คงจิตใจดีกันขึ้นมาแล้วนะครับ ความรักก็มีมุมที่สวยงามด้วยนะครับ

*****************************************************************************************************************
กุมภาพันธ์ ของปีเตอร์ คอป
[wma=300,50]http://f1.podcast.blog.webs-tv.net/upload2/new/e/e/a/eead8016b7c106b9153ec8acc1bbecfb.mp3[/wma]
*************************************************************
.............ขอให้รักเรานั้น....นิรันดร ภาค 2….....( 19 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------
จดหมายของบาสทำให้ผมอ่อนแรงจนแทบจะล้มลงไปอีกครั้ง เพราะจดหมายฉบับนี้ได้ทำให้ผมรู้อะไรที่น่าตกใจเพิ่มขึ้นอีกมาก
ประเด็นแรกคือถึงแม้จดหมายฉบับนี้จะไม่ได้บอกว่าบาสกำลังจะไปไหน แต่มันได้ทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า..ตกลงแล้ว การตายของบาสมันเป็นอุบัติเหตุ หรือ ความจงใจ ?
ประเด็นต่อมาคือการได้รู้ว่าทีมเขาต้องเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องตัดสินใจทิ้งผมไปเพราะความเข้าใจผิด
นอกจากนั้นการได้รู้ว่าชีวิตของทีมต้องพังทลายลงเพราะความรักที่มีต่อผม มันทำให้หัวใจของผมที่แหลกสลายไปแล้วจากการตายของบาสเหมือนยิ่งถูกย่ำยีบีฑาหนัก
ทำไมในวันนั้น เขาถึงไม่ยอมพูดขอคืนดีกับผมตรงๆ เพราะเพียงแค่เขาเอ่ยปาก ผมก็พร้อมจะกลับไปหาเขาทันที ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ หรือจะต้องตกระกำลำบากแค่ไหน ผมก็ไม่กลัว
ผมเพียงแค่ขอให้มีเขาอยู่ข้างๆ
แต่นี่คงเป็นสิ่งที่โชคชะตาได้กำหนดไว้แล้ว.
โชคชะตาคงตั้งใจให้มันเป็นไปอย่างนั้น เพราะถ้าในวันนั้นทีมได้กลับไปคืนดีกับทีม ผมก็คงไม่มีโอกาสได้มาเจอบาส และไม่มีโอกาสได้รักผู้ชายคนนี้
ในที่สุดแล้วผมก็คงต้องยอมรับกับสิ่งที่แม่ของบาสพูดนั่นคือ..มันเป็นกรรมของพวกเรา
ในวันนั้นหลังจากกลับจากโรงพยาบาล ผมก็ได้กลับไปที่บ้านของบาสกับแม่ของเขาอีกครั้งและก็ตัดสินใจที่จะมาอยู่ค้างกับแม่ของบาสจนกว่างานศพจะเสร็จสิ้น รวมทั้งได้ตั้งปณิธานว่าผมจะอยู่ดูแลแม่ของบาสแทนเขาไปตลอดชีวิตเพื่อให้เขาได้ไปสู่ภพหน้าอย่างสงบสุข
วันต่อมา ศพของบาสก็ได้ถูกนำไปตั้งสวดบำเพ็ญกุศล ณ วัดแห่งหนึ่งบนถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งผมก็ได้ไปอยู่ช่วยงานมาตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งตกดึกผมก็ได้มานั่งอยู่หน้าศพบาสเพื่อทำหน้าที่คอยหยิบธูปให้กับแขกเหรื่อที่มาเคารพศพ โดยตลอดเวลาที่ผมนั่งอยู่ตรงนั้นผมก็ได้แต่แหงนหน้าขึ้นมองรูปถ่ายของบาสแล้วก็นึกถึงวันเวลาที่เราเคยมีความสุขอยู่ด้วยกัน
ขณะที่ผมกำลังนั่งใจลอยอยู่นั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาว่า
“ผมขอธูปด้วยครับ”
