- 2 -
“อาวุธระเบิดของเจ้าได้ผลยิ่ง” องค์ชายชมด้วยสภาพหมดแรง “งานหนักพอสมควร” ผักตบยอมรับ นี่ขนาดยังไม่ได้ปะทะ ข้าศึกยังร้ายกาจได้ขนาดนี้
“พระปิตุลา..เสียงระเบิดกัมปนาททำขวัญเหล่าทหารสูญเสียนัก ม้าศึกล้วนตกใจกันใหญ่ ข้าเห็นควรจัดการขั้นเด็ดขาด”
องค์หญิงชลธารตรัสขึ้น พระพักตร์พริ้มเพรางดงามเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ พระองค์ทรงใช้พระกำลังไปไม่น้อย
ในการรับมือองค์ชายวายุภักษ์ หาใช่สบายวรองค์แต่อย่างใด องค์ชายธรณิณก็เช่นเดียวกัน
“เราทำลายเกราะมหาธาตุ ยกทัพบุกตะลุย อย่าได้ยืดเยื้ออันใด
ระเบิดพวกนั้น ข้ากับหญิงธารพอจะกำบัง นำพาทหารบุกถึงกำแพงวังได้” องค์ชายธรณิณรับสั่งขึ้นบ้าง
“เช่นนั้นอย่ารอช้า นำทัพบุกประชิด” สิ้นพระบัญชา เสียงกลองรบดังลั่นทั่วบริเวณ
พร้อมขบวนม้าศึกกองทัพทหารที่เริ่มควบคุมการพยศของพวกมันได้แล้ว
ควบตะบึงโดยมีสองผู้ถือครองเทพมหาธาตุห้อนำขบวน พวกเขาได้ใช้พลังสร้างเกราะมหาธาตุ
กำบังกองทัพทะยานบุกเข้ามา
“พวกเขายกพลบุกแล้วพะยะค่ะ” กลกะลาถวายรายงาน เมื่อธงศึกปลิวไสวบ่งบอกการเริ่มต้นของสงครามที่แท้จริง
“ถ้างั้นชิมระเบิดกันหน่อยพวก” ผักตบพูด ก่อนยิงปืนให้สัญญาณพลธนูจุดชนวนระเบิดที่เหลือ
ระเบิดสิบกว่าลูกจุดไล่เลี่ยกันฝุ่นทรายฟุ้งตลบอบอวลแทบไม่เห็นอะไร น่าแปลกเสียงกีบเท้าม้ายังไม่ยอมหยุด
พอเขม่าควันจางลง ก็เห็นกองทัพข้าศึกดาหน้าเรียงเข้ามาอย่างหนาแน่น
แนวกระโจมพลเรือนถูกกีบเท้าม้าเหยียบย่ำจนไม่เหลือซาก
“ระเบิดหยุดพวกเขาไม่ได้..จุดที่เหลือให้หมด” สิ้นคำสั่งพลธนูจุดชนวนระเบิดใกล้กำแพงวัง
แต่แรงระเบิดไม่ส่งผลกองทัพฝ่ายไตรคาน เกิดระเบิดต่อเนื่องยี่สิบกว่าลูก คราวนี้ส่งผลให้กองกำลังข้าศึกล้มตายแล้ว
เพราะเกราะมหาธาตุที่ใช้พลังคุ้มครองเริ่มอ่อนแรงลง เมื่อต้านรับระเบิดกว่ายี่สิบลูกต่อเนื่อง
ย่อมหนักหนาเหมือนรับมือองค์ชายวายุภักษ์ ที่ยังมีพลังสดใหม่อยู่เลยก็ว่าได้
สองผู้ถือครองมหาธาตุพลันชะงักหยุดทัพประจันหน้า ห่างออกไปไม่ถึงสามสิบเมตร
ด้วยพระอาการหายพระทัยหอบหนักกันทีเดียว สองฝ่ายผู้ถือครองเทพมหาธาตุต่างบอบช้ำ
แม้องค์ชายวายุภักษ์จะสาหัสกว่ามาก แต่องค์หญิงธารกับองค์ชายธรก็ไม่ได้ดีกว่าเท่าไหร่
“เกราะมหาธาตุของเจ้าถูกเราทำลายแล้ว..วายุภักษ์” ดำรัสขององค์หญิงธารตะโกนข่มขู่
ผักตบที่ไม่เหลือแผนอะไร ใช้ไปจนหมดแม้แต่แผนสำรอง กำลังระดมสมองอย่างหนัก
นึกถึงประวัติศาสตร์ที่เคยเรียน เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไทย
ทรงใช้ปฏิภาณไหวพริบในการรบชนะพม่า เช่นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช..
