- 2 -“เช่นนั้นเจ้าไม่ยินยอม เราเพิ่งเจอผู้กล้าขัดรับสั่ง หากเจ้ายืนกรานให้เราเป็นผู้รับการทดสอบ ก่อนอื่นเจ้าลองประจักษ์ในฝีมือของเราดูก่อน”
พูดจบพระองค์ยกหัตถ์ขวาชูสุดพระกร พร้อมรับสั่งเสียงทุ้มกังวานให้ได้ยิน
“สายลมแห่งเรา จงฟังเรา ณ บัดนี้” สิ้นสุรเสียง ผักตบถึงกับรีบกันแม่เล็กให้ออกห่างตัวทันที
เพราะรับรู้ถึงมวลอากาศผิดปกติกดดันหมุนวนอยู่รอบร่าง ในความรู้สึกที่คุ้นเคยมาก
ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ในบ้านก่อนเขาหมดสติ พลันวูบขึ้นในหัว..เขาเห็นมวลน้ำหนาแน่นหมุนเป็นเกลียวสว่าน
ตีวงกว้างโอบล้อมเขากับแม่ ก่อนสติจะดับมืดไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ไม่ต่างกับตอนนี้ เพียงแต่ไม่ใช่น้ำ
เป็นกระแสลมที่หมุนวนรอบร่างทำเอาชุดที่ใส่ปลิวแนบตัว ทรงตัวจวนไม่อยู่แล้วตอนนี้
“เจ้าจักแก้ไขเช่นไร เราใยไม่สัมผัสถึงกระแสมหาธาตุอัคคีต่อต้าน แม้แต่เกราะป้องกันรอบกายเจ้าหามีไม่
เช่นนี้เราสามารถยกร่างของเจ้ากระแทกพื้นได้ในพริบตา” พูดจบร่างของผักตบลอยขึ้นจากพื้น
ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่มองอย่างตื่นตะลึง ถึงพวกเขาจะรู้องค์ชายคือเจ้าแห่งสายลม
แต่น้อยคนจะได้เห็นพลังที่พระองค์สำแดง ต่างจากมหาโหรากับกลกะลา พวกเขาคุ้นชินเป็นอย่างดี
นี่เพียงแค่สั่งสอนเล็กน้อยของพระองค์ ไม่ได้หวังทำร้ายผักตบให้บาดเจ็บแต่อย่างใด
“ผักตบ..ตบลูกแม่ ปล่อยลูกฉันเถอะค่ะเจ้าชาย ตายแล้วเอามันลงมา เดี๋ยวได้ตกคอหักกันพอดี”
แม่เล็กโวยวาย หลังได้สติจากที่ถูกลูกดันเธอถอยออกห่าง หันไปอีกทีลูกตกอยู่ในวงล้อมลมพายุหมุนรอบร่างแล้ว
คนอื่นไม่ได้โดนไปด้วย ตอนนี้ผักตบตัวลอยสูงขึ้นจากพื้นเหนือหัวทุกคน ต้องแหงนหน้ามอง
องค์ชายกลับยืนยิ้มมุมปาก เหมือนผู้ใหญ่กำลังสนุกในการกลั่นแกล้งเด็กเสียอย่างนั้น
“เจ้าจักยอมแพ้หรือไม่ หากยอมแพ้เราจักพาลงสู่พื้น” ทรงรับสั่งถามผักตบ
ซึ่งลอยเคว้งกลางอากาศสีหน้าดูลำบากใจ ก่อนกลับมานิ่งขรึมจ้องมองคนถามเขม็ง โดยไม่ยอมเอ่ยปากตอบ
ในขณะที่ทุกคนกำลังรอดูว่า ผักตบจะปริปากยอมแพ้หรือเปล่า กลับต้องตกใจแตกฮือ
กระโดดหนีอุดหูกันจ้าละหวั่น แม้แต่องค์ชายยังต้องกระโดดลอยวรองค์..ห่างไปเป็นสิบก้าวด้วยเช่นกัน
“ปังๆๆๆ!!!..เพล้งๆๆ!!..เปรี้ยง!!..เพล้งๆๆ!!..ว๊ากกก!..เฮ้ยยย!!” เสียงปืนรัวกว่าสิบนัดต่อเนื่องไม่หยุด
กระถาง โคมไฟ คบเพลิง ของตกแต่งแตกกระจายดังสนั่นลั่นบริเวณ แต่กลับไม่มีใครบาดเจ็บ ต่างกระโดดวิ่งหลบอุตลุต
