สงครามทะเลทราย..ศึกเทพมหาธาตุ
Part 8..ท้าทาย..(อัพให้ครบ 100%)ใครที่ไม่ได้อ่าน 70% ก่อนหน้า ให้กลับไปอ่านที่หน้า 19 ก่อนนะคะ เดี๋ยวไม่ต่อเนื่อง“ดูพวกเขาจริงจังมาก” แม่เล็กกระซิบบอกลูกชาย หลังอยู่ภายในห้องรับรองพิเศษ เหนือหัวองค์อนิละและพระมเหสีประทับเป็นประธาน
องค์ชายวายุภักษ์ พระเชษฐาองค์อนิละกับพระธิดาศศิธร พร้อมมหาโหรา นั่งเรียงลำดับทางฝั่งซ้ายพระกร
เหลือเก้าอี้ให้สองแม่ลูกฝั่งขวา กลกะลารับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยภายในห้องยืนตรงประตู ด้านนอกยังมีองครักษ์อีก 4 นาย
มีพระบัญชารับสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเฝ้าในเวลานี้
“เจ้าประทับใจตำหนักโอรสเราหรือไม่..บุรุษหนุ่ม” เหนือหัวรับสั่งถามผักตบ หลังสองแม่ลูกนั่งลงเรียบร้อย
ฝ่ายถูกเจาะจงมองสบพระเนตร พระสุรเสียงบ่งบอกไมตรีจิต แฝงความอาทรมาให้จริงใจจนสัมผัสได้
“ด้านความสวยงาม..ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่ตื่นตาตื่นใจมากครับ ผมหมายถึงการก่อสร้างแปลกตาและสวยงาม
แต่ถ้าเป็นเรื่องความสะดวกใจที่ต้องพักร่วมห้องกับองค์ชาย ผมไม่สะดวกใจเท่าไหร่ครับ” ผักตบตอบตามที่รู้สึกไม่ปิดบัง
เล่นเอาฝ่ายถูกพาดพิงซึ่งประทับหล่ออยู่ตรงกันข้าม ถึงกับพระโขนงหนาเข้มขมวดเข้าหากัน เนตรคมกริบจ้องผักตบวาววับ
เขายอมรับตำหนักองค์ชายวายุภักษ์ ที่ชื่อพระตำหนักวาโยทิพย์ สวยงามทางสถาปัตยกรรม สร้างด้วยแท่นหินทั้งหลัง
มีความเป็นอาร์ตดิบแต่กลับคลาสสิคถูกใจสุดๆ เครื่องตกแต่งภายในไม่มากไม่น้อยเกินดูลงตัว ล้วนเป็นเครื่องปั้นมากกว่า
จะเป็นพวกโลหะ เหมือนที่เห็นจากตำหนักรับรองอาคันตุกะและอาณาบริเวณภายในวัง ดังนั้นตำหนักนี้จึงดูแตกต่าง
สำคัญลวดลายภาชนะเครื่องใช้ เหมือนกับเขาอยู่ในดินแดนธิเบตบนเทือกเขาหิมาลัยมากกว่าอยู่กลางทะเลทราย
รู้สึกถึงการผสมผสานทางศิลปะวัฒนธรรมซึ่งหลากหลายอยู่พอสมควร
“ฮะฮ่าๆ..นามของเจ้าคือผักตบ เช่นนั้นให้เราเรียกเจ้าตามนามนี้เป็นไรไหม” เหนือหัวกลับแย้มสรวลหัวเราะร่า
พระพักตร์ดูสำราญเบิกบานพระทัย พระองค์ทรงเห็นวาจาผักตบเป็นเรื่องรื่นเริงไปเสียนี่
“เชิญครับ..ผมไม่เข้าใจ..ฝ่าบาทขบขันคำพูดผมทำไมหรือครับ” ผักตบอนุญาตพระองค์ หลังฟังสรรพนามแทนตัว
‘บุรุษหนุ่ม’ แปร่งหูพิลึก ไม่เข้าใจเหนือหัวนึกขำคำตอบของเขา ที่บอกความรู้สึกไปตรงๆ ทำไมกัน
“โอ้! เราเผลอไร้มารยาทเสียแล้ว วายุภักษ์โอรสเราใยมิลำบากใจกว่าหลายเท่า กล้าวางใจนอนร่วมกับเจ้า..
