บทสรุป --- สิ้นสุด – เริ่มต้น
“เอตัดสินใจดีแล้ว แน่เหรอ เรื่องที่จะเอ็นท์ใหม่นะ ไหนบอกว่าจะอยู่กับเราจนกว่าจะจบไง”หนึ่งท้วงขึ้นขณะที่หนึ่งกำลังรีดผ้า แต่ผมนอนทานผลไม้อยู่บนเตียงอย่างสบายใจ (อย่าคิดว่าผมเป็นคนขี้เกียจถึงกับนอนกินนะครับ ก็ผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลอ่ะ หนึ่งเลยเอาใจพิเศษผมเลยแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ยิ่งบอกว่าผมจะเอ็นท์ใหม่หนึ่งยิ่งเอาในผมเป็นพิเศษกว่าเดิมแบบสองเท่าตัว)
ตอนที่อยู่โรงพยาบาลก็มีหนึ่งกับเพื่อนๆทั้งเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่มาเยี่ยมไม่ขาดสาย พวกพี่ๆในองค์การบางคนก็มา ดูเหมือนว่าทุกๆคนจะเข้าใจอะไรดีขึ้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะพี่หมอทีไปบอกความจริง หรือสองยอมสารภาพออกมาเอง เพราะตัวผมเองก็ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องนี้ เห็นทุกคนกลับมาทำตัวแบบปกติเหมือนเดิมกับผม ผมก็พอใจแล้ว แต่มีคนเดียวไม่โผล่มาให้เห็นคือ พี่นิค
ส่วนเรื่องที่ผมจะเอ็นท์ใหม่ผมก็บอกกับบางคนที่สนิทเท่านั้น ยังไม่บอกทางบ้านเลย กะว่าให้สอบเสร็จก่อนค่อยบอกจะดีกว่า
“อืม เราขอโทษหนึ่งด้วยแล้วกันนะที่ทำตามสัญญาไม่ได้”ผมบอกแล้วก็หยิบส้มที่หนึ่งปอกไว้ให้เข้าปาก
“เองั้น เราส่งห้องเข้าประกวดดีไหม เป็นการทำอะไรร่วมกันก่อนที่เอจะไม่ได้อยู่กับเราไง”หนึ่งเสนอ
“จะดีเหรอ ประกวดหอเสร็จอีกสัปดาห์ก็สอบแล้วนี่ แถมยังประกวดเสาร์นี้แล้วนี่อีกสองวันเอง”ผมบอก
“เอาเถอะนะ ถือว่าเป็นความทรงจำดีๆที่เราจะทำด้วยกันไง”หนึ่งส่งสายตาเศร้าๆมาอ้อน
“งั้นก็ได้ เรานะยังไงก็ต้องเริ่มเรียนใหม่ สอบคราวนี้เราเล่นๆ ห่วงก็แต่หนึ่งนั่นแหละ”ผมบอก
“ขอบใจนะที่เป็นห่วง แต่ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เราจะใช้คอนเซปต์อะไรในหารแต่งห้องดี”หนึ่งถาม
แล้วผมก็กับหนึ่งก็ตกลงใช้คอนเซปต์ที่ว่า ROR (Room Of Rainbow) ห้องแห่งสายรุ้ง วันต่อมาผมกับหนึ่งก็ลงมือตกแต่งห้องไปหาสายรุ้งพลาสติกเจ็ดสีมาประดับห้อง เอากระดาษสีฟ้าอ่อน สีฟ้าเข้ม สีครามมาตัดเป็นก้อนเมฆแล้วติตตามผนังห้อง ใช้กระดาษสีเจ็ดสีมาตัดเป็นเส้นโค้งขนาดเท่าๆกันเจ็ดเส้นแล้วทำเป็นสายรุ้งขึ้นที่ผนังห้อง พร้อมมีดวงอาทิตย์สีแดงยิ้มแฉ่งต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู ผ้าม่านก็เปลี่ยนเป็นลายสายรุ้ง ตกแต่งกันเสร็จผมก็มานั่งหาเพลงเกี่ยวกับสายรุ้งที่จะใช้เปิดเวลาคณะกรรมการมาเยี่ยมชมห้องเพื่อตรวจให้คะแนน
