ตอนที่ ๒๑ นายเหมืองสิงห์ และเจ้าของสวนผลไม้นายกฤษณ์ ได้รับเชิญจากเจ้าบ้านให้อยู่ทานข้าวมื้อเที่ยงด้วยกัน แน่นอนว่าสองหนุ่มนั้นไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว บัวแทบจะนั่งเงียบอยู่ตลอดเวลา ย่าถามคำก็ตอบคำ ส่วนใหญ่มักจะยิ้มเจื่อนๆเสียมากกว่า หลายครั้งที่เขาแอบเผลอไปสบตากับนายเหมืองที่นั่งฝั่งตรงข้าม แต่ก็ต้องรีบหลบตา ส่วนนายเหมืองก็มีตักอาหารให้เจ้าย่า แล้วก็เลยถือโอกาสนั้นมาตักให้ครูบัวด้วย
ซึ่งเหตุการณ์บนโต๊ะทั้งหมดถูกบุคคลที่นั่งยิ้มนิ่มๆตรงหัวโต๊ะเก็บเป็นข้อมูล สายตาผ่านร้อนผ่านหนาวมองหลานตัวเองที่มีโอกาสได้เลี้ยงอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วพาให้นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งตอนที่พ่อของบัวพาแม่เขามาบ้านครั้งแรก หล่อนเองนั้นเฉยๆกับผู้หญิงที่พ่อเจ้าบัวพามา แต่ปู่เขานั้นไม่พอใจเอามากๆ ยิ่งลูกชายเอาอกเอาใจตักกับข้าวให้แม่เจ้าบัว ปู่เขาก็ยิ่งออกอาการไม่พอใจหนัก เหมือนกับเวลานี้...ต่างกันตรงที่คนทำตัวเหมือนพ่อเจ้าบัวคือนายเหมืองสิงห์ และหล่อนก็ไม่ใช่ปู่เขา
“จริงสิบัว เมื่อไหร่เขาจะเรียกบรรจุล่ะหลาน ใกล้ถึงหรือยัง” จู่ๆในช่วงที่ทุกคนเริ่มอิ่มกันแล้วเจ้าย่าก็ถามหลานชายขึ้น
“ก็น่าจะครับคุณย่า บัวไม่ได้ตามข่าวเลย ไม่มีอินเตอร์เนต” เพราะโทรศัพท์ที่แบตฯหมดยังไม่ได้รับการแก้ไข และอยู่ที่นี่บัวก็มีโน่นนี่ให้ทำอยู่เรื่อยๆ หลังๆเขาเลยลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท
“จริงสิ บัวให้เขาส่งจดหมายไปที่ไหนล่ะ” ย่าหมายถึงจดหมายเรียกตัวเข้าบรรจุรับราชการครู ซึ่งตัวครูบัวเมื่อนึกขึ้นได้ก็ทำหน้าเจื่อนมองหน้าคุณย่าเศร้าๆทันที
“บ้านที่กรุงเทพฯครับ” ซึ่งตอนนี้มันถูกไฟไหม้ไปแล้ว จดหมายส่งไปก็คงไม่ถึงมือผู้รับ
“อ่อ งั้นเดี๋ยวย่าไปติดต่อที่เขตฯให้ ให้เขาเปลี่ยนที่อยู่เป็นที่บ้านย่า”
“เอาอย่างนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวตอนบ่ายโมงผมจะไปส่งผลไม้ในเมืองอยู่พอดี คุณบัวไปพร้อมกันเลยดีกว่า” เจ้าของสวนผลไม้หนุ่มได้ช่องรีบเอ่ยปากบอก แล้วพอเห็นเจ้าย่าทำท่าจะพูดอะไรออกมาอีกชายหนุ่มเจ้าแผนการก็รีบขัดขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงนะครับเจ้า เดี๋ยวก่อนสี่โมงเย็นผมจะพาเจ้าบัวกลับมาส่งบ้านอย่างปลอดภัยแน่นอน”
กฤษณ์การันตี ขายกไปสะกิดเท้าเพื่อนให้รับมุขตามแผน ซึ่งเพื่อนกันแค่มองตาก็รู้ใจ ขนาดบัวเองยังรู้จุดประสงค์ของการไปส่งผลไม้ครั้งนี้ แล้วคนแก่อายุที่สุดบนโต๊ะจะไม่รู้หรือ
แต่ก็นะ รู้ตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เพราะในที่สุดกฤษณ์ก็สามารถพาบัวและนายเหมืองหนุ่มขึ้นรถตัวเองออกมาจากเรือนไม้ไทยสไตล์ล้านนาได้สำเร็จตอนบ่ายโมงตรงพอดี
“เอาล่ะ เดี๋ยวมึงเอารถกูไป จะพาไปไหนก็เรื่องของมึง แต่พาหลานเจ้าย่าเขาไปส่งก่อนสี่โมงตามที่กูบอกไปแล้วกัน บ้านใกล้เรือนเคียงกูไม่อยากมีปัญหา” กฤษณ์พูดพร้อมโยนกุญแจรถกระบะสีขาวมุกที่เขาเอาไว้ใช้ขับเข้าเมืองให้เพื่อนอย่างใจป้ำ
