ปฏิญญาที่ ๑๑นงคราญงามสร่างขาวผุดผ่อง
เยื้องย่างย่องลุกล้ำเข้าตำหนัก
วาดหวังว่าจะได้พบสบพักตร์
กับคนรักที่เฝ้ารอหลายโมงยามสุริยภาสวรที่ลุกหายไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง กลับมาในตำหนักอีกคราก็บ่ายคล้อย ทิ้งกายลงนอนบนตักของศศินที่นั่งนิ่งพิงหมอนอิงอยู่บนเตียง...
ก็อยากจะลุกไปเดินอยู่ แต่ยังไม่ค่อยไหวเท่าไร เลยจำต้องนั่งเป็นหุ่นอยู่ตรงนี้
“เหนื่อยเหรอ”คำถามโง่ ๆ ที่แฝงแววเป็นห่วงเป็นใย เรียกรอยยิ้มจากคนที่เอาดวงหน้าซุกหน้าท้องของพระองค์อยู่ได้เป็นอย่างดี
“อือออออออ”เสียงครางยาวแหบดังตอบรับเบา ๆ “ใช้งานข้าเยี่ยงพวกทาส ไม่เห็นใจกันบ้าง”
“ท่านขาดราชกิจมาหลายวัน ย่อมมีงานมากมายรออยู่”ไม่คิดจะปลอบใจกันเลยนะ ดวงจันทร์น้อย รอให้ถึงยามราตรีเถอะ ข้าจะเล่นเจ้าให้น่าดู “จริงสิ... ภาสวร เรามีเรื่องอยากจะถามเสียหน่อย”
“อันใดหรือ ที่รัก”หยอดเล็กน้อย ให้พอหอมปากหอมคอ พระองค์โปรดปรานยิ่ง เมื่อแก้มใส ๆ นั้นขึ้นสีระเรื่อ ดูน่ารัก
“ทำไมเมืองของท่านต้องคิดยาแบบนี้ขึ้นมาหรือ”ดวงตากลมเหล่ไปมองถ้วยยาที่ว่างเปล่า บ่งบอกว่าที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงยาอะไร
“เพราะราชวงศ์ของเรามักจะไม่ค่อยมีทายาทน่ะสิ”เสียงตอบอู้อี้ แต่ก็ยังพอจับใจความได้ตอบกลับมา “ยาที่ให้เจ้าดื่ม นอกจากจะทำให้สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้ มีบุตรได้ และบุรุษสามารถตั้งครรภ์ได้แล้ว ยังช่วยให้คนที่มีบุตรยาก มีโอกาสที่จะมีบุตรมากขึ้นด้วย”
ก็พอจะกระจ่างอยู่หรอก... กระมัง
“ศศิน... ข้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เลย”
“ให้เราทำอะไรให้ท่านทานไหม ภาสวร”เจ้าจันทร์น้อยเอ่ยถามคนที่อยู่ด้วยกันมานานนับเดือนด้วยรอยยิ้ม... คิดดูแล้ว... เดือนนี้พระองค์แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย...
โดน... เสียจนหมดแรง อีกทั้งยังไม่หายเจ็บเสียที...
