ตอนที่ 38ภูธิป “กลับล่ะ” ผมเก็บของเสร็จก็เตรียมลุกทันที วันนี้พิเศษหน่อยตรงที่ผมต้องรีบ เพื่อไปรับใครบางคนที่สนามบิน ขืนช้าโดนงอนชัวร์
“วันนี้รีบจังน้า สงสัยมีนัดพิเศษ ฮุๆ...[โป๊ก!]...โอ๊ย! เดี๋ยวนี้ลงไม้ลงมือกับเพื่อนนะมึง” จัดไปเบาๆด้วยการทุ่มหนังสือลงบนหัวไอ้ฟู ไอ้เพื่อนรู้มากหนึ่งในไส้ศึกของไอ้ดำตูดหมึก
“เบสฝากบอกไอ้นนด้วยว่าอย่าลืมของฝาก อุตส่าห์เฝ้าแฟนให้ตั้งอาทิตย์ ถ้าไม่สมน้ำสมเนื้อ ครั้งหน้าอย่าหวัง” นี่ก็อีกคนไม่มีเก็บกั๊กกันแล้ว ยอมรับมาเต็มปากว่ารับหน้าที่เฝ้าผม เพราะหวังในของฝากมากกว่าสิ่งใด แต่รายนี้ผมไม่กล้าทำร้ายร่างกายเหมือนรายแรกหรอก ด้วยผมมีวิธีที่ดีกว่านั้น
“หึ! เรารู้หรอกน่าว่าที่นายมาเรียนด้วย ไม่ได้อยากจะเรียนหรืออยากมานั่งเฝ้าเรานักหรอกแหนม ใช่มั้ย!? แต่นายอยากมาเหล่สาวๆแถวนี้มากกว่า ใครนะคนที่นายคุยด้วยเมื่อเช้า...อ้อ ไบร์ท น่ารักดีเนอะ แต่เราไม่รู้นะว่าถ้าบิวรู้เรื่องนี้เข้าจะว่ายังไง” พูดจบผมระบายยิ้มเย็นใส่ตาไอ้แหนมนิด ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมาอย่างช้าๆ
ทันได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากไอ้ฟู บวกหน้าตาเอ๋อเหรอของไอ้แหนมที่ผมได้เห็นก่อนเดินมานั้น ทำเอาผมถึงกลับหลุดหัวเราะเบาๆออกมา ตามมาด้วยเสียงวิ่งตุบตับตามหลัง และเสียงโวยวายของไอ้แหนมว่าห้ามไม่ให้ผมเล่าเรื่องสาวไบร์ทที่มันคุยด้วยเมื่อเช้าให้บิวรู้เด็ดขาด
ผมก็แค่ขู่ไอ้แหนมไปอย่างนั้นเอง ด้วยอยากเอาคืนเล็กๆน้อยๆกับเพื่อนที่แปรพักตร์ทำตัวเป็นสายสืบให้ไอ้ดำตูดหมึกเท่านั้น ผมไม่คิดจะเล่าให้บิวรู้หรอกครับ ไม่อยากทำให้คนรักผิดใจกัน เพราะผมดูออกว่าไอ้แหนมไม่ได้คิดอะไรกับไบร์ท ผิดกับสาวเจ้าที่น่าจะชอบมันถึงขั้นเข้ามาชวนคุยก่อน
เสียงวิ่งเสียงโวยวายของไอ้แหนมที่ดังตามหลังในระยะกระชั้นชิด ทำให้ผมซอยเท้าหนีมันเร็วขึ้น รู้หรอกครับว่าถ้ามันตามผมทัน ไอ้แหนมก็ไม่กล้าทำไรผมหรอก เพราะผมกำความลับมันไว้ อย่างมากมันก็แค่โวยวายแกมขู่ใส่ผมเท่านั้น แต่ที่ผมทำเหมือนกำลังหนีมันอยู่แบบนี้ แค่ต้องการให้ไอ้แหนมมันร้อนใจยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง แต่แล้วด้วยความไม่ทันระวัง เท้าที่ก้าวลงบันไดขั้นแรกดันลื่น แต่ยังดีที่ผมมีทักษะด้านกีฬาทำให้คว้าราวบันไดไว้ได้ทัน
