เสื้อกาวน์หมอไม่อุ่นเท่าเสื้อช๊อปวิศวะ #3
ตั้งแต่เกิดมา 22 ปี ชีวิตเขาไม่เคยรู้สึกลำบากใจเท่าวันนี้
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าเขตลานกิจกรรมของวิศวกรรมศาสตร์ในชุดนักศึกษาตามระเบียบผูกเน็กไทค์เรียบร้อยเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง ทั้งๆที่ก็อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน สารภาพว่าตั้งแต่เรียนแพทย์มาเขาก็ไม่ได้เดินไปตึกคณะอื่นบ่อยเท่าไรเพราะคณะแพทยศาสตร์นั้นอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน เพราะฉะนั้นเด็กแพทย์เลยไม่ได้ค่อยได้ไปสุงสิงกับคณะอื่นเท่าไรนัก ยิ่งวิศวกรรมศาสตร์ที่ขึ้นชื่อในทิศทางตรงกันข้ามแบบฟ้ากับเหวแล้วล่ะก็ไม่ต้องพูดถึง
ตาสวยล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวเหลือบมองถุงเสื้อที่อยู่ในมือ เขาไม่รู้หรอกว่าเสื้อช๊อปนี่มันสำคัญต่อวิศวะแค่ไหน แต่คงไม่ต่างอะไรกับนักศึกษาแพทย์ที่เข้าเวรโดยที่ไม่มีเสื้อกาวน์ บรรดาอาจารย์หมอจะดุเสียยกใหญ่ หักคะแนนพร้อมกับสั่งเขียนรายงานจนมือหงิก มันก็คงไม่ต่างกันกับเด็กวิศวะที่ไม่มีเสื้อช๊อป
เสียวเจี๊ยวจ๊าวเงียบลง เขาหันซ้ายหันขวา กะว่าจะฝากใครสักคนในที่นี้ไปให้เจ้าตัว มีทั้งชื่อมีทั้งเบอร์ คงโทรหากันได้ แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นคนใส่เสื้อนักศึกษาขาวหนึ่งเดียวในลานเกียร์ เจ้าตัวกำลังมองเฝือกของตัวเองอยู่พลางใช้มือข้างที่ไม่เจ็บขยับเฝือกเล่น คงนึกรำคาญจนสะบัดแขนที่เจ็บ
‘เดี๋ยวกระดูกข้อมือไม่ต่อกันพอดี เล่นอะไรไม่เข้าท่า’ ทันความคิดขาเรียวเร่งก้าวเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าท่ามกลางสายตาของเด็กวิศวะทั้งลานเกียร์
เจ้าตัวเหมือนสะดุดนิดหน่อยทั้งๆที่ก้มหน้า จากนั้นเงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้มแสนกวนเบื้องล่าง เกิดเส้นประสาทบริเวณขากระตุกตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ
“สวัสดีครับหมอต่าย เอาเสื้อมาคืนผมเหรอครับ”
เขาหรุบตามองต่ำไปยังคนที่นั่งยิ้มเผล่ ยื่นถุงเสื้อที่ถูกซักรีดอย่างดีมาให้ จริงๆที่เอามาช้าก็เพราะเพิ่งไปรับมาจากร้านซักรีดใต้หอนี่แหล่ะ
“อือ ไปล่ะ” อีกฝ่ายใช้มือข้างที่ไม่เจ็บรับแล้ววางไว้บนโต๊ะอย่างไม่สนใจ เขาหันหลังกลับทันที มองนาฬิกา วันนี้ต้องเดินกลับคณะไปส่งรายงานให้กับเพื่อนอีกคนด้วย ยุ่งยากเป็นบ้า
“เดี๋ยว เดี๋ยวครับหมอต่าย” เห็นอีกคนวิ่งตาม ขมวดคิ้วแน่น
“วิ่งทำไม เดี่ยวกระดูกไม่เข้าที่ ขาก็เจ็บไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าเนียนดูบึ้งตึง แม้จะรำคาญเล็กน้อย แต่ก็ยังหยุดรอ “มีอะไรอีก”
“ทำไมไม่โทรมาล่ะครับหมอ ผมให้เบอร์ไปแล้วนี่”
หมอต่ายถอนหายใจ “ไม่อยากโทร เดี่ยวมีเบอร์แล้ววุ่นวาย”
“โห หมอต่ายอะ ทำไมล่ะ” คนเจ็บโอดครวญเสียน่าหมั่นไส้ ตาสวยเหลือบเห็นตำแหน่งของผ้าคล้องคอที่อยู่ไม่ตรงตำแหน่งที่ควรจะอยู่ มือขาวเลยเอื้อมจัดระเบียบให้อย่างเคยชินกับการปฏิบัติกับคนไข้ที่โรงพยาบาล
“เห็นมั้ยว่าเพราะวิ่งมา ถ้ากระดูกไม่เข้าที่ เคลื่อนมากกว่าเดิม อย่างนี้ได้เข้าเฝือกนานขึ้นแน่ๆ” พูดพลางจับแขนข้างที่เจ็บของคนป่วยขยับให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
“หมอต่ายจะรีบไปไหนอะ”
“...”
