ปฏิญญาที่ ๑๐วันคืนผ่านพ้นไปช่างร้าวรวด
แสนเจ็บปวดแสนอับอายหวังสุขี
ทอนกายบางนอนบำเรอสวามี
เยี่ยงสตรีบำเรอกามในช่องคาวหลังจากที่การสนทนาในท้องพระโรงจบลงก็มีการรับประทานอาหารร่วมกันในตอนเย็น องค์อินทัชดูเปรมปรีดิ์ยิ่งนักกับคำทำนายที่เพิ่งได้รับ ลืมเลือนความโกรธาที่มีสิ้น
เมื่อฟ้ามืดองค์ชายรองสุริยภาสวรก็ทรงพาตัวเชลยศักดิ์กลับพระตำหนักของพระองค์ด้วยพระพักตร์ยิ้มกริ่ม
ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เจ้าชายต่างแดนผู้นี้มาอยู่ในครอบครอง แม้นจะแอบปรารถนาผู้ในพระหฤทัยเล็ก ๆ ก็ตามที
อาจจะด้วยพระองค์ยังมิมีพระชายาเป็นตัวเป็นตน เสด็จพ่อจึงมอบให้ก็เป็นได้...
ถึงเป็นบุรุษก็คงไม่เลว... แต่จะเอาผู้ชายเจ้าชู้อย่างพระองค์อยู่หมัดไหม
ว่ากันอีกที
“คงผิดหวังล่ะสิ ที่เป็นเรา มิใช่เสด็จพี่”สุรเสียงทุ้มตรัสกับคนข้างพระวรกายระหว่างทางเสด็จกลับพระตำหนักในยามเย็น
“เราไม่ได้คาดหวังอันใด จักเป็นผู้ใดสุดท้ายตัวเราก็ต้องถูกย่ำยี”ศศินตอบกลับด้วยเสียงสั่น ที่วสุนธราการร่วมเพศนั้นเป็นเรื่องที่ประหลาด แม้อาจจะยอมรับได้ แต่ก็มิทรงเคยพบมาก่อน...
อย่าว่าแต่เพศเดียวกันเลย... แม้แต่สตรีพระองค์ก็มิเคยแตะต้องให้หม่นหมองมีราคี
“เตรียมใจเอาไว้ก็ดี... เพราะเรามิได้อ่อนโยนอย่างเสด็จพี่รพีหรอกนะ”หัตถ์หนาเลื่อนลงไปที่บั้นท้าย ลูบไล้บีบเคล้นอย่างน่าไม่อาย
“ท่าน!!”เจ้าจันทราผลักไสร่างสูงออกให้ห่างกาย จู่ ๆ มาทำเช่นนี้กับพระองค์ได้อย่างไรกัน
“จุ๊ ๆ ไม่เอาน่า ทุกคนในวังนี้รู้ว่าข้าเป็นอย่างไร”กรแกร่งรั้งร่างเพรียวให้มายืนชิดองค์ “เจ้าต้องมาเป็นเมียข้า รู้จักนิสัยของสวามีไว้บ้างก็มิเสียหาย”
“...”ใบหน้ามนบึ้งตึง เป็นพี่น้องท้องเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับแตกต่างกันราวฟ้ากันเหวก็มิปาน
“ไม่เอาน่า เจ้าเหมาะกับรอยยิ้มมากว่า”ภาสวรแตะปรางเนียนเบา ๆ “น่ายินดีจริง ๆ ที่ได้เจ้ามา... ราตรีนี้คงยาวไกลนัก”
“ท่านจะ...”
