ตอนที่ 15“ครับคุณแม่ ปลื้มไม่ลืมครับ ครับ คุกกี้อร่อยมากครับ อ่า...เรื่องกลับบ้านยังไม่คิดเลยครับ แหะๆ ครับ ปลื้มก็คิดถึงคุณแม่ครับ” ผมวางสายแล้วกระโดดลงบนเตียงที่นุ่มแสนนุ่ม
อ๋อ เมื่อกี้ไม่ได้คุยกับแม่ผมหรอกครับ ผมคุยกับแม่พี่โปรดที่ใจดีอย่างเหลือเชื่อ แม่ผมยังไม่ใส่ใจผมมากขนาดนี้เลย บางวันก็ให้แม่บ้านเอาขนม เอากับข้าวมาให้ แล้วมักจะโทรมาติดตามผลว่าอร่อยมั้ย ชอบรึเปล่า บางทีท่านบินไปต่างประเทศก็มีของมาฝากบ่อยๆ ส่วนเรื่องกลับบ้านนี่ก็หมายถึงบ้านผมครับ
คุณแม่พี่โปรดเห็นไม่ค่อยเต็มอย่างนั้น (ผมขอโทษครับแม่ ผมบาปมั้ยเนี่ย) แต่บทจะจริงจังก็จริงจังมากนะครับ ตอนที่เรียกผมไปคุยส่วนตัวผมนึกว่าจะเป็นเรื่องพี่โปรด แต่ที่ไหนได้ดันกลายเป็นเรื่องตัวเอง แน่ล่ะครับเพื่อนสนิทแม่ผมทำไมจะไม่รู้จักลูกชายของเพื่อนล่ะ แต่แม่พี่โปรดท่านเคารพการตัดสินใจของผม ท่านบอกว่าเป็นเรื่องของผมให้ผมจัดการเอง แต่ท่านก็แนะนำให้กลับบ้านไปขอโทษคุณพ่อคุณแม่
กลับบ้านเหรอ... ผมไม่ค่อยคิดแล้วเรื่องนี้ พ่อแม่ผมยังไม่ตามกลับแล้วผมจะกลับทำไม ผมเลือกทางของผมแล้ว คิดเหรอครับว่าพ่อแม่ผมเขาไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน เขารู้แต่ก็ไม่ได้แยแสอะไร คงมีแต่พี่สาวผมเท่านั้นที่ยังไม่รู้ เจ้แกรู้แค่ว่าผมหนีออกจากบ้านเท่านั้นแหละ ครอบครัวผมมันไม่ได้อบอุ่นอย่างครอบครัวพี่โปรดหรอกครับ โลกเราไม่ได้สวยงามไปซะหมดหรอก
“โปรด หิวข้าวแล้วนะ รีบๆ แต่งตัวสิ” ผมร้องบอกพี่โปรดที่เพิ่งออกจากห้องน้ำแต่ก็ยังสำรวจหุ่นตัวเองอยู่หน้ากระจกนั่นล่ะ ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าซะที
“แม่โทรมาว่าไงบ้าง”
“ถามว่าคุกกี้อร่อยมั้ย แล้วบอกว่าวันศุกร์หน้าให้ไปส่งที่สนามบิน ท่านจะบินไปอังกฤษ”
พี่โปรดพยักหน้ารับรู้ก่อนจะโยนขวดครีมทาผิวมาทางผม ผมเลยลุกไปทาครีมให้อย่างรู้งาน พี่ท่านชอบทาครีมทุกส่วนเลยครับ เน้นว่าทุกส่วนจริงๆ เลยลำบากผมทุกทีเพราะมีบางส่วนที่มือเอื้อมไม่ถึง -_-
“ตรงนั้นอย่าทานาน เดี๋ยวก็ไม่ได้ออกไปไหนกันพอดี” ดื้อสู้มือขนาดนี้ยังกล้าพูด
“โปรดไม่ทาเองบ้างล่ะ ใช้อยู่ได้” ผมบ่นแต่มือก็ยังทำงาน ความจริงก็บ่นไปงั้นแหละ ผมชอบสัมผัสผิวของพี่โปรด
“เดี๋ยวนี้ใช้ไม่ได้เหรอ หืมมมม” พี่โปรดถามกวนๆ ดึงแก้มผมอีกต่างหาก ชอบเล่นเจ็บๆ อยู่เรื่อย
“โปรด ปลื้มเจ็บ” ผมร้องบอกพลางปัดมือพี่โปรดออกแล้วลูบแก้มตัวเองเบาๆ
“ผิวบางจริงนะ”
ผมเบ้ปากก่อนจะวางครีมทาผิวลงบนโต๊ะเครื่องแป้งที่เต็มไปด้วยสารพัดครีมทั้งของผมและของพี่โปรด
“หิวข้าว -*-” ผมบอกความต้องการ เดินมาหาเสื้อให้พี่โปรดใส่ ได้เชิ้ตสีดำก็โยนไปให้พร้อมกางเกงยีนแบรนด์เดียวกับเสื้อ
“รู้แล้วน่า วันนี้จะกินอะไร” พี่โปรดถามพลางแต่งตัวไปด้วย ผมช่วยหาเข็มขัดแล้วเอามาใส่ให้ในขณะที่พี่โปรดกำลังกลัดกระดุมเสื้อ
