ตอนที่ 28ผมแปลกใจ...กับความเงียบเหงาตรงหน้า แน่ใจแล้วว่าพี่เมลไม่ได้ส่งผมลงผิดที่ ที่นี่เป็นบ้านที่ผมเคยอยู่มาตั้งแต่เด็กจริงๆ แต่บรรยากาศกลับต่างออกไป ผมยืนสะพายย่ามอย่างไม่รู้ว่าจะต้องกดกริ่งหรือปีนรั้วเข้าไปดี
“คุณปลื้ม!!!! คุณปลื้มใช่มั้ยครับบบบบ!! ยายแม้นนนนน!! คุณปลื้มกลับมาแล้วววววววว” เสียงตะโกนของลุงชวน รปภ. ของที่บ้านตะโกนก้องอย่างดีใจ แต่ผมก็แน่ใจว่ายายแม้นคงไม่ได้ยินเพราะตัวบ้านกับประตูรั้วอยู่ห่างกันเกินไป
“สวัสดีครับลุง ไม่มีใครอยู่บ้านเหรอครับ ทำไมปิดไฟมืดเลย”
“คุณหญิงไม่สบาย ท่านขึ้นนอนไปแล้วครับ ส่วนคุณผู้ชายอยู่โรงพยาบาล เดี๋ยวคงกลับ มาครับคุณปลื้ม ลุงช่วยถือ ไปครับๆ ตรงนี้ยุงเยอะ”
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้รู้สึกยังไง การก้าวขาเข้าบ้านตัวเองมันให้ความรู้สึกตื้นตันแปลกๆ
“บ้านนี้เหมือนไม่ใช่บ้านเลยตั้งแต่ที่คุณปลื้มไม่อยู่ ต่างคนต่างไปคนละทาง ลุงดีใจจริงๆ ครับที่คุณปลื้มกลับมา คุณหญิงจะได้กลับมาแข็งแรงซะที”
ลุงชมอยู่กับครอบครัวผมมานาน ไม่แปลกเลยที่จะเห็นลุงกลั้นน้ำตาไม่อยู่อย่างนี้ ถ้ายายแม้นออกมาก็คงร้องไห้ไปด้วยกันอีกคน ผมเพิ่งรู้ว่า...ที่จริงแล้วก็มีคนรอผมกลับมาอยู่เหมือนกัน
แล้วก็เหมือนอย่างที่ผมคิด ยายแม้นแทบจะเป็นลมเมื่อเห็นผม ยายเป็นแม่นมของแม่ เป็นคนสนิทของแม่ด้วย และยายก็เป็นคนเลี้ยงผมในเวลาที่คุณย่าป่วยหรือต้องเข้าโรงพยาบาล
ผมถูกพามาที่ห้องนอนของแม่...ไม่ใช่ห้องเดิม...แต่กลับเป็นห้องที่ผมกับคุณย่ามักมาขลุกอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ตอนที่ผมยังเด็ก
“คุณหญิงคะ...นมเข้าไปนะคะ”
ไม่มีเสียงของแม่ตอบกลับมา ผมกับยายแม้นเลยผลักประตูเข้าไปเบาๆ เห็นแม่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง ท่านผอมมากจนผมจำแทบไม่ได้ว่าผู้หญิงสวยที่เคยมีน้ำมีนวลคนเดิมหายไปไหน มีเสาน้ำเกลือตั้งอยู่ข้างๆ
ผมยอมรับว่านี่เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เห็นแม่ในสภาพแบบนี้...มันทำให้ผมพูดไม่ออกเลยจริงๆ
“ดูสิคะว่าใครมา”
แค่เพราะดวงตาสีดำที่หันมาสบตากัน น้ำตาของแม่ก็ไหลลงมาไม่ขาดสาย ท่านไม่พูดอะไรเลย เอาแต่ร้องไห้แล้วก็มองผม จ้องอยู่อย่างนั้นเหมือนกลัวว่าหากท่านกระพริบตาแล้วผมจะหายไป
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ คุกเข่าลงตรงหน้าแล้วก้มลงกราบที่เท้าของท่าน แม่รีบก้มลงมากอดผมไว้ ท่านกอดผมไว้แน่นแล้วก็ร้องไห้ไม่หยุด
“ผมขอโทษครับแม่...”
“ปลื้ม...ปลื้มจริงๆ ใช่มั้ย”
“ตัวจริงเลยครับ” ผมยิ้มกว้างทั้งๆ ที่น้ำตาหลายต่อหลายหยดกำลังไหลลงมาตามแก้ม
“ผมขอโทษ...”
