- 2 -“ไม่ง่ายหรอก..วังหลวงใช่พวกเจ้าจักทำตามอำเภอใจ” เป็นครั้งแรกที่เสียงห้าวกระด้าง แฝงพลังข่มขู่จะเอ่ยวาจา พร้อมกับห่วงโซ่สะบัดใส่
เป็นสาเหตุให้พวกนางสู้ประชิดไม่ได้ อาวุธที่ถนัดตกเป็นรอง เคียวคมใช้ต่อสู้ประชิดตัว
เมื่อมีสายโซ่รวดเร็วรุนแรงเป็นอุปสรรค ทำให้เข้าคลุกวงในไม่ได้ อาวุธพวกนางก็ไม่สามารถสำแดงประสิทธิภาพ
ซ้ำตอนนี้กลับเป็นฝ่ายบาดเจ็บ เมื่อบุรุษชุดดำพัวพันไม่ให้พวกนางเปิดช่องหนี ความเร็วและแรงของโซ่ที่ซัดเหวี่ยงแต่ละครั้ง
ทำข้อแขนพวกนางปวดร้าวไปถึงกระดูก ต่างโดนโซ่หวดใส่เหมือนถูกแส้คมฟาดฟัน สะท้านเฮือกเจ็บร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย
หนึ่งในสองถึงกับเข่าทรุดเมื่อถูกฟาดใส่สะบ้าเข่าเข้าเต็มเหนี่ยว
“ผลั๊วะ! อัก!..กรี๊ด!!!!” เสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังประสานกันทันที หนึ่งนางหลังแอ่นเพราะโดนเต็มแผ่นหลัง
ถึงกับถลาร่างดังนกปีกหักเข้าพยุงคนที่ทรุดกองกับพื้น เหมือนหัวเข่าหลุดไปก่อนหน้านี้
“หลบเร็ว!” ผู้เฒ่าชราตะโกนบอก พร้อมมือเหี่ยวย่นล้วงในถุงย่ามตวัดสวนมือบางของนางคนหนึ่ง
ที่กำมือเหวี่ยงขึ้นในอากาศ แม้จะมองไม่เห็นว่านางเหวี่ยงสิ่งใด สัญชาตญาณผู้กรำโลกมาค่อนศตวรรษ
พานนึกรู้ในทันทีว่านางกำลังใช้พิษ
“พิษแมงมุมดำ” บุรุษชุดดำพลิ้วกายถอยฉากมายืนตีคู่ผู้เฒ่าชรา ซึ่งตวัดฝ่ามือจนเกิดเศษฝุ่นขาวฟุ้งกระจาย
ตลบอบอวลไปทั่วในอากาศ แต่ไม่ถึงกับทำลายทัศนียภาพการมองเห็น สองดรุณีประคองกันยืนอย่างทุลักทุเล
หน้านวลผุดเหงื่อซึมหายใจหอบ สีหน้าบ่งบอกเจ็บปวดยิ่ง
“ตาแก่มีผงพิรุณต้านพิษ” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้าจนมุมแล้ว ยอมจำนนเถอะ..คนเผ่าแมงมุมดำ!”
