“โห...! ของครูตาหวานน่ากินจัง” ไทกอนชะโงกหน้าออกมาดู
“นั่นดิ ของเกอร์มันปนกันมั่วเลยอ่ะครู” ไลเกอร์ก็ผสมโรงทำด้อมๆมองๆกล่องข้าวในมือครูตาหวาน
“หืม จะแย่งข้าวครูกินเหรอ” บัวแกล้งทำเป็นพูด เด็กสองคนมีอาการเสียดายแต่ก็ส่ายหน้าให้ว่าไม่แย่งหรอก ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองข้าวกล่องของตัวเองแล้วเตรียมจะจ้วงกิน
“งั้น...จะกินกับครูมั้ยล่ะ เดี๋ยวครูป้อนให้...” บัวว่าอย่างใจดี สองแสบหันขวับ พร้อมทำประกายตาวิบวับ เด็กสองคนลุกนั่งพับเพียบพร้อมยื่นกล่องข้าวของตัวเองให้ครูตาหวานแล้วอ้าปากรออย่างใจจดใจจ่อ
“โตจนจะขึ้นป.6 กันอยู่แล้วนะ...ยังชอบให้คนอื่นป้อนให้อยู่อีกนะสองแสบ...” คนเป็นครูถึงปากจะบ่นแต่มือก็เอื้อมไปหยิบกระติกน้ำเปล่าออกมาเทล้างมือ วันนี้กับข้าวมีแค่ปลาทู ไข่ต้มแล้วผักชุบแป้งทอดกับข้าว แต่แค่นั้นมันก็เยอะแยะเหลือเฟือแล้วกับคนทั้งสาม
บัวเช็ดมือกับกระดาษทิชชู่จนแห้ง ก่อนจะใช้มือตัวเองนี่แหละ แกะเนื้อปลาคลุกกับข้าว เหยาะน้ำปลาใส่ผักกับไข่อย่างละนิดหน่อย ก่อนจะใช้นิ้วปั้นข้าวเป็นคำๆแล้วเอาป้อนใส่ปากให้เด็ก...สองแสบกินข้าวจากมือครูบัวกันอย่างอร่อยปาก กินข้าวกับปลาทูด้วยช้อนมันจะอร่อยได้ยังไง...ขนาดบัวเองโตจนป่านนี้แล้วก็ยังชอบให้แม่ใช้มือแกะปลาเอาคลุกข้าวป้อนให้ด้วยมืออยู่เลย...มันอร่อยกว่าใช้ช้อนเยอะ...
“ครูตาหวานนนน เกอร์เอาปลาเยอะๆ...จะได้ฉลาดๆ” ไลเกอร์ร้องขอ ก่อนจะอ้าปากรับข้าวคำต่อไปจากมือครูบัว
“ครูตาหวานนนน ไทก็เอาผักเยอะๆ...จะได้ฉลาดกว่าเกอร์” ไทกอนว่าบ้าง...คนพี่ได้ยินก็ค้อนขวับ ยื่นหน้ามาแย่งคำข้าวของคนเป็นน้องไปกินเองสบายใจเฉิบ...
“ง่ะ!!!! ครูบัวดูมันทำดิ!! ไลเกอร์นิสัยไม่ดี...เป็นพี่ไม่แบ่งปันน้อง!!” ไทกอนฟ้องงอแง
“ไม่เอาลูก ไลเกอร์เป็นน้อง ไม่เรียกพี่ว่ามันนะครับ...ส่วนไลเกอร์ คราวหลังไม่ทำแล้วนะลูก ข้าวน้องห้ามแย่ง...ไม่งั้นครูจะให้เกอร์อดขนมหวาน...”
