จะเป็นผู้หญิงที่สวยเข้ม คนบ้านนี้หน้าดุกันทั้งบ้าน แม้ว่าเธอจะมีดวงตากลมโตสีดำดูน่ารัก แต่คิ้วกับตาค่อนข้างใกล้กันเลยทำให้ตาดูคมสวยไปเลย ริมฝีปากหนาหน่อยๆ พอเซ็กซี่ ผมสีดำหยิกเป็นลอนสลวย ทรวดทรงองค์เอวก็ถือว่าสะบึ้ม สวยอย่างหาที่จับได้ยากเลยทีเดียว
ส่วนผมก็หน้าคล้ายแม่มาด้วยเลยติดหวาน ยกเว้นตาดุๆ สีดำที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก ผมสีดำตรงยาวระต้นคอ บางส่วนก็ปรกลงมาปิดตาผม ทำให้ผมดูมืดมนเข้าไปอีก ผมตัวเล็กเพราะไม่เล่นกีฬา แล้วผมก็สูงแค่ 170 เซนติเมตรเอง ผมว่ามันก็ไม่น้อยนะ แต่พอยืนเทียบกับพี่ไทจิแล้ว ผมเตี้ยไปเลย
“ได้ข่าวว่าพึ่งจบปริญญาตรีมาหมาดๆ จบอะไรล่ะเรา” พี่ไทจิถาม แต่ยื่นหน้ามาใกล้ไปมั้ย
“อักษรศาสตร์เอกญี่ปุ่นครับ”
“อืม ก็ดี แล้วนอกจากญี่ปุ่นพูดอะไรได้อีกบ้าง”
“จีนแมนดาริน อังกฤษ ฝรั่งเศส แล้วก็ไทยครับ”
“อืม ใช้ได้ พูดได้หลายภาษาเลยทีเดียว ไว้ไปช่วยงานพี่ที่บริษัทดีมั้ย ยังไงสักวันมันก็ต้องเป็นของเราอยู่แล้ว”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมแค่อยากกลับบ้าน ไม่ได้จะมาแย่งอะไรใคร”ผมรีบปฏิเสธ กลัวพี่เขาโกรธ
“แย่งเยิ่งอะไรกัน แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวเมื่อถึงเวลาพ่อก็คงคุยกับเราเอง”
พี่ไทจิขยี้หัวผมอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป ส่วนอีกคนที่เงียบมาตลอดการสนทนาก็ยังคงใช้ตาดุๆ นั่นมองผมตาไม่กระพริบ
“มะ...มีอะไรครับ” ขนลุกเลยแฮะ
“หน้าหวานจังน้า แต่หน้าเหมือนแม่เล็กมาก ก็แม่เล็กเขาสวยขนาดนั้น ยกเว้นทรงผมน่ะ ผมปรกปิดหน้าปิดตาไปหมดแล้วรู้มั้ย แล้วพี่ก็รื้อกระเป๋าเสื้อผ้าเราแล้ว รสนิยมห่วยมากเลย เอางี้ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป เดี๋ยวพี่พาไปซื้อชุดใหม่แล้วก็ของใช้ส่วนตัว พาไปตัดผมด้วยเลยดีกว่า”เธอพูด แล้วดันตัวผมขึ้น พาขึ้นไปชั้นบน บังคับให้ผมอาบน้ำแล้วเธอก็เลือกๆ เสื้อผ้าที่เธอคิดว่าดูดีออกมา ผมก็รับมาแล้วเอาไปใส่อย่างงงๆ ก่อนจะโดนเธอลากตัวออกไปห้าง
เธอพาผมไปร้านตัดผมเป็นอย่างแรก พอเราเข้ามา คนที่นั่งทาเล็บอยู่บนโซฟาก็ลุกขึ้นมาหาพวกเราพอดี ดูจากแหวนเพชรและการแต่งการแล้ว เขาน่าจะเป็นเจ้าของร้าน
“สวัสดีค๊า คุณหนูซากุรากะ ว๊ายพาใครมาคะเนี่ย ไหนขอเจ๊ดูหน่อยสิค่ะ”อืม ผมว่าเขาไม่ใช่ชายแท้แล้วละนะ ผมจับหน้าผมเงย หันซ้ายหันขวาจนพอใจ ก่อนจะกรี๊ดว๊ายออกมา