นอกประตูมีการต่อสู้ปานฟ้าถล่ม แต่ภายในห้องบรรทมเหนือหัวองค์ยุพราชหนุ่มรัชทายาทไตรคาน
กลับจมดิ่งในภวังค์ว่างเปล่าของสมาธิ ไม่รับรู้ถึงการปะทะแต่อย่างใด ทรงเดินพลังมหาธาตุวายุขับพิษ
ออกจากพระวรกายเหนือหัวอนิละ สังเกตรัศมีรายล้อมพระวรกายมีควันสีดำอมเทาระเหยออกมา
จนเริ่มเบาบางจางลงเรื่อยๆ กลายเป็นไอสีขาวเพิ่มมากขึ้น บ่งบอกถึงความสำเร็จในการขับพิษให้กับพระบิดา
สีพระพักตร์เขียวคล้ำก่อนหน้า เริ่มซับสีโลหิตประหนึ่งผู้คนปกติ พระพักตร์คมคายหล่อเหลาองค์ยุพราช
แม้มีหยาดเหงื่อไหลย้อยพระหนุจนหยดลงบนฉลองพระองค์ สีพักตร์ขาวซีดเกิดจากใช้พลังจิตไปมหาศาล
แต่พระองค์ยังคงสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการขยับพระวรกายแม้แต่น้อย
เชื่อว่าอีกไม่นานทุกอย่างคงเรียบร้อย รัชทายาทไตรคานสามารถช่วยชีวิตเหนือหัวของพสกนิกรสำเร็จ
ที่สำคัญคนร้ายถูกจับแล้ว องครักษ์ส่วนพระองค์ไม่ทำให้ผิดหวัง..ดังสัจจะวาจาที่ได้ให้ไว้
>
>
‘ร้อน!..เหมือนถูกไฟคลอก หายใจลำบาก’ ร่างสูงใหญ่นอนบนฟูกปูพื้นเหงื่อกาบแตกพลั่ก ค่อยลืมตาในความมืด
รู้สึกหายใจติดขัดเหมือนกำลังสูดควันเข้าไป กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่ว สำคัญคือเขารู้สึกร้อน
“ไฟไหม้!..” กระเด้งตัวลุกอย่างเร็ว ในสภาพสวมบ็อกเซอร์เสื้อยืด พุ่งร่างออกจากประตู
เมื่อเห็นกลุ่มควันขาวพร้อมกลิ่นเหม็นไหม้ปกคลุมอยู่ทั่วห้อง โผล่ออกมาถึงกับม่านตาเบิกโพลง
ไฟไหม้ลามไปทั่วบ้าน ได้ยินเสียงตะโกนเอ็ดอึงอลหม่านของผู้คนด้านนอก ที่กำลังแตกตื่นกันอยู่
“ตบ..ช่วยแม่ด้วย” เสียงตะโกนดังให้ได้ยิน ไม่เสียเวลาร่างสูงถลาไปยังประตูห้องแม่
เห็นเลือนรางเพราะเขม่าควันปกคลุมหมด แต่ยังพอให้รู้ทิศว่าจุดนี้คือประตูห้องนอนของแม่..ตามความคุ้นเคย
เอื้อมมือสัมผัสถึงกับชักมือกลับอย่างเร็ว ร้อนเกินกว่ามือเปล่าจะจับลูกบิดได้ ไม่เสียเวลาฝ่าเท้าใหญ่ส่งแรงถีบเต็มเหนี่ยว
ยันประตูดังสนั่น ประตูไม้ซ่อมซอถึงกับหลุดกระเด็น ตามแรงถีบมหาศาลจนแตกกระจาย
“โครม!!..แม่ครับ” ร้อนจนเหงื่อโชกไปทั้งตัว
“แค่กๆๆ!!!..แม่อยู่นี่” เสียงดังขึ้นรีบหันกายก้าวเข้าหา ร่างบางนั่งเอาผ้าปิดจมูก น้ำตาไหลพรากบดบังการมองไปแล้ว
พอเขาเอื้อมมือสัมผัส เธอโผตัวเข้ากอดลูกชาย ด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวนบ่งบอกตกใจสุดขีด
“ไฟไหม้หนีเร็วตบ!” เขารวบกอดแม่แน่น รับรู้ถึงกระเป๋าสัมภาระ ที่แม่กระชับติดมือมั่นไม่ยอมปล่อย
“ไปครับ..” ประคองแม่ออกทางประตู ทุลักทุเลพอสมควร
