ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ตัดจบเมื่อไหร่ ค่อยว่ากัน

คนเขียนติสตามเท็น

ล้อเล่นอย่าดราม่านะจ้ะ
ตอนที่ 31'ทำไรอยู่'
ผมที่กำลังแชทเฟซกับคุณเฟรนต้องชะงักไปเล็กน้อยกับหน้าต่างแชทของอีกคนที่เด้งขึ้นมา
ยกมือขึ้นท้าวคาง จ้องมองอยู่สักพัก ก่อนจะพิมพ์ตอบไปว่า
'คุยกับเพื่อน'
เขาส่งอิโมติค่อนหน้ายิ้มกลับมาให้ พร้อมกับข้อความทำนองเดียวกับที่เคยส่งมาทุกวัน
'^^ ครับ อย่านอนดึกนะ ฝันดี'
'ครับ'
'ดีใจนะที่ปลื้มตอบแชท พี่ไปทำงานต่อละ ^^'
ผมยังคงจ้องมองหน้าต่างสนทนาอยู่อย่างนั้น เขาคงยังอยู่โรงพยาบาล เพราะสถานที่ที่ขึ้นมาพร้อมข้อความไม่ใช่ที่คอนโดเขา
เขาไม่ได้ทักมาบ่อยจนน่าเกลียดหรอกครับ...แต่ก็ไม่ใช่นานๆ ครั้ง และถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมตอบเขา
'สู้ๆ นะครับ' ประโยคนี้ความจริงก็พิมพ์ๆ ลบๆ อยู่นานเหมือนกัน กว่าจะตัดสินใจส่งไปได้ ไม่รู้ทำไม แต่จังหวะหัวใจที่เต้นไม่คงที่อย่างนี้คงบอกเหตุผลได้ว่าเพราะอะไร
ผมรู้...ว่าเขายังคงหาทางมาอยู่ใกล้ๆ รถเขา...ทำไมผมจะจำไม่ได้ อะไรที่เป็นเขา...ผมจำได้หมดไม่เคยลืม อยู่ที่ว่าผมจะแสดงออกให้เขาได้รู้รึเปล่าก็เท่านั้น
เขามาที่คณะเกือบทุกวัน ตอนเย็นผมกลับคอนโดก็เห็นรถของเขามาจอดรออยู่แล้ว ผมอยากจะเดินเข้าไปถามเหมือนกันว่าจะทำแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ แต่เอาเข้าจริงแล้ว...ก็เลือกที่จะทำไม่รู้ไปดีกว่า
เราบังเอิญเจอกัน บางวันก็บ่อยเกินไป ผมยังเรียกว่าความบังเอิญได้ไหมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะดูเหมือนจงใจเหลือเกิน แต่ผมก็ไม่ได้รำคาญใจอะไรหรอก เพราะเขาก็ไม่ได้มาสร้างความอึดอัดใจอะไรให้ แค่เรียกชื่อ ยิ้มให้ บางทีก็ถามว่ากินอะไรหรือยัง เรียนหนักหรือเปล่า หรือบางทีก็มีขนมมาให้ แรกๆ คุณเฟรนก็ไม่ชอบใจ แต่หลังๆ มาก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก เพราะเขา...ไม่ได้ตอบโต้อะไรเลยเวลาที่คุณเฟรนทำท่ารำคาญใส่หรือกันผมให้ห่างจากเขา
มันดูไม่เหมือน...เขา..ที่ผมเคยรู้จักเลย
คนที่เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่เขาหรอก คุณกิมกับคุณติ๊กก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน ผมเจอพวกเขาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ความรู้สึกแรกที่เจอกันนี่...ผมอึดอัดเหมือนกันนะ เพราะได้ฟังเรื่องราวจากคุณเฟรนมาก่อนแล้ว เลยไม่รู้จะทำหน้ายังไง ผมยังยืนยันคำเดิมนะว่าไม่ได้โกรธใครเลย คำขอโทษ ถึงขอโทษมาผมก็ทำได้อย่างมากแค่รับไว้ แต่คนทำเขารู้สึกกันไปเองว่าผมไม่ได้อยากให้อภัยพวกเขา มันเลยเหมือนแก้วที่มีรอยร้าวไม่สามารถกลับมาเป็นรูปเดิมได้อีก ถึงอย่างนั้นก็ยังทักทายตามประสาเพื่อนกันได้เหมือนเดิม แต่ก็ยังมีระยะห่างที่ทำให้ไม่สามารถสนิทกันได้อย่างสนิทใจ
