รูปน้องป๊อป กับพี่ร็อค เอาไว้ดูให้ฟินนนนน!!!
ป๊อป&ร็อค..วงรักหน่วงตับ
Part..12
“เก็บตัวซ้อมเป็นยังไงบ้าง เล่าให้แม่ฟังซิครับ” หลังทักทายกอดจนหายคิดถึงที่ไม่ได้เจอหน้าร่วมสามอาทิตย์ แม่ก็ถามถึงความเป็นอยู่ผม
“เรียบร้อยดีครับ พวกพี่เขาต้อนรับผมดี เรื่องซ้อมคาดว่าน่าจะผ่านฉลุยอยู่ครับ”
ผมยิ้มกว้าง พูดให้แม่สบายใจจะได้ไม่ต้องมาคอยกังวล
“แม่ดีใจกับป๊อปด้วย” แม่ยิ้มให้ผมเช่นกัน แววตาอบอุ่นมีให้ไม่เคยจางหาย
บ่งบอกว่าแม่รู้สึกดีใจมีความสุขไปกับผมอย่างที่ท่านพูดจริงๆ
“ขอบคุณครับแม่ ป๊อปรู้นะ..ว่าแม่แอบช่วยป๊อปให้เข้าวงพวกพี่เขาใช่ป่ะล่ะ” ผมคิดว่าแม่คงแอบช่วยผมลับๆ
“แม่ไม่ได้ช่วยอย่างที่ป๊อปเข้าใจ จริงอยู่ที่แม่ไม่ได้บอกให้รู้..ว่าแม่ถือหุ้นบริษัทร่วมกับอาพนม ใบสมัครแม่ก็แค่นำมาให้
เผื่อป็อปไปออดิชั่นดู จะได้หรือไม่แม่ไม่มีส่วนในเรื่องนี้ แม่ก็คอยตามข่าวถามอาพนมเขาทีหลัง
พอรู้ลูกทำสำเร็จแม่ไม่แปลกใจสักนิด หลายปีมานี้แม่รู้ป๊อปตั้งใจฝึกซ้อมกับพวกเพื่อนจริงจังแค่ไหน
ป๊อปเก่งไม่เป็นรองใคร ทำไมจะทำไม่สำเร็จล่ะ แม่รู้ว่าป๊อปรักหลงใหลวงดนตรีพวกพี่เขามาก
ลูกมีความฝันมุ่งมั่นแรงกล้าจึงมีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะตัวป๊อปเอง แม่พูดได้เต็มปากไม่ได้ช่วยเลยนะ”
ฟังแม่พูดมาแบบนี้ ทำให้สิ่งที่คาใจผมได้รับคำตอบชัดเจนเสียที แม่ไม่ได้มีส่วนยื่นมือช่วยอย่างที่ท่านบอกแน่
ผมเชื่อสนิทใจแม่พูดเรื่องจริงไม่ได้คิดปิดบังหรือเพียงต้องการให้ผมสบายใจเท่านั้นหรอก
“แม่ถือหุ้นบริษัทมาตั้ง 5 ปี ทำไมไม่เคยบอกให้ผมรู้เลยล่ะครับ”
“เป็นความบังเอิญมากกว่า ธุรกิจแบบนี้ไม่ใช่แนวถนัดที่มุ่งหวังทำจริงจังแม้แต่น้อย ไม่ได้สนใจมูลค่าที่ลงทุนคุ้มค่าแค่ไหน
แค่ต้องการช่วยเพื่อนเก่าให้พ้นวิกฤต ที่เหลือเป็นอาพนมที่เข้าไปดูแลจัดการหมด”
“เพื่อนเก่าหรือครับ หมายความว่าแม่กับท่านประธานบริษัทรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม”
“อืม..เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัย”
“เป็นแบบนี้เอง มิน่าผมแปลกใจแม่คิดยังไงถึงได้ซื้อหุ้น ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจในแวดวงของแม่เลยสักนิด”