ใยมิคำนึงว่าเจ้าอาจลอบทำร้ายในยามหลับ นั่นย่อมเป็นโอรสของเราที่เสี่ยงชีวิตมากกว่า
หากเทียบความลำบากใจของเจ้าแล้ว ผู้ใดเสียเปรียบเล่า ผักตบเจ้าว่าเรากล่าวถูกหรือไม่”
รับสั่งแบบนี้ผักตบอึ้งไปเช่นกัน เขาไม่ทันนึกถึงข้อนี้ เพราะไม่มีความคิดเรื่องลอบทำร้ายเจ้าชาย
พอเอาคำพูดที่ได้ฟังมาไตร่ตรองพานให้นึกแปลกใจ ทำไมเจ้าชายจอมเก๊กถึงกล้าเสี่ยงวางใจเขา..
“นั่นสิครับ องค์ชายไม่กลัวผมลอบทำร้ายหรือ”
คราวนี้เขาเจาะจงถามเอาคำตอบกับต้นเรื่องโดยตรง ซึ่งนั่งหน้าขรึมแต่ดันดูดีไปเสียนี่
“เพราะข้ารู้เจ้ามิกระทำเช่นนั้นแน่” คำตอบไม่ได้ให้ความกระจ่างแม้แต่น้อย
พานทำผักตบหงุดหงิด ต้องสะกดกลั้นไว้ไม่แสดงสีหน้าให้อีกฝ่ายจับความรู้สึกเขาได้
“ประมาทหรือเปล่า ผมอาจทำก็ได้”
ไม่รู้ทำไมพานพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำสวนกลับอีกฝ่าย คงเพราะหมั่นไส้ท่าทางมั่นใจของคนตรงหน้า
“หึ! เรามิเคยเจอคนร้ายกล่าวเช่นเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นบุคคลแรก หากคิดลงมือลอบทำร้ายเราจริง
ย่อมมีโอกาสนับแต่หนแรกที่พบกัน ซ้ำข้ายังให้เจ้านั่งหลังม้ากลับเข้าวัง ใยเพลานั้นไม่สะดวกกว่ามาก
กับการพาตนเข้ามาในวังหลวงซึ่งเจ้าไม่คุ้นเคยสถานที่ หากลงมือสำเร็จแล้วเจ้าจักหลบหนีเช่นไร
มารดาเจ้าเล่าใยต้องนำพามาลำบากไปกับเจ้าด้วยเช่นนี้
ทั้งหมดที่เรากล่าว ล้วนไม่ใช่องค์ประกอบของคนร้ายที่วางแผนเข้ามาสอดแนมลอบทำร้ายเราดอก
นั่นหาใช่ประมาทเพียงเราสัมผัสเจ้าได้ เจ้าไม่เคยได้รับการฝึกฝนฝีมือ บุคคลที่ผ่านการฝึกล้วนมีท่วงท่าเดินเหิน
แตกต่างคนปกติ สำคัญจิตสังหารย่อมมีติดกายไม่มากก็น้อย ต่อให้เก็บงำประกายไว้ได้เก่งกาจเพียงใด
แววตามิสามารถเก็บงำดังตัวเจ้าและมารดาเจ้าดอก เหตุผลเพียงเท่านี้พอหรือยังที่เราเชื่อว่าเจ้า
หามีจุดประสงค์มายังไตรคาน เพื่อลอบสังหารเราหรือบุคคลใดในที่นี่” ทุกคนที่นั่งฟังคำวินิจฉัยในตัวผักตบ
ต่างผงกศีรษะเบาๆ อย่างเห็นด้วยในคำพูดองค์ชาย
“คุณพูดไม่ผิด ผมไม่เคยฝึกฝีมืออย่างที่คุณยกเหตุผล แต่ไม่ได้หมายความสู้ไม่เป็น
วันนี้ผมพิสูจน์ให้คุณเห็นแล้ว คุณแพ้ย่อมแปลว่าผมไม่ธรรมดา” ผักตบยกเหตุการณ์ก่อนหน้าขึ้นอ้าง
