รักบอดๆ ตอนที่ 10 (โอ๊ะ เลขสองหลัก)
หากพูดถึงหน้าที่ของคนเป็นเมียป๋าชินอย่างผมนั้น
นอกจากหน้าที่หลักบนเตียงแล้ว คงไม่พ้นฉุดแกให้ตื่นจากฝันทุกๆ เช้า
เพราะถ้าผมขืนปล่อยให้นาฬิกาปลุกแกอย่างเดียวนะเหรอ เชื่อเถอะ เป็นได้สายทุกที
เช้าวันจันทร์ ล้างหน้าอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยและไม่ลืมตรวจเช็คความหล่อตัวเองในกระจก
ผมก็เดินมาปลุกคุณป๋าให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำบ้าง
"ป๋าชินตื่นครับ จะแปดโมงแล้ว" ไม่มีกระดิก
เสียงถอนหายใจอย่างทุกทีก็ไม่มี สงสัยเพลียจากไปเที่ยวอัมพวาเมื่อวาน ไม่เป็นไรเอาใหม่
"ป๋าชินครับ ตื่นเถอะ เดี๋ยวไปทำงานสายไม่รู้นะ ตื่นนะครับที่ร๊ากกกกก" ยื่นหน้าลงไปกรอกเสียงหวานๆ ข้างหู
"อือออออ ห้านาที" มามุขนี้ทุกเช้า น้องเอก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ
"ไม่ห้าแล้ว ตื่นได้แล้วน่ะ ไม่งั้นผมไม่ไปทำงานเป็นเพื่อนแล้วนะ"
"อื้ออออ เตรียมเสื้อผ้ายังครับ" ป๋าชินถามเสียงอู้อี้ ทั้งๆ ที่ยังหลับตา
"ป๋าไม่ได้เตรียมไว้ไงเมื่อคืน"
"อืม..." ตอบเท่านี้ก็ดึงผ้านวมไปกอด โคตรจะมึน
"ผมต้องทำใช่มั้ยเนี่ย" บ่นแต่ก็เดินไปหน้าตู้เสื้อผ้า ในเวลานั้นขอให้ได้บ่นเถอะ ไม่งั้นอึดอัดตายชัก
"เมื่อก่อนไม่มีผมเป็นงี้มั้ยเนี่ย ต้องให้ปลุกทุกเช้า ให้บ่นทุกเช้า เดี๋ยวเถอะน่ะ เดี๋ยวจะหนีไปหาผัวใหม่"
ดึงกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกมาจากหลังตู้ได้ ผมก็เลือกเสื้อผ้าของคนสองคนที่จะเอาไปเปลี่ยนออกมาให้พอดีกับวันที่จะไปค้าง
จากนั้นก็เดินไปยืนเอ๋อหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เพราะของใช้ของป๋าเยอะถึงเยอะที่สุดอ่ะ ก็หยิบๆ ครีมทาผิว โลชั่น น้ำหงน้ำหอม เครื่องประทินโฉม
ทั้งหลายแหล่ที่คิดว่าป๋าต้องใช้แน่ๆ ใส่กระเป๋า ซึ่งแม่งเป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับคนที่ไม่ค่อยใส่ใจหนังหน้าตัวเองเท่าไรอย่างผมมากครับ
เอาไปผิดก็งอนหาว่าไม่ใส่ใจตลอด ลองคิดๆ ตอนนี้แล้วอยากข้ามประเทศไปตบกบาลดีแท้ อุ๊ย! นอกเรื่อง แฮ่ๆ
"ป๋าชินตื่น ผมเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว" เก็บเสร็จผมก็เดินมาปลุกแกอีกรอบ