“เจ้าใช่จักดีกว่าเราชลธาร..ทหารเจ้าล้มตายไม่น้อย กองทัพข้ายังมิมีผู้ใดสูญเสีย”
องค์ชายวายุภักษ์ฝืนพระวรกายยืนอย่างสง่า ทั้งที่แทบทรงกายไม่ไหว แต่ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูล่วงรู้
“กระนั้นหรือ..แม้นข้ากับหญิงธารหมดพลังอยู่มากโข เหลือกองกำลังทหารเพียงครึ่ง
คาดว่ายังสามารถเอาชนะกองทัพเจ้าได้” องค์ชายธรณิณรับสั่งด้วยพระสุรเสียงมั่นพระทัยยิ่ง
“โอรสข้ากล่าวไม่ผิดหรอกวายุภักษ์ เจ้ายังหนุ่มนักใยต้องมาตายเสียก่อนวัยอันควร มิห่วงบิดามารดา
รวมถึงเชื้อพระวงศ์พระญาติเจ้าหรือ ยอมแพ้เสียแต่โดยดี ข้ารับปากมิปลิดชีพผู้ใด เพียงเจ้ารับเงื่อนไขสองข้อ”
พระปิตุลาควบม้าตามมาสมทบ พร้อมองครักษ์ติดตามกว่ายี่สิบนาย ตรัสแทรกขึ้นมาทันที
“ลองบอกมาฟังดู” องค์ชายวายุภักษ์ทรงถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด หลังแอบส่งสัญญาณให้กลกะลา
เตรียมสู้ศึกร่วมกับแม่ทัพนายกอง ที่ตั้งท่าพร้อมรบเต็มที่ ไม่มีใครแสดงท่าทีขลาดกลัวแม้แต่น้อย
“ข้อแรก..มอบมุกราตรีดำที่เจ้าครอบครองเป็นของกำนัล ข้อสอง..มอบบุรุษหนุ่มผู้ที่ยืนข้างกายเจ้าแก่ข้า
หากเจ้ารับเงื่อนไข ข้าจักนำกองทัพกลับเวฬุวรรณ ไม่ทำลายบ้านเมืองของเจ้า ตกลงหรือไม่”
องค์ชายธรณิณและองค์หญิงชลธาร หลังฟังข้อเสนอพระปิตุลาถึงกับหันมองพระองค์อึ้ง
แต่ไม่ได้เอ่ยถามอันใด ทรงเก็บงำความสงสัยไว้ในพระทัย
“มุกราตรีดำเป็นสมบัติคู่บ้านคู่เมืองไตรคาน มอบแก่ท่านใยมิใช่ยกไตรคานให้เล่า ส่วนบุรุษที่ท่านกล่าวถึงคือสหายรักข้า
ผู้ทรยศหักหลังสหายใยกล้ายืนหยัดอีกต่อไป” พระองค์ทรงดำรัสด้วยพระพักตร์แน่วแน่ ไม่มีวูบไหวในสายพระเนตรให้เห็น
คำตอบที่เปล่งจากพระโอษฐ์ กลับกระแทกหัวใจผักตบไปเต็มๆ พระสุรเสียงทุ้มสะท้อนก้องในหัวเขา
กับประโยคไม่ทรยศหักหลังสหายรัก เขากลายเป็นคนสำคัญของคนผู้นี้ไปแล้ว ถึงกล้าเสี่ยงแลกกับบ้านเมือง
ที่ตกอยู่ในภาวะเป็นรองเห็นๆ ด้วยพื้นเพนิสัยผักตบไม่ใช่คนยอมคน สำคัญเขาไม่ชอบถูกรังแกเป็นทุนอยู่แล้ว
“เช่นนั้นเจ้าคงเตรียมใจรับการหลั่งโลหิต นองแผ่นดินไตรคาน” พระปิตุลากล่าวปิดท้ายด้วยสุรเสียงกร้าวติดโมโหไม่น้อย