“ตายแล้ว ลูกเต้าเหล่าใครค่ะเนี่ย ผิวเนียนสุดๆ เป็นคุณหนูที่สวยมากเลยนะค่ะ แต่ มอมแมมไปหน่อย”เธอก้มลงวิจารณ์การแต่งกายของผมด้วยสายตา เสื้อยืดกางเกงยืนมันผิดตรงไหนครับ=_=
“น้องของฉันเองค่ะ เจ๊ช่วยตัดผมให้เขาหน่อยได้มั้ยค่ะ เอาแบบที่เหมาะกับหน้าหวานๆของเขานะค่ะ”
“หา”ผมร้องเสียงหลง ตัดผมงั้นเหรอ
“โอเคเลยค่า แต่ตัดสั้นระวังจะเหมือนทอมบอกนะค่ะ เจ๊เตือนไว้ก่อน”ปากพูดไป มือก็เซ็ตๆ ผมลวกๆ หาทรงที่เหมาะๆ
“เด็กคนนี้เป็นผู้ชายต่างหากล่ะค่ะ”
“หา! เป็นผู้ชายที่หน้าหวานมากเลยนะค่ะ แหม ถึงเจ๊จะรับแต่ถ้าหนูยอมล่ะก็ เจ๊รุกให้ก็ไดนะจ๊ะ”
“มะ...ไม่ดีกว่าครับ” เหวอ น่ากลัวชะมัด
“ฮ่าๆๆๆ เจ๊ค่ะ นี่น่ะน้องชายคนสุดท้องของฉันนะคะ ลูกรักสุดหวงของพ่อเขา ถ้าเผลอทำอะไรลงไปละก็ เชือดค่ะ”พี่อายากะพูดขำๆ แต่เจ๊นี่หงอยไปเลย ....ขอบคุณนะพี่
“แหม เจ๊แค่ล้อเล่นค่ะ”
แล้วเจ๊แกก็พาผมไปนั่งบนเก้าอี้แล้วเริ่มตัดผมให้ผม ส่วนพี่อายากะก็นั่งอ่านนิตยสารรอ
พอตัดเสร็จ ทั้งเจ๊ ทั้งพี่อายากะ ทั้งผมเองต่างอึ้งไปเลย ผมซอยสั้นระต้นคอ หน้าม้าตัดสไลด์สั้นเหนือคิ้ว แต่แสกไปทางด้านข้างเพื่อไม่ให้บดบังใบหน้า ทำให้หน้าผมตอนนี้หวานขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว
"วาว!!!"
“สวยขึ้น หวานขึ้น ว๊ายยย น้องของพี่”แล้วผมก็โดนพี่อายากะกอดหมับซะเต็มรักเลย
“สวยจนเจ๊อายละนะค่ะเนี่ย”เจ๊จะอายทำไมละครับ=_=
“ไป พี่พาเราไปซื้อเสื้อผ้ากับของใช้ดีกว่า เปลี่ยนชุดสักหน่อยรับรอง เริด!!!”พี่แกยืนเงินไปให้เจแกปึกนึง ผมว่ามันเยอะกว่าค่าตัดผมจริงๆ อีกนะ โหย น่าเสียดาย
พี่อายากะพาผมมาหยุดที่ร้านขายเสื้อผ้าบุรุษ ดูจากการตกแต่งร้านแล้วผมว่า ราคาเสื้อผ้านี่ แพงหูฉี่แน่ ผมยื้อแขนพี่เขาไว้นิดนึง ผมไม่อยากได้ของแพงขนาดนี้หรอกนะ
“พี่ครับ ไปร้านอื่นเถอะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อจ่าย ไม่ต้องห่วง”แล้วพี่แกก็ชูสองนิ้วให้ผม ผมก็เหนื่อยจะค้าน ยังไงพี่อายากะก็ไม่ยอมอยู่ดี “เอาเสื้อผ้าโทนขาว น้ำเงิน ฟ้า ดำ เทา มาหน่อย เอาเป็นเสื้อแขนยาวมีกระดุมก่อนแล้วกัน”พี่สั่งพนักงานเหมือนมาบ่อย แล้วผมก็คิดว่าเธอคงมาบ่อยจริงๆ เพราะพนักงานที่เห็นเธอก็รีบมาตอนรับ ผู้จัดการร้านเองยังมา พนักงานคนหนึ่งเอาน้ำกับเค้กส้มมาเสิร์ฟ อีกหลายคนที่เหลือก็คอยหยิบของตามที่พี่แกสั่ง