“..ขอบใจมาก” นายเหมืองหนุ่มตบบ่าเพื่อนเป็นการขอบใจ ที่สามารถทำให้เขาฉกบัวออกมาจากคุ้มได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาต้องเข้าหาบัวอย่างหลบๆซ่อนๆมาโดยตลอด ไม่สามารถเข้าหาอย่างเปิดเผยแบบตอนนี้ได้เลย
“เออ เดี๋ยวแยกกันในเมืองแล้วกัน กูไปกับรถคนงานนั่นนะ” นิ้วโป้งของเจ้าของสวนผลไม้ชี้ไปที่รถกระบะอีกคันลักษณะกลางเก่ากลางใหม่ ตรงกระบะด้านหลังมีลังไม้ที่บรรจุแน่นไปด้วยผลไม้สีส้มและสีแดงจนเต็ม
นายเหมืองยิ้มขอบคุณเพื่อนจากใจจริง เขายืนส่งเพื่อนไปคุมคนงานหยิบลังผลไม้มาวางเพิ่มก่อนแล้วจึงค่อยหันไปฉุดมือครูบัวให้เดินตามไปที่รถ
ตอนนี้ใครว่าอย่างไรบัวก็ว่าอย่างนั้น ชายหนุ่มจะฉุดเขาไปซ้ายไปขวาเขาก็จะไม่หือไม่อือ เพราะเอาจริงๆแล้วบัวก็แอบดีใจเล็กๆอยู่เหมือนกันที่ได้ออกมาข้างนอกคุ้มกับนายเหมืองสองคนแบบนี้
ถือว่าหนนี้พวกเขาสองคนเป็นหนี้คุณกฤษณ์เข้าให้เต็มเปา
“เอาล่ะ มีเวลาสามชั่วโมง เราคงต้องตักตวงเอาให้คุ้ม” นายเหมืองสิงห์หันใบหน้าด้านข้างมามองคนข้างตัวที่กำลังรัดเข็มขัดเรียบร้อย มือซ้ายก็ตบกระปุกเข้าเกียร์เพื่อเดินหน้ารถออกจากประตูรั้วไร่ของเพื่อน
“เอาจริงๆนะนายเหมือง บัวยังตั้งตัวไม่ทันอยู่เลยที่..จู่ๆคุณก็เข้าไปหาคุณย่าของบัวแล้วพูดแบบนั้นกับท่าน” บัวหมายถึงที่นายเหมืองรับคำคุณย่าและไม่มีอาการแตกตื่นสักนิดเมื่อคุณย่าท่านทำเหมือนจะรู้ความสัมพันธ์ของเขากับนายเหมืองแบบนี้
“พี่ก็เหมือนกัน แต่คุณย่าของบัวต่างหากไม่ธรรมดาเลย ดูท่าท่านจะหวงของท่านมาก ถึงขนาดให้คนตามข่าวบัวได้ขนาดนี้”
“นายเหมือง...ยังโอเคใช่มั้ย ไม่ถอดใจไปเสียก่อนนะ” อยากจะว่าบัวใจง่าย เข้าข้างผู้ชายมากกว่าย่าตัวเองแบบนี้ก็ยอมล่ะ เพราะที่ผ่านมาบัวยอมรับว่าตัวเองสนิทใจกับครอบครัวคนใต้ของนายเหมือง มากกว่าครอบครัวแท้ๆของตัวเองที่เหนือเสียอีก
อดีตที่ฝังใจ ต่อให้ลืมง่ายแค่ไหนมันก็ยังทิ้งรอยจางๆเอาไว้ทั้งนั้น ยังไงบ้านนั้นถึงจะดีกับบัวแค่ไหนแต่ก็ไม่ต้อนรับแม่ของบัว แล้วคนที่มีแต่แม่ที่เลี้ยงดูมาตลอดทั้งชีวิตก็เลือกข้างได้ไม่ยากเลยว่าเขาจะเลือกอยู่กับใคร
“อย่าดูถูกความรักของพี่ กลัวก็แค่บัวเองนั่นแหละ จะเปลี่ยนใจกลับไปเป็นคุณชายในเวียงทอง หลงลืมกระท่อมปลายนากับลูกชายของเราที่ในเหมือง” ชายหนุ่มแสร้งทำเสียงกึ่งน้อยใจในประโยคท้ายๆ ซึ่งบัวฟังแล้วมันน่าขย้อนนัก เมื่อมันไม่เข้ากับใบหน้าที่มีไรหนวดเป็นปื้นเขียวอยู่สองข้างแกม ดูมาดแมนสมชายตัวก็ใหญ่แบบนี้เลยจริงๆ
“แหวะ บัวคิดถึงสองแสบจะแย่แล้วเนี่ย ไม่ได้ยินเสียงไม่ได้คุยกันเลย” กว่านายเหมืองจะดอดเข้าห้องเขาได้ก็ดึกดื่นค่อนคืน ป่านนั้นเด็กๆคงนอนกันไปหมดแล้ว เขาเลยไม่มีโอกาสได้โทรหาเด็กๆ พูดคุยให้คลายความคิดถึงลงได้เลย “ไม่รู้จะโกรธมากมั้ยที่ครูตาหวานของแกหายออกมานานแบบนี้ กลับไปก็คงเปิดเทอมพอดี บัวก็คงไม่ได้อยู่สอนเด็กๆแล้ว”
น้ำเสียงเศร้าๆกับใบหน้าที่ก้มลงของบัวทำให้นายเหมืองต้องเอามือที่ว่างจากกระปุกเกียร์ไปช้อนใบหน้าเนียนนวลให้เงยขึ้น บัวไม่ได้ร้อง แต่แววตานั้นก็บ่งบอกความรู้สึกที่พูดออกมาว่ามาจากใจจริงๆ ความห่วงหาอาวรณ์ของบัวยังส่งมาถึงเขาที่เป็นพ่อของสองแสบเลย