“หืม...”องค์ชายรองแห่งอุษณกรเงยพักตร์ขึ้นมามองศศิน รอยยิ้มกว้าง “เอาสิ”
“ท่านอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม”
“เอ... เจ้าอยากทำอะไร ก็ทำเถอะ ข้าทานได้หมดอยู่แล้ว”องค์ภาสวรยันองค์ลุกขึ้นจากพระเพลานุ่ม แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย แต่แลกกับการได้ทานอาหารของศีตภา ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่
“เช่นนั้น รอเราสักครู่นะ”ร่างโปร่งยันกายขึ้นจากแท่นบรรทม นางกำนัลประจำองค์ที่ถูกส่งมารับใช้ ปราดเข้ามาประคองพระชายา (?) ของพวกนางกันอย่างรู้หน้าที่
“ถ้าเจ้าไม่ไหว ไม่ต้องตอนนี้ก็ได้นะ ศศิน”เมื่อจ้าวสุริยาทรงเห็นผู้ที่อยู่ข้างกายพระองค์เดินหยั่งพื้นไม่เต็มบาท “ให้ห้องเครื่องทำให้ก็ได้ เจ้ามาพักเถอะ”
“มิเป็นไรหรอก แค่นี้เอง”รอยยิ้มอ่อนโยน บวกความตั้งใจที่มี ทำให้อีกฝ่ายมิอาจจะเอ่ยขัดขึ้นมาอีก ได้แต่ปล่อยให้ร่างโปร่งนั้นออกไปพร้อมกับนางกำนัลที่ช่วยพยุงกาย
“มีใครสักคนอยู่ด้วยนี่มันดีจริง ๆ เลยนะ”อดที่จะเปรยขึ้นไม่ได้ เมื่อคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ความโดดเดี่ยวที่เคยมีก็หายไปหมด
เพราะคนที่เข้ามาในชีวิตอย่างไม่คนฝัน... เพียงคนเดียว
ดรุณีน้อยแรกรุ่น ผิวนวลเนียน กายบาง ขาวอวบอิ่มเยื้องย่างเข้ามาตามทางเดิน ผ่านสวนหน้าพระตำหนัก เข้ามาจนถึงพระราชฐานขององค์ชายรองแห่งอุษณกร
ตำหนักวสันตมาลี
“เรามาขอเข้าเฝ้าองค์ชายสุริยภาสวร”เสียงอันอ่อนหวานเอื้อนเอ่ยบอกกับทหารราชองครักษ์ที่รักษาการอยู่หน้าบานทวาร “กรุณาหลีกทางให้กับเราด้วย”
ทหารที่ได้ยินคำกล่าวหันมามองหน้ากันเชิงปรึกษา แม่นางนลินประไพเป็นสตรีที่องค์ชายทรงโปรดนัก ก่อนที่องค์ศศินจะมา...
แล้วพวกเขาควรจะปล่อยให้นางเข้าไปหรือไม่ดีนะ...
“กรุณาหลีกทางด้วย”น้ำเสียงเริ่มเย็นลง เมื่อทหารทั้งสองไม่ยอมเปิดทางให้นางเข้าไป “มิเช่นนั้นเราจะทูลต่อองค์ชายว่าพวกเจ้าเสียมารยาทกับเรา”
องครักษ์ทั้งสองยอมเปิดทางให้แม่หญิงเข้าไปแต่โดยดี มิได้กลัวคำขู่ แต่แม่หญิงเป็นคนโปรด ถ้าไปทำอะไรขัดใจมากมายเข้า เกรงจะมีภัยไปถึงครอบครัวพวกเขาได้
“องค์ชายเพคะ”เสียงทีคุ้นเคยเรียกให้องค์ชายเจ้าของพระตำหนักผู้ที่กำลังเคลิ้มฝันต้องผุดลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว “หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าเพคะ”
“นลินประไพ”สุริยภาสวรขานชื่อสตรีตรงหน้าอย่างตกใจ พระองค์ลืมสตรีนางนี้ไปเสียสนิทใจเลย “เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
“องค์ชายทรงบอกกับหม่อมฉันไว้ว่ากลับมาแล้วจะทรงเสด็จไปพบหม่อมฉันที่เรือน นี่ก็ผ่านมาแรมเดือนแล้ว พระองค์ก็มิเสด็จมาเสียที หม่อมฉันเลยมาหาพระองค์เพคะ”ร่างอรชรแน่งน้อยเยื้องย่างอย่างกุลสตรีเข้ามาหาพระองค์อย่างนุ่มนวล “หม่อมฉันคิดถึงพระองค์มากนะเพคะ องค์ชาย”
นางย่อกายลงคุกเข่าที่ข้างพระแท่น ดวงตาหยาดเยิ้มช้อนมองอย่างออดอ้อน รอยยิ้มพริ้มพรายยั่วยวนให้รู้สึกลุ่มหลง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน พระองค์คงฉุดนางขึ้นมาบรรเลงบทกามใส่ให้หนำพระทัย ก่อนจะเอาใจสักเล็กน้อยก่อนจากลา... แต่วันนี้ สายตาเช่นนี้ ใบหน้าเช่นนี้ ทั้งที่ยังเหมือนเดิม แต่กลับไม่ทำให้ดวงฤทัยสั่นคลอนได้อีก
ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกับว่า คนที่ไม่เคยรู้จักกันมากก่อนเพียงคนเดียว จะสามารถเปลี่ยนแปลงพระองค์ไปได้ขนาดนี้ในเวลาเพียงน้อย...