ผักตบไม่คิดจะยิงใส่คน เขาเลือกเล็งเป้าไปยังสิ่งของ พานแตกระเนระนาด ผู้คนต่างวิ่งหลบกระสุนปืนอุตลุต
“ปล่อยผมได้หรือยัง คุณแพ้แล้วองค์ชาย คุณขยับกว่าสิบก้าว รักษาคำพูดใช่ไหม”
เสียงตวาดถามดังจากร่างที่ลอยสูงเหนือพื้น ในมือมีปืนพกสั้นถืออยู่ ฝ่ายถูกถามถึงกับจนคำพูดหลักฐานเห็นกันทนโท่
ยุพราชหนุ่มลอยตัวด้วยพลังลม ออกห่างกระถางที่แตกกระเด็นหนีไกลเป็นสิบก้าว แม้แต่กลกะลา มหาโหรา
เสนาอำมาตย์ฟากเดียวกัน ต่างวิ่งหัวซุกหัวซุ่นแอบตามหลังเสาคนละต้นสองต้น
บางต้นอยู่ถึงสองคนกอดกันตัวสั่น..ยกมือปิดหูไว้แน่น
“นี่เป็นเวทย์มนต์ใด ใยมีพลังทำลายรุนแรงแหลมคมถึงเพียงนี้” มหาโหราผู้เฒ่าเปรยให้ได้ยิน
ทุกคนค่อยโผล่หน้าออกมาดูกล้าๆ กลัวๆ ต่างตั้งคำถามในใจด้วยเช่นกัน
“เป็นเวทย์มนต์ที่ไม่มีในแผ่นดินนี่หรอก” ผักตบพูดขึ้น ในสภาพที่ยังลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ
“เจ้าเป็นผู้ชนะ” รับสั่งจบ ร่างผักตบลอยสู่พื้นอย่างมั่นคง พร้อมกับแม่เล็กที่ยืนอุดหู
ได้สติวิ่งเข้าไปรวบกอดลูกชายแน่น ผักตบกอดกระชับปลอบขวัญแม่ตอบ แม่คงตกใจพอดูที่เขายิงปืนรัวกระหน่ำ
“ขอโทษครับแม่ ที่ทำให้ตกใจ” เขารีบขอโทษแม่เล็ก
“เรื่องนั้นไม่เป็นไร แม่ห่วงกลัวแกจะเป็นอันตราย คนพวกนี้ล้วนมีคาถาอาคมน่ากลัวนะตบ ดีที่แกมีปืนพวกมันไม่รู้จัก”
ผู้เป็นแม่รีบพูดให้ลูกสบายใจ มือไม้ลูบคลำตามร่างกายสำรวจว่าลูกบาดเจ็บตรงไหนหรือไหม
“ผมไม่เป็นไรครับเขาแค่ขู่ ถ้าเหวี่ยงกระแทกพื้นก็ไม่แน่ อาจม้ามแตกตายได้เหมือนกัน”
ผักตบพูดหน้านิ่ง แอบติดตลกปิดท้าย
“ยังมีหน้าทำขำ หน้าสิ่วหน้าขวานอยู่ด้วย” แม่ดุเบาๆ ไม่จริงจัง
“แม่ดูหน้าพวกเขาสิ กลายเป็นกลัวเราไปแล้ว คนเรามักกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก เป็นหลักจิตวิทยาทั่วไป
แค่นำมาใช้กับคนพวกนี้ โชคดีเรามีของเล่นมาเยอะ บางทีพวกเขาอาจคิดว่าเราเป็นจอมขมังเวทย์ไปแล้วด้วยมั้ง”
ผักตบพูดไม่ผิด พอเธอหันไปสำรวจ แต่ละคนไม่กล้าสู้ตาเธอเลย ยืนก้มงุดซุบซิบกันใหญ่
ยกเว้นองค์ชายคู่กรณีดูนิ่งเฉยควบคุมตัวเองได้มั่นคงกว่าใคร ยังมีมหาโหรายืนคิ้วขมวดข้างองค์ชาย
ส่วนองครักษ์พิทักษ์นายจ้องผักตบอึ้ง แม้สีหน้าไม่ออกอาการหวาดกลัว แต่แววตาดูสับสนมึนงงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
อาจไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่เห็นอยู่ก็ได้