“แล้วหมอต่ายเดินหาผมเจอได้ยังไงอะ”
“...”
“หมอต่ายเดินมาไกลไหม ต้องข้ามถนนมาสินะ”
“...”
“หมอต่าย ...”
“โอ้ย! หนวกหู” เผลอตะคอกออกไปแล้วก็ต้องชะงัก กระแอมไอในลำคอ เสียงนิ่ง “จะกลับคณะแล้ว”
เขานึกว่าอีกฝ่ายจะตกใจ แต่เมื่องมองใบหน้ากวนๆนั้นกลับมีรอยยิ้มประดับอย่างอารมณ์ดี หึ .. สมกับที่เรียนวิศวะจริงๆคนแบบนี้ ! การกวนประสาทคนอื่นคงเป็นเรื่องสนุกสินะ
“อ้าว บาส ใครวะ เพื่อนคณะอื่นเหรอวะ” เสียงเรียกทำเอาคนเจ็บหันไปมองพร้อมยิ้มกว้าง
“ไม่ใช่เพื่อน นี่หมอต่ายไงมึง”
“อ๋อ คุณหมอเมื่อวาน ยังเรียนอยู่เหรอครับเนี่ย พวกผมนึกว่าพี่เป็นหมอจริงๆไปแล้ว”
“มึงจะบอกว่าพี่เค้าหน้าแก่เหรอวะ เชี่ยนี่”
“ไม่ใช่เว้ย พี่เค้าดูภูมิฐานไงมึง”
“โถโถโถ แล้วคุณหมอมีธุระอะไรที่คณะผมคร๊าบ”
“หมอต่ายเอาเสื้อมาคืนกู” บาสตอบนิ่งๆกลั้วหัวเราะ มองเพื่อนสองคน ที่รวมเขาเข้าไปจะกลายเป็นสามคน สามสหายปีสามแห่งสามแยกปากหมาวิศวะประจำมหาลัย แล้วกลับมามองว่าที่คุณหมอหน้าสวย ที่เริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไร “เมื่อคืนหมอต่ายหลับ กูเห็นแอร์โรงบาลน่าจะหนาว กูเลยให้ยืม”
“ไม่ได้ขอ!” เขาเถียงกลับ
“ผมเป็นห่วง”
“เมื่อวานใส่เสื้อกาวน์อยู่ ไม่หนาว คิดได้ยังไงว่าจะหนาว”
“โธ่หมอต่าย เสื้อกาวน์ของหมอมันจะอุ่นเท่าเสื่อช๊อปของวิศวะได้ยังไงครับ จริงมั้ยพวกมึง”
“ฮิ้ววววววววว”
“ตลก! แขนสั้นมันจะอุ่นกว่าได้ยังไง”
“เออว่ะจริงนะเว้ยบาส เสื้อพวกเราแขนสั้นนะเว้ย มึงเอาสมองส่วนไหนมาคิดวะ”
“ถึงเสื้อช๊อปวิศวะจะแขนสั้น แต่รักของเด็กวิศวะยาวนะครับพี่หมอ”
“ฮิ้ววววววววววววว”
ไม่ต้องสงสัยว่าเสียงโห่ที่รายล้อมมาจากไหน เพราะตอนนี้เขาทั้งสี่คนกลายเป็นจุดสนใจของทั้งลานเกียร์จนบรรดาคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหินเงี่ยหูฟังกันทุกคน
“หึ เล่นกับหมา หมาเลียปากสินะ” ว่าที่คุณหมอพึมพำ แต่ยังไม่วายที่หูนรกอย่างนายบาสจะได้ยิน
“ผมยังไม่ได้เลียเลยหมอต่าย มาหาว่าผมเลียได้ยังไง เดี่ยวเถอะ”
“อย่ามาพ่นเชื้อโรคใส่แถวนี้ กลับไปอยู่กับเพื่อนนายไป”