หนึ่งก็นั่งทำของที่ระลึกให้กับคนที่จะมาเยี่ยมชมห้องของเรา โดยใช้กระดาษแข็งมาทำที่คั่นหนังสือเป็นรูปสายรุ้ง ที่ปลายรุ้งข้างหนึ่งมีสติกเกอร์รูปตัวการ์ตูนกระต่ายถือยาเม็ดแคปซูลเป็นตัวแทนของหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นสติกเกอร์รูปตัวการ์ตูนแมวนั่งพิมพ์คอมเป็นตัวแทนผม ตรงกลางสายรุ้งมีข้อความที่ว่า “สายรุ้งแห่งความหวัง 304”
พอถึงวันเสาร์ผมกับหนึ่งที่ลงทุนถอยชุดนอนใหม่มาคนละชุด เป็นชุดนอนที่มีลายเป็นสีรุ้งไปทั้งตัว พร้อมกับสั่งเค้กมาให้ครบเจ็ดสีเจ็ดรส งานนี้เล่นหมดเอาไปหลายตังค์เหมือนกัน แต่ก็สนุกดี
ผมกับหนึ่งสมมติตัวเองเป็นเจ้าชายแห่งสายรุ้ง คณะกรรมการจะมีอยู่ด้วยกันห้าชุดที่จะเข้ามาเยี่ยมแล้วตรวจให้คะแนน คณะกรรมการก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับก็พวกคณะกรรมการของหอต่างๆนั่นแหละครับ โดยส่วนมากจะให้หอญิงมาตรวจหอชาย หอชายไปตรวจหอหญิง หลังจากคณะกรรมการตรวจเสร็จก็จะให้พวกเพื่อนๆขึ้นมาเที่ยวห้องเราได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงเพราะถือว่าเป็นวันเปิดหอ ผู้หญิงขึ้นหอชายได้ ผู้ชายขึ้นหอหญิงได้แต่ต้องออกก่อนสี่โมงเย็น
ก่อนที่คณะกรรมชุดสุดท้ายจะมา พวกเพื่อนๆผมทั้งกลุ่มเก่ากลุ่มใหม่ก็พากันมาสิบกว่าคน จนที่นั่งแทบไม่มีต้องขึ้นไปนั่งบนเตียง
“นี่ถ้ากรรมการมาขอความกรุณาพวกคุณเพื่อนๆออกไปก่อนนะครับ เดี๋ยวจะเสียคะแนน”ผมบอกแกมประชดนิด แต่ไม่มีใครฟังผมเลยเพราะพวกมันเอาแต่เม้าส์กันอย่างกับไม่เจอกันมานานมากทั้งๆที่พวกมันก็เพิ่งไปเจอกันแบบกลุ่มใหญ่แบบนี้ตอนที่ผมเข้าโรงพยาบาล จนคุณพยาบาลต้องออกมาบอกว่าให้ไปคุยกันข้างนอก เพราะรบกวนคนไข้
พูดเสร็จผมก็เดินออกมานั่งพักที่ระเบียงด้านนอกพร้อมปิดประตูเข้าไปเพราะไม่อยากได้ยินเสียงเพื่อนๆคุยกัน ผมมองขึ้นไปข้างบนทำให้ผมมีความคิดแวบหนึ่งถึงพี่นิคขึ้นมา
ใช่ซินะ ห้องพี่นิคนี่นาที่อยู่บนหัวเรา ตั้งแต่เกิดเรื่องเราไม่เคยเจอพี่นิคเลย ไม่รู้ว่าพี่นิครู้ความจริงหรือยัง ถ้ารู้แล้วทำไมไม่มาหาเรา มาพบหน้าเรา เหมือนคอยหลบหน้าเราตลอดเวลา แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก คนอย่างพี่นิคเหรอจะยอมเชื่ออะไรง่ายๆ อีกอย่างเราก็ตัดใจให้เรื่องของเรามันสิ้นสุดไปแล้วนี่ เราจะมานั่งคิดไปทำไมว่ะเนี่ยะ โธ่เอ๊ย ไอ้เอโง่เอ๊ย อ่อนประสบการณ์แล้วทำเก่ง ทำเป็นตั้งข้อตกลงอย่างนั้นอย่างนี้เป็นยังไงล่ะ สมน้ำหน้าแล้วแหละ เสียทั้งตัวเสียทั้งใจ มันจะมีที่ไหนคนที่จะมาจริงจังจริงใจ ไอ้โง่เอ๊ย โง่จริงๆเลย ผมนั่งคิดว่าตัวเองแล้วน้ำตาพาลจะไหลออกมา
