รักเรา(ไม่)เท่ากัน
CHAPTER 4...เรื่องบนเตียง ร่างโปร่งค่อยๆหยัดกายขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก ส่วนล่างเจ็บแปลบทันทีที่ถูกกระทบกระเทือนจากการเปลี่ยนอิริยาบถ ทิวากัดริมฝีปากแน่นข่มความเจ็บไม่ให้หลุดปาดร้องออกมา ดึงหมอนใบใหญ่สีขาวขึ้นมาพิงหัวเตียงก่อนจะเอนแผ่นหลังพิงอย่างอ่อนล้า อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ต้องยึดผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมร่างจนถึงอก
มองไปรอบห้องนอนที่สว่างด้วยแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่เข้ามาทำให้ห้องโทนสีขาวดูสว่างกว่าที่ควรจะเป็น ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งมากนักดูเรียบง่ายผิดกับภาพลักษณ์เจ้าของห้องที่ตอนนี้หายหัวไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
ทิวาก้มมองร่างกายที่ก่อนจะหมดแรงยังเปลือยเปล่าและเหนอะหนะ แต่ตอนนี้มีเสื้อยืดสีขาวสะอาดคลุมร่างและความเหนอะหนะก็หายไป อย่างน้อยไอ้คนเลวนั่นก็ไม่ปล่อยร่างไร้เรี่ยวแรงของเขาไว้ตามยถากรรม ยังมีจิตสำนึกที่จะทำความสะอาดและแต่งตัวให้ไม่ปล่อยให้เขาต้องตื่นมาพบกับความหงุดหงิด
จำได้ว่าเสื้อผ้าถูกถอดกระจัดกระจายไปตามพื้นห้องแต่ตอนนี้พื้นไม้ปาร์เกต์สีซีดกลับสะอาดเอี่ยมไร้เศษซากเสื้อผ้าใดใด ทิวามองไปรอบๆห้องอีกครั้งเพื่อมองหานาฬิกาและพบมันบนโต๊ะข้างเตียง นาฬิกาตั้งโต๊ะแบบดิจิตอลบอกเวลาบ่ายโมงกว่า ข้างๆกันเป็นนาฬิกาข้อมือคุ้นตาถูกวางไว้ เขายกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมองแล้วพบว่านาฬิกาที่ใส่ติดตัวหายไป คงเป็นรัตติกาลอีกนั่นแหละที่ถอดออกให้
เมื่อวานเขาเครียดเกินกว่าจะทานมื้อเย็น และวันนี้ยังพลาดทั้งมื้อเช้าและกลางวัน ไม่แปลกเลยว่าทำไมเสียงท้องร้องถึงได้ครวญครางเสียงดังขนาดนี้ ดังชนิดที่ว่าถ้ามีคนอยู่ใกล้ๆเขาคงอายจนต้องเอาปี๊บคลุม แต่เขาจะไปหาอะไรรองท้องในห้องของคนอื่นแบบนี้กันล่ะ แล้วร่างกายที่ปวดร้าวอย่างกับเล่นกีฬาอย่างหนักนี่อีก ไหนจะสะโพกที่แค่ขยับก็เจ็บแปล๊บลามไปถึงจุดซ่อนเร้น เขาหิวเอามากๆ แต่ก็ลุกลำบากไม่แพ้กัน
แต่มันเป็นสิ่งที่เขาคาดไว้แล้วว่ามันจะต้องเกิด เพราะครั้งแรกที่ถูกล่วงล้ำร่างกายก็ออกอาการอย่างนี้ แต่วันนั้นด้วยความตกใจและไม่อยากจะอยู่เสวนาถึงได้กล้ำกลืนลากสังขารจากไป
ตอนนี้ก็อยากจะทำแบบนั้น แต่มันหมดทั้งกำลังหมดทั้งแรงใจ
ยังดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องหาเหตุผลไปแก้ตัวกับเอกสิทธิ์ว่าเพราะอะไรถึงได้ขาดงานโดยที่ไม่โทรบอกสักคำ
ใช่ วันนี้เป็นวันหยุด…
แล้วไอ้หมอนั่นไปไหน?