แต่มันก็เป็นไปแล้ว
“องค์ชายเพคะ”เสียงหวานเอ่ยเรียกให้บุรุษที่อยู่ในห้องภวังค์หันมาสนใจนางอย่างออดอ้อน “องค์ชายมิทรงคิดถึงหม่อมฉันบ้างหรือเพคะ”
ผ้าคลุมไหล่ตกลงไปอยู่บนพื้นตั้งแต่เมื่อไร ไม่อาจทราบ เผยให้เห็นช่วงไหล่นวลเนียน เนินอกที่อวบอิ่ม ท่อนแขนเรียวยาว... ร่างน้อยขยับเข้ามาแนบชิด กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำปรุงที่ประทินโฉมมาอย่างประณีต
“องค์ชาย”ร่างบอบบางเคลื่อนกายเข้ามาใกล้องค์ มือเรียวเล็กนั้นค่อย ๆ ปลดผ้าแพรไหมที่พันกายออกอย่างช้า ๆ “หม่อมฉันมาหาพระองค์แล้วนะเพคะ”
จะบอกว่าพระองค์ทรงไม่รู้สึกอันใดเลยก็คงใช่ที่ พระองค์ทรงเป็นบุรุษ... มีหญิงสาวมาเปลือยกายตรงหน้า จะนิ่งเฉยไม่รู้สึกอะไรดั่งพระอิฐพระปูนคงไม่ใช่
ดรุณีน้อยเปลือยกายตรงหน้า
ผ่องนวลน่าสัมผัสหลงใหล
นงคราญเจ้าเผยเห็นอกหน้าใจ
เชิญชวนให้ไล้ลูบกายา
ปทุมทันเต่งงามยอดชมพูเรื่อเผยให้เห็นตรงหน้า ชวนให้จับต้อง รอยยิ้มยั่วเย้ามีจริตคลี่ส่งให้กระตุ้นดำกฤษณาที่เร้นในกายให้ประทุขึ้น มือเรียวเล็กไล้ลูบกายตน จากคอระหง ผ่านอกสร่าง ลงถึงเอวคอด แล้วเลื่อนลงไปยังผ้าไหมที่นุ่งบังช่วงล่าง นางปลดสายเข็มขัดเงินอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง ก่อนที่ผ้าไหมสีน้ำเงินปักลายงามจะลงไปกองอยู่บนพื้นตามผ้าส่วนอื่น ๆ ไป
กายบางยันขึ้นโอบกอดบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า บดเบียดร่างเข้าหาอย่างอ้อนออด หมายมั่นในดวงใจว่าจักต้องได้รับความรักอย่างเอ่อล้นเป็นแน่
และมันควรจะเป็นเช่นนั้น...
ร่างนวลเนียนของสตรีวัยแรกรุ่นบดเบียดวรกายแกร่ง เสียงหวานกระซิบกระเซ้า กระตุ้นให้เกินอารมณ์กาม อย่างที่ยากจะฉุดรั้ง
เสน่ห์แห่งสตรี... ใครเล่าจะทนทาน
องค์ชายรองยังทรงทำนิ่งเฉย แม่พระองค์จักทรงรู้สึกวูบวาบไม่น้อยแล้ว แต่ในพระหฤทัยยังนึกถึงดวงหน้าของเจ้าจันทราที่คู่กาย
ไม่อยากทำให้เสียใจ... แต่จะผลักไสโฉมตรูที่เคยเคียงหมอนเมื่อครั้งก่อนเก่าก็คงใช่ที...
ความคะนองมากรักของพระองค์ หวนกลับมาทำร้ายองค์เองก็ครานี้... ช่างน่าลำบากพระทัยยิ่งนัก... จักทรงทำอย่างไรดี
ก่อนที่จะมีอะไรเลยเถิดไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ก็มีเสียงประตูเปิดดังขึ้นเรียกสติขององค์สุริยภาสวรให้หวนกลับมาสู่ร่าง
“ศศิน!”