“นึกว่าหายไปไหน หลบมานั่งอยู่นี่เอง”หนึ่งพูดพร้อมเปิดประตูหลังห้องออกมา ตามมาด้วยอ๊อฟ
“ออกมานั่งพักนะ กรรมการมาแล้วเหรอ”ผมถามพร้อมเอามามาลูบหน้าเพื่อไม่ให้เห็นน้ำตา
“สงสัยเจ้าสายแห่งสายรุ้งของเราจะร้องไห้อยู่นะ คิดอะไรอยู่อ่ะ”ไอ้อ๊อฟถามขึ้น
“เปล่าหรอก แค่คิดเรื่องที่เราจะย้ายกลับไปเรียนที่ชลนะ มาอยู่ที่นี้ตั้งหกเจ็ดปีคิดไปแล้วก็ใจหายเน๊อะ”ผมบอกปัดออกไป
“เอ เราไม่ได้ทัดท้านอะไรเอเลยนะ ถ้าเอจะไปเพราะเหตุผลที่เอบอกกับเราหรือคนอื่นว่าจะกลับไปอยู่กับแม่กับน้อง แต่เหตุผลในใจของเอที่จะไปเป็นอะไร มีเอคนเดียวที่รู้”หนึ่งพูดแทงใจดำผมทันที
“หนึ่งพูดอย่างกับว่า เอเปลี่ยนที่เรียนเพื่อหนีอะไรซักอย่างนี่แหละ หรือว่ามีอะไรที่ฉันยังไม่รู้ ช่วงนี้ฉันยิ่งตกๆข่าวอยู่ด้วย”อ๊ออฟออกอาการสอดรู้สอดเห็นขึ้นมาทันที
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปฟังหนึ่งมากนักเลย”ผมบอก
“ยิ่งบอกว่าไม่มีอะไร ยิ่งต้องมี คนเราถ้าคิดจะหนีก็มีอยู่ไม่กี่เรื่อง เรื่องงาน หนี้สินเงินทอง แล้วก็ความรักที่ไม่สมหวัง อย่างคุณชายเอนี่สองเรื่องแรกตัดทิ้ง เรื่องอกหักเหรอ เอแกอกหักเหรอ”ไอ้อ๊อฟถามออกมาหลังวิเคราะห์เสร็จ
“อ๊อฟ”หนึ่งทำเสียงดุๆเหมือนปราม แต่อ๊อฟก็ไม่หยุดกลับถามต่อ
“อย่าบอกนะว่าแกกับพี่นายกดีเจสุดหล่อ ...... โอ้ไม่นะ แล้วอย่าบอกนะว่าแกกับพี่ตากล้องแสนโรแมนติกกำลังคบกันอยู่ โอ้นี่มันเกิดอะไรขึ้น”อ๊อฟทำเสียงงงๆแบบโอเว่อร์ ผมไม่ตอบนั่งนิ่ง
“ตกข่าวไปอีกแล้ว กับพี่เก่งเขาก็เพื่อนกัน เพื่อนที่รอคอยด้วยความหวังดี”หนึ่งตอบแทน
“แล้วแกไปเลิกกับพี่นายกดีเจสุดหล่อตอนไหน อ๋อ...เพราะไอ้คนนั้น นั่นเหรอ ที่เราเห็นตอนไปกินข้าวด้วยกัน อย่างนี่แหละแก อย่าคิดมากเลย พวกผู้ชายมันก็อย่างนี้แหละ ได้ใหม่แล้วก็ลืมเก่า มาหลอกให้เรารัก ให้เราบอกรักมันทุกวัน แต่มันไม่เคยบอกรักเราเลย ยิ่งไปกว่านั้นนะ ถ้ามันได้ร่างกายเราสมดังหมายแล้ว มันก็เห็นเราไม่ต่างอะไรไปกับถุงยางที่ใช้แล้วนั่นแหละ มีแต่ทิ้งอย่างเดียวใช้ต่อไม่ได้ เอแกทำใจซะนะ อย่างแกคงหาใหม่ได้ไม่ยากหรอก หรือว่าแกจะเอาในสต๊อกของฉันไหม”ไอ้อ๊อฟปลอบผม แต่มันแทงเข้ามาในใจผมมากกว่า
ที่อ๊อฟพูดมาก็มีส่วนถูก พี่นิคไม่เคยพูดคำว่ารักกับเราเลย ตอนขอเป็นแฟนไม่ว่าที่หนองคายหรือที่บึงสีฐานก็แค่บอกว่าขอคบเป็นแฟน ไม่เคยบอกว่ารักเราเลย มีแค่บอกว่าเราน่ารัก บอกว่าชอบเรา แต่ชอบกับรักมันต่างกันนิ่ ข้อตกลงที่พี่นิคเพิ่มขึ้นมาอีกที่ว่าให้เราบอกรักพี่เขาทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ได้เจอกันให้โทรไปก็ยังดี แต่พี่เขาก็ไม่เคยบอกว่ารักเรากลับมาเลยซักที อีกอย่างพี่นิคก็ได้ตัวเราไปแล้วนิ่ คงเหมือนที่อ๊อฟบอกได้แล้วคงทิ้งเหมือนถุงยางที่ใช้ได้ครั้งเดียว
