CHAPTER 30 ...รอยแผลเป็น...ในชีวิตมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำผิดพลาด แต่สิ่งที่ดูจะเด่นชัดจนกลายเป็นตราบาปนั่นคือการนอกใจ
มันเป็นเรื่องที่นานมาแล้วจนจำรายละเอียดไม่ได้ ไม่สิ ต้องบอกว่ามันไม่น่าใส่ใจที่จะจำมากกว่า แต่สิ่งที่เขาได้ทำลงไปเพราะความใคร่เพียงชั่วครู่มันก่อให้เกิดผลพวงที่ยิ่งใหญ่ตามมาให้ครอบครัวของเขาต้องเกือบจะต้องจบลง
สิ่งที่มันควรจะต้องเป็นความลับ มันกลับไม่ใช่ความลับ
แม้ว่าแม่ของทิวจะไม่ได้เรียกร้องอะไรมากเกินไปกว่าการยอมรับทิวเป็นลูกอีกคน แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่มันมากเกินกว่าที่เขาจะทำได้ เขาเป็นสามีของภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เป็นพ่อของลูกชายที่ฉลาดและน่ารัก เขาจึงทำได้เพียงแสดงความรับผิดชอบเป็นค่าเลี้ยงดูเท่านั้น
เขาไม่ต้องการเจอหน้าทิว ไม่อยากรับรู้ว่าลูกของเขาคนนี้หน้าตาเป็นแบบไหน น่ารักหรือไม่ หรือแม้แต่จะมีส่วนคล้ายเขารึเปล่า และแม่ของทิวก็แสนดีเกินกว่าจะมาประกาศตัวเพื่อทวงความรับผิดชอบมากกว่าที่เขายินยอม เขาคิดว่ามันควรจะจบไปแค่นั้น ความผิดที่เป็นตราบาปมันควรจะถูกถ่วงทิ้งลงแม่น้ำไป แต่สุดท้ายเรื่องราวมันก็เหมือนรอยเปื้อนที่ไม่ว่าจะตั้งใจกำจัดสักแค่ไหนก็ยังเหลือร่องรอยให้ระลึกถึง
เขาพบกับทิวครั้งแรกในงานศพ แม่ของทิวเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุอย่างกะทันหัน ทิ้งลูกชายที่เขาบอกกับตัวเองสมอว่าไม่เคยมีเอาไว้ เด็กน้อยในวัยขวบเศษไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ตัวเองจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ในแรกเริ่มที่ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขาได้ยินญาติๆคุยกันเรื่องทิว การเลี้ยงเด็กสักคนให้เติบโตมันเป็นเรื่องที่ลำบาก ไหนจะเงินทองที่ต้องเสียไป ไหนจะความเดือดร้อนทั้งหลายแหล่ที่อาจจะตามมา เด็กน้อยตัวปัญหาที่ไม่มีใครต้องการ...แม้แต่พ่อตัวเอง
ฐานะทางการเงินของครอบครัวนั้นไม่สู้ดีเท่าไหร่ หาเช้ากินค่ำไปวันๆ แต่การที่ยายของทิวยื่นมือออกมารับภาระชิ้นโต มันทำให้คนอย่างเขารู้สึกตัวได้ว่าเลวร้ายแค่ไหน เขาเป็นพ่อที่ไม่เคยดูดำดูดี เป็นพ่อที่คิดว่าการส่งเสียคือที่สุดที่เขาจะทำได้ เขามันเลวเกินคนจริงๆ
ทิวถูกยายรับไปเลี้ยงดูโดยมีเขาส่งเสียอยู่ตลอดเวลา ไปหาบ้างเมื่อสบโอกาสเหมาะ ทิวมีดวงตาที่เหมือนเขาเพียงเท่านั้น เพราะนอกจากนั้น ทั้งหน้าตา หรือแม้แต่ความเป็นเด็กดี ทิวได้รับมาจากแม่เต็มๆ ไม่ดื้อ ไม่งอแง ขยันช่วยเหลือยายในทุกเรื่อง
เขาคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันควรจะดำเนินไปเพียงเท่านี้
พบกันลับๆ เลี้ยงดูกันอย่างลับๆ หวังว่าซ่อนความลับที่มีชีวิตของเขาให้พ้นจากครอบครัว
แต่สุดท้าย...
