บทที่ยี่สิบแปด --- มือที่สาม(ต่อ)
ผมกลับมานั่งที่เดิมมองไปดูพี่นิคที่กำลังดูการแข่งขันฟุตบอลแต่ดูท่าไม่มีอารมณ์เอาเสียเลย ฟุตบอลในสนามกำลังแข่งขันอย่างดุเดือดแต่ในใจผมกลับหวาดระแวงวังเวงยังไงชอบกล
“สองหายไปนานตั้งนานแล้ว”เสียงพี่นิคหันไปถามพี่ปอ
“เห็นว่าซิไปห้องน้ำ แต่ไปโดนแล้วเด่ะ”พี่ปอตอบ (เห็นบอกว่าจะไปห้องน้ำ แต่ไปนานแล้วนะ)
พี่นิคลุกขึ้นเดินลงไปยังห้องน้ำทันที ซักพักก็กลับมาพร้อมกับสองที่อยู่ในอาการเหมือนตกใจกลัวอะไรซักอย่าง
“น้องสองไม่สบายหรือเปล่าครับ สีหน้าดูไม่ดีเลย”พี่หมอทีเอ่ยขึ้น หลังจากที่พี่นิคพาสองมานั่งลงข้างๆแต่ยังจับมือสองอยู่
“มีคนขังสองไว้ในห้องน้ำ อย่าให้รู้นะว่าใครทำ จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่”พี่นิคบอกขึ้นแต่ประโยคหลังพี่นิคชายหางตามาทางผม
ใช่ซินะ พี่นิคคงคิดว่าเราเป็นคนทำ เพราะเราลงไปห้องน้ำแล้วสองก็เข้ามา แต่ตอนเราออกมาสองก็ยืนเฉยๆนี่นา หรือจะมีคนแกล้งสองจริงๆ แต่จะเป็นไปได้ยังไง ก็ห้องน้ำนี้เป็นห้องน้ำเฉพาะเจ้าหน้าที่ ใครจะมาเข้า เจ้าหน้าทุกคนก็ยังนั่งอยู่ครบ ไม่มีใครหายไปไหนช่วงที่สองไปห้องน้ำ
หรือว่าสองจะขังตัวเอง จะเป็นไปได้ยังไง คำว่าถูกขังก็แสดงว่าถูกล็อคจากข้างนอก สองจะทำได้ยังไง แต่ก็ไม่แน่ก็สองมีพลังจิตนิ่ ว่าแต่สองจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร --- ผมคิดในใจ
“ว้าย......ใครนะช่างกล้าทำ แหววว่าพาน้องสองกลับไปที่องค์การก่อนดีไหมค่ะ ดูซิกลัวจนหน้าซีดหมดแล้ว งานทางนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะคะ”พี่แหววพูดขึ้น
“อืม ก็ดีเหมือนกัน”พี่นิคบอกพร้อมค่อยๆประคองสองลุกขึ้น ภาพนั้นทำเอาผมเจ็บจี๊ดเข้ามาในใจทันที หัวผมที่กำลังคิดหลายๆเรื่องมันก็พลันหยุดคิดลงเหมือนโดนค้อนปอนด์ทุบอย่างแรง
การตัดสินใจกลับก่อนเวลาของพี่นิค ทำให้ทุกคนพลอยต้องกลับตามไปด้วย รวมไปถึงผมด้วยเพราะผมมารถของพี่หมอที ระหว่างที่ออกจากปะรำพิธีเพื่อเดินไปที่จอดรถ พี่นิคเดินข้างสองโดยที่สองเดินติดขอบสนาม แล้วตามมาด้วยพี่ปอกับพี่แหวว แล้วค่อยเป็นพี่หมอทีกับผมที่เดินอยู่ติดฝั่งขอบสนามเหมือนสองเช่นกัน
“ระวัง !”เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในสนาม ผมหันไปดูเห็นลูกฟุตบอลกำลังลอยมาทางผมตามสัญชาตญาณทำให้ผมยกมือขึ้นบังเพื่อปกป้องตัวเองทันที เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นไม่ถึงเสี้ยวนาทีด้วยซ้ำ
ปลั๊ก ! โอ้ย...! เสียงเหมือนมีคนโดนลูกบอลแล้วร้องออกมา แต่ไม่ใช่ผมกลับเป็นสองที่โดนลูกบอลถึงกับล้มลง