“ง่ะ!!!! ครูบัวอ่า...ไม่เอาดิ อ่ะก็ได้...เกอร์ไม่แกล้งน้องก็ได้ งั้นตัวเอานี่ไป...เขาให้ผัก!!!” พร้อมกับที่พูดไลเกอร์ก็หยิบผักทอดในกล่องข้าวตัวเองที่วางอยู่บนตักครูบัวใส่ลงไปในกล่องข้าวน้อง ไทกอนยังมีอาการหน้าบึ้งแต่ก็แอบเหล่ตามองพี่ชายน้อยๆ
“เวลากินข้าวห้ามกัดกันสิลูก...คราวนี้ถ้าใครเริ่มทะเลาะก่อนอีกครูบัวจะงดของหวานกันทั้งคู่เลย” บัวว่าทีเล่นทีจริง เด็กมันก็รู้จึงแสร้งทำหน้าสลดกันอยู่แค่ครู่เดียวแล้วก็กลับมาเริงร่ากันใหม่อีกครั้งเมื่อบัวเริ่มป้อนคำต่อไปให้ใส่ปาก
ในระหว่างที่เด็กสองคนร่าเริงอยู่กับการแย่งกันกินข้าวจากมือครูบัวอย่างสนุกสนาน เสียงเยียบเย็นแหลมเล็กของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางถนนเส้นๆที่ทอดยาวมาถึงบ้านต้นไม้ทางด้านหลังว่า
“แหม...สนุกสนานกันดีจังเลยนะคะ ขอน้าบิวตี้ร่วมด้วยอีกคนได้มั้ยคะ น้องไลเกอร์ น้องไทกอน” ติรกาที่เดินเข้ามาตามเสียงหัวเราะของเด็กเอ่ยขึ้นด้วยความชิงชัง เมื่อมองภาพคนสามคนกำลังหัวเราะสนุกสนานเฮฮา มันเป็นภาพที่หล่อนใฝ่ฝันหาว่าจะได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนั้นสักครั้ง...แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสเลย
...แล้วแม่นี่เป็นใครกัน มาจากไหน จู่จะโผล่มาเป็นแม่ของไอ้เด็กแสบสองตัวนี่ได้ยังไง ทำไมหล่อนไม่เคยรู้เรื่องเลย...
“อ้าว...น้าตีลังกา มาได้ยังไงฮะ” ไทกอนหันมองคนต้นเสียงที่เข้ามาใหม่ตาขวาง แม่นี่อีกแล้ว...โผล่มาแต่ละทีไม่แคล้วต้องมีเรื่องให้เขาและไลเกอร์ต้องออกโรงทุกทีสิน่า
“แหม...เรียกน้าเสียเสียหายเลยนะคะ แต่ไม่เป็นไรหรอกน้าไม่โกรธ...ก็เด็กไม่มีแม่คอยสั่งสอนนี่นะคะ จะก้าวร้าวและไม่รู้จักมารยาทก็เป็นเรื่องปกติ...” ติรกาเอ่ยพลางปรายสายตามองครูบัวที่นั่งอยู่กลางวงล้อมของเด็กๆ สายตาไม่เป็นมิตรถูกส่งให้ไปแบบค่อนข้างจะเปิดเผย ไลเกอร์ฟังแล้วก็รีบเขยิบมานั่งขวางอยู่หน้าครูบัว เพราะถึงตัวเองจะเป็นแค่เด็กป.6 แต่ใช่ว่าพวกเขาสองคนจะไม่เข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น สำหรับพวกเขาสองคนนั้นค่อนข้างชินไปเสียแล้วกับการโดนว่ากระทบกระเทียบของผู้หญิงคนนี้ คงเห็นพวกเขาเป็นเด็กล่ะสิเลยไม่คิดว่าพวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ ‘พ่น’ ออกมา...
ทว่าไลเกอร์ที่ตั้งท่าว่าจะปกป้องไม่ให้ครูบัวต้องมารับรู้หรือยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ไปด้วยอีกคนก็ต้องตกใจ...เมื่อจู่ๆครูตาหวานของแกที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังก็วางกล่องข้าว เอามือเช็ดกับกระดาษทิชชู่ที่อยู่ข้างๆลวกๆแล้วก็เอามือมาสอดเข้าใต้รักแร้ไลเกอร์ แล้วยกออกไปวางไว้ข้างหลังตัวเอง พร้อมกับเอาอีกมือไปลากไทกอนให้ขยับไปนั่งรวมอยู่กับพี่ โดยที่เอาตัวเองมาบังเด็กสองคนไว้แล้วเงยหน้าไปยิ้มให้กับผู้มาใหม่ แล้วถามกลับอย่างสุภาพว่า
“จริงๆแล้วเด็กจะเกิดการเรียนรู้ปฏิกริยาตอบสนองจากผู้ใหญ่ที่อยู่รอบตัวนะครับ ใครมาดี...พวกแกก็จะดีตอบ แต่ถ้าใครมาไม่ดี เด็กจะโต้ตอบด้วยพฤติกรรมที่บ่งบอกว่าไม่พอใจเพื่อปกป้องตัวเอง ก็เป็นเรื่องปกตินะครับ...” บัวบอก ก่อนจะยิ้มแย้มให้อย่างมีอัธยาศัย ในขณะที่ผู้มาใหม่เริ่มขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินคำลงท้ายว่า ‘ครับ’ แถมยังตัดผมเสียสั้นเต่อ แล้วยังแต่งตัวปอนๆอีก
...นี่เมียใหม่นายเหมืองเป็นทอมเหรอเนี่ย! แถมยังกล้ามาต่อปากต่อคำกับหล่อนอีก...