‘คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!!’
ภรรยาของเขาแผดเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจ ร่างของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากทรุดลงกับพื้นมือกุมหน้าที่มีหยาดน้ำทะลักออกจากสองตาไม่ขาด เขาตัดสินใจบอกความผิดบาปที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ทั้งหมดออกไปในค่ำคืนหนึ่งหลังจากเสร็จสิ้นงานศพยายของทิว เพราะหลังจากสิ้นร่มโพธิ์ของคนที่เป็นยาย ทิวก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว ที่ลูกชายเขายังไม่ถูกไล่ตะเพิดออกมาจากบ้านโทรมๆในสลัมหลังนั้นก็เพราะเงินที่เขาส่งเสีย แต่ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ลูกชายที่เขายอมรับว่าดีแสนดีอาจจะกลายเป็นเด็กที่ต่างไปจากเดิม
‘ผมขอโทษ’
‘คนเลว คุณหลอกฉัน โกหกฉันมาตลอด ทำกับฉันกับลูกได้ยังไง’
เขาได้แต่ยืนหลับตาแน่นรับความโกรธด้วยเสียงแผดดังอย่างที่ไม่เคยได้ยินจากภรรยา ต่อให้โดนทุบตีหรือโดนว่าร้ายกว่านี้เขาก็ยอมรับอย่างเต็มใจ แต่สิ่งที่เขาทนไม่ได้คือการเลิกรา
‘ฉันขอหย่า!!’
‘ไม่ๆ ผมขอโทษเหลือเกิน แต่ทิวไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ได้โปรดอย่าเลิกกับผม’
‘เด็กคนนั้นมันจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉัน!!’
‘แม่จ๋า...แม่เป็นอะไร’
‘โฮ...สอง สองลูกแม่...พ่อเขาไม่รักเราแล้วลูก’
มันคงไม่มีคำพูดใดที่มีน้ำหนักมากพอที่จะห้ามปราม ในเมื่อเขาเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เขาเข้าใจและสงสารภรรยาอย่างที่สุด คนที่เคยสดใสเปลี่ยนเป็นหม่นหมองอมทุกข์ กอดลูกสาวที่ติดแม่นักหนาด้วยน้ำตา คอยพร่ำพูดถึงความผิดของเขาจนลูกสาวแทบจะเกลียดเขาไปด้วย ทุกอย่างมันเป็นเพราะเขาคนเดียว คนที่ผิดคือเขา
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป
ภรรยาของเขาเริ่มทำใจได้มากขึ้น คุณอรดีเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีที่สุดคนหนึ่งที่เขารู้จัก เธอเป็นฝ่ายออกปากเองเสียด้วยซ้ำว่าให้รับทิวามาอยู่ร่วมบ้าน เธอเข้าใจแม้จะทำใจไม่ได้ แต่เด็กไม่มีส่วนผิดและในเมื่อเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ทิวเองก็ควรได้รับโอกาสที่ดีไม่ต่างจากลูกคนอื่น
แต่ลูกสาวคนเล็กที่น่ารักเหลือเกินสำหรับคนในบ้านกลับไม่คิดตามไปพร้อมกับแม่ ทันทีที่ทิวมาเหยียบบ้าน ลูกสาวของเขากลายเป็นคนร้ายกาจได้อย่างไม่น่าเชื่อ คุณอรดีได้แต่เสียใจกับการกระทำของตัวเองที่เป็นคนฝังหัวลูกสาวคนเล็กไปแบบนั้นเมื่อยามที่ยังทุกข์ใจ เขาได้แต่ทำใจและเข้าใจทุกคน
เขาเหมือนคนกลางที่ไม่ว่าจะขยับไปด้านไหนก็รันแต่จะสร้างความเสียหายให้อีกฝั่ง
เขารักทิวเพราะเป็นลูก แต่เขารักไม่เท่ากับลูกคนอื่น
เขาไม่ว่าสองแม้ว่าจะได้ยินคำเหน็บแนมร้ายๆที่ว่าใส่ทิว เพราะกลัวว่าสองจะไม่พอใจ
เขาไม่แสดงความห่วงใยกับทิว เพราะเกรงว่าจะทำให้ภรรยารู้สึกไม่ดี
เขาเรียงระดับความสำคัญของทิวไว้ท้ายสุด เพื่อตัวเอง...