“ไม่เอาตัวนี้ ใช่ๆ สีฟ้าอ่อนตัวนั้นแหละ”
“ไซส์นี้ใหญ่ไป เล็กกว่านี้อีกไซส์นึง”
“กางเกงสีน้ำตาลอ่อนตัวนี้เอา”
“เอาสีดำไปเก็บแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาวมา”
ผมวุ่นกับการลองเสื้อผ้า แล้วชุดก็ไม่ใช่น้อยๆ พี่แกเลือกมาไว้ตอนนี้เกือบยี่สิบชุดแล้ว แต่นับว่ารสนิยมของพี่ดีสุดๆ ไปเลย เพราะผมใส่แล้วดูดีเลยทีเดียว แถมสีไม่ฉูดฉาด ให้ความรู้สึกสบายตา กว่าจะเสร็จ เราใช้เวลาอยู่ที่ร้านนี้ไปเกือบสามชั่วโมง และชุดก็มากกว่าสี่สิบชุด ผมไม่รู้ว่าเธอเสียเงินไปเท่าไหร่ แต่ที่รู้ก็คือ ฟุ่มเฟือยมากกกกก
ผมคิดยังไงก็คิดไม่ตกว่าเราจะถือของทั้งหมดนี่ออกไปหมดได้ยังไง แต่เธอกลับหันไปนอกร้านกวักมือเรียกเบาๆ บอดี้การ์ดสูทดำห้าคนก็เดินเข้ามาในร้าน
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”ผมอ้าปากค้าง
“ตลอดแหละจ๊ะ”เธอหันมายิ้มนางฟ้าให้ผม
“เราจะกลับกันแล้วใช่มั้ยครับ”
“เรายังได้เส้อผ้าไม่ครบเลย ไหนจะรองเท้าอีก อ้อจริงสิ เธอเอาชุดนี้ไปเปลี่ยนเถอะไป”เธอยื่นเสื้อเชิตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสีน้ำตาลอ่อนให้ผม ผมเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยใจจำยอม ผมเหนื่อยจะตายชัก....
แต่เธอกลับบอกว่ายังซื้อเสื้อผ้าไม่ครบ พ่อ !!! กลับบ้านไป ผมจะโกรธพ่อ คอยดู
“โอเค เรียบร้อยใช่มั้ย ไปกันเถอะ เราต้องตัดสูทไว้ไปงานสังคมด้วยนะ” แล้วเธอก็ดึงแขนผมไปร้านตัดสูท
คนในร้านก็วัดนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ผมก็ยืนไปหุ่นให้พี่จัดการตามใจชอบ หลังจากที่เธอสั่งตามใจชอบแล้ว เธอก็พาผมไปร้านขายรองเท้า แล้วก็ร้านขายกระเป๋า และด้วยผมที่เธอเป็นคนที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เธอพาผมไปร้านของชุดชั้นในบุรุษด้วย คราวนี้ผมรีบบอกเธอว่าผมจะขอเลือกเอง เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็คอยดูผมเลือกอยู่ห่างๆ ถ้าอันไหนผมเลือกไม่ถูกใจเธอก็จะเดินมาบอกผมแล้วก็ช่วยเลือกอยู่ดี ผมอยากบอกว่าตอนนี้ผมอายมาก พนักงานในร้านพากันมองผมแล้วอมยิ้ม ผมรีบๆ ซื้อแล้วเดินออกมา ส่วนพวกบอดี้การ์ดที่ตอนนี้โดนลดความสำคัญไปเป็นคนถือของก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย กลับบ้านไปคงเคล็ดขัดยอกน่าดู