“อะไรก็ได้” ผมบอกง่ายๆ จัดปกคอเสื้อให้พี่โปรดแล้วพับแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอก เลือกนาฬิกาที่เข้ากับเสื้อมาใส่ให้ก็เป็นอันเรียบร้อย
“งั้นกุ้งกะทะ” พี่โปรดเสนอ กุ้งกะทะก็ไม่ต่างอะไรกับหมูกะทะ แต่เปลี่ยนจากหมูเป็นกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ๆ มีร้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านประจำของพี่โปรด ผมก็อยากกินนะ แต่ปัญหาอยู่ที่ร้านอยู่ไกลเกินกว่าน้ำย่อยในกระเพาะผมจะทนไหว
“ตามสั่งที่โต้รุ่งก็พอ หิว” ผมบอกพลางลากพี่โปรดออกจากห้องนอน ผ่านห้องนั่งเล่นมาที่หน้าประตู หารองเท้ามาวางไว้ให้พี่โปรด ก่อนนั่งลงใส่รองเท้าตัวเอง
ผมกับพี่โปรดลงลิฟธ์มาถึงชั้นที่รถพี่โปรดจอดอยู่ พี่โปรดซื้อที่จอดไว้สองที่ เมื่อก่อนใช้ไม่คุ้มเพราะมีรถจอดอยู่แค่คันเดียวแต่ตอนนี้มีรถโฟล์คสีขาวจอดข้างกันอีกคัน คันนี้เป็นคันที่พี่โปรดได้มาตอนเอ็นติดแพทย์เป็นรถคันแรกที่เป็นชื่อของตัวเองแต่เพราะไม่ใช่แนวเลยขับแค่สองสามครั้ง แล้วกุญแจรถคันนี้ก็เปลี่ยนมือจากเจ้าของแท้จริงมาอยู่ที่ผม
“โปรดบอกว่าปิดเทอมจะพาไปทะเล นี่ก็ปิดมาได้อาทิตย์นึงแล้วนะ”
พี่โปรดหัวเราะเบาๆ แล้วออกรถอย่างช้าๆ เหลือบมองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะตั้งสมาธิกับทางตรงหน้า
“ยังไม่ว่าง มีอบรมอีก สงกรานต์ค่อยไป”
“อีกตั้งนาน”
“เอาน่า อดทนหน่อย”
ในเมื่อพี่โปรดว่าอย่างนั้นก็ต้องอดทนแล้วล่ะครับ ลำพังผมไม่มีปัญญาจะไปหรอก เงินติดตัวตอนนี้มีแค่ห้าร้อย ผมไม่กล้าขอเงินพี่โปรดเพราะทุกวันนี้ก็ไม่ต่างกับเกาะพี่โปรดกินอยู่แล้ว ถ้าต้องขอเงินใช้อีกผมคงรู้สึกแย่มากกว่าที่เป็นอยู่ เงินเดือนละสองพันสองร้อยจาก กยศ.มันไม่พอหรอกครับถึงผมจะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าหอพัก ค่าน้ำค่าไฟ หรือค่าข้าวถ้าไปกินกับพี่โปรด แต่ค่าเอกสารการเรียน เก็บค่านั่นค่านี่ของภาคหรือคณะผมก็ใช้เงินก้อนเล็กๆ นั่นจ่ายเอง พวกคุณเปรมออกให้บ้างแต่ไม่บ่อยเพราะผมเกรงใจพวกเขา บางทีคิดเรื่องนี้แล้วผมก็รู้สึกหดหู่อยู่เหมือนกัน
“ไหนบอกว่าหิว กินนิดเดียวเอง” พี่โปรดถามพลางตักเนื้อปลาใส่จานให้ ผมมองต้มยำปลาน้ำข้นที่ทั้งหอมทั้งน่ากินแต่ความอยากอาหารดันหายเพราะเผลอคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ตอนนี้เรานั่งทานข้าวกันที่ร้านอาหารตามสั่งในตลาดโต้รุ่งไม่ไกลจากคอนโดฯ พี่โปรดยังคงเด่น ดึงดูดสายตาคนทั่วไปเช่นทุกครั้ง ผมหัวเราะให้กับเสียงกรี๊ดเบาๆ ของเด็กผู้หญิงถักเปียกลุ่มใหญ่ที่มองมาทางพี่โปรดแล้วยกมือถือขึ้นถ่ายรูป
“พี่ พี่คิดว่าปลื้มเกาะพี่กินรึเปล่า” ผมถามขึ้น สบกับดวงตาคู่สวย กวาดมองทั่วใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าที่ไม่ว่ามองเมื่อไหร่ก็ใจเต้นแรงได้เมื่อนั้น
“คิดสิ แต่ไม่แคร์ เพราะพี่รวย” คำตอบของพี่โปรดถึงจะกวนตีน แต่มันก็ทำให้ผมยิ้มได้ ฟังดูจริงใจกว่าคำตอบที่บอกว่าไม่คิดหรือพูดปลอบใจอะไรทำนองนั้นเสียอีก