“เหตุผลก็อย่างที่บอก เพื่อนเก่ากำลังเดือดร้อน ครั้นจะไม่ดูดำดูดีก็กระไรอยู่ ไม่หนักหนาสาหัสเหลือบ่ากว่าแรงมากนัก
ช่วยได้เท่าที่จะช่วย เป็นโชคของเขาด้วยที่ลูกชายกอบกู้วิกฤต สร้างวงโด่งดังติดต่อกันหลายปี นำรายได้ผลกำไรคืนสู่บริษัท
ให้กลับมายืนหยัดอีกครั้ง ถ้าไม่ได้วงนี้เห็นทีจะฟื้นตัวลำบากอยู่เหมือนกัน” นี่แม่กำลังชมพวกพี่ร็อคอยู่นะนี่
“คงใช่ครับ นักร้องในสังกัดที่เหลือก็พอถูๆ ไถๆ ไม่ได้ฮือฮาแต่ไม่ถึงกับไม่เป็นที่รู้จัก ผลพลอยได้จากวง Lucky One
ที่นำกระแสให้คนอื่น เป็นอานิสงส์นักร้องในค่าย กลายเป็นที่รู้จักตามไปด้วย”
“อืมแล้วเราล่ะ อายุน้อยกว่าพี่เขาหลายปี มีปัญหาอะไรบ้างไหมกับการปรับตัวเป็นสมาชิกใหม่ในวง”
“ช่วงแรกก็มีบ้างครับ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ลงตัวดีครับ”
“ดีแล้วล่ะ แม่จะคอยติดตามผลงาน แต่คงหาเวลาเกาะขอบเวทีดูลูกลำบาก ถ้ามีโอกาสแม่ไม่พลาดไปชมคอนเสิร์ตป๊อปแน่
แม่ให้สัญญาแต่ไม่รับปากหรอกนะ ต้องรอดูงานจะอำนวยให้ได้มากน้อยแค่ไหน”
“ผมเข้าใจครับ แค่รู้แม่คอยเป็นกำลังใจให้แบบนี้ ก็มากพอที่จะทำให้ผมฮึกเหิมแล้ว แม่ไม่ต้องลำบากปลีกเวลามาก็ได้
ถ้าจะทำให้งานแม่ติดขัดแล้วล่ะก็ ผมรู้แม่ต้องการมาเป็นกำลังใจให้ผม แม่ก็ต้องรู้ด้วยว่าผมคอยเป็นกำลังใจให้แม่เช่นกัน
เราสองคนต้องสู้ครับ ช่วงนี้แม่อาจเหนื่อย รอผมเรียนจบผมจะสานต่อธุรกิจของเรา แม่คงไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้แล้ว
รอผมอีกสักนิดนะครับแม่” ผมพูดตามที่ตั้งใจเอาไว้
“ขอบใจมาก แม่รู้มาโดยตลอดป๊อปเป็นเด็กกตัญญู ไม่เคยสร้างปัญหาให้แม่ต้องตามแก้ไข
อ้อ! มีหนหนึ่งที่ลูกพยายามเจียวไข่จนไฟแทบไหม้ครัว คงมีแค่หนนั้น แม่จึงต้องเข้มงวดห้ามไม่ให้ป๊อปวุ่นวายทำครัวอีก
ไม่ใช่ไม่ต้องการให้ลูกทำอะไรไม่เป็น ป๊อปเข้าใจใช่ไหม ถ้าเกิดอะไรขึ้นแม่คงหัวใจสลายตามลูกไปเป็นแน่”
ผมฟังแล้วลำคอตีบตัน
“ผมรู้ครับแม่ ตั้งแต่นั้นผมไม่เคยฝืนคำสั่งอีก ถึงจะมีคนเขาล้อผมไร้ความสามารถขนาดต้มมาม่าไม่เป็น
ไม่เคยโกรธหรือน้อยใจพวกเขาเลยพวกเขาไม่รู้ถึงสาเหตุที่ผมทำไม่เป็น เกิดจากเคยทำพลาดมาก่อน
