- 3 -“ผมไม่ไปกับพวกคุณ ใช้สิทธิอะไรมาบังคับ พวกเราไม่ได้คิดร้ายตั้งใจบุกรุกบ้านคุณ ตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหน
แนะนำตัวกันหน่อยไหม ผมชื่อผักตบ..ส่วนผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ผมชื่อเล็ก
เราสองแม่ลูกมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงไม่รู้ กล้ายืนยันไม่มีเจตนาบุกรุก
ที่พูดมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแอบแฝง
อีกอย่างเราไม่ถนัดใช้คำราชาศัพท์คุยด้วย พวกคุณเป็นใครตำแหน่งอะไรกรุณาเข้าใจเราด้วย”
ผักตบยืดอกเต็มความสูง ไม่มองกลกะลาสักนิด กลับเชิดคอตั้งอย่างมั่นใจ
สบตาองค์ชายวายุภักษ์ที่ทอดเนตรมองเขานิ่ง พูดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หนักแน่นเสียงดังฟังชัด
กิริยาแบบนี้ ทำเอาองครักษ์ฝีมือเอกอย่างกลกะลาถึงกับขบกรามกำมือแน่น
ไม่คิดจะมีคนอาจหาญไม่กลัวการถูกตัดหัวเช่นนี้
“เราเข้าใจ มิต้องกังวลภาษาที่เจ้าใช้กล่าวแต่อย่างใด เราคือองค์ชายแห่งนครไตรคานนามวายุภักษ์
ขณะนี้พวกเจ้าอยู่นอกกำแพงวังหลวง หากมิประสงค์ร้าย จงยอมตามเรากลับเข้าวัง
เรารับปากจะให้การต้อนรับเจ้าดุจอาคันตุกะ ขอเพียงให้ความร่วมมือ ตอบข้อซักถามในสิ่งที่เราสงสัย
ตอนนี้เจ้ามีอาวุธใดเป็นอันตรายต่อคนของเรา คงต้องให้องครักษ์เราเก็บรักษาเอาไว้ก่อน..ได้หรือไม่”
องค์ชายบังคับพระสุรเสียงทอดอ่อนกว่าเดิม หลังเห็นแววตาจริงใจที่ผักตบสบเนตรไม่เมินหลบ
ฉายแววมุ่งมั่นน่าเชื่อถือ โดยที่พระองค์เองก็ไม่ทราบสาเหตุ ว่าทำไมรู้สึกมั่นพระทัยต่อบุรุษผู้นี้
“นครไตรคานเหรอ ให้ตามเข้าวัง..ตกลงตามไปก็ได้ แต่มีเงื่อนไขของส่วนตัวของผมกับแม่
พวกคุณห้ามแตะต้องวุ่นวาย ไม่ว่าใครก็ห้ามยุ่ง ถ้าคุณยอมรับข้อเสนอ พวกเราจะยอมตามคุณไป”
ผักตบตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาแม่เล็ก เริ่มรู้ตัวว่าที่นี่อากาศหนาวจับใจ ก่อนหน้าไม่ทันได้สังเกต
ดันมีเรื่องให้ตื่นเต้นจนลืมนึกถึง ตอนนี้เขารู้สึกหนาวเข้ากระดูก ยิ่งใส่เสื้อยืดผืนบางกับกางเกงขาสั้นยิ่งแล้วใหญ่
ฝืนตัวต้านให้ดูปกติไม่ออกอาการ ทั้งที่ขาเริ่มสั่นไปแล้ว
ข้อเสนอของผักตบ กลกะลาสบเนตรคมกล้าองค์ชายพร้อมส่ายหน้าเป็นการส่งสัญญาณไม่เห็นด้วย
กลับไร้ผลเมื่อองค์ชายมองแวบเดียวแล้วผินพักตร์ไปตอบรับอย่างไม่เสียเวลาใคร่ครวญ
“เรารับปากเจ้า เช่นนั้นขึ้นม้าตามเรากลับวังเถอะ” กลกะลาได้แต่นิ่งเงียบ
เคารพการตัดสินพระทัยของยุพราชรัชทายาทที่เคารพเทิดทูน
“ขึ้นม้า!!” สองแม่ลูกอุทานพร้อมกันสีหน้าดูตลก แม่แต่องค์ชายผู้รับสั่งทรงทอดเนตรเกือบหลุดแย้มสรวล
ยุพราชหนุ่มให้พวกเขาขี่ม้าเข้าวัง แต่พวกเขากับทำตาโต..ค้างนิ่งไปเสียอย่างนั้น
“มีปัญหาไรหรือเจ้า ไม่ควบม้าหรือจะย่างเท้า แม้อยู่นอกกำแพงวังหลวง แต่หากต้องย่างเท้าเจ้าคงต้องใช้เวลาเลยรุ่งสาง”