“อ๊อฟนี่พูดอะไร เอกับพี่นิคยังไม่มีอะไรกันซักหน่อย ถึงมีแล้วเราว่าพี่นิคก็คงไม่ได้เป็นผู้ชายอย่างที่อ๊อฟว่าหรอก”หนึ่งแก้ต่างแทนผม (ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมกับพี่นิคมีอะไรกันแล้วให้หนึ่งฟัง ใครจะไปกล้าเล่าเน๊อะ แต่ต่อมาก็เล่าอยู่ดี อิอิ) คำพูดของหนึ่งก็กลับมาแทงใจผมอีกเหมือนกัน
“อ่ะๆ ว่าไปได้เหรอ อย่างพี่นายกดีเจสุดหล่อเห็นข้างนอกเป็นสุภาพบุรุษ เท่ สมาร์ท แต่ข้างในอาจจะแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยมหื่นกระหายก็ได้ เหมือนหมาจิ้งจอกเอาขนแกะมาคลุมตัวไง”อ๊อฟแย้งขึ้นมา ก็โดนใจผมอีก
ก่อนที่หนึ่งจะเถียงกลับ ป่านก็เข้ามาเรียกบอกว่าคณะกรรมการมาแล้วไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นพวกพี่ๆที่องค์การเอง มากันครบเลย พี่หมอที พี่ปอ พี่แหวว แล้วก็พี่นิค ชื่อสุดท้ายที่ผมไม่อยากได้ยินก็โผล่มา ทำเอาผมวางสีหน้าท่าทางอารมณ์ไม่ถูก เหมือนกับหนึ่งจะรู้ทันผม เลยบอกว่าให้ผมนั่งพักที่นี่แหละถ้าเหนื่อย มีแต่คนกันเองคงไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก ว่าแล้วหนึ่งก็ลากอ๊อฟเข้าไปข้างใน
ซักพักผมที่นั่งมองท้องฟ้าคิดอะไรไปเรื่อยก็ได้ยินเสียงเปิดประตูออกมาแต่ไม่หันไปดูก็พูดขึ้นว่า
“กลับกันไปแล้วเหรอหนึ่ง”ผมถาม
“ยังครับ พี่เอง ไม่ใช่น้องหนึ่ง”พี่หมอทีพูดขึ้น
“อ้าวพี่หมอที สวัสดีครับ”ผมหันกลับมาพร้อมยกมือไหว้ แล้วตาก็เหลือบซอกประตูที่พี่หมอทีเปิดค้างไว้ทำให้ผมเห็นพวกข้างในก็ยังอยู่กันครบพูดคุยดูสนุกสนาน
“มานั่งคนเดียวต้องการหลบใครหรือเปล่า”พี่หมอทีถามเข้าตรงประเด็นทันที ทำเอาผมอึ้งเล็กน้อย
“ไม่ครับ ทำไมผมต้องหลบด้วย ผมเป็นผู้บริสุทธิ์นี่ครับ พี่หมอทีก็รู้ ผมแค่เหนื่อยๆไม่ได้พักเลยตั้งแต่เช้าจนจะเย็นอยู่แล้ว เอ่อ.....พี่หมอทีครับ .....เรื่องของสองพี่หมอทีเอาไปบอกคนในองค์การเหรอครับ”ผมรีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“เห็นพี่เป็นคนปากสว่างไปได้ พี่เปล่าครับ สองเขาเป็นคนยอมรับเอง แต่ก็ไม่เชิงยอมรับหรอกครับ วันที่เขาจะไป เขาบอกกับทุกคนว่าไวรัสที่มาติดคอมในองค์การมันมาจากแฟลชไดร์ของเขาเอง ทุกคนก็ไม่เห็นว่าอะไร พี่แหววได้ทีเลยรุมว่าพวกที่เคยใส่ร้ายว่าเราเป็นคนทำ ทำให้พวกนั้นสำนึกผิดไปเยี่ยมเราถึงโรงบาลเลยไง”พี่หมอทีบอก