“คึคึ! ถ้าจะเป็นอย่างที่แกพูด พวกนี้ไม่รู้จักปืน” แม่แอบหัวเราะเมื่อมั่นใจไม่มีใครรู้จักอาวุธในยุคสมัยที่เธอกับลูกจากมา
“ผมกับแม่ ขอตัวไปห้องพักได้หรือยัง..เจ้าชาย” ผักตบต้องการปลีกตัวออกจากตรงนี้โดยเร็ว
“เช่นนั้นเราจักให้กลกะลาเป็นผู้นำเจ้าไป” ผักตบปฏิเสธทันควัน
“ไม่รบกวนดีกว่า ผมกลับถูกทางอยู่หรอก”
“เข้าใจผิดแล้ว นับแต่เจ้ายื่นข้อเสนอให้มารดาพักร่วมตำหนัก เรามีรับสั่งให้ย้ายของเจ้ามายังตำหนักวาโยทิพย์เจ้ามิรู้ทางดอก
หาใช่ตำหนักรับรองอาคันตุกะ ที่เจ้าพำนักราตรีที่ผ่านมาแล้ว” ฟังแบบนี้ผักตบถึงกับคิ้วมุ่นเข้าหากัน
“หมายความว่าไง ย้ายกระเป๋า..หมายถึงสิ่งของที่คุณบอกครับ” ต้องแปลตามด้วย หลังอีกฝ่ายคิ้วกระตุกไม่เข้าใจที่เขาพูด
“ในวังล้วนมีกฎระเบียบเคร่งครัด บุรุษสตรีมิอาจพำนักร่วมกันได้ องค์ชายจึงมีพระบัญชาให้เจ้ากับมารดา
ไปพำนักยังตำหนักส่วนพระองค์ ถือเป็นเกียรติสูงสุดที่เจ้าได้รับ สมควรขอบพระทัยที่ทรงต้อนรับพวกเจ้าในตำหนัก
ยังมิเคยมีผู้ใดได้รับเกียรติเช่นนี้ พวกเจ้าเป็นบุคคลแรก” กลกะลาเป็นผู้อธิบายให้ผักตบกับแม่เล็กฟัง
สองแม่ลูกหันมองหน้ากัน ผักตบค่อยหันกลับไปจ้องเจ้าของตำหนักโดยตรง
“ผมขอบคุณที่กรุณาให้ไปพักในตำหนัก ว่าแต่ผมกับแม่นอนห้องเดียวกันใช่ไหมครับ”
องค์ชายรูปงามถึงกับขมวดพระโขนง พยายามสะกดกลั้นไม่ให้แย้มสรวลหัวเราะคำถามของผักตบ
“เจ้ากังวลสิ่งใด ตำหนักเรามีสองห้องย่อมมิอาจพำนักร่วมกับมารดาเจ้า หรือกลัวพำนักร่วมกับเราเช่นนั้นหรือ”
พระองค์ถามสีพระพักตร์ขบขัน สังเกตจากสายพระเนตรระริกไหว แม้นไม่แย้มสรวลหลุดหัวเราะ
แต่บรรดาคนคุ้นเคยพอดูรู้ กลับพากันสงสัยในพระอารมณ์สุนทรีที่บังเกิดกับองค์ชายของพวกตน
“พูดจริงหรือพูดเล่น ยังไงผมก็ไม่พักร่วมกับคุณแน่ ผมไม่ชินนอนกับคนแปลกหน้า ถ้ามีสองห้องผมนอนกับแม่
ไม่ใช่กลัวอย่างที่บอกผมไม่ชินนอนกับคนไม่คุ้น” ผักตบตอบเสียงเข้ม หน้าขาวหล่อจ้องสบตาที่แสดงอาการตลก
จนเขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“เราเห็นว่าเจ้าควรปรับให้คุ้นเคยไว้ ยามที่ต้องพักแรมนอกวังเจ้ามิอาจนอนลำพัง แผ่นดินทะเลทรายล้วนมีข้อจำกัด
เจ้ามาจากดินแดนปริศนาควรหัดเรียนรู้เสียตอนนี้ เราหาได้ล้อเล่นตำหนักของเรามีสองห้อง
ไม่สมควรที่บุรุษสตรีพึงพำนักร่วมกัน ถือว่าผิดกฎมณเฑียรที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยเคร่งครัด
เว้นเสียแต่คู่วิวาห์ เจ้ากับมารดาหาได้เข้าข่ายเงื่อนไขนี้แต่ประการใด เรารับปากเพียงยอมให้มารดาพำนักตำหนักเดียวกับเจ้า