“งั้นปลื้มคงตกถังข้าวสารแล้ว ^^”
“คิดได้อย่างนั้นก็กินข้าวได้แล้ว มาทำดราม่าเพื่อ”
“ก็ปลื้มไม่มีอะไรสักอย่าง กลัวจะทำให้พี่โปรดลำบาก”
พี่โปรดดีดหน้าผากผมหนึ่งที ก่อนจะพูดด้วยหน้าตาจริงจังว่า “เป็นเมียพี่แล้วอย่าคิดมาก”
ไอ้เราก็นึกว่าจะเป็นคำพูดที่โรแมนติกกว่านี้ซะอีก -_-
“แล้วปิดเทอมจะกลับบ้านเมื่อไหร่ พ่อแม่ไม่โทรตามเหรอ” พี่โปรดถามเสียงเรียบเรื่อยราวกับถามเรื่องลมฟ้าอากาศ และนี่คงเป็นครั้งแรกที่พี่โปรดถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของผม ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเขาไม่ใส่ใจแต่มันเป็นเรื่องธรรมดาเกินกว่าที่จะเอามาถามผมให้มากความ แต่คราวนี้คงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรถามล่ะมั้งครับ พี่โปรดเขาไม่ค่อยละเอียดอ่อนเท่าไหร่
“ไม่ครับ ไม่มีใครโทรตามหรอก ปลื้มไม่มีบ้านให้กลับ”
พี่โปรดชะงักช้อนที่กำลังตักต้มจืดเต้าหู้หมูสับใส่สาหร่าย ก่อนจะมองหน้าผมเหมือนลังเลอยู่ว่าจะพูดปลอบใจดีไหม แต่รออยู่นานพี่โปรดก็ยังเงียบ ผมเลยพูดต่อว่า “เริ่มกลัวว่าปลื้มจะเกาะพี่กินไปตลอดชีวิตแล้วล่ะสิ”
พี่โปรดคลี่ยิ้มแล้วตอบว่า “มีปัญญาเกาะก็เอาสิ หึหึ”
ผมเบ้ปากอย่างหมั่นไส้แล้วตักหมูสับใส่จานให้พี่โปรด ผมมองผู้ชายตรงหน้าพลางคิดในใจว่าตอนนี้ผมได้กลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแล้วรึยัง ใครจะคิดว่าผมสามารถยิ้มได้เพราะผู้ชายคนนี้ทั้งๆที่เสียใจและร้องไห้เพราะเขามาโดยตลอด ใครจะคิดว่าความรักข้างเดียวของผมจะสมหวังทั้งๆที่ผมมันก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย
“คุณแม่พูดเรื่องปลื้มกับพี่โปรดบ้างรึเปล่าครับ”
“ก็บอกแค่ว่าปลื้มน่ารักมากก็แค่นั้น แต่คุณแม่คงเริ่มแก่สายตาเลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่” อืม...คุณแม่คงไม่ได้คุยเรื่องครอบครัวของผมให้พี่โปรดฟัง ดีแล้วล่ะครับเรื่องไร้สาระแบบนั้น พี่โปรดฟังไปก็รกสมองเปล่าๆ
“คุณแม่เขาตาถึงมากกว่าครับ ^^”
ผมหุบยิ้มทันทีที่พี่โปรดยื่นมือมาดึงแก้ม เจ็บก็จริงแต่ไม่อยากโวยวายเพราะมีคนมองมาทางโต๊ะพวกผมเยอะ เดี๋ยวพี่โปรดแกเบื่อก็เลิกดึงไปเองนั่นแหละครับ
ทานข้าวเสร็จผมกับพี่โปรดก็มาเดินซื้อของที่ห้างกันเพราะพี่โปรดอยากได้รองเท้าคู่ใหม่ เดินๆ ไปก็มีสาวสวยมากหน้าหลายตาเข้ามาทัก ผมได้แต่ทำหน้านิ่งไม่สนใจเพราะพวกเธอไม่ได้ทักผม พี่โปรดยังคงอัธยาศัยดีพูดคุยเป็นกันเองกับทุกคนแต่บอกตามตรงว่าผมเบื่อ พี่โปรดคงไม่สังเกตสายตาของแม่ผู้หญิงพวกนั้นที่มองผมหรอกเพราะมัวแต่ยิ้มแต่หัวเราะ ปล่อยให้เขาควงแขนทำตัวเหมือนแฟนแนะนำให้กับเพื่อนๆ ของเขารู้จัก ทิ้งผมให้ยืนอยู่วงนอกเหมือนส่วนเกิน
“พี่ครับ ถ้ายังอีกนานผมขอไปเดินดูหนังสือก่อนนะครับ” ผมบอกพี่โปรดก่อนจะเดินเข้าร้านหนังสือที่อยู่ไม่ไกล