“งั้นเดี๋ยวเราแวะที่เขตเสร็จแล้วพี่พาบัวไปซื้อโทรศัพท์ใหม่เลยแล้วกัน เดาว่าเจ้าย่าของบัวคงไม่อยากให้บัวติดต่อใครได้ แกคงกลัวว่าถ้าบัวติดต่อคนนอกได้บัวจะไปจากแก”
“ไม่ได้รู้เลยใช่มั้ยว่าคนนอกที่แกกลัวน่ะ น่ากลัวกว่าที่คิด” บัวพอได้สัพยอกนายเหมืองเอานิดหน่อยก็ใจคลายเศร้าขึ้น อย่างน้อยๆถ้ามีโทรศัพท์ เขาก็จะได้ส่งข้อความหาเด็กๆ หาป้าพุดได้ คงพอลดความกังวลกันไปได้บ้าง
ชายหนุ่มแย้มยิ้มบางเบาที่ริมฝีปาก ใบหน้าครูบัวเหมาะกับการประดับรอยยิ้ม ไม่เหมาะกับการประดับความเศร้าเลยจริงๆ ใบหน้านิ่งๆขรึมๆก็ดูดีไปอีกแบบ แต่เวลายิ้มกว้างจนเห็นฟันนั่นน่ารักที่สุด
“นายเหมือง ดูทางด้วย บัวไม่รู้หรอกนะว่าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯที่นี่อยู่ที่ไหน”
“งั้นบัวเปิด GPS แล้วบอกทางพี่นะ” ชายหนุ่มยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้บัวนำไปเปิดดูเส้นทาง บรรยากาศเก่าๆเหมือนตอนที่พวกเขาเคยนั่งรถด้วยกัน ดูแลกันและกันเหมือนก่อนนั้นเริ่มกลับมา บัวเอนหลังพิงเบาะผ่อนคลายตัวเองมากขึ้น พยายามปล่อยวางเรื่องของคุณย่าแล้วหันไปยิ้มให้นายเหมืองหนุ่มยามเมื่อชายหนุ่มหันมามองเขาอีกครั้ง
พวกเขาเสียเวลาที่สำนักงานเขตพื้นที่ฯพักหนึ่ง เพราะทางนี้ต้องประสานงานไปที่เขตฯในกรุงเทพฯ ที่ซึ้งบัวมีชื่อขึ้นบัญชีไว้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่นายเหมืองเองกังวลอยู่ เขาไม่ค่อยเข้าใจระบบข้าราชการครูเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ทางเขตฯเรียกบัวบรรจุ บัวก็จะต้องไปเป็นครูอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วเรื่องการโยกย้ายก็เป็นอะไรที่ยุ่งยาก บัวบอกว่าตอนนี้ระเบียบใหม่ออกมาต้องรอให้ครบถึง 4 ปีก่อนบัวถึงจะมีสิทธิ์เขียนขอย้าย
และเขาทนอยู่ห่างบัวถึงสี่ปีไม่ไหว นี่แค่ไม่กี่วันเขายังทนไม่ได้เลย
เมื่อเสร็จสรรพเรื่องที่เขตฯ ทั้งคู่ก็ตีรถเข้าไปที่สำนักงานตำรวจ เพราะนายเหมืองสิงห์ต้องการไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เรื่องที่ลูกน้องของนายอำเภอคนดังที่เพิ่งโดนกวาดล้างไปหนีมาลอยนวลกบดานอยู่ที่เหนือนี่ บัวไม่ได้เข้าไปฟังหรอกว่านายเหมืองคุยอะไรกับผู้กำกับบ้าง แต่ก็ใช้เวลาไม่นานนักนายเหมืองก็ออกมาแล้วพาบัวไปต่อที่ห้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน
พวกเขาใช้เวลาผ่อนคลายอยู่ในนั้นโดยมีจุดประสงค์หลักคือการหาซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้กับบัว เมื่อได้ของแล้วนายเหมืองก็ยังอิดออดไม่อยากกลับ เขาโฉบพาครูบัวไปหาซื้อของกินของใช้อื่นก่อน เพราะระยะทางจากห้างไปถึงคุ้มก็ไม่ไกลมากแล้ว ยังไงบัวก็สามารถกลับไปได้ทันเวลาแน่นอน
“อันนี้บัวซื้อฝากส้มดีกว่า ต้องอยู่เหมืองดูแลสองแสบกับป้าพุดสองคนคงเหนื่อยแย่” บัวหยิบของฝากที่จะให้เจ้าส้มลงตะกร้า แล้วมองดูของใช้ในครัวที่จะซื้อฝากป้าพุดฤทัยว่าขาดเหลืออะไรอีกบ้าง