“หึหึ! เรายอมรับพ่ายแพ้ตามเงื่อนไขที่เจ้ากำหนด เจ้าแน่ใจหรือว่าเวทย์มนต์ของเจ้าชนะเราได้
สิ่งที่เจ้าใช้ไม่มีผู้ใดไตร่ตรองให้รอบคอบ ต่างเข้าใจเป็นเวทย์มนต์ที่เจ้ากระทำขึ้น สำหรับเราเมื่อขบคิดอย่างถี่ถ้วน
เรากลับเชื่อว่าเจ้าหาได้มีเวทย์มนต์ไม่” ผักตบหรี่ตาจ้องพักตร์หล่อเหลา ที่กำลังเปิดโปงความลับเขาให้ทุกคนฟัง
ไม่แน่ใจเจ้าชายผู้นี้รู้อะไรบ้าง เขาไม่ได้ขัดรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“เราคิดว่าทุกสิ่งเกิดจากของใช้ที่เจ้ามี เรายอมรับไม่เคยพบเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน ทั้งสิ่งที่เจ้าเรียกว่ากล่องกักวิญญาณ
สิ่งที่ใช้ทำลายวัตถุแตกละเอียดไม่เป็นชิ้นดี ไม่มีใครสามารถมองได้ทัน กระนั้นเรากลับสัมผัสผ่านมวลอากาศ
คือวัตถุเป็นตัวทำลายของเหล่านั้น หาใช่เวทย์มนต์ที่จับต้องไม่ได้แต่อย่างใด กล่องกักวิญญาณของเจ้ายิ่งชวนขบคิด
หากสามารถดึงวิญญาณผู้คนไปกักไว้ในกล่อง ดุจภาพวาดเสมือนจริงจนแยกไม่ออกได้ ใยแววตาทุกคนยังคงปกติ
หาใช่ผู้ที่เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ มนุษย์ที่วิญญาณถูกชักพาออกจากร่างไปยังสิ่งอื่น มิสามารถคงสติรับรู้กระทั่งโต้ตอบเจ้าได้
สำหรับเราเชื่อยิ่งนัก เจ้าใช้เล่ห์เพทุบายในการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดกับผู้คน เราถวายรายงานต่อเสด็จพ่อ เสด็จแม่
พระปิตุลา น้องหญิงศศิธร พระอาจารย์ ก่อนหน้าที่เจ้าจะมาถึง หากแม้นความเห็นของเราไม่เป็นความจริง
เจ้าจงนำสิ่งที่เจ้าแอบอ้างมาทำร้ายเราดู เราจักพิสูจน์ให้เห็นกันตอนนี้ ว่านั่นมิใช่เวทย์มนต์แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์
ที่ทรงอานุภาพของดินแดนที่เจ้าจากมา”
ประโยคท้ายเป็นการพิสูจน์ให้ผักตบและแม่เล็ก เห็นพระอัจฉริยะภาพทางปัญญาของยุพราชหนุ่ม
ในบรรดาผู้คนที่สองแม่ลูกได้พบเจ้าชายองค์นี้ทรงพระปรีชา มีสติปัญญาฉลาดล้ำเลิศมากที่สุด
“ตบ..เจ้าชายจับไต๋แกได้แล้ว ไม่คิดนอกจากจะหล่อแล้วยังฉลาดเป็นกรด
เสียดายที่ไม่มีลูกสาว แม่จะยุให้จับเป็นลูกเขยเลยคอยดู”
“แม่พูดอะไร อย่าพาผมเขวสิ” ผักตบปรามเบาๆ หลังแม่กระซิบกระซาบบอกเขา