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเดินห้างกันแล้วเป็นแบบนี้ แต่เพราะผมไม่พูดใช่ไหมพี่โปรดถึงไม่รู้ว่าผมไม่ชอบ ถ้าคบกันแล้วผมบอกได้รึเปล่าว่าไม่อยากเห็นพี่กับผู้หญิงคนอื่น หัวเราะก็ไม่ได้ พูดหวานก็ไม่ได้ แจกยิ้มก็ไม่ได้ ถูกเนื้อต้องตัวยิ่งห้าม
ผมเดินดูหนังสือได้สักพักก็หมดอารมณ์แล้วตัดสินใจนั่งแท็กซี่กลับคอนโดฯก็ตอนที่พี่โปรดโทรมาชวนให้ไปกินไอศกรีมกับ ‘รุ่นพี่’ ของพี่โปรดด้วยกัน
แดกไอติมกันเกือบสี่ทุ่ม บ้าป่ะครับพวกคุณ!
มาถึงคอนโดฯผมก็อาบน้ำแล้วออกมานอนดูทีวีที่ห้องนั่งเล่น รายการเชฟกะทะเหล็กทำให้หิวขึ้นมาครามครัน แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลุกไปหาอะไรกิน นอนน้ำลายสอกับอาหารหน้าตาน่ากินในทีวีได้ไม่นานพี่โปรดก็กลับมา ผมไม่ได้สนใจแต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่โปรดกำลังหงุดหงิด
“เป็นบ้าอะไรถึงหนีกลับมาก่อน” พี่โปรดถามเสียงแข็ง คว้ารีโมททีวีไปจากผมแล้วกดปิด “โทรหาก็ไม่รับ โกรธอะไรก็พูดมา”
“ผมทำอะไรผิดอีกล่ะ” ผมย้อนถามพยายามแย่งรีโมททีวีจากคนตรงหน้า
“ถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องดู”
“ไม่มีอะไรต้องคุยนี่ครับ” ไม่ให้ดู ผมไม่ดูก็ได้
“ปลื้ม! อย่าให้พี่โมโห”
“พี่ก็โมโหอยู่แล้วไม่ใช่รึไง เป็นบ้าอะไรวะมาถึงก็ตะคอกใส่” ผมถอยออกห่างจากพี่โปรด “อย่ามาจับผมนะ มือที่พี่จับคนอื่นไม่ต้องเอามาจับผม”
“โกรธเรื่องแค่นี้?” พี่โปรดถามพลางทำหน้าเหลือเชื่อ หัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลกแต่ผมไม่เห็นว่ามันตลกตรงไหน
“พี่เรียกมันว่าเรื่องแค่นี้เหรอครับ ผมก็ยืนอยู่ตรงนั้นแต่พี่ก็ยังจับมือถือแขนกับเขา พี่จะบอกงั้นสิว่าหนึ่งในนั้นไม่มีคู่ควงคนเก่าของพี่” ถึงบอกผมก็ไม่เชื่อ เพราะผู้หญิงสวยคนล่าสุดที่ผมเจอเธอควงแขนพี่โปรดออกนอกหน้า
“เขาจับมือพี่เองแล้วจะให้พี่ปัดออกให้เขาเสียหน้าได้ไง พี่ผึ้งเขาเป็นผู้หญิงนะปลื้ม” เหตุผลของพี่โปรดไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผมดีขึ้นเลย มันกลับแย่ลงจนเกือบติดลบ ผมแค่หวังว่าจะได้ยินคำขอโทษแต่คงจะไม่มีวันได้ยินเพราะพี่คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร...ก็คงใช่ ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก
“พี่ผึ้งของพี่เสียหน้าไม่ได้แต่ผมเสียใจได้งั้นเหรอครับ” ผมถามพี่โปรดที่ยังคงยืนเงียบห่างจากผม “ถ้าพี่คิดว่าผมงี่เง่า ผมเรียกร้องมากไปก็ขอโทษครับ แต่ผมแค่คิดว่าคนเราคบกันไม่ควรทำแบบนี้ก็เท่านั้น”
ไม่มีอะไรที่ผมอยากพูดอีกแล้ว ผมคงผิดเองที่เรียกร้องมากเกินไป ถ้าผมใจกว้างกว่านี้คงไม่ต้องทะเลาะกับพี่โปรด ผมมันก็มีแค่นี้คงต้องอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว งี่เง่ามากไปคงโดนทิ้งเข้าสักวัน
“พี่โปรดจะอาบน้ำเลยมั้ยครับ ผมจะได้ไปเตรียมน้ำอุ่นให้”
พี่โปรดเดินเข้ามาจับแขนผมแล้วบีบแน่น “เรียกแทนตัวเองว่าปลื้มเดี๋ยวนี้!!”