คนอย่างเขา...ยังจะสมกับเป็นพ่อคนอยู่ได้อย่างนั้นหรือ
‘ฉันจะยอมให้เด็กคนนั้นมาอยู่ร่วมบ้าน แต่ถ้าในวันใดที่เด็กคนนั้นมาทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวเราต้องด่างพร้อย คุณต้องไล่เด็กคนนั้นออกไปจากชีวิตเรา’
นั่นคือคำประกาศเดียวที่คุณอรดีลั่นไว้ และเขาจะยึดมันไว้ให้แน่นที่สุด และค่อนข้างจะมั่นใจว่าจะไม่มีวันนั้น เพราะไม่ว่าจะผ่านเรื่องอะไรมา ทิวาก็ยังคงความเป็นเด็กดีได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
จนกระทั่ง
‘ทิวกับคุณรัตติกาล...สองคนนั้น...คบกันอยู่’
‘....คบกับ? แบบเพื่อน...’
‘...แบบคนรัก...’
มันจะมีอะไรไปมากกว่าข่าวฉาวที่จะทำให้ครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง แถมคนที่ลูกชายเขากำลังคบหาอยู่ก็ไม่ใช่ลูกตาสีตาสา แต่เป็นนักธรกิจดังที่แม่ของฝ่ายนั้นกับภรรยาเขาหมายมั่นกันว่าจะให้ดองกัน อติกานต์กับรัตติกาล ไม่ใช่ ทิวากับรัตติกาล
ก่อนที่เรื่องราวมันจะบานปลายไปไกล ทิวาก็หายตัวไป เขาเป็นห่วงแต่ถ้านั่นจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดเพื่อให้ชื่อเสียงของครอบครัวต้องเสียหาย การจากไปของทิวคือหนทางที่ถูกต้องแล้ว
“พ่อ...”
เสียงเรียกจากลูกชายคนโตทำให้เขาต้องละสายตาจากสวนด้านหลังที่นั่งเหม่อมองอยู่สองนาน
“คนที่ผมอยากให้พบมาถึงแล้ว”
เขาพยักหน้าตอบรับ มันเป็นหนึ่งวันที่ทุกคนอยู่รวมกันด้วยเหตุเพราะหนึ่งได้เอ่ยขอความร่วมมือไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะบอกว่ามีคนสำคัญอยากให้พบ เขาและภรรยาเลยตื่นเต้นกันไปว่าอาจจะเป็นคนรักของลูกชาย จนกระทั่งเขาเดินเข้ามายังห้องรับแขกจึงได้เห็นว่าแขกคนสำคัญนั้น ไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาคิดไว้แม้แต่น้อย ในห้องเงียบเชียบไร้เสียงสนทนา
คุณวันชัยกับภรรยาและบุตรชาย ทั้งสามนั่งเรียงกันอยู่บนโซฟาตัวยาวด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านเป็นลูกสาวและภรรยาของเขาเอง เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองลูกชายด้วยสายตาตำหนิ
“คุณรัตติกาลขอร้องผมไว้ เข้าไปสิครับ จะได้จบๆเรื่องซะที” น้ำเสียงห่างเหินของมันช่างย้ำความผิดของเขาได้เจ็บแสบจริงๆ ไม่ว่าจะผ่านมานานกี่เดือน เอกสิทธิ์ก็ยังไม่หายเคืองเขาง่ายๆที่ทอดทิ้งทิวาไปอย่างนั้น