ปิดท้ายพาออกทะเลไปไกลโข ดันชื่นชมอีกฝ่ายจนออกนอกหน้าไปแล้ว
“เออ..แม่เผลอปลื้มไปหน่อย แกเอาไงต่อโดนแฉหมดเปลือกแล้ว” แม่เล็กยอมรับผิด
เธอลืมตัวดันปลื้มองค์ชายอย่างห้ามใจไม่อยู่ คนอะไรเพอร์เฟกเสียทุกอย่าง นี่ถ้าอยู่กรุงเทพฯ
หัวบันไดไม่มีแห้งสับรางไม่หวาดไม่ไหวกันเลยเชียว เรื่องหล่อก็ว่าสุดๆ แล้วนะ ยังฉลาดหลักแหลมอีกด้วย
“ปล่อยผมจัดการเอง แม่นิ่งๆ ไว้ก็พอ” ผักตบกระซิบบอกแม่
“อืม” แม่เล็กขานรับในคอเบาๆ ก่อนวกกลับไปจ้ององค์ชายด้วยสายตาชื่นชมไม่ปิดบัง
อีกฝ่ายทอดเนตรสบ มีแย้มสรวลให้เธอเล็กน้อย หลังอ่านเห็นแววตาชื่นชมจากเธอที่แสดงออกไม่ปิดบัง
เล่นเอาแม่เล็กถึงกับนึกเอ็นดูขึ้นมาทันที ในสายตาเธอองค์ชายคนนี้หาได้เลวร้ายไม่
“คุณพูดมาไม่ผิด ผมยอมรับว่าใช้สิ่งของที่มีให้เกิดประโยชน์ แต่เรื่องท้าทายให้ผมพิสูจน์ว่าใช้ทำร้ายคุณไม่ได้
ผมอยากทดสอบ หากสิ่งนี้ทำอะไรคุณไม่ได้อย่างที่คุณพูด ผมก็ต้องการยืนยันเช่นกัน” เขามีเหตุผลที่ต้องการรู้
เกี่ยวกับพลังเร้นลับที่อีกฝ่ายมี ว่าสามารถต้านลูกกระสุนได้หรือ
“เช่นนั้นเชิญเจ้าเถิด” องค์ชายยกหัตถ์ผายเชิญอย่างไม่อนาทร
“เอาเป็นว่าผมไม่ต้องการเห็นเลือด รบกวนคุณถือแจกันใบนี้ไว้ ผมจะจัดการของสิ่งนี้แตกกระจายบนมือคุณเลย
ถ้าทำไม่ได้แสดงว่าอาวุธวิเศษของผมใช้ทำร้ายคุณไม่ได้จริงๆ” ผักตบแนะนำองค์ชายให้หยิบแจกันที่ตั้งประดับอยู่บนโต๊ะ พระองค์ไม่ปฏิเสธกลับยอมทำง่ายๆ หยิบขึ้นมาวางบนฝ่าพระหัตถ์ยื่นมาระดับพระอุระด้านหน้า แล้วรับสั่งกับผักตบว่า
“เชิญเจ้าลงมือเถิด” ผักตบจ้องสบดวงเนตรคมกริบ ที่จ้องเขาไม่วางตาอย่างรู้สึกได้อีกฝ่ายมั่นใจมาก
ว่าเขาไม่สามารถยิงแจกันแตก ทั้งที่อยู่ในระยะไม่ถึง 5 ก้าว ใกล้แค่เอื้อมอย่าว่าห่างไปเป็นสิบเมตร เขาก็เชื่อว่ายิงไม่พลาดแน่
แต่ก็ต้องการพิสูจน์ให้รู้กันไป ตัดสินใจล้วงปืนพกที่เหน็บเอวไว้ออกมาจ่อเล็งไปยังแจกันบนฝ่าพระหัตถ์แน่วนิ่งไม่มีสั่น
แม่เล็กเห็นเช่นนั้นรีบขยับห่างลูกเล็กน้อย พร้อมเอามืออุดหูไว้เรียบร้อย คนที่เหลือต่างทำตามเธอโดยไม่ต้องรอให้บอก
เหมือนจะรู้ว่าต้องเกิดเสียงดังให้ปวดหูแน่