“แล้วสองเขาบอกอะไรอีกหรือเปล่าครับ”ผมถาม
“เปล่านิ่ครับ มีแต่พี่บอกทุกคนไปว่าที่แก้ไวรัสได้เพราะเรากับเพื่อนมาช่วย ก็แค่นั้นเองครับ แต่ก่อนไปเห็นสองเขาเข้าไปคุยอะไรกับนิคด้วยอยู่นานสองนานแล้วค่อยออกไป แปลกนะครับพี่สังเกตที่นิ้วกลางกับนิ้วชี้ด้านซ้ายมือของสองเข้าเฝือกด้วย”พี่หมอทีบอก
“ให้เรื่องมันจบอย่างนี้ก็ดีแล้วครับ”ผมบอก
“แล้วนี่ยังไม่คุยกับนิคอีกเหรอ ไม่ใช่ซิ พี่ถามใหม่ นิคยังไม่มาคุยกับเราอีกเหรอ”พี่หมอทีถามขึ้นวกมาเรื่องเดิมจนได้
“ช่างเขาเถอะครับ ผมกับพี่เขาเราคงจบและสิ้นสุดกันแค่นี้ เดี๋ยวผมก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ที่ชลบุรีแล้วครับ”ผมตอบแต่ใจแวบๆ
“ปากแข็งไม่ตรงกับใจ ฟอร์มจัดทั้งคู่ เอก็พอเอคิดแต่จะหนีปัญหา มีอะไรชอบเก็บไว้คนเดียว นิคก็พอนิค รู้ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไรยังทำตัวแบบนี้อีก วันๆเอาแต่นั่งเล่นตุ๊กตาหมาแมว งานการไม่ยอมทำ ไปเรียนบ้างไม่ไปเรียนบ้าง ใครเข้าหน้าก็ไม่ติด ยังไงก็ช่างมันเถอะ เพราะถึงยังไงก็เป็นการตัดสินใจของเราที่จะให้เรื่องมันจบลงแบบนี้ พี่ว่าเราเข้าไปคุยกับเพื่อนๆข้างในดีกว่า เห็นพี่แหววเขาบ่นถึงเราอยู่นะ เกิดเป็นเรานี่ดีจริงๆเลยมีพี่สาวที่น่ารักอย่างพี่แหวว แล้วยังได้พี่ชายดีๆอย่างพี่อีก”พี่หมอทีพูดทิ้งท้ายแบบติดตลกแล้วเดินเข้าไป
ผมนั่งคิดตามที่พี่หมอทีพูดมา พี่นิคนั่งเล่นตุ๊กตาหมาแมว ไม่ยอมไปเรียน ไม่ยอมทำงาน ใครก็เข้าหน้าไม่ติด ถ้าเราไม่คิดเข้าข้างตัวเองไปนัก คงเป็นตุ๊กตาพี่หมาน้องแมวที่เราซื้อให้แน่ๆ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ก็พี่นิคเขารู้ความจริงแล้วนี่ ทำไมถึงไม่ยอมมาคุยมาพูดกับเราล่ะ อย่างน้อยพูดในฐานะคนเคยร่วมงานก็ยังดี สงสัยเราคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปแล้ว
ผมลองถามตัวเองดูว่าผมโกรธหรืองอนพี่นิคที่ทำตัวแบบนั้น ผมก็ได้คำตอบว่าเปล่าเลย ผมไม่ได้โกรธหรืองอนพี่นิคแต่อย่างไร ผมรู้ว่าเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นมันยากที่จะตัดสินใจสำหรับพี่นิคระหว่างคำว่าหน้าที่กับความรู้สึกส่วนตัว แต่ผมก็ยังรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจพี่นิคอยู่ดี เหมือนว่าการที่เราได้อยู่ใกล้กันไม่ได้ช่วยอะไรเลย สู้ผมหนีไปซะดีกว่า เรื่องมันจะได้จบๆไป
“เดี๋ยวผมตามเข้าไปครับพี่หมอที”ผมทักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตูออกมาแต่ไม่หันไปดู ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา แต่มีคนมายืนข้างหลังผมทำให้ผมหันกลับไปดู