พระองค์เห็นความลำบากใจบนใบหน้าสองแม่ลูก ที่เผลอหลุดปากพร้อมกันจนพระองค์เกือบแย้มสรวล
ด้วยความขบขันพระทัยไปแล้ว ทั้งสองออกอาการบ่งบอกว่าไม่แน่ใจกับการขี่ม้า ซึ่งองครักษ์ตามเสด็จเสียสละให้สองตัว
โดยเป็นฝ่ายไปนั่งซ้อนหลังม้าของสหายที่มาด้วยกันแทน
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ขี่ไม่ขี่ ผมกับแม่ไม่เคยขี่ม้าต่างหาก”
“เจ้ากล่าววาจาใดกัน มิมีผู้ใดไม่เคยขี่ม้าดอก ทารกที่นี่ล้วนฝึกการขี่ม้าตั้งแต่เล็ก เดินทางทะเลทรายย่อมต้องใช้ม้าหรืออูฐ
เจ้ากลับบอกเราไม่เคยขี่เช่นนั้นหรือ” ใช่มีแต่เพียงองค์ชาย ทรงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้รับฟัง แม้แต่บรรดาองครักษ์ผู้ติดตาม
ตาค้างไปแล้วเช่นกัน เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายนัก เรื่องปกติสามัญของคนที่นี่ ถือเป็นความจำเป็นพื้นฐานของผู้คน
ย่อมสามารถขี่ม้า อูฐ ลา สัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะ ดันกลายเป็นความลำบากของสองแม่ลูกเสียแล้ว ไม่นับให้เป็นเรื่องขบขัน
ก็คงต้องหัวเราะทั้งน้ำตา ยกให้เป็นเรื่องโศกเศร้าหรือไรกัน..ช่างน่าขันเสียนี่กระไร
องค์ยุพราชหนุ่มต้องใช้ความพยายามพอสมควร เพื่อควบคุมพระองคาพยพมิให้หลุดแย้มสรวลขบขัน
ในขณะบรรดาองครักษ์ถึงกับเบือนหน้าหลบ ไหล่คุ้มมุมปากกระตุกตามกันเป็นแถว บางคนถึงกับกุมบังเหียนเกร็งนิ้วแน่น
เพื่อช่วยสะกดกลั้นไม่ให้หลุดหัวเราะขำคำพูดผักตบ ดันยอมรับหน้าตายว่าตนกับแม่ขี่ม้าไม่เป็น..
ถือเป็นความอดสูของผู้คนที่นี่ถ้าให้มายอมรับ ว่าไร้ความสามารถในการขี่หลังสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง
พวกเขาจัดให้เป็นเรื่องหน้าอายอันดับแรกด้วยซ้ำ
ผักตบเห็นความผิดปกติกิริยาชายแปลกหน้า พากันแสดงท่าทางอย่างอิลักอิเหลื่อ
กลั้นขำคำพูดเขาเพื่อรักษาภาพพจน์เป็นทิวแถว ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำหน้าหล่อจากเดิมจ้องเขาไม่วางตา
ยังเฉมองกระเป๋าสัมภาระด้วยอาการหน้าคมแดงเห่อไปถึงต้นคอ ล่ามกระทั่งใบหูจนเห็นได้ชัด
“ผมไม่ใช่ผู้คนทะเลทราย ไม่เคยขี่ทั้งม้าทั้งอูฐ เคยแต่ขับรถยนต์กับมอเตอร์ไซค์ ท่าแบบนั้นก็ว่าไปอย่าง”
รีบแก้คำพูดเสียใหม่ ชักหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเห็นเขาเป็นตัวตลก ยิ่งคุยยิ่งหนักหนาสาหัส
องค์ชายรูปงามฉายพระพักตร์งงงันคำพูดผักตบ ไม่รู้อีกฝ่ายหยิบยกสิ่งใดมาอ้างอิง
“เราไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้ากล่าว รถคืออันใด มอไซคือสิ่งใดกัน” แม่เล็กกับผักตบเป็นฝ่ายตาเหลือกบ้าง
เขาเริ่มเหนื่อยที่จะสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน ผักตบมั่นใจผลัดหลงเข้ามาในเมืองลับแล..ไม่ต้องหาคำตอบให้ปวดหัว..