“ผมเจ็บครับพี่” ผมพยายามแกะมือพี่โปรดออกแต่ก็ไม่สำเร็จ อีกทั้งแรงบีบยังเพิ่มมากขึ้น
“อย่าดื้อกับพี่นะปลื้ม!”
“ผมบอกว่าผมเจ็บ! พี่โปรดปล่อยนะ!”
ผมใช้มืออีกข้างปาดน้ำตาออกจากแก้ม เจ็บใจที่สู้แรงของพี่โปรดไม่ได้ ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
“ห้ามร้อง!”
“ผมไม่ได้ร้อง!”
ผมกับพี่โปรดจ้องตากันสักพักก่อนพี่โปรดจะเป็นฝ่ายผละออก หันหลังเดินเข้าห้องนอนไป ผมเลยนั่งลงนวดแขนตัวเองที่โซฟา แรงควายชัดๆ แขนผมแดงไปหมด อย่าหวังว่าผมจะเป็นฝ่ายง้อเลย ครั้งนี้ผมไม่ผิดสักนิดเดียว
ผมได้จังหวะเอาหมอนกับผ้าห่มมานอนที่โซฟาในระหว่างที่พี่โปรดกำลังอาบน้ำอยู่ โซฟาตัวใหญ่นี้สำหรับขนาดตัวของผมแล้วนอนได้สบายมากไม่มีปัญหา ผมจัดการปิดไฟในส่วนของห้องนั่งเล่น เปิดทีวีหาดูรายการน่าสนใจเพราะเชฟกะทะเหล็กจบไปเรียบร้อยแล้ว ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนแล้วสักพักก็มีคนมายืนอยู่ข้างโซฟา ถ้าผมไม่รู้ว่าเป็นใครคงหลอนน่าดู
“ไปนอนในห้อง”
“ผมจะนอนที่นี่”
“งั้นพี่นอนด้วย” แม่งเป็นอะไรมากป่ะครับ? โซฟานี้ไม่มีปัญหากับผมก็จริงแต่ถ้านอนเบียดกันสองคนตื่นเช้ามาได้มีเหน็บกินกันบ้างล่ะ แล้วทำอย่างกะว่าเราสองคนจะนอนกอดกันเหมือนทุกคืนได้ทั้งๆ ที่เพิ่งตะโกนเสียงดังใส่กันไปเมื่อไม่กี่นาที ผมสละเตียงให้แล้วยังจะเอาอะไรอีกนะผู้ชายคนนี้
“เชิญครับ ผมนอนพื้นเอง” ผมลุกให้พี่โปรดแล้วมานั่งดูทีวีอยู่บนพื้น ยังไงพื้นก็ปูพรม นอนสบายอยู่แล้วล่ะสำหรับคนที่เคยนอนเตียงแข็งๆ อย่างผม
“จะยั่วโมโหไปถึงไหน” พี่โปรดถามนิ่งๆ
“ผมผิดอีกแล้วเหรอครับ” ผมถามกลับไปบ้าง มองเห็นหน้าพี่โปรดไม่ค่อยชัดเพราะแสงจากทีวีไม่สว่างมากนัก
“อยากทะเลาะกับพี่ต่อ?”
ผมเงียบกับคำถามนี้ ใครว่าผมอยากทะเลาะ แต่ผมเห็นหน้าพี่ตอนนี้แล้วโคตรหงุดหงิดเลย สงสัยจริงว่าพี่โปรดไม่เข้าใจรึไงว่าผมออกมานอนข้างนอกทำไม
“ปิดทีวีแล้วไปนอนกับพี่”
เก่งแต่ออกคำสั่ง ส่วนผมก็ไม่อยากมากความอะไรอีกเลยต้องทำตาม พี่โปรดหอบหมอนกับผ้าห่มเดินนำไปก่อน ผมปิดทีวีแล้วเดินตามเข้าไป ก็ถ้ารู้อย่างนี้ไม่เสียแรงเอาออกไปตั้งแต่แรกหรอก พี่โปรดแม่งเผด็จการ!
ผมกระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนหันหน้าไปคนละทางกับพี่โปรด สักพักก็ถูกกอดจากด้านหลังพร้อมกับเสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูว่า ‘ฝันดี’ ผมไม่ได้ตอบกลับไป พยายามข่มตาหลับและคิดว่าคืนนี้คงฝันร้ายแน่นอน!
.
.
.
ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่ถูกจ้องมอง ภาพในระยะสายตาภาพแรกคือใบหน้าหล่อเหลาของพี่โปรด ผมเบือนมองไปทางนาฬิกาปลุกดิจิตอลข้างหัวเตียงที่บอกเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาพร้อมกับพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของพี่โปรด
“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ” พี่โปรดถาม รัดตัวผมแน่นเข้าไปอีก
“ปล่อยครับ”
“ไม่”
คำตอบสั้นและเข้าใจง่ายทำให้ผมหยุดดิ้น พี่โปรดเลยได้ทีก้มลงมาหอมแก้มผม ผมกลอกตาอย่างเอือมระอากับความหน้ามึนของพี่เขาที่ดูยังไงก็ไม่สำนึกผิดแถมคำขอโทษสักคำก็ยังไม่ได้ยิน ขยับตัวเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่คลายความอึดอัดเพราะโดนกอดไว้แน่น มือที่เป็นอิสระของผมพยายามยันหน้าของพี่โปรดไม่ให้ทำอะไรตามใจไปมากกว่านี้ นี่เพิ่งตื่นไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นบ้างรึไงครับ? -*-
“คุยกันให้รู้เรื่องไปเลยละกัน ปลื้มจะให้พี่ทำยังไง พี่ง้อใครไม่เป็นนะ” พี่โปรดขมวดคิ้วจ้องหน้าผมนิ่ง “คบกันแล้วยังจะมาระแวงอะไรไม่เข้าเรื่องอีก”
ผมฟังอย่างไม่เชื่อหูกับคำพูดที่ว่า ‘ระแวงไม่เข้าเรื่อง’ นี่พี่โปรดเขามีตรรกะความคิดแตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นหรือยังไงครับ ช่วยบอกผมทีเถอะ จะมีสักกี่คนกันวะที่ชอบเห็นแฟนตัวเองไปทำหน้าระรื่นกับคนอื่น
“งั้นพี่ก็เลิกกับผมไปเลยสิครับ” ผมตัดสินใจพูดออกมา จะด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่รู้ แต่แค่เห็นหน้าพี่โปรดที่ซีดลงไปถนัดตามันก็ทำให้ผมสะใจมาก
“ผมไม่ได้ใจกว้างอย่างที่พี่คิด ผมไม่พูดไม่ใช่ว่าผมชอบที่พี่ทำ ผมเป็นส่วนเกินทุกทีเวลาที่ผู้หญิงของพี่เดินเข้ามาหาพี่ บอกผมสิครับว่าพี่ทนได้ถ้าผมทำอย่างนั้นบ้าง”
พี่ผิดเองนะพี่โปรด ผิดเองที่บอกว่ารักผม ผิดเองที่บอกว่าผมพิเศษกว่าใคร ผิดเองที่บอกว่าผมสำคัญกว่าทุกคน ทำให้ผมเชื่อคำพูดของพี่แล้วหวังไว้มากว่าจะเป็นไปตามนั้น และตั้งแต่นั้นมาผมถึงทนกับพฤติกรรมแบบเดิมๆ ของพี่ไม่ได้
“ผมว่าเราห่างกันบ้างก็ดีนะครับ พี่คงยังไม่พร้อมจะมีใคร...อีกอย่าง...” ผมพูดยังไม่ทันจบก็โดนพี่โปรดจูบปิดปากอย่างไม่ทันตั้งตัว เป็นจูบที่รุนแรงเล่นเอาปากผมเจ็บไปหมด หน้าหล่อเหลาของพี่โปรดซับสีเลือด อากาศไม่ได้ร้อนและไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ควรอาย เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง - - พี่โปรดผละออก จ้องหน้าผม ตาคู่สวยเป็นประกายและดูน่ากลัว ผมคงยั่วแรงไปหน่อย หวังว่าพี่จะไม่ฆ่าผมตายคาเตียงนะครับ T_T
“พูดพอรึยัง” เสียงเย็นเยียบทำให้ผมไม่กล้าปากดีต่อ ได้แต่นิ่งไม่กล้าสบตากับพี่โปรด “พูดว่าเลิกอีกครั้งศพไม่สวยแน่”
ผมปิดปากเงียบ ไม่กล้าเสี่ยงกับสถานการณ์ที่ตอนนี้ตกเป็นรอง แต่เมื่อกี้เลือดมันเข้าตานี่ครับผมก็อยากจะพูดอะไรเจ็บๆใส่พี่โปรดบ้าง ครั้งนี้ผมโกรธมาก ไม่ใช่ความรู้สึกที่จะลบมันไปได้หมดในคืนเดียว แต่เพราะอีกฝ่ายมันทำเป็นทองไม่รู้ร้อนนั่นแหละที่ทำให้ผมบ้าขึ้นมาอีก
“อย่างี่เง่าให้มากนะปลื้ม พี่ไม่ใช่คนอดทนอะไรมาก”
เจ็บดีนะครับคำพูดของพี่ ผมจะจำใส่หัวไว้ละกัน “ครับ”
ผมเริ่มคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับพี่โปรดยังไงโดยไม่ต้องเสียใจอีก แต่ความคิดดีๆ ไม่มีผุดขึ้นมาในหัว ผมไม่ได้ไม่เชื่อในคำว่ารักของพี่โปรด ผมสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ ความเป็นห่วง และความสำคัญที่พี่โปรดมีให้ผมมากกว่าทุกคน แล้วผมยังต้องการอะไร? ทำไมความรู้สึกของผมมันถึงบอกว่ายังไม่พอ ผมคงกำลังโลภมากอยากให้พี่โปรดมองแต่ผมคนเดียวล่ะมั้ง ทั้งๆ ที่ตัวผมเองก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
“ถอดเสื้อผ้าออกสิครับ พี่อยากไม่ใช่เหรอ ผมไม่ว่าอะไร มาสิครับ”
คนที่ไม่มีใครต้องการอย่างผมคงให้ความสุขพี่ได้แค่นี้ เพราะผมรู้ว่าผมยังดีไม่พอสำหรับพี่หรอกครับ...