...เห็นท่าทางหงิมๆไม่คิดว่าจะร้ายใช่เล่น...หนอย ไม่รู้ฤทธิ์เธอเสียแล้ว...
“พูดได้ดีนะคะ...แต่ถ้าไม่รู้จริง ก็กรุณาอย่าสอด...ดิฉันมั่นใจว่าดิฉันรู้จักครอบครัวนี้มานานกว่าคุณ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอคะ คนงานใหม่...ที่นายเหมืองจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงดูแลสองแสบนี่รึเปล่า ถ้าใช่...ก็กรุณารู้จักเจียมตัวเองอยู่ในขอบเขตเสียบ้าง...ไม่งั้นอนาคตมันจะลำบาก” ติรกาจงใจเอ่ยใส่หน้าใสๆของคนที่นั่งขวางอยู่ตรงกลางระหว่างหล่อนกับเด็กสองคน ความชิงชังปรากฏให้บัวเห็นอย่างเด่นชัด
แม้บัวจะไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้และไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เจ้าหล่อนมาก่อน..แต่จากคำพูดจาส่อเสียดใส่ลูกศิษย์ของเขาเมื่อครู่นี้ก็ทำให้บัวเริ่มตั้งตนเป็นปรปักษ์นิดๆกับคนตรงหน้าได้ไม่ยาก
“ครับ...ผมเป็นคนงานใหม่ เป็นครูสอนพิเศษของเด็กน่ารักสองคนนี้...” บัวหยุดเว้นวรรคไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเป็นป้องปากแล้วหันไปทำท่าอาเจียนอยู่ข้างๆ “เพราะฉะนั้นกรุณาอย่ามาพูดจาว่าลูกศิษย์ของผมว่าไม่มีใครสั่งสอนอีก...ถ้าจะด่า ก็ด่าครูอย่างผมโดยตรงเลยดีกว่า...อย่ามาพูดจาเอาเรื่องพ่อแม่ของเด็กมาเล่นแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างคุณไม่ควรจะทำ...”
บัวจ้องอีกฝ่ายที่มีอาการมองเขานิ่งค้างด้วยแววตาคมปราบ ปกติเขาไม่ค่อยจะมองใครหรือพูดจาอวดดีแบบนี้กับใครบ่อยนัก แต่กับผู้หญิงคนนี้ สัญญาณเตือนภัยมันดังก้องอยู่ในหัว ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มาดีทั้งกับเขาและสองแสบ เพราะฉะนั้นในฐานะครู ตัวเขาจะโดนว่าโดนด่าอะไรนั้นไม่เป็นไรเลย แต่อย่ามาแหยมกับลูกศิษย์ของบัวเด็ดขาด บัวรักของบัว บัวดูแลเด็กเหมือนลูกของบัวเองเหมือนที่แม่สอน เพราะฉะนั้นถ้าหวังจะมาทำอะไรลูกของบัว บัวไม่มีทางยอมแน่...
“แก...! ปากกล้านักนะ...!!! จะทำไม ก็แม่มันตายไปแล้ว...เด็กสองคนนี้มันก็เลยเป็นเด็กแม่ไม่สั่งสอนจริงๆนี่ ครูกี่คนๆก็เอามันไม่อยู่ ไม่มีใครเขาอยากทนอยากอยู่ใกล้ อยากสอนเด็กดื้อเด็กไม่ดีอย่างพวกแกสองคนหรอก รู้เอาไว้ด้วย...กรี๊ดดดด”
สิ้นประโยคที่คนพูดพูดพลางชี้หน้าคนฟังพลางก็เกิดเหตุการณ์ชลมุนขึ้นมาเล็กๆ เมื่อจู่ๆก็มีก้อนดินก้อนหนึ่งลอยข้ามหัวบัวไปชนเข้าดั้งจมูกคนทาปากชมพูแป๊ดเข้าอย่างจัง ก่อนที่มันจะตามมาด้วยระเบิดลูกดินอีกหลายระลอก พร้อมเสียงเล็กๆสองเสียงที่ดังประสานกันให้จังหวะโยนดินไม่มีติดขัด
“ไทๆ เอาตรงหน้าผากเลยๆ” ไลเกอร์เชียร์น้อง เขาปาไม่แม่นเท่าไหร่ เมื่อกี๊กะให้เข้าตรงรูจมูกแต่ดันปาไปเข้าปากซะงั้น
“โธ่เกอร์!! ทำปาไปลงคอเสื้ออ่ะ บอกว่าให้เข้าตรงคางไง ยายพุดบอกว่าเขาทำคางมาด้วย เอาให้เบี้ยวเลยเกอร์!!” ไทกอนก็เสริมพี่...