อารมณ์ไม่โปร่งเหมือนครั้งแรกที่ปลุกด้วย
"อืออออ" อือแต่ไม่ตื่น ดีจริงๆ แต่ถ้าจะเอาแบบนี้ก็สวยสิครับ
ผมเดินเข้าห้องน้ำแล้วกลับออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่เปียกชุ่ม พอถึงตัวป๋าชินได้ก็จัดการสะบัดใส่แกเต็มแรงเลยครับ น้ำกระจาย
ที่นงที่นอนเปียกเชด ป๋านอนเพลินๆ สะดุ้งพรวดขึ้นมาทันที หน้าเน้อเหรอครับ เหมือนคนบาปที่โดนน้ำมนต์สาดอย่างไรอย่างนั้น
"อรุณสวัสดิ์ครับที่รัก ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำนะ ผมจะถือกระเป๋าลงไปรอข้างล่าง" ผมแอบกลั้นยิ้มสะใจ
"นิสัยไม่ดีนะคนเรา" ป๋าบ่นตามหลังผมที่เดินยิ้มกว้างลงมาข้างล่าง
ป๋าใช้เวลาจัดการตัวเองประมาณครึ่งชั่วโมงก็ลงตามมา หน้านี้บอกบุญไม่รับเชีย
"อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ" ป๋าว่าพลางเดินไปสวมรองเท้าหน้าประตู
"ทำอะไรเหรอ?" ผมก็แกล้งตีหน้าซื่อถาม รู้แหละว่าเป็นเรื่องวิธีปลุกแก แต่อยากกวนประสาท
"ที่ปลุกพี่เมื่อเช้ารู้มั้ยครับ ว่าพี่ต้องมาเสียเวลาเปลี่ยนผ้าปูแล้วก็เก็บข้าวของทั้งหมดที่เปียกเลยนะ"
นั่นมันความผิดของคุณเองมิใช่หรือ?
"ปลุกดีๆ ไม่ตื่นเองนี่" ผมลอยหน้าลอยตาไม่ระคายเคืองหน้าตาโกรธๆ ของแกสักนิด
"ถ้ามันลำบากนักก็ไม่ต้องปลุกครับ" หน้าหงิก เสียงงี้เข๊มเข้ม
"เออ ก็ได้ ไม่ปลุกก็ได้ เชอะ" เดินสะบัดก้นออกมาที่รถ
เบื่อจริ๊ง~! ไอ้คำพูดตัดพ้ออย่างไม่มีเหตุผลของแกเนี่ย
หลังจากต่อล้อต่อเถียงกันพอหอมปากหอมคอ
การเดินทางอันแสนเงียบก็ได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมๆ กับบรรยากาศมึนตึงใส่กันของพวกผมสองคน
เกือบถึงจุดหมายปลายทาง ในที่สุดป๋าชินก็ต้องเป็นคนทำลายความเงียบง้อผมขึ้นมาซะเอง
"น้องเอจะกินข้าวเช้ามั้ยครับ"
ผมหันจากกระจกข้างมามองแกแวบหนึ่งแล้วหันกลับทางเดิมก่อนตอบ "ไม่"
"อย่าประชดครับ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ" เคยกลัวที่ไหน
"เปล่าประชด แต่มันไม่หิว" ที่จริงหิวมาก ทว่าทิฐิมันค้ำคอ
"งั้นกินโจ๊กมั้ยครับ เบาๆ" ป๋าชินเสนอ
"กินไม่ลง"
"น้องเอดีๆ ครับ ไม่ทำเป็นเล่น" เออ กรูเล่นตรงไหนครับ?
