วันนี้ไม่มีงานแต่ไอ้หน้านิ่งมีเรียนช่วงสายๆ มันสั่งเสียก่อนออกจากห้องอย่างกับว่าผมเป็นเด็กสามขวบ ห้ามยุ่งกับเครื่องครัว ห้ามติดไฟ ห้ามทำเสียงดัง ห้ามดื่มน้ำอัดลม กาแฟ และน้ำเย็น แถมห้ามสูบบุหรี่ ห้ามยังไม่พอแม่งยังยึดไปหมดเลยด้วย มันบอกว่าถ้าหายแล้วค่อยสูบ ส่วนอาหารการกินมันบอกว่าจะสั่งร้านใต้คอนโดให้ ช่วงเที่ยงเขาจะเอามาส่งที่ห้อง ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น กูรู้นะว่ามึงไม่ได้เป็นห่วงกูหรอก มึงห่วงข้าวของจะเสียหายมากกว่า
“เห็นกูเป็นตัวปัญหาหรือไงไอ้ห่านี่” ผมบ่นไล่หลังเมื่อมันออกจากห้องไปได้สักพัก “จะไปด้วยก็ไม่ให้ไป แล้วกูจะทำอะไรดีวะเนี่ย” ผมมองกวาดไปทั่วห้องเพื่อหาของเล่นแก้เซ็ง พลันสายตาก็ไปเจอเข้ากับรูปวาดที่ใส่กรอบตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน
“เหมือนไอ้ห่าจ้าวเลยว่ะ” ที่มองไม่ออกเพราะมันเป็นภาพวาดล้อเลียนหัวโตๆ แต่จะว่าเหมือนก็ไม่เหมือนซะทีเดียวเพราะในรูปหัวจะเกรียนๆ และยิ้มแยกเขี้ยวจนจำหน้าเดิมไม่ได้ ส่วนไอ้หน้านิ่งก็เหมือนอยู่เพราะหน้ามันมีหน้าเดียวนั่นแหละ ต่อให้วาดหัวโตแค่ไหนก็ไม่ได้แตกต่าง
ผมค้นกระเป๋าหยิบแท็บเล็ตคู่ใจมาเล่นแก้เซ็ง เข้าบอร์ดตรวจดูนั่นนี่ไปเรื่อย ไอ้ห่าบั๊คแม่งไม่เข้าบอร์ดเลยว่ะ ส่วนไอ้จ้าวไม่ต้องเข้าไปดูสถิติการใช้งานเว็บก็รู้ได้ว่ามันไม่ได้เข้าเลยเพราะไอ้ห่านั่นถ้าเข้าบอร์ดมันต้องส่งกระทู้งี่เง่าเข้าประกวดคราวละสองกระทู้เป็นอย่างต่ำ
“พวกมึงข้าวใหม่ปลามันฟันกันเช้ายันเย็นเลยหรือไงวะ ไม่มีเวลาทำเรื่องอื่นกันเลย” ผมบ่น แต่ใจนึงก็กลัวว่าไอ้บั๊คจะทำเสียเรื่อง ถ้าแม่งทนไม่ไหวไปเจาะแจ๊ะไอ้จ้าวขึ้นมา มีหวังเรื่องยุ่งไปอีกเพราะไอ้ห่าจ้าวต้องหาเรื่องตั้งแง่ว่าไอ้บั๊คหลายใจแน่ๆ แผนของผมจะลงตัวสมบูรณ์แบบถ้าไอ้บั๊คทำตัวดีดีผลักดันความชื่นชมไอ้จ้าวให้ถึงขีดสุดจนมันต้องสารภาพรักออกมาแบบไม่หวังว่าจะสมหวัง แล้วตอนนั้นไอ้บั๊คค่อยหาโอกาสบอกว่าเลิกกับแฟนคนเก่าเพราะเขารอไม่ได้และหนีไปอยู่ต่างประเทศหรือหนีตามแฟนใหม่ไป อะไรก็แล้วแต่
“หวังว่ามึงจะเชื่อที่กูห้ามนะไอ้บั๊ค ไม่งั้นเรื่องคงยุ่งไปอีก” นั่งบ่นไปบ่นมาก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน ร้านอาหารเอาข้าวมาส่งและผมก็เหมือนหมาเชื่องๆ กินข้าวเสร็จก็นั่งเล่นบอร์ดเล่นเน็ตไปตามประสา เชื่อฟังคำสั่งเจ้านายที่ให้อยู่เฝ้าห้องไม่ออกไปไหน