.
.
.
ผมลังเลใจอยู่นานว่าจะกดกริ่งหน้าบ้านของคุณกิมดีไหม ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว ผมขับรถออกจากคอนโดฯมาตั้งแต่สี่โมง ขับไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะไปไหน คิดถึงหน้าคุณเฟรนขึ้นมาได้ก็ตรงมาที่นี่เลย แต่ก็ไม่รู้จะแบกหน้ามาที่นี่ด้วยธุระอะไรดี เพราะมันดูแปลกสำหรับคนอย่างผมที่ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับเพื่อนฝูงเท่าไหร่ และก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครอยู่บ้านไหม เอาไงดีนะ...
“อ้าว ไอ้ปลื้ม มายืนเอ๋ออะไรตรงนี้วะ?” คุณกิมในชุดเสื้อกีฬากางเกงบอลถามผมด้วยสีหน้างงๆ ประตูรั้วที่ถูกเปิดออกจนกว้างทำให้ผมรู้ว่าคุณเปรมกำลังจะขับรถออกไปข้างนอก
“ผมมาเที่ยวครับ” ผมตอบ “แล้วนี่จะไปไหนเหรอครับ คุณเฟรนล่ะ”
“จะไปเตะบอลกับพวกไอ้เปรม เฟรนอยู่ข้างในน่ะ เข้ามาก่อนสิ”
“ผมเอารถไปจอดข้างในได้มั้ยครับ”
“อือ เอาเข้ามาเลย”
ผมรีบไปขึ้นรถแล้วขับเข้ามาจอดในบริเวณบ้านคุณกิม คุณกิมสำรวจรถที่ผมขับอยู่สักพัก หน้าตายิ้มกริ่มอย่างรู้ทันแต่ก็ไม่ถามอะไรก่อนจะตะโกนบอกคุณเฟรนว่าผมมา แล้วผมก็ถูกลากเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้คุณเฟรนกำลังป้อนนมให้ไอ้เจ้ยอยู่
“อ้าว! ไอ้ปลื้ม ร้อยวันพันปีไม่โผล่หน้ามา มึงดูลูกกู โตวันโตคืน อิอิ” คุณเฟรนร้องทักผมด้วยความดีอกดีใจก่อนจะชูตัวไอ้เจ้ยให้ผมดู “ฝากลูกกูแป๊บ จะไปเอาน้ำมาให้”
คุณเฟรนหายเข้าไปในครัวส่วนผมก็รับไอ้เจ้ยมาอุ้มพร้อมกับจับขวดนมยัดปากมัน เป็นจริงดังว่าครับที่ไอ้เจ้ยมันโตขึ้นเพราะตัวมันหนักมาก เสื้อแบรนด์ดังที่มันใส่อยู่ก็ราคาแพงกว่าเสื้อที่ขายตามตลาดนัดของผมซะอีก - - วาสนาผมน้อยกว่ามันต้องทำใจ - - ไม่นานคุณเฟรนก็กลับมาพร้อมน้ำส้มหนึ่งแก้วและคุกกี้อีกจานใหญ่ ไอ้เจ้ยดิ้นพล่านออกจากตักผมไปหาคุณเฟรน คลอเคลียอยู่กับตีนของแม่มันอย่างน่าหมั่นไส้
“ทะเลาะกับเสี่ยมาเหรอวะ?” คุณกิมถามพลางมองหน้าผม ผมส่ายหน้าแล้วยกน้ำส้มที่คุณเฟรนเอามาให้ขึ้นจิบ
“เปล่าครับ แล้วนี่คุณกิมไม่รีบไปเตะบอลกับพวกคุณเปรมเหรอครับ” ผมปฏิเสธแล้วพูดปัดไปเรื่องอื่น
คุณกิมมองหน้าผมอย่างสงสัย ก่อนจะตอบว่า “เดี๋ยวไป มึงสนใจไปด้วยกันมะ?”