“น้องสองเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”พี่นิครีบก้มลงประคองสองที่ล้มลงให้ลุกขึ้นทันที ผมค่อยๆเอามือที่ยกขึ้นมาบังลง
“ไม่เป็นไรครับ แค่มึนๆหัวนิดหน่อย”สองที่ลุกขึ้นแล้วเอามือกุมหัว
“ทำไมนายต้องปัดบอลใส่สองด้วย”พี่นิคหันมาขึ้นเสียงดังว่าผมทันที ผมเอาผมตกใจกับน้ำเสียงของพี่นิคและงงที่ว่าผมปัดบอลใส่
“นิคใจเย็นๆ น้องเอเขาแค่ยกมือป้องกันไม่ได้มีเจตนาปัดลูกบอลใส่น้องสองหรอก เราเห็นลูกบอลยังไม่มาถึงตัวน้องเอเลยด้วยซ้ำ อยู่ดีๆลูกบอลมันก็เปลี่ยนวิถีไปที่น้องสองเอง”พี่หมอทีบอกแทนผมที่ยืนนิ่ง
ผมนึกทบทวนเหตุการณ์พอผมได้ยินเสียง แล้วหันไปเห็นลูกบอลลอยมา ผมก็ยกมือขึ้นมาปิด แต่ตาก็เหลือบไปเห็นพี่ปอที่ดึงตัวพี่แหววให้หลบ มีแต่พี่นิคที่เดินนำหน้าไปแล้วไม่หันมาแต่สองกลับหันมาแล้วจ้องมองลูกบอลนั้น หรือว่าสองจะบังคับลูกบอลนั้น แล้วสองจะบังคับให้ลูกบอลไปโดนตัวเองทำไม
“กลับไปองค์การเราได้เห็นดีกันแน่ ทุกคนกลับองค์การ จะได้จัดการตัดเนื้อร้ายทิ้งให้มันเสร็จๆไปซักทีก่อนที่มันจะลุกลามมากไปกว่านี้”พี่นิคออกคำสั่งให้ทุกคนได้ยิน ทำเอาถึงกับทุกคนอึ้งโดยเฉพาะผมที่ยืนอยู่ดีๆขาอ่อนลงแทบหมดแรงเมื่อได้ยินว่าตัดเนื้อร้ายทิ้ง มันคงหมายถึงใครไม่ได้นอกจากผมแน่ๆ
...
ในห้องประชุมเล็ก พี่นิคเข้าไปกับพี่หมอทีและพี่ปอเกือบชั่วโมงได้แล้วค่อยให้พี่ปอเข้ามาเรียกผมเข้าไปส่วนคนอื่นๆนั่งคอยอยู่ข้างนอกรวมทั้งสองด้วย
ผมเดินเข้าไปเห็นพี่นิคนั่งหน้าตรึง สายตาเอาแต่เพ่งมองกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าสองแผ่น พี่ปอลงไปนั่งข้างขวาของพี่นิค ส่วนพี่หมอทีนั่งอยู่ข้างซ้ายผมเลยเลือกนั่งลงข้างพี่หมอที พอผมนั่งลงพี่นิคก็มองหน้าพี่ปอเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้พี่ปอพูดกับผมแทนตัวเอง
“เอ คืออย่างนี้นะ เรื่องที่เกิดขึ้นถึงสองเขาไม่เอาเรื่องก็จริง แต่ยังไงทางเราก็ต้องทำรายงานส่งอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการเพื่อแสดงความรับผิดชอบ พี่เลยอยากให้เอช่วยเซ็นเอกสารพวกนี้หน่อย แล้วอีกใบก็เป็นใบ...”พี่ปอส่งเอกสารสองแผ่นที่วางอยู่หน้าพี่นิคมาให้ผม ผมรู้สึกถึงความซีเรียสขึ้นมาทันทีเพราะว่าปกติพี่ปอไม่ว่าจะเป็นการเป็นงานแค่ไหนก็ไม่ค่อยจะพูดภาษากลางแต่นี่พี่ปอพูดภาษากลางกับผมเลย