“ร้านเป็นไงมั่งวะเนี่ย” คิดได้ดังนั้นจึงกดโทรศัพท์หาไอ้อิงค์ ผู้จัดการร้านแสนขยันของผม
อิงค์รายงานเหตุการณ์และรายได้ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ให้ฟัง ผมจึงบอกว่าคืนนี้อาจจะเข้าแต่ถ้าไม่เข้าก็คงเป็นคืนพรุ่งนี้ บอกมันให้จัดการร้านไปได้เลย แต่ถ้ามีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ค่อยโทรมาบอก
อิงค์เป็นคนเดียวที่ผมไว้ใจให้ดูแลทุกอย่างในร้านแทนผมได้ทั้งหมด มันเป็นคนน่าสงสารและซื่อสัตย์มาก ครั้งนึงมันเคยเสี่ยงชีวิตช่วยผมจากอุบัติเหตุ และอีกหลายครั้งที่ผมแกล้งลองใจเรื่องเงินๆ ทองๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าอิงค์ไม่มีทางจะหักหลังผมได้ ผมจึงเลื่อนตำแหน่งจากเด็กเสริฟเป็นผู้จัดการร้านซะเลย เอาไว้ถ้ามีโอกาสค่อยเล่าเรื่องของมันอีกก็แล้วกัน
“กลับมาแล้ว” เสียงไอ้หน้านิ่งดังขึ้นที่หน้าประตู นี่เพิ่งบ่ายโมง ทำไมมึงเรียนน้อยแบบนี้วะเนี่ย
“ทำไมกลับเร็วจังวะ” ผมออกไปหามันที่โซนห้องครัว ไอ้ห่านี่มาส่องเตาแก้ส ส่องเตาไมโครเวฟ ส่องข้าวของเป็นการใหญ่ “เดี๋ยวนะ ยังไม่ต้องตอบ” ผมเบรกมันไว้เมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาและกำลังจะตอบคำถาม “มึงตอบคำถามนี้ก่อน ว่ามึงส่องนั่นส่องนี่ทำไม” ผมทำท่าเอาเรื่อง
“ดูว่าคุณทำอะไรเสียหายบ้าง” นั่นไง กูกะแล้วเชียว
“กูไม่ใช่เด็กสามขวบนะโว้ย จะได้ทำของพัง ทำแก้วแตก ไฟไหม้ครัว ไอ้สัดนี่” จากที่ทำหน้าเคร่งเครียด มันก็หลุดยิ้มนิดหน่อย
“เด็กสามขวบยังพูดง่ายกว่าคุณอีกมั้ง แค่ขู่ก็คงกลัว แต่อย่างคุณ ขู่ก็ไม่กลัว พูดดีดีก็ยิ่งไม่ฟัง” มันว่าแล้วเดินไปนั่งถอนหายใจที่โซฟาตัวยาว
ผมเดินตามไปแล้วแอบมองหน้ามันก่อนจะนั่งใกล้ๆ “เป็นไรวะ ทำหน้าเหมือนขี้หักใน” มันเหลือบมองผมนิดหน่อยแล้วเอนหลังพิงเบาะพลางยกแขนก่ายหน้าผาก
“ไม่อยากไปเรียน” อ่าว ไอ้เด็กไม่รักดี “ไม่อยากเจอคนที่อยากเจอแต่ไม่อยากเจอ” ถึงจะงงไปหน่อยแต่ด้วยความฉลาดของกู กูก็เข้าใจ
“ใครวะ” มันยกแขนออกนิดหน่อยแล้วเหลือบมองผมอีกครั้ง “อย่ามาหาว่ากูขี้เสือกเพราะกูขี้เสือกมากกว่าที่มึงคิดหลายเท่านัก”
“..........” มันไม่ตอบ
“แล้วที่กลับเร็วไม่ใช่เพราะเลิกเรียนเร็วล่ะสิ หนีเค้ามาชัวร์เลย” ผมเดาสุ่มไปเรื่อย แต่ก็คิดว่าน่าจะเข้าเค้าเพราะหน้ามันหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด “เฮ้อ.. ตัวก็โตแต่ใจเล็กเท่าจิ๋มมด สู้ดิวะ ไม่สู้จะชนะได้ไง”