“สวัสดีครับคุณวันชัย” เขาเดินเข้าไปใกล้พลางยกมือไหว้ทักทายผู้มากวัยกว่า แม้จะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหากชื่อเสียงที่มีก็ทำให้คนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจรู้จักได้ไม่ยาก “กะทันหันจริง พวกผมเลยไม่ได้เตรียมตัวต้อนรับ ขาดเหลืออะไรต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“พวกผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่มาโดยไม่บอกกล่าวก่อน อีกอย่างเราก็เหมือนคนกันเองไปแล้ว” น้ำเสียงถ้อยทีถ้อยอาศัยออกมาจากปากของเจ้าบ้านเกียรตินาคินทร์
เขายิ้มรับไปพร้อมกับย่อตัวลงนั่งข้างภรรยา ในขณะที่เอกสิทธิ์นั่งลงที่เก้าอี้เดี่ยวด้านข้าง
“ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกันหรือคะถึงได้มากันครบแบบนี้” คุณอรดีเอ่ยถามก่อนเป็นคนแรก
“ก็เรื่องลูกชายผมกับทิวานั่นแหละครับ”
สิ้นคำของแขกผู้ใหญ่ทำเขาแทบจะหยุดหายใจ คุณอนันต์รู้เรื่องแล้วอย่างนั้นหรือ รึว่าต้องการจะมาเพื่อต่อว่า แต่ทิวาก็หายตัวไปเกือบปีแล้วเรื่องมันน่าจะจบลงได้แล้วสิ
“หมายความว่ายังไงกันคะ?” ภรรยาของเขายังคงไม่รู้เรื่อง เพราะคุณอรดีแทบไม่ยุ่งวุ่นวายชีวิตส่วนตัวของทิวอยู่แล้ว แค่รับรู้ว่าลูกเลี้ยงของเธอลาออกจากบริษัทและหายตัวไปก็เท่านั้น
“พวกคุณทราบเรื่องที่ลูกชายผมกับทิวาคบกันรึเปล่าครับ”
“อะไรนะคะ!?” คุณอรดีตกใจจนเผลอส่งเสียงดัง แต่นั่นยังไม่เสียมารยาทมากพอเท่าลูกสาวของเขาที่ทำสุ้มเสียงขึ้นจมูกคล้ายประชดประชันจนคุณราตรีปรายตามองด้วยความไม่ชอบใจ “ทิวกับเดียวอย่างนั้นหรือคะ?”
“คุณลุงคุณป้าทราบไหมครับว่าทิวาอยู่ที่ไหน” เสียงติดกระด้างเล็กน้อยเอ่ยถามออกมาจากรัตติกาล เรียกทุกเสียงความฉงนให้เงียบลง มันเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้นอกจากลูกชายของเขาแต่เจ้าตัวก็ยังคงนิ่งเฉย
“ก็คงจะอับอายจนหนีไปล่ะมั้งคะ” อีกครั้งที่อติกานต์สอดปากเข้ามาพูดด้วยกิริยาที่ไม่น่ารัก เพราะเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทิวที่ไร ไม่ว่าใครจะปรามก็ยิ่งเหมือนไปราดน้ำมันลงกองไฟ “ดีนะคะที่สองเตือนคุณป้าไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นคุณเดียวคงเป็นข่าวเสียหาย”
คุณราตรีที่ถูกพาดพิงทำเพียงแค่ยิ้มเจือจาง รับฟังลูกสาวของเขาพูดต่ออย่างไม่คิดขัดจังหวะดังเช่นเดียวกับทุกคนในห้อง
“ทิวหายไปไหนก็ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ อาจจะไปอยู่กับบรรดาเสี่ยสักคนก็ได้ ทิวเขามีตัวเลือกเยอะแยะ”
“สอง!! หยุดพูดเรื่องไร้สาระสักที”