นึกย้อนเหตุการณ์ถ้าแม่บ้านไม่มาเห็นเข้า มีหวังไฟไหม้บ้านเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่แม่พูดไปแล้วเรียบร้อย”
ผมยอมรับอย่างไม่มีคำแก้ตัว
“จะว่าไปถือเป็นความผิดของป๊อปทั้งหมดก็ไม่ถูก แม่ไม่มีเวลาให้ลูกเหมือนแม่คนอื่น ป๊อปต้องอยู่กับแม่บ้านพี่เลี้ยง
กลายเป็นเรื่องบางเรื่องที่แม่สมควรเป็นคนถ่ายทอดสอนลูก กลับไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ให้สมบูรณ์
พูดให้ถูกแม่มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน”
“แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ แม่ทำเพื่อผมมามาก ทุกวันนี้แม่ยังหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผมต่างหากที่ไม่สมควรเพิ่มภาระให้แม่..ครับ”
“ขอบใจมาก..ป๊อปเคยฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับยางลบดินสอบ้างไหม”
“เรื่องเล่าอะไรหรือครับ” อดสงสัยไม่ได้ เรื่องยางลบดินสออะไร
“แสดงว่าไม่เคยได้ฟังสินะ ถ้าอย่างนั้นแม่เล่าให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่าดินสอพูดคุยกับยางลบ..แล้วแม่ก็เริ่มเล่าว่า
“ดินสอ : ต่อไปนี้ฉันคงไม่เขียนอะไรอีกแล้วล่ะ”
“ยางลบ : ทำไมล่ะ”
“ดินสอ : ฉันสงสารเธอนะสิ”
“ยางลบ : สงสารฉันเรื่องอะไรหรือ”
“ดินสอ : ก็ทุกครั้งที่ฉันเขียนผิดพลาด เธอก็ต้องคอยลบคอยแก้ไขให้ฉันเสมอ จนตัวเธอเล็กลงๆ
ขืนฉันเขียนแบบนี้เรื่อยๆ สักวันเธอคงจะหายไปจากชีวิตฉัน เพราะทุกครั้งที่เธอลบความผิดพลาดของฉัน
เธอก็เสียร่างกายไปด้วย แบบนี้จะไม่ให้ฉันสงสารเธอได้อย่างไร”
“ยางลบ : อย่าคิดแบบนั้นสิ เธอก็มีหน้าที่ของเธอ ฉันเองก็มีหน้าที่ของฉันเช่นเดียวกัน ถ้าเธอสงสารฉันจริง
พยายามอย่าทำผิดพลาดฉันจะได้ไม่ต้องเสียร่างกายสิ้นเปลืองไปในเร็ววัน แต่ฉันก็เข้าใจดี
ทุกสิ่งย่อมเกิดการผิดพลาดกันได้ ดังนั้นขอให้เธอรับรู้เอาไว้ ฉันเกิดมาเพื่อคอยช่วยแก้ไขปัญหาให้เธอ
คอยช่วยเหลือเธอในยามที่เธอพลาดผิด ถึงแม้ฉันจะต้องสูญเสียร่างกายจนไม่เหลือในที่สุด
เธอก็จะมียางลบก้อนใหม่มาทำหน้าที่แทนฉัน ขอให้เธอจงมุ่งมั่นทำหน้าที่ของเธอต่อไปให้ถึงที่สุด
แค่นี้ฉันก็มีความสุขมากแล้ว ไม่ต้องคิดมากที่ฉันจะหายไปในวันหนึ่ง”