หน้าสวยๆ ของแม่ส่ายน้อยๆ และน้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล...
ผมจะทำยังไงดี...ไม่อยากเห็นแม่ต้องร้องไห้แบบนี้เลย
“ไม่เป็นไรลูก...ไม่เป็นไร แม่ต่างหาก...แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษ”
ผมกับแม่ไม่เคยกอดกันนานๆ อย่างนี้เลยสักครั้ง ผมไม่รู้ว่าระยะห่างระหว่างผมกับแม่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ตลอดเวลาที่ผมคิดว่าแม่ไม่อยากยุ่งกับผม ไม่รักผม แต่ที่จริงแล้วแม่เป็นห่วงผมมาก
“ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ อย่าไปไหนอีกเลย อยู่กับแม่นะปลื้ม”
ผมเช็ดน้ำตาให้แม่อย่างเบามือ ท่านผอมมากจนผมกลัวว่าแรงของผมจะทำให้ท่านเจ็บ
“ยายบอกว่าแม่ไม่ค่อยกินข้าว ทำไมล่ะครับ...คนเป็นหมอต้องดูแลตัวเองนะ ไม่งั้นจะไปดูแลคนป่วยได้ยังไง”
“แม่เป็นห่วง แม่รู้ว่าปลื้มไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่แม่ก็อยากให้ปลื้มกลับมา คุณพ่อก็เป็นห่วงปลื้มมากเลยรู้มั้ยคะ”
“ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ...ขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วง”
แม่บอกว่าตลอดสองปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนเลยที่พ่อจะมีความสุข พ่อบ้างานไปแล้วตอนนี้ เขาเป็นห่วงแต่ก็โกรธผมมาก พ่อเป็นคนประเภทที่ไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ เขาเลยไม่มีวันไปตามผมกลับบ้านแน่นอกจากรอให้ผมกลับมาเอง เพราะผมออกไปโดยที่เขาไม่ได้ไล่ เขารู้ว่าผมอยู่ที่ไหนและอยู่กับใคร เกือบทุกความเคลื่อนไหวของผมอยู่ในสายตาของพ่อ เรื่องของผมกับคนๆ นั้น ผมไม่รู้ว่าพ่อรู้มากแค่ไหน แต่แม่บอกว่าเบาใจมากที่รู้ว่าผมอยู่กับลูกของเพื่อนแม่ เห็นผมไม่ต้องลำบากเหมือนตอนอยู่คนเดียวอีกก็หายห่วง จนมันเกิดเรื่องขึ้น...และผมหายไปจากการติดตามของพ่อ พวกท่านเลยเริ่มกังวล จนสุดท้ายก็ได้รู้ว่าผมอยู่กับแฟนพี่เมลก็ตอนที่พี่เท็นให้พ่อพี่เมลหาเลือดมาให้ผม
พี่เท็นบอกกับผมเมื่อเดือนที่แล้วว่าความจริงเลือดที่ให้กับผมนั้นเป็นเลือดที่ได้จากโรงพยาบาลของพ่อ เขาหัวเราะอย่างสบายๆ แล้วถามผมว่า คิดจริงๆ เหรอว่าผมจะโชคดีอะไรขนาดนั้น ที่เขาไม่บอกเพราะพ่อขอไว้ต่างหาก ...แม่บอกว่าพ่อเตรียมการไว้สำหรับสถานการณ์นี้ตลอดเวลา เพราะพ่อเป็นห่วงผมมาก ด้วยโรคที่ผมเป็นพ่อจึงไม่อยากให้ผมทำอะไรเสี่ยงๆ ผมถึงไม่เคยได้ทำอะไรอย่างที่เด็กคนอื่นๆ ทำเลย
แค่เพราะ...ไม่อยากเห็นผมบาดเจ็บ
“เป็นความผิดของแม่...ที่ทำให้ปลื้มต้องเป็นโรคอย่างนี้ แล้วแม่ก็ไม่เคยอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูแลปลื้มเลย แม่คิดว่าปลื้มเกลียดแม่...ตั้งแต่คุณย่าเสีย ปลื้มก็ไม่ค่อยพูด ทำหน้าอึดอัดทุกทีเวลาที่อยู่ใกล้ๆ แม่”
ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ผมไม่ได้เกลียดแม่เลย...ตอนนั้นผมตกใจมากที่คุณย่าไม่อยู่กับผมแล้ว ผมทำอะไรไม่ถูก คนที่ผมรักที่สุด อยู่กับผมเวลาที่ผมร้องไห้ กอดผมจนหลับไปทุกคืน เขาไม่อยู่แล้ว นั่นทำให้ผมเสียศูนย์ พ่อกับแม่เหมือนเป็นใครอีกคนที่ผมไม่รู้จักและต้องทำความคุ้นเคยด้วย ผมไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำตัวยังไงในเมื่อผมอยู่แต่กับคุณย่ามาตลอด
“ผมรักแม่...รักมากนะครับ”
เพราะพี่เท็นบอกว่า...ผมสามารถพูดออกไปตรงๆ ได้ พูดในสิ่งที่ผมอยากพูด และตอนนี้ผมอยากบอกให้แม่รู้ไว้
“แม่ก็รักปลื้ม...”