ไม่ใช่เสียงดุห้ามปรามจากคนเป็นพี่ชายเช่นทุกที แต่กลับเป็นเสียงของคุณอรดีที่แข็งขึงจนลูกสาวเขามุ่ยหน้าอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมสงบปากลงแต่โดยดี
“ผมจะยอมทนฟังคำพูดจากความคิดต่ำๆของคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ คุณอติกานต์” น้ำเสียงแข็งกร้าวคล้ายคนที่กำลังข่มกลั้น เรียกความตกตะลึงให้ทุกคนที่ได้ฟัง “ถ้าครั้งหน้าที่ผมได้ยิน หรือมีใครมาบอกให้ผมฟังว่าคุณว่าร้ายแฟนผมแล้วล่ะก็ ผมต้องขอโทษด้วยที่จะไม่ไว้หน้าคุณเช่นกัน”
อติกานต์แทบจะกรีดร้องออกมาถ้าไม่ถูกสายตากดดันจากผู้เป็นแม้ห้ามไว้ เสียงที่ได้ฟังนั้นจริงจังจนเชื่อได้ว่าผู้ชายคนนี้คงทำได้จริงอย่างปากว่า
“ขอโทษคุณอนันต์กับคุณอรดีเดี๋ยวนี้”
“ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าพวกคุณปล่อยให้ลูกสาวตัวเองว่าร้ายคนเป็นพี่อย่างนี้ได้ยังไง หรือเพราะว่าทิวเป็นแค่ลูกเมียน้อยเลยไม่จำเป็นต้องใส่ใจความรู้สึกหรือครับ”
“เดียว!!” คุณวันชัยปรามเสียงดังกว่าเดิม
“โอย...ดีนะที่แม่กับพ่อดื้อจะมาด้วย” คุณราตรีตบอกเบาๆคลับคล้ายจะเป็นลม
“มันจะไม่พูดเกินไปหน่อยหรือไง” เมื่อเห็นว่ารัตติกาลไม่มีทีท่าจะทำตามอย่างที่บิดาพูด ความอดทนของเขาก็มีจำกัดเช่นกัน
“ขอโทษคุณอนันต์ซะเดียว”
“ขอโทษที่พูดจาล่วงเกินครับ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป” เขาเมินการไหว้สมาอย่างไม่เต็มใจของคนตรงหน้า
“ผมต้องขอโทษแทนลูกชายก้าวร้าวคนนี้ด้วยนะครับ หวังว่าคุณอนันต์จะไม่ถือโทษ”
“พูดธุระมาเลยดีกว่าครับ ขืนพิรี้พิไรผมเกรงว่าจะถูกเด็กถอนหงอกเข้าอีก”
รัตติกาลเขม่นเครียดกับคำเหน็บแนม แต่เพราะตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายก้าวร้าวก่อนถึงได้ต้องข่มคำโต้ตอบเอาไว้ในใจ เพราะไม่ว่าจะคิดให้ตายกี่ครั้งเขาก็ไม่เข้าใจว่าคนๆนี้ทนฟังเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงแบบนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ถ้อยคำกล่าวหานั้นรุนแรงจนแม่ของเขาได้ฟังยังต้องตกใจแท้ๆ แต่ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อกับไม่คิดแย้งลูกสาวตัวเองสักคำ
เขาทนไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ทิวาของเขาดีแสนดีขนาดนั้นแท้ๆ
“ที่พวกผมมากันวันนี้ก็เพื่อมาขอทิวาให้เป็นกิจจะลักษณะน่ะครับ” สิ้นคำพูดของพ่อเขานั้น ความตกใจก็เกิดขึ้นกับอีกครอบครัว โดยเฉพาะอติกานต์ที่มีสีหน้าตกใจยิ่งกว่าใคร “ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าทิวกับลูกชายผมนั้นกำลังคบกันอยู่และ...”