“พี่นิค”ผมตกใจพูดออกมา แล้วรีบหันกลับไปทันทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สวัสดีครับผมชื่อ.............. นามสกุล............. คุณเรียกผมว่าพี่นิคก็ได้ครับ ผมขอเรียกคุณว่าเอนะครับ ผมดำรงตำแหน่งนายกองค์การนักศึกษาของมหาลัยครับ วันนี้ได้รับมอบหมายให้มาเป็นคณะกรรมการตรวจหอครับ พอดีผมสอบถามข้อมูลกับรูมเมทคุณเสร็จ ต่อไปผมขอสอบถามข้อมูลกับคุณเพื่อพิจารณาประกอบการให้คะแนนนะครับ”พี่นิคพูดใช้มุขแนะนำตัวแบบเป็นทางการหวังให้ผมตลกหรือเล่นด้วย แต่ผมกลับนิ่งเฉยไม่ตลกหรือเล่นด้วยเลย
“ผมขออนุญาตถามข้อที่หนึ่งเลยนะครับ”พี่นิคยังคงเล่นต่อ ผมก็เฉยต่อเหมือนกัน
“เอครับ เรื่องทั้งหมดที่พี่เข้าใจผิด ทำไมเอไม่บอกพี่”พี่นิคเปลี่ยนน้ำเสียงจากพูดเล่นๆเมื่อกี้เป็นจริงจังออกมาจากใจจจริง (แล้วเคยคิดจะถามกันบ้างไมล่ะ---ผมคิดในใจแต่ข้างนอกก็ยังนิ่งอยู่)
“พี่รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว สองเขาบอกกับพี่เอง เรื่องที่พาเอไปซาวน่าจนต้องต่อยเขา เรื่องล็อคประตู เรื่องฟุตบอล เรื่องไวรัส แล้วก็เรื่อง........”พี่นิคพูดยังไม่ทันจบ ผมก็แทรกขึ้นว่า
“พี่ยังรักเอไหม”ผมถามด้วยน้ำเสียงสีหน้าและแววตาที่เรียบเฉย
“เอ่อ......คือ..พี่...เอ่อ..”พี่นิคอ้ำอึ้งเหมือนพูดไม่ออก (พูดออกมามันจะตายหรือยังไง --- ผมคิด)
“รักหรือไม่รัก”ผมถามอีกคราวนี้หันหน้ากลับมา แต่พี่นิคก้มหน้าหลบตาผม
“ก็...แบบ...ว่า..เอ่อ....พี่.....เอ่อ.....”พี่นิคก็ยังอ้ำๆอึ้งๆอยู่เหมือนเดิม (จะเอ่อจนเป็นเอ๋อเลยหรือไง --- ผมคิดในใจแบบฉุนนิดๆ)
ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง พี่นิคเดินตามเข้ามา พวกเพื่อนๆก็กินกันไป คุยกันไปอย่างสนุกสนาน จนทันไม่สังเกตว่าผมจะทำอะไรยังไง ผมนั่งลงตรงโต๊ะคอมที่เปิดเพลงเกี่ยวกับสายรุ้งอยู่ สายตามองไปที่พี่นิคที่ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาผม ผมเลยเปลี่ยนเพลงขึ้นมากลางคัน
(
http://www.imeem.com/sweetsong/music/iXZQTGfg// ---ฟังเพลงวันนี้เธอบอกรักหรือยัง ของเทเรซ่า อากีล่าร์)
................จะมีซักคำไหม บอกแทนหัวใจฉัน
แทนวันซึ้งๆ เรามีให้กัน ที่ไม่มีวันจะลบเลือน
แทนคำว่าห่วงใย อภัยให้กันเสมอ
แทนคำว่าฉันจะเคียงข้างเธอ ในวันที่เธอมีน้ำตา
แต่คำๆนั้นเราลืมพูดกัน
ปล่อยให้เป็น แค่ความเข้าใจ
แต่มันนานเกินไป จึงอยากได้ยินอีกครั้ง....
บอกซิ บอกซิบอกว่ารัก บอกซิบอกว่ารัก
มันพูดไม่ยากสักหน่อย
บอกซิจะได้รู้ อย่าเก็บอยู่ในใจ
มีใครบางคนอยากฟัง ........