ผมยิ้มให้แม่ ในขณะที่รอยยิ้มของแม่กลับมาสดใสอีกครั้ง ผมอยู่คุยกับแม่อีกสักพัก ให้ท่านสำรวจว่าตลอดเวลาที่ไม่ได้เจอกันผมเปลี่ยนไปแค่ไหน ท่านลูบมือที่หยาบกร้านของผม สัมผัสที่แผลเป็นตรงหลังมือขวา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร แค่เห็นสีหน้าแม่ผมก็รู้ว่าท่านรู้อยู่แล้วว่าแผลนี้ได้มายังไง
“กลับมาอยู่ที่บ้านนะ เรื่องเรียน ปลื้มลองคุยกับพ่อดู แม่ก็จะช่วยพูดให้ด้วย”
“ผมอยากอยู่หอ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่บ้านนะครับ แต่ที่หอคงใกล้มหาลัยกว่า เสาร์อาทิตย์ผมจะกลับมาหาแม่ ตกลงมั้ยครับ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่หอถูกๆ อย่างที่ปลื้มเคยอยู่ ไม่ต้องแล้วนะ ไม่ปลอดภัย เตียงก็นอนแทบไม่ได้”
“หืมมม แม่รู้ได้ยังไง”
“ก็เคยไปมาแล้วครั้งนึง จนคุณพ่อจับได้นั่นแหละ เขาโกรธเป็นบ้าไปเลยล่ะ ท่ามากตลอดผู้ชายคนนี้” แม่ย่นจมูกอย่างน่ารัก ผมเลยยกมือท่านขึ้นมาแนบที่แก้ม
“ไม่ลำบากอะไรหรอก ปลื้มอยู่ได้”
“ไม่ลำบากอะไรกัน ลำบากมากๆ เดี๋ยวแม่หาคอนโดใกล้มหาลัยให้ ไม่งั้นก็อยู่คอนโดของพี่เราไปก่อน ยินดีไปต่างประเทศแล้วไม่รู้กลับเมื่อไหร่ ปล่อยทิ้งไว้ก็เสียดาย”
“พี่ไม่มีกำหนดกลับเหรอครับ”
“ไม่รู้ว่าพ่อเราจัดการยังไง แต่ก็คงจะอยู่เรียนนั่นเรียนนี่ของเขาไปเรื่อยนั่นแหละ คราวก่อนโทรมาบอกแม่ว่าอยู่เกาหลี ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า”
“พี่ก็อย่างนี้ตลอด แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เขาดูแลตัวเองได้”
“รายนั้นน่ะแม่ปล่อยแล้ว เขาเรียนจบอย่างที่แม่หวังไว้แล้ว ต่อไปนี้ชีวิตก็เป็นของเขา ห่วงอยู่ห่างๆ ดีกว่า ก็ยังเหลือแต่ปลื้มที่แม่ยังกังวลใจอยู่”
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกครับ แม่แค่คอยเป็นกำลังใจให้ผมก็พอ แล้วก็...ช่วยผมพูดกับพ่อด้วย ฮ่าๆๆๆ”
แม่ยิ้มให้ผม มือบางลูบหัวผมเบาๆ
“ปลื้ม...”
“ครับ...”
“มีความสุขกับชีวิตนะลูก ใช้มันให้เต็มที่นะ แม่จะอยู่ตรงนี้ เป็นกำลังใจให้”
“ครับ...ผมรักแม่จังเลย ^_^”
แค่ผมกล้าที่จะยื่นมือออกไป...มือคู่นี้...ก็คงพร้อมที่จะจับมือผมไว้เช่นกัน
.