เมื่อได้สติผมก็รีบเอี้ยวตัวไปหยิบธูปส่งให้กับเจ้าของเสียงอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วก็รีบขอโทษขอโพยเขาเป็นการใหญ่ที่ผมมัวแต่ใจลอย
“ขอโทษคับ นี่คับธูป”
ในตอนนั้นเองขณะที่ผมกำลังยืนมือส่งธูปให้กับเขา ผมก็ต้องตกตะลึงอย่างที่สุดเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนี้ชัดๆ จนทำให้ธูปในมือถึงกับร่วงหล่นลงพื้น แต่ผู้ชายคนนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาได้แต่เอามือไปหยิบธูปที่ร่วงหล่นนั้นขึ้นมาแล้วก็เดินไปนั่งคุกเข่าพนมมือแสดงความเคารพแก่ศพของบาส ขณะที่ผมยังคงได้แต่นั่งตัวแข็งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าในวันนี้ผมจะได้พบกับ..ทีม..อีกครั้ง
ถึงแม้ใบหน้าของทีมในตอนนี้จะดูทรุดโทรมและมีความหม่นหมองเหมือนคนที่มีเรื่องทุกข์ใจอย่างหนัก แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าเขายังคงมีร่องรอยของความหล่อเหลา สมบูรณ์แบบไม่เคยเปลี่ยน ยกเว้นแต่เพียงแววตาคู่นั้นที่กลับแสดงถึงความเป็นคนกร้านโลก และดูโศกเศร้าอยู่ตลอดเวลา
ผมนั่งตะลึงงันไปอีกสักพัก จนเมื่อผมได้หันไปมองรูปบาสอีกครั้งผมก็รู้สึกลำบากใจเหลือเกินที่ได้มาเจอทีมในงานศพของผู้ชายอีกคนที่ผมรักเขาอย่างสุดหัวใจ ผมจึงตัดสินใจเดินลุกออกมานั่งสงบสติอารมณ์ที่บริเวณม้านั่งใต้ต้นลีลาวดีด้านนอก จนกระทั่งอีกสักพักผมก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา
“มาหลบอยู่นี่เองเหรอ”
เสียงที่เริ่มต้นทักผมทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมองในทันทีแล้วก็พบว่าทีมกำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ตั้งใจจะมาหลบหน้าใครหรือเปล่า”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างประชดประชัน
“เปล่านี่ “ ผมตอบไปแกนๆ
“เหรอ ทีมนึกว่าอาจจะมีบางคนไม่สบายใจที่ทีมมาที่นี่”
“งั้นคนๆนั้นก็คงไม่ใช่บีหรอก ผิดหวังมั้ยล่ะ”
“เจอกันครั้งแรกก็คุยกันอย่างนี้เลยนะ”
“แล้วใครเริ่มล่ะ”
ผมตอบไปอย่างไม่สบอารมณ์ ในขณะที่อดคิดไม่ได้ว่า...ไม่ว่าจะรักหรือเลิกกันผมกับทีมก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นฝ่ายชวนทะเลาะเสมอ
“เป็นไงบ้างล่ะ บีสบายดีหรือเปล่า”
เมื่อรู้สึกตัวว่าต่างฝ่ายต่างกำลังทำผิด ทีมก็กลับมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อืมสบายดี แล้วทีมล่ะ”
“ก็เรื่อยๆแหละ”
ทีมตอบคำถามนี้ของผมด้วยแววตาหม่นๆ แล้วก็พูดต่อว่า
“ได้ข่าวว่าช่วงปิดเทอม บีมาอยู่กับบาสเหรอ”
หลังคำถามนี้ของทีมผมก็อดสะดุ้งไม่ได้เมื่อนึกถึงว่าความจริงนี้คงทำให้ทีมเจ็บปวดมาก
“ใช่ พอดีบาสเขาไม่สบาย แม่ของเขาก็เลยจ้างบีมาช่วยดูแล”
“เหรอ”
คำตอบนั้นไม่ยินดียินร้าย และไม่แสดงอาการแปลกใจ นอกจากจะมีแต่สีหน้าครุ่นคิด