"......" งั้นไม่ตอบดีกว่า
"น้องเอ!" ป๋าชินขึ้นเสียง
พอหันไปมองก็เห็นว่าแกกำลังทำตาเขียวใส่ผมอยู่
"ขับรถก็มองถนนสิป๋า มองผมทำไม เดี๋ยวก็ได้ไปชนใครเขาเข้าหรอก"
"ถ้าไม่เห็นว่าขับรถอยู่จะตีด้วยครับ ไม่ใช่มองอย่างเดียวแน่" หูยยย น่ากลัวอ่ะ
"โห ผมแค่ปลุกป๋าด้วยวิธีแปลกๆ แบบเปียกๆ แค่นี้ถึงกับจะตีกันเลยเหรอ"
"ไม่ใช่ตีเรื่องปลุก แต่จะตีเรื่องดื้อครับ ตกลงจะกินโจ๊กมั้ย ตอบมาให้ดีนะคราวนี้" ขู่อีก ชิส์
"เออ กินก็ได้ ใส่ใข่ ไม่กระเทียม ขิงเยอะๆ สองเลย" ผมสั่งก่อนเลยครับ เพราะรู้ว่าป๋าจะไปซื้อร้านไหน
เป็นร้านรถเข็นของสองผัวเมียแก่ๆ ที่เปิดขายอยู่แถวโรงพิมพ์ป๋าน่ะครับ เปิดขายตอนตีห้าถึงสิบโมง
ไม่มีโต๊ะนั่งคอยบริการ คนซื้อจึงต้องสั่งใส่ถุงเอากลับไปกินเอง รสชาติอร่อยสมราคาเขาแหละ (น่าจะสิบบาทใส่ไข่สิบห้ามั้ง)
"เอาปาท่องโก๋มั้ย?" ป๋าถามอีก
"เอา"
"อืม" พยักหน้าแล้วก็ไม่พูดอะไรอีกจนถึงตึกสี่ชั้นสามคูหาที่สร้างติดถนนหลักอันเป็นโรงพิมพ์ของป๋าชินนั่นเอง
ถ้าให้อธิบายระเอียดผมว่าคงยาก เอาเป็นว่า
ชั้นล่างเลย พื้นที่ส่วนหนึ่งหรือก็คือหนึ่งตึกใช้เป็นออฟฟิคต้อนรับลูกค้าและห้องทำงานของพวกฝ่ายศิลป์
อีกสองตึกที่เหลือเป็นพื้นที่สำหรับเครื่องจักรในการพิมพ์หนังสือต่างๆ
ชั้นสองใช้เป็นห้องทำงานส่วนตัวกับห้องพักของป๋าชิน
ชั้นสามใช้เก็บหนังสือและสิ่งพิมพ์อื่นๆ แน่นอนว่าเหลือแค่ทางเดินให้ขึ้นบันไดได้เท่านั้น
ส่วนชั้นสุดท้ายเป็นห้องพักสำหรับพนักงาน(ที่มีกันทั้งหมดเก้าชีวิต)จำนวนหกห้องครับ
"น้องเอเข้าไปรอพี่ในห้องทำงานก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ซื้อโจ๊กเสร็จจะเดินตามเข้าไป" ป๋าชินบอกขณะจอดรถ
"โอเค" ผมตอบแล้วเปิดประตูรถเดินเข้ามาในตึกตามนั้น
"อ้าว น้องเอมาได้ไงครับเนี่ย" พี่โต้ที่อยู่ฝ่ายคุมเครื่องจักรและตรวจเช็คสภาพเงยหน้าจากงานที่ทำ
"นั่งรถมาครับ" เกรียนเป็นนิสัยครับ คนไม่สนิทผมก็สามารถเกรียนได้ถ้าอยาก คริคริ
"ไม่เคยตอบดีๆ สักครั้งเลยนะครับ" พี่โต้พูดยิ้มๆ
"รู้ทั้งรู้ก็ยังจะถาม" ผมก็พูดลอยๆ เดินผ่านพี่แกมาขึ้นบันได
"แล้วคุณชินอ่ะ น้องเอ"
"ซื้อโจ๊กอยู่ฝั่งตรงข้าม" ผมตอบ
"อ้อ"
"งั้นผมไปนะ" ผมไม่ยอมอยู่ให้พี่โต้พูดถามอะไรได้อีกหรอกครับ
เดินขึ้นชั้นสองเข้ามาเปิดแอร์แล้วนั่งเอื่อยอยู่บนชุดโซฟาหนังสีดำในห้องทำงานป๋าชินที่แสนจะธรรมดาสุดๆ
ไม่นานเจ้าของห้องก็ตามเข้ามาพร้อมโจ๊กสองชามในมือกับถุงปาท่องโก๋ กลิ่นงี้หอมยั่วน้ำลายดีชะมัด
"รอนานมั้ยครับ"
"นิดนึง แล้วน้ำอ่ะ?"