“ดินสอ : ขอบคุณมากนะ ขอบคุณเธอจริงๆ เธอเองก็ขอให้รู้ไว้ด้วย ไม่มียางลบก้อนไหนมาแทนที่เธอเช่นกัน
เพราะเธอคือยางลบก้อนเดียวที่ฉันจะนึกถึงเสมอ ไม่มีใครสามารถมาทดแทนเธอได้” ผมอึ้งไปกับเรื่องราวที่แม่เล่าให้ฟัง
แม่จ้องมองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความรักความอาทรมอบให้ผมเต็มเปี่ยมฉายชัดอยู่ดวงตาสวยคู่นี้
“ป๊อปรู้ไหมลูก แม่ก็เปรียบเหมือนกับยางลบ ส่วนป๊อปก็คือดินสอ ไม่ว่าลูกทำผิดพลาดหรือพบอุปสรรคปัญหามา
ก็จะมีแม่คอยอยู่เคียงข้าง คอยแก้ไขเป็นกำลังใจให้ลูกเสมอ แม่ย่อมแก่เสื่อมโทรมไปตามวัย
สุดท้ายก็ต้องจากไปเหมือนกับพ่อ แต่ลูกก็ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง เปรียบเหมือนเรื่องราวของยางลบกับดินสอที่แม่เล่าให้ฟัง
แม่พร้อมอภัยให้กับความผิดที่ลูกกระทำเสมอ ไม่มีแม่คนไหนรังเกียจหรือไม่รักลูกของตัวเอง”
ผมน้ำตาซึมคลอรื้นที่หัวตา ก่อนจะค่อยไหลย้อยลงตามร่องแก้ม ด้วยความซาบซึ้งตื้นตันใจจุกไปทั้งอก
กับความรักความปรารถนาดีที่แม่มีให้ผมอย่างไม่เคยจางหาย นับตั้งแต่จำความได้กระทั่งเวลานี้และอนาคต
“ป๊อป..ฮึก..รักแม่ครับ” สะอื้นฮักอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนโผเข้ากอดซุกหน้ากับอกแม่
สัมผัสอ้อมแขนอันอบอุ่นคุ้นเคยลูบหัวปลอบโยนไปด้วย
“ไม่มีใครแทนที่ได้ ป๊อปรักแม่ครับ แม่ต้องอยู่กับป๊อปเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด..ฮึก..ฮือออ”
กลายเป็นลูกแหง่ร้องไห้ซุกอกแม่ไปเรียบร้อย แม่เองก็กอดรัดผมแน่น เหมือนจะบอกว่าแม่รักผมแค่ไหน
แม่ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของผู้ให้กำเนิด จนเกิดความสำนึกตื้นตันในพระคุณซึ่งหาที่สุดมิได้อีกแล้วในโลกนี้
จะมีใครรักเราโดยไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน เช่นแม่ของเราในโลกนี้คงไม่มี แล้วเราล่ะในฐานะลูกจะรอให้ไม่มีโอกาส
บอกรักแม่กันหรือครับ ผมไม่อายที่ใครจะดูว่าไม่แมน เป็นลูกแหง่ร้องไห้อ้อนแม่เป็นเด็ก เพราะผมไม่สนใจแม้แต่น้อย
ขอแค่ให้แม่รับรู้ไว้ว่ามีผมอีกคนที่รักแม่มาก และจะคอยเป็นกำลังใจให้แม่เช่นเดียวกัน..