“แหม่... เรื่องแบบนี้มันก็ต้องเริ่มกันเลยสิ”เสียงนุ่มทุ้มกระซิบที่ข้างหู “เจ้าจะได้มีทายาทให้ข้าไว ๆ อย่างไรล่ะ”
ว่าจบก็มันใบหูนิ่มเบา ๆ ก่อนที่จะทรงลากเอาศีตภาคนงามเข้าสู่ตำหนักของตน
นางกำนัลสาวงามหยาดเยิ้มปานนางสวรรค์ นุ่งน้อยห่มน้อยจำนวนหลายนางกรูกันเข้ามาพาองค์ชายของพวกเขาไปชำระกายา โดยมีอีกจำนวนหนึ่งเข้ามารับใช้นายคนใหม่ของตำหนักด้วยรอยยิ้ม
ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างการอาบน้ำ อีกทั้งยังรวดเร็วจนน่าตกใจ
มารู้ตัวอีกที ศศินคคนานต์ก็มายืนอยู่ในห้องบรรทมของสุริยภาสวรเสียแล้ว พระองค์กวาดตาดูรอบ ๆ อย่างเหม่อลอย
ที่นี่... คือที่ ที่จะต้องมาประทับอยู่อย่างนั้นหรือ... แล้วยัง... ช่างเถอะ ขอแค่มีชีวิตอยู่... เพื่อรอเจ้าพี่สุริเยนทร์มารับกลับสู่วิมารก็พอแล้ว... ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาไป
ระหว่างที่ทรงปล่อยให้สติล่องลอยอยู่นั้น ใครอีกคนที่ยังไม่อยากพบก็เข้ามาอยู่ข้างหลังพระองค์เสียแล้ว พระกรหนาที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อโอบรัดเอวบางแน่น ก่อนจะปลดอาภรณ์ที่ทรงสอบอยู่ออกอย่างรวดเร็วจนพระวรกายของพระองค์เปลือยเปล่า โดยที่ยังมิทรงได้ขยับกายใด ๆ
“เจ้ารู้ไหม... ถึงข้าจะมีสาวงามรายรอบมากน้อยเพียงไร... แต่มิมีผู้ใดที่เคยได้ร่วมห้องนอนเดียวกับข้า...”ร่างสูงผลักเจ้าชายต่างถิ่นไปชินขอบหน้าต่างที่ปิดสนิท “น่ายินดีกับเจ้าจริง ๆ ที่ได้เป็นคนแรกและคนเดียวในการใช้ห้องนอนของข้าเป็นสนามรักเช่นนี้”
ผ้าผืนใหญ่ที่ห่มกายมาถูกสะบัดออก เจ้าชายแห่งอุษณกรเข้าประกบปากกับจันทร์ต่างถิ่น ชิวหาอุ่นร้อนกว่าเอาความหอมหวานในโพรงปากของฝ่ายตรงข้างอย่างเอาแต่พระทัย พระหัตถ์สากฟ้อนเฟ้นกายเปลือยปลุกอารมณ์
โดยไม่ปล่อยโอกาสให้คนในกำมือนั้นได้โต้แย้ง ขัดขืน พระองค์ทรงส่งลำลึงค์ใหญ่เข้าล่องล้ำในร่างของผู้ที่จะต้องเป็นแม่ให้กับบุตรของพระองค์อย่างไร้ความปรานี
ดวงจันทราใต้แสงเจ้าสุริยา
หยาดน้ำตาไหลซึมด้วยเจ็บปวด
ยิ่งดูดกลืนเข้าลึกยิ่งร้าวรวด
สองขาทรวดทรุดลงขอบบัญชร
สองมือกำใบหน้าก้มน้ำตาริน
สุดเสียงสิ้นเอ่ยคำร้องอ้อนวอน
กระตุกกายใส่เข้ามิดใจขาดรอน
โปรดอาทรเพียงนิดคงสุขใจ
ดึงสะโพกรั้งกระแทกไร้เมตตา
เจ็บจนชาร้าวจนขาดสติไป
อัลสุชลและหยาดเหงื่อหลั่งรินไหล
เปลี้ยตัวไร้เรียวแรงหดหมดแรงกาย
แทรกเข้าลึกถี่ระรัวตัวสั่นคลอน
ความเจ็บจรไปมาไม่ห่างหาย
ตอกย้ำกายและใจไม่เสื่อมคลาย
อยากสลายหายไปในเฉียบพลัน
มือลูบไล้ฟ้อนเฟ้นกายกระหายหื่น
ความขมขื่นวนในอกครองชีวัน