“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของทีมเอง ถ้าไม่ใช่เพราะทีม บาสมันก็คงไม่ตาย”
“อะไรนะ”
ผมถามทีมอย่างตกใจที่ได้ยินเขาพูดออกมาอย่างนั้น
“เมื่อคืนวานไอ้บาสมันโทรศัพท์มาหาทีมเพื่อสารภาพในสิ่งที่มันเคยทำกับทีมไว้ ที่จริงแล้วทีมก็ไม่แปลกใจหรอกเพราะทีมรู้เรื่องนี้มานานแล้ว เพียงแต่พอทีมแน่ใจว่าสิ่งที่ไอ้บาสมันพูดคือเรื่องโกหก ทุกอย่างมันก็สายไปแล้ว เพราะตอนนั้นทีมได้เลิกกับบีไปแล้ว ทีมก็เลยไม่อยากต้องเสียเพื่อนรักไปอีกคน ทีมจึงตัดสินใจคบกับมันต่อไปทั้งๆ ที่ทีมก็รู้ดีว่ามันเป็นคนทำลายความรักของทีม แต่สิ่งที่ทำให้ทีมทนไม่ได้ก็คือความจริงที่ว่าในขณะที่ทีมต้องใช้ชีวิตอย่างทนทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น ไอ้บาสมันกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่กับบี ทีมโมโหมันมาก ทั้งๆที่ทีมเห็นแก่เพื่อนรักอย่างมันมาตลอดจนยอมเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่เคยปริปาก แต่ลับหลังทีมมันกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่กับบีโดยไม่สนใจว่าทีมจะรู้สึกยังไง ทีมก็เลยบังคับให้มันออกมาเคลียกับทีมข้างนอก ทีมไม่รู้ว่าขามันยังไม่หายดี ถ้าทีมไม่บังคับให้มันออกมา มันก็คงไม่ตายใช่มั้ยบี”
พูดจบผมก็เห็นน้ำตาของทีมไหลงมาอย่างเจ็บปวด ในขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนนิ่งอย่างไม่รู้ว่าผมจะตอบเขาไปว่าไงได้ ในเมื่อตอนนี้ผมก็ไม่รู้แล้วว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเป็นความผิดของใครกันแน่
มันอาจจะเป็นความผิดเพราะความหูเบาของทีม ถ้าวันนั้นเขาจะเชื่อใจผมมากกว่านี้เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น
หรือมันจะเป็นความผิดเพราะความขี้ขลาดของบาส ถ้าวันนั้นเขายอมสารภาพออกมาตรงๆว่าเขารักผม บางทีเราอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนผมกับกอล์ฟ
หรือมันจะเป็นความผิดเพราะทิฐิและความได้เดียงสาต่อความรักของผมเอง ถ้าวันนั้นผมยอมลดทิฐิและพยายามแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้น บางทีเราทั้งสามคนก็ไม่ต้องมาเจอโศกนาฏกรรมแบบนี้
ในที่สุดแล้วผมก็คงได้แต่ใช้คำว่า “ถ้า” แต่น่าเสียดายที่เมื่อไหร่ที่เราพูดถึงคำๆนี้ขึ้นมา มันก็หมายถึงว่าเราไม่อาจไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
ผมค่อยๆหลับตาแล้วก้มหน้าลงอย่างเจ็บปวดจนกระทั่งผมได้ยินเสียงทีมพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า
“บีจำได้มั้ย ว่าบีเคยถามคำถามทีม 3 ข้อ ข้อ 1 กับ ข้อ 2 บีคงได้คำตอบไปแล้วใช่มั้ย”
ผมค่อยๆพยักหน้าอย่างทุกข์ทรมานเพื่อบอกให้เขารู้ว่า...ใช่ ผมได้รู้คำตอบของ 2 ข้อนั่นแล้วโดยต้องแลกกับความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
“ส่วนข้อ 3 ......”