“อันนี้ไอ้ส้มน่าจะมีแล้วมั้ง ผัวมันคงซื้อให้แล้วแหละ” นายเหมืองให้ความคิดเห็นพลางมองสิ่งที่บัวมองลงในตะกร้า บัวหันมองคนพูดเล็กน้อยก่อนจะหยิบของสิ่งนั้นวางกลับบนชั้นที่เดิม แล้วหยิบของใหม่มาพิจารณาอีก
“อันนั้นก็คงมีแล้ว บัวเลือกของของตัวเองเถอะ ไอ้ส้มน่ะผัวมันดูแลอย่างดี แต่พี่นี่สิอยากเป็นผัวที่ดีของบัวบ้างนะ” นายเหมืองจบคำพูดทิ้งไว้อย่างมีนัยยะสำคัญ และแน่นอนว่าทำให้บัวใบหน้าเห่อร้อนจนแทบลุกไหม้เป็นภูเขาไฟระเบิดเลยทีเดียว
‘ผัวที่ดีของบัว’ กล้าพูดเนอะ... แต่เอาเถอะ คนเหมืองพูดห่าม หยาบแต่จริงใจ แบบนี้บัวรับได้อยู่
นายเหมืองเดินตามคุณครูหนุ่มเลือกซื้อของไปทั่วซุปเปอร์มาเก็ต และระหว่างที่เดินนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆไปด้วย อาการเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลาทำให้บัวไม่ค่อยเข้าใจ ยิ่งตอนที่ขับรถกลับก็ยิ่งแล้วใหญ่ มีหลายครั้งนายเหมืองเร่งเครื่องแซงรถเร็วทั้งที่ไม่จำเป็น และนั่นทำให้บัวเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นแล้ว
“นายเหมือง เกิดอะไรขึ้น มีอะไรที่บัวควรรู้มั้ย” ถ้าให้เดาคงจะเกี่ยวกับเรื่องของนายอำเภอ ผู้ซ่อนเบื้องหลังเป็นเจ้าพ่อวงการค้าไม้เถื่อน แล้วอาศัยชุดสีกากีของตัวเองอำนวยความสะดวกให้เกิดการส่งออกไม้เถื่อนไปประเทศเพื่อนบ้านอยู่เกือบสิบปีนั่นแน่ๆ เห็นนายเหมืองเคยเปรยให้ฟังว่าสาเหตุที่มาเจอบัวที่เหนือได้เพราะตามแกะรอยลูกน้องของนายอำเภอที่หนีรอดจากการจับกุมมาอยู่ที่นี่
“พี่คิดว่ามีคนกำลังขับรถตามเรามา” นายเหมืองบอกก่อนจะเหยียบเบรกเพื่อหักรถเลี้ยวซ้ายกะทันหัน ก่อนจะตัดสินใจเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆทางขวาต่อ เมื่อเขาทันเหลือบเห็นว่ามันกลับไปต่อกับถนนหลักได้บนหน้าจอจีพีเอสหน้ารถ
“ใครครับ ใช่ลูกน้องพ่อคุณติรกาหรือเปล่า” บัวเหลียวหลังมองหลังรถในทันที แต่ก็ไม่เห็นมีรถคันไหนที่ผิดสังเกต แล้วเมื่อมองไปที่คนขับรถก็เห็นกล้ามแขนและแผ่นหลังที่ผ่อนคลายลงแล้ว
“อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ บัวนั่งดีๆ พี่จะรีบขับพาบัวกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด” นายเหมืองหนุ่มเอ่ยพร้อมกับจับเกียร์เพื่อเร่งคันเร่งพารถของกฤษณ์ให้กลับไปถึงเรือนคุณย่าของบัวโดยเร็ว
บัวจับเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น แอบหลับตาบ้างบางช่วงที่นายเหมืองแอบขับแบบเสียวไส้ แล้วเมื่อถึงบ้านเรียบร้อย บัวก็ถูกชายหนุ่มร่างใหญ่คว้าแขนแล้วพาลากไปพบเจ้าย่า แต่เมื่อเจอหน้าบัวกลับถูกบังคับให้ยืนรออยู่หน้าห้อง ส่วนตัวเองขอเข้าไปคุยกับเจ้าย่าเป็นการส่วนตัว
การรอคอยโดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้นั้นมันเหมือนคนหูหนวกตาบอดไม่มีผิด บัวไม่ชอบเลยแต่ก็ต้องทำใจ เพราะบัวเชื่อใจนายเหมือง และบางเรื่องที่นายเหมืองยังไม่อยากให้บัวรู้ เขาก็จะไม่อยากรู้...ตอนนี้