“หึหึ” มันหัวเราะแบบปลงอนิจจังแล้วยกแขนปิดตาต่อก่อนจะพูดโดยไม่มองหน้าผม “จะให้ไปส่งมั้ย” อยู่ๆ ก็ถามคำถามเลวๆ ออกมา
“แค่กๆ แค่ก โอ้ย ปวดหัว สงสัยไข้ขึ้นอีกละ แค่กๆๆ” ผมไอหน้าดำหน้าแดง
ไอ้หน้านิ่งถอนหายใจแล้วลุกขึ้นนั่งตัวตรงมองมาที่ผมอย่างเหนื่อยใจ “นอนนี่ก็ได้” มันบอกในที่สุด “แต่คุณต้องไปเอาเบบี้แบลงออกมาให้ผมก่อน” เบบี้แบลงอีกละ ทั้งหวงทั้งห่วง น่าหมั่นไส้จริง ผมทำหน้าไม่ค่อยพอใจ มันถอนหายใจแล้วพูดเสียงอ่อนโยน “ของแม่ผม แม่ซื้อให้ตอนที่พ่อไม่นอนบ้านคืนแรก แม่บอกว่าห่มเบบี้แบลงก็อุ่นเหมือนพ่อกับแม่กอดพร้อมกัน” ผมสลดไปเลยเมื่อได้ยิน ฮาไม่ออกเลยกู
“กูขอโทษ” ผมพูดออกมาในที่สุด ถึงจะไม่ได้เอาผ้ามันไปทำเสียหายแต่คิดถึงใจมันตอนหาผ้าไม่เจอก็ทำให้รู้สึกแย่ขึ้นมา
“ไม่เป็นไร คุณก็ไม่ได้ทำให้มันเสียนี่ ถึงจะทำผมตกใจก็เถอะ” มันยิ้มบางๆ คงเห็นว่าผมรู้สึกผิด “แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ” มาขอบคุณเรื่องอะไรวะ “คุณทำให้ผมรู้ว่า ผมยังนอนหลับได้ถ้าไม่ห่มเบบี้แบลง”
“เพราะกูเหอะ” ผมยืดตัวอวด
มันเอียงหน้ามองแบบเหยียดๆ แต่ก็อมยิ้มในตอนหลัง “ก็..มีส่วน” พูดให้ผมงงแล้วลุกหนีเข้าห้องนอนไปเลย
เดี๋ยวนะ
มันหมายถึงว่า ผมมีส่วนทำให้ไม่ต้องนอนห่มผ้าน้องเน่าสุดรักของมันงั้นเหรอ
บ้าน่า.. ไม่ใช่มันบ้านะ กูนี่แหละบ้า จะยิ้มทำฟวยไรฟระ
คืนนี้เราก็นอนด้วยกันอีกหนึ่งคืน ถามว่ามีวีรกรรมอะไรมั้ยก็ไม่มีหรอกครับ ตกค่ำก็ไข้ขึ้นนิดหน่อย อยากไปดูที่ร้านแต่มันไม่ยอม บอกให้กินยาแล้วนอนแต่หัววันแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปหลังจากถ่ายแบบลงนิตยสารเสร็จแล้ว
ผมหลับไปเพราะฤทธิ์ยาและตื่นมาอีกทีตอนดึกสงัดเพราะไอ้หน้านิ่งยกแขนยกคอผมเพื่อเช็ดตัว
“เช็ดตัวก็ปิดแอร์ก่อนดิวะ มันหนาวนะเว้ย” ผมโวยวาย
สกายส่ายหัวระอา “คุณนี่มันจริงๆ เลยนะ” มันบ่นแต่ก็เอื้อมไปหยิบรีโมทแล้วกดปิดเครื่องทำความเย็น
“คนจริง ก็จริงงี้แหละ” ว่าแล้วก็พลิกตัวให้มันเช็ดหลังให้ มันล้วงเข้ามาใต้เสื้อแล้วเช็ดจนทั่ว รู้สึกดีแปลกๆ ไม่ค่อยมีใครมาดูแลผมหรอก เพราะผมไม่ค่อยอยากให้ใครมาดูแล
“ต้องฉีดยาอีกมั้ย ตัวร้อนเยอะเหมือนกันนะ” หน้าตามันดูเป็นกังวล
ผมส่ายหัว “นี่แค่ต่ำๆ พอทนไหว” พูดจบก็พลิกตัวกลับ สกายนั่งจ้องผมนิ่งเหมือนกำลังชั่งใจ