“มาเปลี่ยนเพลงกลางคันจั๋งซี่ ผิดคอนเซปต์สายรุ้ง เดี๋ยวหักคะแนนเด่ะ”พี่ปอแซวขึ้นมา (มาเปลี่ยนเพลงกลางคันอย่างนี้ ผิดคอนเซปต์สายรุ้ง เดี๋ยวหักคะแนนนะ)
“เพลงนี้แหละจ้า น้องเอ พี่ชอบ”พี่แหววพูดต่อ
“แหววมักอิหยั๋ง อ้ายปอก็มักคือกัน ว่าแต่มื้อนี้แหววบอกฮักอ้ายปอไป”พี่ปอแซวเล่นตามเพลง (แหววชอบอะไร พี่ปอก็ชอบเหมือนกัน ว่าแต่วันนี้แหววบอกรักพี่ปอแล้วหรือยัง)
“ถามอะไร อายคนอื่นเขา ก็รู้ๆอยู่ว่าแหววรักปอ”พี่แหววพูดแบบเขินอาย ทำเอาพรรคพวกโห่แซวกันใหญ่
“อ้ายปอก็ฮักแหววคือกัน”พี่ปอตอบกลับ เรียกเอาเสียงโห่แซวอีกรอบ (พี่ปอก็รักแหววเหมือนกัน)
ผมนั่งดูแล้วคิดตาม กับไอ้แค่บอกรักมันจะยากแค่ไหนกัน พี่แหววกับพี่ปอยังบอกรักกันง่ายๆเลย หรือเป็นเพราะว่าพี่เขาทั้งสองคนรักกันเลยบอกกันได้ง่ายๆ แต่สำหรับพี่นิคเขาคงไม่รักเราจริงเลยบอกออกมาไม่ได้ จริงซินะคำว่ารักมันต้องบอกออกมาจากใจเหมือนที่เราบอกพี่เขาไปไง ผมคิดอย่างนั้นจากหน้าที่ยิ้มๆก็หุบลงทันที
. ....... บอกซิบอกว่ารัก บอกซิบอกว่ารัก
มันพูดไม่ยากเท่าไหร่
บอกก่อนที่จะสาย หากต้องจากกันไป
วันนี้เธอบอกรักหรือยัง .........
พอเพลงจบลง ผมก็เห็นพี่นิคเดินเข้าไปคุยอะไรกับหนึ่ง แล้วพี่นิคก็ออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ ผมสังเกตเห็นว่าพี่แกไม่ได้หยิบใบบันทึกการให้คะแนนไปด้วย แล้วหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาผม
“อ่ะ ฟังซะ ห้ามเอาออก ห้ามปิด และที่สำคัญห้ามเปลี่ยนคลื่น”หนึ่งกำชับผมพร้อมยื่น MP4 ของผมที่เปิดตั้งค่าโหมดเป็น FM ไว้มาให้
ผมก็รับมาใส่หูฟัง มันเป็นรายการวิเคราะห์ แล้วหนึ่งมันจะให้เราฟังทำไมว่ะเนี่ยะ ผมทำท่าจะเอาออกแต่หนึ่งส่งสายตาดุๆมาห้ามผมไว้ ทำให้ผมต้องทนฟังต่อไป เกือบสิบนาทีได้ แล้วอยู่ดีๆผู้อ่านข่าวกับวิเคราะห์ข่าวก็บอกว่ามีรายการด่วนพิเศษเข้ามาขอตัดเข้าช่วงนี้ไปก่อน
“สวัสดีครับ ผมดีเจนิคเองครับ ต้องขออภัยท่านผู้ฟังทุกท่านด้วยนะครับ ที่ตัดมาเข้ารายการพิเศษ”ผมได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้างงๆ หนึ่งเห็นอย่างนั้นถึงกับยิ้มออกมา พวกนั้นอีกสิบกว่าคนก็ไม่สนอะไรเลยเม้าส์กันอย่างเดียว
“เป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆครับ คือว่าผมได้รับแจ้งข่าวมาว่ามีคนหาย แล้วถ้าไม่รีบประกาศหาเดี๋ยวนี้อาจจะไม่ทัน เรื่องของเรื่องคือน้องแมวได้ถามพี่หมาว่ายังรักเขาอยู่ไหม แต่พี่หมาไม่กล้าตอบ ทำให้น้องแมวน้อยใจและคิดหนีไป เพลงต่อไปนี้จะเป็นคำตอบจากพี่หมาให้น้องแมวนะครับ
(
http://www.imeem.com/peggo/music/XvCGv-bX// ---ฟังเพลงรักอ้ำอึ้ง ของอ่ำ อัมรินทร์)
................เอ่อคือว่าคือ เอ่อคือตัวฉัน
เอ่อแบบว่ามัน มีเรื่องจะพูดจา
เอ่อคือว่าเธอ แบบว่าเรานั้น
ก็เอ่อมาตั้งนาน เป็นเพื่อนกันเรื่อยมา
คิดคิดมาก็นานอยู่ รู้รู้ตัวฉันมั่นใจ
เห็นเห็นเรานั้นเข้ากันได้ เลยมาหา ต้องขอพูดซักที .....................