>
>
“รอกูนานไหม” ไอ้ขิงถาม ตอนนี้มันกำลังทำหน้าที่สารถีพาผมไปส่งที่เพ้นท์เฮ้าส์
“ไม่นี่..มึงโทรได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็โผล่ถึงหน้าบ้านกูแล้ว ช่วงที่โทรมึงออกจากบ้านอยู่ใช่ป่ะ”
จะเรียกว่ารอคงไม่ใช่ มันให้เวลาผมอาบน้ำไม่ถึงยี่สิบนาที ก็มากดแตรเรียกอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว
“อืมกูโทรตอนกำลังจะออกจากบ้าน แม่ล่ะกูไม่ได้เจอหน้าแกเลย”
“แม่กูบินแต่เช้า กูไม่ได้ไปส่งด้วยซ้ำ บินไฟลต์ตีห้า” ผมบอกมันไป
“คราวนี้ไปไหนอีกวะ”
“ไปหลายที่..ประชุมวางแผนกับพวกเอเย่นต์ อีกนานกว่าจะกลับราวสองเดือนครึ่งได้มั้ง
ทัวร์คอนเสิร์ตกูจบโปรเจคเรียบร้อยพอดี”
“เสียงเศร้านะมึง ไงกลัวแม่ไม่ได้ดูมึงบนเวทีงั้นดิ” จี้โดนใจกูเต็มๆ
“ก็นะ..กูอุตส่าห์มายืนตรงจุดนี้ อย่างน้อยก็คาดหวังให้แม่ได้ดูกูเล่นคอนเสิร์ตสักครั้งก็ยังดี”
แม้ในใจผมจะคอยย้ำกับตัวเองว่าแม่งานยุ่งไม่อยากรบกวนท่าน แต่ลึกแล้วผมก็ยังแอบหวัง
อยากให้แม่เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จและคอยเป็นกำลังใจให้ผมหน้าเวทีสักครั้ง
“ทำไมมึงไม่บอกเขาไปตรงๆ” ไอ้ขิงมันเข้าใจผม ก่อนหน้าก็อาศัยแม่มันมาเป็นผู้ปกครองให้
ช่วงที่โรงเรียนเขาจัดกิจกรรมในวันสำคัญต่างๆ เช่นวันพ่อวันแม่ แต่ผมไม่มีใครว่างเพราะส่วนใหญ่ติดงานอยู่ต่างประเทศ
“กูไม่อยากให้เขาพะวงคอยเป็นกังวล ขืนกูบอกแม่คงลำบากใจพานจะทำให้เสียงานเปล่าๆ
เรื่องของกูไม่สำคัญหรอก งานแม่สำคัญกว่า”
“มึงก็เป็นเสียแบบนี้ แล้วก็มานั่งทอดถอนใจทีหลัง บางครั้งมึงคิดหรือต้องการอะไรควรบอกเขาไปตรงๆ
เขามาได้ไม่ได้มันเป็นอีกเรื่อง ให้ถือเสียว่าอย่างน้อยมึงได้บอกความต้องการให้เขารับรู้แล้ว” มันพูดถูกผมไม่มีคำพูดจะเถียง
ผมรักและเกรงใจแม่มาก..ท่านเหนื่อยตรากตรำทำงานหนัก หาวันหยุดพักยังแทบไม่ได้ ประสาอะไรที่ผมจะนำความต้องการ
ไปทำให้ท่านลำบากใจอีก ผมโตแล้วต่อให้อยากเห็นแม่อยู่ด้านหน้าเวทีมากแค่ไหน ผมไม่มีทางขอร้องให้แม่หยุดงาน
เพื่อมาดูผมเล่นคอนเสิร์ตโดยเด็ดขาด
“ช่างเถอะ..ไว้กูค่อยส่งบันทึกการแสดงให้เขาดูเอา” เป็นทางเลือกที่ผมคิดเอาไว้
อย่างน้อยบันทึกการแสดงสด แม่ก็ต้องได้ดูผมเล่นดนตรีล่ะ
“หึ!..ปากมึงก็พูดแบบนี้ เพราะมึงเป็นแบบนี้ป๊อป แม่เขาถึงไม่รู้มึงต้องการเขามากแค่ไหน
มึงเล่นไม่พูดไม่แสดงออกตามความรู้สึกสักครั้ง บางทีถ้าเราไม่พูดไม่บอก..ท่านก็เข้าใจว่ามึงอยู่ได้ไม่คิดอะไรมาก”