บัวมองอาการเข้าขากันดีของสองพี่น้องแล้วก็ได้แต่อึ้งในคราแรก ก่อนจะรีบวิ่งไปตะปบลูกปูสองตัวที่เริ่มวิ่งวุ่นหากระสุนก้อนดินพร้อมหนีครูบัวไปทั่วเสื่ออย่างสนุกสนาน ส่วนข้าศึกที่มารุกรานก็ร้องกรี๊ดวี๊ดว้ายยกใหญ่ ก่อนจะพ่ายศึกกระสุนก้อนดินไปอย่างราบคาบ เมื่อโดนกระสุนพุ่งยิ่งเข้าใส่ดั้งจมูกไปอีกสองนัดซ้อน...
“กรี๊ดดดดด ฝากไว้ก่อนเถอะพวกแก๊...ถ้าฉันเจอนายเหมืองเมื่อไหร่พวกแกไม่รอดแน่...กรี๊ดดดดด สกปรก! ไอ้เด็กบ้า...ไอ้...กรี๊ดดดดด”
“ฝากไว้หลายทีแล้วนะป้า...แล้วอย่าลืมมาเอาคืนเร็วๆน้า...” ไทกอนมีการโบกไม้โบกมือให้หญิงสาวในชุดสีแสบตาที่รีบวิ่งกระหย่องกระแหย่งจากไปพร้อมหิ้วรองเท้าส้นสูงเปื้อนดินไปอย่างร่าเริง ไลเกอร์วิ่งเข้ามาใกล้น้องชายพร้อมเอามือป้องปากตะโกนบอกออกไปอีกคน
“ฝากไว้นาน ระวังมันเน่านะป้า...อย่าลืมล่ะ!”
“ไลเกอร์! ไทกอน! ไม่เอาลูก...! ไม่ทำอย่างนี้...หนูเป็นเด็ก ทำร้ายผู้ใหญ่แบบนี้ไม่ดีรู้มั้ยครับ...” บัวรีบเข้ามาปราม กว่าจะวิ่งต้อนสองนายให้มารวมกันอยู่ในอ้อมแขนนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าเมื่อเห็นสองแสบหันกลับมามองเขาพร้อมพนมมือขึ้นแล้วยกขึ้นไหว้เขาอย่างนอบน้อมแล้วบัวก็โกรธไม่ลง
“ไลเกอร์ขอโทษครับ! / ไทกอนขอโทษครับ!” คำขอโทษเสียงดังฟังชัดดังมาจากสองหนุ่มน้อย บัวขมวดคิ้วมองอาการเด็กอย่างงงเล็กๆ ก่อนจะกางแขนออกกว้างแล้วพาโอบทั้งสองคนเข้ามากอดไว้แน่น
“ถ้ารู้ว่าไม่ดีก็ดีแล้ว...แต่อย่าทำแบบนี้อีกรู้มั้ยครับ คราวหลังถ้าเขามาอีกก็ให้รีบมาบอกครู บอกคุณพ่อ ไม่ก็ยายพุด...แต่เราอย่าใช้กำลังทำแบบนี้ มันเป็นอาการของเด็กเกเร รู้รึเปล่าครับ” บัวปลอบพลางสอน สองมือลูบหลังลูบไหล่เด็กน้อยสองคนที่กอดยึดเขาเอาไว้แน่น
“เกอร์รู้ครับว่ามันไม่ดี...แต่เกอร์ไม่ชอบที่ผู้หญิงคนนี้มาพูดว่าครูตาหวาน ครูตาหวานยังไม่ได้ทำอะไรเขาเสียหน่อย” ไลเกอร์พูดขึ้น
“ใช่ๆ ไทก็ไม่ชอบ...เขาว่าไทกับเกอร์น่ะไม่เป็นไรหรอก พวกผมชินแล้ว...แต่ไทไม่ชอบให้เขามาว่าครูตาหวานว่าครูไม่อยากทนสอนเด็กดื้ออย่างไทกับเกอร์...” คนเป็นน้องพูดบ้าง บัวจับแขนเด็กสองคนออกห่างจากตัวเพื่อจะได้มองตาเด็กได้ชัดๆ สองคนทำหน้าตูมพร้อมก้มหน้าเล็กน้อย ถ้าจะให้เปรียบเป็นสัตว์ ตอนนี้เด็กสองคนข้างหน้าเขานี่คงเปรียบเหมือนลูกหมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวโตๆสองตัว กำลังทำท่าหูลู่หางตก เหมือนเวลาโดนเจ้าของดุไม่ให้กินข้าวอย่างไรอย่างนั้นเลย