"เดี๋ยวลูกเกตยกตามมาให้ครับ"
"หัวหน้าฝ่ายศิลป์" ผมเลิกคิ้ว รายนี้ก็ช่างเลือกใช้ลูกน้องจริงๆ
"เห็นลูกเกตกำลังชงกาแฟ พี่เลยวานให้ช่วยอ่ะ" ป๋าชินวางโจ๊กบนโต๊ะกระจกตรงหน้าผมจากนั้นก็นั่งลงข้างๆ
จัดการฉีกปาท่องโก๋ใส่ชามโจ๊กผมให้เสร็จสรรพ
"ก็ไม่ได้ว่าอะไร" ผมหยิบช้อนตักโจ๊กมาเป่าๆ ป๋ามันมองยิ้มๆ แล้วอ้าปากเฉย
"ป้อนหน่อย" เรียกร้องความสนใจชิมิ
"เป็นง่อย" ผมถามแล้วเอาเข้าปากตัวเองเลยครับ ไม่ป้อน ฮ่าๆ
"นิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้ เช๊อะ~" ทำเสียงค้อนกันเล็กๆ ป๋าก็หน้าบูดตักโจ๊กกินเอง
"ปัญญาอ่อน"
"แค่อยากอ้อนเมีย เขาเรียกปัญญาอ่อนเหรอครับ" ป๋าหันมาทำสายตาตัดพ้อ
"ไอ้ที่สะบัดบ็อบใส่ผมทั้งที่โตกว่านั่นแหละ ปัญญาอ่อน ดูบ้างนี่ที่ไหน สมควรทำหรือเปล่า วู้!"
"ไม่แก่บ้างให้รู้ไปเถอะ"
"ยังไงก็ตามป๋าไม่ทันอยู่ดี" ผมหยักไหล่ไม่ใส่ใจและไม่สนความรู้สึกของอีกฝ่าย
"ใช่สิ พี่มันแก่~~~" เสียงยาวเหยียด โจ๊กไม่ต้องพูดถึง
ป๋าชินกินไม่กี่คำก็ลุกขึ้นไปนั่งทำงานที่โต๊ะ หน้าไม่ยิ้ม ตาไม่มอง เลิกสนใจผมไปเลยเวลานั้น
ก็อกๆๆๆ
"เข้ามาครับ" ป๋าเอ่ยอนุญาต แล้วพี่ลูกเกตซึ่งเป็นสาวสวยในร่างคนงานก่อสร้าง(แต่งตัวอย่างเถื่อน)
ก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับโถน้ำเปล่าและแก้วสองใบ มีคุ๊กกี้แถมมาในจานเล็กๆ ด้วย
"สวัสดีค่ะพี่ชิน สวัสดีจ้ะน้องเอ ไม่เจอพักเดียวหล่อขึ้นอีกแล้วนะ" พี่ลูกเกตยิ้มทัก
"ขอบคุณครับ พี่ลูกเกตก็ยัง...เอ่อ สวยแบบอาร์ทๆ เหมือนเดิม" หน้าไม่สวยกรูจะไม่คิดว่าเป็นผู้หญิงเลยเหอะ
"เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด แต่งสวยไปก็ไม่ได้ทำให้งานออกมาดี" พี่ลูกเกตเหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไร เธอจึงพูดยิ้มๆ
"เอ่อครับ" รินน้ำดื่ม
"อ้อ พี่ชินคะ" พี่ลูกเกตหันไปหาป๋า
"ครับ" ป๋าเงยหน้าจากแฟ้มงาน
"หนังสือของ...ทางฝ่ายนั้นเขาบอกให้เร่งให้หน่อยได้มั้ยคะ"
"สัญญาเก่าล่ะ?"