“กูก็อยู่ได้นี่หว่า..หรือมึงเห็นว่ากูกำลังจะตาย” ผมประชดครับ
“อย่ากวนป๊อป กูเคยบอกหลายหนถ้ารู้ตัวว่าต้องการอะไรอยู่แล้ว มึงควรทำตามความรู้สึกบ้าง
ขืนยังปากแข็งอยู่แบบนี้ มึงก็วนเวียนจมปลักในความต้องการที่ไม่ได้รับการปลดปล่อย ดูกูเป็นตัวอย่างอะไรที่กูต้องการ
กูไม่เคยลังเลคิดมากให้ปวดหัว มุ่งมั่นก้าวไปให้ถึงสิ่งที่หวังเท่านั้นเป็นพอ” เพราะมันคิดแบบนี้
มันถึงมั่นใจมีภาวะความเป็นผู้นำสูง แต่บางทีก็มีมากจนเกินไป กระทั่งใครๆ ก็ไม่สามารถห้ามปรามได้
บทมันจะดื้อผมว่าไอ้ขิงเข้าขั้นหัวรุนแรงเลยเชียวล่ะ
คนเรามีข้อดีข้อเสียทุกคน ผมก็เป็นคนที่คิดอย่างแสดงอีกอย่าง เหมือนที่มันกำลังตำหนิไม่มีผิด
เป็นเพราะผมไม่ต้องการเป็นภาระสร้างความยุ่งยากให้ใคร เรื่องไหนที่มีผลกระทบต่อคนอื่น
ถ้าเลี่ยงได้ผมก็เลี่ยงที่จะไม่ทำสิ่งนั้น จนดูเหมือนเป็นคนเก็บกดความต้องการส่วนลึกของตัวเอง
ยอมแบกรับความรู้สึกส่วนตัวเอาไว้มากเกินไป ความจริงแล้วผมก็อยากจะเถียงมันไปเหมือนกัน
ใช่ผมจะไม่มีขีดจำกัดในความอดทนอดกลั้น แต่เมื่อไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรมากหนัก ผมสมควรต้องอดทนก็แค่นั้น..
“ถึงแล้วมึงเอารถเข้าไปจอดตรงโน้นเลย เดี๋ยวกูพาไปแนะนำกับพวกพี่เขา บอกไว้ก่อนถ้าพี่เขาพูดไม่เข้าหู
มึงอย่าเสือกชักสีหน้าไม่พอใจเป็นอันขาด กูเคยบอกแล้วแต่ละคนฮาร์ดคอร์ตัวพ่อ พูดจากวนแต่จริงใจกันทุกคน”
ผมย้ำไม่ลืมกำชับมัน เกี่ยวกับนิสัยใจคอพวกพี่เขา ไอ้ขิงมันเป็นคนเลือดร้อนปากไว
เกิดไปพูดจาไม่เข้าหูพานจะกลายเป็นปัญหาได้ง่ายๆ
“เออน่า..กูรู้หรอก พวกศิลปินมีโลกส่วนตัวสูง นิสัยประหลาดเป็นเรื่องปกติ
ยิ่งดังระดับนี้..ไม่แปลกที่จะมีปัญหาทางความคิด” ฟังมันพูดดิ
“มึงอย่าพูดแบบนี้เข้าหูพวกพี่เขาเป็นอันขาด จมตีนแน่ขิง”
“โหดขนาดนั้นเลย” มันทำหน้าไม่เชื่อ
“มึงดูแต่ละคน ตัวยังกับตึก คิดว่าเขาโหดหรือเปล่าล่ะ”
“คนตัวใหญ่ใช่จะโหดทุกคนเสมอไปป๊อป บางคนดูบึกความจริงอาจแต๋วจ๋า พร้อมอ้าขาให้เสียบก็มีออกเยอะแยะ”
“มึงพูดอะไรของมึง..กูงง?”
“เปล่า..กูพูดเรื่อยเปื่อย มึงไม่ต้องเข้าใจหรอก” มันตัดบท ผมก็ไม่อยากเซ้าซี้ แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่มันพูดก็เถอะ
“เมียมึงยังไม่กลับหรือร็อค จะบ่ายสองแล้วนะโว้ย!” เวรเลยครับเสียงพี่คมดังลอดออกมาได้ยินเต็มสองหู
หน้าผมร้อนฉ่าทันทีหลังรู้ว่าพี่เขาพูดถึงใครอยู่ ถ้าไม่ใช่ผมซึ่งชะงักขาก้าวไม่ออกอยู่หลังผนังทางเข้าประตู
ต่อด้านล่าง