สามารถอาบน้ำตามที่เจ้าร้องขอ ยกเว้นพำนักห้องหับเดียวกัน เพียงนำมารดาเจ้าออกจากตำหนักของสตรี
ถือว่าอ่อนข้อให้เจ้ามากแล้ว หวังว่าเจ้าคงไม่ทำให้เราลำบากใจไปกว่านี้”
เจอไม้นี้เข้าผักตบกลืนน้ำลายเหนียว สายตาผู้ร่วมเหตุการณ์ยืนยันว่าองค์ชายของพวกเขาไม่ได้โกหก
แถมยังส่งสายตากดดันให้ผักตบซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงเสียสละพระตำหนักส่วนพระองค์
“สรุป..ผมพักห้องไหน” เขาต้องการคำยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง
“ย่อมเป็นห้องบรรทมของเรา”
“หา!!!” คราวนี้ทั้งเสียงของผักตบและแม่เล็ก ที่ขานขึ้นพร้อมกัน
“เจ้ามีอันใดไม่สะดวก หากยืนกรานลำบากใจที่เจ้าไม่คุ้นพำนักร่วมห้องบุคคลแปลกหน้า
ถือว่าเจ้ากับเราเจอกันแล้วย่อมไม่ใช่คนแปลกหน้าอีก เราเองใช่สะดวกใจนัก ด้วยจำเป็นมิอาจให้เจ้าพำนักห้องอื่นใด
ตำหนักเรามีห้องหับเพียงสองหามีมากกว่านั้น คิดเสียว่าเจ้าอาศัยหลับนอนใยต้องยุ่งยากมากความ
ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ยื่นข้อเสนอแก่เราเองมิใช่” เจอย้อนเหมือนพระองค์เป็นผู้เสียสละ ผักตบกลายเป็นคนสร้างปัญหาขึ้น
ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันกลายเป็นแบบนี้
“ตำหนักอาคันตุกะเดิมล่ะครับ ทำไมผมกับแม่พักที่นั่นไม่ได้
ขอเหตุผลดีๆ สักข้อ ให้ผมตัดสินใจหน่อยได้ไหม” เขายังไม่ยอมแพ้
“เราบอกเจ้าไปแล้วบุรุษ วังหลวงแบ่งแยกชัด ฝ่ายในเป็นส่วนของสตรีพำนัก มีพระมารดาเราดูแล
พร้อมนางข้าหลวงคอยดูแลเหล่าสตรีในวังทั้งหมด ฝ่ายนอกคือที่พำนักของบุรุษ
ไม่เว้นกระทั่งตำหนักพระบิดาและตำหนักวาโยทิพย์ของเราก็เช่นกัน เจ้ายังมีข้อสงสัยอันใดอีกหรือ
หากเราไม่นำเจ้ากับมารดามาไว้ยังตำหนัก ใยมิกลายเป็นเรื่องครหาให้ผู้คนนินทาไปทั่ววัง
กับอภิสิทธิ์ที่พวกเจ้าได้รับการยกเว้น กษัตริย์ครองนครเสด็จพ่อของเรายังมิพำนักร่วมตำหนักกับเสด็จแม่
เช่นนี้แล้วเจ้าเข้าใจหรือไม่” เจอเหตุผลที่เขาไม่คิดว่าขนบธรรมเนียมในวัง จะเคร่งระเบียบกันขนาดนี้
ถึงกับเป็นเรื่องที่ยืดหยุ่นไม่ได้ จึงไม่สามารถพูดแย้งได้อีก
“ผมต้องร่วมห้องกับ..คุณ” ผักตบย้ำช้าๆ เน้นๆ อีกเป็นครั้ง
“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว” องค์ชายยืนกราน
“ตบยอมเถอะลูก ยังไงแม่กับแกก็อยู่ใกล้กัน ดีกว่าแยกกันนะลูก ขืนดื้อเพ่งแม่ว่าเรื่องจะไม่จบ
ดูท่าแล้วฝ่ายนี้เขาไม่ยอมให้เราแม่ลูกนอนร่วมห้องแน่ บางทีธรรมเนียมของเขาเคร่ง