องค์บอบบางที่มีนางคอยประคอง
ผู้สนองตัณหาองค์ทุกคืนค่ำ
องค์ที่คอยมอบกายให้ความสุขล้ำ
ที่องค์จำติดตราตรึงในดวงใจ
ใบหน้าซีดดวงตาเบิกตื่นตระหนก
นางที่ยกสำรับมาต่างสั่นไหว
รอยยิ้มเซียวคลี่ฉาบส่งมาให้
พาหทัยไหวหวั่นอย่างกังวล
“เราคงมาผิดเวลาไปเสียแล้ว...”เสียงหวานแหบเอ่ยอย่างเรียบเฉย เฉกเช่นเดียวกับดวงพักตร์และพระเนตรที่ไม่ฉายแววใด ๆ “ขอเชิญฝ่าบาททรงปฏิบัติกิจต่อเถอะ เรา... ข้าพระองค์จักพานางกำนัลออกไปเองพะยะค่ะ”
จบคำไม่มีท่าทีอ้อยอิ่งให้เดินไปงอนง้อ แม้นสภาพร่างกายจะไม่สมบูรณ์พร้อม แต่องค์ศศินก็ทรงหันกายกลับหลัง เกินกลับออกไปทางเดิมที่ทรงเสด็จเข้ามา ร้อนถึงองค์ชายเจ้าถิ่นต้องรีบผลักไสนวลอนงค์ออกห่างแล้วลุกขึ้นเสด็จตามไป
“องค์ชาย องค์ชายเพคะ”นงเยาว์ผู้งดงามร้องเรียกองค์ชายที่เมินเฉยต่อนางอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ก่อนหน้าทรงดีต่อนางเหลือแสน เพียงพบหน้าก็มอบความอบอุ่นให้ไม่รู้สิ้น...
แต่เหตุใดวันนี้จึงหมางเมินกันเช่นนี้
“แม่หญิงเจ้าคะ...”นางกำนัลวัยกำดัดนางหนึ่งเดินเข้ามาหานาง พร้อมด้วยผ้าแพรเนื้อนิ่ม คลี่ออกคลุมกายเปลือยอย่างแผ่วเบา “องค์ชายทรงมีองค์ศศินมาหยุดพระองค์แล้ว พระองค์ก็มิมีใจอื่นให้ผู้ใดอีก...”
“หมายความว่าอย่างไร เฟื่องฟ้า... มันหมายความว่าอย่างไรกัน”หยาดน้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้มนวล “พระองค์มิรักข้าแล้ว มิใยดีกับข้าแล้วใช่หรือไม่... บอกข้ามาสิ เฟื่องฟ้า”
“ที่จริงแล้ว... พระองค์มิได้ทรงโปรดแม่หญิงมาตั้งแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ”นางมิอาจจะโป้ปด จึงได้บอกกล่าวความจริงให้กับหญิงตรงหน้าได้เตือนใจตนเองอีกครา “แม่นางทราบแก่ใจดี ว่าพระองค์ทรงมีเล็ก มีน้อยไปทั่ว... แต่ทั้งเดือนที่ผ่านนับตั้งแต่องค์ศศินมาประทับในพระตำหนัก... พระองค์ก็มิได้ทรงไปพบหญิงสาวคนใดอีกเลย... แม่หญิงทำใจเถอะนะเจ้าคะ”
นลินประไพร่ำไห้อย่างโศกา อยากจะนึกแค้นผู้เข้ามาแทนที่ แต่ก็ไม่ถูกควร เมื่อนางก็รู้อยู่เต็มอกแต่ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งไว้ นึกคิดว่าสักวันผู้ที่นางรักจะหันมารักนางบ้าง...
แต่วันนี้นางรู้แล้ว... ว่าสิ่งที่นางเฝ้าฝันไม่มีทางเป็นจริง...