“เดี๋ยวๆ ครับ แต่ตอนนี้ทิว...” คุณอนันต์เอ่ยขัด สีหน้ายังงุนงงไม่หาย หึ...ดูท่าว่าเอกสิทธิ์คงไม่ได้บอกอะไรจริงๆ
“ตอนนี้ทิวอยู่กับผมแล้วครับ เรื่องนี้คุณหนึ่งก็ทราบดี”
“จริงเหรอตาหนึ่ง”
“จริงครับแม่ ผมติดต่อกับทิวตลอด” เอกสิทธิ์ตอบสั้นๆ และนั่นทำให้ผู้เป็นพ่อต้องขมวดคิ้วแน่น คงเสียหน้าไม่น้อยต้องมารับรู้ร่วมกับคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองเป็นพ่อ
“พวกผมก็เลยอยากจะมาสู่ขอทิวาอย่างเป็นทางการน่ะครับ” สิ้นคำพูดแสนสุภาพของพ่อผม เสียงกรีดร้องอย่างเหลือทนก็ดังขึ้นกลบจนทุกฝ่ายเงียบกริบ ต่างพากันจับจ้องที่หญิงสาวใบหน้าสะสวยที่เด้งตัวขึ้นยืนรวดเร็วปานถูกไฟลน
“บ้าไปกันใหญ่แล้ว!! มันผิดปกติไม่ใช่รึไงคะ สองคนนี้น่ะผู้ชายทั้งคู่นะ”
รัตติกาลยิ้มขื่นให้กับความคิดแสนคับแคบทั้งๆที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเพศไหนก็ไม่สามารถมาขีดขอบเขตของความรักได้ เขาไม่เคยอายสักนิดที่ตกหลุมรักผู้ชาย ไม่แคร์สังคมหรือใครๆถ้าต้องประกาศออกไปว่ารักชอบผู้ชายด้วยกัน ชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะมัวหลบซ่อนความสุข
“ดิฉันก็เคยคิดอย่างหนูสองค่ะ” ท่ามกลางความเงียบที่แสนอึดอัด แม่เขาตัดสินใจเปิดการสนทนาอีกครั้ง รอยยิ้มอบอุ่นทอดมองหญิงสาววัยรุ่นที่กำลังถูกผู้เป็นแม่ตึงฉุดให้นั่งลงจามเดิม “แต่สุดท้ายดิฉันก็เห็นลูกทรมานไปมากกว่านี้ไม่ได้...ฉันได้บทเรียนราคาแพงมาแล้วค่ะกับความคิดที่เต็มไปด้วยอคติอย่างนั้น”
เห็นอติกานต์สะอึกไปก็เรียกความสะใจของเขาได้มากโข
“ที่จริงแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมพิธีอะไรให้มันเหมือนกับบ่าวสาวปกติหรือเปล่า แต่ในเมื่อทิวาจะกลายมาเป็นลูกชายของผมอีกคนก็เลยอยากจะมาสู่ขอกันไปตามธรรมเนียม ไม่ทราบว่าทางคุณเห็นควรอย่างไรครับ”
“ผม เอ่อ...ผม”
“เอาอย่างนี้นะครับ คุณก็เรียกสินสอดมา แต่ไอ้เรื่องขันหมากอึกทึกอะไรนั่นคงไม่มีหรอกครับอย่าได้กังวลเลย”
“บ้าบอที่สุด!! น่าขยะแขยง!!!” อติกานต์แผดเสียงก้องด้วยใบหน้าปานนางฟ้าตกสวรรค์ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินโครมครามออกไปจากบริเวณ
“ขอโทษจริงๆนะคะ” คุณอรดี เอ่ยขออภัยแทนด้วยความเสียหน้าก่อนจะลุกเดินตามลูกสาวคนเล็กไป เหลือไว้เพียงสามีที่ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับกับลูกชายที่ส่ายหัวเกินรับกับกิริยาน้องสาว
“ที่จริงทิวาก็บอกทางภรรยาผมไว้ว่าได้ต่างคนต่างอยู่กับทางนี้แล้ว” พ่อเขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงโทนเดิม “แต่ผมก็คิดว่าการมาบอกกล่าวเอาไว้นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ก็สุดแท้แล้วแต่ทางคุณจะว่ายังไง”
“ผม...”