“โอ๊ะ!!...ฟู่ๆๆๆ เกือบไปแล้ว อ่ะอ้าว!” จะไม่ให้ผมตกใจได้ยังไง ในเมื่อผมรอดจากการเจ็บตัว แต่กลับทำให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เจ็บเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเอง ด้วยหนังสือที่เคยอยู่ในมือผมก่อนหน้านี้ ดันตกคว่ำอยู่บนหัวใครก็ไม่รู้ที่ยืนอยู่ตรงขั้นบันไดที่ต่ำกว่า
“...อย่าฟ้องบิวนะโว้ย ไม่งั้นกูจะ...อ้าว! เกิดไรขึ้นวะเบส มึงเป็นไรป่ะ” ผมส่ายหน้าให้ไอ้แหนม ก่อนเดินลงบันไดเพื่อไปเก็บหนังสือและชีทบทเรียนที่กระจายอยู่บนพื้น พร้อมหนังสือที่เล่มที่อยู่บนหัวคนดวงซวยด้วย
“เอ่อ ขอโทษครับ เราซุ่มซ่ามเอง...อ้าว! นาย!” ทันทีที่ผมดึงหนังสือออกจากหัวคนตรงหน้า ผมก็เอ่ยขอโทษทันทีแต่ต้องเป็นฝ่ายตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าคนตรงหน้าชัดๆ
“จุ้ยครับ...อ่ะนี่อีกเล่ม เบสก็ซุ่มซ่ามเหมือนกันนะเนี่ย จะรีบไปไหนกันครับ” ผมรับหนังสือมาแต่ยังไม่ทันตอบ
“มันจะรีบไปรับแฟนที่สนามบิน...เบส มึงรีบไม่ใช่!?” ไอ้แหนมตอบแทนผมไม่พอ ยังกันคนเปิดทางหนีให้ผมเสร็จสรรพ แสดงว่ารุ่นพี่รุ่นน้องเค้าฝากฝังกันมาดีจริงๆ
ผมจึงรับคำแหนมอยู่เพียงลำคอ และตั้งใจว่าจะหันมาขอโทษ พร้อมเอ่ยลานายจุ้ยอีกครั้งแท้ๆ
“เราล่ะแปลกใจจริงๆ เบสยังไม่ทันพูดอะไรเลย มีแต่นายทั้งนั้นที่พูดแทน ตั้งแต่ครั้งก่อนนั้นก็ด้วย ทำไมนายถึงดูกันท่าเราขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะแอบชอบเบสเหมือนกันหรือไง” เห็นท่าทางเรียบร้อยๆไม่น่าเชื่อว่านายจุ้ยจะตอกกลับได้เจ็บขนาดนี้ คงไม่ต้องบอกว่าแหนมจะมีปฏิกิริยายังไง เรียกได้ว่าหูผมอื้อเพราะเสียงมัน
“มึง!!” ไอ้แหนมเตรียมพุ่งเข้าใส่นายจุ้ยด้วยสีหน้าโกรธจัด จนผมและไอ้ฟูต้องรั้งแขนมันไว้คนละข้าง
เมื่อมองไปที่อีกคนผมก็ได้แต่เหนื่อยใจ ด้วยนายจุ้ยไม่มีท่าทางเดือดร้อนให้เห็นสักนิด แถมยังยกยิ้มเยาะเย้ยใส่ไอ้แหนมเหมือนว่าตัวเองเหนือกว่าอีกแน่ะ
“แหนม! ไม่เอามึง เดี๋ยวกูจัดการเอง!” ฟังไอ้ฟูคราแรกผมก็นึกสบายใจที่มันยังรู้จักห้ามปรามเพื่อน แต่ดันเกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อไอ้ฟูดันพุ่งเข้าใส่นายจุ้ยซะเอง จนเกิดการปะทะกันขึ้น เพื่อนผมแต่ละคนนี่ใจร้อนไม่มีใครเกินจริงๆ
กว่าผมและไอ้แหนมจะแยกไอ้ฟูและนายจุ้ยออกจากกันได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ทั้งคู่ต่างได้แผลคนละเล็กละน้อย ก่อนผมจะรีบลากทั้งคู่ออกจากตึกเรียน เพราะตอนนี้เพื่อนร่วมคลาสต่างมามุงให้ความสนใจไม่น้อย ยังดีที่ติวเตอร์ไม่อยู่แถวนั้น ไม่เช่นนั้นพวกผมอาจถูกเชิญออกจากสถาบันกวดวิชาก็เป็นได้