“อะไรทำให้คนอย่างคุณอ่อนแอขนาดนี้วะ” มันว่าพลางส่งยาและแก้วน้ำมาให้
ผมแบมือรับยามาตบเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามจนหมดแก้ว “คนอย่างกูคือระ” ผมทำหน้ากวนตีน “คนอย่างกูนี่แหละป่วยง่ายแต่ตายยากกว่าคนแข็งแรงอย่างมึงซะอีก”
“ตายยากก็ไม่เถียง แต่ก่อนตายน่ะคุณต้องนอนทรมาน ตัวสั่นฟันกระทบกันกึกกึกไปจนตายเลยนะ” มันบ่น “ปกติใครเป็นคนดูแล”
ผมส่ายหัว “ทำไมต้องดูแล กูไม่ใช่เด็กสามขวบ ดูแลตัวเองได้”
มันเบ้ปากใส่ “แล้วที่ผมต้องมาเช็ดตัวให้เนี่ย ไม่เรียกว่าดูแลแล้วจะเรียกอะไร”
ผมแกล้งทำตาหวานใส่ “เรียกว่ามึงแอบชอบกูไง”
“ใครไปแอบชอบคุณเมื่อไหร่” สกายย่นคิ้วทำหน้าเหม็นบูด
“ไม่ชอบจริงดิ” แกล้งคว้าผ้าที่อยู่ในมือมันมาเช็ดซอกคอแบบยั่วๆ
“ไม่กลัวผมปล้ำคุณรึไง ฮึ” มันอมยิ้มขำ
“ไหนบอกไม่ชอบ ไม่ชอบจะปล้ำทำไม ฮึ” แกล้งทำเสียงท้ายล้อเลียนมัน
“ไม่ชอบก็ปล้ำได้ครับ ความชอบมันไม่เกี่ยวกับความเชี่ยน” หืม.. อัลไลคือความเชี่ยน มึงนี่ร้ายไม่เบานะไอ้หน้านิ่ง
“เห็นนางเงียบๆ เงี่ยนเพียบเลยน๊า” ผมร้องเพลงล้อมัน “แต่อันที่จริง มึงปล้ำกูก็ได้นะ” ไอ้กายทำหน้าประหลาดใจ “แต่มึงต้องจูบกูก่อนปล้ำ โอเค๊?” ผมยักคิ้ว
“หึหึ.. ร้ายกาจสุดๆ” มันว่าแล้วดันผมให้นอนลง ก่อนจะโถมตัวเข้ามาหา ผมได้แต่นอนยิ้มยั่วมันอยู่อย่างนั้น รอเวลาที่มันจะจูบผมซะที “จูบก็โง่สิ” สกายพูดแล้วผละออกไปปิดไฟแล้วมานอนข้างๆ
“ชิส์” ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “นึกว่าจะได้เบ้ไว้ใช้เร็วกว่าที่คิด”
ได้ยินเสียงมันหัวเราะครืดคราดอยู่นานสองนาน ฟังแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ “ย้ายมาอยู่กับผมมั้ย” อยู่ๆ สกายก็ถามอะไรแปลกๆ ขึ้นมา
“ทำไม” ผมถามอย่างระแวงแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจผมพองโตเหมือนตอนจีบดาวคณะติด
“ที่ผ่านมาผมไม่เคยลืมคนที่ผมไม่ควรคิดถึงเขาได้เลย แต่สองวันมานี้ผมก็ไม่ค่อยได้คิดถึง และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าผมสามารถหลับสนิทได้ถึงแม้ไม่ได้ห่มเบบี้แบลง และรู้มั้ยว่าผมคิดว่าเป็นเพราะคุณ”
.........
.......
....
..
.
กูกรี๊ดได้มั้ย..
ไม่ดีกว่า กูเป็นผู้ชาย กูต้องมาดแมน
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด อั้นไม่ไหว ไอ้เหี้ยยยยย ทำไมกูฟิน!!!
********************