คนที่เดินออกมาก่อนคือคุณย่าของบัวที่ยังแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนเดิม แต่สีหน้าตึงและรอยราบเรียบบนใบหน้าบ่งบอกว่าเรื่องที่คุยกับนายเหมืองเมื่อสักครู่ไม่น่าใช่เรื่องที่ดี
“บัว...ห้องรับรองแขกตรงใกล้ๆห้องหลานยังว่างอยู่ บอกให้ทับทิมหรือใครสักคนไปช่วยจัดการให้เรียบร้อยก่อนมื้อเย็นนะจ๊ะ”
“ห๊ะ เอ่อ...ครับ จะมีแขกมาพักเหรอครับ”
“จ่ะ เจ้านายของหลานเขาจะมาอยู่กับเราสักระยะ” คนเป็นผู้ใหญ่ในที่นั้นเอ่ยบอกบัว มุมปากกระตุกยิ้มเล็กๆ ไม่คิดว่าเจ้าของเหมืองคนนี้จะหาทางเข้าใกล้หลานชายของเธอได้ไวขนาดนี้
หล่อนมองใบหน้าตกตะลึงของหลานชายแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ห้องทำงานของหล่อนควรจะเป็นที่ที่หล่อนควรไปตอนนี้
บัวมองตามแผ่นหลังของคุณย่าที่เดินลับหายไปตรงหัวมุม แล้วถึงค่อยเบนมาหาคนที่คงจะช่วยตอบคำถามของเขาได้ทั้งหมด
“บัวรู้สึกว่า...เราคงมีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยใช่มั้ยครับ” คุณครูหนุ่มยกมือกอดอก มองอีกฝ่ายอย่างมาดมั่น
“ก็แค่สถานการณ์พาไปน่ะ” ชายหนุ่มผู้เป็นแขกของบ้านทำเดินลอยหน้าลอยตาเจ้าของบ้านไปทางห้องที่คุณย่าเพิ่งยกให้สดๆร้อนๆ เขาน่ะแอบดอดเข้าบ้านนี้จนเริ่มคุ้นชินเส้นทางยิ่งกว่าเจ้าบ้านอย่างบัวเสียอีก
“เฮอะ สถานการณ์พาไปให้ฉวยโอกาสเอาน่ะสิ” บัวว่า...บัวพอจะเดาได้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้องเมื่อครู่นี้น่ะ
---------------------------------------------------
ห้องพักแขกมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมภาคเหนือแฝงเอาไว้ทุกจุดอย่างกลมกลืน ตุงถูกนำมาตกแต่งแซมอยู่ในแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนตั่งเล็กๆข้างหัวเตียง ร่มกระดาษคันเล็กและภาพวาดที่แขวนตรงผนังเป็นรูปวัดชื่อดังที่เชียงราย บวกกับกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้เมืองเหนือที่บานตอนกลางคืน ทำให้แขกพิเศษที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าพักอย่างกะทันหันรู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย แล้วยิ่งในอ้อมแขนของเขามีหลานชายของเจ้าของบ้านนอนเอนพิงอกอยู่ด้วยแล้วนายเหมืองก็ยิ่งไม่อยากลุกออกจากเตียงไปไหนเลย
คืนนี้เป็นคืนแรกที่บัวกับเขาสามารถอยู่ร่วมห้องเดียวกันได้โดยไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆอีก ใจหนึ่งบัวก็แอบสบายใจ แต่อีกใจก็รู้สึกละอาย ที่ตัวเองมานอนอิงแอบกับผู้ชายร่างสูงใหญ่อยู่ในห้องพักแขกที่คุณย่ายินยอมอนุญาตให้เปิดใช้ได้แบบนี้
แต่เอาเถอะ...ความสุขไม่ใช่ว่าจะอยู่กับเราได้นาน บัวขอเก็บช่วงเวลาดีๆในตอนนี้เอาไว้ให้นานกว่านี้อีกหน่อยก็แล้วกันนะครับคุณย่า
“คุณเล่าให้คุณย่าฟัง แล้วท่านก็อนุญาตให้พักที่นี่ได้เลยเหรอ”
“..ใช่ ทำไมเหรอ”
“มันดูง่ายจัง”
“...” นายเหมืองไม่ได้กล่าวอะไรตอบกลับ นอกเสียจากเอียงหน้าไปจูบหน้าผากคนในอ้อมแขนเบาๆ
ไม่มีอะไรง่ายทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอ้างถึงความปลอดภัยของบัว บวกกับใส่สีตีไข่เรื่องที่มีคนตามพวกเขาวันนี้ให้มันโอเวอร์อีกนิด คุณย่าก็คงยังไม่ยอมหรอก