อาทิตยากลืนกินเจ้าดวงจันทร์
กระแทกทั้นเพื่อหลั่งรักหลั่งวารี
ประกบปากจูบดูดดื่มกวาดความหวาน
ตัวคงสานสัมพันธ์สร้างสุขี
สนองความต้องการที่ยังมี
มิปราณีมิเมตตากิระณา
สายน้ำอุ่นพุ่งฉีดเข้าภายใน
หลั่งเข้าไปคั่งค้างในกายา
เสียงทุ้มครางบอกความสุขจากโอษฐา
ก่อนถอนกามาออกจากทางสวรรค์
กรแกร่งรั้งดึงร่างบางขึ้นพาดบ่า
ทรงนำพาไปยังแท่นไม่ไกลนั้น
ทาบกายทับสอดแทรกลึกสานสัมพันธ์
กินเจ้าจันทร์อย่างกระหายอีกครั้งครา
เสียงสวาทดังประสานเหล่าจักจั่น
ณ ห้องบรรทมพันแสงทั้งทิวา
ย่ำยีซ้ำตอกย้ำใจศีตภา
ด้วยกามารมณ์แห่งรังสิมันตุ์
แสงอาทิตย์ส่องฟ้าแยงตาประกับความรู้สึกเย็นชื้น ปลุกใครผู้ที่กำลังอยู่ในห้องนิทราต้องตื่นขึ้นมา... เพียงขยับองค์เล็กน้อยก็ทรงรู้สึกรวดร้าวไปทั่วกาย
โดยเฉพาะช่วงล่างที่โดยย่ำยีอย่างหนักทั้งราตรี
“ตื่นแล้วหรือ”เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเรียกความสนใจให้หันไปหาคนข้างพระวรกาย ที่กุมผ้าชุบน้ำซับดวงพักตร์พระองค์อยู่ “เจ้าตัวรุม ๆ ข้าเลยเช็ดตัวให้”
“ขอบคุณ...”เสียงแหบน้อย ๆ ตอบกลับแผ่วเบา “ท่านเช็ดตัวให้เรา... ทั้ง เอ่อ...”
“ข้าเช็ดให้เจ้าทั้งตัวนั่นแหละ”รอยยิ้มล้อเลียนคลี่ส่งมาให้ “เจ้าจะได้สบายตัวไง ข้าไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำถึงขนาดปล่อยให้เมียตัวเองนอนเหนอะหนะไม่สบายกายหรอกนะ”
“... ท่านเป็นคนยังไงกันแน่นะ”คำเปรยกับตัวเองเบา ๆ แต่ในห้องที่เงียบงันเช่นนี้ จะลอดพ้นกรรณของคนที่อยู่เขียงข้างคงเป็นไปไม่ได้
“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้... มิได้อ่อนโยนเช่นเดียวกับเสด็จพี่ แต่ข้าก็มิได้โหดร้ายทารุณเช่นกัน ถึงข้าจะดูมักมาก แต่ก็มิเคยหักหาญผู้ใดก่อน”หัตถ์อุ่นลูบไล้ปรางนวล ก่อนที่จะเลื่อนลงไปดึงรั้งผ้าแพรขึ้นคลุมกายบาง “มีแต่เจ้าเท่านั้น ที่ข้าช่วงชิงมาโดยที่มิเต็มใจ แต่ข้าดีใจนะ ที่ได้ครอบครองเจ้าเช่นนี้... ถึงเจ้าจะรังเกียจข้าก็เถอะ”
“...”ศศินหน้าแดงเรื่อ หลบสายตาของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของตน “ใครว่า... ข้ารังเกียจท่าน”
รอยยิ้มกว่าฉาบทับพระพักตร์ ก่อนที่จะทรงเข้าฟัดแก้มนุ่มของคนร่วมเตียงอย่างเปรมปรีดิ์ ตัวศศินคคนานต์เองก็ปลงตกแล้ว ปล่อยทุกอย่างให้ไปตามฟ้าลิขิต แม้นจะรู้สึกอับอายและเสียศักดิ์ศรีที่ถูกย่ำยีจนช้ำไปทั่วร่าง แต่อย่างน้อยก็ขอมีความสุขบ้าง... คงมิเป็นไร
“ไม่เอาน่า... เราเจ็บนะ”เจ้าจันทร์น้อยผลักไสร่างใหญ่ออกเบา ๆ เมื่อกายของตนเริ่มสั่นคลอน “อย่าเพิ่งขยับตัวเราสิ มันเจ็บ...”