ผมรับเอกสารมาดูใบหนึ่งเป็นใบรายงานความประพฤติที่มีชื่อผมแล้วตามด้วยที่ข้อความว่าได้แสดงความประพฤติทะเลาะวิวาทกับชื่อของสองซึ่งเป็นนักศึกษาในดคงการเรียนรู้ ทำให้เสียชื่อเสียงสถาบัน ทางองค์การนักศึกษาจึงเล็งเห็นว่าควรตัดคะแนนความประพฤติ 50 คะแนนและทำทัณฑ์บนไว้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาประกอบของสภานักศึกษาอีกทีด้วย ข้างล่างมีช่องให้ผมลงชื่อ ถัดไปเป็นช่องให้พี่นิคลงชื่อในตำแหน่งนายกองค์การ อีกช่องเป็นของประธานสภานักศึกษา
กระดาษอีกแผ่นเป็นใบลาออกจากการเป็นคณะกรรมการองค์การนักศึกษา ที่มีข้อความพิมพ์เรียบร้อยเหลือแต่ให้ผมลงชื่อแล้วพี่นิคลงชื่อรับรองเป็นอันว่าเอกสารฉบับนี้ก็จะสมบูรณ์
“นี่มันอะไรครับ ทำไมผมต้องถูกตัดคะแนนความประพฤติตั้ง 50 คะแนนแล้วยังโดนทำทัณฑ์บนอีก 50 คะแนนนี่ก็เท่ากับผมโดนพักการเรียนเลยนะครับ”ผมพูดด้วยเสียงที่เบาแหบเครือออกไปพร้อมมองหน้าพี่ปอ พี่นิคเอาแต่นิ่งไม่มองผมเลย
“ไหนคุยกันว่าแค่ 15คะแนนไง แล้วนี่อะไร 50 คะแนนยังทำทัณฑ์บนอีก”พี่หมอทีโวยออกมา พี่ปอที่มองหน้าพี่หมอทีก็ได้แต่สายหน้าแล้วมองหน้าพี่นิคแทน
“ฮึ ก็มันเป็นโทษที่สมควรแล้วนี่ ก่อเรื่องทะเลาะวิวาททำให้เสียชื่อสถาบัน”พี่นิคพูดขึ้น
“ผมไปก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกับใคร ถ้ากับสองล่ะก้อ ทำไมไม่คิดจะถามผมบ้าง”ผมพูดขึ้นอย่างเหลืออด กำมือแน่น รู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอก น้ำที่ตาเริ่มซึมๆออกมา คงเป็นเพราะพี่นิคที่ผมคิดว่าพี่เขาจะเข้าใจผม อยู่ข้างผม คอยช่วยผม แต่นี่กลับตรงกันข้าม นอกจากไม่ช่วยผมแล้ว ยังไม่คิดจะถามอะไรผมเลยแล้วยังย้อนกลับมาทำร้ายผมอีก
“คือ ที่น้องเอบอกพี่ พี่บอกพวกนี้ไปหมดแล้ว”พี่หมอทีพูดขึ้นคงหมายถึงว่าที่ผมยอมรับว่าเป็นคนต่อยสอง
“ที่จริงพวกพี่ก็อยากถามเอนะ ว่าที่เอทำลงไปมีเหตุผลอะไร แต่พวกพี่กลัวว่าถ้าถามไปจะทำให้เอลำบากใจที่จะพูด เลยเลือกที่จะไม่ถามหาเหตุอะไรดีกว่า เพราะไหนๆผลมันก็เกิดขึ้นแล้ว”พี่ปอพูดด้วยความหวังดีแต่มันทำให้ผมหมดโอกาสอธิบายตัวเองให้ทุกคนฟัง
ผมที่ฟังคำตอบแล้วก็เกิดความน้อยใจขึ้นมาทันที น้อยใจตัวเองว่าทำไมเราต้องทำให้คนอื่นลำบากใจเพราะเราด้วย เราคงเป็นคนที่แย่มาก คงเป็นตัวปัญหาสำหรับทุกคน น้อยใจพี่นิคที่น่าจะเข้าใจเรามากกว่าใคร แต่เปล่าเลยกลับมาเป็นคนเล่นงานเราเสียเอง ผมนั่งก้มหน้ากัดฟัน กำมือพยายามฟืนน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาแต่แล้วก็ไม่สำเร็จ น้ำตาหยดแรกร่วงลงมาพร้อมับเสียงสะอื้นของผมทำให้ตัวผมสั่นไปตามแรงสะอื้นด้วย แต่พี่นิคก็ยังนั่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่หมอทีซะอีกที่เข้ามาจับมือผมเบาๆเป็นการให้กำลังใจ