“ใครว่าครูไม่อยากทนไม่อยากสอนไทกอนกับไลเกอร์...อย่าพูดแบบนี้อีกนะครูก็น้อยใจเป็น...ครูหลงรักไทกอนกับไลเกอร์ตั้งแต่แรกพบ...เพราะฉะนั้นอย่าไปหวั่นไหวกับคำพูดของผู้หญิงคนเมื่อกี๊นี้อีก...เลือกเอาว่าจะเชื่อคำครูหรือคนเมื่อครู่ ถ้าเชื่อครูหนูสองคนก็ต้องอดทน...เอาชนะความโกรธของตัวหนูเองให้ได้...แล้วตอนนั้นแหละที่หนูจะชนะเขาได้อย่างแท้จริง” บัวบอก เห็นเด็กทำหน้างงๆอยู่บ้างแต่บัวก็ยิ้มให้ เด็กอย่างสองคนนี้ต้องอาศัยการย้ำทำย้ำพูด เด็กถึงจะจดจำและทำตามไปเอง
บัวเอามือปัดเศษดินเศษหญ้าที่เปื้อนตามชุดตามหน้าของลูกศิษย์ตัวเองออกให้ ก่อนจะพาเปลี่ยนเรื่องชวนคุยเรื่องอื่นไปว่า
“จริงๆแล้วครูก็ไม่ค่อยชอบเขาเหมือนกัน มีสิทธิ์อะไรมาว่าลูกศิษย์ครูแบบนี้ ครูรักของครูของครูนะ...เจอกันคราวหน้าครูจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายเหมืองเลยคอยดู” ถึงจะเตือนเด็กไปว่าให้เอาชนะความโกรธของตัวเองให้ได้ แต่พอบัวคิดย้อนคำพูดพวกนั้นอีกทีแล้วมันก็ยังอดรู้สึกเคืองอยู่นิดๆอยู่เหมือนกัน...การต้องเป็นลูกกำพร้าพ่อตั้งแต่เก้าขวบ ทำให้บัวเข้าใจความรู้สึกเด็กดี...ว่าการโดนว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องขำๆเลยซักนิด
“เอ้ยครูอย่าไปฟ้องพ่อเลยนะ...พวกเราไม่อยากให้พ่อเครียดเพิ่ม ตอนนี้พ่อก็เครียดเรื่องงานเหมืองจะแย่อยู่แล้ว” ไลเกอร์รีบยกมือขึ้นโบกปฏิเสธคำพูดครูตาหวาน ส่วนไทกอนพยักหน้าหงึกหงักรับคำพูดพี่
“ใช่ๆ จริงๆแล้วป้าคนเมื่อกี๊เขาชอบมาหาพ่อบ่อยๆ...บางทีมาไม่เจอพ่อ เจอกับพวกผมแทน เขาก็จะพ่นๆคำพูดพวกนั้นสองสามนาทีก็ไปแล้ว...ไทนะ เคยเอาหินไปกรีดรถ ให้พี่เม่นไปปล่อยลมยาง เอาร้องเท้าป้าแกไปซ่อน เอามดแดงไปใส่ที่ประตูรถ โหย...ครูรู้มะ ป้าแกอึดเหนือคนจริงๆ ยังย้อนกลับมาหาพ่ออยู่ได้...” ไทกอนว่า
“ช่ายๆ ตอนนี้พวกเกอร์ก็เลยเบื่อ ไม่รู้จะทำอะไรป้าแกดีแล้ว ก็เลยเฉยๆทนฟังป้าแกพ่นไม่กี่ประโยค แล้วค่อยเอาไว้ทบต้นทบดอกทีเดียวเวลามีโอกาสเหมาะๆดีกว่า...ฮี่ๆ”
“หา??” บัวเรียกชื่อเด็กสองคนนั้นแบบงงแตกเต็มขั้น รู้สึกตะลึงงันไม่น้อยกับวีรกรรมสุดแสบที่สองคนนี้หลุดบอกตัวเองออกมา ซึ่งมันทำให้ตอนนี้บัวรู้สึกว่าพฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้ที่แสดงออกกับสองแสบมันก็สมเหตุสมผลอยู่ ก็โดนไปเสียขนาดนั้นนี่นะ... “เอ่อ...สาบานนะว่าที่พูดมาน่ะพวกหนูทำลงไปจริงๆ”
“โหยยย สาบานเลยครู...จริงๆแล้วเรื่องนั้นน่ะแค่จิ๊บๆนะ ที่จริงแล้วยังมีมากกว่านี้อีกเยอะเลยล่ะครูตาหวาน...ตอนนั้นนะไทก็ยังเคย...”