การผลักทีเล่นที่จริงครั้งนี้ แม้ใจของสุริยภาสวรจะอยากนัวเนียกับคนตัวหอมข้าง ๆ ต่อ แต่ก็ยังมิอยากให้เจ็บกายจนกลัวเกรงพระองค์ไปก่อน ยอมปล่อยตัวแต่โดยดี
“ทำไมเจ้าถึงยอมข้าโดยง่ายเช่นนี้ล่ะ... ศศิน”แม้นจะทรงรู้ว่าเป็นคำที่ไม่ควรถาม แต่ก็มิอยากให้คาพระทัย “เจ้ามีใจให้กับเสด็จพี่ไม่ใช่หรือ”
“เรา... ไม่ได้มีใจให้ใครทั้งนั้น”เสียงตอบที่แผ่วเบา ภายในห้องที่เงียบสนิท ดังก้องในพระกรรณ “เจ้า... องค์ชายรัชทายาท ทรงเป็นพระเชษฐาของเรา เรายังมิได้เลยเถิดไปกว่านั้น... และมิมีวันที่จะเป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้นหรือ... แต่ข้าว่าเสด็จพี่ทรงชมชอบเจ้าไม่น้อยเลยนะ”ภาสวรเหม่อมองไปยังบัญชาที่เปิดแง้ม “เสด็จพี่ดูตกพระทัยมากตอนที่เสด็จพ่อยกเจ้าให้ข้า... พระองค์ดูผิดหวัง... และเสียใจ”
“... แต่เราดีใจมากกว่า ที่เรามิได้ผิดต่อเจ้าพี่ศรวิษฐา... และไม่ต้องไปเป็นน้อยใคร”เสียงที่เอ่ยช่วงหลังนั้นแผ่วเบายิ่ง จนแทบฟังไม่รู้ความ
“จริงสิ... ข้าพอจะทราบแล้วนะ ว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงยกเจ้าในกับข้า”พระเนตรคมหันมาสบกับดวงตาสีไพลินสวยมราฉายแววสงสัย “คงเพราะข้าเกินในช่วงที่พระอาทิตย์ทรงกลด โหราหลายคนเชื่อว่าข้าเป็นบุตรของสุริยเทพลงมาเกิด... น่าจะเพราะเหตุนี้กระมัง”
“เราเกิดในวันที่พระจันทร์เต็มดวง และใหญ่ยิ่งกว่าทุกปี...”
“องค์ชายเพคะ...”เสียงของนางกำนัลสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาเรียกความสนใจของคนทั้งคู่ “โอสถเพคะ”
องค์ชายรองแต่อุษณกรรับถ้วยยาอุ่นมาไว้ในมือ แล้วค่อย ๆ ประคองร่างที่บอบช้ำด้วยน้ำมือขององค์เองขึ้นมาดื่มช้า ๆ
ตัวศศินเองก็ได้แต่แอบคิดในใจว่า ต้องดื่มยาขม ๆ นี่ไปอีกสักกี่ถ้วยกัน...
“ขอบใจเจ้ามาก ออกไปได้แล้วล่ะ”คำที่ฟังดูอ่อนโยนเสียจนไม่อยากจะเชื่อว่าออกมาจากโอษฐ์ขององค์ชายที่มักจะเกรี้ยวกราดอยู่เป็นนิจ ทำเอานางกำนัลที่ได้ยินตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบจรลีตัวนางออกไปนอกห้องบรรทมอย่างว่องไว “ศศิน... ถึงอย่างไรเราก็ต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน ข้าอยากรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้... เจ้าพอจะเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“...