เปลวเพลิงลุกท่วมไปทั่วขื่อคาน เสียงไม้ปริแตกจากการถูกเผาให้ได้ยินไม่ขาด อีกไม่กี่นาทีอาจทรุดตกลงมาแน่
ยังดีแม้ไฟจะลุกลามในเวลารวดเร็ว กลุ่มควันฟุ้งตลบกลับยังไม่ทำลายระบบหายใจพวกเขา
จนถึงกับสำลักควันหมดสติกันไปเสียก่อน
“ผมจะเอาผ้าห่มชุบน้ำคลุมให้ เราต้องรีบออกไปจากบ้านให้เร็ว” ไม่รอฟังคำตอบ ทะยานเข้าห้องตัวเองที่ไฟกำลังไหม้ลาม
หยิบผ้าห่มกลับออกมา ดิ่งเข้าห้องน้ำด้วยสภาพลำบากเพราะไฟไหม้ลามทั่ว เหลือพื้นที่เพียงน้อยนิดให้ขยับก้าว
แม้แต่พื้นกระดานยังร้อนจนเท้าแทบสุกพอง
เปิดน้ำจากก๊อกใส่ผ้าห่มจนเปียก แม้แต่น้ำยังเป็นน้ำร้อนไปแล้ว ยังดีที่ไม่ร้อนมากถึงกับทนไม่ได้
รีบนำมาตวัดคลุมร่างบางของแม่เอาไว้มิด ช่วยให้ผู้เป็นแม่หายใจสะดวกกว่าเดิม
ยังดีกว่าสูดควันร้อนแสนทรมานแม้จะใช้ผ้าปิดกั้นเอาไว้..แต่ก็ลืมตาไม่ขึ้นเสียเลย
ผักตบเห็นกระเป๋าเดินทางตัวเอง รีบคว้าไว้แต่พอมองประตูบ้าน ก็รู้สึกลำบากใจไฟไหม้เป็นแนวกำแพง
ออกไม่ได้แน่หันดูโดยรอบสภาพไม่ต่างกัน พวกเขากำลังถูกไฟคลอก ไฟไหม้ลามทั่วบ้านทั้งหลัง
ตั้งสติหาทางออกถึงสัมผัสกลิ่นน้ำมันเบนซินฉุนจมูก กลิ่นแรงขนาดนี้ไม่ธรรมดาแน่แล้ว
น้ำมันเบนซินต้นเพลิงมาจากบ้านใคร คำถามวิ่งในหัวซึ่งยังไม่ได้คำตอบ
สอดสายตาด้วยความลำบาก มองหาหนทางพาแม่หนีออกจากกองเพลิงที่กำลังแผดเผาอย่างไม่ปราณีสิ่งใด..
ขณะผักตบผจญความเป็นตายจากการถูกไฟคลอก ผู้คนด้านนอกต่างเก็บของมีค่าวิ่งหนีพระเพลิงกันอุตลุด
ไฟลุกไหม้บ้านสองแม่ลูกที่พวกเขารู้จักดี รวดเร็วจนไม่มีใครสามารถใช้น้ำดับได้ แม้จะมีพลเมืองดีหิ้วถังน้ำถังดับเพลิง
ช่วยกันในช่วงแรกแต่ก็ไร้ผล เพลิงไม่ได้เกิดจากจุดเล็กๆ มันเกิดจากเชื้ออย่างดีคือน้ำมันเบนซิน
เพราะแบบนี้ไฟถึงลุกลามเพียงชั่วพริบตา ติดบ้านใกล้เรือนเคียงขยายเป็นวงกว้าง ต่างหนีตายกันแล้วตอนนี้
ไม่มีใครเสียเวลาดับเพราะเกินกำลัง สภาพความเป็นอยู่ที่แออัดบ้านไม้ซอมซ่อกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
สลัมแห่งนี้กำลังถูกพระเพลิงทำลายย่อยยับในอีกไม่กี่นาที
ภายในห้องคอนโดหรู ชายคนหนึ่งรับโทรศัพท์แอบจุดรอยยิ้มขึ้นมุมปากสีหน้ามีความสุขชัด
หลังได้ยินประโยคบอกเล่ามาจากปลายสาย
“ดี!..เผาให้ตายไปเลย ทำได้ดีไว้ค่อยรับรางวัลส่วนที่เหลือ แน่ใจไม่ได้ทิ้งหลักฐานให้ตำรวจสาวแน่นะ”
เขากรอกน้ำเสียงวางอำนาจถามไป
[ครับนาย..ไว้ใจได้ เราทำงานเป็นทีมไม่มีพลาด ปานนี้สองแม่ลูกคงเหลือแต่ขี้เถ้า พวกชาวบ้านคงไร้ที่อยู่