ส่วนคู่กรณีจดจ้องกันไม่วางตา ผักตบยังไม่ยอมเปลี่ยนสายตามายังแจกันในหัตถ์องค์ชาย
ยังคงจ้องเนตรคมกริบสู้ตาไม่กะพริบ ดวงเนตรคมก็เช่นกันกลับสบตอบนัยน์ตาสีถ่านคมดุของผักตบอย่างท้าทาย
ต่างฝ่ายต่างลองเชิงกันผ่านทางแววตา เมื่อเป็นเช่นนั้นผักตบค่อยเปลี่ยนเป้าเล็งแจกัน
พร้อมกับค่อยๆ กดไกปืนช้าๆ อย่างมีสมาธินิ่งมาก
“เปรี้ยง!..” เสียงดังขึ้น 1 นัด แต่กลับสร้างความตกตะลึงพึงเพริดให้ผักตบกับแม่เล็กเป็นอย่างยิ่ง
หัวกระสุนที่พุ่งออกจากปากกระบอกปืนไปนิ่งค้างอยู่ห่างแจกันไม่ถึงนิ้ว ลอยค้างนิ่งไม่ไหวติงเหมือนถูกหยุดเอาไว้
จากพลังลึกลับไร้สภาพที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พร้อมกับโอษฐ์ได้รูปแย้มสรวลอย่างหล่อเหลา
จากพระพักตร์ยุพราชหนุ่ม สุรเสียงทุ้มนุ่มดังตามมา
“เราใช้เกราะป้องกันของวายุธาตุ หยุดวัตถุของเจ้าไว้ นี่สินะคือตัวอันตรายที่ทำลายสิ่งของเสียหายไปก่อนหน้า
เล็กกว่าดัชนีเสียอีก ใยถึงมีอานุภาพรุนแรงยิ่งนัก” พระองค์กลับจับกระสุนมาทอดเนตรพินิจพิเคราะห์ไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
แม่เล็กอึ้งตาค้าง ผักตบคิ้วเข้มกระตุกไม่ได้พูดอะไร
“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรหรือ” พระองค์รับสั่งถาม
“ลูกปืน” คราวนี้หนุ่มกรุงหน้าหล่อขาววิ้งค์ๆ ตอบด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“ลูกปืนผู้ใดให้กำเนิด หรือจักเป็นสิ่งที่อยู่ในมือเจ้า เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าถืออยู่ย่อมเป็นมารดาปืนใช่หรือไม่”
“แค่กๆๆ!!...ฮะฮ่าๆๆ!!..กร๊ากก!!.ฮะฮ่าๆๆ” ผักตบถึงกับสำลักน้ำลายเผลอไอหน้าแดง
ในขณะที่แม่เล็กดันหัวเราะสนั่นขำก๊ากอย่างลืมรักษามารยาท สร้างความงุนงงสงสัยไปทั้งคณะกับอาการหัวเราะของเธอ
“มีอันใดให้ขบขัน มารดาของผักตบ” องค์ชายที่ไม่รู้จะโกรธหรือหัวเราะตามเธอดี
พระพักตร์แดงก่ำ ด้วยรู้องค์ว่าทำขายพระพักตร์ที่ด่วนสรุปรีบเรียกวัตถุรูปร่างประหลาดในมือผักตบไปเสียก่อน
“ขอโทษนะเจ้าชาย ฉันไม่ตั้งใจหัวเราะแต่มันอดไม่อยู่ เกิดมาเพิ่งได้ยินหนแรกในชีวิต ‘มารดาปืน’ ฮะฮ่าๆ”
พูดจบหัวเราะต่อด้วยอาการเดิม