วันนี้ก็เจอเขาอีกแล้ว...ที่โรงอาหารของคณะ เดี๋ยวนี้เขามากินข้าวที่นี่อาทิตย์ละสามสี่ครั้ง แต่เพราะเรียนหนักรึเปล่าก็ไม่รู้ถึงได้ผอมขนาดนี้
“พี่นั่งด้วยได้ไหม” เวลาบ่ายสองอย่างนี้คนไม่เยอะ โต๊ะว่างก็มีออกเกลื่อน แต่ทุกครั้งเขาจะมาขอนั่งด้วย ผมที่นั่งอยู่คนเดียวอยู่แล้วเลยไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เพราะคุณเฟรนกำลังเรียนอยู่ตอนนี้ ผมเลยต้องมานั่งรอเพื่อจะได้กลับบ้านพร้อมกัน
“ครับ”
แล้วเราก็นั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆ ผมกินเสร็จก่อน แต่ก็ยังเอาชีทที่เพิ่งเรียนไปขึ้นมาอ่าน เดี๋ยวนี้เขากินง่าย แค่ข้าวราด กับข้าวผสมกันจนดูไม่น่ากินเขาก็กินได้
“มีเทสเหรอ” เขาเงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ชีทที่ผมกำลังถืออยู่
“เปล่า อ่านทวนที่เรียนเฉยๆ”
“อืม ปลื้มกินน้ำอะไร เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้”
ถ้าเขาไม่ถาม ผมก็คงลืมไปแล้วว่าหลังจากกินข้าวยังไม่ได้กินน้ำเลย
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกครับ”
“พี่กำลังจะไปซื้อพอดี ไม่ต้องเกรงใจ เอาน้ำอะไร”
“งั้น...เอาน้ำเก๊กฮวย”
“ชอบเหรอ”
“ก็...ไม่ถึงกับชอบ”
“แต่ก็กินบ่อยๆ ใช่ไหม”
เพราะรอยยิ้มของเขาทำให้ผมต้องเลื่อนสายตาลงมาที่ชีทในมือตามเดิม
ผมอ่านชีทไปได้แค่สองสไลด์เขาก็กลับมาพร้อมกับเก๊กฮวยแก้วใหญ่ น้ำเปล่าหนึ่งขวด และก็นมพร่องมันเนยหนึ่งกล่อง
“เดี๋ยวพี่ต้องรีบไปราวน์วอร์ด กลับบ้านดีๆ นะ กินนมด้วย” เขาบอกแค่นั้น วางแก้วเก๊กฮวยกับนมกล่องใหญ่ไว้ตรงหน้าผมจากนั้นก็เก็บจานทั้งของผมและของเขาไปไว้ที่เก็บจานให้ ไม่ทันที่ผมจะได้ท้วงอะไรสักคำ
…จะมาก็ไม่ทันตั้งตัว...จะไปก็ไปอย่างกะพายุ...คนอะไรกันนะ
นั่งรอคุณเฟรนจนถึงบ่ายสามครึ่งเขาก็โผล่หน้าที่เหมือนคนกำลังเพิ่งตื่นนอนมาให้เห็น ไม่รู้ว่าคนๆ นี้เข้าไปเรียนหรือเข้าไปทำอะไรกันแน่ -_-
“ง่วงอ่ะ หิวด้วยยยย มีไรกินบ้างงงง อ่ะ! ซื้อนมไว้ให้เหรอ แต้งกิ้ววววว”
“เอ่อ...” ไม่ทันที่ผมจะได้บอกอะไรไป คุณเฟรนก็ใช้หลอดดูดเจาะกล่องแล้วเริ่มดูดทันที ผมมองตามราวกับมีใครมาทำสโลโมชั่นให้