กว่าจะได้กลับบ้าน ผมเกือบเป็นลมด้วยความหิว ในห้องอาหารพี่ไทจิกับพ่อก็นั่งรออยู่แล้ว ผมก็ไปนั่งที่ว่างข้างพี่ไทจิ ส่วนพี่อายากะนั่งข้างพ่ออีกฟาก คนรับใช้จึงค่อยๆ ยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ
“ได้ของมาครบรึเปล่าเรา”พี่ไทจิหันมาถามก่อนจะจิ้มเนื้อของกุ้งมังกรเข้าปาก
“ครบครับ ขอบคุณนะครับ”ประโยคแรกผมตอบที่ไทจิ ส่วนประโยคหลังผมหันไปขอบคุณพ่อกับพี่อายากะ
“จ้า แต่พี่ยังไม่ได้พาเราไปสปาเลย ไหนจะยังเรื่องพวกของจุกจิกเช่นผ้าเช็ดหน้า นาฬิกา แหวน บลาๆๆๆ”
พี่อายากะเองก็ร่ายรายการใส่ผมซะยืดยาว ถึงแม้จะทำตัวไม่ค่อยถูก เพราะไม่ได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้มา แต่ผมก็รู้สึกดีมากๆ เลย แม้จะไม่ได้เหมือนภาพที่ผมเคยวาดไว้ แต่กลับเติมเต็มความรู้สึกในใจอย่างน่าประหลาด ความอบอุ่นของครอบครัว การพูดคุยเรื่องวันที่ผ่านมาบนโต๊ะอาหารตอนเย็น อยู่กันพร้อมหน้า.... ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนา อย่าได้มีสิ่งใดมากพรากเอาความสุขของผมไปอีกเลย
“พรุ่งนี้พี่จะพาเราเข้าบริษัทนะ พี่จะให้เราไปดูๆ งานจากเลขาพี่ เพราะเขาได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นหัวหน้าฝ่ายขาย ตำแหน่งนั้นเลยว่างพอดี ช่วงนี้เราเรียนรู้งานเป็นเลขาพี่ไปก่อนแล้วกัน”
“ครับ”
“เอานี่ กินเข้าไปเยอะๆนะ”พี่ไทจิคีบเอาเนื้อปลาหิมะย่างซีอิ๊วใส่จานผม ผมก็นั่งทานเงียบๆ ฟังพี่อายากะกับพี่ไทจิพูดคุยกัน ส่วนพ่อก็นั่งพยักหน้าเป็นผู้ฟังเหมือนผม
พอทานเสร็จก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอน พ่อแวะมาหาผมถามไถ่สารทุกข์สุขดิบก่อนจะออกไปตอนสี่ทุ่ม ผมเองก็เหนื่อยมาทั้งวันเลยนอนสลบทันทีที่หัวถึงหมอน
ตื่นเช้ามา ผมก็รีบแต่งตัวในชุดที่เรียบร้อยลงไปรอพี่ไทจิข้างล่าง พอพี่ไทจิลงมาเราก็ทานอาหารเช้าด้วยกัน ก่อนที่ผมจะไปที่บริษัทกับพี่ไทจิ
บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างและการขนส่งทางทะเล ซึ่งทำเม็ดเงินมหาศาลพอที่จะให้พี่อายากะถลุงเล่นๆ แบบเมื่อวานได้วันละหลายๆ หน และมีหลายสาขากระจายตามจังหวัดต่างๆ รวมถึงต่างประเทศ ตอนนี้พี่ไทจิทำหน้าที่เป็นประธานชั่วคราวเพราะพ่อหนีงานไปง้อผม พี่ไทจิเองก็ดีกับผม ไม่เคยคิดน้อยใจหรือเคียดแค้นผมเลย ซึ่งทำให้ผมสบายใจมาก
“ตื่นเต้นรึเปล่าเรา”
“ครับ”