“ไม่ล่ะครับ ผมว่าจะมาชวนคุณเฟรนไปกินเค้กร้านพี่แข”
“ไปๆ” คุณเฟรนตอบกลับมาทันที “ไอ้กิม มึงเอาลูกเจ้ยกูไปให้ไอ้ฟีนด้วย”
“ไอ้ฟีนมันจะไปเตะบอลกับกู มึงก็เอาลูกมึงไปด้วยสิ”
“ไม่เอา มึงเอาไปให้แฟนไอ้ฟีนดูให้ก็ได้ ยังไงมันก็เอาแฟนมันไปเตะบอลด้วยอยู่แล้ว”
“ลูกมึงนี่สร้างความลำบากให้คนอื่นจริงนะ” คุณกิมบ่น แต่ก็โดนคุณเฟรนเตะเข้าที่หน้าแข้ง
“มึงก็พ่อมันนะ หัดรักมันซะบ้างสิ”
“ลูกชู้สิไม่ว่า เอาไปให้พ่อติ๊กมันโน่น”
“หาเรื่องเหรอไอ้สัด”
ผมได้แต่มองคนนั้นทีมองคนนี้ทีอย่างไม่รู้จะทำยังไง ปัญหาครอบครัวนี่ไม่อยากจะยุ่งจริงๆ ครับ แต่เถียงกันไปก็เท่านั้นเพราะสุดท้ายคุณกิมก็ยอมพาไอ้เจ้ยไปอยู่ดี ผมว่าไอ้หมูนี่น่าจะโดนฆ่าทิ้งไปซะรู้แล้วรู้รอด มันเป็นตัวปัญหานะครับเนี่ย ที่ทะเลาะกันครั้งนั้นก็เพราะไอ้เจ้ยนี่แหละ -_-
“มึงรอกูแป๊บ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน นานๆ จะโผล่หน้ามาหากูซักที นึกว่าปิดเทอมจะไม่ได้เจอมึงซะแล้ว” คุณเฟรนพูดก่อนจะวิ่งไปชั้นบน
ระหว่างนั่งรอคุณเฟรน ไอโฟนในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้น ผมดึงออกมารับสายทันที
“ครับพี่”
“ปลื้มอยู่ไหน ออกไปข้างนอกเหรอ”
“ครับ ผมอยู่บ้านคุณเฟรน”
พี่โปรดเงียบไปนานจนผมนึกว่าวางสายไปแล้ว ผมคว้าคุกกี้มาเคี้ยวเพื่อรอว่าพี่โปรดจะพูดอะไร ระหว่างเราไม่เคยมีความเงียบที่น่าอึดอัดอย่างนี้มาก่อนเลย
“จะกลับกี่โมง”
“ผมยังไม่รู้ครับ”
“อืม งั้นก็อย่ากลับดึกนักล่ะ ซื้อข้าวมาให้พี่ด้วย”
ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “พี่โปรดไปหาอะไรกินสิครับ ผมไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่”
“ปลื้มกลับเมื่อไหร่พี่ก็ได้กินเมื่อนั้น แค่นี้นะปลื้ม พี่นอนต่อละ”
“ครับ งั้นผมจะรีบกลับ”
ทำไมผมยังห่วงคนอย่างนั้นอีกนะ ไม่ได้กินข้าวก็ช่างปะไร -*- แต่ตั้งแต่เช้าพี่โปรดก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่สิ เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไง ร้ายแรงสุดก็โรคกระเพาะ เฮ้อออออ ว่าที่คุณหมอทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองเลยวะ!
....................................................To be continue....................................................
วันนี้ไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะอึนจริงๆ *ก็แค่ปัญหาของคนคบกัน ไม่ดราม่านะจ้ะ*
มีแต่คนบอกไม่อยากดราม่า เอ้า!! พูดให้ชัดเจนไปเลยละกัน อีก 4 ตอน

เราไม่ได้ขู่นะ เราทำจริงๆ ไม่ว่านิยายเรื่องไหนก็ต้องมีบ้างแหละน่า มันต้องดำเนินไปตามไลน์ที่วางไว้
เราอนุญาติให้อ่านข้ามกันได้นะจ้ะ (นี่ก็สปอยดีจริง ถ้าไม่ดราม่าจะขำให้
ขำก่อนละกัน)

มาถึงตอนนี้...น้องปลื้มค่อยๆ ดัดนิสัยเสี่ยไปทีละน้อย อะไรที่ไม่ชอบก็พูดได้แล้วนะปลื้ม เพราะหนูได้เป็นตัวจริงแล้วนะจ้ะ
ไม่พอใจให้ตบมันค่ะ
ถีบมันก็ได้ เสี่ยไม่ตอบโต้ 