หลังคำพูดนี้ของทีม ผมก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างไม่รู้ตัวเพราะผมไม่เชื่อหูตัวเองว่าทีมกำลังจะตอบคำถามที่เขาได้ปล่อยให้ผมค้างคาใจมาถึง 5 ปี
“ไม่รู้สินะ ตอนนั้นทีมก็ยังเด็กมาก ที่สำคัญหลังจากที่ทีมสูญเสียบีไป ทีมก็ไม่เคยเชื่อมั่นอะไรในความรักอีก ทีมก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ความรักมันเป็นยังไงกันแน่ ทีมรู้แต่เพียงอย่างเดียวว่าช่วงเวลาที่ไม่มีบีอยู่ใกล้ๆ มันทรมานมากนะ มันทรมานแสนสาหัสจริงๆ”
แม้ทีมจะไม่ได้ตอบออกมาตรงๆว่าเขารักผมหรือไม่ แต่คำตอบและหยดน้ำตาที่ไหลลงมาของเขามันทำให้ผมถึงกับเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่เมื่อนึกถึงคำสัญญาที่ว่าผมจะไม่ร้องไห้ให้เขาเห็นอีก ผมจึงพยายามฝืนมันเอาไว้ แล้วก็ชวนทีมเปลี่ยนเรื่องคุย
“ได้ข่าวว่าทีมมีลูกแล้วเหรอ”
ทีมมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยที่ผมรู้เรื่องนี้ แต่ก็ฝืนตอบผมมาว่า
“ใช่ ตอนนี้ก็ 7 เดือนกว่าแล้ว”
“เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ”
“ผู้ชาย”
“คงหน้าตาน่ารักน่าดูเลยนะ”
“แน่นอนสิ ก็พ่อมันหล่อนี่”
ทีมตอบกลับมาอย่างยิ้มๆ
“ฮึ ฮึ นั่นสิ แล้วแกชื่ออะไรเหรอ”
ทันทีที่ผมถามคำถามนี้จบลง ผมก็อดแปลกใจไม่ได้ที่คำถามง่ายๆนี้ได้ทำให้ทีมถึงกับสะดุ้งแล้วก็มีท่าทีคิดหนัก ก่อนที่จะถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งครั้ง แล้วก็ฝืนใจตอบผมกลับมาว่า
“บี....แกชื่อ บี ปิติรัตน์ โอฬารสกุล”
“ชื่ออะไรนะ”
ผมถามย้ำทีมอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“บีก็ได้ยินชัดแล้วนี่ ไม่รู้สิ ทีมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทีมถึงชอบชื่อนี้ แต่ทีมตั้งใจมานานแล้วว่าถ้าทีมมีลูกคนแรก ไม่ว่าลูกของทีมจะเป็นผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ทีมก็จะให้ชื่อนี้ ทีมว่ามันเป็นชื่อที่เพราะดีนะถึงจะโหลไปหน่อยก็เถอะ”
คำตอบของทีมถึงกับทำให้ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ จนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าแบบ 180 องศาเพื่อให้น้ำตามันไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน และถึงแม้คืนนี้จะเป็นคืนข้างขึ้น แต่ผมก็พูดออกมาอย่างโง่ๆเพื่อแก้ตัวต่อการกระทำที่ไร้เหตุผลของตัวเองว่า
“คืนนี้ดาวสวยดีนะ”
หลังคำพูดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของทีมก่อนที่จะเห็นเขาแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าเช่นเดียวกันแล้วก็บอกกับผมว่า
“อืม ใช่ สวยจริงๆด้วย ดาวเต็มฟ้าเลย”
-----------------------
ในค่ำคืนนั้นหากใครมีโอกาสผ่านไปผ่านมาบริเวณป้ายรถเมล์หน้าวัดนั้นก็คงเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่เหมือนคนวิกลจริต เพราะเด็กผู้ชายนี้เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้
ใช่แล้วล่ะ...เด็กผู้ชายคนนั้นคือผมเอง
ผมกำลังยิ้มให้กับตัวเองที่รู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทีมยังคงรักผมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
ผมร้องไห้ให้กับความสูญเสียผู้ชายที่ผมรักเขามากอย่างที่สุดอีกคน
ผมหัวเราะให้กับโชคชะตาที่น่าขันของตัวเอง
ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความรักได้เล่นตลกกับผมอย่างเหลือร้าย...เพราะ