“จำไว้อย่างนึงว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ก็ต้องให้บอดี้การ์ดตามไปด้วยเสมอ เราต้องระวังทุกย่างก้าว บอดี้การ์ดไม่ได้มีไว้ทำเท่ห์ แต่มีเพื่อไว้ เพื่อให้รอดชีวิต คิมต้องนึกถึงความจริงข้อนี้ให้ดี บางคนอาจเรียกพ่อว่ามาเฟีย แต่นั่นมันอดีตไปแล้ว ตอนนี้เราทำธุรกิจอย่างขาวสะอาด แต่อำนาจก็ต้องกุมไว้ไม่ให้สั่นคลอน เพราะฉะนั้นอาจมีศตรูเหม็นขี้หน้าบ้าง หรือไปเหยียบเท้าใครเข้า จำไว้ว่าตั้งแต่เราเหยียบเท้ามาญี่ปุ่นในฐานะคุณหนูของบ้านซากุรากะ เราก็ถูกหมายหัวเรียบร้อยแล้ว”พี่ไทจิพูดเครียดๆ ผมเองก็ได้แต่พยักหน้ารับ
สักพักรถก็มาถึงบริษัท พอผมลงจากเบาะหลังพร้อมพี่ไทจิ ทุกคนก็หันมามองผมด้วยความสงสัยว่าผมเป็นใคร พี่ไทจิเองก็ไม่ได้พุดอะไร เดินดุ่มๆ เข้าลิฟต์ ผมเองก็รีบเดินตามเข้าไปติดๆ
ทุกอย่างดูราบรื่น เลขาของพี่ไทจิก็สอนงานผมและผมเองก็คอยดูเวลาเขาทำงาน เรียนรู้เงียบๆ ไปควบคู่กัน พี่ไทจิทำงานหนักมาก เขาแทบไม่ได้พักเลยเมื่ออยู่ในเวลางาน แต่พี่ก็มันจะหันมายิ้มน้อยๆ เป็นกำลังใจให้ผมทุกครั้งที่เราเผลอสบตากัน ผมก็ยิ้มตอบ พักเที่ยงเราก็ลงไปกินข้าวกัน พอบ่ายพี่เขามีประชุม พี่ให้ผมตามไปประชุมด้วยและแนะนำผมกลางที่ประชุมว่าผมเป็นใคร ทุกคนโค้งคำนับผมอย่างเข้าใจดีว่าในอนาคตผมอาจจะมาบริหารแทนพี่ ทุกคนเลยดูนอบน้อมเป็นพิเศษ แต่กับเรื่องนี้ ผมต้องคุยกับพ่อแล้วว่าผมอยากให้ทุกอย่างเป็นของพี่ไทจิตามเดิม ผมไม่อาจทำร้ายจิตใจคนที่แสนดีกับผมได้หรอก
“พี่ไทจิ ผมจะไม่ขอรับช่วงต่อจากธุรกิจใดๆ ของพ่อทั้งนั้น มันจะเป็นของพี่ พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้”ผมบอกกับพี่ตอนที่เราอยู่ในห้องทำงานหลังประชุมเสร็จ
“มันเป็นของคิมนะ มันไม่ใช่ของพี่มาตั้งแต่แรก”
“พี่เป็นพี่ของผม ยังไงมันก็เป็นของพี่”
“เอาไว้ถึงเวลานั้น เราค่อยมาคุยกันแล้วกัน พี่ขี้เกียจเถียงเราแล้ว”
“ผมก็ขี้เกียจเถียงเหมือนกัน”
“วะ! ไอหนูนี่นิ ฮ่าๆๆๆ”
เย็นวันนั้นเป็นวันแรกที่ผมยิ้มได้อย่างปรอดโปร่งในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ผมขาดผมได้รับกลับมาแล้ว
นับวันพี่ทั้งสองคนก็ได้เติมเต็มความรู้สึกให้ผมจนตอนนี้ผมไม่รู้สึกว่ามันขาดแล้ว ส่วนพ่อ ผมเองก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขานัก เพราะเขายังต้องเคลียร์งานที่ทิ้งไปนานสองเดือน แต่ผมก็ไม่เหงาหรอกนะ จะเพราะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะบอดี้การ์ดผมคอยตามติดเป็นเงาตามตัวผมขนาดนี้