ทรงไม่คิดว่าบุรุษรุ่นลูกจะโอหังถึงเพียงนี้ ความตายรออยู่เบื้องหน้ายังไม่ยอมอ่อน ถึงจะนึกชมในความกล้าหาญ
แต่กลับสมเพชในความโง่ที่เสียสละไม่เกิดประโยชน์ พานนึกหมิ่นในพระทัยไปพร้อมกัน
“เดี๋ยวก่อน!” อยู่ๆ ผักตบก็ตะโกนเสียงดัง ไม่ขออนุญาตใคร
“เจ้ามีอันใดจักกล่าว” พระปิตุลารับสั่งถามด้วยน้ำเสียงข่มในที
“มีคำพูดที่ผมเคยได้ยิน ผู้นำระดับกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ คุณยึดถือมากแค่ไหนครับ”
ผักตบเอ่ยถามอีกฝ่าย ท่าทางอมยิ้มมุมปากอย่างหยามนิดๆ แม้พระปิตุลาจะทรงทอดเนตรเห็น
รวมถึงองค์หญิงองค์ชายทั้งสองก็ด้วย ต่างฉายพระเนตรไม่พอใจในกิริยาของผักตบอย่างเปิดเผย
แต่ไม่มีใครขัดการเสวนาระหว่างผู้อาวุโสกับบุรุษคราวลูกอย่างใด ยังรอชมเหมือนกับเหล่าทหารสองฝ่าย
“เราย่อมรักษาสัจจะ เจ้ามีอันใดต่อรอง”
พระปิตุลาพระทัยเย็นรับสั่งถามอย่างผู้มีน้ำพระทัยกว้าง ให้โอกาสศัตรูที่กำลังจนตรอก
“โอ้! เป็นพระมหากรุณายิ่ง ถ้างั้นผมมีข้อเสนอ เรามาพนันกันดีกว่าไหม ลองดูสักสามข้อ
ถ้าหากคุณชนะผมยอมไปกับคุณ ถ้าคุณแพ้ต้องยอมถอยทัพ จากนี้ 1 ปี ห้ามกลับมารุกรานก่อสงครามอีก
ยกเว้นพ้นหนึ่งปีไปแล้วค่อยว่ากัน..ทำได้หรือเปล่า” ผักตบตั้งเงื่อนไขขึ้นแทน
“หึหึ! เจ้าคิดว่าจักชนะ ต่อให้เจ้าถือครองเทพมหาธาตุ แต่ข้ากลับล่วงรู้ความลับ เจ้ามิอาจเรียกใช้มหาธาตุในกาย
เรื่องนี้ย่อมเป็นความจริง มิเช่นนั้นป่านนี้เจ้าคงช่วยวายุภักษ์รับมือชลธารกับธรณิณ ไม่ปล่อยคนของพวกเจ้าบาดเจ็บดอก”
ผักตบนิ่วหน้าหลังได้ยินคำว่าบาดเจ็บ เขาแอบลอบชำเลืองคนข้างกายที่ยังคงยืนนิ่ง อีกฝ่ายส่ายพักตร์ปฏิเสธ
เพื่อไม่ให้ผักตบกังวลใจ แม้วาจาพระปิตุลาเป็นความจริง พระองค์กำลังฝืนสังขารหยัดยืนพระวรกาย
ไม่ยอมล้มลงอย่างใช้ความอดทนสุดๆ ผักตบเห็นแบบนั้นก็หันมาประจันหน้าพระปิตุลา ซึ่งประทับบนหลังม้า
เงยพักตร์ตอบโต้อย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า โดยทำตามความตั้งใจเดิมที่วางแผนในหัว
มีความมั่นใจว่าเขาทำได้ แม้จะห่วงเจ้าชายก็เถอะ
“การพนันแบ่งเป็น 3 ข้อ ฝ่ายใดชนะ 2 ก่อนถือว่าชนะตกลงไหมท่านปิ..ตุ๊ด..ลา”