หรือนี่จะเป็นการไล่ทางอ้อม? หรือจะเป็นเรื่องปกติเวลาหมอนั่นหิ้วคู่นอนมาสนุกแล้วไม่อยู่พบหน้าในยามเช้าเพราะไม่มีค่าพอที่จะสนทนาสานสัมพันธ์ต่อ
หึ หึ
ทิวาแค่นหัวเราะขมขื่นกับสิ่งที่ตัวเองคิด ในเมื่อเขาเองก็มีสถานะไม่ต่างจากคนอื่นๆ แค่ยอมอ้าขาให้ครบหนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องคุยอะไรกันเลยนั่นแหละดีที่สุด
แต่ตอนนี้... ขอพักอีกสักนิด
ทิวาหลับตาลง ทอดถอนใจไล่ความอึดอัดที่คับแน่นในอก ปล่อยกายไปกับความเย็นที่เหมือนจะทำให้ร่างผ่อนคลายขึ้น จนกระทั่งเสียงประตูเปิดนั่นแหละ ความรู้สึกทั้งหลายแหล่ถึงได้กระเด็นกลับเข้าตัวอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของเจ้าของห้องที่เดินตรงเข้ามาหย่อนกายบนเตียง
“ตื่นสาย”
ทิวาอยากจะตะกุยไอ้หน้าหล่อๆนั่นให้เป็นลายทาง ก็ไม่ใช่เพราะหมอนี่หรือไงที่ไม่ยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระเสียทีทั้งที่ใกล้รุ่งสางอยู่รอมร่อ แค่ความแข็งแรงก็ผิดกันแล้ว เขาสลบไปก่อนเสียด้วยซ้ำ แต่หมอนี่กลับตื่นก่อนแล้วไม่มีทีท่าอ่อนเพลียอย่างเขาสักนิด แล้วยังมาเหน็บแนมให้เขาโมโหเล่นอีก
รัตติกาลอมยิ้มมุมปากกับใบหน้าสวยที่สะบัดพรืดอย่างไม่พอใจไปอีกด้าน แค่แหย่นิดแหย่หน่อยก็ของขึ้นเสียแล้ว ถ้าไม่สงสารที่ไม่ได้หลับได้นอนเขาคงไม่ปล่อยให้ทิวาพลาดอาหารไปหลายมื้อแบบนี้หรอก เขาตื่นมาก็เกือบสิบโมงเช้าแล้ว ได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงทั้งเพลียแถมร่างกายก็ล้า หึหึ แต่ตัวเบาสบายอย่าบอกใคร
“ออกไปกินข้าวป่ะ สั่งขึ้นมาให้แล้ว”
คนตัวบางยังนั่งนิ่งเชิดหน้าจนคนถามนึกหมั่นไส้ รัตติกาลลุกขึ้นยืนกะจะกระชากทิวาให้ลุกขึ้นตามแต่เพียงแค่การขยับตัวเล็กน้อยร่างบางก็ร้องโอดโอยหน้าบิดเบี้ยว
“มันเจ็บนะ!”
แม้จะพยายามบิดข้อมือออกแต่รัตติกาลก็ไม่สนใจยังคงกำข้อมือของทิวาไว้แน่น ดวงตาเหยี่ยวตวัดมองเขาอย่างดุร้าย มันคงจะน่ากลัวกว่านี้ถ้าไม่มีม่านน้ำเอ่อให้นัยน์ตาแวววาว
“พูดดีดีไม่ฟังนี่ บอกว่าให้ไปกินข้าวได้แล้ว” เสียงเข้มพูดเสียงดังจนเหมือนจะเป็นการตวาดในสายตาคนฟัง แค่นั้นน้ำหูน้ำตาของทิวาก็แตกจนคนมองทำอะไรไม่ถูก “อ่ะ!..เฮ้...แค่บอกว่าให้กินข้าวเองนะ”
“ฮือ...”
“ทิว...ร้องไห้ทำไม” รัตติกาลทรุดตัวลงตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ฝ่ามืออุ่นประคองใบหน้าชุ่มน้ำตาให้สบตากัน ดวงตาเหยี่ยวที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวมาตลอดอ่อนแสงลงจนเขาใจหาย เขาไม่คิดว่าจะเห็นทิวาในสภาพนี้ ไม่คิดว่าจะต้องมาเห็นน้ำตากับใบหน้าที่เจ็บปวด ไอ้เรื่องที่จะร้องไห้เพราะถูกเขาลุกล้ำรุนแรงพอจะเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด
“ไอ้คนไม่ดี! ทำไมจะต้องตวาดกันด้วย ฮือ...”