“เฮ้อ! เอาเป็นว่าบ้านเมืองของคุณไม่รู้จักหรอก เหมือนที่ผมกำลังทำความเข้าใจพวกคุณอยู่
ขืนคุยต่อคงไม่ได้ไปไหน ผมรู้สึกหนาวมีวิธีที่ไม่ต้องขี่ม้าเองไหม ซ้อนท้ายแบบพวกนั้นได้เปล่า”
พูดพร้อมกับสาดไฟฉายไปยังองครักษ์ที่ขึ้นนั่งซ้อนท้ายม้าสองคู่ พอเห็นแสงไฟกราดใส่ร่างตรงๆ ต่างพากันสะดุ้งลืมตัว
“เฮ้ยยย!!” ไม่สะดุ้งเปล่า หมอบตัวหลบเกือบตกหลังม้านี่สิ
เล่นเอาแม่เล็กเห็นเข้า หลุดหัวเราะขำออกมา..แบบไม่ไว้หน้าเลยทีเดียว
“ฮะฮ่าๆๆ..เดี๋ยวได้ตกม้าตายก่อนพากูเข้าวังไอ้พวกนี้”
ผักตบรีบหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้แม่ พอเห็นลูกทำแบบนั้น รีบยกมือปิดปากกลั้นขำจนตัวสั่น
“เจ้ากำลังทำคนของเราเสียขวัญ ห้ามใช้เวทย์มนต์เป็นอันขาด”
องค์ชายทรงรับสั่งเสียงห้วน ผักตบเพิ่งรู้คนพวกนี้ระแวงแสงของไฟฉาย
“โอเค..ผมไม่ใช้เวทย์มนต์ ตกลงไปได้หรือยัง”
เขายอมปิดไฟฉาย อาศัยแสงของคบเพลิงที่พวกองครักษ์จุดแทน
“พวกมันว่าแกมีเวทย์มนต์ว่ะ..ตบ” แม่กระแซะท่อนแขนแกร่งลูก พร้อมกระซิบบอกให้ได้ยินกันสองคน
“อืมแม่ก็เฉยไว้ อย่าทำให้เขาโกรธ เราต้องอาศัยพวกเขา”
ลูกชายถือโอกาสกำชับ ตอนนี้ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร
อุ่นใจไว้ก่อนไม่ต้องลำบากอดตายท่ามกลางทะเลทราย มีคนท่าทางดูไม่เลวร้ายย่อมต้องคว้าโอกาสไว้เป็นดีที่สุด
อย่างน้อยเขามาจากบ้านเมืองทันสมัยของเทคโนโลยี จะอาศัยสิ่งนี้แหละเป็นข้อได้เปรียบหลอกล่ออีกฝ่าย...
“เช่นนั้นเจ้าให้มารดานั่งกับองครักษ์เรา ส่วนเจ้ามานี่เถอะ”
“ฝ่าบาท!!!” เสียงค้านของบรรดาองครักษ์ดังพร้อมเพรียง
ต่างคิดไม่ถึงว่าพระองค์จะเสี่ยง ยอมให้บุรุษแปลกหน้าใกล้ชิดวรองค์เช่นนั้น
“ทำตามรับสั่งข้า เขามีเวทย์มนต์พวกเจ้าหาใช่คู่มือ เช่นนั้นข้ามิอาจให้คลาดสายตาได้”
สุรเสียงทรงหนักแน่น ไม่มีใครกล้าขัดพระประสงค์ เป็นอันสรุปแม่เล็กนั่งเกาะหลังกลกะลา
กระเป๋าสัมภาระผักตบถือไว้เองทั้งสองใบ ไม่ลืมซุกปืนพกเหน็บเอวกางเกงพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ
แต่พอจะขึ้นหลังม้าคนออกคำสั่ง อีกฝ่ายกลับโดดลงมายืนที่พื้น เล่นเอาคนเตรียมหาวิธีขึ้นนั่ง..ยืนงงไปหลายวิ
“เจ้าขึ้นก่อน” ฟังจบ ผักตบมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“เราจะขึ้นตามหลัง” องค์ชายรับสั่งย้ำ เมื่อเห็นสีหน้าของผักตบไม่เข้าใจรับสั่งของพระองค์
“ผมบอกไปแล้ว ขี่ม้าไม่เป็นคุณจะมาซ้อนผมทำไม” เขารีบแย้ง
“ใครบอกเจ้าว่าเราจะให้เจ้าบังคับ เป็นเราดำเนินการเอง