“แล้วไม่ดีรึไง ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้โดยที่ไม่มีใครสงสัย”
“คิดว่าบัวแคร์เหรอถ้ามีคนสงสัย บัวจากบ้านนี้ไปนานมาก ความผูกพันที่มีตอนนี้ บอกตามตรงว่านอกจากคุณย่าแล้วบัวก็ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นน้อยมากจริงๆ”
“ยกเว้นผมกับเด็กๆนะที่รัก” เสียงบอกเบาๆเอ่ยขึ้นที่ข้างหู บัวหันนอนตะแคงข้าง ซุกแก้มเข้ากับอกอีกฝ่าย มือก็กอดแขนของนายเหมืองเอาไว้
“..คิดถึงไลเกอร์กับไทกอน” พอพูดถึงเด็กๆมันก็เกิดคิดถึงขึ้นมาจนหยุดไม่อยู่ นายเหมืองก้มลงมองคนที่ครางงึมงำอยู่กับอกเขา ชายหนุ่มนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้คุณครู
“ก็คุยสิ พวกเขาก็คงกำลังคิดถึงครูตาหวานจนเจ้าส้มปลอบไม่อยู่แล้วแน่ๆ”
รอยยิ้มมุมปากจุดขึ้นเบาๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าของเจ้าส้มกับป้าพุดฤทัยที่ป่านนี้คงปวดหัวกันไปทั้งบ้านแล้ว
ครูบัวรีบคว้าโทรศัพท์แล้วกดโทรออกตรงชื่อที่บันทึกไว้ว่า ‘บ้าน’
หนึ่งนาทีให้หลังก็มีแต่เสียงคุยระหว่างครูบัวกับเด็กๆดังฟุ้งทั่วห้องไปหมด เดี๋ยวก็เล่าไปหัวเราะไป เดี๋ยวก็สลับไปเศร้าๆบ้าง แต่โดยรวมๆแล้วนายเหมืองก็ฟังเพลินดี
...และเขาก็คิดว่ามันคงจะเพลินกว่านี้ ถ้าเขาได้อยู่ท่ามกลางครูบัวและเด็กๆแบบตัวเป็นๆ
---------------------------------------------------------
วันต่อมา มีตำรวจระดับผู้ใหญ่นายหนึ่งพร้อมลูกน้องเดินทางมาที่เรือนไม้ของเจ้าย่า บัวและนายเหมืองได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมฟัง เพราะเรื่องนี้มันดันมาเกี่ยวข้องกับตัวของบัวและคุณย่าของบัวโดยตรง
“เมื่อคืนหลังจากคุณสิงห์โทรเล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้ผมฟัง ผมเลยให้ลูกน้องไปเปิดดูกล้องวงจรปิดบนถนนช่วงที่คุณสิงห์บอกว่าโดนขับตาม แล้วผมก็พบว่าพวกเขาน่าจะเริ่มตามพวกคุณมาตั้งแต่อยู่ในห้างแล้ว”
นายตำรวจใหญ่ชี้แจงเหตุการณ์ให้ฟัง ขนแขนของบัวลุกพรึ่บขึ้นมาทันทีเมื่อจู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนมีอันตรายเข้ามาอยู่ใกล้ตัวแต่เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
“ผมมีภาพที่ถ่ายได้จากกล้องมาให้คุณบัวกับคุณสิงห์ช่วยดู ว่าใช่ลูกน้องของนายจักรกฤษณ์คนที่คุณบอกว่าหนีมากบดานที่นี่หรือเปล่า”
นายตำรวจใหญ่ยื่นกระดาษเอสี่สามใบให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขารับไปดู นายเหมืองเป็นคนยกมาถือไว้ส่วนบัวนั้นชะโงกหน้าเข้าไปมอง
ภาพแผ่นแรกและแผ่นที่สองเป็นภาพซูมจากกล้องวงจรปิดภายในห้างสรรพสินค้าที่บัวเพิ่งไปมา ส่วนภาพที่สามเป็นรูปรถคันที่ขับตามนายเหมืองมาตอนขากลับ นายเหมืองหยิบรูปที่สามไปดูดีๆ ก่อนจะหันไปคุยกับนายตำรวจใหญ่คนนั้นว่าใช่รถคันที่เขาเห็นจริงๆ ส่วนบัวค่อนข้างชะงักมืออยู่กับรูปที่สอง ชายสองคนสวมแว่นตาดำ ชุดเสื้อสีดำเทายืนหลบมุมเสาอยู่ แต่แขนของคนๆหนึ่งที่โผล่พ้นเสื้อออกมามันทำให้บัวหรี่ตาเพราะกำลังเค้นความคิดของตัวเองอยู่ว่า ลายรอยสักที่เห็นนี่มันคุ้นๆ