ถ้าท่านอยากฟัง เราจะเล่าให้ฟัง... แลกกับการที่ท่านต้องเล่าเรื่องของท่านให้เราฟังบ้าง ท่านตกลงไหม”องค์ชายต่างถิ่นยื่นข้อเสนอ ซึ่งได้รับการตกลงด้วยการพยักหน้ารับของคนข้าง ๆ “ท่านรู้ไหม... เราเกิดมาก่อนเวลาอันควร ทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ แต่ด้วยยาขับที่พระสนมอุสราหลอกล่อให้พระมารดาทรงดื่มเข้าไป ทำให้เราต้องออกมา วันนั้นพระมารดาตกเลือดอย่างหนัก เป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนแอลงจนท่านหมอหลวงทูลแก่พระบิดาว่าพระนางมิสามารถมีครรภ์ได้อีก มันทำให้พระบิดาและพระปิตุลาโกรธามาก... แต่มิอาจที่จะลงโทษพระสนม ซึ่งเป็นเจ้าหญิงต่างแดนได้ ความโกรธนั้นเลยมาลงกับเรา... พระองค์ตั้งนามให้เราเป็นดวงจันทร์... ดวงจันทร์ที่ไม่มีแสงในตัวเอง ไม่สามารถเปล่งประกายได้ดังเช่นดวงดาวและพระอาทิตย์
จริง แล้วพระองค์มิต้องการให้เราเรียนรู้อะไรเลยแม้เพียงสักอย่าง แต่เจ้าพี่สุริเยนทร์ทรงอดรนทนไม่ได้ เข้ามาสอนทุก ๆอย่างที่เชื้อพระวงศ์ควรรู้ให้กับเรา จนวันหนึ่งเสด็จพ่อทรงยอมให้พระอาจารย์มาสอนเรา เสด็จพี่จึงห่างออกไปดูแลพี่หญิงแทน ช่วงเวลาหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากมายนักหรอก... ก็มีระหกระเหิน เดินทางบ้าง โดนขังบ้าง โดนลงอาญาบ้าง... เพียงเท่านั้น”
“เท่าที่เราได้ยินมา องค์ภาณุวัฒน์มิโปรดเจ้าอย่างมาก... มิน่าใช่ด้วยเหตุผมเพียงเท่านี้กระมัง”
“เรื่องนั้น...”ดวงตาที่เคยประกายสดใส เศร้าหมองลงทันที เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต “เพราะเราเคยทำให้เจ้าพี่สุริเยนทร์เกือบสิ้นพระชนม์... จากที่ทรงมิโปรดเราอยู่แล้ว เสด็จพ่อจึงแทบตัดขาดกับเราเลยทีเดียว”
“ไม่ต้องเล่าแล้ว... ศีตภาน้อยของข้า ไม่ต้องเล่าแล้ว”พระองค์มิอาจจะสดับฟังน้ำเสียงที่แฝงความเจ็บปวดได้อีก เจ้าจันทราสำหรับพระองค์อย่างไรก็เหมาะกับรอยยิ้มมากที่สุดอยู่ดี
ระหว่างที่เล่าถึงความหลังของตนนั้น โดนที่ไม่รู้องค์ เจ้าศศินทรงซุกกายเข้ากับแผ่นอกหนาอุ่นที่เต็มไปด้วยมันกล้ามสวยงาม ราวกับจะขอการปกป้อง
แม้พระองค์จะไม่เก่งกาจเทียบเคียงทหารหาญ แต่ก็พอมีฝีมือติดตัวไว้ป้องกันตัวจากภัยร้ายอยู่บ้าง... เพียงเท่านั้น
กิริยาเช่นนี้ทำให้จ้าวสุริยาอกยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าคนในอ้อมกอดพระองค์จะเป็นบุรุษ ถึงแม้ว่าจะไม่มีกายนุ่มนิ่ม ใบหน้างดงามเยี่ยงสตรี แต่ก็มีเสน่ห์
เสน่ห์ที่ทำให้รู้สึกหลงใหล
“ถึงตาข้าเล่าบ้างแล้วสิ”หัตถ์อุ่นเกลี่ยกลุ่มเกศานุ่มที่บดบังดวงหน้าของชายา (?) ของพระองค์ไปทันใบหูเบา ๆ “ข้าเกินในวันที่พระอาทิตย์ทรงกลด จึงได้ชื่อว่าสุริยภาสวร ซึ่งแปลได้ว่าพระอาทิตย์ เป็นโอรสคนที่สามของอุษณกร แต่เสด็จพี่รองของข้าเป็นโอรถของนางกำนัล ถึงได้ยศศักดิ์ แต่ก็มิมีสิทธิ์เสียงอันใด แต่เล็กข้าต้องเข้ารับการฝึกฝนทางการทหาร และพลเรือน ราชกิจต่าง ๆ เพื่อคอยเป็นกำลังให้กับเสด็จพี่รพี ข้ามีนิสัยเสียที่มากรักไปทั่ว อาจจะเพราะตอนอยู่ในกองทหารนั้นห่างจากสตรีไปพักใหญ่ เมื่อได้โอกาสเลยหยุดตนเองไม่ได้... ตัวข้ามิได้มีชายาอย่างที่ควร อาจจะเพราะข้าเป็นคนแบบนี้ล่ะมั้ง ถึงไม่มีใครเอา”