“เลิกแล้วต่อกันเถอะนะ เพื่อนกันทั้งนั้น ฟู! แหนม!” ไอ้สองคนที่ผมกดดันด้วยการเรียกชื่อและหรี่ตาใส่ มีถอนใจส่ายหัวอย่างหน่ายๆให้ผม ก่อนจะรับคำด้วยเสียงกระแทกกระทั้น
“เออ! เลิกแล้วต่อกันก็ได้...เบส มึงช่วยพูดต่อหน้าไอ้ตี๋นี่ชัดๆไปเลยสิ ว่ามึงน่ะมีแฟนแล้ว มันจะได้เลิกตอแยเลิกหวังในตัวมึงสักที” ผมกลายเป็นฝ่ายถูกกดดันด้วยน้ำเสียงและสายตาจากไอ้แหนมแทน
ส่วนเรื่องที่มันขอไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง หรือเป็นเรื่องที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ผมจึงหันมาเผชิญหน้ากับนายจุ้ยที่ความหล่อไม่ได้ลดทอนลงเลย แม้ว่ามุมปากจะช้ำ ริมฝีปากจะเจ่อ หรือแก้มจะเขียวไปบ้างก็ตาม
“เรามีแฟนแล้วจริงๆตามที่เพื่อนเราพูด และเรากับแฟนก็รักกันดี...เลิกแล้วต่อกัน เป็นเพื่อนที่ดีระหว่างกันดีกว่านะ...จุ้ย” ระหว่างที่พูดผมสบตานายจุ้ยไปด้วย ทำให้เห็นแววตาไหววูบฉายแววผิดหวัง ปะปนไปกลับแววดื้อดึงไม่ยอมคน แต่ผมก็จงใจระบายยิ้มจริงใจใส่ตานายจุ้ยนิด และหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเพื่อนทั้งสอง
“เราฝากด้วยนะ” สิ้นคำผม ไอ้แหนมก็พยักหน้าให้ พร้อมแสยะยิ้มใส่อย่างเจ้าเล่ห์ ส่วนไอ้ฟูยกนิ้วโป้งให้สองข้าง พร้อมอมยิ้มแก้มตุ่ยทั้งๆที่หน้าช้ำได้อย่างน่าขัน
จากหางตาระหว่างที่ผมเดินจากมา ผมเห็นนายจุ้ยก้มหน้ายืนกำมือแน่นอยู่ที่เดิม จนพาลให้ผมหนักใจขึ้นมาดื้อๆ งานนี้จะหาว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ที่ทิ้งปัญหาไว้ให้เพื่อนทั้งสอง แต่ผมคิดว่ามันดีแล้ว ขืนผมอยู่ต่อเรื่องอาจจะไม่จบง่ายๆ ดูท่าผมจะเจอเข้ากับคุณชายเอาแต่ใจอีกคนเข้าแล้ว เพราะที่ผมมีเป็นของตัวเองคนเดียวนั่นก็เกินพอแล้วครับ และผมยังไม่รู้เลยว่าถ้าไอ้คุณชายเอาแต่ใจของผมรู้เรื่องในวันนี้เข้า มันจะแผลงฤทธิ์อะไรขึ้นมาอีก
“ผมจอดรอที่ลานจอดรถนะครับ ถ้าจะกลับคุณเบสโทรตามผมได้เลย” น้าตุ๊บอกกับผมทันที ที่จอดรถตู้หน้าประตูทางเข้าอาคารฝั่งผู้โดยสารขาเข้าของสนามบิน
ผมจึงรีบรับคำน้าตุ๊ก่อนเปิดประตูรถตู้ที่วันนี้ถูกนำมาใช้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อรับทายาททั้งสามแห่งชลาสินธุ์ และเรียกได้ว่าผมแทบจะเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง เมื่อนาฬิกาที่ข้อมือบอกว่าเลยเวลาลงเครื่องของนนมาร่วมยี่สิบนาทีแล้ว ถ้าผมไม่ติดพันเรื่องยุ่งๆที่สถาบันกวดวิชา ผมคงไม่กระวนกระวายขนาดนี้หรอก