“อูย แรงเว้ย หมอเค้ารักสะอาดนะมึง ต้องเอาเดทตอลล้างปากก่อนมั้ยครับพี่หมอ”
“เดทตอลเอาไม่อยู่หรอก ผมว่าเอาน้ำยาล้างห้องน้ำล้างจะดีกว่า”
“ฮิ้วววววววววว”
ว่าที่คุณหมอทำหน้าเบื่อ ชักปวดหัว รู้สึกว่าเส้นประสาทตัวเองเต้นตุบๆแทบจะระเบิด ตัวคนเดียวแบบนี้เสียเปรียบชะมัด อันที่จริงเขาน่าจะรู้ตัวว่าเสียเปรียบตั้งแต่ลงไปต่อล้อต่อเถียงกับพวกนี้แล้ว พวกวิศวะมันบ้า ! คนตัวขาวหันหลังกลับ จะได้เดินให้พ้นๆจากเขตตึกวิศวะเสียที
มือใหญ่สีแทนเพราะกรำแดดจับต้นแขนเล็กอย่างคนผอมแต่ก็มีกล้ามเนื้อสมส่วนแน่น
“หมอต่ายเดี๋ยวสิครับ ขอบคุณนะครับที่เอาเสื้อมาคืน” เขากรอกตาพลางถอนหายใจ พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก็ยังดีที่ยังมีมารยาทบอกขอบคุณ
“เหมือนกัน” ดวงตาสวยหรุบต่ำ เอามืออีกข้างง้างมืออีกฝ่ายออกอย่างรำคาญ
“นี่รู้อะไรมั้ย” ว่าที่คุณหมอเกริ่นขึ้น ใช้นิ้วดันแว่นที่เลื่อนลงมาเพราะเหงื่อออกให้เข้าที่ “เสื้อน่ะซักซะบ้างนะ เหม็นสาบ !”
สิ่นคำพูดยาวๆของคนตัวขาวที่อยู่ผิดที่ผิดทางเรียกเสียงหัวเราะครืนของทั้งลานเกียร์ เขาจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ
.
.
ร่างขาวๆของว่าที่คุณหมอกลับไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ร่างของคนแขนเจ็บที่ยืนยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี เดินผิวปากกลับไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนท่ามกลางสายตาของทั้งเพื่อน รุ่นพี่และรุ่นน้องที่มองตาม
“สรุปมึงเอาเสื้อไปอ่อยเค้าไว้จริงๆอย่างที่พี่โก้ว่า”
“เฮ้ย พี่หมอแกผู้ชายนะเว้ยบาส เอาจริงเหรอวะ พวกกูไม่รังเกียจหรอกนะ แต่เค้าก็ไม่เก้งนี่ มึงก็ไม่ใช่”
“ผู้ชายไม่พอ มึงยังใฝ่สูงจีบหมออีกนะเว้ย”
บาสหัวเราะกับเพื่อนที่ถกเถียงเรื่องหมอต่ายอย่างอารมณ์ดี มองใบหน้าสลอนของพวกมันแล้วก็ขำ
.
.
“หึหึ รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง ..”
“ฮิ้ววววววววววววววววววว”
.
.
http://www.youtube-nocookie.com/v/DpqJopvoKAQ?hl=en_US&version=3