“นี่คือ คุณโทชิโร่ จะมาเป็นบอดี้การ์ดของลูกนะ”พ่อแนะนำผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์ สวมสูทดำ หน้าตาค่อนข้างดีให้ผม เดี๋ยวนี้มาเฟียเขาคัดหน้าตาด้วยรึเปล่านะ ลูกน้องพ่อหน้าตาดีทุกคนเลย เค้าโค้งคำนับผมหนึ่งครั้ง
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับคุณหนู”
“เช่นกันครับ”ผมก็โค้งคำนับเขาไปครั้งนึงตามมารยาท
ตอนนี้คนที่ผมพอจะคุยด้วยตอนที่พี่โทจิกับยุ่งกับงานและพี่อายากะออกไปข้างนอกก็คือโทชิโร่นั่นเอง
“โทชิโร่ซัง วันนี้วันอาทิตย์”
“ครับ คุณหนูจะไปไหนรึเปล่าครับ”
“ผมอยากไปซื้อหนังสือกับพวกเครื่องเขียนหน่อยนะครับ”
“งั้นผมจะพาไปครับ”
วันนี้พี่ไทจิกับพ่อต้องไปดูงานที่ท่าเรือแถวๆชินากาว่า ผมอยู่บ้านก็เบื่อๆ อยากไปหาหนังสืออ่านด้วย เลยรบกวนให้โทชิโร่พาไป ผมไปตอนบ่ายๆ ซื้อหนังสือเสร็จก็ประมาณสี่โมงเย็น ผมกับโทชิโร่ก็เดินเลนแถวๆ นั้นสักพัก ห้าโมงค่อยกลับไปทานข้าวเย็นที่บ้าน
“คุณหนูทราบหรือเปล่าครับ ว่าอาทิตย์หน้าจะเป็นงานวันเกิดของคุณไทจิ”
“เฮ้ย ผมไม่รู้เรื่องเลย”
“จะไปหาของขวัญให้คุณไทจิมั้ยครับ คุณหนูอยากซื้ออะไรให้คุณไทจิ ก็ตามสบายเลยครับ นายท่านให้เงินมากับมาผมไว้แล้ว คุณหนูต้องการอะไรก็แค่บอกผมครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“คุณหนูอย่าห้ามเลยครับ นี่เป็นเงินของคุณหนูเอง นายท่านใส่เงินไว้ให้ทุกเดือนตั้งแต่คุณหนูจากไปเมื่อ 13 ปีก่อน ตอนนี้มันก็เหมือนเงินเก็บของคุณหนูครับ”
“งั้น ก็ได้ครับ”
เราเดินกันไปเรื่อยๆ ผมเองก็ไม่รู้จะซื้ออะไรให้พี่ไทจิดี และก็ไม่มีอะไรถูกใจเป็นพิเศษ
“ผมไม่รู้จะซื้ออะไรดีครับ คุณโทชิโร่พอจะรู้ของพี่ไทจิอยากได้บ้างมั้ย”
“ผมเองก็ไม่ได้สนิทกับคุณไทจิ ต้องขออภัยด้วยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ...งั้น ผมซื้อนาฬิกาให้ดีกว่า”
เราสองคนเดินกันไปร้านขายนาฬิกาที่โทชิโร่แนะนำ ผมเลือกนาฬิกาเรือนเหล็กสีดำ หน้าปัดเป็นกลไกสีทองงดงามดูล้ำค่า เหมาะกับตำแหน่งของพี่ไทจิ ผมเอาให้คุณโทชิโร่ดู เขาก็พนักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ผมจึงเอานาฬิกาให้พนักงานแล้ววานเขาให้เขาห่อของขวัญให้ด้วย เมื่อจ่ายเงินเสร็จ ผมกำลังจะเดินออกจากร้าน แต่ทว่า
ฟุบ!!!