"สัญญาเก่าทางเราตกลงว่าจะได้วันที่หนึ่งพฤศจิกายนนี้ แต่ทางเขาบอกขอเป็นสามสิบเดือนนี้ค่ะ"
"อืม บอกเขาไปว่าเราจะทำตามสัญญาเดิมไม่เปลี่ยน งานของเจ้าอื่นก็เร่งเหมือนกัน
ถ้าเลื่อนให้เขางานอื่นที่วางไว้ก็จะรวนไปด้วย พี่ไม่อยากเสียเวลากับงานเล็กๆ แค่งานเดียว"
"ค่ะ งั้นเกตขอตัวไปทำงานเลยนะคะ"
"เชิญครับ" แล้วพี่ลูกเกตก็ออกไป
"ป๋าผมไปข้างนอกนะ" บอกโดยไม่รอให้อนุญาตผมก็รีบชิ่งออกมาอย่างไว
เดินด่อมๆ มองๆ ผ่านกระจกเข้าไปในออฟฟิศพวกฝ่ายศิลป์อยู่ดีๆ ไอ้พี่โต้มันก็เข้ามาทักเล่นเอาซะผมตกใจพ่นคำหยาบออกไป
"พะ...พ่อมึงตาย!"
"เฮ้ย ถึงตายเลยเหรอ" พี่โต้ตกใจไม่แพ้กัน
"โทษทีพี่ ผมเผลออ่ะ ตกใจด้วย อย่าโกรธนะครับ"
ยกมือไหว้คนโตเป็นการใหญ่ ไม่รู้อายุเท่าไร แต่ไม่น่าจะแก่เท่าป๋าชิน
ในสายตาผม พี่โต้จัดว่าหน้าตาดีพอสมควร หุ่นเหมือนช่างเครื่องช่างยนต์ทั่วไปไม่โดดเด่นมาก
ทว่าการพูดการจาดีกว่าพี่อีกคนที่ทำงานช่างเหมือนกันเยอะ แถมยังไม่เคยแอบทำหน้าดูถูกผมที่โดนป๋า
ลากให้มาเที่ยวเล่นที่โรงพิมพ์นี่บ่อยๆ อย่างคนนั้นด้วยอ่ะ
"อืม ไม่เป็นไร ว่าแต่น้องเอมายืนทำอะไรตรงนี้ครับ?"
"ส่องสาว" ว่าแล้วก็เกรียนต่ออีกสักที อิอิ
"สาวเถื่อน? หรือสาวประเภทสอง?" พี่โต้มองผ่านกระจกใสเข้าไปในออฟฟิค
มีหนึ่งหญิง(พี่ลูกเกต) หนึ่งชาย(พี่ปาน) หนึ่งกระเทยถึก(พี่เขียว) กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเอง
"เย้ย~! ลืมตัว"
นี่ล่ะครับ บทลงโทษของคนเกรียนไม่ดูสถานที่ หน้าผมงี้ถอดสีไปถนัดจิต พี่โต้เห็นผมเหวอๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
เหล่าผู้ชายอีกห้าชีวิตที่อยู่กับเครื่องจักรเงยจากหน้าที่ของแต่ละคนขึ้นมามองกันเป็นตาเดียว โคตรอยากต่อยปากไอ้พี่โต้อ่ะ
"หัวเราะดังไปนะ" ผมค่อนแคะ หน้ามุ้ย
"สะใจดี" พี่โต้หยุดหัวเราะแล้วปรับเป็นยิ้มกริ่ม กวนตีน
"คุยกับพี่แล้วผมปวดขมับว่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว"
"เดี๋ยวครับ" ไอ้พี่โต้คว้าแขนรั้งตัวผมไว้
"มีไร"