“รูปนี้มีอะไรหรือบัว” คนเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในที่นั้นเอ่ยถามหลานชาย เมื่อหล่อนสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของบัวเกิดขึ้น
“ผม...คิดว่าผมจำรอยสักนี้ได้ รอสักรูปแปดเหลี่ยมบนแขน เหมือนกับรอยสักบนแขนของพวกคนลักลอบตัดไม้นั่นเลยครับ” ประโยคหลังบัวหันไปมองทางนายเหมือง วันนั้นคนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์เดียวกับเขาคือคนคนนี้ บัวยื่นรูปไปให้นายเหมืองดูพร้อมชี้ให้นายตำรวจใหญ่ดูตรงจุดที่เขาบอก
รูปค่อนข้างเลือนลางแต่ก็พอมองออกว่าเป็นลายสักง่ายๆรูปแปดเหลี่ยม
“...แสดงว่าคุณบัวสวรรค์...คุณกำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ” นายตำรวจใหญ่หันไปบอกลูกน้องให้โทรเช็คกับขนส่งจังหวัดเพื่อเช็คป้ายทะเบียนและสั่งตรวจค้นรถทุกคันที่มีลักษณะเหมือนรถคันดังกล่าว รวมไปถึงตรวจดูกล้องวงจรปิดต่อเพื่อหาทางว่ารถคันนั้นหนีต่อไปทางไหน จากนั้นจึงหันมาแจ้งคุณย่าของบัวด้วยท่าทางจริงจังขึ้น “เจ้าย่าครับ ผมทราบว่างานแซยิดของเจ้ามีความสำคัญมาก แต่ผมอยากจะให้ระงับไว้ก่อน จัดตอนนี้มันไม่ปลอดภัยแล้ว ถ้าพวกมันถึงขนาดกล้าตามหลานเจ้าขนาดนี้”
“แต่ดิฉันเกรงว่ายกเลิกตอนนี้มันคงไม่ได้แล้ว เพราะคำตอบรับของท่านนายพลฯ ท่านผู้ว่าฯ รวมไปถึงบรรดานายกสมาคมต่างๆตอบกลับมาหมดแล้ว และคุณก็คงทราบดีว่างานประเภทนี้มันไม่ใช่แค่งานเลี้ยงวันเกิดธรรมดาๆ”
ในที่นี้นั้นคุณย่าหมายถึงว่างานของเธอนั้นเป็นงานที่รวมบุคคลสำคัญมาอย่างมากมาย และแน่นอนว่าการนัดดูตัวเอย นัดเจรจาธุรกิจเอยก็จะต้องมีตามมา และดูจากการตอบรับมางานนี้ของเธอที่มากเป็นพิเศษแล้วการยกเลิกงานนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
นายเหมืองสิงห์เลิกคิ้วมองครูบัวด้วยแววตาสงสัย เขาไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าเร็วๆนี้จะมีงานแซยิดคุณย่าของบัว
“แต่งานนั้นจะมีคนเข้าออกเยอะมาก ผมเกรงว่าการรักษาความปลอดภัยอาจไม่ทั่วถึง” นาทีนี้ไม่มีการอ้อมค้อม นายตำรวจใหญ่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา แน่นอนว่างานที่มีคนใหญ่คนโตมาเยอะนั้นจะมีการเพิ่มการคุ้มกันมากเป็นพิเศษ แต่ถึงจะป้องกันมากเป็นพิเศษแค่ไหน...อะไรจะเกิด มันก็เกิดขึ้นได้อยู่ดี
“ถ้าคุณยืนยันว่าสองคนที่เห็นคือลูกน้องของนายจักรกฤษณ์จริง สิ่งที่ผมได้รับรายงานมาก็ค่อนข้างตรง เพราะคนที่แจ้งเบาะแสมาบอกว่ามีคนสี่คนอยู่ในบ้าน ผู้ชายสาม ผู้หญิงหนึ่ง...แล้วก็...”
“เดี๋ยวนะครับท่านรอง เมื่อกี๊ท่านบอกว่ามีผู้หญิงด้วยเหรอครับ” นายเหมืองสิงห์ถามย้ำ และทางนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ก็พยักหน้าตอบรับ
“ครับ คิดว่าคงเป็นลูกสาวของนายจักรกฤษณ์ แต่เดี๋ยวผมจะโทรประสานกับตำรวจในท้องที่ดูอีกทีว่ามีใครบ้างที่หนีรอดจากการจับกุมในครั้งนั้นมาได้ งานนี้เบื้องหลังเกี่ยวกับคนมีสี ทางผมเองก็ทำงานยากอยู่เหมือนกัน แต่ทางข้างบนก็เปิดทางเต็มที่นะ...”