รักครั้งแรกของผมถูกทำลายโดยผู้ชายซึ่งเป็นรักครั้งที่สอง
ส่วนรักครั้งที่สองกลับถูกทำลายโดยผู้ชายซึ่งเป็นรักครั้งแรก
ถ้านี่คือหนี้กรรมระหว่างบาสกับทีม พวกเขาก็คงชดใช้กันไปหมดแล้ว
แต่ผมล่ะ....ผมอยู่ตรงไหนของวงล้อแห่งกรรมนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ทีมทำกับบาส หรือบาสทำกับทีม
คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือผมที่ยืนอยู่ตรงนี้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ น้ำตาของผมก็ไหลลงมาอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง ในตอนนั้นเองอยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกราวกับว่าสติของผมกำลังเลื่อนลอยมากขึ้นทุกที จนกระทั่งโดยไม่รู้ตัวผมก็ค่อยๆก้าวเดินลงไปในถนนเหมือนคนสิ้นหวังที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ขณะที่หูทั้ง 2 ข้างก็เริ่มได้ยินเสียงแผดร้องกึกก้องของรถคันหนึ่งที่แล่นมาด้วยความเร็ว
ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆ เพื่อหลบแสงไฟเจิดจ้าที่สาดส่องเข้ามาตรงหน้าขณะที่เอา 2 มือขึ้นมาปิดหูเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงแตรแหลมสูงจนเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจที่ดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในตอนนั้นผมพยายามนึกถึงหน้าของบาสเพื่อหวังว่าชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้คงได้นำพาผมให้ได้ไปพบกับเขา
แต่ทันใดนั้นเองที่ผมรู้สึกเหมือนโดนใครบางคนฉุดแขนผมไว้แล้วก็กระชากผมให้ถอยหลังไปอย่างแรงจนผมกลับไปล้มลงบนทางเท้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงๆหนึ่งที่ผมคุ้นเคย ผมจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมองเขา
“บีจะบ้าไปแล้วหรือไง จะทำอะไรน่ะหา”
ทีมเขย่าตัวผมอย่างแรงแล้วก็ตะโคกใส่ผมอย่างโมโหสุดขีด
“คิดว่าทำอย่างนี้แล้วไอ้บาสมันจะดีใจหรือไง แล้วทีมล่ะ ทีมไม่มีความหมายอะไรกับบีเลยใช่มั้ย”
ทีมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกและน้อยอกน้อยใจใขขณะที่น้ำตาของเขาก็เริ่มไหลลงมาอาบทั้งสองแก้ม ส่วนผมก็ได้แต่ร้องไห้แล้วก็ตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“บีไม่รู้ทีม บีไม่รู้ บีห้ามตัวเองไม่ได้ ห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ฮือๆๆๆ”
พูดไปน้ำตาผมก็ไหลลงมาไม่ยอมหยุด จนทีมรีบดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้
“อย่าทำอย่างนี้นะบี ถ้าบีเป็นอะไรไปแล้วทีมล่ะ ทีมจะอยู่ยังไง จะให้ทีมมีชีวิตอยู่ได้ยังไงถ้าต้องเสียบีไปจากโลกนี้จริงๆ ”
พูดจบเรา 2 คนก็กอดคอกันร้องไห้อย่างไม่อายสายตาของผู้คนที่อยู่บริเวณป้ายรถเมล์แห่งนั้น จนสักพักเมื่อเราทั้งคู่ต่างปรับอารมณ์ได้ทีมก็ค่อยๆพยุงตัวผมให้ยืนขึ้น
“ให้ทีมไปส่งบ้านนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก บีกลับเองได้”
ผมรีบตอบทีมไปด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะยอมรับความหวังดีของเขา ในขณะที่ศพของบาสยังอยู่ในศาลา
“ให้ทีมไปส่งเถอะ ไม่งั้นทีมหลับไม่ลงแน่ ที่สำคัญถ้าคืนนี้ทีมไม่ยอมไปส่งบีให้ถึงบ้านโดยปลอดภัย ไอ้บาสมันคงเข้ามาแตะทีมในฝันแน่”
คำพูดของทีมทำให้ผมนึกถึงคำพูดของบาสอีกครั้ง