นายจะได้เอาที่ดินมาสร้างคอนโดอย่างที่ต้องการ] ปลายสายตอบกลับมา
“นั่นมันผลพลอยได้ สำคัญกูเกลียดไอ้ตบเข้าไส้ กล้าลองดีทำคนของกูตีตัวออกห่างต้องเจอแบบนี้
ไว้ให้มันไปหาคำตอบจากในนรก คนที่สั่งเผามันคืออดีตผัวยัยลดา ว่าที่ลูกเขยรัฐมนตรีกูไม่มีวันยอม
ให้มันขวางเส้นทางการเป็นนักการเมืองกูเป็นอันขาด ไอ้ลูกโสเภณีชั้นต่ำเสือกตีตัวเสมอผู้ดี
มันก็ต้องได้รับผลแบบนี้..หึหึ!” เสียงหัวเราะสะใจปิดท้าย
สายตาวาวโรจน์อย่างผู้กำชัยชนะ พรุ่งนี้คงพาดหัวข่าวเหตุการณ์ไฟไหม้ย่านสลัม
ได้เวลาเตรียมช่อดอกลิลลี่แสนสวยสำหรับปลอบใจอดีตคนรัก เดินตามแผนดึงเธอกลับมาคบกันเหมือนเดิม
ความสุขหนุ่มนักธุรกิจไฟแรง ที่ส่งคนคอยจับตาดูผักตบมาสักระยะ หลังคนรักตีตัวออกห่าง...
กลับมายังเหตุการณ์ในบ้านหลังเล็ก ผักตบไม่มีทางหนี ไฟที่ไหม้ล้อมรอบสองแม่ลูก
รุนแรงหนักหนาสาหัสไม่มีช่องทางให้บุกฝ่ากองเพลิงออกไปได้อย่างที่คิด
เหลียวมองทางไหนเห็นแต่ไฟที่รุกคืบกินพื้นที่ย่างสดพวกเขาลุกลามเต็มไปหมด
ส่วนผู้เป็นแม่สลบไม่มีสติไปแล้ว หลังทนความร้อนและอากาศที่ขาดออกซิเจนไม่ไหว
ผักตบกลับยังพอมีสติแม้จะประคองกอดแม่ไว้ไม่ห่าง เขาขยับไปไหนไม่ได้แล้วเช่นกัน
เศษไม้ติดไฟตกลงมาขวางกั้นหนทางหมด รอบกายนอกจากแม่แล้วยังมีกระเป๋าเดินทางสองใบ
นอกนั้นไม่เหลืออะไร ถูกพระเพลิงเผาทำลายไปหมดสิ้น ผักตบเริ่มทนความร้อนที่อุณหภูมิพุ่งสูงต่อไปไม่ไหว
สติพร่าเลือนแทบไม่หลงเหลือ ภายในใจกลับดิ้นรนไม่ยอมรับการต้องมาจบชีวิตลงในกองเพลิงแบบนี้
“ม่ายยย!!..อร๊ากก!!” เฮือกสุดท้ายแหงนหน้าตะโกนดังสุดเสียงเท่าที่แรงมี ตรงอกซ้ายตำแหน่งหัวใจที่ปานไฟปรากฏ
เกิดเรืองแสงขึ้นวาบพร้อมกับมวลอากาศแปรปรวนรายล้อมร่างสองแม่ลูก
กลายเป็นเกลียวอากาศหมุนวนป้องกันพระเพลิงไว้ น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น มวลอากาศเหล่านั้น
กลับให้ความรู้สึกเย็นจนหนาวเยือกไปแล้ว อย่างกับพวกเขาตกอยู่ในอ้อมกอดของสายน้ำเย็นจัด
สำนึกสุดท้ายของผักตบที่ยังมองเห็นด้วยตา เขาไม่อยากจะเชื่อ ว่าเป็นความจริง
หรือเขากำลังจะตายจึงเห็นภาพหลอนเกิดขึ้นตรงหน้า
สิ่งที่หมุนวนรอบร่างกายเขากับแม่ คือกงล้อม่านน้ำขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนลิ่วปานพายุทอร์นาโด
ก่อนจะรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างถูกหลุมอากาศดูดกลืนเข้าไปด้วยแรงบีบของมวลน้ำมหาศาล
จนไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีก สติสุดท้ายหลุดลอยออกจากร่างตามผู้เป็นแม่ไปแล้ว