“หือ...มีอะไรวะ” ตาโตๆ ของคุณเฟรนมองผมอย่างสงสัย
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ทำหน้าเหมือนมี ช่างเถอะๆ เก็บของๆ อยากกลับแล้ว เออ แวะกินเค้กร้านพี่แขก่อนดีป่ะ เห็นเจ้แกอัพรูปใน IG น่าจะเป็นเมนูใหม่อ่ะ”
“บ่นอ้วนแต่ก็กินของหวานๆ ตลอดเลยนะครับ แปลกคนจริงๆ”
“ก็มันอยากกินอ่ะะะะะะ แปลกตรงไหนนนน” คุณเฟรนว่าพลางดึงแก้มผมไปด้วยจนผมต้องตีมือเขาให้หยุด ไม่งั้นแก้มผมได้ยืดติดมือเขาไปแน่
เก็บของเสร็จ ตกลงกันแล้วว่าจะแวะร้านพี่แขก่อนกลับ พวกเราเลยตรงมาที่ร้านเค้กของพี่แขทันที ร้านเปลี่ยนไปเยอะครับ ลูกค้าเยอะขึ้น เมนูทั้งเค้กทั้งเครื่องดื่มก็เพิ่มมากขึ้น แต่บรรยากาศในร้านยังอบอุ่นและเป็นกันเองเหมือนเคย ลูกค้าประจำที่เคยมายังไงก็มาอย่างนั้น บางคนเห็นหน้ากันบ่อยจนบางทีก็นั่งโต๊ะเดียวกันได้อย่างไม่มีท่าทีอึดอัด ประกอบกับพี่แขเป็นคนอัธยาศัยดีด้วย ลูกค้าถึงได้ติดใจ
ตอนนี้พี่เขมไปแคนาดาแล้วครับ พี่เขาได้ทุนไปเรียนต่อโท น่าจะเป็นทุนของทางบริษัทที่พี่เขมทำงานอยู่ให้ไป แต่พี่ยินดีอยู่อังกฤษ ซึ่ง...ระยะทางไม่มีปัญหาครับ ตราบใดที่ไม่ใช่ประเทศไทย พี่ยินดีไปโผล่ได้เสมอ เพราะกลับไทยพ่อตามเจอง่าย ฮ่าๆ เจ้แกก็เช็คอินที่นั่นที่นี่อยู่บ่อยๆ ล่าสุดเห็นจะอยู่ที่แวนคูเวอร์ครับ เห็นขึ้นทวิตว่า 'ณ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ ที่ที่เฮียเคยอยู่ กรี๊ดดดดดด' มีเพื่อนๆ หลายคนของเจ้กรี๊ดด้วยเหมือนกัน แต่ผมไม่รู้ว่าเฮียที่ว่าคือใคร แล้วพวกเขากรี๊ดทำไม
พูดถึงพี่ยินดีแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายโกรธผมหรือยัง ผมทวิตหาเจ้แกเมื่อตอนต้นเดือน จนตอนนี้จะสิ้นเดือนอยู่แล้วเจ้แกตอบกลับมาเพียงแค่ 'คุณเป็นใครคะ ทักผิดคนหรือเปล่า ฉันไม่มีน้องชายนะคะ จะให้ช่วยติดต่อหายานแม่ให้มั้ย งงอะไรอยู่ป่ะ?' -_- เล่นเอาเงิบ แต่ผมก็เข้าใจที่พี่โกรธนะครับ แค่ตื้อบ่อยๆ ก็หายแล้ว สบายมาก
“ปลื้มๆ ถ่ายรูปๆ อัพเฟซ” คุณเฟรนนี่โซเชียลเข้าเส้นเลือด จัดมุมจาน มุมกล้อง อะไรเรียบร้อย ก็จัดการกดแชะแล้วอัพรูปทันที ผมได้แต่ยิ้มกับความบ้าๆ บอๆ ของคุณเฟรน ก่อนจะจัดการเค้กในจานของตัวเองต่อ
HerePro@D : ถึงห้องแล้วอย่าลืมหาอะไรกินด้วยนะครับ
ข้อความจากไลน์เด้งขึ้นมา คุณเฟรนชะโงกมาดูนิดๆ ยักไหล่เล็กน้อยแล้วก็กลับไปสนใจไอโฟนตัวเองต่อ
ผมเก็บมือถือตัวเองใส่กระเป๋าเสื้อช็อปโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ...ก็ยังไม่ถึงห้องนี่ครับ เลยไม่รู้จะตอบยังไง ไว้กลับถึงห้อง มีอารมณ์ตอบแล้วค่อยว่ากัน