“ศศิน รอข้าก่อน”ร่างสูงวิ่งเข้าไปโอบกอดวรกายบางจากด้านหลัง โอบรัดไว้แน่นจนมิอาจที่จะเคลื่อนกายไปที่ใดได้ “ข้าไม่ได้ทำอะไรกันนางเลยนะ ศศิน ข้าไม่ได้ทำอะไร”
“ทรงทำกิจเสร็จแล้วหรือพะยะค่ะ”เสียงที่ถามกลับมาช่างเฉยชา จนทำให้คนได้รับฟังพระทัยเสีย พระองค์ยิ่งโอบรัดแน่นกว่าเก่า อย่างหวาดหวั่น
“ข้ามิได้ทำอะไรกับนาง ข้ากับนางไม่มีอะไรต่อกันอีกแล้ว”เสียงทุ้มกระซิบข้างหูแผ่วเบา ร่างที่เกร็งอยู่ในคราแรกค่อย ๆ ผ่อนลงช้า ๆ
“... ภาสวร ท่านอดทนอีกหน่อย... ถ้าเรามีทายาทให้ท่านแล้ว หลังจากนั้นท่านคงได้อยู่กับคนที่ท่านชอบพอ... มิใช่คนที่ถูกยัดเยียดให้เฉกเช่นข้า”น้ำเสียงที่เสียดสีตนเองให้ดูต่ำต้อย แอบตัดพ้อในโชคชะตาของตนทำดวงหฤทัยของอีกคนหนึ่งสั่นคลอน “ถึงวันนั้น ท่านกับเราคงหมดพันธะต่อกันแล้วกระมัง...”
“ไม่ ศศิน เจ้าต้องอยู่กับข้า ข้าจะไม่ให้เจ้าไปไหน”สุริยภาสวรพูดอย่างร้อนรน พร้อมทั้งจับร่างบางให้กลับหันหน้ามาหาพระองค์ “เจ้ากับข้าต้องไม่จากกันสิ ใช่ ข้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เราจะต้องอยู่ด้วยกัน”
“ด้วยเหตุใดกันเล่า... ท่านกับเราถึงต้องอยู่ด้วยกัน...”
“เพราะ... เจ้าเป็นคนที่หยุดข้าได้... เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่ข้าอยู่ด้วยแล้วสบายใจ อยู่ด้วยแล้วมีความสุข เป็นตัวของตัวเอง การมีเจ้านอนอยู่เคียงข้างทำให่ข้านอนหลับสนิทได้ทุกคืน...”พระองค์เอ่ยความในใจออกมาเบา ๆ ใบหน้าคมขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย “ข้า... ข้ารักเจ้าเข้าแล้วล่ะ ศศินคคนานต์”
ผู้ที่ได้สดับฟังยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ องค์ภาสวรชอบพระองค์? เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ...
“ท่าน...”
“ข้ารักเจ้า ได้ยินไหม ศศิน ข้ารักเจ้า...”ไม่รอให้อีกฝ่ายต้องถามย้ำ พระองค์ขอบอกซ้ำไปก่อน ให้คนตรงหน้าได้มั่นใจ “ถึงเจ้าจะไม่รักข้า... แต่ข้าเป็นคนเห็นแก่ตัว ข้าจะกักเจ้าเอาไว้ให้อยู่กับข้า ใช้ชีวิตกับข้าไปจนวันตาย”
ใบหน้าหวานแดงก่ำ เมื่อได้ยินคำหวานที่มอบให้มา ใจดวงน้อยเต้นระรัวอยู่ในอุระราวกับว่าจะกระดอนออกมาอย่างไรอย่างนั้น...
ถึงแม้ว่าจะทรงโดนเอาเปรียบทุกค่ำคืน... โดนลุกล้ำเข้ากายอย่างไม่หยุดหย่อน ต้องเจ็บองค์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...
แต่ถึงกระนั้นก็คะนึงหาคน ๆ นี้เมื่อไม่ได้อยู่ใกล้... ไม่อยากที่จะห่างไกลกัน... ยินดีที่ถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนที่อบอุ่นนั้นอย่างเปรมปรีดิ์ รู้สึกเจ็บยอกในอกเมื่อเห็นนงคราญนางนั้นเข้ามาใกล้ชิดจนแทบจะเป็นร่างเดียว... เช่นนี้ มันเรียกความความรักหรือเปล่า
ก็คง... ใช่
“เราก็รักท่าน... ภาสวร”
######################
หมดสต็อกนะคะ 5555 อีก 9 ตอนต่อไปจะเริ่มช้าแล้ว... ยังไม่จบบท 12
หวาน ๆ กันบ้างเนอะ ^^//
กลอนของบทที่ 10 พอจะรู้เรื่องไหมคะ แต่งฉากอย่างว่าเป็นกลอน...(ให้ไปถอดกันตามใจ 5555) ไม่รู้ว่าจะได้อารมณ์กันไหม..
บทนี้... ไม่มีอะไร บทหน้า... ก็ยังไม่มีอะไรอยู่ดี ยังไม่ถึงโค้งต่อค่ะ ^+++^//