ไม่ใช่ว่าผมจะคิดถึงไอ้ดำตูดหมึกมากซะจน อยากเห็นหน้าแทบทนไม่ไหวอะไรแบบนั้นหรอกนะครับ เพียงแต่ผมไม่อยากโดนมันงอนใส่ต่างหาก เพราะเมื่อคืนไอ้ตัวดีมันย้ำกับผมนักหนา ว่าผมต้องมายืนรอรับมันที่หน้าประตูทางออก ด้วยมันคิดถึงและอยากเห็นหน้าผมเป็นคนแรกที่ถึงไทย ขืนผมผิดคำพูดคงโดนมันงอนใส่ชัวร์ ไอ้ดำตูดหมึกงอนเหมือนชาวบ้านเค้าที่ไหนกัน คนอื่นมีแต่งอนรอให้ง้อ แต่มันดันงอนแล้วเซ้าซี้จะเอานู่นนี่นั่นจากผมแทนการง้องอนน่ะสิ และแต่ละอย่างที่อยากได้ก็ช่าง ‘พิเรนทร์จนน่าอาย’
ผมจึงต้องวิ่งกระหืดกระหอบเพื่อไปให้ถึงหน้าประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้าให้เร็วที่สุด เมื่อมาถึงผมถึงกลับถอนใจยาวเหยียด ด้วยผู้โดยสารเที่ยวบินที่นนอาศัยมาเพิ่งทยอยเดินกันออกมา ผมส่ายตามองหาไอ้ดำตูดหมึกทันที ก่อนผมจะยกยิ้มเมื่อเห็นพี่ชนะเข็นรถเข็นที่มีกระเป๋าเดินทางหลายใบผ่านประตูออกมา ตามมาด้วยคู่รักแสนหวานที่มีพี่อ๋อมแอ๋มควงแขนพี่กานต์ พาให้ใครต่อใครต่างอิจฉาในความหวานและความดูดีของคนทั้งคู่ ซึ่งพี่ๆพอเห็นผมก็ระบายยิ้มพร้อมโบกมือให้ และเดินตรงมาทางผม แต่แล้วรอยยิ้มที่ผมมีกลับค่อยๆจางหายไปจากใบหน้า เมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับคนคู่สุดท้ายที่เดินรั้งท้ายขบวนออกมา
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นคนที่ผมตั้งใจมารับ และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจในแบบที่น้อยคนจะทำให้ผมเกิดความรู้สึกนี้ได้ แต่กับผู้หญิงอีกคนนี่สิเป็นใคร ผมแน่ใจเลยว่าไม่เคยเห็นหน้าและรู้จักเธอมาก่อนอย่างแน่นอน เพราะผู้หญิงที่สวยเด่นเช่นนี้ เห็นครั้งเดียวผมคงไม่มีวันลืม แถมกิริยาท่าทางของนนกับผู้หญิงคนนั้นที่มีต่อกันก็ดูสนิทสนมกันมาก อยู่ๆในอกผมก็รู้สึกวูบโหวงแบบแปลกๆขึ้นมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
เมื่อคนทั้งคู่ที่คุยกันมาตลอดทางแบบไม่สนใจผู้คนรอบข้างนั้นหยุดเดิน ก่อนนนจะดึงเสื้อออกจากมือผู้หญิงคนนั้น และอ้อมไปด้านหลังเพื่อช่วยสวมเสื้อคลุมให้เธอ ตามมาด้วยการที่ทั้งคู่ต่างระบายยิ้มอ่อนหวานให้กันและกัน ภาพคู่ชายหญิงตรงหน้าผม จึงไม่ต่างจากคู่รักที่แสนเข้าอกเข้าใจกันสักนิด คนทั้งคู่ไม่แคร์ว่าจะมีใครมองด้วยความชื่นชมมากมายแค่ไหน หรือไม่แม้แต่ให้ความสนใจสายตาเจ็บปวดปนขมขื่นคู่หนึ่งที่จับจ้องไม่กระพริบคู่นี้เลย ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บมากขนาดนี้ เจ็บมากกว่าครั้งที่เห็นนนจูบกับบิวเสียอีก
‘น่าเจ็บใจชะมัด! นี่รึที่บอกว่าคิดถึงจะตายอยู่แล้ว และอยากเห็นหน้าเป็นคนแรก!’