ทรงพูดด้วยน้ำเสียงกลัวหัวเราะ ทีเล่นทีจริง แต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้าลึก ๆ
“แต่ตอนนี้... ข้ามีเจ้าแล้ว ข้าอาจจะไม่ดีพร้อมเหมือนเสด็จพี่ แต่ข้าจะพยายามเลิกนิสัยเดิม ๆ ของข้าไป... แม้มันอาจจะต้องใช้เวลา... แต่อย่าเพิ่งเกลียดข้าเลยนะ... ศศิน”สุริยภาสวนกระซิบอย่างเว้าวอน พระองค์ทรงกอดร่างเปลือยในอ้อมแขนแน่น ราวกับว่ากลัวเขาจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น “ข้า... ข้าอาจจะทำให้เจ้าเสียใจ ในตอนนี้ ข้าอาจจะไม่ได้มีเจ้าเพียงคนเดียว แต่ข้าสัญญา ว่าข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไปไหน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น... ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า”
รอยยิ้มอ่อนโยนฉาบทับบนใบหน้า ตั้งแต่เดินทางมาก็ได้เตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วว่าเรื่องมันอาจจะเป็นเช่นนี้... แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สุดจะคาดเดาเกิดขึ้น...
อย่างเรื่องในตอนนี้... เพียงข้ามคืนก็ตกเป็นคนของที่เพิ่งพบหน้าได้ไม่นาน ได้รับบัญชาจากกษัตริย์เมืองแม่ให้มีโอรส ได้รู้ว่าเสด็จพี่รพีมีพระชายาแล้ว และ... ได้รู้ถึงความหลังของคนที่เป็นเจ้าของพระองค์
“ท่านสัญญากับเราแล้วนะ... จำเอาไว้ด้วยล่ะ”คำสัญญา... ที่เพิ่งเคยได้รับเป็นครั้งแรก คำสัญญาที่จะไม่ทิ้งให้พระองค์โดดเดี่ยว เคว้งคว้าง อีกต่อไป... เพียงเท่านี้ ก็พอพระทัยแล้ว...
จริง ๆ
“ศศิน... ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้าด้วยล่ะ”เสียงทุ้มแหบพร่าเอื้อนเอ่ยขึ้นมาแผ่วเบา เรียกให้คนที่นอนซุกกายอยู่เงยพักตร์ขึ้นมองอย่างสงสัย “ราตรีที่ผ่านมา... กายเจ้าตอดรัดเรามาก... เร้าอารมณ์ยิ่งนัก”.
“...”
“เพราะอย่างนั้น... ข้าขออีกรอบนะ”
ไม่ว่าเปล่า สุริยะเจ้าถิ่นก็เริ่มบรรเลงบทเพลงรักบทเตียงอุ่นกับเจ้าจันทราดวงน้อยอย่างไม่รู้จักอิ่ม ไปอีกครึ่งค่อนวัน... เสียงครวญครางดังลอดออกบานทวารทำเอาทหารที่เฝ้าประตู และดรุณีน้อยทั้งหลายหน้าแดงไปตาม ๆ กัน
องค์ชายทั้งสองคงอิ่มหนำกันแล้ว... คงยังมิต้องการเครื่องเสวยในเพลานี้กระมัง...
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ไปหลายวัน... ยังดีที่ทั้งสองพระองค์ยังนึกได้ว่ายังต้องเสวยพระกะยาหาร... มิเช่นนั้นคงไม่ออมารับเดือนรับตะวันกันเลยกระมัง
*************************
วิ่งหลบกองอวยรพีแปป
อย่าเพิ่งวางใจจนกว่าเรื่องจะจบค่ะ 5555 ไม่มีอะไรที่คาดเดาได้จากคนแต่งคนนี้...
โค้งสองยังรออยู่... เตรียมรับมือในอีก 2-3 ตอนนะคะ
// วิ่งหลบระเบิด ฟิ้ว