เพราะพิษไข้สินะถึงได้หลุดมาดขนาดนี้ ใบหน้าในมือเขาร้อนอย่างกับไฟ
“ไม่ได้ตวาดเสียหน่อย”
“เมื้อกี้ไง! มันเจ็บได้ยินมั้ย! มันลุกไม่ได้เพราะเจ็บ! ฮือ~”
เฮ้อ...รัตติกาลถอนใจยาวเหยียด มองดูใบหน้าที่อาบน้ำตายิ่งกว่าเดิม อะไรมันจะเจ็บขนาดนั้น... ก็พอรู้ตัวอยู่หรอกว่าตัวเองออกจะรุนแรงไปสักนิด ต้องการมากไปสักหน่อย แต่ตอนครั้งแรกก็เห็นมีแรงลุกหนีเขาไปได้นี่หว่า แต่ทำไมวันนี้ถึงได้หมดสภาพแบบนี้กันเล่า
“เลว! ฉันเกลียดแก! ฮือ”
ปากนี่มันน่าจูบซะให้พอง
“รู้แล้วๆ ผมก็ไม่ได้รักคุณเหมือนกัน” แค่หลงร่างกายคุณฉิบหายเลยตอนนี้
“ฉันก็ไม่ได้รักแก! ไอ้เลว ไอ้วิปะ...!”
รัตติกาลปิดปากที่เอาแต่พ่นคำด่าทอ ยิ่งมีใบหน้าอยู่ในอุ้งมือยิ่งง่ายที่จะพลิกไปมาเพื่อรับริมฝีปากให้ได้องศา ทิวาดิ้นพล่านส่งกำปั้นอ่อนแรงทุบไหล่เขา มันไม่ได้เจ็บอะไรเลยคงเพราะทิวาอ่อนแรงเกินไป เขาเพิ่มแรงบดเบียดมากขึ้นจนอีกฝ่ายครางประท้วง ดูดริมฝีปากแรงๆ ก่อนจะส่งลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจภายใน อุณหภูมิที่สูงเกินกว่าปกติไม่ได้ลดทอนความหวานล้ำแม้แต่น้อย กลับจะยิ่งเพิ่มความร้อนชื้นไปทั่วทุกที่ที่ปลายลิ้นสัมผัส
กำปั้นที่ทำร้ายร่างกายกันเริ่มอ่อนแรงเมื่อปลายลิ้นของเขาลุกไล่จนเจอปลายลิ้นอีกฝ่าย มือบางเปลี่ยนมาขยุ้มเสื้อเขาเสียแน่นส่งเสียงครางอือในลำคอยามลิ้นร้อนถูกดูดดึง
“เมื่อคืนเรียกชื่อผมไปตั้งเยอะ จำไม่ได้รึไงกัน” เขาผละริมฝีปากออก แต่ยังคงเลาะเล็มไปตามมุมปากเปียกชื้น จูบเบาๆอย่างหลงใหล “เรียกชื่อผมสิครับทิว”
“ปล่อยผม” รัตติกาลจูบแก้มเนียนของคนที่ยังคงพูดจากดื้อดึงแม้น้ำเสียงจะโรยแรง
“เรียกผมก่อนสิ” เขาก็ยังดื้อดึงไม่แพ้กัน ละใบหน้าออกมาเล็กน้อยเพื่อสบตา ทิวาจ้องเขาด้วยสายตาเหมือนเดิม สายตาที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อ
“เดียว...ปล่อย”
รัตติกาลยิ้มรับ ปล่อยเนื้อตัวทิวาเมื่อได้สมดั่งใจ เขายืดตัวขึ้นอีกครั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างที่คนฟังไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน
“เดี๋ยวผมเอาข้าวเข้ามาให้นะ จะได้กินยาแล้วพักอีกหน่อย”
ประโยคธรรมดาๆ แต่ทำเอาทิวาถึงกับนั่งอึ้งพยักหน้าตอบรับโดยไม่รู้ตัว อะไรของหมอนี่จู่ๆก็มาทำดีด้วยเสียอย่างนั้น ทั้งที่เมื่อคืนบังคับไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทั้งขอร้องอ้อนวอนก็ยังไม่ยอมหยุด ที่เขาต้องมานอนแบบเป็นคนพิการแบบนี้ก็เพราะใครกัน!