โทชิโร่รีบเข้ามาบังร่างผมให้ถอยห่างจากผู้มาเยือน ชายร่างสูงในชุดสูทราคาแพงที่เทาควันบุหรี่พร้อมผู้ติดตามในสูทดำของบอดี้การ์ดห้าหกคน ข้างนอกร้าน คนของพ่อที่ผมคุ้นหน้า สามคนกำลังคุมเชิงอยู่ คิดยังไงคนฝ่ายเราก็น้อยกว่า ผมอยากจะคิดในแง่ดีว่าบางทีเขาอาจจะมาซื้อนาฬิกา แต่ดูจากสีหน้าของโทชิโร่ซังแล้ว สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียดเลยทีเดียว
“สวัสดีครับ คุณโทระซึกิ ทาคุยะ”โทชิโร่เอ่ยทักคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้า ถ้าผมจำไม่ผิด โทระซึกิเป็นชื่อของแก๊งมาเฟียที่เป็นคู่แข่งของพ่อนี่นา
“คุณหนูซากุรากะ ยูกิสินะ”ยูกิเป็นชื่อของผมในภาษาญี่ปุ่น
“ทักทายกันแบบนี้ คุณหนูของผมก็ตกใจแย่สิครับ ผมว่า ไว้พบกันอย่างเป็นทางการในงานวันเกิดของคุณไทจิเถอะครับ”โทชิโร่กันผมให้อยู่หลังเขา ก่อนจะเอ่ยเจรจากับทาคุยะอย่างใจเย็น
“ไม่ใช่เรื่องของแก ถอยไป”เขาเอ่ยไล่โทชิโร่เสียงแข็ง ก่อนจะผลักโทชิโร่ให้พ้นทาง ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เขาเลยจับแขนผมไว้ไม่ให้หนีได้ ท่าทีเขาคุกคามอย่างเห็นได้ชัด
“ไง คุณหนูยูกิ ไม่ทักทายกันหน่อยเหรอครับ”แสยะยิ้มได้น่ารังเกียจจริงๆ
“โปรดมีมารยาทด้วยครับ”โทชิโร่รีบดึงผมออกมา ก่อนจะดันผมไปไว้หลังเขาเหมือนเดิม คนที่อยู่ขางนอกก็พยายามจะเข้ามาหาผมให้ได้ แต่ก็โดนลูกน้องของทาคุยะกันไว้ พนักงานในร้านเองก็รีบออกไปทางหลังร้าน ส่วนผู้จัดการก็ยืนสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ไม่กล้าเข้ามายุ่ง
“อะไรกัน แค่เข้ามาทักทายแค่นี้ ทำเป็นหวงไปได้”เขายืนพิงตู้โชว์นาฬิกาอย่างเซ็งๆ
“กรุณาถอยไปด้วยครับ”โทชิโร่พยายามพูดอย่างใจเย็นทั้งที่ร้อนใจใจจะขาด
“หึๆ แล้วพบกันใหม่นะ ยูกิจัง”เขายื่นหน้ามาหาผม โทชิโร่รีบกันไว้ จากนั้นพวกลูกน้องเขาก็เปิดทาง โทชิโร่รีบพาผมเดินออกไปจากร้าน แต่ก่อนที่ขาผมจะก้าวออกจากร้าน เสียงพูดไม่น่าฟังที่ออกมาจากปากของหัวหน้ากลุ่มโทระซึกิที่ลอยมาเข้าหูผมกับโทชิโร่เข้า ก็ทำให้เราทั้งสองคนรีบเร่งฝีเท้า เดินไปสมทบกับพวกที่รออยู่ข้างนอกแล้วกลับบ้านให้เร็วที่สุด โทชิโร่เองก็ถึงกับเคร่งเครียดจนถึงขีดสุด ส่วนผมเองก็รู้สึกไม่สบายใจถึงเรื่องวุ่นๆ ต่อจากนี้ขึ้นมาทันที
“หวงมากนักนะ หึ แต่ก็ทำให้อยากได้เข้าไปใหญ่เลย”
------------------------------------------------------------------------------------
ตัวละครยังออกมาไม่ครบ อย่าพึ่งทายพระเอกเลยค่ะ โฮะๆๆๆๆ
ขอโทษที่หายไปนะ ไม่ค่อยได้เข้ามาตอบ ช่วงนี้เผอิญยุ่งเรื่องที่บ้านนิดหน่อย 555+
แล้วขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อ่านแสดงความคิดเห็นแล้วกระปรี้ประเปร่าขึ้นมาทันทีเลย ฮึตสู้เลยค่ะ
สปอยไว้ก่อนว่าตอนหน้า รักใครชอบใครก็เชียร์คนนั้นนะค่ะ ส่วนสาวกคุณพ่อ ขอบอกเลยว่างานนี้ไม่มีพ่อ-ลูกแน่นอน 555+ คุณพ่อของเราเป็นชายแท้ค่ะ
นายเอกของเราชื่อไทยจะชื่อ คิม ส่วนถ้าอยู่ญี่ปุ่น ทุกคนจะรู้จักในชื่อ ซากุรากะ ยูกิค่ะ
ยังไงก็ ขอฝากยูกิของเราด้วยนะค่ะ