“เอาว่าเฮื่องนี้ ค่อยเว้ากันใหม่เมื่ออื่นดีกว่า”พี่ปอพูดขึ้นด้วยภาษาอีสานเพื่อให้บรรยากาศที่ตรึงเครียดผ่อนคลาย (เอาว่าเรื่องนี้ ค่อยพูดกันใหม่วันอื่นดีกว่า)
“ไม่ได้ ต้องวันนี้ ทุกอย่างต้องจบลงในวันนี้”พี่นิคพูดเสียงแข็งทำเอาบรรยากาศตรึงเครียดกว่าเดิม
“นิค มันมากไปแล้วนะ ก็เห็นอยู่ว่าน้องเอเขาไม่พร้อม”พี่หมอทีพูดขึ้นเสียงเช่นกัน แล้วก็ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ผม
“ไม่.อื้อ.....ไม่เป็น...ไรครับ...อื้อๆ....”ผมบอกออกไปก่อนคว้าปากกามาเซ็นออกไปทั้งสองใบ
“น้องเอ”พี่หมอทีร้องขึ้นเมื่อเห็นผมเซ็นชื่อ
“มันก็แค่นั้น แค่นี้ทุกอย่างก็จบ”พี่นิคพูดขึ้น
ใช่แค่นี้ทุกอย่างก็จบ จบอย่างเด็ดขาด จบกัน จบในทุกๆเรื่อง พี่นิคเราจบกัน --- ผมคิดในใจได้แค่นั้นแล้วก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร
“นิคถ้านายลงชื่อรับรอง นายก็เตรียมลงชื่อในใบลาออกจากตำแหน่งอุปนายกของเราด้วยเลย”พี่หมอทีลุกขึ้นพูดเสียงดัง ทำเอาพี่นิคที่กำลังจะลงชื่อในกระดาษที่ผมเซ็นไปถึงกับชะงักกำปากกาแน่น (ตั้งแต่รู้จักกับพี่หมอทีมา ไม่เคยเห็นพี่หมอทีพูดเสียงดังขนาดนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพี่หมอทีแสดงอาการโกรธแบบไม่พอใจออกมา)
“ใจเย็นๆ คุณหมอ ค่อยๆเว้ากัน”พี่ปอลุกขึ้นแล้วพูด
พี่นิคกำมือที่ถือปากกาไว้แน่นจนปากกาสั่น หน้าก็ก้มมองแต่กระดาษ
“โธ่โว้ย!” พี่นิคตะโกนออกมาพร้อมเอาปากกาทิ่มลงที่โต๊ะอย่างแรงจนปากกาตั้งอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้มือจับ แล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนหันหลังให้กลับทุกคน พี่ปอรีบเข้าไปจับที่บ่าพี่นิคเบา เสียงตะโกนพี่นิคทำเอาพี่แหววเปิดประตูเข้ามาดู แล้วก็รีบปิดประตูออกไปเพราะพี่ปอทำท่ากวักมือไล่
“ถึงไม่เซ็นผมก็จะขอลาออกอยู่แล้ว ผมจะไม่มาเป็นตัวปัญหาให้ใครอีก”ผมพูดออกมาแล้ววิ่งออกจาห้องประชุมทันที วิ่งผ่านทุกคนที่นั่งอยู่ในองค์การ วิ่งออกไปอย่างไม่มีที่หมาย รู้แต่ว่าอยากวิ่งออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมวิ่งไปร้องไห้ไป ตาก็แทบมองไม่เห็นทางเพราะน้ำตาเต็มไปหมด หัวสมองไม่ต้องพูดถึงมันไม่ทำงานตั้งแต่ผมวิ่งออกมาจากห้องประชุมเล็กแล้ว
แปร๋น! ๆ เอี๊ยด..........เสียงแตรรถดังขึ้นต่อด้วยเสียงเบรก ผมยืนหลับตาเพราะคิดว่ายังไงก็ต้องโดนชนแน่นๆ ก็ผมเล่นวิ่งออกมาที่กลางถนนซะขนาดนั้น
“เป็นอะไรหรือเปล่า อยากตายหรือไง อ้าว เอ!”เสียงคนที่ลงจากรถพูดก่อนที่จะเห็นผมอย่างเต็มตา
“พี่เก่ง”ผมลืมตาขึ้นมองแล้วก็เหมือนกับว่าจะเป็นลมล้มลง
“เอไม่เป็นอะไรนะครับ เดี๋ยวขึ้นรถไปกับพี่ก่อน”พี่เก่งประคองผมขึ้นรถทันที