“ครืนน!!!...บรึ้มม!!!” เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้องราวแผ่นดินไหว ทำให้ผู้คนที่วิ่งหนีความตายประหนึ่งฝูงมดแตกรัง
ถึงกับชะงัก รีบยกมือขึ้นอุดหูโดยไม่รู้ตัว บ้างคนนอนหมอบลงกับพื้น..หลุดกรีดร้องด้วยความตกใจ
ก่อนพวกเขาจะรับรู้ถึงความเปียกทั้งร่าง จากมวลน้ำมหาศาลมาจากไหนไม่มีใครรู้
ที่แน่ๆ มหาอัคคีซึ่งกำลังเผาผลาญทำลายทุกสิ่งขณะนี้ กลับมอดดับสนิท
เหลือเพียงตอตะโกของเศษซากปรักหักพังเพียงบางส่วนที่ได้เผาทำลายไปก่อนหน้า
ส่วนที่ยังอยู่รอดปลอดภัยเกินกว่า 80% พานให้ชุมชนสลัมแห่งนี้ หลุดรอดจากการเป็นเหยื่อของพระเพลิงอย่างอัศจรรย์
โดยที่พวกเขาซึ่งกำลังมึนงงต่อเหตุการณ์ กว่าจะรู้ตัวโห่ร้องดีใจที่ไฟดับไม่เหลือประกาย
ควานหาต้นตอของสายน้ำมหาศาลซึ่งยังไม่รู้ว่ามาจากไหน รถดับเพลิงยังมาไม่ถึง แล้วน้ำก้อนมหึมาก้อนนี้มาได้อย่างไร
พวกเขาต่างไม่รู้คำตอบ พร้อมกับไม่มีใครหลั่งน้ำตาต่อการหายสาบสูญของสองแม่ลูก
ในบ้านไม้ซอมซ่อที่ได้ชื่อเป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้
นอกจากวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา ว่าแม่ลูกคู่นี้ไม่ได้อยู่บ้านขณะที่พระเพลิงกำลังเผาทำลาย
ไม่เห็นซากกระดูกหรือเสื้อผ้าหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพวกเขาอยู่ในบ้าน สัมภาระซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจสอบ
พบว่าพวกเขาเก็บข้าวของเดินทางไปไหนสักแห่ง จึงได้แต่ออกหมายเรียกให้มาสอบปากคำ
ผู้คนต่างยืนยันตรงกันต้นเพลิงเกิดจากบ้านพวกเขา
เจ้าหน้าที่คงได้แต่รออีกฝ่ายติดต่อเข้าให้ปากคำ ในเมื่อไม่มีใครสามารถชี้เบาะแส หรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อตำรวจ
พวกเขาไปไหน ไปทำอะไรไม่มีใครบอกได้ เพราะไม่มีใครเห็นพวกเขาออกจากบ้านตอนไหนเมื่อไหร่เสียมากกว่า..
เรื่องราวเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา พาให้ทุกคนงงงัน คนที่สามารถให้คำตอบได้ คือสองแม่ลูกคู่นี้เท่านั้น....
มาอัพตามนัดแล้วนะคะ เจอกันอีกทีวันศุกร์ค่ะ
ต้องกลับไปทบทวน สงสัยเราจะสื่อสารผิด คนอ่านพานเข้าใจตรงกันหมด
ว่าตอนนี้ผักตบจะพบกับองค์ชาย อร๊ายยย!! ตอนหน้านะคะ ไม่ใช่ตอนนี้
ตอนนี้เราแค่เกริ่นว่า ผักตบจะได้กลับบ้านเกิด ไม่บอกว่าจะพบกับองค์ชาย
สงสัยเราไม่ชัดเจนเอง เวิ่นเว้อไปหน่อย
เอาเป็นว่า วันศุกร์ได้พบแน่ๆ ค่ะ รอติดตามกันนะคะ
ขอบคุณทุกเม้นท์ทุกกำลังใจเช่นเคย