จนเราก็ไม่สามารถบังคับให้เขาตามใจเราได้นะตบ” แม่เล็กจับแขนลูกเอ่ยให้สติ
เมื่อเห็นอาการของผักตบอิหลักอิเหลื่อ กับการที่ต้องนอนร่วมห้ององค์ชายเจ้าของตำหนัก
“หวังว่าห้องคุณมีเตียงคู่ ไม่ใช่เตียงเดี่ยว” ลูกชายแม้จะยอมถอยแต่ก็ยังไม่หมดปัญหา
“เจ้าหมายถึงสิ่งใด” พระองค์กลับเป็นฝ่ายงง
“ผมหมายถึงมีเตียงนอนกี่เตียง คงไม่ใช่เตียงเดียวใช่ไหม” คราวนี้อธิบายให้ชัดเจนกว่าเดิม
“นั่นไม่ต้องกังวล แม้นเรามีร่างกายใหญ่โต แต่เตียงบรรทมกลับกว้างพอให้คนรูปร่างเท่าเรานอนได้ถึงสี่คน”
คำตอบไปคนละทาง
“ที่พูดนี่..ไม่ได้แปลว่าผมต้องนอนเตียงเดียวกับคุณ” ผักตบถามช้าๆ แอบกังวลในใจไปด้วย
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ยุพราชหนุ่มตอบสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
“ไม่ได้!!” ปฏิเสธทันที เผลอเสียงเข้มจนคนฟังสะดุ้งตามเป็นแถว
“มีอันใดไม่สะดวก เราเป็นบุรุษ เจ้าเป็นบุรุษ หามีสิ่งใดต้องกังวล”
ผักตบจนคำพูดกับสิ่งที่อีกฝ่ายยกอ้าง เพียงรู้อยู่แก่ใจกูเป็นผู้ชายที่มีมดลูกมีประจำเดือนไม่เหมือนมึงนี่หว่า!
แต่เรื่องนี้ได้แต่ก่นบ่นในใจ
“ตกลงผมไม่เหลือทางเลือก” อดถามถึงทางเลือกอีกครั้ง
“เว้นเสียแต่เจ้ายอมให้มารดาพำนักฝ่ายใน ย่อมมิเป็นปัญหาที่เจ้าจักพำนักห้องว่างในตำหนักเรา
หรือจักกลับไปพำนักตำหนักรับรองอาคันตุกะดังเดิมก็ย่อมได้” หมดคำถาม ให้เขาเลือกแยกกับแม่
เขาเลือกอย่างแรกดีกว่า ขืนห่างตาไม่รู้ว่าแม่จะพบเจออะไรบ้างกับสถานที่และผู้คนต่างยุคสมัย
มีพลังเวทย์มนต์คาถา ในรั้วในวังที่ถือยศฐาบันดาศักดิ์ ผิดพลาดอะไรขึ้นเขากลัวจะช่วยเหลือแม่ไม่ทันการ
“เอาเถอะ ให้คนของคุณนำไป” สุดท้ายก็ต้องยอมทอดเสียงอย่างจนหนทาง
ก่อนพระองค์จะรับสั่งให้กลกะลานำสองแม่ลูกไปยังตำหนักวาโยทิพย์
คณะติดตามเริ่มทยอยแยกย้ายไปทำหน้าที่ ส่วนองค์ชายและพระอาจารย์ทรงแยกไปอีกทาง คงไปรอยังห้องรับรองพิเศษ...
มาอัพให้ก่อน 70% ส่วนที่เหลือ มาอัพต่อคืนนี้ไม่เกิน 3 ทุ่มนะคะ
ไม่ได้ทยอยอัพ แต่เราป่วยหนัก เสียงไม่มีพูดแล้วด้วยซ้ำ กำลังเร่งตรวจแก้ไข
ในส่วนที่เหลืออยู่ค่ะ มันยังไม่โอเคเลยยังไม่กล้าอัพ หวังว่าเข้าใจด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามและรอคอยกันตลอดมา ต้อนรับนักอ่านที่เพิ่งอ่านเรื่องนี้
และฝากติดตามผลงานเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้ด้วยนะคะ รักคนอ่านทุกคน
ขอบคุณอีกครั้งกับกำลังใจและความห่วงใยที่มอบให้ คราวนี้เป็นนานมากอ่ะ..เฮ้อ! 