ระหว่างที่นั่งรถไปผมอยุ่ในอาการที่นั่งเหม่อลอยเหมือนคนไม่ได้สติ เอาแต่นั่งร้องไห้ พี่เก่งถามว่าจะให้ไปส่งที่ไหนไหม ผมก็ไม่ตอบ ดูเหมือนพี่เก่งจะรู้ใจผม พี่เขาไม่ได้ถามอะไรผมอีกเลย ได้แต่ขับรถเวียนไปเรื่อยๆ แล้วหันมามองผมเป็นระยะๆ
“น้ำมันใกล้หมดแล้ว เอาไงดี ไปนี่ดีกว่า”พี่เก่งเหมือนพูดคนเดียวตอบคนเดียว แล้วพี่เก่งก็พาผมมาที่คณะของพี่เขา พาผมเดินขึ้นไปชั้นบนที่เป็นลานกว้างๆมีงานศิลปะแสดงอยู่ แล้วก็พาผมไปนั่งตรงระเบียงที่ยืนออกไปด้านนอกทำให้เห็นทิวทัศน์ยามเย็นอย่างสวยงาม ผมนั่งทอดอารมณ์ไปเรื่อย พี่เก่งก็เอากล้องโพลาลอยด์มาถ่ายผม
ภาพถ่ายใบแรกออกมาเป็นหน้าผมที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา หน้ายุ่งเหยิงดูไม่ได้ พี่เก่งก็ปากกาเคมีมาเขียนใต้รูปว่า นายแบบดูไม่ได้เลย แย่จัง สงสัยคนถ่ายฝีมือไม่ถึงด้วยมั้ง แล้วส่องมาให้ผมอ่านดู พอผมอ่านก็ยังเฉยๆแต่ก็เริ่มเช็ดน้ำตา
พี่เก่งถ่ายภาพผมใบที่สองแล้วเขียนว่า นายแบบหล่อขึ้นนิดหนึ่ง ตากล้องฝีมือเริ่มดีขึ้น แล้วก็ส่งมาให้ผมดู ทำเอาผมเริ่มยิ้มออกมาหน่อยๆ
แล้วพี่เก่งก็ถ่ายตอนผมยิ้มออกมาแล้วเขียนว่า นายแบบหล่อได้อีกนะครับ ตากล้องก็เยี่ยม แล้วก็ส่งมาให้ผมดู ทำเอาผมอมยิ้มออกมา
แล้วพี่เก่งก็ถ่ายผมตอนยิ้มอีกพร้อมเขียนว่า WOWนายแบบคนนี้อีกหน่อยต้องโกอินเตอร์แน่ๆ
คนถ่ายก็เข้าขั้นโปรแล้ว พอผมอ่านแล้วถึงกับยิ้มออกมาได้
พี่เก่งรีบถ่ายภาพตอนที่ผมยิ้มแล้วเขียนลงในภาพว่า ยิ้มไว้นะครับโลกจะได้สดใส ตากล้องจะได้มีกำลังใจถ่ายต่อ
“ไม่ต้องถ่ายแล้วครับ เปลือง”ผมพูดออกมาพร้อมเอารูปถ่ายตั้งแต่ภาพแรกจนถึงใบที่ห้ามานั่งดู
“นึกว่าวันนี้จะไม่ได้ฟังเอพูดซะแล้ว”พี่เก่งบอกพร้อมเก็บกล้องลง
“ขอบคุณนะครับ ผมนึกว่าผมคงต้องโดนรถชนตายแล้วแน่ๆ”ผมบอกออกไป
“แล้วเอ.....มีอะไร......”พี่เก่งเหมือนจะถามผมแต่ก็พูดไม่ทันจบก็ลุกขึ้นไปหยิบกีต้าร์แล้วมานั่งข้างๆผมแทน พร้อมกับร้องเพลงให้ผมฟัง
(
http://www.imeem.com/taroring/music/AXJHIHdI//--- ฟังเพลงคนของเธอ ของแมว จิระศักดิ์)
............ไม่ต้องบอกฉัน ถึงวันที่เลยผ่าน ไม่ต้องบอกฉัน ว่าเคยมีใครคนไหนยังไง
ถ้าเผื่อฉันเผลอ บังเอิญฉันถามเธอไป เธอก็ไม่ต้องตอบฉันเลย
และฉันคนนี้ ก็มีที่พลาดผิด ใช่ว่าชีวิต จะดีจะงามซักเท่าไร
ไม่อยากให้ถาม มันไม่น่ารู้เท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นของเรา
วันวานมันคืนย้อนมาไม่ได้ และวันพรุ่งนี้ยังไม่รู้
แต่ฉันพร้อมจะอยู่ ฉันพร้อมจะตาย เพื่อรักคำเดียว.............