“กินให้หมด”
คำสั่งเรียบๆ แต่พาลเอาคนเพิ่งวางช้อนถึงกับตวัดตาคมจ้องมองคนพูดอย่างไม่พอใจ ทิวาเลื่อนชามข้าวต้มทะเลบนโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กที่เจ้าของห้องไปหามาให้ออกห่างตัว แต่มือหนาของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับดันกลับเข้าหาตัวเขาอีกครั้ง
“เอ๊ะ!” ทิวาไม่ยอมแพ้เลื่อนออกห่างจากตัวอีก และสงครามต้านแรงกันก็เกิดขึ้นโดยมีชามข้าวต้มเป็นตัวกลาง “พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง ผมอิ่มแล้ว”
“ฟังรู้เรื่องแต่ไม่รับรู้ คุณกินแค่ไม่กี่คำจะอิ่มได้ยังไง”
“ไม่อยากกิน กินไม่ลง ทำไมต้องบังคับ”
ทิวาออกแรงดันชามอีกครั้ง แต่ครานี้กลับไม่มีแรงดันโต้กลับ ชามข้าวต้มที่ยังคงควันฉุยเปลี่ยนข้างเรียบร้อย ทิวาลอบสังเกตใบหน้านิ่งเฉยเดาทางว่าคนตรงหน้าจะมาไม้ไหนอีก
“รู้มั้ยว่าตัวเองผอมขนาดไหน รูปร่างแทบไม่ต่างกับผู้หญิงเลย”
เหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายป่นปี้ทีละอย่างสองอย่าง ต้องมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน แถมยังถูกหาว่าหุ่นเหมือนผู้หญิง ชีวิตลูกผู้ชายของทิวาทำไมมันถึงได้ตกต่ำขนาดนี้
ทั้งๆ ที่พอจะเดาได้ว่ามันเป็นการยั่วเย้าของรัตติกาล แต่ใครล่ะจะไม่คิดจริงจังถ้าได้มาเทียบร่างใกล้ๆกับคนคนนี้ ทั้งส่วนสูง ความหนา น้ำหนัก เทียบไม่ได้สักอย่าง ถ้าเปรียบรูปร่างรัตติกาลเป็นต้นสัก เขาก็คงเป็นแค่ต้นไผ่เท่านั้นเอง ไม่ได้อยากจะบ้าจี้ตาม ไม่ได้อยากจะยอมจำนน แต่ความไม่พอใจในกรรมพันธุ์เดือดปุดๆ
รัตติกาลแยกยิ้มอย่างมีชัยเมื่อมือบางสวยคว้าชามกลับไป เริ่มตักข้าวเข้าปากแม้จะด้วยสีหน้าเหมือนอยากฆ่าคนก็ตาม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นใครกินข้าวด้วยอารมณ์ดุเดือดขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเวลาอยู่ต่อหน้าเขาด้วยแล้วไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็สรรหาจริตจะก้านมาเพื่อให้ตัวเองดูดี ไม่ได้อยากจะคุยโวหรอกนะ แต่ยิ่งหลังจากค่ำคืนร้อนแรงอย่างนี้ด้วยแล้ว เขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายถูกออดอ้อนเอาใจ ไม่มีซะหรอกที่ต้องไปสั่งอาหาร เตรียมยาแก้ไข้แก้อักเสบ หรือแม้กระทั่งหาโต๊ะมาวางเพื่อที่คนป่วยจะได้กินอย่างสะดวก
ดูซิว่าเขาให้อภิสิทธิ์กับทิวาขนาดไหน
เขาไม่เบื่อที่จะมองปากบางสีพีชนั้นอ้ารับช้อนคำแล้วคำเล่า แก้มใสพองน้อยๆขณะเคี้ยวข้าวอย่างรุนแรงประหนึ่งกำลังเคี้ยวศัตรู เขาเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกันนอกจากกาแฟที่ดื่มคั่นเวลาระหว่างรอร้านอาหารขึ้นมาส่ง แต่เขาไม่รู้สึกหิวสักนิด คงเพราะยังอิ่มกายจนพาลให้น้ำย่อยหยุดทำงาน
“หมดแล้ว”
ทิวาผลักชามมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง เขามองดูชามเปล่าด้วยความชอบใจ ว่าง่ายๆ กินเยอะๆ ให้หุ่นอวบกว่านี้อีกนิดกำลังมันมือ เขาส่งยาพร้อมน้ำให้คนเก่งเป็นรางวัล ไม่มีอิดออดให้เสียเวลา ทิวารับยาทั้งหมดเข้าปากแล้วตามด้วยน้ำจนหมดแก้ว เบ้หน้าเล็กน้อย เขาหลุดขำกับภาพตรงหน้า รู้ได้เลยว่าคนเก่งก็ไม่ถูกกับยาได้เหมือนกัน
“ผมจะกลั...”