เพียงแต่เรามิอาจให้เจ้าประกบด้านหลัง หมายถึงความปลอดภัยของเราต่างหาก”
จบประโยค หนุ่มหล่อจากเมืองกรุงถึงกับย่นคิ้วเข้ม สำรวจบุคคลที่เพิ่งรู้จัก
ที่แนะนำตัวว่าเป็นองค์ชายอย่างพินิจพิเคราะห์ ถึงตอนนี้ผักตบเพิ่งรู้สึก
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าสูงใหญ่กว่าที่คิด ตัวโตดูแข็งแรงมาก น่าจะสูงราว 190 หรือ 2 เมตรด้วยซ้ำ
ไม่นับความหนาของรูปร่างทั้งที่สวมชุดดำรัดกุม ยังพอคาดคะเนจากมัดกล้ามซึ่งรัดตึงขึ้นรูปอย่างพวกนักรบโบราณ
ใบหน้าที่อยู่ห่างสองก้าว อดยอมรับอย่างไม่มีอคติ หล่อโคตร..หล่อชนิดที่ว่าไม่เคยเห็นใครหล่อแบบไอ้คนตรงหน้ามาก่อน
ลูกตาคมเข้มจ้องผักตบไม่กะพริบ มีพลังบางอย่างให้หนุ่มหล่อจากเมืองกรุงสัมผัสได้เช่นกัน
ผู้ชายคนนี้เป็นคนเด็ดเดี่ยวหัวรั้นน่าดู
“ผมก็ไม่ชอบให้ใครประกบข้างหลัง ที่ผ่านมามีแต่เป็นฝ่ายประกบ
จะให้เปลี่ยนแปลงขอบอกว่า ผมระแวงรับไม่ได้” คำพูดผักตบตีความได้สองแง่สองง่าม แต่คนฟังไม่เข้าใจ
“เช่นนั้นเจ้าจำต้องฝืนใจเสียแล้ว คิดเสียว่าหนนี้เป็นการยินยอมให้เราประกบหลังเจ้าครั้งแรกเถอะ
หากดื้อแพ่งเจ้าจักหนาวอยู่เช่นนี้”
‘เป็นเหี้ยไรขอประกบหลังกูวะ’ คนฟังสบถในใจ เมื่อไม่มีทางเลือก แถมสายตาแกมบังคับขององครักษ์บนหลังม้า
เชิงตำหนิหาว่าเขาเรื่องมาก องค์ชายยอมเสียสละถึงเพียงนี้ยังไม่สำนึกอีก
ไม่เคยมีผู้ใดได้ร่วมอาศัยบนหลังม้าส่วนพระองค์มาก่อน อย่าว่าแต่ถึงขั้นได้นั่งคู่เช่นนี้..ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
“เออๆ..ก็ได้” หนุ่มหล่อตัดบท เขาหนาวจับใจขาแข็งมือสั่นแล้ว
วิธีโหนตัวขึ้นม้าดูเก้งก้าง แม่เล็กได้องครักษ์จับเอวยกนั่งไม่มีปัญหา
แต่เขานี่สิ..มือสองข้างถือกระเป๋าสองใบไม่มีว่าง จะเหวี่ยงตัวขึ้นท่าไหน
ม้าตัวนี้ไม่ใช่เล็กๆ ใหญ่โตแข็งแรงกว่าบรรดาทุกตัวเสียด้วยซ้ำ
“รบกวนถือกระเป๋าให้ผมหน่อย จะโหนตัวขึ้นหลังม้า” ผักตบพูดไปตามที่คิด ไม่ได้หวังหมิ่นพระเกียรติ
บรรดาองครักษ์หน้าเครียดกับการไม่สำรวมของบุรุษแปลกหน้าไปแล้ว บังอาจนักกล้าออกคำสั่ง
ใช้องค์ชายของพวกเขาเชียวหรือ แต่ไม่มีใครกล่าววาจาเตือน ฝ่าบาทยกหัตถ์ขึ้นห้ามโดยไร้พระสุรเสียง
เหมือนจะรู้ว่าองครักษ์ของพระองค์รู้สึกเช่นไร
“เช่นนั้นเจ้าอยู่นิ่งๆ” รับสั่งเสร็จ ไม่สนพระทัยว่าผักตบทำตามรับสั่งหรือไม่
พระองค์ถือวิสาสะขยับไปประทับซ้อนด้านหลัง ไม่มีใครทันคาดคิด อุ้งหัตถ์ใหญ่แสดงพละกำลังของท่อนแขนแกร่ง