แต่กว่าผมจะกลับถึงห้องก็เกือบห้าทุ่มแล้ว เพราะหลังจากกินเค้กเสร็จก็ไปเป็นเพื่อนคุณเฟรนซื้อหนังสือ จากนั้นก็เดินดูแผ่นรองเม้าส์ ซื้อของใช้จุกจิกของคุณเฟรนบ้าง ของผมบ้าง ขนาดผู้ชายสองคนเดินด้วยกันก็ยังมีผู้ชายมาขอเบอร์ เอาจริงๆ ผมตกใจนะ ไม่คิดว่าจะโจ่งแจ้งอะไรขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้ให้ไปหรอกครับ มันแปลกนะ ให้เบอร์ผู้ชายอ่ะ ถ้ากับผู้หญิงยังพอเข้าใจ
ตอนผมขับรถเข้ามาก็เห็นว่ารถของเขาจอดอยู่ในโซนของที่จอดรถของแขกอยู่แล้ว ตอนนี้คงนั่งอยู่ที่ไหนสักที่ในคอนโด ไม่ร้านกาแฟก็โซฟาตรงล็อบบี้ เพราะผมมักจะเจอเขาที่นั่นบ่อยๆ
เอาจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ เขามาแต่ก็ใช่ว่าห้องของผมจะอยู่ใกล้ๆ อยู่สูงขึ้นไปอีกเป็นสิบยี่สิบชั้น แต่ทำไมถึงพอใจกับแค่มานั่งอยู่ที่นี่ด้วยก็ไม่รู้ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทำไมไม่รู้จักกลับไปนอน หรือตอนที่ส่งข้อความบอกฝันดีผมเกือบทุกคืนนอกจากอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วก็มานั่งอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ?
“อ้าว...” เขาร้องขึ้นเป็นคำแรก หน้าตาดูแปลกใจจริงๆ ที่เห็นผมเดินออกจากลิฟท์มา เพราะผมต้องมาเปลี่ยนลิฟท์ที่ชั้นนี้ ชั้นที่ผมอยู่ลิฟท์ตัวที่ขึ้นมาจากที่จอดรถไปไม่ถึง
“ไม่เหนื่อยเหรอครับ” ผมถามออกไปตรงๆ รอยยิ้มของเขาเจื่อนลงไป แต่ไม่กี่วินาทีก็กลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง
“ไม่เหนื่อยหรอก” คงเข้าใจกันไปคนละทางแน่ๆ ผมจึงจ้องหน้าเขาแล้วบอกออกไปว่า
“ผมหมายถึงว่า พี่เพิ่งไปเข้าเวรมา แล้วยังมาที่นี่อีก ทำไมไม่กลับไปนอนล่ะครับ”
“ก็คิดว่าเดี๋ยวจะไปแล้ว”
“เหนื่อยก็พักบ้าง ผมก็ยังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหน”
สายตาของเขา สีหน้าของเขา เหมือนอยากคว้าตัวผมไปกอดมาก แต่เราก็ทำแค่ยืนมองหน้ากันอย่างเงียบๆ
“ไป...ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย” ก็นึกว่าจะพูดอะไร ...ถ้าผมบอกว่าเขามีสิทธิ์พูดได้เท่าที่เขาอยากพูด มันจะดูเหมือนการให้ความหวังเขารึเปล่านะ
“ตอนนี้เหรอครับ?” ผมเลิกคิ้วมองเขา เลื่อนสายตาไปดูนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ผนังด้านข้าง
“ไว้พรุ่งนี้ก็ได้”
“งั้นตอนเย็นเจอกันที่ร้านตามสั่งใกล้ร้านถ่ายเอกสารตึกคณะผมละกันครับ”
“อืม ที่ไหนก็ได้”
“ครับ”
“ปลื้ม...”
“???”