“นอนลงไป” รัตติกาลรีบขัดประโยค ยกทั้งโต๊ะที่มีทั้งชามทั้งแก้วด้วยความระมัดระวังเอาลงมาไว้บนพื้นริมประตู แล้วหันมาสั่งเสียงเข้มอีกครั้งกับทิวา “นอนที่นี่ อย่าแม้แต่จะคิดที่จะกลับไป”
“มีสิทธิ์อะไร!!”
ยังจะอ้างอะไรอีก เป็นไข้ตัวร้อนขนาดนี้ คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยให้ขับรถกลับคอนโดไปง่ายๆ ไม่ได้เจียมตัวเองเอาซะเลย
“คุณเป็นไข้อยู่นะ”
“ตัวผม คุณไม่ต้องมายุ่ง”
ฮึ่ม! มันน่าจับทำให้สลบคาอกจริงๆ
“แต่ตอนนี้ผมมีสิทธ์เหนือร่างกายคุณ อย่าลืม”
รัตติกาลส่ายหัวกับภาพตรงหน้า ไม่รู้ว่าจะขำหรือจะโมโหดี ทิวาร้องฮึดฮัดอย่างไม่พอใจก่อนจะทิ้งตัวลงกับที่นอนพร้อมตวัดผ้าห่มคลุมมิดท่วมหัว
“ถ้าหายเมื่อไหร่ จะกลับก็ไม่รั้งไว้หรอก” พูดไปเพราะความหมั่นไส้ทั้งนั้น
“เออ!!! คิดว่าอยากอยู่ด้วยนักรึไง!!!”
เน้นๆ ชัดๆ ตะโกนผ่านโปงออกมาเสียงเข้ม
ผู้ชายคนนี้นี่ ทำไมช่างหาเรื่องให้เขาอยากจับมาฟาดให้ก้นลายนักนะ เหมือนจะเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ยังมีส่วนที่ยังง้องแง้งเป็นเด็ก เหมือนจะเข้มแข็งแต่ก็ดูเหมือนจะพังทลายลงง่ายๆถ้าเพียงเข้าไปทำให้หวั่นไหว เหมือนจะใจเย็นแต่ก็ยั่วโมโหง่ายเกินคาด
หึ หึ แค่อยู่ด้วยกันคืนเดียว พูดจากันไม่เท่าไหร่ เขาถึงขนาดเดานิสัยทิวาได้ขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าได้รู้จักมากกว่านี้จะมีอะไรซ่อนอยู่อีกนะ ความขัดแย้งที่น่าค้นหา...
เขาอยากจะรู้ให้มากกว่านี้ ___________________________
TBC.
___________________________________________________
มาแล้วค่าาาาาา
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ T^T
รู้ซึ้งแล้วว่าเขียนหลายเรื่องมันไม่ง่ายเลยจริงๆ ไหนจะความเกเรส่วนตัวอีก มัวแต่หนีไปอ่านนิยายคนอื่น ฮุฮุ
ตอนนี้อาจจะสั้นไปหน่อย แต่ขอขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ
รักคนอ่าน

รักคนเม้น
Untill we meet agaiN