.
.
“คุณเฟรนนนนนนนนนนนนนนนน” ผมร้องเรียกคนที่กำลังนั่งมองไอ้เจ้ยวิ่งพล่านไปมาอยู่ คุณเฟรนก็ยังตัวเท่าเดิม แต่รู้สึกจะน่ารักกว่าเดิมด้วย เขาหันมาทางผมแล้วก็ทำตาโตแหกปากลั่น
“เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยปลื้มมมมมมมมมมมมมมมมม มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่!!!”
ไอ้เจ้ยที่ตัวใหญ่ขึ้นมาก แต่ก็ไม่มากไปกว่าขนาดโตเต็มวัยของหมูพันธุ์แคระอย่างมันกระดิกหูนิดๆ แล้วก็วิ่งเล่นของมันต่อ แหม ไม่สนใจผมเลยนะ มันลืมผมไปแล้วใช่ไหมเนี่ย -_-
วันนี้ผมขับรถมาที่บ้านคุณเฟรนหลังจากแวะไปดัดผมเปลี่ยนทรงมา ให้ความรู้สึกแปลกตาหน่อยแต่พี่เท็นกับพี่เมลยกนิ้วว่าโอเค ผมก็โอเคอ่ะ
“ผมกลับมาเมื่อสองวันก่อน แต่ที่ไม่ได้มาหาทันทีเพราะมีเรื่องต้องเคลียร์กับทางบ้านนิดหน่อย”
“อ๋อ แล้วเป็นไงวะ โอเคแล้วยัง มึงจะกลับมาเรียนใช่มั้ย เย้ดดดดดดดดดด คิดถึงงงงงงงงงงงง”
“ฮ่าๆๆ คิดถึงเหมือนกันครับ แล้วนี่...ยังไม่คืนดีกับคุณกิมอีกเหรอ” พอผมพูดชื่อคุณกิม คุณเฟรนก็เบ้ปากไปทันที
“มึงพูดถึงใคร...มันเป็นใคร กูไม่รู้จักคนชื่อนี้”
“โห นี่โกรธเขาขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“กูไม่คบคนที่หักหลังได้แม้แต่เพื่อนตัวเอง”
“คนเรามันพลาดกันได้นะครับ”
“มึงนี่ก็ยังเป็นคนดีเหมือนเดิมเลยนะ”
“ผมก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า คนผิดพลาดเขาไม่ควรได้รับโอกาสเลยเหรอครับ ความผิดเขา...ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็...”
“แหนะ เริ่มใจอ่อนล่ะสิ”
ผมไม่สบายใจนะ...เรื่องความรักของพวกเขาและเรื่องของผมมันคนละเรื่องกัน ในความคิดของผมแล้ว คุณกิมเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเห็นด้วยกับคุณเปรมเลย ผมรู้เรื่องเกือบทุกอย่างเพราะคุณเฟรนเล่าให้ฟัง คุณกิมเขามาสารภาพกับคุณเฟรนตอนที่มาง้อขอคืนดี แต่ก็ต้องแห้วไป
ถ้าถามผมว่าเสียความรู้สึกมั้ย เอาจริงๆ เลยก็เสียความรู้สึกนะ ผมอาจจะสนิทกับพวกเขาได้ไม่นานก็จริง แต่ก็ถือว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้ว แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าพวกเขาทำผิด สำหรับเพื่อนที่กำลังหน้ามืดตามัว ผมก็ไม่กล้าเสี่ยงพูดห้ามไปให้เขารู้สึกไม่ดีต่อเราหรอก ผมอาจจะอยู่เงียบๆ เออๆ ออๆ ไปอย่างที่คุณกิมคุณติ๊กทำก็ได้ แต่ผมก็ยังยืนยันไม่ได้เพราะสถานการณ์นั้นยังไม่เกิดกับผม
เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะผมว่า ถ้ารู้ว่าเขาทำไม่ดี เราจะเลิกคบไปเลยโดยไม่สนความสัมพันธ์ที่ผ่านมามันก็ไม่ใช่ จะมองดูเฉยๆ ก็ไม่ได้อีก เพราะที่ผ่านมา คุณเปรมเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีกับคุณติ๊กคุณกิมมาตลอด แล้วเรื่องนี้...ถ้าคนๆ นั้นเขาไม่เล่นไปตามเกมด้วย ทุกอย่างคงไม่จบลง คุณเปรมคงไม่ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ คุณกิมกับคุณเฟรนก็คงจะไม่หมางเมินกันอย่างนี้...และพวกเรา...อาจจะยังหัวเราะด้วยกันได้เหมือนเดิม แต่ในเมื่อกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยให้เวลารักษาทุกอย่างเอง