“น้องเบส!” ผมตวัดสายตาหนีดวงตาคู่คมฉายแววตื่นเต้น ที่เพิ่งได้โอกาสหันมามองกันทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงพี่อ๋อมแอ๋ม มันคนนั้นคงยังอยู่ในโลกสีชมพูของตัวเองอยู่สินะ
“พี่ดีใจจังที่น้องเบสมารับพวกเราถึงนี่” ผมกอดตอบร่างบอบบางของพี่อ๋อมแอ๋ม ก่อนผละห่างเพื่อยกมือไหว้เจ้าของน้ำเสียงสดใสและอ้อมกอดอบอุ่น ตามมาด้วยการหมุนตัวไหว้พี่กานต์และพี่ชนะ ที่ยืนระบายยิ้มอ่อนโยนมาให้ผมอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน
“น้าตุ๊ขับรถมาให้ใช่มั้ยครับ” ผมยังไม่ทันตอบคำถามพี่กานต์ กลับมีอ้อมกอดอุ่นสวมกอดผมมาจากด้านหลัง
“นนคิดถึงเบสที่สุดเลย~ คิดถึงๆ” ผมรู้ตัวเลยว่ากำลังยืนตัวแข็งทื่อ ภายใต้อ้อมกอดของเจ้าของน้ำเสียงร่าเริงที่ดังขึ้น ด้วยไม่มีแรงที่จะขยับเขยื้อนไปทางไหน เจ้าตัวเองมันก็ยังไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่โวยวายไม่สนโลกอยู่
“นน! ปล่อยเบสก่อนเถอะน่า ดูสิแฟนเราน่ะหน้าซีดไปหมดแล้ว เบสไม่สบายรึเปล่า” เสียงพี่ชนะที่ดังขึ้นมา ทำให้ผมถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ แต่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมีอาการตามที่พี่ชนะบอก รู้แต่ว่าใจมันสั่นๆแบบที่ไม่เคยเป็น ก่อนฝ่ามือผมจะถูกรวบขึ้น ตามมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเกินความจำเป็นที่ดังขึ้นมา
“จริงด้วย! เบสเป็นอะไรครับ จะเป็นลมเหรอ มือเย็นเฉียบเลย!” สีหน้าของเจ้าของประโยคดังกล่าวดูตกใจไม่แพ้น้ำเสียง ดวงตาที่ใช้ก็ฉายแววตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด
ผมไม่อยากสบตาคู่ตรงหน้านี้ จึงเสปิดเปลือกตาแทน แต่คงยิ่งไปกระตุ้นความตื่นตระหนกของมันมากขึ้น ด้วยมีมืออุ่นจัดประกบแนบเข้ากับแก้มทั้งสองข้างของผม ตามมาด้วยน้ำเสียงตื่นๆที่ส่อถึงความกระวนกระวายใจของเจ้าของเสียง
“สุดหล่อของนน หายใจลึกๆนะ” นนดึงตัวผมเข้าหาอก ก่อนจะรั้งศีรษะให้ซบไปกับไหล่กว้าง แม้ร่างกายผมจะอบอุ่นแต่ใจผมกลับหนาวเหน็บไปหมด
“พี่ชนะตามน้าตุ๊เถอะ พี่อ๋อมแอ๋มมียาดมมั้ยครับ...เบสเดินไหวมั้ย ไปนั่งก่อนนะครับ” ท่ามกลางความวุ่นวายของคนรอบตัว มีเพียงน้ำเสียงนุ่มๆที่กำลังปลอบประโลมอยู่ข้างตัวผมเท่านั้น ที่ดังเข้ามาถึงโสตประสาทแห่งการรับรู้