รวบจับเอวผักตบ ยกลอยเหมือนอีกฝ่ายไร้น้ำหนัก วางบนหลังม้าอย่างนิ่มนวลไร้รอยขีดข่วน
“เฮ้ย!!..ฝ่าบาท!!” เสียงอุทานพร้อมกัน ต่างตรงความรู้สึก ผักตบไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยกเขานั่งหลังม้าหน้าตาเฉย
หารู้ไม่ว่าที่องค์ชายกระทำ แอบใช้พลังธาตุวายุยกร่างเขาขึ้นหลังม้า ย่อมไม่กินแรงแม้แต่น้อย
สำคัญพระองค์ต้องการแสดงแสนยานุภาพให้ประจักษ์ จะได้ไม่เล่นตุกติกใช้เวทย์มนต์
ยามพระองค์บังคับม้าพากลับเข้าวังระหว่างนั้น
บรรดาองครักษ์ไม่คาดคิดองค์ชายของพวกเขา จะลดพระวรกายไปยกบุรุษแปลกหน้าที่ไม่ได้ตัวเล็กแต่อย่างใด
ออกสูงใหญ่พอพวกเขาขึ้นหลังม้าด้วยพระองค์เอง เมื่อเห็นสายพระเนตรกวาดมองให้หุบปาก
จึงไม่มีใครกล้าออกอาการ ยอมรับการตัดสินพระทัยองค์ชายเป็นที่ตั้ง ได้แต่หน้านิ่งหุบปากเงียบ..แม้แต่กลกะลาก็ด้วย
อย่างน้อยองครักษ์คู่กายก็สังเกตรู้ ว่าเจ้าชีวิตสำแดงฤทธานุภาพของมหาธาตุคู่บารมี
“ไปกันเถอะ” พระองค์ไม่สนพระทัยกับเสียงอุทาน ประหนึ่งไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา
เหวี่ยงพระวรกายประทับซ้อนด้านหลังผักตบ คนที่นั่งอยู่ก่อนเกร็งตัวอัตโนมัติ
เมื่อสัมผัสความแนบชิดแผ่นอกแน่นตึง รู้สึกแปลกพิกล..งงหนักคือไอ้ผู้ชายคนนี้มันเป็นองค์ชายคนแรก
ที่ยกเขาด้วยแขนอย่างไม่ออกอาการหนักนี่สิ..’แรงคนหรือควายแน่วะ’
“ออกเดินทาง” สิ้นกระแสรับสั่ง ม้าศึกคู่บารมีทะยานนำฝุ่นตลบ
มุ่งหน้ากลับเข้าประตูวัง โดยมีองครักษ์ห้อม้าตามติดไม่ทิ้งระยะห่าง
คนที่นั่งบนหลังม้าใจเต้นกระหน่ำ ค้นพบประสบการณ์แปลกใหม่ สำคัญรู้สึกพิลึกพิลั่นชอบกล
อ้อมแขนแกร่งรวบ กอดกักเขาไว้ไม่กล้าขยับ ลมหายใจอุ่นเป่ารดท้ายทอย
เป็นครั้งแรกที่ผักตบรู้สึกตัวเล็กกว่าผู้อื่น ก่อนหน้ามีแต่เจอคนตัวเล็กกว่าเขาประจำ
คนผู้นี้ไม่ถามหรือชวนคุยตลอดการเดินทาง ผิดคาดพอสมควรนึกว่าจะชวนคุยไม่ให้รู้สึกกระดากเสียอีก
มาอัพตามนัดนะคะ เจอกันอีกทีปีหน้าเลยค่ะ วันพุธนะคะ 555!
มาลุ้นมาติดตามการใช้ชีวิตประจำวัน ของผักตบกับแม่เล็ก ภายในวังที่กำลังจะวุ่นวาย
ทั้งขำ มัน ฮา และจะได้เห็นความเจ้าเล่ห์ ชิงไหวชิงพริบของผักตบกับเจ้าชายสุดหล่อ
รักคนอ่านและขอบคุณกำลังใจจากนักเม้นท์ทุกคน สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า
จะดื่มฉลอง กิน เที่ยว ก็ให้ระวังความปลอดภัยของตัวเองและคนรอบข้างด้วยนะคะ
ขอให้มีความสุขทุกคนค่ะ
ปล.ตอนนี้ยาวสมใจกันเลยทีเดียว อัพให้เพราะติดวันหยุดยาวจร้าาาา!!