ผักตบเน้นทีละคำ แต่พวกที่ได้ยินคงไม่รู้ความหมาย กลับเข้าใจว่าผักตบพูดสำเนียงเพี้ยน เพราะเป็นคนต่างดินแดน
“ย่อมได้ เจ้าบอกวิธีเดิมพันเถิด จักทำเยื่องไร” พระองค์เองก็มั่นพระทัยไม่ว่าจะด้วยเล่ห์กล
มนต์คาถาหรือกองทัพ ด้านเพลงอาวุธ ย่อมเอาชนะได้แน่ มีหรือจะพ่ายแพ้แก่ทารกหนุ่มรุ่นลูก
“ถ้างั้นมาพนันกัน ข้อแรกให้คุณทายปริศนา ถ้าทายถูกคุณชนะ แต่ถ้าผิดคุณแพ้ ใช้สักขีพยานคือเหล่าทหารทั้งกองทัพ
ย่อมไม่มีใครตุกติกต่อการเดิมพันครั้งนี้ได้” พระปิตุลาแอบเยาะเย้ยในพระทัย หลังฟังเงื่อนไขข้อแรกของผักตบ
ทั่วทั้งแผ่นดินมีอันใดที่พระองค์ไม่ล่วงรู้ ต่อให้ปริศนายากแค่ไหนพระองค์ย่อมไขความลับแตก
หรือถ้าผักตบจะยกปริศนาจากดินแดนที่จากมา ก็ทรงคัดค้านได้เพราะมิมีส่วนเกี่ยวข้องยังดินแดนนี้
จึงได้รับปากแทบไม่เสียเวลาคิด
“เชิญเจ้าทายปริศนามาเถิด” พระองค์รับสั่ง นัยน์ตาเหยี่ยวจ้องเขม็งผักตบเห็นแล้วไม่ชอบเอาดื้อๆ
แต่ก็ไม่แสดงท่าทีให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดยังไง กลับหันไปสั่งกลกะลาแทน
“คุณสามารถเจาะรูเก้าอี้ 5 รูได้ไหม” ชี้ที่เก้าอี้ประทับขององค์ชายหน้าตาเฉย
กลกะลามึนไปครู่ พอองค์ชายพยักพระพักตร์ก็จำต้องรับคำ
“ขอรับ” ค้อมศีรษะน้อมรับไปด้วย
“เช่นนั้นเจาะเดี๋ยวนี้ ขอด่วนนะ” ทันทีที่พูดจบ เก้าอี้ก็กลายเป็นเบาะกลวงโบ๋
ด้วยมีรูกว้างขนาดฝาน้ำอัดลมประดับอยู่ 5 รูเรียงเป็นแถวสวยงาม ด้วยฝีมือทหารช่างที่ใช้ปลายหอกแทงในชั่วพริบตาเดียว
“ตดได้ไหม” คำถามเจาะจงที่กลกะลาตามเคย เพราะไม่สนิทใจใครเท่าหนุ่มหน้าคมไม่ขี้เหร่ แต่ปากหนักอีกแล้ว
“ตดคืออันใดขอรับ” ใช่มีแต่กลกะลางง ผู้คนทั้งหมดงงไม่ต่างกัน ทั้งฝ่ายตนฝ่ายข้าศึก
กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าพูดไม่ถูกพวกเขาเลยไม่เข้าใจ
“ผายลม..คุณผายลมได้ไหม” ย้ำถามอีกหน คราวนี้ผู้คนแตกตื่นต่อคำถามของผักตบ
แม้แต่พระปิตุลา องค์หญิงธาร องค์ชายธรก็ด้วย ในเพลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
ผักตบยังมีอารมณ์ขันให้คนผายลมเฉย ไม่พิลึกก็บ้าไปแล้ว
“ท่านประสงค์ให้ข้ากระทำอันใด แน่ใจให้ผายลม” องครักษ์หนุ่มรีบถามย้ำอย่างไม่มั่นใจ