“ผมกำลังจะหาฤกษ์จัดเลี้ยงพระกันภายในครอบครัวน่ะครับ จะได้ให้พระท่านช่วยให้พรสองคนนี้แทนพิธีสมรสที่คงจัดให้ไม่ได้”
“...................”
“ส่วนเรื่องสินสอด ถ้าคุณไม่สะดวกเรียก ทางผมจะจัดการให้อย่างสมน้ำสมเนื้อที่สุด ผมถือว่าลูกชายผมโชคดีที่ได้คนดีๆมาเป็นคู่ชีวิต”
“ทิว...ครับ...เขาเป็นเด็กดีเสมอ”
คล้ายพ่อของเขาจะไปพูดกระทบส่วนไหนในความรู้สึกของคุณอนันต์เข้า ใบหน้านั้นถึงได้ฉายแววเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“พอได้คุยได้ทำความรู้จักให้มาก ดิฉันก็อดชื่นชมคุณไม่ได้ที่เลี้ยงลูกชายมาได้น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ อ่อนน้อมถ่อมตนซ้ำยังเอื้ออารีเสียอีก เวลาไปไหนมากับเดียวนะคะ มักจะมีของมาเผื่อแผ่คนงานที่บ้านเสมอเลยค่ะ เด็กพวกนั้นรักคุณทิวกันน่าดู”
“...............”
“หนักเอาเบาสู้ด้วยนะคะ แถมยังขยันทำงาน วันก่อนเจ้านี่เขาโวยวายใหญ่ว่าทิวาหายไปจากห้อง ปรากฏว่าลงไปช่วยคนสวนพรวนดินเสียตั้งแต่หัวรุ่ง เรานี่ตกใจกันไปหมดนึกว่าหายไปอีกซะแล้ว”
เป็นการเผากันซึ่งๆหน้า เรียกความหน้าชาได้ชะงัดนัก ก็ใครใช้ให้เขาตื่นมาแล้วเมียหายไปจากห้องนอนบ้างล่ะ ผิดหรือไงที่ร้องโวยวายเพราะกลัวน่ะ ใครจะไปรู้ว่าทิวาจะฮึดไปช่วยลุงคนสวนทำงานแต่เช้าอย่างนั้น เวลาแบบนั้นมันต้องนอนกอดกันไปมาสิถึงจะถูก
“................”
“คุณอนันต์คะ?”