“แม่!..เบาหน่อย..” ผักตบปรามแม่เล็ก ด้วยอาการกลั้นขำจนต้องเกร็งหน้าท้อง พยายามเก๊กหน้าเข้มอย่างยากลำบาก
เขาทั้งขำความคิดองค์ชายมาดเยอะ และขำท่าทางหัวเราะไม่เกรงใจใครของแม่ตัวเอง
“เจ้าบอกเรามา เรากล่าววาจาใดผิด มารดาเจ้าถึงขบขันเราใหญ่” คราวนี้พระองค์ร้อนพระทัย กลับไปไล่เบี้ยผักตบแทน
“แม่ผมเขาขำคุณเรียกเจ้านี้ว่ามารดาปืน..คึคึ!” คราวนี่ผักตบเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีแอบหัวเราะในคอเสียเอง
เขาอุตส่าห์กลั้นไว้แทบตาย ดันเสือกให้เป็นคนพูด พอพูดแล้วก็อดขำตามแม่ไม่ได้
“เช่นนั้นเราควรเรียกว่าเยี่ยงไร เจ้าบอกเราเองสิ่งนี้มีนามว่าลูกปืน ซึ่งออกมาจากสิ่งที่เจ้าถืออยู่ ใยสิ่งนั้นมิใช่มารดาดอกหรือ”
พระองค์ยังคงต้องการคำอธิบาย หากคิดหยาบๆ เหมือนคนฉลาดโง่ในเรื่องที่ไม่ควรโง่
แต่ถ้าคิดให้ละเอียดองค์ชายผู้นี้ไม่ได้โง่ แต่ซื่อมากกว่า..
“ไอ้นี่เรียกว่า ปืน..ไม่มีคำว่ามารดา ปืนเฉยๆ ไม่ต้องเติมคำว่ามารดาให้หรอก พระองค์ไม่ได้เข้าใจผิด
เพียงแต่คิดต่างมุมเท่านั้น อย่าใส่ใจแม่ผมเลย แกเส้นตื้นประจำ” คราวนี้ผักตบตัดบท อธิบายรวบยอดสั้นๆ
“เรียกว่าปืน..ดูวิธีการใช้ของเจ้ามิเปลืองแรงแต่อย่างใด เราย่อมใช้ได้ไม่ยาก ไว้มีโอกาสเราจักให้เจ้าฝึกสอน
ลองใช้ดูได้หรือไม่” ขอกันซึ่งหน้าแบบนี้ ผักตบมีหรือจะกล้าปฏิเสธ ในเมื่อพึ่งพาเขาอยู่ทุกเรื่อง
“ผมรับปาก ไว้มีเวลาจะสอนให้” พระองค์รับฟังเช่นนั้น พลันแย้มสรวลกว้างเป็นครั้งแรก
สายพระเนตรทอดไมตรีมาให้อย่างอบอุ่น เล่นเอาผักตบที่ไม่ทันตั้งตัว รู้สึกแปลกๆ ไม่กล้ามองเสียอย่างนั้น
“เอาเถอะ..เมื่อพิสูจน์ในสิ่งที่วายุภักษ์คาดการณ์เสร็จสิ้นลงแล้ว เราควรเข้าเรื่องสำคัญเสียที เชิญเถิดท่านมหาโหรา”
องค์เหนือหัวอนิละเป็นผู้รับสั่ง ก่อนมอบหมายให้มหาโหราผู้เฒ่ารับช่วงต่อ
“ผักตบ ข้าใคร่ขอชมปานอัคคีตรงอกซ้ายของเจ้าได้หรือไม่”
ไม่รอช้าผู้เฒ่าผมขาวโพลนที่มวยเก็บเรียบร้อยเอ่ยปากขอผักตบดื้อๆ
“รู้ได้ยังไงว่าผมมีปานตรงอกซ้าย” เขาขอคำตอบ
“เราได้รับรายงานจากบุปผา ราตรี ว่าเจ้ามีปานอัคคีตรงอกซ้าย” คำตอบตามมา
“แสดงว่าพวกคุณส่งคนตรวจสอบผม” ผักตบถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจที่ถูกละเมิดสิทธิส่วนตัว