อีกอย่างผมไม่ได้โทษใครมาตั้งแต่แรกแล้ว...ป่วยการจะไปรื้อฟื้นมัน สำหรับผมประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าเรื่องที่ผ่านมามันเกิดขึ้นเพราะใคร หรือเพราะอะไร ผมไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นเขายังรักผมอยู่ไหม...ยอมรับจริงๆ ว่ามันไม่สำคัญอะไรกับผมเลยในตอนนี้
เพราะยังไง...เราก็จบกันอยู่ดี...ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
“ปากดีขึ้นนะไอ้ปลื้ม เดี๋ยวเถอะ แล้วไหน ของฝากกู มีมั้ยห้ะ”
“มีครับ แต่อยู่ในรถ แล้ววันนี้ว่างมั้ยครับ ผมจะชวนไปซื้อของเข้าห้องหน่อย”
“ว่างๆ มึงได้หอละเหรอ”
“อ๋อ ตอนนี้ผมจะเข้าไปอยู่คอนโดของพี่สาวน่ะครับ”
“พี่ยินดีที่มึงเล่าให้ฟังทางจดหมายป่ะ”
“ใช่แล้วววว แล้วก็สวยมากด้วย อิอิ”
ผมเล่าเรื่องครอบครัวของผมให้คุณเฟรนผ่านทางจดหมาย เขาเป็นเพื่อนคนแรกที่ผมเปิดใจคุยด้วยมากขนาดนี้ เขาบอกว่าเขาไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะดูยังไงผมก็เหมือนคนที่มีปัญหาครอบครัวและไม่ยอมขอตังค์พ่อแม่ใช้มากกว่า ไม่ใช่เพราะไม่มี
“ไม่เถียง ก็น้องหน้าสวยขนาดนี้”
“โห คุณเฟรนอ่ะ -*-”
ผมได้แต่ยิ้มมองคุณเฟรนที่หัวเราะสะใจที่เห็นผมว่าอะไรเขาต่อไม่ได้ ก่อนเขาจะเข้ามากอดผมไว้
“ดีใจที่กลับมา...ยินดีต้อนรับกลับนะปลื้ม”
“ครับ...ขอบคุณนะครับคุณเฟรน ที่อยู่ข้างผมมาตลอด”
“อื้อ...ก็มึงเพื่อนกูนี่”
“^_^”
ขอบคุณจริงๆ ครับ...ที่ไม่เคยทิ้งผม
........................................To be continue.............................................
ตอนหน้าเสี่ยคัมแบ็คนะจ้ะ

สำหรับมิตรภาพแล้ว...ขอโทษก็ให้อภัยได้ ถ้าหากยังอยากจะเป็นเพื่อนกันต่อ ในความคิดคนเขียนนะ แต่สำหรับน้องปลื้มนี่ไม่รู้แฮะ ส่วนเรื่องน้องเปรม เขายังไม่พร้อม ให้เขาไปเถอะค่ะ 
ถ้าเขาพร้อมเมื่อไหร่ เขาจะกลับมาพร้อมคำขอโทษเอง
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นค่ะ 
ขอตอบความคิดเห็นที่ถามไว้นะคะ
คุณ mellowshroom --> อ่ะ อย่างน้อยเสี่ยโปรดเขาก็วาดแรดสวยกว่าเฮียคริสนะคะ
ใครจะลึกล้ำได้เท่าเฮียเป็นไม่มี
คุณ Eomoge -->
บรรยากาศดีแต่บางทีก็หนาวไป ฮ่าๆๆ คนเขียนเคยนั่งถึงหกโมงเช้าแหนะ พระผ่านมาบิณฑบาตรพอดีเลย
คุณ nuum --> ระวังตัวด้วยนะคะ ที่ทำงานคนเขียนก็ใกล้เวทีหลักเลย ตอนเย็นก็เดินตัดม็อบขึ้นรถไฟฟ้ากลับ เราอาจจะเดินสวนกันก็ได้นะคะ 
ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งผ่านความคิดเห็นมาจริงๆ ค่ะ 
นี่บอกเลยนะ ไปตามอ่านนิยายคนอื่นเขาแล้วมีดราม่าก็ไม่กล้าอ่านเหมือนกัน มันแบบบบบ 