แต่ก่อนที่จะโกลาหลไปทั้งสนามบิน ผมตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้น และผละห่างจากอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น แน่นอนสิ่งแรกที่ผมเห็นคือใบหน้าคมเข้มที่อยู่ในระยะประชิด ด้วยหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น และจ้องผมด้วยสายตาเคร่งเครียดฉายแววกังวลชัดเจน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในพริบตา เมื่อได้สบตากับผมเข้า แต่กลับทำให้ใจผมเจ็บแบบไม่มีสาเหตุ และความเจ็บยิ่งทวีขึ้น เมื่อจากหางตาผมยังเห็นถึงร่างบอบบางของแม่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบเนื้อดี ยืนอยู่ไม่ห่างจากเรานัก
“ไม่เป็นอะไรแล้ว...พี่ชนะครับ ผมว่าเราไปยืนรอที่หน้าประตูดีกว่า น้าตุ๊คงจอดรถอยู่ไม่ไกล พี่กานต์พี่อ๋อมแอ๋มทางนี้เลยครับ” ผมขยับตัวห่างจากร่างหนา ทำเป็นไม่สนใจสายตาห่วงใยที่นนมีให้ ก่อนเดินเข้าหาพี่ชนะที่เพิ่งวางหูจากน้าตุ๊ และเดินนำคู่รักแสนหวานออกจากกลุ่ม ท่ามกลางสายตาแปลกใจปนสับสนของทุกคน
“เบสค่อยๆเดิน ไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะ แต่นนว่าเบสยังหน้าซีดๆ ไปนั่งรอตรงนั้นก็ได้” ผมยังคงเดินต่อไปไม่สนใจเจ้าของน้ำเสียงตื่นๆที่ดังตามหลัง ไม่สนแม้แต่รอยสัมผัสอุ่นตรงข้อมือที่รั้งกันไว้
“...เบส เบสเป็นอะไร เบสโกรธนนเหรอ” ระหว่างเราเกิดความเงียบขึ้นไปพักใหญ่ ก่อนนนจะเรียกผมด้วยเสียงอ่อยๆและถามด้วยเสียงที่ไม่แน่ใจออกมา
ผมจึงตัดสินใจหันมามองไอ้ตัวดีอย่างช้าๆ สิ่งที่เจอคือคนหน้าเข้มที่ยืนหน้าซีด จ้องผมด้วยสายตาไม่แน่ใจในตัวเองว่าทำอะไรผิด พอเหลือบสายตาไปยังด้านหลังของนน พบว่าทั้งพี่ชนะพี่กานต์พี่อ๋อมแอ๋มรวมทั้งผู้หญิงแปลกหน้า กำลังให้ความสนใจเราทั้งคู่อยู่ จนผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ทำตัวเหมือนคนไม่มีมารยาท ทำให้พี่ๆสับสนและเป็นกังวลไม่พอ ยังเสียมารยาทเรื่องการแนะนำตัวกับสุภาพสตรีอีกด้วย ผมจึงระบายยิ้มบางเบาก่อนจะก้มหัวให้
เมื่อเงยหน้าขึ้นผมจึงได้สบตากับสาวสวยคนนั้น ดวงตาคู่สวยส่องประกายระยิบระยับฉายแววผูกมิตรเต็มเปี่ยม ก่อนผมจะได้รับรอยยิ้มอ่อนหวานจริงใจจากเธอ พาลให้ตกตะลึงไปชั่วขณะ คงเพราะทั้งสวยและอ่อนหวานอย่างนี้นี่เล่า ใครต่อใครถึงพาลตกหลุมรักได้ไม่ยาก ซึ่งคงรวมถึงคนข้างตัวผมด้วย