“ถ้ามีสิ่งไหนที่บาสจะพอทำได้เป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิต....บาสก็อยากคืนบีไปให้ไอ้ทีม บาสอยากให้มันกับบีได้กลับมารักกันอีกครั้ง”
หรือนี่จะเป็นความตั้งใจของบาสเพื่อให้ผมกับทีมได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นความตายของบาส มันเกิดจากความตั้งใจของเขาอย่างนั้นหรือ
“มาเถอะบี ทีมจอดรถมอเตอร์ไซด์ไว้ตรงโน้น”
ทีมพยายามเรียกผมอีกครั้ง แต่ไม่ทันที่ผมจะตอบว่าอะไร เขาก็ฉุดมือผมแล้วพาเดินออกไปให้ไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยายนต์ที่เขาจอดไว้ริมทาง
ผมยอมรับว่าการกลับมาเจอทีมอีกครั้งในวันนี้ทำให้ผมทำตัวไม่ถูก จนเมื่อผมขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายทีมแล้วผมก็ได้แต่ทำตัวเก้ๆกังๆ ไม่รู้จะเอามือ เอาเท้าไปไว้ที่ไหน จนทีมต้องพูดประชดผมอีกครั้ง
“ทำไมเหรอ กะอีแค่เอามือมากอดเอวทีม มันจะเป็นอะไรนักหนา ถ้าทีมมันน่ารังเกียจนักก็ทนเอาหน่อยแล้วกัน ถือว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเองแล้วกัน”
“บีไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย”
พูดจบผมก็เอามือไปโอบเอวทีมไว้ตามที่เขาบอก แต่ทันใดนั้นทีมก็แกล้งออกรถทันทีด้วยความรวดเร็วจนทำให้ผมตกใจจนถึงกับกอดเขาไว้แน่น
ขณะที่ผมกำลังกอดทีมไว้นั้นเองผมก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัวด้วยความโหยหาความอบอุ่นเช่นนี้มานานแสนนาน
ผมรู้สึกได้ว่าแม้แผ่นหลังของทีมจะทั้งใหญ่และกว้างขึ้นมาก แต่ความรู้สึกอบอุ่นที่ผมได้รับนั้น มันกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ซึ่งในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกได้ว่าทีมกำลังเอามือข้างหนึ่งมาบีบกุมมือของผมที่กำลังกอดเขาเอาไว้แน่นจนทำให้ผมถึงกับน้ำตาไหลเมื่อได้รับการสัมผัสจากมือของทีมอีกครั้ง แต่ขณะที่อีกใจหนึ่งผมก็กลับนึกถึงบาสขึ้นมาไม่ได้
หากเป็นเมื่อก่อน ผมก็เคยถามตัวเองตลอดเวลาว่า...จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะสามารถรักคน 2 คนได้ในเวลาเดียวกัน
แต่ในวันนี้ผมคิดว่าผมได้รับคำตอบแล้วเพราะหัวใจของผมตอนนี้ได้มีทั้งทีมและบาส และไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรผมก็คงขอรักผู้ชาย 2 คนนี้ไปตราบจนวันตาย
ผมค่อยๆกอดทีมแน่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหนาว ในขณะที่ทีมก็ยังคงเกาะกุมมือของผมไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วเขาก็ค่อยๆลดความเร็วลงจนมันกลายเป็นมอเตอร์ไซด์ที่วิ่งช้ามาก ผมจึงอดถามเขาไม่ได้ว่า
“ทีม..รถไม่วิ่งช้าไปหน่อยเหรอ”
“อืมนั่นสิ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน เมื่อวานก็ยังดีๆอยู่เลย แต่พอบีมานั่งมันกลับเร่งเครื่องไม่ค่อยขึ้น
เมื่อได้รับคำตอบอย่างนั้นผมก็ได้แต่ยิ้ม แล้วก็กลับไปซบแผ่นหลังอันอบอุ่นของทีมไว้ตามเดิม
ในคืนนั้นหากใครได้เดินผ่านไปผ่านมาบนถนนจรัญสนิทวงศ์ ก็คงได้เห็นมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งที่ออกจะแปลกตาไปสักหน่อย
ด้านหนึ่งมอเตอร์ไซด์คันนี้มีผู้ชาย 2 คนที่นั่งกอดกันแน่นราวกับจะไม่มีวันยอมแยกจากกันเป็นอันขาด
และอีกด้าน.....มอเตอร์ไซด์คันนี้คงเป็นมอเตอร์ไซด์ที่เรียกได้ว่า....
....วิ่งช้าที่สุดในโลก.....
-----------------------------------------