“พอๆแล้วไทกอน...หนูทำหัวใจครูจะวาย...ทำไมซนได้ขนาดนั้นครับสองแสบ แล้วนี่...ไม่โดนคุณพ่อตีเอาเหรอครับ” บัวถาม สายตาจ้องมองสำรวจเด็กสองคนเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก...ที่ยังไม่เคยเจอฤทธิ์เด็กแสบกับตัวเองแบบนั้นเลย
“เรื่องนั้นครูไม่ต้องกังวลเลยครับ...” ไทกอนตอบกลับตาใส
“หมายความว่า...ไม่เคยโดนพ่อตีเลยเหรอ”
“โดนทู๊กกก...วัน ไม่เว้นวันหยุดราชการเลยต่างหากล่ะครับ” ไลเกอร์ตอบแทนน้องชาย พร้อมรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าที่ทำเอาครูบัวงงแตกรอบสอง...
“เด็กประหลาด...! โดนพ่อตีแล้วดีใจเนี่ยนะ” บัวเย้าสองแสบ เด็กสองคนยักไหล่ บอกการโดนพ่อตีคือกิจวัตประจำวันที่เมื่อก่อนจะขาดไปไม่ได้ เพราะไม่งั้นมันจะนอนไม่หลับ ตดไม่ออก...
เด็กสองคนหัวเราะขำกับท่าทางอึ้งกิมกี่ของครูตาหวาน ไลเกอร์หัวเราะเอิ๊กอ๊ากก่อนจะเอาหัวมุดท้องครูบัว ส่วนไทกอนคลานงุ้งงิ้งมานอนตักให้ครูบัวเกาคางให้ สองลูกเสือที่กลายเป็นลูกหมายิ้มหัวเราะสนุกสนานเคล้าเคลียคลอครูตาหวานกันอย่างร่าเริง...สิงห์ สุตนันท์ เจ้าของเหมืองหนุ่มที่ยืนแอบฟังอยู่เงียบๆข้างหลังบ้านต้นไม้อยู่พักใหญ่ยกมือขึ้นกอดอก เมื่อกี๊มีอยู่แว่บหนึ่งที่เขามองภาพลูกชายของเขากับครูบัวในตอนนี้ซ้อนทับกับภาพในอดีต เมื่อตอนที่ลูกชายคนเล็กอายุเพิ่งจะครบขวบ จำได้ว่าช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุด ครอบครัวพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูกชอบมานั่งที่ใต้ต้นปีบนี่ เขาจะชอบนอนบนเสื่อเงียบๆ มองดูภรรยาเล่นกับลูกสองคนไปเรื่อยๆอย่างมีความสุข...ซึ่งภาพนั้นก็ไม่ต่างไปจากภาพในตอนนี้เลย เพียงแต่ว่ามันไม่มีเขานอนอยู่ใกล้ๆบนเสื่อ มองสามคนนั้นเล่นด้วยกันเท่านั้นเอง...
ชายหนุ่มยืนคิดสะระตะอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจหมุนตัวกลับหลังจากไปเงียบ...ทิ้งเสียงหัวเราะร่าเริงเอาไว้ด้านหลัง...พร้อมกับความคิดบางอย่างที่มันเริ่มชัดเจนขึ้นมาในห้วงจิตสำนึก...
----------------------------------------------------------------------------
to be continue...
ตอนนี้ได้ข่าวเมืองไทยอากาศหนาว...อีกไม่นานหิมะคงตก...แล้วอย่าลืมเอามาฝากกันด้วยนะจ๊ะ จุ๊บุ
ปล.รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจาก...แพทตี้ เด็ดสะระตี่ อิอิ