“เข้าใจถูกแล้ว ทำได้หรือเปล่า” พอผักตบยืนยันไม่เปลี่ยนแปลง ฝ่ายรับคำสั่งมีหรือกล้าปฏิเสธ
ได้แต่ขานรับอย่างช่วยไม่ได้
“ขอรับ ข้าน้อยย่อมกระทำได้” เท่านั้นผักตบก็ยกยิ้ม ตะโกนบอกพระปิตุลาว่า
“เก้าอี้ตัวนี้มีรูอยู่ 5 รู..ผมจะให้องครักษ์ท่านนี้ผายลมโดยนั่งเก้าอี้ ถ้าคุณตอบถูก ว่าเขาผายลมผ่านรูใดคุณชนะ”
พระปิตุลาแสยะยิ้มชั่วร้าย กับคำท้ากระจอกในสายพระเนตร อย่าว่าแต่ผายลมผ่านรูเก้าอี้
ต่อให้ตอนนี้จักให้พระองค์จับว่าทหารในกองพันใครผายลมก็รู้เช่นกัน จึงรับปาก
“เราย่อมรับคำท้าเจ้า เชิญเจ้าเถิด” สิ้นพระดำรัส กลกะลาก็ต้องนั่งเก้าอี้
เตรียมตดด้วยเดิมพันบ้านเมืองความปลอดภัยผู้คน
แม้จะกระอักกระอ่วนที่องครักษ์เอกอย่างเขา ต้องมาทำขายหน้า
ใบหน้าเคร่งขรึมจึงซับสีเลือดจนแดงซ่านทั้งหน้าทั้งคอ ยังผลให้บุรุษนั่งหลังม้าจ้องเขานิ่ง
ดวงเนตรดูพึงพอใจโดยไม่มีใครสังเกต ว่าบัดนี้องครักษ์คู่กายรัชทายาทไตรคาน
กำลังเป็นที่พึงพระทัยรัชทายาทเวฬุวรรณเข้าแล้ว
“พร้อมแล้วผายลมได้” ผักตบบอกกลกะลา วินาทีที่กลกะลาหย่อนก้นนั่ง
ได้มีแมลงบินมาเกาะใต้เบาะก่อนแล้ว ย่อมเป็นแมลงคุณไสยที่พระปิตุลาใช้ประโยชน์
“ปู๊ดดด!!” เสียงตดดังขึ้น พร้อมกับหลายคนลืมตัวเอามือปิดจมูกอัตโนมัติ ทั้งที่อยู่ไกลกลัวอะไรกับกลิ่นเน่าจะไปถึง
แปลกตรงที่ตดกลกะลาหาได้เหม็นอย่างที่คิด กลิ่นมีเพียงเล็กน้อยแต่ยังพอทนได้
“เออกลิ่นพอไหว ถือว่าใช้ไม่ผิดคน” ผักตบเปรยเบาๆ กลกะลายังแอบได้ยิน
เขานึกเคืองคนสั่งให้ทำเรื่องหน้าอายนี้ แต่ไม่ได้แสดงอาการ ถึงยังไงบุคคลผู้นี้กำลังหาวิธีช่วยบ้านเมืองของเขา
ให้รอดพ้นวิกฤต แม้จะดูไม่เข้าท่า ซ้ำยังทำให้เขาแทบเอาหน้าแทรกผืนทรายก็เถอะ
ชายชาตินักรบต้องทนได้ นี่คือสิ่งที่กลกะลาพร่ำบอกกับตัวเอง ก่อนจะหน้าแดงแทบไหม้
เมื่อเผลอสบเนตรคมขบขันพฤติกรรมของเขา โดยเฉพาะมุมปากบางยักยิ้มจงใจส่งให้เขาโดยเฉพาะ
บุรุษบนหลังม้าศักดิ์ฐานะเทียบเท่านายเหนือหัว พานอยากใช้ดาบควักลูกนัยน์ตาที่ล้อเลียน ขบขันเขาให้บอดไปทั้งสองข้าง
“คนของเจ้าผายลมออกรูที่ 2 พลิกเก้าอี้จักมีแมลงปีกทองเกาะอยู่
นั่นคือรูที่คนของเจ้าผายลมผ่าน หึหึ!..คิดลองภูมิข้ายังเร็วไปเจ้าหนุ่ม”