"น้องเอมีแฟนยังครับ" ใช่เรื่องที่คนไม่สนิทกันควรถามมั้ย
"ทำไม"
"ก็...ถ้ายังไม่มี พี่จะได้จีบไง" หน้าเป็นมาก
สาบานได้ว่าตอนนั้นผมคิดว่าไอ้พี่โต้มันล้อเล่น ที่ไหนได้แม่งคิดจริงครับ
ป๋าชินรู้เข้าเกือบถึงขั้นไล่ออกกันทีเดียว(สปอยอีกและ เบื่อเนอะ)
"ประสาทเหรอ ผมผู้ชาย"
"พี่ก็ผู้ชาย" ก็เออเสะ
"อย่ามาตลกเหอะ ปล่อยผมจะขึ้นข้างบน"
"ถ้าน้องเอไม่มีแฟน พี่จะจีบจริงๆ นะ ถึงเป็นผู้ชายก็จะจีบ" ชิชะ คิดจะเล่นของสูง
"ฝันไปเถอะพี่ชาย ผมมีแฟนแล้ว รักกันมากด้วย"
"มีแล้วก็เลิกได้ พี่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย แค่จะจีบเท่านั้นเอง" โห แถซะสีข้างถลอก
"ผมน้องป๋าชินนะ" สะบัดมือที่ถูกจับมาชี้หน้าตัวเอง
"น้องไม่ใช่แฟน"
"ถ้าบอกแฟนล่ะจะเชื่อมั้ย" เอาวะ ไม่อยากมีปัญหา
"ตลกละ พี่ไม่เชื่อหรอก" ไอ้ปลวกเอ๊ย ขอยืมคำของนังต่ายมาด่าหน่อยเถอะ ตื๊อชิบหาย
"ไม่เชื่อก็ช่างพี่แล้วกัน ถ้าอยากมีปัญหากับหน้าที่การงานมากจะจีบผมก็ชิญ"
บอกปัดๆ แล้วเดินอารมณ์เสียกลับขึ้นมาในห้องทำงานป๋าชิน
"ไปไหนมาครับ" ถามทันทีที่ก้าวเท้าแรกเข้ามาในห้อง
ประตูยังไม่ทันปิด หน้าตาคนถามก็ดูไม่ค่อยพอใจอีกต่างหาก หนีเสือประจรเข้ชัดๆ ไอ้น้องเอ
"ไปเดินเล่นไง ตอนออกไปก็บอกไว้นี่"
"ใครอนุญาตครับ"
"ไม่มีใครอนุญาต แต่อยากไปมีอะไรมะ ยุ่งจริง" ยกขาเหยียดยาวไปบนโซฟาในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอน
"ใช่สิ พี่มันยุ่งตลอดนั่นล่ะ"
"รู้ตัวด้วย เก่งแล้วนะเดี๋ยวนี้" แหย่ไปตามประสา
"หึ" ทำเสียงแค่นี้แล้วตามด้วยเสียงคลิกเมาท์รัวๆ
ผมก็ปล่อยไปนะ อยากทำไรทำไปโล้ด เพราะปวดหัวจริงๆ
************************************
ยังมีต่อนะจ๊ะ
ตอนหน้าไอ้พี่โต้มันยังกวนได้อีกครับ
ไว้มาติดตามกันครับว่าเหตุการณ์ไอ้พี่โต้มันจะไปเข้าหูป๋าอย่างไร
วันนี้ขอโกทูสลิปก่อน พรุ่งนี้เย็นค่อยว่ากันอีกทีครับ ฝันดี จุ๊บุๆ
********************************
ปล. ไข้ขึ้น แง่ง~
ปล2. คุณลิงภูเขา ถึงขนาดอยากฟัดกันเลยเหรอคะ อิอิ