“อย่าได้มีโทสะ สิ่งนี้จำเป็นยิ่งกับพวกเราทั้งแผ่นดิน เจ้ายอมลดทิฐิอนุญาตในสิ่งที่เราขอเถอะ
แล้วความจริงทุกอย่างเราจักอธิบายให้เจ้ารับรู้หลังจากนั้น โดยมิคิดปิดบังอำพรางแต่ประการใด เราให้สัตย์แก่เจ้า”
เจอน้ำเสียงบวกแววตาไม่โกหก ผักตบจึงหันมาสบตากับแม่เล็ก แม่ได้แต่ส่งสายตาบอกใบ้ให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจ
“ก็ได้..หลังจากนั้นต้องเล่าให้ผมรู้ตามที่รับปาก” ไม่ลืมย้ำ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” มหาโหราตอบน้ำเสียงหนักแน่น จึงไม่มีอะไรที่ผักตบต้องกังวล
ค่อยปลดคอเสื้อที่ใส่อยู่ก่อนจะร่นออกจากไหล่ให้เผยหน้าอกหนั่นแน่นสมบูรณ์ด้วยวัยหนุ่มฉกรรจ์
ผิวขาวละเอียดต่อสายตาคนทั้งหมด ที่ต่างจ้องด้วยความรู้สึกแตกต่าง องค์หญิงศศิธรถึงกับพักตร์แดงเรื่อ
ขวยอายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นผิวขาวดุจน้ำนมของบุรุษที่เธอหักห้ามใจไม่ให้คิดว่าเขาหล่อเหลายิ่งนัก
โดยใช้องค์ชายวายุภักษ์มากดผักตบให้ดูด้อยลง สุดท้ายก็ต้องยอมรับในพระทัย
‘ผักตบช่างเป็นบุรุษที่งดงามหล่อเหลาปานรูปสลัก ผิวละมุนขาวนวลดุจศิลาเนื้อดี ยากมีบุรุษใดเทียม’
ความคิดนี้หาใช่มีแต่องค์หญิงวัยกำดัดเท่านั้น พระมเหสีเองยังนึกชื่นชมรูปร่างหน้าตาผิวพรรณ
ที่เปล่งวรรณะสูงส่งของผักตบ องค์ชายวายุภักษ์เองกลับนึกสงสัย ผิวขาวนวลตรงหน้าจักหยาบหรือนุ่มหยุ่นมือ
ในเมื่อประดับอยู่บนร่างของบุรุษ พระองค์ก็อยากจะมีคำตอบ สุดท้ายทุกคนก็มุ่งความสนใจไปยังปานไฟสีแดงเพลิง
ที่เห็นชัดตรงราวนมด้านซ้าย
“ไม่ผิดไปจากนี้ สัญลักษณ์ผู้ถือครองมหาธาตุอัคคี” มหาโหราเปรยขึ้นมา
“ของแท้แน่แล้ว” เหนือหัวตรัสขึ้นอีกองค์
“หนึ่งในสี่ ผู้ถือครองมหาธาตุ” พระเชษฐาเหนือหัวรับสั่งปิดท้าย
มาอัพตามสัญญานะคะ เลทไปเยอะ แต่ก็พยายามเต็มที่แล้วค่ะ ยังไม่ได้เกลาคำผิดเลย
ผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ ไว้เจอกันอีกทีขอเป็นวันศุกร์ทีเดียวเลยนะคะ ขอพักรักษาตัวก่อน
ขอบคุณทุกกำลังใจแทนความห่วงใยที่ส่งมาให้ สัญญาไม่ดองนานค่ะ วันศุกร์เจอกันคนอ่านที่น่ารัก
อ่านแล้วนอนหลับฝันดีทุกคนค่ะ