ผมนั่งฟังเพลงไปก็ยิ้มออกมาให้กับความกล้าบ้าบิ่นของพี่นิคที่กล้าขอแทรกรายการ
คิดถึงวันที่เราเจอกันแรกๆ ที่ผมทำบอร์ดทำตัวพี่เขา แล้วพี่ก็ใช้งานผมอย่างโหดจนเข้าโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็มาง้อให้มาไปทำงานที่องค์การด้วยการเลี้ยงส้มตำ
ตอนที่เราไปซื้อคอมด้วยกัน พี่นิคร้องเพลงไม่ใช่ผู้วิเศษให้กับผม
งานไหว้พระจันทร์ที่พี่นิคป้อนส้มให้กับผม
ตอนงานศพคุณพ่อที่พี่นิคคอยเอาใจใส่ดูแลผม
ตอนไปเที่ยวบ้านพี่นิคที่หนองคาย
ตอนเราตกลงเป็นแฟนกัน สร้างข้อตกลงร่วมกันขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันจะมีเรื่องวุ่นๆเข้ามาบ้างก็ตามทีเถอะ เราก็ยังมีความรักให้กับพี่นิคตลอดมานี่นา
..............เอ่อคือว่ามัน อ่าจะดีไหม
เอ่อจะว่าไป เรานั้นก็คลุกคลี
เอ่อยังงี้เธอ แบบจริงจริงแล้ว
อ่าถ้าเห็นดี ตัวฉันก็ว่าดี
อยากให้รู้คือว่าอันที่จริง แบบทางฉันฉันเองไม่มีใคร
แบบทีนี้ทีนี้คือให้ตาย โอ้โฮเหนื่อยจังหนอ
แบบยังงี้ยังงี้คือว่ามัน โธ่มันเป็นอะไรไม่รู้ลำบากจัง
เดี๋ยวก็แล้ว พรุ่งนี้ฉันค่อยมาอีกที...............
พอเพลงจบลง พี่นิคก็พูดขึ้นว่า
“ถ้าน้องแมวได้ฟังเพลงนี้อยู่ คงรู้แล้วนะครับว่าพี่หมารู้สึกยังไง พี่หมาหวังว่าน้องแมวคงจะไม่หนีไปไหนอีก แล้วพี่หมาจะไปคอยน้องแมวอยู่ที่ ที่พี่หมากับน้องแมวเคยมีความรู้สึกดีๆให้แก่กันนะครับ ขอบคุณท่านผู้ฟังทุกท่านที่ติดตามนะครับ ต่อไปเข้าสู่รายการปกติต่อได้เลยครับ”พี่นิคพูดจบลง ทางสถานีก็ตัดเข้าสู่รายการวิเคราะห์ข่าวต่อ
ในใจผมตอนนั้นมันกลับมาสดใสเบิกบานอีกครั้ง เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉามานานแล้วได้ฝนที่ตกลงมาทำให้ดอกไม้มีชีวิตชีวาดูสดชื่นขึ้น
ผมคิดถึงสถานที่ที่เคยมีความรู้สึกดีๆให้กัน ใช่ต้องใช่ที่นั่นแน่ ว่าแล้วผมก็ไม่รอช้า หันไปบอกเพื่อนๆทุกคนว่าเดี๋ยวผมมา พร้อมกับวิ่งออกไปในชุดนอนสีรุ้งแต่ไม่ลืมที่จะหยิบใบให้คะแนนหอของพี่นิคไปด้วย
...