ผมฝืนยกยิ้มให้สาวสวยที่ยังไม่รู้จักชื่อ ด้วยสำนึกได้ว่าทำตัวเสียมารยาทกับเธอไปมากแล้ว เพราะดูท่าเธอน่าจะเป็นแขกคนสำคัญของบ้านชลาสินธุ์ ไม่เช่นนั้นคงไม่บินมาพร้อมกับสามพี่น้องชลาสินธุ์หรอกครับ แต่แล้วก็มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับผม คือการที่ไอ้ดำตูดหมึกมันใช้มือประกบเข้าที่แก้มผม ก่อนจะหมุนใบหน้าผมให้หันไปทางมัน ไม่เท่านั้นไอ้ตัวดีมันยังยื่นหน้าเข้าหา และใกล้ชนิดที่ว่าใช้ลมหายใจร่วมกัน ริมฝีปากนี่แทบแตะโดนกันไปแล้วด้วยซ้ำ
“เบส! ยิ้มให้เจ๊เหมยอิงแบบนั้นได้ยังไง ทีกับนนไม่เห็นเบสจะยิ้มให้สักนิดเลยนะ!” สีหน้าขึงขังประกอบน้ำเสียงโวยวาย ทำให้ผมอึ้งตะลึงไปสักพัก ก่อนจะมีสติอีกครั้งจากเสียงหัวเราะคิกคักสองเสียงที่แว่วมาเข้าหู
เมื่อเหลือบตามองก็ให้เห็นว่า พี่อ๋อมแอ๋มและสาวสวยแปลกหน้ากำลังปิดปากหัวเราะทั้งๆที่แก้มแดง โดยมีพี่กานต์ยืนยกยิ้มมุมปากมองตรงมาที่เรา และมีพี่ชนะยืนกอดอกส่ายหัวเหนื่อยหน่ายให้กับพฤติกรรมของน้องชาย ซึ่งไม่เท่านั้นยังมีสายตาร่วมสิบคู่ที่มองมาอย่างให้ความสนใจ จากผู้คนที่ยืนรอรถหน้าประตูทางออก ทำให้ผมรู้ตัวว่ากำลังทำตัวล่อแหลมท้าสายตาผู้คนอยู่
ผมจึงผลักใบหน้าดำๆออกห่างจากตัวจนนนหน้าหงาย และทันได้ยินน้ำเสียงตัดพ้อเรียกชื่อผมอย่างออดอ่อย นาทีนี้ผมไม่นึกสงสารและเห็นใจสักนิด เพราะกำลังรู้สึกว่าแก้มตัวเองร้อนจนแทบระเบิดเข้าแล้ว ยังดีที่น้าตุ๊ขับรถมาจอดตรงหน้าพอดี ผมจึงยอมทำตัวเป็นคนเสียมารยาท ด้วยการเปิดประตูรถได้ ก็ก้าวพรวดเข้าไปนั่งแถวหลังสุดทันที
“เบส.......เบส.....เบส...เบสครับ! เบสโกรธไรนนป่ะเนี่ย ไม่ยอมพูดกับนนตั้งแต่สนามบินแล้วนะ!” ทั้งน้ำเสียงสีหน้าท่าทางไม่ต้องมีใครบอก ผมก็รู้ได้ว่าไอ้เจ้าของประโยคนี้มันงอน จนเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว แต่ผมไม่กลัวอยู่แล้วครับ ครั้งนี้ขืนมันงอนมันโกรธขึ้นมา ผมไม่มีทางง้ออย่างทุกครั้งแน่นอน
ผมจึงอาศัยความเงียบเป็นการตอบโต้ นนเองก็เงียบไปเลย ทำให้ทั้งรถมีแต่เสียงเพลงสากลเบาๆดังขึ้นเท่านั้น ซึ่งผมรู้สึกได้ว่าพี่ๆรวมทั้งสาวสวยคนนั้นกำลังให้ความสนใจเราทั้งคู่อยู่ ผมรู้ตัวว่ากำลังสร้างความลำบากใจให้คนอื่น ซึ่งผมเองก็หงุดหงิดตัวเองอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ที่ทำตัวเป็นเด็กดื้อเงียบแบบที่เป็นอยู่ แต่ขืนให้ผมเปิดปากตอนนี้ ผมคงได้เปิดศึกฝีปากโชว์คนบนรถให้ได้ขายขี้หน้าอย่างแน่นอน
“เอ่อ...น้องเหมยอิงคะ จะไม่ไปทานกลางวันด้วยกันที่บ้านชลาสินธุ์ก่อนจริงๆเหรอคะ คุณแม่ฝากชวนมาเลยน้า เห็นว่าวันนี้เราได้พ่อครัวรูปหล่อมาแสดงฝีมือให้ชิมเชียวนะคะ ใช่มั้ยคะน้องเบส” พี่อ๋อมแอ๋มคงตั้งใจทำลายความเงียบด้วยการชวนสาวสวยที่ชื่อเหมยอิงคุย แต่ดันมีผมเข้าไปเกี่ยวในประโยคด้วยนี่สิ