“ฝันดีนะ”
ผมเห็นความดีใจเล็กๆ ในแววตาของเขา ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ หรือพอใจกับแค่ได้บอกฝันดีผมเท่านั้น?
ถ้าผมตอบกลับไปว่า 'เช่นกัน' คงจะได้เห็นรอยยิ้มกว้างๆ ของเขาใช่ไหมครับ...งั้นก็
“ไปนะครับ”
ไม่ตอบละกัน...
ฝันดี...คงไม่ทำให้เขาได้พักผ่อนมากนักหรอก ผมอยากให้เขานอนหลับสนิทแบบไม่ได้ฝันอะไรเลยมากกว่า...อย่างนั้นร่างกายเขาจะได้พักผ่อนจริงๆ เสียที พักผ่อนโดยไม่ต้องคิดอะไร
แต่ยังไง...เขาก็คงไม่รู้ความคิดของผม...
เพราะสำหรับผมกับพี่แล้ว...ยังต้องการเวลา ซึ่งผมไม่รู้ว่า จะหนึ่งปี สองปี หรืออาจจะเป็นสิบปี ถ้าตอนนั้นเรายังสามารถรู้สึกดีต่อกันได้...ผมก็ไม่มีอะไรต้องลังเล
.................................To be continue....................................
แค่ความปรารถนาดีที่เพื่อนร่วมโลกมีให้กัน 
ช่วงท้ายตอนนี่ยาวตลอด ข้ามได้นะคะ ถ้าไม่อ่าน
ขอบคุณเป็ดและความคิดเห็นเลยค่ะ 
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ทำให้เราได้เห็นมุมมองของแต่ละคน
ไม่ผิดหากสิ่งที่คุณคิดจะต่างจากที่คนเขียนคิด เพราะไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าความคิดของเราเป็นสิ่งที่ถูก ถึงเราจะเป็นคนที่สร้างพวกเขาขึ้นมา แต่สำหรับเรื่องราวต่างๆ ที่ดำเนินอยู่เราก็ยังคงเป็นคนนอกอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นไปในมุมมองของคนเขียนที่เห็นว่า...มันควรจะเป็น
การคิดอย่างมีเหตุมีผลจะทำได้ยากก็ต่อเมื่อมีอารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะความคิดของคนเรานั้นแตกต่าง ...สิ่งที่คุณได้จากนิยายเรื่องนี้มีมากแค่ไหน นั่นคนเขียนไม่อาจรู้ได้ เพราะบางคนอาจคิดว่าก็แค่นิยายน้ำเน่าทั่วไป พอถึงจุดที่ตัวเองคิดต่างก็เลิกอ่าน ความจริง...เราแค่อยากให้คุณสนุกไปกับมัน ได้มองการดำเนินชีวิตของตัวละครแต่ละตัว ในตัวแปรที่แตกต่างกัน เพราะเราก็เป็นคนอ่านเหมือนพวกคุณ เพียงแต่ว่าเราอ่านจากจินตนาการของตัวเอง ส่วนพวกคุณอ่านผ่านตัวหนังสือที่เราเอามาบอกเล่าต่ออีกที
ตอนนี้มีแอนตี้พี่โปรด แม่ยกน้องปลื้ม (ที่จำนวนคงจะเป็นเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นของคนที่อ่าน) และเมนพี่โปรด (จำนวนคงมีแค่หนึ่งเปอร์เซ็นที่เหลือเพราะส่วนใหญ่แม่ยกน้องปลื้มคือแอนตี้พี่โปรด
)
เราแค่นำเสนอความคิดเห็นในมุมตัวเองแค่นั้น อย่ากังวลไปเลยค่ะ แสดงความคิดเห็นของพวกคุณได้เต็มที่ 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...มันไม่มีผลกับเนื้อเรื่อง

มีความคิดเห็นหนึ่งบอกว่า คนเขียนลงถี่ กลัวจบเร็ว ...ถึงจะบอกว่าไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องก็จริง แต่เราพร้อมทำตามความคิดเห็นนี้ค่ะ
สองวันครั้งดีมั้ยยยยยย 
สุดท้าย...คำถาม : สนุกกันมั้ยคะ เบื่อกันรึยังงงงงงงงงงงง 