การสนทนาโต้ตอบระหว่างคุณตำรวจ นายเหมืองสิงห์ และคุณย่ายังคงดำเนินต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนที่กลุ่มนายตำรวจจะขอตัวกลับ แต่ทว่าบทสนทนาหลังจากนั้นบัวไม่ได้รับรู้เข้าสมองเลยว่าเขาสรุปกันว่ายังไง เพราะบัวมัวแต่นึกถึงหน้าผู้หญิงคนที่ถูกพูดถึง ลูกสาวของนายอำเภอคนนั้น ก็คือคนเดียวกันกับที่เคยตามจีบนายเหมือง แล้วก็เคยมีเรื่องกับเขามาก่อนนี่นา
...คุณติรกาคนนั้น ก็อยู่ที่นี่ด้วยอย่างนั้นน่ะหรือ...?
_____________________________________
รถตู้คันสีขาวจอดลงที่หน้าตัวอำเภอ สองผู้ใหญ่กับสองเด็กลงมาจากรถตู้ โทรศัพท์มือถืออยู่ในมือของผู้ใหญ่คนที่ตัวใหญ่ที่สุด เขาพยายามที่จะติดต่อไปทางปลายสาย แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด
“พี่พุฒ ถ้าโทรไม่ติดเราไปกันเองก็ได้มั้ง” ส้มถอดหมวกมาวีลมให้เด็กชายสองคนที่มีอาการบิดซ้ายบิดขวาเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกันใหญ่ หลังจากต้องทนนั่งรถตู้จากสนามบินมาพักใหญ่
“น้าโส้มมม เกอร์ปวดฉี่” เด็กน้อยคนพี่กระตุกมือคนที่พาเขานั่งรถมา แล้วเอามือกุมเป้ากางเกง ยืนขาเบียดนิดๆเพื่อยืนยันอาการอยากเข้าห้องน้ำแบบสุดๆของตัวเอง
“โอเคๆ งั้นพี่พุฒ ส้มพาไลเกอร์ไปเข้าห้องน้ำที่ปั๊มตรงนั้นก่อนนะ ไทไปด้วยมั้ย” ส้มถามเด็กอีกคนที่ยืนบิดซ้ายบิดขวาอยู่ใกล้ๆพี่ ทว่าไทกอนกลับส่ายหน้าให้แล้วบอก
“ไทอยากรีบไปเจอพ่อกับครูตาหวานอ่ะน้าส้ม”
“ก็กำลังจะพาไปอยู่นี่แหละ เอ้า...ไปฉี่กับน้าส้มก่อนไป เดี๋ยวพี่ไปถามคนแถวนี้พลางนะว่าจะขึ้นรถอะไรไปที่สวนได้บ้าง”
ส้มทำมือโอเคให้แฟนหนุ่ม ก่อนจะจับจูงมือเด็กซ้ายขวาไปทางปั๊มน้ำมันที่เห็นห่างออกไปไม่มาก เหลียวมองชายหนุ่มร่างสูงก็เห็นเดินไปที่วินมอเตอร์ไซค์แถวนั้น ส้มก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วมุ่งพาเด็กๆเดินไปเข้าห้องน้ำที่ปั๊ม
การจัดการเด็กวัยกำลังซนสองคนที่ถึงแม้จะพูดรู้เรื่องอยู่บ้างแต่ก็ทำเอาส้มแทบจะหมดแรง เพราะทั้งสองเสือมุ่งมั่นที่จะก่อสงครามกลั่นแกล้งกันอยู่ตลอดเวลา พอออกมาจากห้องน้ำแล้วเจอหน้าแฟนยืนรออยู่ส้มก็อยากจะล้มลงไปทิ้งตัวในอ้อมแขนล่ำๆนั่นแล้วตีขาไปมานัก
“พี่พุฒ! รีบพาสองแสบนี่ไปคืนพ่อแม่เขาเถอะ ส้มไม่ไหวแล้ววว...”
“ฮ่าๆ เออๆ ก็ทนสองแสบรบเร้าไม่ไหวเองนี่หว่า”
“เฮ้ย อย่าโยน...นายโน่นที่เห็นดีเห็นงามให้เอาเด็กไปเกลี้ยกล่อมว่าที่คุณยายให้ใจอ่อนน่ะ”
“ครับๆ ไม่เถียงแล้ว ไปกันเลยดีกว่า เห็นว่าต้องขึ้นสองแถวต่อเข้าไปได้ มันผ่านหน้าสวนพอดี”
สองผู้ใหญ่จับจูงมือเด็กกันคนละคน พาเดินข้ามถนนไปอีกฟาก ตรงนั้นมีรถสองแถวจอดรอคิวอยู่สองคัน ทั้งสี่คนก็พากันขึ้นรถคันแรกเพื่อนั่งรอเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง
---------------------------------------------------------
นิยายรายปี มาแล้วค่ะ

ขอบพระคุณนักอ่านทุกคนนะคะ ^^