“.................” เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกับสีหน้าหม่นหมอง “ผม...ผมไม่ได้สั่งสอนอะไรเด็กคนนั้นหรอกครับ มีเพียงเงินเท่านั้นที่ผมช่วยจุนเจือ เขาดีของเขามาแต่ไหนแต่ไร ดีด้วยตัวเองหรอกครับ”
“พ่อ....” เอกสิทธิ์ครางเรียก แต่ก็เงียบไปเมื่อเห็นรอยยิ้มแห่งความรู้สึกผิดที่ฉาบทับใบหน้า
“ผมคงรักทิวเท่าลูกคนอื่นไม่ได้ ความรู้สึกของผมมันชี้ชัดลงไปนานเกินกว่าจะแก้ไขอะไรให้มันดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าทางคุณรับรู้ในความดีของเด็กคนนั้นและพร้อมจะรับไปเป็นลูกชายอีกคน พ่ออย่างผมก็ไม่คัดค้านอะไรทั้งสิ้นครับ”
รัตติกาลอยากจะถามเหลือเกินว่าถึงแม้จะรักไม่เท่ากัน แต่ในห้วงความรู้สึกนั้นเป็นห่วงทิวาบ้างไหม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องเก็บกลืนลงคอไปเมื่อแม่บีบมือเขาเสียแน่นด้วยดวงตาที่วาวรื้นไปด้วยน้ำใสๆ เขาว่าคำตอบที่เขาต้องการมันถูกเฉลยออกมาหมดแล้วตลอดการสนทนาแสนสั้นนี้
“ไอ้เรื่องสินสอดคงไม่จำเป็นหรอกครับ ที่คุณเห็นค่าลูกชายผมได้มากกว่าผมที่เป็นพ่อก็เกินพอแล้ว”
เราสามคนพ่อแม่ลูกบอกลาเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาทั้งทุกข์ใจที่รู้ว่าจุดยืนของคนรักในบ้านหลังนี้นั้นไม่ต่างอะไรจากเชือกเส้นบางๆที่รอเวลาขาด และรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเพียงใดที่เกิดมาด้วยความรักและมีคนสำคัญที่พร้อมจะรักและให้อภัยเขาได้เสมอ และมันก็จริงที่ว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ เขาดีใจที่ทิวายังบริสุทธิ์อยู่ได้ท่ามกลางความรักที่เว้าๆแหว่งและความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล แต่ทุกสิ่งที่ผ่านมามันก็ทำให้คนที่เหมือนจะเข้มแข็งนั้นอ่อนแอเรื่องหัวใจอย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้ามันจะมีสักทางที่เขาสามารถถมที่ว่างในหัวใจของทิวาได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาสักเท่าไหร่เขาก็พร้อมจะทำ เขาจะเป็นครอบครัวเป็นคนรักให้ดีที่สุด จะรักษาแผลที่เปิดอยู่นั้นให้หายดี ถึงแม้มันจะยังมีรอยแผลเป็นอยู่บ้าง แต่เขาเชื่อว่ามันจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย
“เดียว...” พ่อเรียกเขาที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับด้านข้าง “ถ้าวันไหนที่แกจะทิ้งทิวา บอกพ่อกับแม่ก่อนเถอะนะ”
มันไม่มีรักใดยั่งยืนเป็นนิรันดร์ เขาจึงไม่โกรธพ่อเลยที่จะคิดว่าความรักของเขาอาจจะไม่มั่นคง ถ้าเขาเดาไม่ผิด พ่อคงคิดว่าเขาจะเปลี่ยนไปเมื่อหมดรัก อาจจะทำตัวร้ายๆใส่ตามนิสัยที่แก้ไม่หาย พ่อคงอยากจะให้ทิวาเหลือที่พึ่งข้างกายบ้าง ...มันคงหมายความว่าพ่อคงสงสารทิวาจับใจ ไม่ต่างจากเขา
ถ้าความสงสารมันจะนำพาไปพบกับความรักได้ ตัวเขาก็คงรักทิวามากขึ้นกว่าเดิม...
ทำไมกันนะ ทั้งๆที่ทิวาคว้าหัวใจของคนบ้านเขาไว้ได้ทั้งหมด แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจเอื้อมมือไปแตะหัวใจของคนที่นี่ได้
ความรู้สึกของคนนี่มันช่างซับซ้อนเสียจริง
เหมือนจะหนักแน่น แต่กลับไม่แน่นอน
เหมือนจะมั่นคง แต่กลับผันแปร
ทุกอย่างบนโลกล้วนมีเครื่องมือวัดค่า แต่ถ้าเป็นความรู้สึกล่ะก็คงต้องใช้เวลาเท่านั้นสินะ...ช่างเป็นการเดิมพันที่เสี่ยงเหลือเกิน
_____________________________________________________________ TBC. __________________กำหมัดตบปุปุ แอ่นอกรับคำวิจารณ์ค่ะ
ปุกาด ปุกาด เค้ามี
fanpage แล้วนะตัว