ผมจึงจำใจเบือนสายตากลับเข้ามาในรถ และฝืนส่งยิ้มให้สองสาวสวย โดยที่ทั้งคู่ก็เหมือนจะรอปฏิกิริยาตอบรับจากผมอยู่ก่อนแล้วด้วย เพราะมองมาทางผมด้วยสายตาคาดหวังเต็มเปี่ยม
“ครับ” ทันทีที่ผมตอบรับ ผมก็ได้รับรอยยิ้มสว่างแบบคูณสองมาเป็นรางวัล
“อืม เสียดายจังค่ะ แต่ครั้งนี้เหมยอิงต้องขอปฏิเสธไปก่อน เพราะทางธนอรรถย์ก็รอเหมยอิงอยู่เหมือนกันค่ะ แต่เสียดายจริงๆนะคะ ที่ไม่ได้ชิมฝีมือเบส ยังไงก่อนกลับฮ่องกง เหมยอิงคงต้องรบกวนเบสทำอาหารให้ชิมสักครั้งนะคะ...ได้มั้ยเอ่ย”
ผมสะดุดหูตั้งแต่สาวสวยที่ชื่อเหมยอิงหลุดคำว่าธนอรรถย์ออกมาแล้ว พอเจอคำขอแกมออดอ้อนด้วยเสียงเล็กๆ ทำให้ผมได้แต่ตอบตกลง พร้อมยกยิ้มตอบรับรอยยิ้มสวยๆ ส่วนในหัวก็ได้แต่คิดว่าเหมยอิงเกี่ยวข้องอะไรกับน้องธันว์กันแน่ แต่ความสนใจผมก็ถูกดึงกลับมา เพราะมีฝ่ามืออบอุ่นมากุมกระชับเข้าที่หลังมือตัวเอง แต่พอเหลือบตากลับมามองเจ้าของมือก็ให้นึกหมั่นไส้
แม้นนจะคว้ามือผมไปกุม แต่มันดันหันหน้าหนีไปอีกด้านและมองออกไปนอกรถ ไม่มีท่าทีของคนที่สนใจกันให้รับรู้สักนิด มันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะงั้น แต่พอผมชักมือหนี ไอ้ดำตูดหมึกกลับไม่คิดจะปล่อย แถมยังเพิ่มแรงกระชับให้มากขึ้นด้วย ผมเองก็เหนื่อยใจเกินกว่าจะขัดขืน จึงปล่อยให้มือตัวเองตกอยู่ในการเกาะกุมของนน ก่อนเลียนแบบเจ้าตัวด้วยการเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งของรถเช่นกัน
ภาพที่คนในรถเห็นคงเห็นเพียงเราต่างฝ่ายต่างเบือนหน้าหนีกันและกัน แต่คงไม่มีใครรู้หรอกว่าภายใต้ท่าทางหมางเมินนั้น มือเราทั้งคู่ยังคงเกาะกุมกันอยู่ และไม่มีทีท่าว่าผมจะได้รับอิสระง่ายๆด้วยซ้ำ
...................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะกิ๊วๆ สุดหล่อหึงไอ้ดำตูดหมึกเข้าแล้ว แต่แหมจะหึงทั้งทีดันหึงผิดคนนี่สิ แถมยังไม่รู้ตัวอีกด้วย
แต่ขอเข้าข้างเบสนะ เพราะเบสคาดหวังไว้เยอะว่านนต้องดี๊ด๊าแน่นอน ยามเห็นว่าตัวเองมารับ
แต่กลับต้องเป็นฝ่ายมาเห็นภาพสวีทหวานกับสาวสวยแทน ถ้าไม่หึงคงไม่ปกติสำหรับคนรักกัน (แม้จะมโนไปเอง)
แต่ก็น่าสงสารนนอยู่เหมือนกันเนอะ โดนงอนแบบไม่ได้รู้ตัว และดูท่าไอ้ดำตูดหมึก
เหมือนจะงอนกลับอีกแน่ะ เอาล่ะสิ แล้วงานนี้ใครจะง้อใครก่อน คงต้องติดตามในวันอาทิตย์
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