ทุกคนปากอ้าตาค้างกับคำตอบ พร้อมข้อเฉลยที่พระปิตุลาทรงกำชับตามมา
ผักตบรีบยกเก้าอี้หงายก้นขึ้น ก็เห็นแมลงปีกทองที่ว่าเกาะตรงรูที่สองไม่ผิดไปจากคำพูด
“ข้อแรกเจ้าแพ้ข้าแล้ว” พระปิตุลาสรุป
“ผมชนะต่างหาก” ผักตบกลับสวนทันควัน
“เจ้าคิดจะบิดพลิ้วอันใดหลักฐานเด่นชัด ข้าไม่โง่ให้เจ้าหลอกแน่ จึงส่งแมลงไปเกาะยังรูที่คนของเจ้าผายลมผ่าน
แมลงปีกทองตัวนี้รับรู้กลิ่นและชมชอบเป็นพิเศษ เช่นนี้เจ้าจักพิสูจน์อีกรอบก็ยังได้
แต่อย่าบังอาจเล่นลิ้นมิเช่นนั้นจักหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้” พระองค์ทรงกริ้วขึ้นมาทันที
“ผมชนะจริงๆ ไม่ได้เล่นลิ้น ผมพนันกับคุณว่า ถ้าตอบถูกคนของผมผายลมออกรูไหน
คุณตอบผิด..ผมไม่ได้ดูแคลนแมลงสัตว์เลี้ยงของคุณ แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ..เขาผายลมออกจากรูทวาร
หรือคุณเองไม่ได้ผายลมผ่านรูทวาร กล้าเถียงไหมล่ะ”
เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารไตรคานดังสนั่นขึ้นทันที หลังฟังเหตุผลที่ผักตบยืนกรานกลายเป็นผู้ชนะในข้อแรก
ด้วยพระปิตุลาเองเถียงไม่ออก จนมุมกับเรื่องง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าผักตบจะใช้คำตอบที่เป็นความจริงมาเฉลย
ถือว่าทรงพลาดเอง ถึงกลับกำหมัดแน่น แต่ก็วางพระพักตร์นิ่ง ไม่แสดงพระอารมณ์ให้รู้ว่ากำลังกริ้ว
ที่ดันเสียรู้ทารกซึ่งปรามาสความสามารถไว้
องค์ชายวายุภักษ์แม้จะฝืนสังขารอย่างหนัก กระนั้นยังอดแย้มสรวลจนได้หลังฟังคำเฉลยของผักตบ
ทรงภูมิใจในความฉลาดหลักแหลม ผู้ที่พระองค์หมายมั่นพระทัย..คู่ชีวิตต้องเป็นคนนี้
ส่วนทางเวฬุวรรณ ต่างนิ่งขึงไปแล้ว ไม่มีใครเคยเห็นพระปิตุลาผู้ปรีชาสุดในแผ่นดิน
จนมุมกับบุรุษต่างถิ่น ถือเป็นครั้งแรกที่เห็นพระปิตุลาพลาดท่าเสียทีแบบนี้..
ขออภัยที่เรามาอัพซะดึก แต่เราเร่งปั่นไม่ทันจริงๆ
ยังไงก็แทนการขอโทษ ด้วยจิตคารวะสำหรับคนรออ่านด้วยนะคะ
เจอกันอีกทีวันอังคารนะคะ ตอนหน้ารับรองว่า ฉากนี้ที่รอคอยค่ะ 5555
รักทุกกำลังใจที่มอบให้ ขอบคุณคะแนนบวกที่มีมาด้วยนะคะ
หลับฝันดีทุกคน...
ปล.เราก็บ้าปั่นจนดึกกว่าจะได้..เท่านี้อ่ะ