พี่เก่งร้องเพลงไปก็หันมามองหน้าผมแล้วก็ยิ้มให้เป็นบางครั้ง ผมนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่เก่ง ตั้งแต่รู้จักกันเมื่อตอนไปสุพรรณแล้วพี่เก่งสารภาพรักกับผม ตลอดเวลาพี่เก่งก็คอยเอาใจดูแลผม คอยมีเรื่องเซอร์ไพร์แบบโรแมนติกอยู่ตลอดเวลา จนมาถึงวันที่พี่เก่งรู้ว่าผมกับพี่นิคเป็นแฟนกันพี่เก่งก็ยังขอเพลงฉันยังเหมือนเดิมให้กับผม เพื่อสื่อให้ผมรู้ว่าพี่เขายังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมทุกอย่างถึงแม้ว่าผมจะไปมีใครก็ตาม แล้วตอนนี้พี่เก่งก็ยังมาเป็นคนคอยปลอบใจเราอีก
จากเพลงก็รู้ว่าพี่เก่งอยากบอกผมว่ายังไงๆไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่เขาไม่อยากรู้ให้รู้แต่ว่าพี่เขายังพร้อมที่จะรักผมเสมอ
......... ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นไคร จะผ่านอะไรมา ขอจงอย่าเป็นกังวล นี่คือคนของเธอ
ไม่ว่ามันจะเกิดอะไร ต่อจากนี้ไป ฉันจะอยู่ดูแลเธอ ด้วยคำว่ารักด้วยใจ (จะรักเพียงเธอ)
ไม่ต้องบอกฉัน ถึงวันที่เลยผ่าน ไม่ต้องบอกฉัน ว่าเคยมีใครคนไหนยังไง
แค่บอกว่ารัก แค่เธอรักฉันง่าย ๆ ฉันต้องการแค่ใจ ของเธอ......
พอพี่เก่งเล่นเพลงจบก็ขยับตัวเข้ามาหาผม ค่อยๆก้มหน้ามาตรงที่ปากของผม แล้วปากของผมกับปากของพี่เขาก็สัมผัสเข้าหากันเหมือนกับว่า พี่เขากำลังส่งผ่านพลังแห่งความอบอุ่นโรแมนติกของตัวเอง เข้ามาทำให้ใจผมหายหวาดกลัว หายวิตกกังวลจากเรื่องร้ายๆที่ผ่านมา เวลาเหมือนหยุดนิ่งผ่านไปซักพัก พี่เก่งก็เป็นคนขยับปากออก
“พี่ๆ พี่ขอโทษครับเอ พี่ควบคุมตัวเองไม่ได้”พี่เก่งรีบพูดอย่างรู้สึกผิด แต่ผมกลับยิ้ม
“ไปทานข้าวกันดีกว่าครับ ผมหิวแล้ว”ผมบอกเป็นการตัดบท ทำให้พี่เก่งยิ้มออกมา
ตลอดเวลาที่นั่งทานข้าวด้วยกันพี่เก่งก็คอยป้อนข้าวผม พูดจาหยอดคำหวานๆเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือผมเริ่มรับมุขของพี่แกมากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ปล่อยมาผมก็เฉย ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นผมรู้สึกยังไง รู้แต่ว่าอย่างน้อยคนที่เราไม่เคยคิดถึงเขาเลย เขายังอยู่ข้างเรา เขารู้ใจเราดีกว่าคนที่เราฝากไว้กับเขาเสียอีก
+++ จบบทที่ยี่สิบแปด +++
*** ข้อคิดคำคมประจำบท ***
- มีพี่ชายอีกคนที่พร้อมจะฟังและช่วยน้องคนนี้ทุกเรื่อง
- ความหวังเดียว หวังที่จะพึ่ง หวังที่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง หวังว่าพอฟังแล้วจะช่วยเราแก้ปัญหา แต่นี่กลับยังไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็สิ้นหวังซะแล้ว
- คนที่เราไม่เคยคิดถึงเขาเลย เขายังอยู่ข้างเรา เขารู้ใจเราดีกว่าคนที่เราฝากไว้กับเขาเสียอีก